THE LEGEND OF KIMONO
หากพดู ถึงประเทศญ่ีปุ่นแล้ว สัญลักษณก์ ารแตง่ กายท่ชี าวโลก รู้จกั กนั ดคี อื ชดุ กโิ มโนซงึ่ เป็นชุดประจำชาตขิ องประเทศญป่ี ุน่ นัน่ ก็คอื “กิโมโน” ทม่ี ตี ้นกำเนดิ มาจากโรงงานทอผา้ นอกกำแพงเมืองในสมยั เอโดะ แล้วได้มกี ารเปลี่ยนแปลงวิวฒั นาการมาทีละน้อย ไม่วา่ จะเปน็ ขนาด และ สสี ันของชุดท่สี วมภายในโดยพวกขนุ นางช้ันสงู สมยั ไฮอัน การจดั ทำ หนังสอื ออนไลน์ ( E–Book) เลม่ นี้ข้ึนนน้ั เป็นสว่ นหน่ึง ของวิชา อารยธรรมโลก เพื่อใหไ้ ด้ศึกษาหาความรู้ ในเรื่องราวของชุด กิโมโน โดยผู้เขียนไดศ้ กึ ษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ อาทิเชน่ หนังสอื วารสาร ห้องสมดุ และแหล่งความรจู้ ากเว็บไซต์ตา่ งๆ ซง่ึ ผู้เขียนกห็ วงั เปน็ อยา่ งมากวา่ จะเป็นประโยชน์แกผ่ ู้ทสี่ นใจ หรอื ผทู้ เี่ ข้ามาอา่ นเรื่องราว ท่ผี ูเ้ ขยี นไดค้ ดั สรร และกลน่ั กรองมาอยา่ งดีตามสมควร หากหนังสอื เลม่ นี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ผเู้ ขียน ต้องขออภัย ไว้ ณ ท่ีน้ดี ว้ ย. MOONLIGHT 1
ดเู หมือนว่าชาวต่างชาตไิ ม่วา่ จะเปน็ ประเทศใด จะตรึงตราสตรี ญป่ี ุ่นท่ใี ส่ชดุ “กโิ มโน” กันมาก หรอื แมแ้ ตใ่ นประเทศญ่ีปุ่นเองก็ไมไ่ ด้ แตกต่างกนั มากนัก ทั้งนี้ เป็นเพราะชาวญป่ี ุ่นในยุคปัจจบุ ันสว่ นใหญ่จะ แต่งกายแบบสากล ผู้ทีส่ วมกโิ มโนในชีวิตประจำวนั ก็จะมเี พยี งผู้ประกอบ อาชีพท่เี กย่ี วข้องกบั ศิลปะญป่ี ุ่นแต่โบราณเทา่ น้ัน หรือไม่ ก็อาจจะสวม เฉพาะในงานพิธตี ่าง ๆ อาทเิ ช่น งานแต่งงาน งานฉลองการบรรลนุ ติ ิ ภาวะ งานปีใหม่ ฯลฯ เท่าน้ัน ดว้ ยเหตุน้ผี ู้ทส่ี ามารถสวมชดุ กโิ มโนไดเ้ อง จงึ มีน้อย ถงึ ขนาดจดั เปน็ คุณสมบัตขิ อ้ หน่งึ ของ “การเตรยี มตวั เพอ่ื เป็น เจา้ สาว” ของสตรี ข้าพเจ้าคิดว่า เสน่หข์ องชดุ กโิ มโนอาจจะไม่ได้อยู่ทวี่ ่า จะใสก่ ่ีชั้น หรือใสไ่ ปท่ีใดเพยี งเทา่ น้นั แต่นน้ั อาจจะรวมถึงการบรรยาย ออกมาของคำวา่ “ประเทศญ่ีปนุ่ ” เป็นเชงิ ภาพลักษณ์ แตท่ วา่ กว่าจะมา เป็น “กิโมโน” ทีส่ งา่ งามได้นน้ั จะเคยมเี ร่ืองราวเล่าขานแบบไหนมาบ้าง ข้าพเจา้ ปรารถนาให้ท่าน ได้เปดิ ประตสู เู่ รอ่ื งราว...ในหน้าถดั ไป. MOONLIGHT 2
กำเนดิ กโิ มโน 8 กโิ มโนต้องคำสาป 28 โศกนาฏกรรม กโิ มโนตอ้ งคำสาป 44 ประเภทของกิโมโน 54 57 ชุดกโิ มโนของผู้หญิง 71 ลวดลายของกิโมโนผู้หญงิ 81 ชุดกโิ มโนของผูช้ าย 90 วิธกี ารสวมใส่ชุดกโิ มโน 108 บรรณานุกรม 4
CHAPTER 1
“กโิ มโน” เดิมทหี มายถึง “เส้ือผ้า” (เครอ่ื งสวมใส่) ในภาษาญปี่ ่นุ แตใ่ นยุคปัจจบุ ัน หมายถงึ เสื้อผา้ แบบดั้งเดมิ โดยเฉพาะของญ่ีปนุ่ ตน้ แบบของกิโมโน ในปัจจุบันกล่าวกนั ว่า มตี ้นแบบมาจาก โคโซเดะ ซึง่ เปน็ ชดุ ซับในของ ชดุ จูนิฮิโตะเอะ (ชดุ 12 ช้ัน) 10
สมยั ยามาโตะ (古墳時代) ในค.ศ. 300-710 ตวั อย่างแรกของรปู แบบเสอื้ ผา้ ทีค่ ลา้ ยคลึงกิโมโนใน ญปี่ ุ่น น่ันก็คือ เสื้อผ้าจีนดง้ั เดิมท่ีมกี ารแนะนาใหร้ จู้ กั กับญีป่ นุ่ โดยทตู จนี ในสมัยโค ฟุน มีการย้ายถิน่ ฐานระหว่างสองประเทศและทตู จีนก็ไดเ้ ดนิ ทางไปยงั ราชสานัก ราชวงศถ์ งั นาไปสกู่ ารแต่งกายแบบจีนรูปลักษณ์และวฒั นธรรมจีนเป็นท่นี ิยม อย่างมากในสังคมศาลญ่ีป่นุ ศาลจกั รวรรดญิ ี่ปุ่นนารูปแบบเสื้อผา้ และการแตง่ กาย มาใชใ้ นญป่ี ุน่ ทาให้พระราชินีและหัวหน้าเผ่าในประเทศญป่ี นุ่ มกี ารสวมใส่เส้ือผ้า ซ่งึ มคี วามคล้ายคลึงกับเสื้อผ้าของจนี ในราชวงศฮ์ ่นั น่ันเอง สมัยนารา (奈良時代) ในค.ศ. 710-794 ชาวญีป่ ุ่นนิยมแตง่ ชุดกโิ มโนท่ีมีท่อนบนกับทอ่ นลา่ ง เหมือนกนั หรือเปน็ ผา้ ชน้ิ เดียวกนั ซึ่งเสอื้ คลุมทั้งหมดต้องทบั ซอ้ นกันทีด่ ้านหน้า ดว้ ยการปดิ จากซ้ายไปขวาตามแฟช่ันชาวจนี โดยทั่วไป การสวมใสเ่ ช่นนย้ี ังคงมี อยู่มาจนถงึ ยุคปัจจุบนั และการสวมใส่ ให้ผทู้ ต่ี ายน้ัน จะใส่สลบั กนั โดยสวมใส่ปดิ จากด้านขวาไปด้านซ้ายเสมอ 11
หรือชดุ แต่งกายของชาวอาทติ ย์อทุ ัย มีประวตั ยิ าวนานต้ังแตส่ มยั เฮอนั หรือตรงกบั ค.ศ.794-1192 หรือพ.ศ.1337-1735 กอ่ นหน้าน้ัน ซงึ่ เป็นสมัยนารา (ค.ศ.710-794) ชาวญีป่ นุ่ นยิ มแต่งชุดท่อนบนกบั ทอ่ นลา่ ง เหมอื นกัน หรือไมก่ เ็ ปน็ ผา้ ชิ้นเดียวกันไปเลย...”
