๑๐๑ มงคล สง่ิ ท่ที ำใหม้ โี ชคดีตามหลกั พระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมทน่ี ำมาซงึ่ ความสุข ความเจริญ มงคล 38 ประการ หรอื เรียกเต็มวา่ อุดมมงคล (มงคลอนั สงู สุด) 38 ประการ (ดรู ายละเอียดมงคลสูตร) (พ.ศ. หนา้ 211) มจิ ฉาวณิชชา 5 การคา้ ขายทผ่ี ิดศลี ธรรมไม่ชอบธรรม มี 5 ประการ คือ 1. สตั ถวณิชชา ค้าอาวุธ 2. สัตตวณชิ ชา คา้ มนษุ ย์ 3. มังสวณิชชา เลี้ยงสัตว์ไวข้ ายเนอื้ 4. มัชชวณิชชา ค้าขายน้ำเมา 5. วสิ วณิชชา ค้าขายยาพิษ (พ.ศ. หน้า 233) มรรคมอี งค์ 8 ข้อปฏบิ ัติให้ถงึ ความดับทุกข์ เรียกเตม็ ว่า “อรยิ อัฏฐังคิกมรรค” ไดแ้ ก่ 1. สมั มาทฎิ ฐิ เห็นชอบ 2. สัมมาสงั กัปปะ ดำริชอบ 3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ 4. สัมมากมั มันตะ ทำการชอบ 5. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ เพยี รชอบ 7.สมั มาสติ ระลึกชอบ 8. สมั มาสมาธิ ต้งั จติ มน่ั ชอบ (พ.ศ. หน้า 215) มิจฉัตตะ 10 ภาวะทีผ่ ิด ความเป็นสิ่งท่ผี ิด ได้แก่ 1. มิจฉทิฏฐิ (เห็นผดิ ได้แก่ ความเห็นผิดจากคลองธรรมตาม หลกั กศุ ลกรรมบถ และความเห็นที่ไม่นำไปสูค่ วามพ้นทุกข์) 2. มิจฉาสังกัปปะ (ดำริผดิ ได้แก่ ความ ดำริท่เี ป็นอกศุ ลทั้งหลาย ตรงข้ามจากสัมมาสงั กัปปะ) 3. มจิ ฉาวาจา (วาจาผิด ได้แก่ วจีทจุ ริต 4) 4. มิจฉากัมมันตะ (กระทำผิด ได้แก่ กายทุจริต 3) 5. มจิ ฉาอาชีวะ (เลยี้ งชพี ผิด ไดแ้ ก่ เลยี้ งชีพในทาง ทุจริต) 6. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผดิ ได้แก่ ความเพียรตรงขา้ มกบั สัมมาวายามะ) 7. มจิ ฉาสติ (ระลึกผดิ ได้แก่ ความระลึกถงึ เร่ืองราวทล่ี ว่ งแล้ว เช่น ระลกึ ถงึ การได้ทรัพย์ การได้ยศ เปน็ ต้น ในทางอกุศล อันจัดเป็นสติเทียม) เปน็ เหตุชักนำใจใหเ้ กดิ กเิ ลส มโี ลภะ มานะ อสสา มัจฉรยิ ะ เป็นตน้ 8. มิจฉาสมาธิ (ต้งั ใจผิด ไดแ้ ก่ ต้ังจติ เพ่งเล็ง จดจ่อปกั ใจแนว่ แนใ่ นกามราคะพยาบาท เป็นตน้ หรือเจริญสมาธิแล้ว หลงเพลิน ตดิ หมกมนุ่ ตลอดจนนำไปใชผ้ ิดทาง ไม่เป็นไปเพ่ือญาณทัสสนะ และ ความหลดุ พ้น) 9. มจิ ฉาญาณ (รูผ้ ดิ ไดแ้ ก่ ความหลงผิดที่แสดงออกในการคดิ อบุ ายทำความช่วั และ ในการพจิ ารณาทบทวน วา่ ความช่ัวนัน้ ๆ ตนกระทำได้อย่างดแี ล้ว เปน็ ตน้ ) 10. มจิ ฉาวิมุตติ (พน้ ผิด ได้แก่ ยังไมถ่ ึงวมิ ุตติ สำคัญวา่ ถึงวมิ ตุ ติ หรือสำคัญผิดในสง่ิ ท่ีมิใชว่ ิมตุ ติ) (พ.ธ. หน้า 322) มิตรปฏริ ูป คนเทียมมิตร มติ รเทียม มิใชม่ ิตรแท้ มี 4 พวก ได้แก่ ๑. คนปอกลอก มีลักษณะ 4 คอื 1.1 คดิ เอาไดฝ้ ่ายเดียว 1.2 ยอมเสียแตน่ อ้ ย โดยหวงั จะเอาให้มาก 1.3 ตวั เองมภี ยั จงึ มาทำกิจของเพื่อน 1.4 คบเพ่ือนเพราะ เห็นแก่ประโยชน์ของตวั 2. คนดีแต่พูด มีลกั ษณะ 4 คือ 2.1 ดีแตย่ กเรอื่ งที่ผา่ นมาแล้วมาปราศรัย 2.2 ดแี ต่ อา้ งสิ่งทีย่ งั มดี ี แต่อ้างสิ่งทย่ี งั ไม่มีมาปราศรัย 2.3 สงเคราะห์ด้วยสง่ิ ท่ไี ร้ประโยชน์ 2.4 เม่ือเพอ่ื นมกี ิจอา้ งแตเ่ หตุขดั ข้อง 3. คนหวั ประจบมลี ักษณะ 4 คือ 3.1 จะทำชั่วก็คล้อยตาม 3.2 จะทำดกี ็คลอ้ ยตาม 3.3 ต่อหนา้ สรรเสรญิ 3.4 ลบั หลงั นินทา 4. คนชวนฉิบหายมีลกั ษณะ 4 4.1 คอยเปน็ เพื่อนดม่ื น้ำเมา 4.2 คอยเป็นเพอื่ นเทยี่ วกลางคืน 4.3 คอยเป็นเพ่ือนเท่ียวดูการเล่น 4.4 คอยเป็นเพ่ือนไปเล่นการพนัน (พ.ธ. หน้า 154 – 155) มติ รน้ำใจ 1. เพอ่ื นมีทุกขพ์ ลอยทกุ ขด์ ว้ ย 2. เพ่ือนมีสขุ พลอยดีใจ 3. เขาตเิ ตยี นเพื่อน ชว่ ยยบั ยั้ง แก้ไขให้ 4. เขาสรรเสริญเพ่ือน ช่วยพดู เสรมิ สนับสนนุ (พ.ศ. หนา้ 234) รปู 1. สงิ่ ที่ตอ้ งสลายไปเพราะปัจจยั ตา่ ง ๆ อันขัดแย้ง ส่งิ ที่เป็นรูปรา่ งพร้อมทง้ั ลักษณะอาการของมัน สว่ น ร่างกาย จำแนกเป็น 28 คอื มหาภูตรูป หรือธาตุ 4 และอุปาทายรูป 2. อารมณ์ทีร่ ไู้ ด้ด้วยจักษุ ส่ิงที่
๑๐๒ ปรากฏแกต่ า ข้อ 1 ในอารมณ์ 6 หรืออายตนะภายนอก 3. ลกั ษณนามใชเ้ รียกพระภิกษสุ ามเณร เชน่ ภกิ ษรุ ูปหนึง่ (พ.ศ. หนา้ 253) วฏั ฏะ 3 หรือไตรวฎั ฎ์ การวนเวียน การเวียนเกิด เวยี นตาย การเวยี นว่ายตายเกดิ ความเวยี นเกดิ หรือ วนเวียนดว้ ยอำนาจกเิ ลส กรรม และวบิ าก เชน่ กิเลสเกิดข้ึนแล้วใหท้ ำกรรม เมื่อทำกรรมแลว้ ย่อม ไดผ้ ลของกรรม เมื่อได้รบั ผลของกรรมแลว้ กเิ ลสกเ็ กิดอีกแลว้ ทำกรรมแล้วเสวยผลกรรมหมุนเวียน ต่อไป (พ.ธ. หน้า 266) วาสนา อาการกายวาจา ทเี่ ป็นลักษณะพเิ ศษของบุคคล ซง่ึ เกดิ จากกเิ ลสบางอย่าง และได้สัง่ สมอบรมมาเป็น เวลานานจนเคยชินตดิ เปน็ พ้ืนประจำตวั แม้จะละกิเลสนั้นได้แลว้ แตก่ อ็ าจจะละอาการกายวาจาทเี่ คย ชนิ ไมไ่ ด้ เช่น คำพูดตดิ ปาก อาการเดนิ ท่ีเรว็ หรอื เดนิ ตว้ มเตี้ยม เปน็ ต้น ท่านขยายความวา่ วาสนา ท่ี เปน็ กุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต คอื เปน็ กลาง ๆ ไม่ดีไมช่ ่ัวก็มี ทีเ่ ปน็ กศุ ลกับอัพยากฤตน้ัน ไม่ต้องละ แต่ทีเ่ ป็นอกศุ ลซ่ึงควรจะละนั้น แบง่ เป็น 2 สว่ น คอื ส่วนทจ่ี ะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับ สว่ นที่เป็นเหตุให้เกดิ อาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ต่าง ๆ ส่วนแรก พระอรหันตท์ กุ องค์ละได้ แตส่ ่วนหลงั พระพทุ ธเจ้าเท่านัน้ ละได้ พระอรหันตอ์ ่นื ละไมไ่ ด้ จงึ มคี ำกลา่ ววา่ พระพทุ ธเจ้าเทา่ น้ันละกิเลส ทง้ั หมดได้ พร้อมทั้งวาสนา; ในภาษาไทย คำว่าวาสนามีความหมายเพย้ี นไป กลายเป็นอำนาจบญุ เกา่ หรือกุศลท่ีทำให้ไดร้ บั ลาภยศ (ไมม่ ีใน พ.ศ. ฉบับทีพ่ มิ พ์เปน็ เล่ม แต่คน้ ไดจ้ ากแผน่ ซดี รี อม พ.ศ. ของสมาคมศษิ ยเ์ ก่ามหาจฬุ า ฯ) วิตก ความตรึก ตริ กายยกจติ ข้ึนสู่อารมณ์ การคิด ความดำริ “ไทยใช้ว่าเปน็ ห่วงกงั วล” แบ่งออกเปน็ กุศลวิตก 3 และอกุศลวติ ก 3 (พ.ศ. หน้า 273) วบิ ัติ 4 ความบกพร่องแห่งองค์ประกอบตา่ ง ๆ ซึ่งไม่อำนวยแกก่ ารที่กรรมดจี ะปรากฏผล แต่กลบั เปดิ ช่องให้ กรรมชั่วแสดงผล พดู สน้ั ๆ วา่ ส่วนประกอบบกพร่อง เปดิ ช่องใหก้ รรมช่ัววบิ ตั มิ ี 4 คือ 1. คตวิ บิ ัติ วบิ ัตแิ ห่งคติ หรอื คติเสยี คอื เกิดอยใู่ นภพ ภูมิ ถนิ่ ประเทศ สภาพแวดล้อมท่ีไม่เหมาะ ไมเ่ กือ้ กูล ทาง ดำเนนิ ชีวติ ถิน่ ท่ไี ปไมอ่ ำนวย 2. อปุ ธิวบิ ัติ วบิ ตั ิแหง่ ร่างกาย หรอื รูปกายเสยี เช่น รา่ งกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไมส่ วยงาม กริ ิยาท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชมตลอดจนสุขภาพท่ีไมด่ ี เจ็บป่วย มีโรคมาก 3. กาล วิบัติ วิบตั ิแหง่ กาลหรอื หรือกาลเสยี คือเกิดอย่ใู นยุคสมัยท่ีบ้านเมืองมภี ยั พบิ ัติไมส่ งบเรยี บรอ้ ย ผูป้ กครองไมด่ ี สังคมเส่ือมจากศีลธรรม มากดว้ ยการเบียดเบยี น ยกย่องคนชัว่ บบี ค้ันคนดี ตลอดจน ทำอะไรไมถ่ ูกาลเวลา ไม่ถกู จังหวะ 4. ปโยควบิ ัติ วิบตั แิ ห่งการประกอบ หรือกจิ การเสยี เชน่ ฝักใฝใ่ น กจิ การหรือเรื่องราวที่ผิด ทำการไมต่ รงตามความถนดั ความสามารถ ใชค้ วามเพียร ไมถ่ ูกตอ้ ง ทำการคร่งึ ๆ กลาง ๆ เปน็ ต้น (พ.ธ. หน้า 160- 161) วปิ ัสสนาญาณ 9 ญาณในวิปสั สนา ญาณท่นี บั เข้าในวิปัสสนา เป็นความรู้ทท่ี ำใหเ้ กิดความเหน็ แจ้ง เข้าใจ สภาวะของสิง่ ท้ังหลายตามเป็นจรงิ ไดแ้ ก่ 1. อุทยพั พยานปุ สั สนาณาณ คือ ญาณอนั ตามเห็นความ เกดิ และดับของเบญจขนั ธ์ 2. ภังคานุปสั สนาญาณ คือ ญาณอนั ตามเหน็ ความสลาย เมื่อเกดิ ดบั ก็ คำนงึ เด่นชดั ในส่วนดบั ของสังขารท้ังหลาย ต้องแตกสลายทง้ั หมด 3. ภยตปู ัฏฐานญาณ คือ ณาณ อนั มองเห็นสงั ขาร ปรากฏเปน็ ของนา่ กลัว 4. อาทีนวานุปสั สนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงเห็นโทษของ สงั ขารท้งั หลาย วา่ เปน็ โทษบกพร่องเป็นทุกข์ 5. นพิ พิทานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอนั คำนึงเหน็ ความหนา่ ยของสงั ขาร ไมเ่ พลนิ เพลนิ ติดใจ 6. มุญจติ กุ มั ยตาญาณ คือ ญาณอนั คำนึงด้วย ใครพ่ ้นไปเสยี คือ หน่ายสงั ขารทง้ั หลาย ปรารถนาที่จะพน้ ไปเสยี 7. ปฏสิ ังขานปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนงึ พิจารณาหาทาง เม่อื ต้องการจะพ้นไปเสีย เพอ่ื มองหาอบุ ายจะปลดเปล้ืองออกไป 8. สงั ขารุเปกขาณาณ คือ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางตอ่ สังขาร คือ พิจารณาสงั ขารไมย่ นิ ดียิน
๑๐๓ รา้ ยในสังขารท้งั หลาย 9. สัจจานุโลมิกญาณ หรอื อนโุ ลมญาณ คือ ณาณอนั เป็นไปโดยอนุโลกแกก่ าร หย่ังรูอ้ รยิ สจั แลว้ แลว้ มรรคญาณใหส้ ำเรจ็ ความเป็นอรยิ บุคคลต่อไป (พ.ศ. หนา้ 276 – 277) วิมตุ ติ 5 ความหลดุ พน้ ภาวะไรก้ เิ ลส และไมม่ ีทุกข์ มี 5 ประการ คือ 1. วกิ ขัมภนวมิ ตุ ติ ดบั โดยข่มไว้ คอื ดับ กิเลส 2. ตทงั ควิมุตติ ดับกิเลสด้วยธรรมทีเ่ ป็นค่ปู รับธรรมท่ีตรงกนั ข้าม 3. สมุจเฉทวมิ ุตติ ดับ ด้วยตัดขาด ดบั กิเลสเสรจ็ สน้ิ เด็ดขาด 4. ปฏปิ ัสสัทธวิ มิ ุตติ ดับดว้ ยสงบระงับ โดยอาศัย โลกตุ ตรมรรคดบั กเิ ลส 5. นสิ รณวิมตุ ติ ดับด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกตุ ตรธรรมดบั กิเลสเด็ดขาดเสร็จส้ิน (พ.ธ. หนา้ 194) โลกบาลธรรม ธรรมค้มุ ครองโลก ได้แก่ ปกครองควบคุมใจมนุษย์ไวใ้ ห้อยใู่ นความดี มิให้ละเมดิ ศีลธรรม และ ให้อยกู่ นั ดว้ ยความเรยี บร้อยสงบสขุ ไม่เดือดร้อนสับสนวุน่ วาย มี 2 อย่างได้แก่ 1. หิริ ความอายบาป ละอายใจต่อการทำความชั่ว 2. โอตตปั ปะ ความกลัวบาปเกรงกลวั ตอ่ ความชัว่ และ ผลของกรรมช่ัว (พ.ศ. หน้า 260) ฤาษี หมายถงึ ผ้แู สวงธรรม ได้แก่ นกั บวชนอกพระศาสนาซงึ่ อยใู่ นปา่ ชีไพร ผูแ้ ต่งคัมภีร์พระเวท (พ.ศ. หน้า 256) สตปิ ัฏฐาน 4 ท่ีตั้งของสติ การตงั้ สตกิ ำหนดพิจารณาส่ิงทง้ั หลายให้ร้เู ห็นตามความเป็นจริง คือ ตามส่งิ นนั้ ๆ มนั เป็นของมนั เอง มี 4 ประการ คือ 1. กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (การตัง้ สติกำหนดพิจารณากายใหร้ เู้ หน็ ตามเป็นจริงวา่ เป็นแตเ่ พียงกาย ไมใ่ ช่สตั วบ์ ุคคล ตวั ตนเราเขา) ทา่ นจำแนกวธิ ปี ฏิบัติไดห้ ลายอยา่ ง คือ อานาปานสติ กำหนดลม หายใจ 1 อิริยาบถ กำหนดรทู้ นั อริ ยิ าบถ 1) สมั ปชญั ญะ สร้างสมั ปชญั ญะในการกระทำความ เคลื่อนไหวทุกอย่าง 1) ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาสว่ นประกอบอันไม่สะอาดทง้ั หลายทีป่ ระชุมเข้าเปน็ รา่ งกายน้ี 1) ธาตุมนสกิ าร พิจารณาเห็นรา่ งกายของตน โดยสกั วา่ เปน็ ธาตแุ ตล่ ะอย่างๆ 2. เวทนานปุ ัสสาสติปัฏฐาน (การตง้ั สตกิ ำหนดพิจารณาเวทนาใหร้ เู้ ห็นตามเปน็ จรงิ วา่ เปน็ แต่เพยี ง เวทนา ไม่ใชส่ ัตว์บุคคลตวั ตนเราเขา) คือ มีสตริ ชู้ ดั เวทนาอนั เป็นสุขก็ดี ทุกขก์ ด็ ี เฉย ๆ ก็ดี ทง้ั ทเ่ี ป็น สามิสและเป็นนริ ามสิ ตามท่ีเป็นไปอยู่ขณะนั้น ๆ 3. จิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน (การตัง้ สติกำหนดพิจารณาจิต ให้รเู้ ห็นตามเปน็ จรงิ ว่าเป็นแต่เพยี งจติ ไม่ใช่สัตวบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา) คือ มีสตริ ูช้ ัดจติ ของตนที่มรี าคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มโี มหะ เศรา้ หมองหรอื ผอ่ งแผว้ ฟงุ้ ซ่านหรอื เป็นสมาธิ ฯลฯ อยา่ งไร ๆ ตามทเ่ี ปน็ ไปอยู่ ในขณะน้นั ๆ 4. ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (การตงั้ สติกำหนดพิจารณาธรรม ใหร้ ูเ้ หน็ ตามเปน็ จริงวา่ เปน็ แต่เพยี ง ธรรม ไมใ่ ชส่ ตั วบ์ คุ คลตวั ตนของเรา) คือ มสี ติรชู้ ัดธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นวิ รณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 อรยิ สัจ 4 ว่าคืออะไร เปน็ อยา่ งไร มใี นตนหรือไม่ เกิดข้ึน เจริญบรบิ รู ณแ์ ละดบั ได้อยา่ งไร เปน็ ต้น ตามที่เป็นจรงิ ของมนั อย่างนน้ั ๆ (พ.ธ. หนา้ 165) สมณะ หมายถงึ ผูส้ งบ หมายถึงนกั บวชท่วั ไป แต่ในพระพุทธศาสนา ท่านใหค้ วามหมายจำเพาะ หมายถงึ ผูร้ ะดบั บาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผปู้ ฏิบัตเิ พ่อื ระงับบาป ได้แก่ ผปู้ ฏบิ ัติธรรมเพือ่ เป็น พระอริยบุคคล (พ.ศ. หนา้ 299) สมบัติ 4 คือ ความเพียบพรอ้ มสมบรู ณแ์ หง่ องคป์ ระกอบต่าง ๆ ซ่งึ ชว่ ยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไม่เปิดชอ่ งให้กรรมช่วั แสดงผล มี 4 อย่าง คอื 1. คตสิ มบตั ิ สมบตั ิแห่งคติ ถงึ พร้อม ดว้ ยคติ หรอื คตใิ ห้ คือ เกิดอยู่ในภพ ภมู ิ ถ่ิน ประเทศทีเ่ จริญ เหมาะหรือเก้ือกลู ตลอดจนในระยะสนั้ คอื ดำเนินชีวติ หรอื ไปในถ่นิ ท่ีอำนวย 2. อปุ ธสิ มบัติ สมบตั ิแห่งร่างกาย ถึงพร้อมดว้ ยร่างกาย คือมี รปู รา่ งสวย รา่ งกายสงา่ งาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก นา่ นยิ มเลอ่ื มใส สุขภาพดี แขง็ แรง 3. กาลสมบัติ
๑๐๔ สมบัตแิ ห่งกาล ถึงพร้อมด้วยกาลหรือกาลให้ คือ เกดิ อยู่ในสมยั ทีบ่ า้ นเมืองมีความสงบสุข ผปู้ กครองดี ผูค้ นมีคุณธรรมยกยอ่ งคนดี ไมส่ ง่ เสรมิ คนชว่ั ตลอดจนในระยะเวลาสน้ั คอื ทำอะไรถูกกาลเวลา ถูก จังหวะ 4. ปโยคสมบตั ิ สมบตั ิแหง่ การประกอบ ถึงพรอ้ มด้วยการประกอบกจิ หรือกจิ การให้ เชน่ ทำ เร่ืองตรงกับท่เี ขาตอ้ งการ ทำกิจตรงกบั ความถนัดความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลกั ครบถ้วน ตามเกณฑห์ รือเต็มอัตรา ไม่ใชท่ ำครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรอื เหยาะแหยะ หรอื ไม่ถูกเรื่องกัน รู้จัก จัดทำ รจู้ กั ดำเนนิ การ (พ.ธ. หนา้ 161 – 162) สมาบตั ิ ภาวะสงบประณีตซ่งึ พึ่งเข้าถงึ ; สมาบตั มิ หี ลายอย่าง เชน่ ณานสมบตั ิ ผลสมาบัติ อนุปพุ พวหิ ารสมาบัติ (พ.ศ. หนา้ 303) สติ ความระลกึ ได้ นกึ ได้ ความไม่เผลอ การคมุ ใจได้กับกจิ หรือคุมจิตใจไว้กับสงิ่ ที่เกยี่ วข้อง จำการทีทำ และคำพูดแมน้ านได้ (พ.ศ. หน้า 327) สังฆคณุ 9 คุณของพระสงฆ์ 1. พระสงฆส์ าวกของพระผูม้ ีพระภาคเปน็ ผู้ปฏิบัติดี 2. เป็นผูป้ ฏบิ ัติตรง 3. เป็นผ้ปู ฏบิ ัติถูกทาง 4. เปน็ ผูป้ ฏิบัตสิ มควร 5. เป็นผคู้ วรแกก่ ารคำนบั คือ ควรกับของท่ีเขา นำมาถวาย 6. เป็นผคู้ วรแกก่ ารตอนรับ 7. เปน็ ผูค้ วรแก่ทักษิณา ควรแก่ของทำบุญ 8. เป็นผ้คู วร แกก่ ารกระทำอัญชลี ควรแก่การกราบไหว้ 9. เปน็ นาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก เป็นแหล่งปลกู ฝังและ เผยแพรค่ วามดีท่ยี อดเยี่ยมของโลก(พ.ธ. หนา้ 265-266) สงั เวชนยี สถาน สถานทีต่ ้ังแหง่ ความสังเวช ที่ที่ใหเ้ กิดความสังเวช มี 4 คอื 1. ท่พี ระพุทธเจา้ ประสูติ คือ อทุ ยานลมุ พินี ปัจจุบันเรยี กลุมพนิ ีหรอื รุมมนิ เด (Lumbini หรือ Rummindei) 2. ท่ีพระพุทธเจา้ ตรสั รู้ คือ ควงโพธิ์ ทต่ี ำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรอื Bodh – Gaya) 3. ท่ีพระพุทธเจา้ แสดง ปฐมเทศนา คือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปจั จบุ นั เรียกสารนาถ 4. ทพ่ี ระพุทธเจา้ ปรนิ ิพพาน คอื ที่สาลวโนทยาน เมอื งกุสินารา หรือกสุ ินคร บัดนีเ้ รียกกาเซีย (Kasia หรอื Kusinagara) (พ.ศ. หนา้ 317) สนั โดษ ความยนิ ดี ความพอใจ ยินดีด้วยปัจจยั 4 คือ ผา้ นงุ่ ห่ม อาหารท่ีนอนท่นี ั่ง และยาตามมีตามได้ ยนิ ดี ของของตน การมีความสุข ความพอใจด้วยเคร่ืองเล้ียงชีพทหี่ ามาได้ด้วยเพียรพยายามอันชอบธรรม ของตน ไมโ่ ลภ ไม่รษิ ยาใคร (พ.ศ. หน้า 324) สนั โดษ 3 1. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือ ได้ส่ิงใดมาดว้ ยความเพียรของตน ก็พอใจดว้ ยสิ่งน้นั ไม่ได้ เดอื ดรอ้ นเพราะของท่ีไม่ได้ ไมเ่ พ่งเลง็ อยากได้ของคนอืน่ ไม่ริษยาเขา 2. ยถาพลสนั โดษ คือ ยินดีตาม กำลงั คือ พอใจเพียงแค่พอแกก่ ำลังรา่ งกาย สขุ ภาพ และขอบเขตการใช้สอยของตน ของทเ่ี กนิ กำลังก็ ไมห่ วงแหนเสียดายไมเ่ ก็บไวใ้ ห้เสยี เปลา่ หรอื ฝนื ใช้ให้เป็นโทษแก่ตน 3. ยถาสารุปปสนั โดษ ยินดีตาม สมควร คือ พอใจตามท่ีสมควร คือ พอใจตามทส่ี มควรแกภ่ าวะฐานะแนวทางชวี ติ และจดุ หมายแหง่ การบำเพ็ญกิจของตน เชน่ ภิกษพุ อใจแตอ่ งอันเหมาะกบั สมณภาวะ หรอื ไดข้ องใช้ที่ไม่เหมาะสมกบั ตนแต่จะมีประโยชน์แกผ่ อู้ นื่ ก็นำไปมอบให้แก่เขา เปน็ ต้น (พ.ศ. หน้า 324) สทั ธรรม 3 ธรรมอันดี ธรรมที่แท้ ธรรมของสตั บรุ ุษ หลกั หรอื แก่นศาสนา มี 3 ประการ ได้แก่ ๑. ปรยิ ตั ิสัทธรรม (สัทธรรมคอื คำสง่ั สอนอนั จะตอ้ งเล่าเรยี น ไดแ้ ก่ พุทธพจน)์ ๒. ปฏิบัติสัทธรรม (สทั ธรรมคอื สิ่งพึงปฏบิ ัติ ได้แก่ ไตรสกิ ขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา) ๓. ปฏเิ วธสทั ธรรม (สทั ธรรมคอื ผลอนั จะพึงเขา้ ถึง หรอื บรรลุด้วยการปฏิบัติ ไดแ้ ก่ มรรค ผล และ นิพพาน (พ.ธ. หน้า 125) สปั ปุริสธรรม 7 ธรรมของสตั บรุ ษุ ธรรมทีท่ ำให้เปน็ สัตบุรุษ คณุ สมบัติของคนดี ธรรมของผูด้ ี 1. ธมั มัญญตุ า คือ ความรจู้ กั เหตุ คือ รูห้ ลกั ความจริง 2. อัตถญั ญตุ า คือ ความร้จู ักผล คือร้คู วาม มุ่งหมาย 3. อัตตัญญุตา คือ ความร้จู ักตน คือ รวู้ ่าเราน้นั ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลงั ความรู้
๑๐๕ ความสามารถ ความถนดั และคุณธรรม เป็นต้น 4. มัตตัญญตุ า คือ ความรจู้ ักประมาณ คอื ความ พอดี 5. กาลัญญุตา คือ ความรจู้ ักกาล คือ รู้จกั กาลเวลาอันเหมาะสม 6. ปรสิ ญั ญตุ า คอื ความรู้ จักบริษทั คอื รูจ้ กั ชุมชนและร้จู ักทป่ี ระชุม 7. ปคุ คลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญตุ า คอื ความรูจ้ กั บคุ คล คอื ความแตกต่างแห่งบคุ คล (พ.ธ. หนา้ 244) สมั ปชัญญะ ความรูต้ ัวทั่วพร้อม ความรตู้ ระหนัก ความรชู้ ัดเข้าใจชัด ซึ่งส่งิ นึกได้ มักมาค่กู บั สติ (พ.ศ.หนา้ 244) สาราณยี ธรรม 6 ธรรมเป็นทตี่ ้ังแหง่ ความให้ระลกึ ถงึ ธรรมเปน็ เหตใุ หร้ ะลึกถงึ กัน หลกั การอยรู่ ่วมกนั เรยี กอีกอย่างวา่ “สาราณยี ธรรม” 1. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมทั้งต่อหน้าและลับหลัง 2. เมตตาวจีกรรม มเี มตตาวจกี รรมทง้ั ต่อหน้าและลับหลัง 3. เมตตา มโนกรรม มเี มตตามโนกรรม ทง้ั ต่อหน้าและลับหลงั 4. สาธารณโภคี แบ่งปันสง่ิ ของที่ไดม้ าไม่หวง แหน ใชผ้ เู้ ดยี ว 5. สลี สามัญญ ตา มีความประพฤติร่วมกนั ในขอ้ ที่เป็นหลักการสำคัญทจ่ี ะนำไปสูค่ วามหลุดพน้ สนิ้ ทุกข์หรือขจัด ปัญหา 6.ทฏิ ฐสิ ามัญญตา มีความเห็นชอบดงี าม เชน่ เดียวกับหมู่คณะ (พ.ธ. หนา้ 233-235) สุข 2 ความสบาย ความสำราญ มี 2 อย่าง ได้แก่ 1. กายกิ สขุ สุขทางกาย 2. เจตสิกสขุ สขุ ทางใจ อีกหมวด หน่งึ มี 2 คือ 1. สามิสสขุ สุขอิงอามิส คือ อาศยั กามคณุ 2. นิรามสิ สขุ สขุ ไม่อิงอามสิ คอื อิง เนกขัมมะ (พ.ศ. หน้า 343) ศรทั ธา ความเชอ่ื ความเชื่อถอื ความเช่ือม่นั ในสงิ่ ทด่ี ีงาม (พ.ศ. หนา้ 290) ศรัทธา 4 ความเช่ือทป่ี ระกอบดว้ ยเหตผุ ล 4 ประการคือ 1. กัมมสัทธา (เช่อื กรรม เชื่อว่ากรรมมีอยูจ่ รงิ คือ เช่ือว่าเม่อื ทำอะไรโดยมเี จตนา คือ จงใจทำท้ังทรี่ ู้ ย่อมเปน็ กรรม คือ เปน็ ความช่ัว ความดี มขี น้ึ ในตน เป็นเหตปุ ัจจัยก่อใหเ้ กิดผลดผี ลร้ายสืบเน่ืองต่อไป การกระทำไมว่ ่างเปลา่ และเช่อื ว่าผลที่ ต้องการจะสำเร็จไดด้ ้วยการกระทำ มใิ ช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นตน้ 2. วิปากสทั ธา (เชื่อวิบาก เช่ือผลของกรรม เชอ่ื ว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชอื่ วา่ กรรมท่ีสำเร็จต้องมีผล และผลต้อง มี เหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี และผลช่วั เกิดจากกรรมชั่ว 3. กัมมัสสกตาสัทธา (ความเชือ่ ท่ีสัตว์มีกรรม เป็นของตน เชื่อว่าแตล่ ะคนเปน็ เจา้ ของจะต้องรับผิดชอบเสวยวิบากเปน็ ไปตามกรรมของตน 4. ตถาคตโพธิสทั ธา (เช่ือความตรสั รู้ของพระพทุ ธเจา้ ม่ันใจในองค์พระตถาคตว่าทรงเปน็ พระสัมมา สัมพทุ ธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญตั วิ นิ ัยไวด้ ว้ ยดี ทรงเปน็ ผนู้ ำทางท่ีแสดงใหเ้ ห็น วา่ มนุษย์ คอื เราทกุ คนน้ี หากฝึกตนดว้ ยดกี ส็ ามารถเขา้ ถึงภูมธิ รรมสูงสุด บรสิ ทุ ธห์ิ ลดุ พน้ ไดด้ งั ท่ี พระองค์ไดท้ รงบำเพ็ญไว้ (พ.ธ. หนา้ 164) สงเคราะห์ การช่วยเหลือ การเอื้อเฟอ้ื เกื้อกลู (พ.ศ. หน้า 228) สังคหวัตถุ 4 เร่ืองสงเคราะหก์ นั คณุ ธรรมเปน็ เครอื่ งยึดเหน่ียวใจของผูอ้ ่ืนไวไ้ ด้ หลกั การสงเคราะห์ คือ ช่วยเหลือกนั ยึดเหน่ยี วใจกันไว้ และเปน็ เคร่อื งเกาะกุมประสานโลก ไดแ้ ก่ สังคมแหง่ หมสู่ ัตวไ์ ว้ ดุจ สลักเกาะยึดรถที่กำลงั แลน่ ไปใหค้ งเป็นรถ และวงิ่ แลน่ ไปได้มี 4 อยา่ งคือ 1. ทาน การแบ่งปัน เอ้อื เฟ้ือเผื่อแผ่กัน 2. ปยิ วาจา พูดจานา่ รัก น่านยิ มนบั ถือ 3. อตั ถจรยิ า บำเพญ็ ประโยชน์ 4.สมานัตตนา ความมตี นเสมอ คือ ทำตัวใหเ้ ข้ากันได้ เชน่ ไมถ่ ือตัว ร่วมสุข รว่ มทุกข์กัน เปน็ ตน้ (พ.ศ. หน้า 310) สมั มตั ตะ ความเปน็ ถูก ภาวะทีถ่ ูก มี 10 อย่าง 8 ข้อตน้ ตรงกบั องค์มรรคทั้ง 8 ข้อ เพิ่ม 2 ข้อท้าย คือ 9. สมั มาญาณ รู้ชอบได้แกผ่ ลญาณ และปจั จเวกขณญาณ 10. สัมมาวมิ ุตติ พ้นชอบได้แก่ อรหัตตผลวิมุตติ; เรยี กอีกอย่าง อเสขธรรม 10 (พ.ศ. หน้า 329) สุจริต 3 ความประพฤติดี ประพฤตชิ อบตามคลองธรรม มี 3 คอื 1. กายสจุ รติ ประพฤติชอบทางกาย 2. วจสี ุจริต ประพฤตชิ อบทางวาจา 3. มโนสจุ รติ ประพฤตชิ อบทางใจ (พ.ศ. หน้า 345) หริ ิ ความละอายต่อการทำชั่ว (พ.ศ. หน้า 355)
๑๐๖ อกุศลกรรมบถ 10 ทางแห่งอกุศลกรรม ทางความชั่ว กรรมชั่วอันเปน็ ทางนำไปสูค่ วามเส่อื ม ความทุกข์ หรือ ทคุ ติ 1. ปาณาตบิ าต การทำชีวิตใหต้ กลว่ ง 2. อทินนาทาน การถือเอาของทเี่ ขามิได้ให้ โดยอาการ ขโมย ลักทรัพย์ 3. กาเมสุมจิ ฉาจาร ความประพฤตผิ ดิ ทางกาม 4. มสุ าวาท การพูดเท็จ 5. ปิสณุ วาจา วาจาส่อเสยี ด 6. ผรสุ วาจา วาจาหยาบ 7. สมั ผัปปลาปะ พดู เพอ้ เจ้อ 8. อภิชฌา เพง่ เลง็ อยากได้ของเขา 9. พยาบาท คิดรา้ ยผู้อ่ืน 10. มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผิดจากคลองธรรม (พ.ธ. หนา้ 279, 309) อกศุ ลมลู 3 รากเหง้าของอกุศล ต้นตอของความชั่ว มี 3 คอื 1. โลภะ (ความอยากได้) 2. โทสะ (ความคดิ ประทุษร้าย) 3. โมหะ (ความหลง) 8 (พ.ธ. หน้า 89) อคติ 4 ฐานะอนั ไมพ่ ึงถึง ทางความประพฤติทผี่ ิด ความไม่เที่ยงธรรม ความลำเอยี ง มี 4 อย่างคือ 1. ฉันทาคติ (ลำเอยี งเพราะชอบ) 2. โทสาคติ (ลำเอยี งเพราะชัง) 3. โมหาคติ (ลำเอยี งเพราะหลง พลาดผิดเพราะเขลา) 4. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) (พ.ธ. หน้า 174) อนตั ตา ไมใ่ ช่อัตตา ไมใ่ ชต่ วั ตน (พ.ศ. หนา้ 366) อบายมุข ชอ่ งทางของความเสื่อม เหตุเคร่ืองฉิบหาย เหตยุ ่อยยบั แหง่ โภคทรัพย์ ทางแห่งความพินาศ (พ.ศ. หน้า 377) อบายมุข 4 1. อิตถธี ุตตะ (เป็นนักเลงหญิง นักเท่ียวผู้หญงิ ) 2. สุราธตุ ตะ (เป็นนกั เลงสุรา นักด่ืม) 3. อักขธตุ ตะ (เป็นนกั การพนัน) 4. ปาปมติ ตะ (คบคนชว่ั ) (พ.ศ. หนา้ 377) อบายมุข 6 1. ติดสรุ าและของมนึ เมา 1.1 ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชัด ๆ 1.2 กอ่ การทะเลาะวิวาท 1.3 เป็นบอ่ เกดิ แห่งโรค 1.4 เสียเกียรติ เสยี ช่อื เสียง 1.5 ทำใหไ้ ม่รู้อาย 1.6 ทอนกำลงั ปญั ญา 2. ชอบเทย่ี วกลางคนื มโี ทษ 6 อยา่ งคือ 2.1 ชอ่ื ว่าไม่รักษาตน 2.2 ชื่อว่าไมร่ กั ษาลูกเมีย 2.3 ช่อื ว่าไม่รักษาทรัพยส์ มบัติ 2.4 เปน็ ท่ีระแวงสงสัย 2.5 เป็นเป้าใหเ้ ขาใสค่ วามหรือข่าวลือ 2.6 เป็นทีม่ าของเร่ืองเดือดร้อนเปน็ อันมาก 3. ชอบเทย่ี วดูการละเลน่ มโี ทษ โดยการงานเสอ่ื มเสยี เพราะมใี จกังวลคอยคิดจ้อง กับเสียเวลาเม่อื ไปดูสง่ิ นนั้ ๆ ทั้ง 6 กรณี คอื 3.1 รำท่ีไหนไปทีน่ น่ั 3.2 – 3.3 ขบั รอ้ ง ดนตรี เสภา เพลงเถิดเทงิ ท่ไี หนไปทนี่ ั่น 4. ติดการพนัน มีโทษ 6 คือ 4.1 เม่ือชนะยอ่ มกอ่ เวร 4.2 เม่อื แพก้ เ็ สียดายทรัพย์ท่ีเสียไป 4.3 ทรัพยห์ มดไป ๆ เหน็ ชัด ๆ 4.4 เขา้ ท่ีประชุมเขาไม่เชอ่ื ถือถ้อยคำ 4.5 เปน็ ท่หี มิ่นประมาทของเพ่อื นฝงู 4.6 ไมเ่ ป็นที่ พงึ ประสงค์ของผทู้ จี่ ะหาคู่ครองให้ลกู ของเขา เพราะเหน็ วา่ จะเลี้ยงลูกเมยี ไม่ได้ 5. คบคนช่วั มีโทษโดยนำใหก้ ลายเป็นคนชั่วอยา่ งทตี่ นคบทัง้ 6 ประเภท คอื ได้เพ่ือนท่ีจะนำใหก้ ลายเปน็ 5.1 นักการพนัน 5.2 นกั เลงหญงิ 5.3 นกั เลงเหล้า 5.4 นักลวงของปลอม 5.5 นักหลอกลวง 5.6 นกั เลงหัวไม้ 6. เกยี จครา้ นการงาน มีโทษโดยทำใหย้ กเหตุตา่ ง ๆ เป็นข้ออ้างผิดเพ้ียน ไมท่ ำ การงานโภคะใหม่ก็ไมเ่ กิด โภคะท่ีมอี ยู่ก็หมดสิ้นไป คือ ให้อา้ งไปทัง้ 6 กรณวี ่า 6.1 – 6.6 หนาวนัก รอ้ นนกั เย็นไปแลว้ ยังเชา้ นกั หิวนัก อิม่ นัก แล้วไม่ทำการงาน (พ.ธ. หน้า 176 – 178) อปริหานยิ ธรรม 7 ธรรมอนั ไม่เปน็ ทต่ี ั้งแห่งความเส่อื ม เป็นไปเพ่ือความเจริญฝ่ายเดยี วมี 7 ประการ ได้แก่ 1. หม่นั ประชุมกันเนืองนติ ย์ 2. พร้อมเพรยี งกนั ประชุม พร้อมเพรียงกนั เลกิ ประชุม พรอ้ มเพรียงกนั ทำกจิ กรรมทีพ่ ึงทำ 3. ไมบ่ ัญญตั สิ ิ่งทมี่ ิไดบ้ ัญญัตไิ ว้ (อนั ขัดตอ่ หลกั การเดมิ ) 4. ท่านเหลา่ ใดเปน็ ผใู้ หญ่ ควรเคารพนับถือทา่ นเหลา่ น้นั 5. บรรดากลุ สตรี กลุ กมุ ารีท้ังหลาย ให้อยูด่ โี ดยมิถกู ขม่ เหง หรอื ฉุดคร่า ขืนใจ 6. เคารพสกั การบูชา เจดยี ์หรืออนุสาวรยี ์ประจำชาติ 7. จัดใหค้ วามอารักขา คุ้มครอง ป้องกันอนั ชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทง้ั หลาย (รวมถึงพระภกิ ษุ ผปู้ ฏบิ ัติดี ปฏิบตั ชิ อบดว้ ย) (พ.ธ. หนา้ 246 – 247) อธปิ ไตย 3 ความเป็นใหญ่ มี 3 อยา่ ง คือ 1. อตั ตาธปิ ไตย ความมตี นเป็นใหญ่ ถอื ตนเปน็ ใหญ่ กระทำการ ด้วยปรารภตนเปน็ ประมาณ 2. โลกาธิปไตย ความมโี ลกเปน็ ใหญ่ ถอื โลกเป็นใหญ่ กระทำการดว้ ย
๑๐๗ ปรารภนยิ มของโลกเป็นประมาณ 3. ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่ ถอื ธรรมเปน็ ใหญ,่ กระทำ การดว้ ยปรารภความถูกตอ้ ง เป็นจริง สมควรตามธรรมเปน็ ประมาณ (พ.ธ. หน้า 127-128) อริยสัจ 4 ความจริงอนั ประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอรยิ ะมี 4 คือ 1. ทุกข์ (ความทุกข์ สภาพท่ีทนไดย้ าก สภาวะทบี่ ีบคัน้ ขัดแยง้ บกพร่อง ขาดแกน่ สารและความ เที่ยงแท้ ไมใ่ หค้ วามพงึ พอใจแทจ้ รงิ ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิง่ อนั ไม่เป็นทรี่ กั การ พลดั พรากจากสิ่งที่รกั ความปรารถนาไม่สมหวงั โดยยอ่ วา่ อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ 2. ทกุ ขสมุทยั (เหตเุ กดิ แห่งทุกข์ สาเหตุใหท้ ุกขเ์ กิด ได้แก่ ตัณหา 3 คอื กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตณั หา) กำจัดอวชิ ชา สำรอกตัณหา สิ้นแล้ว ไม่ถูกย้อม ไม่ตดิ ขดั หลดุ พ้น สงบ ปลอดโปรง่ เป็น อิสระ คือ นิพพาน) 3. ทุกขนโิ รธ (ความดบั ทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดบั ส้นิ ไป ภาวะที่เขา้ ถงึ เม่ือกำจัดอวชิ ชา สำรอก ตัณหาสน้ิ แล้ว ไม่ถูกย้อม ไม่ติดขอ้ ง หลดุ พน้ สงบ เป็นอิสระ คือ นิพพาน) 4. ทุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา (ปฏปิ ทาที่นำไปสู่ความดบั แหง่ ทกุ ข์ ข้อปฏบิ ตั ิให้ถงึ ความดับทกุ ข์ ได้แก่ อรยิ อฏั ฐงั คิกมรรค หรือเรยี กอกี อย่างหน่ึงวา่ มชั ฌิมปฏิปทา แปลวา่ ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ 8 นี้ สรปุ ลงในไตรสิกขา คือ ศลี สมาธิ ปญั ญา) (พ.ธ. หนา้ 181) อรยิ อฏั ฐคิกมรรค ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ 8 (ศีล สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หนา้ 165) อัญญาณเุ บกขา เป็นอุเบกขาฝา่ ยวบิ ัติ หมายถึง ความไม่รู้เรื่อง เฉยไมร่ เู้ ร่อื ง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หนา้ 126) อตั ตา ตัวตน อาตมนั ปุถชุ นย่อมยดึ มน่ั มองเหน็ ขันธ์ 5 อย่างใดอย่างหนึ่ง หรอื ท้ังหมดเป็นอตั ตา หรือยึดถือ วา่ มอี ัตตา เนื่องดว้ ยขนั ธ์ (พ.ศ. หนา้ 398) อตั ถะ เรอื่ งราว ความหมาย ความมงุ่ หมาย ประโยชน์ มี 2 ระดบั คอื 1. ทฏิ ฐิธมั มกิ ัตถะ ประโยชน์ในชวี ิตนี้ หรือประโยชน์ในปัจจบุ นั เปน็ ทม่ี ุ่งหมายกันในโลกน้ี ได้แก่ ลาภ ยศ สขุ สรรเสรญิ รวมถงึ การแสวงหา ส่ิงเหล่านี้มาโดยทางทีช่ อบธรรม 2. สมั ปรายกิ ตั ถะ ประโยชน์เบอื้ งหนา้ หรือประโยชน์ทีล่ ้ำลกึ กว่าที่ จะมองเห็นกนั เฉพาะหน้า เป็นจุดหมายขนั้ สงู ข้นึ ไป เปน็ หลกั ประกันชีวิตเมื่อละจากโลกนีไ้ ป 3. ปรมัตถะ ประโยชน์สงู สดุ หรอื ประโยชน์ทีเ่ ปน็ สาระแท้จรงิ ของชีวติ เปน็ จดุ หมายสูงสดุ หรือท่ีหมายขนั้ สดุ ทา้ ย คือ พระนิพพาน อีกประการหน่ึง หมายถงึ 1. อตั ตัตถะ ประโยชน์ตน 2. ปรตั ถะ ประโยชน์ ผ้อู น่ื 3. อุภยัตถะ ประโยชน์ทง้ั สองฝา่ ย (พ.ธ. หนา้ 131 – 132) อายตนะ ทต่ี ่อ เคร่อื งติดต่อ แดนตอ่ ความรู้ เครือ่ งรู้ และสง่ิ ทีถ่ ูกรู้ เชน่ ตาเป็นเครื่องรู้ รูปเป็น สิ่งท่ีรู้ หเู ปน็ เครอื่ งรู้ เสียงเป็นสง่ ทรี่ ู้ เป็นตน้ จดั เปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. อาตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 2. อายตนะภายนอก หมายถึง เคร่ืองต่อภายนอก สิ่งท่ีถูกรู้ มี 6 คือ 2.1 รปู คอื รปู 2.2 สัททะ คือ เสียง 2.3 คันธะ คอื กลิ่น 2.4 รส คือ รส 2.5 โผฏฐัพพะ คือ สิง่ ตอ้ งกาย 2.6 ธมั มะ หมายถึง ธรรมารมย์ คอื อารมณ์ทเ่ี กิดกบั ใจ หรือสงิ่ ท่ีใจรู้ อารมณ์ 6 กเ็ รียก (พ.ศ. หน้า 411) อายตนะภายใน เคร่ืองต่อภายใน เคร่ืองรับรู้ มี 6 คือ 1. จกั ขุ คอื ตา 2. โสตะ คือ หู 3. ฆานะ คอื จมูก 4. ชิวหา คือ ล้ิน 5. กาย คือ กาย 6. มโน คอื อนิ ทรีย์ 6 ก็เรียก (พ.ศ.หนา้ 411) อรยิ วัฑฒิ 5 ความเจริญอย่างประเสรฐิ หลักความเจริญของอารยชน มี 5 คือ 1. ศรทั ธา ความเชื่อ ความ ม่นั ใจในพระรตั นตรัย ในหลักแหง่ ความจริง ความดีอนั มีเหตุผล 2.ศลี ความประพฤตดิ ี มวี นิ ัย เล้ยี ง ชพี สจุ รติ 3. สุตะ การเลา่ เรียน สดับฟงั ศึกษาหาความรู้ 4. จาคะ การเผอ่ื แผเ่ สยี สละ เออ้ื เฟ้ือ มนี ้ำใจชว่ ยเหลอื ใจกว้าง พร้อมที่จะรบั ฟังและรว่ มมือ ไมค่ ับแคบ เอาแต่ตวั 5. ปญั ญา ความรอบ รู้ รคู้ ิด ร้พู จิ ารณา เข้าใจเหตุผล ร้จู ักโลกและชวี ติ ตามความเปน็ จริง (พ.ธ. หน้า 213)
๑๐๘ อทิ ธิบาท 4 คุณเครื่องให้ถงึ ความสำเร็จ คณุ ธรรมท่ีนำไปสคู่ วามสำเรจ็ แห่งผลท่ีมุง่ หมาย มี 4 ประการ คือ 1. ฉันทะ ความพอใจ คือ ความตอ้ งการทจ่ี ะทำใฝใ่ จรักจะทำส่งิ นน้ั อย่เู สมอแลว้ ปรารถนาจะทำ ให้ไดผ้ ลดียิง่ ๆ ข้นึ ไป 2. วริ ยิ ะ ความเพยี ร คือ ขยันหมน่ั ประกอบส่ิงนัน้ ด้วยความพยายาม เข้มแขง็ อดทน เอาธรุ ะไม่ ท้อถอย 3. จติ ตะ ความคิด คือ ต้ังจิตรบั ร้ใู นสิง่ ทีท่ ำและทำสง่ิ นั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝไ่ ม่ปล่อยใจให้ ฟงุ้ ซา่ นเลื่อนลอย 4. วิมังสา ความไตรต่ รอง หรือทดลอง คือ หมัน่ ใช้ปัญญาพจิ ารณา ใครค่ รวญ ตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิง่ ทที่ ำน้ัน มกี ารวางแผน วัดผลคดิ คน้ วธิ แี ก้ไขปรับปรงุ ตวั อย่างเชน่ ผู้ ทำงานทั่ว ๆ ไปอาจจำสั้น ๆ ว่า รักงาน สู้งาน ใสใ่ จงาน และทำงานด้วยปญั ญา เปน็ ต้น (พ.ธ. หน้า 186-187) อุบาสกธรรม 7 ธรรมทเ่ี ป็นไปเพอื่ ความเจรญิ ของอบุ าสก 1. ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภกิ ษุ 2. ไมล่ ะเลยการฟงั ธรรม 3. ศกึ ษาในอธศิ ลี 4. มคี วามเลื่อมใสอย่างมากในพระภกิ ษุทุกระดับ 5. ไม่ฟังธรรมดว้ ยต้งั ใจจะคอยเพง่ โทษติเตยี น 6. ไมแ่ สวงหาบญุ นอกหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา 7. กระทำการสนบั สนุน คือ ขวนขวายในการอปุ ถัมภบ์ ำรุงพระพุทธศาสนา (พ.ธ. หนา้ 219 – 220) อุบาสกธรรม 5 สมบัติของอุบาสก 5 คอื 1. มีศรทั ธรา 2. มศี ลี บริสทุ ธิ์ 3. ไมถ่ ือมงคลต่ืนขา่ ว เชือ่ กรรม ไมเ่ ชื่อมงคลคือมุ่งหวังผลจากการกระทำ และการงานมิใช่จากโชคลาภ และส่งิ ทต่ี ื่นกนั วา่ ขลังศักดสิ์ ิทธิ์ 4. ไม่แสวงหาเขตบญุ นอกหลักพระพุทธศาสนา 5. ขวนขวายในการอปุ ถมั ภ์บำรุงพระพุทธศาสนา (พ.ศ. หน้า 300) อบุ าสกธรรม 7 ผูใ้ กลช้ ดิ พระศาสนาอย่างแท้จริง ควรต้ังตนอยู่ในธรรมที่เปน็ ไปเพือ่ ความเจริญของอบุ าสก มี 7 ประการ ได้แก่ 1. ไมข่ าดการเย่ียมเยือนพบปะพระภิกษุ 2. ไมล่ ะเลยการฟงั ธรรม 3. ศึกษาใน อธศิ ีล คือ ฝกึ อบรมตนให้ก้าวหน้าในการปฏบิ ัตริ ักษาศีลขนั้ สงู ขึน้ ไป 4. พร่งั พร้อมดว้ ยความเลอ่ื มใส ในพระภิกษทุ ้ังหลายทง้ั ที่เปน็ เถระ นวกะ และปูนกลาง 5. ฟงั ธรรมโดยความต้ังใจ มิใช่ มาจบั ผดิ 6. ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอก หลักคำสอนน้ี คือ ไม่แสวงหาเขตบญุ นอกหลกั พระพุทธศาสนา 7. กระทำความสนบั สนนุ ในพระพทุ ธศาสนานี้ คือ เอาใจใส่ทำนุบำรงุ และช่วยกิจกรรม (ธรรมนูญชีวติ , หน้า 70 – 70) อุเบกขา มี 2 ความหมายคือ 1. ความวางใจเปน็ กลาง ไม่เองเอียงด้วยชอบหรือชงั ความวางใจเฉยได้ ไมย่ นิ ดียนิ ร้าย เมื่อใช้ปญั ญาพิจารณาเห็นผลอันเกดิ ขึ้นโดยสมควรแกเ่ หตแุ ละรวู้ า่ พึงปฏิบัติต่อไปตาม ธรรม หรอื ตามควรแกเ่ หตุน้ัน 2. ความรสู้ กึ เฉย ๆ ไม่สขุ ไม่ทุกข์ เรียกเตม็ ว่าอุเบกขาเวทนา (อทกุ ขม สุข) (พ.ศ. หน้า 426 – 427) อปุ าทาน 4 ความยดึ ม่ัน ความถือมน่ั ดว้ ยอำนาจกเิ ลส ความยดึ ติดอันเน่ืองมาแตต่ ัณหา ผกู พนั เอาตัวตนเปน็ ท่ตี ั้ง 1. กามุปาทาน ความยึดมัน่ ในกาม คอื รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะท่นี า่ ใคร่ น่าพอใจ 2. ทฏิ ฐุปาทาน ความยึดมน่ั ในทฏิ ฐหิ รอื ทฤษฎี คือ ความเหน็ ลทั ธิ หรือหลักคำสอนตา่ ง ๆ 3. สีลัพพตปุ าทาน ความยดึ มั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีตา่ ง ๆ กัน ไปอยา่ งงมงายหรอื โดยนยิ มว่าขลงั วา่ ศักดสิ์ ทิ ธ์ิ มิได้ เปน็ ไปด้วยความรู้ ความเขา้ ใจตามหลักความสมั พนั ธ์แหง่ เหตแุ ละผล 4. อตั ตาวาทุปาทาน ความยดึ มั่นในวาทะวา่ ตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญ หมายอยใู่ นภายในวา่ มตี วั ตน ทีจ่ ะได้ จะมี จะเป็น จะสญู สลาย ถกู บีบคัน้ ทำลายหรือเป็นเจ้าของ เปน็ นายบังคับบัญชาสิ่งตา่ ง ๆ ได้ไม่มองเห็นสภาวะ
๑๐๙ ของสิ่งทัง้ ปวง อันรวมทั้งตัวตนวา่ เป็นแต่เพยี งส่ิงท่ีประชมุ ประกอบกนั เข้า เปน็ ไปตามเหตุปจั จยั ท้งั หลายท่ีมาสัมพันธก์ นั ลว้ น ๆ (พ.ธ. หนา้ 187) อปุ นิสัย 4 ธรรมทพี่ ึ่งพงิ หรือธรรมช่วยอุดหนนุ 1. สงขฺ าเยกํ ปฏิเสวติ พจิ ารณาแลว้ จงึ ใช้สอยปจั จัย 4 คอื จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสัช เป็นต้น ท่จี ำเปน็ จะต้องเกีย่ วข้องและมปี ระโยชน์ 2. สงขฺ าเยกํ อธิวาเสติ พิจารณาแล้วอดกล้ันไดแ้ ก่ อนฏิ ฐารมณ์ ตา่ ง ๆ มีหนาวรอ้ น และทกุ ขเวทนา เป็นตน้ 3. สงฺขาเยกํ ปรวิ ชเฺ ชติ พจิ ารณาสงิ่ ทีเ่ ป็นโทษ ก่ออันตรายแกร่ า่ งกาย และจิตใจแลว้ หลีกเว้น 4. สงขฺ าเยกํ ปฏิวโิ นเทติ พิจารณาส่ิงทเ่ี ป็นโทษ ก่ออนั ตรายเกิดข้นึ แลว้ เชน่ อกุศลวิตก มีกามวติ ก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวติ ก และความชวั่ ร้ายท้ังหลายแลว้ พจิ ารณาแก้ไข บำบัดหรอื ขจดั ใหส้ นิ้ ไป (พ.ธ. หน้า 179) โอตตปั ปะ ความเกรงกลัวต่อความชัว่ (พ.ศ. หนา้ 439) โอวาท คำกลา่ วสอน คำแนะนำ คำตักเตอื น โอวาทของพระพุทธเจ้า 3 คือ 1. เว้นจากทุจริต คอื ประพฤติ ชว่ั ดว้ ยกาย วาจา ใจ (ไม่ทำช่ัวท้ังปวง) 2.ประกอบสจุ ริต คือ ประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ (ทำแต่ ความด)ี 3. ทำใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่ืองเศร้าหมอง โลภ โกรธ หลง เปน็ ต้น (ทำจิตของตนให้ สะอาดบรสิ ทุ ธิ์) (พ.ศ. หนา้ 440) สังคมศาสตร์ การศึกษาความสัมพันธข์ องมนุษย์ โดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนให้อยรู่ ว่ มในสงั คมไดอ้ ย่างมีคุณภาพ คุณธรรม(virtue) และจริยธรรรม(moral or morality or ethics) คณุ ธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความ ดี จริยธรรมมคี วามหมายเช่นเดียวกับศีลธรรม หมายถงึ ธรรมทเี่ ปน็ ข้อประพฤตกิ รรมปฏิบตั ิความ ประพฤติหรือหนา้ ทที่ ช่ี อบ ที่ควรปฏบิ ตั ใิ นการครองชีวติ ดังนนั้ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม จงึ หมายถึง สภาพ คุณงามความดีทปี่ ระพฤตปิ ฏิบัติหรอื หนา้ ท่ีที่ควรปฏิบัตใิ นการครองชวี ติ หรือคณุ ธรรมตามกรอบ จรยิ ธรรม สว่ นศีลธรรมและจริยธรรม มคี วามหมายใกล้เคียงกัน คณุ ธรรมจะมคี วามหมายท่เี นน้ สภาพ ลกั ษณะ หรือคุณสมบัตทิ ี่แสดงออกถงึ ความดีงาม ส่วนจรยิ ธรรม มคี วามหมายเน้นท่ี ความประพฤติ หรือการปฏิบตั ิท่ดี ีงาม เปน็ ที่ยอมรบั ของสงั คม นักวชิ าการมักใชค้ ำทัง้ สองคำนี้ในความหมายนัย เดยี วกนั และมักใชค้ ำสองคำดังกลา่ วควบค่กู นั ไป เป็นคำวา่ คุณธรรมจริยธรรม ซ่ึงรวม ความหมายของคุณธรรมและจรยิ ธรรม นน่ั คอื มคี วามหมายเน้นท้งั สภาพ ลักษณะหรือคุณสมบัติ และ ความประพฤติอันดงี าม เป็นที่ยอมรับของสงั คม (โครงการเร่งสรา้ งคุณลกั ษณะทด่ี ีของเด็กและเยาวชนไทย ศูนย์คุณธรรม หน้า 11 -12) การเมอื ง ความรเู้ กย่ี วกับความสมั พันธร์ ะหวา่ งอำนาจในการจัดระเบียบสงั คมเพอื่ ประโยชนแ์ ละความสงบ สุขของสังคม มีความสมั พนั ธ์ตอ่ กันโดยรวมทัง้ หมดในสว่ นหน่ึงของชีวิตในพืน้ ที่หนง่ึ ท่เี กี่ยวข้องกบั อำนาจ อำนาจชอบธรรม หรอื อิทธพิ ล และมีความสามารถในการดำเนนิ การได้ ข้อมูล สิ่งท่ีไดร้ บั รู้และยงั ไม่มกี ารจัดประมวลให้เป็นระบบ เม่อื จัดระบบแล้วเรยี กว่า สารสนเทศ ค่านิยม การกำหนดคุณค่าและพัฒนาจนเป็นบคุ ลิกภาพประจำตัว คณุ คา่ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดเี ป็นคณุ คา่ ของจริยธรรม ความงามเปน็ คณุ ค่า ทางสนุ ทรียศาสตร์ สง่ิ ทตี่ อบสนองความต้องการไดเ้ ป็นสิ่งทม่ี ีคณุ ค่า คุณค่าเปน็ สิ่งเปลย่ี นแปลงได้ คณุ ค่าเปลีย่ นไปไดต้ ามเวลา และคณุ คา่ มักเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของความเจริญ บทบาท การกระทำที่สงั คมคาดหวงั ตามสถานภาพทีบ่ ุคคลครองอยู่ หน้าท่ี เป็นความรบั ผิดชอบทางศีลธรรมของปัจเจกชนซง่ึ สงั คมยอมรับ สถานภาพ ตำแหน่งท่ีแต่ละคนครองอยู่ในสถานทห่ี น่ึง ในช่วงเวลาหนึ่ง
๑๑๐ บรรทดั ฐาน ข้อตกลงของสังคมที่กำหนดใหส้ มาชกิ ประพฤติ ปฏิบตั ิ บางทีเรยี กปทัสถาน สามารถใช้บรรทัด ฐานของสังคม (social norms) เป็นมาตรฐานความประพฤติในทางจริยธรรมได้ ซ่ึงแยกออกเป็น ก. วิถีประชา (folkways) ไดแ้ ก่ แบบแผนพฤตกิ รรมในชวี ิตประจำวนั ทส่ี ังคมยอมรบั และ ได้ประพฤติปฏิบตั ิสืบต่อกันมา มกั เกยี่ วข้องกบั เรื่องการดำเนินชวี ิต และในสว่ นท่ีเก่ียวข้องกับจรยิ ธรรม จะไม่มกี ฎเกณฑเ์ คร่งครัดแน่นอนตายตวั ข. กฎศลี ธรรมหรอื จารตี (mores) เป็นมาตรฐานความประพฤตขิ องสงั คมท่ีมกี ารกำหนด เกย่ี วกบั จรยิ ธรรมที่เข้มข้ึน ในกรณีมผี ฝู้ า่ ฝืนอาจมกี ารลงโทษ แมว้ ่าในบางครงั้ จะไม่มีการเขยี นไว้เปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรกต็ าม เช่น การลวนลามสตรใี นชนบท ตอ้ งลงโทษดว้ ยการเสยี ผี ค. กฎหมาย (law) เปน็ มาตรฐานความประพฤติท่รี ฐั กำหนดใหส้ มาชกิ ของรัฐพงึ ปฏบิ ัตหิ รอื ละ เวน้ การปฏิบัติ และกำหนดวธิ ีการปฏบิ ตั ิการลงโทษสำหรบั ผู้ฝ่าฝืน สิทธิ ข้อเรียกร้องของปจั เจกชนซง่ึ สงั คมยอมรบั สิทธิทางศลี ธรรม เป็นข้อเรยี กรอ้ งทางศลี ธรรมของปจั เจกชนซึง่ สงั คมยอมรับ ประเพณี เปน็ ความประพฤติของคนหม่หู นึง่ อยู่ในท่ีแห่งหนง่ึ ถือเปน็ แบบแผนกนั มาอย่างเดียวกนั และ สืบกนั มานาน ประเพณี คือ กจิ กรรมทมี่ ีรปู แบบของชุมชนหรือสังคมหนง่ึ ท่ีจดั ข้ึนมาดว้ ยจดุ ประสงค์ใด จุดประสงคห์ นง่ึ และกำหนดการจัดกจิ กรรมในช่วงเวลาแนน่ อนสม่ำเสมอ กจิ กรรท่เี ป็นประเพณอี าจ มองได้อีกประการหนง่ึ ว่าเป็นแบบแผนการปฏิบัตขิ องกลุม่ เฉพาะหรอื ทางศาสนา ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธมิ นษุ ยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คอื การ ประกาศเจตนารมณ์ ในการร่วมมอื ระหว่างประเทศท่ีมีความสำคญั ในการวางกรอบเบื้องตน้ เกีย่ วกบั สิทธมิ นษุ ยชนและเปน็ เอกสารหลักดา้ นสิทธมิ นุษยชนฉบบั แรก ซ่ึงท่ปี ระชมุ สมชั ชาใหญ่แห่ง สหประชาชาติ ใหก้ ารรบั รองตามข้อมตทิ ่ี 217 A (III) เมอ่ื วนั ท่ี 10 ธันวาคม 2491 โดยประเทศไทย ออกเสยี งสนนั สนุน วฒั นธรรม และภูมิปญั ญาไทย เปน็ การศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกบั วัฒนธรรมและภูมิปัญญาในเร่ืองเกยี่ วกับ ความเป็นมา ปัจจัยพน้ื ฐานและผลกระทบจากภายนอกท่ีมอี ิทธิพลตอ่ การสร้างสรรค์วฒั นธรรมไทย วัฒนธรรมทอ้ งถิน่ ภูมปิ ญั ญาไทย รวมท้ังวัฒนธรรมและภูมิปญั ญาของมนุษยชาติโลก ความสำคัญ และผลกระทบท่ีมีอทิ ธิพลตอ่ การดำเนินชวี ติ ของคนไทยและมนษุ ยชาติ ต้งั แต่อดีตถงึ ปจั จบุ นั สมั มาชีพ การประกอบอาชพี สุจรติ และเหมาะสมในสังคม ประสทิ ธภิ าพ ความสามารถในการทำงานจนสำเร็จ หรือผลการกระทำที่ไดผ้ ลออกมาดีกวา่ เดิม รวมท้งั การใชท้ รัพยากรต่างๆ อยา่ งคุ้มค่า โดยไม่ให้เกิดความสญู เปล่าหรือความสูญเสีย ทรัพยาการตา่ งๆ พิจารณาได้จากเวลา แรงงาน วัตถุดิบ เครื่องจักร ปริมาณและคุณภาพ ฯลฯ ประสทิ ธิผล ระดับความสำเร็จของวตั ถปุ ระสงค์ หรอื ผลสำเร็จของงาน สินค้า หมายความวา่ ส่ิงของทส่ี ามารถซอื้ ขาย แลกเปลย่ี น หรอื โอนกนั ได้ ไม่ว่าจะเกิดโดยธรรมชาติหรอื เปน็ ผลิตผลทางการเกษตร รวมตลอดถงึ ผลติ ภณั ฑ์ทางหตั ถกรรมและอตุ สาหกรรม ภูมปิ ัญญา ส่วนหนึง่ ของประเพณี หรือเป็นกิจกรรมเฉพาะตวั ก็ได้ เช่น พิธถี วายสังฆทาน พิธบี วชนาค พธิ บี วชลกู แก้ว พิธขี อฝน พธิ ไี หว้ครู พิธแี ตง่ งาน มนุษยชาติ การเกิดเปน็ มนุษยม์ าจาก มนุษย์ = ผู้มจี ิตใจสูง กับชาติ = เกิด โดยปกตหิ มายถงึ มนุษย์ท่วั ๆ ไป มรรยาท พฤติกรรมทส่ี ังคมกำหนดวา่ ควรประพฤติเป็นวฒั นธรรม วัดจากความเหมาะสมและไม่เหมาะสม ระบบ การนำสว่ นต่าง ๆ มาปรับเรยี งต่อให้ทำงานประสานตอ่ เนอื่ งกนั จนดเู ปน็ สิ่งเดียวกนั กระบวนการ กรรมวธิ ีหรือลำดบั การกระทำซง่ึ ดำเนินการตอ่ เน่ืองกันไปจนสำเรจ็ ลง ณ ระดบั หน่ึง
๑๑๑ วเิ คราะห์ การแยกแยะให้เหน็ คณุ ลกั ษณะของแตล่ ะองค์ประกอบ เศรษฐกจิ ความรู้เกี่ยวกบั การกนิ การอยู่ของมนษุ ย์ในสงั คม ว่าด้วยทรัพยากรที่มจี ำกัดการผลติ การกระจายผลผลติ และการบริโภค สหกรณ์ แปลว่าการทำงานร่วมกนั การทำงานรว่ มกนั นล้ี กึ ซงึ้ มาก เพราะว่าต้องรว่ มมือกันในทกุ ด้าน ทั้งใน ดา้ นงานท่ที ำดว้ ยรา่ งกาย ท้ังในด้านงานทที่ ำด้วยสมอง และงานการท่ีทำดว้ ยใจ ทกุ อยา่ งนี้ขาดไมไ่ ด้ ต้องพรอ้ ม (พระราชดำรสั พระราชทานแก่ผู้นำสหกรณก์ ารเกษตร สหกรณ์นคิ มและสหกรณ์ประมงท่วั ประเทศ ณ ศาลาดสุ ติ ดาลยั 11 พฤษภาคม 2526) ทรัพย์สินทางปญั ญา หมายถงึ ผลงานอันเกดิ จากการประดษิ ฐค์ ิดค้น หรือสร้างสรรค์ของมนุษย์ ซึ่งเน้นที่ ผลผลติ ของสติปญั ญาและความชำนาญ โดยไมค่ ำนงึ ถงึ ชนิด ของการสร้างสรรคห์ รือวิธใี นการ แสดงออก ทรัพย์สนิ ทางปัญญา อาจเปน็ สง่ิ ที่จบั ต้องได้ เช่นสินคา้ ต่าง ๆ หรือ เปน็ ส่งิ ท่ีจับต้องไมไ่ ด้ เชน่ บรกิ าร แนวความคดิ กรรมวิธแี ละทฤษฎีต่าง ๆ เป็นตน้ ทรัพย์สินทางปัญญามี 2 ประเภท ทรพั ย์สนิ ทางอุตสาหกรรม (Industrial property) และลิขสทิ ธ์ิ (Copyright) 1. ทรพั ย์สินทางอตุ สาหกรรม มสี ิทธิบัตร แบบผงั ภมู ขิ องวงจรรวม เครอ่ื งหมายการคา้ ความลบั ทางการคา้ ช่ือทางการคา้ สง่ิ บง่ ชท้ี างภูมิศาสตร์ ส่งิ บง่ ชที้ างภูมิศาสตร์ หมายความวา่ ช่ือ สัญลกั ษณ์ หรอื สง่ิ อ่ืนใดที่ใชเ้ รยี กหรอื ใชแ้ ทนแหลง่ ภูมิศาสตร์ และทสี ามารถบ่งบอกวา่ สนิ ค้าทเ่ี กดิ จากแหล่งภูมิศาสตรน์ ้นั เป็น สินค้าที่มคี ุณภาพ ชอ่ื เสยี ง หรอื คุณลักษณะเฉพาะของแหลง่ ภมู ิศาสตร์ดงั กล่าว 2. ลขิ สทิ ธิ์ คอื งานหรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม งานภาพยนตร์ หรืองานอน่ื ใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศิลปะ แผนกวทิ ยาศาสตร์ ลิขสทิ ธิ์ยงั รวมท้งั สิทธขิ า้ งเคียง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเง่ือนไขท่จี ำเปน็ ทท่ี ำให้สงิ่ หนึง่ เกิดขึน้ ตามมา เรียกวา่ ผล เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึน้ อำนาจ ความสามารถในการบีบบังคบั ให้สง่ิ หน่งึ (คนหนึ่ง...) กระทำตามทปี่ รารถนา อิทธิพล อำนาจบงั คบั ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในสง่ิ ใดสิง่ หนึง่ เอกลกั ษณ์ ลักษณะท่ีมคี วามเป็นหนง่ึ เดยี ว ไม่มีทใี่ ดเหมือน ตำนาน เป็นเร่อื งเลา่ ตอ่ กันมาและถูกบันทึกขนึ้ ภายหลัง พงศาวดาร คือ การบนั ทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึน้ ตามลำดบั เวลา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเร่อื งราวทีก่ บั พระมหากษตั ริย์ และราชสำนกั อดีต คือ เวลาท่ีล่วงมาแล้ว ความสำคัญของอดีต คือ อดตี จะครอบงำความคดิ และความรูข้ องเราอย่าง กวา้ งขวางลึกซ้ึง อดีตท่ีเกยี่ วข้องกบั กล่มุ คน/ความสำคญั ท่มี ีต่อเหตุการณแ์ ละกลุ่มคนจะถูกนำมา เชอ่ื มโยงเขา้ ดว้ ยกนั นักประวัติศาสตร์ เปน็ ผู้บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้สรา้ งประวตั ิศาสตร์ขึ้นจากหลกั ฐานประเภทตา่ ง ๆ ตามจดุ มงุ่ หมายและวธิ กี ารคิด ซงึ่ งานเขียนอาจนำไปสู่การเป็นวิชาประวตั ศิ าสตรไ์ ด้ในท่สี ุด ความมุ่งหมายในการเขยี นประวัตศิ าสตร์ - นกั ประวัติศาสตรร์ ่นุ เกา่ ม่งุ สู่การรวมชาต/ิ รบั ใชก้ ารเมือง - นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ มงุ่ ทจี่ ะหาความจริง (truth) จากอดตี และตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลักฐานประเภท ตา่ ง ๆ จะให้ข้อเท็จจรงิ บางประการ ซ่งึ จะนำไปสู่ความจรงิ ในทส่ี ุดโดยมีวธิ กี ารแบ่ง ประเภทของหลกั ฐานหลายแบบ เชน่ หลักฐานสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์และหลักฐานสมัย ประวัตศิ าสตร์แบบหนง่ึ หลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรและหลักฐานท่ีไมใ่ ชล่ ายลักษณแ์ บบหนึ่ง
๑๑๒ หรอื หลกั ฐานชัน้ ตน้ และหลักฐานชน้ั รอง (หรือหลักฐานชั้นที่หน่ึง ชน้ั ทีส่ อง ชัน้ ทสี่ าม) อกี แบบ หนงึ่ หลักฐานทีจ่ ะถูกประเมินว่าน่าเชื่อถือท่ีสดุ คอื หลักฐานทเ่ี กิดรว่ มสมยั หรือเกิดโดยผู้ท่รี ้เู ห็น เหตุการณน์ นั้ ๆ แต่กระน้ันนักประวัติศาสตร์ก็จะต้องวเิ คราะหท์ ัง้ ภายในและภายนอกก่อนด้วยเชน่ กัน เน่ืองจากผู้ที่อยู่ร่วมสมัยกย็ ่อมมจี ดุ มงุ่ หมายสว่ นตวั ในการบันทึก ซึ่งอาจทำให้เลือกบนั ทึกเฉพาะเรอ่ื ง บางเรอ่ื งเท่านัน้ อคติ คือ ความลำเอียง ไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทกุ คน ซึ่งผู้ท่ีเปน็ นักประวตั ศิ าสตร์ จะตอ้ งตระหนักและควบคมุ ให้ได้ ความเป็นกลาง คือ การมองด้วยปราศจากความรสู้ ึกอคติจะเกดิ ขนึ้ ไดห้ ากเข้าใจธรรมชาติของหลักฐานแต่ ละประเภท เขา้ ใจปรชั ญาและวิธกี ารทางประวัติศาสตร์ เข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้เรียน ผู้บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตร์ (น่นั คือ เข้าใจวา่ บนั ทกึ เพื่ออะไร เพราะเหตุใด) ความจรงิ แท้ (real truth) คอื ความจรงิ ท่คี งอย่แู น่นอนนิรนั ดร์ เปน็ จุดหมายสงู สุดที่นักประวัตศิ าสตร์ ม่งุ แสวงหาซง่ึ จะต้องอาศัยความเขา้ ใจและความจริงที่อยู่เบ้ืองหลังการเกดิ พฤติกรรมและเหตุการณ์ ต่าง ๆ (ท่ีมนุษย์เป็นผู้สร้าง) ซ่ึงการแสวงหาความจรงิ แท้ ต้องอาศัยความสมบูรณ์ของหลักฐานและ กระบวนการทางประวัตศิ าสตรท์ ล่ี ะเอียด ถ่ถี ้วน กนิ เวลายาวนาน แตน่ ้คี ือ ภาระหน้าทขี่ องนกั ประวัติศาสตร์ ผู้สอนวิชาประวตั ศิ าสตร์ คอื ผนู้ ำความรู้ทางประวัติศาสตรม์ าพัฒนาให้ผู้เรยี นเกดิ ความรู้ เจตคติและ ทักษะในการใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความจริงและความจรงิ แท้จะต้องศึกษา ผลงานของนักประวัติศาสตรแ์ ละเลือกเน้ือหาประวตั ศิ าสตร์ทเี่ หมาะสมกับวยั ของผู้เรยี น โดยตอ้ ง เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลักสตู รและสอดคลอ้ งธรรมชาติของประวตั ิศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ เปน็ การศกึ ษาเร่ืองการนับเวลา และการแบ่งชว่ งเวลาตามระบบตา่ ง ๆ ทั้งแบบไทย สากล ศักราชท่สี ำคญั ๆ ในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของโลก และการแบง่ ยุคสมยั ทาง ประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นมีทกั ษะพ้ืนฐานสำหรบั การศึกษาหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ สามารถเข้าเหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตรท์ ่ีสมั พนั ธก์ ับอดตี ปจั จบุ ัน และอนาคต ตระหนักถึง ความสำคัญในความต่อเนอื่ งของเวลา อิทธพิ ลและความสำคญั ของเวลาทมี่ ีต่อวิถีการดำเนนิ ชวี ติ ของ มนษุ ย์ วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ หมายถึงกระบวนการในการแสวงหาข้อเทจ็ จริงทางประวัตศิ าสตร์ ซง่ึ เกิดจากวธิ ีวิจัย เอกสารและหลกั ฐานประกอบอ่ืนๆ เพื่อให้ได้มาซงึ่ องค์ความรู้ใหม่ทางประวตั ศิ าสตร์บนพืน้ ฐานของ ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล และการวิเคราะห์เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ หน่งึ การกำหนดเป้าหมายหรือประเดน็ คำถามท่ตี ้องการศึกษา แสวงหาคำตอบด้วยเหตุ และผล (ศึกษาอะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใด และเพราะเหตุใด) สอง การค้นหาและรวบรวมหลักฐานประเภทต่าง ๆ ท้ังทเี่ ป็นลายลักษณ์อักษร และไมเ่ ปน็ ลาย ลักษณ์อกั ษร ซ่ึงได้แก่ วัตถโุ บราณ รอ่ งรอยถ่ินท่ีอยู่อาศยั หรอื การดำเนินชีวิต สาม การวิเคราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบ การประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถือ การประเมินคุณคา่ ของ หลกั ฐาน) การตีความหลักฐานอยา่ งเปน็ เหตุเป็นผล มีความเป็นกลาง และปราศจากอคติ ส่ี การสรปุ ข้อเท็จจรงิ เพ่ือตอบคำถาม ด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจริงจากหลกั ฐานอยา่ งเครง่ ครัดโดย ไม่ใช้คา่ นยิ มของตนเองไปตัดสนิ พฤตกิ รรมของคนในอดตี โดยพยายามเขา้ ใจความคดิ ของคนในยคุ น้นั หรอื นำตัวเขา้ ไปอยู่ในยุคสมัยทตี่ นศึกษา
๑๑๓ หา้ การนำเสนอเร่อื งทศี่ ึกษาและอธบิ ายได้อยา่ งสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจง่าย มีความ ต่อเนอ่ื ง นา่ สนใจ ตลอดจนมีการอ้างองิ ข้อเทจ็ จรงิ เพ่ือให้ได้งานทางประวัตศิ าสตร์ท่ีมีคุณคา่ และมี ความหมาย พฒั นาการของมนุษยชาติจากอดีตถงึ ปจั จุบนั เปน็ การศกึ ษาเร่ืองราวของสงั คม มนุษย์ในบรบิ ทของเวลา และสถานที่ โดยทวั่ ไปจะแยกเร่อื งศึกษาออกเป็นดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ โดยกำหนดขอบเขตการศกึ ษาในกล่มุ สังคม มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เชน่ ในท้องถ่ิน/ประเทศ/ภูมภิ าค/โลก โดยม่งุ ศึกษาว่าสงั คมนั้น ๆ ได้ เปลี่ยนแปลงหรือพฒั นาตามลำดับเวลาไดอ้ ย่างไร เพราะเหตุใด จงึ เกดิ ความเปล่ียนแปลงมปี จั จยั ใดบ้าง ทัง้ ทางดา้ นภูมิศาสตร์และปัจจยั แวดล้อมทางสงั คม ทีม่ ผี ลตอ่ พัฒนาการหรือการสร้างสรรค์ วฒั นธรรม และผลกระทบของการสรา้ งสรรค์ของมนุษยใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ เป็นอย่างไร ทงั้ น้ีเพอื่ ใหเ้ ข้าใจ อดตี ของสังคมมนุษยใ์ นมิติของเวลาและความต่อเนื่อง ภูมศิ าสตร์ เป็นคำท่มี าจากภาษากรีก (Geography) หมายถงึ การพรรณนาลักษณะของโลกเป็นศาสตร์ทาง พืน้ ที่ เป็นความรู้ที่ว่าด้วยปฏิสมั พันธข์ องสิง่ ต่าง ๆ ในขอบเขตหน่งึ ลักษณะทางกายภาพ ของภูมิศาสตร์ หมายถงึ ลกั ษณะทีม่ องเห็นเป็นรปู รา่ ง รปู ทรง โดยสามารถมองเห็น และวเิ คราะห์ไปถึงกระบวนการเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ข้ึนในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งเกยี่ วขอ้ งกับ ลกั ษณะของธรณสี ณั ฐานวทิ ยาภมู อิ ากาศวทิ ยา ภมู ิศาสตร์ดิน ชวี ภูมศิ าสตร์พืช ภูมศิ าสตรส์ ัตว์ ภูมศิ าสตร์ส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ เปน็ ตน้ ปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างกัน หมายถึงวธิ ีการศึกษา หรือวธิ กี ารวเิ คราะห์ พิจารณาสำหรับศาสตรท์ างภมู ิศาสตร์ ไดใ้ ชส้ ำหรบั การศึกษาพจิ ารณา คดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ถึงสิง่ ตา่ ง ๆ ทีม่ ผี ลต่อกันระหว่างส่ิงแวดล้อม กับมนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ดว้ ยวิธีการศึกษา พจิ ารณาถงึ ความแตกตา่ ง ความเหมือนระหวา่ งพน้ื ทีห่ นึ่งๆ กับอกี พ้นื ที่หนึง่ หรอื ระหว่างภูมิภาคหนึ่งกบั ภูมิภาค หน่ึง โดยพยายามอธบิ ายถึงความแตกตา่ ง ความเหมือน รูปแบบของภูมภิ าค และพยายามขีดเสน้ สมมตุ ิ แบ่งภูมิภาคเพ่ือพจิ ารณาวเิ คราะห์ ดูสัมพนั ธภาพของภูมภิ าคเหล่าน้ันวา่ เปน็ อย่างไร ภูมิศาสตร์ คอื ภาพปฏสิ มั พันธ์ของธรรมชาติ มนษุ ย์ และวฒั นธรรม รูปแบบตา่ ง ๆ ถ้าพจิ ารณาเฉพาะปัจจยั ทางธรรมชาติ จะเป็นภมู ิศาสตร์กายภาพ (Physical Geography) ถา้ พิจารณาเฉพาะปจั จยั ที่เกี่ยวข้องกบั มนุษย์ เช่น ประชากร วถิ ชี วี ติ ศาสนา ความเชอ่ื การเดินทาง การอพยพจะเปน็ ภูมิศาสตร์มนษุ ย์ (Human Geography) ถ้าพจิ ารณาเฉพาะปจั จยั ท่เี ป็นส่ิงท่มี นษุ ย์สรา้ งขน้ึ เชน่ การตัง้ ถน่ิ ฐาน การคมนามคม การคา้ การเมือง จะเปน็ ภมู ศิ าสตร์วัฒนธรรม (Cultural Geography) ภมู อิ ากาศ คอื ภาพปฏสิ มั พันธข์ ององคป์ ระกอบอุตุนิยมวิทยา รปู แบบตา่ ง ๆ เช่น ภูมิอากาศ แบบร้อนชน้ื ภูมิอากาศแบบอบอนุ่ ช้นื ภูมิอากาศแบบร้อนแหง้ แล้ง ฯลฯ ภมู ปิ ระเทศ คอื ภาพปฏิสมั พันธ์ขององค์ประกอบแผ่นดิน เช่น หิน ดนิ ความต่างระดับ ทำให้เกดิ ภาพ ลกั ษณะรปู แบบต่าง ๆ เชน่ พื้นท่แี บบภเู ขา พื้นท่รี ะบบลาด เชงิ เขา พนื้ ทรี่ าบ พนื้ ทล่ี ุ่ม ฯลฯ ภูมิพฤกษ์ คือ ภาพปฏสิ ัมพนั ธข์ องพืชพรรณ อากาศ ภูมปิ ระเทศ ดิน สตั ว์ป่า ในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ ปา่ ดิบ ป่าเตง็ รัง ปา่ เบญจพรรณ ป่าทงุ่ หญ้า ฯลฯ ภูมธิ รณี คือ ภาพปฏสิ ัมพันธข์ องแร่ หนิ โครงสรา้ งทางธรณี ทำใหเ้ กิดรปู แบบทางธรณชี นดิ ตา่ ง ๆ เช่น ภูเขาแบบทบตวั ภเู ขาแบบยกตัว ที่ราบน้ำทว่ มถงึ ชายฝง่ั แบบยบุ ตัว ฯลฯ ภูมิปฐพี คือ ภาพปฏิสมั พันธ์ของแร่ หนิ ภูมปิ ระเทศลักษณะอากาศ พชื พรรณ ทำให้เกิดดินรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น แดนดินดำ มอดินแดง ดนิ ทรายจดั ดินกรด ดนิ เค็ม ดนิ พรุ ฯลฯ
๑๑๔ ภมู ิอทุ ก คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของแผ่นดนิ ภมู ิประเทศ ภูมอิ ากาศ ภูมิธรณี พืชพรรณ ทำให้เกดิ รปู แบบ แหลง่ นำ้ ชนิดตา่ ง ๆ เชน่ แม่น้ำ ลำคลอง หว้ ย หนอง บึง ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร น้ำใตด้ นิ นำ้ บาดาล ฯลฯ ภมู ิดารา คือ ภาพปฏิสมั พันธข์ องดวงดาว กลุ่มดาว เวลา การเคลื่อนการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทำใหเ้ กดิ รูปแบบปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เชน่ การเกิดกลางวันกลางคืน ข้างข้ึน-ข้างแรม สุรยิ ุปราคา ตะวันอ้อมเหนือ ตะวันอ้อมใต้ ฯลฯ ภยั พบิ ัติ เหตุการณ์ทกี่ ่อให้เกดิ ความเสียหายและสูญเสยี อย่างรุนแรง เกดิ ข้ึนจากภยั ธรรมชาติและกระทำของ มนุษย์ จนชมุ ชนหรอื สังคมท่ีเผชิญปัญหาไมอ่ าจรับมือ เชน่ ดนิ ถล่ม สึนามิ ไฟป่า ฯลฯ แหล่งภูมศิ าสตร์ หมายความวา่ พ้นื ที่ของประเทศ เขต ภูมิภาคและท้องถ่นิ และใหห้ มายความรวมถึงทะเล ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำนำ้ เกาะ ภเู ขา หรอื พ้นื ที่อ่นื ทำนองเดยี วกนั ด้วย เทคนิคทางภูมิศาสตร์ หมายถงึ แผนท่ี แผนภมู ิ แผนภาพ และกราฟ ภายถา่ ยทางอากาศ และภาพถ่ายจาก ดาวเทยี ม เทคโนโลยภี ูมสิ ารสนเทศ สอ่ื ที่สามารถค้นข้อมลู ทางภมู ิศาสตร์ได้ มิตทิ างพ้นื ท่ี หมายถึง การวิเคราะห์ พจิ ารณาในเร่ืองขององค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ทเ่ี กย่ี วข้องกับเวลา สถานท่ี ปัจจยั แวดลอ้ ม และการกระจายของพื้นท่ีในรูปแบบตา่ ง ๆ ทัง้ ความกวา้ ง ยาว สูง ตาม ขอบเขตทก่ี ำหนด หรอื สมมุติพน้ื ทีข่ ึน้ มาพิจารณา การศกึ ษารปู แบบทางพนื้ ท่ี หมายถึง การศึกษาเรื่องราวเกยี่ วกบั พน้ื ทห่ี รือมติ ิทางพื้นทข่ี อง สงั คมมนุษย์ ที่ตัง้ ถ่นิ ฐานอยู่ มีการใชแ้ ละกำหนดหนว่ ยเชงิ พื้นท่ี ทีช่ ดั เจน มกี ารอาศยั เส้นท่ีเราสมมตุ ิข้ึน อาศยั หนว่ ยตา่ ง ๆ ขนึ้ มากำหนดขอบเขต ซึง่ มีองคป์ ระกอบลกั ษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรม การเมอื ง และลักษณะทางพัฒนาการของมนุษยท์ ่ีเดน่ ชัด สอดคล้องกันเปน็ พน้ื ฐานใน การศึกษา แสวงหาข้อมลู ภูมิศาสตรก์ ายภาพ หมายถึง ศาสตรท์ ี่ศึกษาเรื่องเกยี่ วกบั ระบบธรรมชาติ ถงึ ความเป็นมา ความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการไปตามยุคสมยั โดยมขี อบเขตทีก่ ล่าวถึง ลักษณะภูมปิ ระเทศ ลักษณะภมู ิอากาศ ภมู ิปฐพี (ดิน) ภมู อิ ากาศ (ลมฟา้ อากาศ บรรยากาศ) และภูมพิ ฤกษ์ (พชื พรรณ ปา่ ไม้ ธรรมชาต)ิ รวมท้งั ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมตามธรรมชาติ การเปลีย่ นแปลงของธรรมชาติที่มีผลต่อชีวิต และความเป็นอยขู่ องมนษุ ย์ ส่ิงแวดล้อม สิง่ ท่ีอย่รู อบ ๆ ส่ิงใดสิ่งหน่ึงและมอี ิทธิพลตอ่ สง่ิ น้ัน อาทิ อากาศ นำ้ ดนิ ต้นไม้ สัตว์ ซง่ึ สามารถ ถูกทำลายได้โดยการขาดความระมัดระวัง ส่ิงแวดล้อมทางภายภาพ หมายถงึ ทุกส่ิงทุกอยา่ ง ยกเว้นตัวมนุษยแ์ ละผลงาน และมนษุ ย์ ส่ิงแวดล้อมทาง กายภาพ ได้แก่ ภมู ิอากาศ ดิน พชื พรรณ สตั ว์ป่า ธรณสี ัณฐาน (ภเู ขาและทีร่ าบ) บรรยากาศ มหาสมทุ ร แร่ธาตุ และนำ้ อนรุ ักษ์ การรักษา จัดการ ดูแลทรัพยากรธรรมชาตแิ ละวัฒนธรรม หรอื การรักษาปอ้ งกันบางสิง่ ไม่ให้ เปลีย่ นแปลง สญู หายหรือถูกทำลาย ภมู ศิ าสตร์มนษุ ย์ และส่ิงแวดล้อม หมายถงึ ศาสตร์ที่ศึกษาเรอ่ื งราวเกย่ี วกับมนุษย์ วิถีชวี ิตและ ความเป็นอยู่ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสังคม สิง่ แวดล้อมด้านสงั คมทง้ั ในเมืองและท้องถิ่น การเปลยี่ นแปลงทางส่งิ แวดลอ้ ม สาเหตแุ ละผลกระทบทีม่ ีต่อมนษุ ย์ ปัญหาและแนวทางแกป้ ัญหาทาง สังคม กรอบทางพนื้ ที่ (Spatial Framework) หมายถึง การวางข้อกำหนดหรือขอบเขตของพ้ืนที่ในการศึกษาเรื่องใด เรอ่ื งหนง่ึ หรือแบบรูปแบบกระจายของสงิ่ ต่าง ๆ บนผวิ โลกสว่ นใดสว่ นหนึ่ง เพ่ือให้เราเข้าใจลกั ษณะ โลกของมนุษยด์ ีข้ึน เช่น การกำหนดใหม้ นุษย์ และวฒั นธรรมของมนษุ ย์ดีข้ึน เชน่ การกำหนดให้มนษุ ย์และ
๑๑๕ วฒั นธรรมของมนุษย์กรอบพ้ืนที่ของโลกทีม่ ลี ักษณะเป็นภูมิภาค ประเทศ จังหวดั เมือง ชุมชน ท้องถิ่น ฯลฯ สำหรับการวเิ คราะห์ หรอื ศึกษาองคป์ ระกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เฉพาะเร่ือง รูปแบบทางพ้นื ที่ (Spatial Form) หมายถึง ขอ้ เทจ็ จรงิ เครอื่ งมอื หรือวิธีการ โดยเฉพาะกลุ่มของขอ้ มูลที่ ไดม้ า เป็นต้นว่า ความสัมพนั ธ์ทางพนื้ ที่แบบรูปแบบของการกระจาย การกระทำระหว่างกัน เครอื่ งมือ ทีใ่ ช้ ไดแ้ ก่ แผนท่ี ภาพถ่าย ฯลฯ พน้ื ทีห่ รอื ระวางท(่ี Space) หมายถึง ขอบเขตทางพนื้ ท่ีในการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ เปน็ การศกึ ษาพ้นื ท่ี ในมติ ติ ่าง ๆ ตามระวางที่ (Spatiak study) ที่กำหนดขน้ึ มีขอบเขตชดั เจน อาจจะมีการกำหนดเปน็ เขตบรเิ วณ สถานท่ี นำมติ ขิ องความกวา้ ง ความลกึ ความสูง ความยาว รวมท้ังมติ ิทางเวลา ในเขต พืน้ ทต่ี ่าง ๆ ตามทีเ่ รากำหนด ขอบเขตระหว่างท่ี ด้วยเคร่ืองมือ เส้นสมมติและเทคนคิ ทางภูมศิ าสตร์ ตา่ ง ๆ เชน่ แผนที่ ภาพถา่ ย ฯลฯ อาจจะจำแนกเปน็ เขต ภูมภิ าค ประเทศ จังหวัด เมือง ชุมชน ทอ้ งถนิ่ ฯลฯ ท่เี ฉพาะเจาะจงไป มกี ารพจิ ารณา วิเคราะหถ์ ึงการกระจายและสัมพนั ธภาพของมนุษย์ บนผวิ โลก และลกั ษณะทางพ้ืนที่ของการตั้งถ่นิ ฐานของมนุษย์ และการท่ีใช้ประโยชนจ์ ากพืน้ โลก สมั พันธ์จากถ่นิ ฐานของมนษุ ย์ และการที่ใช้ประโยชน์จากพื้นโลก สมั พนั ธภาพระหว่างสังคมมนษุ ย์กับ สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพ ซึ่งถือวา่ เป็นสว่ นหนึ่งในการศึกษาความแตกตา่ งเชิงพ้ืนท่ี (Area difference) มติ ิสมั พนั ธเ์ ชิงทำเลที่ต้ัง หมายถงึ การศกึ ษาความแตกต่างหรอื ความเหมือนกนั ของสังคมมนุษยใ์ นแต่ละ สถานท่ี ในฐานะทคี่ วามแตกต่างและเหมือนกนั น้ันอาจมีความเกยี่ วเนอื่ งกับความแตกตา่ งและความ เหมือนกันในสง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ ทางสังคม ทางวฒั นธรรม ทางการเมือง และ การศึกษาภูมิทัศนท์ แี่ ตกตา่ งกันในเรอ่ื งองคป์ ระกอบ ปัจจยั ตลอดจนแบบรูปการกระจายของมนุษย์ บนพน้ื โลก และการทม่ี นุษยใ์ ช้ประโยชน์จากพืน้ โลก เหตุไรมนษุ ยจ์ งึ ใชป้ ระโยชน์จากพื้นโลก แตกตา่ ง กนั ในสถานที่ต่างกัน และในเวลาที่ตา่ งกัน มผี ลกระทบอย่างไร ภาวะประชากร รายละเอียดขอ้ เท็จจริงเกย่ี วกับประชากรในเรอื่ งสำคัญ 3 ด้าน คอื ขนาดประชากร การกระจายตวั เชงิ พื้นท่ี และองค์ประกอบของประชากร ขนาดของประชากร จำนวนประชากรทงั้ หมดของเขตพ้นื ทีห่ นง่ึ พนื้ ท่ี ณ เวลาที่กลา่ วถึง การกระจายตัวเชงิ พ้นื ที่ การท่ีประชากรกระจายตวั กันอยู่ในส่วนตา่ งๆ ของพื้นท่ีหนึ่งพื้นท่ี ณ เวลาท่ีกลา่ วถงึ องค์ประกอบของประชากร ลักษณะต่าง ๆ ท่ีมสี ่วนผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงขนาดหรอื จำนวนประชากร องคป์ ระกอบของประชากรเป็นดัชนีอยา่ งหนงึ่ ทชี่ ใี้ ห้เหน็ ถึงคณุ ภาพของประชากร องค์ประกอบ ประชากรที่สำคัญ ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชพี การสมรส การเปลยี่ นแปลงประชากร องค์ประกอบสำคัญทท่ี ำให้เกดิ กรเปลี่ยนแปลงประชากร คอื การเกิด การตาย และการย้ายถ่ิน
๑๑๖ คณะผ้จู ดั ทำ คณะท่ีปรกึ ษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน ๑. คณุ หญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน ๒. นายวินยั รอดจา่ ย ทปี่ รึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ ๓. นายสชุ าติ วงศ์สวุ รรณ ๔. นางเบญจลกั ษณ์ น้ำฟ้า ผู้อำนวยการสำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา ๕. นางภาวนี ธำรงเลิศฤทธ์ิ รองผู้อำนวยการสำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา คณะทำงานยกร่าง ขา้ ราชการบำนาญ ๑. รองศาสตราจารยว์ ุฒชิ ยั มูลศิลป์ คณะรัฐศาสตร์ รองประธาน ประธาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะทำงาน ๒. รองศาสตราจารยน์ ครนิ ทร์ เมฆไตรรัตน์ อธิการบดมี หาวทิ ยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ๓. พระธรรมโกศาจารย์ ผู้ช่วยอธิการบดฝี า่ ยวชิ าการ ๔. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส คณะทำงาน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย รองอธกิ ารบดีฝา่ ยวิชาการ คณะทำงาน ๕. พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญุ โญ
๑๑๗ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๖. พระมหาสุทัศน์ ติสฺสรวาที ผู้อำนวยการกองวิชาการ คณะทำงาน ๗. พระมหาสุเทพ สปุ ณฺฑโิ ต มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๘. นางสคุ นธ์ สนิ ธพานนท์ ผ้อู ำนวยการกองแผนงาน คณะทำงาน คณะทำงาน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๙. นางสพุ รรณี มีเทศน์ ๑๐. นางวัลภา สงิ หธรรมสาร ขา้ ราชการบำนาญ ๑๑. นางอุทุมพร มลู พรม ๑๒. ผู้ช่วยศาสตราจารยก์ วี วรกวนิ ขา้ ราชการบำนาญ คณะทำงาน ๑๓. รองศาสตราจารย์อรรฆย์คณา แย้มนวล ขา้ ราชการบำนาญ คณะทำงาน ๑๔. ผูช้ ่วยศาสตราจารยเ์ ชียง เภาชิต ขา้ ราชการบำนาญ คณะทำงาน คณะทำงาน คณะสงั คมศาสตร์ คณะทำงาน ๑๕. นายทรงธรรม ปิ่นโต มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร ๑๖. นางมาตรินี รักษ์ตานนทช์ ัย สาขาวชิ าเศรษฐศาสตร์ คณะทำงาน ๑๗. นางสาวละออทอง อมั รินทร์รตั น์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช ๑๘. ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารยธ์ มกร ธาราศรสี ุทธิ คณะเศรษฐศาสตร์ ๑๙. นางสภุ าภรณ์ จิตจักร ๒๐. นางศริ กิ าญจน์ โกสมุ ภ์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบัณฑติ ย์ ๒๑. นางมณนี าถ จนั ทรค์ ณุ า สายนโยบายการเงิน คณะทำงาน ๒๒. นางธนาลัย ลิมปรตั นคีรี ธนาคารแหง่ ประเทศไทย ๒๓. นางสาวจารวุ รรณา ภทั รนาวนิ ๒๔. นายไตรรัตน์ สุทธเกียรติ คณะสังคมศาสตร์ คณะทำงาน คณะทำงาน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ๒๕. นางอนงค์ บวั ทองเลิศ คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ คณะทำงาน คณะทำงาน ๒๖. นางสาวรุ้งตะวัน วัตรนนั ท์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนคร ๒๗. นายพฒั นา น้อยไพโรจน์ ๒๘. นางสาววิไลพร หวานสนิท คณะเศรษฐศาสตร์ คณะทำงาน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำนกั พระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ คณะทำงาน ศึกษานิเทศก์ คณะทำงาน สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 2 ศกึ ษานเิ ทศก์ คณะทำงาน สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 3 ผ้อู ำนวยการโรงเรียนผักไห่ “สุทธาประมขุ ” คณะทำงาน โรงเรียนโยธนิ บูรณะ คณะทำงาน โรงเรียนสามเสนวทิ ยาลัย โรงเรียนวดั ทรงคะนอง โรงเรียนประชาอุปถัมภ์ คณะทำงาน โรงเรยี นนครหลวง “พิบลู ยป์ ระเสริฐวทิ ย์” คณะทำงาน โรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม คณะทำงาน
๑๑๘ ๒๙. นางปนัดดา มสี มบัตงิ าม โรงเรยี นวดั ราชโอรส คณะทำงาน ๓๐. นางสาวเพช็ รรตั น์ พยบั วารินทร์ โรงเรยี นชโิ นรสวิทยาลยั คณะทำงาน ๓๑. นางละออง อ่อนเกตพุ ล โรงเรียนสตรีวดั ระฆัง คณะทำงาน ๓๒. นางกรรณิการ์ สงวนหมู่ โรงเรียนเตรียมอดุ มศึกษาพฒั นาการ คณะทำงาน ๓๓. นางสุดาวรรณ โรจนห์ ล่อสกลุ โรงเรยี นวดั มหาบุศย์ คณะทำงาน ๓๔. นายสมหวงั ชัยตามล โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์ คณะทำงาน ๓๕. นางมนพร จนั ทร์คล้าย โรงเรียนวัดปรินายก คณะทำงาน ๓๖. นางจฑุ ามาศ สรวสิ ูตร สำนกั ติดตามและประเมนิ ผล คณะทำงาน การจัดการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน สำนักพัฒนานวตั กรรมการจัดการศึกษาสพฐ. คณะทำงาน ๓๗. นางบรรเจอดพร สู่แสนสขุ สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. คณะทำงาน ๓๘. นางวันเพ็ญ สุทธากาศ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาสพฐ. คณะทำงาน ๓๙. นางระวิวรรณ ภาคพรต ๔๐. นางสาวร่งุ นภา นตุ ราวงศ์ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษาสพฐ. คณะทำงาน สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. ๔๑. นางดรณุ ี จำปาทอง สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. คณะทำงาน คณะทำงาน สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. คณะทำงาน ๔๒. นางสาวพรนิภา ศลิ ปป์ ระคอง ๔๓. นางสาวเพ็ญจันทร์ ธนาวภิ าส สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. ๔๔. นางสาวกอบกุล สกุ ขะ สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. คณะทำงาน ๔๕. นางปานทิพย์ จตุรานนท์ และ คณะทำงาน สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. คณะทำงานและ ผูช้ ว่ ยเลขานุการ เลขานกุ าร ๔๖. นางสาวประภาพรรณ แม้นสมุทร สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. คณะทำงาน ผูช้ ่วยเลขานกุ าร ๔๗. นายอนจุ ินต์ ลาภธนาภรณ์ ข้าราชการบำนาญ คณะบรรณาธกิ าร ๑. รองศาสตราจารยว์ ฒุ ชิ ัย มูลศิลป์ ผู้อำนวยการโรงเรียนผักไห่ “สุทธาประมุข” รองประธาน อธิการบดีมหาวทิ ยาลยั ประธาน มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๒. นางธนาลยั ลมิ ปรตั นคีรี ๓. พระธรรมโกศาจารย์ ผชู้ ่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๔. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส รองอธิการบดีฝา่ ยวิชาการ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ๕. พระมหาสมจินต์ สมฺมาปุญโญ
๖. พระมหาสทุ ศั น์ ติสฺสรวาที ๑๑๙ ๗. พระมหาสเุ ทพ สุปณฺฑิโต ผ้อู ำนวยการกองวชิ าการ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๘. นางสคุ นธ์ สินธพานนท์ ผอู้ ำนวยการกองแผนงาน ๙. นางสุพรรณี มเี ทศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๑๐. นางวลั ภา สงิ หธรรมสาร ๑๑. นางอุทุมพร มูลพรม ขา้ ราชการบำนาญ ๑๒. นางแมน้ เดือน สุขบำรุง ข้าราชการบำนาญ ๑๓. น.ส.จงจรัส แจม่ จันทร์ ข้าราชการบำนาญ ๑๔. นางทพิ วัลย์ มัน่ คงหตั ถ์ ข้าราชการบำนาญ ๑๕. นางกอบกาญจน์ เทียนไชยมงคล ข้าราชการบำนาญ ขา้ ราชการบำนาญ ๑๖. รองศาสตราจารยช์ ูศรี มณพี ฤกษ์ ข้าราชการบำนาญ ขา้ ราชการบำนาญ ๑๗. ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยก์ วี วรกวนิ ขา้ ราชการบำนาญ ๑๘. นางมาตรนิ ี รักษ์ตานนท์ชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ้อู ำนวยการสถาบันส่งิ แวดล้อมและทรัพยากร ๑๙. นายทรงธรรม ป่นิ โต มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร คณะสงั คมศาสตร์ ๒๐. นางสาวละออทอง อมั รนิ ทร์รัตน์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ สายนโยบายการเงิน ๒๑. ผูช้ ว่ ยศาสตราจารยณ์ ฐั กา ตันสกุล ธนาคารแหง่ ประเทศไทย ๒๒. ดร.ปรียานุช พิบูลสราวุธ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนคร ๒๓. ดร.โอม หุวะนันทน์ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร หวั หนา้ โครงการวิจัยเศรษฐกิจพอเพยี ง ๒๔. นางเมตตา ภริ มย์ภกั ดี สำนักงานทรัพยส์ นิ ส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้อำนวยการดษุ ฎบี ัณฑติ ศึกษา ๒๕. นางสาวมาลี โตสกลุ มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บณั ฑิต ศกึ ษานเิ ทศก์ ๒๖. นางศิรกิ าญจน์ โกสมุ ภ์ สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 1 ศึกษานเิ ทศก์ ๒๗. นางมณนี าถ จันทร์คณุ า สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 2 ศึกษานิเทศก์ ๒๘. นางวไิ ลวรรณ วงศท์ องศรี สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 2 ศึกษานเิ ทศก์ ๒๙. นายดำรงศักดิ์ ชยั สนิท สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3 ศึกษานเิ ทศก์ สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษา ศึกษานเิ ทศก์
๑๒๐ สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษา ๓๐. นางสาวจารวุ รรณา ภทั รนาวนิ โรงเรยี นโยธนิ บรู ณะ ๓๑. นางสาวรุ้งตะวัน วัตรนันท์ โรงเรยี นประชาอุปถัมภ์ ๓๒. นายพฒั นา น้อยไพโรจน์ โรงเรยี นนครหลวง “พิบลู ยป์ ระเสริฐวทิ ย์” ๓๓. นางสาววไิ ลพร หวานสนทิ โรงเรยี นสุวรรณารามวทิ ยาคม ๓๔. นางปนัดดา มีสมบัตงิ าม โรงเรียนวัดราชโอรส ๓๕. นางสาวเพช็ รรัตน์ พยับวารนิ ทร์ โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย ๓๖. นางละออง อ่อนเกตุพล โรงเรียนสตรีวดั ระฆัง ๓๗. นางกรรณิการ์ สงวนหมู่ โรงเรยี นเตรยี มอุดมศึกษาพฒั นาการ ๓๘. นายสมหวงั ชยั ตามล โรงเรียนเทพศิรินทร์ ๓๙. นางมนพร จันทรค์ ลา้ ย โรงเรียนวดั ปรินายก ๔๐. นางเย็นจิตต์ ไพยริน โรงเรยี นวัดด่านสำโรง ๔๑. นางมณีลักษณ์ แพงดี โรงเรียนอนรุ าชประสิทธิ์ ๔๒. นางสาวมัณฑิตา สุประดษิ ฐ์ ณ อยธุ ยา โรงเรยี นมาแตรเ์ ดอี ๔๓. นางมาลี บางท่าไม้ โรงเรยี นสตรวี ิทยา ๔๔. นางสาววรลกั ษณ์ รัตติกาลชสาคร โรงเรยี นสายน้ำผงึ้ ในพระอปุ ถัมภ์ฯ ๔๕. นางสาวโสพดิ า เขอ่ื งถงุ่ เจา้ หนา้ ทวี่ จิ ัย โครงการวิจยั เศรษฐกจิ พอเพียง สำนกั งานทรัพย์สนิ สว่ นพระมหากษัตรยิ ์ ๔๖. นางวนั เพญ็ สทุ ธากาศ สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. ๔๗. นางระววิ รรณ ภาคพรต สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. ๔๘. นางปานทพิ ย์ จตุรานนท์ สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. เลขานุการ ๔๙. นางสาวประภาพรรณ แมน้ สมทุ ร สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สพฐ. ผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร ๕๐. นายอนจุ นิ ต์ ลาภธนาภรณ์ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. ผู้ช่วยเลขานุการ ฝา่ ยเลขานุการโครงการ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา หัวหน้าโครงการ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ๑. นางสาวร่งุ นภา นุตราวงศ์ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา ๒. นางสาวจนั ทรา ตันติพงศานุรักษ์ สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา ๓. นางดรุณี จำปาทอง สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ๔. นางสาวพรนภิ า ศลิ ปป์ ระคอง สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา ๕. นางเสาวภา ศกั ดา สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา ๖. นางสาวกอบกลุ สุกขะ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา ๗. นางสุขเกษม เทพสิทธ์ิ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ๘. นายวรี ะเดช เช้ือนาม สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา ๙. ว่าท่ี ร.ต. สรุ าษฏร์ ทองเจริญ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา ๑๐. นางสาวประภาพรรณ แม้นสมทุ ร ๑๑. นายอนุจนิ ต์ ลาภธนาภรณ์
๑๒๑ คณะผรู้ บั ผิดชอบกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม 1. นางวันเพ็ญ สทุ ธากาศ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา 2. นางระววิ รรณ ภาคพรต สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา 3. นางปานทิพย์ จตุรานนท์ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา 4. นางสาวประภาพรรณ แม้นสมทุ ร สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา 5. นายอนุจนิ ต์ ลาภธนาภรณ์ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (หมายเหตพุ ิมพ์ไว้หลงั ปกหนา้ ) พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว เก่ยี วกับการศึกษา
๑๒๒ ----------------------------- การศกึ ษาน้นั ไม่ว่าจะศึกษาเพือ่ ตนหรอื จะให้แกผ่ อู้ ่ืน สำคญั อย่างยิ่งทีจ่ ะต้องทำให้ไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ จงึ จะไดผ้ ลเปน็ คุณประโยชน์ มิฉะนั้นจะต้องมกี ารผิดพลาดเสียหายเกิดข้นึ ทำให้เสียหายเวลาและเสยี ประโยชนไ์ ปเปลา่ ๆ วตั ถุประสงคข์ องการศึกษานนั้ คอื ยา่ งไร กล่าวโดยรวบยอด กค็ ือทำใหบ้ ุคคลมีปัจจยั หรือมีอุปกรณส์ ำหรบั ชีวิตอย่างครบถว้ น เพยี งพอทัง้ ในส่วนวิชาความรู้ สว่ นความคดิ วินิจฉัย ส่วนจิตใจและคุณธรรมความประพฤติ ส่วนความขยันอดทนและความสามารถ ในอนั ทจี่ ะนำไปสูค่ วามคดิ ไปใช้ปฏบิ ัตงิ านด้วยตนเองให้ไดจ้ รงิ ๆ เพื่อสามารถดำรงชพี อยู่ได้ดว้ ยความสุข ความเจรญิ มั่นคง และสรา้ งสรรค์ประโยชน์ให้แกส่ งั คมและบ้านเมือง ได้ตามควรแกฐ่ านะด้วย -------------------------- (ทมี่ า : จากวารสารวิชาการปที ่ี 4 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2544) (หมายเหตุ พิมพ์ไว้ด้านหน้าปกหลงั ) ศลี 5 หรือ เบญจศีล ศีล 5 หรือ เบญจศีล (ความประพฤติชอบทางกายและวาจา, การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย, การรักษาปกติตามระเบียบวินัย, ข้อปฏิบัติในการเว้นจากความช่ัว, การควบคุมตนให้ต้ังอยู่ในความไม่ เบยี ดเบยี น) ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวน้ จากการปลงชีวิต, เว้นจากการฆา่ การประทษุ รา้ ยกนั ) ๒. อทนิ ฺนาทานา เวรมณี (เวน้ จากการถอื เอาของที่เขามไิ ด้ให้, เว้นจากการลกั โกง ละเมิดกรรมสิทธิ์ ทำลายทรัพยส์ ิน)
๑๒๓ ๓. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี (เว้นจากการประพฤติผิดในกาม, เว้นจากการล่วงละเมิดสิ่งท่ีผู้อ่ืนรัก ใคร่ หวงแหน) ๔. มสุ าวาทา เวรมณี (เว้นจากการพดู เทจ็ โกหก หลอกลวง) ๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี (เว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นท่ีตั้งแห่งความ ประมาท, เวน้ จากส่ิงเสพติดให้โทษ) เบญจธรรม เบญจธรรม แปลว่า ธรรม 5 ประการ เบญจธรรม หมายถึง ข้อที่ควรปฏิบัติ 5 ประการซ่ึงถือว่าเป็นส่ิงท่ีดีงาม เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติ เจริญกา้ วหนา้ ปลอดเวร ปลอดภัย เพิ่มพนู ความดแี กผ่ ้ทู ำ เบญจธรรม 5 ประการ คอื ๑. เมตตากรุณา คอื ความรกั ความปรารถนาดตี ่อผู้อืน่ ๒. สัมมาอาชีวะ คือ การประกอบสมั มาชีพ ๓. กามสงั วร คือ การสำรวมในกาม ๔. สัจจะ คอื การพูดความจรงิ ๕. สตสิ ัมปชัญญะ คอื ความระลึกไดแ้ ละความรู้ตัว (ท่มี า : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม)
๑๒๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124