Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน เดรัจฉานวิชา

พุทธวจน เดรัจฉานวิชา

Description: พุทธวจน เดรัจฉานวิชา

Search

Read the Text Version

เปิดธรรมท่ีถูกปิด : เดรัจฉานวิชา พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามใน ท่ามกลาง งามในทสี่ ุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทง้ั อรรถะ พร้อมทั้งพยญั ชนะ บรสิ ุทธิ์ บริบรู ณส์ ้นิ เชิง พระผู้มี พระภาคพระนามว่าเมตเตยยะพระองค์น้ัน จักทรงบริหาร ภกิ ษสุ งฆห์ ลายพนั เหมอื นตถาคตบรหิ ารภกิ ษสุ งฆห์ ลายรอ้ ย ในบัดนฉี้ ะนนั้ . พุทธวจนในพระไตรปิฎกกล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธะนามว่า เมตเตยยะไวเ้ พียงเทา่ น.ี้ (-ไทย ปา. ที. ๑๑/๕๗/๔๘.) พระสมั มาสมั พทุ ธะ นามวา่ เมตเตยยะ โดยคำ� แตง่ ใหม่ ... พระมาลัยค�ำหลวง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาท่ีไม่มีใน พระไตรปฎิ ก ศาสนาพระศรอี ารยิ ม์ อี ยใู่ นคมั ภรี เ์ รยี กวา่ “มาลยั สตู ร” ซึง่ เน้อื เรือ่ งกล่าวถึงพระเถระองคช์ ื่อ “มาลัย” วา่ เกดิ ในเกาะลงั กา ส�ำเร็จพระอรหัตตผลมีฤทธิ์เชี่ยวชาญ สามารถลงไปในเมืองนรก ดับไฟนรก ทบุ หมอ้ ทองแดง ฯลฯ ช่วยสตั ว์นรกให้พน้ จากทรมาน สามารถเหาะข้ึนไปเมอื งสวรรค์  เอาดอกบัวบชู าพระจฬุ ามณีเจดยี ์ ไดส้ นทนากบั พระศรอี ารยิ ์  และพระมาลยั กบ็ อกวา่ ชาวเมอื งมนษุ ย์ ร่ำ� ร้องอยากเกดิ ในศาสนาพระศรีอาริย์กนั ทวั่ ไป พระศรีอารยิ จ์ งึ สั่ง ให้พระมาลัยมาบอกชาวโลกมนุษย์เป็นใจความส�ำคัญว่า ให้หม่ัน ท�ำบญุ ให้ทานรกั ษาศีล ผใู้ ดฟงั เทศนม์ หาชาติ เรื่องพระเวสสันดร 123

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ซงึ่ มคี าถาอยพู่ นั คาถาใหจ้ บในวนั เดยี ว และในการเทศนน์ นั้ ตอ้ งถวาย ดอกบวั ตา่ งๆ อย่างละพนั ดอกแล้ว ก็จะได้พบศาสนาพระศรีอารยิ ์ ดงั ความในพระมาลัยคำ� หลวงทีว่ า่ ... พระเมตไตรยฟังสาร เธอเบิกบานหฤทัย โสมนัสส์ใส ศรทั ธาภริ มยาปราโมทย์ดว้ ยมนษุ ยโ์ สดสรา้ งกศุ ลทา้ วธกลา่ วกลสารสง่ั พระมายงั มนษุ า เมอื่ เธอจะคลานวิ ตั ร ยงั ชมพทู ปี ถั คนื คง ขอพระองค์ จงน�ำสาร ขา้ บรรหารกลา่ วแถลง เธอจงแจ้งแก่เวไนย แม้นผใู้ ดจะ ใครพ่ บ จงเคารพตามโอวาท ใหท้ ำ� มหาชาตเิ นอื งนนั ต์ เครอ่ื งสง่ิ ละพนั จงบชู า ใหจ้ บในทิวาวันน้ัน ตัง้ ประทีปพนั บูชา ดอกปทมุ าถ้วนพัน บวั เผอื่ นผนั อนิ ทนลิ า ดอกมณฑาโดยจง เทยี นแลธงฉตั รา เครอ่ื งบชู า ทงั้ น้ี จงถว้ นถส่ี งิ่ ละพนั คนทลทิ นนั้ ตามสม โดยนยิ มจะบชู า พระคาถา ถ้วนพัน ให้สดับธรรม์เคารพ จนจวบจบอุทาหรณ์ พระเวสสันดร นฤบาล ปจั ฉมิ กาลสมโพธ์ิ สมภารโสดอนั อดุ ม เปน็ ทส่ี ดุ สมในชาตนิ น้ั บชู าพระธรรม์จงครบ จ่ึงจะไดป้ ระสบองคข์ า้ เม่อื จะลงมาอบุ ัติ จะ ได้ด�ำรัสโพธิญาณ อันโอฬารอลังการ์ อันฝูงมนุสสาเหล่านัน้ เขาจึ่ง จะทนั ศาสนา เฉพาะพกั ตราวมิ ลพรรณ กจ็ ะไดถ้ งึ อรหนั ตธ์ รรมวเิ ศษ โดยประเภทกุศลา อนั เขาสำ่� สมมา นัน้ แล. ในหนังสือแกะรอยพระมาลัย  ได้กล่าวถึงที่มาของเรื่อง พระมาลยั มีใจความส�ำคญั ดงั น้ี 124

เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : เดรัจฉานวิชา “... คมั ภรี พ์ ระมาลยั มหี ลายสำ� นวน เรอื่ งพระมาลยั เกดิ ขน้ึ ที่ลังกา พม่ารับต่อมาจากลังกา แต่งคัมภีร์ “มาเลยยสูตร” จาก มาเลยยสตู ร สมู่ าเลยยเทวตั เถรวตั ถ”ุ ในลา้ นนา แลว้ แพรม่ าอยธุ ยา เกิดคัมภีร์มาลัยยวัตถุทีปนีฎีกา ซ่ึงแต่งข้ึนใหม่ในกรุงศรีอยุธยา นอกจากน้ียังได้มีการแต่งเร่ืองเก่ียวกับพระมาลัยออกมามากมาย หลายรูปแบบ เป็นตน้ ว่า พระมาลัยค�ำหลวง วรรณกรรมราชส�ำนกั พระมาลัยกลอนสวด  พระมาลัยฉบับชาวบ้านพูดถึงเรื่องนรกและ สวรรค์  นิทานพระมาลัย  คู่มือนักเทศน์สอนเรื่องนรก-สวรรค์ พระมาลยั สูตรสำ� นวนเทศนา ใช้เทศนาในการกศุ ลอุทิศแกผ่ ูต้ าย... นอกจากนี้ในหนังสือเล่มดังกล่าวได้กล่าวถึงเนื้อหาใน พระมาลยั คำ� หลวงทสี่ ง่ ผลตอ่ วถิ ชี วีิ ติ และประเพณชี าวบา้ นดว้ ย เชน่ สอนให้กลัวนรก มุ่งไปสวรรค์ การกรวดน้�ำเพ่ืออุทิศส่วนกุศลแก่ ผู้ลว่ งลบั ฟังเทศนม์ หาชาตจิ ะไดพ้ บพระศรอี ารยิ ์ งานแต่ง งานศพ มีสวดพระมาลยั ... . เด่นดาว ศิลปานนท์. (๒๕๕๓). แกะรอยพระมาลยั กรงุ เทพฯ: มิวเซยี มเพรส. ธรรมธเิ บศ, เจา้ ฟ้า. (๒๕๕๐). พระมาลัยค�ำหลวง. นนทบุร:ี มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. อดุ มพร คัมภริ านนท์. (๒๕๕๑). การศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาทปี่ รากฎในเรื่องพระมาลัยค�ำหลวง วทิ ยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . 125

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : เดรัจฉานวชิ า ความเขา้ ใจผดิ 42 เกยี่ วกบั การกรวดนำ้� อทุ ศิ บญุ ...การทำ� บญุ ควรกรวดนำ�้ ใหผ้ ลู้ ว่ งลบั มผี ลสบื เนอ่ื งมาจากที่ พระมาลยั ไปโปรดสตั วน์ รก เพอ่ื ใหส้ ตั วน์ รกทงั้ หลายนนั้ ไดม้ คี วามสขุ และสตั วน์ รกไดฝ้ ากความมาถงึ ญาตใิ หท้ ำ� บญุ อทุ ศิ ไปให้ ดงั ความใน พระมาลัยค�ำหลวงท่ีวา่ “สรรพสตั วน์ ริ ยิ า ดบั ทกุ ขาเกษมสานต์ วนั ทนาการกราบเกลา้ พระเจ้ามาแตใ่ ด จึ่งมาให้สขุ แก่ขา้ พระเถราพจนาท เรามาแต่ชาติ มนสุ สา ฝงู นรกาฟงั ขา่ ว อันธกลา่ วเปรมปรดี ์ิ จ่ึงทลู คดีพระเป็นเจ้า จงโปรดเกล้าสัตตา บอกฐานาท่อี ยู่ ขอพระผ้เู ปน็ เจา้ จงบอกเลา่ แก่ ญาติ แห่งขา้ บาทอนั มี ในบรุ ีช่อื นน้ั ในบ้านอันช่อื น้ี ชนบทมชี ่อื ไกล บอกนามในปิตุเรศ อย่ปู ระเทศที่นนั้ นามพงศ์พันธน์ านา บุตรธดิ า สามี มาตุภคินีพี่ชาย ให้ท้ังหลายเร่งท�ำ กุศลกรรมส่งมา ให้บูชา พระพทุ ธ ธรรเมศอดุ มเลศิ สงฆป์ ระเสรฐิ ศลี าจารย์ แลว้ ใหท้ านยาจก ทกั ษโิ ณทกส่งมา แตฝ่ ูงขา้ ทุกตน จึง่ จะพ้นจากทุกขา” จากขอ้ ความขา้ งตน้ ทำ� ใหค้ นไทยเชอ่ื วา่ การทำ� บญุ กรวดนำ�้ หรือในภาษาโบราณเรยี กว่าหลัง่ นำ้� ทกั ษิโณทก จะทำ� ให้ผ้ตู ายได้รบั ผลบุญและพ้นจากความทุกข์ใจ ดังน้ันจึงถือเป็นการปฏิบัติกันว่า เม่ือท�ำบุญต้องกรวดน�้ำเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับ ใหก้ บั เจ้ากรรมนายเวร... 126

เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : เดรัจฉานวิชา ธรรมธเิ บศ, เจา้ ฟา้ . (๒๕๕๐). พระมาลัยค�ำหลวง. นนทบรุ :ี มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. อดุ มพร คัมภริ านนท์. (๒๕๕๑). การศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีปรากฎในเร่ืองพระมาลัยค�ำหลวง วทิ ยานพิ นธพ์ ทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . หมายเหตผุ รู้ วบรวม เร่ืองพระมาลัยที่แต่งข้ึน เป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฏฐิว่า กรรมของสตั วเ์ ปน็ เพราะผอู้ น่ื บนั ดาล ซง่ึ คตทิ ไ่ี ปของผมู้ มี จิ ฉาทฏิ ฐิ ยอ่ มไมพ่ น้ จากนรกหรอื กำ� เนดิ เดรจั ฉาน แตส่ ตั วท์ ง้ั หลายมกี รรม เปน็ ของตน เปน็ ผรู้ บั ผลของกรรม มกี รรมเปน็ กำ� เนดิ มกี รรมเปน็ เผา่ พนั ธ์ุ มกี รรมเปน็ ทพ่ี งึ่ อาศยั ทำ� ดกี ต็ ามทำ� ชว่ั กต็ าม จกั เปน็ ผรู้ บั ผลของกรรมน้ัน และสุข-ทุกข์ท่ีเกิดขึ้น เกิดจากผัสสะเป็นเเหตุ เปน็ ปจั จยั นอกจากนไ้ี ดต้ รสั โทษของการแสดงสง่ิ ท่ีตถาคตไม่ได้ ภาษิตไว้และไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าเป็นสิ่งท่ีตถาตได้ภาษิตไว้และได้ บัญญัติไว้น้ัน ย่อมท�ำมหาชนให้หมดความสุข เป็นไปเพ่ือความ ฉบิ หายแกม่ หาชน คนนนั้ ยอ่ มประสบสงิ่ ไมใ่ ชบ่ ญุ เปน็ อนั มาก และ ชื่อวา่ ท�ำสัทธรรมของพระองค์อนั ตรธานไป. ดังพระสตู รในบทท่ี ๓๐ หรอื ในหน้า ๙๔ ของหนงั สือเลม่ น้.ี 127

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : เดรจั ฉานวชิ า ความเข้าใจผดิ 43 เกี่ยวกบั การทำ� น้�ำมนต์ -บาลี ส.ุ ข.ุ อ. ๒/๙. เร่ืองการท�ำน�้ำมนต์มีปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาท่ีแต่งอธิบาย รตั นสตู ร มีข้อความวา่ “... มคี �ำถามว่า ก็พระสตู รน้ีใครกล่าวไว้อย่างนี้  กล่าวไว้ เมอ่ื ใด ทไี่ หนและเพราะเหตไุ ร การวสิ ชั นาปญั หา พระโบราณาจารย์ ทง้ั หลายได้พรรณนาไวโ้ ดยพสิ ดาร จ�ำเดิมแต่เร่อื งเมอื งเวสาล.ี ในวนั ทพี่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ยงั เสดจ็ ไมถ่ งึ เมอื งเวสาลนี นั้ แล ท่านพระอานนท์ได้เรียนรัตนสูตรนี้ ซ่ึงพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพอื่ กำ� จดั อปุ ทั วะเหลา่ นน้ั ทป่ี ระตพู ระนครเวสาลี สวดอยเู่ พอื่ ปอ้ งกนั ใชบ้ าตรของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตกั นำ�้ เทย่ี วประพรมอยทู่ วั่ พระนคร ก็เมื่อพระเถระกล่าวค�ำว่า ยงฺกิญฺจิ เท่าน้ัน พวกอมนุษย์ท้ังหลาย ทอ่ี าศยั กองหยากเยอื่ และฝาเรอื นเปน็ ตน้ ซง่ึ ยงั ไมห่ นไี ปในกาลกอ่ น ก็พากันหนีไปทางประตทู งั้ ๔ ประตูทัง้ หลายไมม่ ที วี่ ่าง ...” 128

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : เดรจั ฉานวชิ า หมายเหตุผรู้ วบรวม จากในคัมภีร์อรรถกถาท่ีแต่งขึ้น เป็นเหตุให้ขัดแย้งต่อ ภาษิตและบัญญัติของพระศาสดา ท่ีทรงระบุว่าการท�ำน้�ำมนต์ เป็นเดรัจฉานวิชา  โดยกล่าวถึงพระองค์เองและสั่งห้ามภิกษุ ไวถ้ งึ ๑๓ พระสตู ร คอื พระองคต์ รสั วา่ ตถาคตเวน้ ขาดจากการทำ� เดรจั ฉานวชิ า และพระสตู รทตี่ รสั ใหภ้ กิ ษเุ วน้ ขาดจากเดรจั ฉานวชิ า รวมถงึ ทต่ี รสั วา่ ผทู้ เ่ี ปน็ อรยิ บคุ คล จะเจตนางดเวน้ จากเดรจั ฉานวชิ า นอกจากนี้ได้ตรัสโทษของการแสดงส่ิงท่ีตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ และไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าเป็นสิ่งที่ตถาตได้ภาษิตไว้และได้บัญญัติ ไว้นั้น ย่อมท�ำมหาชนให้หมดความสุข เป็นไปเพื่อความฉิบหาย แก่มหาชน คนน้ันย่อมประสบสิง่ ไม่ใชบ่ ญุ เปน็ อนั มาก และชื่อวา่ ท�ำสัทธรรมของพระองค์อันตรธานไป. ดงั พระสูตรในบทที่ ๓๐ หรือในหนา้ ๙๔ ของหนงั สือเล่มน้.ี 129

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : เดรจั ฉานวชิ า ความเขา้ ใจผิด 44 เกย่ี วกบั อานิสงส์ของการสวดมนต์ -บาลี ชา. ข.ุ อ. ๓/๕๑., -บาลี ขุ. ข.ุ อ. ๒/๓๔., -บาลี สุ. ขุ. อ. ๒/๙., -บาลี ธ. ขุ. อ. ๑/๖๙๔. ในคัมภีรอ์ รรถกถามีกล่าววา่ อานภุ าพพระปรติ รคุ้มครอง ผสู้ วดได้ เชน่ เรอ่ื งทก่ี ลา่ ววา่ พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ นกยงู ทอง พระองค์ได้หมั่นสาธยายโมรปริตรท่ีกล่าวถึงคุณของพระพุทธเจ้า เปน็ ประจำ� ทำ� ให้แคล้วคลาดจากบ่วงท่นี ายพรานดกั ไว.้ นอกจากนใ้ี นอรรถกถาอกี คมั ภรี ไ์ ดแ้ ตง่ ไวว้ า่ ในสมยั พทุ ธกาล มภี กิ ษหุ า้ รอ้ ยรปู ไปเจรญิ ภาวนาในปา่ ไดถ้ กู เทวดารบกวนจนกระทัง่ ปฏบิ ัตธิ รรมไมไ่ ด้ ตอ้ งเดนิ ทางกลับเมอื งสาวตั ถี พระพุทธเจา้ จึงได้ ตรัสเมตตสูตร ซึ่งกล่าวถึงการเจรญิ เมตตา ครัน้ ภิกษุเหลา่ นน้ั หม่ัน เจริญเมตตาภาวนา เทวดาจึงมีไมตรีจิตตอบด้วย และช่วยพิทักษ์ คุ้มครองให้ภกิ ษหุ มู่น้นั ปฏบิ ัตธิ รรมไดโ้ ดยสะดวก. ในคัมภีร์อรรถกถาเล่มอื่นมีกล่าวว่า อานุภาพพระปริตร สามารถคมุ้ ครองผฟู้ งั ได้ โดยแตง่ ไวว้ า่ ในสมยั พทุ ธกาลเมอื่ เมอื งเวสาลี ประสบภยั ๓ อยา่ ง คอื ความอดอยากแรน้ แคน้ การเบยี ดเบยี นจาก อมนษุ ย์ และการแพรข่ องโรคระบาด พระพทุ ธเจา้ ไดร้ บั นมิ นตเ์ สดจ็ ไปโปรด พระองคร์ บั สัง่ ใหพ้ ระอานนทส์ วดรตั นปริตรที่กลา่ วถึงคณุ ของพระรตั นตรัย ภยั ดังกลา่ วในเมอื งนนั้ จงึ ได้สงบลง. 130

เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : เดรัจฉานวิชา นอกจากน้ีในอรรถกถาอีกคัมภีร์หน่ึงแต่งไว้ว่า ในสมัย พุทธกาลมเี ดก็ คนหน่งึ จะถูกยกั ษ์จับกินภายใน ๗ วนั พระพุทธเจ้า จึงทรงแนะนำ� ใหภ้ ิกษสุ วดพระปริตรตลอด ๗ คนื และพระองคไ์ ด้ เสด็จไปสวดด้วยพระองค์เองในคืนท่ี ๘ เด็กนั้นก็สามารถรอดพ้น จากภยั พบิ ัติของอมนษุ ย์นน้ั ได.้ หมายเหตผุ ู้รวบรวม (1) บทสวดมนต์ที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นเหตุให้ขัดแย้งต่อ ภาษิตและบัญญัติของพระศาสดา ท่ีห้ามภิกษุบัญญัติเพิ่มหรือ เพกิ ถอนสง่ิ ทพี่ ระองคบ์ ญั ญตั ิ และพระองคก์ ไ็ มใ่ หส้ นใจคำ� ทแ่ี ตง่ ข้ึนใหม่ เพราะเมื่อมีการบัญญัติเพ่ิมหรือเพิกถอนส่ิงที่พระองค์ บัญญัติ และการไปสนใจศึกษาค�ำแต่งใหม่จะเป็นเหตุให้ค�ำสอน ของตถาคตสูญส้ินไป นอกจากนี้ได้ตรัสโทษของการแสดงส่ิงที่ ตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้และไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าเป็นสิ่งที่ตถาตได้ ภาษิตไว้และได้บัญญัติไว้นั้น ย่อมท�ำมหาชนให้หมดความสุข เป็นไปเพื่อความฉิบหายแก่มหาชน คนน้ันย่อมประสบส่ิงไม่ใช่ บญุ เป็นอนั มาก และชือ่ วา่ ท�ำสัทธรรมของพระองค์อันตรธานไป. ดังพระสตู รในบทท่ี ๓๐ หรอื ในหนา้ ๙๔ ของหนังสือเล่มน้ี. 131

