Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอน3

แผนการสอน3

Published by nookfilmsuksorn, 2020-09-19 09:33:09

Description: แผนการสอน3

Search

Read the Text Version

ดาวคนแบกงูแต่อยูใ่ กล้ IC4606 ซ่ึงเหนือข้ึนไปเพียงเล็กนอ้ ยประมาณ 3 องศาจากดาวปาริชาตเท่าน้นั มองเห็น ไดด้ ว้ ยกลอ้ งดูดาว นิทานดาว แมงป่ องเป็ นสัตวท์ ี่จีอา (Gaea) เทพเจา้ แห่งโลก ส่งให้ไปทาร้ายนายพราน Orion ทาให้ นายพรานตอ้ งหนีแมงป่ อง (สาเหตุมาจากการท่ีนายพรานโออ้ วดกบั เทพีแห่งการล่าสัตวห์ รือดวงจนั ทร์วา่ ผใู้ ดล่า สตั วเ์ ก่งกวา่ กนั จนภายหลงั ในขณะท่ีนายพรานกาลงั หนีแมงป่ องอยูก่ ็ถูกเทพีแห่งการล่าสัตวย์ งิ ธนูใส่จนถึงแก่ ความตาย โดยที่เทพีแห่งการล่าสัตวไ์ ม่ไดต้ ้งั ใจท่ีจะฆา่ นายพราน) แมว้ า่ จะกลายเป็นกลุ่มดาวบนทอ้ งฟ้าไปแลว้ นายพรานก็ยงั คงหนีแมงป่ องอยู่ โดยกลุ่มดาวแมงป่ องจะข้ึนในขณะท่ีกลุ่มดาวนายพรานกาลงั ตกลบั ขอบฟ้าอยู่ ทิศตรงขา้ มกนั ตลอดกาล 8. กล่มุ ดาวคนยงิ ธนู ( SAGITTARIUS ) – ราศีธนู (16 ธันวาคม - 14 มกราคม) กลุ่มดาวคนยงิ ธนู อยถู่ ดั จากกลุ่มดาวแมงป่ องไปทางทิศตะวนั ออก ประกอบดว้ ยดาวฤกษเ์ รียงกนั อย่างน้อย 8 ดวง คลา้ ยกบั กาตม้ น้า ไม่มีดาวดวงใดเด่นมากนกั ดวงอาทิตยจ์ ะโคจรผ่านกลุ่มดาวคนยิงธนู ระหวา่ งวนั ที่ 19 ธนั วาคม ถึง 21 มกราคม ซ่ึงกลุ่มดาวคนยงิ ธนูเป็นกลุ่มดาวท่ีอยใู่ จกลางทางชา้ งเผอื ก กลุ่มดาวคนยิงธนู เป็ นกลุ่มดาวอนั ดบั ท่ีเกา้ ของกลุ่มดาวจกั รราศีโดยกลุ่มดาวคนยงิ ธนูจะเป็ นรูป สตั วใ์ นเทพนิยาย เป็นคร่ึงมา้ คร่ึงคน เหมือนกลุ่มดาวมา้ คร่ึงคน (Centaurus) เพียงแต่คนยิงธนูเป็นนายพราน จึงมกั จะสับสนกนั บ่อย กลุ่มดาวคนยงิ ธนูจะหนั ปลายธนู ไปทางกลุ่มดาวแมงป่ อง (Scorpius) แต่กลุ่มดาวท่ี ค่อนขา้ งสุกสวา่ งจริงๆ ของกลุ่มดาวน้ี เรามกั จะเห็นเป็นรูปกาตม้ น้าหนั ไปทางกลุ่มดาวแมงป่ องมากกวา่ โดย จะข้ึนไปสูงสุดกลางทอ้ งฟ้าประมาณเที่ยงคืนของตน้ เดือนกรกฎาคม มีดาวท่ีสาคญั ดงั น้ี Rakbatเป็ นดาว ฤกษ์สีน้ าเงิน-ขาว มีความสว่างไม่มากนักเพียงประมาณ 4.1 เท่าน้ัน ช่ือดาว หมายถึง หัวเข่า (The

Knee) Arkab Prior Arkab Posterior เป็ นดาวฤกษ์สี น้ าเงิน-ขาว มีความสว่างไม่มากนักเช่นกันเพียง ประมาณ 4.3 และ 4.5 เท่าน้ัน Alnasl เป็ นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 2.99 อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 96 ปี แสง ดาวดวงน้ี มีอีกชื่อหน่ึงวา่ Nash หมายถึง หวั ลูกศรธนู Kaus Australis เป็ นดาวฤกษส์ ีน้าเงิน- ขาว มีความสวา่ งประมาณ 1.85 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 145 ปี แสง ชื่อดาว หมายถึง ด้านใตข้ องคนั ธนู(The Southern Bow) เนื่องจากตาแหน่งของดาว อยใู่ นตาแหน่งดา้ นล่างของคนั ธนูนนั่ เอง Kaus Meridionalis มีความ สว่างประมาณ 2.70 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 306 ปี แสง ช่ือดาว หมายถึง กลางของคันธนู (The Middle Bow) เน่ืองจากตาแหน่งของดาวอยใู่ นตาแหน่งกลางคนั ธนู Kaus Borealis มีความสวา่ งประมาณ 2.81 อยหู่ ่างจาก โลกประมาณ 77 ปี แสง ช่ือดาว หมายถึง ดา้ นเหนือของคนั ธนู (The Northern Bow) เนื่องจากตาแหน่งของดาว อยใู่ นตาแหน่งดา้ นบนของคนั ธนู Nunki เป็ นดาวฤกษส์ ีน้าเงิน-ขาว มีความสวา่ งประมาณ 2.02 อยหู่ ่างจากโลก ประมาณ 224 ปี แสง อยใู่ นตาแหน่งมือขวาของคนยงิ ธนูท่ีกาลงั งา้ งธนู ชื่อดาวดวงน้ี ต้งั แต่สมยั บาบิโลเนียน หมายถึง ดาวที่ข้ึนมาก่อนในทะเล (the Star Preclaiming the Sea) เนื่องจากกลุ่มดาวที่จะปรากฏตามมาลว้ น เป็ นกลุ่มดาวท่ีอยู่กบั ในทะเลท้งั สิ้น ได้แก่ กลุ่มดาวคนแบกหมอ้ น้า (Aquarius) กลุ่มดาวแพะทะเล หรือ มงั กร (Capricornus) กลุ่มดาวปลาโลมา (Delphius) กลุ่มดาวปลาวาฬ (Cetus) กลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) กลุ่ม ดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus) Ascella มีความสว่างปรากฏ 2.60 อยหู่ ่างจากโลกประมาณ 89 ปี แสง ช่ือ ดาว มาจากภาษาละติน หมายถึง ไหล่ (Armpit) Albaldah เป็ นฤกษ์ในระบบดาวคู่ 3 ดวง มีความสว่าง ประมาณ 2.89 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 440 ปี แสง M8 - The Lagoon Nebula ลากูนเนบิวลา เป็ นเนบิวลา สว่าง มีความสวา่ งประมาณ 5.8 มองเห็นไดด้ ว้ ยกลอ้ งสองตา M22 - Globular Cluster เป็ นกระจุกดาวทรง กลม มีความสวา่ งประมาณ 5.1 มองเห็นไดด้ ว้ ยกลอ้ งสองตาM24 - Open Cluster เป็นกระจุกดาวเปิ ด มีความ สว่างประมาณ 4.5 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า M25 - Open Cluster เป็ นกระจุกดาวเปิ ด มีความสว่าง ประมาณ 4.6 พอมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า 9. กล่มุ ดาวมงั กร หรือ แพะทะเล ( CAPRICORNUS ) – ราศีมงั กร (15 มกราคม - 12 กมุ ภาพนั ธ์) กลุ่มดาวมกร หรือ กลุ่มดาวแพะทะเล เป็ นกลุ่มดาวจกั รราศีท่ีอยูถ่ ดั จากกลุ่มดาวคนยิงธนูไปทาง ทิศตะวนั ออก ประกอบดว้ ยดาวฤกษ์เรียงตวั อย่างน้อย 9 ดวง เป็ นรูปสามเหลี่ยมด้านโคง้ มองเห็นได้ไม่ ชดั เจน ดวงอาทิตยจ์ ะโคจรผา่ นกลุ่มดาวมกรระหวา่ งวนั ท่ี 21 มกราคม ถึง 16 กุมภาพนั ธ์ กลุ่มดาวมกรจะอยู่ เหนือขอบฟ้า ต้งั แต่ข้ึนถึงลบั ขอบฟ้านานประมาณ 10 ชว่ั โมง

10. กลุ่มดาวคนแบกหม้อนา้ ( AQUARIUS ) – ราศีกุมภ์ (13 กุมภาพนั ธ์ - 13 มนี าคม) กลุ่มดาวคนแบกหมอ้ น้า เป็นกลุ่มดาวจกั รราศีท่ีอยทู่ างซีกฟ้าดา้ นใต้ อยถู่ ดั จากกลุ่มดาวมกรไปทาง ทิศตะวนั ออก ประกอบไปดว้ ยดาวฤกษแ์ สงริบหรี่อยา่ งนอ้ ย 13 ดวงมองเห็นไดไ้ ม่ชดั เจนนกั ดวงอาทิตยจ์ ะ ผา่ นกลุ่มดาวน้ีระหวา่ งวนั ท่ี 16 กมุ ภาพนั ธ์ ถึง 13 มีนาคมปรากฏอยบู่ นทอ้ งฟ้านานประมาณ 10 ชว่ั โมง กลุ่มดาวคนแบกหมอ้ น้า เป็ นกลุ่มดาวอนั ดบั ท่ีสิบเอ็ดของกลุ่มดาวจกั รราศีเป็ นกลุ่มดาวที่ค่อนขา้ งหายาก เนื่องจากไม่มีดาวฤกษด์ วงใด ในกลุ่มท่ีมีความสวา่ งปรากฏสวา่ งกวา่ 2.9 เลย คนโบราณเห็นเป็ นรูปคนแบก หมอ้ น้ากาลงั เทน้าลงในแม่น้า Fluvius Aquarii ซ่ึงหมายถึง The River of Aquarius ซ่ึงสายน้าจะไหล ผ่าน กลุ่มดาวปลาทางใต้ (Piscis Austrinus) ที่มีดาวฤกษส์ ุกสวา่ งคือ ดาวโฟมาลออท (Fomalhaut) ข้ึนไปสูงสุด กลางทอ้ งฟ้าประมาณเท่ียงคืนของปลายเดือนสิงหาคม ตน้ เดือนกนั ยายน มีดาวที่สาคญั ดงั น้ี Sadalmelik เป็น ดาวฤกษส์ ีเหลือง มีความสวา่ งประมาณ 2.96 อยหู่ ่างจากโลกประมาณ 756 ปี แสง อยใู่ นตาแหน่งไหล่ขวาของคน แบกหมอ้ น้าช่ือดาวมาจากภาษาอารบิกหมายถึงดาวโชคดีของกษตั ริย์(theLucky Statsof theKing) Sadalsuud เป็น ดาวฤกษส์ ีเหลือง มีความสวา่ งประมาณ 2.91 อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 612 ปี แสง อยูใ่ นตาแหน่งไหล่ซ้าย

ของคนแบกหมอ้ น้า ช่ือดาว มาจากภาษาอารบิก หมายถึง โชคดีท่ีสุดของความโชคดี (the Luckiest of the Lucky) NGC7293 - The Helix Nebula เป็ นเนบิวลาดวงดาว(Planetary Nebula) ที่อยูใ่ กลด้ วงอาทิตยข์ องเรา ท่ีสุดมีความสว่างประมาณ 6 มองเห็นไดด้ ้วยกลอ้ งสองตาโดยจะมีขนาดราวเส้นผ่านศูนยก์ ลางของดวง จนั ทร์ ห่างจากโลกประมาณ 300 ปี แสง นิทานดาว ชาวบาบิโลเนียนโบราณ ประมาณ 2000 ปี ก่อนคริสตศกั ราช มองเห็นเป็นรูปหมอ้ น้า ท่ีมีน้าลน้ ออกมา และแทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ ของคนแบกหมอ้ น้า (Aquarius) ซ่ึงในเดือนที่ 11 ของชาวบาบิโล เนียน (หรือระหวา่ งเดือนมกราคม-กมุ ภาพนั ธ์) จะเป็นช่วงท่ีฝนตกหนกั ในรอบปี ส่วนชาวอียิปตโ์ บราณ เห็น เป็นรูปเทพเจา้ Hapi ซ่ึงเป็นเทพเจา้ แห่งแมน่ ้าไนล์ ซ่ึงเป็นผใู้ หน้ ้า เพือ่ การดารงชีวติ ของมนุษยโ์ ลก 11. กล่มุ ดาวปลาคู่ ( PISCES ) – ราศีมีน (14 มนี าคม - 12 เมษายน) กลุ่มดาวปลาคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยทู่ างเหนือของเส้นศูนยส์ ูตรฟ้า ปลาตวั หน่ึงอยูถ่ ดั จากสี่เหลี่ยมของ กลุ่มดาวมา้ มีปี กไปทางใต้ อีกตวั หน่ึงอยถู่ ดั ไปทางทิศตะวนั ออก ประกอบดว้ ยดาวฤกษแ์ สงริบหร่ีอยา่ งนอ้ ย 15 ดวง ดวงที่ 1 ถึง 6 เป็ นปลาตวั แรก และ ดวงท่ี 14 ถึง 15 เป็ นปลาตวั ที่ 2 ดวงอาทิตยจ์ ะผ่านกลุ่มดาวน้ี ระหวา่ งวนั ที่ 13 มีนาคม ถึง 19 เมษายน ดวงอาทิตยจ์ ะอยบู่ นเส้นศูนยส์ ูตรฟ้าในวนั ท่ี 21 มีนาคม ซ่ึงอยใู่ น กลุ่มดาวปลาคู่ วนั น้ีจะเป็ นวนั ท่ีดวงอาทิตย์ข้ึนตรงจุดตะวนั ออกพอดี และ ตกตรงจุดตะวนั ตกพอดี เรียกวา่ วนั อิควนิ อกซ์ ( EQUINOX ) ซ่ึงกลางวนั จะยาวนานเท่ากบั กลางคืน กลุ่มดาวปลาคู่จะปรากฏอยูบ่ น ฟ้านานราว 9 ชวั่ โมง

ใบงาน ดาราศาสตร์เพ่ือชีวติ ดวงดาวกบั ชีวติ 1. ใหผ้ เู้ รียนบอกรูปสัญลกั ษณ์กลุ่มดาวจกั ราศี ราศี สัญลกั ษณ์กลุ่มดาว เมษ พฤษภ เมถุน ราศี กรกฎ สิงห์ กนั ย์ ตุล พิจิก ราศี สญั ลกั ษณ์กลุ่มดาว ธนู มงั กร กุมภ์ มีน 2.ดาวฤกษค์ ือ อะไร มนุษยไ์ ดป้ ระโยชน์จากดาวฤกษ์ และ กลุ่มดาวในดา้ นใดบา้ ง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

เฉลยใบงาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ รูปกลุ่มดาวสัญลกั ษณ์ เรื่อง ดวงดาวเพื่อชีวติ แกะ ววั 1.บอกรูปดาวสัญลกั ษณ์กลุ่มดาว คนคู่ ตอบ ปู ราศี เมษ หญิงสาว พฤษภ หญิงสาว เมถุน คนั ชง่ั กรกฎ แมงปอง สิงห์ คนยง่ิ ธนู กนั ย์ แพะทะเล ตุล คนแบกหมอ้ น้า พิจิก ธนู ปลา มงั กร กุมภ์ มีน 2.ดาวฤกษ์ คือ ตอบ - ดาวที่มีแสงสวา่ งและความร้อนในตวั เอง ส่องแสงกระพริบ เป็นดาวประจาในทอ้ งฟ้าทว่ั ไป มีขนาดใหญ่ มกั มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร มีจานวนมากมายในทอ้ งฟ้า มกั อยรู่ วมกนั เป็ นกลุ่ม อยไู่ กลจากโลกมาก เม่ือส่อง ดว้ ยกลอ้ งโทรทรรศนจ์ ะเห็นเป็นจุดเล็กๆ คลา้ ยปลายเขม็ เช่นเดียวกบั เมื่อดูดว้ ยตาเปล่า - ประโยชน์จากดาวฤกษ์ คือ 1.การหาทิศ 2.การบอกเวลา

