Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารรายงานฯโครงการฯ งบฟื้นฟู

เอกสารรายงานฯโครงการฯ งบฟื้นฟู

Published by nudyna, 2021-06-01 03:22:52

Description: เอกสารรายงานฯโครงการฯ งบฟื้นฟู (อัญชลี)30.5.64

Search

Read the Text Version

คำนำ ก ศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนลาปาง ดาเนนิ โครงการพัฒนาพน้ื ที่ตน้ แบบการพัฒนาคุณภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล กิจกรรมที่ 1 การฝึกอบรมเพ่มิ ทักษะระยะส้นั การพฒั นา กสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงในรปู แบบ โคก หนอง โมเดล ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพอื่ สง่ เสรมิ การ เรียนรู้ การนอ้ มนาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งประยุกตส์ ูก่ ารปฏบิ ตั ิ ในรปู แบบ โคก หนอง นา โมเดล โดย การส่งเสริมและสนบั สนุนกระบวนการเรยี นรู้ รวมท้งั การฝกึ ปฏิบตั ิให้สามารถพึง่ พาตนเองได้ นาไปสู่การสร้าง ความมนั่ คง ม่งั ค่ังให้กบั ครอบครวั ปลกู และกระตุ้นจิตสานกึ ในการมีน้าใจเอ้อื อารี มีจติ อาสา เพ่ือชว่ ยดูแล สังคมและชมุ ชนให้เขม้ แข็ง ระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม 2563 – 11 กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖4 จานวน 7 ร่นุ กลุ่มเป้าหมายเป็นครัวเรอื นพ้ืนท่เี รียนร้ชู มุ ชนต้นแบบการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิต(เจา้ ของแปลง 1 ไร่และ 3 ไร่) จานวน 408 ครัวเรือน และผเู้ ข้าร่วมโครงการจ้างงานสร้างรายได้ในตาบลต้นแบบและนอกตาบลตน้ แบบฯ (นักพัฒนาพนื้ ที่ต้นแบบ ) ในพน้ื ท่ีจังหวดั ลาปาง ลาพูน และจงั หวัดแพร่ จานวน 132 คน รวม 640 คน การจดั ทาเอกสารรายงานและประเมินผลโครงการฯ ในครั้งนี้ เพ่อื รวบรวมสรุปผลการดาเนนิ การ ฝึกอบรม ผลการประเมินรายวิชาและภาพรวมโครงการฯ เพ่ือให้นักทรัพยากรบุคคล นักวิชาการพัฒนาชุมชน และ ผู้มีส่วนเก่ีวข้อง ได้นาไปพัฒนา ปรับปรุง ประยุกต์ใช้ในการขับเคล่ือนกระบวนการฝึกอบรม และการ บริหารจัดการในส่วนท่ีเก่ียวข้องต่อไป หวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารท่ีจัดทาข้ึน จะเกิดประโยชน์แก่ผู้เกี่ยวข้อง และผูส้ นใจทุกทา่ น คณะผจู้ ัดทา ศูนยศ์ กึ ษาและพฒั นาชุมชนลาปาง พฤษภาคม 2564

สารบัญ หนข้า คานา ก สารบัญ ข บทสรุปผบู้ ริหาร ง สว่ นท่ี 1 1 บทนา 1 ความเปน็ มา 2 วตั ถปุ ระสงค์ 2 กล่มุ เปา้ หมาย 2 ข้ันตอนและวธิ ีการดาเนินงาน 3 ขอบเขตเนอ้ื หาของหลักสตู ร 4 ระยะเวลาดาเนนิ การ 4 สถานท่ดี าเนินการ 4 งบประมาณดาเนินการ 4 ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ 4 ตวั ช้วี ดั ความสาเร็จ สว่ นที่ 2 สรปุ เน้ือหาวิชาการ กจิ กรรมและผลการดาเนนิ กิจกรรม 5 1. วชิ า กจิ กรรมกลุ่มสัมพันธ์ 10 2. วชิ า เรียนรตู้ าราบนผนื ดนิ กิจกรรมเดินชมพนื้ ท่ี 21 3. วชิ า เข้าใจ.. เข้าถงึ .. พัฒนา..ศาสตรพ์ ระราชา..กับการพัฒนาท่ยี ั่งยนื 27 4. วชิ า การแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัตแิ บบเปน็ ข้นั เป็นตอน 33 5. วชิ า ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง \"ทฤษฎบี นั ได 9 ขั้นสคู่ วามพอเพียง\"” 40 6. วชิ า หลักกสกิ รรมธรรมชาติ 45 7. วิชา การแบง่ กลุม่ ฝึกปฏิบตั ฐิ านเรยี นรู้ 69 8. วิชา ถอดบทเรียนผา่ นสอ่ื “วิถภี มู ปิ ญั ญาไทยกบั การพึ่งตนเองในภาวะวิกฤต”

สารบัญ (ต่อ) หคน้า 9. วิชา ฝึกปฏิบัติจิตอาสาพัฒนาชมุ ชน เอามือสามัคคี พัฒนาพื้นที่ตามหลกั ทฤษฎีใหม่ 86 77 93 97 10. วชิ า การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย ตามหลักการพัฒนาภมู สิ ังคมอย่างยง่ั ยนื 103 เพือ่ พงึ่ ตนเองและรองรับภัยพบิ ตั ิ 108 116 11. วชิ า ฝึกปฏบิ ตั กิ ารสร้างหนุ่ จาลอง(กระบะทราย)การจัดการพ้ืนท่ีตามหลัก 121 ทฤษฎีใหมป่ ระยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล 123 12. วชิ า Team Building ฝกึ ปฏิบัตกิ ารบริหารจัดการในภาวะวกิ ฤติ “หาอยู่ หากิน” 124 13. วชิ า การขบั เคลอ่ื นสบื สานศาสตร์พระราชากลไก 3 5 7 132 14. วชิ า แผนปฏบิ ัติการ “ยุทธศาสตรก์ ารขับเคล่อื นปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 137 สู่การปฏิบัติ” 139 15. วชิ า “ในหลวง ในดวงใจ” 143 กจิ กรรมเสริมหลักสูตร 144 กิจกรรม กระบวนการหนา้ เสาธง กิจกรรมสขุ ภาพพ่ึงตนพฒั นา 3 ขุมพลงั กิจกรรมกตัญญตู ่อสถานท่ี กจิ กรรมพัฒนาจติ ใจ ทาบญุ ตกั บาตร สว่ นท่ี 3 การประเมนิ โครงการ ส่วนท่ี 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไป สว่ นที่ 2 ความคิดเหน็ ตอ่ โครงการ ส่วนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะ ส่วนท่ี 4 ข้อคิดเหน็ เสนอแนะของศนู ย์ศึกษาและพฒั นาชุมชน ปัญหา/อปุ สรรคในการดาเนินงาน ขอ้ เสนอแนะในการแก้ปัญหา ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย ภาคผนวก ภาพกิจกรรม ตารางฝึกอบรม ทะเบยี นรายช่ือผูเ้ ข้าอบรม

บทสรปุ สำหรับผู้บริหำร ง กระทรวงมหาดไทยมอบหมายให้กรมการพฒั นาชมุ ชน น้อมนาหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของ ประชาชน เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยการพัฒนาคนให้พึ่งตนเอง มีความเป็นเจ้าของและ บริหารจัดการโดยชุมชน พัฒนาหมู่บ้านหรือชุมชนให้มีวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงและเป็นสังคม “อยู่เยน็ เปน็ สขุ ” ซ่ึงกรมการพฒั นาชุมชน ร่วมกบั มูลนิธกิ สกิ รรมธรรมชาติ สถาบนั เทคโนโลยีพระ จอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง 7 ภาคี ได้น้อมนาหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงลงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นข้ันตอน ตามกลไกการขับเคล่ือนสืบสานศาสตร์ พระราชา เพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยใช้หมู่บ้านเป็นฐานของการพัฒนา มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุก ครัวเรือน พัฒนาคนให้มีความรู้และปรับตัว ให้สามารถดาเนินชีวิตอย่างมีความสุข มีอาชีพ สร้าง รายได้ ท่ามกลางวิกฤตโลกท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสถานการณ์ของประเทศไทยใน ปัจจุบัน ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วยการจัดทาโครงการที่ประยุกต์การใช้ศาสตร์พระราชาและน้อมนาเอาแนวคิดและ ทฤษฎีการพัฒนาอันเนอื่ งมาจากพระราชดารกิ ว่า 40 ทฤษฎี ที่ทรงพระราชทานไว้ให้ในการแก้ไข ปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม มาประยุกต์กับแนวคิดการพัฒนาพื้นที่และการ ออกแบบ เชิงภูมิสังคมไทยเพ่ือการพ่ึงตนเองและรองรับภัยพิบัติ ในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” สรา้ งการพฒั นาคุณภาพชีวิตให้เหมาะสมกบั หมูบ่ า้ นในภูมิสังคมตา่ ง ๆ กรมการพฒั นาชมุ ชน มอบหมายใหศ้ นู ยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนลาปาง ดาเนินโครงการ พฒั นาพ้ืนทตี่ ้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล กจิ กรรมที่ 1 การฝกึ อบรมเพิ่มทกั ษะระยะสั้นการพฒั นากสกิ รรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพยี งในรูปแบบ โคก หนอง โมเดล ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ การนอ้ มนาหลักปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพยี งประยกุ ตส์ ูก่ ารปฏิบตั ิ ในรปู แบบ โคก หนอง นา โมเดล โดยการส่งเสรมิ และ สนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ รวมท้งั การฝึกปฏบิ ตั ิใหส้ ามารถพึ่งพาตนเองได้ นาไปสู่การสร้าง ความมั่นคง ม่ังคั่งให้กับครอบครวั ปลูกและกระตุ้นจติ สานกึ ในการมนี ้าใจเอ้ืออารี มจี ติ อาสา เพื่อ ชว่ ยดูแลสงั คมและชุมชนให้เขม้ แขง็ ศนู ย์ศึกษาและพฒั นาชุมชนลาปาง ดาเนินการฝกึ อบรมกจิ กรรมท่ี 1 การฝึกอบรมเพิม่ ทกั ษะระยะสน้ั การพฒั นากสิกรรมสูร่ ะบบเศรษฐกจิ พอเพียงในรูปแบบ โคก หนอง โมเดล ประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวนั ท่ี 6 ธนั วาคม 2563 – 11 กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖4 กลุม่ เป้าหมาย ในพื้นทจ่ี ังหวดั ลาปาง ลาพูน และจงั หวดั แพร่ เป็นครวั เรือนพืน้ ทีเ่ รยี นรชู้ ุมชนตน้ แบบการพฒั นา คณุ ภาพชีวิต(เจ้าของแปลง 1 ไร่และ 3 ไร่) จานวน 408 ครัวเรอื นๆ 1 คน และผเู้ ข้ารว่ มโครงการ จา้ งงานสรา้ งรายได้ในตาบลต้นแบบและนอกตาบลตน้ แบบฯ(นกั พฒั นาพ้นื ที่ต้นแบบ)จานวน 132 คน รวม 540 คน งบประมาณที่ใช้จ่ายจานวน 2,741,910 บาท ( สองล้านเจด็ แสนสีห่ มน่ื หนึง่ พันเก้าร้อยสิบบาทถว้ น )

เน้ือหาหวั ข้อวชิ าประกอบด้วย 15 หัวขอ้ วชิ า คือ 1) กิจกรรมกล่มุ สมั พันธ์ 2) เรียนรู้ ตาราบนดิน 3) เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ศาสตร์พระราชากับการพฒั นาท่ียั่งยืน 4) การแปลงปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิบัติแบบเป็นข้ันเป็นตอน 5)ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง“ทฤษฎี บันได 9 ข้ัน สู่ความพอเพียง” 6) หลักกสิกรรมธรรมชาติ 7) ฝึกปฏิบัติฐานเรียนรู้ 8) ถอด บทเรียนผ่านส่ือ“วิถีภูมิปัญญาไทยกับการพ่ึงตนเองในภาวะวิกฤต” 9) จิตอาสาพัฒนาเอามื้อ สามัคคีพัฒนาพ้ืนท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่ 10) การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย ตามหลักการพัฒนา ภมู ิสังคมอย่างย่ังยืน เพ่ือการพ่ึงตนเองและรองรับภยั พบิ ตั ิ 11) ฝกึ ปฏิบตั ิการสร้างหุ่นจาลอง การ จัดการพ้ืนที่ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล 12) Team Building ฝึก ปฏิบัติการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต หาอยู่ หากิน 13) การขับเคล่ือนสืบสานศาสตร์พระราชา กลไก 357 14) ยุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ 15) ในหลวงในดวงใจ (เทดิ ทูนสถาบนั พระมหากษัตริย)์ จัดกิจกรรมเสรมิ หลักสตู ร 4 กิจกรรม ไดแ้ ก่ 1) กจิ กรรม 5 กระบวนการหนา้ เสาธง 2) กจิ กรรมสุขภาพพงึ่ ตนพฒั นา 3 ขมุ พลัง 3) กิจกรรมกตัญญตู ่อสถานท่ี และ 4) กิจกรรมพัฒนา จิตใจ ทาบุญตักบาตร การประเมินผลโครงการฯโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ผ่าน Google Form การ วิเคราะหข์ อ้ มูลโดยใช้โปรแกรม SPSS for Window พบว่า ผเู้ ขา้ อบรมท้ังหมด จานวน 540 คน ตอบแบบประเมิน จานวน 457 คน คิดเป็นร้อยละ 84.63 ผู้เข้ารับการฝึกอบรม แสดง ความคิดเห็นต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของหลักสูตร มีระดับการบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับมาก คา่ เฉลย่ี 4.47 กอ่ นเขา้ รว่ มโครงการ ผ้เู ข้ารบั การฝึกอบรมมคี วามรู้ความเขา้ ใจดา้ นวิชาการใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย 3.98 หลังเข้าร่วมโครงการ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเขา้ ใจดา้ นวิชาการในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลยี่ 4.45 และเมอื่ พิจารณารายวิชา พบวา่ ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมมีความรู้ความเข้าใจในหัวข้อวิชา ฝึกปฏบิ ตั จิ ติ อาสาพัฒนาชมุ ชน เอา มื้อสามัคคีพัฒนาพื้นท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่ เป็นลาดับสูงสุด ในระดับมากที่สุด ค่าเฉล่ีย 4.52 รองลงมาระดับมากเท่ากัน 3 วิชา คือ หัวข้อวิชากิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ วิชาเรียนรู้ตาราบนดิน และวชิ าปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง“ทฤษฎบี ันได 9 ข้นั สคู่ วามพอเพยี ง” ค่าเฉล่ยี 4.45 หัวข้อวิชาต่อการนาความรู้ไปปรับใช้ในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย ๔.45 เท่ากันในหัวข้อวิชาการแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิบัติแบบเป็นข้ัน เป็นตอน หัวข้อวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง“ทฤษฎีบันได 9 ขั้น สู่ความพอเพียง” และฝึก ปฏิบัตจิ ติ อาสาพัฒนาชุมชน เอามือสามัคคพี ัฒนาพื้นท่ตี ามหลกั ทฤษฎีใหม่ ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรม มีความพึงพอใจภาพรวมของโครงการ อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉล่ีย ๔.55 โดยพึงพอใจการ อานวยความสะดวก เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ/ประสานงาน การให้บริการด้านคุณภาพ วิทยากร และ กระบวนการขัน้ ตอนการใหบ้ รกิ ารเรยี งตามลาดบั

ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบำย 1.ควรมกี ารบูรณาการการทางานในรูปแบบการประสานแผนงานโครงการระดบั กระทรวงและระดบั กรมฯ ทงั้ กระทรวงมหาดไทยดว้ ยกนั และต่างกระทรวง ที่มีภารกจิ เกยี่ วขอ้ งกบั การดาเนินการทกุ ด้าน เพ่ือให้การขบั เคลื่อนงานระดับพืน้ ท่เี ปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ 2.ควรมมี าตรการรองรับทช่ี ัดเจน ในดา้ นการเป็นศนู ย์เรียนร้โู คกหนองนาโมเดลของ ครัวเรอื นเป้าหมาย เพื่อประกนั ความคมุ้ คา่ ของงบประมาณ 3.ควรมีแผนงานโครงการดา้ นการจัดตั้งและพฒั นาเครือข่ายโคกหนองนาโมเดลที่เปน็ รปู ธรรม เพอ่ื สรา้ งความยัง่ ยนื ของโครงการ 4.ควรมแี ผนงานโครงการการพัฒนาศกั ยภาพบคุ ลากรกรมฯ ด้านความรแู้ ละทักษะ การจัดการพน้ื ที่โคกหนองนาโมเดล เพือ่ ให้สามารถเปน็ ทีป่ รึกษาแกค่ รวั เรือนเป้าหมายและศูนย์ เรยี นรู้ฯไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพในระยะยาว 5.ควรมกี ารวางแนวทางพฒั นาการใช้ประโยชนข์ องพ้ืนท่ดี าเนินการอย่างจรงิ จงั โดย ยึดการมสี ว่ นรว่ มของเครือขา่ ยโคกหนองนา และชุมชนพืน้ ท่ีดาเนนิ การ 6.ควรมงี านวิจัยประเมินผลโครงการอย่างเปน็ รูปธรรมในทกุ ระดับ 7.ควรมีการกาหนดหลักสูตรแผนการสอนร่วมกนั ระหว่างสถาบนั การพฒั นาชุมชน กบั ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชุมชน ควรให้ผูเ้ ช่ียวชาญหรอื ปราชญใ์ นแต่ละเร่อื ง หรอื เจา้ หน้าท่ีพัฒนา ชมุ ชนระดับจังหวัดและอาเภอเป็นตัวแทน มีส่วนรว่ มในการจัดทาหลักสตู ร/แผนการสอนดว้ ย 8.ควรมกี ารเตรยี มทมี วิทยากรเพื่อขบั เคล่ือนกิจกรรมในหลกั สตู ร ให้สอดคลอ้ งกนั ใน ทกุ กจิ กรรม/ขน้ั ตอนของกิจกรรม/โครงการฯ 9.ควรมกี ารสรปุ บทเรียนในการจดั ทาหลักสตู รหรือแผนการฝึกอบรมทผ่ี า่ นมา 10.นกั วิชาการพฒั นาชมุ ชน (พัฒนากร ) ควรได้รบั การฝกึ อบรมในหลักสูตรฯ ก่อนที่ จะดาเนนิ การโครงการฯในพ้ืนท่ี เพ่ือสรา้ งความรู้ความเข้าใจและทกั ษะปฏิบตั ิในเบ้อื งต้น 11.ควรให้ความสาคญั ในการส่อื สารสร้างการรบั รู้ และความรคู้ วามเข้าใจใน รายละเอียดโครงการกบั เจ้าหนา้ ทพ่ี ัฒนาชมุ ชนผู้ปฏิบตั งิ านในพ้ืนท่ีเป็นเบ้ืองต้น กอ่ นดาเนนิ กจิ กรรมโครงการในทุกขน้ั ตอน 12.ทุกหลกั สูตรเนน้ เรื่องของการพฒั นาคน ท้ังในระดบั เจ้าหน้าที่ ผนู้ าเครือข่ายและ ประชาชน กรมการพฒั นาชุมชนมีบทบาทสาคัญในการพฒั นาคน หลักสูตรทกี่ รมฯมอบให้ศนู ย์ ศกึ ษาและพฒั นาชมุ ชนดาเนินการและประสบความสาเรจ็ เชน่ หลักสตู รผู้นาต่างๆ หลกั สตู รการ ฝึกอบรมเจ้าหนา้ ท่ีฯลฯ ควรมีการทบทวนหรอื พัฒนาหลักสูตรนากลบั มาใช้อกี ครงั้ หนึ่ง เพราะเป็น จุดเด่นงานของกรม และพจิ ารณาในการท่จี ะเชอื่ มโยงไปสโู่ ครงการหรือนโยบายทีส่ าคัญในปจั จบุ ัน

