Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนาทั่วไป

Description: ศาสนาทั่วไป

Search

Read the Text Version

141 พวกเดก็ นกั เรียนจะร่ายรําไปตามเพลงจีนโบราณทีÉกําลงั บรรเลง ในมือถือไม้ยาวทีÉมีขนไก่ฟ้า เสียบปลาย โดยมีเจ้าหน้าทÉีคอยตะโกนบอกทา่ รําในแตล่ ะทา่ การร่ายรํานีจÊ ะร่ายรําไปจนครบ กระบวนทา่ จงึ จะเสร็จพิธี (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:135-139) เต๋ากับขงจือÊ ศาสนาขงจือÊ กบั ศาสนาเตา๋ มีคาํ สอนบางสว่ นทีÉเข้ากนั ได้ เชน่ แง่การยอมรับหลกั ของ ธรรมชาตจิ งึ ใชสั ญั ลกั ษณ์ร่วมกนั ได้ คือ หยินหยาง แตแ่ ตกตา่ งกนั แง่การดําเนินชีวิต ศาสนา เตา๋ สอนสงั คมให้ดําเนนิ ชีวิตด้วยความสงบสขุ อยา่ งโดดเดÉียว แตข่ งจือÊ ไมเ่ ห็นด้วย เพราะขงจือÊ สอนจริยธรรมเพืÉอใช้ชีวติ ทางโลก ขงจือÊ ผ้อู ายนุ ้อยกว่าเล่าจือÊ ประมาณ 50 ปี ได้เคยพบเลา่ จือÊ และได้รับคําตกั เตือน จากเลา่ จือÊ มใิ ห้ทนงหรือทะเยอทะยานเกินไป ซงÉึ ขณะนนัÊ ขงจือÊ อายุ 30 ปี กําลงั ห้าวหาญ แต่ เล่าจือÊ อายมุ ากแล้ว และเมÉือพบกันแล้วขงจือÊ ได้สรรเสริญเล่าจือÊ ให้ศิษย์ของตนฟังอย่างนอบ น้อมวา่ เลา่ จือÊ เปรียบเสมือนมงั กรทีÉเหินลมและฝ่ าเมฆไปสทู่ ้องฟ้า ซÉงึ ตนมีแตค่ วามชÉืนชมอยู่ อยา่ งมริ ู้เลือน เรÉืองการบชู าเซ่นไหว้วิญญาณ ขงจือÊ ตอบคําถามวา่ เรายงั ไมท่ ราบว่าจะรับใช้มนษุ ย์ ได้อยา่ งไร แล้วเราจะทราบถึงวธิ ีทÉีจะรับใช้ดวงวญิ ญาณทงัÊ หลายได้อยา่ งไรเลา่ เรÉืองความตาย ขงจือÊ ตอบวา่ เรายงั ไมท่ ราบเรืÉองชีวติ เลย แล้วเราจะทราบเรืÉองความตายได้อย่างไร และขงจือÊ ได้สอนหลกั ปฏิบตั ิวิญญาณและภตู ผีตา่ ง ๆ ว่า จงเคารพภตู ผีและดวงวิญญาณเถิด และจง อยใู่ ห้หา่ งไกลภตู ผีและดวงวิญญาณนนัÊ เรÉืองความดีและความสขุ เล่าจือÊ สอนว่า ความดีและความสขุ คือ การปฏิบตั ิหน้าทÉี แล้วย่อมเป็นไปเอง เมืÉอตนทําตนให้สอดคล้องกบั ธรรมชาติ แตข่ งจือÊ สอนว่า การทีÉจะบรรลุ ความดแี ละความสขุ ได้ต้องประพฤตดิ ี คอื ปฏิบตั ติ ามหน้าทีÉ คําสอนของศาสดาทงัÊ สองเป็นบคุ คลในสมยั และสงั คมเดียวกนั แตม่ ีความแตกตา่ งกนั คือ เลา่ จือÊ สอนให้ตระหนกั ในการปลอ่ ยตวั ให้เป็นไปตามธรรมชาติไมต่ ้องยึดถือจารีตประเพณี แตข่ งจือÊ สอนให้เคร่งครัดในนติ ธิ รรมเนียมประเพณี ซงÉึ เป็นทีÉถกู จริตของคนจีนมาก โดยมงุ่ การ บูชาเซ่นไหว้บวงสรวงบรรพบรุ ุษ คุณธรรมประจําตวั และการเคารพต่อผู้ปกครองทีÉเทÉียงธรรม (รศ. ดร. เดือน คําดี. 2541:111)

142 สัญลักษณ์ ในศาสนาขงจือÊ มีสญั ลกั ษณ์โดยตรง คือ รูปปันÊ รูปหลอ่ หรือรูปเขียนของขงจือÊ เอง ซÉึง ประดิษฐานอยู่ในศาล ส่วนสญั ลกั ษณ์อย่างอÉืนคือ รูปหยิน–หยางใช้ร่วมกบั ศาสนาเตา๋ และ บางครังÊ ก็ใช้รูปคนจีนแตง่ ตวั โบราณกําลงั ประสานมือแสดงความเคารวะตอ่ กนั ซงÉึ แสดงออกถึง วฒั นธรรมและมารยาททางสงั คม แตก่ รณีเมÉือจะทําพิธีกรรม ถ้าหาสญั ลกั ษณ์อÉืนไม่ได้ ก็ให้ ใช้แผน่ ปา้ ยจารึกนามของขงจือÊ แทนก็ได้เหมือนกนั (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:145-147) ฐานะปัจจุบัน ศาสนาขงจือÊ เคยรุ่งเรืองในประเทศไต้หวนั ได้มีพิธีกรรมให้ระลึกนกึ ถึงขงจือÊ ในฐานะ นกั ปราชญ์จีนผู้ยÉิงใหญ่แห่งชาติของตน ยงั ได้ส่งเสริมศาสนาและพิธีกรรมของขงจือÊ อยู่ตาม สมควร ถือเอาวนั เกิดของขงจือÊ คือวนทÉี 28 กนั ยายน เป็นวนั ครูของชาติ เป็นวนั หยดุ งาน ประจําปี แตค่ ําสอนของขงจือÊ ก็ได้เปลีÉยนการแสดงออก ในรูปของปรัชญาและหลกั จริยธรรม ไป เพราะคําสอนของขงจือÊ เน้นพิธีกรรมเป็นสําคญั มาก เมÉือไม่มีพิธีกรรมคําสอนก็พลอยไร้ รูปธรรม ปัจจบุ นั ศาสนิกทÉีปฏิบตั ติ ามคําสอนของขงจือÊ มกั จะผสมผสานกบั พิธีกรรมคําสอน ในศาสนาพทุ ธ ปัจจบุ นั ศาสนาขงจือÊ มีผ้นู บั ถือ 5.9 ล้านคน อย่นู อกประเทศจีนแผ่นดนิ ใหญ่ (รศ. ฟื นÊ ดอกบวั . 2539:180) ศาสนาชนิ โต (Shintoism) ชีวประวัตศิ าสนา ศาสนาชินโตตงัÊ แตส่ มยั ดงัÊ เดมิ ชาวญีÉป่ นุ มีความเคารพนบั ถือปฏิบตั ิสืบ ๆ ตอ่ กนั มา ประจําชาติ มีการรวบรวมความเชÉือ ธรรมเนียม พิธีการปฏิบัติและเรÉืองราวทีÉเป็นนิทาน โบราณต่าง ๆ เอาไว้ในคัมภีร์ศักดÍิสิทธÍิเรียกว่าบนั ทึกสิÉงโบราณ เป็นเรÉืองราวของเทพเจ้า ทงัÊ หลาย ประวตั ิศาสตร์ เทพนิยาย กําเนิดจกั รพรรดิองค์แรกญีÉป่ นุ มิได้เรียกสิÉงทÉีชาวญÉีป่ นุ นบั ถือทงัÊ ประเทศนันÊ ว่า ศาสนา เลย แต่เมÉือญีÉป่ ุนติดต่อกับจีน ได้รับพระพุทธศาสนาและ ศาสนาขงจือÊ เข้ามาผสมกบั ความเชืÉอดงัÊ เดมิ ของตนจึงเรียกรวมว่า ชิน – เต๋า (Shin - Tao) หรือชินโต แปลวา่ วิถีทางแห่งเทพเจ้า ภาษาญÉีป่ นุ เรียก กิมิ – โน – มิชิ ศาสนาชินโตไม่มี ศาสดาก่อตังÊ จัดอยู่ในประเภทพหุเทวนิยม บูชาเทพเจ้า เชÉือถือเวทมนต์ คาถา บูชา ธรรมชาติ บรรพบรุ ุษ หลกั ปฏิบตั ิทีÉสําคญั คือ ต้องมีความจงรักภกั ดีตอ่ เทพเจ้าและจกั รพรรดิ

143 ด้วยความบริสทุ ธÍิใจ มีหลกั ปฏิบตั ทิ Éีทําให้จิตใจสะอาดบริสทุ ธิÍ เมืÉอสินÊ ชีพจะไปสภู่ าวะเป็นอนั เดยี วกบั เทพเจ้า (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:256) บอ่ เกิดศาสนาชินโตมาจากประเพณีบชู าบรรพบรุ ุษ และการครองชีวิตโดยปฏิบตั ิตาม ทางของเทพเจ้าซÉงึ เทพเจ้าเหลา่ นีภÊ าษาญÉีป่ นุ เรียก กามิ เป็นเรÉืองเกÉียวกบั เทพนิยายลกึ ลบั ใน นิทาน และพงศาวดารของญีÉป่นุ มีเรืÉองเลา่ โดยยอ่ ว่า บนแผ่นดนิ และแผน่ ฟ้ามีมหาเทพ 2 องค์ พระนามวา่ อิซานากิ (Izanagi) เพศชายพระองค์หนงึÉ อิซานามิ (Izanami) เพศหญิงพระองค์ หนÉึง เทพทงัÊ 2 ทรงอยรู่ ่วมกนั ฉนั สามีภรรยา จนกําเนิดเกาะ 8 เกาะซึÉงเป็นแผ่นดนิ ญีÉป่ นุ ใน ปัจจบุ นั และเกิดเทพโอรสธิดามากมาย พระองค์เป็นบรรพบรุ ุษของเทพทงัÊ ปวง ประมาณ 80 ล้านองค์ ดงั นนัÊ การอย่รู ่วมกนั ฉันสามีภรรยาของเทพเจ้าทงัÊ 2 นนัÊ คือ ต้นเหตใุ ห้เกิดสรรพ สิÉงขนึ Ê ในโลก วนั หนึÉง มหาเทพทงัÊ 2 รับสงÉั พระธิดานามว่า อะมะเตระสโุ อมิ กามิ คือสุริยเทพี เสดจ็ มาสร้างเกาะญÉีป่นุ และทรงมอบให้เทพสกึ ิ โยมิ คือจนั ทรเทพเพศชาย เสด็จมาเป็นเพืÉอน พระธิดา ให้ชว่ ยจดั ระเบยี บในโลกญีÉป่นุ ขนึ Ê สรุ ิยเทพีกบั จนั ทรเทพทรงอยรู่ ่วมกนั ฉนั สามีภรรยา และทรงมีโอรสและธิดาสืบตอ่ มา ปนตั ตาองค์หนงึÉ นามว่า ยิม–มู หรือ ยิมม–ู เทนโน (Jimmu Tenno) เป็นจกั รพรรดอิ งคแ์ รกของชาวญÉีป่ นุ ซึงÉ เชืÉอกนั ตอ่ มาว่าพระองค์ได้รับของศกั ดÍสิ ิทธÍิ 3 ประการจากเทพเจ้าผ้เู ผ่าพนั ธ์ุ คือ กระจก ดาบ และเพชรนิลจินดา ซึÉงการครอบครองเครืÉอง ราชกกภุ ณั ฑ์นี Ê ได้ถือเป็นสญั ลกั ษณ์ของราชอํานาจและเป็นอาวธุ ปอ้ งกนั ตวั ของพระจกั รพรรดิ ตอ่ จากนนัÊ ก็เกิดลกู หลานสืบตอ่ เป็นลําดบั มา (รศ. ดร. เดือน คาํ ดี. 2541:112) หลักธรรมสาํ คัญ ในศาสนาชนิ โตมีหลกั ธรรมตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปดงั นี Ê หลักธรรมปฏบิ ัตเิ พÉือการดาํ เนินชีวติ 13 ประการ มีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. ให้สกั การะเคารพบรรพบรุ ุษ 2. กตญั sกู ตเวทีตอ่ ผ้วู ายชนม์ 3. บชู าปฏิบตั ติ อ่ ผ้สู งู อายกุ วา่ 4. จงรักภกั ดีตอ่ พระจกั รพรรดิ 5. ครูและอาจารย์คอื เทพบดิ ร 6. เมืÉอผ้ทู Éีเคารพถกู ดหู มินÉ ให้แก้แค้นให้ 7. ความกล้าหาญและไมก่ ลวั ตายคือเสบียงในสงคราม 8. องค์พระจกั รพรรดมิ ีสิทธÍิทกุ อยา่ งทีÉบดิ ามารดามีตอ่ บตุ ร 9. ไมค่ วรอยรู่ ่วมฟ้ากบั บคุ คลทÉีดหู มนÉิ ผ้ทู Éีตนสกั การะ 10. เมืÉอแก้แค้นไมไ่ ด้ให้ทําฮาราคีรีหรือคว้านท้องเสียดกี วา่ 11. วญิ ญาณเป็นของไมต่ าย

144 10. การตายเป็นการเปลÉียนเครืÉองแตง่ ตวั ใหมช่ วÉั ประเดีÌยวเดยี ว 13. สว่ นได้เสียของพระจกั รพรรดแิ ละประเทศชาตคิ อื สว่ นทีÉทกุ คนต้องรับผิดชอบ หลักธรรมคาํ สอนสาํ คัญบางประการ 10 ข้อ มีดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. ญÉีป่นุ เริÉมต้นด้วยการบชู าความงามของบปุ ผชาติ ลงท้ายด้วยการฆา่ ตวั ตาย 2. ความซÉือสตั ย์ ความเคารพ และความภกั ดีตอ่ ผ้ใู หญ่ เป็นคณุ ธรรมอนั สงู สดุ เหนือ คณุ ธรรมทงัÊ ปวง 3. ความภกั ดีตอ่ พระจกั รพรรดแิ ละเจ้านายของตน เป็นชีวิตอนั มีเกียรตสิ งู สง่ 4. ความดีงามทีÉเราต้องการ คอื การสืบสายกนั มาแหง่ บรรพบรุ ุษด้วยความภกั ดีความ เมตตาปรานี และความสามคั คีกนั 5. เดก็ และคนหนมุ่ ต้องนอบน้อมตอ่ ผ้ใู หญ่ในครอบครัว หญิงสาวต้องนอบน้อมคนแก่ และหญิงต้องเคารพชาย 6. จงรักและจงเป็นคนดีตอ่ มารดาบดิ าของตนเอง จงเมตตาปรานี จงสามคั คีระหว่าง ครอบครัวกบั ญาตพิ Éีน้อง จงซÉือสตั ย์ตอ่ เพืÉอน จงรักษาความประพฤตขิ องตนให้สภุ าพ และ กระเหม็ดกระแหม่ รักตวั มากเทา่ ใดจงรักคนอืÉนมากเทา่ นนัÊ 7. หญิงพงึ เคารพตอ่ ชาย ชายพงึ ซืÉอตรงตอ่ รัฐ บตุ รธิดาพงึ เคารพตอ่ มารดาบดิ าตน 8. ความจริงเป็นคณุ ธรรมเบือÊ งต้นและสดุ ท้ายของสิÉงทงัÊ ปวง ถ้าปราศจากความจริง คณุ ธรรมอยา่ งอÉืนก็ไมม่ ี 9. ใครพดู คําหยาบและทําชวัÉ แกท่ า่ น ทา่ นอยา่ ตอบเขาด้วยความชวัÉ มีอยอู่ ยา่ ง เดียวทีÉต้องทํา คอื การงานอนั ซืÉอสตั ย์เพืÉอเกียรตใิ นการงานของทา่ น 10. ดาบญÉีป่ นุ มีคมข้างหนงÉึ มีสนั ข้างหนึงÉ มงุ่ หมายเพืÉอใช้ประโยชน์ได้ 2 อยา่ ง คือ ฟันผ้ถู ือเองข้างหนงÉึ ในเมÉือเขามีความผิด และตีศตั รูอีกข้างหนงÉึ เมÉือเขารังแกเรา หลักธรรมอันเป็ นข้อปฏิบัตเิ พÉือความดีสูงสุด 4 ประการ ชึÉงชินโตศาสนิกชนทกุ คนจะต้องยดึ หลกั ปฏิบตั เิ พÉือความดีสงู สดุ ในศาสนาชินโต มีดงั ตอ่ ไปนี Ê คอื 1. ให้มีความคดิ เบกิ บาน 2. ให้มีความคดิ บริสทุ ธÍิสะอาด 3. ให้มีความคดิ ถกู ต้อง 4. ให้มีความคดิ เทÉียงตรง การปฏิบตั ใิ ห้ดวงใจมีสภาพดงั ได้กลา่ วมานนัÊ สามารถพามนษุ ย์ไปส่คู วามเป็นเทพเจ้า สมกบั ความเป็นเผา่ พนั ธ์ุแหง่ สวรรคไ์ ด้ (รศ. ดนยั ไชยโยธา. 2539:261-262) หลักธรรมเพÉือปฏิบัติต่อเทพเจ้า เป็นหลกั ธรรมเกีÉยวกบั ข้อปฏิบตั ิว่าด้วยเทพเจ้า บรรพบรุ ุษ และรัฐของชนิ โตนนัÊ มีบญั ญตั ไิ ว้ ดงั นี Ê

145 1. อยา่ ลว่ งละเมดิ นําÊ พระทยั ของเทพเจ้า 2. อยา่ ลืมความผกู พนั อนั มีตอ่ บรรพบรุ ุษ 3. อยา่ ลว่ งละเมดิ บญั ญตั ขิ องรัฐ 4. อยา่ ลืมความกรุณาอนั ลกึ ซงึ Ê ของเทพเจ้า เมÉือเราประสบโชคร้าย ความร้าย นนัÊ พระองคไ์ ด้มาชว่ ยให้หมดไป เมÉือมีความเจ็บป่วยพระองค์ได้มาชว่ ยให้เสÉือมคลายไป 5. อยา่ ลืมวา่ โลกเป็นครอบครัวอนั เดียวกนั 6. อยา่ ลืมขอบเขตจํากดั ของตวั ทา่ นเอง 7. ถ้าใครมาโกรธอยา่ โกรธตอบ 8. อยา่ เกียจคร้านในกิจการของตน 9. อยา่ เป็นคนตเิ ตียนคําสอน 10. จงคดิ อบุ ายให้เกิดความสขุ ใจทงัÊ ในปัจจบุ นั และอนาคต 11. จงปฏิบตั ติ อ่ บดิ ามารดาด้วยความเคารพ 12. จงปฏิบตั ติ นเป็นพีÉน้องของคนทงัÊ หลาย หลักคุณธรรมพืนÊ ฐานเพÉือปฏิบัติต่อเทพเจ้า ชินโตสอนให้นบั ถือเทพเจ้า เพราะ วิญญาณสว่ นหนงึÉ ของเทพเจ้าเกิดจากมนษุ ย์ จงึ ต้องนบั คอื 1. การนบั ถือเทพเจ้าในฐานะเป็นผ้สู ร้างโลก หรือจกั รวาลสงู สดุ และเป็นเทววงศ์แห่ง ชาวญีÉป่ นุ 2. การบชู าธรรมชาติ เพราะเป็นพืนÊ ฐานจิตใจทÉีสะอาดงาม 3. การบชู าผ้กู ล้าหาญ เพราะเป็นผ้กู ล้าหาญ คือ ผ้เู ทิดทนู ชาติ อทุ ิศชีวิตเพืÉอชาติ และวิญญาณของผ้เู สียสละอยา่ งกล้าหาญทกุ คน จะได้รับยกยอ่ งวา่ เป็นพระเจ้าด้วยกนั 4. การบชู าบรรพบรุ ุษ เพราะบรรพบรุ ุษของชาวญÉีป่ นุ สืบเชือÊ สายมาจากเทพเจ้า เป็น เหลา่ กอขององคเ์ ดียวกนั ความเป็นบรรพบรุ ุษจงึ ตดิ ตอ่ กนั มาเป็นสายเลือดเดียวกนั 5. การบชู าจกั รพรรดิ เพราะสมเดจ็ พระจกั รพรรดิเป็นผ้สู ืบเชือÊ สายมาจากดวงอาทิตย์ และสืบสายกนั มาโดยไมข่ าดตอนเลย ทรงเป็นโอรสของสวรรค์ สืบเชือÊ สายมาจากพระอาทิตย์ พระอํานาจตา่ ง ๆ ของพระจกั รพรรดิ ได้รับมอบมาจากพระอาทิตย์ ดงั นนัÊ อะมะเตระสโุ อมิ กามิ หรือสรุ ิยเทพบรรพบรุ ุษของชาวญีÉป่ นุ จึงได้รับการนบั ถือและทรงความศกั ดÍสิ ิทธÍิ ดงั พระ ราชโองการของพระจกั รพรรดิเมยีว่า พลเมืองทงัÊ หลายของเราจงรู้ ทกุ คนมีหน้าทÉีปกป้องและ ดํารงไว้ซÉงึ ความรุ่งโรจน์แห่งราชบลั ลงั ก์อนั ศกั ดืสิทธÍิอยู่บนสวรรค์ เป็นสนั ตติสืบตอ่ ไปชวÉั กาล เป็นนริ ันดร

146 หลักคุณธรรมพืนÊ ฐาน ของศาสนาชนิ โตมีกําหนดไว้ 4 ประการ คอื 1. ความกล้าหาญ คณุ ธรรมข้อนีตÊ ้องนํามาสอนแก่เดก็ ตงัÊ แตเ่ ยาว์วยั พอรู้ความได้ สอนไมใ่ ห้ยอมแพ้ตอ่ ความออ่ นแอ ให้กล้าหาญทÉีจะมีชีวิตอยหู่ รือตายได้ทนั ที เมÉือถึงคราวลกู เล็ก ๆ ต้องสามารถตอบคาํ ถามทีÉจะตายแทนพอ่ แมไ่ ด้ 2. ความขลาด ชินโตตเิ ตียนความขลาดว่าเป็นบาป ดงั นนัÊ จงึ มีคติว่า บาปทกุ อยา่ ง ทงัÊ ใหญ่และเล็ก อาจจะได้รับอภยั ด้วยการสํานกึ ผิด ยกเว้น 2 อยา่ ง คือ ความขลาดกบั การ ลกั ขโมย 3. ความจงรักภกั ดี ชินโตได้สอนให้จงรักภกั ดีตอ่ จกั รพรรดเิ ป็นอนั ดบั หนงึÉ ตอ่ มาคอื ครอบครัว สงั คม และผ้สู ืบสนั ดานตอ่ ไปภายหน้า 4. ความสะอาด ความเป็นคนไม่สะอาด ชินโตวา่ เป็นบาปเป็นความผิดตอ่ เทพเจ้า ผ้ทู ําตนให้หมดจดเป็นผ้เู คารพและสรรเสริญเทพเจ้า จากความเชÉือนี Ê การอาบนําÊ ในสงั คมญีÉป่นุ จงึ เป็นทงัÊ พิธีกรรมทําตนให้สะอาด และเป็น พิธีกรรมชําระบาปไปด้วย ซึงÉ ถือวา่ เป็นพิธีกรรมลอยบาปในความดแู ลของสรุ ิยเทพีทีÉทรงคอย ชว่ ยเหลือนําบาปเหลา่ นนัÊ ออกไปสทู่ ะเลหลวง (รศ. คณู โทขนั ธ์. 2537:140-142) หลักจริยธรรม ศาสนาชินโตไม่ได้กําหนดลงไปแนน่ อนวา่ ทําอะไร เป็นความดีหรือความชวÉั แตไ่ ด้กลา่ วไว้วา่ จติ ใจอนั ดงี ามมีลกั ษณะ 4 ประการ คือ 1. หวั ใจทีÉแจม่ ใส 2. หวั ใจทÉีบริสทุ ธÍิ 3. หวั ใจทีÉถกู ต้อง 4. หวั ใจทÉีตรง ซงÉึ สามารถอธิบายความหมายของเนือÊ หาได้วา่ หวั ใจทÉีแจม่ ใจยอ่ มฉายแสงทÉีแจ่มใส เหมือนดวงอาทิตย์ หวั ใจทีÉบริสทุ ธÍิยอ่ มผอ่ งแผ้วเหมือนเพชรสีขาวบริสทุ ธÍิ หวั ใจทีÉถกู ต้อง ยอ่ ม แนบแนน่ สนิทอย่กู บั ความยตุ ิธรรม หวั ใจทÉีตรงย่อมน่ารัก และปราศจากความยึดมนัÉ ในทางทีÉ ผิด ทงัÊ 4 ประการนียÊ ่อมเป็นอนั หนึÉงเดียวกบั เทพเจ้า ในคมั ภีร์นิฮอนคไิ ด้กล่าวไว้ว่า ผู้พดู ความจริงไม่มีอนั ตราย ผู้พดู ความเท็จจะต้องประสบความหายนะอยา่ งแน่นอนแท้ จงเว้น ความตะกละตะกลาม และสละความละโมบโลภมากเสีย การทําร้ายผ้อู ืÉนเป็นความชวัÉ ความ กล้าหาญเป็นการดีแท้ จงเว้นความโกรธเคืองและเว้นจากกิริยาท่าทางทÉีแสดงความโกรธเคือง อยา่ เป็นคนริษยา ดงั นี Ê (รศ. ดร. เดือน คําดี. 2541:115)

147 จุดมุ่งหมายสูงสุด ศาสนาชินโตแม้จะกลา่ ววา่ วิญญาณเป็นอมตะ คนตายนนัÊ เทา่ กบั การเปลีÉยนเครÉือง แต่งตวั ใหม่ แต่ชินโตก็มีการเซ่นสรวงดวงวิญญาณตามโอกาส นักบวชในศาสนาชินโตทํา พิธีกรรมเกีÉยวข้องเฉพาะเมÉือชีวิตยงั มีอยู่เท่านนัÊ ส่วนการทําพิธีเมืÉอตายแล้วนกั บวชชินโตไม่ เกีÉยวข้อง แตเ่ ป็นหน้าทÉีของพระในพระพุทธศาสนา ชีวิตในโลกนีจÊ ึงมีเพียงครังÊ เดียว ตายไป แล้วก็เป็นวิญญาณ สมั พนั ธ์กบั โลกนีโÊ ดยทางวิญญาณและวิญญาณนนัÊ อาจได้เลืÉอนชนัÊ ฐานะ สงู ขึนÊ เป็นเทพเจ้าได้ ในทีÉสุดอุดมการณ์อนั สูงสุด ในการจงรักภักดีต่อเทพเจ้าและการบูชา วิญญาณบรรพบุรุษ จุดหมายอยู่ทีÉเมÉือตายแล้วจะได้เป็นเทพเจ้า (รศ. ดร. เดือน คําดี. 2541:116) คัมภีร์ ศาสนา สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ (2540:118) ได้แบง่ คมั ภีร์ในศาสนาชนิ โตมี 2 ชนิด คอื 1. คมั ภีร์โกชิกิ (Kojiki) รวบรวมขึนÊ ประมาน พ.ศ. 1255 มีรากฐานอยกู่ บั ขนบธรรม เนียมประเพณีทÉีทอ่ งจํากนั มา เลา่ ถึงเทพนิยาย ตํานาน เรืÉองประวตั ศิ าสตร์เกีÉยวกบั ราชสํานกั แหง่ พระจกั รพรรดิ จากสมยั แหง่ เทพเจ้าทงัÊ หลายมาจนถงึ สมยั จกั รพรรดนิ ี สอุ โิ ก พ.ศ. 1171 2. คมั ภีร์นิฮอนคิ (Nihongi) ถือว่าเป็นวรรณคดีชนัÊ สงู ของชาวญีÉป่ นุ รวบรวมขึนÊ ในราช สํานกั พระจกั รพรรดิในปี พ.ศ. 1263 ได้บนั ทึกเรÉืองเทพเจ้า นิยายตา่ ง ๆ และข้อเท็จจริงทาง ประวตั ศิ าสตร์และยงั มีคมั ภีร์อÉืน ๆ ทÉีเป็นความพยายามทีÉจะอธิบายข้อความในคมั ภีร์ทงัÊ สอง นนัÊ ให้งา่ ยขนึ Ê และรวบรวมถ้อยคําและข้อปฏิบตั พิ ิธีกรรมโบราณทีÉมีนอกเหนือจากทีÉกลา่ วไว้ใน คมั ภีร์ทงัÊ สองดงั กลา่ วนี Ê เชน่ คมั ภีร์โกโคชอู ิ มนั โยชู ฟโู ดกิ ไตโฮระโย และเองคิ ซกิ ิ เป็นต้น พธิ ีกรรมของศาสนาของชินโต ผศ. วนิดา ขําเขียว (2541:268) ได้จําแนกไว้ดงั นี Ê 1. พธิ ีการไหว้เจ้า เป็นพิธีสําคญั โดยชาวญÉีป่นุ ต้องแตง่ ตวั ให้สะอาดเข้าไปโค้งคาํ นบั ตรงหน้าศาลเจ้า หลบั ตาตบมือเรียกดวงวญิ ญาณรับการกราบไหว้ หรือยืนสมาธินÉิงอยคู่ รู่หนึงÉ แล้วจงึ กลบั ออกไป นอกจากนนัÊ สดุ แตน่ กั บวชหรือผ้เู ฝา้ ศาลแนะนําให้ทํา มีอปุ กรณ์การบชู ามี เหล้าสาเก 4 ถ้วย ข้าวปันÊ 16 ก้อน เกลือ 16 ก้อน ปลาสด ผลไม้ทีÉออกผลครังÊ แรกของ ฤดกู าล สาหร่ายทะเล และส้ม เป็นต้น กอ่ นไปต้องชําระร่างกายให้สะอาดทกุ ครังÊ 2. พธิ ีฉลองเก็บเกÉียวในฤดูใบไม้ร่วง ซÉงึ ตรงกบั วนั ทÉี 23 พฤศจิกายน ในวนั นีแÊ ต่ เดมิ มาพระจกั รพรรดขิ องญÉีป่ นุ ทรงเป็นผ้ทู ําพิธี โดยเซน่ ไหว้ด้วยผลไม้และผลผลิตทÉีได้จากการ

148 เก็บเกีÉยวในครังÊ แรก แตป่ ัจจบุ นั นีนÊ ิยมกระทําตามท้องถÉินตา่ ง ๆ ในระหวา่ งเดือนตลุ าคมและ พฤศจกิ ายน โดยเน้นหนกั ไปในลกั ษณะทÉีเป็นเทศกาลขอบคณุ 3. พธิ ีชาํ ระล้างบาปเพÉือให้บริสุทธÍิ ซึÉงมีทงัÊ 3 ขนัÊ ตอน คือ ขนัÊ ทีÉ 1 พิธีเตรียมตวั ให้บริสทุ ธÍิ เป็นการเตรียมตวั ให้บริสทุ ธÍิก่อนทีÉจะประกอบพิธี เพืÉอชําระล้างมลทินทางกายโดย ไม่รับประทานอาหารและชําระล้างร่างกายให้สะอาด การชําระล้างมลทินนีเÊ รียกว่า พิธีมิโซกิ ขนัÊ ทÉี 2 พิธีชําระล้างให้บริสทุ ธÍิ เป็นพิธีชําระล้างมลทินและบาปข้างใน ประกอบพิธีโดย นกั บวช ซงÉึ นกั บวชนนัÊ จะประกอบพิธีนี Ê โดยแกวง่ ไม้กายสทิ ธÍิเหนือศรี ษะหรือเหนือวตั ถสุ ิÉงของทีÉ ต้องการชําระ ขนัÊ ทีÉ 3 พิธีถวาย เมÉือคนหนÉงึ คนใดผา่ นพิธีชําระข้างต้นมาแล้วทงัÊ กายและใจ เขาพร้อมทีÉจะมีส่วนร่วมในพิธีถวายสิÉงของและการอทุ ิศตน เขาจะถวายกิÉงไม้ทÉีศกั ดÍสิ ิทธÍิเป็น สญั ลกั ษณ์ของการเก็บเกีÉยวครังÊ แรก ตอ่ มาถวายข้าว เหล้าและอาหารตา่ ง ๆ พิธีกรรมของ ชินโตเป็นพิธีทีÉต้อนรับกามิจึงมีการแสดงดนตรีและเต้นรําด้วย ต่อมาจึงมีการอธิษฐาน พิธี ทังÊ หมดประกอบด้วยการสรรเสริญ การวิงวอนขอการพิทักษ์รักษา และขอพรสําหรับชีวิต ปัจจบุ นั ประเภทของศาสนาชนิ โต ศจ. เสฐียร พนั ธรังษี (2524:252) ได้แบง่ ชินโตออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ก๊กกะชินโต (State Shinto) ชินโตของรัฐ รัฐรับรองเป็นแบบอย่างทางราชการ จะ เปลีÉยนแปลงเป็นอยา่ งอืÉนไมไ่ ด้ 2. เรียวหะชินโต (Ryoha Shinto) เป็นของราษฎรแตกแยกออกไปหลายนิกายตา่ ง ๆ ถึง 13 นิกาย มีพิธีกรรมและบทบญั ญตั นิ บั ถือแตกตา่ งกนั ออกไป นักบวชศาสนาชินโต รศ. ดนยั ไชยโยธา (2539:259) ได้กล่าวว่า นกั บวชศาสนาชินโตตงัÊ แตม่ ีพระบรม ราชโองการของสมเด็จพระจักรพรรดิเมยีมา นักบวชทังÊ หมดเป็นคนของรัฐบาล ต้องเข้า โรงเรียนและศึกษาวิชาของนกั บวช ในสํานกั ชินโตวิทยาลยั และมหาวิทยาลยั ขององค์การ ชินโต มีหลกั สตู ร 2 ปี ศกึ ษาพิธีกรรม อกั ษรศาสตร์ และวรรณคดีชินโต นกั บวชบางพวก ได้รับเลือกจากนายทหารทีÉเกษียณอายรุ าชการแล้ว ซึงÉ ต้องมารับการศกึ ษาเพิÉมเตมิ อีกไมม่ าก นกั

149 ราชสํานกั มอบตําแหน่งหรือสญั ญาบตั รและพดั ยศให้แก่นักบวชตามรูปและสํานักทีÉ ปกครองอยู่ ตําแหน่งมีหวั หน้านกั บวช รองหวั หน้า นักบวชผู้ประกอบพิธี นกั บวชผู้ทําพิธี นกั บวชชินโตมีสมาคมคอยปฏิบตั งิ านตามทÉีรัฐบาลสงÉั มา และมอบให้ทํางานประจําเป็นต้นว่า คอยต้อนรับอวยพรให้แก่ผู้มาขอทําพิธีเกิด พิธีแต่งงาน พิธีสวสั ดิมงคลอÉืน ๆ และพิธีตาย นกั บวชได้รับคา่ เลียÊ งชีพจากรัฐบาลเป็นประจํา รัฐบาลมีอํานาจสงัÉ นกั บวชได้ สงัÉ ได้แม้กระทงัÉ ให้แตง่ คําสวดสง่ เสริมกิจการของรัฐบาล เมืÉอสงครามโลกครังÊ ทีÉ 2 ยตุ แิ ล้ว นกั บวชไม่ได้เป็น ข้าราชการ จงึ มีเสรีภาพในการปฏิบตั พิ ิธีกรรมได้ตามใจชอบ แตต่ ้องอยใู่ นทํานองคลองธรรม สัญลักษณ์ของศาสนา ในศาสนาชนิ โตมีสญั ลกั ษณ์ 2 อยา่ ง คอื 1. ประตปู ระกอบด้วยเสาไม้ 2 เสา ข้างบนมีคาน 2 อนั วางอยู่ เรียก โทรี หรือพอ ไร ถือกนั วา่ เป็นประตวู ญิ ญาณก่อนเข้าสศู่ าลเจ้า 2. เครืÉองราชกกธุ ภณั ฑ์ คือ กระจก เพชรและดาบ (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:113) ฐานะปัจจุบัน ศาสนาชนิ โตของชาวญีÉป่นุ โดยเฉพาะ นอกประเทศญÉีป่นุ ผ้นู บั ถือสว่ นใหญ่จะเป็นผ้มู ี เชือÊ สายญีÉป่ นุ ทีÉไปตงัÊ รกรากในประเทศนนัÊ ๆ เช่น ทÉีฮาวาย บราซิลและออสเตรเลีย เป็นต้น ชาวญÉีป่ นุ จะเข้าไปทีÉศาลเทพเจ้า ในฐานะของนกั ทอ่ งเทÉียวมากกว่าเข้าไปนมสั การด้วยความ เชÉือ แตค่ นแก่เฒ่าของญÉีป่ นุ ยงั คงสร้างศาลเทพเจ้าไว้สําหรับนมสั การ เป็นการส่วนตวั ให้เห็น อยทู่ วัÉ ไปด้วยการทําพธิ ีกรรมควบคไู่ ปกบั พระพทุ ธศาสนา ในฐานะทÉีชินโตเป็นรากฐานประเพณียงั คงมีความหมายตอ่ วิถีชีวิตของชนชาวญÉีป่ นุ ทÉี แสดงออกในเทศกาลฤดกู าลตา่ ง ๆ อยมู่ ากเช่นชาวประมง ชาวนาและชาวไร่ ยงั คงนมสั การ ขอพร และจดั พิธีขอบคณุ เทพเจ้าอย่ตู ามฤดกู าล ในฤดเู ก็บเกÉียวมีพิธีสําคญั ประกาศโองการ สรรเสริญเทพเจ้าทงัÊ หลายวา่ เนÉืองจากพระบารมี เมตตาและการค้มุ ครองได้ประทานรวงข้าว อนั มีผลสกุ เตม็ ดแี ล้ว ข้าพเจ้าจะขอถวายผลไม้ครังÊ แรกจํานวนหนึÉงพนั ผล และรวงข้าวเป็นอนั มากพร้อมทงัÊ เบียร์ใสเ่ ตม็ ไหเรียงรายไว้เป็นแถว ข้าพเจ้าขอถวายทานตอ่ เทพเจ้าทงัÊ หลายด้วย นําÊ หวานผลไม้และเมล็ดข้าว อีกทงัÊ ผลผกั ทีÉงอกงามขึนÊ ในนานีถÊ วายสิÉงทงัÊ หลาย ซงึÉ อยใู่ นท้อง ทะเลสีคราม ถวายเสือÊ ผ้าเนือÊ ละเอียด ข้าพเจ้าขอบชู าด้วยม้าขาว หมปู ่ าขาว และไก่ขาวเป็น พลีกรรม ดงั นีเÊ ป็นต้น ในด้านการเผยแผ่ศาสนาชินโตนันÊ องค์กรชินโตได้พยายามเผยแผ่

150 หลกั ธรรมในลกั ษณะวา่ ชินโตเป็นศาสนาธรรมชาติสากล ไม่เพียงแตเ่ ป็นวฒั นธรรมของชาว ญÉีป่ นุ เท่านนัÊ และพยายามทÉีจะอธิบายคําสอนให้เป็นทÉีสนใจของผ้อู Éืนด้วย โดยการยกเอา อํานาจจกั รวาลมาเป็นพลงั ชว่ ยเหลือชีวิต (สชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ. 2540:128-130) ศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroastrianism) ชีวประวัตศิ าสดา ศาสนาโซโรอสั เตอร์ มีโซโรอสั เตอร์เป็นองค์ศาสดา ได้เกิดขึนÊ ทÉีประเทศเปอร์เซียหรือ อิหร่านปัจจบุ นั ก่อนคริสต์ศกั ราชประมาณ 660 ปี โซโรอสั เตอร์มีชืÉอเดิมวา่ ซาราธุสตรา (Zarathustra) แปลวา่ ผ้เู ป็นเจ้าของอฐู เมืÉออายไุ ด้ 7 ปี ได้ไปอย่ใู นสํานกั ของนกั บวชใน ศาสนามากี (Magi) ซÉึงเป็นศาสนาดงัÊ เดิมของโซโรอสั เตอร์ เพืÉอศึกษาคําสอนและพิธีกรรม เมืÉออายุ 15 ปี สําเร็จการศกึ ษาแล้วออกแสวงหาสจั ธรรม วนั หนึงÉ เมÉืออายุ 30 ปี ได้พบ ปาฏิหาริย์ ณ ริมฝัÉงแมน่ ําÊ แหง่ หนึÉง โดยมีเทพโวฮู มานา (Vohu mana) มาปรากฏตอ่ หน้า ได้บอกว่า ซาราธุสตราจะได้เป็นตวั แทนของพระเจ้าในการเผยแผ่ศาสนาทีÉมีพระเจ้าแท้จริง เพียงองค์เดียว นามว่า อาหรุ ามสั ดา (Ahura mazda) ในช่วง 10 ปี ทÉีซาราธุสตราศกึ ษา ธรรมะจากพระเจ้า อาหรุ ามสั ดา นนัÊ ได้สาบานตอ่ พระเจ้าว่าจะเผยแผ่ศาสนามอบกายถวาย ชีวิตแก่พระองค์ตลอดชีวิต ตอ่ มาได้เทÉียวสงÉั สอนประชาชนอยู่เป็นเวลาหลายปี ได้พระเจ้าวิศ ตาสปา (Vishtaspa) จกั รพรรดเิ ปอร์เซียเลืÉอมใสมอบตนเป็นศาสนิก บํารุงศาสนาโซโรอสั เตอร์ เจริญรุ่งเรืองในเปอร์เซียตอ่ มา โซโรอสั เตอร์สินÊ ชีพเมÉืออายุ 77 ปี ถกู ฆา่ พร้อมด้วยสาวกเป็น อนั มาก ขณะทําพธิ ีกรรมอยใู่ นเทวสถานเพืÉอขอพรชยั ชนะแกป่ ระชาชนระหวา่ งสงคราม ทÉีพวก ตรุ าเนียนบกุ โจมตีอาณาจกั รเปอร์เซีย (ผศ. วนดิ า ขําเขียว. 2541:293) หลักธรรมคาํ สอนสาํ คัญ หลกั ธรรมในศาสนาโซโรอสั เตอร์ แบง่ ได้เป็น 2 ระดบั คือ 1. ธรรมขันÊ พืนÊ ฐานสาํ หรับชาวบ้าน เป็นธรรมขนัÊ เบือÊ งต้นเพÉือให้มนษุ ย์ได้เข้าใจใน พืนÊ ฐานทางจริยธรรมของศาสนา โดยเริÉมตงัÊ แตก่ ารมีความเข้าใจในพลงั อํานาจของธรรมชาติ เช่น ดิน นําÊ ลม ไฟ ซÉึงสามารถบนั ดาลคณุ -โทษให้แก่มนษุ ย์ คนบาปจึงได้แก่พวกทÉีทําให้ ดนิ นําÊ ลม ไฟ ไมบ่ ริสทุ ธิÍ นรกจงึ เป็นทÉีไปสําหรับคนเหล่านี Ê การทีÉจะทําให้มนษุ ย์สามารถ บรรลธุ รรมดงั กลา่ วได้ มนษุ ย์จะต้องเรÉิมตงัÊ แตก่ ารมีหลกั ปฏิบตั ทิ Éีดที งัÊ ในทางากย วาจา และใจ คือ มีความคิดดี พดู ดี และทําดี ดงั นนัÊ ในเวลาสวดมนต์พวกโซโรอสั เตอร์จะกล่าวอยู่เสมอ วา่ ตงัÊ แตบ่ ดั นีเÊป็นต้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความยึดมนัÉ ในความคิดทีÉดี คําพดู ทÉีดีและการกระทํา ทีÉดี ซงÉึ ต้องเป็นความคดิ ทÉีดีจริง ๆ คําพดู ทีÉดีจริงและการกระทําทีÉดจี ริง

151 นอกจากนียÊ งั มีหลกั ธรรมขนัÊ พืนÊ ฐานอืÉนอีก เช่น ความซÉือตรง การบงั คบั ใจตน การ บําเพ็ญพรหมจรรย์ ความยตุ ิธรรม ความสงสาร ความเมตตา การดแู ลรักษาดนิ และฝูงสตั ว์ การรู้จกั บริการผ้อู Éืน และเป็นผ้ใู ฝ่ หาความรู้ คณุ ธรรมเหล่านี Ê ทําให้ได้รับความเชÉือถือและเป็น ทีÉไว้วางใจได้ มีรูปแบบวถิ ีชีวิตทีÉมีลกั ษณะทÉีทําให้ชีวติ บริสทุ ธÍิและมี ความซÉือสตั ย์ 2. ธรรมขันÊ สูงสําหรับนักบวช ธรรมในระดบั นีเÊหมาะสําหรับนกั บวชทÉีต้องการชีวิต บริสทุ ธÍิ มีจําแนกไว้ดงั นี Ê ธรรม 5 ประการ ได้แก่ 1. เป็นผ้ถู ือพรหมจรรย์ 2. มีความเทÉียงธรรมทงัÊ กาย วาจา ใจ และสตั ว์ทงัÊ หลาย 3. มีความรู้เป็นทีÉเชÉือถือได้ 4. เป็นผู้ฉลาดในพิธีกรรม 5. อดทนต่อ ความชวÉั วินยั 10 ประการ ได้แก่ 1. มีชÉือเสียงดี เพÉือความดีของครูอาจารย์ 2. ไมม่ ีชืÉอเสียง ชวัÉ เพืÉอครูอาจารย์ 3. ไมท่ บุ ตี และไมก่ ลา่ วคําหยาบตอ่ ครูอาจารย์ 4. เชืÉอฟังและสอนตามครู อาจารย์ 5. ให้รางวลั แก่คนทําดี และลงโทษคนทําชวัÉ 6. ต้องต้อนรับผ้มู าหาด้วยกริยาอนั งาม 7. ห้ามประพฤตชิ วัÉ 8. สารภาพความชวÉั ทÉีตนกระทํา 9. ต้องรู้ความเคลืÉอนไหวของศาสนาและ ชว่ ยบาํ รุงศาสนา 10. ต้องภกั ดตี อ่ ผ้ปู กครองทงัÊ ฝ่ายอาณาจกั รและศาสนจกั ร หลักจริยธรรม ศาสนาโซโรอสั เตอร์มีหลกั คาํ สอนสําคญั เกีÉยวกบั จริยธรรม ซÉึงศาสดาโซโรอสั เตอร์สอน ไว้ว่า การกระทําดีนนัÊ แบง่ ออกได้เป็น 3 ประการ คือ การคดิ ดี การพดู ดี และการกระทําดี โดยลกั ษณะทงัÊ 3 ประการนีสÊ ามารถอธิบายในรายละเอียดได้ดงั นี Ê การคดิ ดี คือ การมีใจเอือÊ เฟื อÊ เผืÉอแผ่แก่คนทงัÊ ปวง เห็นอกเห็นใจเพืÉอนมนุษย์ในยาม ทกุ ข์ยาก ยนิ ดเี มÉือผ้อู ืÉนได้ลาภและมีความสขุ แสวงหาความรู้เพÉือขจดั ความไมร่ ู้ทีÉเป็นมารร้าย ในชีวิตมนษุ ย์ การพดู ดี คือ การพดู ความจริง ศาสดาโซโรอสั เตอร์สอนวา่ คนพดู เท็จนนัÊ อาจจะ หลอกลวงมนษุ ย์ด้วยกันได้ แต่ไม่สามารถหลอกลวงพระเจ้าได้ พระองค์ทรงทราบเสมอว่า ผ้ใู ดพดู คําเท็จ ผ้ใู ดพดู คําจริง ทรงลงโทษผ้ทู ีÉพูดคําเท็จ คนทÉีช่วยเหลือและสมาคมกบั คนพูด คําเทจ็ นนัÊ ด้วย เกÉียวกบั ความยตุ ธิ รรม และเมตตากรุณา โซโรอสั เตอร์ถือว่าเป็นธรรมสําคญั ทีÉต้องทํา ให้เกิดมีอยเู่ สมอ ถ้าเป็นศตั รูจงตอ่ ส้ดู ้วยความยตุ ธิ รรม ถ้าเป็นเพÉือนจงดําเนินการในฐานะเป็น

152 เพÉือนจงตอ่ ต้านศตั รูแม้ด้วยอาวธุ อยา่ กินอาหารจนกว่าคนทÉีหิวอยใู่ นสายตาของทา่ นจะได้กิน กอ่ น ชีวิตนีมÊ ีเพียงครังÊ เดยี วจดุ หมายของชีวิตคือสวรรค์ (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:295-297) พระเจ้าสูงสุดของศาสนา พระเจ้าผ้ยู ิÉงใหญ่และสงู สุด คือ พระเจ้าอาหรุ ามสั ดา พระองค์เป็นผ้สู ร้างและผู้รู้ทุก สิÉงทกุ อย่าง คงความบริสุทธÍิถาวรตลอดกาลนิรันดร พระองค์สามารถแบง่ ภาคเป็น 2 ภาค คือ พระเจ้าแห่งความดีงามและความสวา่ ง นามวา่ สเปนตามนั ยุ (Spenta mainyu) และ พระเจ้าแห่งความชวัÉ ร้ายและความมืด นามว่า องั กระมนั ยุ (Angra mainyu) หรือ อาหริมนั (Ahriman) ในการตอ่ ส้กู บั อํานาจของความชวัÉ ร้าย อาหรุ ามสั ดา เทพเจ้าแห่งแสงสวา่ งกบั อา หริมนั เทพเจ้าแหง่ ความมืด ถกู แยกออกจากกนั โดยความวา่ งเปลา่ แตท่ งัÊ สองก็คงความมีอยู่ เป็นนิรันดร อหริมนั มุ่งทําลายความสงบสขุ ทวÉั ไป เทพอาหุรามสั ดา จึงสร้างโลกทางวตั ถุขึนÊ ทรงสร้างไฟจากแสงสวา่ ง มีสีขาวเป็นทรงกลมมองเหน็ ได้จากระยะไกล ชีวติ หลังความตาย ในคมั ภีร์อเวสตะโซโรอสั เตอร์สอนว่า ก่อนทÉีจะพบกบั การต้อนรับในสวรรค์ วิญญาณ จะต้องข้ามสะพาน เรียกสะพานนนัÊ วา่ สะพานแหง่ การแก้แค้น จะมีหญิงสาวคนหนÉงึ ออกมา ต้อนรับ ถ้าคนนนัÊ ดําเนินชีวิตอย่างถกู ต้องบนโลก หากเป็นผ้ดู ําเนินชีวิตในทางทÉีผิดก็จะได้พบ กบั ยายแก่ทีÉนําเกลียดน่าขยะแขยง แล้ววิญญาณนนัÊ จะถกู นําไปส่สู วรรค์ และจํานําวิญญาณ ทีÉเลวลงนรก วิญญาณจะต้องเดินทางไปรับฟังคําพิพากษา ต้องปรากฏตอ่ หน้าเทพเจ้ามิธรา (Mithra) เทพเจ้าสราโอษา (Sraosha) และเทพเจ้ารัษนุ (Rushnu) และในทีÉสดุ วิญญาณก็ จะเดนิ ทางผา่ นขนัÊ ตอนอีกหลายขนัÊ ตอนทงัÊ นีแÊ ล้วแตก่ ารกระทําของเขา ถ้าเป็นคนดีความคดิ ดี วญิ ญาณก็จะเดนิ ทางไปถึงดวงดาว ถ้ามีวาจาดีวิญญาณก็จะเดินทางไปถึงดวงจนั ทร์ และถ้า ทําความดีวิญญาณก็จะเดินทางไปถึงดวงอาทิตย์ และเดินทางไปถึงสวรรค์และได้พบพระเจ้า อาหรุ ามสั ดา (รศ. ดร. เดอื น คาํ ดี. 2541:120) คัมภีร์ ศาสนา รศ. คณู โทขนั ธ์ (2537:94) กล่าวเอาไว้ว่า คมั ภีร์อเวสตะ (Avesta) เป็นคมั ภีร์ ศาสนาโซโรอสั เตอร์ แปลวา่ ความรู้แบง่ ออกเป็น 5 หมวด ดงั นี Ê 1. ยสั นะ (Yasna) เป็นพิธีกรรมและการบวงสรวงตอ่ พระเจ้า โดยแตง่ เป็นบทคาถา

153 เพืÉอสวดสรรเสริญคณุ และฤทธÍิของพระเจ้า พธิ ีการบชู าไฟ 2. วิสเปอรัด (Visperad) เป็นบทสวดบชู าบวงสรวงและอ้อนวอนเทพเจ้าตา่ ง ๆ ทาง ความรู้ เชน่ เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และแพทยศาสตร์ เป็นต้น 3. เวดิดดั (Vedidad) เป็นบทขบั ภตู ิผีปีศาจ และการทําสงครามระหวา่ งเทพเจ้าแห่ง ความมืด อหริมนั กบั เทพเจ้าแสงสว่าง อาหรุ ามสั ดา การตกนรกและการขึนÊ สวรรค์ รวมทงัÊ ระเบยี บพิธีกรรมของนกั บวชและประวตั ศิ าสตร์ของโลกและวิญญาณ 4. ยธั ส์ (Yaths) เป็นบทกวีสําหรับสวดบชู าและสรรเสริญทตู สวรรค์ และเป็นคมู่ ือของ นกั บวช 5. โขรท–อเวสต (Khorda avesta) เป็นบทสวดยอ่ คมั ภีร์อเวสตะใช้เป็นคมู่ ือสําหรับศา สนกิ โซโรอสั เตอร์ใช้สวดมนตป์ ระจําวนั พธิ ีกรรม รศ. ดร. เดอื น คาํ ดี (2541:122) กลา่ ววา่ ในศาสนาโซโรอสั เตอร์มีพธิ ีกรรมสําคญั คอื 1. พิธีปฏิญาณตนเข้านบั ถือศาสนาโซโรอสั เตอร์ เมืÉออายคุ รบ 7 ปี 10 ปี และจะ ได้รับเสือÊ และกฤชซงึÉ ใช้เป็นเครืÉองประดบั กายตลอดชีวติ 2. พธิ ีกรรมบริสทุ ธÍิ คอื การทําให้บริสทุ ธิÍ 3 แบบ คือ พทั ยบั (Padyab) การ ชําระล้าง นาหนั (Nahan) การอาบ และบารีสนมั (Baresnum) เป็นพิธีกรรมทÉีกระทํา ในโอกาสและสถานทÉีพิเศษ 3. พธิ ีบชู าไฟเป็นสิÉงศกั ดสÍิ ทิ ธÍิมาก จะต้องรักษาไว้มใิ ห้ดบั ตลอดเวลาและจะต้องเก็บ เชือÊ ไฟอย่างน้อยวนั ละ 5 ครังÊ ผ้สู วดบชู าไฟจะต้องสวดวนั ละ 5 ครังÊ นอกจากนนัÊ แล้วยงั มี พธิ ีกรรมการตดิ ไฟใหม่ พิธีกรรมการใช้ไฟทําความบริสทุ ธÍิและพิธีกรรมจดั ไฟใหม่ เป็นต้น ใน คมั ภีร์กลา่ วไว้วา่ เป็นการจําเป็นทีÉจะต้องรักษาอาคารบูชาไฟไว้ให้ดี และคอยระวงั มิให้ไฟดบั ได้ สÉงิ ทÉีไมส่ ะอาดไมบ่ ริสทุ ธิÍอยา่ เอาใสเ่ ข้าไปในไฟและจะต้องให้สตรีทีÉมีฤดอู ยหู่ า่ งจากทÉีบชู าไฟ ออกไป 3 ก้าว ดงั นี Ê 4. พธิ ีเกÉียวกบั การตาย เมÉือมีคนตายตามประเพณีของโซโรอสั เตอร์จะนําสนุ ขั ตวั หนงÉึ ซÉึงมีตา 4 ตา คือมีจดุ ทÉีเหนือตาข้างละจดุ มาไว้ใกล้ ๆ ศพ นําสนุ ขั มามองศพวนั ละ 5 ครังÊ ภายหลงั กระทํา ครังÊ แรกแล้ว จะนําไฟมาไว้ในห้องทีÉศพอยู่ จะต้องรักษาไฟไว้ไม่ให้ดบั จนครบ 3 วนั จึงย้ายศพไปไว้ในหอคอยแหง่ ความเงียบ กระทําการย้ายศพในเวลากลางวนั และทิงÊ ศพไว้ให้เป็นเหยÉือนกแร้ง เมืÉอนกแร้งจดั การศพเสร็จแล้ว ก็จะกวาดกระดกู ลงไปยงั บริเวณบอ่ ทีÉ

154 อยู่ตรงกลางหอคอย เมืÉอลว่ งไปได้ 4 วนั วิญญาณก็จะเดินทางไปส่ปู รโลก ปรากฏตวั ตอ่ หน้าเทพเจ้าเพÉือพิจารณาพิพากษาตอ่ ไป ทงัÊ นีเÊ นืÉองจากโซโรอสั เตอร์ ถือว่าการทําแผน่ ดินให้สกปรกเป็นบาป ศพมนษุ ย์ทÉีตาย จะทงัÊ ไว้ทีÉไหนก็ก่อให้เกิดความสกปรกแผน่ ดิน จึงห้ามมิให้ฝังบนแผ่นดนิ เมÉือฝังก็ไม่ได้ เผาก็ ไมไ่ ด้ จะทิงÊ ไว้เฉย ๆ ก็ไมไ่ ด้ เพราะวิญญาณจะไม่ออกจากร่าง วิธีทีÉถกู ต้อง คือ ให้สตั ว์กิน เป็นอาหารสตั ว์นนัÊ ก็คือ นกแร้ง สัญลักษณ์ ในศาสนาโซโรอัสเตอร์ นิยมใช้รูปศาสดาโซโรอัสเตอร์และคบไฟในกระถางเป็น เครืÉองหมาย เพราะในศาสนานีบÊ ชู าไฟในฐานะเทพเจ้งแหง่ แสงสวา่ ง ฐานะปัจจุบัน ศาสนกิ โซโรอสั เตอร์มีอยปู่ ระมาณ 250,000 คน มีการปฏิบตั ศิ าสนกิจในชีวติ ประจํา อยู่อย่างมนัÉ คง มีการแตง่ งานกันในกล่มุ ผู้นบั ถือศาสนาโซโรอสั เตอร์และเปิดกว้างต้อนรับคน นอกศาสนา กลุ่มโซโรอสั เตอร์ทีÉอพยพไปตงัÊ ถิÉนฐานในประเทศอÉืนก็ได้ร่วมมือกนั ตงัÊ ศนู ย์เผย แผศ่ าสนของตนขึนÊ ในประเทศนนัÊ ๆ เช่น ทีÉรัฐโอเรกอนทÉีนิวยอร์คทีÉชิคาโก ทีÉบอสตนั และทÉี ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ทางยุโรปมีทÉีประเทศองั กฤษ ฝรัÉงเศส เป็นต้น (รศ. ฟื นÊ ดอกบวั . 2539:87) ศาสนายวิ หรือยูดาย (Judaism) ชีวประวัตศิ าสนา ศาสนายิวหรือยดู าย ผ้กู ่อตงัÊ คอื อบั ราฮมั บรรพบรุ ุษของชาวเฮบรู ณ เมืองอรู ์ (Ur) แคว้นคาลเดีย บริเวณแผน่ ดินแถบอา่ วเปอร์เซียปัจจุบนั ก่อนคริสต์กาลประมาณ 1500 ปี อบั ราฮมั บตุ รของเตราห์ (Terah) บรรพบรุ ุษของชนเผ่ายิวได้เป็นผ้นู ําเผา่ เซมิติก ซงÉึ ได้สงÉั สอน ลกู หลานและคนของตนให้ยอมรับนบั ถือพระเจ้าองค์เดียว และเริÉมทําพิธีสหุ นตั (พิธีตดั หนงั ห้มุ ปลายองคชาตขิ องชาย เพืÉอเป็นพนั ธสญั ญาระหวา่ งมนษุ ย์กบั พระเจ้า) ตอ่ มาอบั ราฮมั มีลกู กบั เมียชืÉอไซนบั 2 คน คือ อิชมาเอล (Ishmael) อิศฮาด (Isaac) และอิศฮาดมีลกู 12 คน คนหนึÉงชÉือ จาคอบ (Jacob) ได้สงัÉ สอนพวกของตนตามแบบบรรพบรุ ุษ คือ ให้ทกุ คนมีความ มนÉั คงในพระเจ้าองค์เดยี ว ซงึÉ เป็นประเดน็ สําคญั แหง่ การนบั ถือพระเจ้าสงู สดุ องค์เดียวของพวก

155 เฮบรู และบตุ รของจาคอบชืÉอว่า โยเซฟเป็นคนฉลาดมากเป็นทÉีอิจฉาของพีÉชาย ได้ถกู ขายไป ให้กบั ขนุ นางไอยคปุ ตห์ รืออียิปต์ไปเป็นทาส และได้กลายเป็นผ้สู ําเร็จราชการอย่ใู นประเทศนนัÊ โยเซฟได้ให้ญาตไิ ปอยทู่ ีÉไอยคปุ ตพ์ วกเฮบรูจงึ อยไู่ อยคปุ ตแ์ ละมีลกู หลานกนั มาก ตอ่ มาสินÊ สมยั โยเซฟแล้ว ได้รับการกดขีÉอย่างทาสจากกษัตริย์ฟาโรห์แหง่ อียิปต์ ถกู บงั คบั ใช้งานให้สร้างปิรา มิดอยา่ งทารุณ (รวมเวลาทÉีอยใู่ นไอยคปุ ต์ 430 ปี) โมเสส หลานของโยเซฟจึงพาพวกเฮบรู เฉพาะผ้ใู หญ่ 6 แสนคน เด็กอีกตา่ งหากหนีออกจากอียิปต์ เหตกุ ารณ์นีจÊ งึ มีการระลึกถึงและ ฉลองกนั อย่างใหญ่โตสืบตอ่ กนั มาทกุ ปี เรียกวา่ เทศกาลอพยพ (Passover) ในเทศกาลอพยพ จะมีการจดั พิธีกรรม เพÉือฉลองอิสรภาพและปฏิบตั กิ ิจทางศาสนาทีÉหลอมใจชาวเฮบรูทงัÊ หลาย ให้เป็นหนึÉงเดียวกนั เรียกพิธีนีวÊ ่า พธิ ีปัสคา (Pasca) ซÉึงเป็นพิธีทีÉทกุ คนต้องกินขนมปังไม่มี เชือÊ ชําระบ้านให้สะอาด กินเนือÊ ลกู แกะปิงÊ อายหุ นÉงึ ขวบตวั ผู้ และกินผกั ขมเพÉือระลึกถึงชีวิต อนั ขมขืÉนตลอดการเป็นทาส ประธานจะเลา่ เหตกุ ารณ์เพÉือสร้างศรัทธากระต้นุ ให้ชาวเฮบรูเกิด ความตระหนกั ในความเป็นนําÊ หนึÉงใจเดียว มีความสามคั คี และอดทนต่อสู้อปุ สรรคเพÉือก้าว ไปสู่จุดมุ่งหมายอันเดียวกัน ได้อพยพข้ามทะเลแดงเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย และขุนเขา ได้ ผ่านอาณาจกั รบาบิโลเนียน ผ่านเขตเมโสโปเตเมียเข้าสู่บริเวณลุ่มแม่นําÊ ไนล์ เข้าเขต ปาเลสไตน์ได้รับความลําบากมาก และเกิดโรคระบาดแก่สัตว์เลียÊ ง ทุกคนหมดหวัง เกิด ปัÉนป่ วนในกลุ่มคนเหล่านนัÊ โมเสสชีแÊ จงอย่างไรก็ไมฟัง โมเสสจึงขึนÊ ไปติดต่อกบั พระเจ้าบน ภูเขาไซไน เป็นเวลา 40 วนั แล้วลงมาพร้อมกบั ก้อนหิน 2 ก้อนและบญั ญัติ 10 ประการ อันจารึกอยู่ทÉีก้อนหินนันÊ เมÉือทุกคนเห็นดงั นันÊ ก็เชืÉอและสงบ การอพยพได้ไปอาศยั อยู่ใน แผน่ ดนิ ของชาวปาเลสไตน์ ก่อนเข้าไปเขาได้ประกาศให้ทกุ คนทราบว่า เขาพบพระเจ้าและได้ ทําสญั ญากบั พระองค์ โดยทีÉพระเจ้าจะประทานแผ่นดนิ สญั ญาให้ และทีÉนีคÊ ือแผน่ ดินสญั ญา และบญั ญตั ิ 10 ประการเป็นวถิ ีดําเนินชีวติ ในระยะนนัÊ ดงั นี Ê 1. สเู จ้าจะต้องไมบ่ ชู าพระเจ้าองคอ์ Éืนตอ่ หน้าเรา 2. สเู จ้าจะต้องไมห่ ลอ่ รูปเปรียบของพระเจ้าทงัÊ หลาย 3. สเู จ้าอยา่ ออกพระนามของพระเจ้าอยา่ งไมค่ วร 4. สเู จ้าจงระลกึ ถงึ วนั สะบาโตถือเป็นวนั บริสทุ ธÍิ ทํางานหกวนั วนั สะบาโตทÉีเจด็ 5. สเู จ้าจงให้เกียรตแิ ก่บดิ ามารดาของเจ้า 6. สเู จ้าอยา่ ฆา่ คน 7. สเู จ้าอยา่ ลว่ งประเวณีผวั เมียเขา 8. สเู จ้าอยา่ ลกั ทรัพย์

156 9. สเู จ้าอยา่ เป็นพยานเท็จใสร่ ้ายเพÉือนบ้าน 10. สเู จ้าอยา่ โลภครัวเรือนของเพืÉอนบ้าน อยา่ โลภภรรยาของเพÉือนบ้าน หรือทาส ทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิÉงใด ๆ ซงÉึ เป็นของเพÉือนบ้าน บญั ญตั ิ 10 ประการนี Ê ถือวา่ เป็นจริยธรรมของเผ่าเฮบรูทีÉเร่ร่อนในระยะแรกเนÉืองจาก เป็นผ้เู คร่งครัดในการบชู าพระเจ้าองค์เดียวจึงได้ชืÉอวา่ อิสราเอล หมายถึง ผ้ชู นะ, ผ้มู นÉั คงใน พระเจ้า (รศ. ฟื นÊ ดอกบวั . 2539:48-57) โมเสส ได้นําบญั ญตั ิ 10 ประการมาประกาศแก่ชาวยิววา่ เป็นเทวโองการของพระเจ้า ทีÉทกุ คนต้องเชืÉอและถือปฏิบตั อิ ยา่ งเคร่งครัดประมาณ 1300–1200 ปี ก่อน ค.ศ. ชาวยิวหลงั จากเร่ร่อนไปถึงลุ่มแม่นําÊ จอร์แดน ได้ส้รู บกบั ชาวคานาอนั เจ้าของถÉินเดิม ได้รับชยั ชนะจึงได้ พากันตงัÊ รกรากครอบครองและรวบรวมชาวยิวทงัÊ หมดตงัÊ เป็นอาณาจกั รขึนÊ มีกษัตริย์ปกครอง เรÉิมตงัÊ แตซ่ าอลู ตอ่ ด้วยดาวิด (David) ยคุ นีเÊป็นยคุ ทองยากทÉีชนชาตินีจÊ ะลืมได้ ตอ่ มาโซโลมอน (Solomon) เป็นชว่ งทีÉเจริญยิÉงกวา่ กษัตริย์ดาวิด เพราะพระองค์ทรงเป็นนกั ปราชญ์ผ้ยู ิÉงใหญ่ และทรงราชธรรมเสมอ ครันÊ สินÊ กษัตริย์โซโลมอน ชนชาติเฮบรูแตกเป็นกลมุ่ เล็กกลมุ่ น้อยเป็น ทาสของอาณาจกั รบาบโิ ลเนียน เปอร์เซีย กรีก โรมนั และมหาอํานาจอÉืน ๆ อีก จนกระทงÉั ปี ค.ศ. 1947 สหประชาชาตจิ งึ ประกาศตงัÊ ประเทศอิสราเอลขนึ Ê (รศ.ดร. เดือน คําดี. 2541:125) หลักความเชÉือพืนÊ ฐาน 10 ประการ รศ.ดร. เดือน คาํ ดี (2541:125) กลา่ ววา่ ศาสนายิวถือหลกั ความเชÉือพืนÊ ฐาน ดงั นี Ê 1. พระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าสงู สดุ แตเ่ พียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอืÉนนอกจาก พระองคท์ รงเป็นผ้สู ร้างโลกมนษุ ย์และสรรพสงÉิ ในเอกภพ เป็นองค์แห่งความดี ยตุ ิธรรม ความ รัก และปัญญา ทรงบนั ดาลให้เกิดเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ในประวตั ศิ าสตร์ ทรงควบคมุ เอกภพให้ ดาํ เนนิ ไปตามนําÊ พระทยั ของพระองค์ 2. กฎหมายของพระเจ้า คือ กฎหมายสงู สดุ ทีÉแท้จริง แสดงให้ปรากฏในพระคมั ภีร์ และทสั มดุ ทกุ ประการ วา่ ด้วยการปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม และชีวิตประจําวนั ไมม่ ีใครจะ ปฏิเสธกฎหมายสงู สดุ นีไÊ ด้ 3. พระเจ้าทรงเลือกสรรชนชาตอิ สิ ราเอลให้เป็นผ้แู ทนพระองค์ เพÉือจะนํามนษุ ยชาติ ไปหาพระองค์ ชาวอิสราเอลทุกคนจึงมีหน้าทÉีเป็นพระต้องดํารงชีวิตให้อย่ใู นความชอบธรรม และบริสทุ ธÍิทกุ ประการ

157 4. เอกภาพทางประวตั ิศาสตร์แสดงให้เห็นพระประสงค์ และนโยบายของพระเจ้าใน การลงโทษและให้รางวลั แกม่ นษุ ย์วา่ แตล่ ะครังÊ พฒั นาไปสสู่ ภาวะทีÉดีขนึ Ê เพÉือไปสอู่ าณาจกั รของ พระเจ้า 5. ศาสดาพยากรณ์ เป็นผ้แู ทนทÉีแท้จริงของเทพเจ้า คําทํานายของศาสดาพยากรณ์ ศกั ดÍิสิทธÍิเป็นการแสดงพระประสงค์ของพระเจ้าทีÉตกั เตือนสงÉั สอนมนษุ ย์ให้รู้สกึ ผิดชวÉั และให้ โอกาสกลบั ใจใหม่ 6. เมืÉอมนษุ ย์ตาย พระเจ้าจะตดั สินพิพากษาด้วยความยุติธรรม จะลงโทษคนบาป ประทานพรแก่คนดี ชําระบาปให้บริสทุ ธÍิเพืÉอรอรับแผน่ ดนิ ของพระเจ้าในวนั สินÊ โลก 7. พระเจ้าจะเสดจ็ มาพพิ ากษาโลกในวนั สินÊ โลก จะทําลายล้างคนชวÉั ให้หมดไป แล้ว ตงัÊ อาณาจกั รอนั บริสทุ ธÍิในโลกใหม่ 8. พระเมสสอิ าห์ (Messiah) คือบตุ รของพระเจ้า บางทีเรียกบตุ รของมนษุ ย์จะเสด็จ มาปราบศตั รูของพระเจ้าและชว่ ยผ้ทู ÉีซÉือสตั ย์ตอ่ พระองคใ์ ห้พ้นจากทกุ ข์ทรมาน จะทรงปกครอง โลกด้วยสนั ติภาพและความรักทÉีแท้จริง เพราะฉะนนัÊ ให้มนษุ ย์เตรียมตวั ไว้รับพระองค์ด้วยการ ดาํ รงชีวิตให้บริสทุ ธÍิ 9. การถือปฏิบตั ิตามขนบธรรมเนียมประเพณีตงัÊ เดิม ซึÉงระบไุ ว้บนพระคมั ภีร์เป็นสิÉง สําคญั ทÉีจะชว่ ยควบคมุ ชีวติ มนษุ ย์ให้อยใู่ นความบริสทุ ธÍิตามประสงค์ของพระเจ้า 10. ชาวยิวต้องดํารงชีวิตในความบริสทุ ธÍิ ตามหลกั ปฏิบตั วิ า่ ด้วยสิทธิ 6 ประการคือ 1. สิทธิในการครอบครองชีวิต 2. สิทธิเกีÉยวกบั ทรัพย์สนิ 3. สทิ ธิเกÉียวกบั การประกอบอาชีพ 4. สทิ ธิเกีÉยวกบั การแตง่ กาย 5. สิทธิเกÉียวกบั การตงัÊ บ้านทีÉอยอู่ าศยั 6. สิทธิแหง่ บคุ คลซงึÉ รวมถึงสิทธิในการพกั ผอ่ นและเสรีภาพสว่ นบคุ คล หลักธรรมสาํ คัญ รศ. ดนยั ไชยโยธา (2539:303-305) กลา่ ววา่ คาํ สอนในศาสนายวิ มี ดงั นี Ê 1. กฎบัญญัติ 10 ประการ ซงÉึ ครอบคลมุ ไปทงัÊ ด้านศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ และ สงั คม เป็นรากฐานของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบงั คบั วินยั และศลี ข้อห้ามตา่ ง ๆ 2. เรÉืองสร้างโลกและชีวิต โลกนนัÊ ดงัÊ เดมิ มีแตค่ วามมืด พระเจ้าเป็นผ้สู ร้างสรรพสิÉง และสตั ว์ในโลก โดยลําดบั ดงั นี Ê วนั ทÉี 1 ทรงสร้างกลางวนั และกลางคนื วนั ทÉี 2 ทรงสร้างนําÊ อากาศ และสวรรค์

158 วนั ทÉี 3 ทรงสร้างแผน่ ดนิ วนั ทีÉ 4 ทรงสร้างดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดวงดาว วนั ทÉี 5 ทรงสร้างสรรพสตั ว์ วนั ทีÉ 6 ทรงสร้างมนษุ ย์ วนั ทีÉ 7 คอื วนั เสาร์เป็นวนั พกั ผอ่ นและนมสั การพระเจ้า พร้อมกบั เนรมิตฟ้า ดิน โลก สÉิงตา่ ง ๆ ขึนÊ ในโลก รวมทงัÊ พืชพนั ธ์ุสตั ว์ตา่ ง ๆ และ มนษุ ย์ขึนÊ ไว้ พระเจ้าทรงสร้างมนษุ ย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมแหง่ ชีวิตเข้าทางจมกู ให้มี ชีวิตหายใจเข้าออก มนษุ ย์จงึ เกิดขนึ Ê เป็นจติ วิญญาณมีชีวิตอยทู่ รงสร้างมนษุ ย์คนแรกเป็นชาย เรียก อาดมั และมนษุ ย์ผ้หู ญิงคนแรกจากซีโครงซ้ายของชาย เรียกว่า เอวา ตงัÊ แตบ่ ดั นนัÊ มา อาดมั กบั เอวา จึงกลายเป็นมนษุ ย์คแู่ รกของโลกและเป็นบรรพบรุ ุษของมนุษย์ทงัÊ ปวง และให้ อยใู่ นสวนเอเดน โดยไม่แก่ ไม่เจ็บ ไมต่ าย มีเทวดาพวกหนÉงึ เรียกว่า ซาตาน เป็นหวั หน้าได้ คดิ ทรยศไมข่ นึ Ê ตอ่ พระเจ้า มีความริษยามนษุ ย์เพราะเห็นพระเจ้าโปรดปรานมนษุ ย์มาก จงึ ยใุ ห้ อาคมั อิวากินผลแอปเปิลÊ ต้นทีÉพระเจ้าห้ามมิให้กินว่า อย่าแตะต้องเฉพาะต้นนี Ê ฉะนนัÊ จะแก่ เจบ็ ตาย เกิดทกุ ข์ ซาตานยวุ า่ ไมจ่ ริงเลย ถ้ากินแล้วจะรู้ดชี วÉั เหมือนพระเจ้า ทงัÊ สองเชืÉอจึงกิน แล้วเกิดความร◌ู ◌ส้ กึ ตา่ ง ๆ เช่นความอายเป็นต้น พระเจ้าทรงทราบแล้ว กริวÊ มาก ทรงสาป ให้มนษุ ย์ต้องแก่ เจบ็ ตาย ต้องกิน ต้องได้รับทกุ ข์ 3. หลักจริยธรรม จริยธรรมระหว่างมนษุ ย์กบั พระเจ้าและระหวา่ งมนษุ ย์ตอ่ มนษุ ย์ ด้วยกนั นนัÊ คมั ภีร์กล่าวไว้ ดงั นี Ê จงเกรงกลวั พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า จงปฏิบตั ิและนบั ถือ พระองค์ จงสาบานด้วยพระนามของพระองค์ ผ้สู งัÉ สอนทÉีดีทีÉสดุ คือจิตใจ ครูทีÉดีทีÉสุดคือเวลา หนงั สือทีÉดีทÉีสดุ คือโลก เพืÉอนทÉีดีทีÉสุดคือพระเจ้า เกีÉยวกบั ญาติพÉีน้อง พระคมั ภีร์กลา่ ว ถ้าพÉี น้องของเจ้ามายืมของ เจ้าอยา่ ได้คิดเอาดอกเบียÊ จะยืมเงินทองหรือเครืÉองกระยาหาร สิÉงหนึงÉ สงÉิ ใดก็อยา่ คดิ เอาดอกเบียÊ จากเขาแตค่ นตา่ งชาตยิ ืมของเจ้า ก็คิดเอาดอกเบียÊ ได้ แตพ่ Éีน้องของ เจ้าอยา่ คดิ เอาดอกเบียÊ เลย การปฏิบตั ิต่อคนยากจน หรือคนรับจ้าง คมั ภีร์กล่าวไว้ว่า คนรวยเก็บพระเจ้าไว้ใน กระเป๋ า คนจนเก็บพระเจ้าไว้ในหวั ใจ และว่า เจ้าทงัÊ หลายข่มขีÉลกู จ้างทีÉเป็นผ้ยู ากจนซึÉงเป็น พวกพ้องพีÉน้องของเจ้าหรือคนตา่ งชาติ ซÉงึ อยใู่ นเขตแดนแผน่ ดินของเจ้า พอถ้วนวนั ทําการนนัÊ เจ้าจงให้คา่ จ้างนนัÊ ก่อนตะวนั ตก (เพราะเขาเป็นคนจน และหวงั ในใจคา่ จ้างนนัÊ ) กลวั เขาจะ ฟ้องร้องตอ่ พระยะโฮวา พระเจ้าของเจ้า และจะเป็นความบาปแกเ่ จ้า การรักษาความยตุ ธิ รรม คมั ภีร์ได้กล่าวไว้วา่ เจ้าทงัÊ หลายอยา่ เห็นแก่หน้าผ้ใู ดในการ พิพากษาจงฟังท่านผู้น้อยผู้ใหญ่เหมือนกนั เจ้าทงัÊ หลายอย่ากลวั ผ้ใู ด เพราะการพิพากษานนัÊ เป็นของพระเจ้า ถ้าหากว่าเป็นเหตใุ ห้เกิดอนั ตรายประการใด ก็ให้วินิจฉัยดงั นี Ê คือ ชีวิตแทน

159 ชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า ไหม้แทนไหม้ แผลแทนแผล รอยตี แทนรอยตี ดงั ข้อความตอนหนึงÉ วา่ พระยะโฮวาตรัสแก่โมเสสว่า จงพาคนทÉีดา่ แช่งนนัÊ ออกไป ข้างนอกทÉีหยดุ พกั และให้คนทงัÊ ปวงทีÉได้ยนิ วางมือของตนลงบนศีรษะคนนนัÊ และให้คนทงัÊ ปวง ทÉีประชมุ นนัÊ เอาก้อนหินขว้าง และเจ้าจงบอกแกพ่ วกอสิ ราเอลวา่ ผ้ใู ดจะแชง่ พระเจ้าของตน ผู้ นนัÊ ต้องรับโทษของเขา และผ้ดู า่ แชง่ พระนามพระยะโฮวา ต้องฆา่ ผ้นู นัÊ เสียเป็นแท้ บรรดาคนทีÉ ประชมุ จะเอาหินขว้างเขาให้ตาย คนแขกเมืองก็ดี หรือคนทีÉเกิดในแผน่ ดินก็ดี ทีÉแชง่ พระนาม พระเจ้า ต้องประหารชีวิตผ้นู นัÊ เสีย ถ้าผ้ใู ดฆ่ามนษุ ย์ต้องฆ่าผ้นู นัÊ เสีย ถ้าผ้ใู ดฆ่าสตั ว์เดรัจฉาน ผ้นู นัÊ ต้องใช้สÉิงนนัÊ ให้สตั ว์แทนสตั ว์ ถ้าผ้ใู ดกระทําผ้พู ิการ ต้องกระทําให้ผ้นู นัÊ เป็นเช่นเดียวกนั ให้หกั แทนหกั ตาแทนตา ฟันแทนฟัน เขากระทําให้ผ้อู ืÉนพิการอย่างใด ก็จะต้องกระทําให้เขา พิการอยา่ งนนัÊ ความเคารพในบดิ ามารดานนัÊ ถือวา่ สําคญั ทÉีสดุ คมั ภีร์กลา่ ววา่ บตุ รคนใดทีÉเป็นคนชวÉั ยอ่ มได้รับโทษดงั ข้อความวา่ ถ้าผ้ใู ดมีบตุ รชายทÉีมีใจแข็งดือÊ ดงึ ไม่เชืÉอฟังคําสอนของบิดาและ มารดาของตน ครันÊ บดิ ามารดาได้ตีสงัÉ สอนเขาแล้ว เขายงั มิฟัง บดิ ามารดาจะต้องจบั เขา พา มายงั พวกผู้เฒ่าผู้แก่เมืองของตนว่า บตุ รชายของเราคนนีเÊ ป็นคนใจแข็งดือÊ ดงึ ไม่เชืÉอถ้อยฟัง คาํ ของเรา เป็นคนตะกละ และเป็นคนเมาสรุ า แล้วคนทงัÊ ปวงในเมืองนนัÊ ต้องเอาหินขว้างคน นนัÊ ให้ถึงตาย ข้อห้ามเกีÉยวกบั การรับประทานเนือÊ สตั ว์ คมั ภีร์ระบวุ า่ เจ้าทงัÊ หลายอย่ากินของอนั เป็น มลทิน สตั ว์เหลา่ นีซÊ งึÉ เจ้าทงัÊ หลายกินได้ คอื แกะ แพะ เนือÊ แพะป่ า เนือÊ กวาง เนือÊ สมนั เนือÊ ทราย และเลียงผา และสตั ว์ทงัÊ ปวงทÉีแยกกีบออกเป็นสองและเคียÊ วเอือÊ ง เจ้าทงัÊ หลายกินได้แต่ บรรดาสตั ว์ทีÉเคียÊ วเอือÊ ง หรือมีกีบแยกออกทีÉกินไม่ได้ คือ อฐู กระตา่ ย ด้วยสตั ว์เหลา่ นีเÊ คียÊ ว เอือÊ งได้ แตไ่ มม่ ีกีบแยกออกเป็น 2 กีบ มนั เป็นสตั ว์ทีÉไม่สะอาด และหมดู ้วย เพราะหมมู ีกีบ แยกออกเป็น 2 แตไ่ มไ่ ด้เคียÊ วเอือÊ ง มนั จงึ เป็นสตั ว์ไมส่ ะอาด จุดมุ่งหมายสูงสุด เนืÉองจากคติความเชืÉอถือ และความหวงั ผู้มาโปรด ทําให้ชาวยิวมนÉั ใจในคติปรโลก เกÉียวกบั ดวงวิญญาณทÉีมาพวั พนั อยกู่ บั ชีวิตทÉีตายแล้วจะต้องกลบั ฟื นÊ คืนชีพมาเกิดใหมใ่ นภพ ใหมอ่ ีก และบาปอนั บคุ คลหนÉึงทําแล้วยอ่ มต้องมีผลตอ่ สงั คมต้องรับผลร่วมกนั เรียกวา่ บาป กําเนิด ดงั นนัÊ ศาสดาพยากรณ์จึงมีความสําคญั มากทีÉจะเป็นผู้คอยกําหนดชะตากรรมของ สงั คมต้องมีพระผ้ไู ถบ่ าป (Messiah)

160 การกระทําของมนษุ ย์จะต้องได้รับคําพิพากษา ผ้กู ระทําดคี อื เชืÉอในพระเจ้าจะมีผ้นู ํา ไปสสู่ วรรคอ์ ยกู่ บั พระเจ้า ผ้กู ระทําความชวÉั คือปฏิเสธพระเจ้าจะต้องไตส่ ะพานลงนรก สวรรค์ทÉี จะไปมีอยู่ 7 ชนัÊ เรียกว่าสวรรค์แหง่ อทุ ยาน เอเดน (Heaven of Eden) สถานทีÉอนั เตม็ ไป ด้วยความสขุ สว่ นนรกมี 7 ชนัÊ เป็นทÉีทรมานคนบาปชวÉั นิรันดร (รศ.ดร. เดือนคาํ ดี. 2541:131) คัมภรี ์ศาสนา คมั ภีร์ไบเบลิ เก่า (Old Testament) เป็นคําจารึกประวตั แิ ห่งการสร้างโลกตามคตินิยม ของชาวยิวโบราณทีÉนบั ถืออํานาจของพระยะโฮวา ว่าเป็นพระเจ้าผ้สู ร้างจกั รวาลและสรรพสิÉง ประกอบด้วยบทบญั ญตั คิ วามกระจดั กระจายของชาติ คาํ สงัÉ สอนของบรรดาศาสดาพยากรณ์ ตา่ ง ๆ ทÉีชาวยิวได้รวบรวมไว้เป็นคมั ภีร์จารึกด้วยภาษายวิ หรือเฮบรูโบราณ มีอยทู่ งัÊ หมด 39 คมั ภีร์ แบง่ ออกเป็นภาคหรือหมวดใหญ่ 3 หมวด คอื 1. โตราห์ (Torah) หรือบทบญั ญตั ิ (Law) ประกอบด้วยหนงั สือ 5 คมั ภีร์แรกของ คมั ภีร์เก่า คือบทปฐมกาล (Genesis) บทอพยพเคลÉือนที (Exodus) บทเลวีนิติ (Leviteus) บทกนั ดารวิถีหรือการนบั จํานวนคนมากน้อยของอิสราเอล (Numbers) บทเฉลยธรรมบญั ญตั ิ Deuteronomy เรÉิมเรืÉองตงัÊ แตก่ ารสร้างโลก เรÉืองของโมเสส บทบญั ญัติ 10 ประการของ โมเสส ทีÉตราขึนÊ เพืÉอเป็นเจ้าผู้ยÉิงใหญ่ คมั ภีร์ตอนนีเÊ ป็นบทบญั ญัติสําคญั ตอ่ ชีวิตชาวยิวมาก ทีÉสดุ 2. โปรเฝต (Prophet) หรือศาสดาประกาศก ซÉงึ ประกอบด้วยหนงั สือ 3 เลม่ คือ Joshua, Isaiah และ Jeremiah เป็นเรืÉองเกีÉยวกบั ความหมายของศาสดาพยากรณ์ คําสงัÉ สอนของศาสดาพยากรณ์ และประวตั ิศาสตร์สมยั ทÉีชาวเฮบรูอพยพเข้าสดู่ นิ แดนชาวคานาอนั จนถึงสมยั ทีÉตกเป็นทาสของชาตอิ Éืน 3. ไวติงÊ ส์ (Writings) หรือวรรณกรรม ซงÉึ ประกอบด้วยหนงั สือ 2 เล่ม คือ Psalms และ Proverbs เป็นเรÉืองเบ็ดเตล็ดเกÉียวกบั ประวตั ศิ าสตร์ บทกวี ภาษิต ปรัชญา และบท สวดรวมมหากาพย์ทีÉยิÉงใหญ่ ทีÉมีชÉือบทเพลงของกษัตริย์โซโลมอน (Song of Solomon) ซงÉึ มี ข้อความทÉีแสดงปรัชญาของชีวิต ความรักและความเป็นไปของเพศ นอกจากนีแÊ ล้วยงั แสดง แนวทางปฏิบตั ใิ ห้พ้นทกุ ข์ทรมาน นอกจากนีมÊ ีภาคผนวก ซงึÉ เป็นคําอธิบายของคมั ภีร์เก่าได้เรียกวา่ ทลั มดุ (Talmud) มี ความหมายวา่ ศึกษา ในคมั ภีร์หรือภาคผนวกนี Ê ประกอบด้วย 2 ตอน ตอนแรก เรียกว่า Mishnah เป็นเรÉืองเกÉียวกบั กฎหมายบ้านเมือง กฎหมายสมรส กฎหมายมรดกความสมั พนั ธ์

161 ในสงั คม กฎหมายเกีÉยวกบั พิธีกรรม กฎหมายครอบครัว แบบแผนแหง่ พิธีกรรม และตอนหนึงÉ เรียกวา่ Gemara มีความหมายว่า บทเรียน เป็นคําอธิบาย ส่วนแรกเป็นตํารา กฎหมายทÉี นกั ศกึ ษาใช้เรียนในปัจจบุ นั (ผศ. วนิดา ขําเขียว. 2541:279-280) พธิ ีกรรม ผศ. วนิดา ขําเขียว (2541:287-289) กลา่ ววา่ ในศาสนายวิ มีพธิ ีกรรมสําคญั ดงั นี Ê 1. พิธีวนั ซะบาโต (Sabbath) คือวนั ทีÉเจ็ดของสปั ดาห์ ถือเป็นวนั บริสทุ ธÍิ ห้ามทํา กิจกรรมใด ๆ ทกุ ประการ ใช้เวลาทงัÊ หมดเป็นวนั พกั ผอ่ น สวดมนต์อธิษฐานภาวนา การอา่ น คมั ภีร์นมสั การและขอบคณุ พระเจ้า 2. พิธีปัสคา (Pesach) เป็นพิธีกรรมสําคญั เกิดในสมยั ของโมเสส เมืÉอคืนวนั ก่อนทีÉ ชาวยิวจะอพยพออกจากอียิปต์ พระเจ้าได้สงัÉ ให้ชาวยิวฆ่าแกะ และทําอาหารรับประทานกบั ขนมปัง ไมม่ ีเชือÊ และให้รับประทานให้หมดในวนั เดียว ไม่ให้เหลือค้างเอาไว้ แล้วทบุ หม้อไห เครÉืองครัวหมด ให้เอาเลือดแกะปา้ ยไว้ทีÉหน้าประตู เพราะคืนนนัÊ พระเจ้าจะส่งทตู มรณะมาฆา่ ทกุ คนทีÉไม่ใช่ชาวยิว คือ ผ้ทู ีÉไมม่ ีเลือดแกะทาไว้ทีÉประตู ประตใู ดมีเครืÉองหมายด้วยเลือดแกะ ดงั กลา่ ว ทตู มรณะก็จะข้ามไปจงึ เรียกวา่ ปัสคา แปลว่า ข้ามไป ชาวยิวฉลองวนั นีใÊ ช้เวลา 8 วนั ในวนั สดุ ท้ายทกุ คนร้องขนึ Ê พร้อมกนั วา่ ปีหน้าพบกนั ทÉีเยรูซาเลม็ 3. พิธีฉลองปีใหม่ ทÉีเรียกว่า ร็อช ฮชั ชานาฮ์ (Rosh Hashanah) อยรู่ ะหว่างวนั แรก และวนั ทÉีสองของเดือนตชิ รี คอื เดือนกนั ยายนถงึ ตลุ าคม มีการสวดมนต์และฉลองกนั ด้วยขนม หวาน เพืÉอให้ปีใหญ่ทีÉถึงนีไÊ ด้หวานสดชืÉนและได้รับสÉิงสมหวงั 4. พิธีวนั ชําระบาป เรียกวา่ ยอม คปิ บรู ์ ถือเป็นวนั ศกั ดÍิสิทธÍิทีÉสดุ ในรอบปีของยิว ทกุ คนยกเว้นคนป่ วยและเด็ก ต้องอดอาหารและนําÊ วนั นี Ê ตงัÊ แตต่ อนคÉําของวนั ทีÉ 9 ถึงตอนคํÉาของ วนั ทีÉ 10 แห่งเดือน ติชรี (Tishre) และหยดุ งานทกุ ชนิด อทุ ศเวลาให้แก่การเคารพบชู า เช่น สวดมนต์และอภยั บาปตอ่ กนั ในตอนสินÊ สดุ ก็เป่ าเขาแกะอนั เป็นนิมิตหมายการปลดเปลือÊ งตน ให้พ้นจากบาปและการกลบั คืนดีกบั พระเจ้า 5. พิธีชาวอู อท (Shavuot) หรือพิธีฉลองพืชผลครังÊ แรก อย่ใู นช่วงเดือนพฤษภาคมถึง มิถนุ ายน เรียกเดือนสวิ นั (Sivan) เป็นการฉลองให้กบั การเก็บเกีÉยวพืชผลในไร่ครังÊ แรก ชาวยิว จะตบแตง่ สถานทีÉนมกั าร (Synagogue) และบ้านเรือนอย่างสวยงามมาก โดยใช้ดอกไม้และ ต้นไม้มาประดบั อยา่ งเตม็ ทีÉ เพืÉอแสดงความอดุ มสมบรู ณ์ทีÉพระเจ้าได้ประทานมาให้

162 6. พิธีกรรมเข้าสหุ นตั กระทําเมÉือเดก็ ชายมีอายุ 6 วนั พวกเด็กจะถกู นําเข้าไปในทÉี ประชมุ แล้วผ้ทู ําสหุ นตั ซึÉงเรียกว่า โมเฮล (Mohel) นนัÊ จะทําการขลิบหนงั ห้มุ ปลายองคชาติ ในขณะนนัÊ ก็มีการสวดมนตใ์ ห้เดก็ ด้วย จงึ จะถือวา่ เดก็ นนัÊ ได้พ้นบาป นิกายศาสนา รศ.ดร. เดอื น คําดี (2541:131) ได้จําแนกนกิ ายในศาสนายวิ ไว้มี 4 นกิ าย คอื 1. นกิ ายออร์ธอดอกซ์ (Orthodox) นบั ถือศาสนาเป็นแบบประเพณีนยิ ม โดยมีมขุ นายก เป็นหวั หน้าเน้นความศกั ดสÍิ ทิ ธÍิของคมั ภีร์โตราห์ และกฎหมายทลั มดุ อย่างเคร่งครัดตาม ตวั อกั ษร ถือวินยั ข้อบงั คบั 613 ข้อ รักษาชีวิตทงัÊ ทางร่างกายและจิตใจไว้ให้บริสทุ ธÍิ จํากัด อาหารบางประเภท พยายามดํารงชีวิตอยู่อย่างบรรพบรุ ุษทุกประการ ไม่มีการเปลีÉยนแปลง ประเพณีโบราณ ถือว่าประเทศอิสราเอลเป็นแผ่นดินสญั ญาและมาตภุ ูมิของตนทีÉพระเจ้าได้ ทรงประทานแล้ว 2. นิกายปฏิรูป (Reform) ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนสมยั ใหม่ถือวา่ คมั ภีร์และกฎหมาย รวมทงัÊ ประเพณีตา่ ง ๆ ย่อมเปลีÉยนแปลงแก้ไขปรับปรุงได้ แปลคมั ภีร์ออกเป็นภาษาพืนÊ เมือง และภาษาตา่ ง ๆ ได้เลยและตีความให้เข้ากบั กาลสมยั ยกเลิกข้อห้ามหรือข้อปฏิบตั ิโบราณทีÉ ขดั แย้งกบั ชีวติ สมยั ใหม่ ยน่ ยอ่ พิธีกรรมให้กะทดั รัด เลิกพิธีสงั เวยบชู าสมยั โบราณและการร้อง เพลงในโบสถ์ ไม่เชืÉอในการเสด็จมาของพระเมสิอาห์ และการสร้างประเทศอิสราเอลใหม่ เพราะถือวา่ ประเทศทÉีตนเกิดก็คือมาตภุ มู ิของตน 3. นิกายคอนเซอร์เวตีฟ (Conservative) เป็นนิกายทÉีพยายามเดินทางสายกลาง ระหวา่ งนิกายแรก คือ ถือว่าศาสนายิวเป็นแก่นสําคญั ของชีวิตชาวยิวทกุ คน ต้องช่วยรักษา ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณไว้ให้มากทีÉสดุ ส่วนใดล้าสมยั ก็คอ่ ย ๆ ปรับปรุงแก้ไขภายใน กรอบของกฎหมาย 4. นิกายรีคอนสตรักชนÉั (Reconstructionism) เป็นนิกายทÉีแยกตวั จากนิกายคอน เซอร์เวตีฟ ระหวา่ ง ค.ศ. 1920 – 40 ได้รับแรงบนั ดานอิทธิพลจากปรัชญาลทั ธิปฏิบตั ินิยม (Pragmatism ) และลทั ธิธรรมชาตนิ ิยม (Naturalism) ของสหรัฐอเมริกา เป็นพวกหวั รุนแรง ถืออิสระเสรีในการนบั ถือศาสนา และอนโุ ลมให้ปรับปรุงแก้ไขศาสนาให้เข้ากบั ชีวิตสมยั ใหมไ่ ด้ สัญลักษณ์ ศาสนายิว ใช้สญั ลกั ษณ์ คือ เชงิ เทียน 7 กิÉง แตป่ ัจจบุ นั ใช้รูปสามเหลีÉยมซ้อนกนั 2

163 รูป เป็นดาว 6 แฉก ซงÉึ เป็นตราเครÉืองหมายประจําของกษัตริย์ดาวิด และเป็นเครÉืองหมายใน ผืนธงชาตอิ สิ ราเอลด้วย นอกจากนีแÊ ล้วชาวยิวได้ถือว่า มหาวิหาร ณ กรุงเยรูซาเล็มทÉีกษัตริย์ โซโลมอนทรงสร้างขึนÊ ก่อนคริสตศกั ราช 900 ปีเป็นเครÉืองหมายศกั ดÍิสิทธÍิ ขณะนีเÊหลือแตซ่ าก กําแพงเรียกกําแพงร้องไห้ (Wailing Wall) เป็นสถานทีÉชาวยวิ ทวัÉ โลกตา่ งหลงÉั ไหลกนั ไปไหว้ถือ ว่ากําแพงนีเÊ ป็นสญั ลกั ษณ์แห่งความเป็นเอกภาพของชนชาติยิว ชาวยิวจะจบู กําแพงนีแÊ ล้วก็ ซบศรี ษะกบั กําแพงร้องไห้ เพืÉอรําลกึ ถงึ ความยงิÉ ใหญ่ของชนชาตยิ วิ ในอดีตโดยเฉพาะในวนั ศกุ ร์ ฐานะปัจจุบัน ชาวยิวเป็นชาตทิ Éีมีความเข้มแขง็ อดทน จงึ สามารถพลกิ ทะเลทรายให้เป็นพืนÊ ดนิ ทีÉอดุ ม สมบรู ณ์ขนึ Ê ในศตวรรษทÉี 20 ยิวมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาก รวมทงัÊ ในด้านเศรษฐกิจ อตุ สาหกรรม การทหาร และเกษตรกรรม แตใ่ นทางจิตใจยงั มนัÉ คงอย่กู บั ความเชืÉอทางศาสนา ทีÉมีพระเจ้าองค์เดียว แม้จะมีชาวยิวบางกลมุ่ เชน่ กล่มุ เมนเดลซอน ในเยอรมนั ได้พยายาม ปฏิรูปศาสนา และในประเทศยโุ รปและสหรัฐอเมริกามีการอนญุ าตให้ชายหญิงนงÉั สวดมนต์ใน โบสถ์รวมกนั โดยไมต่ ้องมีผ้าคลมุ ศีรษะ มีการเข้าโบสถ์ในวนั ศกุ ร์เย็น มีการนําดนตรีเข้ามาใช้ กบั การสวดมนต์แบบเดียวกบั คริสต์ ปัจจุบนั เป็นศาสนาประจําชาติอิสราเอลมีพลเมืองทÉีเป็น ศาสนกิ จํานวน 16.6 ล้านคนกระจายอยทู่ วÉั ทกุ ทวีป (ผศ. วนดิ า ขําเขียว. 2541:289) แบบฝึ กหัดท้ายบท 1. เตา๋ คืออะไร หลกั ธรรม คมั ภีร์และผ้ปู ฏิบตั เิ ตา๋ มีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร 2. ชีวประวตั ิ หลกั ธรรม คมั ภีร์ พิธีกรรมและสญั ลกั ษณ์ของศาสนาชินโตเป็นออย่าง ไรบ้าง 3. ศาสนาโซโรอสั เตอร์มีความเชÉือพืนÊ ฐานหลกั การสร้างโลกและพธิ ีกรรมอยา่ งไร 4. วิวฒั นาการ หลกั ธรรมสําคญั พิธีกรรม จดุ ม่งุ หมายและสญั ลกั ษณ์ในศาสนายิว เป็นอยา่ งไร 5. ชีวประวตั เิ ลา่ จือÊ จดุ มงุ่ หมาย พิธีกรรมและสญั ลกั ษณ์ของศาสนาเตา๋ เป็นอยา่ งไร 6. แนวคิดและอดุ มคตทิ างการเมืองของขงจือÊ และเล่าจือÊ ตา่ งกนั อย่างไร และอดุ มคติ แบบใดนา่ จะนํามาใช้ได้ในสงั คมปัจจบุ นั 7. อะไรบ้างทÉีเป็นสญั ลกั ษณ์สําคญั ของศาสนาชนิ โต 8. ชีวประวตั ขิ องขงจือÊ หลกั ธรรม พธิ ีกรรม จดุ มงุ่ หมายเป็นอยา่ งไรอธิบาย

บทที 6 ศาสนาสากล (Universal Religion) ศาสนาสากลหรือศาสนาโลก คือ ศาสนาทีแพร่ขยายจากถินกาํ เนิดของตนออกไปสู่ ดินแดนต่าง ๆ ทวั โลก มีประชาชนหลายเผา่ พนั ธุ์นบั ถือและสถาปนาเป็นศาสนาประจาํ ชาติ ของตน ก็มีความสาํ คญั ต่อมนุษยร์ ะดบั โลก มีอยู่ 3 ศาสนา คือ ศาสนาพทุ ธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ทงั 3 ศาสนานี มีความสาํ คญั ต่อการดาํ เนินชีวติ มนุษยใ์ นสงั คมต่าง ๆ เป็นบ่อเกิดแห่งวฒั นธรรมและอารยธรรมของโลก พระพุทธศาสนาอุบตั ิขึนท่ามกลางคาํ สอนของพราหมณ์ ทีสอนเพือบรรลุโมกษะดว้ ย การบูชาเทพเจา้ ต่าง ๆ ดว้ ยการบูชายญั ดว้ ยวธิ ีอนั ชุ่มโชคเลือดและทรมานตนดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ ใน ชมพูทวปี เมือ 2500 กวา่ ปี มาแลว้ ในฐานะอเทวนิยมไดแ้ สดงคาํ สอนแตกต่างออกไป โดย ชีใหเ้ ห็นปัญหาวา่ มนุษยก์ าํ ลงั มีปัญหาชีวิต คือ ความทุกข์ จะแกป้ ัญหาความทุกขข์ องชีวติ นนั ไดอ้ ยา่ งไร คาํ ตอบทงั ปวงสรุปลงในอริยสจั 4 ส่วนศาสนาคริสตแ์ ละศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาฝ่ ายเทวนิยมทีมีกาํ เนิดอยทู่ ีบริเวณ ประเทศปาเลสไตน์ มีรากฐานมาจากศาสนายวิ กล่าวคือ ศาสนาคริสตเ์ ริมขึนจากความเชือใน ชีวติ คาํ สอน ความตาย และการกลบั ฟื นคืนชีพขึนของพระเยซูและพระเยซู คือ พระเจา้ ส่วน ศาสนาอิสลามเริมเกิดขึน ค.ศ. 570 เมือศาสดาพยากรณ์ คือนบีโมฮาํ มดั อุบตั ิขึน ชาวมุสลิมมี ความเชือวา่ ท่านนบีโมฮาํ มดั เป็นศาสดาศาสนทูตองคส์ ุดทา้ ย ซึงไดถ้ ูกส่งลงมาเพอื เปิ ดเผยและ บาํ รุงรักษาศาสนาทีถูกตอ้ ง คาํ สอนทงั หมดไดร้ ับการเปิ ดเผย ไข แสดงโดยผา่ น นบีโมฮาํ มดั เป็นขนั สุดทา้ ย โดยผา่ นมาตามประเพณีศาสนายวิ –คริสต์ และอิสลามตามลาํ ดบั ในลกั ษณะ แห่งศาสนาเอกเทวนิยมซึงจะกล่าวบทต่อไป (รศ. คูณ โทขนั ธ์. 2537:12) พระพุทธศาสนา (Buddhism) ต่อเมือ ความเป็ นมาของพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาในระยะเริมแรกนนั เป็นพระพุทธศาสนานิกายเดียว พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพาน จึงไดเ้ กิดพระพทุ ธศาสนา 2 นิกายขึน คือ ก. พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ข. พระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน ซึงจะไดก้ ล่าวเป็นลาํ ดบั เรืองดงั ต่อไปนี

165 ก. พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ชีวประวตั ิองค์ศาสดา พระพุทธศาสนามีพระพุทธเจา้ เป็นองคศ์ าสดา พระนามเดิมวา่ เจา้ ชายสิทธตั ถะ ทรง เป็นราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะกบั พระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพสั ดุ์ แควน้ สกั กะ ในศากยสกลุ โคตมโคตร พระองคไ์ ดป้ ระสูติวนั ศุกร์ วนั เพญ็ ขึน 15 คาํ เดือน 6 ปี จอ ก่อน พุทธศกั ราช 80 ปี ณ ลุมมนิ เด ประเทศเนปาลปัจจุบนั เมือพระชนมายไุ ด้ 16 ปี จึงไดท้ รง อภิเษกสมรสกบั เจา้ หญิงยโสธรา พิมพา แห่งราชวงศโ์ กลิยะ ทรงมีพระโอรสองคห์ นึงพระนาม วา่ ราหุล ต่อมาไดพ้ บความไม่เป็นแก่นสารของโลกและชีวติ เสด็จออกบรรพชา เมืออายไุ ด้ 29 ปี ก่อนทีเจา้ ชายจะเสดจ็ ออกผนวชไดเ้ สด็จ ประพาสอุทยานใกลพ้ ระนครไดท้ อดพระเนตรเทวทูตทงั 4 คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และ พระสมณะ จึงเกิดความเบือหน่ายและสังเวชสลดใจในสังขาร จึงสละราชสมบตั ิ เสด็จออก ผนวชและเสด็จไปในชนบทถึงสาํ นกั อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ได้ ศึกษาวชิ าการบาํ เพญ็ ฌานสมาบตั ิโดยเพง่ ไฟ (เตโชกสิณ) จนบรรลุสมาบตั ิ 8 อนั มีรูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 เป็นความรู้สูงสุดของดาบสทงั สอง แต่พิจารณาเห็นวา่ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงเสดจ็ จารึกแสวงหาความหลุดพน้ ต่อไป (มนต์ ทองชชั . 2530:54-64) บําเพญ็ ทุกรกริ ิยา เมือตดั สินใจจะปฏิบตั ิตามทางของพระองคแ์ ลว้ เสดจ็ ถึงริมฝังแม่นาํ เนรัญชรา ใกลต้ าํ บลอุรุเวลาเสนานิคม ทรงเริมตน้ ปฏิบตั ิตามลาํ ดบั ดงั นี วาระที 1. ทรงกดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ และกดพระตาลุดว้ ยพระชิวหาไวแ้ น่น ทรง ปฏิบตั ิดว้ ยความเพยี รอยา่ งยงิ จนเกิดความเร่าร้อนขึนในพระกาย มีพระเสโท (เหงือ) ไหลออก จากพระกจั ฉะ (รักแร้) ทรงปฏิบตั ิอยเู่ ป็นเวลานาน ผลทีไดร้ ับคือทรงทุกขเวทนาอยา่ งหนกั มี อาการเหมือนคนอ่อนแอถูกคนแขง็ แรงตดั ศีรษะหรือบีบคอ วาระที 2. ทรงผอ่ นกลนั ลมอสั สาสะ-ปัสสาสะ (ลมหายใจเขา้ -ออก) ทีละนอ้ ย ผลที ไดร้ ับคือลมเดินไม่สะดวกตามช่องพระนาสิกและช่องพระโอษฐ์ ก็เกิดเสียงดงั อูท้ างช่องพระ กรรณทงั สอง ปวดพระเศียร เสียดพระอุทรและร้อนพระวรกายยงิ นกั วาระที 3. ทรงอดพระกระยาหาร ทรงผอ่ นบริโภคใหน้ อ้ ยลงจนถึงไม่เสวยเลยติดต่อกนั เป็นเวลานานวนั ผลทีไดร้ ับคือ พระวรกายเหียวแหง้ พระฉวเี ศร้าหมอง พระอฐั ิปรากฏทวั พระวรกาย พระโลมาหลุดร่วงจากขมุ พระโลมา พระกาํ ลงั เสือมถอยลดนอ้ ยลงทุกที ในทีสุด ทรงลม้ ลงหมดสติสมั ปชญั ญะ บงั เอิญมีเด็กเลียงแพะผา่ นมาพบเขา้ นาํ นมแพะมาใหเ้ สวย จึง

166 ทรงฟื นคืนพระสติ ผลทีทรงไดร้ ับจากการบาํ เพญ็ ทุกรกิริยาทาํ ใหท้ รงทราบความจริงวา่ ร่างกาย และจิตใจเป็นสิงควบคู่กนั เสมอ การทรมานร่างกายทาํ ใหจ้ ิตใจกระวนกระวายมิอาจทาํ ใหเ้ กิด ปัญญาได้ ในขณะทรงบาํ เพญ็ ทุกรกิริยาในวาระหนึง ๆ นนั ไดเ้ สวยทุกขเวทนาอยา่ งสาหสั แม้ พระวรกายกระวนกระวายไม่สงบระงบั ลงเลย แต่ทุกขเวทนานนั ก็ไม่อาจครอบงาํ พระหฤทยั ให้ กระสับกระส่ายได้ ทรงมีสติสัมปชญั ญะตงั มนั ไม่ฟันเฟื อน ปรารภความเพยี รโดยมิทอ้ ถอยจน เกือบสินพระชนม์ ทรงบาํ เพญ็ เพยี รอยู่ 6 ปี ทรงไดร้ ับความลาํ บากมากพระวรกายซูบผอม ได้ ทาํ ใหพ้ ระองคท์ รงระลึกถึงอุปมาสายพิณวา่ หากขึงสายใหห้ ยอ่ นเกินไปก็ดีดไม่ดงั ถา้ ขึงใหต้ ึง เกินไปดีดเขา้ สายก็ขาด แต่ถา้ ขึงใหม้ ีความตึงแต่พอดีก็ดีดเป็นเสียงเพลงไพเราะตามตอ้ ง การ อุปมานีเปรียบดว้ ยการปฏิบตั ิเพือแสวงหาความหลุดพน้ จากทุกข์ หากปฏิบตั ิยอ่ หยอ่ นเกินไป หรือเขม้ งวดจนเกินไป ก็จะทาํ ใหเ้ หน็ดเหนือยเปล่า ไม่สามารถทาํ ใหเ้ ขา้ ถึงความหลุมพน้ จาก ทุกขไ์ ด้ หากปฏิบตั ิเพียงกลาง ๆ ไม่ตึงหรือหยอ่ นเกินไปยอ่ มมีทางเขา้ ถึงการตรัสรู้ได้ และ พระองคท์ รงพิจารณาเห็นวา่ ร่างกายและจิตใจเป็ นสิงควบคู่กนั การทรมานร่างกายทาํ ใหจ้ ิตใจ กระวนกระวาย มิอาจทาํ ใหเ้ กิดปัญญา เมือพระองคท์ รงไดค้ วามคิดจากการอุปมาเช่นนีแลว้ จึง ทรงตงั พระทยั ปฏิบตั ิดว้ ยการบาํ เพญ็ เพยี รทางใจต่อไป ขณะทรงบาํ เพญ็ ทุกรกิริยาอยนู่ นั มีปัญจ วคั คียท์ งั 5 คือ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิมาคอยปรน นิบตั ิรับใชอ้ ยู่ ครันไดเ้ ห็นพระองคท์ รงเลิกทุกรกิริยาเสียแลว้ จึงพากนั ละทิงไปอยทู่ ีป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี (สมเด็จสังฆราช (ปุสฺสเทว). 2538:33-34) ตรัสรู้ ในวนั เพญ็ ขึน 15 คาํ เดือน 6 ปี ระกา ก่อนพุทธศกั ราช 45 ปี เวลาเชา้ พระโค ดมทรงรับขา้ วมธุปายาสของนางสุชาดา ทีนาํ มาถวายทีโคนตน้ อสั สัตถพฤกษด์ ว้ ยความสาํ คญั วา่ เป็นเทวดาทีตนไดบ้ นบานเอาไวแ้ น่ พระองคเ์ สวยแลว้ ทรงอธิษฐานลอยถาดในแม่นาํ เนรัญ ชรา เวลาเยน็ ทรงรับหญา้ กสุ ะจากโสตถิยพราหมณ์ จึงทรงนาํ ไปปูลาดทีโคนตน้ อสั สัตถ พฤกษ์ ใกลร้ ิมฝังแม่นาํ เนรัญชรา ประทบั นงั ผนิ พระพกั ตร์หนั ไปทางทิศตะวนั ออก พร้อมทรง อธิษฐานจิตวา่ แมว้ า่ พระโลหิตในร่างกายพร้อมดว้ ยพระมงั สะจะเหือดแหง้ ไปหมดก็ตาม หาก ยงั ไม่ทรงตรัสรู้แจง้ ในสจั ธรรมอนั นาํ ไปสู่ความหลุดพน้ จากทุกข์ จกั ไม่ลุกขึนจากอาสนะ ใน ขณะบาํ เพญ็ เพียรทางจิตอยนู่ นั ไดเ้ กิดอุปมา 3 ขอ้ ทีพระองคไ์ ม่เคยทรงสดบั มาปรากฏแจ่ม แจง้ พระองคว์ า่ 1. ถา้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดกายยงั ไม่ไดห้ ลีกออกจากกาย มีความกาํ หนดั รักใคร่ พอใจในกาม จิตใจยงั ไม่สงบ ยงั ชุ่มชืนดว้ ยกาม สมณะหรือพราหมณ์แมไ้ ดร้ ับทุกขเวทนาทีเกิด

167 เพราะความเพยี ร ก็ยงั ไม่สามารถตรัสรู้ได้ เหมือนไมส้ ดทีชุ่มชืนดว้ ยยางและบุคคลนาํ มาแช่ไว้ ในนาํ เมือนาํ มาสีไฟก็ยอ่ มไม่เกิดไฟได้ 2. ถา้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดถึงจะหลีกออกจากกามแลว้ แต่จิตใจยงั ยนิ ดีอยู่ ใน กาม จิตใจยอ่ มจะไม่สงบ แมน้ ทาํ ความเพยี รอยา่ งใดก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ เหมือนไมส้ ดชุ่มยาง แมจ้ ะอยบู่ นบกแต่เมือนาํ มาสีไฟก็ยอ่ มไม่เกิดไฟไดเ้ พราะยงั สดและชุ่มยางอยู่ 3. ถา้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดหลีกออกจากกามแลว้ จิตใจตดั ขาดออกจากกาม จิตใจสงบระงบั แลว้ เหมือนไมแ้ หง้ และตงั อยบู่ นบก เมือนาํ มาสีไฟก็ยอ่ มจะเกิดไฟ ครันตกกลางคืน พระองคไ์ ดบ้ าํ เพญ็ ภาวนาทางจิต โดยเริมเขา้ รูปฌานตงั แต่ปฐมฌาณ ไปจนถึงจตุตถฌาน เมือจิตเขา้ ถึงจตุตถฌาน กามราคะก็ดบั ไป จากนนั ทรงออกจาก ฌานและใชป้ ัญญาพิจารณาจนกระทงั พบความสาํ เร็จดา้ นความรู้ทียงิ ใหญ่ 3 ประการ ซึง เรียกวา่ วชิ ชา 3 เป็นไปตามขนั ตอนดงั นี ปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แปลวา่ ความรู้ทาํ ให้ระลึกชาติหนหลงั ได้ คือ ระลึกถึงชาติถอยหลงั เขา้ ไปไดต้ งั แต่ชาติหนึง สองชาติจนหลาย ๆ กปั ป์ วา่ ในชาติที เท่านนั ไดม้ ีชือ มีโคตร มีผวิ พรรณ มีอาหารเป็ นอยา่ งนนั เสวยสุข เสวยทุกขเ์ ป็นอยา่ งนนั มี อายเุ ท่านนั จุติจากชาตินนั ไดอ้ ุบตั ิในชาติโนน้ เป็นอยา่ งนนั ๆ แลว้ จึงมาเกิดในชาตินี มชั ฌิมยาม ทรงบรรสุจุตูปปาตญาณ คือ รู้ในจุติและอุบตั ิของสัตวท์ งั หลาย ไดท้ ิพพ จกั ขอุ นั บริสุทธิกวา่ จกั ขสุ ามญั เห็นปวงสัตวท์ ีกาํ ลงั อุบตั ิ เลว ดี มีผวิ พรรณงาม มีผวิ พรรณไม่ งาม ไดด้ ี หรือตกยาก รู้ชดั วา่ ปวงสัตวท์ ีเป็นไปเช่นนนั เพราะตนไดท้ าํ กรรมอะไรไว้ จึงไดร้ ับ ผลเช่นนนั ปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวกั ขยญาณ แปลวา่ ความรู้ทีทาํ ใหก้ ิเลสหมดสินไป คือ ได้ ตรัสรู้ธรรมอนั ประเสริฐทีเรียกวา่ อริยสจั 4 และมรรคมีองค์ 8 เป็นความรู้ชดั จริงวา่ นีทุกข์ นี สาเหตุทีทาํ ใหเ้ กิดทุกข์ นีตวั ดบั ทุกข์ และนีหนทางนาํ ไปสู่การดบั ทุกข์ เหล่านีอาสวะ นีเหตุ เกิดอาสวะ นีความดบั อาสวะ นีทางไปถึงความดบั อาสวะ เมือรู้เห็นอยา่ งนี จิตหลุดพน้ จาก กามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ รู้ชดั วา่ ชาตินีสินแลว้ พรหมจรรยไ์ ดอ้ ยจู่ บแลว้ กิจทีตอ้ งทาํ ได้ ทาํ เสร็จแลว้ กิจอืนอนั จะตอ้ งทาํ เช่นนีไม่มีอีก เสวยวมิ ุตติสุข เมือพระพทุ ธองคท์ รงบรรลุอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณแลว้ ทรงบงั เกิด ความสุขในความสาํ เร็จ เรียกวา่ วมิ ุตติสุข หมายถึง สุขทีเกิดจากการหลุดพน้ ไม่ตอ้ งทนทุกข์ ทรมานนานาประการ ระหวา่ งนนั ทรงประทบั เสวยความสุขนนั ณ บริเวณใกลต้ น้ พระศรีมหา

168 โพธิ 7 แห่ง ทรงปฏิบตั ิกิจกรรมในสถานทีแต่ละแห่งนานแห่งละ 7 วนั ซึงมีเหตุการณ์เกิดขึน ตามทิศทางทีต่าง ๆ ดงั นี สปั ดาห์ที 1 ประทบั นงั ภายใตต้ น้ พระศรีมหาโพธิทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม สัปดาห์ที 2 เสดจ็ ไปทางทิศอีสานประทบั ยนื กลางแจง้ เพง่ โพธิตรัสรู้โดยไม่กะพริบพระเนตร ทีนนั เรียกวา่ อนิมิสเจดีย์ สปั ดาห์ที 3 ประทบั เดินจงกรมระหวา่ งตน้ พระศรีมหาโพธิกบั อนิมิส เจดียสถานทีนนั เรียกวา่ รัตนจงกรมเจดีย์ สัปดาห์ที 4 เสดจ็ ไปทางทิศพายพั ประทบั นงั ขดั สมาธิบลั ลงั กพ์ จิ ารณาพระอภิธรรมทีนนั ซึงเรียกวา่ รัตนฆรเจดีย์ สปั ดาห์ที 5 เสดจ็ ไปทางทิศ บูรพาไดป้ ระทบั นงั ใตต้ น้ อชปาลนิโครธทรงแกป้ ัญหาพราหมณ์ สัปดาห์ที 6 เสดจ็ ไปทางทิศ อาคเนยป์ ระทบั นงั ใตต้ น้ มุจลินท์ ตรัสสรรเสริญความเงียบและการไม่เบียดเบียนเป็ นสุขในโลก สปั ดาห์ที 7 เสด็จไปทางทิศใตต้ น้ โพธิประทบั นงั ใตต้ น้ ราชายตนะ สองพีนอ้ งชือตปุสสะ และภลั ลิกะ นายกองเกวยี นถวายขา้ วสตั ตุกอ้ นสตั ตุผง ประกาศตนขอถึงพระพุทธและพระธรรมเป็ นสรณะ ตลอดชีวติ เป็นอุบาสกคู่แรกในพุทธศาสนา (สุรีย์ มีผลกิจ. 2541:57-60) ปฐมเทศนา เมือพระพุทธเจา้ ตรัสรู้แลว้ ทรงประทบั เสวยวมิ ุตติสุขเป็ นเวลา 7 สปั ดาห์ ทรงพจิ ารณาความลุ่มลึกของธรรมะทีทรงตรัสรู้ วา่ มีความละเอียดลึกซึงยงิ นกั ยากแก่ปัญญาของ สตั วท์ งั หลายจะหยงั รู้ได้ ทาํ ใหท้ รงทอ้ พระทยั ทีจะสงั สอน ต่อเมือพิจารณาวา่ บรรดาสัตวโ์ ลก ทงั หลายนนั ยอ่ มมีปัญญาแตกต่างกนั บา้ งมีปัญญามาก บา้ งมีปัญญาปานกลาง บา้ งมีปัญญา นอ้ ยและ บา้ งก็อบั ปัญญาเปรียบเทียบไดก้ บั บุคคล 4 ประเภท กบั ดอกบวั 4 เหล่าดงั ต่อไปนี 1. พวกอุคฆฏิตญั ู คือผมู้ ีภูมิปัญญาและอุปนิสยั ทีสามารถเรียนรู้และเขา้ ใจพระ ธรรมคาํ สอนไดฉ้ บั พลนั เพียงแต่ยกหวั ขอ้ ธรรมขึนแสดงเท่านนั ก็สามารถเขา้ ใจพระธรรมคาํ สอนไดท้ นั ที เปรียบไดก้ บั ดอกบวั ทีผดุ ขึนพน้ ผวิ นาํ แลว้ คอยสมั ผสั รัศมีพระอาทิตยเ์ ท่านนั ก็ จกั บานในวนั นี 2. พวกวปิ จิตญั ู คือผรู้ ู้ต่อเมือท่านขยายความอธิบายพิสดารออกไป จึงรู้และเขา้ ใจได้ เปรียบไดก้ บั ดอกบวั ทีปิ มเสมอนาํ จกั บานในวนั รุ่งขึน 3. พวกเนยยะ คือผทู้ ีพอจะชีแจงแนะนาํ พรําสอนให้เขา้ ใจไดด้ ว้ ยวธิ ีการฝึกฝนอบรม ต่อไป เปรียบไดก้ บั ดอกบวั ทีอยใู่ นนาํ สามารถทีจะผดุ ขึนพน้ นาํ และบานในวนั ต่อไป 4. พวกปทปรมะ คือผมู้ ีบทเป็นอยา่ งยงิ ผอู้ บั ปัญญา สอนให้รู้ไดแ้ ต่เพยี งตวั บท คือ พยญั ชนะหรือถอ้ ยคาํ ไม่อาจเขา้ ใจอรรถคือความหมาย เปรียบไดก้ บั ดอกบวั ทีติดอยกู่ บั โคลน

169 ตมรังแต่จะเป็ นอาหารของปลาและเต่า ไม่อาจผดุ ขึนพน้ นาํ และบานได้ เมือทรงพจิ ารณาเห็นความแตกต่างของบุคคล 4 ประเภทนีแลว้ ทรงตดั สินพระทยั ที จะสังสอนธรรมะแก่เวไนยสัตว์ ทรงระลึกถึงดาบสทงั สองเป็นลาํ ดบั แรก แต่ทรงทราบดว้ ย ทิพพจกั ขวุ า่ ดาบสทงั สองไดถ้ ึงแก่กรรมแลว้ จึงทรงนึกถึงปัญจวคั คียเ์ ป็นลาํ ดบั ต่อมา พระองค์ จึงไดเ้ สดจ็ ไปยงั ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั และแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญวคั คีย์ ธรรมทีพระองค์ แสดงแก่ปัญจวคั คีย์ ชือ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร วา่ ดว้ ยทางสุดโต่งสองสายทีบรรพชิตไม่ควร ส่องเสพ เพราะไม่นาํ ไปสู่ความหลุดพน้ คือ 1. กามสุขลั ลิกานุโยค คือ การหมกมุ่นมวั เมาอยดู่ ว้ ยกามสุข 2. อตั ตกิลมถานุโยค คือ การประกอบเพียรดว้ ยการทรมานร่างกายของตนเอง ทางทงั สองดงั กล่าวนี พระพุทธองคต์ รัสวา่ เป็นทางอนั เป็ นส่วนสุดโต่งขา้ งหนึง ไม่อาจ นาํ บุคคลเขา้ ถึงความหลุดพน้ ได้ แลว้ ทรงแสดงทางทีจะนาํ ไปสู่ความหลุดพน้ ได้ เรียกวา่ ทาง สายกลาง หรือ มชั ฌิมาปฏิปทา เพราะเป็นทางทีจะหลีกเลียงทางอนั เป็นส่วนสุดโต่งทงั สองนนั เสีย ซึงประกอบดว้ ยอริยมรรคมีองค์ 8 จากนนั ทรงแสดงอริยสจั 4 เริมจากทุกข์ ทุกขสมุทยั ทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาไปตามลาํ ดบั นบั เป็นการแสดงธรรมเทศนาครังแรก เรียกวา่ ปฐมเทศนา เมือพระพุทธองคแ์ สดงธรรมเทศนาจบลง โกณฑญั ญะพราหมณ์ไดม้ ีดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผลเป็นบุคคลแรก ลาํ ดบั นนั พระพุทธองคท์ รงทราบดว้ ยอาการนนั ทรงเปล่ง พระอุทานวา่ ท่านผเู้ จริญ โกณฑญั ญะไดร้ ู้แลว้ หนอ ท่านผเู้ จริญ โกณฑญั ญะไดร้ ู้แลว้ หนอ ปัญจวคั คียไ์ ดข้ อบวชเป็ นพระภิกษุในพระพทุ ธศาสนาโดยวธิ ีเอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา คือ การบวช ทีพระพทุ ธองคท์ รงเปล่งพระวาจาวา่ ท่านจงเป็ นภิกษุมาเถิด ธรรมอนั เรากล่าวไวด้ ีแลว้ ท่านจง ประพฤติพรหมจรรยเ์ พอื ทาํ ทีสุดแห่งทุกขโ์ ดยชอบเถิด ดว้ ยพระวาจานีเอง ปัญจวคั คียก์ ็เป็น พระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา และในวนั ต่อ ๆ มาทรงแสดงธรรมเทศนาชือ อนตั ตลกั ขณสูตร เป็นเหตุใหภ้ ิกษุทงั 5 รูปไดบ้ รรลุอรหตั ตผลเป็นพระอรหนั ต์ ตามลาํ ดบั (คณาจารยแ์ ห่งโรง พิมพเ์ ลียงเชียง. 2535:49-52) พุทธกจิ พระพุทธองคเ์ มือทรงตรัสรู้แลว้ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาสงั สอนประชาชน ท◌ุ กชนั วรรณะโดยไม่ไดจ้ าํ กดั เพศ ฐานะ และชาติตระกูล ตลอด 45 พรรษานบั แต่ตรัสรู้ จวบจนกระทงั เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ทรงปฏิบตั ิพทุ ธกิจโดยกาํ หนดเป็นเวลาและหนา้ ที ประจาํ วนั ซึงแบ่งเป็น 5 เวลา ดงั นี 1. ปุพฺพณฺเห ปิ ณฺฑปาต ฺจ เวลาเชา้ เสดจ็ ออกรับบิณฑบาต ระหวา่ งเสด็จ หากจะทรง

170 ช่วยเหลือผใู้ ดใหไ้ ดร้ ับความสุขทางธรรมได้ ก็ทรงช่วยเหลือมิไดย้ กเวน้ เสดจ็ กลบั มาเสวยพระ กระยาหารก่อนเวลาเทียงวนั เสด็จออกรับผูเ้ ขา้ ฟังธรรม ผใู้ ดมีจริตควรแก่ธรรมชนั ใด ทรง ประทานธรรมตามควรแก่จริตนนั ดว้ ย การยงั บุคคลทงั หลายใหม้ ีพระรัตนตรัย เป็ นทีพึงทีระลึก 2. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเยน็ ทรงแสดงธรรม ก่อนถึงเวลาแสดงธรรมทรงพกั ผอ่ น พระอิริยาบถ หาเวลาสงบสงดั แห่งพระทยั อยูโ่ ดยลาํ พงั ในพระคนั ธกฎุ ี พอควรแก่อธั ยาศยั แลว้ เสดจ็ ออกทรงแสดงธรรมแก่มหาชนทีมาเฝ้าเป็นประจาํ ทุกวนั 3. ปโทเส ภิกฺขโุ อวาทํ เวลาคาํ ประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุผมู้ าเฝ้า จากถินไกลบา้ ง ใกลบ้ า้ ง 4. อฑฺฒรตฺเต เทวป ฺหนํ เวลาเทียงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา ทรงแสดงธรรมแก้ ปัญหาซึงเหล่าเทวดาและเหล่าทิพยบุคคลผอู้ นั บุคคลธรรมดาไม่สามารถเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า ตามตาํ นานพุทธจริยาอธิบายวา่ ทรงโปรดให้ผเู้ ป็นเทวดาเขา้ เฝ้าไดใ้ นเวลาดงั กล่าว 5. ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วโิ ลกนํ เวลาจวนสวา่ ง ทรงตรวจพิจารณาดู สัตวโ์ ลกทีสามารถและยงั ไม่สามารถบรรลุธรรม อนั ควรจะเสดจ็ ไปโปรดหรือไม่ ปรินิพพาน พระพุทธองคท์ รงเผยแพร่พทุ ธศาสนาตลอด 45 ปี ขณะพระชนมายไุ ด้ 80 ปี เมือ พระภิกษุประชุมกนั พร้อมแลว้ ทรงประทานปัจฉิมโอวาทวา่ ดูก่อนภิกษุทงั หลาย บดั นีเราผู้ ตถาคตขอเตือนท่านทงั หลายใหร้ ู้ สังขารทงั หลายมีความเสือม ความฉิบหายไปเป็ นธรรมดา ท่านทงั หลายจงยงั กิจทงั ปวงอนั เป็ นประโยชน์ตนและประโยชน์ผอู้ ืนใหบ้ ริบูรณ์ดว้ ยความไม่ ประมาทเถิด แลว้ ก็เสดจ็ เขา้ สู่ประปรินิพพาน ทีเมืองกุสินารา ในวนั เพญ็ ขึน 15 คาํ เดือน 6 ภายใตต้ น้ สาละทงั คู่ (ศจ. เสถียร พนั ธรังษี 2524:144) หลกั ธรรมสําคญั ของพระพุทธศาสนา อริยสัจ 4 รศ.ดร. เดือน คาํ ดี (2541:134-140) กล่าววา่ อริยสัจ 4 เป็นศูนยก์ ลางคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนา เป็นหลกั ธรรมครอบคลุมคาํ สอนทงั หมดในบรรดาคาํ สอนทีเรียกวา่ ธรรมวนิ ยั มีจาํ นวน 84,000 พระธรรมขนั ธ์ สรุปรวมลงในอริยสัจ 4 ในฐานะเป็ นศูนยก์ ลาง แห่งคาํ สอนทงั หมด และการปฏิบตั ิทีถือวา่ เป็นขอ้ พสิ ูจน์พทุ ธธรรมทุกลาํ ดบั ก็ลว้ นเพือจุดประ สงคค์ ือการบรรลุอริยสัจ 4 นี พระพุทธองคใ์ นฐานะพระศาสดาผทู้ รงคน้ พบสจั ธรรมนี ได้ พระนามวา่ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ก็เพราะตรัสรู้อริยสัจ 4 นีเอง ดงั นนั อริยสจั 4 จึงเป็น หวั ใจแห่งพระพทุ ธศาสนา และมีความสาํ คญั ทีสุด ก่อนทีจะเขา้ สู่รายละเอียดของพระพทุ ธ

171 ศาสนาจําเป็นต้องศกึ ษาอริยสจั 4 นีเÊป็นพืนÊ ฐานเสียก่อน อริยสัจ 4 รศ.ดร. เดอื น คําดี (2541:134-140) กลา่ ววา่ อริยสจั 4 เป็นศนู ย์กลาง คาํ สอนของพระพทุ ธศาสนา เป็นหลกั ธรรมครอบคลมุ คําสอนทงัÊ หมดในบรรดาคาํ สอนทีÉ เรียกวา่ ธรรมวนิ ยั มีจํานวน 84,000 พระธรรมขนั ธ์ สรุปรวมลงในอริยสจั 4 ในฐานะเป็น ศนู ย์กลางแหง่ คําสอนทงัÊ หมด และการปฏิบตั ทิ Éีถือว่าเป็นข้อพสิ จู น์พทุ ธธรรมทกุ ลําดบั ก็ล้วน เพืÉอจดุ ประ สงค์คือการบรรลอุ ริยสจั 4 นี Ê พระพทุ ธองค์ในฐานะพระศาสดาผ้ทู รงค้นพบสจั ธรรมนี Ê ได้พระนามวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ก็เพราะตรัสรู้อริยสจั 4 นีเÊอง ดงั นนัÊ อริยสจั 4 จงึ เป็นหวั ใจแหง่ พระพทุ ธศาสนา และมีความสําคญั ทีÉสดุ ก่อนทÉีจะเข้าสรู่ ายละเอียดของพระ พทุ ธ ศาสนาจําเป็นต้องศกึ ษาอริยสจั 4 นีเÊป็นพืนÊ ฐานเสียก่อน อริยสัจคืออะไร อริยสจั ในฐานะเป็นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนา คือ ธรรมทีÉเป็นความจริงอยา่ งประเสริฐ มีอยู่ 4 ประการ คือ ทกุ ขอริยสจั สมทุ ยั อริยสจั นิโรธอริยสจั และมรรคอริยสจั อริยสจั ทงัÊ 4 นี Ê คอื ความรู้หรือหนทางนําไปสนู่ ิพพาน ซงÉึ เป็นจดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ของชีวิต ความรู้ในอริยสจั ประกาศวา่ ทกุ ข์ คืออะไร สมทุ ยั (เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์) เกิดขนึ Ê ได้อยา่ งไร จะดบั ทกุ ข์ (นโิ รธ) ได้ อยา่ งไร นิโรธจะทําให้แจ้งได้อยา่ งไร ทางแหง่ การดบั ทกุ ข์ (มรรค) นนัÊ เป็นอย่างไร อริยสจั 4 มีความสาํ คญั ในฐานะเป็นผลการตรัสรู้ของพระพทุ ธเจา้ การปฏิบตั ิธรรมทงั ปวง ในพระพุทธศาสนายอ่ มมีจุดมุ่งหมายเพือรู้แจง้ ซึงอริยสัจ 4 ประการนีเพราะ 1. เป็นศูนยก์ ลางหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนาและเป็นทีรวมลงแห่งกศุ ลธรรมทงั ปวง 2. เป็นธรรมแห่งการตรัสรู้ของพระพทุ ธเจา้ และพระอริยบุคคลทงั หลาย 3. เป็นธรรมอนั บุคคลรู้ไดย้ ากผไู้ ม่บรรลุอริยสัจ 4 ยอ่ มตกอยใู่ นอาํ นาจแห่งความเกิด แก่ เจบ็ ตาย เร่ร่อนท่องเทียวไปในสงั สารวฏั สินกาลหาทีสุดไม่ได้ อริยสัจ 4 นี เป็นหลกั ธรรมจาํ เป็นทงั สาํ หรับบรรพชิต และคฤหสั ถ์ พระพุทธองค์ จึงทรงยาํ ใหภ้ ิกษุทงั หลายสอนใหช้ าวบา้ นรู้เขา้ ใจอริยสจั ในสงั ยตุ ตนิกายวา่ ภิกษุทงั หลายชน เหล่าหนึงเหล่าใดทีพวกเธอพึงอนุเคราะห์ก็ดี เหล่าชนทีพอจะรับฟังคาํ สอนก็ดี ไม่วา่ เป็นมิตร เป็นผรู้ ่วมงาน เป็ นญาติ เป็ นสายโลหิตก็ตาม พวกเธอพึงชกั ชวน พงึ สอน ใหด้ าํ รงอยู่ ให้ ประดิษฐานอยใู่ นการตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึงอริยสจั 4 ประการ คาํ อธิบายอริยสัจ อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค เป็นความจริงอนั ประเสริฐซึงอธิบายไดด้ งั นี 1. ทุกขอริยสัจ คือ ธรรมชาติอยา่ งหนึงทีปรากฏในกาย และจิตใจของทุก ๆ คน ที

172 เรียกวา่ ทุกขก์ าย ทุกขใ์ จ เกิดจากความไม่สงบกาย ไม่สงบใจ ทงั เป็นของจริงอยา่ งหนึงทีทุกคน ตอ้ งมีตอ้ งเป็ น และไม่เป็นทีพึงปรารถนาของทุกคน พระพทุ ธองคท์ รงใหค้ าํ จาํ กดั ความของ ทุกขด์ ว้ ย การยกตวั อยา่ งเหตุการณ์ต่าง ๆ ทีมองเห็นไดง้ ่าย และสรุปง่าย ๆ อุปาทานขนั ธ์ 5 ลว้ นเป็นทีตงั แห่งความทุกขท์ งั สิน ดงั ทีตรัสวา่ ภิกษุทงั หลาย นีคือทุกขอริยสัจ ความเกิดเป็น ทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความประจวบกบั ทีไม่เป็นทีรักก็เป็นทุกข์ ความ พลดั พรากจากสิงทีรักเป็นทุกข์ ปรารถนาสิงใดไม่ไดส้ ิงนนั ก็เป็นทุกข์ โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ 5 เป็นทุกข์ ทุกขจ์ ึงมีความหมายถึงอุปาทานขนั ธ์ 5 ดว้ ยอุปาทานหรือความยดึ ถือวา่ เป็นของ ตวั เองนีจึงตรัสวา่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ คือ ธรรมอนั เป็ นทีตงั แห่งอุปาทาน ขนั ธ์ ฉนั ทราคะ หรือ ความอยากติดในรูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ นนั คืออุปาทาน ในสิงนนั ขันธ์ 5 อาจอธิบายได้ดังนีÊ 1. รูป ได้แก่ วตั ถซุ งึÉ เกิดจาการรวมตวั และสลายตวั ของธาตพุ ืนÊ ฐาน 4 อยา่ ง ทÉี เรียกวา่ มหาภตู รูป 4 คอื ดนิ นําÊ ลม ไฟ ธาตแุ ตล่ ะอยา่ งก็ไมค่ งทนอยไู่ ด้ มีการเปลÉียน แปลงเสÉือมสลาย เชน่ ธาตดุ นิ อนั ได้แก่สงÉิ ตา่ ง ๆ ทÉีมีลกั ษณะแข็ง เสืÉอมสลายไปได้ ฉะนนัÊ ร่างกายไมม่ ีตวั ตนทีÉคงทีÉอยตู่ ลอดไป 2. เวทนา เป็นความรู้สึกทางใจ ทงั ในแง่สุขทุกข์ หรือรู้สึกเฉย ๆ โดยเกิดจากผสั สะ ทงั 5 และทางใจ 3. สัญญา คือ ความจาํ เช่น ตาเห็นรูป จิตรับรู้และเกิดสัญญา คือจาํ รูปนนั ได้ จึง เป็นการกาํ หนดรู้อาการเครืองหมายลกั ษณะต่าง ๆ อนั เป็ นเหตุจาํ ลองนนั ๆ ได้ 4. สังขาร หมายถึง สภาพทีจิตปรุงแต่ง คือ องคป์ ระกอบต่าง ๆ ของจิตทีปรุงแต่ง จิตใหด้ ีหรือชวั หรือเป็ นกลาง ๆ ก็ได้ กล่าวโดยสรุปเจตสิกธรรม ทงั ฝ่ ายดี (กุศล) ฝ่ ายไม่ดี (อกุศล) และทีเป็นกลาง ๆ (อพั ยากฤต) เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ศรัทธา วริ ิยะ อุเบกขา เป็นตน้ จดั เป็นสงั ขาร 5. วญิ ญาณ เป็ นปรากฏการณ์ทางจิตทีเกิดขึนแต่ละครัง เมือมีปัจจยั และเงือนไขพร้อม และดบั ลง เมือมีปัจจยั และเงือนไขไม่พร้อม เช่น วา่ การรับรู้ทางตา ทีเรียกวา่ จกั ขวุ ญิ ญาณ เกิดขึนมาเมือตากบั รูปอยใู่ นระยะทีมองเห็นได้ เมือขาดปัจจยั และเงือนไขอยา่ งใดอยา่ งหนึงไป จกั ขวุ ญิ ญาณก็ดบั ลง การรับรู้ทางหู หรือโสตวญิ ญาณ การรับรู้ทางจมูก หรือฆานวญิ ญาณ การรับรู้ทางลิน หรือชิวหาวญิ ญาณ การรับรู้ทางกาย หรือ กายวญิ ญาณ และการรับรู้ทางใจ หรือมโนวญิ ญาณก็เป็ นไปทาํ นองเดียวกนั วญิ ญาณไม่ใช่ตวั ตนทีอยใู่ นร่างกายเพือรับรู้สึกต่าง ๆ

173 แต่เป็นศกั ยภาพของมนุษยท์ ีพร้อมจะเกิดขึนมา เมือมีเงือนไขครบถว้ นเช่นเดียวกบั ไฟมิไดเ้ ป็น ตวั ตนทีสิงอยใู่ นไม้ แต่เป็นศกั ยภาพทีพร้อมจะติดขึนไดต้ ามเงือนไขการรับรู้ทีเกิดขึนดบั ลงแลว้ เกิดขึนใหม่นนั เนืองจากทยอยติดต่อกนั อยา่ งรวดเร็ว ทาํ ใหด้ ูเหมือนวา่ มีตวั ตนอนั หนึง เป็นผู้ รับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ทีเกิดขึน สาํ หรับความทุกข์ พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รัสสรุปไวว้ า่ เมือกล่าวโดยสรุปแลว้ เบญจขนั ธ์ที ประกอบอยดู่ ว้ ยความยดึ มนั ถือมนั คือ อุปาทานนนั แหละเป็นตวั ทุกข์ หมายความวา่ สิงใดมี ความยดึ ถือก็ตาม วา่ ตวั ฉนั วา่ ของของฉนั แลว้ สิงนนั คือทุกข์ ขนั ธ์ 5 แสดงใหเ้ ห็นวา่ มนุษยแ์ ต่ละคนเมือแยกออกแลว้ จะพบส่วนประกอบ 5 ส่วน เท่านนั ไม่มีสิงอืนเหลืออยูท่ ีจะมาเป็นตวั ตนต่างหากไดเ้ ลย หลกั ขนั ธ์ 5 นีแสดงถึงความเป็น อนตั ตา คือ ชีวิต เป็ นการประชุมกนั เขา้ ของส่วนประกอบต่าง ๆ การรวมของส่วนประกอบก็ ไม่ใช่ตวั ตน ส่วนประกอบแต่ละอยา่ ง ๆ นนั เองก็ไม่ใช่ตวั ตน และสิงทีเป็นตวั ตนอยหู่ ่างหาก จากส่วนประกอบก็ไม่มี เมือยดึ ติดในขนั ธ์ ซึงมีอยโู่ ดยความสมั พนั ธ์ซึงกนั และกนั ก็จะทาํ ให้ เกิดทุกข์ เนืองจากเหตุทีขนั ธ์ 5 ตกอยใู่ นสามญั ลกั ษณะ หรือไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา อนิจจงั คือ ความไม่เทียงแท้ หมายถึง วา่ ทุกสิงทุกอยา่ งทีเกิดขึนมาแลว้ ตอ้ งดบั ใน ทีสุด เพราะมีเกิดมีดบั เช่นนี จึงทาํ ใหเ้ กิดทุกข์ ดว้ ยเหตุทีทุกขค์ ือความตงั อยไู่ ม่ไดข้ องสภาพเกิด ดบั ทีมีเรือย ๆ ก็คืออนิจจงั ทาํ ใหส้ ภาพใดสภาพหนึงไม่สามารถตงั อยไู่ ด้ อยา่ งเช่น จากชีวติ วยั เด็กเป็นวยั รุ่น จากวยั รุ่นไปสู่วยั หนุ่มสาวและไปสู่สภาพผใู้ หญ่ แลว้ ก็แก่ในทีสุดอนตั ตา เป็ น ความไม่ใช่ตวั ตน เพราะสิงใดทีเป็นตวั ตนเรายอ่ มบงั คบั ได้ เช่น วยั รุ่น วยั หนุ่มสาว แลว้ ก็ เป็นผใู้ หญ่ เป็นสภาพทีเราบงั คบั ใหค้ งทีไม่ได้ ในทีสุดตอ้ งลม้ ตายไปตามธรรมชาติของมนั เอง โดยลกั ษณะทีเรียกวา่ สามญั ลกั ษณะ ไตรลกั ษณ์จึงมีลกั ษณะทีสัมพนั ธ์กบั ความไม่เทียงแท้ หรืออนิจจงั ทาํ ให้เกิดทุกขเ์ ป็ น ความตงั อยไู่ ม่ได้ และเพราะเหตุวา่ ทุกอยา่ งนนั ตงั อยไู่ ม่ไดจ้ ึงไม่ใช่ตวั ตน เพราะถา้ เป็นตวั ตน ของเราแลว้ ตอ้ งตงั อยไู่ ดด้ ว้ ยเจตนาของเรา และเราตอ้ งบงั คบั ได้ ความตงั อยไู่ ม่ไดข้ องเรา ทุก สิงทุกอยา่ งในตวั เรานนั แปลวา่ สิงเหล่านีไม่ใช่ตวั เราเอง เพราะอยนู่ อกเหนืออาํ นาจของเรา ทงั สิน พระพทุ ธเจา้ จึงตรัสวา่ สังขารทงั ปวงไม่เทียง สังขารทงั ปวงเป็ นทุกข์ ธรรมทงั ปวงเป็น อนตั ตา นอกจากจะอธิบายตามหลกั แห่งไตรลกั ษณ์แลว้ ท่านยงั ไดจ้ าํ แนกทุกขอ์ อกเป็นหลาย ประเภทตามอาการทีปรากฏภายนอก เช่น ทุกข์ 3 ประเภท ทุกข์ 10 ประเภท และทุกข์ 12

174 ประเภท ดงั นี ทุกข์ 3 ประเภท คือ 1. สภาวทุกข์ หรือทุกขป์ ระจาํ สงั ขาร คือ ชาติ ชรา มรณะ 2. ปกิณณกทุกข์ หรือทุกขจ์ ร คือ โสก ปริเทวะ ทุกขโทมนสั อุปายาส 3. นิพทั ธทุกข์ ทุกขเ์ นืองนิตย์ เช่น หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นตน้ ทุกข์ 12 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ชาติทุกข์ สตั วท์ ีเกิดมานีเป็นทุกข์ 2. ชราทุกข์ อินทรียท์ ีครําคร่านีเป็ นทุกข์ 3. พยาธิทุกข์ ความเจบ็ ป่ วยเป็นทุกข์ 4. มรณทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ 5. โสกทุกข์ ความพลุ่งพล่านภายในใจเป็นทุกข์ 6. ปริเทวทุกข์ ความรําไหค้ รําครวญเป็ นทุกข์ 7. ทุกขทุกข์ ร่างกายนีเป็ นทุกข์ 8. โทมนสั ทุกข์ ความทุกขใ์ จเป็นทุกข์ 9. อุปายาสทุกข์ ความสะอึกสะอืนอาลยั เป็นทุกข์ 10. อปั ปิ เยหิสัมปโยคทุกข์ ความตรอมใจเป็ นทุกข์ 11. ปิ เยหิ วปิ ปโยคทุกข์ ความละหอ้ ยหาสิงทีจากไปเป็นทุกข์ 12. ยมั ปิ จฉงั น ลภติ ทุกขงั ความวนุ่ วายทีไม่ไดส้ ิงทีปรารถนาเป็นทุกข์ บรรดาทุกขท์ งั มวลเหล่านีตกอยใู่ นความเกิด ความแก่ ความเจบ็ และความตาย ซึง เป็นสิงทีเราเห็นไดโ้ ดยง่าย และไม่เป็นทีพงึ ปรารถนาของคนทุกคน 2. สมุทยั อริยสัจ เหตุของทุกขอ์ นั เป็นทีตงั ของอริยสจั ธรรมไดแ้ ก่ กิเลส กรรม วบิ าก หรือ วฏั ฏะ กล่าวคือ ความอยากทาํ เรียกวา่ ตณั หา การกระทาํ เรียกวา่ กรรม และผล ของการกระทาํ เรียกวา่ วิบาก ใน 3 ประการนี ความอยากเป็นเหตุให้เกิดการกระทาํ การ กระทาํ เป็นเหตุใหเ้ กิดผลของการกระทาํ และผลของการกระทาํ เป็นเหตุให้เกิดความอยากทาํ ต่อ ๆ ไปก็เกิดผลขึนมา ทาํ นองนีไม่มีทีสินสุด เป็ นวงกลมทีวนเวยี นอยตู่ ลอดไป จึงเรียกวา่ สังสารวฎั ฏ์ ตณั หา ซึงเป็นตวั สาเหตุของทุกข์ ไดแ้ ก่ ความอยากต่าง ๆ มี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ กามตณั หา ภวตณั หา และวิภวตณั หา 1. กามตัณหา คือ ความใคร่ หรืออยากในกามารมณ์ทงั 6 ไดแ้ ก่ รูป เสียง กลิน รส สัมผสั และธรรมารมณ์ เช่น อยากเห็นรูปสวย ๆ อยากรับประทานอาหารทีดีมีรสชาติ

175 อร่อย ๆ อยากฟังเสียงไพเราะ อยากสัมผสั สิงทีนิมนวล เหล่านีลว้ นแต่เป็นสิงทียวั กิเลสให้ เกิดขึนในจิตใจ จึงเรียกวา่ กามตณั หา มีอยู่ 2 ประการ 1. วตั ถุกาม ไดแ้ ก่ รูป เสียง กลิน ฯลฯ เครืองนุ่งห่ม บา้ นเรือน และวตั ถุอนั เป็น ทีตงั แห่งความกาํ หนดั น่าปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ 2. กิเลสกาม ไดแ้ ก่ ความพอใจ ความรักใคร่ ความปรารถนา ความอยากได้ ความ หลง ความยดึ ถือในกาม ความริษยาหึงหวง ความไม่สนั โดษ ในพระอภิธรรม ท่านจาํ แนกกิเลสออกเป็น 10 อยา่ ง คือ 1. โลภกิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะยนิ ดีในอารมณ์ 2. โทสกิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะไม่ชอบใจในอารมณ์ 3. โมหกิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะมวั เมา ปราศจากสติ สัมปชญั ญะ 4. มานกิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะทะนงตน 5. ทิฏฐิกิเลส ยดึ ตวั ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะความเห็นผิดจากความเป็นจริง 6. วจิ ิกิจฉากิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะความสงสยั ลงั เลใจ 7. ถีนมิทธกิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะหดหู่ ทอ้ ถอยจากความเพียร 8. อุทธจั จกกุ กจุ จกิเลส ความเศร้าหมองเร่าร้อน เพราะเกิดฟุ้งซ่านในอารมณ์ต่าง ๆ 9. อหิริกกิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะไม่ละอายการทาํ บาป 10. อโนตตปั ปกิเลส ความเศร้าหมอง เร่าร้อน เพราะไม่เกรงกลวั ผลบาป 2. ภวตัณหา คือความอยากไดใ้ นสิงหรือภาวะทีชอบใจ พอใจเกิดขึน เช่น อยากมี ทรัพยส์ ิน บุตร ภรรยา สามี บา้ นเรือน ทีอยอู่ าศยั อยากเป็นผมู้ ียศฐาบรรดาศกั ดิใหญ่อะไร ต่าง ๆ เหล่านี ลว้ นแต่ชกั จูงจิตใจให้อยากมี ความอยากเป็นไม่รู้จกั พอ จึงเรียกวา่ ภวตณั หา 3. วภิ วตณั หา คือ ความอยากไม่เป็นอยา่ งนนั อยา่ งนี อยากใหส้ ิงหรือภาวะทีไม่ชอบ ใจหมดสินไป หรือความอยากมีในสิงทีสุดวสิ ัยหรือเหตุสุดวสิ ยั ของธรรมชาติ เช่น เกิดมาแลว้ ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจบ็ ไม่อยากตาย ไม่อยากจน หรือมีความทุกข์ อนั เป็นสิงสุดวสิ ยั ของ ธรรมชาติ เป็นตน้ ในคมั ภีร์วสิ ุทธิมรรคแสดงวา่ ภวตณั หานนั สมั พนั ธ์ใกลช้ ิดกบั ภาวะหรือ สสั สตทิฏฐิ คือ ความเชือวา่ มีตวั ตน หรือตวั อตั ตาทีเป็นอมตะเทียงแทโ้ ดยไม่ตอ้ งอาศยั ร่างกายของเรา วภิ วตณั หานนั เป็นผลของวิภวะหรืออุจเฉททิฏฐิ คือ ความเชือทีวา่ ตวั ตนเอง หรือตวั อตั ตาของเรายอ่ มแตกทาํ ลายไปเมือสินชีวติ มิไดม้ ีอยกู่ ่อนเราเกิด หรือเหลืออยคู่ งหลงั เราตาย

176 ไปแลว้ ตณั หานีเกิดขึนและหยงั รากลง ณ ทีใด ทีใดทีมีสิงทีน่าเพลิดเพลิน ยนิ ดี ทีนนั ตณั หา ยอ่ มเกิดขึนได้ และหยงั รากลง ตา หู จมูก ลิน กาย ใจ มีความกาํ หนดั รักใคร่ยนิ ดีทีไหน ที นนั ยอ่ มมีตณั หา รูป เสียง กลิน รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ์เป็นทีน่าเพลิดเพลินยนิ ดี ณ ทีใด ที นนั ยอ่ มมีตณั หา วญิ ญาณ ผสั สะ เวทนาอนั เกิดแต่ผสั สะ สัญญา ความหมกมุ่น ความทะยานอยาก ความคิดนึกเป็ นทีน่าเพลิดเพลินยนิ ดี ณ ทีใดทีนนั ยอ่ มมีตณั หา นนั คือ ถา้ การรับรู้รูป เสียง กลิน รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ์ เป็ นทีน่าใคร่ น่า เพลิดเพลิน เรายอ่ มเกิดความยนิ ดีในสิงเหล่านนั แต่ถา้ การรับรู้ในสิงเหล่านนั ไม่เป็ นทีน่าใคร่ น่าเพลิดเพลิน เรายอ่ มเกิดความยนิ ร้ายในสิงเหล่านนั 3. นิโรธอริยสัจ คือ ความดบั สนิทแห่งทุกขท์ างใจ คือเหตุแห่งทุกข์ (สมุทยั อริยสัจ) ทีเกิดจากกิเลสาสวะดบั ไปโดยปัญญาญาณ ไม่มีเหลือ เป็นผลสืบเนืองมาจากมรรคสจั คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผทู้ าํ หนา้ ทีแกก้ ิเลส ตณั หา คือสมุทยั นนั เอง อริยสัจ 4 เป็นธรรมทีเกียวโยงกนั เช่น เมือปฏิบตั ิอริยสัจขอ้ ใดขอ้ หนึง ยอ่ มจะมีผล ถึงอริยสัจขอ้ อืน ๆ โดยตลอด ผปู้ ฏิบตั ิทางสมุทยั จาํ เป็นตอ้ งทาํ ความรู้ในเรืองทุกขไ์ ปจนพบ สมุทยั เมือมีปัญญาตดั ทอนสมุทยั นิโรธก็ปรากฏขึน ทุกขนิโรธอริยสจั เทียบกบั ปฏิจจสมุปบาทไดใ้ นแง่ปฏิโลม ซึงแสดงกระบวนการดบั ทุกข์ โดยชีใหเ้ ห็นวา่ จะดบั ทุกขไ์ ดอ้ ยา่ งไร ตามแนวของเหตุปัจจยั ซึงก็กินความรวมถึงอริยสัจ ขอ้ ที 4 คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เพราะเหตุวา่ กระบวนการดบั สลายของปัญหา ยอ่ มควบคู่ ไปกบั แนวการดาํ เนินการทีจะตอ้ งปฏิบตั ิดว้ ย ปฏิจจสมุปบาทแง่ปฏิโลมมีรูปแบบ คือ อวชิ ชาดบั …สังขารดบั …วญิ ญาณดบั …นามรูปดบั …สฬายตนะดบั …ผสั สะดบั … เวทนาดบั …ตณั หาดบั …อุปาทานดบั …ภพดบั …ชาติดบั …ชรามรณะดบั (ดบั โสกะ – ปริเวทะ – ทุกข์ – โทมนสั – อุปายาส) การขจดั อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ จนถึงอุปาทานนี ไม่ไดม้ ีสิงใดเกิดก่อนหลงั แต่ตอ้ ง เป็นไปในเวลาเดียวกนั การปฏิบตั ิทีถูกตอ้ ง ซึงเรียกวา่ สมั มาปฏิปทา เป็นกระบวนการดบั ทุกขต์ ามแนวของปฏิจจสมุปบาท ซึงตรงขา้ มกบั มิจฉาปฏิปทา เป็นกระบวนการเกิดทุกข์ ทงั นี เพือนาํ ไปสู่ความหลุดพน้ ในทีสุด

177 ตณั หานีจะสินได้ ณ ทีใด จะดบั ได้ ณ ทีใด ทีใดในโลกนีมีสิงน่าเพลิดเพลินยนิ ดี ที นนั ตณั หายอ่ มสินได้ ดบั ได้ ไม่วา่ ในอดีตปัจจุบนั หรืออนาคต ภิกษุหรือสมณะรูปใด พิจารณา สิงน่าเพลิดเพลิน ยนิ ดีในโลกวา่ เป็นอนิจจงั ไม่เทียง ทุกขงั เป็นทุกข์ และอนตั ตา ไม่มีตวั ตน บงั คบั ไม่ได้ เป็นโรคร้าย และเป็นสิงชวนสลดสังเวช ภิกษุหรือสมณะรูปนนั ยอ่ มไดช้ ือวา่ พิชิต ตณั หาได้ 4. มรรคอริยสัจ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ แนวทางในการปฏิบตั ิให้ ถึงความดบั ทุกข์ หรือการบรรลุความหลุดพน้ จากอริยสัจขอ้ 1 ซึงบอกถึงลกั ษณะของชีวติ วา่ เป็นทุกข์ อริยสัจขอ้ 2 กล่าวถึงวา่ อะไรเป็ นเหตุแห่งทุกข์ อริยสัจขอ้ 3 เป็นเป้าหมายการดบั แห่งทุกข์ คือ การดบั ตณั หาใหส้ ิน อริยสัจ 4 ไดเ้ นน้ ถึงขอ้ ปฏิบตั ิทีจะใหบ้ ุคคลหลุดพน้ จาก ความทุกขไ์ ด้ โดยหลีกเลียงจากส่วนสุดทงั 2 เป็นทางแห่งการบรรลุพรหมจรรยอ์ นั ประเสริฐ เรียกวา่ มชั ฌิมาปฏิปทา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 ประการ คือ สมั มาทิฏฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ หนา้ ทีต่อ อริยมรรคนีก็คือปฏิบตั ิไปพร้อม ๆ กนั ทงั 8 ประการ เรียกวา่ มรรคสามคั คี ไปในแนวทาง เดียวกนั เหมือนกบั เกลียวเชือก 8 เกลียว ทีรวมตวั เป็นเชือกเส้นเดียวกนั จึงเขา้ ถึงการดบั ทุกข์ ได้ กิจในอริยสัจ กิจในอริยสจั คือ หน้าทÉีอนั จะพงึ ทําตอ่ อริยสจั 4 แตล่ ะอยา่ ง หรือหน้าทีÉตอ่ อริยสจั ข้อนนัÊ ๆ มี 4 อยา่ ง คือ 1. ปริญญา ทกุ ขอริยสจั ควรกําหนดรู้แจ้งชดั กลา่ วคอื การกําหนดรู้เป็นกิจในทกุ ข์ หมายถึง การศึกษาใหร้ ู้จกั เขา้ ใจสภาวะทีเป็นทุกขต์ รงตามสภาพจริงของทุกข์ 2. ปหานะ ทุกขสมุทยอริยสัจ ควรละ กล่าวคือ การละเป็นกิจในสมุทยั หมายถึง การกาํ จดั เหตุแห่งทุกข์ หรือทาํ สิงทีเป็นสาเหตุแห่งทุกขใ์ หห้ มดสินไป 3. สัจฉิกิริยา ทุกขนิโรธอริยสจั ควรทาํ ใหแ้ จง้ กล่าวคือ การทาํ ใหแ้ จง้ เป็นกิจใน นิโรธ หมายถึง การประจกั ษแ์ จง้ หรือบรรลุถึงภาวะดบั ทุกข์ 4. ภาวนา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ควรเจริญ กล่าวคือ การเจริญเป็ นกิจใน มรรค หมายถึง การทาํ ใหม้ ี ใหเ้ ป็นขึน นนั ก็คือ ทาํ ใหเ้ กิดขึนและเจริญเพิมพูนขึน ดว้ ยการ ฝึกอบรมตามขอ้ ปฏิบตั ิของมรรคทีนาํ ไปสู่การกาํ จดั ทุกขอ์ ยา่ งสินเชิง

178 กิจทงั 4 นีเป็นหนา้ ทีของญาณในการกาํ หนด และตอ้ งสมั พนั ธ์กนั กบั อริยมรรคทงั 4 ขอ้ การทาํ ใหถ้ ูกตอ้ งตามหนา้ ทีในแต่ละมรรคนนั ตอ้ งอาศยั ความรู้ หรือญาณ หรือกิจญาณ เมือญาณสัมพนั ธ์กบั อริยสจั แต่ละขอ้ ตามกิจของตนแลว้ การปฏิบตั ิก็เป็นอนั ถูกตอ้ งแลว้ และ กา้ วหนา้ จากมรรคเขา้ สู่ผลตามลาํ ดบั จนชือวา่ สาํ เร็จกิจโดยสมบูรณ์ ซึงเรียกวา่ พรหมจรรย์ หนา้ ทีในการหยงั สู่ความจริงตอ้ งใชค้ วามรู้ (ญาณ) 3 รอบ จึงจะครบถว้ นตามกระบวนการ ความรู้ตามแบบอริยสจั ดงั นี ญาณ 3 ญาณ 3 อริยสจั 4 สจั ญาณ กิจญาณ กตญาณ ทุกข์ รู้วา่ รู้วา่ รู้วา่ (ปริญเญยยะ) ทุกขค์ ือความจริง ทุกขน์ ีควรกาํ หนดรู้ ทุกขน์ ีไดก้ าํ หนดรู้แลว้ สมุทยั รู้วา่ รู้วา่ รู้วา่ (ปหาตพั พะ) ตณั หาเป็นเหตุแห่งทุกข์ สมทุ ยั นีควรละเสีย สมุทยั นีไดล้ ะแลว้ นิโรธ รู้วา่ รู้วา่ รู้วา่ (สจั ฉิกิริยะ) นิพพานเป็นสภาวะดบั ทุกข์ นิโรธนีควรทาํ ใหแ้ จง้ นิโรธนีไดท้ าํ ใหแ้ จง้ แลว้ มรรค รู้วา่ รู้วา่ รู้วา่ (ภาเวตพั พะ) มรรคมีองค์ 8 เป็ นทาง มรรคมีองค์ 8 นี มรรคมีองค์ 8 นี ดบั ทุกข์ ควรปฏิบตั ิ ไดเ้ จริญแลว้ หลกั อริยสัจ นอกจากจะเป็ นคาํ สอนทีครอบคลุมหลกั ธรรมทงั หมด ในพระพทุ ธพระ ศาสนาทงั ภาคทฤษฎีและปฏิบตั ิแลว้ ยงั มีคุณค่าต่อดา้ นปัญญาอีกหลายประการ ซึงพอสรุปได้ 4 ประการ ดงั นี 1. เป็นวธิ ีการแห่งปัญญา ซึงดาํ เนินการแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล เป็ นระบบ วธิ ีแบบอยา่ ง ซึงวธิ ีการแกป้ ัญหาใด ๆ ก็ตาม ทีจะมีคุณค่าและสมเหตุผลจะตอ้ งดาํ เนินไปใน แนวเดียวกนั เช่นนี 2. เป็นการแกป้ ัญหา และจดั การกบั ชีวติ ของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง โดยนาํ เอา หลกั ความจริงทีมีอยตู่ ามธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ ไม่ตอ้ งอา้ งอาํ นาจดลบนั ดาลของตวั การ พิเศษ เหนือธรรมชาติหรือสิงศกั ดิสิทธิใด ๆ 3. เป็นความจริงทีเกียวขอ้ งอยกู่ บั ชีวติ ของคนทุกคน ไม่วา่ มนุษยจ์ ะเตลิดออกไปเกียว ขอ้ งสัมพนั ธ์กบั สิงทีอยหู่ ่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ตวั เขาคงจะตอ้ งมีชีวติ ของตนเองทีมีคุณค่าและสัมพนั ธ์กบั สิงภายนอกเหล่านนั อยา่ งมีผลดีแลว้ เขาจะตอ้ งเกียวขอ้ ง และใชป้ ระโยชน์จากหลกั ความจริงนีตลอดไป

179 4. เป็นความจริงกลาง ๆ ทีติดเนืองอยกู่ บั ชีวติ หรือเป็นเรืองของชีวิตเองแท้ ๆ ไม่วา่ มนุษยจ์ ะสร้างสรรคศ์ ิลปวทิ ยาการ หรือดาํ เนินกิจการใด ๆ ขึนมา เพือแกป้ ัญหาและพฒั นา ความเป็นอยขู่ องตน และไม่วา่ ศิลปวทิ ยาการหรือกิจการต่าง ๆ นนั จะเจริญขึนเสือมลงสูญ สลายไปหรือเกิดมีใหม่มาแทน อยา่ งไรก็ตาม หลกั ความจริงนีก็จะคงยนื ยงใหม่และใชเ้ ป็นประ โยชน์ไดต้ ลอดไป โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ พระบรมศาสดาทรงตรัสวา่ โพธิปักขิยธรรมหรืออภิญญาเทสิธรรมเป็นธรรมอนั เป็น หลกั สาํ คญั ของพระพุทธศาสนา และทรงสงั สอนใหภ้ ิกษุทงั หลายพงึ เล่าเรียนใหด้ ี ใหส้ าํ เร็จ ประโยชน์ใหค้ ล่องแคล่วโดยอุเทศนิเทศปฏินิเทศวาระให้จดั เจนชาํ นาญแลว้ พึงส้องเสพเจริญ กระทาํ ใหม้ ากในสนั ดานก็จะพึงทาํ ใหพ้ รหมจรรยต์ งั อยไู่ ดน้ าน เพราะวา่ โพธิปักขิยธรรม ทงั หมดนนั ลว้ นเป็นมรรคานาํ ไปสู่ความหลุดพน้ (นิพพาน) ดว้ ยกนั ทงั หมด โพธิปักขิยธรรม หมายถึง ธรรมอนั เป็นฝักฝ่ ายแห่งความตรัสรู้ มีทงั หมด 37 ประการ แต่จดั เป็นหมวดแลว้ จดั ไดเ้ ป็น 7 หมวดใหญ่ ๆ ได้ ดงั นี 1) สติปัฏฐาน 4, 2) สัมมปั ปธาน 4, 3) อิทธิบาท 4, 4) อินทรีย์ 5, 5) พละ 5, 6) โพชฌงค์ 7, 7) มรรคมีองค์ 8 และโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ โดยสรุปแลว้ รวมลงในมรรคมีองค์ 8 คือ เมือพดู ถึงมรรคมีองค์ 8 ก็เป็นอนั ครอบคลุมถึง ธรรมอืน ๆ ทีสมั พนั ธ์เกียวขอ้ งดว้ ยกนั ไปทงั หมดไม่อาจจะแยกออกจากกนั ได้ ดงั พุทธพจน์วา่ เมือเขาเจริญมรรคมีองค์ 8 อนั เป็ นอริยะนีอยอู่ ยา่ งนีแลว้ แมส้ ติปัฏฐาน 4 ก็ยอ่ มถึง ความเจริญเตม็ บริบูรณ์ แมส้ ัมมปั ปธาน 4...แมอ้ ิทธิบาท 4...แมอ้ ินทรีย์ 5...แมพ้ ละ 5...แม้ โพชฌงค์ 7 ก็ยอ่ มถึงความเจริญขึนเตม็ บริบูรณ์ เขายอ่ มมีธรรม 2 อยา่ งนี คือ สมถะและ วปิ ัสสนาเขา้ เคียงคู่กนั เป็ นไป ธรรมเหล่าใดพึงกาํ หนดรู้ดว้ ยอภิญญาเขากาํ หนดรู้ดว้ ยอภิญญาซึง ธรรมเหล่านนั ธรรมเหล่าใดพึงละดว้ ยอภิญญาได้ เขาก็ละดว้ ยอภิญญาซึงธรรมเหล่านนั ธรรมเหล่าใดพงึ ใหเ้ กิดมีดว้ ยอภิญญา เขาก็ทาํ ให้เกิดมีดว้ ยอภิญญาซึงธรรมเหล่านนั ธรรม เหล่าใดพึงประจกั ษแ์ จง้ ดว้ ยอภิญญา เขาก็ประจกั ษแ์ จง้ ดว้ ยอภิญญาซึงธรรมเหล่านนั มรรคมอี งค์ 8 สรุปลงในธรรม 3 ประการ มรรคมีองค์ 8 หมายถึง หนทางมีองค์ 8 ประการอนั ประเสริฐ มีดงั นี 1. สมั มาทิฏฐิ ความเห็นชอบหรือความเห็นถูกตอ้ ง ไดแ้ ก่ ความรู้ความเห็นใน อริยสจั จ์ 4 หรือในไตรลกั ษณ์ หรือปฏิจจสมุปบาท

180 2. สมั มาสงั กปั ปะ ความดาํ ริชอบ ไดแ้ ก่ ดาํ ริในการออกจากกาม ดาํ ริในการไม่ ปองร้าย ดาํ ริในการไม่เบียดเบียน ดาํ ริในการไม่พยาบาทอาฆาตเดียดแคน้ 3. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ไดแ้ ก่ วจีสุจริต 4 ประการ 4. สมั มากมั มนั ตะ การกระทาํ ชอบ ไดแ้ ก่ กายสุจริต 3 ประการ 5. สมั มาอาชีวะ เลียงชีพชอบ ไดแ้ ก่ เวน้ มิจฉาชีพ ประกอบสมั มาชีพ 6. สมั มาวายามะ ความเพยี รชอบ ไดแ้ ก่ สัมมปั ปธาน 4 ประการ 7. สัมมาสติ ความระลึกชอบ ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน 4 ประการ 8. สัมมาสมาธิ ความตงั ใจมนั ชอบ ไดแ้ ก่ ฌาน 4 โดยสรุปมรรคมีองค์ 8 จดั เขา้ ไดใ้ นหมวดของศีล สมาธิ และปัญญา โดยขอ้ 3,4,5 เป็นศีล ขอ้ 6,7,8 เป็นสมาธิ ขอ้ 1,2 เป็นปัญญา หมวดของศีล สมาธิและปัญญานี ศีลเป็น ปัจจยั สนบั สนุนใหส้ มาธิและปัญญามีกาํ ลงั แก่กลา้ จนกระทงั สามารถรู้แจง้ เห็นจริงซึงสจั ธรรม ได้ เพราะอาศยั ศีลเป็นพนื ฐานของจิตนีเอง สมาธิและปัญญาจึงเจริญงอกงามและกา้ วหนา้ ต่อไป ไดอ้ ยา่ งมนั คงจนถึงจุดหมาย คือ สจั ธรรมอนั สูงสุด ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าวมานีศีลจึงเป็ นพืนฐาน อนั สาํ คญั ทีช่วยปูพืนของจิต เพือรองรับสมาธิและปัญญาต่อไป ดงั พุทธพจน์ต่อไปนี ดูกรภิกษุทงั หลาย การงานทีจะพงึ ทาํ ดว้ ยกาํ ลงั อยา่ งใดอยา่ งหนึงอนั บุคคลพึงทาํ อยู่ ทงั หมดนนั อนั บุคคลอาศยั แผน่ ดิน ดาํ รงอยบู่ นแผน่ ดินจึงทาํ ได้ การงานทีจะพงึ ทาํ ดว้ ยกาํ ลงั เหล่านี อนั บุคคลยอ่ มกระทาํ ไดด้ ว้ ยอาการอยา่ งนี แมฉ้ นั ใดภิกษุอาศยั ศีล ตงั อยใู่ นศีลแลว้ จึง เจริญอริยมรรค อนั ประกอบดว้ ยองค์ 8 กระทาํ ใหม้ ากขึนซึงอริยมรรคอนั ประกอบดว้ ยองค์ 8 ฉนั นนั เหมือนกนั พืชคามและภูตคามชนิดใดชนิดหนึงนี ยอ่ มถึงความเจริญงอกงามใหญ่โตขึน พชื คาม และภูตคามทงั หมดนนั อาศยั แผน่ ดินตงั อยบู่ นแผน่ ดิน จึงถึงความเจริญงอกงามใหญ่โต แมฉ้ นั ใด ภิกษุอาศยั ศีลตงั อยใู่ นศีลแลว้ เจริญอริยมรรคอนั ประกอบดว้ ยองค์ 8 นนั กระทาํ ให้มากซึง อริยมรรคอนั ประกอบดว้ ยองค์ 8 ยอ่ มถึงความเจริญงอกงามไพบูลยใ์ นธรรมทงั หลายฉนั นนั เหมือนกนั และในขณะเดียวกนั นนั มรรคมีองค์ 8 ก็เป็นเครืองรองรับหรือเป็นฐานรองรับจิต ดว้ ย สมดงั ขอ้ ความตามพทุ ธพจน์ต่อไปนี ดูกรภิกษุทงั หลาย เปรียบเหมือนหมอ้ ทีไม่มีเครืองรองรับ ยอ่ มกลิงไปไดง้ ่าย ส่วนทีมี เครืองรองรับยอ่ มกลิงไปไดย้ ากฉนั ใด จิตก็ฉนั นนั เหมือนกนั ทีไม่มีเครืองรองรับยอ่ มกลิงไปได้ ง่าย ทีมีเครืองรองรับยอ่ มกลิงไปไดย้ าก

181 ดูกรภิกษุทงั หลาย ก็อะไรเป็นเครืองรองรับจิต อริยมรรคอนั ประกอบดว้ ยองค์ 8 นีแล คือ สมั มาทิฏฐิ...สมั มาสมาธิ นีเป็นเครืองรองรับจิต จากพทุ ธพจน์ทียกมาอา้ งนี ถา้ ศีลเปรียบไดก้ บั แผน่ ดินแลว้ สมาธิหรือความสงบแห่ง จิต (สมถะ) ก็เปรียบไดก้ บั ตน้ ไม้ และปัญญาหรือสมั มาทิฏฐิ (วปิ ัสสนา) ก็เปรียบไดก้ บั ผลไม้ นนั เอง เนืองจากมรรคมีองค์ 8 เป็นรากฐานของจิต โดยจิตอาศยั ความสงบของจิตหรือสมถะ เป็นรากฐาน ในการเจริญวปิ ัสสนาจนกระทงั จิตเกิดอาการหยงั รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง เขา้ ถึงสจั ธรรมในทีสุด และจากพุทธพจนท์ ีไดย้ กมาอา้ งแลว้ ทีมีความวา่ เมือเขาเจริญมรรคมี องค์ 8 อนั เป็นอริยะนีอยอู่ ยา่ งนีแลว้ เขายอ่ มมีธรรม 2 อยา่ งนี คือ สมถะและวปิ ัสสนา เขา้ เคียงคู่กนั เป็นไป ดงั นนั จึงสามารถสรุปไดว้ า่ มรรคมีองค์ 8 ยอ่ มสรุปลงไดใ้ นหลกั ธรรม 2 ประการ คือ สมถะหรือสมาธิ และวิปัสสนาหรือปัญญานนั เอง สมถะเป็นความสงบแห่งจิตซึงถูกใชเ้ ป็น บาทฐานในการเจริญปัญญาหรือวปิ ัสสนา ถา้ หากวา่ ขาดตวั สนบั สนุนอนั ไดแ้ ก่สมถะ (ความ สงบของจิต) เสียแลว้ ตวั ปัญญาหรือวปิ ัสสนาญาณยอ่ มจะเกิดขึนไม่ไดอ้ ยา่ งแน่นอน ปฏจิ จสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลกั ธรรมทีแสดงใหเ้ ห็นถึงกระบวนการเกิด การดาํ เนินไป และ การดบั ไปของชีวติ รวมถึงการเกิด – การดบั แห่งทุกขด์ ว้ ย ในกระบวนการนีสิงทงั หลายจะเกิด ขึน – เป็นอยู่ – และดบั ลงไปในลกั ษณะแห่งความสัมพนั ธ์กนั เป็นห่วงโซ่ เป็นเหตุเป็นปัจจยั แก่ กนั และกนั ในรูปของวงจร กล่าวคือ เป็นกระบวนแห่งความสมั พนั ธ์กนั เป็นห่วงโซ่ ใน กระบวนแห่งปฏิจจสมุปบาทนนั ไม่มีส่วนไหนเป็นปฐมกรหรือปฐมเหตุ เพราะกระบวนการ ของชีวติ เป็นวฏั ฏะแห่งกิเลส กรรม วบิ าก ซึงกลายเป็นวฏั สงสาร ในสังยตุ ตนิกาย พระพทุ ธองคท์ รงแสดงปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นตวั สภาวะหรือกฎ ของธรรมชาติ ซึงเป็ นหลกั ความจริงทีอยโู่ ดยธรรมดา ทรงแสดงไวเ้ ป็ น 2 ท่อน คือ ท่อน แรกแสดงกระบวนการเกิด เรียกวา่ สมุทยวาร ท่อนหลงั แสดงกระบวนการดบั เรียกวา่ นิโรธ วาร ดงั นี 1. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมือสิงนีมี สิงนีจึงมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปิ ปัชฺชติ เพราะสิงนีเกิดขึน สิงนีจึงเกิดขึน 2. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมือสิงนีไม่มี สิงนีก็ไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะสิงนีดบั ไป สิงนีก็ดบั ไปดว้ ย

182 อนึง ปฏิจจสมุปบาทในฐานเหตุ – ปัจจยั แห่งกนั และกนั มี 12 องคป์ ระกอบ คือ 1. อวชิ ชา 2. สงั ขาร 3. วญิ ญาณ 4. นามรูป 5. สฬายตนะ 6. ฝัสสะ 7. เวทนา 8. ตณั หา 9. อุปาทาน 10. ภพ 11. ชาติ 12. ชรามรณะ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงปฏิจจสมุปบาทวา่ มีความสัมพนั ธ์เป็นเหตุเป็นปัจจยั ซึงกนั และ กนั เกียวโยงเป็นห่วงโซ่ตลอดสาย เป็นกระบวนการไวใ้ นสังยตุ ตนิกายนนั เอง ดงั นี ดูกร ภิกษุทงั หลาย อะไรเล่าทีเรียกวา่ ปฏิจจสมุปบาท ดูกรภิกษุทงั หลาย เพราะมีอวชิ ชาเป็นปัจจยั จึงมีสงั ขาร เพราะมีสงั ขารเป็ นปัจจยั จึงมีวญิ ญาณ เพราะมีวญิ ญาณเป็นปัจจยั จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจยั จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจยั จึงมีผสั สะ เพราะมีผสั สะเป็นปัจจยั จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจยั จึงมีตณั หา เพราะมีตณั หาเป็นปัจจยั จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจยั จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจยั จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็ นปัจจยั ชรามรณะ โสกปริเทวะ ทุกขโทมนสั อุปายาสทงั หลายจึงได้ เกิดขึนครบถว้ น ความเกิดขึนพร้อมแห่งกองทุกขท์ งั สินนี ยอ่ มมีดว้ ยอาการอยา่ งนี นีเรียกวา่ ปฏิจจสมุปบาท ปัญหาจึงมีวา่ ความเกิด (คือชาติ) มีขึนมาไดอ้ ยา่ งไร ในการตอบปัญหานี พระพทุ ธ องคท์ รงชีไปทีความตอ้ งการหรือเจตนาทีจะกระทาํ ทางกาย วาจา ใจ ใหเ้ ป็นกรรมขึน คือภพ ภพ เกิดขึนเพราะมีอุปาทาน คือ ความยดึ เหนียวมนั คง อุปาทานเกิดขึนไดเ้ พราะมี ตณั หา คือความอยาก ตณั หาเกิดขึนเพราะมีเวทนาคืออารมณ์ทีชอบไม่ชอบหรือเฉย ๆ เวทนา เกิดขึน เพราะมีผสั สะคือการสัมผสั ถูกตอ้ ง ผสั สะเกิดขึนเพราะมีอายตนะ (สฬายตนะ) ทงั 6 คือ ตา หู จมูก ลิน กาย ใจ อายตนะเกิดขึนเพราะมีนามรูป คือ ตวั คนเราทีมีร่างกายและ จิตใจ นามรูปเกิดขึนเพราะมีวญิ ญาณคือจิตใจ วิญญาณหรือจิตใจ มีอารมณ์เป็ นความรู้สึกพเิ ศษ อยา่ งหนึงของสัตวท์ งั หลาย ความรู้สึกพิเศษนีเอง คือ อดีตกรรมเกิดขึนในขณะปฏิสนธิ เป็น อารมณ์ปรุงแต่งใหเ้ กิด ทางกาย วาจา ใจ ซึงเป็นพฤติกรรมของจิต ไดแ้ ก่ สังขาร ดงั นนั

183 สังขารเกิดขึนเพราะมีอวชิ ชาคือความไม่รู้ ความหลงผดิ เขา้ ใจผดิ ซึงเป็นเหตุของความทุกขท์ งั มวล องคป์ ระกอบทงั 12 ประการ มีอธิบาย ดงั นี 1. อวชิ ชา คือ ความไม่รู้ในสภาวธรรมและหลกั สจั ธรรมมีอยู่ 8 อยา่ ง คือ 1. ไม่รู้จกั ทุกข์ 2. ไม่รู้จกั เหตุแห่งทุกข์ 3. ไม่รู้ความดบั ทุกข์ 4. ไม่รู้ทางแห่ง ความดบั ทุกขน์ นั ๆ สีขอ้ นีคือ ความไม่รู้อริยสจั ธรรม 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรคนนั เอง 5. ไม่รู้อดีตไม่รู้จกั สาวหาเหตุในอดีตวา่ สิงทีปรากฏในปัจจุบนั นี คือ เป็นผลแห่ง เหตุอะไรในอดีต 6. ไม่รู้อนาคต คือ ไม่รู้จกั คาดการณ์ขา้ งหนา้ วา่ สิงทีปรากฏในปัจจุบนั นีจะ เป็นเหตุใหผ้ ลอยา่ งไรในอนาค 7. ไม่รู้จกั ทงั อดีตและอนาคต คือไม่รู้จกั โยงเหตุในอดีตให้ เชือมถึงผลในอนาคต 8. ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท คือ ไม่รู้จกั สภาวธรรมนนั ๆ ตามความเป็นจริง โดยเป็นธรรมทีวา่ อาศยั กนั และกนั เกิดขึน คือ เป็นเหตุและปัจจยั ซึงกนั และกนั ตราบใดทียงั ไม่รู้จกั สัจธรรมเหล่านี ก็จะทาํ ใหเ้ กิดความหลงผดิ เขา้ ใจผดิ ต่าง ๆ นานา เกิดกิเลสทีเรียกวา่ โมหะ ขึน อนั เป็นรากเหงา้ ของอวชิ ชา กิเลสโมหะนีเองทาํ ใหเ้ กิดอารมณ์ ปรุงแต่งคือสงั ขารขึนมา เมือยดึ ถือสังขารเป็นตวั ตนเราเขาคือความหลงผดิ คิดวา่ ร่างกายนีเป็น ของเรา สิงนีเป็นของเของเรา รวมความวา่ อวชิ ชาคือความไม่รู้จกั ตวั เองวา่ คืออะไร เกิดขึนมา เพราะอะไร ทาํ ไมจึงตอ้ งเกิดดงั นนั อวชิ ชาจึงเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดสังขาร สังขารทงั หลายเกิดขึนได้ เพราะมีอวชิ ชาเป็นปัจจยั 2. สงั ขาร คือ อารมณ์ทงั ปวงทีปรุงแต่งจิตใจ สังขารทีไม่ประกอบหรือปรุงแต่งจิตใจ หรือวญิ ญาณเรียกวา่ อนุปาทินกสังขาร ไดแ้ ก่อารมณ์ของโลก คือ รูป เสียง กลิน รส สัมผสั ส่วนสังขารทีปรุงแต่งจิตใจหรือวญิ ญาณ ทีเรียกวา่ อุปาทินกสงั ขารนนั ไดแ้ ก่ อารมณ์ทีเป็น ความรู้สึกภายในจิตใจ เป็นเหตุใหเ้ กิดวิญญาณขึน สังขารทีเขา้ ไปปรุงแต่งจิตใจให้เป็นความรู้ ความเขา้ ใจ ถา้ ความรู้นนั ยงั ไม่พอก็เกิดความเขา้ ใจผดิ ยดึ ถือเอาสงั ขารนนั และหวนั ไหวไปตาม อารมณ์ก็เป็นอวชิ ชา เมือใดเห็นสังขารทงั อนุปาทินกสังขารและอุปาทินกสังขารอยา่ งแจ่มแจง้ แลว้ ก็จะรู้เห็น วสิ งั ขาร คือ จิตหรือวญิ ญาณเดิมทีเป็ นผรู้ ู้เห็นและเป็ นใหญ่กวา่ สงั ขารทงั ปวง ทาํ ใหค้ วามรู้ใหม่ ๆ เกิดขึนเสมอ ดงั นนั สงั ขารจึงเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิดวญิ ญาณขึน 3. วญิ ญาณ คาํ วา่ วญิ ญาณ แปลวา่ ความรู้ไดต้ ่าง ๆ หรือความรู้แจง้ วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาทนีหมายถึง ปฏิสนธิวญิ ญาณ คือ วญิ ญาณทีเกิดขึนเพือทาํ หนา้ ทีสืบต่อจาก วญิ ญาณอืน ๆ ทีเกิดขึนจากสงั ขาร (เจตนา) และอวชิ ชา (ความไม่รู้) เป็นตน้ เหตุมาก่อน กล่าวคือ เมือถึงแก่ความตาย คือจิตจุติเคลือนออกไปดว้ ยอาํ นาจของกรรมและเจตนารมณ์

184 (สงั ขาร) ทาํ ใหเ้ กิดมีปฏิสนธิวญิ ญาณขึน และจะก่อตวั เป็นรูปร่างขึนมาใหม่ คือ การเกิด ดงั นนั วิญญาณจึงเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิดนามรูป 4. นามรูป ในขนั นี เมือปฏิสนธิวญิ ญาณไดเ้ กิดขึนแลว้ วญิ ญาณอืนคือวิญญาณใน ขนั ธ์ ไดแ้ ก่ จกั ษุวญิ ญาณ โสตวญิ ญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวญิ ญาณ กายวญิ ญาณ และมโน วญิ ญาณ ก็เกิดขึนตามทนั ทีทนั ใด วญิ ญาณทีจะเกิดมาไดต้ อ้ งอาศยั ร่างกายหรือรูปร่างทีมีจิตใจ อยดู่ ว้ ย ดงั นนั นามคือจิตหรือวิญญาณ ซึงมีเจตสิกเกิดร่วมดว้ ย เจตสิกไดแ้ ก่ เวทนา สญั ญา และสงั ขาร ส่วนรูป ไดแ้ ก่ ร่างกาย อวยั วะต่าง ๆ ตลอดจนวตั ถุสิงของทีมีรูปร่าง ดว้ ยเหตุนี นามรูปจึงเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดสฬายตนะ 5. สฬายตนะ เมือมีนามรูปเกิดขึน ยอ่ มตอ้ งมีทวารสาํ หรับรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ทวาร ดงั กล่าว คือ สฬายตนะหรืออายตนะทงั 6 ไดแ้ ก่ ตา หู จมูก ลิน กาย ใจ คู่กบั อายตนะ ภายนอก ไดแ้ ก่ รูป เสียง กลิน รส สมั ผสั ธรรมารมณ์ ดงั นนั นามรูปจึงเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิด สฬายตนะ ดงั นนั ความหมายของสฬายตนะในทีนีจึงหมายถึงนามและรูป 6. ผสั สะ การกระทบของอารมณ์ภายในและภายนอก จึงทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกสมั ผสั ที ทวารทงั 6 เป็นอารมณ์ขึน ทวารทงั 6 คือ อายตนะทงั 6 นนั เอง ความรู้สึกทีเป็ นอารมณ์ นีถา้ เป็นสิงทีชอบใจก็เป็ นสุขไม่ชอบใจก็เป็นทุกขห์ รือเฉย ๆ เป็นอุเบกขา เรียกความรู้สึกเหล่า นีวา่ เวทนา ดงั นนั ผสั สะจึงเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดเวทนา 7. เวทนา คือความรู้สึกทางใจทีเกิดจากอารมณ์ทงั 6 วา่ เป็นสุข เป็นทุกขห์ รือเฉย ๆ ไดแ้ ก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา ความสุข ความทุกข์ หรือเฉย ๆ เหล่านีเกิดขึน ได้ เพราะผสั สะคือการกระทบทางตา – หู –จมูก – ลิน – กาย- ใจ ทีพอใจก็เป็นสุข ไม่พอใจก็ เป็นทุกขห์ รือเฉย ๆ ตามธรรมดาคนเรามกั ดินรนแสวงหาทงั ความสุขและความทุกข์ แต่บางที ก็เฉย ๆ เมือมีการดินรนแสวงหาก็เกิดความตอ้ งการ อยากมีอยากไดอ้ ยากเป็นอะไรต่าง ๆ เหล่านี เรียกวา่ ตณั หา ดงั นนั เวทนา จึงเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดตณั หา 8. ตณั หา คือ ความทะยานอยากไดไ้ ม่มีทีสินสุด เพราะเหตุนีท่านจึงเปรียบตณั หา เหมือนยางเหนียวในพชื ตณั หามี 3 อยา่ ง ดงั รายละเอียดทีอธิบายมาแลว้ ขา้ งตน้ 9. อุปาทาน คือ ความยดึ มนั ถือมนั ในตณั หานนั ๆ อยา่ งแรง ถอนความรู้สึกได้ ยากจนติตอยใู่ นสันดาน มีอยู่ 4 ประการ คือ 1. กามุปาทาน ความยดึ มนั หรือยดึ เหนียวเอากามคุณมาเป็นอารมณ์ ไดแ้ ก่อารมณ์ ทงั 6 อยา่ ง คือ ความยนิ ดี พอใจ ติดใจ ในรูป เสียง กลิน รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ์

185 2. ทิฏ ุปาทาน การยดึ มนั ถือมนั ในความคิดเห็นผดิ ไปจากสภาวธรรมแห่งความเป็น จริง 3. สีลพั พตุปาทาน การยดึ ถือเอาศีลวตั รขอ้ ปฏิบตั ิ ผดิ จากสภาวธรรมแห่งความเป็ น จริง 4. อตั ตวาทุปาทาน การยึดถือเอาสัตว์ บุคคล เรา เขา เพราะสรรพสิงมีสภาวะเป็ น อนตั ตหาอตั ตายนื โรงไม่ได้ แต่โดยธรรมดาแลว้ คนเรามกั ยดึ ถือเอาวา่ ร่างกายและจิตเป็ น ตวั เรา อยตู่ ลอดเวลา ดว้ ยเหตุนี อตั ตวาทุปาทาน จึงเป็นอุปาทานอนั ดบั แรกทีฝังอยปู่ ระจาํ สันดานของ มนุษย์ ในบรรดาอุปาทานทงั 4 นี กามุปาทานนนั เป็นกิเลสทีเหนียวแน่นมากทีสุด แมแ้ ต่ พระอริยบุคคลขนั โสดาปัตติมรรคก็ยงั ละไม่ได้ พระอรหนั ตเ์ ท่านนั จึงละไดอ้ ยา่ งเด็ดขาด เมือมี อุปาทานเกิดขึน บุคคลยอ่ มประกอบกรรมทางกาย วาจา และใจ เพอื ใหส้ าํ เร็จตามประสงค์ คือ เจตนา กรรม เหล่านีเป็ นปัจจยั ใหจ้ ุติจิตไปสู่ภพภูมิต่าง ๆ 10. ภพ คือ กรรมทีกระทาํ ดว้ ยกาย วาจา ใจ โดยเจตนาใหเ้ กิดขึน การกระทาํ นียอ่ ม ประทบั อยใู่ นจิตใจตลอด ในขณะทีสตั วจ์ ะถึงแก่ความตาย มีกรรมนิมิตและอารมณ์นิมิต เกิดขึน ซึงเป็นนิมิตทีเกิดขึนมาจากอารมณ์ทียดึ มนั อยา่ งเหนียวแน่น ทาํ ใหม้ ีปฏิสนธิวญิ ญาณ เกิดขึน นาํ ไปสู่ภพใดภพหนึงตามผลกรรมในขณะมีชีวติ ดงั นนั ภพจึงแบ่งออกเป็น 3 ภพคือ 1. กามภพ คือ ภพทีเป็นกรรมเกิดจากกามคุณทงั 6 ไดแ้ ก่ ความใคร่ หรือ ติดใจ ในรูป เสียง กลิน รส สัมผสั ธรรมารมณ์ ซึงอารมณ์เหล่านียอ่ มมีประจาํ อยใู่ นภพภูมิต่าง ๆ ของโลกทงั 3 ทงั สิน คือ โลกนรก โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ 2. รูปภพ คือ ภพทีเป็นกรรมเกิดจากการยดึ เอารูปฌานมาเป็นอารมณ์ ไดแ้ ก่รูป พรหม 3. อรูปภพ คือ ภพทีเป็นกรรมเกิดจากการยดึ เอาอรูปฌานมาเป็ นอารมณ์ ไดแ้ ก่ อรูปพรหม 11. ชาติ คือ การเกิดขึนหรือปฏิสนธิในกาํ เนิด 4 อยา่ ง ขณะทีบุคคลจะถึงแก่ความ ตาย มีอารมณ์เกิดขึนเป็นวาระสุดทา้ ยของชีวติ ทีเรียกวา่ นิมิต ไดแ้ ก่ กรรมารมณ์ กรรมนิมิต อารมณ์และคตินิมิตอารมณ์ ตามลาํ ดบั หรืออารมณ์อยา่ งใดอยา่ งหนึงเกิดขึน อารมณ์เหล่านี เป็นปัจจยั นาํ ไปเกิด (ชาติ) ในกาํ เนิด 4 อยา่ งใดอยา่ งหนึง คือ 1. ชลาพชุ ะ เกิดจากนาํ เชือ 2. อณั ฑชะเกิดจากไข่ 3. สงั เสทชะ เกิดจากสิงโสโครก บูดเน่า 4. โอปปาติกะ เกิดโดยผดุ ขึน

186 ทนั ทีทนั ใด โดยไม่ตอ้ งผสมพนั ธุ์และเมือปฏิสนธิเกิดเป็นชาติแลว้ ก็มีชีวติ อยู่ ต่อไปเป็ นเหตุให้ มีความแก่ ความเจบ็ ความตาย ทนทุกขท์ รมานในสภาวะเช่นนี 12. ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั สะ อุปายาสะ เมือมีชีวติ เกิดขึนมา ยอ่ มตอ้ งผจญกบั ความทุกขเ์ ดือดร้อนนานาประการ ทงั ทางร่างกายและจิตใจ วนุ่ วายเร่าร้อนหา ความสุขทีแทจ้ ริงไดย้ าก ชีวิตกลายเป็นกอ้ นทุกขท์ ีตอ้ งแก่ เจบ็ ตายในทีสุด และยงั ก่อให้ เกิด ทุกอยา่ งอืนขึนอีกไม่ยตุ ิ แมส้ ุขทียดึ ถือเป็นเพียงมายา คือ สุขทีมีทุกขเ์ ป็นพืนฐาน สุขเจือดว้ ย ทุกขโ์ ดยแท้ ชีวติ จึงจมอยใู่ นกองทุกขต์ ลอดชาติ ตราบใดทียงั ไม่รู้จกั ทุกขท์ ีแทจ้ ริงไดก้ ็ถือวา่ เป็น อวชิ ชา ซึงเป็นปัจจยั ก่อใหเ้ กิดสังขาร สงั ขารก่อใหเ้ กิดวญิ ญาณ วญิ ญาณก่อใหเ้ กิดนามรูปจนถึงชรามรณะเกียวโยงกนั ไปเป็ นลูกโซ่ หมุนเวยี นเป็นวงจรอยอู่ ยา่ งนีตลอดไป เมืออวชิ ชาดบั ดว้ ยอาํ นาจแห่งวชิ ชาสังขารก็ดบั สังขาร ดบั วญิ ญาณก็ดบั วิญญาณดบั นามรูปก็ดบั ดงั นนั แลว้ กองทุกขท์ งั มวลเป็นอนั ดบั ไปดว้ ย ความจริง 2 ระดบั ในการทีÉจะเข้าไปรับรู้ธรรมชาตอิ นั อยเู่ บือÊ งหลงั แหง่ ปรากฏการณ์ทงัÊ หลายทÉีเรียกวา่ อนตั ตา นนัÊ พระพทุ ธศาสนาใช้วิธีการวิเคราะห์ โดยเฉพาะเรืÉองของชีวติ มนษุ ย์นี Ê พระพทุ ธ องคท์ รงวิเคราะห์และทรงแสดงไว้วา่ ความจริงทÉีทรงค้นพบนนัÊ มีอยู่ 2 ระดบั คอื 1. ความจริงขนัÊ สมมติ เชน่ การทีÉเราสมมตเิ รียก นาม – รูป วา่ สตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เรา เขา และได้ยึดถือเป็นจริงวา่ ตวั ฉนั และของฉนั ความจริงระดบั นีเÊรียกวา่ สมมตสิ จั คือ เป็นจริงในฐานะเป็นสÉงิ สมมติ หรืออยา่ งมีอตั ตา 2. ความจริงขนัÊ ปรมตั ถ์ คือ ความจริงทีÉอยเู่ หนือความสมมติ ปราศจากการยดึ ถือวา่ ตวั ฉนั และ ของฉนั ซงÉึ เป็นความจริงทÉีตรงกนั ข้ามกบั การยดึ ถือวา่ อตั ตา เพราะสรรพสิÉงตกอยู่ ในสภาพแปรปรวนและไมอ่ ยใู่ นอํานาจของใคร สภาพทีÉยึดถือวา่ ตวั เรา ของเรา จงึ เป็นเพียง อปุ าทานเทา่ นนัÊ เพราะสรรพสงÉิ ในขนัÊ สงู สดุ แล้วมีความจริงเป็นอนตั ตา คอื เป็นสภาพหาตวั ยืนโรงไมไ่ ด้ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ในขนัÊ ต้นนนัÊ พระพทุ ธศาสนาได้ยอมรับวา่ ในความจริงนนัÊ มีสภาวะ อนั เรียกวา่ นามรูปเป็นไปอย่อู ยา่ งอิงอาศยั กนั และนามรูปนนัÊ เมÉือวเิ คราะห์แยกออกแตล่ ะตอน แล้วก็จะได้พบสภาวะทีÉเรียกวา่ ขนั ธ์ 5 หรือ 5 กอง คือรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ และเมืÉอแยกแตล่ ะกองออกไปอีกก็จะพบสจั จะรวมกนั อยู่ คือ ความเป็นสภาวะแหง่ อตั ตา

187 รูปนนัÊ เป็นสิงÉ ทÉีเกิดขนึ Ê มาจากการรวมตวั ของธาตสุ Éี คือ ดนิ นําÊ ลม ไฟ ซงึÉ ธาตแุ ต่ ละอยา่ งเป็นสÉงิ ไมเ่ ทÉียงแท้แน่นอน เสÉือมสลายได้ ดงั ทÉีพระสารีบตุ รกลา่ วไว้ในมชั ฌมิ นิกาย ตอนหนงÉึ วา่ ดกู รทา่ นผ้มู ีอายทุ งัÊ หลาย สมยั ทีÉปฐวีธาตทุ ีÉเป็นภายนอกกําเริบยอ่ มมีได้ และในสมยั นนัÊ จะเป็นของอนั ตรธานไป ก็เชÉือวา่ ความทีÉแหง่ ปฐวีธาตอุ นั เป็นภายนอก ซงÉึ ยÉงิ ใหญ่ถึงเพียง นนัÊ เป็นของไมเ่ ทีÉยง สมยั ทÉีอาโปธาตทุ Éีเป็นไปภายนอกกําเริบ ยอ่ มพดั เอาบ้านไปบ้างเอานคิ ม ไปบ้าง ความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาจกั ปรากฏได้ สมยั ทÉีเตโชธาตอุ นั เป็นไปภายนอกกําเริบ ยอ่ มไหม้บ้าน ยอ่ มไหม้เมืองบ้าง มาถึงหญ้าสด หนทาง ภเู ขา นําÊ ยอ่ มดบั ไปเอง ความเป็น ของแปรปรวนไปเป็นธรรมดาจกั ปรากฏได้ นีแÊ สดงให้เหน็ วา่ ธาตทุ ีÉเป็นของภายนอกมีความแปรปรวน ไมเ่ ทÉียงแท้แนน่ อน เสืÉอม สลายได้แม้จะยÉิงใหญ่สกั เพียงไหนก็ตาม ดงั นนัÊ ธาตทุ งัÊ สีÉทÉีมาประกอบเป็นรูปนนัÊ ก็ยอ่ มเป็นสิงÉ ทÉีไมเ่ ทÉียง แปรปรวนไปเป็นธรรมดาเหมือนกนั เพราะถ้าสว่ นยอ่ ยไมเ่ ทÉียง มีความแปรปรวนมา รวมกนั ผลรวมของมนั ยอ่ มไม่เทีÉยง มีความแปรปรวนด้วย ฉะนนัÊ ในเรÉืองรูปนีมÊ ลู บทจงึ ออกมา เป็นวา่ รูป เป็นสิÉงไมเ่ ทีÉยง ไมม่ ีตวั ตน เมืÉอพิจารณา วิญญาณ ทีÉทางอภิธรรมเรียกวา่ จติ ซึÉงเป็นธาตแุ หง่ การรับรู้ทÉีเกิดขึนÊ เมืÉอ รูป เสียง กลนÉิ รส สมั ผสั และความนกึ คดิ มากระทบกนั อายตนะทงัÊ หก คือ ตา หู จมกู ลินÊ กาย และใจ ในเงÉือนไขทีÉเพียงพอ ถ้าตาพกิ าร ถงึ จะมีรูปให้เห็นก็ไมส่ ามารถทําให้ เกิดจกั ขวุ ิญญาณได้ หรือตาดรี ูปก็มีให้เห็น แตไ่ มม่ ีแสงสวา่ ง ก็ไมอ่ ยใู่ นเงÉือนไขทีÉจะทําให้เกิด จกั ขวุ ญิ ญาณเหมือนกนั ในทํานองเดยี วกนั การรับรู้ทางอÉืนก็เป็นเชน่ นี Ê นนÉั คือ ต้องอาศยั ปัจจยั และเงÉือนไขทีÉเพียงพอและจะดบั ลง เมÉือขาดปัจจยั และเงÉือนไขทÉีเพียงพอ ซงÉึ แสดงวา่ วญิ ญาณนนัÊ เป็นสิงÉ ทÉีไมเ่ ทีÉยง จําเป็นต้องอาศยั เหตปุ ัจจยั ทําให้เกิดขนึ Ê มีปัจจยั มีเงÉือนไขเพียง พอ การรับรู้นนัÊ ก็เกิดขนึ Ê ได้ ถ้าขาดปัจจยั เงÉือนไขไมพ่ อ การรับรู้ก็ดบั ถ้าวญิ ญาณเทีÉยง วญิ ญาณจะไมจ่ ําเป็นต้องอาศยั เหตปุ ัจจยั วญิ ญาณจะต้องมีอยไู่ ด้ โดยอะไรก็ไมส่ ามารถทําให้แปรปรวนได้ แตน่ Éีวิญญาณต้องอาศยั เหตปุ ัจจยั และแปรปรวนไป ตามอํานาจของเหตปุ ัจจยั ดงั นนัÊ ในเรืÉองนามนี Ê มลู บท จงึ ออกมาวา่ วิญญาณเป็นสภาวะไม่ เทÉียง ไมม่ ีตวั ตน เมÉือวญิ ญาณเป็นสภาวะไมเ่ ทÉียง ไมม่ ีตวั ตน เวทนา สญั ญา และสงั ขารใน ฐานะเจตสิกอนั เป็นสิงÉ ทÉีขนึ Ê ตอ่ จิต หรือวิญญาณข้างต้นนนัÊ ยอ่ มเป็นสิÉงทีÉไมเ่ ทÉียงไปด้วยเพราะ วญิ ญาณไมเ่ ทีÉยงเกิดดบั เกิดดบั ขนึ Ê ตอ่ เหตปุ ัจจยั เจตสิกอนั เป็นสงÉิ ทีÉขนึ Ê ตอ่ วญิ ญาณยอ่ มเกิด ดบั เกิดดบั ตามไปด้วย ดงั นนัÊ เจตสิก จงึ เป็นสิÉงไมเ่ ทÉียง ไมม่ ีตวั ตน

188 เมืÉอพจิ ารณาจนพบความไมเ่ ทีÉยงในขนั ธ์แตล่ ะอนั แล้ว ก็จะพบวา่ เมÉือขนั ธ์แตล่ ะอนั ไม่ เทÉียง คอื ตกอยใู่ นอาการเกิดขนึ Ê แปรไป และสลายตวั ตามหลกั อนจิ จงั ทงัÊ สินÊ เมÉือขนั ธ์ทงัÊ ห้า มาประชมุ รวมกนั ก็ไมไ่ ด้มีอะไรเกิดขนึ Ê ใหม่ นอกเหนือจากกลมุ่ ก้อนอนั เป็นทÉีรวมของความแปร ปรวนตา่ ง ๆ ทÉีแฝงเอาภาวะทÉีพร้อมจะแตกแยกและเสืÉอมสลายไว้ในตวั อย่างเตม็ ทีÉ กลา่ วคือ ไมไ่ ด้มีตวั ตน อะไรทÉีมีความจริงแยกอย่ตู า่ งหากจากขนั ธ์ทงัÊ ห้านนัÊ เมืÉอเป็นเชน่ นี Ê พวกเรายดึ ถือเอาขนั ธ์ห้าวา่ เป็นตวั ตนของเราแล้ว ย่อมทําให้เกิดทกุ ข์ อนั เนÉืองมาจากความขดั แย้งทีÉเกิดขนึ Ê เพราะขนั ธ์ทงัÊ ห้าเป็นสÉงิ ทÉีเปลÉียนแปลงไปไมส่ มบรู ณ์ มี ความบกพร่องในตวั เอง จงึ ทําให้ไมส่ มอยากแกผ่ ้เู ข้าไปยดึ ด้วยตณั หา อปุ าทานทÉีต้องการควบ คมุ การเปลÉียนแปลงให้เป็นไปตามทีÉต้องการ เพราะความเปลีÉยนแปลงดงั กลา่ วขนึ Ê ตอ่ เหตปุ ัจจยั ทÉีสมั พนั ธ์กนั ตามวิถีทางแหง่ ธรรมชาติ ไมอ่ ยใู่ นอํานาจของเราทีÉจะควบคมุ ได้ แตค่ วามเปลÉียน แปลงดงั กลา่ วนี Ê จะไมม่ ีอทิ ธิพลตอ่ เราเลย ถ้าเราไมไ่ ปยึดถือวา่ เป็นตวั ฉัน และเป็นของฉนั เมÉือกลา่ วโดยปรมตั ถ์แล้ว ธรรมทงัÊ หลายอนั เป็นไปในภมู ิ 3 ทงัÊ สินÊ นี Ê คือ ธาตุ 18 อายตนะ 12 ขนั ธ์ 5 แยกออกเป็น 2 สว่ น คอื นามกบั รูป เทา่ นนัÊ เป็นไปอยู่ นอกจากนาม และรูปแล้ว สงิÉ อืÉนเป็นสตั ว์ก็ดี บคุ คลก็ดี ล้วนแตเ่ ป็นสมมตสิ จั ปรากฏเป็นไปอยเู่ พราะอิงอา ศยั กนั เทา่ นนัÊ พระสารีบตุ รได้กลา่ วไว้ในมชั ฌิมนกิ ายตอนหนงÉึ วา่ ดกู รอาวโุ ส อากาศอาศยั เครืÉองไม้ด้วยอาศยั เถาวลั ย์ (สําหรับมดั ) ด้วย อาศยั ดนิ เหนียว(สําหรับฉาบฝา) ด้วย อาศยั หญ้า (สําหรับมงุ ) ด้วย ล้อมอยู่ ยอ่ มได้ชÉือวา่ เรือนเทา่ นนัÊ เองฉนั ใดก็ดี ดกู รอาวโุ ส อากาศ อาศยั กระดกู ด้วย อาศยั เอ็นด้วย อาศยั เนือÊ ด้วย อาศยั หนงั ด้วย ล้อมอยู่ ยอ่ มได้ชืÉอวา่ รูป เทา่ นนัÊ เอง ฉนั นนัÊ นนÉั แล ตามทีÉกลา่ วมานีจÊ งึ สรุปได้ดงั นี Ê นามและรูปเป็นสÉงิ คกู่ นั ทงัÊ คอู่ าศยั กนั และกนั เมืÉออยา่ งหนงÉึ แตก ก็แตกทงัÊ คู่ ตาม ปัจจยั นนัÉ ก็คือ เมÉือเสียงอาศยั กลองทีÉคนตีด้วยไม้เป็นไปอยู่ กลองก็อนั หนงึÉ เสียงก็อนั หนงÉึ กลองและเสียงมิใชส่ งÉิ เดยี วกนั กลองวา่ งจากเสียง เสียงก็วา่ งจากกลองฉนั ใด เมÉือนามอาศยั รูป กลา่ วคือหทยั วตั ถุ ทวาร และอารมณ์เป็นไปอยู่ รูปก็อนั หนงึÉ นามและรูปมิได้เป็นสÉิง เดยี วกนั นามวา่ งจากรูป รูปก็วา่ งจากนาม ฉนั นนัÊ เหมือนกนั เป็นแตว่ า่ นามอาศยั รูปเป็นไป ดงั เสียงอาศยั กลองเป็นไปฉะนนัÊ การทÉีนามและรูปอาศยั กนั เกิด เป็นอตั ตาขึนÊ นีมÊ ิได้หมายความวา่ แตล่ ะสว่ นมีความ สําเร็จ ในตวั ของมนั เอง กลา่ วคือ ความต้องการของอตั ตาหรือการกระทําตา่ ง ๆ ของอตั ตา ไมไ่ ด้มีความสมั ฤทธÍิในธาตเุ ดมิ ของตน แตเ่ ป็นการปรากฏขนึ Ê หรือสําเร็จผลขนึ Ê ตามมา เพราะ

189 นามและรูปอาศยั กนั นนÉั เอง ดงั นนัÊ ทา่ นจงึ อปุ มาด้วยคนพกิ าร 2 คน คนหนงึÉ ตาบอดแตก่ ํา เนิด คนหนงÉึ เป็นคนง่อย คิดจะเดนิ ทาง คนบอดแตก่ ําเนดิ จงึ พดู กบั คนง่อยว่า ฉนั สามารถใช้ เท้าได้แตต่ าทีÉจะใช้ดทู ีÉเรียบไมเ่ รียบของฉนั ไมม่ ี ข้างคนง่อยก็พดู กระคนตาบอดวา่ ข้านÉีสามารถ ใช้ตาได้ แตต่ นี ทีÉจะก้าวหรือถอยของข้าไมม่ ี คนตาบอดนนัÊ ดใี จจงึ ให้คนงอ่ ยขนึ Ê บา่ คนงอ่ ยนงÉั บนบา่ ของคนตาบอด คอยบอกหลีกซ้ายไว้ขวาหลีกขวาไว้ซ้าย คนตาบอดทําตามคนง่อยบอก พากนั ไปได้ ในสองคนนนัÊ ข้างคนตาบอดก็ไมม่ ีเดช ออ่ นแอ ไปด้วยเดช และด้วยกําลงั ของ ตนก็หาไมค่ นงอ่ ยเองก็ไมม่ ีเดช ออ่ นแอ ไปด้วยเดชและด้วยกําลงั ของตนก็หาไมแ่ ตก่ ารอาศยั กนั และกนั เป็นอยคู่ วามสมั ฤทธÍิจงึ เกิดขนึ Ê ดงั นนัÊ พระสารีบตุ รจงึ กลา่ วอีกวา่ ธรรมทงัÊ หลายเป็นสงั ขตะอ่อนแอโดยลําพงั ตน เกิด ด้วยพละของตนไมไ่ ด้ทงัÊ ตงัÊ อยดู่ ้วยกําลงั ของตนก็ไมไ่ ด้ด้วย มนั มีปกตเิ ป็นไปตามอํานาจของ ธรรมอืÉนเกิดขนึ Ê คือธรรมเหล่านนัÊ เกิดเพราะมีธรรมอืÉนเป็นปัจจยั ตงัÊ ขนึ Ê พร้อม เพราะมีธรรมอืÉน เป็นอารมณ์และปัจจยั ทงัÊ หลาย ซงÉึ เป็นธรรมอÉืนให้เป็น คือให้เกิดขนึ Ê คนทงัÊ หลาย อาศยั เรือไปในทะเลได้ฉนั ใดก็ดี นามกายก็อาศยั รูปเป็นไปได้ฉนั นนัÊ นนÉั แลเรืออาศยั คนทงัÊ หลายไปในทะเลฉนั ใด รูปกายก็อาศยั นามเป็นไปได้ฉนั นนัÊ เหมือนกนั คน ทงัÊ หลายและเรือทงัÊ สองฝ่ายตา่ งอาศยั กนั ไปในทะเลได้ฉนั ใด นามและรูปทงัÊ สองก็เป็นธรรม อาศยั กนั และกนั เป็นไป ฉนั นนัÊ นีแÊ สดงให้เห็นวา่ สงั ขารหรือสภาพปรุงแตง่ ทงัÊ หลายมีความแปรปรวน และเป็นทกุ ข์ เพราะสรรพสงิÉ มีลกั ษณะหาตวั ยืนโรงเทีÉยงแท้แนน่ อนอะไรไมไ่ ด้ ดงั นนัÊ อนตั ตาธรรม จงึ เป็น ลกั ษณะรวบยอดแหง่ ธรรมทงัÊ ปวง (รศ.ดร. เดอื น คาํ ดี. 2541:147-150) กรรมและกฎแห่งกรรม พระพทุ ธศาสนาสอนให้เชืÉอเรÉืองกรรมและการเวียนวา่ ยตายเกิดหรือสงั สารวฏั อนั เป็น พืนÊ ฐานแหง่ ศีลธรรม โดยสอนให้เชÉือมนัÉ ในการกระทําวา่ ทกุ ๆ การกระทํายอ่ มมีผลขนึ Ê ตามมา ทําดีย่อมได้รับผลดี ทําชวัÉ ย่อมได้รับผลชวัÉ ทําอยา่ งไรได้รับผลอย่างนนัÊ ไมม่ ีใครปฏิเสธผลของ กรรมได้ กรรมเป็นเครืÉองจําแนกสตั ว์ให้ได้รับสขุ รับทกุ ข์ ให้เป็นคนดีคนเลว หยาบ ประณีต คนเราได้ดไี ด้ชวÉั เพราะผลแหง่ กรรมหรือการกระทํา ไมใ่ ชเ่ พราะชาตติ ระกลู ผ้เู กิดในชาติตระ กลู ใดก็ตาม เมืÉอดําดยี อ่ มได้ดี เมÉือทําชวัÉ ได้ชวÉั ดงั นนัÊ พระพทุ ธเจ้าจงึ ตรัสไว้ในองั คตุ ตรนิกาย วา่ หญิงชาย คฤหสั ถ์ บรรพชติ ควรพิจารณาเนืÉอง ๆ วา่ เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผ้รู ับผล

190 ของกรรม มีกรรมเป็นกําเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพนั ธ์ุ มีกรรมเป็นทีÉพงÉึ อาศยั เราทํากรรมใดไว้ ดกี ็ ตาม ชวÉั ก็ตาม เราจกั ได้รับผลของกรรมนนัÊ ในเรืÉองผลแหง่ กรรมนนัÊ พระพทุ ธองคต์ รัสไว้ ในจฬู กมั มวิภงั คสตู ร ดงั นี Ê 1. ผ้มู ีอายนุ ้อย เพราะตนเป็นคนฆา่ สตั ว์ ผ้มู ีอายยุ ืนเพราะเป็นคนไมฆ่ า่ สตั ว์ 2. ผ้มู ีรูปร่างขีเÊหร่ มีผิวพรรณทราม เพราะเป็นคนขีโÊ กรธ เคียดแค้น พยาบาท ผ้มู ี ความงาม มีผิวพรรณดี เพราะเป็นคนมกั ไมโ่ กรธ ไมเ่ คียดแค้น ไมพ่ ยายาม 3. ผ้มู ีโรคน้อย เพราะเป็นผ้ไู มเ่ บยี ดเบียนสตั ว์ ผ้มู ีโรคมากเพราะเป็นผ้เู บียดเบียนสตั ว์ 4. ผ้มู ียศศกั ดตÍิ Éํา เพราะมกั อิจฉาหรือริษยาคนอืÉน ผ้มู ียศศกั ดสÍิ งู เพราะไมร่ ิษยาใคร 5. ผ้ยู ากจน เพราะไมเ่ อือÊ เฟื อÊ เจือจาน ผ้มู งÉั มีเพราะรู้จกั เอือÊ เฟื อÊ เจือจาน 6. ผ้ทู ีÉเกิดในตระกลู ตํÉา เพราะเป็นคนกระด้างถือตวั ไมร่ ู้จกั ออ่ นน้อม ผ้เู กิดในตระกลู สงู เพราะรู้จกั อ่อนน้อมไมถ่ ือตวั 7. ผ้มู ีปัญญาทราม เพราะไมไ่ ตถ่ ามไมแ่ สวงหาความรู้ ผ้มู ีปัญญามากเพราะรู้จกั ไต่ ถามแสวงหาความรู้ กรรมในความหมายตามหลักพระพทุ ธศาสนา รศ. ดร. ทองหลอ่ วงษ์ธรรมา. (2538:207-222) กลา่ วถึงคําวา่ กรรม แปลวา่ การ กระทํา มีความหมายเป็นกลาง ๆ คอื การกระทํายงั ไมถ่ ือวา่ ดีหรือชวÉั กรรมเป็นกฎแหง่ สาเหตเุ กีÉยวกบั ศลี ธรรม คําวา่ การกระทํา (กรรม) หมายถึง การกระทําทกุ อยา่ งทÉีแสดงออก จากตวั เรา เชน่ การแสดงออกทางาย (กายกรรม) ทางวาจา (วจีกรรม) และทางจิตใจ (มโนกรรม) โดยหลกั มลู ฐานแล้ว กรรมก็คือ เจตนา ดงั คาํ นิยามศพั ท์ทีÉพระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ตอน หนงึÉ วา่ เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตวฺ า กมฺมํ กโรติ กาเยน วาจาย มนสา ดกู ร ภิกษุทงัÊ หลาย เราขอบอกวา่ เจตนาคอื กรรม (เป็นตวั กรรม) เมืÉอมีเจตนาแล้ว คนเราก็ลงมือ กระทําการด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ หมายความวา่ การกระทําทีÉจะเป็นกรรมได้นนัÊ จะต้องมีเจตนา คือ ความตงัÊ ใจ จงใจ แล้วกระทําการลงไปโดยใช้เครืÉองมือ คือ กาย วาจา และใจ หลกั คาํ สอนเรืÉองกรรม นบั ว่าเป็นสงÉิ ทีÉแสดงถึงลกั ษณะพิเศษของพระพทุ ธศาสนา ซงึÉ ทําให้พระพทุ ธศาสนาแตกตา่ งไปจากลทั ธิศาสนาอÉืน ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยÉงิ ลทั ธิศาสนา ประเภทเทวนยิ ม ซงึÉ คาํ สอนเรืÉองกรรมของลทั ะศาสนาประเภทเทวนยิ ม สอนให้คนเรามอบ กายถวายชีวิตของตนไว้กบั สÉิงศกั ดสÍิ ทิ ธÍิภายนอก เชน่ ความเป็นไปของชีวิตจะต้องขนึ Ê อยกู่ บั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook