87 8. วิทยา ได้แก่ ความรู้ทางปรัชญา คือ รู้ซึงÊ และมีความรู้เกÉียวกบั ชีวะ มายา และ พระพรหม 9. สตั ยะ ได้แก่ ความจริง ความเห็นอนั สจุ ริต นนัÉ คือควรแสดงความซืÉอสตั ย์ตอ่ กนั และกนั 10. อโกธะ ได้แก่ ความไมโ่ กรธ คือต้องมีขนั ตคิ วามอดทนและโสรัจจะความสงบ เสงีÉยม รู้จกั ทําจติ ใจให้สงบ นนัÉ คอื ให้เอาชนะความโกรธด้วยความไมโ่ กรธ 2. หลักอาศรม 4 ประการ อาศรม หมายถึงการหยดุ พกั หรือขนัÊ ตอนของชีวติ หรือ ทางปฏิบัติเพÉือยกระดับชีวิตให้สูงขึนÊ ตามลําดบั จนกระทัÉงบรรลุโมกษะอันเป็นจุดหมาย ปลายทางของชีวิต แบง่ ออกเป็น 4 ขนัÊ ตอน ดงั นี Ê 1. พรหมจารี วยั นกั เรียนนกั ศกึ ษา เด็กชายทุกคนทีÉเกิดในวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ เมÉืออายคุ รบ 5 ปี 6 ปี 8 ปีตามลําดบั ต้องเข้าพิธีมอบตนเป็นศษิ ย์ศกึ ษาพระเวทกบั ครุ ุหรือครู พธิ ีนีเÊรียกวา่ อปุ นยนั แปลวา่ การเข้าสทู่ ศั นะใหม่หรือการเข้าส่คู วามรู้ เด็กชายต้อง รับการคล้องด้ายศกั ดÍสิ ิทธÍิทีÉเรียกว่า ยญั โญปวีต ครุ ุเป็นผ้คู ล้องให้ เมÉือคล้องให้แล้วก็เท่ากับ ประกาศตนเป็นพรหมจารี ถือเป็นพราหมณ์โดยสมบูรณ์ และเดก็ ชายทกุ คนทÉีเกิดต้องกระทํา พิธีอปุ นยนั ยกเว้นเดก็ ชายในวรรณะศทู ร เมÉือครบระยะเวลาแล้วครุ ุจึงสงัÉ สอนสาระสําคญั 15 ข้อ ของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. จงพดู แตค่ วามสตั ย์ 2. จงกระทําปฏิบตั ิแตท่ างธรรม 3. อย่าประมาทในการอา่ น หนงั สือทางธรรม 4. จงเอาปัจจยั 4 ถวายแก่ครุ ุ แล้วจงึ เข้าส่เู พศฆราวาส อยา่ ทําให้วงศ์ ตระกลู ของตนต้องขาดสาย จงปฏิบตั หิ น้าทÉีของตนให้เหมาะสมกบั การเป็นสามีทีÉดี ซืÉอสตั ย์ตอ่ ภรรยา และทําตวั เป็นบิดาทÉีดีตอ่ บตุ รธิดา 5. จงอยา่ ประมาทในการพดู ความสตั ย์ 6. จงอย่า ประมาทในการประพฤตกิ ศุ ลกรรม 7. จงอย่าประมาทในการปฏิบตั ิธรรม 8. จงอยา่ ประมาท ในการทําให้มีความเจริญก้าวหน้าทางวตั ถุ 9. จงอย่าประมาทในการค้นหาความรู้ทางธรรม และในการเผยแพร่ธรรม โดยการศกึ ษาจากตําราและการปาฐกถา 10. จงอย่าประมาทในการ บชู าสกั การะองค์เทพเจ้า เทวดา และบรรพบรุ ุษของตน 11. จงถือมารดาเป็นเสมือนเทพเจ้า องค์หนÉึง 12. จงถือบิดาเป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนÉงึ 13. จงถือครูเป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนÉงึ 14. จงถือว่าแขกทีÉมาสบู่ ้านโดยบงั เอิญเป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนงึÉ 15. ยึดถือในคติคําสอน ประจําใจ เชน่ สÉิงทÉีมอบให้ผู้อืÉนจงให้ด้วยความศรัทธา ด้วยความเต็มใจและดีใจ ด้วยความ รักและความออ่ นหวาน อยา่ ให้ด้วยความไมศ่ รัทธา ด้วยความกลวั หรือการถกู บงั คบั
88 เมืÉอครุ ุอวยพรแล้วถือวา่ สภาพพรหมจารีของผ้นู นัÊ สินÊ สดุ ลงเป็นพราหมณ์สมบรู ณ์ ย่อม ได้สิทธิความเป็นพราหมณ์ตามทÉีพระพรหมเป็นผ้ปู ระทานให้ 5 ประการ คือ 1. ศกึ ษาคมั ภีร์ พระเวทได้เต็มภาคภูมิ 2. สงÉั สอนพระเวทแก่คนได้ 3. ปฏิบตั พิ ิธียคั นมั คือการบริจาคทานได้ 4. รับทานจากผ้มู ีศรัทธาได้ 5. บริจาคทานแกค่ นยากจนได้ 2. คฤหสั ถ์ ผ้คู รองเรือน เมืÉอเสร็จภารกิจขนัÊ พรหมจารีแล้ว กลบั สู่บ้านเรือนต้องชว่ ย ภารกิจมารดาบดิ า และจดั พธิ ีสมรสมีบตุ รสืบสกลุ สร้างตวั มีทรัพย์แล้วต้องบําเพ็ญมหายญั 5 ประการ คือ 1. พรหมยชั ญะ ทําพลีกรรมด้วยการบริจาคทรัพย์แก่พราหมณ์ผ้มู ีหน้าทีÉศกึ ษา และสอนคมั ภีร์พระเวท 2. เทวยชั ญะ ทําพลีกรรมบชู าบวงสรวงเทวดา 3. ปิตฤยชั ญะ ทําพลี กรรมอทุ ิศกศุ ลให้บรรพบรุ ุษผ้ลู ่วงลบั ไปแล้ว 4. มนษุ ยยชั ญะ ทําพลีกรรมแก่มนษุ ย์โดยเลียÊ งดู ต้อนรับแขกผ้มู าเยือนให้ทานแกค่ นเข็ญใจไร้ทีÉพงึÉ 3. วานปรัสถ์ นกั บวช เมืÉอผา่ นขนัÊ ตอนคฤหสั ถ์ สร้างครอบครัวได้เป็นปึกแผน่ มนÉั คง รวมทงัÊ บุตรได้ออกเรือนแล้ว พราหมณ์ผู้เป็นหวั หน้าครอบครัวทุกคนต้องหนั หน้าเข้าป่ า เพÉือ แสวงหาความวิเวกและฝึกจิตของตนไห้บริสทุ ธÍิตามลําพงั พราหมณ์ผ้อู ย่ใู นป่ า ละชีวิตในบ้าน ละครอบครัวบําเพญ็ ตบะในป่าเรียกชÉือตา่ ง ๆ เชน่ ฤษี โยคี ดาบส มนี ลิทธา นกั พรต ชฎิล 4. สนั ยาสี ปริพาชก หมายถึง พราหมณ์ผ้ทู ่องเทÉียว เลียÊ งชีวิตด้วยภิกขาจาร และได้ สละชีวิตแบบคฤหสั ถ์ออกบวชถือเพศพรหมจรรย์ตลอดชีวิต บําเพ็ญสมาธิ พยายามแสวงหา โมกษธรรม มีใจมงุ่ ตรงตอ่ พระมหาพรหม 3. หลักปุรุษารถะ เป็นหลกั ธรรมพืนÊ ฐานสงั คมพราหมณ์-ฮินดู ทÉีหมายถึง จดุ หมาย สงู สดุ ของชีวติ มนษุ ย์ มี 4 ประการ คือ 1. อรรถะ หมายถึงการแสวงหาทรัพย์หรือสร้างฐานะในทางเศรษฐกิจ โดยแนวทาง การเมือง กลไกการบริหารประเทศ ระบบเศรษฐกิจ ระเบียบในการสงคราม เป็นต้น โดยมี จดุ ประสงคเ์ พÉือสวสั ดกิ ารของชีวิตและสงั คมในโลกโดยยดึ แนวธรรมเป็นหลกั 2. กามะ หมายถึง การแสวงหาความสุขทางโลกตามควรแก่ภาวะหรือวิสยั ผู้ครอง เรือน โดยม่งุ ไปตามระเบียบแบบแผนมากกว่าการเก็บกดไว้ เป็นการพฒั นาบคุ ลิกภาพอยา่ ง ถกู ต้องตามแนวธรรมของสงั คม 3. ธรรมะ หมายถึง หลกั ศีลธรรมหรือระเบียบความประพฤตขิ องบคุ คลในสงั คมเพืÉอ สนั ตสิ ขุ พฒั นาอธั ยาศยั และความบริสทุ ธÍิของวิญญาณ 4. โมกษะ หมายถงึ อสิ รภาพทางวิญญาณ เป็นอดุ มคตแิ ละคณุ คา่ สงู สดุ ในชีวิต เป็นระดบั ทÉีข้ามพ้นสงั สารวฏั จงึ เป็นความพยายามของมนษุ ย์เพÉือเข้าถึงความสขุ อนั เป็น
89 นริ ันดร 4. หลักปรมาตมันและหลักโมกษะ พวกพราหมณ์-ฮินดเู ชืÉอวา่ มีดวงวิญญาณอนั ยิÉงใหญ่เรียกว่า ปรมาตมนั และอยู่ในภาวะหลดุ พ้นตลอดกาล เป็นสÉิงทีÉเกิดขึนÊ มาเอง เป็น ต้นเหตแุ หง่ สรรพสิÉง และสรรพสงิÉ มาจากปรมาตมนั ปรมาตมนั นนัÊ เป็นทางแหง่ สนั ติสขุ อย่ดู ้วย ตวั เอง ไม่มีเพศ เป็นอมตะ มองเห็นด้วยสายตาไม่ได้ เป็นอนาทิ คือไม่มีเบือÊ งต้น ไมม่ ีทÉีสุด และเป็นปฐมวิญญาณทังÊ ปวง นัÉนคือปรมาตมันเป็นทีÉเกิดของอาตมันหรือชีวาตมัน ดงั นันÊ ปรมาตมนั กบั พรหมจงึ เป็นสิÉงเดียวกนั อาตมนั หรือชีวาตมนั หมายถงึ วญิ ญาณยอ่ ยทีÉเกิดจากปฐมวิญญาณหรือปรมาตมนั อาตมนั ต้องเวียนว่ายเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะอวิชชา การกําจดั อวิชชาได้จึงเข้าถึงโมกษะ มรรควธิ ีทีÉจะให้เข้าถงึ โมกษะคอื ต้องปฏิบตั ติ ามหลกั อาศรม 4 ขนัÊ โดยเฉพาะเมÉือถึงขนัÊ สนั ยา สี และต้องปฏิบตั ติ ามมรรค 4 ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. กรรมมรรค วิถีความหลดุ พ้นด้วยการละกรรมทÉีเป็นเหตเุ วียนวา่ ยตายเกิดใน สงั สารวฏั และพงึ กระทําทีÉเป็นเหตใุ ห้เข้าถงึ ความหลดุ พ้น 2. ชญานมรรค วิถีความหลดุ พ้นด้วยการศึกษาและปฏิบตั ิเพืÉอให้เกิดความรู้แจ้งใน พระบรมสตั ย์ 3. ภกั ตมิ รรค วิถีความหลดุ พ้นด้วยความภกั ดใี นเทพเจ้าด้วยความบริสทุ ธÍิใจ 4. ราชมรรค วิถีความหลดุ พ้นด้วยการฝึกฝนอบรมจิต นอกจากนีหÊ ลกั ธรรมดงั กลา่ วมานีแÊ ล้ว ยงั มีหลกั ธรรมตามทศั นะของสํานกั ปรัชญาทงัÊ 6 สํานกั อีก (รศ. ดนยั ไชยโยธา. 2539:32-36) จุดมุ่งหมายสูงสุด คมั ภีร์อุปนิษัท ได้แสดงให้เห็นการค้นหาความจริงสงู สุด ตอ่ มาคมั ภีร์ภควทั คีตาได้ อธิบายคําสอนในคมั ภีร์อปุ นิษัท ซึÉงมีหลกั ว่า การบรรลถุ ึงโมกษะ คือ ความหลดุ พ้น ย่อม เป็นไปได้โดยอาศยั การปฏิบตั นิ ําไปสจู่ ติ ทÉีบริสทุ ธÍิ ความบริสทุ ธิÍแหง่ จิตยอ่ มนําไปส่เู ขตแดนแห่ง ญาณ คือ โมกษะนนÉั เอง เนÉืองจากเชÉือว่ามีความแท้จริงสงู สดุ อนั ติมะ (Ultimate Truth) อย่เู พียงอยา่ งเดียว ในสากลโลก เรียกวา่ พรหมนั เป็นพระเจ้าอนั สงู สดุ เป็นสิÉงทีÉดํารงอย่ใู นภาวะ เป็นสÉิงแท้จริง สงู สดุ เป็นตวั ตนทีÉเทÉียง (อตั ตา) ไม่มีของเขตจํากดั ไม่มีรูปร่างไมม่ ีเบือÊ งต้น ไม่มีทÉีสดุ ดํารง อยตู่ ลอดกาล มีอยู่ในทกุ สÉิง ปรากฏอย่ใู นทกุ สิÉง โดยทÉีทกุ สÉิงนนัÊ เป็นสิÉงทีÉเกิดจากพรหมนั หรือ
90 มาจากพรหมนั แต่ว่าพรหมันเองไม่มีเหตเุ ป็นสÉิงทÉีมีอยู่ได้ด้วยตนเอง ซÉึงมีคํากล่าวแสดงถึง ลกั ษณะของพรหมนั อยู่ 3 คาํ คือ สตั จติ อานนั ทะ สตั หมายถึง ความมีอยขู่ องพรหมนั คือ แสดงให้รู้วา่ พรหมนั เป็นสิÉงทีÉมีอย่จู ริง มีอยู่ นริ ันดร และเป็นอมตะ จติ หมายถึง คําอธิบายลกั ษณะของพรหมนั วา่ มีอยใู่ นลกั ษณะเป็นจิตบริสทุ ธÍิ อานนั ทะ หมายถึง แสดงคณุ ลักษณะของจิตบริสุทธÍิหรือสมั ปชัญญะ บริสุทธิÍว่ามี สภาพเป็นความสขุ หรือความบนั เทงิ สงู สดุ ทÉีเรียกวา่ นริ ามสิ สขุ (รศ.ดร. เดอื น คําดี.2541:75) คัมภรี ์ศาสนา คมั ภีร์ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู รศ. ดนยั ไชยโยธา (2539:29-30) กลา่ ววา่ ทงัÊ คมั ภีร์ เกา่ และคมั ภีร์ใหมท่ Éีได้รวบรวมไว้เป็นหลกั ฐานใหญ่ ๆ มีอย◌ู ◌่ 4 หมวด ดงั ตอ่ ไปนี Ê 1. หมวดสังหิตา เป็นคมั ภีร์ทีÉรวบรวมมนั ตระหรือมนตร์ต่าง ๆ สําหรับเป็นบท บริกรรมและขบั สวดอ้อนวอนสดดุ เี ทพเจ้าเนÉืองในกิจพิธีบวงสรวงทําพลีบชู า สําหรับหมวดสงั หิ ตาหรือมนั ตระนี Ê พราหมณ์ได้แตง่ เป็นโศลกคําฉันท์เอาไว้และแบง่ ออกเป็น 4 พระเวทหรือ คมั ภีร์ศรุติ ซÉึงแปลวา่ สิÉงทีÉได้ยินมาจากพระเจ้า เปิดเผยออกมาจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็น เจ้า โดยผา่ นทางฤาษีหลายตน เรียกวา่ คมั ภีร์พระเวท หรือไตรเพท เป็นคมั ภีร์ประมวลความรู้ ตา่ ง ๆ อนั เป็นความรู้ทางศาสนาและสÉงิ ศกั ดสÍิ ิทธÍิ ซงึÉ ได้แกบ่ ทสวดสรรเสริญ บทสวดอ้อนวอน พิธีกรรมเพÉือการบชู ายญั เวทมนต์คาถา และกวีนิพนธ์อนั ไพเราะเกÉียวกบั ธรรมชาติ คมั ภีร์ เลม่ นีมÊ ใิ ชผ่ ลงานของปราชญ์หรือของศาสดาคนหนงÉึ โดยเฉพาะ หากเป็นทีÉรวมปัญญาความนกึ คิดของชาวอารยัน ทีÉตกทอดสืบเนืÉองกันมาทังÊ โดยวาจาและความทรงจําเป็นเวลานบั พนั ปี แสดงให้ เห็นกระแสแหง่ ความนกึ คดิ และปรัชญากระแสแหง่ ชีวิตจิตใจ วฒั นธรรมของชาวอารยนั บรรพ บรุ ุษของชาวอินเดยี อยา่ งชดั เจน โดยอายขุ องคมั ภีร์พระเวทนนัÊ นกั ปราชญ์ทางศาสนาเชืÉอว่าเรÉิมต้นตงัÊ แต่ 1,000 ถึง 1,500 ปี ก่อนพทุ ธศกั ราช และได้มีผู้ศกึ ษาและลงความเห็นว่า บทสวดของคมั ภีร์ฤคเวทมี อายปุ ระมาณ 1,000 ปี กอ่ นพทุ ธกาล คมั ภีร์พระเวทเดิม ได้แก่ ฤคเวท ซึÉงน่าจะนับได้ว่าเป็นหนังสือทีÉเก่าแก่ทÉีสุดเท่าทÉี มนษุ ยชาติมี บทสวดในคมั ภีร์ฤคเวทเป็นบทร้อยกรอง บนั ทกึ ด้วยภาษาสนั สกฤต ตอ่ มาพวก พราหมณ์ผ้มู ีหน้าทีÉทําพธิ ีตา่ ง ๆ ได้คดิ นําเอาบทสวดตา่ ง ๆ ในคมั ภีร์ฤคเวทมารวมไว้เป็น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287