พทุ ธวจน - หมวดธรรม (2) คมั ภรี อ์ รรถกถาทอี่ ธบิ ายวนิ ยั ปฎิ ก สตุ ตนั ตปฎิ กและ อภิธรรมปิฎกท่ีใช้กันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์ที่รจนาโดย พระพุทธโฆสะ และในบางส่วน (ซง่ึ มเี ปน็ สว่ นนอ้ ย) ก็ปรากฏวา่ มีภิกษุรูปอื่นร่วมรจนาด้วย โดยการน�ำเน้ือหาในมหาอรรถกถา กุรุนทีอรรถกถา และมหาปัจจรีอรรถกถา ที่เป็นภาษาสิงหลมา เรียบเรียงแต่งใหม่เป็นภาษามคธ เม่ือประมาณ พ.ศ.๙๕๖ ซึ่ง อยใู่ นชว่ งของการสังคายนาครัง้ ท่ี ๖ เกิดเป็นอรรถกถารุน่ ใหมท่ ่ี ใชก้ นั ในปจั จบุ นั รวมถงึ หนงั สอื วสิ ทุ ธมิ รรคดว้ ย สว่ นอรรถกถาของ ขทุ ทกปาฐะ และ สตุ ตนิบาต ในขทุ ทกนกิ าย (ขุ. ขุ. อ., ส.ุ ข.ุ อ. หรือ ปรมัตถโชติกา), ชาดก ในขุททกนิกาย (ชา. ขุ. อ. หรือ ชาตกฏั ฐกถา) ธรรมบท ในขทุ ทกนกิ าย (ธ. ข.ุ อ. ธมั มปทฏั ฐกถา) ที่อ้างอิงในหนังสือเล่มนี้ก็ล้วนแต่ถูกรจนาโดยพระพุทธโฆสะ เชน่ กนั สว่ นอรรถกถาของอปทาน ในขทุ ทกนกิ าย (อป. ข.ุ อ. หรอื วิสทุ ธชนวลิ าสนิ )ี ยังไม่ทราบแน่ชัดวา่ ผใู้ ดเปน็ ผรู้ จนา. 132

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : เดรัจฉานวชิ า บทสวดมนตย์ อดนิยม 45 เป็นค�ำแต่งใหม่ บทสวดสพั พมงั คลคาถา เป็นค�ำแต่งใหม่ สัพพมังคลคาถา คือ คาถาที่กล่าวถึงมงคลทง้ั หมด คาถาน้ี อาราธนาคณุ ของพระพทุ ธเจา้ และเทวดาทง้ั ปวงมาพทิ กั ษใ์ หม้ คี วาม สวัสดี เป็นคาถาที่โบราณาจารย์ประพันธ์ข้ึนภายหลัง เพราะไม่มี ปรากฎในพระสตู ร สนั นษิ ฐานวา่ ไดร้ บั การประพนั ธน์ านกวา่ ๘๐๐ ปี เพราะมีอา้ งไว้ในคัมภรี ส์ ทั ทนตี ิ (สุตตมาลา สูตร ๕๐๘) ซึ่งรจนาที่ ประเทศสหภาพพมา่ ในราว พ.ศ. ๑๗๐๐1. ตวั อยา่ ง สัพพมังคลคาถา ภะวะตุ สัพพะมังคะลงั รกั ขนั ตุ สัพพะเทวตา สัพพะพทุ ธานุภาเวนะ สะทา โสตถิ ภะวนั ตุ เม... 1. พระคันธสาราภิวงศ์, ๒๕๕๐. 133

พุทธวจน - หมวดธรรม บทสวดพาหงุ (พทุ ธชยั มงั คลคาถา) เปน็ คำ� แตง่ ใหม่ บทสวดพาหุง (พุทธชัยมังคลคาถา) คือ คาถาท่ีกล่าวถึง ชยั ชนะของพระพทุ ธเจา้ ๘ ครง้ั แลว้ อา้ งสจั วาจานน้ั มาพทิ กั ษค์ มุ้ ครอง ให้มีความสวัสดี ชัยชนะเหล่าน้ัน คือ ชนะมาร ชนะอาฬวกยักษ์ ชนะช้างนาฬาคิรี ชนะโจรองคุลิมาล ชนะนางจิญจมาณวิกา ชนะ สัจจกนิครนถ์ ชนะนันโทปนันทนาคราช และชนะพกพรหม. นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า ผู้ประพันธ์คาถาน้ีคือ พระมหาพุทธสิริเถระซึ่งรจนาคัมภีร์ฎีกาพาหุง ในสมัยสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ และประพันธ์ในราว พ.ศ. ๒๐๐๖ คาถานี้ยงั มีชื่อเรียกว่า บทถวายพรพระ เพราะแต่งถวายพรพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้ทรงชนะศึก (วิวัฒนาการวรรณคดีบาลีสายพระสุตตันตปิฎก ท่ีแต่งในประเทศไทย หน้า ๓๐๑-๒) อน่ึง คาถาที่นิยมสวดอยู่ใน ปัจจุบันมี ๙ คาถา1. ตวั อย่าง บทสวดพาหงุ พาหงุ สะหัสสะมะภินิมมติ ะสาวธุ นั ตงั ครเี มขะลงั อทุ ิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทธิ ัมมะวธิ นิ า ชติ ะวา มุนนิ โท ตนั เตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ... 1. พระคนั ธสาราภวิ งศ,์ ๒๕๕๐. 134

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : เดรัจฉานวิชา คาถาชินบัญชร เป็นค�ำแต่งใหม่ ชนิ บญั ชร คือ เกราะแกว้ ของพระชินเจ้า คาถาชินบัญชรน้ี กล่าวอาราธนาพระพุทธเจ้า พระสาวก และพระปริตร ให้มาด�ำรง อยู่ในกายเพ่ือพิทักษ์คุ้มครอง ผู้แต่งและสถานท่ีแต่งไม่มีหลักฐาน ปรากฏในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย แตม่ หี ลกั ฐานปรากฏในประวตั ศิ าสตร์ พม่า คอื เรือ่ งพทุ ธนวมวินิจฉัย ในวนิ ยสมหู วนิ จิ ฉยั (เล่ม ๒ หน้า ๕๐๕-๙) กล่าวว่า แต่งที่เมืองเชียงใหม่ในรัชสมัยพระเจ้าอโนรธา เจา้ ผคู้ รองนครเชยี งใหมร่ ชั กาลท่ี ๒๐ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๒๑-๒๑๕๐ เพราะในสมัยน้ันชาวเมืองเชียงใหม่นิยมบูชาดาวนพเคราะห์ ในหลวงจึงปรึกษากับพระเถระในยุคน้ัน  แล้วรับส่ังให้ชาวเมือง สวดคาถาชินบัญชรและคาถาอ่ืนๆ แทนการบูชาดาวนพเคราะห์ท่ี ไม่คล้อยตามค�ำสอนในพระพุทธศาสนา ดังนั้น คาถาชินบัญชรจึง แต่งโดยพระเถระชาวไทยท่ีเมืองเชียงใหม่ คาถาน้ียังแพร่หลายถึง ประเทศสหภาพพมา่ และศรีลงั กาอกี ดว้ ย. คาถาชนิ บญั ชรฉบบั ทแี่ พรห่ ลายอยใู่ นประเทศไทยมี๒ ฉบบั เชน่ ฉบับแรกของวัดระฆงั โฆสติ าราม เปน็ ตน้ 1. 1. พระคนั ธสาราภิวงศ,์ ๒๕๕๐. 135

พุทธวจน - หมวดธรรม ตัวอย่าง คาถาชนิ บัญชร ชะยาสะนะคะตา พทุ ธา เชต๎วา มารัง สะวาหนงั จะตุสจั จาสะภงั ระสงั เย ปวิ งิ สุ นะราสะภา ... 136

เปิดธรรมท่ีถกู ปิด : เดรัจฉานวชิ า บทสวดอภยปริตร เปน็ ค�ำแตง่ ใหม่ อภยปรติ ร คอื ปรติ รไมม่ ภี ยั เปน็ พระปรติ รทโี่ บราณาจารย์ ประพันธ์ขึ้น  โดยอ้างคุณพระรัตนตรัยมาพิทักษ์คุ้มครองให้มี ความสวสั ดี พระปรติ รนมี้ ปี รากฏในบทสวดเจด็ ตำ� นานและบทสวด สิบสองต�ำนานของไทย  ได้แพร่หลายไปถึงประเทศสหภาพพม่า และศรีลังกาอีกด้วย สันนิษฐานว่ารจนาโดยพระเถระชาวเชียงใหม่ ในสมัยรจนาคาถาชินบัญชร สังเกตจาการอธิษฐานให้เคราะห์ร้าย พินาศไป  เพราะชาวเมืองเชียงใหม่ในสมัยน้ันนิยมบูชาดาว นพเคราะห์  จึงได้มีนักปราชญ์ประพันธ์คาถาน้ี เพื่อให้สวดแทน การบูชาดาวนพเคราะห์ คาถานี้ยังมีปรากฏในคัมภีร์ปริตตฎีกา ทรี่ จนาใน พ.ศ. ๒๑๕๑1. ตวั อย่าง อภยปรติ ร ยัน ทนุ นมิ ติ งั อะวะมงั คะลัญจะ โย จามะนาโป สะกณุ ัสสะ สทั โท ปาปคั คะโห ทุสสุปนงั อะกันตัง พทุ ธานุภาเวะ วินาสะเมนตุ ... 1. พระคันธสาราภิวงศ,์ ๒๕๕๐. 137

พุทธวจน - หมวดธรรม บทสวดอาฏานาฏยิ ปริตร เปน็ คำ� แตง่ ใหม่ อาฏานาฎยิ สตู รท่ปี รากฏใน ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค (-บาลี ปา. ที. ๑๑/๒๐๙/๒๐๙) มที ้ังหมด ๕๑ คาถา แตอ่ าฏานาฏิยปริตร ที่นิยมสวดกันเป็นบทสวดท่ีโบราณาจารย์ปรับปรุงเพ่ิมเติมในภาย หลัง โดยนำ� คาถาจากพระบาลี ๖ คาถาแรก แล้วเพิ่มคาถาอ่นื ทอ่ี ้าง พระพทุ ธคณุ และเทวานภุ าพ เพอื่ เปน็ สจั วาจาพทิ กั ษค์ มุ้ ครองผสู้ วด สำ� หรับคาถาสดุ ทา้ ย ท่านนำ� มาจากในคัมภีรธ์ รรมบท (-บาลี ข.ุ ธ. ๒๕/๒๙/๑๘.) ผรู้ บู้ างทา่ นกลา่ ววา่ พระเถระชาวลงั กาเปน็ ผปู้ รบั ปรงุ เพ่ิมเติมพระปรติ รนี้ (พระปริตรแปลพิเศษ ฉบับพม่า หน้า ๔-๕)1. ตวั อยา่ ง อาฏานาฏิยปรติ ร วิปัสสะ จะ นะมตั ถุ จกั ขมุ นั ตัสสะ สิรมี ะโต สิขิสสะปิ จะ นะมตั ถุ สพั พะภูตานุกมั ปิโน ... 1. พระคนั ธสาราภิวงศ์, ๒๕๕๐. 138

เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : เดรัจฉานวชิ า บทสวดโพชฌงคปรติ ร เป็นคำ� แตง่ ใหม่ โพชฌงค์ ๗ ท่ีเป็นพุทธวจน พระพุทธองค์ตรัสไว้เป็น รอ้ ยแกว้ พบในคลิ านสตู รท่ี ๑ คลิ านสตู รที่ ๒ และคลิ านสตู รที่ ๓ ใน สงั ยตุ นกิ าย มหาวรรค (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๑๑๓-๑๑๖/๔๑๕-๔๒๗.) ส่วนโพชฌงคปริตรท่ีสวดกันในปัจจุบันเป็นร้อยกรองท่ีพระเถระ ชาวสงิ หลประพนั ธข์ นึ้ โดยนำ� ขอ้ ความจากพระสตู รมาประพนั ธเ์ ปน็ รอ้ ยกรอง (พระปรติ รแปลพเิ ศษ ฉบบั พม่า หนา้ ๙)1. ตัวอย่าง โพชฌงคปรติ ร โพชฌงั โค สะตสิ ังขาโต ธมั มานงั วิจะโย ตะถา วรี ยิ งั ปีติ ปสั สทิ ธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร ... 1. พระคนั ธสาราภิวงศ์, ๒๕๕๐. 139

พุทธวจน - หมวดธรรม บทสวดชยั ปรติ ร เปน็ ค�ำแตง่ ใหม่ ชัยปริตร คือ ปริตรที่กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้า แล้วอา้ งสัจวาจานน้ั มาพิทักษ์ค้มุ ครองใหม้ คี วามสวสั ดี คาถา ๑-๓ แสดงชยั ชนะของพระพทุ ธเจา้ เปน็ คาถาทโ่ี บราณาจารยป์ ระพนั ธข์ นึ้ ภายหลัง คาถา ๔-๕-๖ เป็นพุทธวจนท่ีน�ำมาจากอังคุตตรนิกาย ปพุ พณั หสูตร (-บาลี ตกิ . อํ. ๒๐/๓๗๘/๕๙๕.)1. ตวั อยา่ ง ชัยปรติ ร มะหาการุณิโก นาโถ หติ ายะ สพั พะปาณนิ ัง ปูเรตว๎ า ปาระมี สพั พา ปตั โต สัมโพธิมุตตะมงั ... 1. พระคันธสาราภวิ งศ,์ ๒๕๕๐. 140

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : เดรัจฉานวิชา บทสวดอทุ ศิ บญุ กศุ ล (ปตั ตทิ านคาถา) เปน็ คำ� แตง่ ใหม่ ปัตตทิ านคาถา คอื คาถาอทุ ิศส่วนบุญ สนั นิษฐานว่าเปน็ คาถาประพนั ธท์ ป่ี ระเทศไทย และคงประพนั ธใ์ นสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา หรอื กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คาถานปี้ ระพนั ธโ์ ดยองิ อาศยั คำ� อทุ ศิ สว่ นบญุ ของพระเจา้ จกั รพรรดติ โิ ลกวชิ ยั ทมี่ ปี รากฏในคมั ภรี อ์ รรถกถา (อป. ขุ. อ. ๒/๑๙๔.) เพราะมีเนอ้ื ความคลา้ ยคลงึ กับคาถาเหลา่ น้ัน1. ตัวอยา่ ง ปัตติทานคาถา ปุญญัสสิทานิ กะตสั สะ ยานัญญานิ กะตานิ เม เตสญั จะ ภาคโิ น โหนต สตั ตานันตัปปะมาณะกา ... 1. พระคันธสาราภวิ งศ์, ๒๕๕๐. 141

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ผปู้ ระสงคก์ ารสาธยายธรรม หมายเหตผุ รู้ วบรวม สำ� หรบั ผปู้ ระสงคก์ ารสาธยายธรรม (สชฌฺ าย) คำ� ทต่ี รสั จาก พระโอษฐข์ องตถาคตนนั้ เปน็ สง่ิ ทสี่ มควรตอ่ การสาธยายไดท้ ง้ั หมด แตบ่ ทท่ีพระองคส์ าธยายด้วยพระองค์เองเม่อื อยู่วเิ วกหลกี เรน้ ผู้เดียว น้ันคือ อิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปบาท  นอกจากนี้สามารถเลือกดู บทอื่นๆ ไดจ้ ากหนังสือ พุทธวจน ฉบับ ๑๐ สาธยายธรรม อทิ ัปปัจจยตาและปฏจิ จสมปุ บาท -บาลี นิทาน. ส.ํ ๑๖/๘๕/๑๕๙. ภกิ ษุท้งั หลาย อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั นี้ ยอ่ มกระทำ� ไวใ้ นใจ โดยแยบคายเป็นอยา่ งดี ซง่ึ ปฏิจจสมปุ บาทนน่ั เทยี ว ดงั นว้ี ่า เมือ่ สิง่ นี้ม ี สิ่งนยี้ ่อมมี เพราะความเกดิ ข้ึนแห่งสงิ่ นี้ สิ่งน้ีจึงเกิดขน้ึ เมอื่ สิ่งน้ีไม่ม ี สงิ่ นี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแหง่ ส่งิ น้ ี ส่งิ นจ้ี ึงดบั ไป ไดแ้ ก่สิง่ เหลา่ นี้ คือ จึงมสี งั ขารทง้ั หลาย เพราะมอี วิชชาเปน็ ปจั จยั จึงมีวิญญาณ เพราะมีสังขารเปน็ ปจั จยั จงึ มีนามรปู เพราะมีวิญญาณเป็นปจั จัย จงึ มีสฬายตนะ เพราะมนี ามรูปเป็นปจั จัย จงึ มีผสั สะ เพราะมสี ฬายตนะเปน็ ปัจจยั จึงมเี วทนา เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย 142

เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : เดรจั ฉานวิชา เพราะมเี วทนาเปน็ ปจั จยั จึงมตี ณั หา เพราะมตี ณั หาเป็นปจั จยั จงึ มอี ุปาทาน เพราะมีอปุ าทานปัจจัย จึงมภี พ เพราะมีภพเป็นปจั จัย จงึ มีชาติ เพราะมชี าติเปน็ ปัจจยั ชรามรณะ โสกะปริเทวะทกุ ขะ โทมนัสอุปายาสะท้ังหลาย จึงเกิดข้ึนครบถว้ น ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สนิ้ นี้ ยอ่ มมี ดว้ ยอาการอยา่ งน.ี้ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวิชชาน้ันน่ันเทยี ว จงึ มีความดับแห่งสงั ขาร เพราะมีความดับแห่งสงั ขาร จงึ มคี วามดับแห่งวิญญาณ เพราะมคี วามดับแห่งวิญญาณ จงึ มีความดบั แหง่ นามรูป เพราะมคี วามดับแหง่ นามรูป จึงมคี วามดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดบั แห่งผสั สะ เพราะมคี วามดับแหง่ ผสั สะ จงึ มคี วามดบั แหง่ เวทนา เพราะมคี วามดับแหง่ เวทนา จึงมคี วามดบั แหง่ ตัณหา เพราะมีความดบั แห่งตัณหา จึงมคี วามดบั แหง่ อุปาทาน เพราะมคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน จงึ มคี วามดับแหง่ ภพ เพราะมคี วามดับแหง่ ภพ จงึ มีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแหง่ ชาติน่นั แล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ ดบั สนิ้ ความดับลงแหง่ กองทกุ ข์ท้ังสน้ิ นี้ ยอ่ มมี ดว้ ยอาการอย่างน้ี ดังนี้. 143



ทางออก ของผ้ปู ระพฤติมิจฉาทฏิ ฐไิ ปแลว้

พุทธวจน - หมวดธรรม 46เปิดธรรมที่ถกู ปิด : เดรจั ฉานวชิ า กรณีของภกิ ษุ หากเหน็ โทษโดยความเปน็ โทษ ให้ท�ำคนื ตามธรรม -บาลี นทิ าน. สํ. ๑๖/๑๕๑/๒๙๐-๓๐๔. (พระผมู้ พี ระภาคและภกิ ษสุ งฆ์ มปี ระชาชนเคารพ นบั ถอื บชู า สมบรู ณ์ด้วยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจั จัยเภสชั บรขิ าร ส่วน พวกปริพพาชกผู้เป็นอัญญเดียรถีย์อืน่ ไมม่ ีประชาชนเคารพนับถือบชู า ปริพพาชกผู้หน่ึงชื่อสุสิมะ ได้รับคำ�แนะนำ�จากศิษย์ให้เข้ามาบวชใน พระพทุ ธศาสนา เพอ่ื เรยี นธรรมมาสอนประชาชน โดยหวงั จะใหพ้ วกตน มปี ระชาชนเคารพนบั ถอื และสมบรู ณด์ ว้ ยลาภสกั การะบา้ ง ครนั้ บวชแลว้ ก็ได้เท่ียวสอบถามภิกษุเหล่าอ่ืนเพื่อหาวิธีให้ได้มาซึ่งคุณวิเศษ แต่ก็ได้ รับคำ�ตอบในทำ�นองว่าการบรรลุธรรมไม่จำ�เป็นต้องได้คุณวิเศษ จึงได้ เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคและกราบทลู เรอ่ื งราวใหฟ้ งั พระผมู้ พี ระภาคได้ แสดงธรรมจนทำ�ใหส้ สุ มิ ะไดบ้ รรลุธรรม) ลำ�ดบั นน้ั เอง ทา่ นสสุ มิ ะหมอบลงแทบพระบาททง้ั สองของพระผมู้ ี พระภาคเจา้ ดว้ ยเศียรเกล้าแล้วได้ กล่าวถ้อยคำ�นก้ี ะพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ  !   โทษไดท้ ว่ มทบั ขา้ พระองคแ์ ลว้ ตามท่ี เปน็ คนพาลอยา่ งไร ตามทเี่ ปน็ คนหลงอยา่ งไร ตามทม่ี คี วามคดิ เปน็ อกศุ ล อย่างไร  คือ ข้อที่ข้าพระองค์บวชแล้วเพื่อขโมยธรรมวินัยที่พระองค์ ตรสั ดแี ลว้ อยา่ งน.้ี   ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ  !  ขอพระผมู้ พี ระภาคจงทรงรบั ซงึ่ โทษโดยความเปน็ โทษของขา้ พระองค์ เพอื่ ความสำ�รวมระวงั ตอ่ ไปเถดิ พระเจา้ ข้า. 146

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : เดรัจฉานวิชา เอาละ สสุ ิมะ !   โทษไดท้ ่วมทบั เธอ ผเู้ ปน็ คนพาล อยา่ งไร ผเู้ ปน็ คนหลงอยา่ งไร ผมู้ คี วามคดิ เปน็ อกศุ ลอยา่ งไร คอื ข้อที่เธอบวชแลว้ เพ่ือขโมยธรรมในธรรมวินยั ทีต่ ถาคต กลา่ วดีแล้วอย่างน้ี. สสุ มิ ะ !   เปรยี บเหมอื นราชบรุ ษุ จบั โจรผปู้ ระพฤตผิ ดิ มาแสดงแกพ่ ระราชาแลว้ กราบทูลวา่ “ขา้ แต่เทวะ !  โจรนี้ ประพฤติผิดแด่พระองค์ ขอพระองค์จงทรงลงอาชญาแก่ โจรนี้ ตามท่พี ระองค์ทรงพระประสงค์เถดิ ” ดงั น้ี พระราชา ทรงรับส่ังกะราชบุรุษเหล่าน้ันดังน้ีว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่าน ท้งั หลาย จงไป จงมัดบุรษุ น้ีให้มแี ขนในเบือ้ งหลงั ให้มีการ ผูกมัดท่ีแน่นหนาด้วยเชือกอันเหนียว แล้วโกนศีรษะเสีย พาเท่ียวตระเวนตามถนนต่างๆ ตามทางแยกต่างๆ ด้วย กลองปณวะเสียงแข็ง พาออกทางประตูด้านทักษิณ แล้ว จงตดั ศรี ษะเสยี ทางดา้ นทกั ษณิ ของนคร” ราชบรุ ษุ มดั โจรนนั้ กระท�ำตามท่ีพระราชาได้รับส่ังแล้วอย่างไร.  สุสิมะ !  เธอ จะสำ� คญั ความขอ้ นวี้ า่ อยา่ งไร บรุ ษุ นน้ั ตอ้ งเสวยทกุ ขโทมนสั เพราะข้อนัน้ เปน็ เหตุหรอื หนอ. อยา่ งน้ัน พระเจ้าขา้ . 147

พุทธวจน - หมวดธรรม สสุ มิ ะ !   บรุ ษุ นนั้ ตอ้ งเสวยทกุ ขโทมนสั เพราะขอ้ นน้ั เป็นเหตุเพียงใด แต่การบวชของเธอเพ่ือขโมยธรรม ใน ธรรมวนิ ัยท่ีตถาคตกล่าวดแี ล้วอยา่ งน้ี นย้ี งั มวี ิบากเป็นทกุ ข์ ย่ิงกว่า มีวิบากเผ็ดร้อนย่ิงกว่า แล้วยังเป็นไปเพื่อวินิบาต อกี ดว้ ย.  สสุ มิ ะ !  แตเ่ พราะเธอเหน็ โทษโดยความเปน็ โทษ แล้วท�ำคนื ตามธรรม เราจงึ รับโทษนน้ั ของเธอ ผู้ใดเห็นโทษ โดยความเปน็ โทษแลว้ ทำ� คนื ตามธรรม ถงึ ความสำ� รวมระวงั ตอ่ ไป ขอ้ นี้เป็นความเจริญในอรยิ วินัยของผู้น้ัน ดังน้.ี 148

เปิดธรรมท่ีถกู ปิด : เดรัจฉานวชิ า ขอ้ ควรปฏบิ ตั ขิ องภิกษุเมื่อเขา้ บา้ น -บาลี มหาวิ. วิ. ๑/๑๘/๙. , -บาลี สี. ที. ๙/๑๙๐/๒๓๘., -บาลี ม. ม. ๑๓/๓๘๑, ๕๓๒/๔๑๖, ๕๘๙. (กิจที่ภิกษุควรทำ�เม่ือเข้าบ้านนั้นมีปรากฏในหลายพระสูตร โดยสรุปก็คือ  มีการฉันอาหาร  การอนุโมทนา  การสนทนาธรรม ดงั ตัวอย่างพระสูตรตอ่ ไปน้)ี ... อานนท ์ !   ครงั้ นนั้ เวลาเชา้ พระผมู้ พี ระภาคทรง พระนามวา่ กสั สปะ ผเู้ ปน็ พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรง น่งุ แลว้ ทรงถอื บาตรและจวี ร เสดจ็ เขา้ ไปยงั พระราชนเิ วศน์ ของพระเจ้ากิกิกาสิราช ประทับน่ังบนอาสนะที่เขาจัดถวาย พรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ ลำ� ดบั นน้ั พระเจา้ กกิ กิ าสริ าช ทรงองั คาส ภกิ ษสุ งฆม์ พี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ ใหอ้ มิ่ หนำ� เพยี งพอดว้ ย ของเคยี้ วของฉนั อนั ประณตี ดว้ ยพระหตั ถข์ องทา้ วเธอ ครนั้ พระผมู้ พี ระภาคทรงพระนามวา่ กสั สปอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสวยเสรจ็ วางพระหตั ถจ์ ากบาตรแล้ว พระเจา้ กกิ กิ าสริ าช ทรงถอื อาสนะตำ่� อนั หนง่ึ ประทบั นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหน่ึง คร้ันแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่ พระองคผ์ เู้ จรญิ  ! ขอพระผมู้ พี ระภาคทรงรบั การอยจู่ ำ� พรรษา 149

พุทธวจน - หมวดธรรม ณ เมืองพาราณสีของหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจักได้บ�ำรุง พระสงฆเ์ หน็ ปานนี้. พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันต- สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเลยมหาราช !  เรารับการอยู่ จำ� พรรษาเสียแลว้ ... . ... ขณะนน้ั เปน็ เวลาเชา้ พระผมู้ พี ระภาคทรงอนั ตรวาสกแลว้ ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธด�ำเนินไปสู่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์ ครนั้ ถงึ แลว้ ประทบั นงั่ เหนอื อาสนะทเ่ี ขาจดั ถวาย พรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ จงึ เวรัญชพราหมณอ์ งั คาสภกิ ษสุ งฆม์ พี ระพุทธเจ้าเป็นประมขุ ด้วย ของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตนจนให้ห้ามภัตแล้ว ได้ ถวายไตรจีวรแด่พระผู้มีพระภาคผู้เสวยเสร็จทรงน�ำพระหัตถ์ออก จากบาตรแลว้ ให้ทรงครอง และถวายผ้าคใู่ หภ้ ิกษคุ รองรูปละสำ� รบั จงึ พระองคท์ รงชแี้ จงใหเ้ วรญั ชพราหมณเ์ หน็ แจง้ สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมกี ถาแลว้ ทรงลกุ จากทป่ี ระทับเสดจ็ กลบั ... ลำ� ดับนัน้ เปน็ เวลาเชา้ พระผูม้ ีพระภาคทรงนุ่งแลว้ ทรง ถือบาตรและจีวร พรอ้ มดว้ ยภกิ ษุสงฆเ์ สดจ็ ไปสู่สถานทบ่ี ชู ายญั ของ พราหมณ์กูฏทันตะแล้ว ประทบั น่งั ณ อาสนะทเ่ี ขาแต่งต้ังไว้ ตอ่ น้ัน 150

เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : เดรจั ฉานวิชา พราหมณ์กูฏทันตะได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ดว้ ยมอื ของตนเอง ดว้ ยขาทนยี โภชนยี าหารอยา่ งประณตี เมอื่ ทราบ วา่ พระผมู้ พี ระภาคเสวยเสรจ็ แลว้ ทรงลดพระหตั ถล์ งจากบาตรแลว้ จงึ ไดถ้ ือเอาอาสนะทีต่ ่ำ� แห่งหนึง่ น่ัง ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนง่ึ พระผ้มู ี พระภาค ทรงยงั พราหมณก์ ฏู ทนั ตะผนู้ ง่ั ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนงึ่ นน้ั แล ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว เสดจ็ ลกุ จากอาสนะหลกี ไป. ...พระสมณโคดมนนั้ ฉนั แลว้ นง่ั นง่ิ อยขู่ ณะหนง่ึ และไมป่ ลอ่ ย ใหเ้ วลาแหง่ การอนโุ มทนาลว่ งเลยไป ฉนั แลว้ กอ็ นโุ มทนา โดยไมต่ เิ ตยี น อาหารน้ันยกย่องอาหารอ่ืน ย่อมสนทนาชักชวนบริษัทนั้นๆ ให้ อาจหาญร่าเริงด้วยธรรมีกถาโดยแท้ แล้วจึงลุกจากอาสนะหลีกไป พระสมณโคดมน้ัน ไม่ผลุนผลันไป ไม่เฉ่ือยชาไป และไม่ไปโดย เขาไม่รไู้ ม่เห็น. 151

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ส่ิงทีภ่ กิ ษุควรทำ� เม่ืออย่รู ว่ มกนั -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๓๑๓/๓๑๓., -บาลี อฏฺก. อ.ํ ๒๓/๑๕๒-๑๕๖/๙๒. ภิกษุนั้นไปสู่หมู่สงฆ์แล้ว  ไม่พูดเร่ืองนอกเร่ือง ไม่กลา่ วเดรจั ฉานกถา ยอ่ มกล่าวธรรมเองบา้ ง เชื้อเชญิ ผอู้ นื่ ใหก้ ลา่ วบา้ ง ยอ่ มไมด่ หู มนิ่ การนงิ่ อยา่ งพระอรยิ เจา้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   นเ้ี ปน็ เหตุ เปน็ ปจั จยั ขอ้ ที่ ๗ ยอ่ ม เป็นไปเพ่ือได้ปัญญาอันเป็นเบ้ืองต้นแห่งพรหมจรรย์ท่ียัง ไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์ แหง่ ปญั ญา ทไ่ี ดแ้ ล้ว. (ในท่ีนย้ี กมาเพียง ๑ ข้อ  จากทง้ั หมด ๘ ข้อ ของเหตปุ จั จัย ในการไดม้ าซึง่ ปัญญาอันเปน็ เบ้อื งตน้ แหง่ พรหมจรรยท์ ีย่ งั ไม่ได้) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  การทพ่ี วกเธอผเู้ ปน็ กลุ บตุ ร ออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชติ ดว้ ยศรทั ธา นั่งสนทนาธรรมีกถากัน เปน็ การสมควร พวกเธอเมอื่ นง่ั ประชมุ กนั ควรทำ� กจิ สองอยา่ ง คือ สนทนาธรรมกัน หรอื นงั่ น่งิ อยา่ งพระอรยิ เจา้ . 152

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : เดรจั ฉานวชิ า ขอ้ ที่ภิกษคุ วรพจิ ารณาใหม้ าก 47 ผู้สร้างสขุ หรือสร้างทุกข์ให้แก่มหาชน นัยที่ ๑ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๓๓/๔๕๐. ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุผู้เป็นท่ีเช่ือถือของมหาชน ทั่วไป  เม่ือมีการกระท�ำ ๓ อย่างน้ีแล้ว  ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ท�ำมหาชนให้เส่ือมเสีย ท�ำมหาชนให้หมดความสุข เป็น ความพินาศแกม่ หาชน และไมเ่ ป็นไปเพอ่ื ประโยชนเ์ กื้อกูล เพอ่ื ความทกุ ขท์ ง้ั แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย  การกระทำ� ๓ อยา่ งเป็นอยา่ งไร คือ (1) ชักชวนในกายกรรมท่ีไมส่ มควร (2) ชกั ชวนในวจกี รรมท่ไี มส่ มควร (3) ชกั ชวนในธรรมทไี่ มส่ มควร ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุผู้เป็นที่เชื่อถือของมหาชน ทั่วไป เม่ือมีการกระท�ำ ๓ อย่างเหล่านี้แล้ว ได้ช่ือว่าเป็น ผู้ท�ำมหาชนให้เส่ือมเสีย ท�ำมหาชนให้หมดความสุข เป็น ความพนิ าศแกม่ หาชน และไม่เป็นไปเพอื่ ประโยชนเ์ กื้อกูล เพ่อื ความทกุ ข์ทงั้ แก่เทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย. 153

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุผู้เป็นท่ีเชื่อถือของมหาชน ทั่วไป เม่ือมีการกระท�ำ ๓ อย่างน้ีแล้ว ได้ช่ือว่าเป็นผู้ท�ำ มหาชนใหไ้ ด้รบั ประโยชน์ ท�ำมหาชนใหไ้ ด้รับความสุข เป็น ไปเพ่ือความเจริญแก่มหาชน และเป็นไปเพื่อความเก้ือกูล เพ่ือความสุขทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย การกระท�ำ ๓ อยา่ งเป็นอย่างไร คอื (1) ชักชวนในกายกรรมท่ีสมควร (2) ชักชวนในวจีกรรมที่สมควร (3) ชักชวนในธรรมทส่ี มควร ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุผู้เป็นท่ีเชื่อถือของมหาชน ท่ัวไป เมื่อมีการกระท�ำ ๓ อย่างเหล่านี้แล้ว ได้ชื่อว่าเป็น ผทู้ �ำมหาชนใหไ้ ด้รับประโยชน์ ท�ำมหาชนให้ได้รบั ความสขุ เป็นไปเพ่ือความเจริญแก่มหาชน และเป็นไปเพ่ือความ เกือ้ กลู เพ่อื ความสุขทัง้ แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ ั้งหลาย. 154

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : เดรจั ฉานวชิ า ผ้สู รา้ งสุขหรือสร้างทกุ ข์ใหแ้ กม่ หาชน นยั ที่ ๒ -บาลี ปฺ จก. อํ. ๒๒/๑๒๙/๘๘. ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเถระที่ประกอบด้วยองค์ ประกอบ ๕ อยา่ งเหลา่ นแี้ ลว้ ยอ่ มเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ทำ� มหาชน ใหเ้ สอื่ มเสยี ทำ� มหาชนใหห้ มดความสขุ ทำ� ไปเพอื่ ความพนิ าศ แก่มหาชน ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความทุกข์ ทั้งแก่เทวดาและมนษุ ยท์ ้งั หลาย ๕ อย่าง คอื (1) ภกิ ษเุ ปน็ เถระ บวชมานาน มพี รรษายกุ าลมาก (2) เป็นที่รู้จักกันมาก มีเกียรติยศ มีบริวาร ทั้ง คฤหัสถ์และบรรพชิต (3) เป็นผู้รำ่ �รวยลาภด้วยจวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจั จยั เภสชั บรขิ าร (4) เป็นพหุสูต ทรงจำ�ธรรมที่ฟังแล้ว สง่ั สมธรรม ทฟ่ี ังแล้วมาก คลอ่ งปาก ข้นึ ใจ แทงตลอดอยา่ งดีดว้ ยทฏิ ฐิ (5) (แต่) เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีทศั นะวปิ รติ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษนุ ี้ ทำ� คนเปน็ อนั มากใหเ้ ลกิ ละ จากพระสัทธรรม ใหต้ ั้งอยใู่ นอสัทธรรม ประชาชนทง้ั หลาย ยอ่ มถือเอาแบบอย่างของภกิ ษนุ นั้ ไป เพราะคิดว่า เธอเป็น ภกิ ษเุ ถระ บวชมานาน มพี รรษายกุ าลมากบา้ ง เพราะคดิ ว่า 155

พุทธวจน - หมวดธรรม เธอเปน็ ภิกษุเถระ ทมี่ หาชนเชื่อถือรจู้ ักกนั มาก มีเกยี รตยิ ศ มบี รวิ ารมาก ทง้ั คฤหสั ถแ์ ละบรรพชติ บา้ ง เพราะคดิ วา่ เธอเปน็ ภกิ ษเุ ถระ ทรี่ ำ่� รวยลาภดว้ ยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และ คลิ านปจั จยั เภสชั บรขิ ารบา้ ง เพราะคดิ วา่ เธอเปน็ ภกิ ษเุ ถระ ทเี่ ปน็ พหสุ ตู ทรงจำ� ธรรมทฟี่ งั แลว้ สงั่ สมธรรมทฟ่ี งั แลว้ ไดบ้ า้ ง ดงั น.้ี ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเถระท่ีประกอบด้วยองค์ ประกอบ ๕ อยา่ งเหลา่ นแี้ ลว้ ยอ่ มเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ ทำ� มหาชน ใหเ้ สอ่ื มเสยี ทำ� มหาชนใหห้ มดความสขุ ทำ� ไปเพอ่ื ความพนิ าศ แก่มหาชน ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อความทุกข์ ท้ังแก่เทวดาและมนษุ ยท์ ัง้ หลาย. ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเถระท่ีประกอบด้วยองค์ ประกอบ ๕ อยา่ งเหลา่ นแี้ ลว้ ยอ่ มเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ทำ� มหาชน ให้ได้รับประโยชน์  ท�ำมหาชนให้ได้รับความสุข  เป็นไป เพื่อความเจริญแก่มหาชน  และเป็นไปเพ่ือความเกื้อกูล เพ่อื ความสุข ท้งั แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ๕ อย่าง คือ (1) ภกิ ษเุ ปน็ เถระ บวชมานาน มพี รรษายกุ าลมาก (2) เป็นที่รู้จักกันมาก มีเกียรติยศ มีบริวาร ทั้ง คฤหัสถแ์ ละบรรพชติ 156

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : เดรจั ฉานวชิ า (3) เปน็ ผู้ร�่ำรวยลาภดว้ ยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยั เภสัชบรขิ าร (4) เปน็ พหุสตู ทรงจ�ำธรรมท่ีฟังแล้ว สงั่ สมธรรม ทฟี่ ังแลว้ มาก ... (5) (และ) เปน็ สมั มาทฏิ ฐิ มที ัศนะอันถูกตอ้ ง ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษนุ ี้ ทำ� คนเปน็ อนั มาก ใหเ้ ลกิ ละ จากอสัทธรรมให้ต้ังอยู่ในพระสัทธรรม ประชาชนท้ังหลาย ยอ่ มถอื เอาแบบอย่างของภิกษนุ ั้นไป เพราะคิดวา่ เธอเป็น ภิกษุเถระ บวชมานาน มีพรรษายกุ าลมากบา้ ง เพราะคดิ วา่ เธอเปน็ ภกิ ษุเถระ ท่ีมหาชนเชอื่ ถอื รจู้ ักกนั มาก มเี กยี รตยิ ศ มบี รวิ ารมาก ทง้ั คฤหสั ถแ์ ละบรรพชติ บา้ ง เพราะคดิ วา่ เธอเปน็ ภิกษเุ ถระ ที่รำ�่ รวยลาภด้วยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และ คลิ านปจั จยั เภสชั บรขิ ารบา้ ง เพราะคดิ วา่ เธอเปน็ ภกิ ษเุ ถระ ทเี่ ปน็ พหสุ ตู ทรงจำ� ธรรมทฟี่ งั แลว้ สงั่ สมธรรมทฟ่ี งั แลว้ ไดบ้ า้ ง ดังน้.ี ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเถระท่ีประกอบด้วยองค์ ประกอบ ๕ อยา่ งเหลา่ นแ้ี ลว้ ยอ่ มเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ ทำ� มหาชน ให้ได้รับประโยชน์  ท�ำมหาชนให้ได้รับความสุข  เป็นไป เพ่ือความเจริญแก่มหาชน  และเป็นไปเพ่ือความเก้ือกูล เพ่ือความสุขท้ังแกเ่ ทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย. 157

พุทธวจน - หมวดธรรม ลกั ษณะแบบใด คือ คนของสมั มาสัมพทุ ธะ -บาลี จตกุ กฺ . อํ. ๒๑/๓๓/๒๖. ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเหล่าใด เป็นคนหลอกลวง กระดา้ ง พูดพลา่ ม ยกตัว จองหอง เป็นผูจ้ ติ ไม่ตั้งมน่ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ไมใ่ ช่ “คนของเรา”. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ไดอ้ อกไปนอกธรรม- วนิ ยั นเ้ี สยี แลว้ และพวกภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ยอ่ มไมถ่ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลยใ์ นธรรมวนิ ยั น้ีไดเ้ ลย. สว่ นภกิ ษเุ หลา่ ใด เปน็ คนไมห่ ลอกลวง ไมพ่ ดู พลา่ ม เป็นบัณฑติ ไมเ่ ป็นผู้กระด้าง เปน็ ผูม้ จี ิตตั้งมนั่ . ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเหลา่ นน้ั เปน็ “คนของเรา”. ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเหล่านั้น  ไม่ได้ออกไปนอก ธรรมวินัยน้ี และย่อมถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ใน ธรรมวินยั น.้ี 158

เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : เดรัจฉานวชิ า ได้ช่ือวา่ เปน็ ภิกษุ ไมใ่ ช่เพราะเคร่ืองแบบ -บาลี ติก. อํ. ๒๐/๒๙๔/๕๒๒. ภิกษุท้ังหลาย !   ลาท่ีเดินตามฝูงโคไปข้างหลังๆ แม้จะรอ้ งอยูว่ า่ “กู ก็เป็นโค กู กเ็ ปน็ โค” ดงั น้กี ็ตามที แต่สี ของมนั กห็ าเปน็ โคไปไดไ้ ม่ เสยี งของมนั กห็ าเปน็ โคไปไดไ้ ม่ เท้าของมันก็หาเป็นโคไปได้ไม่ มันก็ได้แต่เดินตามฝูงโค ไปข้างหลังๆ รอ้ งเอาเองว่า “กู กเ็ ป็นโค กู ก็เปน็ โค” ดงั น้ี เท่าน้ัน ข้อนี้ฉนั ใด. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษบุ างรปู ในกรณเี ชน่ นี้ กฉ็ นั นนั้ เหมือนกัน คือ แม้จะเดินตามหมู่ภิกษุไปข้างหลังๆ ร้อง ประกาศอยวู่ ่า “ขา้ กเ็ ปน็ ภกิ ษุ ข้า กเ็ ป็นภิกษ”ุ ดงั นี้ ก็ตามที แตค่ วามใครใ่ นการประพฤตสิ ลี สกิ ขาของเธอ ไมเ่ หมอื นของ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ความใครใ่ นการประพฤตจิ ติ ตสกิ ขาของเธอ ไม่เหมือนของภิกษุทั้งหลาย  ความใคร่ในการประพฤติ ปญั ญาสกิ ขาของเธอ ไมเ่ หมอื นของภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษรุ ปู นนั้ ได้แตเ่ ดนิ ตามหมู่ภกิ ษุไปขา้ งหลังๆ รอ้ งประกาศเอาเองว่า “ข้า ก็เป็นภิกษุ ข้า กเ็ ป็นภกิ ษุ” ดงั น้ีเทา่ นนั้ . 159

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   เพราะฉะน้ัน ในเรื่องนี้ พวกเธอ ท้ังหลายพึงส�ำเหนียกใจไว้ว่า  “ความใคร่ในการประพฤติ สลี สกิ ขาของเรา ตอ้ งเขม้ งวดเสมอ ความใครใ่ นการประพฤติ จติ ตสกิ ขาของเรา ตอ้ งเขม้ งวดเสมอ ความใครใ่ นการประพฤติ ปัญญาสกิ ขาของเรา ตอ้ งเข้มงวดเสมอ” ดงั นี.้ ภิกษทุ ง้ั หลาย !   พวกเธอทั้งหลาย พึงสำ� เหนียกใจ ไว้อย่างน้แี ล. 160

เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : เดรจั ฉานวชิ า ผูใ้ ดเห็นธรรม ผนู้ ้ันเหน็ ตถาคต –บาลี อิตวิ ุ. ขุ. ๒๕/๓๐๐/๒๗๒. ภิกษุท้ังหลาย !   แม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิ เดินตาม รอยเท้าเราไปข้างหลังๆ แต่ถ้าเธอน้ันมากไปด้วยอภิชฌา มกี ามราคะกลา้ มจี ติ พยาบาท มคี วามดำ� รแิ หง่ ใจเปน็ ไปในทาง ประทษุ รา้ ย มสี ตหิ ลงลมื ไมม่ สี มั ปชญั ญะ มจี ติ ไมเ่ ปน็ สมาธิ แกว่งไปแกว่งมา ไม่ส�ำรวมอินทรีย์แล้วไซร้ ภิกษุนั้นชื่อว่า อยู่ไกลจากเรา แม้เราก็อยู่ไกลจากภิกษุนั้นโดยแท้. ข้อนั้น เพราะเหตไุ ร.  ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ขอ้ นนั้ เพราะเหตวุ า่ ภกิ ษนุ นั้ ไม่เหน็ ธรรม เม่อื ไมเ่ หน็ ธรรม กช็ ือ่ ว่าไมเ่ ห็นเรา. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   แมภ้ กิ ษนุ น้ั จะอยหู่ า่ งตงั้ รอ้ ยโยชน์ แตถ่ า้ เธอนัน้ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา ไมม่ ีกามราคะกล้า ไมม่ ี จิตพยาบาท ไม่มีความด�ำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย มสี ตติ งั้ มนั่ มสี มั ปชญั ญะ มจี ติ เปน็ สมาธิ ถงึ ความเปน็ เอกคั คตา สำ� รวมอนิ ทรยี แ์ ลว้ ไซร้ ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ อยใู่ กลก้ บั เรา แมเ้ รากอ็ ยู่ ใกลก้ บั ภกิ ษนุ น้ั โดยแท.้   ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร.  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ภิกษุน้ันเห็นธรรม เม่ือเห็นธรรม ก็ชื่อ วา่ เห็นเรา. 161

พุทธวจน - หมวดธรรม ลกั ษณะของผูอ้ ยใู่ นอริยวงศ์ -บาลี จตกุ ฺก. อ.ํ ๒๑/๓๕/๒๘. ภิกษุทง้ั หลาย !   อรยิ วงศ์ ๔ อย่างเหล่านี้ ปรากฏ ว่าเป็นธรรมอันเลศิ ย่ังยืน เปน็ แบบแผนมาแต่ก่อน ไม่ถกู ทอดทิ้งแล้ว ไม่เคยถกู ทอดทิ้งเลย ไม่ถกู ทอดท้งิ อยู่ จักไม่ ถูกทอดทิ้ง เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้รู้ ไม่คดั ค้านแลว้ อรยิ วงศ์ ๔ อยา่ งเป็นอย่างไร คือ (1) ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เปน็ ผสู้ นั โดษดว้ ยจวี รตามมี ตามได้  และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยจีวรตามมี ตามได ้ ไมท่ ำ� การแสวงหาอนั ไมส่ มควร เพราะจวี รเปน็ เหตุ ไมไ่ ดจ้ วี รกไ็ มท่ รุ นทรุ าย ไดจ้ วี รแลว้ กไ็ มย่ นิ ดเี มาหมกพวั พนั เห็นส่วนที่เป็นโทษแห่งสังสารวัฏฏ์ มีปัญญาในอุบายท่ีจะ ถอนตวั ออกอยเู่ สมอ นงุ่ หม่ จวี รนน้ั อนงึ่ ไมย่ กตนไมข่ ม่ ผอู้ น่ื เพราะความสันโดษด้วยจวี รตามมตี ามได้น้ัน ... (2) อกี อยา่ งหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน็ ผสู้ นั โดษดว้ ยบณิ ฑบาต ตามมตี ามได้ และเปน็ ผสู้ รรเสรญิ ความสนั โดษดว้ ยบณิ ฑบาต ตามมตี ามได้ ไมท่ ำ�การแสวงหาอนั ไมส่ มควร เพราะบณิ ฑบาต เป็นเหตุ ไม่ได้บิณฑบาตกไ็ มท่ รุ นทรุ าย ได้บณิ ฑบาตแล้วก็ 162

เปิดธรรมท่ีถูกปิด : เดรัจฉานวชิ า ไม่ยินดีเมาหมกพัวพัน เห็นส่วนที่เป็นโทษแห่งสังสารวัฏฏ์ มปี ญั ญาในอบุ ายทจ่ี ะถอนตวั ออกอยเู่ สมอ บรโิ ภคบณิ ฑบาตนน้ั อนงึ่ ไมย่ กตนไมข่ ม่ ผอู้ น่ื เพราะความสนั โดษดว้ ยบณิ ฑบาต ตามมีตามไดน้ ั้น ... (3) อกี อยา่ งหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน็ ผสู้ นั โดษดว้ ยเสนาสนะ ตามมตี ามได้ และเปน็ ผสู้ รรเสรญิ ความสนั โดษดว้ ยเสนาสนะ ตามมตี ามได้ ไมท่ ำ�การแสวงหาอนั ไมส่ มควรเพราะเสนาสนะ เป็นเหตุ ไม่ได้เสนาสนะก็ไม่ทุรนทุราย ได้เสนาสนะแล้วก็ ไม่ยินดีเมาหมกพัวพัน เห็นส่วนท่ีเป็นโทษแห่งสังสารวัฏฏ์ มปี ญั ญาในอบุ ายทจ่ี ะถอนตวั ออกอยเู่ สมอ ใชส้ อยเสนาสนะนน้ั อนงึ่ ไมย่ กตน ไมข่ ม่ ผอู้ น่ื เพราะความสนั โดษดว้ ยเสนาสนะ ตามมีตามไดน้ ้ัน ... (4) อกี อยา่ งหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ ใี จยนิ ดใี นการบำ�เพญ็ ส่ิงที่ควรบำ�เพ็ญ ยินดีแล้วในการบำ�เพ็ญสิ่งที่ควรบำ�เพ็ญ เปน็ ผมู้ ใี จยนิ ดใี นการละสง่ิ ทคี่ วรละ ยนิ ดแี ลว้ ในการละสง่ิ ที่ ควรละ อนึง่ ไมย่ กตนไม่ขม่ ผู้อ่ืน เพราะเหตดุ งั กล่าวน้นั . ก็ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มสี ตมิ นั่ ในการบำ� เพญ็ สงิ่ ทค่ี วรบำ� เพญ็ และการละสงิ่ ทค่ี วรละ นน้ั เราเรยี กภกิ ษนุ ว้ี า่ ผสู้ ถติ อยใู่ นอรยิ วงศ์ อนั ปรากฏวา่ เปน็ ธรรมเลิศมาแตเ่ กา่ ก่อน. 163

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  อรยิ วงศ์๔อยา่ งเหลา่ นแ้ี ลปรากฏวา่ เปน็ ธรรมอันเลศิ ย่งั ยนื เปน็ แบบแผนมาแตเ่ กา่ ก่อน ไมถ่ กู ทอดท้ิงแลว้ ไม่เคยถกู ทอดทง้ิ เลย ไมถ่ กู ทอดท้งิ อยู่ จกั ไม่ ถูกทอดท้ิง เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ท้ังหลายท่ีเป็นผู้รู้ ไมค่ ัดค้านแลว้ . ภิกษุทั้งหลาย !   ก็แลภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยอรยิ วงศ์ ๔ อยา่ งเหลา่ น้ี แม้หากอยูใ่ นทศิ ตะวนั ออก ... ทศิ ตะวนั ตก ... ทศิ เหนอื ... ทศิ ใต้ เธอยอ่ มยำ�่ ยคี วามไมย่ นิ ดี เสยี ไดข้ า้ งเดยี ว ความไมย่ นิ ดหี ายำ่� ยเี ธอไดไ้ ม่ ทเ่ี ปน็ เชน่ นน้ั เพราะเหตุไร เพราะเหตวุ า่ ภิกษผุ ู้มีปญั ญา ยอ่ มเป็นผู้ย�ำ่ ยี เสียได้ ท้งั ความไม่ยนิ ดแี ละความยินดี ดงั น้.ี 164

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : เดรัจฉานวชิ า กรณขี องคฤหสั ถ์ 48 หากเห็นโทษโดยความเปน็ โทษ ใหท้ ำ� คืนตามธรรม -บาลี มหา. ที. ๙/๑๑๒/๑๓๙. (กรณตี วั อยา่ งของพระเจา้ อชาตศตั รทู ท่ี ำ�การฆา่ บดิ าของตนเอง) ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ  ! โทษไดค้ รอบงำ�หมอ่ มฉนั ซง่ึ เปน็ คนเขลา คนหลง คนไมฉ่ ลาด หม่อมฉนั ได้ปลงพระชนมช์ พี พระบิดาผดู้ ำ�รงธรรม เปน็ พระราชาโดยธรรมเพราะเหตแุ หง่ ความเปน็ ใหญ่ ขอพระผมู้ พี ระภาค จงทรงรบั ทราบความผดิ ของหมอ่ มฉนั โดยเปน็ ความผดิ เพอ่ื สำ�รวมระวงั ตอ่ ไปด้วยเถดิ . มหาราช !   จรงิ ทเี ดยี ว ความผดิ ไดค้ รอบงำ� พระองค์ ซ่ึงเป็นคนเขลา คนหลง คนไม่ฉลาด พระองค์ได้ปลง พระชนม์ชีพพระบิดาผู้ด�ำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ แต่เพราะพระองค์ทรงเห็น ความผิดโดยเป็นความผิด แล้วทรงสารภาพตามเป็นจริง ฉะนนั้ เราขอรบั ทราบความผดิ ของพระองคไ์ ว้ กก็ ารทบ่ี คุ คล เห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำ� คืนตามธรรม ถึงความ สำ� รวมระวงั ตอ่ ไป นเ้ี ป็นความเจรญิ ในอริยวินัยของผนู้ นั้ . 165

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ลกั ษณะการเกี่ยวข้องกบั นกั บวช -บาลี ปฺ จก. อ.ํ ๒๒/๒๗๑/๑๙๙. ภิกษุทั้งหลาย !   นักบวชผู้มีศีล เข้าไปสู่สกุลใด มนษุ ยท์ งั้ หลายในสกลุ นน้ั ยอ่ มประสบบญุ เปน็ อนั มาก ดว้ ย ฐานะ ๕ อย่าง ฐานะ ๕ อย่างเปน็ อยา่ งไร คือ (1) ในสมยั ใด จติ ของมนษุ ยท์ ง้ั หลาย ยอ่ มเลอ่ื มใส เพราะไดเ้ หน็ นกั บวชผมู้ ศี ลี ซงึ่ เขา้ ไปสสู่ กลุ ในสมยั นน้ั สกลุ นั้น ชอื่ วา่ ปฏบิ ัตขิ ้อปฏบิ ตั ิทเี่ ป็นไปเพ่อื สวรรค์ (2) ในสมยั ใด มนษุ ยท์ งั้ หลายพากนั ตอ้ นรบั กราบ ไหว้ ใหอ้ าสนะแก่นักบวชผมู้ ีศีล ซึ่งเข้าไปสสู่ กลุ ในสมยั นั้น สกลุ นน้ั ชอ่ื วา่ ปฏบิ ตั ขิ อ้ ปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ ไปเพอ่ื การเกดิ ในสกลุ สงู (3) ในสมัยใด มนุษย์ทั้งหลาย กำ�จัดมลทินคือ ความตระหน่ีเสียได้ในนักบวชผู้มีศีล  ซึ่งเข้าไปสู่สกุล  ใน สมัยนน้ั สกุลน้ัน ชื่อวา่ ปฏบิ ตั ขิ อ้ ปฏบิ ตั ิทเี่ ปน็ ไปเพอื่ การได้ เกียรติศกั ดิ์อันใหญ่ (4) ในสมัยใด มนุษย์ท้ังหลาย ย่อมแจกจ่ายทาน ตามสติ ตามกำ�ลังในนักบวชผู้มีศีล ซ่ึงเข้าไปสู่สกุล ใน สมยั น้นั สกลุ นั้น ชื่อวา่ ปฏิบตั ิขอ้ ปฏบิ ตั ิทเ่ี ปน็ ไปเพ่อื การได้ โภคทรัพย์ใหญ่ 166

เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : เดรัจฉานวชิ า (5) ในสมยั ใด มนษุ ยท์ ง้ั หลาย ยอ่ มไตถ่ าม สอบสวน ย่อมฟังธรรมในนักบวชผู้มีศีล ซ่ึงเข้าไปสู่สกุล ในสมัยนั้น สกลุ นน้ั ชอ่ื วา่ ปฏบิ ตั ขิ อ้ ปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ ไปเพอ่ื การไดป้ ญั ญาใหญ่ ภิกษุทั้งหลาย !   นักบวชผู้มีศีล เข้าไปสู่สกุลใด มนษุ ยท์ ง้ั หลายในสกลุ นนั้ ยอ่ มประสบบญุ เปน็ อนั มาก ดว้ ย ฐานะ ๕ อยา่ งเหล่านีแ้ ล. 167

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ผ้จู ัดวา่ เป็นอบุ าสกจณั ฑาล -บาลี ปฺ จก. อ.ํ ๒๒/๒๓๐/๑๗๕. ภิกษุทั้งหลาย !   อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ยอ่ มเปน็ อบุ าสกผจู้ ณั ฑาล เศรา้ หมอง และนา่ รงั เกยี จ ธรรม ๕ ประการเปน็ อย่างไร คอื (1) เปน็ ผู้ไมม่ ีศรทั ธา (2) เป็นผทู้ ุศลี (3) เป็นผู้ถือโกตหุ ลมงคล1 เชอ่ื มงคล ไมเ่ ชอ่ื กรรม (4) แสวงหาผคู้ วรรบั ทักษิณาภายนอกศาสนานี้ (5) ทำ�การสนับสนุนในท่นี อกศาสนานั้น ภิกษุทั้งหลาย !   อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นอุบาสกผู้จัณฑาล เศร้าหมอง และน่ารงั เกยี จ. 1. มงคลภายนอกของสมณพราหมณเ์ หล่าอ่ืน 168

เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : เดรัจฉานวิชา ผู้จดั วา่ เปน็ อุบาสกรตั นะ -บาลี ปฺ จก. อํ. ๒๒/๒๓๐/๑๗๕. ภิกษุท้ังหลาย !   อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ยอ่ มเปน็ อบุ าสกรตั นะ อบุ าสกปทมุ อบุ าสกบณุ ฑรกิ ธรรม ๕ ประการเปน็ อยา่ งไร คอื (1) เปน็ ผมู้ ศี รัทธา (2) เปน็ ผ้มู ศี ลี (3) ไมเ่ ปน็ ผถู้ อื โกตหุ ลมงคล เชอ่ื กรรม ไมเ่ ชอ่ื มงคล (4) ไมแ่ สวงหาผคู้ วรรบั ทกั ษิณาภายนอกศาสนาน้ี (5) ทำ�การสนบั สนนุ ในศาสนาน้ี ภิกษุทั้งหลาย !   อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเหล่าน้ีแล ย่อมเป็นอุบาสกรัตนะ อุบาสกปทุม อุบาสกบณุ ฑรกิ . 169

พุทธวจน - หมวดธรรม การให้ทาน เป็นเหตุใหเ้ กดิ ทรัพย์ -บาลี อุปริ. ม. ๑๔/๓๗๖/๕๗๙. มาณพ !   บคุ คลบางคนในโลกนจ้ี ะเปน็ สตรี ก็ตาม บุรษุ กต็ าม ยอ่ มเป็นผู้ใหข้ ้าว น�ำ้ เคร่อื งนงุ่ ห่ม ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เคร่ืองลูบไล้ ท่ีนอน ที่อยู่ และประทีป โคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ เพราะกรรมนัน้ อนั เขาให้พรัง่ พรอ้ มสมาทานไว้ อยา่ งนี้ หากตายไป ไมเ่ ขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ ถา้ มาเปน็ มนษุ ย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลงั จะเป็นคนมโี ภคทรพั ย์มาก. 170

เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : เดรจั ฉานวิชา สงั คมเลว เพราะคนดอี ่อนแอ -บาลี ทกุ . อ.ํ ๒๐/๘๗/๒๘๔. ภิกษุท้ังหลาย !   สมัยใด พวกโจรมีก�ำลัง สมัยนั้น พระราชาย่อมเส่ือมก�ำลัง คราวน้ันท้ังพระราชาเองก็หมด ความผาสกุ ทจ่ี ะเขา้ ใน ออกนอก หรอื จะออกคำ� สง่ั ไปยงั ชนบท ชายแดน ถงึ แมพ้ วกพราหมณแ์ ละคหบดกี ห็ มดความสะดวก ท่ีจะเข้าใน ออกนอก หรือท่ีจะอ�ำนวยการงานนอกเมือง ข้อนฉี้ ันใด. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   สมยั ใด พวกภกิ ษเุ ลวทรามมกี ำ� ลงั สมัยน้ันหมู่ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักย่อมเส่ือมก�ำลัง คราวนั้น หมู่ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก จ�ำต้องเป็นผู้นิ่ง เงียบเชียบอยู่ใน ท่ามกลางสงฆ์ หรือถึงกับต้องไปอยู่ตามชนบทชายแดน ฉันนัน้ เหมือนกนั . ภิกษุทั้งหลาย !   ข้อนี้ย่อมไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ แกม่ หาชนทง้ั หลาย ไมเ่ ปน็ ไปเพอื่ ความสขุ เปน็ ความเสยี หาย แก่มหาชนเปน็ อันมาก และไม่เป็นไปเพ่ือความเกอ้ื กูล เพ่อื ความทุกข์ท้งั แกเ่ ทวดาและมนุษย์ทัง้ หลาย. 171

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทงั้ หลาย !   สมัยใด พระราชามกี ำ� ลงั สมยั นัน้ พวกโจรยอ่ มเสอ่ื มกำ� ลัง คราวนน้ั ท้งั พระราชาเอง ก็มีความ ผาสุกท่ีจะเข้าในออกนอก หรือที่จะออกค�ำสั่งไปยังชนบท ชายแดน แมพ้ วกพราหมณแ์ ละคหบดี กม็ คี วามสะดวกทจ่ี ะ เขา้ ในออกนอก หรอื ทจ่ี ะอำ� นวยการงานนอกเมอื ง ขอ้ นฉ้ี นั ใด. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   สมยั ใด ภกิ ษผุ มู้ ศี ลี เปน็ ทรี่ กั มกี ำ� ลงั สมยั นนั้ พวกภกิ ษเุ ลวทรามยอ่ มเสอ่ื มกำ� ลงั คราวนน้ั พวกภกิ ษุ เลวทราม จำ� ตอ้ งเปน็ ผู้นงิ่ เงียบเชยี บ อยู่ในท่ามกลางสงฆ์ หรือเปน็ พวกท่ตี ้องหลน่ ไปเอง ฉันนน้ั เหมือนกัน. ภิกษทุ ั้งหลาย !   ขอ้ นย้ี อ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชน์แก่ มหาชนทั้งหลาย ให้มหาชนมีความสุข เป็นความเจริญแก่ มหาชนเปน็ อนั มาก และเปน็ ไปเพอ่ื ความเกอ้ื กลู เพอ่ื ความสขุ ท้งั แก่เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย. 172