๑ สว่ นที่ 1 บทนำ โครงกำรพัฒนำพื้นที่ต้นแบบกำรพฒั นำคุณภำพชวี ติ ตำมหลกั ทฤษฎใี หม่ ประยกุ ต์สู่ “โคก หนอง นำ โมเดล” : กจิ กรรมที่ 1 ฝึกอบรมเพม่ิ ทกั ษะระยะสั้นกำรพัฒนำกสกิ รรมสรู่ ะบบเศรษฐกจิ พอเพียง ในรปู แบบ โคก หนอง โมเดล ควำมเป็นมำ.. สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันต้องเผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติด เช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ซ่งึ สง่ ผลกระทบไปถึงวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ ดา้ นการสาธารณสุขด้านการ คมนาคมและอ่ืน ๆ ส่งผลให้เกิดวิกฤตทางสังคมขนาดหนักไปท่ัวทั้งโลก อีกท้ังวิกฤตด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมอิ ากาศ ภัยแล้งและน้าท่วมที่คาดว่าจะมีความรุนแรงขึ้นท้ังในเชิงความผันผวน ความถ่ี และขอบเขตท่ี กว้างมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและโครงสร้างพื้นฐานท่ีจาเป็นทาให้เศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ของประเทศเกิดความเสียหาย เพ่ิมปัญหาความยากจน และความเหล่ือมล้าทางสังคม ตลอดจน ระบบการผลติ ทางการเกษตรทมี่ ีความสัมพนั ธ์ตอ่ เนื่องกับความม่นั คงด้านอาหารและนา้ ขณะทร่ี ะบบนเิ วศต่าง ๆ มแี นวโนม้ เสอื่ มโทรมลง และมแี นวโนม้ ทจ่ี ะสญู เสียความสามารถในการรองรบั ความต้องการมนุษย์ได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ ทางออกของประเทศไทยในการรอดพ้นวิกฤตและเกิดการพัฒนาท่ีย่ังยืน ได้ถูกกาหนดไว้ในยุทธศาสตร์ ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 และนโยบายรัฐบาลท่ีจะสืบสาน รักษา ต่อยอด และพัฒนาประเทศตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตร กระทรวงมหาดไทยมอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา เป็นหลัก ในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยการพัฒนาคนให้พึ่งตนเอง มีความเป็นเจ้าของและบริหารจัดการโดยชุมชน พัฒนาหมู่บ้านหรือชุมชนให้มี วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงและเป็นสังคม “อยู่เย็น เป็นสุข” ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับมูลนิธิกสิกรรม ธรรมชาติ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และภาคเี ครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง 7 ภาคี ได้น้อมนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งลงส่กู ารปฏิบัติอยา่ งเป็นขั้นตอน ตามกลไกการขับเคล่อื นสืบสานศาสตร์ พระราชาเพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยใช้หมู่บ้านเป็นฐานของการพัฒนา มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกครัวเรือน และ พัฒนาคนให้มีความรู้และปรับตัวให้สามารถดาเนินชีวิตอย่างมีความสุข มีอาชีพ สร้างรายได้ ท่ามกลางวิกฤต

๒ โลกทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการจดั ทาโครงการท่ีประยกุ ตก์ ารใช้ศาสตร์พระราชาและน้อมนาเอา แนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชดารกิ ว่า 40 ทฤษฎี ที่ทรงพระราชทานไวใ้ ห้ในการแก้ไข ปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมมาประยุกต์กับแนวคิดการพัฒนาพื้นท่ีและการออกแบบ เชิงภูมิ สังคมไทยเพื่อการพ่ึงตนเองและรองรับภัยพิบัติ ในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” สร้างการพัฒนาคุณภาพ ชวี ติ ให้เหมาะสมกบั หมู่บา้ นในภูมิสงั คมต่าง ๆ กรมการพฒั นาชมุ ชน จงึ ได้มอบหมายให้ศูนยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนลาปาง ดาเนนิ โครงการพัฒนาพืน้ ที่ ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล กิจกรรมท่ี 1 การฝึกอบรม เพิม่ ทกั ษะระยะสนั้ การพัฒนากสิกรรมสรู่ ะบบเศรษฐกิจพอเพียงในรปู แบบ โคก หนอง โมเดล ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2564 เพือ่ ส่งเสริมการเรยี นรกู้ ารนอ้ มนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยกุ ตส์ กู่ ารปฏบิ ัติ ในรปู แบบ โคก หนอง นา โมเดล โดยการสง่ เสรมิ และสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ รวมทงั้ การฝึกปฏบิ ัติให้สามารถพงึ่ พา ตนเองได้ นาไปสกู่ ารสรา้ งความมน่ั คง ม่ังคัง่ ให้กับครอบครวั ปลูกและกระตุ้นจิตสานึกในการมีน้าใจเอ้ืออารี และมจี ิตอาสา เพื่อช่วยดแู ลสังคม และชุมชนให้เข้มแขง็ วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้การน้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์สู่การปฏิบัติ ในรปู แบบ โคก หนอง นา โมเดล 2. เพื่อเสรมิ สร้างกระบวนการเรียนรู้ในการสร้างความมน่ั คงทางอาหาร และการพ่ึงตนเองของครัวเรือน 3. เพื่อกระตนุ้ และปลกู ฝงั ความรกั ความสามคั คี และการมจี ติ อาสาช่วยเหลือสงั คม และชมุ ชน กลุ่มเป้ำหมำย จานวน 540 คน 1.ครัวเรอื นพ้นื ท่ีเรยี นรู้ชมุ ชนต้นแบบการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ในพนื้ ท่ีจังหวดั ลาปาง ลาพูน และ จงั หวดั แพร่ จานวน 408 ครวั เรอื น ๆ 1 คน 2.ผ้เู ขา้ รว่ มโครงการจา้ งงานสรา้ งรายได้ ในตาบลตน้ แบบและนอกตาบลต้นแบบฯ ในพน้ื ท่จี งั หวัด ลาปาง ลาพูน และจังหวดั แพร่ รวม 132 คน ข้นั ตอน/วิธีกำรดำเนนิ งำน 1. จดั ประชุมชแี้ จงและรบั ทราบนโยบาย รวมทั้งทศิ ทางการดาเนนิ งานของโครงการ 2. จดั ทาโครงการ แผนการดาเนินงาน และขออนุมตั ดิ าเนนิ งานตามโครงการฯ 3. แจ้งแผนการฝึกอบรมฯ ให้สถาบันการพัฒนาชุมชน เพื่อแจ้งจังหวัดทราบ และประสานงาน กลุ่มเปา้ หมายเขา้ ร่วมการฝึกอบรมตามแผนท่ีกาหนด 4. จัดประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจเนื้อหา/หลักสูตรของการฝึกอบรม แบ่งงาน และมอบหมาย ภารกจิ ความรับผิดชอบ รวมทัง้ การจดั ทาแผนการเรยี นการสอน 5. เตรียมทีมวิทยากร ครูพาทา และประสานเชิญวิทยากรภายนอก ตามตารางการฝึกอบรมฯ และ จัดทาคาสง่ั มอบหมายภารกิจใหก้ ับบุคลากร 6. ดาเนนิ การฝึกอบรมตามแผนฯ 7. สรุป/ประเมินผลการฝึกอบรม รายวิชา ภาพรวมของหลักสูตร สรุปประเมินผลโครงการ รายงาน เบอื้ งตน้ และจดั ทาสรปุ ผลการดาเนนิ โครงการเป็นรปู เลม่ สง่ สถาบนั การพัฒนาชุมชน 8. อภิปรายผล แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ และนาผลการดาเนนิ งานไปใชป้ ระโยชน์

๓ ขอบเขตเนอื้ หำหลักสูตรกำรฝกึ อบรม การฝึกอบรม หลักสูตรการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล จานวน 5 วนั ดังน้ี วันท่ี 1 เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าฝึกอบรมและเสริมสร้างทักษะความรู้เบ้ืองต้น ในสาระสาคัญ ดงั นี้ - กระบวนการความคาดหวงั /กลุ่มสมั พนั ธ/์ ฝากตาแหนง่ อายุ รับผา้ สี เลอื กผ้นู า - เรียนรู้ตาราบนดิน กิจกรรมเดนิ ชมพืน้ ท่ี - เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ศาสตรพ์ ระราชากับการพัฒนาทย่ี ั่งยนื -การแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏบิ ตั ิแบบเปน็ ขนั้ เป็นตอน วันที่ 2 เพ่ือสร้างความรู้ ความเข้าใจหลักกสิกรรมธรรมชาติ และฝึกปฏิบัติฐานเรียนรู้ ให้ เขา้ ถึงการนอ้ มนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปปรับใช้ในชวี ิตประจาวันในสาระสาคัญ ดังน้ี -ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง“ทฤษฎบี นั ได 9 ขน้ั สูค่ วามพอเพียง” - หลักกสิกรรมธรรมชาติ - ฝึกปฏบิ ตั ิฐานเรียนรู้ - ถอดบทเรยี นผา่ นสอ่ื “วถิ ีภมู ิปัญญาไทยกบั การพ่ึงตนเองในภาวะวิกฤต” วันที่ 3 เพ่ือสร้างทักษะการใช้ชีวติ บนพ้ืนฐานของความเป็นไทย เรียนรู้การแลกเปล่ียนองค์ ความร้ใู นรูปแบบการแลกเปลี่ยนแรงงาน การเอามอ้ื สามัคคี ในสาระสาคญั ดงั นี้ - จิตอาสาพัฒนาเอามอื้ สามคั คพี ัฒนาพ้นื ทีต่ ามหลักทฤษฎีใหม่ วันที่ 4 เพื่อเรียนรู้การออกแบบพ้ืนที่เชิงภูมิสังคม โคก หนอง นา โมเดล และสามารถนา ความรู้ไปใช้ในการออกแบบพื้นท่ีโคก หนอง นา โมเดลของตนเองได้อย่างเหมาะสม และการดารงตนในภาวะ วกิ ฤต ในสาระสาคญั ดงั นี้ -การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย ตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยง่ั ยืน เพื่อการพึ่งตนเอง และรองรบั ภัยพบิ ัติ

๔ -ฝึกปฏิบัติการสร้างหุ่นจาลอง การจัดการพื้นท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล -Team Building ฝึกปฏิบัติการบรหิ ารจดั การในภาวะวกิ ฤต หาอยู่ หากนิ วันที่ 5 เพ่ือสร้างความรู้ ความเข้าใจ กลไก 357 ในการขับเคล่ือนศาสตร์พระราชา และ สามารถจัดทาแผนปฏิบัติการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่กา รปฏิบัติ ในสาระสาคัญ ดังน้ี -การขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา กลไก 357 - ยทุ ธศาสตร์การขบั เคล่อื นปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ -.ในหลวงในดวงใจ -ถวายปณิธาน ระยะเวลำดำเนินกำร ดาเนินการฝกึ อบรม จานวน 6 รุ่น ๆ ละ 5 วนั (รุ่นที่ 2 – 7 ) เรม่ิ ดาเนินการฝึกอบรมฯ ตั้งแตว่ นั ท่ี 6 - 10 ธันวาคม 2563 ถงึ 11 กุมภาพนั ธ์ 2564 ( หมายเหตุ : รุ่นท่ี 1 ระหว่างวนั ที่ 29 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2563 กลมุ่ เป้าหมายเป็นพฒั นาการอาเภอ ผูอ้ านวยการกลุ่มงานที่รับผิดชอบ/ นักวชิ าการพัฒนาชุมชน จาก 17 จังหวดั ภาคเหนอื ) รุ่นที่ 2 ระหว่างวนั ที่ 6 – 10 ธันวาคม 2563 รุน่ ที่ 3 ระหว่างวันท่ี 14 – 18 ธันวาคม 2563 รนุ่ ท่ี 4 ระหวา่ งวันที่ 22 – 26 ธนั วาคม 2563 รุ่นที่ 5 ระหวา่ งวนั ที่ 25 - 29 มกราคม 2564 รุ่นที่ 6 ระหว่างวนั ท่ี 1 - 5 กุมภาพันธ์ 2564 ร่นุ ท่ี 7 ระหว่างวนั ท่ี 7 - 11 กุมภาพันธ์ 2564 สถำนทดี่ ำเนนิ กำร ดาเนนิ การ ณ ศนู ยศ์ ึกษาและพัฒนาชมุ ชนลาปาง งบประมำณ งบประมาณ จานวน 4,207,229 บาท ( ส่ีล้านสองแสนเจ็ดพันสองรอ้ ยยี่สบิ บาทถว้ น ) ผลท่ีคำดว่ำจะได้รับ 1.กลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นแกนนาขับเคลื่อนการน้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ ทฤษฎใี หม่ประยกุ ต์สู่การปฏบิ ตั ิในรปู แบบ โคก หนอง นา โมเดลในพนื้ ทีเ่ ป้าหมายได้ 2. เกิดพ้ืนท่คี รัวเรอื นต้นแบบการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตฯ จานวน 665 ครัวเรือน 3. ผู้จ้างงานตามโครงการฯ ท่ีเข้ารับการฝึกอบรม มีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าท่ีและ ภารกิจ ท่ีไดร้ บั มอบหมายตามโครงการไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ตัวชี้วดั กจิ กรรม 1. กลุม่ เป้าหมายได้รับการพฒั นาตามหลักสูตรการพัฒนากสิกรรมสรู่ ะบบเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล จานวน 540 คน 2. เกิดพื้นท่เี รียนร้คู รวั เรือนตน้ แบบฯ จานวน 408 ครัวเรอื น 3. เกิดแกนนาการพัฒนา เป็นครูกระบวนการ ครูกสิกรรม ครูประจาฐานเรียนรู้การพัฒนาตนเอง และครูพาทา 132 คน

๕ ส่วนที่ 2 สรุปเน้ือหำวชิ ำกำร กจิ กรรมและผลกำรดำเนนิ กจิ กรรม สรปุ ผลดำเนนิ กำรฝกึ อบรม รุน่ ท่ี 2 - 7 กิจกรรมท่ี 1 กำรฝกึ อบรมเพิ่มทักษะระยะส้ันกำรพัฒนำกสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกจิ พอเพียงในรูปแบบ โคก หนอง โมเดล ตำมโครงกำร พัฒนำพื้นท่ีต้นแบบกำรพฒั นำคณุ ภำพชีวิตตำมหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกตส์ ู่ “โคก หนอง นำ โมเดล” 1.วชิ ำ กิจกรรมกลุ่มสัมพนั ธ์ วิทยำกรหลกั นายชาญณรงค์ จริ ขจรกลุ นักทรพั ยากรบุคคล และทีม ศพช.ลาปาง ผู้รับผิดชอบวิชำ นายชาญณรงค์ จริ ขจรกลุ นกั ทรัพยากรบุคคล วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ สรา้ งความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกลุ่มเป้าหมายดว้ ยกันและทีมวทิ ยากร ให้เกิดบรรยากาศทีด่ ี ในการเรียนรู้ 2. เพ่ือแบง่ กลุม่ ในการดาเนินกจิ กรรมแต่ละรายวิชา ระยะเวลำ จานวน 1 ชวั่ โมง ขอบเขตเน้ือหำ 1. การแนะนาตนเองและทาความร้จู กั กนั 2. การสร้างสัญลกั ษณ์รว่ ม 3. การปรบั ฐานการเรยี นรู้ ละลายพฤติกรรม 4. การสรา้ งผนู้ ากล่มุ /ผนู้ ารุ่น 5. การรับผา้ พนั คอ 6. การมอบหมายภารกจิ กลุม่ /บทบาทหน้าที่ 7. ความคาดหวงั

๖ เทคนิค/วิธีกำร 1. ละลายพฤติกรรมด้วยวิธีการ “ถอดหวั โขน” ลดอายใุ หเ้ หมาะสมแก่กิจกรรม โดยใช้หลกั 3ค (คึกคัก คลอ่ งแคลว่ คร้ืนแครง) 2. แบง่ กลุ่ม ให้คละกัน (ช/ญ) จานวนเท่า ๆกัน คัดเลือกผนู้ ากลุม่ (ผู้ใหญ่บ้าน) สมาชกิ กลุ่มพร้อม ตาแหน่ง 3. ผ้นู ากลุ่ม (ผใู้ หญบ่ ้าน) คัดเลอื กผนู้ าร่นุ การอบรม (กานัน) 4. พิธีรับมอบ ผ้าสี มอบภารกจิ ดูแลพ้นื ที่ ข้นั ตอน/กำรดำเนนิ กำร ทีมวิทยากร ศพช. ลาปาง เริ่มต้นด้วยการสร้างความ คึกคัก คร้ืนเครง ด้วยเพลงสร้างบรรยากาศ จากน้ันส่งให้ วิ ท ย า ก ร ห ลั ก ด า เ นิ น ก า ร เ ร่ิ ม แ น ะน า ตั ว วิ ท ย า ก ร แ ล ะ ที ม วิทยากร ต่อด้วยกระบวนการละลายพฤติกรรมด้วยวิธีการ “ถอดหัวโขน” ลดอายุให้เหมาะแก่กิจกรรม โดยใช้หลัก 3ค (คึกคัก คล่องแคล่ว คร้ืนแครง) จากน้ันวิทยากรเข้าสู่ กระบวนการสร้างความพร้อมด้วยการมาน่ังเป็นวงกลมแล้วให้ ปรบมือ 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 คร้ัง 5 คร้ัง เข้าสู่เพลง “ปรบมือ 5 ครัง้ ” สรา้ งการมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมของผูเ้ ข้าอบรม วิทยากรสร้างกระบวนการคร้ันเครงโดยให้ร้องเพลง “ช้าง” เพลง “ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้าง หรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา จมูกยาวยาวเรียกว่างวง มีเข้ียว ใต้งวงเรียกว่างา มีหู มีตา หางยาว” จานวน 3 รอบ รอบที่ 1 ร้องออกเสียง รอบที่ 2 ร้องออกเสียงพร้อมปรบมือ รอบท่ี 3 ร้องในใจ (ไม่ออกเสียง ไม่ปรบมือ) และเม่ือร้องจบให้พูดว่า “เฮ” พร้อม ชูมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ ใช้หลักการ 3ค สร้าง ความครื้นแครงและความสนุกสนานในกระบวนการ จากน้ัน แบ่งกลุ่มโดยให้เรียงตาม พ.ศ.เกิด และแบ่งแยกกันระหว่าง ชาย/หญิง 2 แถวให้อยคู่ นละฝ่งั กนั และให้หวั แถวเริ่มนบั 4 (นบั 1 ถงึ 4) นบั ตลอด จะไดก้ ล่มุ จานวน 4 กลุ่ม ซ่ึงจะมีชาย/หญิงคละกันในจานวนท่ีใกล้เคียงกัน เพ่ือเข้าสู่กิจกรรมกลุ่ม ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสร้าง ความคุน้ เคยและทาความรจู้ ักกันในกลุ่ม วิทยากรสุม่ ถามสมาชิกคนใดคนหน่ึงเพ่ือสังเกตดูว่าได้จดจาเพื่อนร่วม กล่มุ ได้มากน้อยเพียงใด วทิ ยากรใหแ้ ตล่ ะกลุ่มคัดเลือกผนู้ ากลุ่ม 1 ทา่ น รับมอบเปน็ ผู้ใหญ่บ้าน (ผู้นากลมุ่ ) แลว้ ใหผ้ ูใ้ หญ่บ้าน เลือกผู้ช่วยฯ 1 ท่าน และให้ผู้ช่วยเลือก เลขานุการ 1 ท่าน ตามลาดับ (วิทยากรบอกหน้าที่ความรับผิดชอบ ของแต่ละตาแหน่ง) จากน้ันมอบโจทย์ให้ทุกหมู่บ้านตั้งช่ือหมู่บ้านตนเอง , สโลแกนหรือคาขวัญพร้อมท่าทาง ประกอบ และให้แตบ่ ้านสาธติ ใหก้ บั ผรู้ ว่ มอบรม(หม่บู า้ นอ่นื ) โดยในแตล่ ะรนุ่ ก็จะได้ชือ่ หมูบ่ า้ นจานวน 4 บ้าน

๗ วิทยากรให้ทุกกลุ่มกลับมานั่งเป็นกลุ่มแถวตอน 2 แถว และให้ผู้ใหญ่บ้านทั้ง 4 กลุ่ม เลือก “กานัน”(ผู้นารุ่น) เม่ือได้กานันแล้วให้กานันเลือก “สารวัตรกานัน” เป็นผู้ช่วย อีก 1 ท่าน (วิทยากรบอกหน้าท่ีความรับผิดชอบ) เข้าสู่การ สร้างสัญลักษณ์ร่วมกัน วิทยากรสอนวิธีการและสาธิตการใช้ คาสั่ง “ใส่รหัส” โดยมีคาส่ังว่า “ใส่รหัส...(คาส่ัง) สาม สอง หนึ่ง” จากนั้นให้ผู้เข้าอบรมปรบมือหลังสิ้นคาสั่งเป็นจังหวะ สาม สาม เจ็ดต่อด้วย (คาส่ัง) (ปรบมือ 123 123 1234567 ตามด้วยคาสั่ง) จากนั้นให้ทุกคนกลับนั่งที่และ อยู่ในความสงบเพื่อเขา้ สูพ่ ธิ ีการรับผ้าสีของแตล่ ะกลุ่ม โดย วทิ ยากรใหต้ วั แทนนาสลากสีมาใหผ้ ู้ใหญ่บ้านเป็นคนจับสลากและบอกลูกบ้านว่ากลุ่มตัวเองได้สีอะไรโดยไม่ส่ง เสยี ง วิทยากรบอกขั้นตอน/วิธีการ/สาธิต การเข้ารับผ้าสี (สีเขียว , สีเหลือง , สีม่วง และสีฟ้า) โดยให้ ตัวแทนกลุ่มคือผู้ใหญ่บ้านเป็นคนเข้ารับผ้าสี (ในพาน) หน้า พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ร.9 และ ร.10 จากน้ัน ตัวแทนกลับเข้าประจาที่และส่งผ้าสีให้สมาชิกจนครบ(อยู่ใน ความสงบ) วิทยากรให้ทุกคนนาผ้าสีวางไว้บนมือขวา ตักขวา และหลับตาเพ่ือราลึกถึงพระราชกรณียกิจของทั้ง 2 พระองค์ จากน้ันส่ังลืมตาและให้กล่าวคาปฏิญาณตนตามวิทยากร เมื่อ กล่าวจบวิทยากรแนะนาพี่เล้ียงกลุ่มสีและสอนวิธีการผูกผ้าสี เมื่อผูกเสร็จสิ้นแล้ววิทยากรแนะนาภารกิจความรับผิดชอบ และการดแู ลพ้นื ทีข่ องแต่ละหมูบ่ ้าน วทิ ยากรนาเข้าสู่การเขยี นความคาดหวงั ที่เข้าร่วมการฝึกอบรม และการหาข้อตกลงรว่ มกนั ในระหว่าง การอบรมตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน การใช้เพลงเพ่ือกระตุ้นเข้ากระบวนการในแต่ละคร้ังหลังจากการพัก เบรกในแตล่ ะชว่ งเวลาโดยใช้เพลง “คนื ชวี ติ ให้แผน่ ดิน” ผลกำรเรยี นรโู้ ดยสรุป ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ และสนใจตลอดจนตื่นตัวกับกระบวนการเรียนรู้ ได้ เครือข่ายกลุ่มสัมพันธ์ผ่านกระบวนการละลายพฤติกรรมและกระบวนการแบ่งกลุ่มสี เป็นหมู่บ้าน 4 หมู่บ้าน และกระบวนการภาวะผู้นาโดยได้ผู้นากลุ่ม(ผู้ใหญ่บ้าน)และผู้ช่วย ท้ัง 4 บ้าน และผู้นารุ่น(กานัน) 1 ตาบล ผู้ เข้ารับการอบรมเกิดการแลกเปล่ียนกันในระหว่างกิจกรรมและทาความรู้จักกัน เข้าใจถึงกระบวนการกลุ่มที่ ต้องมีภารกิจรับผิดชอบตลอดจนบทบาทของผู้ใหญ่บ้านและกานันที่ต้องทาหน้าที่ในแต่ละวัน ตลอด กระบวนการเรียนรู้วิทยากรได้ใช้หลัก 3ค (คึกคัก คล่องแคล่ว คร้ืนเครง) เป็นการเตรียมความพร้อมสาหรับ การเรยี นรูต้ ลอดการฝกึ อบรม

๘ การหาข้อตกลงร่วมกันเพ่ือการมีส่วนร่วมและเกิดเป็นข้อตกลงระหว่างการฝึกอบรมของรุ่นตนเอง การหาความคาดหวังของผู้เข้ารับการอบรมเพื่อให้ได้มาซ่ึงความต้องการพื้นที่ก่อนการเรียนรู้ ผู้เข้ารับการ อบรมมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าว เสนอข้อคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน เกิดความเป็นระเบียบ เรยี บร้อยในช่วงการอบรม ผลกำรประเมนิ รำยวชิ ำ 1. กจิ กรรมกลมุ่ สัมพันธ์ ช่ือวทิ ยากร นายชาญณรงค์ จิรขจรกลุ และทีมวทิ ยากร ศพช.ลาปาง ส่วนท่ี ๑ ความคดิ เห็นเกยี่ วกบั เน้อื หาวิชา หวั ขอ้ ระดบั ความคดิ เหน็ ค่าเฉล่ีย การแปล 4.29 ผล ๑.การบรรลุวัตถุประสงค์ของรายวิชา มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่ีสดุ มาก ๒.ความชดั เจนของเนื้อหาวชิ า ๓.ความรู้ ทกั ษะ ที่ไดร้ บั เพ่ิมเติมจากวิชาน้ี 174 243 38 1 0 ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ (38.2%) (53.3%) (8.3%) (0.2%) (0.00%) 194 227 35 0 0 4.34 มาก (42.5%) (49.8%) (7.7%) (0.00%) (0.00%) 206 208 41 1 0 4.35 มาก (45.2%) (0.00%) (45.6%) (9%) (0.2%) 203 0 (44.5%) 211 41 1 (0.00%) 4.35 มาก (46.3%) (9%) (0.2%) ภำพรวม 4.33 มำก จากตารางท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 456 คน แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเน้ือหาวิชา กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั มาก ค่าเฉลีย่ 4.33 โดยแยกพิจารณาได้ ดงั นี้ 1. การบรรลวุ ัตถปุ ระสงคข์ องรายวิชา ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.29 2. ความชัดเจนของเนื้อหาวิชา ระดับมาก คา่ เฉล่ยี 4.34 3. ความรู้ ทกั ษะ ท่ไี ด้รบั เพม่ิ เติมจากวชิ านี้ ระดับมาก ค่าเฉลีย่ 4.35 ๔. ความสามารถนาไปประยุกต์ใช้ ระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 4.35

๙ สว่ นท่ี ๒ ความพงึ พอใจต่อวทิ ยากร หัวขอ้ มากทสี่ ดุ ระดับความพงึ พอใจ ค่าเฉลี่ย การแปล 4.41 ผล มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทสี่ ดุ มาก ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย 219 205 32 0 0 ๒.เทคนคิ และวิธีการที่ใช้ในการถา่ ยทอดความรู้ (48%) (45%) (7%) (๐.3%) (0.0%) 4.36 มาก 201 221 34 0 0 (44.1%) (48.5%) (7.5%) (0.00%) (0.0%) ๓.การเปิดโอกาสให้ซกั ถาม แสดงความคดิ เหน็ 224 194 36 2 0 4.40 มาก ๔.การสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ (49.1%) (42.5%) (7.9%) (0.4%) (๐.0%) ๕.บุคลกิ ภาพ (การแต่งกาย ท่าทาง น้าเสียง ฯลฯ) 200 210 39 6 0 4.32 มาก (43.9%) (46.1%) (8.6%) (1.3%) (๐.0%) 4.45 มาก 229 198 23 1 0 (50.2%) (43.4%) (5%) (0.2%) (๐.0๐%) ภำพรวม 4.39 มำก จากตารางท่ี 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 456 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชา กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับ มาก คา่ เฉล่ีย 4.39 โดยแยกพิจารณาเป็นรายประเด็น ได้ดงั น้ี 1.ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.41 2.เทคนิคและวิธกี ารที่ใชใ้ นการถ่ายทอดความรู้ ระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 4.36 ๓.การเปดิ โอกาสให้ซักถาม แสดงความคดิ เห็น ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.40 4.การสร้างบรรยากาศในการเรยี นรู้ ระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 4.32 5.บคุ ลิกภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง น้าเสียง ฯลฯ) ระดับมาก คา่ เฉลย่ี 4.45 ส่ิงทท่ี ำ่ นประทบั ใจในวิทยำกรทำ่ นนคี้ ือ -รายละเอียดครบ พูดจาฉะฉาน อธิบายเนื้อหาได้เข้าใจงา่ ย/การเป็น กนั เอง การถา่ ยทอดองค์ความรู้/มีความรคู้ รบถ้วน/สภุ าพเปน็ กนั เอง/ยิ้มแยม้ แจ่มใส ให้ความรู้ดี/ให้ความร้แู ละ คาแนะนาท่ีพร้อม/ชดั เจน /วทิ ยากรทุกทา่ นนา่ รักใจดี/สนุกด/ี สนุกเฮอา/ดสู ะอาดเรยี บร้อย/วทิ ยากรมีความรู้ ความสามารถในการบรรยายทาใหเ้ ข้าใจงา่ ย เนือ้ หาตรงประเดน็ /พูดไดก้ ระชบั ใจความสัมพนั ธ์ในเน้ือหาท่ี บรรยาย สง่ิ ท่ีวทิ ยำกรควรปรับปรุงคือ -พูดยาวไปหน่อย วกไปวนมา/เหมอื นผิดคิว พูดในส่ิงซ้าไป /สรปุ เนื้อหาให้ส้ันลง หน่อยจะดีมาก /การจดั การกับเวลาในการทากิจกรรม ให้เหมาะสมมากกวา่ น้ี ข้อเสนอแนะเพม่ิ เติม อน่ื ๆ -ควรมีอุปกรณ์เสริมในกจิ กรรม/ไมค่ วรใช้วธิ อี บรมแบบทหาร/เวลายาวเกินไป/ ใหต้ ัวหนังสอื ใหญ่กว่านี้

๑๐ 2.วิชำ กำรเรียนรู้ตำรำบนดิน วทิ ยำกร นายชาญณรงค์ จริ ขจรกุล นักทรัพยากรบุคคล และทีม ศพช.ลาปาง ผ้รู บั ผดิ ชอบวิชำ นายชาญณรงค์ จริ ขจรกุล นกั ทรัพยากรบุคคล วัตถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ สารวจและศึกษาเรยี นรูต้ าราจากผืนดนิ ในพนื้ ที่ตน้ แบบ/พนื้ ที่ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชุมชน 2. เพอื่ วเิ คราะห์และนาเสนอสงิ่ ทส่ี งั เกตเห็น และสิ่งที่ไดจ้ ากการลงพืน้ ที่ในการเรยี นรู้ ระยะเวลำ จานวน 1 ช่วั โมง ขอบเขตเนอื้ หำ 1. ศกึ ษาสารวจพ้ืนที่ 2. บันทกึ ผลการเรยี นรู้ตามประเด็นตา่ ง ๆ 3. แลกเปลย่ี นเรยี นรูเ้ ตมิ เต็ม เทคนิค/วิธกี ำร 1.มอบภารกจิ ให้แตล่ ะสีในการสารวจพ้ืนท่ี โดยใหบ้ ันทึกผลการเรียนรู้ตามประเดน็ ต่าง ๆ (มีวิทยากร ประจากลุม่ พาไปสารวจในพน้ื ท่แี ต่ละโซน พรอ้ มอธบิ ายใหเ้ ขาร้วู า่ ในพน้ื ท่ีน้นั มอี ะไรบา้ ง) 2.กอ่ นปลอ่ ยให้ไปพ้ืนท่ี เนน้ ย้า “อย่าดว่ นตดั สินใจ ไมแ่ นะนา ไม่คิดช่วยแก้ไขปัญหา” - ท่านเห็นอะไร จากการสารวจ - ท่านไดเ้ รยี นรู้อะไร จากการสารวจ - ให้ท่าน นา/หยิบ สิ่งของจากการสารวจมา 1 ชิ้น เพื่อนามาเสนอให้กับผู้เข้าร่วมอบรม (ใหก้ ลับมาก่อนเวลาเพื่อพดู คุยเตรยี มนาเสนอ) 3.ใหส้ ง่ ตัวแทนกลมุ่ นาเสนอตามโจทย์ท่ไี ด้รบั มอบหมาย 4.วทิ ยากรเติมเตม็ ขั้นตอน/กำรดำเนินกำร วทิ ยากรแนะนาตวั สร้างความคุ้นเคย แบ่งทีมศกึ ษาเรยี นรู้พืน้ ท่ี ตน้ แบบของศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนลาปางออกเป็น 2 ทมี โดยมวี ิทยากร หลกั นาเดินศกึ ษาพ้นื ที่ 2 ทา่ น และช้ีแจงกระบวนการศึกษาเรยี นรโู้ ดยมอบ โจทย์ 3 ข้อ - ท่านเห็นอะไร จากการสารวจ - ท่านไดเ้ รียนรู้อะไร จากการสารวจ - ใหท้ า่ น นา/หยิบ สิง่ ของจากการสารวจมา 1 ชน้ิ เพือ่ นามาเสนอให้กับผูเ้ ขา้ ร่วมอบรม โดยมีประเด็นสาคัญในระหว่างการเดินเรียนรู้ คือ “ อย่ำด่วน ตดั สนิ ใจ ไม่แนะนำ ไม่คดิ แทน ไมช่ ว่ ยแกไ้ ขปัญหำ ” จากน้ันวิทยากรเริ่มนาผู้เข้าอบรมเดินศึกษาพ้ืนท่ีตามท่ีได้แบ่งทีม กันไว้ โดยการเรียนรู้ในพ้ืนที่ของ ศพช.ลาปาง เพื่อให้เห็นถึงบริบทของพ้ืนท่ีและการปรับพื้นที่ตามภูมิสังคม การพัฒนาด้วยการแก้ไขปรับปรุงคุณภาพของ ดิน น้า ป่า คน อย่างเป็นระบบตามแนวทางหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี ง โดยแบง่ การเรียนรู้เปน็ กจิ กรรมฐานเรยี นรู้จานวน 9 ฐานเรยี นรู้ ซึ่งจะสบื เน่อื งกับการเรยี นรู้

๑๑ วิชาการฝกึ ปฏบิ ัติในฐานเรยี นรขู้ องวันถดั ไป และการสารวจพื้นท่กี ารดาเนนิ งานกิจกรรม โคก หนอง นา โมเดล ของ ศพช.ลาปาง ซึ่งมเี น้ือที่ประมาณ 6 ไร่ และจะเป็นจดุ ท่จี ะดาเนนิ กิจกรรมในวชิ าจติ อาสาพฒั นาชุมชน เอา มื้อสามคั คีฯ ในระหวา่ งการเดนิ ศึกษาเรยี นรพู้ ้ืนทว่ี ทิ ยากรคอยเนน้ ย้าถงึ โจทย์ที่ได้รับมอบหมาย ฐำนเรียนรู้ศูนย์ศกึ ษำและพัฒนำชมุ ชนลำปำง จำนวน 9 ฐำนเรยี นรู้ ดงั นี้ 1. ฐำนฅนรักษ์ป่ำ : การเรียนรู้แนวคิดและทฤษฎีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ “ปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง” ป่าอย่างท่ี ๑ ป่าไม้ใช้สอย เป็นป่าที่ปลูกเพื่อใช้ ประโยชน์ เชน่ สร้างท่ีอยู่อาศัย ป่าอยา่ งท่ี ๒ ป่าไม้ผล เป็นปา่ ปลูกเพอื่ บรโิ ภค ปา่ อยา่ งท่ี ๓ ป่าไม้พลงั งาน เชน่ ไม้โตเร็ว ท่ีใช้เป็นเช้ือเพลิง หรือไม้ท่ีนาไปใช้เป็นพลังงานทดแทน เม่ือปลูกป่าทั้ง ๓ อย่างแล้ว จะได้ประโยชน์ อยา่ งท๔่ี เป็นของแถมคอื การอนุรกั ษ์ทรัพยากรดินและนา้ วิธีการปลูกป่าเปียกกันไฟ มีด้วยกัน ๖ วิธีการ วิธีการที่ ๑ ทาระบบป้องกันไฟไหม้ป่า โดยทาแนว คลองส่งน้าและแนวพืชชนิดต่าง ๆ ปลูกตามแนวคลอง วิธีการที่ ๒ สร้างระบบการควบคุมไฟป่าด้วยแนว ปอ้ งกนั ไฟปา่ เปียก โดยอาศยั นา้ ชลประทานและนา้ ฝน วิธีการที่ ๓ โดยการปลกู ต้นไมโ้ ตเร็วคลมุ รอ่ งน้า เพอ่ื ให้ ความช่มุ ชืน้ คอ่ ย ๆ ทวีขนึ้ และแผข่ ยายออกทั้งสองด้านของร่องน้า วิธกี ารท่ี ๔ โดยการสรา้ งฝายชะลอความชุ่ม ช้ืน วิธีการที่ ๕ การสูบน้าไปในระดับสูงที่สุดเท่าท่ีจะทาได้แล้วค่อย ๆ ปล่อยน้าลงมา เรียกว่า “ภูเขาป่า” ให้ กลายเป็น “ป่าเปียกท่ีสามารถป้องกันไฟป่าได้” วิธีการท่ี ๖ ปลูกต้นกล้วยเป็นแนวกันไฟ การสร้างฝายชะลอ ความชุ่มช้ืน และการปลูกป่าในใจคน หลักการและวิธีการปลูกป่า ๕ ระดับ การปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง ประกอบด้วยต้นไม้หลากหลายทั้งชนิดพันธ์ุ ช่วงอายุ ลักษณะนิสัยและขนาดความสูง โดยสามารถ จัดแบ่งตามระดบั ชว่ งความสูงและระบบนิเวศได้ ๕ ระดบั ได้แก่ ๑. ไมส้ ูง เป็นกลุ่มตน้ ไม้เรอื นยอดสงู สดุ และอายุยนื ไม้ในระดับน้ี เชน่ ตะเคียน ยางนา เต็ง รงั ฯลฯ ๒. ไม้กลาง เป็นกลุ่มต้นไม้ที่ไม่สูงนัก ไม้ในระดับน้ีได้แก่ บรรดาไม้ผลท่ีเก็บกินได้ เช่น มะม่วง ขนุน มังคุด กระท้อน ไผ่ สะตอ ฯลฯ ๓. ไมเ้ ต้ีย เป็นกลุ่มต้นไม้พมุ่ เตยี้ ไมใ้ นระดบั น้ี เชน่ พริก มะเขอื กะเพรา ผกั หวานบา้ น ต้วิ เหรียง ฯลฯ ๔. ไมเ้ รย่ี ดนิ ไมใ้ นระดับนเ้ี ปน็ ตระกูลไม้เลื้อย เชน่ พริกไทย รางจดื ฯลฯ

๑๒ ๕. ไมห้ ัวใต้ดนิ ไมใ้ นระดับนี้ เช่น ขงิ ขา่ มันมือเสอื บกุ กวาวเครือ ฯลฯ กิจกรรมท่ีใช้สาหรับการเรียนรู้ ได้แก่ การขุดคลองไส้ไก่ , การสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น , การขุดหลุมขนมครก , การทาหัวคันนาทองคา และ การปลูกหญ้าแฝก พืชในพระราชดาริ “กาแพงทมี่ ีชีวติ ในการอนุรกั ษ์และคืนชีวติ สธู่ รรมชาติ” 2. ฐำนฅนมีไฟ : การเรียนรกู้ ารนาพลงั งานทดแทน ต่าง ๆ พลังงาน หมายถึง พลังงานท่ีใช้ทดแทนพลังงานจาก ฟอสซิล เช่น ถ่านหิน , ปิโตรเลียม และแก๊สธรรมชาติ ซ่ึงปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์มหาศาลอันเป็นสาเหตุโลกร้อน ตัวอย่าง พลังงานทดแทนท่ีสาคัญ เช่น พลังงานลม , พลังงานแสงอาทิตย์ , พลงั งานเช้ือเพลิง , พลังงานคล่ืน , พลังงานความร้อนใต้พิภพ , เชื้อเพลิงชีวภาพ พลังงานน้ามันดิบ น้ามันปาล์ม พลังงานน้ามัน พืช เป็นต้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ พลงั งำนทดแทนจากแหลง่ ทใ่ี ช้แลว้ หมดไป อาจเรยี กว่า พลังงาน ส้นิ เปลือง ได้แก่ ถ่านหิน กา๊ ซธรรมชาติ นวิ เคลียร์ หนิ น้ามัน และ ทรายน้ามัน เป็นต้น และพลังงานทดแทนอีกประเภทหนึ่งเป็น แหล่งพลังงานท่ีใช้แล้วสามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อีก เรียกว่า พลงั งำนหมุนเวียน ไดแ้ ก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้า และไฮโดรเจน เปน็ ตน้ จงึ นาพลังงานดงั กลา่ วมา ทาการผลติ และใชป้ ระโยชน์ในรูปพลงั งานทดแทน เช่น พลงั งานน้า พลังงานลม เทคโนโลยกี งั หันลม การแปรรูป ขยะมูลฝอยไปเปน็ พลังงานความรอ้ นโดยใชเ้ ตาเผา (Incineration) เทคโนโลยเี ตาเผาขยะมลู ฝอย พลังงาน ถา่ นหิน พลังงานชีวมวล ก๊าซชีวภาพ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล เป็นต้น ซ่ึงในแต่ละพลังงาน

๑๓ น้ันมีประโยชน์และผลกระทบท่ีเกิดขึ้นแตกต่างกันเราควรที่จะทาการศึกษาอย่างละเอียดก่อนการนามา ใช้ประโยชน์ 3. ฐำนฅนรกั ษ์น้ำ : น้าคือ..ชีวิต .พลังชีวิตคือ..การแบ่งปนั ..ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนลาปาง..ร่วมกันสรรค์ ...ร่วมกันสร้าง..กิจกรรมรักษ์น้า... รักษ์ปลา..รักษ์สิ่งแวดล้อม... เพื่อพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่“โคก หนอง นา โมเดล” ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในการบริหารจัดการน้าด้วย การทากิจกรรมบ้านปลา แซนวิชปลาใหเ้ ป็นแหล่งอาหารและ ท่ีอยู่อาศัยของปลา ในหนอง ในสระ ทาน้าหมักจุลินทรีย์ สังเคราะห์แสง สาหรับปรับปรุงน้า บารุงพืช และเป็น ส่วนผสมในการทาจุลินทรีย์บอล กิจกรรมทาจุลินทรีย์บอล จากจาวปลวก..เพอ่ื บาบดั บารุงรักษาน้า และเป็นแหล่งอาหาร ของปลา จาลองระบบบาบัดน้าดีไล่น้าเสียจากสระใหญ่ มา เป็นระบบสาธิตใช้น้าดีไล่น้าเสีย จัดทาตะบันน้าสาธิต ซ่ึง เหมาะสาหรับการประยกุ ตใ์ ช้ในพื้นท่ีสงู ของภาคเหนือต่อไป กิจกรรมท่ีขับเคล่ือน..ในฐานฅนรักษ์น้า ได้แก่ การใช้ น้าดีไล่น้าเสียด้วยท่อพีวีซี , การปรับปรุงน้า/บาบัดน้าเสียด้วยจลุ ินทรีย์บอล , การทาน้าหมักชีวภาพจุลินทรีย์ สังเคราะหแ์ สง , การทาแซนวชิ ปลา , การทาแซนวิชปลาลอยน้าจากสุม่ ไก่ , การทาอาหารปลานิลลดตน้ ทนุ , การทาอาหารเมด็ ปลานลิ ลดต้นทุน และการทาตะบันน้า 4. ฐำนฅนรักษ์แม่ธรณี : สืบเน่ืองจากในช่วงระยะเวลาเกือบ 30 ปีท่ีผ่านมา การเพ่ิมผลผลิตและ รายได้ของประเทศ มาจากการขยายพื้นท่ีการเพาะปลูกมากกว่าการเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยพ้ืนท่ี จนถึงขณะนี้ ประมาณได้ว่าพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรมได้ใช้ไปจนเกือบหมด และพยายามหาพ้ืนท่ีชดเชยด้วยการ อพยพ โยกย้าย เข้าไปในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ้ืนท่ีป่าไม่ถูกทาลายเพ่ิมมากข้ึน เพราะการใช้ดินกันอย่างขาด ความระมัดระวังและไมม่ กี ารบารุงรักษา ซ่ึงทาใหเ้ กดิ ความเสอ่ื มโทรม

๑๔ ดิน เป็นทรพั ยากรธรรมชาติที่มีความสาคัญอย่างย่งิ ต่อสงิ่ มชี ีวิต เพราะคนเราใชท้ รัพยากรดนิ เป็นท้ังท่ี อยู่อาศัย เป็นแหล่งสร้างอาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม และยารักษาโรค แถมยังใช้เป็นแหล่งกักเก็บน้าเพ่ือการอุปโภค บริโภค จึงกล่าวได้วา่ ดินเป็นทรัพยากรขัน้ มูลฐาน เป็นตัวการให้ มนุษย์เก็บเก่ียวผลประโยชน์จากทรัพยากร อื่น ๆ ได้เพ่ิมมากขึ้น อย่างมหาศาล การเกษตรที่ไม่ทาลายธรรมชาติ ไม่ทาลายดิน ไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อดิน และให้ความสาคัญกับการ ปรบั ปรุงดิน เปน็ หัวใจสาคัญท่จี ะรกั ษาดินเอาไว้ได้ การ “ห่มดิน” หรอื “คลมุ ดิน” โดยใชฟ้ าง เศษ หญ้า หรือใบไม้ท่ีสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และใส่ อาหารให้แก่ดิน ด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพื่อให้ อาหารแก่ดิน แล้วดินจะปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดยกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์เรียกหลักการน้ีว่า “เลี้ยงดิน ให้ดนิ เลยี้ งพืช” การปฏิบัตเิ ชน่ น้ี จะทาให้ดินกลับมามชี วี ติ เปน็ การ “คืนชวี ิตให้แผน่ ดนิ ” (คำถำเล้ียงดิน : เลี้ยงดิน ให้ดินเล้ียงพืช...feed the soil and let the soil feed the plan... เจยี มได๋ ออยได๋ เจยี มตะนำ...เลีย่ งเทะ อดึ เทะ เล่ียงละชิว...เลี้ยงแมธ่ รณี ให้แมธ่ รณี เลย้ี งแมโ่ พสพ) การเรียนรู้การปรับปรุงดิน การอนุรักษ์ ดิน ไม่ให้ไถหรือลอกหน้าดินทิ้งไป ไม่ให้มีการ ปลอกเปลือกเปลือยดิน เพื่อการรักษาดินให้มี ค ว า ม อุ ด ม ส ม บู ร ณ์ แ ล ะ เ ก็ บ รั ก ษ า ค ว า ม ชุ ม ชื้ น ข อ ง ผืน ดิน กิจ ก ร ร ม ที่ใ ช้สา ห รับ ก า ร เ รีย น รู้ ได้แก่ การห่มดิน , การผ่าท้องช้างหรือเพอร์ มาคัลเจอร์ , การทาปุ๋ยหมักชีวภาพแบบแห้ง , การทาน้าหมักชีว ภาพ 7 รส และ การทาน้า มะพร้าวเทียมเพื่อกระตุ้นจุลินทรีย์ในน้าหมัก 5. ฐำนฅนเอำถ่ำน : ไม้ เป็นแหล่งพลังงานท่ีมคี วามจาเป็น ต่อการดารงชีวิตประจาวัน เป็นการนาทรัพยากรธรรมชาติ มาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โดยการนาเอาไม้ทว่ั ๆ ไป เช่น ไม้กระถินณรงค์ ไม้ไผ่ ไม้สัก ฯลฯ ท่ีมีการตัดแต่งก่ิง ภายในศพช.ลาปาง และภายในฐานฅนรักษ์ป่า มาผ่าน กระบวนการเผาไหม้เพ่ือให้เกิดเป็นพลังงานเช้ือเพลิง รวมถึงการใช้ประโยชน์พลังงานจากไม้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้เป็นรูปธรรม น่ันคือ การสร้างเตาเผาถ่านเพื่อให้เกิด เป็นพลังงานเชื้อเพลิง และ “ถ่ำน” จะช่วยในเรื่องของการ พ่ึงพาตนเองได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย จึงทาให้เกิดฐานเรียนรู้ “ฐานฅนเอาถ่าน” ข้ึน ภายในฐานฅนเอาถ่านมี กิจกรรมการเรียนรู้ คือ 1. เตาเผาไหม้สมบูรณ์แบบ พัฒนามาจากเตาดินและเตาอิฐให้ผลผลิตถ่านออกมา คุณภาพดี สามารถรองรับความร้อนได้มากถึง 1,000 องศาเซลเซียส 2. เตาเผาถ่าน 200 ลิตรแบบไร้ควัน

๑๕ เป็นทางเลือก ที่สร้างได้ง่าย ลงทุนน้อย สามารถเคลื่อนย้ายได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ การป้ันถ่านใน รูปแบบตา่ ง ๆ ท่ีใหค้ วามรอ้ นสงู ต่อเนอ่ื ง และยาวนาน ซึ่งกิจกรรมการเผาถ่านด้วยถัง 200 ลิตรนั้น เม่ือได้ถ่านจากการเผาแล้ว ศพช.ลาปาง นาถ่านที่ได้มา ใช้ประกอบกจิ กรรม “หาอยู่ หากนิ ” เพือ่ ใช้ในการหุงต้ม ประกอบอาหารตา่ ง ๆ แสดงให้เห็นถึงการนาผลิตผล ทเี่ กดิ ข้ึนมาใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ รงิ 6.ฐำนฅนรกั ษส์ ุขภำพ : ร่างกายของคนเรานน้ั ธรรมชาตสิ รา้ งมาสาหรับใหอ้ อกแรงใช้งาน มิใช่ให้อยเู่ ฉย ๆ ถ้า ใช้แรงให้พอเหมาะพอดีโดยสม่าเสมอ ร่างกายก็เจริญแข็งแรง คล่องแคล่ว และคงทนย่ังยืน ถ้าไม่ใช้แรงเลย หรือใช้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะเจริญแข็งแรงอยู่ไม่ได้ แต่จะค่อย ๆ เส่ือมไปตามลาดับ ดังน้ัน เราต้องดูแล ร่างกายและจิตใจใหม้ ีสุขภาพท่ดี อี ยเู่ สมอ กจิ กรรมในฐานฅนรกั ษ์สุขภาพ ได้แก่ กิจกรรมการพอกหน้า เพอ่ื ดูด สารพิษตกข้าง กิจกรรมการแช่มือแช่เท้าด้วยสมุนไพร เพื่อผ่อนคลายกล้ามเน้ือและเพ่ือสุขภาพ การทาน้าปั่น เพือ่ สขุ ภาพ การทาน้าใบย่านางใบเตย และการทา/ดื่มน้าคลอโรฟลิ ล์ 7. ฐำนฅนมีน้ำยำ : เนื่องจากในการดาเนินชีวิตบนวิถีแหงเศรษฐกิจพอเพียงนั้นการลดรายจ ายของ ครอบครัวเปนหนึ่งสิ่งท่ีสาคัญ โดยเฉพาะรายจายสาหรับซ้ือน้ายาหรือสารทาความสะอาด เชน สบู น้ายาลาง จาน น้ายาซักผัก หรือทาความสะอาดตาง ๆ น้ัน เปนรูร่ัวทางการเงินท่ีสาคัญ ซึ่งทาใหแตละบานตองจายเงิน ไปเปนจานวนไมนอย การทาน้ายาเอนกประสงคดวยวิธีการงายๆ เพ่ือใชเองและอุดรูรั่วทางการเงินของ ครอบครัว ดวยวัสดุท่ีเหลือจากการกินหรือเหลือใช และหาไดงายในทองถ่ิน จึงถือเปนทางเลือกแห่งวิถีการ พึ่งตนเองทีช่ าญฉลาดของครอบครัวยคุ ใหม่

๑๖ กิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ การทาน้ายาอเนกประสงค์ , การทาสบู่เหลวมะขามน้าผึ้งบารุงผวิ , การทา ตะไคร้หอมไล่ยุง และการทาน้าหมักรสเปรี้ยวจากผลไม้ ซ่ึงใช้เป็นส่วนผสมสาหรับการทาน้ายาอเนกประสงค์ น้าท่ีได้จากการหมักผลไม้รสเปร้ียวมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยสลายไขมัน หรือคราบสกปรกได้ดี และยังมีกลิ่นหอม ของผลไม้หรือกลิน่ หอมจากเปลอื กผลไม้ที่ใชห้ มักอกี ดว้ ย น้าหมัก รสเปรย้ี ว จากผลไม้ ตะไคร้หอมไลย่ ุง 8. ฐำนฅนติดดิน : การนาดนิ ที่มอี ยทู่ ่วั ไปตามธรรมชาติมาใช้ในการสร้างบ้านดนิ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสาหรับ คนอยากมีบ้านที่ไม่ต้องใช้เงินจานวนมหาศาล ก็สามารถสร้างบ้านของตัวเองได้ ขอเพียงมีท่ีดิน กาลังกาย และกาลงั ใจ การสร้างบ้านดิน คือบ้านจากธรรมชาติที่สามารถหาวัสดุจากรอบข้างนามาสร้างเป็นบ้าน อาจจะใช้ ดินที่อยู่ข้างบ้านผสานกับแรงกาย ค่อยๆ ลงแรงสร้าง จนกลายเป็นบ้านคุณภาพ โดยใช้แรงทุนเพียงเล็กน้อย บา้ นดิน จงึ เหมาะสาหรับการลงแรงช่วยกนั สรา้ ง อาจใช้ เวลาว่างในช่วงวนั หยุดมาร่วมด้วยชว่ ยกัน การทาบ้านดิน หนึ่งหลังยังช่วยสร้างบรรยากาศการทางานร่วมกันให้ อบอุ่นอกี ด้วย เทคนิคการสร้างบา้ นดินมี 6 ชนิด แบบป้ัน (cob) ใช้ดินเหนียวผสมกับฟางข้าว ป้ัน หรอื ก่อเปน็ ผนังขนึ้ เรื่อย ๆ แบบอิฐดิบ (adobe brick) ใช้ดินผสมกับเส้นใย เช่น แกลบ เศษหญ้า หรือฟางข้าว นามาผสมกับโคลน แล้วป้ันเป็นอิฐดิน ก่อนก่อเป็นฝาผนังบ้าน โดยใช้โคลน เป็นตวั ประสาน แบบโครงไม้(wattle & daub) ทาโครงสร้างเป็นไม้ สานกันเป็นตาราง และนาฟางชุบด้วยโคลนโปะ เป็นฝาผนัง แบบใช้ดินอัด (rammed earth) ก่อสร้างผนัง โดยทาแบบพิมพ์ แล้วนาดินเหนียวอัดเป็นฝาผนัง (ไม่คอ่ ยเหน็ วธิ ีนี้ในเมอื งไทย)

๑๗ แบบใช้ท่อนไม้หรือหิน (cord wood & stones) สร้างฝาผนังโดยการนาเศษไม้หรือหินมาก่อเป็นฝา ผนงั บา้ น ใช้ดนิ เปน็ ตวั ประสาน และฉาบดว้ ยดิน อีกชั้นหนงึ่ แบบกระสอบทราย (sand bag) ใช้กระสอบทรายใส่ทราย ให้เต็มนามาวางเรียง อาจจะใช้ลวดหนาม เปน็ ตัวชว่ ยยึด ไมใ่ หก้ ระสอบเลือ่ นไหล และฉาบด้วยดินอกี คร้ัง 9.ฐำนฅนรักษ์แม่โพสพ : “ข้าวเป็นพืชท่ีหล่อเลี้ยง เผ่าพันธ์ุคนไทยมานับตั้งแต่โบราณกาล” มีการ คน้ พบหลักฐานทีช่ ี้ว่า ได้เกดิ ภมู ปิ ัญญาการปลูกข้าว ด้วยการปักดาในวัฒนธรรมบ้านเชียงซึ่งมีอายุไม่ต่า กวา่ 5,000 ปี และจาการตรวจพบเมล็ดขา้ วเก่าแก่ อายุมากกว่า 6,000 ปี ผสมอยู่ในภาชนะดินเผาที่ โนนทานก จังหวัดขอนแก่น คนไทยผูกพัน นับถือ และบูชาข้าวนามเรยี กขานว่า “แม่โพสพ” เทพธิดา ประจาต้นข้าว ซึ่งเช่ือว่าคอยช่วยเหลือชาวนาให้ สามารถทานาได้พอกิน และพอสาหรับจุนเจือเพื่อนมนุษย์ จากการทานาในอดีต ที่แทบจะไม่ ตอ้ งใช้เงินทุน ชว่ งระยะเวลาทีผ่ ่านมาถงึ ปจั จบุ ัน ต้นทุนการผลติ ข้าวเฉลย่ี เพิม่ สูงขึ้น ท้งั ค่าป๋ยุ และคา่ ยา จากคากล่าว ทีว่ ่า “ในนา้ มปี ลา ในนามีขา้ ว” กลบั กลายเปน็ ผนื นาที่แหง้ แล้งไรซ้ งึ่ ชีวิตภาพของชาวนาท่ีเคยถูกยกย่องว่าเป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” กลับเป็นภาพของผู้ท่ีเป็นหนี้สินล้นตัว ข้าวที่เรากินทุกวันนี้ยังเรียกว่า “ข้าวไทย” อย่หู รอื ไม่ กจิ กรรมฐานฅนรักษแ์ ม่โพสพศูนย์ศึกษาและ พฒั นาชมุ ชนลาปางไดส้ นบั สนนุ การทา “นา อนิ ทรีย์” เปน็ กิจกรรมทดี่ าเนนิ การแล้วเหน็ ผลได้ จริง ไดผ้ ลผลิตข้าวท่ีปลอดสารพิษ , การคัดเมล็ด พันธ์ุขา้ ว ซึ่งเปน็ การลดตน้ ทนุ การผลติ , การ ทดสอบความงอกเมลด็ พนั ธขุ์ ้าว ชาวนาจะได้ เมลด็ พันธข์ุ ้าวทม่ี เี ปอร์เซน็ ต์ความงอกไม่ตา่ กว่า 80% ไปหว่านลงในนา , การทาขา้ วกล้องงอก ไร้มอด เป็นการแปรรูปข้าวกล้องงอก เพ่ือเพิ่มมูลค่าของข้าวกล้อง , เพ่ิมคุณค่าของข้าวกล้องงอกให้มีสาร GABA เพ่ิมขึ้น และเพ่ือให้สามารถเก็บรักษาข้าวกล้องงอกได้นาน ไม่มีมอดมารบกวน ไม่มีกลิ่นหืน และ สามารถเกบ็ รกั ษาไดง้ า่ ย ใช้ถุงพลาสตกิ ธรรมดาปดิ ให้สนิท ไมต่ ้องใชถ้ ุงสุญญากาศ

๑๘ ผลกำรเรียนรู้โดยสรุปผู้เข้ารับการ อ บ ร ม ไ ด้ เ รี ย น รู้ แ ล ะ เ ห็ น ถึ ง ส ภ า พ พ้ื น ท่ี ก า ร ป รั บ กิจกรรมในแต่ละภูมิสังคม รวมถึงเกิดกระบวนการ เรียนรู้ ถาม ตอบ กับวิทยากรประจาฐานเรียนรู้ในแต่ ละฐาน เกิดเป็นองค์ความรู้ให้กับคณะผู้เข้ารับการ อบรม และเกิดผลตอบรับท่ีดีในการให้ผู้เข้ารับการ อบรมลงพ้ืนที่ศึกษาดูงานเรียนรู้ตาราบนผืนดิน จาก พ้นื ทตี่ ้นแบบ ศพช.ลาปาง ซง่ึ จะสามารถนาไปปรับใช้/ ต่อยอดในพนื้ ท่ขี องแต่ละคนได้ผูเ้ ขา้ อบรมแต่ละกลุ่ม นาเสนอผลจากการสารวจและวัตถุท่ีหยิบมาจากพ้ืนท่ี การได้เรียนรู้จากกิจกรรมฐานเรียนรู้ทั้ง 9 ฐาน เช่น การนาเศษวัสดุจากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการห่มดินหรือนามาทาปุ๋ยหมักซึ่งนาไปใช้ต่อยอดในการ ห่มดนิ การนาเศษก่งิ ไมท้ ี่เกิดจากการตดั แต่งต้นไม้ไปประกอบเปน็ วัตถดุ ิบการเผาถ่านและยังนามาใชต้ ่อในการ หุง ต้ม ประกอบอาหารได้อีกด้วย การทานาในรูปแบบกสิกรรมธรรมชาติ เพ่ือทาให้เกิดคากล่าวที่ว่า “ในน้ามี ปลา ในนามีขา้ ว” ข้ึนมาอกี คร้งั การปลกู ไม้ 5 ระดบั และการปลูกปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างตามแนวคิด และทฤษฎีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ร.9 ในด้านการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ การบริหารจัดการดนิ และน้า(ขุดคลองไส้ไก่) ทาให้เกิดการกระจายน้า และการกักเก็บน้าในพ้ืนที่ได้ดีข้ึน การเรียนรู้ แหล่งที่มาของพลังงานทดแทนรวมถึงการใช้ พลังงานทดแทนและสามารถทาขึ้นเองได้ การดูแล สุขภาพตนเองและการทาน้ายาอเนกประสงค์เพ่ือ ลดต้นทุนให้กับครัวเรือน การสร้างบ้านดินท่ี สามารถทาข้ึนเองและใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็น องค์ประกอบ และการไดศ้ กึ ษาเรียนรูก้ ารนาเกษตร ทฤษฎีใหม่การบริหารจัดการดินและน้าประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล ในพื้นที่ต้นแบบของ ศพช.ลาปาง ซึ่งมีการแบ่งพ้ืนท่ีทาโคก หนอง นา โมเดลตามแบบ มาตรฐานในรูปแบบ 1 ไร่ และมาตรฐานรูปแบบ 3 ไร่ การอนุรักษ์ดินและการอนุรักษ์น้าและ ใช้ ประโยชน์สงู สดุ ในพ้นื ที่ต้นแบบของ ศพช.ลาปาง (โคก หนอง นา โมเดล)

๑๙ ผลประเมินรำยวชิ ำ 2. เรียนรตู้ ำรำบนดนิ ช่อื วิทยากร นายชาญณรงค์ จิรขจรกลุ และทีมวทิ ยากร ศพช.ลาปาง สว่ นที่ ๑ ความคดิ เหน็ เก่ียวกับเน้ือหาวิชา หวั ข้อ ระดับความคดิ เห็น คา่ เฉล่ีย การแปล ผล ๑.การบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของรายวชิ า มากทสี่ ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทส่ี ุด ๒.ความชดั เจนของเนอ้ื หาวิชา 4.34 มาก 190 234 31 0 0 4.36 มาก (41.7%) (51.3%) (6.8%) (0.0%) (0.0%) 202 219 35 0 0 (44.3%) (0.0%) (48%) (7.7%) (0.0%) ๓.ความรู้ ทกั ษะ ท่ไี ดร้ บั เพิ่มเตมิ จากวชิ าน้ี 201 219 35 0 0 4.36 มาก (44.1%) (48%) (7.7%) (0.0%) (๐.0%) ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ 227 195 34 0 0 4.42 มาก (49.8%) (42.8%) (7.5%) (0.0%) (0.0%) ภำพรวม 4.37 มำก จากตารางที่ ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 456 คน แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเนื้อหาวิชา เรียนรู้ตาราบนผืนดิน โดยภาพรวมอย่ใู นระดับ มาก ค่าเฉล่ยี 4.37 โดยแยกพจิ ารณาได้ ดงั น้ี 1. การบรรลุวตั ถุประสงคข์ องรายวิชา ระดบั มาก ค่าเฉล่ยี 4.34 2. ความชัดเจนของเนอ้ื หาวชิ า ระดับมาก ค่าเฉลย่ี 4.36 3. ความรู้ ทกั ษะ ท่ีได้รับเพิ่มเตมิ จากวชิ าน้ี ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.36 4. ความสามารถนาไปประยุกต์ใช้ ระดับมาก ค่าเฉล่ีย 4.42 สว่ นท่ี ๒ ความพงึ พอใจต่อวทิ ยากร หัวข้อ ระดับความพึงพอใจ คา่ เฉลีย่ การแปล ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย มากท่ีสดุ มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทส่ี ุด ๒.เทคนิคและวิธกี ารทใ่ี ชใ้ นการถ่ายทอดความรู้ 4.42 มาก ๓.การเปิดโอกาสใหซ้ ักถาม แสดงความคิดเหน็ 222 207 27 0 0 4.36 มาก ๔.การสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ (48.7%) (45.4%) (5.9%) (๐.0%) (0.0%) ๕.บุคลิกภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง นา้ เสียง ฯลฯ) 4.35 มาก 200 224 32 0 0 (43.9%) (49.1%) (7%) (0.0%) (0.0%) 4.34 มาก 4.43 มาก 200 221 33 2 0 (43.9%) (48.5%) (7.2%) (0.4%) (๐.0%) ๔.38 มำก 198 220 37 1 0 (43.4%) (48.2%) (8.1%) (0.2%) (๐.0%) 225 204 27 0 0 (49.3%) (44.7%) (5.9%) (0.0%) (๐.๐%) ภำพรวม

๒๐ จากตารางที่ 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 456 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชา เรียนรู้ตาราบนผืนดิน โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ค่าเฉลย่ี 4.38 โดยแยกพิจารณาเปน็ รายประเด็น ไดด้ ังนี้ 1.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.42 2.เทคนิคและวิธกี ารทใ่ี ชใ้ นการถา่ ยทอดความรู้ ระดับมาก คา่ เฉลย่ี 4.36 3.การเปิดโอกาสให้ซกั ถาม แสดงความคดิ เหน็ ระดบั มาก ค่าเฉล่ีย 4.35 4.การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ระดบั มาก คา่ เฉล่ีย 4.34 5.บุคลิกภาพ (การแต่งกาย ท่าทาง นา้ เสียง ฯลฯ) ระดับมาก คา่ เฉลยี่ 4.43 ส่งิ ทท่ี ำ่ นประทบั ใจในวิทยำกรทำ่ นน้คี ือ -สนุกเฮฮาอารมณ์ดี -เข้าใจถึงแกน่ ความรู้ -มคี วามสภุ าพและเป็นกนั เอง -จริงใจในการให้ความรู้ -พูดจาฉะฉาน ชดั เจนดี -วิทยากรส่อื สารเข้าใจได้ง่าย เนอ้ื หากระชับ -ตอบข้อซักถามได้กระจ่าง ส่ิงท่ีวิทยำกรควรปรบั ปรุงคือ –เพ่มิ รปู ภาพ -ปรบั ปรงุ เนื้อหาให้ทันสมัย -ระยะเวลาในการอบรม -ควรมีกจิ กรรมระหวา่ งบรรยาย ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม อืน่ ๆ -เวลาในการเเนะนา ให้ขอ้ มูลน้อยไป -ระยะเวลาในการเข้าประจาฐานสนั้ การเรียงลาดับของแต่ละฐานควรอยใู่ กลก้ ัน เพื่อลดระยะเวลาและความ เหนื่อยล้าของผเู้ ข้ารว่ มอบรมโดยเฉพาะผูส้ งู อายุ

๒๑ 3.วิชำ เขำ้ ใจ.. เข้ำถึง.. พัฒนำ..ศำสตร์พระรำชำ..กับกำรพัฒนำที่ย่งั ยืน วิทยำกรหลกั นางอัญชลี ป่งแก้ว นกั ทรัพยากรบุคคลชานาญการ ผ้รู ับผดิ ชอบวิชำ นางอัญชลี ปง่ แกว้ นกั ทรัพยากรบุคคลชานาญการ วัตถุประสงค์ เพ่ือให้ผูเ้ ข้าอบรมมคี วามรู้ ความเข้าใจ หลักปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพยี ง หลกั การทรงงาน “เข้าใจ เขา้ ถงึ พัฒนา ของ ร.9 และมีความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง โคก หนอง นา โมเดล ระยะเวลำ จานวน 2 ช่ัวโมง ขอบเขตเนือ้ หำ 1. ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2. หลกั การทรงงาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ของ รัชกาลท่ี 9 3. ศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาประเทศอยา่ งย่ังยืน 4.การบริหารจดั การนา้ และพ้ืนท่ีดว้ ยโคกหนองนาโมเดล เทคนคิ /วธิ ีกำร 1. บรรยายประกอบสื่อ PowerPoint และคลิปวดี ีโอ เข้าใจ.. เข้าถึง.. พัฒนา.. 2. แบ่งกลมุ่ ระดมสมอง ศาสตร์พระราชา.. 3. นาเสนอ แลกเปล่ียน สรปุ ผลเรียนรู้ กับการพัฒนาท่ียั่งยนื ข้นั ตอน/กำรดำเนินกำร วิทยากรแนะนาตัว เตรยี มความพรอ้ มในการเรียนรู้ ผา่ นการขยับมือฝึกสมองซีกซ้ายขวา ทา ข้อตกลงในการเรยี นรรู้ ว่ มกันโดยยึดหลัก สุ จิ ปุ ลิ บอกวัตถปุ ระสงค์ของวชิ าและกระบวนการ ทบทวน ความรู้ความเข้าใจ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเปดิ คลิปวีดีโอของแฝด จุม๋ จ๋มิ ให้ชม วทิ ยากรให้ดูคลิปวดี โี อคืนชีวติ ให้แผ่นดินเพื่อพ่อของเรา เพื่อบอกถงึ ที่มา ของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงและหลักการทรงงานของในหลวงรชั กาลที่ 9 เมอื่ จบการดวู ิดีทศั น์ ได้ตั้งคาถามชวนคยุ แลกเปล่ียนเพื่อทบทวนประเด็นการเรียนรู้ สรปุ ร่วมกันความเป็นมาของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งและหลักการทรงงาน เขา้ ใจเข้าถึงพฒั นา

๒๒ วทิ ยากรบรรยาย ด้วยสอ่ื Power Point ถึงสถานการณว์ ิกฤตตา่ งๆท่ีเกิดขึ้นบนโลก ส่งผล กระทบถึงประเทศ หมู่บ้านและชุมชน ยกตวั อยา่ งประกอบ เรอ่ื งภัยแลง้ จากประเทศจีน การสรา้ งเข่ือนท่ี ส่งผลตอ่ ภูมิภาคลมุ่ นา้ โขงทั้งหมด การตัดไมท้ าลายป่า ทสี่ ่งผลตอ่ การเกดิ วิกฤตภัยแล้ง นา้ ทว่ มในประเทศ ไทย ปญั หาเรื่องฝ่นุ ละออง และ โรคภัยตา่ งๆทคี่ นไทยต้องเผชิญอยใู่ นปจั จุบนั รวมทง้ั เรื่องสถานการณ์การ แพร่ระบาดของเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 วิทยากรนาเสนอ ส.ค.ส.พระราชทานสวสั ดปี ีใหม่ของรชั กาลที่ 9 ทีเ่ ป็นการเตือนประชาชนคน ไทยถึงวิกฤต 4 ด้าน ที่ทรงเตือนให้คนไทยยึดหลกั สามัคคเี ปน็ พลงั ค้าจุนแผน่ ดนิ ไทย วทิ ยากรใช้สอื่ PowerPoint ใหเ้ หน็ ภาพการทรงงาน ของรัชกาลที่ 9 ตลอด 70 ปี ทค่ี รองราชย์ เกดิ โครงการพระราชดาริ กวา่ 4,000 โครงการ บทเรยี นความรูน้ วตั กรรมตา่ งๆท่ี รชั กาลที่ 9 ไดท้ รงทดลองคดิ ค้นเป็นตวั อยา่ งใหป้ ระชาชนคนไทย วทิ ยากรตั้ง คาถามใหค้ ดิ ในขณะที่ทั่วโลกต่างยอมรบั เห็นความสาคญั ของ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงและนาไปสู่การปฏบิ ตั ิ ทรงได้รับรางวัลกวา่ 20 รางวลั ระดับโลก ตงั้ คาถามว่าทาไมเราไม่ถอดบทเรียนจากสง่ิ ท่ี รัชกาลที่ 9 พระราชทานและสร้างตัวอยา่ งความสาเร็จด้วยการลงมือทา วิทยากรนาพระราชดารัสของในหลวงรชั กาลที่ 9 เรอื่ ง ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง ใหผ้ ูเ้ ขา้ อบรมทุกคนอ่านพระบรมราโชวาทและพระราชดาริ ในเรือ่ งของการ พัฒนาประเทศและทฤษฎใี หม่พรอ้ มกนั อธิบายความหมายของศาสตร์พระราชาและทฤษฎีใหม่ พร้อม ยกตวั อย่าง เปรยี บเทยี บระหว่างทฤษฎใี หม่และทฤษฎีเก่าในเรื่องการบรหิ ารจัดการน้า ตวั อย่างการจดั การ ลุ่มน้าจากภผู าสูม่ หานที ทฤษฎีบนั ได 9 ขน้ั หลักการออกแบบพนื้ ทด่ี ว้ ยภมู ิสงั คม เชื่อมโยงถงึ การประยุกต์ เกษตรทฤษฎใี หม่ สู่โคกหนองนาโมเดล วทิ ยากรอธบิ ายความหมายของโครงการโคกหนองนาโมเดลและการบริหารจัดการพ้นื ทด่ี ว้ ย หลกั การโคกหนองนาโมเดล อธิบายถึงปัจจยั หลัก 5 อยา่ ง สาคัญทต่ี ้องคานึงถึงในการจดั การพ้ืนทีโ่ คกหนอง

๒๓ นาโมเดล เรอื่ งดนิ นา้ ลมไฟและคน พร้อมตัวอยา่ งประกอบ การเลือกตาแหนง่ หนองน้า การจัดกิจกรรมท่ี ตอ้ งคานึงถึงทิศทางลมและดวงอาทิตย์ ตลอดถึงการออกแบบพนื้ ท่ใี หเ้ หมาะสมกับความต้องการของคน หรอื เจา้ ของแปลงและเหมาะสมกับจานวนคนท่ีอยอู่ าศยั เปิดคลิปวดี โี อเร่ืองการบริหารจัดการนา้ ดว้ ยโคกหนองนาโมเดล ท่ีเลา่ เรอ่ื งโดยอาจารย์ยักษ์ ดร.ววิ ัฒนศ์ ัลยกาธร ประธานมูลนิธิกสกิ รรมธรรมชาติ แลว้ มอบประเดน็ สรุปบทเรียน 2 ข้อ 1. ทา่ นไดเ้ รยี นรู้ อะไร อย่างไร 2. ทา่ นจะนาความร้ทู ีไ่ ด้ไปปรับใช้อย่างไรบ้าง (กบั ตวั เองครอบครัวหม่บู ้านชมุ ชน) ให้กลมุ่ สี ระดมสมองสรปุ ในกระดาษฟลิปชารท์ ในเวลา 15 นาทีและนาเสนอกลุ่มละ 5 นาที วทิ ยากรสรปุ เติมเต็มเช่อื มโยงเนอ้ื หา วิชาทงั้ หมดดว้ ยสื่อ PowerPoint ในประเดน็ เร่อื งปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงแนวคิดและทฤษฎี การพฒั นาของ ร. 9 และพระราชดารัส เน่ือง ในวันเฉลมิ พระชนมพ์ รรษา วันศกุ ร์ที่ 4 ธนั วาคม 2541 เศรษฐกจิ พอเพยี งและทฤษฎใี หม่สอง อย่ำงนจี้ ะทำควำมเจรญิ แกป่ ระเทศไดแ้ ตต่ ้อง มคี วำมเพียรแล้วต้องอดทนต้องไมใ่ จรอ้ น ต้องไมพ่ ูดมำก และต้องไม่ทะเลำะกัน สรปุ ผลกำรเรียนรู้ จากการแบ่งกลุม่ ระดมสมอง แลกเปลย่ี น ของผู้เข้ารบั การอบรมแต่ละกลมุ่ พบว่าให้ ความสนใจในกระบวนการกลมุ่ โดยมผี นู้ ากลมุ่ และใหส้ มาชิกในกลุ่มช่วยกันแสดงความ คิดเห็น ชว่ ยกันสรปุ ผลตามประเด็นการเรียนรู้ หลายๆคนเขียนสรปุ ผ่านกระดาษ post it และมกี าร มอบหมายตวั แทนนาเสนอผล

๒๔ สรุปผลกำรเรยี นรู้และกำรประยกุ ต์ใช้ สรปุ ประเดน็ กำรเรียนรู้ สรปุ กำรนำไปประยกุ ต์ใช้ -ศาสตร์พระราชา -นาความรไู้ ปปรับใช้ในการดาเนินชวี ิตประจาวัน -เศรษฐกจิ พอเพยี ง -ในการบรหิ ารพน้ื ทก่ี ารเกษตร -ทฤษฎบี นั ได 9 ข้นั -ออกแบบการใชน้ า้ ใหเ้ หมาะสมกับแปลงท่ีทา -ความรูเ้ ร่ืองโคกหนองนา -ปรบั ใชใ้ นการออกแบบโคกหนองนาโมเดล -การวเิ คราะห์ปัจจยั การออกแบบพน้ื ท่ีดินน้าลมไฟ -นาแนวความคดิ มาเสรมิ สร้างกาลงั ใจในการทางานได้ และคน -พัฒนาการทางานแบบเปน็ ข้ันเปน็ ตอนใหเ้ หมาะสมกบั -ความรู้เรื่องภูมิศาสตรส์ ังคม ภมู ศิ าสตร์และภมู สิ ังคม -เกษตรทฤษฎใี หม่ -ออกแบบพื้นทโ่ี ครงการให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะ -การพฒั นาอย่างเป็นขั้นตอนและตามกาลัง กายภาพและชุมชน -การบริหารจัดการนา้ และพ้นื ทีต่ ามหลกั กสิกรรม -นาความรปู้ รัชญาชาวบ้านทีม่ อี ยู่แล้วมาประยกุ ต์ใช้ใหม่ -การบรหิ ารจัดการทดี่ นิ ทากินและที่อยอู่ าศัย ให้แตกตา่ งจากเดิม -ความแตกตา่ งระหวา่ งทฤษฎีเกา่ กับทฤษฎีใหม่ -ประยุกต์ในการทาการเกษตรแบบผสมผสาน -ปจั จยั สาคญั ในการทาโคกหนองนาโมเดล -นาความรู้ไปประกอบอาชพี -เรยี นรู้วธิ แี ก้ไขปญั หา -ถา่ ยทอดความรู้ใหห้ ม่บู ้านครัวเรือนให้ดีขนึ้ -ได้เรยี นรู้หลกั การและทฤษฎีในการปฏบิ ัติ -ความรู้ในการกักเกบ็ น้าให้มีน้าใช้ไดต้ ลอดทง้ั ปี -เรียนรู้ดา้ นภมู ศิ าสตร์และสงั คม -นาความรไู้ ปปรับใช้กับครอบครวั และชมุ ชนเพ่ือการ -แนวทางการปลกู ต้นไม้ อนุรักษ์สภาพแวดล้อมดนิ น้าลมไฟเพ่ือให้เกิดความ -แนวทางการขุดบ่อ ขุดหนองน้า มน่ั คงและยัง่ ยนื ในครอบครวั และสังคม -เรียนรู้หลกั การเขา้ ใจเข้าถึงพัฒนาศาสตรพ์ ระราชา กบั การพัฒนาทย่ี ั่งยืน -การพ่งึ พาตนเองให้พอมีพอกินพอใช้พอร่มเยน็ -เรยี นรู้การออกแบบพื้นท่ี

๒๕ ผลประเมนิ รำยวิชำ 3. เขำ้ ใจ เขำ้ ถงึ พฒั นำ ศำสตรพ์ ระรำชำ กบั กำรพัฒนำ ท่ีย่งั ยนื ช่อื วิทยำกร นางอัญชลี ป่งแกว้ นกั ทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ ส่วนท่ี ๑ ความคดิ เห็นเกีย่ วกับเนือ้ หาวิชา หัวขอ้ ระดบั ความคดิ เห็น ค่าเฉลีย่ การแปล ผล ๑.การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของรายวิชา มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทส่ี ดุ 4.39 มาก 212 214 29 1 0 (46.5%) (46.9%) (6.4%) (0.2%) (0.0%) ๒.ความชัดเจนของเนือ้ หาวิชา 222 200 33 1 0 4.41 มาก (48.7%) (43.9%) (7.2%) (0.2%) (0.0%) ๓.ความรู้ ทักษะ ทีไ่ ดร้ บั เพ่ิมเติมจากวชิ าน้ี 202 224 28 1 0 4.37 มาก (44.3%) (49.1%) (6.1%) (0.2%) (๐.0%) ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ 204 218 33 1 0 4.37 มาก (44.7%) (47.8%) (7.2%) (0.2%) (0.0%) ภำพรวม 4.38 มำก จากตารางที่ ๑ ผู้ตอบแบบประเมนิ จานวน 456 คน แสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับเนื้อหาวิชา เข้าใจ เขา้ ถงึ พัฒนา ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ค่าเฉลี่ย 4.38 โดยแยกพิจารณา ได้ ดงั นี้ 1. การบรรลวุ ัตถปุ ระสงคข์ องรายวิชา ระดับมาก ค่าเฉลยี่ 4.36 2. ความชัดเจนของเนอื้ หาวิชา ระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 4.38 3. ความรู้ ทกั ษะ ทีไ่ ด้รบั เพ่ิมเติมจากวชิ านี้ ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.33 4. ความสามารถนาไปประยุกต์ใช้ ระดบั มาก ค่าเฉล่ยี 4.39 ส่วนที่ ๒ ความพึงพอใจต่อวิทยากร หัวข้อ ระดับความพงึ พอใจ คา่ เฉล่ยี การแปล 4.43 ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย มากท่ีสดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่สี ุด ๒.เทคนคิ และวธิ กี ารทีใ่ ชใ้ นการถา่ ยทอดความรู้ มาก ๓.การเปดิ โอกาสให้ซกั ถาม แสดงความคดิ เห็น 225 204 26 1 0 ๔.การสรา้ งบรรยากาศในการเรียนรู้ (49.3%) (44.7%) (5.7%) (๐.2%) (0.0%) 4.38 มาก ๕.บคุ ลกิ ภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง นา้ เสยี ง ฯลฯ) 204 225 26 1 0 (44.7%) (49.3%) (5.7%) (0.2%) (0.0%) 219 203 32 2 0 4.40 มาก (๐.0%) 4.36 มาก (48%) (44.5%) (7%) (0.4%) 4.43 มาก 0 200 225 28 2 (๐.0%) (43.9%) (49.3%) (6.1%) (0.4%) 0 224 204 26 1 (๐.0%) (49.1%) (44.7%) (5.7%) (๐.2%) ภำพรวม ๔.38 มำก

๒๖ จากตารางท่ี 2 ผูต้ อบแบบประเมนิ จานวน 456 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชา เขา้ ใจ เขา้ ถงึ พัฒนา ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาอย่างย่ังยืน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ค่าเฉล่ีย 4.38 โดยแยกพิจารณา เป็นรายประเด็น ไดด้ งั น้ี 1.ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย ระดบั มาก ค่าเฉลีย่ 4.43 2.เทคนคิ และวิธีการท่ีใชใ้ นการถ่ายทอดความรู้ ระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 4.38 3.การเปิดโอกาสใหซ้ ักถาม แสดงความคดิ เหน็ ระดับมาก คา่ เฉลยี่ 4.40 4.การสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ ระดับมาก ค่าเฉลย่ี 4.36 5.บคุ ลกิ ภาพ (การแต่งกาย ท่าทาง นา้ เสียง ฯลฯ) ระดับมาก ค่าเฉลย่ี 4.43 สิ่งท่ีท่ำนประทบั ใจในวิทยำกรท่ำนนค้ี อื -พูดเก่ง สรา้ งบรรยากาศไดด้ ี -ใหค้ าตอบชัดเจน ความรู้แน่น -เพิ่มทักษะและอธิบายได้ดี -สนุกสนาน เข้าใจเนื้อหาดี -ใหค้ วามรู้ไดเ้ ข้าใจดี แต่งกายสภุ าพ -ประทบั ใจทุกคน เข้าถงึ ผู้อบรม สงิ่ ท่ีวทิ ยำกรควรปรบั ปรุงคือ -การบริหารจดั การเวลา -ไมค่ วรเกินเวลาในแต่ละกิจกรรม -ควรมีอุปกรณม์ ากกว่าน้ี ข้อเสนอแนะเพ่มิ เติม อน่ื ๆ -ใหก้ ระตุ้นผู้อบรมบ่อยๆ -ปรับเวลาใหต้ รงกบั ตาราง

๒๗ 4.วชิ ำ กำรแปลงปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี งสกู่ ำรปฏิบตั แิ บบเป็นข้นั เป็นตอน วิทยำกรหลัก นำยสำยณั ห์ ฉตั รแกว้ หัวหนำ้ สำนักปลัดองค์กำรบรหิ ำรส่วนตำบลวอแก้ว ผรู้ บั ผดิ ชอบวิชำ วำ่ ที่ ร.ต.ชัยณรงค์ บัวคำ นักทรัพยำกรบคุ คล วัตถุประสงค์ เพือ่ ใหผ้ ู้เขา้ รับการฝึกอบรมไดม้ ีความรู้ ความเข้าใจ แนวการแปลงปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง สูก่ ารปฏบิ ตั ิแบบเป็นขัน้ เป็นตอน สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในพ้ืนท่ีการทางานได้ ระยะเวลำ 2 ชัว่ โมง ประเด็น/ขอบเขตเนอื้ หำ - ความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง - การแปลงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่กู ารเปน็ ปฏบิ ัติ - กระบวนการในการทาแบบเป็นขนั้ เป็นตอน เทคนคิ /วิธกี ำร 1. บรรยายประกอบสอ่ื PowerPoint 2. แลกเปลีย่ น ตอบข้อซักถาม สรปุ ผลเรียนรู้ สรุปเนื้อหำวิชำ/ผลกำรเรยี นรู้ วิทยากรบรรยายแลกเปล่ียนประสบการณ์ การขับเคล่ือนงานโดย นาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในพื้นที่ตาบลวอแก้ว โดย การแปลงจากทฤษฎีสู่การปฏิบัติแบบเป็นข้ันเป็นตอน และยกตัวอย่าง ประกอบ กรณีศกึ ษาของพ้นื ท่ีองค์การบริหารสว่ นตาบลวอแกว้ อาเภอห้าง ฉัตร จังหวัดลาปาง ประเด็นเน้ือหา ในการบรรยายและเล่าประสบการณ์ ดงั น้ี ศึกษำพื้นฐำนบริบทเดิมของพนื้ ทีต่ ำบลวอแก้ว (คน้ หำทุนตวั เอง) บริบทของพ้ืนที่ตาบลวอแก้ว เป็นพื้นท่ีเกษตรกรรม มีการทาเกษตรเต็มพื้นที่ 100 % และยังเป็น แหล่งต้นน้าลาธาร อยู่ติดพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล คนวัยแรงงานส่วนใหญ่ท่ีเคยออกไปทางาน นอกพื้นที่ สุดทา้ ยจะกลบั บา้ นเพื่อมาทาการเกษตร

๒๘ ปัญหาที่เกิดข้ึนในพ้ืนท่ี เดิมเป็นการทาการเกษตรเชิงเดี่ยว มีต้นทุนใน การผลิตสูง ปัจจัยการผลิตทั้งหมดเช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ต้อง ซื้อจากร้านค้าทุกอย่าง ผลผลิตที่ได้ต้องนาไปจาหน่ายให้กับพ่อค้าคน กลาง เกษตรไม่สามารถกาหนดราคาเองได้ เกิดปัญหาคือ เกษตรกรไม่ เคยคิดถึงต้นทุนการทาการเกษตรเชิงเด่ียว วิทยากรยกตัวอย่างเช่น ราคากล้วยท่ีขายปลีกในร้านสะดวกซื้อ ในราคา 9 บาท ซึ่งแท้จริงแล้ว เกษตรกรขายได้ในราคา ใบละ 1.6 บาท หักต้นทุน 1.1 บาท คงเหลือ ใบละ 50 สตางค์เท่านนั้ เปิดเวทีค้นหำปญั หำ ควำมต้องกำรของประชำชนในพ้ืนท่ี องค์การบริหารส่วนตาบลวอแก้ว ใช้วิธีการเก็บข้อมูล คิดต้นทุนในการทาการเกษตรเชงิ เด่ียว และ คืนข้อมูลให้กับเกษตรกรได้ทราบ ทาให้เกษตรกรเห็นวงจรหนี้สินท่ีเกิดขึ้น ส่งผลให้เข้าสู่กระบวนการ เรียนรู้แบบใหม่ ปรบั การทาการเกษตรแบบใช้สารเคมีเป็นเกษตรอินทรยี ์ ซ่งึ เปน็ เร่อื งที่คอ่ นข้างยาก วิเครำะห์ปญั หำ / สำเหตขุ องปญั หำ การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในพ้ืนท่ี และสาเหตุของปัญหา น้ัน ใช้วิธีการเปิดเวทีพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ เพื่อค้นหาปัญหา ความต้องการของประชาชนในพื้นท่ีโดยตรง จะไดข้ ้อมลู ท่ถี ูกต้อง เป็น จริง และนา่ เช่อื ถือ ซ่งึ ปญั หาส่วนใหญ่ ได้แก่ ต้นทุนการผลิตมรี าคาสูง (เมล็ดพันธ์ุ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง) ราคาผลผลิตตกต่า ถูกพ่อค้าคนกลางกด ราคารับซ้ือผลผลิต ไม่มีตลาดรองรองรับ และแหล่งน้าไม่เพียงพอ เป็นตน้ กำหนดแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำ หลังจากเก็บข้อมูล วิเคราะห์ปัญหา/สาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นท่ี นามากาหนดแนวทางการ แก้ไขปัญหาโดยอง๕การบรหิ ารสว่ นตาบลวอแก้ว ได้กาหนด วิสัยทัศนอ์ งคก์ ารบริหารส่วนตาบลวอแก้ว ประชาชนมีสุขภาพที่ดี บนวิถีเกษตรอนิ ทรย์ ์ มุง่ สตู่ าบลสุขภาวะอยา่ งย่ังยืน พนั ธกิจองค์การบริหารสว่ นตาบลวอแก้ว 1. พัฒนาด้านโครงสรา้ งพน้ื ฐานให้ไดม้ าตรฐาน 2. พัฒนาตาบลใหเ้ ป็นตาบลนา่ อยู่ 3. ส่งเสริมเศรษฐกิจตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 4. พัฒนาองคก์ รใหก้ ้าวไปสอู่ งค์กรแหง่ ธรรมาภบิ าล นโยบายการบริหารงาน คานึงถึงการมีสุขภาพ พลานมัย และการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีของประชาชน โดยให้ ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทา ร่วมรับประโยชน์ ด้วยความโปร่งใส สามารถ ตรวจสอบได้ จดั ทำแผนงำนโครงกำรเพอ่ื แกไ้ ขปัญหำ องค์การบริหารส่วนตาบลวอแก้ว กาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ในการร่วมสร้างการพัฒนาการ ประกอบอาชีพขอประชาชนไว้อย่างชัด มีเป้าหมาย มแี ผนงานโครงการทด่ี าเนนิ งานอยา่ งตอ่ เน่ือง เช่น

๒๙ 1. โครงการส่งเสริมและพัฒนาความรู้แก่ประชาชนโครงการส่งเสริมการทานาข้าวอินทรีย์ต้นทุน ตา่ /ผลผลติ สงู 2. โครงการสง่ เสรมิ การแปรรูปผลผลติ ทางการเกษตร 3. โครงการส่งเสริมการเลย้ี งโคเนือ้ ตาบลวอแก้ว 4. การส่งเสริมเกษตรอนิ ทรีย์ครบวงจร ตาบลวอแกว้ โดยเฉพาะข้าวอนิ ทรยี ์ ผกั อินทรยี ์ 5. สนบั สนุนการเชอื่ มโยงตลาดสินค้าเกษตร อบต.วอแก้ว ทาหนา้ ที่ในการประสานกับ สกต. ลาปางในการทา MOU ขายขา้ วอินทรีย์ให้กับ สหกรณ์ การเกษตร ในราคาทสี่ งู กวา่ ท้องตลาด และวางแผนการรวบรวมผลผลิตเพื่อความสะดวกในการขนส่งสินค้า 6. โครงการสบู นา้ พลงั งานแสงอาทิตย์ส้ภู ัยแลง้ 7. โครงการพัฒนาน้าบาดาลเพื่อการเกษตร 8. สง่ เสรมิ อาชพี การแปรรูปข้าวกลอ้ งงอก 9. ส่งเสรมิ การปลูกผกั อนิ ทรีย์ ในโรงเรือน และคดั กรองแสง กำรแปลงปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพยี งสู่กำรปฏบิ ตั ิแบบเป็นข้นั เป็นตอน เศรษฐกิจพอเพียงเปรียบเหมือนกับบ้านท่ีแข็งแรงต้องอยู่ที่ฐานรากหรือเสาเข็ม คนเราจึงควรจะมี เสาเข็มพึ่งตนเองเปน็ พนื้ ฐาน การไปสู่ความพอเพียง ตามแนวทางศาสตร์พระราขา เน้นการเร่ิมต้นท่ีการทาเพ่ือพอกินพอใช้ พอ อยู่ และพอร่มเย็น โดยเริ่มที่ตัวเราเอง \"พอ\" ก่อน ต่อเมื่อมีเหลือแล้วจึงขยายต่อไป แบ่งเป็นข้ันพ้ืนฐาน ๔ ช้นั และข้ันก้าวหน้าอีก ๕ ชนั้ รวมเป็นบันไต ๙ ช้นั สคู่ วามพอเพียงทย่ี ง่ั ยนื เศรษฐกิจพอเพียงข้นั พื้นฐำน ขั้นที่ 1 พอกนิ ขั้นท่ี 2 พอใช้ ขน้ั ที่ 3 พออยู่ ขน้ั ที่ 4 พอรม่ เย็น เศรษฐกจิ พอเพียงขน้ั กำ้ วหน้ำ ขัน้ ที่ 5 บุญ ขั้นท่ี 6 ทาน ขน้ั ที่ 7 เกบ็ ข้ันที่ 8 ขาย ขน้ั ที่ 9 ขา่ ย 1. ข้ันต้นนำ้

๓๐ 2. ข้ันกลำงนำ้ 3. ขน้ั ปลำยนำ้ กำรก้ำวเดนิ ในแนวทำงตำบลเกษตรอนิ ทรยี ์ของตำบลวอแก้ว ภำยใต้แนวคิด 1. ฉันอยากทา 6. ฉันทาไดด้ ี 2. ฉันเรียนวิธีทา 7. ฉันขยันทา 3. ฉนั ทาไดบ้ ้างไม่ไดบ้ า้ ง 8. ฉนั เช่ยี วชาญ 4. ฉันเรยี นรู้เพิ่มเตมิ 9. ฉนั ประสบความสาเร็จ 5. ฉันคดิ ค้นพัฒนา 10. ฉนั แบง่ ปนั องค์ความรูใ้ ห้ผู้อนื่ บทสรปุ ตั้งแต่เร่ิมขับบเคล่ือนโครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ครบวงจร ตาบลวอแก้ว ในปี 2559 จนถึง ปัจจุบัน มีครัวเรือนที่เจ้าร่วมโครงการเพิ่มมากข้ึน มีพื้นท่ีเกษตรอินทรีย์เพิ่มมากข้ึน และสามารถสร้าง รายไดใ้ ห้กบั เกษตรกรในพน้ื ที่ตาบลวอแก้วเพิ่มมากขึ้น และที่สาคญั คนตาบลวอแก้วมีอาหารที่ปลอดภยั มี ความสุข มีสุขภาพที่แข็งแรง ครอบครัวมีความอบอุ่น และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ให้กับผู้ที่ สนใจ

๓๑ ผลประเมินรำยวชิ ำ 4. กำรแปลงปรัชญำเศรษฐกิจพอเพยี งสกู่ ำรปฏิบตั อิ ยำ่ งเปน็ ขน้ั ตอน ช่ือวิทยำกร นำยสำยนั ต์ ฉัตรแก้ว หวั หนำ้ สำนกั ปลัดองค์กำรบรหิ ำรส่วนตำบลวอแก้ว สว่ นที่ ๑ ความคิดเหน็ เกย่ี วกับเนือ้ หาวิชา หวั ขอ้ ระดับความคดิ เห็น ค่าเฉลีย่ การแปล ผล ๑.การบรรลุวัตถุประสงค์ของรายวชิ า มากทสี่ ุด มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทสี่ ดุ 4.35 มาก 198 221 37 0 0 (43.4%) (48.5%) (8.1%) (0.0%) (0.0%) ๒.ความชัดเจนของเนอ้ื หาวิชา 200 220 35 1 0 4.35 มาก (43.9%) (48.2%) (7.7%) (0.2%) (0.0%) ๓.ความรู้ ทักษะ ท่ีได้รบั เพ่ิมเติมจากวชิ าน้ี 204 216 36 0 0 4.36 มาก (44.7%) (47.4%) (7.9%) (0.0%) (๐.0%) ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ 211 208 37 0 0 4.38 มาก (46.3%) (45.6%) (8.1%) (0.0%) (0.0%) ภำพรวม 4.36 มำก จากตารางท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 456 คน แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเนื้อหาวิชา การแปลงปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ค่าเฉล่ีย 4.36 โดยแยก พจิ ารณาได้ ดังน้ี 1. การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของรายวชิ า ระดบั มาก ค่าเฉล่ยี 4.35 2. ความชดั เจนของเนือ้ หาวิชา ระดบั มาก ค่าเฉลย่ี 4.35 3. ความรู้ ทกั ษะ ท่ไี ด้รับเพ่มิ เตมิ จากวชิ านี้ ระดับมาก ค่าเฉลยี่ 4.36 4. ความสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ ระดบั มาก ค่าเฉล่ีย 4.38 ส่วนท่ี ๒ ความพึงพอใจต่อวิทยากร หัวข้อ ระดับความพึงพอใจ คา่ เฉลย่ี การแปล ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย มากทสี่ ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยที่สุด ๒.เทคนิคและวิธกี ารทใี่ ช้ในการถา่ ยทอดความรู้ 4.40 มาก ๓.การเปิดโอกาสใหซ้ กั ถาม แสดงความคดิ เห็น 215 213 26 0 1 4.37 มาก ๔.การสรา้ งบรรยากาศในการเรียนรู้ (47.1%) (46.7%) (5.7%) (๐.0%) (0.2%) 4.40 มาก 4.36 มาก ๕.บุคลกิ ภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง นา้ เสียง ฯลฯ) 204 221 29 1 1 (44.7%) (48.5%) (6.4%) (0.2%) (0.2%) 4.43 มาก 219 206 27 2 1 4.39 มำก (48%) (45.2%) (5.9%) (04%) (๐.2%) 207 211 34 3 0 (45.4%) (46.3%) (7.5%) (0.7%) (๐.0%) 228 199 29 0 0 (50%) (43.6%) (6.4%) (0.0%) (๐.๐%) ภำพรวม

๓๒ จากตารางท่ี 2 ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 456 คน แสดงความพึงพอใจต่อวิทยากรในวิชา การแปลงปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นข้ันตอน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ค่าเฉลี่ย 4.39 โดยแยก พจิ ารณาเป็นรายประเด็น ไดด้ ังน้ี 1.ความรู้ ความสามารถในการถา่ ยทอด/บรรยาย ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.40 2.เทคนคิ และวิธกี ารที่ใชใ้ นการถ่ายทอดความรู้ ระดับมาก คา่ เฉล่ีย 4.37 3.การเปิดโอกาสให้ซกั ถาม แสดงความคิดเห็น ระดับมาก ค่าเฉลย่ี 4.40 4.การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ระดับมาก ค่าเฉล่ยี 4.36 5.บคุ ลิกภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง นา้ เสียง ฯลฯ) ระดบั มาก ค่าเฉล่ีย 4.43 ส่งิ ท่ีทำ่ นประทับใจในวิทยำกรทำ่ นน้ีคือ -พดู กระชับจับใจความสาคัญของเน้ือหาทส่ี อน -สุภาพ อธบิ ายโครงการตน้ แบบให้เหน็ ภาพได้ขดั เจน -ให้ความรู้ในการเปลี่ยนแปลงการทาการเกษตรผสมผสาน -พูดจาคลอ่ งแคลว่ ชดั เจน นา่ รัก -ไดร้ บั ความรู้เยอะมาก และไดน้ าไปปรบั ใชใ้ นระดับตาบล และระดบั ครัวเรอื น -สอนเข้าใจ มีการเปดิ ให้ถามตอบ -เปิดโอกาสใหถ้ ามสงิ่ ทีไม่เข้าใจ -กันเอง เข้าใจ ใหร้ ายละเอยี ด ตอบข้อซักถามตรงประเด็น -สือ่ สารไดด้ ีมาก เข้าถึงผเู้ ข้าอบรม -เป็นผมู้ ปี ระสบการณ์โดยตรงกับชาวบา้ นจึงทราบปัญหา และนามาเสนอได้ตรงจุด สง่ิ ที่วทิ ยำกรควรปรบั ปรุงคือ -ระยะเวลาในการอบรม -ความงว่ ง -การสร้างบรรยากาศในการอบรม ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมอืน่ ๆ -เวลารับประทานอาหารมีน้อย/ระยะเวลาอบรมนานเกินไป เลิกดกึ ต่ืนเช้า/มีกิจกรรมท่ีเต้นเต้นบา้ ง คะ่ จะได้หายง่วง

๓๓ 5.วิชำ ปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพียง “ทฤษฎีบนั ได 9 ข้ัน สูค่ วำมพอเพียง” วิทยำกรหลกั นางกรรณิการ์ กา๋ วติ า นกั ทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ ผรู้ บั ผดิ ชอบวิชำ นางกรรณิการ์ กา๋ วิตา นกั ทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ใหผ้ ้เู ข้ารบั การฝกึ อบรมได้มีความรู้ ความเข้าใจ หลักคดิ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ทฤษฎี ใหม่ การบริหารจดั การตามข้ันตอนเศรษฐกจิ พอเพียงมาปรับ ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั และสามารถนาไปปฏบิ ตั ิจนเปน็ วิถชี วี ิต 2. เพ่อื ให้ผ้เู ขา้ รับการฝึกอบรมได้มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทฤษฎีบนั ได 9 ขั้น สู่ความพอเพยี ง ระยะเวลำ 3 ชัว่ โมง ประเด็น/ขอบเขตเนือ้ หำ 1. หลกั คิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. การประยุกต์ใช้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงในระดบั บคุ คล กลุ่ม องค์กร ชุมชน และสังคม 3. ทฤษฎีบนั ได 9 ขั้น สู่ความพอเพยี ง ขน้ั ตอน/วิธีกำร 1.วิทยากรชีแ้ จงประเดน็ ท่จี ะดาเนนิ กิจกรรม และข้อตกลงในกระบวนการเรยี นรู้รว่ มกนั 2. วิทยากรบรรยายประกอบสื่อ ดว้ ยการเล่าประสบการณ์และยกตวั อยา่ งประกอบ 3. แลกเปลย่ี นเรียนรู้ สรปุ เน้ือหำวชิ ำ/ผลกำรเรยี นรู้ วทิ ยากรบรรยายเลา่ ถึงความเปน็ มาชองศนู ยภ์ มู ิรักษ์ธรรมชาติ ตั้งอยูใ่ นจงั หวัดนครนายก มพี ้ืนที่ ประมาณ 14 ไร่ เป็นท่ดี นิ ของพระเจ้าอย่หู วั ในหลวงรชั กาลที่ 9 ท่ใี ชพ้ ระราชทรัพย์สว่ นพระองค์ซอ้ื ไว้ เดมิ เป็นทน่ี า ท่ดี นิ เป็นดนิ เปรี้ยวมกี รดจัด แต่ในหลวงร.9 ทรงอยากจะพิสจู น์วา่ แนวคิดของพระองค์ท่าน สามารถฟื้นฟูพื้นที่ได้ ดนิ ทอ่ี ยู่ตรงน้ันชาวบ้านสน้ิ หวงั ปล่อยท้งิ รา้ ง เพราะวา่ เป็นกรดจัด เป็นดินเปรย้ี วจดั แตพ่ ระองคท์ รงบอกว่า ฉันจะทาใหด้ ู ที่ดินท่เี คยสน้ิ หวงั ไม่สามารถปลกู ปา่ เพาะปลกู ได้ ฉนั จะใชแ้ นวคดิ ของฉันปรับปรุงใหส้ ามรถปลกู ปา่ ใหไ้ ด้ ปจั จุบนั ท่ีศูนย์ภูมิรักษธ์ รรมชาตเิ ป็นศนู ย์ท่ีแสดงแนวคิดและทฤษฎี การพฒั นาท่ีเรยี กว่า จำกภูผำสูม่ หำนที ซึ่งอาจารย์ยักษ์ (ดร.ววิ ฒั น์ ศัลยกาธร) ออกแบบไว้ ซึ่งนบั วา่ ศนู ย์ ภูมริ กั ษธ์ รรมชาติเป็นพนื้ ท่ีโคกหนองนา แห่งแรกที่อาจารย์ยักษไ์ ดอ้ อกแบบ ในปี 2546 มีโคก มหี นอง มี นา แสดงแนวคิดและทฤษฎกี ารพัฒนาของพระเจ้าอย่หู ัวรชั กาลท่ี 9 ทีเ่ รยี กว่า จากภผู าสู่มหานที ปหี น่ึงมี คนมาศึกษาดูงานหลายหมื่นคน เป็นศูนยท์ ฝ่ี กึ อบรมขา้ ราชการบรรจุใหม่ของกระทรวงเกษตร และอีกหลาย กระทรวง กอ่ นการแลกเปลีย่ นเกีย่ วกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพยี ง วทิ ยากรตั้งคาถามใหเ้ ขียนคาจากัดความส้ันๆ 1. ตงั้ คาถาม ระบอบทุนนยิ ม คืออะไร เขา้ ใจวา่ อย่างไร 2. ตั้งคาถาม ระบอบสังคมนิยม(คอมมวิ นสิ ต์) คอื อะไร เข้าใจวา่ อย่างไร 3. ตั้งคาถาม เศรษฐกิจพอเพียง คอื อะไร เข้าใจวา่ อยา่ งไร

๓๔ ผู้เขา้ อบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 1. ระบอบทนุ นิยม คือระบบท่ีมกี ารขับเคลื่อนเศรษฐกจิ ภายใตก้ ารแข่งขนั กนั อยา่ งเสรี ลักษณะทนุ ใหญ่ กลนื กินทนุ เลก็ ทุนเล็กจะล้มหายไปในอนาคต 2. ระบอบสังคมนิยม คือ ระบบเศรษฐกิจทว่ี ่าด้วยความเสมอภาค ทนุ เปน็ ของทุกคน ผลกาไรเฉล่ียเป็นของ ทุกคน เป็นการบรหิ ารจัดการโดยภาครฐั รฐั จะเปน็ ผู้จัดสรรผลประโยชนใ์ หก้ ับทุกคนอยา่ งเท่าเทียมกนั 3. เศรษฐกจิ พอเพียง คือ เป็นหลกั สมดุลของชวี ติ ไม่มากไปไมน่ ้อยไป อยู่ได้อย่างยั่งยืน วทิ ยากรบรรยายประกอบสื่อ ด้วยการเลา่ ประสบการณแ์ ละยกตัวอย่างประกอบ พรอ้ มกับ แลกเปลีย่ นเรยี นรู้กบั ผ้รู ว่ มอบรม ระบอบทนุ นยิ ม เมอ่ื 300 กว่าปีท่ีแล้ว Adam Smit ชาวอังกฤษ มแี นวคดิ ว่าตอ้ งปล่อยใหม้ นุษยแ์ ข่งขนั กันอย่าง เสรี โดยมเี ป้าหมายคอื เงนิ และวตั ถุ เม่ือมนษุ ย์มเี ป้าหมายเป็นเงินและวตั ถุ ผลทเ่ี กดิ ขึ้นคอื 1. มนุษยจ์ ะเขา้ สู่การทาลายธรรมชาติ ทัง้ ทาลายปา่ ไม้ เพ่ือเอาป่ามาสรา้ งความมัง่ คงั่ ทาลายดิน ทาลาย น้า ทาลายอากาศ เพ่ือให้ได้ประโยชน์สงู สุด มกี าไรสูงทส่ี ุด 2. มนษุ ยเ์ ริม่ เอาปรียบกนั มีการผูกขาด มกี ารจัดอนั ดบั บุคลทรี่ ่ารวยทสี่ ุดในโลก 3 คนทีม่ ที รัพย์สินรวมกัน เท่ากบั คนจนครึ่งโลก ไดแ้ ก่ 1.เจ้าของกจิ การอเมซอน Jeff Bezos (ขายออนไลน์) 2.เจ้าของกจิ การไมโคร ซอฟ Bill Gates 3. เจ้าของกิจการอสังหารมิ ทรพั ย์ Warren Buffett 3. โกง เกดิ การโกง ต้องมกี ฎหมายควบคมุ เพอ่ื แยง่ ชงิ เงินและวัตถุ 4. อกตัญญู วทิ ยากรบรรยายถงึ แนวคิดระบอบทนุ นิยม ทเี่ ข้ามาในประเทศไทย ปี 2504 โดยการจัดทา แผนพฒั นาเศรษฐกจิ แห่งชาติ ฉบับที่ 1 สมยั รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไดจ้ ้างผู้เชี่ยวชาญฝร่งั มาช่วย ในการเขยี นแผนพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ฉบับที่ 1 ซง่ึ มกี ารตง้ั คาขวญั ว่า “งำนคอื เงิน เงินคืองำน บนั ดำลสขุ ” ไดเ้ ปลีย่ นแนวความคดิ คนไทยเก่ยี วกับเรอื่ งเงนิ เน้นความสาคัญของเงนิ ถ้าไม่มีเงินไม่มี ความสุข แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 3 ทาใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงคร้ังใหญ่ โดยรฐั ไม่ ส่งเสรมิ ให้ทาเกษตรผสมผสาน ทางภาคอสี านเรยี กวา่ ไร่นาสวนผสม ภาคกลางเรยี กว่าเกษตรผสมผสาน ใหเ้ ปลย่ี นเปน็ การทาเกษตรเชิงเดยี่ ว ปลกู อยา่ งเดียว ทาแล้วจะรวย ในการทาเกษตรเชิงเดย่ี ว ถา้ อยาก ได้ผลผลิตมาก ๆ ต้องใสป่ ุ๋ยเคมี ยาฆา่ หญ้า ยาฆ่าแมลง เกิดจากระบบทนุ ในหลวงรชั กาลท่ี 9 เรียก เศรษฐกจิ แบบนี้วา่ “เศรษฐกิจของคนตำโต” อยากมอี ยากได้ โดยไม่สนใจว่าจะทาลายธรรมชาติ สังคม หรือคนอื่นจะเป็นอย่างไร ขอใหต้ นเอง รวยก็พอ

๓๕ ปี 2540 เกิดวกิ ฤตเศรษฐกิจฟองสบูแ่ ตก (ต้มยากุ้ง) ปญั หา เลน่ หนุ้ แล้วจะรวย ธนาคารกเ็ อาเงนิ ไปเล่นหนุ้ กู้เงนิ จากตา่ งประเทศมาเลน่ หุ้น จอร์จ โซรอส (George Soros) โจมตีค่าเงนิ บาท ทาใหล้ ้มท้ัง ระบบ ระบอบสังคมนยิ ม เม่ือ 100 กว่าปที ่แี ลว้ Karl Mark ชาวเยอรมนั มกี รอบวิธีคดิ และมองระบบทนุ นิยมว่าเกดิ อะไร ขนึ้ มีการสะสมทรัพยส์ ินเพ่ือรวยเปน็ อนั ดบั 1 ของโลก ระบอบสงั คมนิยมจึงคิดวา่ ทรัพย์สนิ ตอ้ งเปน็ ของรัฐ เอกชนไม่สามารถสะสมทรัพย์สินได้ ตอ้ งมกี ารยึดทรพั ย์ ยึดกิจการต่าง ๆเป็นของรฐั และไม่เอาความเจริญ มกี ารกระจายรายได้ ซึ่ง ในหลวงรัชกาลท่ี 9 เรียกเศรษฐกิจแบบนว้ี ่า “เศรษฐกจิ ของคนหลังเขำ” เป็นไป ไม่ไดท้ ี่จะทาแบบนี้ เศรษฐกจิ พอเพยี ง ในปี 2517 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงได้รับสัง่ เรอ่ื ง เศรษฐกิจพอเพียง เรอ่ื งพออยู่ พอกนิ เนื่อง ดว้ ยประเทศไทยขณะนน้ั อยู่ในอทิ ธิพลของตะวนั ตก ตัวแทนคืออเมริกา ทม่ี าตั้งฐานทัพในไทย แต่อีกฝ่ัง หนง่ึ เวียดนาม ลาว เขมร เปน็ คอมมวิ นสิ ต์ เหมือนประเทศไทยกาลงั อยตู่ รงกลางระหว่า 2 ลัทธิ ระหวา่ ง ทนุ นยิ มและสงั คมนยิ ม พระเจา้ อยูห่ ัวทรงเล็งเหน็ ว่าเรามภี ัยอยู่ 2 ฝ่ัง จงึ ประกาศเรอ่ื ง พออยู่ พอกิน เศรษฐกจิ พอเพียงเปรียบเหมือนกบั บำ้ น กำรสร้ำงบ้ำนใหม้ น่ั คงแขง็ แรงต้องอยู่ที่ฐำนรำกหรือ เสำเข็ม คนเรำจึงควรจะมเี สำเขม็ พึ่งตนเองเป็นพน้ื ฐำน เศรษฐกจิ พอเพยี งตามแนวทางกสกิ รรม ธรรมชาติ จึงแปรเร่อื ง เศรษฐกิจพอเพยี งเป็นบนั ได 9 ข้ัน

๓๖ การไปสู่ความพอเพียง ตามแนวทางศาสตร์พระราขา เนน้ การเรม่ิ ตน้ ท่ีการทาเพ่ือพอกินพอใช้ พอ อยู่ และพอร่มเยน็ โดยเรม่ิ ทต่ี ัวเราเอง \"พอ\" ก่อน ต่อเมื่อมเี หลือแล้วจงึ ขยายต่อไป แบ่งเปน็ ข้นั พื้นฐาน ๔ ชั้น และขน้ั ก้าวหน้าอีก ๕ ชั้น รวมเป็นบนั ไต ๙ ชั้นสูค่ วามพอเพียงที่ย่ังยืน เศรษฐกจิ พอเพยี งข้นั พ้ืนฐาน ข้ันท่ี 1 พอกนิ ขั้นที่ 2 พอใช้ ขัน้ ท่ี 3 พออยู่ ขัน้ ท่ี 4 พอร่มเยน็ เศรษฐกจิ พอเพยี งขัน้ กา้ วหน้า ข้นั ท่ี 5 บุญ ขน้ั ที่ 6 ทาน ขน้ั ท่ี 7 เก็บ ขน้ั ที่ 8 ขาย ขั้นที่ 9 ขา่ ย บันไดขน้ั ที่ ๑-๔ คือ เศรษฐกิจพอเพยี งขั้นพ้นื ฐาน ข้นั ท่ี ๑ พอกิน พืน้ ฐานที่สุดของมนุษย์ คอื ความต้องการปจั จัย ๔ และประการสาคัญทส่ี ดุ ของปัจจัย ๔ คอื อาหาร ขน้ั ที่ 1 ของแนวทางแก้ปัญหาทีย่ ่ังยนื คือ ตอบคาถามให้ได้วา่ \"ทาอย่างไรจึงจะพอกนิ \" โดยให้ความสาคญั กบั ขา้ วปลาอาหาร ไมใ่ หค้ วามสาคัญกับเงิน ซึ่งเป็นเพยี งแค่ \"ตวั กลาง\" ในการแลกเปลีย่ นตาม มาตรฐานสากล โดยยดื หลักว่า \"เงินทองเปน็ ของมายา ข้าวปลาสขิ องจรงิ \" เกษตรกรต้องเริม่ จากการอยใู่ ห้ได้ โดย ไม่ใช้เงนิ มีอาหารพอมี พอกิน ด้วยการปลกู พชื ผกั ผลไม้ ซาวนาต้องเก็บข้าวไว้ให้เพียงพอสาหรับการ มกี นิ ทั้งปี ไม่ขายขา้ วเปลอื กเพ่อื นาเงนิ ไปซื้อข้าวสาร นอกจากนนั้ หัวใจสาคัญของ \"พอกนิ \" ยังมคี วามหมาย รวมไปถงึ ความปลอดภัยในอาหาร กินอยา่ งไรให้มีสขุ ภาพดี ไม่สะสมเอาความเจบ็ ไข้ไดป้ ่วยไว้ ในร่างกาย น่ี คือความหมายของบันไดข้นั ท่ี ๑ ทเ่ี กษตรกรต้องก้าวข้ามให้ได้ ขัน้ ที่ ๒-๔ พอใช้ พออยู่ พอรม่ เย็น เกดิ ขน้ึ ได้พร้อมกัน ดว้ ยคาตอบเดยี วคือ \"ปลกู ป่า ๓ อยา่ ง ประโยชน์ ๔ อย่าง\" ซึง่ ปัจจยั ๓ อย่างจะให้ทง้ั อาหาร เครื่องนงุ่ หม่ สมุนไพรสาหรับรกั ษาโรค ทง้ั โรคคน โรค พืช โรคสตั ว์ ให้ไม้สาหรบั ทาบนพกั ที่อยู่อาศัย และให้ความร่มเย็นกบั บา้ น กับชุมชนกับโลกใบน้ี ซึง่ เปน็ แนว ทาในการแกป้ ัญหาความยากจนของเกษตรกรไทย ซึง่ ได้รับการพิสจู นแ์ ลว้ วา่ สามารถแก้ปญั หาไดจ้ ริง และ ยงั สามารถย้อนกลบั ไปแก้ไขปัญหาหน้สี ินซ่งึ สะสมพอกพูนจากการทาเกษตรเชิงเดี่ยว ปญั หาความเส่ือม โทรมของทรัพยากร ปัญหาความขาดแคลนน้า ภัยแลง้ ท้ังหมดลว้ นแก้ไขได้จากแนวคดิ ปา่ ๓ อยา่ ง ประโยชน์ ๔ อยา่ งขององคพ์ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวฯ บันไดขน้ั ที่ ๕-๙ คือ เศรษฐกิจพอเพยี งข้ันกา้ วหน้า ขั้นที่ ๕-๖ บุญและทำน เครอื ข่ายเศรษฐกจิ พอเพยี ง เช่อื มั่นสังคมไทยเปน็ สังคมบุญ สังคมทาน ไมเ่ น้นการแลกเปล่ียนทาง การค้า แตเ่ น้นการทาบญุ ไม่เน้นการสะสมเป็นของสว่ นตัว แตเ่ น้นการให้ทานและสะสมโดยมอบใหเ้ ป็น ทรพั ยส์ นิ ส่วนรวมโดยวัด หรือศาสนสถานตามแตล่ ะศาสนาเป็นศูนย์กลาง เป็นการฝึกจิตใจ ความโลภ และ กเิ ลสในการอยากได้ ใครม่ ี ลดปัญหาชอ่ งวา่ งระหวา่ งชนชั้น ตามความหมายของคา \"Our Loss is our Gain\" หรือ \"ยิ่งทาย่งิ ได้ ย่งิ ให้ย่ิงมี\" การใหไ้ ปคอื ได้มา และเชื่อม่ันในฤทธข์ิ องทานวา่ ทานมีฤทธ์ิจรงิ และจะสง่ ผล

๓๗ กลับมาเปน็ เพือ่ น เป็นกลั ยาณมิตร เป็นเครือข่ายท่ชี ่วยเหลือกันในทุกสถานการณ์ แม้ในวนั ท่ีโลกนป้ี ระสบ กับวกิ ฤตการณ์ ขั้นท่ี ๗ เกบ็ รกั ษำ ข้ันต่อไปหลงั จกสามารถพึ่งตนเองได้ พอมี พอเหลอื ทาบุญ ทาทานแลว้ คอื การรู้จกั เกบ็ รักษา ซ่ึง เปน็ การตงั้ อย่ใู นความไมป่ ระมาท และการรจู้ ักเก็บรกั ษา ยังเป็นการสรา้ งรากฐาน การเอาตัวรอดในเวลา เกดิ วิกฤตการณ์ โดยยดื แนวทางตามวถิ ีชีวติ ชาวนาสมัยกอ่ น ซง่ึ เกบ็ รกั ษาข้าวไวใ้ นยุ้งฉางเพื่อให้พอมีกิน ขา้ มปี คัดเลือกและเก็บรักษา \"ขา้ วพันธุ์\" ไว้สาหรบั เป็นพนั ธข์ุ า้ วในปีตอ่ ไป ซงึ่ ผิดกบั วถิ ีชาวนาในปัจจบุ นั ท่ี ใช้วิธกี ารขายข้าวท้ังหมด แลว้ นาเงินทขี่ ายได้ไปซื้อพนั ธ์ขุ า้ วเพื่อปลูกในปตี ่อไป สง่ ผลให้เกิดการขาดความ ม่นั คงและเปรียบเสมือนการใชช้ ีวิตอยู่บนเส้นทางสายความประมาท เพราะหากเกิดภัยแลง้ น้าท่วม ผลผลติ ไม่ได้ตามที่ตัง้ ใจไว้ ย่อมหมายถึงปัญหาหนีส้ ินและการขาดแคลนพันธ์ุขา้ วสาหรบั ปลกู ในปีตอ่ ไป นอกจากเก็บพนั ธุ์ข้าวแล้ว ยังเนน้ ใหร้ ้จู กั วิธกี ารถนอมอาหาร การสะสมอาหารไว้กนิ ในยามหน้าแล้ง การ แปรรปู อาหารหลากชนิด อาทิ ปลารา้ ปลาแหง้ มะขามเปียก พริกแห้ง หอม กระเทยี ม เพือ่ เก็บไว้กนิ ใน อนาคต ขัน้ ท่ี ๘ ขำย เน่ืองจากเศรษฐกิจพอเพียง ไมใ่ ชเ่ ศรษฐกิจการค้า แตก่ ็ไม่ใช่เศรษฐกจิ หลังเขา การคา้ ขายสามารถ ทาได้ แต่ทาภายใต้การร้จู กั ตนอง รจู้ ักพอประมาณ และทาไปตามลาดบั โดยของท่ีขายคือ ของท่เี หลอื จาก ทกุ ขัน้ แล้วจึงนามาขาย เช่น ทานาอนิ ทรีย์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ไม่ทาลายธรรมชาตไิ ดผ้ ลผลิตกไ็ วพ้ อกนิ เก็บไว้ทาพนั ธ์ุ ทาบญุ ทาทาน แลว้ จึงนามาขายดว้ ยความรู้สกึ ของการ \"ให\"้ อยากทจ่ี ะให้สงิ่ ดี ๆ ที่เราปลูก เอง เผื่อแผ่ให้กับคนอ่นื ๆ ได้รบั ส่ิงดี ๆ นน้ั ด้วย กำรค้ำขำยตำมแนวทำงเศรษฐกจิ พอเพยี งจึงเปน็ กำร ขำยที่มองกลบั ด้ำน\"เพรำะรักคณุ จงึ อยำกใหค้ ณุ ได้รบั ในสิ่งดี ๆ\" พอเพียงเพ่อื อ้มุ ชู เผ่อื แผ่ แบง่ ปัน ไป ดว้ ยกัน ข้ันที่ ๙ (เครอื ) -ขำ่ ย กองกำลังเกษตรโยธิน คอื การสรา้ งกองกาลังเกษตรโยธิน หรือการสรา้ งเครือขา่ ยเช่ือมโยงท้ังประเทศ เพอื่ ขยายผล ความสาเร็จตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง การปฏวิ ตั แิ นวคิด และวิถีการดาเนินชวี ิตของคนในสังคม ใน ชุมชน เพอ่ื การแกป้ ญั หาวิกฤต ๔ ประการ อนั ไดแ้ ก่ 1.วกิ ฤตการณ์สง่ิ แวดล้อม ภัยธรรมชาติ (Envronmental Crisis ) 2.วกิ ฤตการณ์โรคระบาดทง้ั ในคน สัตว์ พีช (Epidemic Cia) 3.วกิ ฤตการณ์เศรษฐกจิ ขา้ วยากหมากแพง (Economic Crsis) 4.วิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางสังคม/สงคราม (Poltical/social Crisis)

๓๘ ผลประเมนิ รำยวชิ ำ 5. วิชำปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ทฤษฎบี นั ได 9 ขน้ั สคู่ วำมพอเพียง ช่ือวิทยำกร นำงกรรณกิ ำร์ กำ๋ วิตำ นักทรัพยำกรบคุ คลชำนำญกำร ส่วนท่ี ๑ ความคดิ เห็นเก่ียวกับเนือ้ หาวชิ า หวั ขอ้ ระดับความคิดเหน็ คา่ เฉล่ีย การแปล 4.38 ผล ๑.การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องรายวชิ า มากทีส่ ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยท่สี ดุ ๒.ความชดั เจนของเน้อื หาวชิ า มาก ๓.ความรู้ ทกั ษะ ทไ่ี ด้รบั เพ่มิ เตมิ จากวิชานี้ 176 195 25 0 0 ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ (44.3%) (49.1%) (6.3%) (๐.0%) (0.0%) 185 188 24 0 0 4.40 มาก (46.6%) (0.0%) (47.4%) (6%) (0.0%) 176 0 (44.3%) 201 20 0 (๐.0%) 4.39 มาก 185 (50.6%) (5%) (0.0%) 0 (46.6%) (0.0%) 183 25 3 4.38 มาก (46.1%) (6.3%) (0.8%) ภำพรวม 4.39 มำก จากตารางที่ ๑ ผูต้ อบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับเนอื้ หาวชิ า ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ทฤษฎบี นั ได 9 ขน้ั สคู่ วามพอเพยี ง โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก คา่ เฉล่ีย 4.39 โดยแยก พิจารณาได้ ดังนี้ 1. การบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ของรายวชิ า ระดับมาก คา่ เฉล่ยี 4.38 2. ความชัดเจนของเนื้อหาวชิ า ระดับมากทสี่ ุด ค่าเฉลยี่ 4.40 3. ความรู้ ทักษะ ท่ีได้รับเพมิ่ เตมิ จากวชิ านี้ ระดับมาก คา่ เฉล่ีย 4.39 4. ความสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ ระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 4.38 สว่ นท่ี ๒ ความพงึ พอใจต่อวิทยากร หวั ขอ้ ระดบั ความพงึ พอใจ คา่ เฉลย่ี การแปล 4.41 ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย มากท่สี ุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่สี ุด ๒.เทคนคิ และวิธกี ารที่ใช้ในการถา่ ยทอดความรู้ มาก ๓.การเปดิ โอกาสใหซ้ ักถาม แสดงความคิดเห็น 182 198 17 0 0 ๔.การสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นรู้ (45.8%) (49.9%) (4.3%) (๐.0%) (0.0%) 4.38 มาก ๕.บคุ ลิกภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง น้าเสยี ง ฯลฯ) 173 202 22 0 0 (43.6%) (50.9%) (5.5%) (0.0%) (0.0%) 171 200 26 0 0 4.36 มาก (43.1%) (50.4%) (6.5%) (๐.0%) (๐.0%) 181 188 27 1 0 4.38 มาก (45.6%) (47.4%) (6.8%) (0.2%) (๐.0%) 194 181 19 0 1 4.43 มาก (48.9%) (45.6%) (4.8%) (๐.0%) (๐.2%) ภำพรวม ๔.39 มำก

๓๙ จากตารางที่ 2 ผตู้ อบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความพงึ พอใจต่อวิทยากรในวชิ า ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี ง ทฤษฎีบันได 9 ข้นั สคู่ วามพอเพยี ง โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก คา่ เฉลย่ี 4.39 โดย แยกพิจารณาเป็นรายประเดน็ ไดด้ งั น้ี 1. ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย ระดับมาก คา่ เฉลีย่ 4.41 2. เทคนคิ และวิธีการท่ีใชใ้ นการถ่ายทอดความรู้ ระดับมาก คา่ เฉลี่ย 4.38 3. การเปิดโอกาสให้ซักถาม แสดงความคิดเห็น ระดบั มาก คา่ เฉลีย่ 4.36 4. การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 4.38 5. บุคลกิ ภาพ (การแต่งกาย ทา่ ทาง น้าเสียง ฯลฯ) ระดบั มากท่สี ดุ คา่ เฉลี่ย 4.43 สง่ิ ท่ีท่ำนประทับใจในวิทยำกรท่ำนน้คี ือ -ได้เรยี นรู้และประสบการณจ์ ริงท่ีจะนาไปปรับใช้ในชวี ิตประจาวนั -สอื่ สารเข้าใจง่ายยกตัวอยา่ งให้เหน็ ภาพชัดเจน -อธบิ ายรายละเอยี ดชัดเจนเข้าใจง่าย -เสียงดงั ฟงั ชัดเข้าใจงา่ ยดี -การไดเ้ รียนรูจ้ ากการทาแบบเปน็ ขน้ั เปน็ ตอน -สร้างแรงบันดาลใจ มรี อยยิ้มให้ผูเ้ ขา้ อบรม -มนุษยส์ มั พนั ธ์ดีเลศิ ส่ิงที่วทิ ยำกรควรปรบั ปรุงคอื -คุณต้องมีเวลาพักแกผ่ ู้อบรมบ้างเขาไม่ใชท่ หาร -ใสม่ ขุ เพื่อให้ผ้เู ข้ารับการอบรมหัวเราะเพ่ือจะได้ไมเ่ กดิ ความเครยี ด -การบรรยายทีไ่ มก่ ระชบั ข้อเสนอแนะเพ่มิ เติม อนื่ ๆ –การจดั สรรเวลา/อยากให้พัฒนาหลักสตู ร ให้กะทดั รดั และกระชบั เวลามากขึน้ โดยอาจตัดบทเรยี น หรือพิธีการทีไ่ มจ่ าเป็นออกไป เชน่ บทเรียนท่ีใกลเ้ คยี งหรอื ซ้ากับหลักทฤษฎใี หม่ ย่อลง หรอื พธิ กี ารหนา้ เสาธง อาจลดเหลอื คร้งั เดียว และกระชบั มากขึ้น/ให้ดวู ีดีอารเ์ ยอะๆ

๔๐ 6.วชิ ำ กสิกรรมธรรมชำติ วิทยำกรหลกั นางกรรณิการ์ ก๋าวิตา นักทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ ผูร้ ับผดิ ชอบวิชำ นางกรรณิการ์ ก๋าวิตา นกั ทรัพยากรบคุ คลชานาญการ วตั ถุประสงค์ เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการฝกึ อบรมได้มีความรู้ ความเขา้ ใจ หลกั กสิกรรมธรรมชาติ ระยะเวลำ 3 ชวั่ โมง ประเดน็ /ขอบเขตเนอ้ื หำ หลกั กสกิ รรมธรรมชาติ ขัน้ ตอน/วิธกี ำร 1.วิทยากรชแี้ จงประเด็นท่ีจะดาเนินกจิ กรรม และข้อตกลงในกระบวนการเรียนรรู้ ว่ มกนั 2. วทิ ยากรบรรยายประกอบสื่อ ด้วยการเลา่ ประสบการณ์และยกตวั อย่างประกอบ 3. แลกเปล่ียนเรียนรู้ สรุปเนือ้ หำวชิ ำ/ผลกำรเรยี นรู้ วทิ ยากรบรรยาย เล่าประสบการณแ์ ละยกตวั อยา่ งประกอบ ดังนี้  กสกิ รรม – เกษตรกรรม เกษตรกรรม หมายถึงการใช้ประโยชนท์ ่ดี ิน การเพาะปลูกพืชต่าง ๆ การป่าไม้ รวมทง้ั การเลย้ี งสตั ว์ และการประมงดว้ ย (agriculture) เป็นแนวคดิ ตะวนั ตก (ทุนนยิ ม) ซง่ึ ทาเพื่อใหไ้ ดผ้ ลผลิตสูงท่ีสุด ในต้นทุน ทต่ี า่ เพ่ือใหไ้ ดเ้ งินกาไรสงู ทส่ี ุด กสิกรรม หมายถงึ การทาไร่ไถนา (Farming) การเพาะปลูก เลี้ยงสตั ว์ ที่ไมร่ วมถงึ การประมงหรือ ป่าไม้ กสิ หมายถงึ การไถ หว่าน จึงหมายถงึ ผู้ทาการปลกู ข้าว ท่ีพง่ึ ตนเอง พง่ึ ธรรมชาติ ไมท่ าลาย และ มคี วามเคารพต่อธรรมชาติ เช่ือมเกิดมติ ิทางความเชื่อและจิตวญิ ญาณเปน็ ท่ีมาแห่งวิถีวัฒนธรรมไทย เช่น พิธีจรดพระนังคลั แรกนาขวัญ ประเพณลี อยกระทง ประเพณีทาขวัญข้าว ทาขวัญควาย ประเพณกี ารขอฝน เป็นต้น เกษตรสมยั ใหม่ การทาการเกษตรสมยั ใหม่ ซึ่งเช่ือมโยงกบั แนวคิดตามแบบทนุ นยิ ม ทีต่ ้องการผลกาไรสูงทส่ี ุด ใน ต้นทนุ ตา่ ท่สี ุด สง่ ผลให้ มกี ารควบคุมปจั จยั การผลติ ในด้าน ตา่ ง ๆ 1.การดัดแปลงพันธกุ รรมพชื และสตั ว(์ พืช/สตั ว์เชงิ เดีย่ ว) 2.ใช้เทคโนโลยแี ละเครื่องจักรในการผลติ 3.ใช้ปุ๋ย/ยาฆา่ แมลง/สารเคมี/และฮอรโ์ มน

๔๑ 4.ทาแบบครบวง จรเพ่ือสร้างระบบผกู ขาด 5.ใช้กลไกลการตลาดเป็นตัวควบคุมราคา 6.เปลยี่ นการผลติ เปน็ เกษตรอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อต่อเกษตรกร 1.สารพิษสะสมในตวั เกษตรกร(80%) 2.สขุ ภาพอ่อนแอเสีย่ งต่อการเปน็ โรครา้ ยแรง 3.สุดท้ายหมดตัวจากการปว่ ยไข้ ผลกระทบต่อผ้บู รโิ ภค 1.บรโิ ภคอาหารมสี ารพษิ และฮอร์โมนตกค้าง 2.เส่ยี งต่อโรคร้ายแรง 3.อายสุ ัน้ ตายก่อนวัยอันควร  หลกั กสิกรรมธรรมชำติ หัวใจสาคญั ของ... “หลกั กสิกรรมธรรมชาติ” มหี ลกั ปรัชญาพนื้ หลงั ของแนวคิดคือ “เล้ยี งดนิ ใหด้ ินเล้ยี ง พชื ” คำถำเล้ยี งดิน เลย้ี งดนิ ให้ดิน เลย้ี งพชื Feed the soil and let the soil feed the plant. เจ็มเดยิ ออยเดยิ เจม็ ตะนมั เลย่ี งเท๊ะ อ๊ดึ เท๊ะ เลย่ี งละชวิ เล้ยี งแมธ่ รณี ให้แมธ่ รณี เลยี้ งแมโ่ พสพ จากพระราชดารัสในหลวง “อย่ำปอกเปลือกเปลือยดนิ ” ถ้าจะ ทาให้ดินดี “ให้ห่มดิน” เราจงึ ไมเ่ ผา ไม่ทาลายหน้าดิน ไมป่ อกเปลอื กเปลอื ย ดิน แต่จะนาเศษไม้ ใบหญ้า เศษฟาง มาหม่ ดินไว้สร้างความ อบอนุ่ ให้ “แมธ่ รณี” ใส่ป๋ยุ หมกั แห้ง และรดดว้ ยน้าหมัก รสจดื อัตราส่วน 1 : 200 (เทคนิคแห้งชาม น้าชาม) แลว้ ปล่อยใหจ้ ลุ ินทรีย์ทาหน้าทข่ี องมนั นน่ั คือ หลักกำร คืนชีวิตใหแ้ ผ่นดิน เพราะดินมันตายแล้ว ดินตายหมายถึง ในดินไม่มีสิ่งมีชวี ิตหลงเหลอื ไม่มจี ุลนิ ทรีย์ ไม่มไี ส้เดือน ไม่ มีแมลงเล็ก ๆ ผลเพราะการใชส้ ารเคมี ใช้ยาฆา่ แมลง ยา ฆา่ หญา้ มาอยา่ งหนัก สะสมเคมี สารพิษมายาวนาน จนดนิ ตายหมดส้ิน เราจงึ ตอ้ ง “คืนชีวิตให้แผน่ ดิน”

๔๒ ผลจากการห่มดินด้วยฟาง หรือเศษหญา้ ไอนา้ ทร่ี ะเหยจากดนิ ในเวลากลางคืนจะข้ึนมาติดอยูก่ ับ เศษซากใบไม้ และฟางทีห่ ม่ ไว้ กลายเป็นนา้ เป็นความชื้นทเ่ี พียงพอ สาหรบั พืชได้อยรู่ อด แตต่ อ้ งเป็นพืชท่ี เลีย้ งแบบธรรมชาติ ปลูกแบบธรรมชาติ ไม่ปรนเปรอด้วยนา้ ดว้ ยปุ๋ย จนอ่อนแอ หากินเองไม่เป็น รากพืชท่ี เพาะปลูกแบบธรรมชาติ จะยาวและแขง็ แรงต้องหาอาหารตอ้ งการเอาชีวติ ตัวเองใหร้ อด พืชจงึ แกร่ง พอทจี่ ะรอดจากอากาศที่แหง้ แล้ง แปรปรวน แต่เราต้องช่วยคือช่วยปรบั สภาพแวดลอ้ มทีเ่ ราทาลายลงไป จนหมดความสมดลุ ใหก้ ลบั สู่ความสมดลุ โดยคนื จลุ นิ ทรยี ์ดี ให้กลับสู่พ้ืนดนิ ซึ่งจุลินทรยี ์น้ันก็อย่ใู นน้า หมกั ปุ๋ยหมักท่เี ราหมักจากเศษใบไม้ และเติมหัว เช้ือจลุ ินทรีย์ลงไป หรอื เก็บจุลนิ ทรีย์ตามธรรมชาติ มาเลี้ยงใหเ้ พิ่มจานวน แล้วจุลินทรยี ์กจ็ ะไปทาหน้าท่ี ยอ่ ยฟาง ย่อยใบไม้ ซึง่ เป็นป๋ยุ ชัน้ ดขี องพืช ปุ๋ยจึงมา จากเศษซากพืช ซากสัตว์ ขีว้ ัว ข้คี วาย ตา่ ง ๆ ที่เรา ใส่เข้าไป จากน้นั จลุ ินทรียป์ ลายรากของตน้ ไมแ้ ต่ละ ชนิดจะได้มาย่อยเอาไปเป็นอาหารตามความชอบ ของพืชแตล่ ะต้นในแต่ละชว่ งเวลา จะเตมิ ฮอรโ์ มนให้ เขาในเวลาที่พชื ตั้งท้องก็ได้ กเ็ หมอื นเราบารุงครรภก์ ็ ต้องเพิม่ อาหารดี ๆ น่นั คือหลักการทากสิกรรม ธรรมชาติ ง่ายๆ แต่ต้องรู้จักธรรมชาติ และให้ อาหารพืชทเี่ ป็นธรรมชาติ จงึ ปฏิเสธปยุ๋ เคมี และยา ฆ่าแมลงทุกชนดิ เพราะจะไปฆ่าแมลงดี ๆที่มากิน แมลงตัวรา้ ยตายไปดว้ ย และปฏิเสธเคมที ี่มาในรูป ของกากขยะน้ามัน N P K ทุกชนดิ เพราะเราไม่ จาเปน็ ต้องซื้อ เราสรา้ งอาหารพชื ไดด้ ้วยตวั เอง ประหยดั พ่ึงตนเองได้ ถ้าเราเร่มิ ปลกู จากการเผา ทาลาย เราก็จะสลายอาหารพืชทีด่ ีทส่ี ุดไปด้วยไฟ ถา้ เรา เร่ิมปลูกจากการฆา่ เรากเ็ ร่มิ ต้นวงจร “ระบบนเิ วศอาหาร” ด้วยการทาลายอยา่ งไมม่ ีท่ีสิ้นสดุ ถ้าเราเริม่ ปลูก จากการ “ให้” ใหจ้ ากใจเราเอง ใหก้ บั ธรรมชาติ ให้กับโลก เราก็จะอยูใ่ นโลกน้ีได้อย่างยั่งยืนถา้ ทุกคนเร่ิม จากตนเอง ดว้ ยการมีคุณธรรม อนั เป็นพนื้ ฐานของความพอ เราก็จะมเี ครือข่าย มีเพ่ือน มมี ติ รท่คี อยดูแล กนั ไปตลอดชีวติ วงจรแห่งความเจริญจงึ เร่มิ ต้นได้จากจุดเล็ก ๆในใจของเรา และแบง่ ปันไปยังมิตรสหาย ที่ มองเห็นความเช่อื มโยงของทุกสรรพส่งิ บนโลกน้ี และเมตตาตอ่ กัน ต่อ ๆ กันไป จากหลักกสกิ รรมธรรมชาติ “เลยี้ งดิน ใหด้ นิ เลี้ยงพืช” จงึ สามารถสร้างแหลง่ อาหารเล้ียงดูผ้คู น และสร้างแหล่งพกั พงิ ด้วยใจของคนที่ เตม็ ไปดว้ ยเมตตา และการให้ อนั เป็นแกน่ ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งท่เี ชอื่ ว่า “Our Loss is Our Gain”ย่ิงให้ไปย่ิงได้มำ เป็นฐานแหง่ ความความสขุ ท่ามกลางความแล้ง รอ้ น โลภ ของสังคมที่มุ่งแขง่ ขนั อยา่ งทุกวนั นี้

๔๓ ผลประเมนิ รำยวชิ ำ 6. หลกั กสิกรรมธรรมชำติ ช่ือวิทยำกร นำงกรรณิกำร์ กำ๋ วิตำ นักทรพั ยำกรบคุ คลชำนำญกำร ส่วนท่ี ๑ ความคดิ เห็นเก่ียวกับเนื้อหาวิชา หวั ข้อ ระดับความคิดเหน็ ค่าเฉลย่ี การแปล ผล ๑.การบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของรายวิชา มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทส่ี ุด 4.38 มาก 172 207 18 0 0 (43.3%) (52.1%) (4.5%) (๐.0%) (0.0%) ๒.ความชัดเจนของเนอ้ื หาวชิ า 178 196 23 0 0 4.39 มาก (44.8%) (49.4%) (5.8%) (0.0%) (0.0%) ๓.ความรู้ ทักษะ ทไ่ี ดร้ บั เพมิ่ เติมจากวิชานี้ 173 207 17 0 0 4.39 มาก (43.6%) (52.1%) (4.3%) (0.0%) (๐.0%) ๔.ความสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ 181 194 19 3 0 4.39 มาก (45.6%) (48.9%) (4.8%) (0.8%) (0.0%) ภำพรวม 4.39 มำก จากตารางท่ี ๑ ผู้ตอบแบบประเมิน จานวน 397 คน แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเนื้อหาวิชา หลักกสิกรรม ธรรมชาติ โดยภาพรวมอย่ใู นระดับ มาก คา่ เฉล่ีย 4.39 โดยแยกพจิ ารณาได้ ดงั นี้ 1. การบรรลุวัตถุประสงค์ของรายวิชา ระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 4.38 2. ความชัดเจนของเนือ้ หาวชิ า ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.39 3. ความรู้ ทักษะ ท่ไี ดร้ บั เพมิ่ เติมจากวชิ านี้ ระดับมากทสี่ ดุ ค่าเฉลย่ี 4.39 4. ความสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.39 สว่ นท่ี ๒ ความพึงพอใจต่อวทิ ยากร หวั ข้อ ระดบั ความพงึ พอใจ ค่าเฉลี่ย การแปล ผล ๑.ความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอด/บรรยาย มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทส่ี ดุ ๒.เทคนคิ และวธิ กี ารทีใ่ ช้ในการถา่ ยทอดความรู้ ๓.การเปิดโอกาสให้ซักถาม แสดงความคดิ เหน็ 192 191 13 1 0 4.44 มาก ๔.การสร้างบรรยากาศในการเรยี นรู้ (48.4%) (48.1%) (3.3%) (๐.3%) (0.0%) ทส่ี ดุ ๕.บคุ ลิกภาพ (การแต่งกาย ท่าทาง น้าเสียง ฯลฯ) 189 189 18 1 0 4.42 มาก (47.6%) (47.6%) (4.5%) (0.3%) (0.0%) ที่สุด 171 206 20 0 0 4.38 มาก (๐.0%) (43.1%) (51.9%) (5%) (0.0%) 0 178 199 20 0 (๐.0%) 4.39 มาก (44.8%) (50.1%) (5%) (0.0%) 4.43 มาก 0 189 190 16 0 (๐.๐%) (51.4%) (39.6%) (6.6%) (๐.0%) ภำพรวม ๔.41 มำก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook