Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.โท-ธรรม

แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.โท-ธรรม

Published by suttasilo, 2021-06-27 09:14:29

Description: แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.โทวิชาธรรม

Keywords: แนวทางจัดการเรียนรู้,วิชาธรรม,ธรรมศึกษาโท

Search

Read the Text Version

แนวทางการจดั การเรยี นรู ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าธรรม สํานักสง เสรมิ กิจการการศึกษา สาํ นักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

แนวทางการจัดการเรยี นรู้ ธรรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าธรรม สำนกั ส่งเสริมกจิ การการศกึ ษา สำนกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร

แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ชนั้ โท วิชาธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ปีทพี่ มิ พ์ ๑๐๐ เลม่ จ ำนวนพิมพ ์ ลิขสทิ ธ ์ิ สำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา สำนกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร พมิ พ์ท่ี โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ๗๙ ถนนงามวงศว์ าน แขวงลาดยาว เขตจตจุ กั ร กรงุ เทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑ นายโชคดี ออสุวรรณ ผพู้ มิ พผ์ โู้ ฆษณา

คำนำ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษา ระหว่างสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการ การอดุ มศกึ ษา และสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจหลกั พทุ ธธรรม ที่ถูกต้อง มีความรู้คู่คุณธรรม เสริมสร้างศีลธรรม เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้เรียน ห่างไกลอบายมขุ สิ่งเสพตดิ ส่งิ ผิดกฎหมาย และนำไปสคู่ วามสงบเรยี บร้อยของสงั คม เพ่ือให้เกิดการขับเคล่ือนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัด การเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดเป็นรูปธรรม อันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในสถานศึกษา อย่างยั่งยืน กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัดทำแนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี โท เอก เพ่อื ใหน้ ักเรียน นิสิต นกั ศึกษา มคี วามรูค้ วามเข้าใจเก่ียวกับวิชาธรรม วชิ าพทุ ธและวิชาวนิ ัย กระทรวงศึกษาธิการหวังเป็นอย่างย่ิงว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี โท เอก จะเป็นแนวทางการเรียนการสอนให้กับคณะครู อาจารย์ นำไปสอนได้ตามหลักสูตร เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และขอขอบคณุ คณะผจู้ ดั ซง่ึ ประกอบดว้ ย สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครปฐม เขต ๒ สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต ๓ และโรงเรยี นวดั ราชบพธิ ทม่ี คี วามมงุ่ มน่ั ตงั้ ใจ พฒั นาเอกสารชดุ นอี้ ยา่ งเต็มความสามารถจนบรรลวุ ัตถุประสงค์ (รองศาสตราจารยก์ ำจร ตตยิ กวี) ปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ



สารบญั หน้า ๑ ๓ เรื่อง ๑๐ คำนำ ๑๓ บทท่ี ๑ ประวตั นิ ักธรรม ธรรมศึกษา ๑๔ บทท่ี ๒ เทคนคิ วธิ สี อนของพระพุทธเจ้า ๒๕ บทท่ี ๓ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ ๔๗ บทท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นร ู้ ๖๓ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑ ๗๙ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี ๒ ๙๐ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๓ ๙๙ แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๔ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๕ ๑๐๗ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๖ ๑๒๐ แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ ๗ ๑๓๒ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๘ ๑๓๓ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๙ ๑๓๘ บทที่ ๕ แบบทดสอบ ๑๓๙ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ๑๔๔ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน ๑๔๕ แบบทดสอบหลังเรยี น ๑๔๗ เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน ๑๔๘ ภาคผนวก บรรณานุกรม คณะผูจ้ ัดทำ

แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าธรรม

บทท่ี ๑ ประวตั ินักธรรม ธรรมศึกษา การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือที่เรียกกันว่า นักธรรม เกิดข้ึนตามพระดำริ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นการศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทย เพื่อให้ภิกษุสามเณรผู้เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาพระธรรมวินัยได้สะดวก และทั่วถึง อนั จะเป็นพืน้ ฐานนำไปสู่สัมมาปฏบิ ัติ ตลอดจนเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาให้กว้างไกลออกไป การศึกษาพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณมา นิยมศึกษาเป็นภาษาบาล ี ที่เรียกว่าการศึกษาพระปริยัติธรรม ซ่ึงเป็นส่ิงที่เรียนรู้ได้ยากสำหรับภิกษุสามเณรท่ัวไป จึงปรากฏว่า ภิกษุสามเณรท่ีมีความรู้ในพระธรรมวินัยอย่างท่ัวถึงมีจำนวนน้อย เป็นเหตุให้สังฆมณฑลขาดแคลน พระภิกษุผู้มีความรู้ความสามารถท่ีจะช่วยกิจการพระศาสนาท้ังในด้านการศึกษา การปกครอง และ การแนะนำสง่ั สอนประชาชน ดงั นน้ั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จงึ ไดท้ รง พระดำริวิธีการเล่าเรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทยข้ึน สำหรับสอนภิกษุสามเณรวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นคร้ังแรก นับแต่ทรงรับหน้าที่ปกครองวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา โดยทรง กำหนดหลักสูตรการสอนให้ภิกษุสามเณรได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาท้ังด้านหลักธรรม พุทธประวัติ และพระวินัย ตลอดถงึ หดั แตง่ แกก้ ระท้ธู รรม เมื่อทรงเห็นว่า การเรียนการสอนพระธรรมวินัยเป็นภาษาไทยดังนี้ได้ผล ทำให้ภิกษุ สามเณรมีความรู้กว้างขวางขึ้น เพราะเรียนรู้ได้ไม่ยาก จึงทรงดำริท่ีจะขยายแนวทางน้ีไปยังภิกษุ สามเณรท่ัวไปด้วย ประกอบกับใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ประเทศไทยเริ่มมีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ซ่ึงภิกษุทั้งหมดจะได้รับการยกเว้น ส่วนสามเณรจะยกเว้นให้เฉพาะสามเณรผู้รู้ธรรม ทางราชการได้ ขอใหค้ ณะสงฆช์ ว่ ยกำหนดเกณฑข์ องสามเณรผรู้ ธู้ รรม สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณ วโรรส จึงทรงกำหนดหลักสูตรองค์สามเณรรู้ธรรมข้ึน ต่อมาได้ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์สามเณร รู้ธรรมน้ันเป็น “องค์นักธรรม” สำหรบั ภกิ ษุสามเณรชน้ั นวกะ (คือผูบ้ วชใหม่) ทวั่ ไป ได้รับพระบรม ราชานุมตั ิ เมอื่ วนั ท่ี ๒๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และโปรดใหจ้ ัดการสอบในสว่ นกลางขน้ึ เป็นคร้ังแรก ในเดอื นตลุ าคมปเี ดยี วกนั โดยใชว้ ดั บวรนเิ วศวหิ าร วดั มหาธาตุ และวดั เบญจมบพติ ร เปน็ สถานทสี่ อบ การสอบครง้ั แรกน้ี ๓ วิชา คอื ธรรมวภิ าคในนวโกวาท แตง่ ความแกก้ ระทธู้ รรม และแปลภาษามคธ เฉพาะท้องนทิ านในอรรถกถาธรรมบท พ.ศ. ๒๔๕๕ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมให้เหมาะสมสำหรับภิกษุสามเณร ทวั่ ไปจะเรยี นรไู้ ดก้ วา้ งขวางยง่ิ ขนึ้ โดยแบง่ หลกั สตู รเปน็ ๒ อยา่ ง คอื อยา่ งสามญั เรยี นวชิ าธรรมวภิ าค พุทธประวัติ และเรียงความแก้กระทู้ธรรม และอย่างวิสามัญ เพิ่มแปลอรรถกถาธรรมบท มีแกอ้ รรถบาลีไวยากรณ์และสัมพนั ธ์ และวินยั บญั ญัตทิ ีต่ อ้ งสอบท้ังผูท้ ี่เรยี นอยา่ งสามัญและวิสามญั แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชั้นโท วิชาธรรม

พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมอีกคร้ังหน่ึง โดยเพ่ิมหลักธรรมหมวด คิหิปฏิบัติเข้าในส่วนของธรรมวิภาคด้วย เพ่ือให้เป็นประโยชน์ในการครองชีวิตฆราวาส หากภิกษุ สามเณรรูปน้ัน ๆ มีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกไปด้วยเหตุใดเหตุหน่ึง เรียกว่า นักธรรมช้ันตรี การศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั แบบใหมน่ ไ้ี ดร้ บั ความนยิ มจากหมภู่ กิ ษสุ ามเณรอยา่ งกวา้ งขวางและแพรห่ ลาย ไปอยา่ งรวดเรว็ เพยี ง ๒ ปแี รก กม็ ภี กิ ษสุ ามเณรสมคั รเขา้ สอบสนามหลวงเกอื บพนั รปู เมอื่ ทรงเหน็ วา่ การศึกษานักธรรมอำนวยคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและภิกษุสามเณรทั่วไป ในเวลาต่อมาจึงทรง พระดำริขยายการศึกษานักธรรมให้ทั่วถึงแก่ภิกษุทุกระดับ คือ ทรงตั้งหลักสูตรนักธรรมช้ันโท สำหรบั ภกิ ษชุ ้ันมัชฌิมะ คือ มีพรรษาเกนิ ๕ แตไ่ ม่ถึง ๑๐ และนกั ธรรมช้นั เอก สำหรับภกิ ษุชน้ั เถระ คอื มีพรรษา ๑๐ ขน้ึ ไป ดงั ที่เปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานของคณะสงฆ์สืบมาตราบถึงทุกวนั น้ ี ตอ่ มา พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ วดั ราชบพธิ - สถิตมหาสีมาราม ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ การศกึ ษานกั ธรรมมไิ ดเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ ภิกษุสามเณรเท่านั้น แม้ผู้ท่ียังครองฆราวาสวิสัยก็จะได้รับประโยชน์จากการศึกษานักธรรมด้วย โดยเฉพาะสำหรับเหล่า ขา้ ราชการครู จงึ ทรงตั้งหลักสูตรนกั ธรรมสำหรบั ฆราวาสข้ึน เรียกวา่ “ธรรมศึกษา” มีครบท้งั ๓ ชั้น คือ ช้ันตรี ชั้นโท ชั้นเอก ซึ่งมีเนื้อหาเช่นเดียวกันกับหลักสูตรนักธรรมภิกษุสามเณร เว้นแต่ วินัยบัญญัติท่ีทรงกำหนดใช้เบญจศีล เบญจธรรม และอุโบสถศีลแทน ได้เปิดสอบธรรมศึกษาช้ันตรี ครั้งแรกเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๒ และเปิดสอบครบทุกช้ันในเวลาต่อมา มีฆราวาสท้ังหญิงและชายเข้าสอบ เปน็ จำนวนมาก นับเปน็ การส่งเสรมิ การศึกษาพระพุทธศาสนาให้กวา้ งขวางยิง่ ขนึ้ ปจั จุบันการศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมแผนกธรรมนี้ มีสมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท์ พรฺ หฺมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เน้นการพัฒนาศาสนทายาทให้มีคุณภาพสามารถ ดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วยดี ท้ังถือว่าเป็นกิจการของคณะสงฆ์ส่วนหน่ึงท่ีสำคัญยิ่งในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมาตง้ั แต่ครง้ั อดีตจนถึงปจั จุบัน แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั โท วิชาธรรม

บทท่ี ๒ เทคนคิ วธิ สี อนของพระพทุ ธเจ้า ๑. การทำนามธรรมให้เปน็ รูปธรรม ทำของยากให้ง่าย ธรรมะเป็นเรอื่ งนามธรรมทีม่ เี นอื้ หาลกึ ซ้งึ ยากที่จะเข้าใจ ยง่ิ เป็น ธรรมะระดับสูงสุดก็ย่ิงลึกล้ำคัมภีรภาพยิ่งขึ้น...ความสำเร็จแห่งภารกิจการส่ังสอนประชาชนส่วนหน่ึง เพราะพระองคท์ รงใช้เทคนิควธิ ีการทำของยากใหง้ ่าย เช่น ๑.๑ การใช้อุปมาอุปไมย วิธีนี้เป็นวิธีทรงใช้บ่อยท่ีสุดวิธีหน่ึง เพราะทำให้ผู้ฟัง มองเหน็ ภาพและเขา้ ใจงา่ ยโดยไม่ต้องเสยี เวลาอธิบายความใหย้ ดื ยาว ๑.๒ ยกนทิ านประกอบ เป็นเทคนิคหรือกลวธิ ีหนง่ึ ทีพ่ ระพุทธองคท์ รงใชบ้ ่อย ๑.๓ ใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอน เทคนิควิธีสอนด้วยการกระทำของยากให้ง่าย หรอื ทำนามธรรมใหเ้ ป็นรปู ธรรม นอกจากใชอ้ ุปมาอุปไมยและเล่านทิ านประกอบแลว้ ยังมีอกี วธิ ีหนงึ่ อนั เป็นวิธที ่พี ระพทุ ธองค์ทรงใช้มากพอ ๆ กับสองวิธขี า้ งตน้ คือ การใชส้ ่อื อุปกรณ์หรอื ใช้สอื่ การสอน ๒. ทำตนเป็นตวั อย่าง ในแง่ของการสอนอาจแบง่ ออกเป็น ๒ อย่าง คอื ๒.๑ ทำใหด้ ูหรอื สาธิตใหด้ ู ๒.๒ ปฏิบตั ิให้ดูเปน็ ตวั อยา่ ง ๓. ใช้ถอ้ ยคำเหมาะสม การสอนที่จะประสบผลสำเร็จ ผู้สอนจะต้องรู้จักใช้คำ ต้องให้ผู้ฟังรู้สึกว่าผู้พูด พูดดว้ ยเมตตาจติ มิใชพ่ ูดดว้ ยความมุง่ ร้าย ๔. เลือกสอนเป็นรายบุคคล ผู้สอนต้องรู้ว่าคนฟังน้ันต่างภูมิหลัง ต่างความสนใจ ต่างระดับสติปัญญาการเรียนรู้ เพราะฉะน้ันการเลือกสอนเป็นรายบุคคลจะช่วยให้การสอนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ถ้าทำได ้ ก็ควรใชว้ ธิ นี ี้ แม้จะสอนเป็นกลมุ่ ก็ต้องเอาใจใสน่ กั เรยี นท่มี ปี ัญหาเป็นรายบคุ คลใหไ้ ด ้ ๕. รู้จักจังหวะและโอกาส ดคู วามพรอ้ มของผเู้ รยี น รจู้ กั คอยจงั หวะอนั เหมาะสม ถา้ ผเู้ รยี นไมพ่ รอ้ มกเ็ หนอื่ ยเปลา่ ๖. ยืดหยุ่นในการใช้เทคนิควธิ ี เทคนคิ วธิ บี างอยา่ งใชไ้ ดผ้ ลในวนั นี้ ตอ่ ไปวนั ขา้ งหนา้ อาจใชไ้ มไ่ ดก้ ไ็ ด้ จงึ ควรยดื หยนุ่ วธิ กี าร ๗. การเสริมแรง มีคำพูดสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า “ทรงชมคนที่ควรชม ตำหนิคนท่ีควรตำหนิ” การชมเป็นการยอมรับความสามารถหรือให้กำลังใจให้ทำอย่างน้ันยิ่ง ๆ ขึ้นไป การตำหนิเป็นการ ตักเตือนมใิ หป้ ระพฤติเช่นน้นั อีกตอ่ ไป แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นโท วิชาธรรม

หลกั สำคัญที่ครผู สู้ อนควรทราบ หลกั สำคญั คือหลักการใหญ่ ๆ ของการสอนไมว่ า่ จะสอนเรื่องอะไรกม็ อี ยู่ ๓ หลัก คอื ๑. หลกั เกย่ี วกับเนอื้ หาที่สอน ๒. หลักเก่ยี วกับตัวผู้เรียน ๓. หลักเกีย่ วกบั ตัวผ้สู อน ก. หลกั เกี่ยวกับเนอ้ื หาทส่ี อน คนจะสอนคนอืน่ ต้องรู้ว่าจะเอาเร่ืองอะไรมาสอนเขาเสียก่อน ไม่ใช่คิดแต่วิธีการสอน วา่ จะสอนอยา่ งไร ตอ้ งคดิ กอ่ นวา่ จะเอาอะไรไปสอนเขา พระพทุ ธเจา้ แนะนำวา่ ผสู้ อนตอ้ งคำนงึ เสมอวา่ ตอ้ งสอนสงิ่ ท่ีรู้เห็นหรือเขา้ ใจงา่ ยไปหาสิง่ ทเ่ี ข้าใจยาก ๑. สอนเนอ้ื หาทลี่ มุ่ ลกึ ลงไปตามลำดบั ๒. สอนด้วยของจรงิ ๓. สอนตรงตามเนือ้ หา ๔. สอนมีเหตผุ ล ๕. สอนเท่าทจ่ี ำเปน็ ต้องรู้ ๖. สอนสิง่ ทมี่ ีความหมายและเป็นประโยชนแ์ ก่ผูเ้ รยี น ข. หลักเก่ยี วกับตัวผเู้ รยี น ๑. พระพุทธองค์จะทรงสอนใคร ทรงดูบุคคลผู้รับการสอนหรือผู้เรียนก่อนว่า บคุ คลนนั้ ๆ เปน็ คนประเภทใด มีพ้ืนความร้คู วามเขา้ ใจหรือความพรอ้ มแคไ่ หน และควรจะสอนอะไร แคไ่ หน ๒. นอกจากดคู วามแตกตา่ งของผู้เรียนแลว้ ยงั ต้องดคู วามพรอ้ มของผูเ้ รียนด้วย ๓. สอนให้ผเู้ รยี นทำด้วยตนเอง ๔. ผู้เรียนจะตอ้ งมบี ทบาทรว่ มดว้ ย ๕. ครูต้องเอาใจใส่ผู้เรยี นท่มี ีปญั หาเปน็ พเิ ศษ ค. หลักเกยี่ วกบั ตัวผสู้ อน ๑. สร้างความสนใจในการสอนคนนั้น (การนำเขา้ ส่บู ทเรยี น) ๒. สร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนให้ปลอดโปร่ง ๓. มุ่งสอนเน้ือหา มุง่ ใหผ้ ู้ฟงั เกิดความร้คู วามเข้าใจและเปลี่ยนพฤตกิ รรมในทางท่ดี ี ๔. ต้ังใจสอน สอนโดยเคารพ ถือวา่ งานสอนเป็นงานสำคัญ ๕. ใชภ้ าษาเหมาะสม ผสู้ อนคนอน่ื ควรมคี วามสามารถในการสอ่ื สาร ใชค้ ำพดู ทถี่ กู ตอ้ ง และเหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์ หลักการสอนแนวพทุ ธวิธ ี พระพทุ ธเจา้ นน้ั ทรงเปน็ พระบรมครู ยอดครขู องผสู้ อน พระองคท์ รงมหี ลกั การในการสอน มากมายหลายหลักการ เรยี กว่า “หลัก ๔ ส” คอื แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชน้ั โท วิชาธรรม

๑. สันทสั สนา อธิบายใหเ้ หน็ ชดั แจง้ เหมอื นจงู มือให้มาดูดว้ ยตา ๒. สมาทปนา ชกั จงู ใหเ้ หน็ จรงิ เหน็ จงั ตาม ชวนใหค้ ลอ้ ยตาม จนยอมรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ ๓. สมตุ เตชนา เร้าใจ เกิดความกล้าหาญ มีกำลังใจ ม่ันใจว่าทำได้ไม่หวั่นไหว ต่ออปุ สรรคที่มีมา ๔. สมั ปหังสนา มวี ธิ สี อนทช่ี ว่ ยใหผ้ ฟู้ งั รา่ เรงิ เบกิ บาน ฟงั ไมเ่ บอื่ เปยี่ มลน้ ไปดว้ ยความหวงั สรปุ หลกั การทวั่ ไปของการสอน คือ แจม่ แจง้ -จูงใจ-หาญกล้า-รา่ เรงิ หลกั การสอนพุทธวิธีแบบสนทนา (สากจั ฉาหรอื ธรรมสากจั ฉา) เป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยท่ีสุด พระองค์ชอบใช้วิธีนี้อาจเป็นด้วยว่าผู้ฟังได้มีโอกาสแสดง ความคิดเห็น ทำให้การเรียนการสอนสนุกไม่รู้สึกว่าตนกำลัง “เรียน” หรือกำลัง “ถูกสอน” แต่จะรสู้ กึ ว่าตนกำลังสนทนาปราศรัยกบั พระพทุ ธองคอ์ ยา่ งสนกุ สนาน หลักการสอนพทุ ธวิธีแบบตอบปัญหา (ปจุ ฉา-วสิ ชั นา) ผูถ้ ามปญั หาอาจถามด้วยจุดประสงค์หลายอย่าง เช่น ๑. บางคนถามเพอ่ื ต้องการคำตอบในเรอื่ งท่ีสงสัยมานาน ๒. บางคนถามเพอ่ื ลองภมู วิ ่าคนตอบรหู้ รือไม่ ๓. บางคนถามเพื่อขม่ หรือปราบใหผ้ ู้ตอบอบั อาย ๔. บางคนถามเพ่อื เทียบเคยี งกับความเช่อื หรอื คำสอนในลทั ธิศาสนาของตน พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่า การตอบปัญหาใด ๆ ต้องดูลักษณะของปัญหาและเลือกวิธีตอบ ใหถ้ กู ต้องเหมาะสม พระองคจ์ ำแนกประเภทของปัญหาไว้ ๔ ประการ คือ ๑. ปญั หาบางอยา่ งตอ้ งตอบตรงไปตรงมา ๒. ปัญหาบางอย่างต้องย้อนถามก่อนจึงตอบ ๓. ปญั หาบางอยา่ งต้องแยกความตอบ ๔. ปัญหาบางอยา่ งต้องตัดบทไปเลยไม่ตอบ วธิ ีคิดแบบอรยิ สัจ ๔/คดิ แบบแกป้ ัญหา เป็นการคิดแบบแก้ปัญหาเรียกว่า “วิธีแห่งความดับทุกข์” จัดเป็นวิธีคิดแบบหลัก อย่างหน่ึงเป็นวิธีคิดตามเหตุและผลหรือเป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไข และทำการท่ีตน้ เหตุ จดั เป็น ๒ คู่ คือ คู่ท่ี ๑ ทุกข์เปน็ ผล เป็นตวั ปญั หา เป็นสถานการณ์ท่ปี ระสบซ่ึงไมต่ ้องการ สมทุ ัยเปน็ เหต ุ เปน็ ที่มาของปัญหา เป็นจุดทจี่ ะตอ้ งกำจัดหรือแก้ไขจึงจะพ้นจาก ปัญหาได้ ค่ทู ่ี ๒ นิโรธเป็นผล เป็นภาวะสิ้นปัญหา เป็นจุดหมายซ่ึงต้องการจะเขา้ ถึง มรรคเป็นเหต ุ เป็นวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติท่ีต้องกระทำในการแก้ไขสาเหตุ เพ่ือ บรรลจุ ดุ หมาย คือ ภาวะสิ้นปญั หาอนั ได้แก่ความดบั ทกุ ข์ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันโท วชิ าธรรม

กระบวนการจดั การเรียนรูแ้ บบพุทธวธิ ี ๙ อย่าง ๑. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรพู้ ุทธวธิ ีแบบอุปมาอปุ ไมย (การเปรียบเทียบ) ขน้ั สืบคน้ และขนั้ เชอ่ื มโยง - เปรยี บเทยี บนามธรรมกบั รปู ธรรมใหผ้ เู้ รยี นเหน็ ชดั เจน ครผู สู้ อนและผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ ม - ความแตกตา่ งระหว่างส่ิงทเี่ ปน็ นามธรรมกับรปู ธรรม ขน้ั ฝึก - ยกตัวอยา่ งส่งิ ท่ีเปน็ นามธรรมกบั รูปธรรม - ผเู้ รยี นแตล่ ะรปู หรอื แตล่ ะกลมุ่ รว่ มอภปิ รายหรอื นำเสนอสง่ิ ทเ่ี ปน็ นามธรรมกบั รปู ธรรม - หาขอ้ สรปุ เกี่ยวกับเนอ้ื หาทเ่ี ปน็ นามธรรม-รปู ธรรม ขั้นประยกุ ต์ - คน้ ควา้ สง่ิ ทเี่ ปน็ นามธรรมกบั รปู ธรรมในเนอ้ื หาอน่ื ๆ นอกเหนอื จากเนอื้ หาทก่ี ำหนดให ้ ๒. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้พทุ ธวิธีแบบปุจฉา-วสิ ชั นา (การถาม-ตอบ) ข้นั สบื คน้ และขั้นเชอ่ื มโยง - การทำหนา้ ที่เป็นผู้ถาม-ตอบที่ถกู ตอ้ งเหมาะสมแก่กาลเทศะ - วิธีถาม-ตอบ (ตอบทันทีเม่ือมีผู้ถาม ตอบแบบมีเงื่อนไข ย้อนถามผู้ถามก่อน แลว้ จงึ ตอบ นงิ่ เสียไมต่ อบ เป็นตน้ ) ขนั้ ฝึก - ตวั อย่างการถาม-ตอบ - ถาม-ตอบแบบคนต่อคน ถาม-ตอบแบบกลุ่มต่อกลุ่ม ถาม-ตอบแบบกลุ่มต่อคน เปน็ ต้น - หาข้อสรุปเนอ้ื หาท่ีเกย่ี วกบั การถาม-ตอบ ข้นั ประยกุ ต์ - ค้นควา้ เพม่ิ เตมิ นอกเหนือจากเน้ือหาท่ีกำหนดไวใ้ นแผนจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๓. การจัดกิจกรรมการเรียนรพู้ ทุ ธวิธแี บบธรรมสากัจฉา (การสนทนา) ขน้ั สืบค้นและข้ันเชอ่ื มโยง - ครผู ู้สอนเสนอสถานการณ์ทเ่ี ปน็ ปัญหาหรอื จำลองสถานการณ์ ข้ันฝึก - ผู้เรียน/ครูผู้สอน-อภิปรายในประเด็นที่เป็นปัญหา หัวข้อ หรือสถานการณ์ ตามเนือ้ หาท่กี ำหนด - หาขอ้ สรปุ ในประเดน็ ทเ่ี ปน็ ปญั หา หวั ขอ้ หรอื สถานการณจ์ ากการสนทนาอภปิ ราย ขัน้ ประยกุ ต์ - ศึกษาเพ่มิ เติมการสนทนา-อภิปรายของบคุ คล กลมุ่ คน ละคร องค์กร เปน็ ตน้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ โท วิชาธรรม

๔. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอริยสัจ ๔ (กำหนดปัญหา ต้ังสมมุติฐาน ทดลอง วิเคราะห์ สรุป) ขัน้ สืบคน้ (ทุกข์) - กำหนดปัญหา ท่มี าของปญั หา การเกิดปัญหา (ตามเนอื้ หาท่กี ำหนด) ขนั้ เชือ่ มโยง (สมทุ ัย) - ต้งั สมมตุ ฐิ าน การอนมุ าน การคาดคะเน ความนา่ จะเปน็ ปจั จยั เสี่ยง ข้นั ฝกึ (นิโรธ) - ทดลอง เก็บข้อมลู - วิเคราะห์ สรุปผล ขน้ั ประยกุ ต์ (มรรค) - การนำไปประยกุ ต์ใชก้ ับสิ่งอืน่ ๆ นอกเหนือจากเน้อื หาทีเ่ รียนร้ ู ๕. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบไตรสิกขา (ระเบียบวินัย จิตใจแน่วแน่ แก้ปญั หาถกู ตอ้ ง) ข้นั สืบค้น (ศลี ) - สรา้ งความมรี ะเบยี บวนิ ยั ความมศี รทั ธา ความตระหนกั ความเรา้ ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี น พร้อมทีจ่ ะเรยี น ข้ันเช่ือมโยง (สมาธิ) - ให้ผู้เรียนรวมพลังจิต ความคิดอันแน่วแน่ในการต้ังใจฟัง ต้ังใจดู ต้ังใจจดจำ และเห็นความสำคัญตอ่ เนอ้ื หาท่ีจะนำเสนอ ขัน้ ฝกึ (ปญั ญา) - ใช้สมาธิ จติ ใจอันแน่วแนท่ ำความเขา้ ใจกับปญั หา - ค้นหาสาเหตุที่มาที่ไปของปญั หา - แก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องและถกู วธิ ี ขัน้ ประยกุ ต์ (ปญั ญา) - ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ เกิดปัญญา และมมี โนทัศนใ์ นเร่อื งนน้ั ๆ ถูกตอ้ ง ๖. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรพู้ ทุ ธวธิ แี บบพหสู ตู (ฟงั มาก ๆ เขยี นมาก ๆ ถามมาก ๆ คิดวิเคราะหม์ าก ๆ) ข้นั สบื ค้นและขนั้ เชื่อมโยง (การสรา้ งศรทั ธา) - การจัดบรรยายในการนำเข้าสูบ่ ทเรยี น - การสรา้ งแรงจงู ใจในการนำเข้าสู่บทเรยี น - บคุ ลิกภาพ ตลอดถึงการวางตัวที่เหมาะสมของผู้สอน - การสรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งผ้เู รียนกบั ผู้สอน แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นโท วชิ าธรรม

ขนั้ ฝกึ (การฝกึ ทกั ษะ) - กจิ กรรมกลุ่ม/รายบุคคล - การปฏบิ ตั /ิ การนำเสนอ/การแสดงออก - ฝึกการเขียน การฟงั การถาม และการคิดวิเคราะห ์ ขน้ั ประยุกต์ - การประเมินตนเอง - การประเมินของกัลยาณมิตร - การศกึ ษาคน้ คว้าเพ่ิมเตมิ และการนำไปประยุกต์ใช้ ๗. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรพู้ ทุ ธวธิ แี บบโยนโิ สมนสกิ าร (การทำไวใ้ นใจโดยแยบคาย การใช้ความคิดอยา่ งถกู วธิ )ี แบบท่ี ๑ ข้ันสืบค้นและขนั้ เช่อื มโยง - ผู้เรยี นรู้จกั คดิ คิดเปน็ คดิ อย่างมรี ะบบ - ผู้เรยี นรู้จกั มอง รจู้ กั พิจารณา ไตรต่ รอง วเิ คราะห์ สังเคราะห ์ ข้ันฝึก - ฝึกการคิดหาเหตุผล - ฝึกการสบื คน้ ถึงต้นเคา้ - ฝึกการสืบสาวให้ตลอดสาย - ฝกึ การแยกแยะสิง่ นน้ั ๆ ปัญหาน้นั ๆ ตามสภาวะแห่งเหตแุ ละปัจจยั ข้นั ประยกุ ต์ - ผเู้ รยี นนำการใชค้ วามคดิ อยา่ งถกู วิธีไปประยกุ ต์ใชก้ บั เหตกุ ารณ์ปัจจุบนั ๘. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบโยนิโสมนสิการ (สร้างศรัทธาและวิธีคิด ใหก้ ับผเู้ รียน) แบบท่ี ๒ ขั้นสืบคน้ และข้ันเชื่อมโยง - ครูผ้สู อนสรา้ งเจตคตทิ ี่ดตี อ่ ผู้เรียน - ครูผสู้ อนเสนอปญั หาท่ีเปน็ สาระสำคัญ หวั เร่อื ง - ครูผู้สอนแนะแหล่งวิทยาการ แหลง่ ขอ้ มูล ขัน้ ฝกึ - ผู้เรยี นฝกึ การรวบรวมขอ้ มูล - ครูผู้สอนจัดกิจกรรมให้เกิดกระบวนการคิดแก่ผู้เรียน เช่น คิดสืบค้นต้นเค้า คิดสบื สาวตลอดสาย คดิ สืบค้นตน้ ปลาย และคิดโยงสายสมั พันธ ์ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชัน้ โท วิชาธรรม

- ฝึกการสรุปประเด็น เปรยี บเทียบ ประเมนิ คา่ โดยวิธอี ภิปราย ทดลอง ทดสอบ - ดำเนินการเลอื กและตดั สินใจ - กิจกรรมฝึกปฏิบตั ิเพือ่ พิสจู นผ์ ลการเลอื กและตัดสนิ ใจ ขน้ั ประยกุ ต ์ - สังเกตวิธีการปฏิบตั ิ ตรวจสอบ ปรับปรุง - อภปิ รายและสอบถาม - สรปุ บทเรียนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ - วัดและประเมนิ ผลตามสภาพจริง ๙. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอิทธิบาท ๔ (พอใจในสิ่งท่ีเรียนรู้ พากเพยี รตอ่ สงิ่ ทเ่ี รยี นรเู้ สมอ มงุ่ มน่ั และเอาใจใสต่ อ่ สงิ่ ทเ่ี รยี นรู้ คดิ วเิ คราะห์ ไตรต่ รอง กอ่ นนำไปใช)้ ข้นั สืบค้น (ฉันทะ) - สร้างความพอใจและความสำคัญต่อส่งิ ท่ีเรยี นรู้ และสิง่ ที่ไดร้ บั ขั้นเชอ่ื มโยง (วริ ยิ ะ) - ฟังให้หมด จดให้มาก ปากต้องไว ใจต้องคดิ (หัวใจบัณฑิต สุ จิ ปุ ลิ) ข้นั ฝึก (จติ ตะ) - มงุ่ มั่น โดยฝึกฟงั มาก ๆ ฝึกคดิ มาก ๆ ฝึกถามมาก ๆ และฝกึ เขยี นมาก ๆ ขน้ั ประยุกต์ (วิมงั สา) - พิจารณา ไตร่ตรอง แยกแยะ อธิบาย นำเสนอ และประยุกต์ใช้ การนิยามศพั ทข์ ั้นตอน/กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูพ้ ุทธวิธ ี สบื คน้ หมายถงึ สืบสาวเร่ืองราว ค้นคว้าใหไ้ ด้เร่อื ง เชอื่ มโยง หมายถงึ ทำให้ติดเปน็ เน้อื เดียวกนั ทำใหป้ ระสานกัน ฝึก หมายถึง ทำ เช่น บอก แสดง หรือปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จนเป็นนสิ ัยหรอื มีความชำนาญ ประยกุ ต์ หมายถึง นำความรู้ในวทิ ยาการต่าง ๆ มาปรับใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชัน้ โท วิชาธรรม

10 บทท่ี ๓ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ และสาระการเรียนร ู้ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ธศ ๑ รู้ เขา้ ใจ และปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา มศี รทั ธาทถ่ี กู ตอ้ ง ยดึ มน่ั และ ปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรม เพอื่ อย่รู ว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ุข มาตรฐาน ธศ ๒ รแู้ ละเขา้ ใจพทุ ธประวตั ิ ความสำคญั ของพระพทุ ธศาสนา ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ี และธำรงรักษาพระพุทธศาสนา มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏิบตั ิตนตามหลกั พระวินัยบัญญัติของพระพุทธศาสนา แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าธรรม

11 มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ และสาระการเรยี นร้ ู มาตรฐาน ธศ ๑ รแู้ ละเขา้ ใจหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา มีศรทั ธาที่ถกู ต้อง ยึดม่นั และปฏิบัติตาม หลกั ธรรม เพอ่ื อยรู่ ว่ มกันอย่างสันตสิ ขุ ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้ ู ธศ โท ๑. รแู้ ละเขา้ ใจหลักธรรมทาง - กัมมฏั ฐาน ๒ พระพุทธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ - กาม ๒ - บชู า ๒ - ปฏิสันถาร ๒ - สุข ๒ ๒. รู้และเข้าใจหลกั ธรรมทาง - อกุศลวิตก ๓ พระพทุ ธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ - กุศลวิตก ๓ - อคั คี (ไฟ) ๓ - อธิปเตยยะ ๓ - ญาณ ๓ - ตณั หา ๓ - ปิฏก ๓ - พุทธจริยา ๓ - วัฏฏะ (วน) ๓ - สิกขา ๓ - สามัญลักษณะ ๓ ๓. ร้แู ละเข้าใจหลกั ธรรมทาง - อปัสเสนธรรม ๔ พระพุทธศาสนา ในจตุกกะ หมวด ๔ - อปั ปมญั ญา ๔ - พระอริยบุคคล ๔ - สัมปรายกิ ตั ถประโยชน์ ๔ อยา่ ง - มรรค ๔ - ผล ๔ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าธรรม

12 สาระการเรยี นร้ ู - อนปุ ุพพีกถา ๕ ชัน้ ผลการเรยี นรู้ - มจั ฉริยะ ๕ ๔. รแู้ ละเข้าใจหลักธรรมทาง - มาร ๕ - นิวรณ์ ๕ พระพทุ ธศาสนา ในปัญจกะ - ขันธ์ ๕ หมวด ๕ - เวทนา ๕ - จริต ๖ ๕. รแู้ ละเขา้ ใจหลักธรรมทาง - ธรรมคุณ ๖ พระพทุ ธศาสนา - อปริหานิยธรรม ๗ ในฉักกะ หมวด ๖ ๖. รูแ้ ละเขา้ ใจหลักธรรมทาง - มรรคมีองค์ ๘ พระพุทธศาสนา ในสัตตกะ หมวด ๗ - พุทธคณุ ๙ ๗. อธิบายหลกั ธรรมทาง - สังฆคุณ ๙ พระพุทธศาสนา - บารมี ๑๐ ในอัฏฐกะ หมวด ๘ - บุญกรยิ าวัตถุ ๑๐ ๘. รแู้ ละเขา้ ใจหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา ในนวกะ หมวด ๙ ๙. รแู้ ละเข้าใจหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา ในทสกะ หมวด ๑๐ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้ันโท วชิ าธรรม

13 บทที่ ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ธรรมศึกษาช้ันโท ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนร้ ู จำนวน ๙ แผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๑ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๓ หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ในจตกุ กะ หมวด ๔ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๔ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในปญั จกะ หมวด ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๕ หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในฉักกะ หมวด ๖ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๖ หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในสัตตกะ หมวด ๗ แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี ๗ หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในอัฏฐกะ หมวด ๘ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๘ หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในนวกะ หมวด ๙ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๙ หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ในทสกะ หมวด ๑๐ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั โท วิชาธรรม

14 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๑ ธรรมศกึ ษาช้นั โท สาระการเรียนรู้วชิ าธรรม เร่อื ง หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ เวลา.........................ชว่ั โมง .............................................................................................................................................................. ๑. มาตรฐานการเรยี นร ู้ มาตรฐาน ธศ ๑ รู้และเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา มีศรัทธาท่ีถูกต้อง ยึดม่ัน และปฏบิ ตั ติ ามหลักธรรม เพ่ืออย่รู ่วมกันอย่างสนั ติสขุ ๒. ผลการเรียนร้ ู รแู้ ละเขา้ ใจหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ ได ้ ๓. สาระสำคญั หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ เป็นการศึกษา กัมมฏั ฐาน ๒ กาม ๒ บูชา ๒ ปฏสิ นั ถาร ๒ และสขุ ๒ หากบุคคลยึดม่นั และปฏบิ ัตไิ ด้จะทำให้อยูใ่ นสงั คมดว้ ยความเปน็ สุข ๔. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร ู้ นกั เรยี นอธบิ ายหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในทุกะ หมวด ๒ ได้ ๕. สาระการเรียนรู้/เนอ้ื หา - กัมมัฏฐาน ๒ - กาม ๒ - บูชา ๒ - ปฏสิ ันถาร ๒ - สขุ ๒ ๖. กระบวนการจัดการเรยี นร ู้ ๑. ให้นกั เรยี นสวดมนต์ไหว้พระ นง่ั สมาธิก่อนเรยี น ๕ นาที ข้นั สบื ค้นและข้ันเช่อื มโยง ๒. ครูและนักเรียนสนทนาเก่ียวกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในทุกะ หมวด ๒ โดยใช้คำถามเพอื่ พัฒนาทกั ษะกระบวนการคิดและเชื่อมโยงไปสกู่ ารเรยี นรู ้ - นกั เรยี นเคยเรยี น เรอื่ ง หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ บา้ งหรอื ไม ่ - หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในทุกะ หมวด ๒ มีอะไรบ้าง - นักเรียนเคยได้ยินได้เห็นหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในทุกะ หมวด ๒ จากทีไ่ หนบา้ ง แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชัน้ โท วิชาธรรม

15 ขั้นฝกึ ๓. ใหน้ กั เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน ๔. แบ่งนักเรียนออกเปน็ ๕ กลุม่ โดยให้แตล่ ะกลมุ่ ศึกษาหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ ซงึ่ ประกอบดว้ ยกมั มฏั ฐาน ๒ กาม ๒ บชู า ๒ ปฏสิ นั ถาร ๒ และสขุ ๒ จากใบความรทู้ ่ี ๑ ๕. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ จัดเตรยี มการเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรยี น ขั้นประยกุ ต์ ๖. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาเล่าตามหัวข้อท่ีตนเองได้รับมอบหมายเพ่ือแลกเปลี่ยน เรียนร้ ู ๗. นักเรียนในแตล่ ะกลุม่ ตอบคำถามตามใบกิจกรรมที่ ๑ ๘. ครูและนักเรยี นร่วมกันสรุปในแตล่ ะหัวข้อ ๗. ภาระงาน/ช้ินงาน ท่ ี ภาระงาน ชิ้นงาน ๑ ตอบคำถามเกย่ี วกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ ใบกจิ กรรมที่ ๑ ๘. สอ่ื /แหล่งการเรียนร ู้ ๑. ใบความร้ทู ่ี ๑ เรื่อง หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ ๒. ใบกจิ กรรมท่ี ๑ ๙. การวดั ผลและประเมินผล สิ่งท่ีต้องการวดั วธิ วี ดั เครื่องมอื วัด เกณฑก์ ารประเมนิ นกั เรียนอธิบาย หลกั ธรรมของ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผา่ น = ได้คะแนนตง้ั แตร่ อ้ ยละ พระพุทธศาสนา ๖๐ ข้นึ ไป ในทกุ ะ หมวด ๒ ได ้ ไม่ผา่ น = ไดค้ ะแนนต่ำกว่า ร้อยละ ๖๐ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาธรรม

16 แบบประเมนิ ผลงานใบกิจกรรมที่ ๑ ขอ้ ท ี่ ๓ คะแนน ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๑-๕ ตอบคำถามถกู ต้อง ๒ คะแนน ตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ ง ตอบคำถามไดถ้ ูกต้อง ตรงประเดน็ นอ้ ย ตรงประเด็น ตรงประเด็นเปน็ สว่ นใหญ ่ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สินสามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกับกลมุ่ เป้าหมาย แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชนั้ โท วิชาธรรม

17 ใบกิจกรรมท่ี ๑ หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ ช่อื กลุม่ .................................. ชือ่ ............................................................................................ชนั้ ................เลขท่.ี ............................... ชอื่ ............................................................................................ช้นั ................เลขท.่ี ............................... ชอ่ื ............................................................................................ชน้ั ................เลขท่ี................................ คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปน้ี จำนวน ๕ ขอ้ (๑๕ คะแนน) ๑. อธิบายถงึ ความหมายและการปฏบิ ัติตนของกมั มัฏฐาน ๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๒. อธิบายถงึ ความหมายและการปฏิบตั ติ นของกาม ๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๓. อธิบายถงึ ความหมายและการปฏิบัติตนของบูชา ๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๔. อธิบายถึงความหมายและการปฏิบตั ติ นของปฏสิ นั ถาร ๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๕. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏิบัตติ นของสขุ ๒ ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาธรรม

18 เฉลยใบกิจกรรมท่ี ๑ หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ ๑. อธิบายถงึ ความหมายและการปฏิบตั ติ นของกมั มัฏฐาน ๒ ตอบ กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการงาน หรืออารมณ์อันเป็นที่ต้ังแห่งการงาน อกี อยา่ งหน่งึ เรียกวา่ “ภาวนา” แปลวา่ ทำใหม้ ใี ห้เป็นขน้ึ หรือการเจริญ ท้งั ๒ อยา่ งน้ี มีความหมาย เดียวกัน คือ การกระทำ หรือการบำเพ็ญเพียรทางจิต เพ่ือให้จิตสงบระงับจากนิวรณ์ธรรมทั้งหลาย โดยปกตจิ ติ ของปถุ ชุ นยอ่ มดน้ิ รนกวดั แกวง่ ไปในอารมณต์ า่ ง ๆ จงึ ไมอ่ าจสงบ ระงบั ได้ อบุ ายอยา่ งหนง่ึ เป็นเคร่ืองฝึกจิตให้สงบระงับ เป็นจิตที่ควรแก่การงาน สามารถรู้แจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริง และละกิเลสท่ีมีอยู่ภายในได้เด็ดขาด เรียกว่า กัมมัฏฐาน หรือภาวนา การบำเพ็ญกัมมัฏฐานเป็น ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ น้ั สงู บคุ คลผปู้ รารถนาความพน้ ทกุ ขเ์ ปน็ การงานทางจติ ทลี่ ะเอยี ดลมุ่ ลกึ ตอ้ งอาศยั ความเพยี ร และความอดทนเปน็ ประการสำคญั เพราะเมอ่ื บคุ คลมคี วามเพยี รตง้ั มน่ั ดแี ลว้ ยอ่ มสามารถบรรลผุ ลได้ ตามสมควรแก่อุปนสิ ยั ของตน มี ๒ อย่าง คอื ๑. สมถกมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเปน็ อบุ ายสงบใจ คอื การเจรญิ กมั มฏั ฐานทเ่ี นอ่ื งดว้ ย บริกรรมอย่างเดียว เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดยใช้สติเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับการใช้ปัญญา ตามธรรมดาจติ ของบคุ คล ยอ่ มฟงุ้ ซา่ นไปในอารมณต์ า่ ง ๆ ทง้ั ทเ่ี ปน็ อฏิ ฐารมณ์ คอื อารมณท์ น่ี า่ ปรารถนา น่าชอบใจ ทง้ั ที่เปน็ อนิฏฐารมณ์ คอื อารมณท์ ่ไี มป่ รารถนา ไมน่ ่าชอบใจ เม่อื จติ ฟุง้ ซ่านไปในอารมณ์ ตา่ ง ๆ กจ็ ะไม่สามารถสงบลงได้ อบุ ายอยา่ งหนึง่ อนั เป็นเครอ่ื งสงบระงับจติ ไมใ่ ห้ฟุ้งซา่ นไปในอารมณ์ ต่าง ๆ ก็คือ การใช้สติยึดเอาอารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึงแล้วบริกรรมโดยทำไว้ในใจจนจิตแนบแน่น ในอารมณเ์ ดยี ว สามารถระงับนวิ รณไ์ ด้ เป็นจิตมีอารมณเ์ ลศิ เป็นหน่ึงเรียกวา่ “เอกคั คตา” ๒. วปิ สั สนากมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเปน็ อบุ ายเรอื งปญั ญา คอื การบำเพญ็ กมั มฏั ฐาน ที่ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างเดียว โดยการพิจารณาปรารภสภาวธรรม คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ แยกออกพิจารณาให้รู้ตามสภาพความเป็นจริง โดยยกข้ึนสู่ไตรลักษณ์หรือ สามัญญลักษณะว่า เป็นอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง มีการเปล่ียนแปรไปเป็นธรรมดา เป็นทุกข์ คือ เป็นสิ่งท่ที นไดย้ ากบบี ค้ันอยเู่ ป็นนิจ เปน็ อนตั ตา หาตวั ตนมไิ ด้ เป็นเพียงธาตุท้ัง ๔ มารวมกันเทา่ นนั้ การใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างน้ี และรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะที่มี อยู่นนั้ ปล่อยวางความยดึ มน่ั ถือมนั่ ในส่งิ ทั้งปวงได้และละกิเลสไดใ้ นท่ีสุด การปฏบิ ตั ิ มสี ตริ ้คู ดิ วเิ คราะหห์ าเหตุแหง่ ความเป็นจรงิ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชนั้ โท วิชาธรรม

19 ๒. อธิบายถึงความหมายและการปฏบิ ัตติ นของกาม ๒ ตอบ กาม แปลว่า ความใคร่ หมายถึง ความอยาก ความปรารถนาส่ิงที่น่าใคร ่ น่าชอบใจ เป็นส่ิงท่ีทำให้บุคคลหลงติดข้องอยู่ในโลก ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากทุกข์ได้ เพราะ การเวยี นตาย เวยี นเกิดอยา่ งไม่รูจ้ ักจบส้ิน แบ่งเป็น ๒ อย่าง คอื ๑. กิเลสกาม กิเลสเป็นเหตุใคร่ ได้แก่ กิเลส แปลว่า ความเศร้าหมอง กิเลสกาม หมายถึง ความใคร่ท่ีทำให้จิตขุ่นมัวหรือหมกมุ่นอยู่ในสิ่งนั้น ๆ เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลส ท่กี ลมุ้ รมุ จิตให้เกิดความเร่ารอ้ นทะยานอยากในอารมณต์ า่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ราคะ ความกำหนดั ยนิ ดี โลภะ ความโลภ อยากได้ให้ย่ิง ๆ ขึ้นไป อิจฉา ความปรารถนา อยากจะได้ เช่น เห็นคนอื่นได้สิ่งใด ก็อยากจะได้บ้าง เป็นต้น อิสสา ความริษยา หรือความหึงหวง คือ ไม่อยากเห็นคนอ่ืนมาเสมอตัว อรติ ความไม่ยินดีด้วย คือ ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดีเกินไปกว่าตัว อสันตุฏฐิ ความไม่สันโดษ คือ ความไม่รูจ้ ักพอดี พอใจในสิง่ ทต่ี นมีอยู่ ๒. วัตถุกาม พัสดุอันน่าใคร่ หรือวัตถุอันน่าใคร่ หมายถึง ส่ิงที่ทำให้จิตใคร่ หรือปรารถนา ได้แก่ กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์อันน่าใคร่ นา่ ปรารถนา น่าชอบใจ เชน่ เมื่อตาเห็นรปู ทีส่ วยงาม หูไดฟ้ งั เสยี งทีไ่ พเราะ จมูกได้ สูดกล่ินหอม ล้ินได้สัมผัสรสท่ีน่าล้ิม และร่างกายได้ถูกต้องสัมผัสสิ่งท่ีน่าใคร่ น่าชอบใจ ก็ทำให้จิต มีความยินดีขึ้น จากน้ันก็ด้ินรนปรารถนาอยากจะได้ เมื่อได้สมความปรารถนาก็เพลิดเพลินลุ่มหลง หมกมุ่นอยู่ในอารมณ์น้ัน ไม่คิดท่ีจะถอนตนออกให้พ้น คร้ันไม่ได้ดังท่ีต้ังใจไว้ก็ดิ้นรนขวนขวาย เพือ่ จะใหไ้ ดม้ า โดยไม่คำนงึ ถงึ ผิดชอบช่วั ดี การปฏบิ ัติ รู้จักข่มจิตตนใหม้ ีความอยากในสิ่งทีพ่ อได้ พอมี ๓. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏิบัติตนของบูชา ๒ ตอบ บูชา แปลว่า การเคารพยกย่อง หมายถึง การแสดงความเคารพนับถือบุคคล หรือวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนนับถือ เช่น พุทธศาสนิกชนบูชาพระรัตนตรัย หรือแสดงความเคารพ ผมู้ อี ปุ การคณุ มบี ิดา มารดา ครู อาจารย์ เป็นต้น การบูชา มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. อามิสบูชา บูชาด้วยอามิส (คือสิ่งของ) ได้แก่ การบูชาด้วยเคร่ืองสักการะ ท่ีเป็นวัตถุสิ่งของ มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น การบูชาด้วยเครื่องอุปโภคและบริโภค มีผ้า อาหาร ที่น่ัง ท่ีนอน ยารักษาโรค หรือการท่ีพุทธศาสนิกชน จัดสร้างถาวรวัตถุ มีโบสถ์ วิหาร ศาลา การเปรียญ กุฏิสงฆ์ เป็นต้น ไว้ในพุทธศาสนา เพ่ือเป็นพุทธบูชา จัดเป็นการบูชาด้วยอามิส เช่นเดยี วกนั ๒. ปฏิปัตติบูชา บูชาด้วยปฏิบัติตาม ได้แก่ การบูชาด้วยการประพฤติตน โดยเอื้อเฟื้อในคำสั่งสอนของท่าน และปฏิบัติตามโดยเคารพ ไม่แสดงอาการดื้อรั้น เช่น พุทธศาสนิกชน ได้ฟังคำส่ังสอนในทางพุทธศาสนาแล้วประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน และเป็นผปู้ ฏิบัตธิ รรมสมควรแกธ่ รรม ก็จะได้รับผลสมควรแก่การปฏบิ ัตขิ องตน การปฏิบัติ ควรบูชาต่อสิ่งของหรือบุคคลที่เหมาะสม และบูชาด้วยความเต็มใจ ไมใ่ ช่ราคาของส่งิ ของ แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาธรรม

20 ๔. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏบิ ัตติ นของปฏสิ ันถาร ๒ ตอบ ปฏสิ นั ถาร แปลวา่ การตอ้ นรบั หมายถงึ การรบั รอง การทกั ทายปราศรยั ผมู้ าถงึ ถน่ิ การทำปฏิสันถาร เป็นส่ิงสำคัญประการหน่ึงของผู้เป็นเจ้าถ่ิน เป็นหน้าที่ของผู้เป็นเจ้าถ่ิน ท่ีจะต้องทำต่อแขกผู้มาเยือน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม ตลอดถึงผู้ที่ สัญจรผ่านไปมา เม่ือได้ประสบพบเห็นเข้า ก็เป็นผู้สมควรท่ีผู้เป็นเจ้าถ่ินจะต้องทำปฏิสันถารท้ังน้ัน มี ๒ อยา่ ง คอื ๑. อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยอามิส (คือสิ่งของ) คือ การจัดหาวัตถุที่เป็น สง่ิ ของเปน็ เครอ่ื งตอ้ นรบั เชน่ ขา้ ว นำ้ หรอื ทพี่ กั อาศยั เปน็ ตน้ เทา่ ทผ่ี เู้ ปน็ เจา้ ถนิ่ จะสามารถจดั หาไดม้ า ตอ้ นรบั แขกผมู้ าเยอื นตามสมควร หากผทู้ มี่ าเยอื นเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามหวิ กระหาย กค็ วรจดั ขา้ วปลาอาหารให ้ หากเขามีความประสงค์หรือจำเป็นท่ีจะต้องอยู่พักแรม ก็จัดหาเคร่ืองนุ่งห่มสำหรับผลัดเปลี่ยน และจดั หาทพ่ี กั ให้ หรอื ถา้ สามารถทำได้ เมอื่ เขาจะจากไปกจ็ ดั หาพาหนะให ้ ๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารโดยธรรม หมายถึง การต้อนรับด้วยสนทนา ปราศรยั โดยธรรม คอื ตามความเหมาะสมแกแ่ ขกผมู้ าเยอื น หรอื สมควรแกฐ่ านะของแขก เชน่ ถา้ แขก ผมู้ าเยอื นเปน็ ผมู้ ฐี านะตำ่ กวา่ หรอื เสมอกบั ตน กต็ อ้ นรบั ดว้ ยการทกั ทายปราศรยั เชญิ ใหน้ ง่ั ในทเี่ สมอกนั ไมแ่ สดงกริ ยิ าเยอ่ หยงิ่ ถอื ตวั ดว้ ยประการใด ๆ สนทนาถงึ สขุ ทกุ ขโ์ ดยอาการฉนั มติ ร หรอื สนทนาในเรอ่ื ง อน่ื ๆ ตามสมควร ถา้ แขกผมู้ าเยอื นเปน็ ผมู้ ฐี านะตำแหนง่ สงู กวา่ ตน ดำรงอยใู่ นฐานะทคี่ วรเคารพนบั ถอื เปน็ ผเู้ จรญิ กวา่ ตนโดยชาติ คณุ และโดยวยั กแ็ สดงการตอ้ นรบั ดว้ ยการออ่ นนอ้ มถอ่ มตนมกี ารกราบไหว้ ลกุ ขน้ึ ตอ้ นรบั เปน็ ตน้ พรอ้ มจดั หาอาสนะใหน้ ง่ั ในทส่ี มควรใหส้ มกบั ฐานะตำแหนง่ นน้ั ๆ การปฏบิ ตั ิ เลอื กการตอ้ นรบั บคุ คลใหเ้ หมาะสมกบั สถานะของบคุ คล สถานท่ี และเวลา ๕. อธิบายถึงความหมายและการปฏิบัติตนของสุข ๒ ตอบ สุข แปลว่า สภาพที่ทนได้ง่าย หรือสภาพที่กัดกินเสียซ่ึงทุกข์ หมายถึง ความสบาย ความสำราญ ความปลอดโปรง่ แชม่ ชนื่ ความไมเ่ ดอื ดรอ้ นโดยประการตา่ ง ๆ มี ๒ อยา่ ง คอื ๑. กายิกสุข สุขทางกาย หมายถึง การท่ีกายมีภาวะเป็นปกติ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน และไม่ได้รับความเจ็บปวดจากการกระทบกระทั่งกับสิ่งอ่ืน ๆ มีทรัพย์สมบัติพร้อมทั้งเคร่ืองอุปโภค บริโภคใช้สอยอย่างพร้อมมูล ตลอดถึงการที่กายไม่ได้รับความเหน็ดเหน่ือยด้วยกิจการที่จะต้อง ทำตา่ ง ๆ เป็นตน้ ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ หมายถึง การที่ใจมีความสำราญแช่มช่ืนไม่ขุ่นมัวด้วยอำนาจ กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ อันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมอง หรือการที่จิตมีปกติผ่องใสไม่ขุ่นมัว ด้วยอารมณท์ ม่ี ากระทบ มปี กตเิ ย็นและแช่มชนื่ อยู่เปน็ นิจ เป็นต้น การปฏบิ ตั ิ พึงพิจารณาให้ถ่องแท้ ความอยากท่ีนำสทู่ างเส่ือมไม่สมควรปฏบิ ัต ิ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าธรรม

21 ใบความรูท้ ี่ ๑ หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ในทกุ ะ หมวด ๒ ทกุ ะ หมวด ๒ กัมมฏั ฐาน ๒ ๑. สมถกมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเปน็ อบุ ายสงบใจ ๒. วปิ สั สนากมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายเรอื งปญั ญา อธิบาย กัมมฏั ฐาน แปลวา่ ที่ต้ังแห่งการงาน หรืออารมณ์อันเปน็ ท่ตี ้งั แหง่ การงาน อกี อยา่ งหน่ึง เรียกว่า “ภาวนา” แปลว่าทำให้มีให้เป็นข้ึน หรือการเจริญ ทั้ง ๒ อย่างนี้ มีความหมายเดียวกัน คือ การกระทำ หรือการบำเพ็ญเพียรทางจิต เพ่ือให้จิตสงบระงับจากนิวรณ์ธรรมท้ังหลาย โดยปกติ จิตของปุถุชนย่อมดิ้นรนกวัดแก่วงไปในอารมณ์ต่าง ๆ จึงไม่อาจสงบ ระงับได้ อุบายอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องฝึกจิตให้สงบระงับ เป็นจิตที่ควรแก่การงาน สามารถรู้แจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริง และละกิเลสท่ีมีอยู่ภายในได้เด็ดขาด เรียกว่า กัมมัฏฐาน หรือภาวนา การบำเพ็ญกัมมัฏฐานเป็น ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ น้ั สงู บคุ คลผปู้ รารถนาความพน้ ทกุ ขเ์ ปน็ การงานทางจติ ทลี่ ะเอยี ดลมุ่ ลกึ ตอ้ งอาศยั ความเพยี ร และความอดทนเปน็ ประการสำคญั เพราะเมอื่ บคุ คลมคี วามเพยี รตง้ั มน่ั ดแี ลว้ ยอ่ มสามารถบรรลผุ ลได้ ตามสมควรแก่อุปนสิ ัยของตน มี ๒ อย่าง คอื ๑. สมถกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายสงบใจ คือ การเจริญกัมมัฏฐานท่ีเนื่องด้วย บริกรรมอย่างเดียว เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดยใช้สติเป็นหลัก ไม่เก่ียวกับการใช้ปัญญา ตามธรรมดาจิตของบุคคล ย่อมฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ท้ังที่เป็นอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ ์ ทน่ี า่ ปรารถนา นา่ ชอบใจ ทง้ั ทเี่ ปน็ อนฏิ ฐารมณ์ คอื อารมณท์ ไ่ี มป่ รารถนา ไมน่ า่ ชอบใจ เมอ่ื จติ ฟงุ้ ซา่ น ไปในอารมณต์ ่าง ๆ กจ็ ะไมส่ ามารถสงบลงได้ อบุ ายอย่างหนง่ึ อันเปน็ เครอื่ งสงบระงับจิตไม่ให้ฟุ้งซา่ น ไปในอารมณ์ต่าง ๆ กค็ อื การใชส้ ตยิ ดึ เอาอารมณอ์ ยา่ งใดอย่างหนงึ่ แลว้ บริกรรมโดยทำไวใ้ นใจจนจติ แนบแน่นในอารมณ์เดียว สามารถระงบั นวิ รณไ์ ด้ เป็นจิตมอี ารมณ์เลศิ เป็นหน่งึ เรยี กวา่ “เอกคั คตา” ในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคจำแนกอารมณ์สมถกัมมัฏฐานไว้ ๔๐ คือ กสิณ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ ๒. วิปัสสนากัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา คือ การบำเพ็ญกัมมัฏฐาน ที่ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างเดียว โดยการพิจารณาปรารภสภาวธรรม คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ แยกออกพิจารณาให้รู้ตามสภาพความเป็นจริง โดยยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์หรือ สามัญญลักษณะว่า เป็นอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง มีการเปล่ียนแปรไปเป็นธรรมดา เป็นทุกข์ คือ เป็นสิ่งท่ที นได้ยากบีบคัน้ อยูเ่ ปน็ นิจ เป็นอนตั ตา หาตวั ตนมิได้ เป็นเพยี งธาตุท้งั ๔ มารวมกนั เท่านนั้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้ันโท วิชาธรรม

22 การใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างน้ี และรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะ ทม่ี ีอยู่น้ัน ปล่อยวางความยดึ ม่ันถือมั่นในสิง่ ท้งั ปวงไดแ้ ละละกิเลสได้ในทสี่ ุด ผทู้ เ่ี จรญิ กมั มฏั ฐาน ๒ อยา่ งน้ี มผี ลแตกตา่ งกนั คอื ผทู้ เ่ี จรญิ สมถกมั มฎั ฐาน ระงบั นวิ รณ์ ๕ ได้ ทำให้จิตสงบเป็นสมาธิ ได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ แต่ไม่สามารถบรรลุ มรรคผลได้ ส่วนผู้ที่เจริญวิปัสสนากัมมัฎฐาน โดยใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรม ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ จนเกิดรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ยึดม่ันถือม่ันในสิ่งทั่งปวง สามารถละกิเลสได้เด็ดขาด และบรรลุเป็น พระอรหนั ต์ในที่สดุ กาม ๒ ๑. กเิ ลสกาม กเิ ลสเป็นเหตุใคร่ ๒. วตั ถกุ าม พสั ดอุ นั น่าใคร่ หรือ วัตถุอนั นา่ ใคร่ อธิบาย กาม แปลว่า ความใคร่ หมายถึง ความอยาก ความปรารถนาส่ิงที่น่าใคร่น่าชอบใจ เป็นส่ิงท่ีทำให้บุคคลหลงติดข้องอยู่ในโลก ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากทุกข์ได้ เพราะการเวียนตาย เวียนเกิดอย่างไมร่ ้จู กั จบส้ิน แบ่งเปน็ ๒ อยา่ ง คือ ๑. กิเลสกาม กิเลสเป็นเหตุใคร่ ได้แก่ กิเลส แปลว่า ความเศร้าหมอง กิเลสกาม หมายถึง ความใคร่ท่ีทำให้จิตขุ่นมัวหรือหมกมุ่นอยู่ในส่ิงน้ัน ๆ เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลส ทีก่ ลุม้ รมุ จิตให้เกิดความเรา่ ร้อนทะยานอยากในอารมณต์ า่ ง ๆ ได้แก่ ราคะ ความกำหนดั ยินดี โลภะ ความโลภ อยากได้ให้ยิ่ง ๆ ข้ึนไป อิจฉา ความปรารถนา อยากจะได้ เช่น เห็นคนอื่นได้สิ่งใด ก็อยากจะได้บ้าง เป็นต้น อิสสา ความริษยา หรือความหึงหวง คือ ไม่อยากเห็นคนอ่ืนมาเสมอตัว อรติ ความไม่ยินดีด้วย คือ ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดีเกินไปกว่าตัว อสันตุฏฐิ ความไม่สันโดษ คือ ความไมร่ จู้ กั พอดี พอใจในสิ่งที่ตนมอี ย ู่ ๒. วัตถุกาม พัสดุอันน่าใคร่ หรือวัตถุอันน่าใคร่ หมายถึง สิ่งท่ีทำให้จิตใคร ่ หรือปรารถนา ได้แก่ กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ เช่น เมื่อตาเห็นรูปที่สวยงาม หูได้ฟังเสียงท่ีไพเราะ จมูกได้สูดกล่ินหอม ล้ินได้สัมผัสรสท่ีน่าลิ้ม และร่างกายได้ถูกต้องสัมผัสส่ิงท่ีน่าใคร่ น่าชอบใจ กท็ ำให้จิตมคี วามยินดขี ้ึน จากน้นั กด็ ้ินรนปรารถนาอยากจะได้ เมื่อไดส้ มความปรารถนาก็เพลดิ เพลิน ลุ่มหลงหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์นั้น ไม่คิดที่จะถอนตนออกให้พ้น คร้ันไม่ได้ดังที่ต้ังใจไว้ก็ดิ้นรน ขวนขวายเพอื่ จะใหไ้ ดม้ า โดยไม่คำนึงถงึ ผดิ ชอบชั่วดี กามทง้ั ๒ อยา่ งน้ี กเิ ลสกาม จดั เป็นมาร เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดี และทำให้ จิตตกต่ำจนเสียคนได้ ส่วนวัตถุกามจัดเป็นบ่วงแห่งมาร เพราะเป็นส่ิงท่ีน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ สามารถผูกจิตของบุคคลผู้ไม่รู้เท่าทันให้ติดอยู่ ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปจากทุกข ์ ในวฏั สงสารได ้ แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชั้นโท วชิ าธรรม

23 บูชา ๒ ๑. อามิสบชู า บชู าดว้ ยอามิส (คอื สิง่ ของ) ๒. ปฏิปตั ตบิ ชู า บูชาดว้ ยปฏิบัติตาม อธบิ าย บูชา แปลว่า การเคารพยกย่อง หมายถึง การแสดงความเคารพนับถือบุคคลหรือ วัตถุอย่างใดอย่างหน่ึงที่ตนนับถือ เช่น พุทธศาสนิกชนบูชาพระรัตนตรัย หรือแสดงความเคารพ ผู้มอี ปุ การคุณ มีบิดา มารดา ครู อาจารย์ เป็นต้น การบูชา มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. อามิสบูชา บูชาด้วยอามิส (คือส่ิงของ) ได้แก่ การบูชาด้วยเคร่ืองสักการะท่ีเป็น วัตถุสิ่งของ มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น การบูชาด้วยเคร่ืองอุปโภคและบริโภค มีผ้า อาหาร ท่ีนั่ง ที่นอน ยารักษาโรค หรือการท่ีพุทธศาสนิกชน จัดสร้างถาวรวัตถุ มีโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กฏุ ิสงฆ์ เปน็ ต้น ไว้ในพุทธศาสนา เพอื่ เป็นพุทธบชู า จดั เปน็ การบชู าดว้ ยอามสิ เชน่ เดียวกนั ๒. ปฏิปัตติบูชา บูชาด้วยปฏิบัติตาม ได้แก่ การบูชาด้วยการประพฤติตนโดยเอ้ือเฟ้ือ ในคำสั่งสอนของท่าน และปฏิบัติตามโดยเคารพ ไม่แสดงอาการด้ือรั้น เช่น พุทธศาสนิกชน ได้ฟัง คำส่ังสอนในทางพุทธศาสนาแล้วประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำส่ังสอน และเป็นผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแกธ่ รรม ก็จะได้รบั ผลสมควรแกก่ ารปฏิบตั ิของตน บูชา ๒ อยา่ งน้ี อามิสบูชาทำให้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ ปฏิปตั ติบชู าทำให้ได้ผลสูงสุด คอื มรรค ผล นิพพาน พระพุทธเจ้าจึงตรัสสรรเสริญปฏิบัติบูชาว่าประเสริฐ เพราะสามารถรักษา พระสทั ธรรมคำสั่งสอนไว้ได้นานและถอื ว่าเป็นการบูชาพระพทุ ธองคโ์ ดยตรง ปฏิสันถาร ๒ ๑. อามสิ ปฏสิ นั ถาร ปฏสิ ันถารดว้ ยอามสิ (คือสง่ิ ของ) ๒. ธัมมปฏสิ นั ถาร ปฏสิ นั ถารโดยธรรม อธิบาย ปฏิสันถาร แปลว่า การต้อนรับ หมายถึง การรับรอง การทักทายปราศรัยผู้มาถึงถิ่น การทำปฏิสันถาร เป็นสิ่งสำคัญประการหน่ึงของผู้เป็นเจ้าถิ่น เป็นหน้าท่ีของผู้เป็นเจ้าถิ่นท่ีจะต้องทำ ต่อแขกผู้มาเยือน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ท่ีไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม ตลอดถึงผู้ที่สัญจร ผ่านไปมา เมื่อได้ประสบพบเห็นเข้า ก็เป็นผู้สมควรที่ผู้เป็นเจ้าถิ่นจะต้องทำปฏิสันถารท้ังน้ัน มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. อามสิ ปฏิสันถาร ปฏิสนั ถารด้วยอามสิ (คอื ส่งิ ของ) คือ การจดั หาวตั ถุทเ่ี ปน็ สงิ่ ของ เป็นเคร่ืองต้อนรับ เช่น ข้าว น้ำ หรือที่พักอาศัย เป็นต้น เท่าท่ีผู้เป็นเจ้าถ่ินจะสามารถจัดหาได้มา ต้อนรับแขกผู้มาเยือนตามสมควร หากผู้ท่ีมาเยือนเป็นผู้ที่มีความหิวกระหาย ก็ควรจัดข้าวปลา แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าธรรม

24 อาหารให้ หากเขามีความประสงค์หรือจำเป็นท่ีจะต้องอยู่พักแรม ก็จัดหาเครื่องนุ่งห่มสำหรับ ผลดั เปลย่ี นและจัดหาทีพ่ ักให้ หรือถา้ สามารถทำได้ เมอ่ื เขาจะจากไปกจ็ ดั หาพาหนะให้ ๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารโดยธรรม หมายถึง การต้อนรับด้วยสนทนาปราศรัย โดยธรรม คือ ตามความเหมาะสมแก่แขกผู้มาเยือน หรือสมควรแก่ฐานะของแขก เช่น ถ้าแขก ผมู้ าเยอื นเปน็ ผมู้ ฐี านะตำ่ กวา่ หรอื เสมอกบั ตน กต็ อ้ นรบั ดว้ ยการทกั ทายปราศรยั เชญิ ใหน้ งั่ ในทเี่ สมอกนั ไม่แสดงกิริยาเย่อหยิ่ง ถือตัวด้วยประการใด ๆ สนทนาถึงสุขทุกข์โดยอาการฉันมิตร หรือสนทนา ในเร่ืองอื่น ๆ ตามสมควร ถ้าแขกผู้มาเยือนเป็นผู้มีฐานะตำแหน่งสูงกว่าตน ดำรงอยู่ในฐานะที่ควร เคารพนับถือ เป็นผู้เจริญกว่าตนโดยชาติคุณ และโดยวัย ก็แสดงการต้อนรับด้วยการอ่อนน้อม ถ่อมตน มีการกราบไหว้ ลุกข้ึนต้อนรับ เป็นต้น พร้อมจัดหาอาสนะให้นั่งในท่ีสมควรให้สมกับฐานะ ตำแหน่งน้นั ๆ ปฏิสันถาร ๒ อย่างนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสังคมมนุษย์ เพราะมนุษย์จะต้องมี การคบหาสมาคมพบปะ ทกั ทาย พดู จาปราศรยั กนั ดว้ ยปฏสิ นั ถารอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เพอื่ การอยรู่ ว่ มกนั ในโลกอยา่ งมีความสุข ถ้าปราศจากปฏสิ นั ถารท้งั ๒ อย่างน้ี กจ็ ะทำให้สงั คมมนุษยข์ าดความเอ้อื เฟ้อื เผ่ือแผเ่ กือ้ กลู ซ่ึงกันและกนั สขุ ๒ ๑. กายกิ สุข สขุ ทางกาย ๒. เจตสิกสุข สขุ ทางใจ อธบิ าย สุข แปลว่า สภาพท่ีทนได้ง่าย หรือสภาพที่กัดกินเสียซึ่งทุกข์ หมายถึง ความสบาย ความสำราญ ความปลอดโปร่งแช่มชนื่ ความไมเ่ ดือดร้อนโดยประการตา่ ง ๆ มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. กายิกสุข สุขทางกาย หมายถึง การที่กายมีภาวะเป็นปกติ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน และไม่ได้รับความเจ็บปวดจากการกระทบกระทั่งกับสิ่งอ่ืน ๆ มีทรัพย์สมบัติพร้อมทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคใช้สอยอย่างพร้อมมูล ตลอดถึงการท่ีกายไม่ได้รับความเหน็ดเหน่ือยด้วยกิจการท่ีจะต้อง ทำตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ หมายถึง การที่ใจมีความสำราญแช่มช่ืนไม่ขุ่นมัวด้วยอำนาจ กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ อันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมอง หรือการที่จิตมีปกติผ่องใสไม่ขุ่นมัว ด้วยอารมณ์ทม่ี ากระทบ มปี กติเย็นและแชม่ ช่ืนอยเู่ ป็นนิจ เปน็ ตน้ สุข ๒ อย่างนี้ สุขทางใจนับว่าเป็นส่ิงสำคัญ เพราะบุคคลแม้กายจะได้รับความลำบาก เดือดร้อนเพียงใดก็ตาม ถ้าใจเป็นสุขไม่ขุ่นมัวแล้ว ย่อมทนต่อความทุกข์ท่ีเกิดข้ึนทางกายได้ ทั้งยงั สามารถหาอุบายหลีกเลี่ยงความทุกขน์ น้ั ๆ ได้ด้วย แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าธรรม

25 แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒ ธรรมศกึ ษาช้ันโท สาระการเรียนรู้วิชาธรรม เรอื่ ง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ในตกิ ะ หมวด ๓ เวลา.........................ชวั่ โมง .............................................................................................................................................................. ๑. มาตรฐานการเรยี นรู ้ มาตรฐาน ธศ ๑ รู้และเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา มีศรัทธาท่ีถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลกั ธรรม เพ่อื อยูร่ ่วมกันอย่างสนั ตสิ ุข ๒. ผลการเรยี นร้ ู รู้และเขา้ ใจหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ในตกิ ะ หมวด ๓ ๓. สาระสำคญั หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ เป็นหลักธรรมที่ว่าด้วย อกุศลวิตก ๓ กศุ ลวิตก ๓ อัคคิ (ไฟ) ๓ อธิปเตยยะ ๓ ญาณ ๓ ตณั หา ๓ ปิฎก ๓ พุทธจรยิ า ๓ วัฏฏะ (วน) ๓ สิกขา ๓ และสามัญลักษณะ ๓ หากบุคคลยึดมั่นและปฏิบัติได้จะทำให้เป็นคนดีอยู่ในสังคม ดว้ ยความเป็นสขุ ๔. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ นักเรียนอธิบายหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในตกิ ะ หมวด ๓ ได ้ ๕. สาระการเรยี นรู/้ เนอื้ หา - อกศุ ลวิตก ๓ - กุศลวิตก ๓ - อัคคิ (ไฟ) ๓ - อธิปเตยยะ ๓ - ญาณ ๓ - ตัณหา ๓ - ปฎิ ก ๓ - พุทธจรยิ า ๓ - วฏั ฏะ (วน) ๓ - สิกขา ๓ - สามญั ลักษณะ ๓ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าธรรม

26 ๖. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ๑. ใหน้ ักเรียนสวดมนตไ์ หว้พระ นัง่ สมาธกิ ่อนเรยี น ๕ นาท ี ข้ันสืบคน้ และขนั้ เชอื่ มโยง ๒. ครูและนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ โดยใช้คำถามเพ่ือพฒั นาทกั ษะกระบวนการคดิ และเชอื่ มโยงไปสู่การเรียนรู ้ - นกั เรยี นเคยเรยี น เรอ่ื ง หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในตกิ ะ หมวด ๓ บา้ งหรอื ไม ่ - หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ในตกิ ะ หมวด ๓ มอี ะไรบ้าง - นักเรียนเคยได้ยินได้เห็นหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ จากท่ีไหนบา้ ง ขัน้ ฝกึ ๓. แบ่งนกั เรยี นออกเป็น ๔ กลมุ่ โดยใหแ้ ต่ละกล่มุ ศึกษาหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ ซ่ึงประกอบด้วย กลุ่มท่ี ๑ อกุศลวิตก ๓ กุศลวิตก ๓ อัคคิ (ไฟ) ๓ กลุ่มท่ี ๒ อธิปเตยยะ ๓ ญาณ ๓ ตัณหา ๓ กลุ่มท่ี ๓ ปิฎก ๓ พุทธจริยา ๓ วัฏฏะ (วน) ๓ และกลุ่มท่ี ๔ สกิ ขา ๓ สามัญลกั ษณะ ๓ จากใบความรทู้ ่ี ๒ ๔. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ จัดเตรียมการเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรียน ขน้ั ประยุกต ์ ๕. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอตามหัวข้อที่ตนเองได้รับมอบหมาย เพอ่ื แลกเปล่ียนเรยี นรู้ ๖. นักเรียนในแตล่ ะกลุ่มตอบคำถามตามใบกจิ กรรมท่ี ๒ ๗. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรปุ ในแตล่ ะหวั ข้อ ๗. ภาระงาน/ช้ินงาน ที่ ภาระงาน ช้ินงาน ๑ ตอบคำถามเกย่ี วกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ ใบกจิ กรรมที่ ๒ ๘. สื่อ/แหลง่ การเรียนร้ ู ๑. ใบความรู้ท่ี ๒ เรอื่ ง หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในตกิ ะ หมวด ๓ ๒. ใบกิจกรรมที่ ๒ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชน้ั โท วิชาธรรม

27 ๙. การวดั ผลและประเมนิ ผล สง่ิ ทีต่ ้องการวดั วธิ ีวัด เคร่ืองมอื วัด เกณฑ์การประเมิน นกั เรียนอธิบาย หลกั ธรรมของ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผา่ น = ได้คะแนนต้งั แต่ร้อยละ พระพุทธศาสนา ผลงาน ๖๐ ขน้ึ ไป ในติกะ หมวด ๓ ได้ ไม่ผา่ น = ได้คะแนนต่ำกวา่ รอ้ ยละ ๖๐ แบบประเมนิ ผลงานใบกจิ กรรมท่ี ๒ ขอ้ ท่ ี ๓ คะแนน ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๑-๑๑ ตอบคำถามถูกต้อง ๒ คะแนน ตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ ง ตอบคำถามไดถ้ ูกต้อง ตรงประเดน็ น้อย ตรงประเด็น ตรงประเดน็ เปน็ ส่วนใหญ ่ เกณฑ์การตดั สิน เกณฑ ์ รอ้ ยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ขึน้ ไป ๒๐ คะแนนขน้ึ ไป ไม่ผ่าน ต่ำกว่า ๖๐ ๑๙ คะแนนลงมา หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกับกล่มุ เป้าหมาย แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ชัน้ โท วชิ าธรรม

28 ใบกจิ กรรมที่ ๒ หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ ช่อื กลุม่ .................................. ชอ่ื ............................................................................................ช้นั ................เลขท.ี่ ............................... ชอ่ื ............................................................................................ช้ัน................เลขท่ี................................ ชื่อ............................................................................................ชั้น................เลขท.่ี ............................... คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปน้ี จำนวน ๑๑ ขอ้ (๓๓ คะแนน) ๑. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏบิ ตั ิตนของอกุศลวติ ก ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๒. อธิบายถงึ ความหมายและการปฏบิ ตั ิตนของกศุ ลวิตก ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๓. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏบิ ตั ติ นของอัคคิ (ไฟ) ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๔. อธิบายถึงความหมายและการปฏบิ ตั ิตนของอธปิ เตยยะ ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๕. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏบิ ัติตนของญาณ ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าธรรม

29 ๖. อธิบายถึงความหมายและการปฏิบัตติ นของตัณหา ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๗. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏบิ ัติตนของปิฎก ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๘. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏบิ ัติตนของพุทธจรยิ า ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๙. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏบิ ตั ิตนของวฏั ฏะ (วน) ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๑๐. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏิบัตติ นของสกิ ขา ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. ๑๑. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏบิ ัตติ นของสามัญลักษณะ ๓ .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................. แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชัน้ โท วิชาธรรม

30 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๒ หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ในติกะ หมวด ๓ ๑. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏบิ ัตติ นของอกุศลวิตก ๓ ตอบ แปลว่า ความตรใิ นทางอกุศล หมายถงึ ความนึกคดิ ไปในทางท่ีไม่ดี เปน็ อาการ ที่เกิดขึ้นกับจิต โดยปกติจิตของมนุษย์ผู้เป็นปุถุชนย่อมจะมีการนึกคิดไปในอารมณ์ต่าง ๆ บางครั้ง ก็นึกคิดไปในทางที่ดี คือ คิดที่จะทำตนให้เป็นประโยชน์เก้ือกูลแก่ผู้อ่ืน บางคร้ังก็คิดไปในทางไม่ดี คือ คิดแต่ในทางท่จี ะทำให้ผู้อ่นื เดือดร้อน ในท่นี ้หี มายถงึ ความนกึ คดิ ในทางไม่ดี มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. กามวติ ก ความตรใิ นทางกาม หมายถงึ ความนกึ คดิ ของบคุ คลผหู้ นกั ไปทางกาม หรือในทางลาภผล เช่น ความคิดที่มุ่งไปในทางประพฤติผิดในสามีภรรยาของผู้อื่น เมื่อเห็นสามี ภรรยาของผอู้ น่ื แลว้ กอ็ ดใจไวไ้ มไ่ ด้ เกบ็ เอาความคดิ ปรารถนาทจ่ี ะทำการลว่ งละเมดิ ไวใ้ นใจ ความคดิ เชน่ น้ี มรี าคะเปน็ สมฏุ ฐาน ๒. พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท หมายถึง ความนึกคิดของผู้ที่หนักไป ในทางโทสะขาดความเมตตา มงุ่ แตจ่ ะใหเ้ กดิ ความทกุ ขแ์ กผ่ อู้ น่ื เชน่ คดิ จะประทษุ รา้ ยรา่ งกายเขาบา้ ง คิดจะทำลายทรัพย์สินของเขาบ้าง คิดจะทำลายคุณความดีของเขาบ้าง ความคิดเช่นนี้มีโทสะ เปน็ สมุฏฐาน ๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน หมายถึง ความนึกคิดของบุคคลผู้ขาด ความสงสาร และขาดความพลอยยินดี มีความริษยาไม่อยากเห็นใครดีกว่าตน เช่น คิดหาทาง กล่นั แกลง้ ผอู้ น่ื ให้ได้รบั ความเดอื ดรอ้ นบา้ ง ทำงานด้วยกนั กค็ ดิ เอาเปรียบเขา เพอ่ื ตัวเองจะได้ทำงาน น้อยบา้ ง หรือแสวงหาความสขุ เพ่อื ตัวเองในทางทจ่ี ะทำให้ผอู้ ่ืนไดร้ บั ความลำบากบ้าง ความคดิ เช่นนี้ มีโมหะเปน็ สมุฏฐาน การปฏบิ ตั ิ มสี ตไิ มว่ ิตก ๒. อธิบายถึงความหมายและการปฏิบตั ิตนของกุศลวิตก ๓ ตอบ แปลว่า ความตริในทางกศุ ล หมายถึง ความตรกึ นกึ คดิ ในฝา่ ยทดี่ ี ตรงกนั ข้าม กบั อกุศลวิตกดังกลา่ ว มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม หมายถึง ความตรึกนึกคิดของ ผู้หวังความสงบในการท่ีจะพรากตนออกจากกาม ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสกาม มีราคะ ความกำหนัด โลภะ ความโลภ เป็นต้น ท้ังไม่ปล่อยใจให้ลุ่มหลงอยู่ในวัตถุกามอันเป็นเครื่องยั่วยวน จิต คือ กามคณุ ๕ ไดแ้ ก่ รูป เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ท่นี ่ารักชักใหใ้ ครพ่ าใจให้กำหนัด โดยคำนึงถงึ โทษของกิเลสเหล่าน้ีว่าเป็นเหตุให้จิตฟุ้งซ่าน และมีความคิดท่ีจะพรากจากกิเลสเหล่านั้นด้วยการ ออกบวช เนกขัมมวิตกนีม้ ีอโลภะเป็นสมฏุ ฐาน แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชั้นโท วชิ าธรรม

31 ๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท หมายถึง ความตรึกนึกคิดของ บุคคลผู้หวังให้คนอื่นมีความสุข ไม่คิดถึงความสุขของตนฝ่ายเดียว คิดที่จะแบ่งปันประโยชน์ของตน แก่ผู้อื่น ได้แก่ ความคิดของผู้ที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณา เมื่อตนมีความสุขก็ปรารถนาจะให ้ ผู้อ่ืนมีความสุขด้วย เห็นผู้อื่นมีความทุกข์ก็คิดช่วยให้พ้นทุกข์ เป็นต้น อพยาบาทวิตกนี้มีอโทสะเป็น สมฏุ ฐาน ๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน หมายถึง ความตรึกนึกคิดของ บคุ คลผมู้ ่งุ ให้ผูอ้ ื่นมีความสบาย ไมค่ ิดซำ้ เติมเมือ่ เห็นผอู้ ่ืนมที ุกข์ จะทำสิง่ ใดก็นกึ ถึงประโยชน์ของผ้อู น่ื อยู่เสมอ เช่น จะใช้คนหรือสัตว์ก็นึกถึงความเหนือ่ ยยากของคนหรอื สตั ว์นน้ั ไม่ใช้ใหล้ ำบากตรากตรำ จนเกินไป หรอื คดิ จะทำสง่ิ ใดถ้าทำใหผ้ ู้อื่นเดอื ดรอ้ นก็งดเว้นเสีย เป็นตน้ อวิหงิ สาวิตกนมี้ ีอโมหะเปน็ สมุฏฐาน การปฏบิ ัติ สบื ขอ้ มูล ร้วู เิ คราะห์ หาพื้นฐานความจรงิ ดว้ ยสตแิ ละปัญญา ๓ . อธิบายถงึ ความหมายและการปฏิบัติตนของอคั คิ (ไฟ) ๓ ตอบ แปลว่า ไฟ โดยปกตไิ ฟเปน็ ของร้อน เม่อื บุคคลไปถูกต้องเข้ากจ็ ะทำให้เจบ็ ปวด เพราะถูกพลังแห่งความร้อนแผดเผา ถ้าเอาวัตถุไปถูกต้องเข้าก็อาจเผาวัตถุน้ันให้เป็นเถ้าถ่านไปได้ นี้หมายถึง ไฟภายนอกท่มี ีอยูต่ ามธรรมชาติ แต่ในทน่ี ้หี มายถงึ กิเลสที่เปรยี บเหมือนไฟ เพราะเผาลน จิตใจให้เร่ารอ้ น คอื กเิ ลสที่มลี กั ษณะร้อนเหมอื นไฟ ซึ่งเมื่อเกิดข้ึนภายในจติ ใจแล้วกจ็ ะทำใหร้ มุ่ ร้อน กระวนกระวายไม่อาจคงอยู่ในคุณความดีได้ เพราะเป็นสิ่งที่จะเผาบุคคลเสียจากคุณความด ี มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. ราคัคคิ ไฟคือราคะ หมายถึง ความกำหนัดยินดีหรือความทะยานอยาก ในอารมณ์ตา่ ง ๆ ตามทต่ี นปรารถนา ซึ่งมมี าจากความโลภ ตามปกตบิ คุ คลผูป้ ระกอบดว้ ยราคะแล้ว จติ ยอ่ มจะฟงุ้ ซา่ นไมส่ งบลงได้ เช่น เมื่อไดพ้ บรูปทีส่ วยงาม ฟังเสียงทไี่ พเราะ เปน็ ต้น จิตกจ็ ะติดอยใู่ น รูปและเสียงนั้น เกิดความร้อนรุ่มกระวนกระวายใจ พยายามเพื่อจะให้ได้มาตามที่ปรารถนา โดยสามารถทำได้ทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิด เช่น ฆ่าคนหรือทำอนาจารต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้ได้สิ่งท่ี ปรารถนาซ่งึ เกดิ ขน้ึ ด้วยอำนาจไฟราคะท่ีเผาลนจติ ใหร้ ุ่มรอ้ นน่นั เอง ๒. โทสัคคิ ไฟคือโทสะ หมายถึง ความขัดเคือง ไม่พอใจ คิดประทุษร้ายผู้อ่ืน เป็นธรรมชาติของจิตท่ีถูกอนิฏฐารมณ์มากระทบมีลักษณะทำให้จิตหงุดหงิดฉุนเฉียว เป็นต้น โทสะนี้ เม่ือเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ย่อมเป็นเหตุให้แสดงอาการวิปริตต่าง ๆ เมื่อมีกำลังแก่กล้า มากข้ึนก็ทำให้ปราศจากความเมตตากรุณา อาจประทุษร้ายผู้อื่นที่ตนโกรธได้โดยวิธีการต่าง ๆ ดงั น้นั โทสะจึงเปรียบเหมือนไฟ เพราะเผาลนจติ ใหร้ อ้ นรมุ่ ด้วยการคิดจะประทษุ รา้ ยผูอ้ น่ื ๓. โมหัคคิ ไฟคือโมหะ หมายถึง ความหลงไม่รู้สภาพตามเป็นจริง จิตท่ีถูกโมหะ ครอบงำ ย่อมลุ่มหลงมัวเมาไปตามความเช่ือของตนหรือตามคำชักนำของผู้อื่น โดยไม่ได้ใช้ปัญญา ของตนพิจารณาหาเหตุผล เช่น มีผู้มาแนะนำว่า ถ้าอยากมีความสุข ความเจริญจะต้องทำการบูชา หรือบวงสรวงส่ิงศักด์ิสิทธ์ด้วยส่ิงนี้ ๆ ก็ทำตาม แม้ตนเองจะไม่มีทรัพย์สินสิ่งของก็ไปยืมผู้อ่ืนมา แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั โท วิชาธรรม

32 โดยไมค่ ำนงึ วา่ ทำไปแลว้ จะเกดิ ผลหรอื ไม่ เมอื่ ไมเ่ กดิ ผลตามคำแนะนำกเ็ ดอื ดรอ้ นใจเพราะหมดทรพั ยส์ นิ และเปน็ หน้ีผอู้ นื่ เปน็ ตน้ ดังนน้ั โมหะจึงเปรยี บเหมอื นไฟ เพราะเผาลนจิตใจใหล้ ่มุ หลง การปฏบิ ตั ิ สำรวจใจตนเอง สถานการณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ทำใหไ้ มส่ บายใจหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด หาเหตผุ ล วเิ คราะหห์ าทางแก้ปญั หาโดยส่วนรวม ๔. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏบิ ัตติ นของอธิปเตยยะ ๓ ตอบ แปลว่า ความเป็นใหญ่ หมายถึง ความเป็นใหญ่ของบุคคลทจี่ ะทำการอยา่ งใด อย่างหนึ่ง ก็หวังผลที่จะได้เป็นสำคัญ เช่น ทำเพื่อตนเอง ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ทำเพ่ือ ความถูกตอ้ งชอบธรรม เป็นต้น มี ๓ อย่าง คอื ๑. อตั ตาธิปเตยยะ ความมตี นเปน็ ใหญ่ (อัตตาธปิ ไตย) หมายถงึ บคุ คลผ้ยู ึดอตั ตา คือ ถือตนเป็นประมาณจะกระทำส่ิงใดก็นึกถึงประโยชน์ตนเป็นสำคัญ โดยไม่นึกถึงความเสียหาย ของผู้อื่น แม้จะทำส่ิงท่ีแสดงว่าตนเป็นผู้เสียสละเพ่ือส่วนรวมก็ตาม จะทำก็เม่ือมีความจำเป็นเท่านั้น แตจ่ ดุ มงุ่ หมายก็คอื ความเปน็ ใหญ่ของตนเปน็ สำคัญ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ (โลกาธิปไตย) โลก ในท่ีนี้หมายถึง ประชาชนผอู้ ยใู่ นโลก ดง้ั นน้ั โลกาธปิ เตยยะ ในทน่ี จ้ี งึ หมายความวา่ มปี ระชาชนเปน็ ใหญ่ หรอื ทเี่ รยี กกนั ใน สมัยน้ีว่า ประชาธิปไตย ซึ่งนับว่าอำนวยประโยชน์ดีกว่าอัตตาธิปเตยยะ เพราะทำให้เป็นไปในทางท่ี ถูกท่ีชอบได้มากกว่า คือจะทำส่ิงใดก็ยังยึดถือประชาชนเป็นใหญ่ โดยมุ่งถึงประชาชน เช่น จะทำทานคิดว่า ถ้าเราไม่ทำคนอื่นก็จะติเตียนว่าเราตระหน่ีถี่เหนียว เขาทำกันทำไมไม่ทำ จึงต้อง พยายามทำบา้ งพอเปน็ เครือ่ งปอ้ งกันการติเตียนของผอู้ ่นื เป็นต้น ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ (ธัมมาธิปไตย) ธรรม ในท่ีนี้หมายถึง ความถูกต้องชอบธรรมในการกระทำของบุคคลเป็นสำคัญ ไม่ทำเพราะกลัวคนอ่ืนติเตียนหรือ เพราะหวังคำสรรเสริญของคนอื่น แต่ทำเพราะคิดว่าเป็นส่ิงที่ควรทำ เช่น เม่ือจะทำบุญกุศล ก็คิดว่าการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นหลักปฏิบัติท่ีถูกต้องชอบธรรม จึงให้ทานเพื่อให้จิต ปราศจากความตระหน่ี และเป็นเคร่ืองเก้ือกูลกันและกัน รักษาศีล เพ่ือรักษา กาย วาจา ของตน ให้สงบเรียบร้อย ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน และเจริญภาวนา เพ่ือให้ใจสงบระงับ ไม่ให้ฟุ้งซ่าน เป็นต้น การกระทำกุศลดังกล่าวน้ี ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของตนและไม่ได้ทำเพราะเกรงผู้อ่ืนติเตียน แตท่ ำเพราะยดึ ถอื ความถกู ตอ้ งความชอบธรรมเปน็ สำคัญ การปฏบิ ตั ิ จงคดิ วา่ ตนเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คม ไมม่ อี ะไรเปน็ ของตน ทกุ คนมสี ว่ นรว่ ม ช่วยกนั สร้างสรรค์ ๕. อธิบายถึงความหมายและการปฏบิ ัติตนของญาณ ๓ ตอบ แปลวา่ ความรู้ หรอื ความหยั่งรู้ หมายถงึ ปญั ญาหยั่งรู้เหตุและผลอนั แจ่มแจ้ง ตามสภาพความเปน็ จรงิ โดยไมม่ สี งิ่ ใดขดั ขวางหรอื ปดิ บงั มใิ หร้ ู้ ในทนี่ ไี้ ดแ้ ก่ ความรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ในอรยิ สจั ๔ มี ๓ อยา่ ง คือ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้นั โท วิชาธรรม

33 ๑. สัจจญาณ ปรีชาหย่ังรู้อริยสัจ หมายถึง ความรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง ตามท่ีเป็นจริงว่า น้ีทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย (เหตุเกิดทุกข์) นี้ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์) น้ีทุกขนิโรธ คามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์) หรือปัญญาหยั่งรู้ว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ ตณั หา ๓ มกี ามตณั หา เปน็ ตน้ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ ความดบั ตณั หาเสยี ได้ เปน็ ความดบั ทกุ ข์ อรยิ มรรค มีองค์ ๘ เปน็ ขอ้ ปฏิบัติทน่ี ำไปสู่ความดบั ทุกข์ ๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจที่ควรทำ หมายถึง ความหย่ังรู้กิจอันจะต้องทำใน อริยสัจ ๔ แตล่ ะอยา่ งว่า ทกุ ขเ์ ปน็ สภาพท่ีควรกำหนดรู้ ทกุ ขสมุทยั เป็นสภาพทคี่ วรละเสีย ทุกขนิโรธ เป็นสภาพท่ีควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นสภาพที่ควรทำให้เกิดขึ้นหรือควรเจริญให้เกิด มีข้นึ ๓. กตญาณ ปรีชาหย่ังรู้กิจอันทำแล้ว หมายถึง ความหยั่งรู้ว่ากิจอันจะต้องทำใน อริยสัจ ๔ แต่ละอย่างน้ันได้ทำเสร็จแล้ว กล่าวคือปัญญาอันหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ เราได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละเราละได้แล้ว ทุกขนิโรธเป็นสภาพควรทำให้แจ้ง เราได้ทำใหแ้ จง้ แลว้ ทกุ ขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทาเป็นสภาพที่ควรทำใหเ้ กิดขน้ึ เราไดท้ ำใหเ้ กิดขน้ึ แลว้ การปฏบิ ตั ิ แสวงหาความรู้จากการอา่ น การฟงั การสงั เกตุ ๖. อธิบายถึงความหมายและการปฏิบตั ิตนของตัณหา ๓ ตอบ แปลวา่ ความอยาก หมายถงึ ความทะยานอยาก อันเปน็ อาการทม่ี อี ยู่ในจิตใจ ของปุถชุ นท่ัวไป หรือภาวะจติ ที่ด้ินรนไปในอารมณ์มรี ูป เป็นต้น มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. กามตัณหา ตัณหาในกาม หมายถึง ความทะยานอยากได้ในวัตถุกาม หรือกามคุณ อันได้แก่ รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่น่าปรารถนา น่าชอบใจท่ีเรียกว่า อิฏฐารมณ์ ท่ีตนยังไม่ได้และความหมกมุ่นอยู่ในวัตถุกามท่ีได้แล้วจนไม่สามารถสละได้ ได้แก ่ ความอยากในอารมณ์มีรูป เป็นต้น ที่เกิดข้ึนด้วยอำนาจความอยากได้กามคุณ คือ ส่ิงสนอง ความต้องการทางประสาทสมั ผัสทงั้ ๕ คือ ตาอยากเห็นรูปสวย หอู ยากได้ยนิ เสยี งไพเราะ จมูกอยาก ดมกลิ่นหอม ลนิ้ อยากลม้ิ ลองของอร่อย กายอยากสมั ผัสท่ีนมุ่ สบาย ๒. ภวตณั หา ตัณหาในภพ หมายถึง ความทะยานอยากเป็นอยูใ่ นภพท่ีตนเกดิ แลว้ ด้วยอำนาจความห่วงอาลัย เช่น ผู้ที่มีความห่วงอาลัยในทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ หรือญาติมิตร ไม่อยากจะจากไป และความอยากเกิดในภพที่ปรารถนาต่อไป รวมถึงความอยากเป็นนั้นเป็นนี ่ ไดแ้ ก่ ความอยากในภาวะของตวั ตนทจ่ี ะได้จะเปน็ อยา่ งใดอย่างหนงึ่ อยากเป็น อยากคงอยตู่ ลอดไป รวมถงึ ความติดใจในรูปภพ อรูปภพหรือติดใจในฌานสมาบตั ิ ความเหน็ ตดิ แน่นในภพ และความเห็น วา่ เป็นอัตตาและโลกเท่ียง เปน็ ต้น ๓. วภิ วตณั หา ตณั หาในปราศจากภพ หมายถงึ ความทะยานอยากพน้ จากภพทเี่ กดิ คือ ความอยากตายไปเสียด้วยอำนาจความเบื่อหน่าย และความอยากดับสูญไม่เกิดในภพนั้น ๆ อีก ได้แก่ ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหน่ึงอันไม่น่าปรารถนา ไมน่ า่ ชอบใจ เช่น อยากฆา่ ตวั ตายเพราะความผดิ หวังอกหัก อยากทำลาย อยากให้ดบั สญู ความเห็น ตดิ แนน่ ในสภาวะทปี่ ราศจากภพ และความเหน็ วา่ เป็นอตั ตาและโลกขาดสูญ เป็นตน้ การปฏิบัติ ความรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ว่าความอยากใดทนี่ ำมาส่ทู กุ ข์พงึ ละเว้น แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วิชาธรรม

34 ๗. อธิบายถงึ ความหมายและการปฏบิ ัติตนของปิฎก ๓ ตอบ แปลว่า กระจาดหรือตระกร้า อันเป็นภาชนะสำหรับใส่ส่ิงของต่าง ๆ ในที่นี้ หมายถึง คัมภรี เ์ ป็นท่รี วบรวมคำส่ังสอนในทางพระพุทธศาสนา ที่จัดเปน็ หมวดหมู่แล้วมี ๓ อย่าง คอื ๑. พระวนิ ัยปฎิ ก หมวดพระวินยั ได้แก่ คำส่ังสอนท่ีใชใ้ นลักษณะ ขอ้ บงั คับอนั เป็น กฎ หรือระเบียบสำหรับปฏิบัติ เพื่ออยู่รวมกันอย่างเป็นสุขของหมู่คณะ แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ ๑) อาคารยิ วินัย วินัยของคฤหสั ถ์ คอื ผู้อยคู่ รองเรอื น ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ และ ๒) อนาคาริยวินยั วินัยของบรรพชิต คือ พระภิกษุ สามเณร และพระภิกษุณี ได้แก่ ศีล ๑๐ ของสามเณร ศีล ๒๒๗ ของพระภกิ ษุสงฆ์ และศีล ๓๑๑ ของพระภกิ ษุณี ๒. พระสตุ ตนั ตปฎิ ก หมวดพระสตุ ตนั ตะ (หรอื พระสตู ร) ไดแ้ ก่ พระสตู รทปี่ ระมวล พระธรรมเทศนา ซึ่งแสดงแกบ่ คุ คลตามสถานทแี่ ละโอกาสตา่ ง ๆ โดยยกบคุ คลข้ึนแสดงเป็นตวั อย่าง เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เช่น กล่าวถึง ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ว่าเป็นอย่างไร แล้วยกบุคคลผู้ปฏิบัติ มาเปน็ ตวั อย่าง เพอ่ื ให้เกดิ ความเข้าใจและนำไปปฏบิ ตั ิได้ เปน็ ต้น ๓. พระอภิธรรมปิฎก หมวดพระอภิธรรม ได้แก่ ธรรมที่แสดงเฉพาะหัวข้อท่ีเป็น หลกั วชิ าลว้ น ๆ ไมเ่ กยี่ วดว้ ยบคุ คลหรอื เหตกุ ารณ์ จดั เปน็ ปรมตั ถ์ (ธรรมชนั้ สงู ) ทม่ี เี นอื้ ความสขุ มุ ลมุ่ ลกึ ซึ่งเป็นธรรมท่ีเหมาะแก่บุคคลผู้มีอุปนิสัยแก่กล้า มีการกล่าวอธิบายถึง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ บัญญัติ วมิ ตุ ตแิ ละกศุ ล หรอื กล่าวโดยยอ่ เป็นธรรมท่ีเก่ียวกบั จติ เจตสิก รูป นพิ พาน การปฏบิ ัติ ศึกษาและวิเคราะหใ์ หถ้ ่องแท ้ ๘. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏบิ ตั ิตนของพุทธจริยา ๓ ตอบ แปลว่า พระจริยาของพระพุทธเจ้า หมายถึง การทรงบำเพ็ญประโยชน ์ ของพระพุทธเจา้ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา มี ๓ อย่าง คอื ๑. โลกัตถจรยิ า ทรงประพฤติเปน็ ประโยชนแ์ ก่โลก ได้แก่ พระจริยาทีท่ รงบำเพญ็ ประโยชนแ์ กม่ หาชนท่นี บั วา่ เปน็ สัตวโ์ ลกทวั่ ๆ ไป โดยทรงบำเพ็ญพุทธกจิ ๕ อยา่ ง คือ ๑) เวลาเชา้ เสด็จออกบิณฑบาต ๒) เวลาเย็นทรงแสดงธรรม ๓) เวลาค่ำทรงประทานพระโอวาทแก่พระภิกษุ ๔) เวลาเท่ียงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา (๕) เวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ ในพุทธกิจข้อว่า ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธองค์จะทรงใช้ทิพยจักษุตรวจดูสัตว์โลก ที่มีอุปนิสัยพร้อมที่จะบรรลุธรรม แล้วก็เสด็จไปโปรดโดยไม่ทรงเห็นแก่ความลำบาก เป็นพระพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญเพื่อสงเคราะห์ คนทัง้ หลายโดยฐานเป็นเพือ่ นมนุษยด์ ว้ ยกัน ๒. ญาตตั ถจรยิ า ทรงประพฤตเิ ปน็ ประโยชนแ์ กพ่ ระญาตหิ รอื โดยฐานเปน็ พระญาติ ไดแ้ ก่ ทรงสงเคราะหพ์ ระญาตติ ามฐานะ เชน่ ทรงอนญุ าตใหพ้ วกศากยะผเู้ ปน็ พระญาตแิ ละเปน็ เดยี รถยี ์ (นับถือลัทธิศาสนาอ่ืน) ซ่ึงมีความประสงค์จะเข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาไม่ต้องอยู่ ติตถิยปริวาส ๔ เดือนก่อน เหมือนพวกเดียรถีย์อื่น ๆ หรือการเสด็จกลับกรุงกบิลพัสด์ุ เพ่ือทรง แสดงธรรมโปรดพระประยุรญาติ มีพระพุทธบิดา เป็นต้น ให้บรรลุธรรมตามภูมิธรรมของ แต่ละบุคคล หรือการเสด็จไปห้ามพระญาติทั้งสองฝ่ายผู้วิวาทกันเพราะการแย่งน้ำเข้านา เป็นต้น จดั เปน็ ญาตตั ถจรยิ าท่ีเด่นชัด แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชัน้ โท วิชาธรรม

35 ๓. พุทธัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่ ทรงบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า เช่น ทรงบัญญัติสิกขาบทพรหมจรรย์ และทรง วางระเบียบปฏิบัติแก่พระภิกษุและพระภิกษุณี คือ ศีลหรือพระวินัยของพระภิกษุและพระภิกษุณ ี อันเป็นพื้นฐานแห่งการประพฤติ เพ่ือข่มพวกภิกษุผู้หน้าด้านไม่ละอายที่เรียกว่า อลัชชี และเพื่อ ความอยู่ผาสุกของเหล่าภิกษุผู้เคร่งครัดในศีล และทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท ใหร้ ทู้ ว่ั ถงึ ธรรม ประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาใหด้ ำรงยงั่ ยนื สบื มา พระพทุ ธจรยิ าสว่ นน้ี ทำใหพ้ ระพทุ ธองค์ ทรงเป็นพระพุทธเจา้ อย่างสมบรู ณ์ ในฐานะทเี่ ปน็ พระบรมศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทงั้ หลาย พุทธจริยา ๓ อย่างนี้ เม่ือบุคคลได้ศึกษาแล้ว ทำให้ทราบถึงการบำเพ็ญประโยชน์ ของพระพุทธเจ้า ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ว่าทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ทุกถ้วนหน้า ทรงบำเพ็ญประโยชน์ ๓ ประการ คือ ทรงอนุเคราะห์ชาวโลก ทรงอนุเคราะห์หมู่พระญาติ และ ทรงบำเพญ็ ประโยชน์ในฐานะเปน็ พระพทุ ธเจ้าอย่างสมบูรณ์ ควรที่พุทธบรษิ ัทจะได้ถอื เป็นแบบอย่าง ในการปฏิบัติสืบไป การปฏิบัติ การปฏิบัติตนเป็นบุคคลมีจิตอาสา เพ่ือประโยชน์ของส่วนรวม เป็นประโยชนอ์ ันสูงสดุ ๙. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏิบัติตนของวฏั ฏะ (วน) ๓ ตอบ แปลว่า วน หรือวงเวียน หมายถึง องค์ประกอบท่ีหมุนเวียนต่อเน่ืองกันของ ภวจักร หรือสังสารจกั ร คือ การเวยี นตายเวยี นเกิดอยูใ่ นภพภมู ิต่าง ๆ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. กิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส หรือวงจรกิเลส ประกอบด้วย อวิชชาความไม่รู้จริง ตัณหาความอยาก และอปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มัน่ ๒. กัมมวฏั ฏะ วนคอื กรรม หรอื วงจรกรรม ประกอบด้วย สงั ขารและกรรมภพ ๓. วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก หรือวงจรวิปาก ประกอบด้วยวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา ซึ่งแสดงออกในรูปปรากฏ เรียกว่า อุปปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น การปฏิบัติ จงคดิ วา่ ทำสงิ ใดยอ่ มมผี ู้รู้ ผูเ้ หน็ ดังนน้ั จงกระทำแตค่ วามดี ๑๐. อธบิ ายถงึ ความหมายและการปฏิบตั ิตนของสิกขา ๓ ตอบ แปลว่า การศึกษา หรือข้อท่ีจะต้องศึกษา หมายถึง ข้อปฏิบัติท่ีเป็นหลัก สำหรับศึกษาหรอื ฝกึ หดั ฝกึ ฝนอบรมกาย วาจา ใจให้มกี ารพัฒนาสงู ย่ิงขนึ้ ไป จนบรรลุจุดหมายสูงสดุ คือ พระนพิ พานมี ๓ อยา่ ง คอื ๑. อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลย่ิง หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทาง ความประพฤติช้ันสูง โดยความมุ่งหมายสูงสุด ได้แก่ ปาติโมกข์สังวรศีล ศีล คือ ความสำรวม ในพระปาตโิ มกข์ เวน้ ขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงหา้ ม ทำตามขอ้ ทท่ี รงอนญุ าต จดั เปน็ ศลี ทยี่ งิ่ สงู กวา่ ศลี ทวั่ ไป ศีลสำหรับคนทั่วไป คือ ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในด้านความประพฤติระเบียบวินัย การรักษา แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ช้นั โท วชิ าธรรม

36 มารยาททางกายและวาจาให้มีสุจริตทางกาย วาจา และมกี ารดำรงอยดู่ ว้ ยดี มชี วี ิตทเ่ี ก้ือกูลท่ามกลาง สภาพแวดลอ้ มทตี่ นมสี ว่ นชว่ ยสรา้ งสรรค์ รกั ษาใหเ้ ออื้ อำนวยแกก่ ารมชี วี ติ ทด่ี งี ามรว่ มกนั เปน็ พน้ื ฐานทดี่ ี สำหรบั การพฒั นาคณุ ภาพจิต ๒. อธจิ ิตตสิกขา สิกขาคอื จิตยง่ิ หมายถงึ ขอ้ ปฏบิ ัตสิ ำหรับฝกึ อบรมจิตเพ่ือให้เกิด สมาธิชั้นสูง ได้แก่ การฝึกอบรมจิตจนถึงขั้นฌานสมาบัติจัดเป็นสมาธิย่ิง สำหรับคนท่ัวไปเป็นการ สร้างเสริมคุณภาพจิตและรู้จักใช้ความสามารถในการฝึกจิต หรือการปรับปรุงจิตให้มีคุณภาพ และสมรรถภาพสูง ซ่ึงเอื้อแก่การมีชีวิตท่ีดีงามและพร้อมท่ีจะใช้งานให้ได้ผลดี ให้มีจิตใจยึดมั่น และม่ันคงในคุณธรรม เร้าใจใหฝ้ ักใฝ่และมวี ิริยะอตุ สาหะในการสร้างความดงี ามยิง่ ข้ึนไป ๓. อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญาย่ิง หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรม เพ่ือให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง เห็นสภาพของสิ่งท้ังหลายตามเป็นจริง โดยความหมายสูงสุด ได้แก่ วิปัสสนาญาณ คือ ปัญญาที่กำหนดรู้อาการของไตรลักษณ์ สำหรับคนท่ัวไป ได้แก่ การพิจารณา วินิจฉยั และคิดการต่าง ๆ ไดถ้ ูกต้องชัดเจน โดยไมถ่ ูกกิเลสความเหน็ แก่ไดแ้ ละความเกลียดโกรธแค้น ชิงชังเป็นตัวครอบงำชักจูง รู้เท่าทันความเป็นจริงของโลกและชีวิต ไม่ยึดม่ันถือมั่นในส่ิงทั้งหลาย ทำใหเ้ กิดความเป็นอสิ ระ มจี ิตผอ่ งใส ไร้ทกุ ข์ และสดชื่นเบกิ บาน การปฏิบตั ิ การฝึกฝนตนอยา่ งสมำ่ เสมอในสง่ิ ทคี่ วร ย่อมเหนือกวา่ ผูไ้ มฝ่ กึ ตนเอง ๑๑. อธบิ ายถึงความหมายและการปฏบิ ัตติ นของสามญั ลกั ษณะ ๓ ตอบ แปลว่า ลักษณะท่ีเสมอกันแก่สังขารท้ังปวง ได้แก่ สิ่งลักษณะท่ีเสมอกัน แก่สังขารทัง้ หลาย ทีม่ วี ญิ ญาณ เชน่ มนษุ ยแ์ ละสัตว์ เป็นตน้ หรอื สงิ่ ทีไ่ ม่มวี ิญญาณ เชน่ โตะ๊ เกา้ อี้ บ้านเรอื น เปน็ ต้น มี ๓ คือ ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เท่ียง ได้แก่ สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง มีการ เปล่ยี นแปลงไปเป็นธรรมดา ไมเ่ ที่ยงแทแ้ นน่ อน ๒. ทกุ ขตา ความเปน็ ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ สงั ขารทงั้ หลายทง้ั ปวง เปน็ สง่ิ ทที่ นไดย้ าก มคี วาม บุบสลาย มีความบีบค้นั อยู่เป็นนจิ ๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน ได้แก่ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีภาวะ ไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็นไปในอำนาจ บังคับควบคุมไม่ได้ เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ปฐวี (ธาตุดิน) อาโป (ธาตนุ ้ำ) เตโช (ธาตไุ ฟ) วาโย (ธาตุลม) รวมกนั และภาวะท่ปี จั จัยปรงุ แตง่ ไม่ได้ (นิพพาน) การปฏิบตั ิ ทำจติ ให้เปน็ กลาง ได้ก็ดี ไม่ไดก้ ด็ ี แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั โท วชิ าธรรม

37 ใบความรู้ท่ี ๒ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ในตกิ ะ หมวด ๓ ตกิ ะ หมวด ๓ อกุศลวติ ก ๓ ๑. กามวิตก ความตรใิ นทางกาม ๒. พยาบาทวิตก ความตรใิ นทางพยาบาท ๓. วิหิงสาวติ ก ความตรใิ นทางเบียดเบยี น อธบิ าย อกุศลวิตก แปลว่า ความตริในทางอกุศล หมายถึง ความนึกคิดไปในทางท่ีไม่ดี เป็นอาการที่เกิดข้ึนกับจิต โดยปกติจิตของมนุษย์ผู้เป็นปุถุชนย่อมจะมีการนึกคิดไปในอารมณ์ต่าง ๆ บางคร้ังกน็ ึกคิดไปในทางทด่ี ี คอื คดิ ทีจ่ ะทำตนใหเ้ ปน็ ประโยชน์เก้อื กลู แก่ผอู้ ื่น บางครัง้ ก็คิดไปในทาง ไมด่ ี คือคิดแตใ่ นทางท่จี ะทำใหผ้ อู้ ่นื เดอื ดร้อน ในท่นี ห้ี มายถงึ ความนึกคดิ ในทางไมด่ ี มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. กามวิตก ความตริในทางกาม หมายถึง ความนึกคิดของบุคคลผู้หนักไปทางกาม หรือในทางลาภผล เช่น ความคิดที่มุ่งไปในทางประพฤติผิดในสามีภรรยาของผู้อ่ืน เม่ือเห็น สามีภรรยาของผู้อ่ืนแล้วก็อดใจไว้ไม่ได้ เก็บเอาความคิดปรารถนาที่จะทำการล่วงละเมิดไว้ในใจ ความคดิ เชน่ นม้ี ีราคะเปน็ สมฏุ ฐาน ๒. พยาบาทวติ ก ความตรใิ นทางพยาบาท หมายถงึ ความนกึ คดิ ของผทู้ หี่ นกั ไปในทาง โทสะขาดความเมตตา มุ่งแต่จะให้เกิดความทุกข์แก่ผู้อ่ืน เช่น คิดจะประทุษร้ายร่างกายเขาบ้าง คิดจะทำลายทรัพย์สินของเขาบ้าง คิดจะทำลายคุณความดีของเขาบ้าง ความคิดเช่นนี้มีโทสะ เปน็ สมุฏฐาน ๓. วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน หมายถึง ความนึกคิดของบุคคลผู้ขาด ความสงสาร และขาดความพลอยยินดี มีความริษยาไม่อยากเห็นใครดีกว่าตน เช่น คิดหาทาง กล่นั แกลง้ ผอู้ ื่นให้ไดร้ ับความเดอื ดรอ้ นบา้ ง ทำงานด้วยกนั กค็ ดิ เอาเปรยี บเขา เพือ่ ตัวเองจะไดท้ ำงาน นอ้ ยบา้ ง หรอื แสวงหาความสุขเพือ่ ตัวเองในทางที่จะทำใหผ้ อู้ น่ื ไดร้ ับความลำบากบา้ ง ความคิดเช่นนี้ มีโมหะเปน็ สมฏุ ฐาน กศุ ลวติ ก ๓ ๑. เนกขมั มวติ ก ความตรใิ นทางพรากจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตรใิ นทางไม่พยาบาท ๓. อวหิ งิ สาวติ ก ความตรใิ นทางไม่เบียดเบยี น อธบิ าย กุศลวิตก แปลว่า ความตรใิ นทางกศุ ล หมายถงึ ความตรึกนึกคิดในฝา่ ยท่ดี ี ตรงกนั ข้าม กับอกุศลวติ กดงั กล่าว มี ๓ อย่าง คือ แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศึกษา ชั้นโท วชิ าธรรม

38 ๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม หมายถึง ความตรึกนึกคิดของผู้หวัง ความสงบในการท่ีจะพรากตนออกจากกาม ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสกาม มีราคะ ความกำหนัด โลภะ ความโลภ เปน็ ตน้ ทงั้ ไมป่ ลอ่ ยใจใหล้ มุ่ หลงอยใู่ นวตั ถกุ ามอนั เปน็ เครอ่ื งยว่ั ยวนจติ คอื กามคณุ ๕ ไดแ้ ก่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ทนี่ า่ รกั ชกั ใหใ้ ครพ่ าใจใหก้ ำหนดั โดยคำนงึ ถงึ โทษของกเิ ลสเหลา่ น้ี ว่าเป็นเหตุใหจ้ ติ ฟ้งุ ซ่าน และมีความคดิ ที่จะพรากจากกเิ ลสเหลา่ นนั้ ด้วยการออกบวช เนกขมั มวติ กนี้ มีอโลภะเปน็ สมุฏฐาน ๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท หมายถึง ความตรึกนึกคิดของบุคคล ผู้หวงั ให้คนอืน่ มีความสขุ ไม่คดิ ถึงความสขุ ของตนฝา่ ยเดียว คดิ ท่ีจะแบง่ ปนั ประโยชนข์ องตนแกผ่ ้อู ืน่ ได้แก่ ความคิดของผู้ที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณา เมื่อตนมีความสุขก็ปรารถนาจะให้ผู้อื่น มีความสุขด้วย เห็นผู้อื่นมีความทุกข์ก็คิดช่วยให้พ้นทุกข์ เป็นต้น อพยาบาทวิตกนี้มีอโทสะเป็น สมฏุ ฐาน ๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน หมายถึง ความตรึกนึกคิดของบุคคล ผมู้ งุ่ ใหผ้ อู้ นื่ มคี วามสบาย ไมค่ ดิ ซำ้ เตมิ เมอื่ เหน็ ผอู้ น่ื มที กุ ข์ จะทำสงิ่ ใดกน็ กึ ถงึ ประโยชนข์ องผอู้ นื่ อยเู่ สมอ เช่น จะใชค้ นหรอื สตั วก์ น็ ึกถงึ ความเหนอ่ื ยยากของคนหรือสตั วน์ นั้ ไมใ่ ชใ้ ห้ลำบากตรากตรำจนเกินไป หรือคิดจะทำสงิ่ ใดถ้าทำให้ผอู้ ื่นเดอื ดร้อนก็งดเวน้ เสยี เป็นต้น อวิหงิ สาวติ กนม้ี ีอโมหะเปน็ สมุฏฐาน อคั คิ (ไฟ) ๓ ๑. ราคคั คิ ไฟคอื ราคะ ๒. โทสคั คิ ไฟคอื โทสะ ๓. โมหคั คิ ไฟคอื โมหะ อธิบาย อัคคิ แปลว่า ไฟ โดยปกติไฟเป็นของร้อน เม่ือบุคคลไปถูกต้องเข้าก็จะทำให้เจ็บปวด เพราะถูกพลังแห่งความร้อนแผดเผา ถ้าเอาวัตถุไปถูกต้องเข้าก็อาจเผาวัตถุน้ันให้เป็นเถ้าถ่านไปได้ นหี้ มายถงึ ไฟภายนอกทมี่ อี ยตู่ ามธรรมชาติ แตใ่ นทน่ี ห้ี มายถงึ กเิ ลสทเี่ ปรยี บเหมอื นไฟ เพราะเผาลน จิตใจให้เร่าร้อน คอื กิเลสที่มีลกั ษณะร้อนเหมือนไฟ ซง่ึ เมอื่ เกิดขน้ึ ภายในจติ ใจแล้วกจ็ ะทำให้รมุ่ ร้อน กระวนกระวายไม่อาจคงอยู่ในคุณความดีได้ เพราะเป็นสิ่งท่ีจะเผาบุคคลเสียจากคุณความด ี มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. ราคัคคิ ไฟคือราคะ หมายถึง ความกำหนัดยินดีหรือความทะยานอยากในอารมณ์ ต่าง ๆ ตามทีต่ นปรารถนา ซ่ึงมมี าจากความโลภ ตามปกติบคุ คลผ้ปู ระกอบดว้ ยราคะแลว้ จติ ยอ่ มจะ ฟุ้งซ่านไม่สงบลงได้ เช่น เมื่อได้พบรูปท่ีสวยงาม ฟังเสียงท่ีไพเราะ เป็นต้น จิตก็จะติดอยู่ในรูป และเสยี งนน้ั เกดิ ความรอ้ นรมุ่ กระวนกระวายใจ พยายามเพอ่ื จะใหไ้ ดม้ าตามทป่ี รารถนา โดยสามารถ ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิด เช่น ฆ่าคนหรือทำอนาจารต่าง ๆ เป็นต้น เพ่ือให้ได้ส่ิงท่ีปรารถนา ซึง่ เกิดขึน้ ด้วยอำนาจไฟราคะท่ีเผาลนจิตใหร้ มุ่ รอ้ นนนั่ เอง แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้ันโท วชิ าธรรม

39 ๒. โทสัคคิ ไฟคือโทสะ หมายถึง ความขัดเคือง ไม่พอใจ คิดประทุษร้ายผู้อ่ืน เป็นธรรมชาติของจิตที่ถูกอนิฏฐารมณ์มากระทบมีลักษณะทำให้จิตหงุดหงิดฉุนเฉียว เป็นต้น โทสะน้ี เมอ่ื เกดิ ขนึ้ แลว้ ถา้ ไมร่ จู้ กั ยบั ยง้ั ชงั่ ใจ ยอ่ มเปน็ เหตใุ หแ้ สดงอาการวปิ รติ ตา่ ง ๆ เมอ่ื มกี ำลงั แกก่ ลา้ มากขน้ึ กท็ ำให้ปราศจากความเมตตากรณุ า อาจประทษุ ร้ายผูอ้ น่ื ที่ตนโกรธได้โดยวธิ ีการตา่ ง ๆ ดงั น้ัน โทสะ จึงเปรียบเหมอื นไฟ เพราะเผาลนจิตให้ร้อนรุ่มดว้ ยการคิดจะประทุษร้ายผอู้ ่ืน ๓. โมหัคคิ ไฟคือโมหะ หมายถึง ความหลงไม่รู้สภาพตามเป็นจริง จิตท่ีถูกโมหะ ครอบงำยอ่ มลมุ่ หลงมวั เมาไปตามความเชอ่ื ของตนหรอื ตามคำชกั นำของผอู้ นื่ โดยไมไ่ ดใ้ ชป้ ญั ญาของตน พจิ ารณาหาเหตผุ ล เชน่ มผี มู้ าแนะนำวา่ ถา้ อยากมคี วามสขุ ความเจรญิ จะตอ้ งทำการบชู าหรอื บวงสรวง สิ่งศักดิ์สิทธ์ด้วยสิ่งนี้ ๆ ก็ทำตาม แม้ตนเองจะไม่มีทรัพย์สินสิ่งของก็ไปยืมผู้อื่นมา โดยไม่คำนึงว่า ทำไปแล้วจะเกิดผลหรือไม่ เมื่อไม่เกิดผลตามคำแนะนำก็เดือดร้อนใจเพราะหมดทรัพย์สินและ เป็นหน้ีผ้อู ่นื เป็นต้น ดังนัน้ โมหะจึงเปรียบเหมอื นไฟ เพราะเผาลนจติ ใจใหล้ มุ่ หลง ไฟทงั้ ๓ กองน้ี บคุ คลควรระวงั ไมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ เพราะเมอื่ ไฟคอื ราคะ โทสะ โมหะ เกดิ ขนึ้ แลว้ จะเผาลนจิตใจให้เร่าร้อนกระวนกระวายด้ินรนกระสับกระส่ายให้ลุ่มร้อน หลงมัวเมาตกอยู่ในอำนาจ ของไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ อยู่ตลอดไป ไม่สามารถถอนตนให้พ้นไปได้ เหมือนถูกไฟเผา ใหร้ มุ่ รอ้ นอยูต่ ลอดเวลา ดังนัน้ ควรระวังไม่ให้เกิดข้นึ ในจติ ใจ เมื่อเกิดข้นึ แลว้ ควรละเสีย อธิปเตยยะ ๓ ๑. อัตตาธปิ เตยยะ ความมีตนเปน็ ใหญ ่ ๒. โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเปน็ ใหญ่ ๓. ธมั มาธิปเตยยะ ความมธี รรมเปน็ ใหญ่ อธิบาย อธปิ เตยยะ แปลวา่ ความเปน็ ใหญ่ หมายถงึ ความเปน็ ใหญข่ องบคุ คลทจ่ี ะทำการอยา่ งใด อย่างหน่ึง ก็หวังผลท่ีจะได้เป็นสำคัญ เช่น ทำเพื่อตนเอง ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ทำเพื่อ ความถกู ต้องชอบธรรม เปน็ ตน้ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. อัตตาธปิ เตยยะ ความมตี นเปน็ ใหญ่ (อัตตาธปิ ไตย) หมายถึง บคุ คลผยู้ ึดอัตตา คือ ถอื ตนเปน็ ประมาณจะกระทำสงิ่ ใดกน็ กึ ถงึ ประโยชนต์ นเปน็ สำคญั โดยไมน่ กึ ถงึ ความเสยี หายของผอู้ น่ื แมจ้ ะทำสงิ่ ทแี่ สดงวา่ ตนเปน็ ผเู้ สยี สละเพอ่ื สว่ นรวมกต็ าม จะทำกเ็ มอ่ื มคี วามจำเปน็ เทา่ นนั้ แตจ่ ดุ มงุ่ หมาย ก็คือ ความเปน็ ใหญข่ องตนเปน็ สำคัญ ๒. โลกาธปิ เตยยะ ความมีโลกเปน็ ใหญ่ (โลกาธปิ ไตย) โลก ในทนี่ ้หี มายถึง ประชาชน ผอู้ ยใู่ นโลก ดงั้ นน้ั โลกาธปิ เตยยะในทนี่ จี้ งึ หมายความวา่ มปี ระชาชนเปน็ ใหญ่ หรอื ทเ่ี รยี กกนั ในสมยั นวี้ า่ ประชาธิปไตย ซ่ึงนับว่าอำนวยประโยชน์ดีกว่าอัตตาธิปเตยยะ เพราะทำให้เป็นไปในทางท่ีถูกที่ชอบ ได้มากกว่า คือ จะทำสิ่งใดก็ยังยึดถือประชาชนเป็นใหญ่ โดยมุ่งถึงประชาชน เช่น จะทำทานคิดว่า ถ้าเราไม่ทำคนอ่ืนก็จะติเตียนว่าเราตระหนี่ถ่ีเหนียว เขาทำกันทำไมไม่ทำ จึงต้องพยายามทำบ้าง พอเปน็ เคร่อื งป้องกนั การติเตียนของผอู้ ื่น เปน็ ต้น แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั โท วิชาธรรม

40 ๓. ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่ (ธัมมาธิปไตย) ธรรม ในที่นี้หมายถึง ความถูกต้องชอบธรรมในการกระทำของบุคคลเป็นสำคัญ ไม่ทำเพราะกลัวคนอื่นติเตียนหรือ เพราะหวังคำสรรเสริญของคนอ่ืน แต่ทำเพราะคิดว่าเป็นส่ิงทีค่ วรทำ เช่น เม่ือจะทำบุญกศุ ล กค็ ดิ วา่ การใหท้ าน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา เปน็ หลักปฏบิ ตั ทิ ีถ่ กู ตอ้ งชอบธรรม จึงให้ทานเพื่อใหจ้ ิตปราศจาก ความตระหน่ี และเปน็ เครอื่ งเกอื้ กลู กนั และกนั รกั ษาศลี เพอ่ื รกั ษากาย วาจา ของตนใหส้ งบเรยี บรอ้ ย ไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ น่ื ใหเ้ ดอื ดรอ้ น และเจรญิ ภาวนา เพอ่ื ใหใ้ จสงบระงบั ไมใ่ หฟ้ งุ้ ซา่ น เปน็ ตน้ การกระทำ กุศลดังกล่าวน้ี ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของตนและไม่ได้ทำเพราะเกรงผู้อื่นติเตียน แต่ทำเพราะยึดถือ ความถกู ตอ้ งความชอบธรรมเป็นสำคญั ญาณ ๓ ๑. สัจจญาณ ปรชี าหย่งั รู้อริยสจั ๒. กจิ จญาณ ปรชี าหย่งั รู้กจิ อันควรทำ ๓. กตญาณ ปรีชาหยงั่ ร้กู ิจอันทำแล้ว อธบิ าย ญาณ แปลว่า ความรู้ หรือความหย่ังรู้ หมายถึง ปัญญาหย่ังรู้เหตุและผลอันแจ่มแจ้ง ตามสภาพความเป็นจริง โดยไม่มีสิ่งใดขัดขวางหรือปิดบังมิให้รู้ ในที่นี้ได้แก่ ความรู้แจ้งเห็นจริง ในอริยสจั ๔ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยง่ั รอู้ ริยสจั หมายถงึ ความรแู้ จง้ ในอรยิ สัจ ๔ แตล่ ะอยา่ งตามที่ เปน็ จรงิ วา่ นี้ทุกข์ นท้ี ุกขสมุทยั (เหตุเกดิ ทุกข)์ นี้ทกุ ขนโิ รธ (ความดบั ทุกข์) น้ที ุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์) หรือปัญญาหยั่งรู้ว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ ตัณหา ๓ มีกามตัณหา เป็นต้น เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความดับตัณหาเสียได้ เป็นความดับทุกข์ อริยมรรค มอี งค์ ๘ เปน็ ข้อปฏบิ ัตทิ นี่ ำไปส่คู วามดบั ทกุ ข ์ อริยมรรคมีองค์ ๘ คอื ๑) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นที่ถูกต้อง ได้แก่ ปัญญารู้แจ้งในอริยสัจ ๔ คอื ทกุ ข์ สมทุ ัย นโิ รธ มรรค หรือปญั ญารู้แจ้งไตรลกั ษณ์ และปฏิจจสมุปบาท ๒) สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ความดำริท่ีถูกต้อง ได้แก่ ความดำริในการออก จากกาม การไมผ่ ูกพยาบาท และการไมเ่ บียดเบยี นผูอ้ ่นื ๓) สัมมาวาจา เจรจาชอบ เจรจาท่ีถูกต้อง ได้แก่ การพูดจาท่ีปราศจากวจีทุจริต ๔ อย่าง คอื พูดเทจ็ พดู สอ่ เสียด พูดคำหยาบ และพดู เพ้อเจ้อ ๔) สมั มากมั มนั ตะ การงานชอบ การงานทถี่ กู ตอ้ ง ไดแ้ ก่ ประกอบการงานทไี่ มม่ โี ทษ เว้นจากกายทุจริต ๓ อย่าง คือ ฆา่ สัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤตผิ ดิ ในกาม แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ช้นั โท วชิ าธรรม

41 ๕) สัมมาอาชีวะ การเล้ียงชีพชอบ การเลี้ยงชีพท่ีถูกต้อง ได้แก่ ประกอบแต่ สัมมาชพี งดเวน้ จากมิจฉาชพี อาชพี ทผี่ ิดศลี ธรรม ผิดกฎหมาย มโี ทษท้ังทางโลกและทางธรรม ๖) สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ ความเพียรพยายามท่ีถูกต้อง ได้แก ่ ความเพียรพยายามในสัมมัปปธาน ๔ คือ เพียรระวังไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้น เพียรละบาปอกุศล ทีเ่ กิดข้ึนแลว้ เพยี รให้บญุ กศุ ลเกดิ ขึน้ และเพยี รรกั ษาบญุ กุศลทเ่ี กดิ ขน้ึ แล้ว ๗) สัมมาสติ ความระลึกชอบ ความระลึกท่ีถูกต้อง ได้แก่ ความระลึกไปใน สตปิ ฏั ฐาน ๔ คอื กาย เวทนา จิต ธรรม ๘) สัมมาสมาธิ ความตั้งใจชอบ ความต้ังใจที่ถูกต้อง ได้แก่ ความตั้งใจมั่นในการ เจริญฌาน ๔ คอื ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน และจตตุ ถฌาน ๒. กจิ จญาณ ปรชี าหยง่ั รกู้ จิ ทค่ี วรทำ หมายถงึ ความหยงั่ รกู้ จิ อนั จะตอ้ งทำในอรยิ สจั ๔ แตล่ ะอยา่ งวา่ ทกุ ขเ์ ปน็ สภาพทคี่ วรกำหนดรู้ ทกุ ขสมทุ ยั เปน็ สภาพทค่ี วรละเสยี ทกุ ขนโิ รธเปน็ สภาพท่ี ควรทำใหแ้ จ้ง ทกุ ขนโิ รธคามินีปฏปิ ทาเป็นสภาพท่คี วรทำให้เกดิ ข้นึ หรอื ควรเจรญิ ให้เกิดมีข้นึ ๓. กตญาณ ปรีชาหย่ังรู้กิจอันทำแล้ว หมายถึง ความหยั่งรู้ว่ากิจอันจะต้องทำใน อริยสจั ๔ แต่ละอยา่ งนั้นได้ทำเสรจ็ แล้ว กล่าวคือ ปัญญาอันหย่ังรู้ว่า ทกุ ข์เปน็ สภาพทค่ี วรกำหนดรู้ เราได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละเราละได้แล้ว ทุกขนิโรธเป็นสภาพควรทำให้แจ้ง เราไดท้ ำใหแ้ จง้ แลว้ ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทาเป็นสภาพทีค่ วรทำให้เกดิ ข้นึ เราไดท้ ำให้เกดิ ข้ึนแล้ว ตัณหา ๓ ๑. กามตัณหา ตัณหาในกาม ๒. ภวตัณหา ตัณหาในภพ ๓. วภิ วตัณหา ตณั หาในปราศจากภพ อธิบาย ตัณหา แปลว่า ความอยาก หมายถึง ความทะยานอยาก อันเป็นอาการที่มีอยู่ในจิตใจ ของปุถชุ นทว่ั ไป หรือภาวะจติ ท่ดี นิ้ รนไปในอารมณ์มรี ูป เปน็ ตน้ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. กามตัณหา ตัณหาในกาม หมายถึง ความทะยานอยากได้ในวัตถุกามหรือกามคุณ อนั ได้แก่ รปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ อันนา่ ใคร่นา่ ปรารถนา นา่ ชอบใจที่เรียกวา่ อฏิ ฐารมณ์ ทตี่ น ยังไม่ได้และความหมกมุ่นอยู่ในวัตถุกามที่ได้แล้วจนไม่สามารถสละได้ ได้แก่ ความอยากในอารมณ ์ มรี ปู เปน็ ตน้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ดว้ ยอำนาจความอยากไดก้ ามคณุ คอื สงิ่ สนองความตอ้ งการทางประสาทสมั ผสั ทั้ง ๕ คือ ตาอยากเห็นรูปสวย หูอยากได้ยินเสียงไพเราะ จมูกอยากดมกลิ่นหอม ลิ้นอยากลิ้มลอง ของอร่อย กายอยากสมั ผัสที่นุม่ สบาย ๒. ภวตัณหา ตัณหาในภพ หมายถึง ความทะยานอยากเป็นอยู่ในภพที่ตนเกิดแล้ว ด้วยอำนาจความห่วงอาลัย เช่น ผู้ที่มีความห่วงอาลัยในทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ หรือญาติมิตร ไม่อยากจะจากไป และความอยากเกิดในภพท่ีปรารถนาต่อไป รวมถึงความอยากเป็นน้ันเป็นน ่ี แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วิชาธรรม

42 ได้แก่ ความอยากในภาวะของตวั ตนท่ีจะได้จะเป็นอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ อยากเปน็ อยากคงอยตู่ ลอดไป รวมถงึ ความตดิ ใจในรปู ภพ อรปู ภพหรอื ตดิ ใจในฌานสมาบตั ิ ความเหน็ ตดิ แนน่ ในภพ และความเหน็ วา่ เปน็ อตั ตาและโลกเทยี่ ง เปน็ ต้น ๓. วิภวตัณหา ตัณหาในปราศจากภพ หมายถึง ความทะยานอยากพ้นจากภพท่ีเกิด คือ ความอยากตายไปเสียด้วยอำนาจความเบื่อหน่าย และความอยากดับสูญไม่เกิดในภพน้ัน ๆ อีก ได้แก่ ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่น่าปรารถนา ไมน่ า่ ชอบใจ เชน่ อยากฆ่าตวั ตายเพราะความผิดหวงั อกหกั อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ ความเห็น ตดิ แน่นในสภาวะทป่ี ราศจากภพ และความเหน็ ว่าเป็นอตั ตาและโลกขาดสูญ เปน็ ตน้ ปิฎก ๓ ๑. พระวนิ ยั ปิฎก หมวดพระวนิ ยั ๒. พระสตุ ตันตปฎิ ก หมวดพระสุตตันตะ (หรอื พระสตู ร) ๓. พระอภธิ รรมปฎิ ก หมวดพระอภธิ รรม อธิบาย ปฎิ ก แปลวา่ กระจาดหรอื ตะกรา้ อนั เปน็ ภาชนะสำหรบั ใสส่ ง่ิ ของตา่ ง ๆ ในทนี่ หี้ มายถงึ คัมภีร์เปน็ ทีร่ วบรวมคำส่ังสอนในทางพระพุทธศาสนา ทีจ่ ดั เป็นหมวดหมู่แล้วมี ๓ อย่าง คอื ๑. พระวินยั ปิฎก หมวดพระวนิ ยั ได้แก่ คำสง่ั สอนทีใ่ ช้ในลกั ษณะ ข้อบงั คับอนั เปน็ กฎ หรือระเบียบสำหรับปฏิบัติ เพ่ืออยู่รวมกันอย่างเป็นสุขของหมู่คณะ แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ ๑) อาคาริยวินัย วินัยของคฤหัสถ์ คือผู้อยู่ครองเรือน ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ และ ๒) อนาคาริยวินัย วินัยของบรรพชิต คือ พระภิกษุ สามเณร และพระภิกษุณี ได้แก่ ศีล ๑๐ ของสามเณร ศีล ๒๒๗ ของพระภกิ ษสุ งฆ์ และศลี ๓๑๑ ของพระภกิ ษุณ ี ๒. พระสุตตันตปิฎก หมวดพระสุตตันตะ (หรือพระสูตร) ได้แก่ พระสูตรท่ีประมวล พระธรรมเทศนาซง่ึ แสดงแก่บุคคล ตามสถานท่แี ละโอกาสต่าง ๆ โดยยกบคุ คลขึน้ แสดงเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เช่น กล่าวถึง ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ว่าเป็นอย่างไร แล้วยกบุคคลผู้ปฏิบัติ มาเป็นตัวอยา่ ง เพอื่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจและนำไปปฏิบัติได้ เปน็ ตน้ ๓. พระอภิธรรมปิฎก หมวดพระอภิธรรม ได้แก่ ธรรมที่แสดงเฉพาะหัวข้อท่ีเป็นหลัก วิชาล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ จัดเป็นปรมัตถ์ (ธรรมชั้นสูง) ท่ีมีเน้ือความสุขุมลุ่มลึก ซึ่งเป็นธรรมท่ีเหมาะแก่บุคคลผู้มีอุปนิสัยแก่กล้า มีการกล่าวอธิบายถึง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ บัญญตั ิ วมิ ตุ ตแิ ละกุศล หรือกล่าวโดยย่อเปน็ ธรรมทเ่ี ก่ียวกับจิต เจตสิก รูป นพิ พาน แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าธรรม

43 พุทธจรยิ า ๓ ๑. โลกัตถจรยิ า ทรงประพฤติเปน็ ประโยชนแ์ ก่โลก ๒. ญาตตั ถจรยิ า ทรงประพฤติเปน็ ประโยชน์แกพ่ ระญาติ หรอื โดยฐานเป็นพระญาต ิ ๓. พุทธตั ถจริยา ทรงประพฤตเิ ปน็ ประโยชนโ์ ดยฐานเป็น พระพุทธเจา้ อธบิ าย พุทธจริยา แปลว่า พระจริยาของพระพุทธเจ้า หมายถึง การทรงบำเพ็ญประโยชน์ของ พระพทุ ธเจ้าตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. โลกัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก ได้แก่ พระจริยาที่ทรงบำเพ็ญ ประโยชนแ์ กม่ หาชนท่ีนับว่าเปน็ สตั ว์โลกทั่ว ๆ ไป โดยทรงบำเพญ็ พุทธกจิ ๕ อยา่ ง คือ ๑) เวลาเชา้ เสด็จออกบิณฑบาต ๒) เวลาเย็นทรงแสดงธรรม ๓) เวลาค่ำทรงประทานพระโอวาทแก่พระภิกษ ุ ๔) เวลาเท่ียงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา ๕) เวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ ในพุทธกิจข้อว่า ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธองค์จะทรงใช้ทิพยจักษุตรวจดูสัตว์โลก ท่ีมีอุปนิสัยพร้อมที่จะบรรลุธรรม แล้วก็เสด็จไปโปรดโดยไม่ทรงเห็นแก่ความลำบาก เป็นพระพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญเพ่ือสงเคราะห ์ คนทง้ั หลายโดยฐานเป็นเพอ่ื นมนุษย์ดว้ ยกัน ๒. ญาตัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติหรือโดยฐานเป็นพระญาติ ไดแ้ ก่ ทรงสงเคราะหพ์ ระญาตติ ามฐานะ เชน่ ทรงอนญุ าตใหพ้ วกศากยะผเู้ ปน็ พระญาตแิ ละเปน็ เดยี รถยี ์ (นับถือลัทธิศาสนาอื่น) ซึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาไม่ต้องอยู ่ ติตถิยปริวาส ๔ เดือนก่อน เหมือนพวกเดียรถีย์อื่น ๆ หรือการเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อทรง แสดงธรรมโปรดพระประยรุ ญาติมีพระพทุ ธบิดา เปน็ ต้น ให้บรรลุธรรมตามภูมิธรรมของแตล่ ะบคุ คล หรอื การเสดจ็ ไปหา้ มพระญาตทิ งั้ สองฝา่ ยผวู้ วิ าทกนั เพราะการแยง่ นำ้ เขา้ นา เปน็ ตน้ จดั เปน็ ญาตตั ถจรยิ า ที่เด่นชัด ๓. พุทธัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่ ทรง บำเพ็ญประโยชน์ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า เช่น ทรงบัญญัติสิกขาบทพรหมจรรย์ และทรง วางระเบียบปฏิบัติแก่พระภิกษุและพระภิกษุณี คือ ศีลหรือพระวินัยของพระภิกษุและพระภิกษุณ ี อันเป็นพื้นฐานแห่งการประพฤติ เพื่อข่มพวกภิกษุผู้หน้าด้านไม่ละอายท่ีเรียกว่า อลัชชี และเพ่ือ ความอยู่ผาสุกของเหล่าภิกษุผู้เคร่งครัดในศีล และทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาแก่พุทธบริษัท ใหร้ ทู้ ว่ั ถงึ ธรรม ประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาใหด้ ำรงยง่ั ยนื สบื มา พระพทุ ธจรยิ าสว่ นน้ี ทำใหพ้ ระพทุ ธองค์ ทรงเป็นพระพทุ ธเจ้าอยา่ งสมบรู ณ์ ในฐานะท่เี ป็นพระบรมศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทงั้ หลาย พุทธจริยา ๓ อย่างนี้ เม่ือบุคคลได้ศึกษาแล้ว ทำให้ทราบถึงการบำเพ็ญประโยชน์ของ พระพุทธเจ้า ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ว่าทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ทุกถ้วนหน้า ทรงบำเพ็ญประโยชน์ ๓ ประการ คือ ทรงอนเุ คราะห์ชาวโลก ทรงอนเุ คราะห์หมพู่ ระญาติ และทรง บำเพ็ญประโยชน์ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ ควรท่ีพุทธบริษัทจะได้ถือเป็นแบบอย่าง ในการปฏิบตั ิสบื ไป แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ โท วิชาธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook