แนวทางการจดั การเรียนรู ธรรมศึกษา ชน้ั เอก วิชาวินัย (กรรมบถ) สํานักสง เสริมกจิ การการศึกษา สํานักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ธรรมศึกษา ชั้นเอก วิชาวินยั (กรรมบถ) ส�ำ นักสง่ เสรมิ กจิ การการศึกษา สำ�นักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ เอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ) ปีทีพ่ ิมพ ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ จ�ำ นวนพิมพ ์ ๑๐๐ เลม่ ลขิ สิทธิ์ สำ�นักสง่ เสริมกจิ การการศกึ ษา สำ�นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร พมิ พ์ที่ โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำ กดั ๗๙ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรุงเทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑ นายโชคดี ออสุวรรณ ผพู้ มิ พ์ผโู้ ฆษณา
ค�ำ น�ำ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษาระหว่าง สำ�นักงานแม่กองธรรมสนามหลวง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำ�นักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สำ�นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำ�นักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำ�นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจหลักพุทธธรรมท่ีถูกต้อง มีความรู้คู่คุณธรรม เสริมสร้างศีลธรรม เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้เรียนห่างไกลอบายมุข ส่งิ เสพตดิ ส่งิ ผดิ กฎหมาย และน�ำ ไปสู่ความสงบเรียบรอ้ ยของสังคม เพ่ือให้เกิดการขับเคลื่อนการดำ�เนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการเรียน การสอนธรรมศกึ ษาในสถานศกึ ษาอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและบงั เกดิ เปน็ รปู ธรรม อนั จะเปน็ การสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั และพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในสถานศึกษาอย่างย่ังยืน กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัดทำ�แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันตรี โท เอก เพ่ือให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา มีความรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกับวิชาธรรม วชิ าพทุ ธ และวิชาวนิ ยั กระทรวงศึกษาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันตรี โท เอก จะเป็นแนวทางการเรียนการสอนให้กับคณะครู อาจารย์ นำ�ไปสอนได้ตามหลักสูตร เพ่ือให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำ�วัน และขอขอบคุณคณะผู้จัด ซึ่งประกอบด้วย สำ�นักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต ๒ สำ�นักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสมี า เขต ๓ และโรงเรียนวัดราชบพธิ ที่มคี วามมุ่งมัน่ ต้งั ใจพัฒนาเอกสารชดุ นอี้ ย่างเตม็ ความสามารถ จนบรรลวุ ตั ถุประสงค์ (รองศาสตราจารย์ก�ำ จร ตติยกว)ี ปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
สารบญั หน้า เรอ่ื ง ๑ ๓ ค�ำ นำ� ๑๐ บทท่ี ๑ ประวตั นิ กั ธรรม ธรรมศึกษา ๑๒ บทท่ี ๒ เทคนิควิธีสอนของพระพทุ ธเจา้ ๑๓ บทที่ ๓ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ และสาระการเรยี นร้ ู ๓๐ บทท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นรู ้ ๗๑ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑ ๘๔ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๒ ๘๕ แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๓ ๙๑ บทท่ี ๕ แบบทดสอบ ๙๒ แบบทดสอบกอ่ นเรียน ๙๘ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน ๙๙ แบบทดสอบหลังเรียน ๑๐๐ เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น ๑๐๑ ภาคผนวก บรรณานุกรม คณะผ้จู ดั ท�ำ
1 บทที่ ๑ ประวตั ินกั ธรรม ธรรมศึกษา การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือที่เรียกกันว่า นักธรรม เกิดข้ึนตามพระดำ�ริของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เปน็ การศึกษาพระธรรมวนิ ัยในภาษาไทย เพ่อื ใหภ้ กิ ษุ สามเณรผู้เป็นกำ�ลังสำ�คัญของพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาพระธรรมวินัยได้สะดวกและท่ัวถึง อันจะเป็น พนื้ ฐานน�ำ ไปส่สู มั มาปฏิบัติ ตลอดจนเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาให้กวา้ งไกลออกไป การศึกษาพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณมา นิยมศึกษาเป็นภาษาบาลีท่ีเรียกว่า การศึกษาพระปริยัติธรรม ซ่ึงเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ยากสำ�หรับภิกษุสามเณรท่ัวไป จึงปรากฏว่าภิกษุสามเณร ท่ีมีความรู้ในพระธรรมวินัยอย่างท่ัวถึงมีจำ�นวนน้อย เป็นเหตุให้สังฆมณฑลขาดแคลนพระภิกษุผู้มีความรู้ ความสามารถทจ่ี ะชว่ ยกจิ การพระศาสนาทง้ั ในดา้ นการศกึ ษา การปกครอง และการแนะน�ำ สง่ั สอนประชาชน ดังน้ัน สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จงึ ไดท้ รงพระดำ�รวิ ธิ ีการเลา่ เรยี นพระธรรมวินัย ในภาษาไทยขึ้น สำ�หรับสอนพระภิกษุสามเณรวัดบวรนิเวศวิหารเป็นคร้ังแรก นับแต่ทรงรับหน้าท่ีปกครอง วดั บวรนิเวศวิหาร เมือ่ พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา โดยทรงก�ำ หนดหลกั สตู รการสอนใหภ้ ิกษสุ ามเณรได้เรียนรู้ พระพทุ ธศาสนาท้ังดา้ นหลกั ธรรม พทุ ธประวัติ และพระวินยั ตลอดถงึ หดั แตง่ เรยี งความแก้กระทูธ้ รรม เมื่อทรงเห็นว่า การเรียนการสอนพระธรรมวินัยเป็นภาษาไทยดังนี้ได้ผล ทำ�ให้ภิกษุสามเณร มีความรู้กว้างขวางขึ้น เพราะเรียนรู้ได้ไม่ยาก จึงทรงดำ�ริท่ีจะขยายแนวทางนี้ไปยังภิกษุสามเณรท่ัวไปด้วย ประกอบกบั ใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ประเทศไทยเรม่ิ มพี ระราชบญั ญตั เิ กณฑท์ หาร ซงึ่ ภกิ ษทุ ง้ั หมดจะไดร้ บั การยกเวน้ สว่ นสามเณรจะยกเวน้ ใหเ้ ฉพาะสามเณรผรู้ ธู้ รรม ทางราชการไดข้ อใหค้ ณะสงฆช์ ว่ ยก�ำ หนดเกณฑข์ องสามเณร ผรู้ ธู้ รรม สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส จงึ ทรงก�ำ หนดหลกั สตู รองคส์ ามเณรรธู้ รรมขนึ้ ต่อมาได้ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์สามเณรรู้ธรรมนั้นเป็น “องค์นักธรรม” สำ�หรับภิกษุสามเณรชั้นนวกะ (คอื ผ้บู วชใหม่) ทว่ั ไป ได้รับพระบรมราชานมุ ัติ เมือ่ วนั ที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และโปรดใหจ้ ดั การสอบ ในสว่ นกลางขน้ึ เปน็ ครง้ั แรกในเดอื นตลุ าคมปเี ดยี วกนั โดยใชว้ ดั บวรนเิ วศวหิ าร วดั มหาธาตุ และวดั เบญจมบพติ ร เปน็ สถานทส่ี อบ การสอบครง้ั แรกน้ี ๓ วชิ า คอื ธรรมวภิ าคในนวโกวาท แตง่ เรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม และแปล ภาษามคธเฉพาะท้องนทิ านในอรรถกถาธรรมบท พ.ศ. ๒๔๕๕ ทรงปรับปรุงหลกั สูตรองคน์ กั ธรรมใหเ้ หมาะสมส�ำ หรบั ภิกษุสามเณรท่วั ไปจะเรียนรู้ ได้กว้างขวางยงิ่ ขึ้น โดยแบ่งหลกั สูตรเปน็ ๒ อย่าง คอื อยา่ งสามญั เรยี นวิชาธรรมวิภาค พุทธประวตั ิ และ เรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม และอยา่ งวสิ ามญั เพมิ่ แปลอรรถกถาธรรมบท มแี กอ้ รรถบาลไี วยากรณแ์ ละสมั พนั ธ์ และวนิ ยั บญั ญตั ิทีต่ ้องสอบทัง้ ผทู้ เ่ี รียนอยา่ งสามญั และวสิ ามัญ พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมอีกครั้งหนึ่ง โดยเพิ่มหลักธรรมหมวดคิหิปฏิบัติ เข้าในส่วนของธรรมวิภาคด้วย เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการครองชวี ิตฆราวาส หากพระภกิ ษสุ ามเณรรูปน้ันๆ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
2 มีความจำ�เป็นต้องลาสิกขาออกไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เรียกว่า นักธรรมชั้นตรี การศึกษาพระธรรมวินัย แบบใหมน่ ี้ ไดร้ บั ความนยิ มจากหมภู่ กิ ษสุ ามเณรอยา่ งกวา้ งขวางและแพรห่ ลายไปอยา่ งรวดเรว็ เพยี ง ๒ ปแี รก กม็ ภี กิ ษสุ ามเณรสมคั รเขา้ สอบสนามหลวงเกอื บพนั รปู เมอื่ ทรงเหน็ วา่ การศกึ ษานกั ธรรมอ�ำ นวยคณุ ประโยชน์ แก่พระศาสนาและภิกษุสามเณรท่ัวไป ในเวลาต่อมาจึงทรงพระดำ�ริขยายการศึกษานักธรรมให้ท่ัวถึงแก่ ภกิ ษุทกุ ระดับ คอื ทรงต้งั หลักสตู รนักธรรมช้ันโท ส�ำ หรบั ภิกษุชน้ั มชั ฌิมะ คอื มีพรรษาเกิน ๕ แต่ไม่ถงึ ๑๐ และนักธรรมชน้ั เอก สำ�หรบั ภิกษุชั้นเถระ คอื มพี รรษา ๑๐ ข้ึนไป ดังท่ีเปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐานของ คณะสงฆส์ ืบมาตราบถึงทกุ วันนี้ ต่อมาพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธ สถิตมหาสีมาราม ทรงพจิ ารณาเห็นว่า การศึกษานักธรรมมไิ ดเ้ ปน็ ประโยชนต์ ่อภิกษุสามเณรเทา่ น้นั แม้ผู้ท่ี ยังครองฆราวาสวิสัยก็จะได้รับประโยชน์จากการศึกษานักธรรมด้วย โดยเฉพาะสำ�หรับเหล่าข้าราชการครู จึงทรงตั้งหลักสูตรนักธรรมสำ�หรับฆราวาสขึ้น เรียกว่า “ธรรมศึกษา” มีครบทั้ง ๓ ช้ัน คือ ช้ันตรี ชั้นโท ชนั้ เอก ซงึ่ มเี นอื้ หาเชน่ เดยี วกนั กบั หลกั สตู รนกั ธรรมภกิ ษสุ ามเณร เวน้ แตว่ นิ ยั บญั ญตั ทิ ที่ รงก�ำ หนดใชเ้ บญจศลี เบญจธรรม และอุโบสถศีลแทน ได้เปิดสอบธรรมศึกษาชั้นตรีครั้งแรกเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๒ และเปิดสอบ ครบทุกชั้นในเวลาต่อมา มีฆราวาสท้ังหญิงและชายเข้าสอบเป็นจำ�นวนมาก นับเป็นการส่งเสริมการศึกษา พระพุทธศาสนาให้กวา้ งขวางยิ่งข้ึน ปัจจุบันการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมน้ี มีสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เน้นการพัฒนาศาสนทายาทให้มีคุณภาพสามารถดำ�รง พระศาสนาไว้ได้ด้วยดี ท้ังถือว่าเป็นกิจการของคณะสงฆ์ส่วนหนึ่งที่สำ�คัญยิ่งในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศไทยมาต้ังแตค่ รัง้ อดตี จนถึงปัจจบุ นั แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั เอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
3 บทท่ี ๒ เทคนคิ วธิ สี อนของพระพุทธเจา้ ๑. การท�ำ นามธรรมให้เป็นรปู ธรรม ท�ำของยากให้งา่ ย ธรรมะเปน็ เรอื่ งนามธรรมทม่ี ีเน้อื หาลึกซง้ึ ยากทีจ่ ะเข้าใจ ยิ่งเปน็ ธรรมะระดับ สูงสุดก็ยิ่งลึกล�้ำคัมภีรภาพยิ่งขึ้น...ความส�ำเร็จแห่งภารกิจการส่ังสอนประชาชนส่วนหน่ึง เพราะพระองค์ ทรงใชเ้ ทคนิควิธกี ารท�ำของยากใหง้ ่าย เช่น ๑.๑ การใช้อุปมาอุปไมย วิธีนี้เป็นวิธีทรงใช้บ่อยท่ีสุดวิธีหนึ่ง เพราะทำ�ให้ผู้ฟังมองเห็นภาพ และเข้าใจงา่ ยโดยไม่ตอ้ งเสยี เวลาอธบิ ายความใหย้ ดื ยาว ๑.๒ ยกนทิ านประกอบ เป็นเทคนิคหรอื กลวิธหี นึง่ ทพี่ ระพุทธองค์ทรงใช้บอ่ ย ๑.๓ ใช้อปุ กรณ์หรอื สอ่ื การสอน เทคนคิ วธิ สี อนดว้ ยการกระท�ำ ของยากใหง้ ่าย หรอื ท�ำ นามธรรม ใหเ้ ป็นรปู ธรรม นอกจากใช้อุปมาอุปไมยและเล่านิทานประกอบแลว้ ยงั มอี ีกวธิ หี น่ึงอันเปน็ วิธีท่พี ระพทุ ธองค์ ทรงใช้มากพอๆ กับสองวิธีข้างต้น คอื การใช้สือ่ อุปกรณห์ รอื ใชส้ อื่ การสอน ๒. ท�ำ ตนเป็นตัวอยา่ ง ในแง่ของการสอนอาจแบ่งออกเปน็ ๒ อย่าง คอื ๒.๑ ท�ำ ให้ดหู รอื สาธิตใหด้ ู ๒.๒ ปฏิบตั ใิ ห้ดูเปน็ ตวั อยา่ ง ๓. ใช้ถอ้ ยคำ�เหมาะสม การสอนท่ีจะประสบผลสำ�เร็จ ผู้สอนจะต้องรู้จักใช้คำ� ต้องให้ผู้ฟังรู้สึกว่าผู้พูดพูดด้วยเมตตาจิต มิใชพ่ ูดด้วยความมุ่งรา้ ย ๔. เลอื กสอนเปน็ รายบคุ คล ผู้สอนต้องรู้ว่าคนฟังนั้นต่างภูมิหลัง ต่างความสนใจ ต่างระดับสติปัญญาการเรียนรู้ เพราะ ฉะน้ันการเลือกสอนเป็นรายบุคคลจะช่วยให้การสอนประสบความสำ�เร็จเป็นอย่างดี ถ้าทำ�ได้ก็ควรใช้วิธีน้ี แมจ้ ะสอนเปน็ กลุม่ กต็ อ้ งเอาใจใสน่ กั เรยี นทม่ี ีปญั หาเป็นรายบคุ คลให้ได้ ๕. รู้จกั จงั หวะและโอกาส ดูความพรอ้ มของผู้เรียน รูจ้ กั คอยจงั หวะอันเหมาะสม ถา้ ผเู้ รยี นไมพ่ ร้อมก็เหน่ือยเปล่า ๖. ยดื หย่นุ ในการใช้เทคนิควธิ ี เทคนคิ วธิ ีบางอย่างใช้ได้ผลในวันนี้ ต่อไปวันข้างหนา้ อาจใช้ไมไ่ ด้ก็ได้ จงึ ควรยดื หยนุ่ วธิ กี าร แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
4 ๗. การเสรมิ แรง มคี ำ�พูดสรรเสริญพระพุทธเจา้ วา่ “ทรงชมคนทค่ี วรชม ตำ�หนิคนท่ีควรต�ำ หนิ” การชมเปน็ การ ยอมรับความสามารถหรือให้กำ�ลังใจให้ทำ�อย่างนั้นย่ิงๆ ขึ้นไป การตำ�หนิเป็นการตักเตือนมิให้ประพฤติ เชน่ นนั้ อกี ต่อไป หลักส�ำ คัญทค่ี รูผ้สู อนควรทราบ หลักส�ำ คัญคือหลักการใหญๆ่ ของการสอนไม่วา่ จะสอนเร่ืองอะไรก็มอี ยู่ ๓ หลัก คือ ๑. หลกั เกย่ี วกับเน้อื หาที่สอน ๒. หลกั เก่ียวกับตัวผ้เู รียน ๓. หลกั เกี่ยวกบั ตัวผูส้ อน ก. หลักเกยี่ วกบั เนอ้ื หาที่สอน คนจะสอนคนอนื่ ตอ้ งรวู้ า่ จะเอาเรอื่ งอะไรมาสอนเขาเสยี กอ่ น ไมใ่ ชค่ ดิ แตว่ ธิ กี ารสอนวา่ จะสอน อยา่ งไร ตอ้ งคดิ กอ่ นวา่ จะเอาอะไรไปสอนเขา พระพทุ ธเจา้ แนะน�ำ วา่ ผสู้ อนตอ้ งค�ำ นงึ เสมอวา่ ตอ้ งสอนสงิ่ ทรี่ เู้ หน็ หรือเขา้ ใจงา่ ยไปหาสง่ิ ทเ่ี ข้าใจยาก ๑. สอนเนือ้ หาที่ลมุ่ ลกึ ลงไปตามล�ำ ดบั ๒. สอนด้วยของจริง ๓. สอนตรงตามเนอ้ื หา ๔. สอนมเี หตผุ ล ๕. สอนเท่าท่จี �ำ เปน็ ตอ้ งรู้ ๖. สอนสิ่งที่มีความหมายและเป็นประโยชน์แกผ่ ู้เรยี น ข. หลักเก่ียวกบั ตวั ผ้เู รยี น ๑. พระพุทธองค์จะทรงสอนใคร ทรงดูบุคคลผู้รับการสอนหรือผู้เรียนก่อนว่าบุคคลนั้นๆ เปน็ คนประเภทใด มพี น้ื ความรู้ความเขา้ ใจหรอื ความพร้อมแค่ไหน และควรจะสอนอะไรแค่ไหน ๒. นอกจากดคู วามแตกตา่ งของผเู้ รียนแลว้ ยังต้องดคู วามพร้อมของผูเ้ รยี นดว้ ย ๓. สอนให้ผเู้ รียนท�ำ ด้วยตนเอง ๔. ผู้เรียนจะตอ้ งมีบทบาทร่วมดว้ ย ๕. ครูต้องเอาใจใส่ผ้เู รียนทมี่ ีปัญหาเปน็ พเิ ศษ ค. หลกั เก่ียวกับตัวผสู้ อน ๑. สร้างความสนใจในการสอนคนน้ัน (การนำ�เขา้ สู่บทเรยี น) ๒. สรา้ งบรรยากาศในการเรยี นการสอนใหป้ ลอดโปร่ง ๓. มงุ่ สอนเนือ้ หา ม่งุ ให้ผูฟ้ ังเกิดความรคู้ วามเขา้ ใจและเปลีย่ นพฤตกิ รรมในทางท่ีดี ๔. ต้ังใจสอน สอนโดยเคารพ ถือวา่ งานสอนเปน็ งานสำ�คญั ๕. ใช้ภาษาเหมาะสม ผู้สอนคนอื่นควรมีความสามารถในการสื่อสาร ใช้คำ�พูดท่ีถูกต้อง และเหมาะสมกบั บคุ คลและสถานการณ์ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
5 หลักการสอนแนวพทุ ธวิธี พระพทุ ธเจา้ นน้ั ทรงเปน็ พระบรมครู ยอดครขู องผสู้ อน พระองคท์ รงมหี ลกั การในการสอนมากมาย หลายหลกั การ เรียกวา่ “หลัก ๔ ส” คือ ๑. สันทัสสนา อธิบายใหเ้ หน็ ชัดแจ้ง เหมือนจงู มอื ใหม้ าดดู ้วยตา ๒. สมาทปนา ชักจงู ใหเ้ ห็นจรงิ เหน็ จังตาม ชวนใหค้ ลอ้ ยตาม จนยอมรบั เอาไปปฏิบัติ ๓. สมตุ เตชนา เรา้ ใจ เกิดความกล้าหาญ มีก�ำ ลังใจ มั่นใจว่าท�ำ ไดไ้ มห่ วัน่ ไหวต่ออปุ สรรคทมี่ ีมา ๔. สัมปหงั สนา มีวธิ ีสอนท่ชี ่วยใหผ้ ูฟ้ งั รา่ เรงิ เบกิ บาน ฟังไม่เบอื่ เปีย่ มลน้ ไปด้วยความหวัง สรปุ หลกั การทัว่ ไปของการสอน คอื แจม่ แจง้ - จงู ใจ - หาญกล้า - ร่าเรงิ หลักการสอนพุทธวิธีแบบสนทนา (สากัจฉาหรือธรรมสากจั ฉา) เป็นวิธีท่ีทรงใช้บ่อยที่สุด พระองค์ชอบใช้วิธีนี้อาจเป็นด้วยว่าผู้ฟังได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ทำ�ใหก้ ารเรียนการสอนสนุกไม่ร้สู ึกวา่ ตนกำ�ลงั “เรยี น” หรือกำ�ลัง “ถกู สอน” แตจ่ ะรู้สึกวา่ ตนกำ�ลงั สนทนา ปราศรัยกับพระพทุ ธองคอ์ ยา่ งสนุกสนาน หลกั การสอนพุทธวิธแี บบตอบปญั หา (ปจุ ฉา - วิสชั นา) ผู้ถามปญั หาอาจถามดว้ ยจุดประสงคห์ ลายอย่าง เชน่ ๑. บางคนถามเพ่ือตอ้ งการคำ�ตอบในเรอื่ งที่สงสยั มานาน ๒. บางคนถามเพ่อื ลองภูมิวา่ คนตอบรหู้ รอื ไม่ ๓. บางคนถามเพ่ือข่มหรอื ปราบใหผ้ ู้ตอบอบั อาย ๔. บางคนถามเพ่ือเทยี บเคียงกบั ความเช่ือหรอื ค�ำ สอนในลทั ธิศาสนาของตน พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่า การตอบปัญหาใดๆ ต้องดูลักษณะของปัญหาและเลือกวิธีตอบให้ถูกต้อง เหมาะสมพระองค์จำ�แนกประเภทของปญั หาไว้ ๔ ประการ คือ ๑. ปญั หาบางอยา่ งตอ้ งตอบตรงไปตรงมา ๒. ปัญหาบางอยา่ งตอ้ งย้อนถามกอ่ นจงึ ตอบ ๓. ปญั หาบางอยา่ งตอ้ งแยกความตอบ ๔. ปญั หาบางอยา่ งต้องตัดบทไปเลยไม่ตอบ วธิ ีคดิ แบบอริยสัจ ๔/คิดแบบแก้ปญั หา เป็นการคิดแบบแก้ปัญหา เรียกว่า “วิธีแห่งความดับทุกข์” จัดเป็นวิธีคิดแบบหลักอย่างหน่ึง เป็นวิธคี ิดตามเหตุและผลหรอื เป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตแุ ลว้ แก้ไขและทำ�การทตี่ น้ เหตุ จัดเปน็ ๒ คู่ คอื ค่ทู ี่ ๑ ทุกข์เป็นผล เป็นตัวปญั หา เป็นสถานการณท์ ่ปี ระสบซึ่งไม่ตอ้ งการ สมุทัยเป็นเหต ุ เปน็ ท่ีมาของปัญหา เปน็ จุดทจ่ี ะต้องก�ำ จัดหรอื แกไ้ ขจึงจะพ้นจากปญั หาได้ คทู่ ่ี ๒ นิโรธเปน็ ผล เป็นภาวะสน้ิ ปญั หา เป็นจดุ หมายซึ่งต้องการจะเขา้ ถึง มรรคเป็นเหตุ เป็นวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติท่ีต้องกระทำ�ในการแก้ไขสาเหตุ เพ่ือบรรลุ จดุ หมาย คอื ภาวะส้นิ ปัญหาอนั ไดแ้ กค่ วามดับทุกข์ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
6 กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบพทุ ธวธิ ี ๙ อยา่ ง ๑. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอปุ มาอุปไมย (การเปรยี บเทยี บ) ข้ันสืบค้นและขน้ั เชอ่ื มโยง - เปรยี บเทยี บนามธรรมกับรปู ธรรมใหผ้ เู้ รียนเหน็ ชัดเจน ครผู สู้ อนและผ้เู รียนมีส่วนรว่ ม - ความแตกตา่ งระหว่างสิ่งทีเ่ ปน็ นามธรรมกับรูปธรรม ขั้นฝกึ - ยกตัวอย่างสงิ่ ทเ่ี ป็นนามธรรมกบั รูปธรรม - ผู้เรียนแต่ละรปู หรือแตล่ ะกลุ่มร่วมอภปิ รายหรอื น�ำ เสนอสง่ิ ท่ีเปน็ นามธรรมกบั รปู ธรรม - หาข้อสรุปเก่ยี วกบั เนือ้ หาท่ีเป็นนามธรรม-รปู ธรรม ขน้ั ประยุกต์ - ค้นคว้าส่งิ ทเี่ ป็นนามธรรมกับรูปธรรมในเนอื้ หาอืน่ ๆ นอกเหนอื จากเนื้อหาทก่ี �ำ หนดให้ ๒. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้พทุ ธวธิ แี บบปจุ ฉา - วสิ ัชนา (การถาม - ตอบ) ขน้ั สบื คน้ และขนั้ เช่ือมโยง - การทำ�หน้าท่เี ปน็ ผูถ้ าม - ตอบท่ถี ูกต้องเหมาะสมแกก่ าลเทศะ - วิธีถาม - ตอบ (ตอบทันทีเม่ือมีผู้ถาม ตอบแบบมีเงื่อนไข ย้อนถามผู้ถามก่อนแล้วจึงตอบ น่งิ เสียไม่ตอบ เป็นต้น) ข้นั ฝกึ - ตัวอยา่ งการถาม - ตอบ - ถาม - ตอบแบบคนต่อคน ถาม - ตอบแบบกลุ่มตอ่ กลุ่ม ถาม - ตอบแบบกล่มุ ต่อคน เปน็ ตน้ - หาขอ้ สรปุ เน้อื หาท่เี ก่ียวกบั การถาม - ตอบ ข้นั ประยกุ ต์ - ค้นคว้าเพิม่ เตมิ นอกเหนือจากเน้อื หาทีก่ �ำ หนดไว้ในแผนจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๓. การจดั กจิ กรรมการเรียนร้พู ทุ ธวธิ แี บบธรรมสากจั ฉา (การสนทนา) ขนั้ สืบค้นและขนั้ เช่อื มโยง - ครผู สู้ อนเสนอสถานการณท์ ี่เป็นปัญหาหรือจำ�ลองสถานการณ์ ขัน้ ฝกึ - ผู้เรียน/ครูผู้สอน - อภิปรายในประเด็นท่ีเป็นปัญหา หัวข้อ หรือสถานการณ์ ตามเนื้อหา ที่กำ�หนด - หาขอ้ สรปุ ในประเด็นท่ีเป็นปญั หา หวั ขอ้ หรอื สถานการณจ์ ากการสนทนาอภิปราย แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั เอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
7 ขนั้ ประยุกต์ - ศกึ ษาเพิม่ เติมการสนทนา - อภิปรายของบคุ คล กลุม่ คน ละคร องค์กร เป็นต้น ๔. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอริยสัจ ๔ (กำ�หนดปัญหา ต้ังสมมุติฐาน ทดลอง วิเคราะห์ สรปุ ) ข้ันสบื ค้น (ทกุ ข์) - กำ�หนดปญั หา ทีม่ าของปญั หา การเกิดปัญหา (ตามเนอ้ื หาทก่ี ำ�หนด) ขัน้ เช่อื มโยง (สมทุ ัย) - ตั้งสมมตุ ิฐาน การอนุมาน การคาดคะเน ความน่าจะเป็น ปจั จัยเสีย่ ง ขนั้ ฝึก (นโิ รธ) - ทดลอง เกบ็ ข้อมูล - วิเคราะห์ สรุปผล ขน้ั ประยุกต์(มรรค) - การนำ�ไปประยกุ ตใ์ ช้กับสิ่งอนื่ ๆ นอกเหนอื จากเนือ้ หาที่เรียนรู้ ๕. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูพ้ ทุ ธวธิ ีแบบไตรสิกขา (ระเบยี บวนิ ยั จิตใจแน่วแน่ แกป้ ัญหาถกู ต้อง) ขน้ั สืบคน้ (ศีล) - สรา้ งความมรี ะเบยี บวนิ ยั ความมศี รทั ธา ความตระหนกั ความเรา้ ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี นพรอ้ มทจี่ ะเรยี น ข้ันเชอื่ มโยง (สมาธิ) - ให้ผู้เรียนรวมพลังจิต ความคิดอันแน่วแน่ในการต้ังใจฟัง ต้ังใจดู ต้ังใจจดจำ� และเห็น ความสำ�คัญต่อเนือ้ หาทจ่ี ะน�ำ เสนอ ขัน้ ฝกึ (ปญั ญา) - ใช้สมาธิ จติ ใจอนั แน่วแน่ทำ�ความเข้าใจกับปญั หา - ค้นหาสาเหตุทีม่ าท่ีไปของปัญหา - แกไ้ ขปญั หาอย่างถกู ตอ้ งและถกู วธิ ี ข้ันประยกุ ต์ (ปญั ญา) - ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้ เกิดปญั ญา และมีมโนทัศนใ์ นเรื่องน้ันๆ ถกู ตอ้ ง ๖. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธแี บบพหสู ูต (ฟังมากๆ เขียนมากๆ ถามมากๆ คิดวเิ คราะห์มาก ๆ) ขน้ั สบื คน้ และข้นั เชอ่ื มโยง (การสรา้ งศรทั ธา) - การจดั บรรยายในการนำ�เขา้ สบู่ ทเรียน - การสรา้ งแรงจงู ใจในการน�ำ เขา้ ส่บู ทเรยี น - บคุ ลิกภาพ ตลอดถึงการวางตวั ทเี่ หมาะสมของผูส้ อน - การสร้างความสมั พันธร์ ะหว่างผ้เู รียนกบั ผูส้ อน แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ช้ันเอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
8 ขั้นฝึก (การฝึกทกั ษะ) - กจิ กรรมกลมุ่ /รายบุคคล - การปฏบิ ตั ิ/การนำ�เสนอ/การแสดงออก - ฝกึ การเขียน การฟัง การถาม และการคดิ วิเคราะห์ ขั้นประยุกต์ - การประเมนิ ตนเอง - การประเมนิ ของกลั ยาณมติ ร - การศกึ ษาค้นคว้าเพิม่ เติมและการนำ�ไปประยุกตใ์ ช้ ๗. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบโยนิโสมนสิการ (การทำ�ไว้ในใจโดยแยบคาย การใช้ ความคดิ อยา่ งถูกวธิ )ี แบบท่ี ๑ ขน้ั สืบค้นและข้นั เชื่อมโยง - ผู้เรยี นรู้จกั คดิ คิดเป็น คดิ อย่างมีระบบ - ผู้เรียนรจู้ กั มอง รู้จักพจิ ารณา ไตร่ตรอง วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ข้นั ฝกึ - ฝึกการคิดหาเหตผุ ล - ฝึกการสืบคน้ ถงึ ต้นเคา้ - ฝึกการสืบสาวให้ตลอดสาย - ฝกึ การแยกแยะสงิ่ นน้ั ๆ ปญั หาน้ันๆ ตามสภาวะแหง่ เหตแุ ละปัจจัย ขัน้ ประยกุ ต์ - ผู้เรียนนำ�การใชค้ วามคิดอยา่ งถูกวธิ ีไปประยุกต์ใช้กับเหตกุ ารณป์ จั จุบนั ๘. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้พุทธวิธีแบบโยนิโสมนสกิ าร (สร้างศรทั ธาและวธิ ีคิดให้กบั ผเู้ รียน) แบบท่ี ๒ ข้นั สืบค้นและขัน้ เช่ือมโยง - ครูผูส้ อนสรา้ งเจตคติทด่ี ตี ่อผู้เรยี น - ครูผสู้ อนเสนอปญั หาทีเ่ ป็นสาระส�ำ คัญ หัวเรื่อง - ครผู ู้สอนแนะแหลง่ วทิ ยาการ แหลง่ ขอ้ มูล แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วิชาวนิ ัย (กรรมบถ)
9 ขั้นฝกึ - ผูเ้ รยี นฝึกการรวบรวมขอ้ มูล - ครผู สู้ อนจดั กจิ กรรมใหเ้ กดิ กระบวนการคดิ แกผ่ เู้ รยี น เชน่ คดิ สบื คน้ ตน้ เคา้ คดิ สบื สาวตลอดสาย คดิ สบื คน้ ต้นปลาย และคิดโยงสายสัมพนั ธ์ - ฝึกการสรุปประเด็น เปรียบเทียบ ประเมนิ คา่ โดยวิธีอภปิ ราย ทดลอง ทดสอบ - ด�ำ เนินการเลอื กและตดั สินใจ - กจิ กรรมฝึกปฏบิ ตั เิ พ่ือพสิ จู น์ผลการเลือกและตดั สนิ ใจ ข้นั ประยกุ ต์ - สังเกตวธิ ีการปฏบิ ตั ิ ตรวจสอบ ปรับปรงุ - อภิปรายและสอบถาม - สรุปบทเรียนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ - วัดและประเมินผลตามสภาพจรงิ ๙. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอิทธิบาท ๔ (พอใจในสิ่งที่เรียนรู้ พากเพียรต่อสิ่งท่ี เรยี นรู้เสมอ ม่งุ ม่นั และเอาใจใส่ตอ่ ส่งิ ทเ่ี รียนรู้ คิดวเิ คราะห์ ไตร่ตรอง กอ่ นน�ำ ไปใช)้ ขัน้ สบื คน้ (ฉนั ทะ) - สรา้ งความพอใจและความสำ�คญั ต่อสิ่งที่เรยี นรู้ และสิ่งท่ีได้รับ ขัน้ เชื่อมโยง (วริ ยิ ะ) - ฟังใหห้ มด จดให้มาก ปากตอ้ งไว ใจต้องคิด (หัวใจบณั ฑิต สุ จิ ปุ ลิ) ข้นั ฝึก (จติ ตะ) - มงุ่ ม่ัน โดยฝึกฟงั มากๆ ฝึกคิดมากๆ ฝึกถามมากๆ และฝกึ เขยี นมากๆ ข้นั ประยุกต์ (วิมงั สา) - พจิ ารณา ไตรต่ รอง แยกแยะ อธบิ าย น�ำ เสนอ และประยุกต์ใช้ การนิยามศพั ทข์ นั้ ตอน/กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้พทุ ธวธิ ี สืบคน้ หมายถึง สบื สาวเร่อื งราว ค้นควา้ ใหไ้ ด้เรือ่ ง เช่ือมโยง หมายถงึ ทำ�ให้ตดิ เป็นเน้อื เดียวกนั ทำ�ให้ประสานกัน ฝกึ หมายถึง ทำ� เช่น บอก แสดง หรือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จนเปน็ นสิ ัยหรือมีความชำ�นาญ ประยุกต์ หมายถงึ นำ�ความร้ใู นวทิ ยาการต่างๆ มาปรับใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชน์ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วิชาวนิ ัย (กรรมบถ)
10 บทที่ ๓ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ และสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๑ รู้และเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา มีศรัทธาท่ีถูกต้อง ยึดม่ันและปฏิบัติ ตามหลกั ธรรม เพอื่ อยู่ร่วมกันอยา่ งสันติสุข มาตรฐาน ธศ ๒ รแู้ ละเข้าใจพทุ ธประวตั ิ ความส�ำ คญั ของพระพทุ ธศาสนา ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนทดี่ ี และธำ�รงรักษาพระพทุ ธศาสนา มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เขา้ ใจ และปฏิบตั ิตนตามหลักพระวินัยบญั ญตั ขิ องพระพทุ ธศาสนา แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชัน้ เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
11 มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้และสาระการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏบิ ตั ิตนตามหลกั พระวินยั บัญญตั ิของพระพุทธศาสนา ช้ัน ผลการเรยี นร้ ู สาระการเรยี นรู้ ธศ เอก รู้และเข้าใจความหมาย ประเภท ๑. ความหมายค�ำ วา่ “กรรมบถ” และความสำ�คัญของกรรมบถ ๒. ประเภทของกรรมบถ ๓. ความส�ำ คญั ของกรรมบถ ร้แู ละเขา้ ใจความหมายและโทษ ๑. ความหมายคำ�ว่า “อกุศลกรรมบถ ๑๐” ของอกุศลกรรมบถ ๑๐ ๒. โทษของอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๓. คุณคา่ ของการละเว้นอกุศลกรรมบถ ๑๐ รูแ้ ละเข้าใจความหมายและอานสิ งส์ ๑. ความหมายค�ำ วา่ “กุศลกรรมบถ ๑๐” ของกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๒. แนวปฏิบตั ติ นตามกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๓. อานสิ งสข์ องกุศลกรรมบถ ๑๐ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชนั้ เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
12 บทที่ ๔ แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษาช้นั เอก ประกอบด้วย แผนการจัดการเรยี นรู้ จ�ำ นวน ๓ แผน ดงั นี้ แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ ๑ ความหมาย ประเภทและความส�ำ คัญของกรรมบถ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๒ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๓ กุศลกรรมบถ ๑๐ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นเอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑ 13 ธรรมศึกษาช้นั เอก สาระการเรียนรู้วิชาวินยั เวลา..............ช่วั โมง เรื่อง ความหมาย ประเภท และความสำ�คญั ของกรรมบถ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เขา้ ใจ และปฏิบตั ติ นตามหลกั พระวินยั บัญญตั ขิ องพระพทุ ธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ ร้แู ละเขา้ ใจความหมาย ประเภท และความส�ำ คญั ของกรรมบถ ๓. สาระสำ�คัญ กรรมบถ เป็นทางของการกระทำ�ที่ประกอบด้วยเจตนา อันจะเป็นเหตุนำ�ไปสู่ทุคติ เรียกว่า อกุศลกรรมบถ หรอื น�ำ ไปสสู่ คุ ติ เรียกว่า กศุ ลกรรมบถ ๔. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นักเรียนอธิบายความหมายและความส�ำ คัญของกรรมบญุ ได้ ๕. สาระการเรียนรู/้ เนือ้ หา ๑. ความหมาย คำ�ว่า “กรรมบถ” ๒. ประเภทของกรรมบถ ๓. ความสำ�คญั ของกรรมบถ ๖. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ขน้ั สบื คน้ และเชือ่ มโยง ๑. ครสู นทนาความรูเ้ ก่ียวกบั ความเชือ่ และหลกั ค�ำ สอนในศาสนาตา่ งๆ เพื่อนำ�ส่คู ำ�ถาม - พระพทุ ธศาสนาสอนใหค้ นเชอ่ื ในเร่ืองใด - สนทนา ส�ำ นวนทว่ี า่ “หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ไดผ้ ลเชน่ นน้ั ” - สนทนา สำ�นวนที่ว่า “ท�ำ ดีไดด้ ี ท�ำ ชวั่ ไดช้ ั่ว” และชว่ ยกันสรปุ ความรูว้ ่าพระพทุ ธศาสนา เช่อื ในกฎแห่งกรรมหรอื การกระทำ� ข้นั ฝกึ ๒. ครูนำ�อภิปรายถึงความหมายของกรรมบถ โดยใช้ความรู้จากขั้นสืบค้นและเช่ือมโยงให้ได้ ความหมายว่า กรรมบถ หมายถึง การกระทำ�ท่ีประกอบด้วยเจตนาหรือความจงใจ ซ่ึงมีทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ เอก วิชาวนิ ัย (กรรมบถ)
14 ๓. นักเรยี นแบ่งกลุ่มศกึ ษาใบความรูท้ ่ี ๑ ช่วยกันวเิ คราะห์ถงึ ทางแห่งการกระทำ�ว่ามี ๒ ประเภท น�ำ เสนอผลงานหน้าชน้ั โดยมคี รูคอยช่วยเหลอื และสรุปเพิม่ เตมิ - กุศลกรรม เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เวน้ จากการพดู เท็จ เวน้ จากการดื่มสรุ า - อกุศลกรรม การฆา่ สตั ว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผดิ ในกาม การพูดเท็จ การดม่ื สุรา ๔. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายถึงความส�ำ คัญของกรรมบถทมี่ ีต่อการด�ำ เนินชวี ิตของมนุษย์ - หากดำ�เนินตามกุศลกรรมบถกจ็ ะได้เสวยผลวิบากอนั เป็นสุข หรอื สุคตภิ มู ิ - หากด�ำ เนนิ ตามอกุศลกรรมบถก็จะไดเ้ สวยผลวบิ ากอันเป็นทกุ ข์ หรอื อบายภูมิ ข้นั ประยกุ ต์ ๕. แบง่ นกั เรยี นออกเปน็ กล่มุ กลุม่ ละ ๕ คน ทำ�ใบกิจกรรมที่ ๑ ๖. สุ่มนกั เรียนออกมานำ�เสนอผลงานหน้าห้องเรยี น และชนื่ ชมกลุม่ นักเรยี นท่ีท�ำ ไดด้ ที ส่ี ดุ ๗. ตรวจผลงาน ๗. ภาระงาน/ช้ินงาน ท่ี ภาระงาน ช้ินงาน ๑ ตอบคำ�ถามเกย่ี วกับความหมาย ประเภท และความสำ�คญั ของกรรมบถ ใบกจิ กรรมท่ี ๑ ๘. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้ ๑. หนังสอื เรยี นธรรมศึกษาชน้ั เอก ๒. ใบความร้ทู ี่ ๑ เรื่องความหมาย ประเภท และความส�ำ คญั ของกรรมบถ ๓. ใบกิจกรรมท่ี ๑ ๙. การวัดผลและประเมนิ ผล สง่ิ ทต่ี ้องการวัด วธิ ีวัด เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ อธิบายความหมายและ - สังเกต - แบบประเมิน ผ่าน = ไดค้ ะแนนตง้ั แต่รอ้ ยละ ๖๐ ขึน้ ไป ความสำ�คัญของกรรมบถได ้ พฤตกิ รรม ผลงาน ไม่ผา่ น = ได้คะแนนต่ํากวา่ รอ้ ยละ ๖๐ - ตรวจผลงาน - แบบสังเกต พฤติกรรม การปฏิบัติ กจิ กรรมกล่มุ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
ข้อ ที่ แบบประเมินผลงาน 15 ๓ คะแนน ใบกิจกรรมที่ ๑ ๑ คะแนน ๑ - ๑๐ ตอบค�ำ ถามถูกตอ้ ง ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ งและ ตรงประเดน็ ระดบั คะแนน ตรงประเด็นน้อย ๒ คะแนน ตอบค�ำ ถามถกู ต้อง ตรงประเดน็ สว่ นใหญ่ เกณฑ์ เกณฑก์ ารตดั สิน คะแนน ผ่าน ๑๘ - ๓๐ ไม่ผ่าน รอ้ ยละ ๐ - ๑๗ ๖๐ ข้นึ ไป ตา่ํ กวา่ ๖๐ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สินสามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกบั กล่มุ เป้าหมาย แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
16 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั กิ จิ กรรมกลุ่ม ขอ้ ท่ี รายก าร ระดบั คะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความรว่ มมือในการ ใหค้ วามร่วมมอื ในการ ใหค้ วามรว่ มมอื ในการ ให้ความรว่ มมอื ในการ ทำ�กจิ กรรม ทำ�กจิ กรรมทุกกิจกรรม ทำ�กจิ กรรมบางกิจกรรม ทำ�กิจกรรมบา้ ง ๒ การแสดง/การรบั ฟัง แสดงความคิดเหน็ และ แสดงความคดิ เหน็ และ แสดงความคิดเห็นและ ความคดิ เห็น รับฟงั ความคดิ เห็นของ รับฟงั ความคดิ เหน็ ของ รับฟงั ความคิดเหน็ ของ คนส่วนมากเปน็ ส�ำ คัญ คนอื่นบา้ ง คนอ่ืนนอ้ ย ๓ การต้ังใจ/การแก้ไข มคี วามต้ังใจและ มีความตั้งใจและ มคี วามตง้ั ใจและ ปัญหาในการทำ�งาน รว่ มแก้ไขปัญหาในการ ร่วมแก้ไขปัญหาในการ รว่ มแกไ้ ขปญั หาในการ ท�ำ งานกลมุ่ ดีมาก ทำ�งานกลุ่มดี ทำ�งานกลุ่มบา้ ง ๔ ความถกู ต้องของ สรุปเนื้อหาไดถ้ ูกตอ้ ง สรปุ เนอ้ื หาได้ถูกตอ้ ง สรปุ เนอื้ หาได้ถกู ต้อง เนื้อหา ตรงประเด็นและ ตรงประเดน็ ตรงประเดน็ บา้ ง ครบถว้ น ๕ วธิ ีการน�ำ เสนอ น�ำ เสนอผลงานได้อย่าง นำ�เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง น�ำ เสนอผลงาน ผลงาน ถกู ต้องตามข้ันตอน ถกู ตอ้ งตามขั้นตอน ตามข้นั ตอนได้บา้ ง นา่ สนใจ และเน้อื หา น่าสนใจ แต่ขาดเนอ้ื หา ครบถว้ น บางส่วน เกณฑก์ ารตัดสิน เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ขนึ้ ไป ๙ - ๑๕ ไมผ่ ่าน ตา่ํ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหต ุ เกณฑ์การตดั สนิ สามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชัน้ เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
17 ใบกิจกรรมท่ี ๑ เรอื่ ง ความหมาย ประเภทและความสำ�คัญของกรรมบถ กลมุ่ ที่.................... ๑. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๒. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๓. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ๔. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๕. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... จงตอบคำ�ถามตอ่ ไปนี้ (๓๐ คะแนน) ๑. พระพุทธศาสนากล่าววา่ สัตว์ทง้ั หลายยอ่ มเป็นไปตาม .................................................................................................................................................................. ๒. คำ�ว่า “กรรม” แปลวา่ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๓. องคป์ ระกอบที่สำ�คญั ทสี่ ดุ ในการกระทำ�กรรมคอื .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๔. กรรมบถ หมายถงึ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๕. กรรมบถ แบ่งออกเปน็ ............ประเภทไดแ้ ก่ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๖. กรรมดอี นั เป็นทางนำ�ไปสูส่ คุ ติ เรียกวา่ ...............................มี...........อย่างได้แก่ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
18 ๗. กรรมชั่วอันเป็นทางนำ�ไปสทู่ ุคติ เรยี กวา่ .................................ม.ี ..........อยา่ งไดแ้ ก่ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๘. ผลของการกระท�ำ ความดี ความชวั่ เรียกวา่ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๙. ค�ำ ว่า “บถ” แปลว่า .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ๑๐. เพราะเหตใุ ดกรรมบถจงึ มคี วามสำ�คัญต่อการด�ำ เนินชีวิตของมนุษย์ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
19 เฉลยใบกิจกรรมที่ ๑ เรอ่ื ง ความหมาย ประเภทและความสำ�คญั ของกรรมบถ ๑. พระพุทธศาสนากล่าววา่ สัตวท์ ง้ั หลายยอ่ มเป็นไปตาม ตอบ กรรม ๒. คำ�ว่า “กรรม” แปลวา่ ตอบ การกระทำ� ๓. องค์ประกอบที่สำ�คญั ทีส่ ุดในการกระท�ำ กรรมคือ ตอบ เจตนา ความจงใจหรือความตงั้ ใจท่ีจะทำ� ๔. กรรมบถ หมายถึง ตอบ การกระทำ�ทป่ี ระกอบดว้ ยเจตนา อนั เปน็ เหตุนำ�ไปสูท่ คุ ตแิ ละสคุ ติ ๕. กรรมบถ แบ่งออกเป็น............ประเภท ไดแ้ ก่ ตอบ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑. อกศุ ลกรรมบถ ๒. กุศลกรรมบถ ๖. กรรมดอี ันเป็นทางน�ำ ไปสูส่ คุ ติ เรยี กว่า........................................ม.ี ..........อยา่ งได้แก่ ตอบ กุศลกรรมบถ มี ๑๐ อยา่ ง ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เวน้ จากท�ำ ชีวติ สตั วใ์ หต้ กล่วง ๒. อทนิ นาทานา เวรมณ ี เวน้ จากถอื เอาสง่ิ ของท่เี จ้าของไมไ่ ดใ้ หด้ ้วยอาการแหง่ ขโมย ๓. กาเมสมุ ิจฉาจารา เวรมณ ี เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๔. มุสาวาทา เวรมณี เวน้ จากพดู เท็จ ๕. ปสิ ณุ าย วาจาย เวรมณี เวน้ จากพดู สอ่ เสยี ด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณ ี เว้นจากพดู ค�ำ หยาบ ๗. สัมผปั ปลาปา เวรมณ ี เว้นจากพดู เพ้อเจอ้ ๘. อนภชิ ฺฌา ไม่โลภอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่พยาบาทปองรา้ ยเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐ ิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
20 ๗. กรรมชว่ั อนั เป็นทางน�ำ ไปสู่ทคุ ติ เรียกวา่ ..................................ม.ี ...........อย่างได้แก่ ตอบ อกุศลกรรมบถ มี ๑๐ อย่าง ๑. ปาณาตบิ าต ทำ�ชวี ิตสตั วใ์ หต้ กล่วง คอื ฆา่ สัตว์ ๒. อทินนาทาน ถือเอาส่ิงของทเ่ี จา้ ของเขาไมไ่ ด้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย ๓. กาเมสมุ ิจฉาจาร ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. มุสาวาท พูดเท็จ ๕. ปสิ ณุ วาจา พูดส่อเสียด ๖. ผรุสวาจา พูดคำ�หยาบ ๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ ๘. อภิชฌา โลภอยากไดข้ องเขา ๙. พยาบาท ปองร้ายเขา ๑๐. มิจฉาทิฏฐ ิ เหน็ ผิดจากคลองธรรม ๘. ผลของการกระท�ำ ความดี ความชว่ั เรยี กว่า ตอบ วบิ าก ๙. คำ�วา่ “บถ” แปลวา่ ตอบ ทางที่ก่อให้เกิดการกระทำ� มี ๓ อย่าง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ซ่ึงนำ�ไปสู่สุคติ หรอื ทุคติ ๑๐. เพราะเหตใุ ดกรรมบถจึงมคี วามสำ�คัญต่อการด�ำ เนินชวี ติ ของมนษุ ย์ ตอบ เพราะถ้าดำ�เนินชีวิตตามทางอกุศลกรรมบถก็ได้รับผลวิบากอันเป็นทุกข์ คือนำ�ไปสู่อบายภูมิ แต่หากดำ�เนนิ ชีวิตตามทางกุศลกรรมบถก็จะได้รบั ผลวบิ ากอนั เป็นสุข คือ ส่สู คุ ติภมู ิ ดังค�ำ สอน ที่ว่า ท�ำ ดไี ดด้ ี ทำ�ชัว่ ไดช้ ่ัว แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชนั้ เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
21 ใบความรทู้ ่ี ๑ ความหมาย ประเภท และความส�ำ คญั ของกรรมบถ ความหมาย ประเภทของกรรมบถ กรรมบถ แยกเปน็ ๒ ศัพท์ คอื “กรรม” และ “บถ” ค�ำ วา่ กรรม แปลวา่ การกระทำ� ซง่ึ การกระท�ำ ทจี่ ะได้ช่ือว่าเปน็ กรรมจะต้องประกอบด้วยเจตนา คอื ความจงใจ หรอื ความต้งั ใจทีจ่ ะทำ� ดงั พระพทุ ธพจนว์ า่ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม ซ่ึงคำ�ว่ากรรมน้ี เปน็ ค�ำ กลางๆ ยงั ไมไ่ ดบ้ ง่ ชว้ี า่ เปน็ กรรมดหี รอื กรรมชว่ั ถา้ เปน็ กรรมดี เรยี กวา่ กศุ ลกรรม ถา้ เปน็ กรรมชวั่ เรยี กวา่ อกุศลกรรม ส่วนค�ำ วา่ บถ แปลวา่ ทาง ที่กอ่ ใหเ้ กิดการกระท�ำ มี ๓ ทาง คอื ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ซงึ่ เปน็ เหตนุ �ำ ไปสสู่ ุคตหิ รอื ทคุ ติ เมื่อรวม ๒ ศัพท์เข้าด้วยกันเปน็ กรรมบถ หมายถงึ ทางของการกระท�ำ ท่ี ประกอบดว้ ยเจตนา อนั จะเปน็ เหตนุ �ำ ไปสทู่ คุ ติ เรยี กวา่ อกศุ ลกรรมบถ หรอื น�ำ ไปสสู่ คุ ติ เรยี กวา่ กศุ ลกรรมบถ พระพุทธศาสนาเป็นกรรมวาที สอนเร่ืองกรรมเป็นหลักสำ�คัญ ดังปรากฏในหลักศรัทธาหรือ หลกั ความเชอ่ื ๔ ประการ ดงั น้ี ๑. กัมมสัทธา คือ เชอ่ื กรรม เช่ือการกระท�ำ เชอ่ื กฎแหง่ กรรม เชือ่ ว่ากรรมมอี ยจู่ ริง คือ เช่ือวา่ เม่ือทำ�อะไรโดยมีเจตนา คือ มีความจงใจในการกระทำ� ย่อมเป็นกรรม หมายถึง การกระทำ�ไม่ว่างเปล่า และผลทต่ี นต้องการจะส�ำ เรจ็ ข้นึ ได้ก็ดว้ ยการกระทำ�เทา่ น้ัน มใิ ช่ได้ด้วยการอ้อนวอน เป็นต้น ๒. วปิ ากสัทธา คือ เชื่อวิบาก เชือ่ ผลของกรรม เช่อื วา่ ผลของกรรมมีจริง หมายถงึ เช่อื ว่ากรรม ทท่ี �ำ แลว้ ตอ้ งมผี ล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชว่ั เกดิ จากกรรมชวั่ ๓. กัมมัสสกตาสัทธา คือ เช่ือความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ ทจี่ ะต้องรับผิดชอบเสวยวิบากอันเปน็ ผลกรรมของตน ๔. ตถาคตโพธิสัทธา คือ เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธะ ทรงมพี ระคุณท้งั ๙ ประการ ตรัสธรรม บัญญตั วิ นิ ยั ไว้ดว้ ยดี ทรงเป็นผ้นู �ำ ทางทแี่ สดง ใหเ้ หน็ วา่ มนษุ ยท์ กุ คน หากฝกึ ตนดว้ ยดี กส็ ามารถเขา้ ถงึ ภมู ธิ รรมสงู สดุ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธหิ์ ลดุ พน้ ได้ ดงั ทพ่ี ระองค์ ไดท้ รงบำ�เพญ็ ไว้เป็นแบบอย่าง ความส�ำ คญั ของกรรมบถ กรรมบถนี้มีความสำ�คัญต่อการดำ�เนินชีวิตของมนุษย์ หากดำ�เนินตามทางอกุศลกรรมบถก็จะได้ เสวยผลวบิ ากอันเปน็ ทุกข์ กล่าวคอื นำ�ไปสอู่ บายภูมิ หากด�ำ เนนิ ตามทางกุศลกรรมบถ ก็จะไดเ้ สวยผลวิบาก อันเป็นสุข กล่าวคอื สุคติภูมิ เนอ่ื งจากอกุศลกรรมบถและกศุ ลกรรมบถน้ใี หผ้ ลตา่ งกนั ดงั พระบาลีวา่ น หิ ธมโฺ ม อธมฺโม จ อโุ ภ สมวปิ ากโิ น อธมฺโม นิรยํ เนต ิ ธมฺโม ปาเปติ สคุ ตึ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชัน้ เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
22 สภาพทง้ั ๒ คือ ธรรม กับ อธรรม มวี ิบากไมเ่ สมอกัน คอื มีวิบากต่างกนั อธรรมนำ�สตั ว์ไปสู่นรก ธรรมน�ำ สตั ว์ให้ถึงสคุ ติ ธมฺมญจฺ เร สจุ รติ ํ น ตํ ทจุ ฺจริตํ จเร ธมฺมจารี สขุ ํ เสต ิ อิมสมฺ ึ โลเก ปรมหฺ ิ จ บคุ คลพึงประพฤตธิ รรมใหส้ ุจริต ไมพ่ งึ ประพฤติธรรมให้ทุจรติ ผูป้ ระพฤติธรรมยอ่ มอยู่เปน็ สุข ทั้งในโลกน้ีและโลกหนา้ ยาทสิ ํ วปเต พชี ํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลยฺ าณการี กลฺยาณ ํ ปาปการี จ ปาปกํ บุคคลหวา่ นพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเชน่ น้ัน ผกู้ ระท�ำ กรรมดี ย่อมได้รบั ผลดี สว่ นผกู้ ระท�ำ กรรมชว่ั ย่อมไดร้ บั ผลช่ัว พระบาลีที่ยกมาเป็นตัวอย่างน้ี แสดงให้เห็นถึงอกุศลกรรมและกุศลกรรมว่ามีผลวิบากต่างกัน บุคคลผู้ประกอบอกุศลกรรมย่อมได้รับผลวิบากเป็นทุกข์ ดังเรื่องสัฏฐิกูฏเปรต เป็นต้น บุคคลผู้ประกอบ กุศลกรรมยอ่ มไดร้ บั ผลวบิ ากเป็นสุข ดังเรอ่ื งลาชเทวธิดา เปน็ ต้น เรือ่ ง สฏั ฐกิ ูฏเปรต ในอดตี กาล ในกรงุ พาราณสี บรุ ุษเปล้ยี คนหนงึ่ มคี วามชำ�นาญในศลิ ปะการดีดกอ้ นกรวด สามารถ ดีดก้อนกรวดใส่ใบไม้ทำ�เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ได้ บุรุษเปล้ียน้ัน ชอบมานั่งใต้ต้นไทรย้อยใกล้ประตูพระนคร เปน็ ประจำ� พวกเด็กชาวบ้านพากันมาให้บุรษุ เปลยี้ ดดี กอ้ นกรวดไปเจาะใบไทรทำ�เปน็ รปู ช้าง รูปม้า เป็นตน้ บุรษุ เปล้ยี กท็ �ำ ตามความตอ้ งการของพวกเด็กๆ พวกเด็กๆ กต็ อบแทนดว้ ยของกินและของขบเคย้ี ว เป็นต้น อย่มู าวนั หนึ่ง พระราชาเสดจ็ ไปสพู่ ระราชอทุ ยาน เสด็จไปถงึ สถานทนี่ น้ั พวกเดก็ ๆ ไดน้ �ำ บุรษุ เปลี้ยไปหลบไว้ ในระหว่างย่านไทรแล้วพากันหนีไป เมื่อพระราชาเสด็จเข้าไปสู่โคนต้นไม้ในเวลาเที่ยงตรง เงาของช่องส่อง ต้องพระสรีระ พระองคฉ์ งนพระทยั ทรงตรวจดดู ้านบน ไดท้ อดพระเนตรเหน็ รปู ชา้ งรูปมา้ เปน็ ตน้ ที่ใบไม้ ทง้ั หลาย จงึ ตรสั ถามว่าใครทำ�ไว้ ทรงทราบวา่ บุรษุ เปลี้ยท�ำ ไว้ จงึ รับส่งั ให้นำ�บุรษุ เปลี้ยนัน้ มาเฝ้าแล้ว ตรสั วา่ “ปุโรหิตของเรา ปากกล้านัก เมื่อเราพูดเพียงนิดหน่อย ก็พูดมากเกินไป ย่อมเบียดเบียนเรา เจ้าสามารถ ดีดมูลแพะประมาณทะนานหนึ่งเข้าในปากของปุโรหิตนั้นได้หรือไม่ บุรุษเปล้ียกราบทูลว่า “ได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงให้คนนำ�มูลแพะมาแล้วประทับน่ังภายในม่านกับปุโรหิต ข้าพระองค์จักทำ�ตามพระประสงค์” พระราชา ได้ทรงรับสั่งให้ทำ�อย่างนั้นแล้ว บุรุษเปล้ียให้เจาะช่องไว้ท่ีม่าน เม่ือปุโรหิตพูดกับพระราชา พออา้ ปากกด็ ดี มลู แพะไปทีละกอ้ นๆ ปโุ รหิตกลืนมลู แพะท่ีเขา้ ปากแล้วๆ ก็พดู ต่อ เมอื่ มลู แพะหมด บุรษุ เปล้ีย จึงส่ันม่าน พระราชาทรงทราบจึงตรัสกับปุโรหิตว่า “อาจารย์ เราพูดกับท่าน จำ�คำ�พูดไม่ได้เลย ท่านแม้ กลืนกินมูลแพะประมาณทะนานหนึ่งแล้วก็ยังไม่หยุดพูด เพราะท่านพูดมากเกินไป” พราหมณ์ได้เป็นผู้เก้อ ต้ังแต่น้ันมาก็ไม่กล้าอ้าปากเจรจากับพระราชาได้ พระราชารับสั่งให้เรียกบุรุษเปลี้ยมาแล้ว ตรัสว่า “เราได้ ความสุขก็เพราะเจ้า” ทรงพอพระทัย จึงพระราชทานวัตถุส่ิงของให้จำ�นวนมาก พร้อมทั้งได้พระราชทาน บา้ นสว่ ย ๔ ตำ�บล ซึ่งตงั้ อยใู่ นทิศทงั้ ๔ แห่งพระนคร แกบ่ ุรุษเปลยี้ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้ันเอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
23 ครง้ั นัน้ บรุ ษุ คนหน่งึ เหน็ บรุ ุษเปลี้ยได้สมบตั ิเช่นน้ัน จงึ คิดว่าตนก็ควรจะเรยี นศิลปะนี้ไว้ จึงเขา้ ไป หาบรุ ษุ เปลีย้ ไหวแ้ ล้วออ้ นวอนขอให้บุรษุ เปล้ียสอนศิลปะดีดกรวดให้ แต่บุรษุ เปลีย้ ไดป้ ฏิเสธ เขาจงึ พยายาม ทำ�ใหบ้ รุ ุษเปลยี้ ยินดีและพอใจ ดว้ ยการนวดมือ นวดเท้า เป็นตน้ อย่เู ปน็ เวลานานและอ้อนวอนอยบู่ ่อยๆ บุรุษเปลี้ยคิดว่าคนผู้นี้มีอุปการะแก่เรามาก ในที่สุดก็ขัดไม่ได้ จึงทำ�การสอนศิลปะดีดกรวด ให้กับเขาจนประสบความสำ�เร็จในศิลปะบอกบุรุษน้ันว่า ผู้ฆ่าแม่โค จะถูกปรับสินไหม ๑๐๐ กหาปณะ ผู้ฆา่ มนษุ ย์ จะถกู ปรับสนิ ไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ ท่านพร้อมทัง้ บุตรและภรรยาไม่อาจจะปลดเปล้อื งสนิ ไหม น้นั ได้ จงอยา่ ได้กระท�ำ เมือ่ ท่านทำ�รา้ ยบคุ คลใด ไมต่ ้องเสียสนิ ไหม ก็จงตรวจดู หาบุคคลที่ไมม่ มี ารดาบิดา ทดลองศิลปะเถิด บุรุษน้ันรับคำ�แล้วเอาก้อนกรวดใส่พกเท่ียวเลือกดูสัตว์บุคคลเพ่ือจะทดลองศิลปะ ก็พบ แต่สตั วแ์ ละบคุ คลทีไ่ ม่สามารถใชท้ ดทองศลิ ปะได้ สมัยน้ัน พระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า สุเนตตะ อาศัยพระนครพักอยู่ในบรรณศาลา บุรุษนั้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาต ยืนอยู่ระหว่างประตูพระนคร จึงคิดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ไมม่ มี ารดาบดิ า เมอ่ื เราดดี ผนู้ ไี้ มต่ อ้ งเสยี สนิ ไหม เราจกั ดดี พระปจั เจกพทุ ธเจา้ นที้ ดลองศลิ ปะ” จงึ ดดี กอ้ นกรวด ไปที่ช่องหูขวาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ก้อนกรวดเข้าไปทางช่องหูขวาทะลุช่องหูซ้าย พระปัจเจกพุทธเจ้า เกดิ ทกุ ขเวทนากล้า ไม่สามารถบณิ ฑบาตต่อไปได้ จึงเหาะไปสู่บรรณศาลาปรนิ ิพพานแล้ว ชนทง้ั หลายเมอื่ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ไมม่ าบณิ ฑบาต กค็ ดิ วา่ ความไมผ่ าสกุ จะมแี กพ่ ระปจั เจกพทุ ธเจา้ จึงพากันไปท่บี รรณศาลา เหน็ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ปรินิพพานแลว้ กพ็ ากันเสยี ใจร้องไห้ คร่าํ ครวญ บุรุษน้ัน เห็นมหาชนพากันไปก็ไปที่บรรณศาลาน้ันด้วย จำ�พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ จึงกล่าวว่า “พระปัจเจกพทุ ธเจา้ นี้ เขา้ ไปบณิ ฑบาต พบกับเราที่ระหวา่ งประตู เราจึงทดลองศลิ ปะดดี กอ้ นกรวดประหาร พระปัจเจกพุทธเจ้านี้” ชนทั้งหลายจึงบอกให้ช่วยกันจับบุรุษน้ันแล้วทุบตีให้ถึงสิ้นชีวิตในท่ีน้ันเอง บุรุษนั้น ได้ไปเกิดในอเวจีมหานรก ถูกไฟนรกเผาไหม้อยู่เป็นเวลาช้านาน จนแผ่นดินใหญ่น้ีหนาข้ึนโยชน์หน่ึง ดว้ ยผลกรรมที่เหลือไดบ้ งั เกิดเปน็ สัฏฐิกูฏเปรต ทย่ี อดภูเขาคชิ ฌกฏู มอี ัตภาพประมาณ ๓ คาวตุ ค้อนเหลก็ ๖ หม่ืนอันไฟติดลุกโพลงแล้ว ตกไปทำ�ลายกระหม่อมของเปรตนั้นแล้ว ศีรษะที่แตกแล้วๆ ย่อมต้ังข้ึนอีก ไดร้ บั ทุกข์ทรมานแสนสาหสั อยอู่ ยา่ งนั้นเป็นเวลานาน เรื่อง ลาชเทวธดิ า ความพิสดารว่า ท่านพระมหากัสสปะ อยู่ในปิปผลิคูหา เข้าฌานแล้ว ออกในวันที่ ๗ ตรวจดูที่ เที่ยวไปเพื่อภกิ ษาดว้ ยทพิ ยจกั ษเุ ห็นหญิงรกั ษานาขา้ วสาลคี นหน่ึง เดด็ รวงขา้ วสาลที ำ�ขา้ วตอกอยู่ พิจารณา เห็นว่าเป็นหญิงมีศรัทธาสามารถทำ�การสงเคราะห์แก่ท่านได้ จึงครองจีวรถือบาตรไปยืนอยู่ท่ีใกล้นาข้าว สาลี นางกุลธิดาเห็นพระเถระก็มีจิตเล่ือมใส มีสรีระซาบช่านด้วยปีติ ๕ อย่าง ได้กล่าวนิมนต์พระเถระ ถือข้าวตอกใส่ลงในบาตรแล้วไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กระทำ�ความปรารถนาว่า “ท่านเจ้าข้า ขอดิฉัน พงึ เปน็ ผมู้ สี ว่ นแหง่ ธรรมทท่ี ่านเหน็ แลว้ ” พระเถระไดท้ �ำ การอนโุ มทนาวา่ “ความปรารถนาอยา่ งนนั้ จงส�ำ เรจ็ ” ฝ่ายนางกุลธิดาไหว้พระเถระแล้ว พลางนึกถึงทานท่ีตนถวายเดินกลับไป ถูกงูพิษกัดล้มลงเสียชีวิตท่ีคันนา แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
24 ไปเกดิ ในวิมานทองประมาณ ๓๐ โยชน์ ในภพดาวดงึ ส์ มีอตั ภาพประมาณ ๓ คาวตุ ประดบั เครอ่ื งอลังการ ทกุ อย่างเหมือนหลับแล้วต่ืนขน้ึ นางนุ่งผ้าทิพย์ประมาณ ๑๒ ศอกผืนหน่ึง ห่มผืนหนึ่ง แวดล้อมด้วยนางอัปสรหนึ่งพันนาง เพอ่ื ประกาศบรุ พกรรม จงึ ยนื อยทู่ ป่ี ระตวู มิ านอนั ประดบั ดว้ ยขนั ทองค�ำ เตม็ ดว้ ยข้าวตอกทองค�ำ หอ้ ยระย้าอยู่ ตรวจดูสมบัติของตน ใคร่ครวญด้วยทิพยจักษุได้ทราบสมบัติท่ีได้น้ัน เพราะผลแห่งการถวายข้าวตอกแก่ พระมหากสั สปเถระ จงึ คดิ วา่ “เราไดส้ มบตั เิ ชน่ นี้ เพราะกศุ ลกรรมเพยี งเลก็ นอ้ ย จงึ ไมค่ วรประมาท จกั ท�ำ วตั ร ปฏบิ ตั แิ กพ่ ระเถระ ท�ำ สมบตั นิ ใี้ หถ้ าวร” จงึ ถอื ไมก้ วาดและกระเชา้ ส�ำ หรบั เทขยะไปกวาดบรเิ วณโดยรอบทพ่ี กั ของพระเถระ ตั้งนา้ํ ฉันน้าํ ใช้ไว้แต่เชา้ ตรู่ พระเถระเห็นแล้วเข้าใจว่าเป็นวัตรท่ีภิกษุหรือสามเณรทำ�ไว้ แม้ในวันที่ ๒ นางก็ได้ทำ�อย่างนั้น พระเถระก็เข้าใจเชน่ นั้นเหมือนเดมิ แต่ในวันที่ ๓ พระเถระไดย้ ินเสียงไมก้ วาด และเห็นแสงสว่างจากสรรี ะ ฉายเข้าไปทางช่องลกู ดาล จึงเปดิ ประตอู อกมาถามว่า “ใคร กวาดอย”ู่ นางตอบว่า “ดฉิ นั เป็นผู้อปุ ฏั ฐายกิ า ของทา่ น ชื่อว่า ลาชเทวธดิ า” พระเถระบอกว่า อปุ ฏั ฐายิกาของเราชอื่ น้ี ไม่มี นางจงึ เรียนความเป็นมาให้พระเถระทราบ พระเถระกล่าวว่า เธอจงหลีกไปเสีย วัตรที่เธอทำ�แล้วก็ถือว่าได้ทำ�แล้ว ต้ังแต่บัดน้ีเป็นต้นไป เธออย่ามาทน่ี ี่อกี นางเทวธิดากล่าวอ้อนวอนหลายคร้ังว่าขอให้ตนได้ทำ�วัตรแก่พระเถระ เพื่อทำ�สมบัติท่ีได้แล้ว ให้มัน่ คง แตพ่ ระเถระก็ปฏิเสธขอใหน้ างไปเสยี ไม่ให้มาท�ำ อยา่ งนัน้ อีก นางเทวธดิ าไมอ่ าจดำ�รงอยู่ในท่ีนัน้ ได้ จงึ เหาะขึน้ ไปในอากาศ ประคองอญั ชลยี ืนร้องไหค้ ร่ําครวญอยใู่ นอากาศ พระพุทธเจ้า ประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎี ทรงสดับเสียงนางเทวธิดานั้นร้องไห้ ทรงแผ่พระรัศมี ดุจประทับนั่งตรัสอยู่เบ้ืองหน้าของนางเทวธิดา ตรัสว่า “เทวธิดา การทำ�ความสังวร เป็นภาระของกัสสปะ ผเู้ ปน็ บตุ รของเรา แตก่ ารก�ำ หนดวา่ สงิ่ ใดเปน็ ประโยชนแ์ ลว้ มงุ่ กระท�ำ แตบ่ ญุ นนั้ เปน็ ภาระของผมู้ คี วามตอ้ งการ ด้วยบุญท้งั หลาย เพราะการท�ำ บญุ เปน็ เหตใุ ห้เกิดสุขอยา่ งเดียว ทั้งในโลกนี้ ทง้ั ในภพหนา้ การให้ผลของกรรม กฎแห่งกรรมกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ผู้ทำ�ดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำ�ช่ัวย่อมได้รับผลชั่ว” ส่วนผล แหง่ กรรมทจ่ี ะไดร้ บั นน้ั ก�ำ หนดไว้ในกรรม ๑๒ แบ่งเป็น ๓ กล่มุ คอื กลมุ่ ทีใ่ หผ้ ลตามกาลเวลา กลมุ่ ทใ่ี หผ้ ล ตามหนา้ ที่ และกล่มุ ทใ่ี หผ้ ลหนกั เบา ดังนี้ กลุม่ ท่ี ๑ กรรมทีใ่ ห้ผลตามกาลเวลา มี ๔ อย่าง คือ ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ใหผ้ ลในปจั จบุ ัน ๒. อปุ ปชั ชเวทนยี กรรม กรรมท่ีให้ผลในชาติหน้า ๓. อปราปรยิ เวทนียกรรม กรรมท่ีให้ผลในชาตติ อ่ ๆ ไป ๔. อโหสิกรรม กรรมที่ให้ผลแล้ว กรรมท่ีเลิกแล้วต่อกัน เป็นอโหสิกรรมต่อกัน ซ่ึงเป็นกรรมท่ี เลก็ น้อยและเป็นกรรมทตี่ ามไม่ทัน เช่น ผทู้ �ำ กรรมได้บรรลมุ รรคผลนพิ พานไปแล้ว แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ เอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
25 กลมุ่ ท่ี ๒ กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ มี ๔ อย่าง คือ ๑. ชนกกรรม กรรมที่ทำ�หนา้ ท่ีส่งให้ไปเกิด มนุษย์ สัตว์ที่เกิดมาล้วนมีชนกกรรมด้วยกันทั้งน้ัน ส่วนจะเป็นชนกกรรมฝ่ายกุศลหรืออกุศล ก็ข้ึนอยู่ผู้กระทำ� ถ้าเป็นฝ่ายกุศลก็ส่งผลให้เกิดมาดี ถ้าเป็น ฝ่ายอกุศลกส็ ่งผลใหเ้ กิดมาไม่ดี ๒. อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน ถ้าเป็นอุปัตถัมภกกรรมฝ่ายดี ก็จะสนับสนุน ชนกกรรม ฝ่ายดใี ห้ดีย่ิงข้นึ ถ้าเป็นอุปตั ถมั ภกกรรมฝา่ ยไมด่ ี กจ็ ะสนบั สนุนชนกกรรมฝ่ายไม่ดใี หเ้ ลวรา้ ยลงไปอีก ๓. อปุ ปฬี กกรรม กรรมบบี คน้ั ถา้ เปน็ อปุ ปฬี กกรรมฝา่ ยชว่ั กจ็ ะบบี คน้ั ชนกกรรมและอปุ ตั ถมั ภกกรรม ฝ่ายดใี หแ้ ปรเปลีย่ นเป็นไม่ดี ถ้าเปน็ อุปปฬี กกรรมฝ่ายดี กจ็ ะบีบค้นั ชนกกรรม และอุปตั ถมั ภกกรรมฝ่ายไม่ดี ใหก้ ลบั เป็นฝา่ ยดี ๔. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน ถ้าเป็นอุปฆาตกกรรมฝ่ายไม่ดี ก็จะตัดรอนชนกกรรมและ อุปตั ภกกรรมฝ่ายดใี หเ้ ป็นฝ่ายไม่ดี เช่น เกิดมาในตระกูลสูง มียศศักด์ิทรพั ย์สินบรวิ าร แต่ภายหลงั กลับตกตํ่า ยากจน สิ้นยศสิ้นตำ�แหน่งหรือไม่ก็อายุสั้นพลันตายจากไป ไม่ได้ใช้ทรัพย์สินเงินทอง ถ้าเป็นอุปฆาตกกรรม ฝ่ายดี ก็จะตัดรอนชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมฝ่ายไม่ดีให้เป็นฝ่ายดี เช่น เกิดมาในตระกูลต่ํา ยากจน แตก่ ลับสรา้ งตนสรา้ งฐานะให้ราํ่ รวยได้ หรอื มตี �ำ แหนง่ ยศศักดิ์สงู ได้ กล่มุ ท่ี ๓ กรรมท่ใี ห้ผลหนัก - เบา มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. ครุกรรม กรรมหนัก จะให้ผลก่อนกรรมอื่น ถ้าเป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล เช่น อนันตริยกรรม ก็จะใหผ้ ลก่อนกรรมอน่ื ถ้าเปน็ ครกุ รรมฝา่ ยกศุ ล เชน่ ฌาน สมาบตั ิ กจ็ ะให้ผลกอ่ นกรรมอนื่ เชน่ กนั ๒. พหุลกรรมหรืออาจิณกรรม กรรมท่ีทำ�มากหรือกรรมท่ีทำ�เป็นอาจิณ แม้กรรมน้ันจะไม่หนัก แต่เม่ือทำ�บ่อยๆ หรือทำ�เป็นประจำ� ก็จะให้ผลรองมาจากครุกรรม กรณีท่ีไม่มีครุกรรม พหุลกรรมหรือ อาจิณกรรมกจ็ ะให้ผลก่อน ๓. อาสันนกรรม กรรมจวนเจียนหรือกรรมใกล้ตาย กรรมประเภทน้ีส่วนใหญ่จะเป็นมโนกรรม หรือเวลาใกล้จะตายคิดถึงกรรมใดเป็นอารมณ์ กรรมน้ันก็จะส่งผลให้ไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป คิดถึง กรรมดกี ไ็ ปเกดิ ในสุคติ ถ้าคิดถึงกรรมไม่ดีกจ็ ะไปเกิดในทคุ ติ ๔. กตัตตากรรม กรรมท่ีสักแตว่ า่ กระทำ�หรอื กรรมท่ที ำ�ดว้ ยเจตนาออ่ น กรรมประเภทน้จี ะให้ผล ทหี ลงั กรรมอืน่ เมอ่ื กรรมอื่นไมม่ แี ลว้ กตัตตากรรมจึงจะใหผ้ ล จะเห็นได้ว่า บุคคลจะประสบความทุกข์หรือความสุข ขึ้นอยู่กับผลแห่งกรรม คือ การกระทำ� ไม่ได้ข้ึนอยู่กับโชคดีหรือโชครา้ ย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำ�นาจภายนอกหรืออำ�นาจดวงดาวใดๆ แท้ที่จริงขึ้นอยู่กับ ผลกรรมทเ่ี ราไดส้ งั่ สมไวใ้ นอดตี ชาตติ ดิ ตามมาใหผ้ ลในปจั จบุ นั และการทบี่ คุ คลไดร้ บั ความสขุ หรอื ความทกุ ข์ ในปจั จุบัน กข็ ึน้ อยกู่ ับกรรมในอดีตดว้ ย ตอ้ งยอมรับการกระทำ�ในวัน ในเดือน ในปี และในชาตทิ ีผ่ ่านมาวา่ เปน็ สงิ่ ทเ่ี ราท�ำ ไว้เอง และสิง่ ทเ่ี ราทำ�ในปจั จุบันกจ็ ะไดร้ ับผลในอนาคต ตามกฎแหง่ กรรม ในคัมภีร์มัชฌิมนิกายได้กล่าวถึงกรรมจำ�แนกสัตว์ให้แตกต่างกัน ดังพระบาลีว่า “กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย” แปลว่า “กรรมย่อมจำ�แนกสัตว์โลกให้แตกตา่ งกัน คือ ให้เลวทรามและ ประณตี ” ในข้อนี้มเี รอ่ื งปรากฏอยู่ในคัมภรี อ์ รรถกถาของคัมภรี ์จูฬกัมมวภิ งั คสตู รวา่ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
26 ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่น้ัน ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อโตเทยยพราหมณ์ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปัสเสนทิโกศล เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาลถึง ๘๗ โกฏิ ไม่เคยให้อะไรกับใครเลย ไม่เคยใส่บาตรแม้แต่ทัพพีเดียว ดอกไม้สักกำ�มือหน่ึงก็ไม่เคยถวายพระ ไม่เคย ไหวพ้ ระสงฆ์ แม้พระพุทธเจา้ เขากไ็ ม่นับถอื เปน็ คนตระหนมี่ าก ยึดถอื คติวา่ สะสมทรพั ย์ไว้ให้มากๆ แลว้ จะ ร่าํ รวย เขามบี ตุ รชายคนเดียวช่อื สุภมาณพ ท้ังที่มบี า้ นอยู่ใกลว้ ดั พระเชตวัน โตเทยยพราหมณไ์ ดส้ อนลกู ถงึ วิธที ี่จะท�ำ ให้รา่ํ รวยแบบน้ี จึงกล่าวไวว้ ่า อญฺชนานํ ขยํ ทสิ ฺวา อปุ จกิ านญฺจ อาจยํ มธนู ญฺจ สมาหาร ํ ปณฺฑิโต ฆรมาวเส. ซ่งึ แปลวา่ “บณั ฑิตเหน็ ความสน้ิ เปลอื งแห่งยาหยอดตา ความก่อแห่งปลวกท้งั หลาย และความสะสมแหง่ ผึ้งทง้ั หลาย พึงอย่คู รองเรือน” หมายความว่า นํ้ายาในหลอดยาหยอดตาแม้จะหยอดลงไปทีละหยดๆ น้ํายาก็หมดลงได้ ในขณะท่ีตัวปลวกสร้างจอมปลวกขนดินกันมาทีละเล็กละน้อยนานๆ เข้าก็ทำ�ให้จอมปลวกใหญ่โตได้ หรอื ตัวผึ้งท�ำ น้าํ หวานในรงั ทำ�นานๆ เขา้ กไ็ ด้นาํ้ หวานเตม็ รังผง้ึ ได้ ฉนั น้ัน ควรจะครองเรือนดว้ ยวธิ ีนี้ พราหมณน์ ้ีสอนลูกวา่ “ลูกเอ๋ย เจ้าจงดตู ัวอยา่ งยาหยอดตานะลกู ยาหยอดตาน้ีมันลงทลี ะหยดๆ ในท่ีสุดก็หมดได้ ทรัพย์สมบัติของเราก็เหมือนกัน จ่ายไปทีละกากณิก ทีละกหาปณะ ในท่ีสุดก็หมด ถ้ามันไม่เพ่ิมเขา้ มา” แล้วก็สอนต่อไปวา่ “เจ้าจงดูตัวอย่างปลวกซิลูก ปลวกนั้นนำ�ดินมาด้วยปากทีละนิดๆ ในท่ีสุดก็มีมากได้ และเจ้าจงดูตัวอย่างผึ้งซิลูก ตัวผ้ึงน้ันมันขยัน มันนำ�น้ําหวานจากเกสรดอกไม้ทีละนิดๆ แลว้ ทำ�เป็นนา้ํ ผง้ึ ในรังไดม้ าก เจา้ จงเอาตัวอยา่ งผ้ึง” วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นป่วยหนักและตายจากไป โดยยังไม่ทันบอกท่ีฝังขุมทรัพย์แก่ลูกชาย ดว้ ยความเปน็ หว่ งทรพั ยน์ น้ั ครน้ั ตายแลว้ จงึ ไปเกดิ เปน็ สนุ ขั อยใู่ นบา้ นนน้ั เอง ลกู สนุ ขั โตขนึ้ ตามล�ำ ดบั สภุ มาณพ เห็นลูกสุนัขเกิดใหม่ เป็นลูกสุนัขน่ารัก ไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเกิดมาเป็นสุนัขก็เอามาเล้ียงไว้ด้วยความรัก คือคนท่ีเคยเป็นพ่อเป็นลูกกันในชาติก่อนน้ัน ย่อมเกิดความรักกันได้ง่าย เพราะลูกสุนัขเป็นสัตว์น่ารัก เขาเลี้ยงลูกสุนัขตัวน้ีอย่างดี เวลานอนก็ไม่ให้นอนบนที่นอนธรรมดา แต่ยกไปนอนท่ีนอนอันเป็นสิริ ใหค้ นเล้ียงดอู ยา่ งดี วนั หนงึ่ พระพทุ ธเจา้ ทรงตรวจดสู ตั วโ์ ลกเพอื่ จะแสดงธรรม เมอ่ื ทรงตรวจดไู ปในตอนใกลร้ งุ่ ไดเ้ หน็ ลูกสุนัขน้ันจึงทรงดำ�ริว่า ถ้าพระองค์มายังบ้านสุภมาณพนี้ จะเกิดอะไรข้ึน พระองค์ก็ทรงย้อนไปดูว่า มีเร่ืองนั้นๆ จะเกิดข้ึนแล้วสุภมาณพนี้จะได้นับถือพระพุทธศาสนา ส่วนพราหมณ์ซึ่งไปเกิดเป็นสุนัขน้ัน เม่ือตายจักไปตกนรกเพราะกรรมของตน ปกตพิ ระพทุ ธเจา้ เมอ่ื เสดจ็ ไปบณิ ฑบาต จะตอ้ งมพี ระอานนทต์ ามเสดจ็ แตใ่ นวนั นนั้ ไมม่ พี ระอานนท์ เสด็จแต่ผู้เดียวออกบิณฑบาต ไปประทับยืนอยู่หน้าบ้านของสุภมาณพนั้น วันนั้นสุภมาณพไม่อยู่ ออกไป นอกบา้ นดว้ ยธรุ ะบางอย่าง เมอื่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาประทับยนื อย่หู น้าบ้านของสภุ มาณพนน้ั กไ็ มม่ ีใครเขาใส่บาตร แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั เอก วิชาวินัย (กรรมบถ)
27 เพราะเขาไม่นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์เสด็จไปประทับยืนอยู่ท่ีหนา้ บ้าน ทรงถือบาตรก็ไม่ได้มุ่ง หมายวา่ จะบณิ ฑบาต แตม่ ่งุ โปรดสุภมาณพเทา่ น้นั ในบ้านน้ัน ลูกสุนัขนั้นเห็นพระพุทธเจ้ามาประทับยืนอยู่ก็เห่าแสดงความไม่พอใจที่พระมายืนอยู่ หน้าบา้ น พระพุทธเจ้าเมอ่ื ทอดพระเนตรเห็นลูกสุนัขนัน้ เขา้ มาก็ตรสั วา่ “โตเทยยพราหมณ์ เจา้ เม่ือชาตกิ อ่ น ดูหมิ่นเรา จึงมาเกิดเปน็ ลกู สุนขั ชาตนิ ้เี จ้ามาดหู มิ่นเราอีก เจ้าตายจากนี้แล้วจะไปเกิดในอเวจีนรก” ลกู สนุ ขั นนั้ ฟงั เสยี งพระพทุ ธเจา้ กท็ ราบวา่ “พระสมณโคดม จ�ำ เราได”้ เกดิ รอ้ นใจขน้ึ จงึ ไดว้ ง่ิ คอตก เข้าไปในบ้านแทนท่ีจะไปนอนบนท่ีนอนอันสวยงามของตนท่ีสุภมาณพผู้เป็นนายจัดให้ แต่กลับไปนอน บนกองขเ้ี ถา้ ทก่ี ลางเตาไฟ คนทง้ั หลายพยายามจบั ดงึ ขน้ึ ไปนอนบนทน่ี อนพเิ ศษทนี่ ายจดั ไวก้ ไ็ มย่ อม ไดไ้ ปนอน ท่ีเดิมน่ันเอง พระพุทธเจ้าตรัสแล้วก็เสด็จไปยังวัดเชตวัน ฝ่ายสุภมาณพเม่ือกลับมาจากธุระ มาเห็นลูกสุนัข ของตนไปนอนอยู่บนกองขี้เถ้าในเตาไฟก็ดุคนใช้ไม่พอใจโดยพูดว่า “ใครเอาลูกสุนัขของฉันมาอยู่บนกอง ขเ้ี ถ้าในเตาไฟน่”ี คนทัง้ หลายบอกว่า “เขามานอนเอง พยายามยกขึน้ เขากไ็ มไ่ ป” สุภมาณพถามวา่ “เพราะเหตุใด” คนใชบ้ อกวา่ “วนั นี้ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาประทบั ยนื อยหู่ นา้ บา้ น ลกู สนุ ขั นไี้ ปเหา่ พระพทุ ธเจา้ ตรสั อย่างนน้ั ๆ แล้วลูกสนุ ัขนพี้ อฟงั เข้าก็มานอนบนกองขี้เถ้านั้น ยกข้นึ ไปเทา่ ไรกไ็ มก่ ลับไปท่ีเดมิ ” สุภมาณพ พอได้ฟังคนใช้รายงานอย่างนั้นก็โกรธทันที หาว่าพระพุทธเจ้าดูหมิ่นพ่อของตน ว่าพ่อของตนเกิดมาเป็นสุนัข แท้ท่ีจริงพ่อของตนนั้นไปเกิดในพรหมโลกอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่เกิดเป็นสุนัข พระสมณโคดมทำ�พ่อของเราให้เปน็ สนุ ัข พระสมณะรปู นีพ้ ดู พลอ่ ย สุภมาณพ เมื่อโกรธแล้วก็ไปวัดพระเชตวัน ไปต่อว่าพระพุทธองค์ทีเดียว เมื่อไปถึงก็ยืนไม่ไหว้ ไดท้ ูลถามวา่ “พระองคเ์ สด็จไปทีบ่ า้ นของข้าพระองค์ใช่ไหมวนั น้ี” พระพทุ ธเจ้าตรัสตอบวา่ “ใช่” สุภมาณพทูลถามว่า “พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าบิดาของข้าพระองค์ไปเกิดเป็นสุนัข เป็น การดถู กู บดิ าของขา้ พระองค์ พวกพราหมณบ์ อกวา่ บดิ าของขา้ พระองคเ์ กดิ ในพรหมโลก ไมใ่ ชม่ าเกดิ เปน็ สนุ ขั อยา่ งน้”ี พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สุภมาณพ ถ้าเจ้าต้องการจะรู้ มีข้อพิสูจน์อยู่ มีทรัพย์สมบัติของบิดา อย่บู ้างไหมที่บดิ าของเจ้าเมอื่ ใกลต้ ายน้นั ไม่ไดบ้ อกไว”้ สภุ มาณพทลู ว่า “ม”ี พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าเจ้าต้องการจะพิสูจน์เรื่องนี้ ทดสอบก็ได้ วันนี้เจ้ากลับไปจากน้ีแล้ว ให้ เอาลกู สนุ ขั ของเจ้ากนิ อาหารใหอ้ ม่ิ ดว้ ยข้าวมธปุ ายาสมนี า้ํ นอ้ ย เมอ่ื อม่ิ แลว้ ใหเ้ ขานอนสกั ครหู่ นง่ึ พอนอนแลว้ เจ้าจงไปกระซิบที่ใกล้หูถามว่า นี่พ่อ ทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้น้ัน ฝังไว้ที่ไหน แล้วสุนัขตัวนี้จะวิ่งไปที่ฝังทรัพย์ แล้วเอาเท้าตะกายท่ีฝังทรัพย์ เจ้าก็จงให้คนขุดลงไปเถิด เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าจะพึงรู้จักสุนัขตัวน้ันเขาคือ บดิ าของเจา้ ” สุภมาณพได้ฟงั ดงั นั้น ก็นกึ กระหยิ่มอยู่ในใจดว้ ยเหตุ ๒ ประการ “ถา้ เกิดจริงข้นึ มา เรากไ็ ดท้ รัพย์ ถ้าเราพิสจู นแ์ ลว้ ไมจ่ ริง เราจะโพนทะนาใหท้ วั่ เมืองเลยว่า สมณะองค์นพี้ ดู ไม่จรงิ ไมไ่ ดข้ าดทุนตรงไหน” แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
28 เพราะฉะนั้น เขารบี กลบั ไปบ้าน ไปทำ�ตามทีพ่ ระพุทธเจา้ ตรัสบอกไว้ คือ ให้ลูกสุนัขของตนกนิ ข้าว มธุปายาสมีนํ้าน้อย อ่ิมแล้วให้นอน พอนอนแล้วเขาก็ไปกระซิบท่ีหู ถามว่าทรัพย์ฝังไว้ที่ยังไม่ได้บอกอยู่ ทีไ่ หน สนุ ขั นั้นพอถูกถามอยา่ งนั้นก็รทู้ ันทเี ลยว่า “โอ้ ลูกของเรานร้ี ูแ้ ลว้ วา่ เรามาเกดิ เปน็ สุนขั ” แล้วก็หอนขึ้น วิ่งไปท่ีฝังทรัพย์ เอาเท้าหน้าท้ังสองตะกายขุดลงไปท่ีฝังทรัพย์ ได้ให้สัญญาณบ่งให้ทราบว่าทรัพย์อยู่ตรงนี้ เพราะการทต่ี ัวเองเกดิ เปน็ สุนขั น้กี ็เพราะเปน็ หว่ งทรพั ยน์ ี่เอง เมื่อสุนขั ไปตะกายที่น้นั สุภมาณพกใ็ หค้ นขุดลงไปตรงนั้น พอขดุ ลงไปก็น่าพศิ วงแท้ ของทพี่ บนน้ั เป็นของมีคา่ ทง้ั ส้นิ คอื พวงมาลัย พวงดอกไม้ทองคำ� มคี ่าหนงึ่ แสนกหาปณะ รองเท้าทองค�ำ มีค่าหน่งึ แสน กหาปณะ จานทองค�ำ มีคา่ หนึง่ แสนกหาปณะ สุภมาณพพอเห็นเข้าอยา่ งนน้ั ก็อทุ านในใจทันทีเลย “ออื้ ฮือ สง่ิ ทพ่ี บชาตปิ ดิ ไว้ พระองคน์ ี้ กย็ งั ทรงทราบได้ ฉะนนั้ พระองคไ์ มใ่ ชพ่ ระธรรมดาแนแ่ ลว้ ตอ้ งเปน็ พระสพั พญั ญู แน่นอน เพราะสง่ิ ทภี่ พชาตปิ ดิ บังไว้ กย็ ังทรงทราบได้” ทีนช้ี กั จะเล่ือมใสแล้ว สุภมาณพจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงท่ีประทับ ถวายบังคมแล้วก็ทูลถามว่า “ทำ�ไมคนเราเกิดมา จึงไม่เหมือนกัน” ปัญหาที่สุภมาณพถามน้ันเป็น ๑๔ ข้อ แต่จัดเป็น ๗ คู่ ปัญหาทุกข้อล้วนเกี่ยวกับ กฎแหง่ กรรมท้งั สิน้ ดังน้ี ค่ทู ี่ ๑ ถามวา่ ท�ำ ไมบางคนอายสุ ้นั บางคนอายุยืน คู่ท่ี ๒ ถามว่า ท�ำ ไมบางคนมโี รคภยั ไขเ้ จ็บมาก บางคนไม่มโี รคภยั ไขเ้ จบ็ คทู่ ี่ ๓ ถามว่า ทำ�ไมบางคนรูปไมส่ วย ผิวพรรณทราม แต่บางคนเกดิ มารูปสวย ค่ทู ่ี ๔ ถามว่า ทำ�ไมบางคนมีศักด์ิต่ํา หรือไม่มียศถาบรรดาศักด์ิ แต่บางคนเกิดมามีศักด์ิสูง คือ มียศต�ำ แหน่งสูง คู่ที่ ๕ ถามวา่ ท�ำ ไมบางคนยากจน บางคนร่าํ รวย คูท่ ี่ ๖ ถามวา่ ทำ�ไมบางคนเกดิ ในสกุลตํา่ บางคนเกดิ ในสกลุ สงู คทู่ ่ี ๗ ถามว่า ทำ�ไมบางคนเกิดมาโง่ บางคนเกิดมาฉลาด เป็นปัญหา ๗ คู่ รวม ๑๔ ขอ้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบสุภมาณพ โดยทรงขยายความกฎแห่งกรรมไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ค่อนขา้ งยาว แต่ในท่ีนีข้ อกล่าวเพียงโดยย่อ คทู่ ี่ ๑ ถามว่า การทค่ี นเราเกิดมามีอายุส้ัน ก็เพราะเมื่อชาตปิ างกอ่ นเปน็ คนชอบฆา่ สัตว์ตัดชีวติ ไมม่ ีศลี ๕ ดว้ ยอำ�นาจผลของการฆ่าสตั วต์ ดั ชีวติ ทำ�ใหเ้ ขาไปตกนรกหมกไหม้ เสวยทกุ ขอ์ ยู่ เม่อื หมดกรรมนั้น กม็ าเกิดเป็นมนษุ ย์ ด้วยอำ�นาจเศษกรรมทีย่ งั เหลอื อยู่ท�ำ ใหเ้ ขาอายสุ ัน้ เพราะเขาเคยฆา่ สัตว์ สว่ นคนทเี่ กดิ มามอี ายยุ นื กเ็ พราะเมอื่ ชาตกิ อ่ นเขาเปน็ คนมศี ลี ๕ มศี ลี ธรรม เมอ่ื เขาตายจากมนษุ ย์ โลกกไ็ ปเกดิ ทดี่ มี คี วามสขุ เชน่ ไปเกดิ ในสวรรค์ เมอื่ พน้ จากภมู นิ นั้ แลว้ มาเกดิ เปน็ มนษุ ย์ บญุ ของเขายงั หนนุ อยู่ ท�ำ ใหเ้ ขาอายุยืน แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันเอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
29 คทู่ ี่ ๒ ถามว่า การที่บางคนเกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บมาก ก็เพราะเม่ือชาติก่อนน้ัน เป็นคนชอบ เบียดเบียนฆ่าสัตว์ทรมานสัตว์ กักขังสัตว์ ทำ�ร้ายคนอ่ืน สัตว์อ่ืนให้เดือดร้อน ให้ทรมาน ให้เจ็บป่วย เมื่อ เขาตายไปกไ็ ปตกนรก เมือ่ พน้ จากนรกแล้วกก็ ลับมาเกดิ เป็นมนษุ ย์ ด้วยอ�ำ นาจเศษกรรมทยี่ งั เหลอื อย่ทู ำ�ให้ เขาเจ็บไข้ไดป้ ว่ ย สขุ ภาพเสื่อมโทรม มคี วามสุขนอ้ ย ส่วนคนท่ีเกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บน้อยหรือไม่มี ก็เพราะชาติก่อนน้ันเขาเป็นคนมีเมตตาต่อสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ เอ็นดูสัตว์ มีศีลธรรม มีเมตตากรุณา เม่ือเขาตายจากไปก็ไปเกิดในท่ีดีมีความสุข เช่น เกิดในสวรรค์ เมอื่ กลบั มาเกิดเป็นมนษุ ย์ เขาจงึ มสี ุขภาพดี ไม่มโี รคภัยไขเ้ จ็บ คู่ท่ี ๓ ถามว่า ท�ำ ไมบางคนเกิดมารปู ไม่สวย ก็เพราะเมอ่ื ชาติกอ่ นเปน็ คนมกั โกรธ มีความโกรธ เป็นเจ้าเรือน เม่ือตายไปแล้วก็ไปเกิดในอบาย มีนรก เป็นต้น เม่ือมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนหน้าตา ไมส่ วยงาม ขีเ้ หร่ เพราะชาตกิ อ่ นเป็นคนมักโกรธ สว่ นคนทีเ่ กิดมารปู สวย เพราะชาติกอ่ นเป็นคนมีเมตตากรณุ า ไม่ขี้โกรธ เมอ่ื เขาไปเกิดในสวรรค์ แล้วกลบั มาเกดิ เปน็ มนุษย์ เขาจงึ มีหนา้ ตาสวยงาม รูปหลอ่ รปู สวย เพราะมเี มตตา เป็นคนไมข่ โี้ กรธ คูท่ ่ี ๔ ถามว่า ทำ�ไมบางคนเกิดมามีวาสนาน้อย ไม่มียศมีตำ�แหน่งกับเขา เป็นคนต้อยต่ํา ก็เพราะเม่อื ชาติกอ่ น เขาเปน็ คนรษิ ยาคนอน่ื เม่อื ใครเขาไดด้ ีทนอยู่ไม่ได้ รษิ ยาเขา เพราะฉะนนั้ เมอ่ื เกิดมา ในชาติปัจจุบันจึงเป็นคนมีศักด์ิตํ่า ไม่มียศ ไม่ค่อยมีตำ�แหน่ง ถ้ามียศมีตำ�แหน่งก็มักจะอยู่ในตำ�แหน่งตํ่า อยู่เสมอ เพราะเป็นคนริษยาเขา ส่วนคนทเี่ กดิ มาไดร้ บั ต�ำ แหนง่ สูง เพราะเม่ือชาตกิ ่อนน้นั ไม่ริษยาคนอื่นเขา ใครได้ดีก็พลอยยนิ ดี กบั เขา จึงเกิดมาได้ต�ำ แหน่งสงู เพราะไมร่ ิษยาเขา คู่ที่ ๕ ถามว่า ทำ�ไมคนบางคนเกิดมายากจน ก็เพราะเม่ือชาติก่อนเขาเป็นคนตระหน่ีถี่เหนียว ไมร่ ้จู กั บริจาคทาน จึงเกิดมายากจน สว่ นคนทเี่ กดิ มารา่ํ รวย ไดพ้ อ่ แมร่ าํ่ รวย เกดิ มาในตระกลู ทรี่ าํ่ รวย กเ็ พราะเมอื่ ชาตกิ อ่ นนนั้ เขาเปน็ คนทีบ่ ริจาคทาน ยินดีในการบรจิ าค ไมต่ ระหนี่ถเ่ี หนียว คู่ที่ ๖ ถามว่า ทำ�ไมคนบางคนเกิดมาในสกุลตํ่า ก็เพราะเมื่อชาติก่อน เป็นคนไม่อ่อนน้อม ถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ เป็นคนแข็งกระด้าง เมอ่ื ตายไปกไ็ ปเกิดในอบายมีนรก เปน็ ตน้ เมือ่ กลบั มาเกดิ เป็นมนุษย์ จึงเกิดในสกุลต่าํ คทู่ ่ี ๗ ถามว่า ทำ�ไมคนบางคนจึงเกิดมาโง่ พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสตอบว่า เพราะเมื่อ ชาติปางก่อนน้ัน เป็นคนไม่เข้าไปไต่ถามหาความรู้ต่อสมณพราหมณ์ต่อผู้ประพฤติดี ผู้รู้คุณธรรมหรือ มีความประพฤติชอบดูถูกดูแคลนผู้ประพฤติธรรม รวมถึงคนอื่นๆ ชอบด่ืมสุราให้ขาดสติอยู่เป็นประจำ� เมอ่ื เกิดมาจงึ เป็นคนโงเ่ ขลาปญั ญาทบึ หรอื แม้แต่พกิ ารทางปัญญา ส่วนคนที่เกิดมามีปัญญาฉลาด เพราะเข้าไปไต่ถามหาความรู้ต่อสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ถามถึงบาปบุญคุณโทษและไม่ยอมยุ่งเก่ียวกับอบายมุขใดๆ อันก่อให้เกิดโทษ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เขาจึง เกิดมามีปญั ญา แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชนั้ เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
30 เวลา..............ชวั่ โมง แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี ๒ ธรรมศึกษาช้ันเอก สาระการเรยี นรูว้ ชิ าวินัย เร่อื ง อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏิบตั ิตนตามหลกั พระวนิ ยั บญั ญัตขิ องพระพุทธศาสนา ๒. ผลการเรียนรู้ รแู้ ละเข้าใจความหมายและโทษของอกุศลกรรมบถ ๑๐ ๓. สาระสำ�คญั อกศุ ลกรรมบถ คือ ทางแห่งกรรมท่ีเป็นอกศุ ล ทางแห่งกรรมชัว่ หรือกรรมชั่วอันเปน็ ทางน�ำ ไปสู่ ทคุ ติ มี ๑๐ อยา่ ง จ�ำ แนกเป็น กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ และมโนกรรม ๓ ๔. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๑. นกั เรียนอธบิ ายความหมายของอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ได้ ๒. นักเรยี นบอกโทษของอกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ ๕. สาระการเรียนร้/ู เนื้อหา ๑. ความหมายคำ�ว่า “อกุศลกรรมบถ ๑๐” ๒. โทษของอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๓. คุณคา่ ของการละเว้นอกุศลกรรมบถ ๑๐ ๖. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ข้ันสืบค้นและเชือ่ มโยง ๑. ครนู �ำ ขา่ วจากหนงั สอื พมิ พ์ เปน็ ขา่ วอาชญากรรมหรอื ขา่ วสงั คมมาใหน้ กั เรยี นอา่ นและวพิ ากษ์ วิจารณ์ เพอื่ เปน็ การนำ�เข้าสบู่ ทเรียน ข้นั ฝกึ ๒. ครนู ำ�อภปิ รายถงึ “อกุศลกรรมบถ ๑๐” ในหัวข้อ - ความหมาย - ทางแห่งอกุศลกรรมบถ ๑๐ มอี ะไรบ้าง ๓. ครูนำ�ตัวอย่าง ภาพข่าวมาวิเคราะห์ ว่าเป็นอกุศลกรรมบถ ๑๐ ในข้อใด และมีโทษ ต่อการดำ�เนินชวี ิตของเราอย่างไรบ้าง ๔. ครูนำ�อภปิ รายถงึ คณุ ค่าของการละเว้นจากอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ตอ่ การดำ�เนนิ ชีวติ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชนั้ เอก วิชาวนิ ัย (กรรมบถ)
31 ขั้นประยุกต์ ๕. แบง่ นกั เรยี นออกเปน็ ๔ กลมุ่ กลมุ่ ละ ๕ คน ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาใบความรทู้ ่ี ๒ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ และท�ำ ใบกจิ กรรมที่ ๒ และ ๓ ๖. สุ่มนกั เรยี นออกมานำ�เสนอผลงานหน้าชนั้ เรยี น โดยครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปสาระสำ�คัญ ๗. ครูตรวจใบกิจกรรมพรอ้ มทง้ั อธบิ ายเพิม่ เติม ๘. นกั เรยี นและครชู ่วยกันสรุปบทเรยี น ๗. ภาระงาน/ชนิ้ งาน ท ่ี ภาระงาน ชนิ้ งาน ใบกิจกรรมที่ ๒ ๑ ตอบค�ำ ถามเก่ยี วกบั อกุศลกรรมบถ ๑๐ ใบกจิ กรรมที่ ๓ ๒ ระดมความคิด อภิปราย สรุปโทษของอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ และคุณค่าของการละเวน้ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๘. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ ๑. หนังสือเรยี นธรรมศกึ ษาชน้ั เอก ๒. ขา่ วหนงั สือพิมพ์ ๓. ใบความรทู้ ี่ ๒ เรื่อง อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๔. ใบกิจกรรมท่ี ๒ ๕. ใบกจิ กรรมที่ ๓ ๙. การวดั ผลและประเมินผล สิ่งทต่ี อ้ งการวัด วธิ วี ัด เครอื่ งมอื เกณฑ์การประเมิน ๑. อธิบายความหมาย - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผา่ น = ไดค้ ะแนนตง้ั แตร่ ้อยละ ๖๐ ขึน้ ไป ของอกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ ผลงาน ไมผ่ า่ น = ไดค้ ะแนนตา่ํ กวา่ รอ้ ยละ ๖๐ ๒. บอกโทษของ - สงั เกต - แบบสังเกต ผา่ น = ไดค้ ะแนนต้งั แตร่ ้อยละ ๖๐ ขึ้นไป อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ได้ พฤติกรรม พฤติกรรม ไม่ผ่าน = ได้คะแนนตาํ่ กว่ารอ้ ยละ ๖๐ การปฏิบัติ กจิ กรรมกลมุ่ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้นั เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
32 ขอ้ ท่ี แบบประเมนิ ผลงาน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ใบกจิ กรรมท่ี ๒ ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ งและ ๑ - ๑๑ ตอบคำ�ถามถูกต้อง ตรงประเด็นนอ้ ย ตรงประเด็น ระดบั คะแนน ๒ คะแนน ตอบคำ�ถามถกู ตอ้ ง ตรงประเดน็ สว่ นใหญ่ เกณฑ์ เกณฑ์การตดั สิน คะแนน ผ่าน ๒๐ - ๓๓ ไมผ่ ่าน รอ้ ยละ ๐ - ๑๙ ๖๐ ข้ึนไป ต่ํากว่า ๖๐ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตัดสินสามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
33 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบัตกิ ิจกรรมกลุ่ม ข้อ ที ่ รายก าร ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความร่วมมือในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ใหค้ วามรว่ มมอื ในการ ให้ความร่วมมือในการ ท�ำ กิจกรรม ทำ�กิจกรรมทุกกจิ กรรม ท�ำ กจิ กรรมบางกจิ กรรม ทำ�กิจกรรมบา้ ง ๒ การแสดง/การรบั ฟงั แสดงความคิดเห็นและ แสดงความคดิ เห็นและ แสดงความคดิ เหน็ และ ความคดิ เห็น รับฟงั ความคดิ เห็นของ รบั ฟังความคิดเหน็ ของ รบั ฟงั ความคดิ เห็นของ คนส่วนมากเปน็ สำ�คญั คนอ่นื บา้ ง คนอ่นื น้อย ๓ การต้งั ใจ/การแก้ไข มคี วามตัง้ ใจและ มคี วามตง้ั ใจและ มีความตง้ั ใจและ ปัญหาในการทำ�งาน ร่วมแก้ไขปัญหาในการ รว่ มแก้ไขปัญหาในการ ร่วมแกไ้ ขปญั หาในการ ทำ�งานกลมุ่ ดมี าก ทำ�งานกล่มุ ดี ท�ำ งานกลมุ่ บา้ ง ๔ ความถกู ต้องของ สรปุ เนอ้ื หาไดถ้ ูกตอ้ ง สรุปเนอ้ื หาไดถ้ ูกตอ้ ง สรุปเนอื้ หาไดถ้ ูกต้อง เนอื้ หา ตรงประเดน็ และ ตรงประเด็น ตรงประเด็นบา้ ง ครบถ้วน ๕ วธิ กี ารนำ�เสนอ นำ�เสนอผลงานได้อยา่ ง น�ำ เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง นำ�เสนอผลงาน ผลงาน ถูกต้องตามข้ันตอน ถูกตอ้ งตามขนั้ ตอน ตามขนั้ ตอนไดบ้ า้ ง น่าสนใจ และเนื้อหา นา่ สนใจ แต่ขาดเนอ้ื หา ครบถ้วน บางสว่ น เกณฑ์การตัดสนิ เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ข้นึ ไป ๙ - ๑๕ ไมผ่ า่ น ตํา่ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตัดสนิ สามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
34 ใบกจิ กรรมท่ี ๒ เรอ่ื ง อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ กล่มุ ที่.................... ๑. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๒. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๓. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๔. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ๕. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... จงตอบคำ�ถามต่อไปนี้ (๓๓ คะแนน) ๑. อกศุ ลกรรมบถ คอื ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๒. เม่อื โทสะเกิดข้ึน หากเราระงับไม่ได้ จะทำ�ให้กระทำ�ผดิ อกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๓. บคุ คลที่พูดจาหาสาระไมไ่ ด้ เปน็ พฤตกิ รรมของคนทที่ �ำ ผิดอกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๔. คำ�วา่ “จบั ปลาสองมอื ” เปน็ พฤติกรรมของอกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๕. การพูดยยุ งใหแ้ ตกสามัคคี เปน็ พฤตกิ รรมของอกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๖. สุภาษติ ท่วี ่า “ปากปราศรัย นํา้ ใจเชอื ดคอ” เปน็ พฤตกิ รรมของอกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
35 ๗. ค�ำ กล่าวท่วี า่ “เหน็ กงจกั รเปน็ ดอกบวั ” เปน็ พฤตกิ รรมของอกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๘. นายแดงมีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ทำ�ให้คนในชุมชนเข้าใจรัฐผิดเช่นนี้ จัดเป็น อกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๙. เมอ่ื อภิชฌาเกิดขน้ึ บ่อยๆ อาจเปน็ สาเหตใุ หค้ นกระท�ำ อกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๐. น้าํ ตาลพูดจาไมส่ ภุ าพ แขง็ กร้าวกบั พ่ีชาย การกระทำ�ของนํา้ ตาลจดั เป็นอกุศลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๑. เหตุผลส�ำ คัญที่ทำ�ให้คนในสงั คมปจั จบุ นั ไมเ่ ช่ือในเรอื่ งบุญ-บาป เพราะอกศุ ลกรรมบถใด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ เอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
36 ใบกิจกรรมท่ี ๓ เรือ่ ง โทษของอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ กล่มุ ที่.................... ๑. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๒. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๓. ชอื่ ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.ี่ .......................... ๔. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๕. ชอื่ ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... คำ�ส่งั ใหน้ กั เรยี นระดมความคิด อภปิ ราย สรปุ โทษของอกุศลกรรมบถ ๑๐ (๑๕ คะแนน) (ค�ำ ตอบอยู่ในดลุ ยพินจิ ของผ้สู อน) ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ เอก วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ)
37 เฉลยใบกจิ กรรมที่ ๒ เรอ่ื ง อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๑. อกุศลกรรมบถ คือ ตอบ ทางแหง่ กรรมท่ีเปน็ อกศุ ล ทางแหง่ ความช่ัว หรือกรรมชั่วอนั เปน็ ทางน�ำ ไปสทู่ ุคติ ๒. เมอ่ื โทสะเกดิ ขึ้น หากเราระงับไมไ่ ด้ จะท�ำ ให้กระท�ำ ผิดอกุศลกรรมบถใด ตอบ ขอ้ ๑ ปาณาตบิ าต ฆา่ สตั ว์ ๓. บุคคลทีพ่ ูดจาหาสาระไมไ่ ด้ เป็นพฤติกรรมของคนทท่ี ำ�ผิดอกุศลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๗ สมั ผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ ๔. ค�ำ วา่ “จับปลาสองมอื ” เป็นพฤติกรรมของอกุศลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๓ กาเมสมุ ิจฉาจาร ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕. การพดู ยยุ งใหแ้ ตกสามัคคี เป็นพฤติกรรมของอกุศลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๕ ปสิ ุณวาจา พูดส่อเสียด ๖. สภุ าษิตทวี่ า่ “ ปากปราศรัย นํา้ ใจเชอื ดคอ” เปน็ พฤตกิ รรมของอกศุ ลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๙ พยาบาท คิดปองรา้ ยผู้อ่ืน ๗. คำ�กลา่ วท่ีวา่ “ เหน็ กงจกั รเปน็ ดอกบัว” เป็นพฤตกิ รรมของอกศุ ลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๑๐ มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลองธรรม ๘. นายแดงมีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ทำ�ให้คนในชุมชนเข้าใจรัฐผิดเช่นน้ี จัดเป็น อกุศลกรรมบถใด ตอบ ขอ้ ๔ มุสาวาท พดู เท็จ ๙. เม่อื อภชิ ฌาเกดิ ขนึ้ บอ่ ยๆ อาจเปน็ สาเหตใุ ห้คนกระท�ำ อกุศลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๒ อทินนาทาน ลกั ทรัพย์ ๑๐. นํ้าตาลพดู จาไมส่ ุภาพ แข็งกร้าวกบั พช่ี าย การกระทำ�ของนา้ํ ตาลจัดเปน็ อกุศลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๖ ผรุสวาจา พูดคำ�หยาบ ๑๑. เหตุผลสำ�คญั ที่ท�ำ ใหค้ นในสงั คมปัจจบุ นั ไมเ่ ชื่อในเร่ืองบุญ-บาป เพราะอกศุ ลกรรมบถใด ตอบ ข้อ ๑๐ มจิ ฉาทิฏฐิ เห็นผดิ จากคลองธรรม แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั เอก วิชาวนิ ยั (กรรมบถ)
38 ใบความรทู้ ่ี ๒ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ อกุศลกรรมบถ คือ ทางแหง่ กรรมทีเ่ ปน็ อกศุ ล ทางแหง่ กรรมชว่ั หรือกรรมชว่ั อนั เป็นทางน�ำ ไปสู่ ทุคติ มี ๑๐ อยา่ ง จ�ำ แนกเป็น กายกรรม ๓ วจกี รรม ๔ และมโนกรรม ๓ ดังนี้ กายกรรม ๓ ไดแ้ ก่ ๑. ปาณาตบิ าต การฆา่ สัตว์ ๒. อทินนาทาน การลักทรพั ย์ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจาร การประพฤตผิ ดิ ในกาม วจีกรรม ๔ ได้แก่ ๑. มสุ าวาท การพูดเทจ็ ๒. ปิสณุ วาจา การพดู ส่อเสียด ๓. ผรุสวาจา การพูดคำ�หยาบ ๔. สมั ผปั ปลาปะ การพูดเพ้อเจ้อ มโนกรรม ๓ ไดแ้ ก่ ๑. อภชิ ฌา การเพ่งเล็งอยากได้ของผอู้ ื่น ๒. พยาบาท การคดิ ปองร้ายผู้อื่น ๓. มิจฉาทฏิ ฐิ การเหน็ ผดิ จากคลองธรรม กายกรรม ๓ กายกรรม หมายถึง การกระทำ�ทางกาย คือ ทำ�กรรมด้วยกายทั้งกรรมดีและกรรมช่ัว จัดเป็น กายกรรมทง้ั ส้นิ การกระทำ�ชั่วทางกาย มี ๓ อย่าง คือ ปาณาติบาต การฆ่าสตั ว์ อทนิ นาทาน การลักทรพั ย์ และ กาเมสมุ ิจฉาจาร การประพฤตผิ ิดในกาม ๑. ปาณาติบาต การฆ่าสตั ว์ ความเสียหายของปาณาติบาต ชีวิตเป็นสิ่งสำ�คัญที่สุดของสัตว์ท้ังหลาย หากไม่มีชีวิตเสียแล้ว ฐานะทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ช่ือว่า ไม่มีชีวิต จึงเป็นเจ้าของของทุกส่ิงทุกอย่าง และเป็นส่ิงท่ีสัตว์ทุกรูปทุกนามหวงแหนที่สุด การทำ�ลายชีวิต เทา่ กับเปน็ การทำ�ลายทกุ สิง่ ทกุ อย่าง ปาณาติบาต คือ การฆ่าสัตว์ หมายรวมไปถึงการทำ�ร้าย การทรกรรมสัตว์ คำ�ว่าสัตว์ในที่น้ี หมายถงึ สิ่งมชี ีวติ ทกุ ชนดิ กิรยิ าทปี่ ระพฤตกิ ้าวล่วงตอ่ ชีวติ สตั ว์ มี ๓ ประการ ดังน้ี แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ช้ันเอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
39 ๑. การฆ่า ๒. การท�ำ ร้ายร่างกาย ๓. การทรกรรม การฆ่า การฆ่า หมายถึง การท�ำ ชีวิตสตั ว์ใหต้ กลว่ งไป ไดแ้ ก่ การท�ำ ใหต้ าย วัตถุ คือ ผู้ถูกฆ่า มี ๒ อย่าง คือ มนุษย์และสัตว์เดียรัจฉาน โดยท่ีสุดหมายถึง มนุษย์และ สตั วเ์ ดยี รัจฉานท้ังทอ่ี ยูใ่ นครรภแ์ ละนอกครรภ์ เจตนาของผ้ฆู ่า มี ๒ อย่าง คอื จงใจฆา่ และไมจ่ งใจฆา่ การฆ่าสำ�เร็จดว้ ยความพยายาม เรยี กว่า ปโยคะ มี ๒ อยา่ ง คือ ฆ่าเองและใชใ้ หผ้ ู้อื่นฆ่า การใช้ ใหผ้ ู้อ่นื ฆา่ ทงั้ ผู้ใชแ้ ละผู้ถกู ใช้ มีโทษและความผิดฐานฆ่าผูอ้ ื่นเหมอื นกนั การท�ำ รา้ ยรา่ งกาย การทำ�ร้ายร่างกาย หมายถึง การทำ�ร้ายผู้อื่น โดยการทำ�ให้พิการ เสียโฉม หรือเจ็บลำ�บาก แต่ไม่ถึงกบั เสียชีวิต การท�ำ ให้พกิ าร คือ การทำ�ใหเ้ สยี อวยั วะ เช่น ทำ�ให้เสยี นยั นต์ า เสยี แขน เสียขา เป็นตน้ การทำ�ให้เสียโฉม คือ การทำ�ร้ายร่างกายให้เสียความสวยงาม แต่ไม่ถึงพิการ เช่น ใช้มีดกรีด หรือไม้ทบุ ตใี ห้เป็นแผลเป็น เป็นต้น การท�ำ ให้เจบ็ ลำ�บาก คอื การท�ำ ร้ายรา่ งกายใหเ้ จบ็ ปวด เป็นทกุ ข์ทรมาน การทำ�ร้ายรา่ งกายทงั้ หมดน้ี เป็นอนโุ ลมปาณาตบิ าต การทรกรรม การทรกรรมนี้ มุ่งเฉพาะการทำ�แก่สัตว์เดียรัจฉาน เพราะมนุษย์ไม่เป็นวัตถุอันใครๆ จะพึง ทรกรรมได้ การทรกรรม คือ การทำ�ให้สัตว์ได้รับความลำ�บาก ประพฤติเหี้ยมโหดแก่สัตว์ โดยขาด ความเมตตากรุณา มีลกั ษณะดังนี้ ใชก้ าร หมายถึง การใชส้ ัตว์ไม่มีความเมตตาปรานี ปลอ่ ยใหอ้ ดอยากซูบผอม ไมใ่ หก้ นิ ไม่ให้นอน ไมใ่ หห้ ยดุ พกั ผอ่ นตามกาล ขณะใชง้ านกเ็ ฆย่ี นตที �ำ ร้ายรา่ งกายโดยไมม่ เี มตตาจติ หรอื ใชก้ ารเกนิ ก�ำ ลงั ของสตั ว์ เช่น ใหเ้ ข็นภาระหนักเกนิ ก�ำ ลัง เปน็ ต้น กักขัง หมายถึง การกักขังสัตว์ให้อดอยาก อิดโรย หรือผูกรัดไว้จนไม่สามารถจะผลัดเปล่ียน อิริยาบถได้ นำ�ไป หมายถึง การผูกมัดสัตว์แล้วนำ�ไปโดยวิธีทรมาน เช่น ลากหรือหิ้วเป็ด ไก่ สุกรเอาหัวลง และเอาเท้าขน้ึ ทำ�ใหส้ ัตวไ์ ดร้ บั ความทุกข์ทรมานอยา่ งยิง่ เล่นสนุก หมายถึง การทรมานสัตว์ด้วยความสนุกสนาน เช่น ใช้ประทัดผูกหางสุนัขแล้วจุดไฟ เพ่ือให้สนุ ัขตกใจและวง่ิ สุดชวี ิต หรือการใช้ก้อนหนิ กอ้ นดนิ ขว้างปาสตั ว์ เพ่ือความสนกุ ของตน ผจญสัตว์ หมายถึง การนำ�สัตว์มาต่อสู้กัน ทำ�ให้สัตว์เหน็ดเหนื่อยและได้รับทุกข์ทรมาน เช่น ชนโค ชนกระบือ ชนแพะ ชนแกะ ตไี ก่ กดั ปลา กดั จ้ิงหรีด เป็นต้น แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้ันเอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
40 หลกั วนิ ิจฉยั การฆ่าสตั วท์ ีส่ ำ�เร็จเปน็ ปาณาตบิ าต ถงึ ความเปน็ อกุศลกรรมบถ มีองค์ ๕ คือ ๑. ปาโณ สัตวม์ ีชีวิต ๒. ปาณสญญฺ ฺิตา รู้วา่ สัตวม์ ีชวี ิต ๓. วธกจติ ตฺ ํ จิตคิดจะฆ่า ๔. อปุ กฺกโม พยายามฆา่ ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนัน้ การฆา่ สตั วน์ ี้ ทางพระพทุ ธศาสนารวมถงึ การฆา่ ตวั เองดว้ ย เพราะการฆา่ ตวั เองนนั้ เปน็ ปาณาตบิ าต ครบองค์ของปาณาตบิ าตท้งั ๕ ขอ้ เช่นเดียวกนั โทษของปาณาตบิ าต อรรถกถาไดว้ างหลกั วนิ จิ ฉัยการฆ่าวา่ จะมโี ทษมากหรอื น้อยไว้ ๔ ประการ คอื ๑. คุณ ฆ่าสัตว์มีคุณมากก็มีโทษมาก ฆ่าสัตว์มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณก็มีโทษน้อย เช่น ฆา่ พระอรหนั ต์มีโทษมากกว่าฆา่ ปถุ ุชน ฆ่าสัตวช์ ่วยงานมโี ทษมากกวา่ ฆา่ สตั ว์ดุรา้ ย เป็นตน้ การฆา่ บดิ ามารดา การฆา่ พระอรหนั ตม์ บี าปหนกั เปน็ อนนั ตรยิ กรรม หา้ มสวรรคห์ ้ามนพิ พาน การฆ่าคนท่ีมีคุณ เช่น พระอริยบุคคลที่ต่ํากว่าพระอรหันต์หรือกัลยาณชน ผู้รักษาศีล ปฏบิ ตั ิธรรมหรือคนทีป่ ระกอบคุณงามความดีตอ่ สังคมกม็ ีบาปมาก แตน่ อ้ ยกว่าการทำ�อนนั ตรยิ กรรม การฆา่ คนทว่ั ไปกม็ บี าปเชน่ เดียวกัน แต่น้อยกว่าการฆ่าคนที่มคี ณุ การฆา่ คนท่ไี รศ้ ลี ธรรมและเป็นภัยแกค่ นอน่ื กจ็ ัดวา่ เปน็ บาป แต่นอ้ ยกวา่ การฆ่าคนทั่วไป กล่าวโดยสรปุ แลว้ การฆา่ คนลว้ นเปน็ บาปท้ังสน้ิ ๒. ขนาดกาย สำ�หรับสัตว์จำ�พวกเดียรัจฉานที่ไม่มีคุณเหมือนกัน ฆ่าสัตว์ใหญ่ก็มีโทษมาก ฆา่ สตั วเ์ ลก็ กม็ โี ทษน้อย เพราะการฆา่ สตั ว์ท่มี ขี นาดรา่ งกายใหญ่กวา่ ต้องใช้ความพยายามในการฆา่ มากกว่า ๓. ความพยายาม มีความพยายามมากในการฆ่ากม็ โี ทษมาก มคี วามพยายามนอ้ ยก็มโี ทษนอ้ ย ความพยายามในการฆา่ ความพยายามมากยอ่ มมบี าปมาก ความพยายามนอ้ ยยอ่ มมบี าปนอ้ ย ความพยายามในการฆ่านั้นๆ เกิดความสูญเสียต่อชีวิตมากย่อมมีบาปมาก เช่น การฆ่าด้วยวิธีการที่ทรมาน คือท�ำ ให้ตายอย่างลำ�บาก หวาดเสยี ว ใหเ้ กดิ ความช้าํ ใจ ฆา่ ดว้ ยวธิ ีพสิ ดาร หรือการฆา่ ด้วยการใชเ้ ทคโนโลยี ตัวอย่างการใชร้ ะเบดิ อาวุธชวี ะเคมี ท�ำ ให้เกิดความสูญเสียมากยอ่ มมบี าปมาก ๔. กิเลสหรือเจตนา มีกเิ ลสหรือเจตนาแรงก็มโี ทษมาก มีกิเลสหรอื เจตนาออ่ นก็มโี ทษนอ้ ย เชน่ ฆ่าดว้ ยโทสะหรอื จงใจเกลยี ดชังมโี ทษมากกวา่ ฆา่ ดว้ ยปอ้ งกันตวั เป็นต้น เจตนาในการฆ่าด้วยอำ�นาจโลภะ โทสะ โมหะ หากมีเจตนาแรงกล้าย่อมมีบาปมาก หากเจตนาอ่อนย่อมมีบาปน้อย เช่น การฆ่าด้วยการเห็นแก่อามิสสินจ้างรางวัล การฆ่าด้วยความอำ�มหิต โหดเห้ียมเคียดแค้นพยาบาท การฆ่าด้วยความเป็นมิจฉาทิฏฐิ การฆ่าโดยไม่มีเหตุผล หรือการฆ่าเพ่ือ ความสนุกสนาน ย่อมมีบาปมากน้อยลดหล่ันกันไป ในกรณีท่ีไม่มีเจตนาก็ไม่บาป ดังเรื่องพระจักขุบาล แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นเอก วชิ าวินัย (กรรมบถ)
41 เถระซ่ึงมีจักษุบอดทั้งสองข้าง เดินจงกรมเหยียบแมลงเม่าตายเป็นจำ�นวนมาก แต่ไม่มีเจตนาท่ีจะฆ่า ดังท่ี พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นช่ือว่าเจตนาเป็นเหตุให้ตายของพระขีณาสพทั้งหลาย มิได้มี” นอกจากน้นั ผูฆ้ ่าสตั ว์ ยอ่ มได้รบั กรรมวิบาก ๕ สถาน คือ ๑. ยอ่ มเกิดในนรก ๒. ย่อมเกดิ ในกำ�เนิดสัตวเ์ ดยี รจั ฉาน ๓. ยอ่ มเกิดในก�ำ เนิดเปรตวสิ ัย ๔. ยอ่ มเป็นผ้มู ีอวัยวะพกิ าร ๕. โทษเบาที่สดุ หากเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเปน็ ผู้มีอายสุ ั้น ตัวอยา่ งโทษของปาณาติบาต เร่ืองนายโคฆาตก์ เล่ากันว่า ในครั้งพุทธกาล พระนครสาวัตถี มีชายคนหนึ่งช่ือ โคฆาตก์ มีอาชีพฆ่าโคขายเนื้อ เล้ียงชีวิต เป็นเวลา ๕๕ ปี ตลอดเวลาท่ีเขาทำ�อาชีพน้ี ไม่เคยบริจาคทานและรักษาศีลเลย ถา้ วนั ใดขาดเนอ้ื จะไมย่ อมรบั ประทานอาหารเลย วนั หน่งึ นายโคฆาตก์ขายเน้อื ตอนกลางวนั แล้ว มอบเนอื้ ส่วนหน่ึงใหภ้ รรยาไว้ท�ำ กบั ขา้ ว เสรจ็ แล้ว ไปอาบนํ้า ขณะน้ันเพื่อนของเขาคนหนึ่งมีแขกมาท่ีบ้านไม่มีกับข้าวต้อนรับ จึงมายังบ้านของนายโคฆาตก์ ขอซ้ือเน้ือกับภรรยานายโคฆาตก์เพ่ือนำ�ไปทำ�อาหารต้อนรับแขก ภรรยานายโคฆาตก์ไม่ยอมขายให้ เพราะ ไมม่ ีเน้อื สำ�หรับขาย มแี ต่เนื้อที่เกบ็ ไวท้ �ำ อาหารใหส้ ามีเทา่ นั้น เพราะทราบดีวา่ นายโคฆาตก์ขาดเนือ้ เสยี แล้ว จะไมย่ อมรบั ประทานอาหาร แตเ่ พ่ือนของนายโคฆาตกก์ ็ไม่ยอมฟงั ไดห้ ยบิ ฉวยเอาเน้อื นั้นไปโดยพลการ นายโคฆาตก์อาบนํ้าแล้วกลับมา ภรรยาจึงคดข้าวเพื่อให้เขากินกับผักต้ม และได้เล่าเหตุการณ์ ท่ีเกิดข้ึนให้เขาฟัง เขาไม่ยอมรับประทานอาหาร ได้หยิบฉวยมีดอันคมกริบเดินเข้าไปหาโคตัวหน่ึง สอดมือเข้าไปในปากดึงล้ินออกมาแล้วเอามีดตัดจนขาด นำ�มาให้ภรรยาทำ�กับข้าว โคตัวนั้นก็ส้ินใจตาย ดว้ ยความเจบ็ ปวดทรมาน เม่ือกับข้าวเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มรับประทานอาหาร ทันทีที่เขาใส่ช้ินเน้ือเข้าไปในปาก ล้ินของเขา ก็ได้ขาดตกลงไปในชามข้าว ได้รับผลกรรมทันตาเห็น เพราะการทำ�ปาณาติบาตด้วยจิตใจท่ีเห้ียมโหด เลือดไหลออกจากปาก เขาเท่ียวคลานไปในบ้านและร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเหมือนโค ตายแล้ว ไปเกดิ ในอเวจนี รก ๒. อทนิ นาทาน การลักทรัพย์ ความเสยี หายของอทินนาทาน ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยความชอบธรรม เป็นสิทธิของบุคคลที่เป็นเจ้าของ เพื่อใช้เล้ียงชีพ ของตนและครอบครวั ใหม้ คี วามสุขตามอัตภาพ กอ่ ให้เกิดความภาคภูมใิ จ ความรัก และหวงแหน ไมต่ ้องการ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั เอก วิชาวินยั (กรรมบถ)
42 ให้ใครมาล่วงละเมิดในกรรมสิทธิ์ของตนเอง การลักขโมยเป็นการล่วงละเมิดอย่างร้ายแรงต่อทรัพย์สิน อันเป็นกรรมสิทธ์ิของเขา ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นล้วนแล้วแต่เกิดมาจากอทินนาทานทั้งส้ิน ส่งผลให้ไม่ได้รับ ความเช่ือถือไว้วางใจท้ังในระดับบุคคลและระดับนานาชาติ นอกจากน้ียังก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม ทางดา้ นทรพั ย์สินอกี ดว้ ย อทินนาทาน การลักทรัพย์นั้น คือ การกระทำ�โจรกรรมโดยตรง หมายถึง การถือเอาส่ิงของ ท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ท้ังที่เป็นสวิญญาณกทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ท่ีมีวิญญาณ เช่น โค กระบือ เป็นต้น และ อวิญญาณกทรัพย์ หมายถึง ทรพั ย์ท่ีไม่มีวญิ ญาณ เช่น แกว้ แหวน เงนิ ทอง เป็นตน้ ส่ิงของทม่ี ิใช่ของใคร แตม่ ผี ู้รกั ษาหวงแหน ได้แก่ สงิ่ ของทีอ่ ทุ ศิ บชู าปชู นียวตั ถุ สิ่งของท่ีเปน็ สมบตั ิของส่วนรวม ดว้ ยอาการเปน็ โจร นอกจากนย้ี ังรวมถึงกริ ิยาท่ีกา้ วลว่ งทรพั ยส์ มบตั ขิ องผอู้ ่นื ๓ ประการ คอื ๑. โจรกรรม ๒. อนโุ ลมโจรกรรม ๓. ฉายาโจรกรรม เฉพาะอนุโลมโจรกรรมกับฉายาโจรกรรมนั้น ต้องพิจารณาถึงเจตนาของผู้กระทำ�ด้วย ถ้าเจตนา กระทำ�ให้เขาเสียกรรมสิทธ์ิ กถ็ ือว่าเป็นการลกั ทรพั ย์ โจรกรรม หมายถึง การลัก การขโมย การปล้น หรือกิริยาท่ีถือเอาส่ิงของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วย อาการเปน็ โจร มีหลายประเภท จะพรรณนาพอเป็นตัวอยา่ ง ดังนี้ ๑. ลกั ไดแ้ ก่ เอาสง่ิ ของทเี่ ขาไมใ่ หไ้ ปดว้ ยอาการซอ่ นเรน้ คอื กริ ยิ าทถ่ี อื เอาสงิ่ ของผอู้ น่ื ดว้ ยอาการ เปน็ โจร ๒. ฉก ได้แก่ ฉวยหรือชิงเอาโดยเร็ว คือกิริยาท่ีถือเอาสิ่งของในเวลาที่เจ้าของเผลอ หรือ ชิงเอาทรัพยต์ อ่ หน้าเจา้ ของ ๓. กรรโชก ได้แก่ ขู่เอาด้วยกิริยาหรือวาจาให้กลัว คือกิริยาท่ีแสดงอำ�นาจให้เจ้าของตกใจกลัว แลว้ ยอมใหส้ ง่ิ ของของตน หรอื ใชอ้ าชญาเรง่ รัดเอา ๔. ปล้น ได้แก่ ใช้กำ�ลังลอบมาหักโหมแย่งชิงเอาโดยไม่รู้ตัว คือกิริยาท่ียกพวกไปถือเอาส่ิงของ ของคนอ่ืนดว้ ยการใช้อาวุธ ๕. ตู่ ได้แก่ กล่าวอ้างหรือทึกทักเอาของผู้อ่ืนว่าเป็นของตัว คือกิริยาที่ร้องเอาของผู้อ่ืน ซ่ึงมไิ ด้ตกอยู่ในมือตนคือมไิ ด้ครอบครองดแู ลอยู่ หรอื อา้ งหลักฐานพยานเท็จหกั ล้างกรรมสทิ ธิ์ของผอู้ ่นื ๖. ฉ้อ ได้แก่ โกง คือกิริยาที่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นอันตกอยู่ในมือตนคือตนครอบครองดูแลอยู่ หรือโกงเอาทรพั ย์ของผู้อื่น ๗. หลอก ได้แก่ ทำ�ให้เข้าใจผิด สำ�คัญผิด คือกิริยาพูดปดเพื่อถือเอาของผู้อ่ืน หรือปั้นเร่ือง ใหเ้ ขาเช่อื เพื่อจะให้เขามอบทรพั ยใ์ ห้แก่ตน ๘. ลวง ได้แก่ ทำ�ให้หลงผิด คือกิริยาที่ถือเอาส่ิงของของผู้อื่น ด้วยแสดงของอย่างใดอยา่ งหน่ึง เพอื่ ให้เข้าใจผดิ หรือใช้เลห่ ์เอาทรัพยด์ ว้ ยเครือ่ งมือลวงให้เขาเชอื่ เช่น การใชต้ ราชั่งทไี่ มไ่ ดม้ าตรฐาน เป็นต้น แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั เอก วชิ าวนิ ยั (กรรมบถ)
43 ๙. ปลอม ไดแ้ ก่ ทำ�ให้เหมือนคนอ่นื หรอื สิ่งอน่ื เพื่อใหห้ ลงผิดวา่ เปน็ คนนนั้ หรือสิ่งน้นั คอื กริ ยิ า ท่ีทำ�ของไม่แท้ใหเ้ ห็นวา่ เป็นของแท้ ๑๐. ตระบัด ไดแ้ ก่ ฉ้อโกง คือกริ ิยาทยี่ มื ของเขาไปแล้วถอื เอาเสีย ๑๑. เบยี ดบงั ไดแ้ ก่ ยกั เอาไวเ้ ปน็ ประโยชนข์ องตัว คือกิรยิ ากนิ เศษกนิ เลย ๑๒. สับเปลี่ยน ได้แก่ เปลี่ยนแทนท่ีกัน คือกิริยาท่ีถือเอาส่ิงของของตนที่เลวเข้าไว้แทน และเอาส่งิ ของของผอู้ ่ืนทด่ี ีกว่า หรอื แอบสลับเอาของผูอ้ ่ืนซ่ึงมคี า่ มากกว่า ๑๓. ลักลอบ ได้แก่ ลอบกระทำ�การบางอย่าง คือกิริยาที่เอาของซึ่งจะต้องเสียภาษีซ่อนเข้ามา โดยไม่เสียภาษี หรือหลบหนีภาษีของหลวง ๑๔. ยักยอก ได้แก่ เอาทรัพย์ของผู้อ่ืนหรือทรัพย์ของตนซ่ึงผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ที่อยู่ในความดูแลรักษาของตนไปโดยทุจริต คือใช้อำ�นาจหน้าที่ท่ีมีอยู่ถือเอาทรัพย์โดยไม่สุจริต หรือกิริยา ทย่ี ักยอกทรัพย์ของตนที่จะต้องถกู ยึดเอาไปไวเ้ สียทีอ่ น่ื อนุโลมโจรกรรม หมายถึง กิริยาที่แสวงหาทรัพย์ในทางไม่บริสุทธ์ิ ยังไม่ถึงขั้นเป็นโจรกรรม มปี ระเภทจะพรรณนาพอเป็นตวั อยา่ ง ดังน้ี ๑. สมโจร ไดแ้ ก่ กิริยาทอี่ ดุ หนนุ โจรกรรม เช่น การรบั ซื้อของโจร ๒. ปอกลอก ได้แก่ ทำ�ให้เขาหลงเชื่อแล้วล่อลวงเอาทรัพย์เขาไป หรือกิริยาท่ีคบคนด้วยอาการ ไมซ่ อ่ื สตั ย์ มงุ่ หมายจะเอาแต่ทรัพยส์ มบตั ขิ องเขาถ่ายเดียว เม่อื เขาสิ้นเนอ้ื ประดาตวั กล็ ะทงิ้ เขาเสีย ๓. รับสินบน ไดแ้ ก่ รับสนิ จ้างเพอื่ กระท�ำ ผดิ หนา้ ที่ คือการถอื เอาทรัพย์ทเ่ี ขาใหเ้ พื่อชว่ ยทำ�ธุระ ให้ในทางท่ีผิด การรับสินบนนี้ หากผู้รับมีเจตนาร่วมกับผู้ให้ในการทำ�ลายกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น ก็ถือว่า เปน็ การท�ำ โจรกรรมร่วมกนั โดยตรง ถอื ว่าเปน็ การลักทรพั ย์ ฉายาโจรกรรม หมายถงึ กริ ยิ าทที่ �ำ คลา้ ยคลงึ กบั โจรกรรม หรอื กริ ยิ าทที่ �ำ ทรพั ยข์ องผอู้ นื่ ใหส้ ญู เสยี และเปน็ สนิ ใชต้ กอยแู่ กต่ น ประกอบดว้ ยลกั ษณะ ๒ อย่าง คอื ๑. ผลาญ ไดแ้ ก่ ท�ำ ลายให้หมดสน้ิ ไป คอื กิริยาทท่ี ำ�ความเสียหายแกท่ รพั ย์ของผู้อืน่ ๒. หยบิ ฉวย ได้แก่ กริ ยิ าท่ีถือเอาทรพั ยข์ องผอู้ น่ื ด้วยความมักง่าย โดยมิไดบ้ อกใหเ้ จ้าของรู้ คือ การถอื เอาด้วยวิสาสะเกินขอบเขต ทั้งน้ี ฉายาโจรกรรมน้ัน ถ้ามีเจตนาในทางทำ�ลายกรรมสิทธิ์ของผู้อ่ืนรวมอยู่ด้วย ก็ถือว่า เป็นการทำ�โจรกรรมโดยตรง ถือว่าเป็นการลักทรพั ย์ หลักวินจิ ฉัย การลักทรพั ยท์ ส่ี ำ�เร็จเป็นอทินนาทาน ถึงความเป็นอกุศลกรรมบถ มอี งค์ ๕ คอื ๑. ปรปรคิ ฺคหติ ํ ของนัน้ มเี จ้าของ ๒. ปรปรคิ คฺ หติ สญฺญิตา รวู้ า่ ของน้ันมเี จ้าของ ๓. เถยฺยจิตตฺ ํ จิตคิดจะลัก ๔. อุปกกฺ โม พยายามลกั ๕. เตน หรณํ ได้ของมาดว้ ยความพยายามนัน้ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชนั้ เอก วชิ าวินยั (กรรมบถ)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109