สมัยเฮอนั สมัยอะซุจิ-โมโมยามะ (安土桃山時代) ในค.ศ. 794-1193 สมยั เฮอัน ญ่ปี นุ่ ได้หยดุ ส่งทตู ไปยังราชสานกั ราชวงศ์ จนี สง่ ผลให้สินค้าของจนี รวมท้งั เส้ือผา้ ยตุ ิลง ทาให้วัฒนธรรมของญี่ปนุ่ เป็นอิสระ จากแฟชั่นจนี ในระดับทสี่ งู มากขนึ้ ถอื เปน็ สิ่งที่นาไปสู่การนาเอาองคป์ ระกอบ สาคญั ของราชวงศถ์ ังของจนี ซ่งึ ก่อนหน้าน้มี าพฒั นาตอ่ อยา่ งอิสระในสิง่ ที่เรียกว่า “วฒั นธรรมของชาติ” หรือ “วัฒนธรรมโคคุฟ”ุ เป็นคาท่บี ่งบอกถงึ วฒั นธรรม ญี่ปนุ่ สมัยเฮอนั ซึ่งถือเปน็ ช่วงเรม่ิ ต้นการใส่กิโมโน ชาวญป่ี ุน่ พัฒนาเทคนิคการตัดชุดเสอ้ื ผ้าดว้ ยการตดั ผา้ เป็นเส้นตรง เพอื่ ใหง้ า่ ยต่อมาสวมใส่ หยิบมาคลมุ ตัวได้ทนั ที ทัง้ ยังเป็นชดุ ทเ่ี หมาะกับทุกสภาพ อากาศ ถา้ ฤดูหนาวจะใช้ผ้าหนา ถา้ เปน็ ฤดรู อ้ นจะเปล่ียนไปใชผ้ า้ บาง ดว้ ยควาสะดวกสบายน้ี ทาใหช้ ดุ กโิ มโนแพร่หลายไปอย่างรวดเรว็ โดยในวงการ แฟชัน่ สมยั นัน้ ผตู้ ดั เย็บก็จะคิดหาวธิ ีที่ทาให้ชุดกิโมโนมีสีสัน ผสมผสนานกนั ดว้ ยสี ต่างๆ ใหเ้ หมาะกบั สภาพอากาศและชนชัน้ ทางสงั คม ถอื วา่ เป็นชว่ งที่ชุดพัฒนาใน เรือ่ ง “สี” มากท่ีสุด 13
สมยั คามาคุระ และ สมัยโรมาจิ (鎌倉時代ローマ字時代) สมยั คามาคุระ (ค.ศ.1192-1338) และสมัยโรมาจิ (ค.ศ.1338-1573) ทง้ั ผู้หญิงและผชู้ ายจะนยิ มใสช่ ดุ กโิ มโนทีส่ สี นั ทีส่ ด ย่ิงเป็นนักรบจะตอ้ งยิง่ ใส่ชุด ทส่ี สี นั ฉดู ฉาดเพ่ือแสดงถึงความเปน็ ผนู้ า บางคร้ังมีการนาไปแข่งแฟช่ันกันใน สนามรบอกี ด้วย สมัยเอโดะ (江戸時代) ในค.ศ. 1603-1868 ชดุ กิโมโนไดม้ ีการพัฒนามาเปน็ วธิ กี ารแสดงออก ถงึ ความมง่ั ค่งั และฐานะในทางชนช้ัน โดยสมัยน้ที าใหเ้ ราไดร้ ้จู กั กับ “กโิ มโน และโอบิ” ในช่วงกลางยุคเอโดะโบว์ ของโอบจิ ะผกู ติดอยู่ในตาแหน่งด้านหลัง นักออกแบบได้มุง่ เน้นไปทก่ี ารสร้างสรรคโ์ อบิใหม้ ีความซับซอ้ นมากข้ึน เปีย่ ม ไปดว้ ยทกั ษะการเลือกใชว้ ัสดทุ โี่ ดดเด่น จนทาให้ได้รับการยกย่องว่าเปน็ ศิลปะ ท่ยี อดเยยี่ ม ถอื เปน็ พนื้ ฐานหลกั ของกิโมโนท้งั ชายและหญงิ ซึ่งในปัจจุบัน ชดุ กโิ มโนที่เก่าแก่ทส่ี ุดมกั จะมาจากสมัยเอโดะ เรามักจะเรียกกันว่า \"Kosode\" และสามารถพบเหน็ ไดใ้ นพพิ ิธภณั ฑ์ เปน็ ชว่ งท่ีพัฒนากโิ มโนไป อกี ขั้น จนเป็นผลงานศลิ ปะชิ้นหน่ึง 16
สมยั เมจิ (明治時代) ในค.ศ. 1868-1912 หลังจากทญี่ ่ปี ุ่นไดม้ ีการเปิดพรมแดนการค้าขาย แบบตะวนั ตก จนทาให้ญ่ปี ่นุ ได้รบั อิทธพิ ลจากตา่ งชาติมากข้ึน นาไปสู่การแต่ง กายแบบตะวนั ตกซ่งึ บง่ บอกถึง “ความทนั สมัย” ชาวญ่ีปุ่นจึงเปลย่ี นมาใสช่ ุด สากลรปู แบบของชาวตะวันตก ส่งผลใหค้ นญ่ีปนุ่ ไมค่ อ่ ยสวมใส่กิโมโนใน ชวี ิตประจาวนั และจะนาชดุ กิโมโนมาสวมใส่เม่ือมงี านที่เปน็ พธิ กี ารเท่าน้ัน สมัยไทโช (大正時代) ในค.ศ. 1912-1926 เสอื้ ผา้ ของชาวตะวันตกกลายมาเป็นปญั หา เครื่องแบบทางการทหาร และมีชดุ กะลาสีฟุกเุ ขา้ มาแทนท่ชี ดุ กิโมโนของผชู้ าย แตส่ าหรับผู้หญิงกโิ มโนยงั คงเป็นแฟช่นั ท่ไี ด้รับการนยิ มสวมใสใ่ นชีวิตประจาวนั อยู่ หลังจากเกิดเหตุการณแ์ ผ่นดินไหวขน้ึ ครงั้ ใหญท่ าให้ผู้คนสญู เสยี ทรพั ย์สนิ เปน็ จานวนมาก ซ่งึ การสวมใสช่ ุดกิโมโนทที่ อจากผ้าไหมเมเซน ได้รบั ความนิยม อยา่ งมากจากการออกแบบที่สดใสตามฤดูกาล ไทโชรเิ รม่ิ ทาชุดกโิ มโนใหเ้ ปน็ ทางการข้ึนอีกคร้งั สะท้อนใหเ้ ห็นถงึ อารยธรรมท่รี ุ่งเรืองขน้ึ และทาใหผ้ คู้ น ชาวญป่ี ่นุ สวมใส่กโิ มโนทส่ี ดใสหลากหลายสีสันกนั ทุกคน เป็นพธิ ีการเท่านนั้ 18
สมัยโชวะ (平成時代) ในค.ศ. 1926-1989 แม้วา่ สาหรบั ผ้ชู ายกโิ มโนจะไม่ใช่ชุดที่สวมใส่ ปกติอกี ต่อไป แตส่ าหรบั ผู้หญงิ แลว้ ก็ยังสวมใสช่ ุดกโิ มโนทกุ วนั ชุดกิโมโนของ สาวชาวญ่ีปุน่ ในสายตาของต่างชาตนิ ้ันมองวา่ สวยแลว้ แต่ยังมชี ุดท่ีสวยท่ีสุด มีชือ่ วา่ อูชคิ าเคะ (uchikake) จะเป็นชุดกโิ มโนยาวเตม็ ยศ ซ่งึ เจา้ สาวจะเปน็ ผสู้ วมใสใ่ นพิธีแตง่ งาน ถกู ตัดเย็บจากผ้าไหมประดับด้วยดน้ิ ไหมสที องและเงนิ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ลวดลายดอกไมห้ รือไม่ก็ลวดบายของนก กิโมโนนน้ั ว่ากนั วา่ มีด้วยกันหลายชดุ เช่น ชุดกิโมโนสาหรบั ผูห้ ญิงที่ยังเปน็ โสดและแต่งงานแล้ว การออกแบบจะแตกต่างกัน รวมถึงสสี นั ความยาวของชายเสือ้ และลวดลาย เน้อื ผา้ ทง้ั นี้ขึน้ อยูก่ บั โอกาสของการสวมใสแ่ ละเปน็ พธิ กี ารหรือไม่เปน็ ทางการ สมัยเฮเซ (平成時代) ในค.ศ. 1889-2019 มีการล่มสลายทางเศรษฐกิจเกดิ ขึ้น จนทาให้ อุตสาหกรรมกิโมโนส่วนใหญ่ลม่ สลายลง เส้ือคลุมทรงกโิ มโนสาหรบั ค่แู ต่งงาน หา่ งหายไป ทาใหก้ ารสวมใส่ชุดในแบบตะวนั ตก เนื่องในพธิ ีการต่างๆ เช่น งานแตง่ และงานศพ เปน็ ทย่ี อมรบั มากข้ึน ทาใหผ้ ู้หญิงหลายคนท่ีมีชุดกิโมโน นับสิบนับรอ้ ย ตอ้ งนามาขายเปน็ ชุดมือสอง จนในชว่ งศตวรรษท่ี 21 ชุดยูกาตะทร่ี าคาถกู และเรียบงา่ ยกลายมาเป็นทน่ี ยิ มในคนหน่มุ สาว และในปี 2010 ผู้ชายเร่ิมกลับมาสวมใสช่ ดุ กโิ มโนอีกครัง้ ในสถานการณ์ตา่ งๆ เวน้ เฉพาะในงานแต่งงาน และชดุ กโิ มโนไดม้ กี ารนากลับมาสวมใส่อีกคร้ังใน การใช้ชวี ิตประจาวันโดยพวกชนกลมุ่ น้อย 19
ยุคเรวะ (令和時代) ในค.ศ. 2019 - ปัจจุบนั ผู้คนส่วนใหญใ่ นญป่ี ่นุ นยิ มการสวมใส่ เส้ือผ้าแบบตะวนั ตกในชวี ติ ประจาวนั และมกั จะสวมใส่ชดุ กโิ มโนเมอ่ื มี โอกาสที่เป็นทางการ เช่น มีงานแตง่ งาน งานศพ หรืองานฤดรู อ้ นทสี่ ามารถ สวมใส่ชุดกโิ มโนมาตรฐานได้ ในปี 2019 นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโต ประกาศว่าเจา้ หน้าที่ของเขากาลงั ทางานเพือ่ ลงทะเบยี น \"วัฒนธรรมชดุ กโิ มโน\" ในรายการมรดกทางวฒั นธรรมทีจ่ บั ต้องไมไ่ ดข้ องยเู นสโก และในปัจจบุ นั ชุดกิโมโนถือได้วา่ เปน็ เอกลกั ษณ์ที่สาคัญของคนญ่ีปนุ่ 21
“กโิ มโน” แต่ละสมยั มคี วามแตกต่างกันมาก กว่าจะมาเป็นกโิ มโนในยคุ ปจั จุบันไดน้ ้ัน นักพัฒนาแตล่ ะ สมยั ก็ได้พัฒนาขน้ึ มาไดเ้ หมาะสมกบั ยุคสมยั นัน้ ๆ นอกจากน้ี ยังแสดงถงึ อิทธิพลทไ่ี ด้รับในสมัยนั้นๆ ไดเ้ ปน็ อย่างดี.. 24
CHAPTER 2
“...แต่ทว่า กวา่ จะมาเปน็ “กิโมโน” ทีส่ งา่ งามไดน้ นั้ จะเคยมีเรือ่ งราวเล่าขานแบบไหนมาบ้าง ข้าพเจา้ ปรารถนาให้ท่าน ได้เปดิ ประตูส่เู รอ่ื งราว... ในหน้าถดั ไป...” 30
Kuchisake Onna (คชุ ซิ าเกะ ออน นะ) ตานานผสี าวญปี่ ุ่นทถ่ี ูกพูดถงึ ต้งั แต่ช่วงยคุ สมัยเฮอัง คงต้องยกให้กับ “Kuchisake onna” เธอคอื หญิงสาวท่มี ี ใบหน้าสวยทสี่ ุดในสมัยนนั้ เปน็ ภรรยาของซามไู รทม่ี ชี อื่ เสียง แต่โชครา้ ยทสี่ ามีของเธอ สงสยั วา่ เธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธ จงึ ใช้ดาบคาตานะ ตดั ปากของเธอจนฉกี ถึงใบหู เพื่อทาลาย ความงดงามของเธอพร้อมท้งั พดู ถากถางดว้ ยคาพดู ที่ว่า “อย่างน้ีแลว้ ใครจะคิดวา่ เธองดงามอีก” เมอ่ื เธอตายไปจงึ กลายเป็นวิญญาณที่มีความอาคาต พยาบาท มีพฤตกิ รรมทีน่ ่ากลวั เธอมักจะยนื อยูร่ ิมถนนช่วง เยน็ ๆในวนั ทม่ี ีหมอก และจะสวมผ้าปดิ ปากไว้ใหเ้ ห็นเพียงครึ่ง ใบหนา้ เม่ือมคี นเดนิ ผา่ นมาจะเขา้ ไปทกั ทายแลว้ ถามว่า “ฉนั สวยหรอื ไม่” ถา้ ตอบกลับไปว่า “สวย” เธอจะถอดผา้ ปิด ปากออก แล้วถามอกี คร้งั วา่ “แล้วแบบน้ีละ่ ” ถา้ ใครตอบว่า “ไม่สวย” เธอจะใช้กรรไกรตดั ร่างใหข้ าดเป็นสองท่อน และถ้าใครตอบวา่ “สวย” เธอจะใชก้ รรไกรตัดปากให้ฉีกถึงใบ หูเหมอื นกับเธอ แต่ถ้าใครท่ตี กใจแลว้ พยายามวง่ิ หนี เธอจะว่ิงไลต่ ามอาคาต และตอ่ ใหห้ นีเทา่ ไหร่ก็หนไี มพ่ น้ เธอ 32
Yuki onna (ยกู ิ อนนะ) ท่ามกลางคนื ทม่ี หี มิ ะตกและอากาศทห่ี นาวเหน็บ หญิง สาวคนหนงึ่ ผวิ ซีดขาวราวกับหิมะ เธอมผี มยาวสดี าสนิทและเธอเดนิ ฝ่าหิมะบนพ้นื ถนนทมี่ ีหมิ ะปกคลมุ อยู่ แตก่ ลับไม่มรี อยเท้าของเธอ ปรากฏอยู่เลย เราเรียกเธอว่า “Yuki onna” เธอเปรยี บเสมือน จิตวญิ ญาณของฤดหู นาว เรอ่ื งราวของเธอ ถกู เล่าขานกันตอ่ มา ในหลายๆภูมภิ าคของประเทศญป่ี นุ่ เธอมกั ปรากฏตวั ออกมาในคา่ คนื ท่ีมีพายหุ มิ ะอนั หนาว เหนบ็ นักเดินทางหลายๆคนต่างหวาดกลวั และหลกี เลี่ยงการเดินทาง ในคนื ทม่ี พี ายหุ มิ ะตกหนกั เพราะบางครง้ั อาจจะต้องเจอกับหญิงสาว ใส่ชุดกิโมโนสขี าว ผมยาวสดี าสนิท ริมฝบี างซีดสีนา้ เงิน เธอจะยืนอมุ้ เดก็ ทารกและขอความชว่ ยเหลอื ให้นกั เดินทาง อุม้ เดก็ ทารกไว้ หลงั จากน้นั เดก็ ทารกจะมนี ้าหนกั มากขนึ้ เรือ่ ย ๆ จนนกั เดนิ ทางไมส่ ามารถขยบั ไดแ้ ละถกู หมิ ะปกคลุม ทาให้หนาว เหนบ็ จนถึงแกค่ วามตาย และเธออาจจะผลกั นกั เดนิ ทางตกภเู ขา จนถงึ แกค่ วามตาย ถ้าหากปฏิเสธทจ่ี ะชว่ ยอมุ้ เดก็ ทารกของเธอ 34
Okiku (โอคคิ )ุ ปราสาทฮิเมจิ เปน็ ปราสาททส่ี วยงาม ทตี่ ง้ั อยู่ในเมอื งฮเิ มจิ แต่เบ้ืองหลัง ความงดงามกลับมตี านานสยองขวัญที่ซอ่ นอยู่ เป็นเรอื่ งเล่าทส่ี ืบทอดต่อกนั มาหลาย ช่วงอายคุ น กับหญิงสาวนางหนง่ึ ทม่ี ีชอื่ วา่ “Okiku” เธอเป็นหญงิ สาวรับใชท้ ี่มหี นา้ ท่ี ล้างจานในปราสาทฮเิ มจิ เธอเปน็ หญิงสาวท่งี ดงาม จนทาใหไ้ ปสะดุดตาซามไู ร หนมุ่ ท่ีมชี อื่ ว่า อาโอยามะ ชายหนมุ่ ไดพ้ ยายามหวา่ นล้อมโอคคิ หุ ลายครั้ง แต่ไมส่ าเร็จ เขาจึงออกอบุ ายนาจานหนงึ่ ในสบิ ใบมลู ค่าสงู และแพงมากทีอ่ ยู่ในความรบั ผิดชอบ ของโอคคิ ุไปซ่อน จากนน้ั จึงเรยี กถามโอคิคุถงึ จานเพอื่ นาไปใสอ่ าหารใหเ้ จ้านาย เมอ่ื โอคิคนุ ับจานจึงรู้วา่ มีจานหนง่ึ ใบที่หายไป เธอตกใจกลวั จนตวั ส่ัน เพราะเธอรู้ว่า การที่จานหนง่ึ ใบหายไปมมี ลู คา่ สงู มากถึงเพยี งใด อาโอยามะจึงยืน่ ขอ้ เสนอใหโ้ อคิคุ เปน็ ภรรยาของตนเพื่อทีจ่ ะไดไ้ ม่บอกความจรงิ เร่อื งน้ี แต่โอคิคุก็ปฏเิ สธอีกคร้งั อาโอยามะโกรธมากและใหท้ หารนาเธอไปทรมารแลว้ กจ็ บชวี ิตของเธอลงด้วย การโยนเธอลงบอ่ นา้ หลังจากการตายของเธอไม่นานกม็ ีคนพบเห็นเธอ ลอยขน้ึ มาจากบอ่ นา้ วิญญาณของเธอปรากฏขึ้นตามทต่ี ่างๆของปราสาทเพื่อตามหาจานที่หายไป เธอจะค่อยๆนับจานใบท่ี 1 ถึงใบที่ 9 เมอ่ื พบว่าใบท่ี 10 หายไปเธอจะกรีดร้อง ด้วยเสยี งท่โี หยหวน จนใครท่ีได้ยินเสยี งกรีดร้องนนั้ กต็ ้องพบแตค่ วามหายนะ ถึงกระทง่ั บางคนก็ถงึ แก่ความตาย 36
Jorogomo (โจโรกโุ มะ) ตานานปีศาจแมงมมุ สาวที่มีชอ่ื วา่ “Jorogumo” เป็นที่กล่าวขานไปทั่วญป่ี นุ่ วา่ กันว่ามแี มงมมุ ท่ีอาศัยอยอู่ ย่างโดดเด่ยี ว มนั ถักทอเสน้ ใยเป็นลูกบอลก้อนกลมๆ มสี ที อง ซงึ่ ใชร้ ะยะเวลากว่า 400 ปีในการถกั ทอ สามารถพฒั นาพลงั เวทมนต์ด้วยตัวเอง และเรม่ิ กินเนอ้ื มนษุ ยเ์ ป็นอาหาร โดยการปรากฏตัวของมันจะแปลงร่างตัวเอง ให้กลายเป็นหญงิ สาวทมี่ ีความสวยงาม และหลอกลอ่ ผชู้ ายที่พยายามตามหาความรกั พวกมนั โหดรา้ ยและเลอื ดเยน็ มาก เพราะคดิ แคว่ ่ามนษุ ย์ก็คืออาหารอย่างหนึง่ ไมต่ า่ งจากแมลง นอกจากน้มี นั ยงั มีพษิ ทีร่ ุนแรง เปน็ อย่างมาก ซงึ่ สามารถทาให้ มนุษย์ตายอยา่ งช้าๆเพอ่ื ลม้ิ รส ความเจ็บปวดแล้วความทรมาน อยา่ งแสนสาหัส 38
“...ตำนาน “กโิ มโน” ทเี่ ล่าขานต่อ ๆ กนั มา หลายยุค หลายสมัย จนถงึ ปัจจุบันนี้ ในประเทศ ญปี่ ุ่นกย็ ังคงมีตำนานเหล่านน้ั ท่ถี ูกเล่าต่อๆ ไป โดยคนร่นุ ใหม่ และมีการนำตำนานเหลา่ น้ัน มาพัฒนา ดดั แปลง ให้มีความร่วมสมยั อาทิเช่น การนำไปทำเปน็ นยิ าย ภาพยนตร์ แลว้ ดัดแปลงให้มี ความนา่ ตืน่ เตน้ เร้าใจ ระทึกขวัญมากยิ่งข้นึ ...” 40
CHAPTER 3
“...ใครจะคิดว่า “กิโมโน” จะกลายมาเป็น โศกนาฏกรรมที่เป็นต้นเหตุใหช้ าวญ่ปี นุ่ ตายนบั ไมถ่ ้วน เรอื่ งราวของตำนานกโิ มโนต้องคำสาปน้ี เกิดในสมัย ราชวงศ์เมเรกิ เมอ่ื เกดิ เหตุการณป์ ระหลาดและ ไมค่ าดฝนั ขนึ้ กบั เด็กสาว 3 คน ทีเ่ สยี ชีวติ ก่อนท่ีจะได้ ใสช่ ุดกิโมโนตวั หน่งึ จนในที่สุดทำให้ไม่มีผใู้ ดกล้าใส่ กโิ มโนตวั น้ี และมันไดร้ ับการขนานนามวา่ เปน็ กิโมโนต้องคำสาป...” 46
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116