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มคี วามรู้ ความเข้าใจ การออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏบิ ตั ิการเรื่องไฟฟ้าได้อย่าง ถูกต้องและปลอดภัย รหัสวชิ า พว. 21001 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง วทิ ยาศาสตร์ช่องทางในการประกอบอาชีพ ระยะเวลา 6 ช่ัวโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ การออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเร่ืองไฟฟ้าไดอ้ ยา่ ง ถูกตอ้ งและปลอดภยั 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั อธิบาย การออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเร่ืองไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและ ปลอดภยั คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบขอ้ ดี ขอ้ เสียของการต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม แบบขนาน แบบผสม ประยกุ ต์ และเลือกใชค้ วามรู้ และ อาชีพช่างไฟฟ้า ใหเ้ หมาะสม กบั ดา้ นบริหารจดั การ และการบริการ 3.สาระสาคญั มีความรู้ ความเขา้ ใจ การออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเร่ืองไฟฟ้าได้ อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภยั คิด วเิ คราะห์ เปรียบเทียบขอ้ ดี ขอ้ เสียของการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม แบบขนาน แบบผสม ประยกุ ต์ และเลือกใชค้ วามรู้ และ อาชีพช่างไฟฟ้า ใหเ้ หมาะสม กบั ดา้ น บริหารจดั การและการบริการ และสามารถนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการดาเนินชีวติ 4.สาระการรียนรู้/เนื้อหา 1. ประเภทของไฟฟ้า 2. วสั ดุอุปกรณ์เครื่องมือช่างไฟฟ้า 3. วสั ดุอุปกรณ์ที่ใชใ้ นวงจรไฟฟ้า 4. การต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย 5. กฎของโอห์ม 6. การเดินสายไฟฟ้าอยา่ งง่าย 7. การใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าอยา่ งง่าย 8. ความปลอดภยั และอุบตั ิเหตุ จากอาชีพช่างไฟฟ้า

9. การบริหารจดั การและการบริการ 10. โครงงานวทิ ยาศาสตร์สู่อาชีพ 11. คาศพั ทท์ างไฟฟ้า 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบาย การออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเรื่องไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและ ปลอดภยั ได้ 2. คิด วเิ คราะห์ เปรียบเทียบขอ้ ดี ขอ้ เสียของการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม แบบขนาน แบบผสมได้ 3. ประยกุ ต์ และเลือกใชค้ วามรู้ และ อาชีพช่างไฟฟ้า ใหเ้ หมาะสมได้ 4. สามารถนาความรู้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการดาเนินชีวติ ประจาวนั ได้ 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) นาเขา้ สู่บทเรียน . - ครูและผเู้ รียนสนทนาร่วมกนั เตรียมความพร้อมแก่ผเู้ รียน . -แจง้ เน้ือหาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใหผ้ ูเ้ รียนทราบ ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) เขา้ สู่เน้ือหา - ผเู้ รียนแบ่งกลุ่มคน้ ควา้ เน้ือหาท่ีตนไดร้ ับมอบหมายและวเิ คราะห์เน้ือหาที่เรียน - ออกมานาเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรียน ตามใบกิจกรรม ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) -แลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาใบความรู้ แลว้ ทากิจกรรมในใบงาน -ครู และผู้เรี ยนร่ วมกันสรุ ปเน้ือหาที่เรี ยนท้ังหมด เพ่ือนาความรู้ไปใช้ใน ชีวติ ประจาวนั ไดจ้ ริง ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) - ประเมินจากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงาน การทดลองการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน

7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เตมิ ดังนี้ 7.1 ประเภทของไฟฟ้า 7.2 การต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย 7.3 กฎของโอห์ม 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว. 21001 8.3ใบความรู้ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล .9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การรายงาน

ใบความรู้ ชนิดของไฟฟ้า ไฟฟ้าสถติ (Statics Electricity) ไฟฟ้าสถิต เป็นกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเสียดสีของวตั ถุ 2 ชนิด คือแท่งแกว้ นามาขดั ถู กบั ผา้ ไหม จะมีผลทาให้ ทาให้ อิเล็กตรอนยา้ ยที่ แทง่ แกว้ จะมีอานาจไฟฟ้าดึงดูดวตั ถุเบา ๆ เช่น เศษกระดาษ หรือไฟฟ้าสถิตท่ีเกิดจากธรรมชาติ เช่น ฟ้าแลบ็ ฟ้าร้อง ฟ้าผา่ ไฟฟ้ากระแส (Current Electricity) คือแหล่งกาเนิดไฟฟ้าที่มนุษยส์ ามารถผลิตข้ึนมาเพื่อใชง้ านดา้ นต่างๆไดอ้ ยา่ งมากมายโดย การส่งกระแสไฟฟ้าใหเ้ คลื่อน ที่ ไปในลวดตวั นา แบง่ ออกเป็น 2 ชนิดคือไฟฟ้ากระแสตรง( Direct Current) ไฟฟ้ากระแสสลบั (Alternation Current) 2.1 ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) ไฟฟ้ากระแสตรงน้ีจะมีทิศทางการไหลไปในลวดตวั นาเพียงทิศทางเดียวโดยกระแสไฟฟ้าจะไหล จากข้วั ลบไปยงั ข้วั บวก เสมอ เราเรียกวา่ กระแสอิเล็กตรอน (Electron - Current) แต่เรานิยมให้ กระแสไฟฟ้าไหลจากข้วั บวกไปหาข้วั ลบ เราเรียกวา่ กระแสนิยม (Conventional- Current) แหล่งกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรงน้นั มีตน้ กาเนิดมาจากเซลไฟฟ้าเช่นถ่านไฟฉายและเบตเตอร่ี รถยนต์ เซลไฟฟ้า คือตน้ กาเนิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าท่ีใชป้ ฏิกิริยาทางเคมี แบ่งตามลกั ษณะการใช้ งาน ได้ 2 ชนิดคือ 1. เซลปฐมภูมิ (Primary Cell) คือเซลไฟฟ้าท่ีนามาใชง้ านจนหมดสภาพแลว้ เราไม่สามารถ นามาใชไ้ ดอ้ ีก เช่น ถ่านไฟฉาย

2. เซลทุตยิ ภูมิ (SecondaryCell) แบตเตอรี่แบบสะสมคือเซลไฟฟ้าที่นามาใชง้ านแลว้ สามารถนา กลบั มาใชใ้ หม่ ไดอ้ ีก โดยการเติมประจุ (Charge) เขา้ ท่ีเซลลไ์ ฟฟ้าน้ี เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ หรือถ่านนิเกิล แคดเมี่ยมท่ีใชก้ บั โทรศพั ทม์ ือถือ 2.2 ไฟฟ้ากระแสสลบั (Alternation Current) เป็นกระแสไฟฟ้าท่ีมีการไหลเปล่ียนแปลงอย่ ตลอดเวลาคือมีท้งั ข้วั บวกและข้วั ลบ สลบั กนั โดยหลกั การพ้นื ฐานแลว้ กระแสไฟฟ้าสลบั น้ีเกิด จาก การเหนี่ยวนาของสนามแม่เหลก็ ตดั กบั ขดลวด โดยการ นาเอาขดลวดไปวางไวร้ ะหวา่ ง

สนามแมเ่ หล็กและหมุนขดลวดน้นั แลว้ ใชเ้ ทคนิคในการต่อข้วั ท้งั สองของขดลวดออก มาเราก็ สามารถบงั คบั ใหก้ ระแสไฟฟ้าสลบั ออกมาใชง้ านได้ ทิศทางของแรงเคลื่อนไฟฟ้าท่ีเกิดข้ึนในขดลวด จะเปลี่ยนแปลงไปตามการหมุนซ่ึงตรวจดู ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งมุมที่ขด ลวดกบั ขนาดทิศทางของแรงเคลื่อนไฟฟ้าท่ีเกิดข้ึน จะไดผ้ ลดงั รูป เมื่อขดลวดอยใู่ นตาแหน่ง (a)กาหนดใหเ้ ป็นมุม 0 องศาและกาหนดใหข้ ดลวดหมุนไปตามทิศทาง ของลูกศรในรูปเมื่อขดลวดอยู่ 0องศาขดลวดไม่ไดต้ ิดฟลกั ซ์แม่เหลก็ แรงเคล่ือนไฟฟ้าจะเป็น0 เมื่อขดลวด หมุนไปอยทู่ ี่ 30 องศา และ 60 องศาแรงเคลื่อนไฟฟ้าจะมีคา่ สูงข้ึนและมีกระแสไหลจาก A ไป B ถา้ กาหนดใหท้ ิศดงั กล่าวเป็ นบวกทิศของแรงเคล่ือนไฟฟ้าซ่ึงเป็นบวกดว้ ยเมื่อขดลวดมาอยตู่ าแหน่งท่ี (b) คือ 90 องศา ขดลวด A จะอยใู่ ตแ้ ม่เหลก็ S พอดีแรงเคลื่อนไฟฟ้าจะมีคา่ สูงสุดเม่ือขดลวดหมุนไปท่ี 120 องศา และ 150 องศาแรงเคล่ือนไฟฟ้าจะมีค่าลดลงและจะเป็น 0 เม่ือขดลวดอยใู่ นตาแหน่ง (c ) คือท่ี 180 องศา เมื่อ เลย 180องศาไปจะเกิดแรงเคล่ือนไฟฟ้าข้ึนอีกแตม่ ีทิศทางกลบั กนั กระแสจะไหลจาก B ไป A เมื่อขดลวด หมุนไปเร่ือยๆกจ็ ะไดข้ นาดและทิศทางของแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหมือนรูปขา้ งตน้

ใบงาน เร่ือง วทิ ยาศาสตร์ช่องทางในการประกอบอาชีพ ใหน้ กั เรียน ตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ไฟฟ้าสถิต (Statics Electricity) คืออะไร .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ไฟฟ้ากระแส (Current Electricity) คืออะไร .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

เฉลยใบงาน วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง วทิ ยาศาสตร์ช่องทางในการประกอบอาชีพ 1. ไฟฟ้าสถติ (Statics Electricity) คือ กระแสไฟฟ้าท่ีเกิดจากการเสียดสีของวตั ถุ 2 ชนิด คือแทง่ แกว้ นามาขดั ถูกบั ผา้ ไหม จะมีผลทาให้ ทาให้ อิเลก็ ตรอนยา้ ยที่ แท่งแกว้ จะมีอานาจไฟฟ้าดึงดูด วตั ถุเบา ๆ เช่น เศษกระดาษ หรือไฟฟ้าสถิตท่ีเกิดจากธรรมชาติ เช่น ฟ้าแล็บ ฟ้าร้อง ฟ้าผา่ 2. ไฟฟ้ากระแส (Current Electricity) คือ แหล่งกาเนิดไฟฟ้าท่ีมนุษยส์ ามารถผลิตข้ึนมาเพื่อใชง้ าน ดา้ นตา่ งๆไดอ้ ยา่ งมากมายโดยการส่งกระแสไฟฟ้าใหเ้ คล่ือน ท่ี ไปในลวดตวั นา แบง่ ออกเป็ น 2 ชนิดคือ ไฟฟ้ากระแสตรง( Direct Current) ไฟฟ้ากระแสสลบั (Alternation Current)

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ การสังเกต พจิ ารณาสิ่งทผ่ี นั แปรเปล่ยี นแปลงในภูมภิ าคต่าง ๆ ของทวปี เอเชีย รหสั วชิ า สค 21001 รายวชิ า สังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ภูมศิ าสตร์กายภาพทวปี เอเชีย ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ความเขา้ ใจตระหนกั ถึงความสาคญั เกี่ยวกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใชใ้ นการดารงชีวติ 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1.สามารถอธิบายลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของประเทศในทวปี เอเชียได้ 2.ทาใหม้ ีความรู้ทางดา้ นภูมิศาสตร์กายภาพ และสามารถเขา้ ใจสภาพกายภาพของโลกวา่ มี องคป์ ระกอบและมีการเปลี่ยนแปลงท่ีมีผลตอ่ สภาพความเป็นอยขู่ องมนุษยอ์ ยา่ งไรบา้ ง 3.สามารถอธิบายวธิ ีการใชแ้ ละประโยชน์ของเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ได้ 4.สามารถอธิบายความสมั พนั ธ์ของสภาพภูมิศาสตร์กายภาพของไทย ท่ีส่งผล ตอ่ ทรัพยากรตา่ ง ๆ และส่ิงแวดลอ้ มได้ 5.สามารถอธิบายความสัมพนั ธ์ของการดารงชีวิต ใหส้ อดคลอ้ งกบั ทรัพยากรในประเทศ ไทย และประเทศในทวปี เอเชียได้ 3.สาระสาคญั ภูมิศาสตร์กายภาพ เป็นวชิ าที่เกี่ยวขอ้ งกบั ลกั ษณะการเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดลอ้ มทาง กายภาพ ที่อยรู่ อบตวั มนุษย์ ท้งั ส่วนท่ีเป็นธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาคและชีวภาค ตลอดจน ความสัมพนั ธ์ทางพ้ืนท่ีของสิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพตา่ ง ๆ ในการศึกษาภูมิศาสตรกายภาพทวปี เอเชีย ทาใหส้ ามารถวเิ คราะห์เหตุผลประกอบกบั การ สังเกต พจิ ารณาส่ิงท่ีผนั แปรเปล่ียนแปลงในภูมิภาคต่าง ๆ ของทวปี เอเชียไดเ้ ป็ นอยา่ งดี การศึกษา ภูมิศาสตร์กายภาพแผนใหม่ ตอ้ งศึกษาอยา่ งมีเหตุผล โดยอาศยั หลกั เกณฑท์ างภูมิศาสตร์หรือ หลกั เกณฑท์ างสถิติ ซ่ึงเป็นขอ้ เทจ็ จริงในแขนงวชิ าท่ีเกี่ยวขอ้ ง 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา ภูมิศาสตร์กายภาพทวปี เอเชีย 1. ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของประเทศต่าง ๆ ในทวปี เอเชีย 2. หลกั การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิศาสตร์กายภาพ 3. เครื่องมือทางภูมิศาสตร์

4. ทรัพยากรธรรมขาติของทวปี เอเซีย 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. มีความรู้ ความเขา้ ใจ ลกั ษณะภูมิศาสตร์กายภาพของประเทศต่างๆ ในทวปี เอเชีย 2. มีความรู้ ความเขา้ ใจ การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิศาสตร์กายภาพที่ส่งผลกระทบต่อวถิ ี ชีวติ ความเป็ นอยขู่ องประชากรไทย และประเทศต่างๆ ในทวปี เอเชีย 3. มีทกั ษะในการใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนท่ี ลูกโลก Website ดาวเทียม GIS GPRS ฯลฯ 4.มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ความสัมพนั ธ์ของสภาพภูมิศาสตร์กายภาพ 5. สามารถนาความรู้เก่ียวกบั ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยและทวปี เอเชียมาปรับใช้ ในการดารงชีวติ และความมนั่ คงของชาติ 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 ครูทกั ทายผเู้ รียน พูดคุยในเร่ืองภูมิศาสตร์ของประเทศเพือ่ นบา้ น และสอบถามผเู้ รียน วา่ ใครรู้จกั ประเทศเพอื่ นบา้ นที่มีความน่าสนใจประเทศใดบา้ ง และมีประเทศใดบา้ งท่ีเป็น สมาชิกอยใู่ นกลุ่มประชาคมอาเซียน ร่วมกนั แสดงความคิดเห็นถึงแนวทางการดาเนินงานของ กลุ่มประเทศอาเซียนรวมไปถึงการสอบถามถึงความพร้อมของตวั ผเู้ รียน เช่น ภาษา อาชีพ ประเพณี และวฒั นธรรม 6.2 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั อภิปรายถึงเคร่ืองมือท่ีใชท้ างภูมิศาสตร์ โดยสอบถามจากผเู้ รียนวา่ มีอะไรบา้ ง และมีการนาไปใช้ ข้นั ท่ี 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.3 ครูนาส่ือการเรียนประกอบดว้ ย แผนที่ ลูกโลก Website ขอ้ มูล GIS GPRS ใหผ้ เู้ รียน ไดท้ ดลองใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ แบ่งกลุ่มตามประเภทของเคร่ืองมือ กลุ่มละ 5 – 7 คน เพ่อื นาเสนอภูมิศาสตร์ ภาษา อาชีพ ประเพณี และวฒั นธรรมของประเทศเพอื่ นบา้ น 6.4 ใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ เพิ่มเติมจาก ใบความรู้ หนงั สือแบบเรียน และใน Internet 6.5 ครูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนทาใบงาน ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 6.6 ผเู้ รียนส่งตวั แทนของแต่ละกลุ่มมานาเสนอเก่ียวกบั ภูมิศาสตร์ ภาษา อาชีพ ประเพณี และวฒั นธรรมของประเทศเพือ่ นบา้ น 6.7 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปใจความสาคญั แลว้ บนั ทึกขอ้ มูลลงในสมุดของผเู้ รียนแต่ละคน และแจกใบงาน

ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.10 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปองคค์ วามรู้จากการนาเสนอผลงานของผเู้ รียน 6.11 ผเู้ รียนนาความรู้ท่ีไดจ้ ากการสรุปองคค์ วามรู้ไปใชใ้ นการปรับปรุง แกไ้ ข ขอ้ บกพร่อง ของตนเอง 6.12 ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนจากผลงาน ใบงาน ตามสภาพความเป็ นจริง และ ธรรมชาติของผเู้ รียน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เตมิ ดังนี้ 7.1 ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของประเทศในทวปี เอเชีย 7.2 วธิ ีการใชแ้ ละประโยชนข์ องเคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ 7.3 องคป์ ระกอบและมีการเปลี่ยนแปลงท่ีมีผลตอ่ สภาพความเป็นอยขู่ องมนุษย์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ า สค 21001 สังคมศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 ส่ือส่ิงพิมพ์ 9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมีส่วนรวม

ใบความรู้ เร่ือง ภูมศิ าสตร์ทางกายภาพทวปี เอเชีย ทวปี เอเชีย เอเชีย (Asia) มาจากคาวา่ อาซู (Asu) ในภาษาอสั ซีเรียน แปลวา่ ดนิ แดนแห่งดวงตะวนั ขนึ้ (ตะวนั ออก) ใชเ้ รียกดินแดนท่ีอยทู่ างตะวนั ออกของอาณาจกั รอสั ซีเรียนมาต้งั แต่สมยั กรีกและโรมนั เอเชียไดช้ ื่อวา่ เป็นทวีปแห่งความแตกต่าง หรือทวปี แห่งความตรงข้าม (a continent of contrast) หรือ ทวปี แห่งความเป็ นทสี่ ุด (a continent of extremes) มียอดเขาเอเวอเรสตใ์ นเทือกเขาหิมาลยั สูงท่ีสุดในโลก สูง 8,848 เมตร (2,928 ฟุต) มีพ้ืน แผน่ ดินท่ีต่าท่ีสุดคือ ทะเลเดดซี อยตู่ ่ากวา่ ระดบั น้าทะเล 400 เมตร (1,312 ฟุต) และเหวทะเลมาเรียนาซ่ึงลึกที่สุดใน โลก มีอากาศหนาวเยน็ ท่ีสุด ไดแ้ ก่ตอนเหนือของไซบีเรีย มีอากาศร้อนและแหง้ แลง้ ท่ีสุดจนเป็ นทะเลทรายที่เอเชีย ตะวนั ตกเฉียงใต้ และมีฝนตกชุกที่สุดในแควน้ อสั สมั ของอินเดีย นอกจากน้ียงั เป็นทวปี ท่ีมีประชากรมากท่ีสุดใน โลก และส่วนใหญอ่ าศยั อยใู่ นเขตชนบท และมีความหนาแน่นมากกวา่ ทุกทวปี ขณะที่เขตทะเลทรายในเขตเอเชียแทบ ไม่มีผคู้ นอาศยั อยเู่ ลย ความเป็นอยขู่ องประชากรกม็ ีความแตกตา่ งกนั มากต้งั แตฐ่ านะดีจนถึงยากจนแร้นแคน้ เอเชียจึง ไดช้ ื่อวา่ เป็ นทวปี แห่งความแตกตา่ ง ทต่ี ้งั และอาณาเขตของทวปี เอเชีย ทศิ เหนือ ติดต่อกบั มหาสมุทรอาร์กติก ในทะเลาคารา ทะเลลฟั เตฟ และทะเลไซีบีเรียตะวนั ออก

จุดเหนือสุด คือแหลมชิลยสู กิน ประเทศสหพนั ธรัฐรัสเซีย ที่ละติดจูด 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ มีเกาะขนาดใหญ่ทางตอนเหนือไดแ้ ก่ เกาะเซเวอร์นายาเซมลีอาหมู่เกาะนิวไซบีเรีย และเกาะแรงเจล ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกบั มหาสมุทรแปซิฟิ ค ในเขตทะเลเบริง ทะเลโอคอต ทะเลญี่ป่ ุน ทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวนั ออก และทะเลจีนใต้ โดยมีคาบสมุทรเบรอง คาบสมุทรคามชตั กา และคาบสมุทรเกาหลี เป็น ส่วนของแผน่ ดินดา้ นน้ี จุดตะวนั ออกสุดอยทู่ ี่ อีสตเ์ คป ประเทศรัสเซีย ท่ีลองติจูด 169 องศา 40 ลิปดาตะวนั ตก เกาะใหญ่ ไดแ้ ก่ เกาะแซคาลิน เกาะฮอนชู เกาะฮอกไกโด และเกาะชิโกกุ เกาะคิวชู เกาะไตห้ วนั และเกาะลู ซอน ละติจูดที่ 1 องศา 16 ลิปดาเหนือ - 37 องศา 41 ลิปดาเหนือ ทศิ ใต้ ติดต่อกบั มหาสมุทรอินเดีย น่านน้าทางตอนใต้ ไดแ้ ก่ อา่ วเบงกอล ทะเลอาหรับ อา่ ว เปอร์เซีย และอ่าวเอเดน จุดใต้สุดของภาคพืน้ ทวปี อยทู่ ี่ แหลมปิ ไอ ประเทศมาเลเซีย ท่ีละติจูด 1 องศา 15 ลิปดา ซ่ึงอยหู่ ่าง เส้นศูนยส์ ูตรประมาณ 150 ก.ม. เกาะใหญท่ างทิศใตข้ องทวปี เอเชียไดแ้ ก่ เกาะลงั กา เกาะบอร์เนียว เกาะสุ มาตรา เกาะชวา ซ่ึงเป็ นเกาะท่ีอยใู่ ตส้ ุด บริเวณละติจูดที่ 8 องศาใต้ ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั ทะเลแดง คลองสุเอช ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดา เทือกเขาคอเคซสั ทะเล แคสเปี ยน และเทือกเขาอูราล จุดตะวนั ตกสุด อยทู่ ี่ แหลมบาบา ประเทศตุรกี ท่ีลองติจูด26 องศา 40 ลิปดาตะวนั ออก เกาะใหญ่ ไดแ้ ก่ เกาะไซปรัส ขนาด รูปร่าง เอเชียเป็ นทวปี ที่ใหญท่ ี่สุดมีเน้ือที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพ้ืนแผน่ ดินผวิ โลกท้งั หมด มีเน้ือที่ ประมาณ 44,391,132ตร.ก.ม.(17,139,455 ตร.ไมล)์ หรือ 30 %ของโลก มีขนาดใหญ่กวา่ ทวปี ออสเตรเลียซ่ึง เป็นทวปี ท่ีเลก็ ท่ีสุดประมาณ 5เทา่ แตม่ ีประชากรมากกวา่ ถึง 120 เทา่ มีความกวา้ งจากตะวนั ออกไปตะวนั ตก ยาว 9,600 ก.ม. ระยะทางจากเหนือสุดถึงใตส้ ุดของทวปี ประมาณ 6,500 ก.ม.

โครงสร้างทางธรณวี ิทยา 1) เขตหินเก่า มี 3 บริเวณคือ 1.ท่ีราบสูงภาคเหนือในเขตสหภาพโซเวยี ต(เดิม) 2.บริเวณท่ีราบสูงอาหรับในซาอุดิอาระเบีย 3.บริเวณท่ีราบสูงเดคคานในอินเดีย 2.) เขตหินใหม่ เร่ิมจากแนวเทือกเขาในประเทศตุรกี ผา่ นเอเชียใต้ เอเชียตะวนั ออก และเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ ซ่ึงประกอบดว้ ยที่ราบสูง เทือกเขา และหมูเ่ กาะตา่ งๆ เขตน้ีพ้ืนโลกมีความออ่ นตวั มากจึง มี ภูเขาไฟ และแผน่ ดินไหวเสมอ ทวปี เอเชีย แบ่งออกเป็ น 5 ภูมภิ าค ได้แก่ 1. เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ 2. เอเชียใต้ 3. เอเชียตะวนั ออก 4. เอเชียตะวนั ตกเฉียงใต้ 5. เอเชียกลาง ลกั ษณะภูมปิ ระเทศของทวปี เอเชีย

ลกั ษณะภูมิประเทศของทวปี เอเชีย ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ แบ่งออกเป็ น 6 เขต คือ 1. เขตที่ราบต่าทางเหนือ คือบริเวณตอนบนของทวปี ซ่ึงอยใู่ นเขตสหภาพโซเวยี ต(เดิม)ในเขต ไซบีเรียส่วนใหญ่เป็นเขตโครงสร้างหินเก่า ท่ีเรียกวา่ แองการาชีลดม์ ีลกั ษณะภูมิประเทศเป็นท่ีราบขนาด ใหญ่ มีแมน่ ้าออ็ บ แมน่ ้าเยนิเซ และแมน่ ้าลีนาไหลผา่ น บริเวณมีอาณาเขตกวา้ งขวางมากไมค่ อ่ ยมีผคู้ นอาศยั อยเู่ พราะอากาศหนาวเยน็ มาก 2. เขตที่ราบลุ่มแม่น้า ไดแ้ ก่ดินแดนแถบลุ่มแม่น้าต่างๆซ่ึงมีลกั ษณะภูมิประเทศเป็นท่ีราบและมกั มีดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ไดแ้ ก่ - ในเอเชียตะวนั ออกไดแ้ ก่ท่ีราบลุ่มแม่น้าฮวงโห ที่ราบลุ่มแม่น้าแยงซีเกียงในประเทศจีน - ในเอเชียใต้ ไดแ้ ก่ ที่ราบลุ่มแมน่ ้าสินธุในประเทศปากีสถาน ที่ราบลุ่มแม่น้าคงคาในประเทศอินเดีย และท่ี ราบลุ่มแม่น้าพรหมบุตร ในบงั คลาเทศ - เอเชียตะวนั ตกเฉียงใต้ ไดแ้ ก่ท่ีราบลุ่มแม่น้าไทกรีส ที่ราบลุ่มแมน่ ้ายเู ฟรตีส ในประเทศอิรัก - เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ไดแ้ ก่ ที่ราบลุ่มแมน่ ้าโขงตอนล่าง ในประเทศกมั พูชาและเวยี ดนามที่ราบลุ่มแมน่ ้า แดงในประเทศเวยี ตนาม ท่ีราบลุ่มแมน่ ้าเจา้ พระยาในประเทศไทยที่ราบลุ่มแม่น้าสาละวนิ ตอนล่างที่ราบลุ่ม แม่น้า อิระวดี ในประเทศพม่า 3. เขตเทือกเขาสูง เป็นเขตหินใหม่ ตอนกลางประกอบดว้ ยที่ราบสูงและเทือกเขามากมายส่วน ใหญเ่ ป็นเทือกเขาที่แยกตวั ไปจากจุดรวมเทือกเขาท่ีเรียกวา่ “ปามีร์นอต(Pamir Knot)”หรือภาษาพ้นื เมือง เรียกวา่ “ปามีร์ดุนยา(PamirDunya) แปลวา่ หลงั คาโลก” จุดรวมเทือกเขาปาร์มีนอต อาจแยกไดด้ งั น้ี เทือกเขาที่แยกไปทางทิศตะวนั ออก ไดแ้ ก่ เทือกเขาหิมาลยั เทือกเขาอาระกนั โยมา และเทือกเขาท่ีมีแนวต่อ ลงมาทางใต้ มีบางส่วนท่ีจมหายไปในทะเลและบางส่วนโผล่พน้ ข้ึนมาเป็ นเกาะในมหาสมุทร อินเดีย และ มหาสมุทรแปซิฟิ คถดั จากเทือกเขาหิมาลยั ไปทางเหนือ มีเทือกเขาที่แยกไปทางตะวนั ออก ไดแ้ ก่เทือกเขาคุน ลุน เทือกเขานานชานและแนวที่แยกไปทางตะวนั ออกเฉียงเหนือไดแ้ ก่ เทือกเขาเทียนชานเทือกเขาคินแกน เทือกเขายาโบลนอย เทือกเขาสตาโนวอยและเทือกเขาโกลีมา เทือกเขาที่แยกไปทางทิศตะวนั ตก แยกเป็ น แนวเหนือและแนวใต้ ไดแ้ ก่เทือกเขาฮินดูกูช เทือกเขาเอลบูรซ ส่วนแนวทิศใต้ ไดแ้ ก่ เทือกเขาสุไลมาน เทือกเขาซากรอส เม่ือเทือกเขา2แนวน้ีมาบรรจบกนั ที่อาร์เมเนียนนอตแลว้ ยงั แยกออกเป็นอีก2แนว ในเขต ประเทศตุรกี คือแนวเป็ นเทือกเขาปอนติกและแนวใตเ้ ป็ นเทือกเขาเตารัส 4. เขตท่ีราบสูงตอนกลางทวปี เป็นที่ราบสูงในเขตหินใหม่ ไดแ้ ก่ ท่ีราบสูงทิเบตซ่ึงมีขนาดใหญ่ และสูงท่ีสุดในโลกที่ราบสูงยนู าน ทางใตข้ องจีน และที่ราบสูงที่มีลกั ษณะเหมือนแอ่งคือ ท่ีราบสูงตากลามา กนั (Takla Makan)ซ่ึงอยรู่ ะหวา่ งเทือกเขาเทียนชาน กบั เทือกเขาคุนลุนแต่อยสู่ ูงจากระดบั น้าทะเลมาก และมี อากาศแหง้ แลง้ เป็ นเขตทะเลทราย 5. เขตที่ราบสูงทางตอนใตแ้ ละตะวนั ตกเฉียงใต้ ไดแ้ ก่ที่ราบสูงขนาดใหญท่ างตอนใตข้ องทวปี เอเชียมีความสูงนอ้ ยกวา่ ที่ราบสูงทางตอนกลางของทวปี ไดแ้ ก่ ท่ีราบสูงเดคคานในอินเดีย ท่ีราบสูงอิหร่าน

ในอิหร่านและอฟั กานิสถาน ที่ราบสูงอนาโตเลีย ในตุรกีท่ีราบสูงอาหรับในซาอุดิอาระเบีย 6. เขตหมู่เกาะภูเขาไฟเป็นเขตหินใหม่ คือบริเวณหมู่เกาะอนั เป็นท่ีต้งั ของภูเขาไฟท้งั ที่ดบั แลว้ และที่ยงั คุกรุ่นอยใู่ นเอเชียตะวนั ออกและเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ปัจจยั ทม่ี อี ทิ ธิพลต่อลกั ษณะภูมอิ ากาศ 1. ทตี่ ้งั ทวปี เอเชียเป็นดินแดนที่ต้งั อยใู่ นซีกโลกเหนือ คือ จากเขตศูนยส์ ูตรถึงข้วั โลก ทาใหท้ วปี เอเชียมีลกั ษณะภูมิอากาศทุกชนิดต้งั แต่เขตร้อนถึงเขตหนาวเยน็ แบบข้วั โลก 2. ขนาด

เอเชียเป็ นทวีปที่มีขนาดกวา้ งใหญ่มาก โดยมีเส้นศูนย์สูตรเส้นทรอปิ คออฟแคนเซอร์และเส้น อาร์กติกเซอร์เคิลลากผา่ นลกั ษณะเช่นน้ีแสดงวา่ ทวปี เอเชียมีท้งั อากาศร้อน อบอุ่น หนาว 1. ความใกล้ -ไกลทะเล ทวีปเอเชียมีดินแดนบางส่วนที่อยู่ติดทะเลทาให้ได้รับความชุมช้ืนจากทะเล บางส่วนที่ห่างไกล ทะเลอิทธิพลพ้ืนน้าไม่สามารถเข้าถึงภายในทวีปได้อย่างทัว่ ถึง ภายในทวีปจึงมีอากาศรุนแรง คือ อากาศร้อนจดั และฤดูหนาว หนาวจดั ในขณะท่ีชายทะเลมีอากาศในตอนกลางวนั และกลางคืน และระหวา่ ง ฤดูกาลแตกต่างกนั ไมม่ ากนกั 2. ความสูงตา่ ของพืน้ ท่ี เอเชียมีภูมิประเทศสูงต่าต่างกนั อยา่ งมาก ทาใหล้ กั ษณะอากาศต่างกนั ท้งั ที่อยูใ่ นละติจูดเดียวกนั เช่น เขตที่ ราบเมืองเดลี ต้งั อยลู่ ะติจูดที่ 28 องศาเหนือ ไม่เคยมีหิมะเลย แต่ท่ี ยอดเขาดวั กากีรี ซ่ึงสูง8,172 เมตร (26,810 ฟุต) และยอดเขาหิมาลยั ซ่ึงอยใู่ นละติจูดเดียวกนั กลบั มีหิมะและน้าแขง็ ปกคลุมตลอดปี 3. ลมประจาทพี่ ดั ผ่าน รูปภาพจาก http://203.172.208.242/tatalad/.../atm_pressure.htm มีลมประจาท่ีพดั ผา่ นเอเชียหลายชนิด เช่น 1 ลมประจาฤดู เช่น ลมมรสุม ซ่ึงมีอิทธิพลต่อเอเชียมาก คือ - ลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ พดั ผา่ นทางตอนเหนือของทวปี ซ่ึงมีอากาศ หนาวเยน็ และแหง้ แลง้ ในฤดูหนาว - ลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ พดั ผา่ นมหาสมุทรอินเดีย ทาใหพ้ ดั พาความชุ่มช้ืนมาสู่ภาคพ้ืนทวปี ใน ช่วงฤดูฝน 2 พายหุ มุน เช่น ลมไตฝ้ ่ นุ ที่ก่อตวั ในมหาสมุทรแปซิฟิ ค พายไุ ซโคลน ท่ีก่อตวั ในมหาสมุทรอินเดีย

4. กระแสนา้ รูปภาพจาก http://www.pingbook.com/board/lofiversion/index.php/t34498-3100.html มีกระแสน้าเยน็ โอยาชิโว ไหลผา่ นฝ่ังตะวนั ตกของญี่ป่ ุน และชายฝ่ังตะวนั ออกของประเทศ มีกระแสน้าอุน่ กุโรชิโว ไหลผา่ น ทาใหช้ ายฝั่งตะวนั ออกของญ่ีป่ ุนมีอากาศอบอุ่นกวา่ ฝ่ังตะวนั ตก เขตภูมอิ ากาศ 1. ภูมิอากาศแบบป่ าดิบชื้น เขตภูมิอากาศแบบป่ าดิบช้ืนอยูร่ ะหวา่ งละติจูดท่ี 10 องศาเหนือ ถึง 10 องศาใต้ ไดแ้ ก่ ภาคใตข้ องประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิ ลิปปิ นส์ มีความแตกต่าง ของอุณหภูมิระหวา่ งกลางวนั และกลางคืนไม่มากนกั มีปริมาณน้าฝน มากกวา่ 2,000 มิลลิเมตร (80 นิ้ว) ตอ่ ปี และมีฝนตกตลอดปี พืชพรรณธรรมชาติเป็ นป่ าดงดิบซ่ึงไมม่ ีฤดูที่ผลดั ใบและมีตน้ ไมห้ นาแน่นส่วนบริเวณปาก แมน่ ้าและชายฝ่ังทะเลมีพชื พรรณธรรมชาติเป็นป่ าชายเลน 2. ภูมอิ ากาศแบบมรสุมเขตร้อน หรือร้อนชื้นแถบมรสุม เป็นดินร้อนที่อยเู่ หนือ ละติจูด 10 องศาเหนือข้ึนไป มีฤดูแลง้ และฤดูฝนสลบั กนั ประมาณปี ละ เดือน ไดแ้ ก่ บริเวณ คาบสมุทรอินเดีย และคาบสมุทรอินโดจีน เขตน้ีเป็นเขตที่ไดร้ ับอิทธิพลของลมมรสุม ปริมาณ

น้าฝนจะสูงในบริเวณดา้ นตน้ ลม (Winward side) และมีฝนตกนอ้ ยในดา้ นปลายลม (Leeward side) หรือเรียกวา่ เขตเงาฝน(Rain shadow) พืชพรรณธรรมชาติเป็ นป่ ามรสุม หรือป่ าไมผ้ ลดั ใบในเขตร้อน พนั ธุ์ไมส้ ่วนใหญเ่ ป็นไมใ้ บ กวา้ ง และเป็นไมเ้ น้ือแขง็ ที่มีคา่ ในทางเศรษฐกิจ หรือป่ าเบญจพรรณ เช่น ไมส้ กั ไมจ้ นั ทน์ ไมป้ ระดู่ เป็นตน้ ป่ ามรสุม มีลกั ษณะเป็นป่ าโปร่งมากกวา่ ป่ าไมใ้ นเขตร้อนช้ืน บางแห่งมีไมข้ นาดเล็กข้ึน ปกคลุมบริเวณดินช้นั ล่าง และบางแห่งเป็นป่ าไผ่ หรือ หญา้ ปะปนอยู่ 3. ภูมอิ ากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน มีลกั ษณะอากาศคลา้ ยเขตมรสุม มีฤดูแลง้ กบั ฤดูฝน แต่ ปริมาณน้าฝนนอ้ ยกวา่ คือ ประมาณ 1,000-1,500 มิลลิเมตร (40-60 นิ้ว)ต่อปี อุณหภูมิเฉล่ียตลอดปี ประมาณ21 องศาเซลเซียส(70 องศาสฟาเรนไฮต)์ อุณหภูมิกลางคืนเยน็ กวา่ กลางวนั ไดแ้ ก่ บริเวณ ตอนกลางของอินเดีย พมา่ และคาบสมุทรอินโดจีน พืชพรรณธรรมชาติเป็ นป่ าโปร่งแบบเบญจพรรณ ถดั เขา้ ไปตอนใน จะเป็นทุ่งหญา้ สูง ต้งั แต่ 60-360เซนติเมตร (2-12 ฟุต) ซ่ึงจะงอกงามดีในฤดูฝน แต่แหง้ เฉาตายในฤดูหนาว เพราะช่วง น้ีอากาศแหง้ แลง้ 4. ภูมิอากาศแบบมรสุมเขตอบอ่นุ อยใู่ นเขตอบอุ่นแตไ่ ดร้ ับอิทธิพลของลมมรสุม มีฝนตกใน ฤดูร้อน ฤดูหนาวค่อนขา้ งหนาว ไดแ้ ก่ บริเวณภาคตะวนั ตกของจีน ภาคใตข้ องญ่ีป่ ุน คาบสมุทร เกาหลี ฮ่องกง ตอนเหนือของอินเดีย ในลาว และตอนเหนือของเวยี ตนาม พืชพรรณธรรมชาติเป็ นไมผ้ ลดั ใบหรือไมผ้ สม มีท้งั ไมใ้ บใหญ่ที่ผลดั ใบ และไมส้ นที่ไม่ผลดั ใบ ในเขตจีน เกาหลี ทางใตข้ องเขตน้ีเป็ นป่ าไมผ้ ลดั ใบ ส่วนทางเหนือมีอากาศหนาวกวา่ ป่ าไมผ้ สม และป่ าไมผ้ ลดั ใบ เช่น ตน้ โอก๊ เมเปิ ล ถา้ ข้ึนไปทางเหนืออากาศหนาวเยน็ จะเป็ นป่ าสนที่มีใบเขียวตลอดปี 5. ภูมิอากาศแบบอบอุ่นภาคพืน้ ทวปี ไดแ้ ก่ทางเหนือและตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศ จีน เกาหลีเหนือ ภาคเหนือของญ่ีป่ ุน และตะวนั ออกเฉียงใตข้ องไซบีเรีย มีฤดูร้อนที่อากาศร้อน กลางวนั ยาวกวา่ กลางคืน นาน 5-6 เดือน เป็นเขตปลูกขา้ วโพดไดด้ ี เพราะมีฝนตกในฤดูร้อน ประมาณ 750-1,000 มม.(30-40)นิ้วต่อปี ฤดูหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยถึง 7 องศาเซลเซียส (18 องศาฟา เรนไฮต)์ เป็นเขตท่ีความแตกตา่ งระหวา่ งอุณหภูมิมีมาก พืชพรรณธรรมชาติเป็ นป่ าผสมระหวา่ งไมผ้ ลดั ใบและป่ าสน ลึกเขา้ ไปเป็นทุ่งหญา้ สามารถ เพาะปลูกขา้ วโพด ขา้ วสาลี และเล้ียงสตั วพ์ วกโคนมได้ ส่วนแถบชายทะเลมีการทาป่ าไมบ้ า้ ง เลก็ นอ้ ย 6. ภูมิอากาศแบบท่งุ หญ้ากงึ่ ทะเลทรายแถบอบอุ่น มีอุณหภูมิสูงมากในฤดูร้อน และอุณหภูมิ ต่ามากในฤดูหนาว มีฝนตกบา้ งในฤดูใบไมผ้ ลิและฤดูร้อน ไดแ้ ก่ ภาคตะวนั ตกของคาบสมุทร อาหรับ ตอนกลางของประเทศตุรกี ตอนเหนือของภาคกลางของอิหร่าน ในมองโกเลีย ทาง ตะวนั ตกเฉียงเหนือของจีน

พืชพรรณธรรมชาติเป็ นทุ่งหญา้ ส้นั (Steppe) ทุ่งหญา้ ดงั กล่าวมีการชลประทานเขา้ ถึงใช้ เพาะปลูก ขา้ วสาลี ขา้ วฟ่ าง ฝ้าย และเล้ียงสตั วไ์ ดด้ ี 7. ภูมอิ ากาศแบบทะเลทราย มีความแตกตา่ งระหวา่ งอุณหภูมิกลางวนั กบั กลางคืน และฤดู ร้อนกบั ฤดูหนาวมาก ไดแ้ ก่ ดินแดนที่อยภู่ ายในทวปี ที่มีเทือกเขาปิ ดลอ้ ม ทาให้อิทธิพลจาก มหาสมุทรเขา้ ไปไมถ่ ึง ปริมาณฝนตกนอ้ ยกวา่ ปี ละ 250 มม.(10นิ้ว) ไดแ้ ก่บริเวณ คาบสมุทรอาหรับ ทะเลทรายโกบี ทะเลทรายธาร์ และที่ราบสูงทิเบต ท่ีราบสูงอิหร่าน บริเวณท่ีมีน้าและตน้ ไมข้ ้ึน เรียกวา่ โอเอซิส (Oasis) พืชพรรณธรรมชาติเป็ นอินทผลมั ตะบองเพชร และไมป้ ระเภทมีหนาม ชายขอบทะเลทราย ส่วนใหญเ่ ป็ นทุ่งหญา้ สลบั ป่ าโปร่ง มีการเล้ียงสัตวป์ ระเภทท่ีเล้ียงไวใ้ ชเ้ น้ือ และทาการเพาะปลูก ตอ้ งอาศยั การชลประทานช่วย 8. ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน มีอากาศในฤดูร้อน ร้อนและแหง้ แลง้ ใน เลบานอน ซีเรียอิสราเอล และตอนเหนือของอิรัก พืชพรรณธรรมชาติเป็ น ไมต้ น้ เต้ีย ไมพ้ ุม่ มีหนาม ตน้ ไมเ้ ปลือกหนาท่ีทนต่อความแหง้ แลง้ ในฤดูร้อนไดด้ ี พืชท่ีเพาะปลูก ไดแ้ ก่ ส้ม องุ่น และ มะกอก 9. ภูมอิ ากาศแบบไทกา (กึ่งข้วั โลก) มีฤดูหนาวยาวนานและหนาวจดั ฤดูร้อนส้นั มีน้าคา้ ง แขง็ ไดท้ ุกเวลา และ ฝนตกในรูปของหิมะ ไดแ้ ก่ ดินแดนทางภาคเหนือของทวปี บริเวณไซบีเรีย พืชพรรณธรรมชาติเป็น ป่ าสน เป็นแนวยาวทางเหนือของทวปี ที่เรียกวา่ ไทกา (Taiga) หรือป่ าสนของไซบีเรีย 10. ภูมิอากาศแบบทุนดรา (ข้วั โลก) เขตน้ีมีฤดูหนาวยาวนานมาก อากาศหนาวจดั มีหิมะ ปกคลุมตลอดปี ไม่มีฤดูร้อน พืชพรรณธรรมชาติเป็น พวกตะไคร่น้า และ มอสส์ 11. ภูมอิ ากาศแบบทส่ี ูง ในเขตท่ีสูงอุณหภูมิจะลดลงตามระดบั ความสูงในอตั ราความสูง เฉล่ียประมาณ 1 องศาเซลเซียสต่อความสูง 10 เมตร จึงปรากฎวา่ ยอดเขาสูงบางแห่งแมจ้ ะอยใู่ นเขตร้อน กม็ ี หิมะปกคลุมท้งั ปี หรือเกือบตลอดปี ไดแ้ ก่ ท่ีราบสูงทิเบต เทือกเขาหิมาลยั เทือกเขาคุนลุน และเทือกเขา เทียนชาน ซ่ึงมีความสูงประมาณ 5,000-8,000 เมตร จากระดบั น้าทะเล มีหิมะปกคลุมและมีอากาศหนาวเยน็ แบบ-ข้วั โลก พืชพรรณธรรมชาติเป็น พวกตะไคร่น้า และ มอส

ใบงาน เรื่อง ภูมศิ าสตร์กายภาพทวีปเอเชีย 1. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายถึงสาเหตุการเกิดแผน่ ดินไหว มาพอสังเขป .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ใหน้ กั ศึกษาบอกถึงขอ้ ปฏิบตั ิในการป้องกนั และบรรเทาภยั จากแผน่ ดินไหว .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

3. ใหน้ กั ศึกษาบอกวธิ ีการหลบเล่ียงอนั ตรายจากพายฝุ นฟ้าคะนอง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 4. ใหน้ กั ศึกษาบอกถึงองคป์ ระกอบของแผนท่ีมีอะไรบา้ ง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ชื่อ...........................................................................................................รหสั นกั ศึกษา..............................

เฉลยแบบฝึ กหดั เรื่อง ภูมศิ าสตร์กายภาพทวปี เอเชีย ขอ้ 1 แผน่ ดินไหวตามธรรมชาติ แผน่ ดินไหวจากธรรมชาติเป็ นธรณีพบิ ตั ิภยั ชนิดหน่ึง ส่วนมากเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิด จากการสนั่ สะเทือนของพ้นื ดิน อนั เนื่องมาจากการปลดปล่อยพลงั งานเพื่อระบายความร้อน ท่ีสะสมไว้ ภายในโลกออกมาอยา่ งฉบั พลนั เพ่อื ปรับสมดุลของเปลือกโลกใหค้ งที่ โดยปกติเกิดจากการเคล่ือนไหวของ รอยเล่ือน ภายในช้นั เปลือกโลกท่ีอยดู่ า้ นนอกสุดของโครงสร้างของโลก มีการเคลื่อนที่หรือเปล่ียนแปลง อยา่ งชา้ ๆ อยเู่ สมอ (ดู การเคล่ือนที่ของแผน่ เปลือกโลก) แผน่ ดินไหวจะเกิดข้ึนเมื่อความเคน้ อนั เป็นผลจาก การเปล่ียนแปลงมีมากเกินไป ภาวะน้ีเกิดข้ึนบ่อยในบริเวณขอบเขตของแผน่ เปลือกโลก ท่ีที่แบ่งช้นั เปลือก โลกออกเป็ นธรณีภาค (lithosphere) เรียกแผน่ ดินไหวที่เกิดข้ึนบริเวณขอบเขตของแผน่ เปลือกโลกน้ี วา่ แผน่ ดินไหวระหวา่ งแผน่ (interplate earthquake) ซ่ึงเกิดไดบ้ อ่ ยและรุนแรงกวา่ แผน่ ดินไหวภายใน แผน่ (intraplate earthquake) แผ่นดนิ ไหวจากการกระทาของมนุษย์ มีท้งั ทางตรงและทางออ้ ม เช่น การระเบิด การทาเหมือง สร้างอ่างเกบ็ น้าหรือเข่ือนใกลร้ อยเล่ือน การ ทางานของเครื่องจกั รกล การจราจร รวมถึงการเก็บขยะนิวเคลียร์ไวใ้ ตด้ ิน เป็นตน้  การสร้างเขื่อนและอ่างเกบ็ นา้ ขนาดใหญ่ ซ่ึงอาจพบปัญหาการเกิดแผน่ ดินไหว เนื่องจากน้าหนกั ของ น้าในเข่ือนกระตุน้ ใหเ้ กิดการปลดปล่อยพลงั งาน ทาใหส้ ภาวะความเครียดของแรงในบริเวณน้นั เปลี่ยนแปลงไป รวมท้งั ทาใหแ้ รงดนั ของน้าเพิ่มสูงข้ึน ส่งผลใหเ้ กิดพลงั งานตา้ นทานที่สะสมตวั ใน ช้นั หิน เรียกแผน่ ดินไหวลกั ษณะน้ีวา่ แผน่ ดินไหวทอ้ งถิ่น ส่วนมากจะมีศูนยก์ ลางอยทู่ ่ีระดบั ความ ลึก 5-10 กิโลเมตร ขนาดและความถี่ของการเกิดแผน่ ดินไหวจะลดลงเร่ือย ๆ จนกระทงั่ เขา้ สู่ภาวะ ปกติ รายงานการเกิดแผน่ ดินไหวในลกั ษณะเช่นน้ีเคยมีท่ี เขื่อนฮูเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2488 แต่มีความรุนแรงเพยี งเล็กนอ้ ย เข่ือนการิบา ประเทศซิมบบั เว เม่ือ พ.ศ. 2502 เข่ือนค รีมสั ตา้ ประเทศกรีซ เมื่อ พ.ศ. 2506 และคร้ังท่ีมีความรุนแรงคร้ังหน่ึงเกิดจากเข่ือนคอยน่า ใน ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ. 2508 ซ่ึงมีขนาดถึง 6.5 ทาใหม้ ีผเู้ สียชีวติ กวา่ 180 คน[1]  การทาเหมืองในระดับลกึ ซ่ึงในการทาเหมืองจะมีการระเบิดหิน ซ่ึงอาจทาใหเ้ กิดแรงส่นั สะเทือนข้ึน ได้  การสูบนา้ ใต้ดนิ การสูบน้าใตด้ ินข้ึนมาใชม้ ากเกินไป รวมถึงการสูบน้ามนั และแก๊สธรรมชาติ ซ่ึงอาจ ทาใหช้ ้นั หินท่ีรองรับเกิดการเคลื่อนตวั ได้  การทดลองระเบิดนิวเคลยี ร์ใต้ดิน ก่อใหเ้ กิดความส่ันสะเทือนจากการทดลองระเบิด ซ่ึงมีส่วนทาให้ เกิดผลกระทบตอ่ ช้นั หินที่อยใู่ ตเ้ ปลือกโลกได้

ขอ้ 2. ในปัจจุบนั มีการสร้างอาคาร ตึกระฟ้าใหม่ ๆ บนหินแขง็ ในเขตแผน่ ดินไหว อาคารเหล่าน้นั จะใช้ โครงสร้างเหล็กกลา้ ท่ีแขง็ แรงและขยบั เขย้อื นได้ มีประตูและหนา้ ต่างนอ้ ยแห่ง บางแห่งกม็ ุงหลงั คาดว้ ยแผน่ ยางหรือพลาสติกแทนกระเบ้ือง ป้องกนั การตกลงมาของกระเบ้ืองแขง็ ทาใหผ้ คู้ นบาดเจ็บ ถนนมกั จะสร้าง ใหก้ วา้ งเพอื่ วา่ เมื่อเวลาตึกพงั ลงมาจะไดไ้ ม่กีดขวางทางจราจร และยงั มีการสร้างท่ีวา่ งต่าง ๆ ในเมือง เช่น สวนสาธารณะ ซ่ึงผคู้ นสามารถจะไปหลบภยั ใหพ้ น้ จากการถล่มของอาคารบา้ นเรือนได้ .ขอ้ 3. การป้องกนั พายฝุ นฟ้าคะนอง * ติดตามสภาวะอากาศ ฟังคาเตือนจากกรมอุตุนิยมวทิ ยา * สอบถาม แจง้ สภาวะอากาศร้าย โทร 053-277919 ตลอด 24 ชวั่ โมง * ติดต้งั สายล่อฟ้าสาหรับอาคารสูงๆ * ปลูกสร้าง ซ่อมแซม อาคารใหแ้ ขง็ แรง เตรียมป้องกนั ภยั ใหส้ ัตวเ์ ล้ียงและพืชผลการเกษตร* ไม่ใชอ้ ุปกรณ์ ไฟฟ้าทุกชนิด ขณะมีฟ้าคะนอง* ไมใ่ ส่เครื่องประดบั โลหะ และอยกู่ ลางแจง้ ขณะมีฝนฟ้าคะนอง. ขอ้ 4 1.ระวางแผนท่ี คือ ความกวา้ ง ยาว ของแผนที่ ขนาดข้ึนอยกู่ บั มาตราส่วนของแผนท่ี 2. พิกดั ภูมิศาสตร์ คือ การกาหนดตาแหน่งของพ้ืนท่ีในจุดต่างๆโดยอาศยั ละติจูดและลองติจูด 2.1 ละตืจูด หรือ เส้นขนาน หรือ เส้นรุ้ง คือเส้นสมมติที่ลากบนทรงกลมของลูกโลกในแนวนอนมี 180 เส้น แต่ละเส้นจะขนานกนั ความยาวไมเ่ ท่ากนั เส้นอิเควเตอร์ ( เส้นศูนยส์ ูตร ) เป็ นเส้นท่ียาวท่ีสุด ซ่ึงแบง่ โลก ออกเป็ นสองซีกคือซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ 2.2 ลองติจูด หรือ เส้นเมอริเดียน หรือ เส้นแวง คือเส้นสมมติที่ลากจากข้วั โลกเหนือผา่ นเส้นศูนยส์ ูตรไปยงั ข้วั โลกใต้ ทุกเส้นจะยาวเท่ากนั และผา่ นจุดข้วั โลกเหนือและข้วั โลกใตท้ ุกเส้น โดยมีเส้นเมอริเดียนท่ี 0 องศา แบ่งโลกออกเป็นสองซีก คือ ซีกโลกตะวนั ออก และซีกโลกตะวนั ตก กนั ลืม หรือ สบั สน ใหจ้ าไวว้ า่ \" รุ้งตะแคง แวงต้งั \" 3. ทิศทาง คือ แนวเส้นตรงเส้นหน่ึงในภูมิประเทศหรือแผนท่ีเส้นตรงทุกเส้นจะแสดงค่าของทิศทางต่างๆ เราสามารถหาคา่ ของทิศทางโดยอาศยั ทิศเหนือเป็นทิศหลกั 4. สัญลกั ษณ์ คือเคร่ืองหมายที่ใชแ้ ทนส่ิงต่างๆ ท่ีปรากฏอยบู่ นผวิ โลก ซ่ึงแสดงไดห้ ลายวธิ ี 4.1 ใชเ้ คร่ืองหมาย 4.2 ใชส้ ี 4.3 เส้นช้นั ความสูง ใชอ้ ธิบายรูปร่างของพ้ืนท่ีและความสูงของพ้ืนที่ 5 มาตราส่วนของแผนท่ี หมายถึง อตั ราส่วนเปรียบเทียบระหวา่ งระยะทางในแผนท่ีกบั ระยะทางในภูมิ ประเทศจริง หรือระยะการยอ่ หรือขยายพ้ืนท่ีจากของจริง ประเภทของมาตราส่วนแบ่งได้ 3 ชนิด

5.1 มาตราส่วนเศษส่วน เช่น 1: 50,000 หมายความวา่ ระยะทางบนพ้ืนท่ี 1 หน่วยจะแทนระยะทางในภูมิ ประเทศจริง 50,000 หน่วย 5.2 มาตราส่วนคาพูด เช่น มาตราส่วน 1 นิ้ว ต่อ 10 ไมล์ หมายความวา่ ระยะทางในแผนท่ี 1 นิ้ว เทา่ กบั ระยะทางในภูมิประเทศจริง 10 ไมล์ 5.3 มาตราส่วนรูปภาพ หรือ มาตราส่วนบรรทดั

แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มีทกั ษะในการใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนท่ี ลูกโลก Website ดาวเทยี ม GIS GPRS ฯลฯ รหสั วชิ า สค 21001 รายวชิ า สังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ภูมศิ าสตร์กายภาพทวปี เอเชีย ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ และมีทกั ษะในการใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ ลูกโลก Website ดาวเทียม GIS GPRS ฯลฯ 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั มีทกั ษะในการใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ ลูกโลก Website ดาวเทียม GIS GPRS ฯลฯ 3.สาระสาคัญ วธิ ีใชเ้ ครื่องมือทางภูมิศาสตร์ แผนที่ ลูกโลก Website ดาวเทียม GIS GPRS ฯลฯ 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา การใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนท่ี ลูกโลก Website ดาวเทียม GIS GPRS ฯลฯ 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. มีความรู้ ความเขา้ ใจ เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ 2. มีทกั ษะในการใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ 3. มีความรู้ ความเขา้ ใจ เก่ียวกบั ความสมั พนั ธ์ของสภาพภูมิศาสตร์กายภาพท่ีมีต่อการเกิด 4.สามารถนาความรู้เก่ียวกบั ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยและทวปี เอเชียมาปรับใชใ้ น การดารงชีวติ และความมนั่ คงของชาติ 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 ครูทกั ทายผเู้ รียน พูดคุย ในเร่ืองภูมิศาสตร์ของประเทศเพอ่ื นบา้ น และสอบถามผเู้ รียนวา่ ใครรู้จกั ประเทศเพื่อนบา้ นท่ีมีความน่าสนใจประเทศใดบา้ ง และมีประเทศใดบา้ งที่เป็ นสมาชิกอยู่ ในกลุ่มประชาคมอาเซียน ร่วมกนั แสดงความคิดเห็นถึงแนวทางการดาเนินงานของกลุ่มประเทศ

อาเซียนรวมไปถึงการสอบถามถึงความพร้อมของตวั ผเู้ รียน เช่น ภาษา อาชีพ ประเพณีและ วฒั นธรรม 6.2 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั อภิปรายถึงเคร่ืองมือท่ีใชท้ างภูมิศาสตร์ โดยสอบถามจากผเู้ รียนวา่ มี อะไรบา้ ง และมีการนามาใชอ้ ยา่ งไร ข้นั ท่ี 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.3 ครูนาสื่อการเรียนประกอบดว้ ย แผนท่ี ลูกโลก Website ขอ้ มูล GIS GPRS ใหผ้ เู้ รียนได้ ทดลองใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ แบง่ กลุ่มตามประเภทของเคร่ืองมือ กลุ่มละ 5 – 7 คน เพอื่ นาเสนอวธิ ีการใชแ้ ละการอ่านสัญลกั ษณ์ของเครื่องมือแต่ละประเภท 6.4 ใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ จาก ใบความรู้ หนงั สือแบบเรยี น และเคร่ืองมือจรงิ ตามท่ีไดร้ บั 6.5 ครูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนทาใบงาน เรื่อง วธิ ีใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ ข้นั ที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 6.6 ผเู้ รียนส่งตวั แทนของแตล่ ะกลุ่มมาเล่าวธิ ีการใชแ้ ละการอา่ นสญั ลกั ษณ์ ที่ใชแ้ ทน สถานที่และสภาพภูมิประเทศของแตล่ ะประเทศ 6.7 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปใจความสาคญั แลว้ บนั ทึกขอ้ มูลลงในสมุดของผเู้ รียนแต่ละคน และ ใหท้ าใบงาน ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.10 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปองคค์ วามรู้จากการนาเสนอผลงานของผเู้ รียน 6.11 ผเู้ รียนนาความรู้ที่ไดจ้ ากการสรุปองคค์ วามรู้ไปใชใ้ นการปรับปรุง แกไ้ ข ขอ้ บกพร่อง ของตนเอง 6.12 ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนจากผลงาน ใบงาน ตามสภาพความเป็นจริง และ ธรรมชาติของผเู้ รียน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เตมิ ดงั นี้ การใชเ้ ครื่องมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ ลูกโลก Website ดาวเทียม GIS GPRS ฯลฯ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือแบบเรียนรายวชิ า สค 21001 สงั คมศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 8.3 ใบความรู้ 8.4 สื่อส่ิงพิมพ์

9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การนาเสนอผลงานกลุ่ม 9.2.4 การสงั เกตพฤติกรรมการมีส่วนรวม

ใบความรู้ เร่ือง เคร่ืองมือและการใช้เครื่องมือในการศึกษาทางภูมิศาสตร์ แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความหมายของแผนที่ พจนานุกรมศพั ทภ์ ูมิศาสตร์ ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ใหค้ วามหมายของแผนที่ไวว้ า่ “แผนท่ี คือ ส่ิงที่ แสดงลกั ษณะของพ้นื ผวิ โลกท้งั ท่ีมีอยตู่ ามธรรมชาติและที่ปรุงแต่งข้ึน โดยแสดงลงในพ้ืนแบนราบ ดว้ ยการ ยอ่ ใหเ้ ล็กลงตามขนาดท่ีตอ้ งการและอาศยั เครื่องหมายกบั สญั ลกั ษณ์ท่ีกาหนดข้ึน” แผนท่ี หมายถึง การนาเอารูปภาพส่ิงตา่ งๆ บนพ้ืนผวิ โลก (Earth’ surface) มายอ่ ส่วนใหเ้ ล็กลง แลว้ นามาเขียนลงกระดาษแผน่ ราบ สิ่งตา่ งๆ บนพ้นื โลกประกอบไปดว้ ยส่ิงท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ (nature) และส่ิงที่มนุษยส์ ร้างข้ึน (manmade) ส่ิงเหล่าน้ีแสดงบนแผนที่โดยใชส้ ี เส้นหรือรูปร่างตา่ งๆ ท่ีเป็น สัญลกั ษณ์แทน การจาแนกชนิดของแผนที่ ปัจจุบนั การจาแนกชนิดของแผนท่ี อาจจาแนกไดห้ ลายแบบแลว้ แต่จะยดึ ถือส่ิงใดเป็ นหลกั ในการ จาแนก เช่น 1. การจาแนกชนิดของแผนท่ีตามลกั ษณะที่ปรากฏบนแผนที่ แบง่ ไดเ้ ป็ น 3 ชนิด คือ 1.1 แผนท่ีลายเส้น (Line Map) เป็นแผนท่ีแสดงรายละเอียดในพ้นื ท่ีดว้ ยเส้นและองคป์ ระกอบของ เส้น ซ่ึงอาจเป็ นเส้นตรง เส้นโคง้ ท่อนเส้น หรือเส้นใดๆ ที่ประกอบเป็นรูปแบบตา่ งๆ เช่น ถนนแสดงดว้ ย เส้นคูข่ นาน อาคารแสดงดว้ ยเส้นประกอบเป็ นรูปสี่เหลี่ยม สัญลกั ษณ์ท่ีแสดงรายละเอียดเป็นรูปที่ ประกอบดว้ ยลายเส้น แผนท่ี ลายเส้นยงั หมายรวมถึงแผนท่ีแบบแบนราบและแผนที่ทรวดทรง ซ่ึงถา้ รายละเอียดที่แสดงประกอบดว้ ยลายเส้นแลว้ ถือวา่ เป็นแผนท่ีลายเส้นท้งั สิ้น ตวั อย่างแผนทล่ี ายเส้น 1.2 แผนที่ภาพถ่าย (Photo Map) เป็นแผนท่ีซ่ึงมีรายละเอียดในแผนท่ีที่ไดจ้ ากการถ่ายภาพดว้ ยกลอ้ ง ถ่ายภาพ ซ่ึงอาจถ่ายภาพจากเคร่ืองบินหรือดาวเทียม การผลิตแผนที่ทาดว้ ยวธิ ีการนาเอาภาพถ่ายมาทาการดดั แก้ แลว้ นามาต่อเป็นภาพแผน่ เดียวกนั ในบริเวณที่ตอ้ งการ แลว้ นามาใส่เส้นโครงพกิ ดั ใส่รายละเอียดประจา ขอบระวาง แผนท่ีภาพถ่ายสามารถทาไดร้ วดเร็ว แตก่ ารอา่ นคอ่ นขา้ งยากเพราะตอ้ งอาศยั เครื่องมือและความ ชานาญ ตวั อย่างแผนทภ่ี าพถ่ายดาวเทยี ม ภาพถ่ายทางอากาศ 1.3 แผนท่ีแบบผสม (Annotated Map) เป็นแบบที่ผสมระหวา่ งแผนท่ีลายเส้นกบั แผนท่ีภาพถ่าย โดย รายละเอียดท่ีเป็นพ้ืนฐานส่วนใหญจ่ ะเป็ นรายละเอียดที่ไดจ้ ากการถ่ายภาพ ส่วนรายละเอียดที่สาคญั ๆ เช่น แม่น้า ลาคลอง ถนนหรือเส้นทาง รวมท้งั อาคารท่ีตอ้ งการเนน้ ใหเ้ ห็นเด่นชดั ก็แสดงดว้ ยลายเส้น พมิ พแ์ ยกสี

ใหเ้ ห็นเด่นชดั ปัจจุบนั นิยมใชม้ าก เพราะสะดวกและง่ายแก่การอา่ น มีท้งั แบบแบนราบ และแบบพมิ พน์ ูน ส่วนใหญม่ ีสีมากกวา่ สองสีข้ึนไป ตวั อย่างแผนทแ่ี บบผสม ตวั อย่างแผนท่ี 2. การจาแนกชนิดของแผนท่ีตามขนาดของมาตราส่วน ประเทศตา่ ง ๆ อาจแบ่งชนิดของแผนที่ตาม ขนาดมาตราส่วนไม่เหมือนกนั ที่กล่าวตอ่ ไปน้ีเป็นการแบ่งแผนที่ตามขนาดมาตราส่วนแบบหน่ึงเทา่ น้นั 2.1 แบ่งมาตราส่วนสาหรับนกั ภูมิศาสตร์ 2.1.1 แผนท่ีมาตราส่วนเลก็ ไดแ้ ก่ แผนที่มาตราส่วนเลก็ วา่ 1:1,000,000 2.1.2 แผนที่มาตราส่วนกลาง ไดแ้ ก่ แผนที่มาตราส่วนต้งั แต่ 1:250,000 ถึง 1:1,000,000 2.1.3 แผนที่มาตราส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ แผนท่ีมาตราส่วนใหญก่ วา่ 1:250,000 2.2 แบง่ มาตราส่วนสาหรับนกั การทหาร 2.2.1 แผนที่มาตราส่วนเลก็ ไดแ้ ก่ แผนที่มาตราส่วน 1:600,000 และเลก็ กวา่ 2.2.2 แผนท่ีมาตราส่วนกลาง ไดแ้ ก่ แผนที่มาตราส่วนใหญก่ วา่ 1:600,000 แตเ่ ลก็ กวา่ 1:75,000 2.2.3 แผนที่มาตราส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ แผนที่มาตราส่วนต้งั แต่ 1:75,000 และใหญก่ วา่ 3. การจาแนกชนิดแผนที่ตามลกั ษณะการใชง้ านและชนิดของรายละเอียดที่แสดงไวใ้ นแผนที่ 3.1 แผนที่ทว่ั ไป (General Map) เป็นแผนท่ีพ้ืนฐานที่ใชอ้ ยทู่ ว่ั ไปหรือท่ีเรียกวา่ Base map 3.1.1 แผนที่แสดงแบนราบ (Planimetric Map) เป็นแผนที่แสดงรายละเอียดที่ปรากฏบนผวิ โลกเฉพาะสัณฐานทางราบเท่าน้นั

ตัวอย่างแผนทแี่ บนราบ 3.1.2 แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Map) เป็นแผนที่แสดงรายละเอียดท้งั ทางแนวราบและ แนวดิ่ง หรืออาจแสดงใหเ้ ห็นเป็น 3 มิติ ตัวอย่างแผนทภี่ ูมปิ ระเทศ 3.2 แผนที่พเิ ศษ (Special Map or Thematic Map) สร้างข้ึนบนแผนที่พ้ืนฐาน เพ่อื ใชใ้ นกิจการ เฉพาะอยา่ ง 4. การจาแนกตามมาตรฐานของสมาคมคาร์โตกร๊าฟฟ่ี ระหวา่ งประเทศ (ICA) สมาคมคาร์โตกร๊าฟฟี่ ระหวา่ ง ประเทศ ไดจ้ าแนกชนิดแผนที่ออกเป็ น 3 ชนิด 4.1 แผนท่ีภูมิประเทศ (Topographic map) รวมท้งั ผงั เมืองและแผนท่ีภูมิศาสตร์ เป็นแผนท่ีท่ีให้ รายละเอียด โดยทว่ั ๆ ไป ของภูมิประเทศ โดยสร้างเป็ นแผนที่ภูมิประเทศ มาตราส่วนขนาดเล็ก กลาง และ ขนาดใหญ่ และไดข้ อ้ มูลมาจากภาพถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่มาตราส่วนเล็กบางที เรียกวา่ เป็นแผนที่ภูมิศาสตร์ (Geographical map) แผนที่ทวั่ ไป (General map) และแผนท่ีมาตราส่วนเลก็ มากๆ ก็อาจอยใู่ นรูปของแผนที่เล่ม (Atlas map) 4.2 ชาร์ตและแผนที่เส้นทาง (Charts and road map) เป็นแผนที่ที่สร้างข้ึนเป็นเครื่องมือประกอบการเดินทาง โดยปกติจะเป็ นแผนที่มาตราส่วนกลาง หรือมาตราส่วนเล็ก และแสดงเฉพาะสิ่งที่เป็นท่ีน่าสนใจของผใู้ ช้ เช่น ชาร์ตเดินเรือ ชาร์ตดา้ นอุทกศาสตร์ เป็ นตน้ ตวั อย่างแผนทเี่ ส้นทาง

4.3 แผนที่พเิ ศษ (Thematic and special map) ปัจจุบนั มีความสาคญั มากข้ึน เพราะสามารถใช้ ประกอบการทาวิจยั เชิงวทิ ยาศาสตร์ การวางแผนและใชใ้ นงานดา้ นวศิ วกรรม แผนท่ีชนิดน้ีจะแสดงขอ้ มูล เฉพาะเรื่องลงไป เช่น แผนที่ดิน แผนท่ีประชากร แผนที่พืชพรรณธรรมชาติ แผนท่ีธรณีวทิ ยา เป็นตน้ ตัวอย่างแผนที่พิเศษ องค์ประกอบของแผนที่ องคป์ ระกอบของแผนที่ที่จะกล่าวต่อไปน้ี หมายถึงส่ิงตา่ ง ๆ ที่ปรากฏอยบู่ นแผน่ แผนท่ี ซ่ึงผผู้ ลิต แผนท่ีจดั แสดงไว้ โดยมีความมุง่ หมายที่จะใหผ้ ใู้ ชแ้ ผนท่ีไดท้ ราบขา่ วสารและรายละเอียดอยา่ งเพยี งพอ สาหรับการใชแ้ ผนที่น้นั แผนท่ีที่จดั ทาข้ึนก็เพื่อแสดงพ้นื ท่ีใดพ้ืนท่ีหน่ึงซ่ึงเรียกวา่ “ระวาง” (Sheet) และใน แผนท่ีแต่ละระวางจะพมิ พอ์ อกมาเป็นกี่แผน่ (Copies) กไ็ ด้ วสั ดุท่ีใช้ พมิ พแ์ ผนท่ีควรมีลกั ษณะสาคญั คือ ยดื หรือหดนอ้ ยท่ีสุดเมื่อสภาวะอากาศเปล่ียนแปลง องคป์ ระกอบแผนท่ีแต่ละ ระวาง ประกอบดว้ ย 3 ส่วน ใหญ่ ๆ คือ 1. เส้นขอบระวาง ตามปกติรูปแบบของแผนท่ีทว่ั ไปจะเป็ นรูปส่ีเหลี่ยมจตุรัสหรือส่ีเหลี่ยมผนื ผา้ ห่างจากริมท้งั ส่ีดา้ นของแผนท่ีเขา้ ไปจะมีเส้นก้นั ขอบเขตเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซ่ึงเรียกวา่ เส้นขอบระวางแผนที่ ( Border ) เส้นขอบระวางแผนที่บางแบบ ประกอบดว้ ยขอบสองช้นั เพือ่ ให้เกิดความสวยงาม สาหรับแผนท่ี ภูมิประเทศโดยทว่ั ไป เส้นขอบระวางมีเพยี งดา้ นละเส้นเดียว บางชนิดมีเส้นขอบระวางเพยี งสองดา้ นเทา่ น้นั ที่เส้นขอบระวางแต่ละดา้ นจะมีตวั เลขบอกค่าพิกดั และค่าพกิ ดั ภูมิศาสตร์ (ค่าของละติจูดและลองติจูด) หรืออยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ดงั น้นั ในแผนท่ีแผน่ หน่ึงเส้นขอบระวางแผนท่ีจะก้นั พ้ืนท่ี บนแผน่ แผนที่ออกเป็น สองส่วนดว้ ยกนั คือพ้ืนที่ภายในขอบระวางแผนที่ และพ้นื ท่ีนอกขอบระวางแผนท่ี 2. องคป์ ระกอบภายในขอบระวาง หมายถึง ส่ิงท้งั หลายท่แี สดงไวภ้ ายในกรอบ ซ่ึงลอ้ มรอบดว้ ย เส้นขอบระวางแผนท่ี ตามปกติแลว้ จะประกอบดว้ ยส่ิงตา่ ง ๆ ตอ่ ไปน้ี คือ - สัญลกั ษณ์ ( Symbol) ไดแ้ ก่ เครื่องหมายหรือส่ิงซ่ึงคิดข้ึนใชแ้ ทนรายละเอียดท่ีปรากฏอยบู่ นพ้ืนผวิ ภูมิ ประเทศ หรือใหแ้ ทนขอ้ มูลอ่ืนใดท่ีตอ้ งการแสดงไวใ้ นแผนท่ีน้นั - สี ( Color) สีท่ีใชใ้ นบริเวณขอบระวางแผนที่จะเป็ นสีของสัญลกั ษณ์ที่ใชแ้ ทนรายละเอียดหรือขอ้ มูลต่าง ๆ ของแผนท่ี - ช่ือภูมิศาสตร์ ( Geographical Names) เป็นตวั อกั ษรกากบั รายละเอียดตา่ ง ๆ ที่แสดงไวภ้ ายในขอบระวาง แผนท่ี เพื่อบอกใหท้ ราบวา่ สถานที่น้นั หรือส่ิงน้นั มีช่ือเรียกอะไร

- ระบบอ้างองิ ในการกาหนดตาแหน่ง ( Position Reference Systems) ไดแ้ ก่ เส้นหรือตารางที่แสดงไวใ้ น ขอบระวางแผนที่ เพื่อใชใ้ นการกาหนดคา่ พกิ ดั ของตาแหน่งตา่ งๆ ในแผนท่ีน้นั ระบบอา้ งอิงในการกาหนด ตาแหน่งมีหลายชนิด ท่ีนิยมใชใ้ นแผนท่ีทวั่ ไปมี 2 ชนิด คือ - พกิ ดั ภูมศิ าสตร์ (Geographic Coordinates) ไดแ้ ก่ เส้นขนานและเส้นเมอริเดียนที่บอกคา่ ละติจูดและลอง ติจูด อาจแสดงไวเ้ ป็นเส้นยาวจรดขอบระวางแผนที่ หรืออาจแสดงเฉพาะส่วนท่ีตดั กนั เป็นกากบาท (graticul) อยา่ งเช่นแผนท่ีมาตราส่วน 1:50,000 หรืออาจแสดงเป็นเส้นส้นั ๆ เฉพาะที่ขอบ - พกิ ดั กริด (Rectangular Coordinates) ไดแ้ ก่ เส้นขนานสองชุดที่มีระยะห่างเทา่ ๆ กนั ตดั กนั เป็ นรูป ส่ีเหลี่ยมมุมฉาก เส้นตรงขนานท้งั สองชุดดงั กล่าวอาจแสดงไวเ้ ป็นแนวเส้นตรงยาวจรดขอบระวาง หรืออาจ แสดงเฉพาะส่วนที่ตดั กนั กไ็ ดแ้ ลว้ แต่ความเหมาะสม 3. องคป์ ระกอบภายนอกขอบระวาง หมายถึง พ้นื ที่ต้งั แต่เส้นขอบระวางไปถึงริมแผน่ แผนที่ท้งั ส่ี ดา้ น บริเวณพ้ืนที่ดงั กล่าวผผู้ ลิตแผนที่จะแสดงรายละเอียดอนั เป็นขา่ วสารหรือขอ้ มูลที่ผใู้ ชแ้ ผนที่ควรทราบ และใชแ้ ผนท่ีน้นั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตรงตามความมุง่ หมายของผผู้ ลิตแผนที่ รายละเอียดนอกขอบระวางจะมี อะไรบา้ งข้ึนอยกู่ บั ชนิดของแผนที่ การหาระยะบนแผนที่ ก่อนอ่ืนตอ้ งทาความเขา้ ใจก่อนวา่ ระยะบนแผนท่ี คือ ระยะราบ (Horizontal Distance) เพราะแผนท่ี คือ การฉาย (Project) รายละเอียดภูมิประเทศจริงลงบนพ้ืนระนาบหรือพ้ืนราบ ฉะน้นั แผนที่จะมีมาตราส่วน เดียวกนั หมดท้งั ระวาง การหาระยะทางบนแผนที่จึงสามารถกระทาได้ 2 วธิ ีคือ 1. การหาระยะโดยอาศยั มาตราส่วนของแผนที่ เช่น เราวดั ระยะบนแผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 ได้ 3 เซนติเมตร เพราะฉะน้นั ระยะราบในภูมิประเทศจริงคือ 3 X 50000 = 150,000 ซ.ม. หรือ 1,500 เมตร หรือ 1.5 ก.ม. 2. การหาระยะโดยอาศยั มาตราส่วนแบบบรรทดั 2.1 ใหก้ ระทาโดยนาขอบบรรทดั หรือขอบกระดาษเรียบๆ วางทาบใหผ้ า่ นจุดสองจุดท่ีตอ้ งการหา ระยะทางบนแผนที่แลว้ ทาเคร่ืองหมายไวท้ ี่ขอบกระดาษแสดงตาแหน่งของจุดท้งั สอง 2.2 นาขอบกระดาษไปวางทาบที่มาตราส่วนเส้นบรรทดั อนั มีหน่วยวดั ระยะตามตอ้ งการแลว้ อ่านระยะบน มาตราส่วนเส้นบรรทดั ระยะที่ไดจ้ ะเป็นระยะราบในภูมิประเทศจริง สูตรการหาระยะทาง Scale  MD GD MD = ระยะทางบนแผนที่ (Map Distance) GD = ระยะทางในภูมิประเทศจริง (Ground distance) ตวั อยา่ ง สมมุติวา่ แผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 วดั ระยะระหวา่ งจุด ก. ถึง จุด ข. ได้ 3.5 เซนติเมตร จงหา ระยะทางในภูมิประเทศจากสูตร

1  3.5 50000 GD GD  50000 3.5 175000Cm  175000 1.75Km 100000 ตอบ นนั่ คือ ระยะในแผนที่ 3.5 เซนติเมตร แทนระยะทางในภูมิประเทศจริง 1.75 กิโลเมตร การอ่านและแปลความในแผนที่ การอา่ นและแปลความหมายของแผนที่ใหเ้ ขา้ ใจ จาเป็นตอ้ งรู้ขอ้ มูลเบ้ืองตน้ ท่ีเป็นองคป์ ระกอบของ แผนท่ี และทาความเขา้ ใจใหถ้ ูกตอ้ งเสียก่อน เพื่อท่ีจะแปลความหมายและใชป้ ระโยชน์จากแผนท่ีไดอ้ ยา่ ง สมบูรณ์ โดยเฉพาะแผนที่ภูมิประเทศแบบลายเส้นซ่ึงเป็นแผนท่ีพ้ืนฐานที่ใชอ้ ยแู่ พร่หลายในโลก ปัจจุบนั นกั วชิ าการไดค้ ิดหาระบบและสัญญลกั ษณ์ที่เป็นสากล ในการกาหนดตาแหน่ง เช่น พิกดั ภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) เป็นระบบอา้ งอิงบนผวิ พภิ พ ตาแหน่งของจุดใดๆ บนพ้นื ผวิ พิภพ สามารถ กาหนดดว้ ยคา่ ละติจูด (Latitude) หรือท่ีเรียกวา่ เส้นขนาน และเส้นลองจิจูด (Longitude) หรือท่ี เรียกวา่ เส้นเมอริเดียน แผนที่แสดงลกั ษณะภูมิประเทศ นอกจากแสดงใหท้ ราบถึงตาแหน่งท่ีต้งั ระยะทาง และทิศทาง สิ่ง สาคญั ของแผนที่ชนิดน้ีคือ แสดงความสูงต่า และทรวดทรงแบบตา่ งๆ ของภูมิประเทศ การแสดงลกั ษณะภูมิ ประเทศบนแผนท่ี มีหลายวธิ ี เช่น 1. แถบสี ใชแ้ ถบสีแสดงความสูงต่าของภูมิประเทศท่ีแตกตา่ งกนั เช่น สีเขียวแสดงพ้นื ที่ราบ สีเหลืองจนถึง สีส้มแสดงบริเวณที่เป็ นท่ีสูง สีน้าตาลเป็นบริเวณท่ีเป็นภูเขา 2. เงา การเขียนเงาน้นั ตามธรรมดาน้นั จะเขียนในลกั ษณะที่มีแสงส่องมาจากทางดา้ นหน่ึง ถา้ เป็นที่สูงชนั ลกั ษณะเงาจะเขม้ ถา้ เป็นท่ีลาดเงาจะบาง วธิ ีเขียนเงาจะทาใหจ้ ินตนาการถึงความสูงต่าไดง้ ่ายข้ึน 3. เส้นลาดเขา เป็ นการเขียนลายเส้นเพอ่ื แสดงความสูงต่าของภูมิประเทศ ลกั ษณะเส้นจะเป็น เส้นส้ันๆ ลาก ขนานกนั ความหนาและช่วงห่างของเส้นมีความหมายต่อการแสดงพ้นื ที่ คือ ถา้ เส้นหนาเรียงค่อนขา้ งชิด แสดงภูมิประเทศที่สูงชนั ถา้ ห่างกนั แสดงวา่ เป็ นที่ลาด 4. แผนท่ีภาพนูน แผนที่ชนิดน้ีถา้ ใชป้ ระกอบกบั แถบสี จะทาใหเ้ ห็นลกั ษณะภูมิประเทศไดช้ ดั เจนยงิ่ ข้ึน 5. เส้นช้นั ความสูง คือเส้นสมมุติท่ีลากไปตามพ้นื ผวิ โลกที่ความสูงจากระดบั น้าทะเลปานกลาง เทา่ กนั เส้น ช้นั ความสูงแตล่ ะเส้นจึงแสดงลกั ษณะและรูปตา่ งของพ้นื ท่ี ณ ระดบั ความสูงหน่ึงเทา่ น้นั ประโยชน์ของแผนท่ี 1. ดา้ นการเมืองการปกครอง เพอื่ รักษาความมนั่ คงของประเทศชาติ ใหค้ งอยู่ จาเป็นจะตอ้ งมีความรู้ ในเรื่องภูมิศาสตร์การเมือง หรือที่เรียกกนั วา่ \"ภูมิรัฐศาสตร์\" และเครื่องมือที่สาคญั ของนกั ภูมิรัฐศาสตร์ ก็ คือ แผนท่ี เพ่อื ใชศ้ ึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์และนามาวางแผนดาเนินการเตรียมรับหรือแกไ้ ขสถานการณ์ท่ี

เกิดข้ึนได้ อยา่ งเช่น แนวพรมแดนระหวา่ งประเทศ จาเป็ นตอ้ งอาศยั แผนท่ีในการวางแผนดาเนินการ เตรียม รับหรือแกไ้ ขสถานการณ์ท่ีอาจเกิดข้ึนอยา่ งถูกตอ้ ง แผนที่ในกิจกรรมทางการเมืองนอกจากแผนท่ีแนวเขต แดนซ่ึงสาคญั แลว้ ยงั ตอ้ งเกี่ยวขอ้ งกบั แผนที่ต่าง ๆ มากมาย 2. ดา้ นการทหาร ในการพิจารณาวางแผนทางยทุ ธศาสตร์ของทหาร จาเป็ นตอ้ ง หาขอ้ มูลหรือ ขา่ วสารที่เกี่ยวกบั สภาพภูมิศาสตร์ และตาแหน่งทางสิ่งแวดลอ้ มท่ีถูกตอ้ งแน่นอนเก่ียวกบั ระยะทาง ความสูง เส้นทาง ลกั ษณะภูมิประเทศท่ีสาคญั 3. ดา้ นเศรษฐกิจและสังคม ดา้ นเศรษฐกิจ เป็นเคร่ืองบง่ ช้ีความเป็นอยู่ ของประชาชนภายในชาติ เพราะฉะน้นั ทุกประเทศกม็ ุง่ ท่ีจะพฒั นาเศรษฐกิจของตนเพ่อื ความมง่ั คงั่ และมนั่ คง การดาเนินงานเพื่อ พฒั นา เศรษฐกิจของแตล่ ะภูมิภาคที่ผา่ นมา แผนท่ี เป็นส่ิงแรกท่ีตอ้ งผลิตข้ึนมาเพื่อการใชง้ านในการ วางแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กต็ อ้ งอาศยั แผนที่เป็นขอ้ มูลพ้ืนฐานเพอื่ ใหท้ ราบ ทาเลที่ต้งั สภาพทางกายภาพแหล่งทรัพยากร และ แผนท่ียงั ช่วยใหเ้ ขา้ ใจเก่ียวกบั ภาพรวมและความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง พ้ืนท่ีไดม้ ากข้ึน ทาใหว้ างแผนและพฒั นาเป็นไปไดอ้ ยา่ งสะดวกและมีประสิทธิภาพ 4. ดา้ นสังคม สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมมีการเปล่ียนแปลงอยเู่ สมอ ที่เห็นชดั คือสภาพแวดลอ้ มทาง ภูมิศาสตร์ ซ่ึงทาใหส้ ภาพแวดลอ้ มทางสงั คมเปล่ียนแปลงไปการศึกษาสภาพการเปล่ียนแปลงตอ้ งอาศยั แผน ท่ีเป็นสาคญั และอาจช่วยใหก้ ารดาเนินการวางแผนพฒั นาสงั คมเป็นไปในแนวทางท่ีถูกตอ้ ง 5. ดา้ นการเรียนการสอน แผนท่ีเป็นตวั ส่งเสริมกระตุน้ ความสนใจ และก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจใน บทเรียนดีข้ึนใชเ้ ป็นแหล่งขอ้ มูลท้งั ทางดา้ นกายภาพ ภูมิภาค วฒั นธรรม เศรษฐกิจ สถิติและการกระจายของ สิ่งต่าง ๆ รวมท้งั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และปรากฏการณ์ต่าง ๆใชเ้ ป็นเครื่องช่วยแสดงภาพรวมของ พ้นื ที่หรือของภูมิภาค อนั จะนาไปศึกษาสถานการณ์และวเิ คราะห์ความแตกตา่ ง หรือความสัมพนั ธ์ของพ้ืนท่ี 6. ดา้ นส่งเสริมการท่องเท่ียว แผนท่ีมีความจาเป็นต่อนกั ท่องเท่ียวในอนั ที่จะทาให้รู้จกั สถานที่ท่องเที่ยวได้ ง่าย สะดวกในการวางแผนการเดินทาง หรือเลือกสถานท่ีทอ่ งเที่ยวตามความเหมาะสม ระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ ความหมายของ Remote Sensing ในอดีตที่ผา่ นมาเทคโนโลยภี าพถ่ายทางอากาศ (Aerial Photograph) และทางภาพถ่ายดาวเทียม (Satellite Imagery) เป็นคาท่ีใชแ้ ยกจากกนั ตอ่ มาไดม้ ีการกาหนดศพั ทใ์ หร้ วมใชเ้ รียกคาท้งั สองรวมกนั ตลอดจนถึงเทคโนโลยตี ่างๆ ท่ีเกี่ยวกบั ขอ้ มูลซ่ึงไดจ้ ากตวั รับสัญญาณระยะไกลท่ีเรียกวา่ Remote Sensing คาวา่ รีโมทเซนซ่ิง (Remote Sensing) เป็นประโยคท่ีประกอบข้ึนมาจากการรวม 2 คา ซ่ึงแยกออก ไดด้ งั น้ี คือ Remote = ระยะไกล และ Sensing = การรับรู้ จากการรวมคา 2 คาเขา้ ดว้ ยกนั คาวา่ \"Remote Sensing\" จึงหมายถึง \"การรับรู้จากระยะไกล\" โดยนิยามความหมายน้ีไดก้ ล่าวไวว้ า่ “เป็นการสารวจ ตรวจสอบคุณสมบตั ิสิ่งใดๆ กต็ าม โดยที่มิไดส้ มั ผสั กบั สิ่งเหล่าน้นั เลย”

ดงั น้นั คาวา่ \"Remote Sensing\" จึงมีความหมายที่นิยมเรียกอยา่ งหน่ึงวา่ การสารวจจากระยะไกล โดยความหมายรวม รีโมทเซนซิ่ง จึงจดั เป็ นวทิ ยาศาสตร์ และศิลปะการไดม้ าซ่ึงขอ้ มูลเกี่ยวกบั วตั ถุ พ้นื ท่ี หรือปรากฏการณ์จากเคร่ืองมือบนั ทึกขอ้ มูล โดยปราศจากการเขา้ ไปสมั ผสั วตั ถุเป้าหมาย ท้งั น้ี อาศยั คุณสมบตั ิของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าเป็นสื่อในการไดม้ าของขอ้ มูลใน 3 ลกั ษณะ คือ - คล่ืนรังสี (Spectral) - รูปทรงสณั ฐานของวตั ถุบนพ้นื ผวิ โลก (Spatial) - การเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา (Temporal) ปัจจุบนั ขอ้ มูลดา้ นน้ีไดน้ ามาใชใ้ นการศึกษาและวจิ ยั อยา่ งแพร่หลาย เพราะใหผ้ ลประโยชน์หลาย ประการ อาทิเช่น ประหยดั เวลา คา่ ใชจ้ ่ายในการสารวจ เก็บขอ้ มูล ความถูกตอ้ ง และรวดเร็วทนั ต่อเหตุการณ์ อยา่ งไรกต็ าม การรับรู้จากระยะไกลกไ็ ดร้ ับการพฒั นาใหก้ า้ วหนา้ โดยมีการประดิษฐ์ คิดคน้ เครื่องมือรับสญั ญาณที่มีประสิทธิภาพสูง เทคนิคที่นามาใชใ้ นการแปลตีความ กไ็ ดร้ ับการพฒั นาควบคูก่ นั ไปใหม้ ีความถูกตอ้ ง แม่นยา และรวดเร็วยงิ่ ข้ึน จึงปรากฏวา่ มีการนาขอ้ มูลท้งั ภาพถ่ายทางอากาศ และ ภาพถ่ายดาวเทียม มาใชป้ ระโยชน์เพื่อสารวจหาขอ้ มูลและทาแผนท่ีเก่ียวกบั ทรัพยากรธรรมชาติกนั อยา่ ง กวา้ งขวางในปัจจุบนั องค์ประกอบของการสารวจระยะไกล องค์ประกอบของการสารวจระยะไกล ประกอบด้วย - แหล่งกาเนิดพลงั งาน (Source of Energy) - วตั ถุและปรากฏการณ์ต่างๆ บนพ้นื ผวิ โลก (Earth Surface Features) - เคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ในการบนั ทึกขอ้ มูล (Sensor) หลกั การสารวจข้อมูลระยะไกล การสารวจจากระยะไกล ( Remote sensing) เป็นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยแี ขนงหน่ึง ที่ใชใ้ นการ บ่งบอก จาแนก หรือ วเิ คราะห์คุณลกั ษณะของวตั ถุตา่ ง ๆ โดยปราศจากการสมั ผสั โดยตรง Remote sensing เป็นศพั ทเ์ ทคนิค ที่ใชเ้ ป็นคร้ังแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2503 ซ่ึงมี ความหมายรวมถึง การทาแผนที่ การแปลภาพถ่าย ธรณีวิทยาเชิงภาพถ่าย ฯลฯ

การใชค้ ารีโมตเซนซิงเร่ิมแพร่หลายนบั ต้งั แต่ไดม้ ีการส่งดาวเทียม LANDSAT-1 ซ่ึงเป็นดาวเทียม สารวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกข้ึนในปี พ.ศ.2515 พลงั งานแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าที่สะทอ้ น หรือแผอ่ อกจากวตั ถุ เป็นตน้ กาเนิดของขอ้ มูลท่ีสารวจจากระยะไกล นอกจากน้ีตวั กลางอ่ืนๆ เช่น ความโนม้ ถ่วง หรือสนามแม่เหล็ก กอ็ าจนามาใชใ้ นการสารวจจากระยะไกลได้ เช่นกนั เราสามารถหาคุณลกั ษณะของวตั ถุได้ จากลกั ษณะการสะทอ้ นหรือการแผพ่ ลงั งานแม่เหลก็ ไฟฟ้า จากวตั ถุน้นั ๆน้นั คือวตั ถุแต่ละชนิดจะมีลกั ษณะการสะทอ้ นแสงหรือการแผร่ ังสีที่เฉพาะตวั และแตกตา่ งกนั ไป ถา้ วตั ถุหรือสภาพแวดลอ้ มเป็นคนละประเภทกนั การสารวจจากระยะไกลจึงเป็นเทคโนโลยที ี่ใชใ้ นการ จาแนก และเขา้ ใจวตั ถุ หรือสภาพแวดลอ้ มต่างๆ จากลกั ษณะเฉพาะตวั ในการสะทอ้ นแสงหรือแผร่ ังสี เครื่องมือท่ีใชว้ ดั ค่าพลงั งานแมเ่ หล็กไฟฟ้าท่ีสะทอ้ นหรือแผอ่ อกจากวตั ถุ เรียกวา่ เครื่องวดั จากระยะไกล (Remote sensor) หรือ เคร่ืองวดั (sensor) ตวั อยา่ ง เช่น กลอ้ งถ่ายรูป หรือ เคร่ืองกวาดภาพ (scanner) สาหรับ ยานพาหนะท่ีใชต้ ิดต้งั เครื่องวดั เรียกวา่ ยานสารวจ (platform) ไดแ้ ก่ เครื่องบิน หรือ ดาวเทียม สาหรับขอ้ มูลท่ีสารวจจากระยะไกลน้นั จะผา่ นกระบวนการวเิ คราะห์แบบอตั โนมตั ดว้ ยเครื่อง คอมพวิ เตอร์และ/หรือ การแปลดว้ ยสายตา แลว้ จึงนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นเกษตร การใชท้ ่ีดิน ป่ าไม้ ธรณีวทิ ยา อุทกวทิ ยา สมุทรศาสตร์ อุตุนิยมวทิ ยา และสภาวะแวดลอ้ ม ฯลฯ การวเิ คราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม การวเิ คราะห์ภาพจากดาวเทยี มด้วยคอมพวิ เตอร์ - การเตรียมภาพ (Data Preparation) - การเตรียมขอ้ มูลก่อนการวเิ คราะห์ (Pre-Processing) - การปรับปรุงคุณภาพของขอ้ มูล (Image Enhancement) - การกาหนดประเภทขอ้ มูล (Nomenclature) - การจาแนกประเภทขอ้ มูล (Classification) - การวเิ คราะห์หลงั การจาแนกประเภทขอ้ มูล (Post-Classification)

- การวเิ คราะห์ความถูกตอ้ ง การวเิ คราะห์ข้อมูลดาวเทยี ม (Data Analysis) - การแปลภาพดว้ ยสายตา - การวเิ คราะห์ภาพจากดาวเทียมดว้ ยคอมพิวเตอร์ ดาวเทยี มสารวจทรัพยากร ดาวเทียม THEOS (Thailand Earth Observation Satellite) ดาวเทียมสารวจทรัพยากรดวงแรกของ ประเทศไทย - กาหนดข้ึนสู่วงโคจร ปี พ.ศ.2550 - รายละเอียดภาพ 1) 2 เมตร (แบบช่วงคล่ืนเดียว) ความกวา้ งแนวภาพ 22 กม. 2) 15 เมตร (แบบหลายช่วงคลื่น) ความกวา้ งแนวภาพ 22 กม. ประโยชน์ของรีโมตเซนช่ิง 1.การพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวทิ ยาใชข้ อ้ มูลจากดาวเทียมเพือ่ พยากรณ์ปริมาณ และการกระจาย ของฝนในแตล่ ะวนั โดยใชข้ อ้ มูลดาวเทียมท่ีโคจรรอบโลกดว้ ยความเร็วเทา่ กบั การหมุนของโลก ทา ใหค้ ลา้ ยกบั เป็นดาวเทียมคงที่(Geostationary) เช่น ดาวเทียม GMS(Geostationary Meteorological Satellite) และ ดาวเทียมโนอา NOAAที่โคจรรอบโลกวนั ละ 2คร้ัง ทาใหท้ ราบอตั ราความเร็ว ทิศทาง และความรุนแรงของพายทุ ่ีจะเกิดข้ึนล่วงหนา้ หรือพยากรณ์อากาศความแหง้ แลง้ ที่จะ เกิดข้ึนได้ 2.สารวจการใชป้ ระโยชน์ทด่ ิน 3. สารวจดิน 4.สารวจดา้ นธรณีวทิ ยาและธรณีสัณฐานวทิ ยา 5.การเตือนภยั จากธรรมชาติ 6.ดา้ นการจราจร 7.ดา้ นการทหาร 8.ดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม 9.ดา้ นสาธารณสุข

ระบบ GPS ความหมาย GPS เป็นระบบดาวเทียมที่ออกแบบและจดั สร้างโดยกองทพั สหรัฐอเมริกา เพ่ือใชใ้ นการนาทาง (Navigation) GPS คือ ระบบบอกพกิ ดั บนพ้นื โลกโดยใชด้ าวเทียม การรับสญั ญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยเู่ ตม็ ทอ้ งฟ้า 24 ดวงรับสัญญาณอยา่ งนอ้ ยตอ้ ง 3 ดวง GPS เป็นเครื่องมือหาตาแหน่งพกิ ดั ภูมิศาสตร์บนพ้นื ผวิ โลกโดยอาศยั สญั ญาณอา้ งอิงจากระบบ ดาวเทียม ทาหนา้ ท่ีส่งสญั ญาณจีพเี อส โดยเฉพาะ มีช่ือเรียกอยา่ งเป็น ทางการวา่ “เครื่องมือหาพิกดั ดว้ ย ดาวเทียม” องค์ประกอบหลกั ของระบบ GPS 1. ระบบดาวเทียมในวงโคจรรอบโลก (The Space segment) 2. สถานีควบคุม (The Control segment) 3. ผใู้ ชง้ านสัญญาณจีพีเอส (The User segment) หลกั การทางานของระบบ GPS GPS บอกพิกดั บนพ้ืนโลกโดยใชด้ าวเทียม การรับสญั ญาณจากดาวเทียมท่ีโคจรอยเู่ ตม็ ทอ้ งฟ้า 24 ดวง รับสญั ญาณอยา่ งนอ้ ยตอ้ ง 3 ดวง GPS เป็นเครื่องมือหาตาแหน่งพิกดั ภูมิศาสตร์บนพ้ืนผวิ โลก โดยอาศยั สญั ญาณอา้ งอิงจากระบบดาวเทียม ที่ทาหนา้ ท่ีส่งสญั ญาณจีพเี อสโดยเฉพาะ มีช่ือเรียกอยา่ งเป็นทางการวา่ “เครื่องมือหาพิกดั ดว้ ยดาวเทียม” GPS ในปัจจุบนั มีหลายรูปแบบ

ประเภทของเครื่องรับ GPS ประโยชน์ของระบบ GPS 1.บอกตาแหน่งวา่ ตอนน้ีเราอยทู่ ี่ไหน 2.บนั ทึกเส้นทางวา่ เราไปไหนมาบา้ ง 3.ระบบนาร่องนาทางไปจุดหมายที่กาหนด (เครื่องบิน) 4. ระบบติดตามยานพาหนะ 5.ใชใ้ นการกาหนดจุดพกิ ดั ผวิ โลก เพอื่ งานดา้ นระบบสารสนเทศภูมศาสตร์ หรือขอ้ มูล คาวเทียม 6.ใชใ้ นการสารวจรังวดั ที่ดิน การสารวจพ้ืนที่ และการทาแผนท่ี 7.ใชใ้ นกิจกรรมทางทหาร 8.ใชใ้ นการศึกษาดา้ นภูมิศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม 9.การสารวจพ้ืนที่ และการทาแผนท่ี 10.ใชต้ ิดตามการเคล่ือนที่ของคน ส่ิงของ 11.ใชใ้ นการควบคุมเครื่องจกั ร เช่น เครื่องจกั รทางการเกษตร 12.ใชใ้ นการขนส่งทางทะเล 13.ตรวจวดั การเคล่ือนตวั ของเปลือกโลกและสิ่งก่อสร้าง 14.ใชอ้ า้ งอิงในการวดั เวลาที่เท่ียงตรงที่สุดในโลก 15.ใชใ้ นการออกแบบเครือข่ายคานวณตาแหน่งท่ีต้งั เช่น โรงไฟฟ้า ระบบน้ามนั 16.ใชต้ ิดตามความปลอดภยั ดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม 17.ใชใ้ นการติดตามอนุรักษแ์ ละควบคุมสัตว์ 18.ประยกุ ตใ์ ชด้ า้ นกีฬา 19.ใชใ้ นการเดินทางท่องเที่ยว 20.ใชใ้ นดา้ นความมนั่ คงทางทหาร 21.ใชส้ ารวจรังวดั ทาแผนท่ี

ระบบ GIS ความหมายและหลักการ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) หมายถึง เครื่องมือที่ใชร้ ะบบ คอมพวิ เตอร์เพื่อใชใ้ นการนาเขา้ จดั เก็บ จดั เตรียม ดดั แปลง แกไ้ ข จดั การ และวเิ คราะห์ พร้อมท้งั แสดงผล ขอ้ มูลเชิงพ้นื ที่ ตามวตั ถุประสงคต์ า่ งๆ ที่ไดก้ าหนดไว้ ดงั น้นั GIS จึงเป็นเครื่องมือท่ีมีประโยชน์เพื่อใชใ้ นการจดั การ และบริหารการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงขอ้ มูลดา้ นพ้ืนที่ ใหเ้ ป็นไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพ เน่ืองจากเป็นระบบที่เก่ียวขอ้ งกบั ระบบการไหลเวยี นของขอ้ มูลและการผสานขอ้ มูลจาก แหล่งขอ้ มูลตา่ งๆ เช่น ขอ้ มูลปฐมภูมิ (primary data) หรือขอ้ มูลทุติยภูมิ (secondary data) เพอื่ ใหเ้ ป็น ข่าวสารท่ีมีคุณคา่ องคป์ ระกอบของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มีองคป์ ระกอบที่สาคญั หลายอยา่ ง แตล่ ะอยา่ งลว้ นเป็ นองคป์ ระกอบที่สาคญั ท้งั สิ้น แตท่ ่ีสาคญั ประกอบดว้ ย 4 ส่วน คือ 1. ขอ้ มูล (Data/Information) ขอ้ มูลที่จะนาเขา้ สู่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ควรเป็นขอ้ มูลเฉพาะเรื่อง (theme) และเป็นขอ้ มูลท่ีสามารถนามาใชใ้ นการตอบคาถามต่างๆ ไดต้ รงตามวตั ถุประสงค์ เป็นขอ้ มูลท่ีมี ความถูกตอ้ งและเช่ือถือได้ และเป็นปัจจุบนั มากที่สุด อน่ึง ขอ้ มูลหรือสารสนเทศสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ

1. ขอ้ มูลท่ีมีลกั ษณะเชิงพ้นื ที่ (spatial data) ขอ้ มูลเชิงพ้นื ที่ เป็ นขอ้ มูลที่แสดงตาแหน่งที่ต้งั ทางภูมิศาสตร์ (geo-referenced data) ของรูปลกั ษณ์ของพ้นื ท่ี (graphic feature) ซ่ึงมี 2 แบบ คือ 1.1ขอ้ มูลที่แสดงทิศทาง (vector data) ประกอบดว้ ยลกั ษณะ 3 อยา่ ง คือ - ขอ้ มูลจุด (Point) เช่น ท่ีต้งั หมูบ่ า้ น โรงเรียน เป็ นตน้ - ขอ้ มูลเส้น (Arc or line) เช่น ถนน แม่น้า ท่อประปา เป็ นตน้ - ขอ้ มูลพ้นื ท่ี หรือเส้นรอบรูป (Polygon) เช่น พ้นื ท่ีป่ าไม้ ตวั เมือง เป็นตน้ ดงั ภาพท่ี 2 - ขอ้ มูลที่แสดงเป็ นตารางกริด (raster data) จะเป็นลกั ษณะตารางส่ีเหลี่ยมเลก็ ๆ (Grid cell or pixel) เท่ากนั และต่อเน่ืองกนั ซ่ึงสามารถอา้ งอิงคา่ พิกดั ทางภูมิศาสตร์ได้ ขนาดของตารางกริด หรือความละเอียด (resolution) ในการเก็บขอ้ มูล จะใหญ่หรือ เล็กข้ึนอยกู่ บั การจดั แบง่ จานวนแถว (row) และจานวนคอลมั น์ (column) ตวั อยา่ งขอ้ มูลท่ีจดั เก็บโดยใช้ ตารางกริด เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat หรือขอ้ มูลระดบั คา่ ความสูง (digital elevation model: DEM) เป็น ตน้ ดงั ภาพท่ี 3 1.2 ขอ้ มูลอธิบายพ้ืนที่ (non-spatial data or attribute data)

ฐานขอ้ มูล (Database) เป็นโครงสร้างของสารสนเทศ (information) ที่ประกอบดว้ ยขอ้ มูลเชิงพ้นื ที่ (spatial data) และขอ้ มูลอธิบาย (non-spatial) ท่ีมีความสมั พนั ธ์กนั ซ่ึงการจดั การหรือการเรียกใชฐ้ านขอ้ มูล จะถูกควบคุมโดยโปรแกรม GIS ดงั ภาพท่ี 4 2. เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ เครื่องคอมพวิ เตอร์ รวมกนั เรียกวา่ ระบบฮาร์ดแวร์ (hardware) จะประกอบดว้ ย คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์นาเขา้ เช่น digitizer scanner อุปกรณ์อ่านขอ้ มูล เกบ็ รักษา ขอ้ มูล และแสดงผลขอ้ มูล เช่น printer plotter เป็นตน้ ซ่ึงอุปกรณ์แต่ละชนิดจะมีหนา้ ที่และคุณภาพแตกตา่ ง กนั ออกไป 3. โปรแกรม หรือระบบซอฟตแ์ วร์ (software) software หมายถึง โปรแกรมที่ใชใ้ นการจดั การระบบ และสงั่ งานต่างๆ เพื่อใหร้ ะบบฮาร์ดแวร์ทางาน หรือเรียกใชข้ อ้ มูลที่จดั เก็บในระบบฐานขอ้ มูลทางานตาม วตั ถุประสงคโ์ ดยทวั่ ไปชุดคาสงั่ หรือโปรแกรมของสารสนเทศภูมิศาสตร์ จะประกอบดว้ ย หน่วยนาเขา้ ขอ้ มูล หน่วยเกบ็ ขอ้ มูลและการจดั การขอ้ มูล หน่วยวเิ คราะห์ แสดงผล หน่วยแปลงขอ้ มูล และหน่วยโตต้ อบกบั ผใู้ ช้ 4. บุคลากร (human resources) ประกอบดว้ ย ผใู้ ชร้ ะบบ (analyst) และผใู้ ชส้ ารสนเทศ (user) ผใู้ ช้ ระบบหรือผชู้ านาญการ GIS จะตอ้ งมีความชานาญในหนา้ ที่ และไดร้ ับการฝึกฝนมาแลว้ เป็นอยา่ งดี พร้อมที่ จะทางานไดเ้ ตม็ ความสามารถ โดยทวั่ ไปผใู้ ชร้ ะบบจะเป็ นผเู้ ลือกระบบฮาร์ดแวร์ และระบบซอฟแวร์ เพอ่ื ใหต้ รงตามวตั ถุประสงค์ และสนองตอบความตอ้ งการของหน่วยงาน ส่วนผใู้ ชส้ ารสนเทศ (User) คือนกั วางแผน หรือผมู้ ีอานาจตดั สินใจ (decision-maker) เพ่อื นาขอ้ มูล มาใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาตา่ งๆ นอกจากองคป์ ระกอบที่สาคญั ท้งั 4 ส่วนแลว้ องคก์ รที่รองรับ (organization) ก็นบั วา่ มีความสาคญั ต่อการดาเนินงานระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ท้งั น้ีเพราะองคก์ รที่เหมาะสม และมีวตั ถุประสงคท์ ี่สอดคลอ้ ง กบั ระบบงานสารสนเทศภูมิศาสตร์ จะสามารถรองรับและใหก้ ารสนบั สนุนการนาระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร์ เขา้ มาใชใ้ นแผนงานขององคก์ รไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยไดร้ ับการสนบั สนุนงบประมาณ อุปกรณ์ และบุคลากรที่เหมาะสมกบั หนา้ ท่ี การวเิ คราะห์ข้อมูลในระบบ สารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) มีความสามารถในการนาขอ้ มูลเชิงพ้ืนท่ีหลายๆ ช้นั ขอ้ มูล (layers) มา ซอ้ นทบั กนั (overlay) เพอ่ื ทาการวเิ คราะห์ และกาหนดเงื่อนไขต่างๆ โดยใชค้ อมพิวเตอร์ตามวตั ถุประสงค์

หรือตามแบบจาลอง (model) ต่างๆ ซ่ึงอาจเป็นการเรียกคน้ ขอ้ มูลอยา่ งง่าย หรือซบั ซอ้ น เช่น โมเดลทางสถิติ หรือโมเดลทางคณิตศาสตร์ เป็นตน้ ท้งั น้ี เนื่องจากช้นั ขอ้ มูลต่างๆ ถูกจดั เกบ็ โดยอา้ งอิงค่าพกิ ดั ทางภูมิศาสตร์ และมีการจดั เกบ็ อยา่ งมี ระบบ และประมวลผลโดยใชเ้ ครื่องคอมพิวเตอร์ ผลที่ไดร้ ับจากการวเิ คราะห์ จะเป็นช้นั ขอ้ มูลอีกลกั ษณะ หน่ึงที่แตกต่างไปจากช้นั ขอ้ มูลเดิม ดงั ภาพท่ี 5 ประโยชน์ของ GIS GIS เป็นระบบสารสนเทศที่รวบรวมขอ้ มูลเชิงพ้นื ที่ (spatial data) และขอ้ มูลอธิบายต่างๆ (attribute data) ดงั น้นั จึงมีประสิทธิภาพในการวเิ คราะห์ และตอบคาถามเกี่ยวกบั ความสัมพนั ธ์ดา้ นพ้นื ที่ไดห้ ลาย ประการ ซ่ึงสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 5 ประเภท คือ 1. Location what is at …? มีอะไรอยทู่ ่ีไหน คาถามแรกที่ GIS สามารถตอบได้ คือ มีอะไรอยทู่ ่ีไหน หากผถู้ ามรู้ตาแหน่งท่ีแน่นอน เช่น ทราบชื่อหมูบ่ า้ น ตาบล หรืออาเภอแตต่ อ้ งการรู้วา่ ท่ีตาแหน่งน้นั ๆ ที่ รายละเอียดขอ้ มูลอะไรบา้ ง 2. Condition Where is it? สิ่งท่ีอยากทราบอยทู่ ่ีไหน คาถามน้ีจะตรงกนั ขา้ มกบั คาถามแรก และตอ้ ง มีการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ยกตวั อยา่ งเช่น เราตอ้ งการ ทราบวา่ บริเวณใดมีดินที่เหมาะสมตอ่ การปลูกพชื อยใู่ กล้ แหล่งน้า และไม่อยใู่ นเขตป่ าอนุรักษ์ เป็ นตน้ 3. Trends what has changed since…? ในช่วงระยะท่ีผา่ นมามีอะไรเปล่ียนแปลงบา้ ง คาถามท่ีสาม เป็นการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในระยะช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง ซ่ึงคาถามน้ีจะเก่ียวขอ้ งกบั คาถามท่ีหน่ึง และคาถามที่สอง วา่ ตอ้ งการทราบการเปลี่ยนแปลงของอะไร และส่ิงที่ไดเ้ ปล่ียนแปลงอยทู่ ่ีไหน มีขนาด เทา่ ไร เป็ นตน้ 4. Patterns what spatial patterns exist? ความสมั พนั ธ์ดา้ นพ้ืนท่ีเป็นอยา่ งไร คาถามน้ีคอ่ นขา้ งจะ ซบั ซอ้ นกวา่ คาถามท่ี 1-3 ตวั อยา่ งของคาถามน้ี เช่นเราอยากทราบวา่ ปัจจยั อะไร เป็นสาเหตุของการเกิดโรค


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook