เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : เดรจั ฉานวชิ า เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ใน ภพโน้น เราได้มีชื่ออย่างน้ัน มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ อย่างน้ัน มีอาหารอย่างน้ัน เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำ�หนดอายเุ พยี งเทา่ นน้ั ครน้ั จตุ จิ ากภพนน้ั แลว้ ไดไ้ ปเกดิ ในภพโนน้ แมใ้ นภพนน้ั เรากไ็ ดม้ ชี อ่ื อยา่ งนน้ั มโี คตรอยา่ งนน้ั มีผิวพรรณอย่างน้ัน มีอาหารอย่างน้ัน เสวยสุขเสวยทุกข์ อยา่ งนน้ั ๆ มกี ำ�หนดอายเุ พยี งเทา่ นน้ั ครน้ั จตุ จิ ากภพนน้ั แลว้ ได้มาเกิดในภพน้ี เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พรอ้ มทง้ั อาการ พรอ้ มทง้ั อทุ เทส ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี สภุ ตู ิ! ข้อทีภ่ กิ ษุระลึกถึงชาติก่อนไดเ้ ปน็ อันมาก คือ ระลกึ ไดช้ าติ หนึ่งบา้ ง สองชาตบิ ้าง ... เธอยอ่ มระลกึ ถึงชาติกอ่ นไดเ้ ป็น อนั มาก พรอ้ มทง้ั อาการ พรอ้ มทง้ั อทุ เทส ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี แมน้ ้ี ก็เป็นลักษณะแห่งศรทั ธาของผูม้ ศี รทั ธา. (9) อีกประการหน่ึง ภิกษุเห็นหมู่สัตว์กำ�ลังจุติ กำ�ลงั อปุ บตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มผี วิ พรรณทราม ไดด้ ี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธ์ิล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อม รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่าน้ีประกอบ ดว้ ยกายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ ตเิ ตยี นพระอรยิ เจา้ เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ยดึ ถอื การกระทำ�ดว้ ยอำ�นาจมจิ ฉาทฏิ ฐิ เมอ่ื ตายไป 73
พทุ ธวจน - หมวดธรรม จงึ ตอ้ งเขา้ ถงึ อบาย ทคุ ต ิ วนิ บิ าต นรก สว่ นสตั วเ์ หลา่ น้ี ประกอบด้วย กายสุจรติ วจสี ุจรติ มโนสุจริต ไมต่ เิ ตียนพระ- อรยิ เจา้ เปน็ สมั มาทฏิ ฐิ เมอ่ื ตายไป จงึ เขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ท่ีกำ�ลังจุติ กำ�ลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดด้ ี ตกยาก ดว้ ยทิพยจกั ษุ อนั บริสทุ ธลิ์ ่วงจกั ษขุ องมนษุ ย์ ยอ่ มรูช้ ัดซ่ึงหมสู่ ัตวผ์ ู้เปน็ ไป ตามกรรม ดว้ ยอาการอยา่ งน.ี้ สภุ ตู ิ ! ขอ้ ทภี่ กิ ษเุ หน็ หมสู่ ตั ว์ ทก่ี ำ�ลงั จตุ ิ กำ�ลงั อปุ บตั ิ เลวประณตี มผี วิ พรรณดี มผี วิ พรรณ ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธ์ิล่วงจักษุของ มนษุ ย์ ... ยอ่ มรชู้ ดั ซงึ่ หมสู่ ตั วผ์ เู้ ปน็ ไปตามกรรม ดว้ ยอาการ อย่างน้ี แม้นี้ ก็เปน็ ลกั ษณะแห่งศรัทธาของผู้มศี รัทธา. (10) อกี ประการหนง่ึ ภกิ ษทุ ำ�ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสน้ิ ไป ดว้ ยปญั ญาอนั ยงิ่ เองในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อย.ู่ สภุ ตู ิ ! ขอ้ ทภ่ี กิ ษุ ทำ�ให้แจ้งซ่ึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสนิ้ ไป ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองในปจั จบุ นั เข้าถงึ อยู่ แม้นี้ ก็เปน็ ลกั ษณะแหง่ ศรัทธาของผมู้ ศี รทั ธา. 74
อรยิ บคุ คล จะปฏิบัติตามสิ่งที่ พระศาสดาบัญญัติ
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : เดรัจฉานวชิ า พระสมั มาสัมพุทธะ บัญญัตใิ ห้ภิกษุ 23 ฉนั อาหารวนั หน่ึงเพยี งหนเดียว -บาลี ม. ม. ๑๓/๑๖๔/๑๖๓. สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาครับส่ังกับภิกษุท้ังหลายถึงประโยชน์ ของการฉันอาหารมื้อเดียว และบัญญัติให้ภิกษุฉันอาหารมื้อเดียว เพื่อ ความเป็นผมู้ ีอาพาธน้อย มโี รคเบาบาง กายเบา มีกำ�ลัง และอยูส่ ำ�ราญ ซึ่งพระภัททาลิได้แย้งว่าตนเองทำ�ไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจึงอนุญาตให้ พระภทั ทาลสิ ามารถนำ�อาหารทไี่ ดจ้ ากการรบั นมิ นตก์ ลบั มาฉนั ตอ่ อกี มอ้ื หนง่ึ ได้ ซง่ึ พระภทั ทาลกิ ไ็ ดแ้ ยง้ วา่ ตนเองทำ�ไมไ่ ดอ้ กี จากนนั้ พระภทั ทาลิ ก็ไม่กลา้ พบหน้าพระผมู้ ีพระภาคจนตลอด ๓ เดือน จนกระทั่งถึงฤดทู ำ� จีวร ภิกษุท้ังหลายได้ตักเตือนพระภัททาลิถึงการกระทำ�ท่ีไม่เหมาะสม พระภัททาลจิ ึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มพี ระภาค ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! โทษได้ครอบงำ�ข้าพระองค์ ผู้เป็น คนพาล เปน็ คนหลง ไมฉ่ ลาด ซง่ึ ไดป้ ระกาศความไมอ่ ตุ สาหะขนึ้ แลว้ ใน เมอื่ พระผมู้ พี ระภาคกำ�ลงั ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ในเมอ่ื ภกิ ษสุ งฆส์ มาทาน อยซู่ ง่ึ สกิ ขา. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ขอพระผมู้ พี ระภาคจงทรงรบั โทษ ของขา้ พระองค์น้นั โดยความเป็นโทษเพ่ือความสำ�รวมระวังต่อไปเถดิ . ภัททาลิ ! เราขอเตือน โทษได้ครอบง�ำเธอผู้เป็น คนพาล เป็นคนหลง ไมฉ่ ลาดซงึ่ ได้ประกาศความอตุ สาหะ ขน้ึ แลว้ ในเมอ่ื เรากำ� ลงั จะบญั ญตั สิ กิ ขาบท ในเมอื่ ภกิ ษสุ งฆ์ กำ� ลงั สมาทานอย่ซู ึ่งสิกขา. 76
เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : เดรัจฉานวชิ า ภัททาลิ ! เธอจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เปน็ อรยิ บคุ คลชอ่ื อภุ โตภาควมิ ตุ ต1ิ เรา พงึ กลา่ วแกภ่ กิ ษอุ ยา่ งนว้ี า่ มาเถดิ ภกิ ษุ เราจะกา้ วไปในหลม่ ดังนี้ ภิกษุนั้นพึงก้าวไป หรือพึงน้อมกายไปด้วยอาการอ่ืน หรอื พึงกลา่ วปฏเิ สธบ้างหรือ. ไม่มเี ลย พระเจา้ ขา้ . ภัททาลิ ! เธอจะส�ำคัญความข้อน้ันเป็นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นอริยบุคคลช่ือปัญญาวิมุตติ เป็น อริยบุคคลชื่อกายสักขี เป็นอริยบุคคลชื่อทิฏฐิปัตตะ เป็น อริยบุคคลช่ือสัทธาวิมุตติ เป็นอริยบุคคลช่ือธรรมานุสารี เปน็ อรยิ บคุ คลชือ่ สทั ธานสุ ารี เราพึงกล่าวกะภิกษอุ ยา่ งนว้ี า่ มาเถดิ ภกิ ษุ เราจะกา้ วไปในหลม่ ดงั น้ี ภกิ ษนุ น้ั พงึ กา้ วไป หรอื พงึ นอ้ มกายไปดว้ ยอาการอน่ื หรอื พงึ กลา่ วปฏเิ สธบา้ งหรอื ไม่มเี ลย พระเจา้ ข้า. ภัททาลิ ! เธอจะส�ำคัญความข้อน้ันเป็นอย่างไร ในสมัยน้ัน เธอเป็นพระอริยบุคคลช่ือว่าอุภโตภาควิมุตติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ กายสกั ขี ทฏิ ฐปิ ตั ตะ สทั ธาวมิ ตุ ติ ธรรมานสุ ารี หรือสทั ธานสุ ารี บา้ งหรอื หนอ. 1. หาค�ำตอบในความหมายของชื่ออริยบุคคลแต่ละจ�ำพวก ได้ในไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เลม่ ที่ ๑๓ มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณั ณาสก์ หนา้ ท่ี ๑๑๙ ขอ้ ที่ ๒๓๐ 77
พุทธวจน - หมวดธรรม มิได้เปน็ เลย พระเจา้ ขา้ . ภัททาลิ ! ในสมัยน้ัน เธอยังเป็นคนว่าง คนเปล่า คนผิดมใิ ช่หรือ. เป็นอย่างน้ัน พระเจ้าข้า. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! โทษได้ ครอบงำ�ขา้ พระองคผ์ ้เู ปน็ คนพาล เป็นคนหลง ไม่ฉลาด ซงึ่ ได้ประกาศ ความไม่อุตสาหะขึ้นแล้ว ในเมื่อพระผู้มีพระภาคกำ�ลังทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ในเมอ่ื ภกิ ษสุ งฆก์ ำ�ลงั สมาทานอยซู่ ง่ึ สกิ ขา. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับโทษของข้าพระองค์น้ันโดยความเป็นโทษ เพ่ือความสำ�รวมระวังตอ่ ไปเถดิ . ภัททาลิ ! เราขอเตือน โทษได้ครอบง�ำเธอผู้เป็น คนพาล เปน็ คนหลง ไมฉ่ ลาด ซงึ่ ไดป้ ระกาศความไมอ่ ตุ สาหะ ข้ึนแล้ว ในเม่ือเราก�ำลังบัญญัติสิกขาบท ในเม่ือภิกษุสงฆ์ ก�ำลังสมาทานอยู่ซึ่งสิกขา แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความ เปน็ โทษ แลว้ ทำ� คนื ตามธรรม เราจงึ รบั โทษของเธอนน้ั ขอ้ ท่ี บุคคลเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้วท�ำคืนตามธรรม ถึง ความส�ำรวมระวังต่อไป น้ีเป็นความเจริญในอริยวินัยของ ผ้นู ้นั . 78
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : เดรจั ฉานวิชา อรยิ สาวกท้ังหลายยอมเสยี ชีวติ 24 แตไ่ ม่ยอมก้าวลว่ งสกิ ขาบท -บาลี อฏฺก. อํ. ๒๓/๒๐๓/๑๐๙. ปหาราทะ! มหาสมทุ รเตม็ เปย่ี มอยเู่ สมอ ไมล่ น้ ฝง่ั ฉนั ใด เราบญั ญตั สิ กิ ขาบทใดๆ แกส่ าวกทงั้ หลายของเราแลว้ สาวกทัง้ หลายของเรา ย่อมไมก่ ้าวลว่ งสิกขาบทนนั้ ๆ แม้จะ ต้องเสยี ชวี ิต กฉ็ ันนัน้ เหมือนกนั . ปหาราทะ ! ข้อที่เราบัญญัติสิกขาบทใดๆ แก่ สาวกท้ังหลายของเราแล้ว สาวกท้ังหลายของเรา ย่อม ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทนั้นๆ แม้จะต้องเสียชีวิต น้ีแลเป็น สงิ่ ที่นา่ อศั จรรยไ์ มน่ า่ จะมีได้ ประการท่ี ๒ ในธรรมวนิ ัยน้ี ซง่ึ เมอ่ื ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดเ้ หน็ แลว้ ๆ ซง่ึ ขอ้ นี้ ยอ่ มเกดิ ความ พอใจอย่างยง่ิ ในธรรมวินัยนแ้ี ล. (ในทน่ี ี้ ยกมาเพยี ง ๑ ข้อจาก ๘ ขอ้ ของสิ่งท่ีนา่ อัศจรรยใ์ น ธรรมวินยั ) 79
ขเอคงรส่อื มงณเศพรา้รหาหมมอณง ์
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : เดรจั ฉานวชิ า เครอ่ื งเศรา้ หมองของสมณพราหมณ์ 25 -บาลี จลุ ลฺ . วิ. ๗/๓๙๘/๖๓๔., -บาลี จตกุ ฺก. อํ. ๒๑/๖๘/๕๐. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมณพราหมณพ์ วกหนงึ่ เศรา้ หมอง เพราะเครือ่ งเศรา้ หมอง ๔ ประการน้ี จงึ ไมม่ สี ง่า ไมร่ ุ่งเรอื ง ไมไ่ พโรจน์ ๔ ประการเปน็ อยา่ งไร คือ (1) ภิกษุทั้งหลาย ! มีสมณพราหมณ์พวกหน่ึง ดม่ื สรุ า ด่ืมเมรยั ไม่งดเว้นจากการด่มื สุราและเมรัย นเ้ี ป็น เครอื่ งเศรา้ หมองของสมณพราหมณข์ อ้ ทห่ี นง่ึ ซง่ึ เปน็ เหตุ ให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่งเศร้าหมอง ไม่มีสง่า ไม่รุ่งเรือง ไมไ่ พโรจน.์ (2) อน่งึ สมณพราหมณพ์ วกหนึ่งเสพเมถุนธรรม ไมง่ ดเวน้ จากเมถนุ ธรรม นเี้ ปน็ เครอื่ งเศรา้ หมองของสมณ พราหมณ์ข้อท่ีสอง ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เศรา้ หมอง ไมม่ สี งา่ ไม่รุ่งเรือง ไมไ่ พโรจน์. (3) อนง่ึ สมณพราหมณพ์ วกหนง่ึ ยนิ ดที องและเงนิ ไม่งดเว้นจากการรับทองและเงิน น้ีเป็นเครื่องเศร้าหมอง ของสมณพราหมณข์ อ้ ทสี่ าม ซง่ึ เปน็ เหตใุ หส้ มณพราหมณ์ พวกหน่ึงเศรา้ หมอง ไมม่ ีสงา่ ไม่รุ่งเรอื ง ไมไ่ พโรจน.์ 82
เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : เดรจั ฉานวิชา (4) อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกหน่ึงเลี้ยงชีวิตโดย มิจฉาชพี ไม่งดเว้นจากมิจฉาชีพ นเ้ี ปน็ เคร่อื งเศรา้ หมอง ของสมณพราหมณ์ข้อที่ส่ี ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์ พวกหนงึ่ เศรา้ หมอง ไมม่ ีสงา่ ไมร่ ุ่งเรือง ไม่ไพโรจน์. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมณพราหมณพ์ วกหนงึ่ เศรา้ หมอง เพราะเครอ่ื งเศรา้ หมอง ๔ ประการนแี้ ล จงึ ไมม่ สี งา่ ไมร่ งุ่ เรอื ง ไม่ไพโรจน.์ 83
ศลี ท่ีเปน็ อกุศล คือ การเล้ยี งชีพช่วั
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : เดรจั ฉานวิชา ศีลท่ีเปน็ อกศุ ล คอื การเลี้ยงชพี ช่ัว 26 -บาลี ม. ม. ๑๓/๓๔๘/๓๖๒. ถปต ิ ! ก็ศลี ที่เป็นอกศุ ลน้ันเปน็ อยา่ งไร. ถปต ิ ! กายกรรมทเ่ี ปน็ อกศุ ล วจกี รรมทเี่ ปน็ อกศุ ล การเลี้ยงชีพช่วั (มิจฉฺ าชวี ) เหล่าน้เี รากล่าววา่ ศลี ทเ่ี ปน็ อกศุ ล กศ็ ลี ทเี่ ปน็ อกศุ ลเหลา่ นม้ี อี ะไรเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ แมเ้ หตใุ หเ้ กดิ แห่งศีลเป็นอกุศลเหล่านน้ั เราก็ได้กล่าวแลว้ ก็ต้องกลา่ ววา่ มีจิตเป็นเหตุให้เกิด จิตน้ันเป็นอย่างไร แม้จิตเล่าก็มีมาก หลายอย่าง มปี ระการตา่ งๆ จติ ใดมีราคะ มโี ทสะ มโี มหะ ศลี ทเี่ ปน็ อกศุ ลมจี ติ นเ้ี ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ กศ็ ลี ทเี่ ปน็ อกศุ ลเหลา่ นี้ ดบั ลงหมดสนิ้ ในทไี่ หนแมค้ วามดบั แหง่ ศลี ทเี่ ปน็ อกศุ ลเหลา่ นนั้ เราก็ได้กลา่ วแลว้ . ถปติ ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละกายทุจริต เจริญ กายสุจรติ ละวจที ุจริต เจริญวจีสจุ ริต ละมโนทุจริต เจรญิ มโนสจุ รติ ละมิจฉาอาชวี ะ เลย้ี งชวี ติ ด้วยสัมมาอาชวี ะ ศีลที่ เปน็ อกศุ ลเหลา่ นย้ี อ่ มดบั ลงหมดสนิ้ ดว้ ยการละทจุ รติ เจรญิ สุจรติ ด้วยการละมิจฉาอาชีวะ เล้ียงชวี ิตดว้ ยสัมมาอาชีวะ. 86
เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : เดรัจฉานวิชา ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงช่ือว่าปฏิบัติเพ่ือความดับแห่ง ศลี ที่เปน็ อกุศล. ถปติ ! ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมปลูกความพอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภความเพยี ร ยอ่ มประคองจติ ยอ่ ม ตงั้ จติ ไว้ เพอื่ ยงั อกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาปทง้ั หลายทยี่ งั ไมเ่ กดิ ไมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ ยอ่ มปลกู ความพอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภ ความเพยี ร ยอ่ มประคองจติ ยอ่ มตงั้ จติ ไว้ เพอื่ ละอกศุ ลธรรม อันเป็นบาปท้ังหลายท่ีเกิดข้ึนแล้ว ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ยอ่ มตงั้ จติ ไว้ เพอื่ ยงั กศุ ลธรรมทงั้ หลายทย่ี งั ไมเ่ กดิ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ยอ่ มปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ยอ่ มปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมต้ังจิตไว้ เพ่ือความตั้งมั่น ความไม่ เลือนหาย ความงอกงามยิ่งข้ึน ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเตม็ เป่ยี มแหง่ กศุ ลธรรมทั้งหลายที่เกิดขึน้ แลว้ . ถปต ิ ! ผปู้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งนแ้ี ล ชอ่ื วา่ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความดบั แห่งศีลทเี่ ปน็ อกศุ ล. 87
ภาคผนวก
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : เดรัจฉานวิชา หลกั ปฏบิ ัติตอ่ คำ� สอน 27 ของสัมมาสัมพทุ ธะ -บาลี ทกุ . อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒. ภิกษุทั้งหลาย ! สุตตันตะเหล่าใด ท่ีเป็นค�ำของ ตถาคต เป็นขอ้ ความลึก มคี วามหมายซ้งึ เปน็ ชนั้ โลกตุ ตระ ว่าเฉพาะด้วยเร่ืองสุญญตา เม่ือมีผู้น�ำสุตตันตะเหล่าน้ันมา กล่าวอยู่ เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเง่ียหูฟัง ย่อมต้ังจิตเพื่อ จะรทู้ ว่ั ถงึ และยอ่ มสำ� คญั วา่ เปน็ สงิ่ ทตี่ นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น จึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ขอ้ น้ีเปน็ อยา่ งไร มีความหมายกีน่ ัย” ดงั น้ี. ด้วยการท�ำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้ ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ท�ำให้ปรากฏได้ ความสงสัยใน ธรรมหลายประการทีน่ า่ สงสัย เธอก็บรรเทาลงได้. ภิกษุท้ังหลาย ! นี้เราเรียกว่า ปฏิปุจฉาวินีตา ปรสิ า โน อุกกาจติ วินีตา. . 90
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : เดรัจฉานวชิ า หลักปฏบิ ัตติ อ่ ค�ำแต่งใหม่ 28 -บาลี ทุก. อ.ํ ๒๐/๙๒/๒๙๒ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทก่ี วแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เป็นค�ำรอ้ ยกรองประเภทกาพย์กลอน มอี กั ษรสละสลวย มี พยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอ่ื งนอกแนว เปน็ คำ� กลา่ วของสาวก เมือ่ มผี ู้น�ำสุตตันตะเหล่านัน้ มากล่าวอยู่ เธอจกั ไม่ฟังดว้ ยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ต้ังจิตเพื่อจะรู้ท่ัวถึง และจักไม่ส�ำคัญว่าเป็น สงิ่ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. 91
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : เดรจั ฉานวิชา การเขา้ ไปสนใจคำ� แต่งใหม่ 29 มผี ลใหค้ ำ� ตถาคตอนั ตรธานหายไป -บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓. ภกิ ษุท้ังหลาย ! เรอื่ งน้เี คยมีมาแลว้ กลองศึกของ กษตั รยิ พ์ วกทสารหะ เรยี กวา่ อานกะ มอี ยู่ เมอ่ื กลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ พวกกษัตริย์ทสารหะได้หาเนื้อไม้อ่ืนท�ำ เปน็ ลมิ่ เสริมลงในรอยแตกของกลองนนั้ . ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เม่ือเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้น นานเข้าก็ถึง สมัยหนึ่ง ซ่ึงเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดส้ินไป เหลืออยู่ แตเ่ นื้อไม้ทท่ี ำ� เสริมเข้าใหม่เท่านนั้ . ภิกษุทัง้ หลาย ! ฉนั ใดก็ฉันนั้น ในกาลยดื ยาวฝา่ ย อนาคต จักม.ี ภิกษทุ ้งั หลาย ! สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ท่เี ปน็ ค�ำ ของตถาคตเปน็ ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซงึ้ เปน็ ชน้ั โลกตุ ตระ ว่าเฉพาะด้วยเร่ืองสุญญตา เม่ือมีผู้น�ำสุตตันตะเหล่าน้ันมา กล่าวอยู่ เธอจกั ไมฟ่ งั ด้วยดี จักไมเ่ งีย่ หูฟัง จกั ไมต่ งั้ จติ เพือ่ จะรทู้ วั่ ถงึ และจกั ไมส่ ำ� คญั วา่ เปน็ สง่ิ ทตี่ นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ท่ีนักกวีแต่งข้ึนใหม่ เป็นค�ำ 92
เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : เดรจั ฉานวชิ า รอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะ อนั วจิ ติ ร เปน็ เรอื่ งนอกแนว เปน็ คำ� กลา่ วของสาวก เมอ่ื มผี นู้ ำ� สตุ ตนั ตะทนี่ กั กวแี ตง่ ขน้ึ ใหมเ่ หลา่ นน้ั มากลา่ วอยู่ เธอจกั ฟงั ดว้ ยดี จกั เงยี่ หฟู ัง จกั ตง้ั จิตเพอ่ื จะรู้ทว่ั ถงึ และจักสำ� คัญวา่ เปน็ ส่งิ ทต่ี นควรศกึ ษาเล่าเรยี น. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ความอนั ตรธานของสตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั ท่ีเปน็ ค�ำของตถาคต เปน็ ข้อความลึก มคี วามหมายซง้ึ เป็น ชน้ั โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ยเรอื่ งสญุ ญตา จกั มไี ดด้ ว้ ยอาการ อยา่ งนีแ้ ล. 93
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : เดรจั ฉานวชิ า ผทู้ ำ� สัทธรรมให้อันตรธาน 30 นัยท่ี ๑ -บาลี เอก. อํ. ๒๐/๒๕/๑๓๑. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุพวกท่ีแสดงส่ิงท่ีไม่ใช่ธรรม วา่ เปน็ ธรรม ภกิ ษุเหลา่ น้ันชอื่ วา่ เป็นผูป้ ฏิบัติเพอื่ ทำ� มหาชน ให้เส่ือมเสีย ท�ำมหาชนให้หมดความสุข ท�ำไปเพื่อความ ฉบิ หายแกม่ หาชน ไมเ่ ปน็ ประโยชนเ์ กอื้ กลู เปน็ ไปเพอื่ ความ ทกุ ขท์ งั้ แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษุ เหล่านั้นย่อมประสบส่ิงไม่ใช่บุญเป็นอันมาก และได้ชื่อว่า ท�ำสทั ธรรมน้ีใหอ้ นั ตรธานไปอีกดว้ ย. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแี่ สดงสง่ิ ทเ่ี ปน็ ธรรม วา่ ไม่ใชธ่ รรม ... . ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษพุ วกทแ่ี สดงสง่ิ ทไี่ มใ่ ชว่ นิ ยั วา่ เป็นวนิ ยั ... . ภิกษุท้ังหลาย ! ภกิ ษพุ วกทแี่ สดงสงิ่ ทเี่ ปน็ วนิ ยั วา่ ไมใ่ ชว่ นิ ยั ... . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแ่ี สดงสงิ่ อนั ตถาคตไมไ่ ด้ ภาษติ ไว้ ไมไ่ ดก้ ลา่ วไว้ วา่ ตถาคตไดภ้ าษติ ไว้ ไดก้ ลา่ วไว้ ... . 94
เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : เดรัจฉานวชิ า ภิกษทุ ้ังหลาย ! ภกิ ษุพวกทีแ่ สดงสง่ิ อันตถาคตได้ ภาษติ ไว้ ไดก้ ลา่ วไว้ วา่ ตถาคตไมไ่ ดภ้ าษติ ไว้ ไมไ่ ดก้ ลา่ วไว้ ... . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแี่ สดงกรรมอนั ตถาคต ไมไ่ ดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า วา่ ตถาคตไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า ... . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแ่ี สดงกรรมอนั ตถาคต ไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า วา่ ตถาคตไมไ่ ดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า ... . ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุพวกที่แสดงสิ่งอันตถาคต ไม่ไดบ้ ัญญัตไิ ว้ ว่าตถาคตบญั ญัติไว้ ... . ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุพวกท่ีแสดงสิ่งอันตถาคต ได้บญั ญัตไิ ว้ ว่าตถาคตไมไ่ ดบ้ ัญญตั ิไว้ ภกิ ษเุ หล่านน้ั ชื่อวา่ เป็นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ ท�ำมหาชนให้เส่อื มเสยี ทำ� มหาชนให้หมด ความสขุ ทำ� ไปเพอ่ื ความฉบิ หายแกม่ หาชน ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ เกอื้ กลู เปน็ ไปเพอ่ื ความทกุ ขท์ งั้ แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย. ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุเหล่านั้นย่อมประสบสิ่งไม่ใช่บุญเป็น อนั มาก และไดช้ อื่ ว่าท�ำสทั ธรรมนใ้ี หอ้ นั ตรธานไปอีกด้วย.1 ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระองค์ตรัสว่า สังฆเภท (สงฆ์แตกกนั ) สงั ฆเภท (สงฆ์แตกกนั ) ดงั นี้ สงฆจ์ ะเปน็ ผ้แู ตกกนั ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า. 1. บาลเี ดียวกัน ต่างส�ำนวนในบางฉบับของไตรปฎิ กแต่ละส�ำนกั 95
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : เดรจั ฉานวชิ า อานนท ์ ! ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ (1) ย่อมแสดงสง่ิ ที่ไม่ใช่ธรรม วา่ เป็นธรรม (2) ย่อมแสดงสง่ิ ทเ่ี ป็นธรรม วา่ ไม่ใช่ธรรม (3) ยอ่ มแสดงสิง่ ท่ีไมใ่ ช่วินัย ว่าเป็นวินยั (4) ยอ่ มแสดงส่ิงท่เี ป็นวินยั วา่ ไม่ใชว่ ินัย (5) ย่อมแสดงสิ่งอันตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้ กลา่ วไว้ ว่าตถาคตได้ภาษติ ไว้ ได้กล่าวไว้ (6) ยอ่ มแสดงสิ่งอนั ตถาคตไดภ้ าษติ ไว้ ไดก้ ล่าวไว้ ว่าตถาคตไมไ่ ดภ้ าษติ ไว้ ไม่ไดก้ ลา่ วไว้ (7) ยอ่ มแสดงกรรมอนั ตถาคตไมไ่ ดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ มา วา่ ตถาคตไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า (8) ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตได้ประพฤติปฏิบัติ มา ว่าตถาคตไม่ได้ประพฤติปฏิบัติมา (9) ยอ่ มแสดงสงิ่ ทต่ี ถาคตไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ วา่ ตถาคต บญั ญตั ไิ ว้ (10) ย่อมแสดงสิ่งท่ีตถาคตบัญญัติไว้ ว่าตถาคต ไมไ่ ด้บัญญตั ิไว้ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ! ยอ่ มทอดทง้ิ กนั ยอ่ มแยกจากกนั ย่อมท�ำสังฆกรรมแยกกัน สวดปาติโมกข์แยกจากกันด้วย วัตถุ ๑๐ ประการน.้ี 96
เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : เดรัจฉานวิชา อานนท ์ ! สงฆจ์ ะเปน็ ผแู้ ตกกนั ดว้ ยเหตมุ ปี ระมาณ เทา่ นแี้ ล. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! กบ็ คุ คลผทู้ ท่ี ำ� ลายสงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี ง กันจะประสบผลอะไร พระเจ้าขา้ . อานนท ์ ! บคุ คลผทู้ ที่ ำ� ลายสงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี งกนั นนั้ จะประสบผลอนั เผด็ รอ้ นซ่ึงตง้ั อยตู่ ลอดกปั หนึง่ . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ก็ผลอันเผ็ดร้อนซ่ึงตั้งอยู่ตลอด กัปหนึ่งคืออะไร พระเจ้าขา้ . อานนท ์ ! บคุ คลผทู้ ที่ ำ� ลายสงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี งกนั นนั้ จะเสวยผลกรรมอยใู่ นนรกตลอดกปั หนงึ่ . (คาถาผนวกทา้ ยพระสูตร) บคุ คลผทู้ ำ� ลายสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ยนิ ดแี ลว้ ในการแตกแยก ตงั้ อยใู่ นอธรรม เปน็ ผเู้ ขา้ ถงึ อบาย เขา้ ถงึ นรก ตงั้ อยใู่ นนรกนนั้ ตลอดกปั หนง่ึ ยอ่ มพลาดจากธรรมอนั เกษมจากโยคะ ยอ่ มเสวยกรรมอยใู่ นนรกตลอดกปั หนง่ึ เพราะทำ� ลายสงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี งกนั ใหแ้ ตกกนั . 97
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : เดรจั ฉานวิชา ผูท้ ำ� สัทธรรมใหด้ ำ� รงอยู่ 31 นัยที่ ๑ -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๒๖/๑๓๓. ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุพวกท่ีแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรม ว่าเป็นส่ิงท่ีไม่ใช่ธรรม ภิกษุเหล่าน้ันช่ือว่า เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อท�ำมหาชนให้ได้รับประโยชน์ ท�ำมหาชนให้ได้รับความ สขุ เปน็ ไปเพือ่ ความเจรญิ แก่มหาชน และเป็นไปเพ่อื ความ เกอ้ื กลู เพอื่ ความสขุ ทงั้ แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย. ภกิ ษุ ท้ังหลาย ! ภิกษุเหล่าน้ันย่อมประสบบุญเป็นอันมาก และ ไดช้ อื่ วา่ ด�ำรงสทั ธรรมน้ีไวอ้ ีกดว้ ย. ภิกษุท้ังหลาย ! ภกิ ษพุ วกทแ่ี สดงสง่ิ ทเี่ ปน็ ธรรม วา่ เปน็ ธรรม ... . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแี่ สดงสง่ิ ทไ่ี มใ่ ชว่ นิ ยั วา่ ไม่ใชว่ นิ ัย ... . ภกิ ษุท้งั หลาย ! ภิกษุพวกทีแ่ สดงสงิ่ ทีเ่ ป็นวินยั ว่า เปน็ วนิ ยั ... . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแี่ สดงสงิ่ อนั ตถาคตไมไ่ ด้ ภาษติ ไม่ได้กลา่ วไว้ วา่ ตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ ไมไ่ ดก้ ลา่ วไว้ ... . 98
เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : เดรจั ฉานวิชา ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุพวกที่แสดงส่ิงอันตถาคต ได้ภาษติ ไดก้ ลา่ วไว้ วา่ ตถาคตได้ภาษติ ไว้ ไดก้ ล่าวไว้ ... . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแ่ี สดงกรรมอนั ตถาคต ไมไ่ ดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า วา่ ตถาคตไมไ่ ดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า ... . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษพุ วกทแ่ี สดงกรรมอนั ตถาคต ประพฤติปฏบิ ัติมา วา่ ตถาคตไดป้ ระพฤตปิ ฏิบตั ิมา ... . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุพวกที่แสดงสิ่งอันตถาคต ไม่ได้บัญญตั ิไว้ ว่าตถาคตไมไ่ ดบ้ ญั ญัติไว้ ... . ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ภิกษพุ วกที่แสดงสิง่ อนั ตถาคตได้ บัญญัติไว้ ว่าตถาคตได้บัญญัติไว้ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็น ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ทำ� มหาชนใหไ้ ดร้ บั ประโยชน์ ทำ� มหาชนใหไ้ ดร้ บั ความสขุ เป็นไปเพอ่ื ความเจรญิ แก่มหาชน และเป็นไปเพอ่ื ความเกื้อกลู เพื่อความสุขท้งั แก่เทวดาและมนษุ ย์ทัง้ หลาย. ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุเหล่านั้นย่อมประสบบุญเป็นอันมาก และไดช้ อ่ื วา่ ดำ� รงสัทธรรมน้ไี ว้อีกดว้ ย. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระองค์ตรัสว่า สังฆสามัคคี สังฆสามัคคดี ังน้ี สงฆจ์ ะเปน็ ผ้พู ร้อมเพรียงกนั ด้วยเหตมุ ีประมาณ เทา่ ไรเลา่ พระเจ้าข้า. 99
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อานนท ์ ! ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี (1) ย่อมแสดงสง่ิ ท่ีไมใ่ ช่ธรรม วา่ ไม่ใชธ่ รรม (2) ยอ่ มแสดงส่งิ ทเ่ี ป็นธรรม ว่าเป็นธรรม (3) ยอ่ มแสดงสงิ่ ทีไ่ มใ่ ช่วนิ ัย ว่าไมใ่ ช่วินัย (4) ย่อมแสดงสงิ่ ที่เปน็ วินัย ว่าเป็นวินัย (5) ยอ่ มแสดงสงิ่ อนั ตถาคตไมไ่ ดภ้ าษติ ไมไ่ ดก้ ลา่ ว ไว้ วา่ ตถาคตไมไ่ ดภ้ าษติ ไว้ ไมไ่ ด้กลา่ วไว้ (6) ยอ่ มแสดงสงิ่ อนั ตถาคตไดภ้ าษติ ไดก้ ลา่ วไว้ วา่ ตถาคตได้ภาษติ ไว้ ไดก้ ลา่ วไว้ (7) ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติมา วา่ ตถาคตไม่ได้ประพฤติปฏิบตั มิ า (8) ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติปฏิบัติมา วา่ ตถาคตไดป้ ระพฤติปฏิบตั มิ า (9) ย่อมแสดงส่ิงอันตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ว่า ตถาคตไมไ่ ด้บัญญัติไว้ (10) ยอ่ มแสดงสงิ่ อนั ตถาคตไดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ วา่ ตถาคต ได้บญั ญตั ไิ ว้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ! ยอ่ มไมท่ อดทง้ิ กนั ไมแ่ ยกจากกนั ไมท่ �ำสงั ฆกรรมแยกกนั ไมส่ วดปาตโิ มกขแ์ ยกจากกนั ดว้ ย วตั ถุ ๑๐ ประการน.ี้ 100
เปิดธรรมท่ีถูกปิด : เดรัจฉานวิชา อานนท์ ! สงฆ์ย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงกันด้วย เหตุมปี ระมาณเท่านแ้ี ล. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! กบ็ คุ คลผสู้ มานสงฆผ์ แู้ ตกกนั แลว้ ใหพ้ รอ้ มเพรยี งกนั จะประสบผลอะไร พระเจา้ ขา้ . อานนท์ ! บุคคลผู้ที่ท�ำสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้ พรอ้ มเพรียงกนั นนั้ จะประสบส่งิ ท่เี ปน็ บุญเปน็ อนั มาก. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! สง่ิ ทเี่ ปน็ บญุ เปน็ อนั มากคอื อะไร พระเจา้ ขา้ . อานนท์ ! บุคคลผู้สมานสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้ พรอ้ มเพรียงกนั นนั้ จะบนั เทิงอย่ใู นสวรรค์ตลอดกปั หน่งึ . (คาถาผนวกทา้ ยพระสูตร) ความพร้อมเพรยี งแหง่ สงฆ์ เปน็ เหตุให้เกดิ ความสุข และบุคคลผอู้ นุเคราะหส์ งฆ์ผพู้ รอ้ มเพรยี งกันแล้ว ผู้ยินดแี ล้วในความพรอ้ มเพรียงกนั ตัง้ อย่ใู นธรรม ย่อมไมพ่ ลาดจากธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ ยอ่ มบนั เทิงอยใู่ นสวรรค์ตลอดกัปหนงึ่ เพราะสมานสงฆ์ให้พรอ้ มเพรยี งกัน. 101
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : เดรจั ฉานวชิ า ผทู้ ำ� สัทธรรมให้อันตรธาน 32 นัยท่ี ๒ -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๘๘/๒๘๖., -บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๗๘/๓๗. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุพวกที่คัดค้าน (ปฏิพาหติ)1 อรรถและธรรม โดยสตู รซง่ึ ตนเรยี นไวไ้ มด่ ี ดว้ ยพยญั ชนะ- ปฏิรูปนั้น (พฺยฺ ชนปฏริ ปู )2 ภิกษเุ หลา่ นน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผปู้ ฏิบัติ เพื่อท�ำมหาชนให้เสื่อมเสีย ท�ำมหาชนให้หมดความสุข ท�ำไปเพ่ือความฉิบหายแก่มหาชน ไม่เป็นประโยชน์เก้ือกูล เป็นไปเพื่อความทกุ ขท์ ัง้ แกเ่ ทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ยอ่ มประสบสงิ่ ไมใ่ ช่ บุญเป็นอันมาก และได้ชื่อว่าท�ำสัทธรรมนี้ให้อันตรธานไป อกี ด้วย. 1. ปฏิพาหติ = คัดค้าน, หา้ ม, ขัดขวาง 2. ปฏิรปู = เหมาะสม, สมควร 102
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : เดรจั ฉานวชิ า ผทู้ ำ� สัทธรรมให้ด�ำรงอยู่ 33 นยั ที่ ๒ -บาลี เอก. อํ. ๒๐/๘๘/๒๘๖., -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๗๙/๓๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษพุ วกทยี่ อมรบั (อนโุ ลม)1 อรรถ และธรรม โดยสตู รซงึ่ ตนเรยี นไวด้ ี ดว้ ยพยญั ชนะปฏริ ปู นนั้ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือท�ำมหาชนให้ได้รับประโยชน์ ท�ำ มหาชนใหไ้ ด้รับความสขุ เปน็ ไปเพือ่ ความเจรญิ แกม่ หาชน และเป็นไปเพอื่ ความเกอ้ื กูล เพ่อื ความสุขทัง้ แก่เทวดาและ มนษุ ย์ท้งั หลาย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ยอ่ มประสบบญุ เปน็ อนั มาก และได้ชื่อวา่ ด�ำรงสัทธรรมนไี้ ว้อกี ดว้ ย. 1. อนุโลม = ยอมรบั , คลอ้ ยตาม, พจิ ารณาตามล�ำดับ 103
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : เดรจั ฉานวชิ า มูลเหตแุ ห่งการวิวาท 34 -บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๘๑/๔๑. ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จรญิ ! อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปจั จยั ให้ การหมางกัน การทะเลาะ การแกง่ แยง่ และการวิวาทกนั เกดิ ขน้ึ ในสงฆ์ ซง่ึ เป็นเหตใุ ห้ภกิ ษทุ ้งั หลายอยู่ไมส่ �ำราญ. อุบาล ี ! ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี (1) ยอ่ มแสดงสงิ่ ทีไ่ ม่ใชธ่ รรม ว่าเปน็ ธรรม (2) ยอ่ มแสดงสิง่ ท่เี ปน็ ธรรม ว่าไมใ่ ช่ธรรม (3) ยอ่ มแสดงส่งิ ท่ไี ม่ใช่วินยั วา่ เป็นวนิ ัย (4) ยอ่ มแสดงสิง่ ท่ีเปน็ วินยั ว่าไม่ใช่วินัย (5) ย่อมแสดงสิ่งอันตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้ กลา่ วไว้ ว่าตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้กล่าวไว้ (6) ยอ่ มแสดงสิ่งอันตถาคตไดภ้ าษิตไว้ ได้กล่าวไว้ วา่ ตถาคตไม่ไดภ้ าษิตไว้ ไมไ่ ด้กล่าวไว้ (7) ยอ่ มแสดงกรรมอนั ตถาคตไมไ่ ดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ มา วา่ ตถาคตไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า (8) ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตได้ประพฤติปฏิบัติ มา ว่าตถาคตไม่ได้ประพฤติปฏิบัติมา (9) ยอ่ มแสดงสง่ิ ทตี่ ถาคตไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ วา่ ตถาคต บญั ญตั ไิ ว้ 104
… เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : เดรจั ฉานวิชา (10) ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ ว่าตถาคต ไม่ได้บัญญัติไว้ อบุ าล ี! เหลา่ นแ้ี ลเปน็ เหตุ เปน็ ปจั จยั ใหก้ ารหมางกนั การทะเลาะ การแกง่ แยง่ และการววิ าทกนั เกดิ ขน้ึ ในสงฆ์ ซงึ่ เป็นเหตุให้ภิกษุทงั้ หลายอย่ไู มส่ ำ�ราญ. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! มลู เหตแุ หง่ การววิ าท มเี ทา่ ไรเลา่ พระเจ้าข้า. อบุ าล ี ! มลู เหตแุ หง่ การววิ าท ๑๐ ประการ เหลา่ นี้ มีอย.ู่ ๑๐ ประการ คือ อุบาลี ! ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ (1) ยอ่ มแสดงสิง่ ทีไ่ มใ่ ช่ธรรม วา่ เปน็ ธรรม (2) ยอ่ มแสดงสิ่งท่ีเป็นธรรม ว่าไม่ใชธ่ รรม (3) ย่อมแสดงสิ่งที่ไมใ่ ชว่ ินยั ว่าเป็นวนิ ยั (9) ยอ่ มแสดงสงิ่ ทต่ี ถาคตไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ วา่ ตถาคต บญั ญตั ไิ ว้ (10) ย่อมแสดงสิ่งท่ีตถาคตบัญญัติไว้ ว่าตถาคต ไม่ไดบ้ ญั ญตั ิไว้ อบุ าล ี ! เหลา่ นแ้ี ลมลู เหตแุ หง่ การววิ าท ๑๐ ประการ. 105
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : เดรจั ฉานวชิ า ผเู้ รียกร้องหาศาสดา 35 เพือ่ ความเป็นมิตร หรอื ศตั รู -บาลี อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๔/๓๕๕-๓๕๖. อานนท์ ! สาวกทั้งหลาย เรยี กร้องหาศาสดา เพ่ือ ความเปน็ ศตั รู ไมเ่ รยี กรอ้ งเพอื่ ความเปน็ มติ ร เปน็ อยา่ งไรเลา่ อานนท์ ! ในกรณีนี้ ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหา ประโยชน์เก้ือกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จึงแสดงธรรมแก่ สาวกทงั้ หลายวา่ “สงิ่ นเ้ี ปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนเ์ กอื้ กลู แกพ่ วกเธอ ทงั้ หลาย และสงิ่ นกี้ เ็ ปน็ ไปเพอื่ ความสขุ แกพ่ วกเธอทง้ั หลาย” ดงั น้ี เปน็ ตน้ สาวกเหลา่ นนั้ ของศาสดา ไมฟ่ งั ดว้ ยดี ไมเ่ งยี่ หฟู งั ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ท่ัวถึง แต่แกล้งท�ำให้ผิดจากค�ำส่ังสอนของ ศาสดาไปเสยี . อานนท ์ ! สาวกทง้ั หลายอยา่ งนแ้ี ล ชอื่ วา่ ผเู้ รยี กรอ้ ง หาศาสดาเพอื่ ความเปน็ ศตั รู ไมเ่ รยี กรอ้ งเพอื่ ความเปน็ มติ ร. อานนท์ ! สาวกทง้ั หลาย เรยี กร้องหาศาสดา เพ่อื ความเปน็ มติ ร ไมเ่ รยี กรอ้ งเพอื่ ความเปน็ ศตั รู เปน็ อยา่ งไรเลา่ . อานนท์ ! ในกรณีนี้ ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหา ประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จึงแสดงธรรมแก่ 106
เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : เดรัจฉานวชิ า สาวกทงั้ หลายวา่ “สงิ่ นเ้ี ปน็ ไปเพอื่ ประโยชนเ์ กอื้ กลู แกพ่ วกเธอ ทงั้ หลาย และสงิ่ นก้ี เ็ ปน็ ไปเพอื่ ความสขุ แกพ่ วกเธอทง้ั หลาย” ดงั น้ี เป็นต้น สาวกเหล่านนั้ ของศาสดา ยอ่ มฟังด้วยดี ย่อม เงยี่ หฟู งั ยอ่ มตงั้ จติ เพอื่ รทู้ ว่ั ถงึ และไมแ่ กลง้ ทำ� ใหผ้ ดิ จาก คำ� ส่ังสอนของศาสดา. อานนท ์! สาวกทง้ั หลายอยา่ งนแี้ ล ชอื่ วา่ ผเู้ รยี กรอ้ ง หาศาสดา เพอ่ื ความเปน็ มติ ร ไมเ่ รยี กรอ้ งเพอ่ื ความเปน็ ศตั ร.ู อานนท ์ ! เพราะฉะนน้ั ในเรอ่ื งนี้ พวกเธอทงั้ หลาย จงเรียกร้องหาตถาคตเพื่อความเป็นมิตรเถิด อย่าเรียก รอ้ งเพอื่ ความเปน็ ศตั รเู ลย ขอ้ นน้ั จกั เปน็ ไปเพอื่ ประโยชน์ เกอ้ื กลู เพอ่ื ความสขุ แกพ่ วกเธอทงั้ หลายเองตลอดกาลนาน. อานนท ์ ! เราไมพ่ ยายามทำ� กะพวกเธออยา่ งทะน-ุ ถนอม เหมือนพวกชา่ งหม้อทำ� แก่หม้อท่ียงั เปยี ก ยงั ดบิ อยู.่ อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอกี ไม่มหี ยุด. อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชโี้ ทษอีก ไมม่ ีหยดุ ผูใ้ ด มีมรรคผลเป็นแกน่ สาร ผู้น้ันจักทนอยไู่ ด.้ 107
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : เดรัจฉานวิชา ขีดจำ� กดั ของสาวก 36 เทียบกับ สมั มาสัมพุทธะ -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๘๒/๑๒๖. ภิกษุทั้งหลาย ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ท�ำมรรคที่ยังไมเ่ กดิ ให้เกดิ ข้ึน ได้ทำ� มรรคที่ยังไมม่ ใี ครรู้ ใหม้ คี นรู้ ไดท้ ำ� มรรคทยี่ งั ไมม่ ใี ครกลา่ วใหเ้ ปน็ มรรคทก่ี ลา่ ว กนั แล้ว ตถาคตเป็นผู้รู้มรรค (มคฺคญฺญู) เปน็ ผรู้ ู้แจ้งมรรค (มคคฺ วทิ )ู เปน็ ผ้ฉู ลาดในมรรค (มคคฺ โกวิโท). ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สว่ นสาวกทงั้ หลายในกาลน้ี เปน็ ผูเ้ ดินตามมรรค (มคคฺ านคุ า) เปน็ ผตู้ ามมาในภายหลงั . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! นแ้ี ล เปน็ ความผดิ แผกแตกตา่ งกนั เป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเคร่ืองกระท�ำให้ แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภกิ ษุผปู้ ัญญาวมิ ตุ ต.ิ 108
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : เดรัจฉานวชิ า อะไรคือใบไม้ในปา่ 37 อะไรคอื ใบไม้ในก�ำมือ -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๒. พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงกำ�ใบไม้สีสปา ท่รี ว่ งอยตู่ ามพ้นื ดินขน้ึ มาหนอ่ ยหนึง่ แลว้ ตรสั แก่ภิกษุทง้ั หลายวา่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เธอทงั้ หลายเขา้ ใจวา่ อยา่ งไร ใบไม้ สสี ปาทเี่ รากำ� ขนึ้ หนอ่ ยหนง่ึ นม้ี าก หรอื วา่ ใบไมส้ สี ปาทย่ี งั อยู่ บนตน้ เหล่าน้นั มาก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ใบไม้ที่พระผู้มีพระภาคทรงกำ�ข้ึน หน่อยหน่ึงนั้นเป็นของน้อย ส่วนใบไม้ท่ียังอยู่บนต้นสีสปาเหล่านั้น ย่อมมีมาก. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั ธรรมะสว่ นทเ่ี รา รู้ยิ่งด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วไม่กล่าวสอนนั้น มีมากกว่า ส่วนทนี่ �ำมากลา่ วสอน. ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุไรเล่าเราจึงไม่กล่าวสอน ธรรมะสว่ นนั้นๆ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตวุ า่ ธรรมะสว่ นนน้ั ๆ ไม่ ประกอบอยดู่ ้วยประโยชน์ ไมเ่ ป็นเง่ือนต้นแห่งพรหมจรรย์ ไมเ่ ปน็ ไปเพอื่ ความหนา่ ย ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความคลายกำ� หนดั 109
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ไม่เป็นไปเพ่ือความดบั ไม่เปน็ ไปเพอ่ื ความสงบ ไมเ่ ปน็ ไป เพ่อื ความรยู้ ิง่ ไมเ่ ป็นไปเพือ่ ความร้พู รอ้ ม ไมเ่ ป็นไปเพอ่ื นิพพาน ฉะนั้น เราจึงไมก่ ลา่ วสอน. ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมะอะไรเล่า เป็นธรรมะท่ีเรา กล่าวสอน. ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมะท่ีเรากล่าวสอน คือข้อท่ี ว่า ความทุกข์เป็นอย่างน้ีๆ เหตุเป็นที่เกิดของความทุกข์ เป็นอย่างนี้ๆ ความดับสนิทของความทุกข์ เป็นอย่างน้ีๆ ขอ้ ปฎบิ ตั เิ พอื่ ถงึ ความดบั สนทิ ของความทกุ ข์ เปน็ อยา่ งนๆ้ี . ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุไรเล่า ธรรมะส่วนนี้ เราจึงน�ำมากลา่ วสอน. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะว่าธรรมะส่วนนี้ ประกอบ อยู่ด้วยประโยชน์ เป็นเง่ือนต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไป เพื่อความหน่าย เป็นไปเพ่ือความคลายกำ� หนัด เปน็ ไปเพื่อ ความดบั เปน็ ไปเพอื่ ความสงบ เปน็ ไปเพอื่ ความรยู้ งิ่ เปน็ ไป เพ่ือความรู้พร้อม เป็นไปเพ่ือนิพพาน เพราะเหตุนั้นแล เราจึงนำ� มากลา่ วสอน. 110
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : เดรัจฉานวิชา การบอกสอนมนต์มาจากไหน 38 -บาลี ปา. ท.ี ๑๑/๑๐๓/๖๔. ... คร้ังนั้นแล สัตว์บางจ�ำพวก ได้มีความคิดข้ึน อย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญเอ๋ย การถือเอาสิ่งของท่ีเจ้าของ ไม่ได้ให้ จักปรากฏ การติเตียนจักปรากฏ การกล่าวเท็จ จักปรากฏ การถือท่อนไม้จักปรากฏ การขับไล่จักปรากฏ ในเพราะอกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาปเหลา่ ใด อกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาปเหล่าน้ันเกิดข้ึนแล้วในสัตว์ท้ังหลาย อย่ากระน้ันเลย พวกเราควรไปลอยอกุศลธรรมอันเป็นบาปนี้เถิด” ดังนี้ ครนั้ แลว้ สตั วเ์ หลา่ นนั้ จงึ ไดพ้ ากนั ลอยอกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาป ท้ิงไป เพราะเหตุท่ีสัตว์เหล่านั้นพากันลอยอกุศลธรรมอัน เปน็ บาปอยดู่ งั น้ี อักขระวา่ พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ (พฺราหมฺ ณ) จึงเกดิ ข้ึนเปน็ อนั ดับแรก. พราหมณ์เหล่านั้น พากันสร้างกระท่อม ซ่ึงมุงและ บังดว้ ยใบไม้ในราวป่า เพง่ อยใู่ นกระทอ่ มซ่งึ มุงและบงั ดว้ ย ใบไม้นัน้ พวกเขาไมม่ กี ารหงุ ตม้ ไม่มกี ารตำ� ขา้ วทง้ั ในเวลา เย็นและเวลาเช้า จึงได้พากันเท่ียวแสวงหาอาหาร ตาม หมบู่ า้ น นิคมและราชธานี เพื่อบริโภคในเวลาเยน็ และเวลา เชา้ เขาเหลา่ นั้นครั้นไดอ้ าหารแลว้ จงึ พากันกลบั ไปเพง่ อยู่ 111
พุทธวจน - หมวดธรรม ในกระทอ่ ม ซงึ่ มงุ และบงั ดว้ ยใบไมใ้ นราวปา่ อกี คนทง้ั หลาย เหน็ การกระทำ� ของพวกพราหมณน์ นั้ แลว้ จงึ พากนั พดู อยา่ งน้ี ว่า “ท่านผู้เจริญเอ๋ย สัตว์พวกน้ีพากันมาสร้างกระท่อมซ่ึง มงุ และบังดว้ ยใบไมใ้ นราวป่า แลว้ เพ่งอย่ใู นกระทอ่ มซง่ึ มงุ และบังด้วยใบไม้น้ัน ไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการต�ำข้าวทั้งใน เวลาเย็นและเวลาเช้า จึงพากันเท่ียวแสวงหาอาหาร ตาม หมู่บ้าน นิคม และราชธานี เพ่ือบริโภคในเวลาเย็นและ เวลาเชา้ เขาเหลา่ นนั้ ครนั้ ไดอ้ าหารแลว้ จงึ พากนั กลบั ไปเพง่ อยู่ในกระท่อม ซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าอีก” ดังน้ี เพราะเหตุนั้น อักขระว่า พวกเจรญิ ฌาน พวกเจริญฌาน (ฌายกิ า) จึงเกิดข้นึ เปน็ อันดับที่ ๒. บรรดาสตั วเ์ หลา่ นัน้ สัตว์บางพวกเมื่อไมอ่ าจสำ� เรจ็ ฌานได้ทีก่ ระท่อมซงึ่ มุงและบงั ด้วยใบไมใ้ นราวปา่ จงึ เทย่ี ว ไปยังหมู่บ้านและนิคมท่ีใกล้เคียง แล้วก็จัดท�ำคัมภีร์อยู่ คนทั้งหลายเห็นการกระท�ำของพวกพราหมณ์น้ีนั้นแล้ว จึง พูดอย่างนี้วา่ “ทา่ นผู้เจรญิ เอ๋ย ก็สตั วเ์ หล่าน้ี ไม่อาจส�ำเร็จ ฌานได้ทกี่ ระท่อมซึง่ มุงและบังด้วยใบไมใ้ นราวป่า เที่ยวไป ยังหมู่บ้านและนิคมท่ีใกล้เคียง จัดท�ำคัมภีร์อยู่ บัดนี้พวก ชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ บัดนี้พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่” ดังนี้ 112
เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : เดรจั ฉานวชิ า เพราะเหตนุ น้ั อกั ขระวา่ พวกไมเ่ จรญิ ฌาน พวกไมเ่ จรญิ ฌาน (อชฌฺ ายิกา) จงึ เกิดขึ้นเปน็ อนั ดบั ที่ ๓. ก็สมัยน้นั การทรงจ�ำ การสอน การบอกมนต์ ถกู สมมตวิ า่ เลว มาในบดั น้ี สมมตกิ ันว่าประเสรฐิ ด้วยเหตุ ดงั ทกี่ ลา่ วมาน้ี การเกดิ ขน้ึ แหง่ พวกพราหมณน์ น้ั จงึ มขี น้ึ ได.้ .. . 113
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : เดรจั ฉานวชิ า การสาธยายธรรมในแบบพระศาสดา 39 เป็นไปเพื่อวมิ ุตติ -บาลี ปญฺจก. อ.ํ ๒๒/๒๓/๒๖. ...ภกิ ษุท้งั หลาย ! ขอ้ อ่ืนยังมีอกี พระศาสดา หรอื เพื่อนสพรหมจารี ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ และเธอน้ันก็มิได้แสดงธรรม แกช่ นเหลา่ อนื่ โดยพสิ ดาร ตามทเ่ี ธอไดฟ้ งั มา ไดเ้ ลา่ เรยี นมา แต่เธอกระท�ำการท่องบ่นซ่ึงธรรม (สชฺฌาย) โดยพิสดาร ตามท่ีตนฟงั มา เลา่ เรียนมาอย่.ู เธอยอ่ มเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ อรรถ รพู้ รอ้ มเฉพาะ ซ่งึ ธรรม ในธรรมนน้ั ตามทเ่ี ธอท�ำการท่องบ่นซ่งึ ธรรมโดย พิสดาร ตามท่ีได้ฟังมา เล่าเรยี นมา. เม่ือเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่ง ธรรม ปราโมทย์ ยอ่ มเกิดขน้ึ แก่เธอน้นั เมอ่ื ปราโมทย์แลว้ ปีติย่อมเกิด เมื่อใจปีติ กายย่อมร�ำงับ ผู้มีกายร�ำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข เมื่อมสี ขุ จติ ย่อมต้งั ม่ัน. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! นคี้ อื ธรรมเปน็ เครอ่ื งใหถ้ งึ วมิ ตุ ติ ขอ้ ท่ี ๓ ซงึ่ ในธรรมนนั้ เมอื่ ภกิ ษเุ ปน็ ผไู้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี ร 114
เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ : เดรัจฉานวชิ า เผากเิ ลส มตี นสง่ ไปแลว้ อยู่ จติ ทย่ี งั ไมห่ ลดุ พน้ ยอ่ มหลดุ พน้ อาสวะทยี่ งั ไมส่ นิ้ รอบ ยอ่ มถงึ ซงึ่ ความสน้ิ รอบ หรอื วา่ เธอยอ่ ม บรรลุตามล�ำดับ ซ่ึงความเกษมจากโยคะอันไม่มีอ่ืนย่ิงกว่า ที่ตนยงั ไมบ่ รรลุตามลำ� ดบั . (ในทน่ี ้ี ยกมาเพยี ง ๑ ขอ้ จาก ๕ ขอ้ ของธรรมเปน็ เครอ่ื งใหถ้ งึ วิมตุ ต)ิ 115
ท่มี าทไี่ ปของประเพณีผิด อันเกิดจากคำ�แตง่ ใหม่
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : เดรัจฉานวชิ า ความเขา้ ใจผดิ เก่ยี วกบั 40 อานสิ งส์การสร้างพระพุทธรูป อานสิ งสก์ ารสรา้ งพระพทุ ธรปู มปี รากฏในเรอ่ื งวฏั ฏงั คลุ รี าชชาดก กลา่ วถงึ การสรา้ งพระพทุ ธรปู ไมแ้ กน่ จนั ทนแ์ ดงของพระเจา้ ปสั เสนทโิ กศล วา่ “สมัยหน่ึงพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยหมู่ภิกษุเสด็จจาริกไป เพอื่ โปรดเวไนยสตั วท์ ี่มาเขา้ ขา่ ยคือพระญาณของพระองค์ พระเจา้ ปสั เสนทโิ กศลเสดจ็ ไปสพู่ ระเชตวนั ไมเ่ หน็ พระศาสดาและภกิ ษสุ งฆ์ จึงเกิดความสลดพระทัยว่า ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคไม่ประทับอยู่เรา จะได้อะไรเป็นตัวแทนของพระองค์เอาไว้กราบไหว้ เม่ือกลับมาจึง ดำ� รวิ า่ จะสรา้ งพระพทุ ธปฏมิ า เมอื่ พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ กลบั มาแลว้ จงึ เขา้ ไปกราบทลู ขออนญุ าต พระผมู้ พี ระภาคกท็ รงอนญุ าต เมอื่ สรา้ ง เสร็จแล้วก็มาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปชมพระพุทธปฏิมา แล้วทูลถามว่าผู้ได้สร้างพระพุทธปฏิมาจะได้ผลอานิสงส์อย่างไร พระศาสดาจึงตรัสบอกอานิสงส์โดยประการต่างๆ ว่า ผู้ท่ีได้สร้าง พระพุทธปฏิมา จะเป็นบุรุษก็ตามสตรีก็ตาม สร้างด้วยดินเหนียว หรือศลิ ากต็ าม สร้างดว้ ยโลหะและทองแดงก็ตาม สรา้ งด้วยไม้และ สังกะสีดีบุกก็ตาม สร้างด้วยรัตนะและเงินทองก็ตาม ผู้นั้นจักได้ อานิสงสพ์ ้นทจี่ ะนับจะประมาณ เมื่อพระพุทธปฏิมาประดษิ ฐานอยู่ ในโลกตราบใด โลกก็ชื่อว่าไม่ว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้าตราบน้ัน พระพทุ ธปฏมิ านไ้ี ดช้ อ่ื วา่ ยงั พระพทุ ธศาสนาใหต้ งั้ มน่ั ถาวร ผทู้ ไี่ ดส้ รา้ ง ก็จะมีแต่ความสุขเป็นเบ้ืองหน้า แม้ปรารถนาผลอันใดก็จะส�ำเร็จ 118
เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : เดรจั ฉานวิชา สมปรารถนา แม้แต่พระองค์เองคร้ังเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ได้ท�ำพระหัตถ์ของพระพุทธปฏิมาที่หักให้บริบูรณ์ด้วยดินเหนียว อานิสงส์อันน้ันท�ำให้ได้เกิดในเทวโลก เม่ือจุติจากเทวโลกแล้วมา เกิดในเมืองมนุษย์มีพระองคุลีเป็นอาวุธชี้ไปทางข้าศึกศัตรูๆ ก็ล้ม เซซวนไปไม่สามารถจะสู้รบได้ เม่ือตรัสดังนี้แล้วก็ทรงน�ำเอาอดีต นิทานมาแสดงในเรื่องวัฏฏังคุลีราชกุมารผู้มีน้ิวพระหัตถ์อันวิเศษ สามารถเอาชนะขา้ ศึกได้ด้วยการใช้น้วิ พระหตั ถ์ช้ใี สข่ ้าศกึ ”. ... วฏั ฏงั คุลีราชชาดก เปน็ ชาดกเร่อื งท่ี ๒๐ จาก ๕๐ เรื่อง ของหนงั สอื ปญั ญาสชาดก แตส่ มยั ทแี่ ตง่ ประวตั ผิ แู้ ตง่ และ สถานท่ีแต่ง ยังคงไม่ชัดเจน หลักฐานบางส่วนท่ีเคยยอมรับกัน ก็เริ่มไม่เป็นท่ีแน่ชัด เพราะมีหลักฐานท่ีค้นคว้าได้ใหม่บางส่วน มาขดั แย้ง ... ทศั นะทย่ี อมรบั กนั ตามทสี่ มเดจ็ ฯกรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ไดท้ รงนพิ นธไ์ วใ้ น“พระนพิ นธค์ ำ� นำ� ”ของปญั ญาสชาดกในการจดั พมิ พ์ ครัง้ แรกว่า “หนงั สอื ปญั ญาสชาดกน้ี คอื ประชุมนทิ านเกา่ แกท่ ีเ่ ลา่ กัน ในเมืองไทยแต่โบราณ ๕๐ เรื่อง พระสงฆ์ชาวเชียงใหม่รวบรวม แตง่ เปนชาดกไว้ในภาษามคธ เมอ่ื พระพทุ ธศกั ราชประมาณราวใน ระหวา่ ง ๒๐๐๐ จน ๒๒๐๐ ปี อนั เปนสมยั เมอื่ พระสงฆช์ าวประเทศน้ี พากนั ไปเลา่ เรยี นมาแตล่ งั กาทวปี มกี ารรภู้ าษามคธแตกฉาน เอาแบบ อยา่ งของพระภกิ ษสุ งฆใ์ นลงั กาทวปี มาแตง่ หนงั สอื เปนภาษามคธขนึ้ ในบา้ นเมอื งของตน แตง่ เปนอย่างอรรถาธรรมาธบิ าย ...” 119
พุทธวจน - หมวดธรรม นอกจากน้ีสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ทรงกล่าว ถึงหนงั สอื เลม่ นี้ไวว้ า่ “... หนังสือปัญญาสชาดกนี้ต้นฉบับเดิมเปนคัมภีร์ลาน จ�ำนวนรวม ๕๐ ผูกดว้ ยกัน เดี๋ยวน้ีเหน็ จะมอี ย่แู ต่ในประเทศสยาม กับที่หัวเมืองหลวงพระบางแลท่ีกรุงกัมพูชา ที่อื่นหามีไม่ มีเรื่อง ราวปรากฏว่าเคยได้ฉบับไปถึงเมืองพม่าคร้ังหนึ่ง พม่าเรียกว่า ‘เชียงใหม่ปัณณาส’ แต่พระเจ้าแผ่นดินพม่าองค์ใดองค์หน่ึง ด�ำรัสว่าเปนหนังสือแต่งปลอมพระพุทธวจนะส่ังให้เผาเสีย ในเมืองพม่าจงึ มไิ ดม้ หี นงั สือปญั ญาสชาดกเหลืออยู่ ...” “... นิทานในปญั ญาสชาดกเปนนทิ านท่ไี ทยเราร้จู กั กนั อยู่ ซึมทราบหลายเรื่อง เช่นเรื่องสมุทโฆษ เรื่องพระสุธนนางมโนห์รา เรอื่ งสงั ขท์ อง เรอื่ งพระรถเสน แลเรอ่ื งคาวี เปนตน้ ...” ด�ำรงราชานุภาพ, สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา. (๒๔๖๗). “พระนิพนธ์ค�ำอธิบาย” ใน ปญั ญาสชาดก ภาคที่ ๒ พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร. (พมิ พใ์ นการกศุ ล งารศพหมอ่ มเจา้ หญงิ พรอ้ มเพราพรรณ ท.จ. ๑๕ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๖๗). ธานนิ ทร์ อาทติ วโร, พระมหา. (๒๕๔๖). ปญั ญาสชาดก เรอ่ื ง ๘-๒๗ : การตรวจช�ำระและศึกษาเชงิ วิเคราะห์. วทิ ยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าบาลี มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . นิยะดา เหลา่ สนุ ทร. (๒๕๓๘). ปญั ญาสชาดก : ประวตั แิ ละความส�ำคญั ทมี่ ตี อ่ วรรณกรรมรอ้ ยกรองของไทย. กรงุ เทพฯ: แมค่ �ำผาง, อา้ งถงึ ใน ปรีชา มโหสโถ, พระมหา. (๒๕๔๑). อทิ ธิพลของวรรณคดีบาลเี ร่ืองปญั ญาสชาดกท่ีมีต่อสงั คมไทย. วทิ ยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ปรชี า มโหสโถ, พระมหา. (๒๕๔๑). อทิ ธิพลของวรรณคดบี าลเี ร่ืองปญั ญาสชาดกทมี่ ตี อ่ สงั คมไทย. วทิ ยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . 120
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : เดรัจฉานวชิ า หมายเหตผุ ้รู วบรวม เร่ืองอานิสงส์ในการสร้างพระพุทธรูปท่ีถูกแต่งข้ึนใหม่ เปน็ เหตใุ หข้ ดั แยง้ ตอ่ ภาษติ และบญั ญตั พิ ระศาสดา ทต่ี รสั ไวก้ อ่ น ปรินิพพานว่า พระองค์ให้ใช้ธรรมและวินัยที่แสดงไว้ดีแล้วเป็น ศาสดาแทนต่อไป และยังตรัสให้พ่ึงตนเองและพึ่งธรรมะ ไม่ได้ ใหไ้ ปพง่ึ อยา่ งอนื่ นอกจากนไ้ี ดต้ รสั โทษของการแสดงสง่ิ ทต่ี ถาคต ไม่ได้ภาษิตไว้และไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าเป็นสิ่งท่ีตถาตได้ภาษิตไว้ และได้บญั ญตั ิไวน้ ้นั ยอ่ มท�ำมหาชนให้หมดความสุข เป็นไปเพ่อื ความฉบิ หายแกม่ หาชน คนนนั้ ยอ่ มประสบสงิ่ ไมใ่ ชบ่ ญุ เปน็ อนั มาก และชอื่ วา่ ทำ� สทั ธรรมของพระองคอ์ ันตรธานไป. ดงั พระสูตรในบทท่ี ๓๐ หรือในหนา้ ๙๔ ของหนงั สอื เล่มนี.้ 121
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : เดรัจฉานวชิ า ความเขา้ ใจผดิ เกย่ี วกับ 41 การฟงั เทศน์มหาชาติ พระสมั มาสมั พุทธะ นามว่าเมตเตยยะ โดยพุทธวจน จากพุทธวจนในพระไตรปิฏก ได้แสดงถึงการเสด็จอุบัติแห่ง พระสมั มาสมั พทุ ธะนามวา่ เมตเตยยะ ไวว้ า่ ภิกษุท้ังหลาย ! ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผมู้ พี ระภาคพระนามวา่ เมตเตยยะ จกั เสดจ็ อบุ ตั ขิ น้ึ ในโลก พระองคเ์ ปน็ อรหนั ต์ ตรสั รเู้ องโดยชอบ ถงึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและ จรณะ เสดจ็ ไปดแี ลว้ ทรงรแู้ จง้ โลก เปน็ สารถี ฝกึ บรุ ษุ ทค่ี วร ฝกึ ไมม่ ผี อู้ นื่ ยง่ิ กวา่ เปน็ ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เป็นผู้เบิกบานแลว้ เป็นผู้จ�ำแนกพระธรรม เหมือนตถาคต อบุ ัตขิ ึน้ แลว้ ในโลกในบัดน้ี เปน็ อรหนั ต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถงึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ ... เปน็ ผจู้ ำ� แนกธรรม พระผมู้ ี พระภาคพระนามวา่ เมตเตยยะพระองคน์ นั้ จกั ทรงทำ� โลกนี้ พร้อมท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย พระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พรอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษยใ์ หร้ ้ตู าม เหมอื น ตถาคตในบัดน้ี ทำ� โลกน้ี พร้อมทง้ั เทวโลก มารโลก พรหม โลก ... ให้รตู้ ามอยู่ พระผมู้ พี ระภาคพระนามวา่ เมตเตยยะ 122
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272