Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน อานาปานสติ

พุทธวจน อานาปานสติ

Description: พุทธวจน อานาปานสติ

Search

Read the Text Version

ภิ ก ษุ ทั้ ง ห ล า ย ! อ า น า ป า น ส ติ ส ม า ธิ นี้ แ ล พุทธวจน อันบุคคลเจริญแล้ว ทำาให้มากแล้ว ย่อมเป็นของรำางับ เ ป็ น ข อ ง ป ร ะ ณี ต เ ป็ น ข อ ง เ ย็ น อานาปานสติ เ ป็ น สุ ข วิ ห า ร แ ล ะ ย่ อ ม ยั ง อ กุ ศ ล ธ ร ร ม อันเป็นบาป อันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นแลว้ ใภหิ ก้อัษนุ ตทร้ั งธ านไป ใ ห้ รำ า งั บ ไ ป ปโดรยี ยควบรเแหก่ฐมาื อน ะ. หลา ย ! เ น ฝุ่ น ธุ ลี ฟุ้ ง ขึ้ น แ ห่ ง เ ดื อ น สุ ด ท้ า ย ข อ ง ฤ ดู ร้ อ น ฝ น ห นั ก ที่ ผิ ด ฤ ดู ต ก ล ง ม า ย่ อ ม ทำ า ฝุ่ น ธุ ลี เ ห ล่ า นั้ น ใ ห้ อั น ต ร ธ า น ไ ป ใ ห้ รำ า งั บ ไ ป ไ ด้ โ ด ย ค ว ร แ ก่ ฐ า น ะ ขภ้ิกษุทั้งหลอาย ! นี้ ฉั น ใ ด อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ า ใ ห้ ม า ก แ ล้ ว ก็ เ ป็ น ข อ ง ร ะ งั บ เ ป็ น ข อ ง ป ร ะ ณี ต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่ เ กิ ด ขึ้ น แ ล้ ว แ ล ะ เ กิ ด ขึ้ น แ ล้ ว ใ ห้ อั น ต ร ธ า น ไ ป ใภหิก้ รษำ าุทงั้งั บหไลปาไยด้ โ ด ย ค ว ร แ ก่ ฐกา็อนาะนไ ดา้ปานสฉตัินสมนา้ั นธ.ิ ! อั น บุ ค ค ล เ จ ริ ญ แ ล้ ว ทำ า ใ ห้ ม า ก แ ล้ ว อ ย่ า ง ไ ร เ ล่ า ? ที่ เ ป็ น ข อ ง รำ า งั บ เ ป็ น ข อ ง ป ร ะ ณี ต เ ป็ น ข อ ง เ ย็ น เ ป็ น สุ ข วิ ห า ร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปท่ีเกดิ ขึ้นแลว้ และเกิดขน้ึ แลว้ นตใใภไ ปห่ัิัก้ ้ษแงรงำุทลาหค้ั้งงกว้ ู้หั สบลขู่าโไาอคปยั ายนไ ดไเตน้ม!ข้ ก้ร็ ตาภตางิกมมษุใานรไกปโรแณดโดธลำ ดีน้ วาี้ยยสคู่ รเาวรรไปืรองแอแนลนกส้วว่บฐ่สาูา่ปตงแ่นาิกไก็ะมตล็ตไั่ า้าดนปมมว้ . -ภิ กบษุานั้ นลี . มมี ส หติ หาา ย. ใวจิ เ. ข๑้ า / ม๑ี ส๓ติ ห๑า ย/ ใ๑จ อ๗อ ก๘. . ..

ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ถา้ ภิกษุ เจริญอานาปานสติ แม้ชวั่ กาลเพยี งลัดนว้ิ มอื ภิกษุนเี้ รากลา่ ววา่  อยไู่ ม่เหินหา่ งจากฌาน ทาำ ตามคำาสอนของพระศาสดา ปฏบิ ตั ติ ามโอวาท ไม่ฉันบณิ ฑบาต ของชาวแวน่ แคว้นเปล่า ก็จะปว่ ยการกลา่ วไปไย ถงึ ผู้กระทำาให้มาก ซ่งึ อานาปานสตินน้ั เลา่ . -บาลี เอก. อํ. ๒๐/๕๔/๒๒๔.

พุทธวจน อานาปานสติภิกษทุ ัง้ หลาย !  อานาปานสตสิ มาธิน้ีแล เป็นธรรมอนั เอก โดย ตถาคต ภิกษซทุ ึ่งัง้ เหมลา่ือยบ!คุ เมคอื่ อลาเนจารปิญานแสตลิ ้วอนั บทุคำาคลใเหจร้มญิ าทก�ำใแหลม้ ว้ากแล้ว... ผลอานสิ งสย์อ่อยา่มงทใดำาอยสา่ ตงหปิ นัฏ่งึ ฐในาบนรรทด้ังาผ ล๔๒ ปใหระ้บการริบเปูร็นณสิ่ง์ท่หี วงั ได้ คือ อรหตั ตผลในปัจจบุ นั หรอื วา่ ถ้ายังมอี ุปาทิเหลืออยู่ กจ็ กั เป็น อนาคาม.ี สตปิ ฏั ฐานทง้ั  -๔บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๗/๑๓๑๓. เหมาะส�ำหรับ ภกิ ษุ ภิกษณุ อี อันบุ าบสกุคอคุบาลสกิเจา ผรู้ศญิ รทั แธาลในว้ ต ถาทคตำาให้มากแล้ว ยอ่ มทาำ โพชฌงคท์ ัง้  ๗ ใหบ้ ริบูรณ์ โพชฌงค์ท้งั  ๗ อนั บุคคลเจริญแล้ว ทาำ ให้มากแลว้ ย่อมทำาวิชชาและวิมตุ ติ ใหบ้ รบิ รู ณ์ได.้ -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๓.



พทุ ธวจน -หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด ๖ฉบับ อานาปานสติ พุทธวจนสถาบัน รว่ มกนั มงุ่ มน่ั ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผค่ �ำ ของตถาคต

พุทธวจน ฉบับ ๖ อานาปานสติ ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลขิ สิทธิใ์ นตน้ ฉบับนี้ไดร้ บั การสงวนไว้ ในการจะจดั ทำ�หรอื เผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ เพ่ือรกั ษาความถกู ตอ้ งของขอ้ มูล ใหข้ ออนญุ าตเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร และปรกึ ษาด้านขอ้ มลู ในการจดั ท�ำ เพ่อื ความสะดวกและประหยดั ติดต่อได้ที่ มลู นิธิพทุ ธโฆษณ ์ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔ มูลนิธพิ ุทธวจน โทรศัพท์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒ คุณศรชา โทรศัพท ์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คณุ อารวี รรณ โทรศพั ท์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ ปที ่ีพมิ พ์ ๒๕๖๓ ศิลปกรรม ปริญญา ปฐวนิ ทรานนท,์ วิชชุ เสรมิ สวสั ดศิ์ รี, ณรงค์เดช เจรญิ ปาละ จัดท�ำ โดย มูลนธิ ิพุทธโฆษณ์ (เวบ็ ไซต์ www.buddhakos.org)

มลู นธิ ิพทุ ธโฆษณ์ เลขที่ ๒๙/๓ หมทู่ ่ี ๗ ตำ�บลบึงทองหลาง อ�ำ เภอล�ำ ลูกกา จงั หวัดปทมุ ธานี ๑๒๑๕๐ โทรศัพท์ /โทรสาร ๐ ๒๕๔๙ ๒๑๗๕ เว็บไซต์ : www.buddhakos.org

อักษรย่อ เพอื่ ความสะดวกแกผ่ ทู้ ่ียังไมเ่ ขา้ ใจเร่อื งอกั ษรยอ่ ที่ใช้หมายแทนชื่อคมั ภรี ์ ซงึ่ มีอย่โู ดยมาก มหาว.ิ ว.ิ มหาวภิ ังค์ วนิ ัยปิฎก. ภิกขฺ นุ .ี ว.ิ ภกิ ขุนีวภิ ังค์ วนิ ยั ปฎิ ก. มหา. วิ. มหาวรรค วินัยปฎิ ก. จุลลฺ . วิ. จลุ วรรค วนิ ัยปิฎก. ปริวาร. วิ. ปริวารวรรค วนิ ัยปฎิ ก. สี. ท.ี สีลขันธวรรค ทฆี นกิ าย. มหา. ที. มหาวรรค ทฆี นกิ าย. ปา. ท.ี ปาฏิกวรรค ทีฆนกิ าย. มู. ม. มูลปัณณาสก์ มชั ฌิมนิกาย. ม. ม. มัชฌมิ ปัณณาสก์ มชั ฌมิ นกิ าย. อปุ ริ. ม. อุปรปิ ัณณาสก์ มชั ฌิมนิกาย. สคาถ. สํ. สคาถวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. นทิ าน. ส.ํ นทิ านวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. ขนธฺ . ส.ํ ขันธวารวรรค สงั ยุตตนิกาย. สฬา. ส.ํ สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย. มหาวาร. ส.ํ มหาวารวรรค สังยุตตนกิ าย. เอก. อํ. เอกนิบาต อังคุตตรนกิ าย. ทกุ . อ.ํ ทกุ นบิ าต องั คตุ ตรนิกาย. ติก. อ.ํ ตกิ นิบาต อังคตุ ตรนิกาย. จตกุ ฺก. อ.ํ จตกุ กนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย.

ปญจฺ ก. อํ. ปญั จกนบิ าต องั คุตตรนิกาย. ฉกกฺ . อํ. ฉกั กนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย. สตตฺ ก. อ.ํ สตั ตกนบิ าต องั คุตตรนกิ าย อฏฺ ก. อ.ํ อัฏฐกนบิ าต องั คุตตรนกิ าย. นวก. อํ. นวกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย. ทสก. อ.ํ ทสกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย. เอกาทสก. อํ. เอกาทสกนบิ าต อังคุตตรนิกาย. ขุ. ขุ. ขุททกปาฐะ ขุททกนิกาย. ธ. ขุ. ธรรมบท ขทุ ทกนกิ าย. อ.ุ ข.ุ อุทาน ขุททกนิกาย. อติ ิว.ุ ขุ. อิติวุตตกะ ขทุ ทกนิกาย. สุตฺต. ขุ. สตุ ตนิบาต ขุททกนิกาย. วิมาน. ขุ. วมิ านวตั ถุ ขทุ ทกนิกาย. เปต. ข.ุ เปตวตั ถุ ขุททกนิกาย. เถร. ขุ. เถรคาถา ขทุ ทกนิกาย. เถรี. ข.ุ เถรคี าถา ขุททกนิกาย. ชา. ขุ. ชาดก ขุททกนกิ าย. มหานิ. ข.ุ มหานทิ เทส ขุททกนกิ าย. จฬู นิ. ข.ุ จูฬนทิ เทส ขทุ ทกนกิ าย. ปฏิสมฺ. ขุ. ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขทุ ทกนกิ าย. อปท. ขุ. อปทาน ขทุ ทกนิกาย. พทุ ธฺ ว. ข.ุ พทุ ธวงส์ ขุททกนิกาย. จริยา. ข.ุ จรยิ าปฎิ ก ขุททกนกิ าย ตัวอยา่ ง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ให้อ่านวา่ ไตรปิฎกฉบบั สยามรฐั เล่ม ๑๔ หน้า ๑๗๑ ข้อท่ี ๒๔๕



ค�ำ อนุโมทนา รตั นะอนั ประเสรฐิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ไดย้ ากในโลก และหารตั นะ อื่นใดมาเปรยี บไมไ่ ด้ คอื รตั นะ ๕ ประการ กล่าวคอื การบังเกดิ ของตถาคต ผูอ้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ ๑ บุคคลผแู้ สดงธรรม- วนิ ยั ทตี่ ถาคตประกาศแล้ว ๑ บุคคลผรู้ แู้ จง้ ธรรมวนิ ยั ท่ีตถาคต ประกาศแล้ว อันผู้อื่นแสดงแล้ว ๑ บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัย ท่ีตถาคตประกาศแลว้ อันผ้อู ื่นแสดงแล้ว ปฏบิ ัติธรรมสมควร แก่ธรรม ๑ กตญั ญกู ตเวทีบุคคล ๑ ธรรมทงั้ หลายอนั พระตถาคตไดแ้ สดงแลว้ บญั ญตั แิ ลว้ ลว้ นเปน็ ไปเพอ่ื ความสงบระงบั เพอ่ื ความดบั ไมเ่ หลอื ซง่ึ ชาติ ชรา มรณะ เพ่อื ให้หมสู่ ตั ว์ท้งั หลายไดเ้ ขา้ ถงึ ถนิ่ อันเกษม ขออนโุ มทนากบั คณะผจู้ ัดท�ำ หนงั สือพทุ ธวจน ฉบบั “อานาปานสติ” ทไี่ ดส้ ืบตอ่ กัลยาณวัตรไมใ่ ห้ขาดสูญ ดว้ ยการ เผยแผค่ �ำสอนทม่ี าจากพระโอษฐ์ขององคพ์ ระศาสดา เปนการ สรางเหตุแหงความเจริญและความตั้งมั่นของพระสัทธรรม ด้วยเหตุในกุศลกรรมนี้ ขอใหผ้ มู้ ีส่วนรว่ มในการจัดท�ำหนังสือ ทกุ ทา่ น ตลอดจนผอู้ า่ นทนี่ �ำค�ำสอนไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ไดม้ โี อกาส บรรลธุ รรม และเขา้ ถงึ นครแหง่ ความไมต่ ายในชาตปิ จั จบุ นั นเี้ ทอญ ขอใหเ้ จรญิ ในธรรม ภกิ ขุคกึ ฤทธิ์ โสตถฺ ผิ โล

คำ�นำ� หากมีการจัดอันดับหนังสือที่มีความสำ�คัญมาก ท่ีสดุ ในโลก ฐานะที่จะมไี ดค้ ือ หนงั สือ อานาปานสติ โดย ตถาคต นี้ คือหนึ่งในหนังสือที่มีความสำ�คัญอันดับแรก ของโลก พุทธวจน  ที่เกี่ยวข้องกับอานาปานสติภาวนา ทั้งหมด เมื่อพิจารณา ประกอบด้วยหลักปฏิจจสมุปบาท ของจิตโดยละเอียดแล้ว  จะพบข้อสังเกตอันน่าอัศจรรย์ว่า อานาปานสติ  คือการลดอัตราความถี่ในการเกิดของจิต ซึ่งเป็นการสรา้ งภาวะที่พร้อมทส่ี ุดส�ำ หรับการบรรลุธรรม พระพทุ ธองคท์ รงเผยวา่ อานาปานสติ นี้ แทจ้ รงิ แลว้ ก็คอื เครอื่ งมอื ในการท�ำสตปิ ัฏฐานท้ังสี่ ให้ถงึ พร้อมบริบูรณ์ ซง่ึ เปน็ เหตุสง่ ต่อให้โพชฌงค์ท้งั เจด็ เจริญเตม็ รอบ และน�ำไป สู่วิชชา และวิมุตติในที่สุด โดยท้ังหมดนี้เกิดขึ้นได้ แม้ใน ลมหายใจเดียว ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า จะต้องเป็นการปฏิบัติ ทต่ี รงวธิ ี ในแบบทร่ี ะบโุ ดยมคั ควทิ ู (ผรู้ แู้ จง้ มรรค) คอื จากการ บอกสอนด้วยค�ำพูดของพระพุทธเจ้าเองโดยตรงเท่านัน้

สำ�หรับมนุษย์ทุกคนที่อยู่ในข่ายที่สามารถบรรลุ ธรรมได้ นีค่ ือ หนังสือทีจ่ �ำ เปน็ ต้องมีไวศ้ กึ ษา เพราะเน้ือหา ทง้ั หมด ไดบ้ รรจรุ ายละเอยี ดในมติ ติ า่ งๆ ของอานาปานสติ เฉพาะที่เปน็ พุทธวจนล้วนๆ คอื ตัวสุตตนั ตะท่เี ป็นตถาคต ภาษิตไวอ้ ยา่ งครบถ้วนสมบูรณท์ กุ แงม่ ุม เรยี กไดว้ า่ เปน็ คมู่ อื พน้ ทกุ ขด์ ว้ ยมรรควธิ อี านาปานสติ ฉบับแรกของโลก  ที่เจาะจงในรายละเอียดของการปฏิบัติ โดยไม่เจือปนด้วยสาวกภาษิต  (ซึ่งโดยมากมักจะตัดทอน ต้นฉบับพุทธวจนเดิม  หรือไม่ก็เพียงอ้างถึงในลักษณะ สกั แตว่ า่ แลว้ บญั ญตั ริ ายละเอยี ดตา่ งๆ เพม่ิ เตมิ ขน้ึ ใหมเ่ อง อย่างวิจติ รพสิ ดาร นอกแนว นำ�ไปส่คู วามเข้าใจท่ีผดิ เพ้ยี น หรือไมก่ บ็ ดิ เบอื นคลาดเคลอื่ น พลัดออกนอกทางในทสี่ ดุ ) การเกิดขึ้นของอานาปานสติฉบบั พทุ ธวจนน้ี ไมใ่ ช่ ของง่ายที่จะมีขึ้นได้เลย  เพราะในเมื่อการเกิดขึ้นของ ตถาคตในสังสารวัฏ เป็นของที่มีได้ยาก การรวบรวมน�ำ มรรควธิ ี ทต่ี ถาคตทรงใชเ้ ปน็ วหิ ารธรรมเครอ่ื งอยู่ มารวมไว้ เป็นหนังสือคู่มือชาวพุทธในเล่มเดียว จึงไม่ใช่ของง่ายที่จะ มีขึน้ ได้

การท่หี นังสือเล่มน้จี ะเป็นท่แี พร่หลายในสังคมพุทธ วงกว้างหาก็ไม่ใช่ของง่ายเช่นกัน ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุว่า พทุ ธวจนเปน็ สง่ิ ทห่ี าไดย้ าก อา่ นยาก หรอื ท�ำ ความเขา้ ใจไดย้ าก และ ไม่ใช่เพราะเหตุคือ เงื่อนไขในด้านบุคลากร ในด้าน การจดั พมิ พ์ หรอื ปญั หาเรอ่ื งเงนิ ทนุ แตเ่ พราะดว้ ยเหตวุ า่ พระตถาคตทรงใช้อานาปานสติเป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ และทรงพร�ำ่ สอนไว้ กำ�ชบั กับภิกษุ และกับบคุ คลทัว่ ไปไว้ บอกรายละเอยี ดไว้ แจกแจงอานสิ งสไ์ ว้ มากทส่ี ดุ ในสดั สว่ น ทม่ี ากกวา่ มาก เมอ่ื เทยี บกบั มรรควธิ อี น่ื ๆ ในหมนู่ กั ปฏิบัติ อานาปานสติ จึงถูกน�ำมาเผยแพร่ ถูกน�ำมาบอกสอนกันมาก ซึ่งเมอ่ื เป็นเชน่ นนั้ การปนเปอ้ื น ด้วยค�ำของสาวก ในลกั ษณะตดั ตอ่ เตมิ แต่งก็ดี หรือเขยี นทับ ก็ด ี จึงเกิดขึ้นมาก…...ไปจนถึงจุดท่ีเราแทบจะไม่พบเจอ ส�ำนักปฏิบัติท่ีใช้อานาปานสติ  ในรูปแบบเดียวกับที่ พระพุทธองค์ทรงใช้ในคร้ังพทุ ธกาลไดอ้ กี แลว้ เม่อื เป็นเชน่ นี้ ในขน้ั ตอนการเรียนรู้ จงึ หลีกเลี่ยงไม่ ได้ท่จี ะตอ้ งผ่านกระบวนการน�ำ ออก ซึ่งความเขา้ ใจผิดต่างๆ รวมถงึ ความเคยชนิ เดมิ ๆ ทม่ี มี าอยแู่ ลว้ กอ่ นเปน็ ขน้ั แรก

ดังน้ัน หากมรรควิธีท่ีถูกตอ้ ง ในแบบทตี่ รงอรรถ ตรงพยญั ชนะ ถกู น�ำ มาเผยแพรอ่ อกไป ไดม้ ากและเรว็ เทา่ ไหร่ ขัน้ ตอน หรือ กระบวนการศกึ ษา ตลอดจนผลทไี่ ด้รบั กจ็ ะ เปน็ ไปในลักษณะลัดสน้ั ตรงทางสู่มรรคผลตามไปดว้ ย เพราะส�ำ หรบั ผทู้ เี่ รม่ิ ศกึ ษาจรงิ ๆกจ็ ะไดเ้ รยี นรขู้ อ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ งไปเลยแตท่ แี รก และส�ำ หรบั ผทู้ เ่ี ขา้ ใจผดิ ไปกอ่ นแลว้ กจ็ ะได้อาศยั เป็นแผนที่ เพ่ือหาทางกลบั ส่มู รรคทถี่ กู ได้ คณะผ้จู ดั พิมพ์หนงั สือเลม่ น้ี ขอนอบนอ้ มสกั การะ ตอ่ ตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสมั พทุ ธะ และ ภิกษุสาวกในธรรมวนิ ยั น้ี ตงั้ แต่ครัง้ พทุ ธกาล จนถงึ ยุคปจั จบุ นั ที่มีส่วนเกีย่ วข้องในการสืบทอดพทุ ธวจน คือ ธรรม และวินัย ทีท่ รงประกาศไว้ บริสทุ ธบิ์ รบิ ูรณด์ แี ล้ว คณะงานธัมมะ วัดนาปา่ พง

สารบญั 1. อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานสติ ๒ ประการ 1 2. อานิสงส์แหง่ อานาปานสติ ๗ ประการ 5 3. เจรญิ อานาปานสติ เป็นเหตใุ ห้ สติปัฏฐาน ๔ 11 โพชฌงค์ ๗ วชิ ชา และวิมตุ ติบริบรู ณ์ อานาปานสติบริบูรณ์ ย่อมทำ�สติปฏั ฐานใหบ้ ริบูรณ์ 12 สติปฏั ฐานบริบรู ณ์ ย่อมท�ำ โพชฌงค์ใหบ้ รบิ รู ณ์ 18 โพชฌงคบ์ ริบรู ณ์ ยอ่ มท�ำ วชิ ชาและวิมุตตใิ หบ้ ริบรู ณ์ 22 4. เจริญอานาปานสติ เปน็ เหตุให้ สติปัฏฐาน ๔ 25 โพชฌงค์ ๗ วชิ ชา และวิมตุ ติบรบิ รู ณ์ (อกี สตู รหน่ึง) สตปิ ัฏฐานบริบูรณ์ เพราะอานาปานสตบิ ริบรู ณ์ 30 โพชฌงค์บรบิ รู ณ์ เพราะสติปฏั ฐานบริบรู ณ์ 37 วชิ ชาและวมิ ุตตบิ ริบูรณ์ เพราะโพชฌงคบ์ รบิ ูรณ์ 43 5. การเจรญิ อานาปานสติ (ตามนัยแห่งมหาสตปิ ัฏฐานสูตร) 45 6. เมื่อเจริญอานาปานสติ กช็ ่ือวา่ เจริญกายคตาสติ 47 7. อานาปานสติ เปน็ เหตใุ ห้ถงึ ซ่งึ นพิ พาน 49 8. อานาปานสตสิ มาธิ เป็นเหตุให้ละสงั โยชน์ได้ 50 9. อานาปานสติสมาธิ สามารถก�ำ จดั เสยี ไดซ้ ง่ึ อนสุ ัย 52 10. อานาปานสตสิ มาธิ เป็นเหตใุ หร้ อบรซู้ ่ึงทางไกล (อวิชชา) 54 11. อานาปานสติสมาธิ เปน็ เหตใุ ห้ส้ินอาสวะ 56 12. แบบการเจรญิ อานาปานสตทิ ี่มผี ลมาก (แบบท่ีหนง่ึ ) 58

13. เจริญอานาปานสติ มอี านสิ งส์เป็นเอนกประการ 60 จิตหลดุ พน้ จากอาสวะ 61 ละความด�ำ ริอันอาศัยเรือน 62 ควบคมุ ความรู้สึกเกี่ยวความไม่ปฏิกลู  62 เป็นเหตใุ หไ้ ด้สมาธใิ นระดับรูปสญั ญาทงั้ สี่ 64 เปน็ เหตใุ ห้ไดส้ มาธใิ นระดับอรปู สัญญาทง้ั ส่ี 65 เปน็ เหตุใหไ้ ดส้ ญั ญาเวทยติ นโิ รธ 67 รู้ต่อเวทนาทกุ ประการ 67 71 14. แบบการเจรญิ อานาปานสติ ทีม่ ผี ลมาก (แบบที่สอง) 73 15. เจรญิ อานาปานสติ มอี านิสงสเ์ ป็นเอนกประการ 74 (อกี สูตรหน่ึง) 75 ไดบ้ รรลุมรรคผลในปจั จบุ ัน 76 เพอ่ื ประโยชน์มาก 77 เพือ่ ความเกษมจากโยคะมาก 78 เพ่ือความสังเวชมาก 81 เพือ่ อย่เู ปน็ ผาสุกมาก 83 86 16. เจริญอานาปานสติ ชอื่ วา่ ไมเ่ หนิ ห่างจากฌาน 93 17. อานาปานสติ เปน็ สุขวหิ ารระงบั ไดซ้ ึง่ อกุศล 95 18. อานาปานสติ สามารถก�ำ จัดบาปอกศุ ลได้ทุกทศิ ทาง 97 19. อานาปานสติ ละได้เสยี ซึง่ ความฟุ้งซ่าน 100 20. อานาปานสติ ละเสียไดซ้ ่ึงความคบั แคน้  21. อานาปานสติ วหิ ารธรรมของพระอริยเจา้  22. เจรญิ อานาปานสติ ความหวั่นไหวโยกโคลงแหง่ กาย และจิต ย่อมมีขนึ้ ไม่ได้

23. เจริญอานาปานสติ เปน็ เหตใุ หร้ ู้ลมหายใจ 103 อนั มีเป็นครงั้ สุดทา้ ยก่อนเสียชีวติ  105 24. ธรรมเป็นเคร่ืองถอนอสั ๎มมิ านะในปัจจุบัน 109 25. วิธกี ารบม่ วิมตุ ตใิ หถ้ ึงทีส่ ุด 112 26. สัญญา ๑๐ ประการ 123 ในฐานะแห่งการรกั ษาโรคดว้ ยอำ�นาจสมาธิ 124 ธรรมะแวดล้อม 124 126 27. ธรรมเปน็ อุปการะเฉพาะแกอ่ านาปานสติภาวนา 128 (นยั ท่ีหน่ึง) 130 (นยั ทสี่ อง) 133 (นัยที่สาม) 135 139 28. นิวรณ์เปน็ เครอ่ื งท�ำ กระแสจิตไมใ่ ห้รวมก�ำ ลัง 29. นวิ รณ์–ขา้ ศึกแหง่ สมาธิ 141 30. ข้อควรระวงั ในการเจรญิ สติปฏั ฐานสี่ 31. เหตุปัจจัยท่ีพระศาสนาจะต้ังอย่นู าน ภายหลังพุทธปรินิพพาน 32. อานสิ งส์แห่งกายคตาสติ

หมายเหตผุ ูร้ วบรวม เนือ้ หาของหนงั สอื เล่มน้ี บางสว่ นได้ปรับส�ำ นวนตา่ ง จากฉบับหลวง โดยเทียบเคียงจากทุกสำ�นัก (ฉบับสยามรัฐ ฉบับหลวง ฉบบั มหามงกฏุ ฯ ฉบับมหาจุฬาฯ ฉบบั เฉลิมพระเกยี รติ ฉบับสมาคมบาลีปกรณแ์ ห่งประเทศองั กฤษ) เพอ่ื ใหส้ อดรับกับบาลี และความเชอ่ื มโยงของพุทธวจนให้มากทสี่ ุด



พระสตู รท่ีนำ�มาลง ๒๖ พระสูตร พระสตู รทเ่ี น้อื หาเหมอื นกนั (ไมไ่ ดน้ �ำ มาลง) ๓ พระสูตร พระสูตรเดยี วกนั แตอ่ ยู่คนละคัมภรี ์ ๓ พระสูตร รวมพระสูตรทง้ั หมด ๓๒ พระสตู ร ธรรมะแวดล้อมทเี่ กยี่ วขอ้ ง ๖ พระสูตร



พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : อานาปานสติ อานสิ งสส์ งู สุดแหง่ อานาปานสติ 01 ๒ ประการ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๙๖-๓๙๗/๑๓๑๑-๑๓๑๓. ภิกษุทั้งหลาย !   อานาปานสติอันบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว  ย่อมมีผลใหญ่  มีอานิสงส์ใหญ่ ก็อานาปานสติ  อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร  กระทำ�ให้ มากแลว้ อย่างไร จึงมผี ลใหญ่ มีอานสิ งสใ์ หญ่ ? ภิกษุทั้งหลาย !   ในกรณีนี้  ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรอื โคนไม้ หรือเรอื นว่างก็ตาม น่งั คู้ขาเขา้ มาโดยรอบ ตงั้ กายตรง ด�ำ รงสติเฉพาะหนา้ เธอนนั้ มีสติหายใจเข้า มสี ติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาว กร็ ู้ชดั ว่าเราหายใจออกยาว เม่ือหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสนั้ ก็รชู้ ัดวา่ เราหายใจออกส้นั เธอยอ่ มท�ำ การฝึกหดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผูร้ พู้ ร้อม เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง (สพฺพกายปฏิสํเวที) หายใจเข้า” วา่ “เราเปน็ ผรู้ ู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก” 1

พุทธวจน - หมวดธรรม เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้ทำ� กายสงั ขารใหร้ ำ�งับ (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ) หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผู้ท�ำ กายสังขารใหร้ ำ�งบั หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซง่ึ ปีติ (ปีตปิ ฏสิ ํเวท)ี หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผรู้ ู้ พรอ้ มเฉพาะซ่งึ ปีติ หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งสขุ (สขุ ปฏสิ ํเวที) หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผูร้ ู้ พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซ่ึงจติ ตสังขาร (จติ ฺตสงฺขารปฏิสเํ วที) หายใจเขา้ ” ว่า “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ มเฉพาะซ่งึ จติ ตสงั ขาร หายใจออก” เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้ทำ� จติ ตสงั ขารใหร้ �ำ งับ (ปสฺสมภฺ ยํ จติ ฺตสงขฺ ารํ) หายใจเขา้ ” วา่ “เราเป็นผทู้ �ำ จิตตสงั ขารใหร้ ำ�งบั หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซ่งึ จิต (จิตฺตปฏสิ ํเวท)ี หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผ้รู ู้ พรอ้ มเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก” 2

เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : อานาปานสติ เธอยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเป็นผทู้ �ำจติ ให้ปราโมทย์ย่งิ (อภิปปฺ โมทยํ จติ ฺต)ํ หายใจเข้า” ว่า “เราเปน็ ผู้ท�ำจติ ใหป้ ราโมทยย์ ิ่ง หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝึกหดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ ำ�จติ ใหต้ งั้ มน่ั (สมาทหํ จิตตฺ )ํ หายใจเขา้ ” ว่า “เราเป็นผทู้ �ำ จติ ให้ตง้ั มั่น หายใจออก” เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ล่อยอยู่ (วโิ มจยํ จติ ฺต)ํ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผู้ทำ� จติ ใหป้ ลอ่ ยอยู่ หายใจออก” เธอย่อมท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความไมเ่ ทยี่ งอยเู่ ปน็ ประจ�ำ (อนจิ จฺ านปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความไมเ่ ทยี่ งอยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” เธอย่อมท�ำการฝึกหดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซ่งึ ความจางคลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ (วริ าคานปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความจางคลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” เธอย่อมท�ำการฝึกหดั ศกึ ษาว่า “เราเปน็ ผเู้ ห็นซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ (นโิ รธานปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” 3

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เธอยอ่ มทำ�การฝกึ หัดศึกษาว่า “เราเป็นผเู้ ห็นซง่ึ ความสลดั คนื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ (ปฏนิ สิ สฺ คคฺ านปุ สสฺ )ี หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความสลดั คนื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญ.่ ภิกษุท้งั หลาย !   เมอ่ื อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ ท�ำให้มากแลว้ อยอู่ ย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ในบรรดาผล ๒ ประการ เปน็ สง่ิ ทหี่ วงั ได้ คอื อรหัตตผลในปัจจุบนั หรอื ว่าถ้ายังมีอุปาทเิ หลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคาม.ี 4

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : อานาปานสติ อานสิ งสแ์ หง่ อานาปานสติ 02 ๗ ประการ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๙๗/๑๓๑๔-๑๓๑๖. ภิกษุทั้งหลาย !   อานาปานสติ  อันบุคคลเจริญ กระท�ำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ กอ็ านาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งไร กระท�ำใหม้ ากแลว้ อย่างไร จงึ มีผลใหญ่ มอี านิสงส์ใหญ่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก เม่ือหายใจเข้ายาว  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาว ก็รูช้ ดั ว่าเราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน เมอื่ หายใจออกส้นั กร็ ชู้ ดั วา่ เราหายใจออกสัน้ เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซง่ึ กายท้งั ปวง หายใจเข้า” ว่า “เราเปน็ ผ้รู พู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก” 5

พุทธวจน - หมวดธรรม เธอย่อมท�ำการฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้ท�ำ กายสังขารให้ร�ำงับ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้ทำ กายสงั ขารให้ร�ำงับ หายใจออก” เธอย่อมท�ำ การฝึกหดั ศกึ ษาวา่ “เราเป็นผรู้ ้พู รอ้ ม เฉพาะซึง่ ปตี ิ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้รู้พรอ้ มเฉพาะ ซึง่ ปีติ หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝึกหดั ศกึ ษาวา่ “เราเป็นผรู้ ู้พร้อม เฉพาะซึ่งสขุ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผรู้ ู้พรอ้ มเฉพาะ ซ่ึงสขุ หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซง่ึ จิตตสังขาร หายใจเขา้ ” ว่า “เราเปน็ ผู้รู้พร้อม เฉพาะซึ่งจติ ตสงั ขาร หายใจออก” เธอย่อมท�ำการฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้ท�ำ จิตตสังขารให้ร�ำงับ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้ทำ จิตตสงั ขารใหร้ �ำงับ หายใจออก” เธอย่อมท�ำ การฝึกหดั ศึกษาว่า “เราเป็นผรู้ ้พู ร้อม เฉพาะซึง่ จติ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผูร้ ู้พรอ้ มเฉพาะ ซึง่ จิต หายใจออก” 6

เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ให้ ปราโมทยย์ ง่ิ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ราโมทยย์ ง่ิ หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ให้ ตง้ั มน่ั หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหต้ ง้ั มน่ั หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ให้ ปล่อยอยู่ หายใจเขา้ ” ว่า “เราเปน็ ผู้ทำ�จิตใหป้ ล่อยอยู่ หายใจออก” เธอย่อมท�ำ การฝกึ หัดศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความไมเ่ ทีย่ งอยเู่ ป็นประจ�ำ หายใจเข้า” วา่ “เราเป็น ผ้เู ห็นซง่ึ ความไมเ่ ทยี่ งอย่เู ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” เธอย่อมท�ำ การฝึกหัดศกึ ษาว่า “เราเป็นผเู้ ห็นซึ่ง ความจางคลายอยู่เปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ” ว่า “เราเปน็ ผู้เหน็ ซึง่ ความจางคลายอยเู่ ปน็ ประจำ� หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำการฝึกหดั ศกึ ษาว่า “เราเปน็ ผเู้ ห็นซึง่ ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผู้เหน็ ซึ่งความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” 7

พุทธวจน - หมวดธรรม เธอย่อมทำ�การฝกึ หดั ศึกษาว่า “เราเปน็ ผเู้ ห็นซ่ึง ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า” ว่า “เราเป็น ผู้เหน็ ซง่ึ ความสลัดคนื อยู่เปน็ ประจำ� หายใจออก” ภิกษทุ ัง้ หลาย !   อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่. ภิกษุท้ังหลาย !   เมื่ออานาปานสติ  อันบุคคล เจริญแล้ว กระท�ำให้มากแล้ว อยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์ ๗ ประการ ย่อมเป็นสิ่งท่ีหวังได้. ผลอานสิ งส์ ๗ ประการ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ผลอานิสงส์ ๗ ประการ คือ ๑.  การบรรลอุ รหัตตผลทนั ทใี นปัจจุบนั นี้ ๒.  ถา้ ไม่เชน่ นนั้ ยอ่ มบรรลอุ รหัตตผลในกาล แห่งมรณะ ๓.  ถา้ ไมเ่ ชน่ นน้ั เพราะสน้ิ โอรมั ภาคยิ สญั โญชน์ ๕ ย่อมเปน็ อนั ตราปรนิ พิ พายี ๔.  ถา้ ไมเ่ ชน่ นนั้ เพราะสนิ้ โอรมั ภาคยิ สญั โญชน์ ๕ ยอ่ มเปน็ อปุ หจั จปรนิ พิ พายี 8

เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : อานาปานสติ ๕.  ถา้ ไมเ่ ชน่ นน้ั เพราะสน้ิ โอรมั ภาคยิ สญั โญชน์ ๕ ย่อมเปน็ อสงั ขารปรินิพพายี ๖.  ถา้ ไมเ่ ชน่ นน้ั เพราะสน้ิ โอรมั ภาคยิ สญั โญชน์ ๕ ยอ่ มเป็นสสังขารปรินพิ พายี ๗.  ถา้ ไมเ่ ชน่ นน้ั เพราะสน้ิ โอรมั ภาคยิ สญั โญชน์ ๕ ย่อมเป็นอทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคาม.ี ภิกษุทั้งหลาย !   อานาปานสติ  อันบุคคล เจริญแล้ว กระท�ำ ให้มากแลว้ อย่างนแี้ ล ผลอานสิ งส์ ๗ ประการเหล่านี้ ยอ่ มหวงั ได้ ดงั น้.ี 9

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ 10

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : อานาปานสติ เจริญอานาปานสติ เปน็ เหตใุ ห้ 03 สตปิ ัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ วิชชา และวมิ ตุ ตบิ ริบูรณ์ -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๒-๑๔๐๓. ภกิ ษุทงั้ หลาย !   ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่ ซึ่งเมื่อ บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มท�ำ ธรรมทั้ง ๔ ให้ บรบิ รู ณ์ ครน้ั ธรรมทง้ั ๔ นน้ั อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ าก แลว้ ยอ่ มท�ำ ธรรมทง้ั ๗ ใหบ้ รบิ รู ณ์ ครน้ั ธรรมทง้ั ๗ นน้ั อนั บุคคลเจรญิ แล้ว ท�ำ ให้มากแลว้ ย่อมท�ำ ธรรมท้ัง ๒ ใหบ้ รบิ รู ณไ์ ด้. ภกิ ษทุ ั้งหลาย !   อานาปานสติสมาธินี้แล เป็น ธรรมอันเอก ซึง่ เมื่อบคุ คลเจริญแลว้ ทำ�ใหม้ ากแล้ว ย่อมทำ�สตปิ ฏั ฐานทัง้ ๔ ใหบ้ ริบูรณ์ สติปฏั ฐานทั้ง ๔ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มท�ำ โพชฌงคท์ ง้ั ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงคท์ งั้ ๗ อนั บคุ คลเจรญิ แล้ว ทำ�ให้ มากแลว้ ยอ่ มท�ำ วชิ ชาและวมิ ตุ ตใิ หบ้ รบิ รู ณไ์ ด.้ 11

พทุ ธวจน - หมวดธรรม อานาปานสติบริบรู ณ์ ย่อมท�ำสติปฏั ฐานให้บรบิ รู ณ์ ภิกษุท้งั หลาย !   ก็อานาปานสติ อันบคุ คลเจริญ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อย่างไรเล่า จึงทำ�สตปิ ัฏฐานท้งั ๔ ให้บรบิ รู ณ์ได้ ? ภิกษุทง้ั หลาย !   สมยั ใด ภิกษุ เม่ือหายใจเข้ายาว  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาว ก็รูช้ ัดว่าเราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าส้ัน  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน เมื่อหายใจออกส้นั กร็ ู้ชดั วา่ เราหายใจออกสน้ั ยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซึ่งกายท้งั ปวง หายใจเขา้ ” ว่า “เราเปน็ ผู้รู้พร้อมเฉพาะ ซ่งึ กายทง้ั ปวง หายใจออก” ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ กายสงั ขาร ใหร้ ำ�งับ หายใจเข้า” วา่ “เราเปน็ ผูท้ ำ�กายสงั ขารให้รำ�งบั หายใจออก” 12

เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : อานาปานสติ ภิกษุท้งั หลาย !   สมัยน้นั   ภิกษุน้นั ช่อื ว่า  เป็นผู้ เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ�  มีความเพียรเผากิเลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   เรายอ่ มกลา่ ว ลมหายใจเขา้ และ ลมหายใจออก วา่ เป็นกายอนั หน่งึ ๆ ในกายท้งั หลาย. ภกิ ษทุ ้ังหลาย !   เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ กายในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก ออกเสียได้. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย !   สมัยใด ภิกษุ ยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซ่ึงปีติ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงปีติ หายใจออก” ยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก” 13

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซึง่ จติ ตสงั ขาร หายใจเข้า” ว่า “เราเปน็ ผู้ร้พู ร้อม เฉพาะซง่ึ จิตตสงั ขาร หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้ทำ� จติ ตสังขารใหร้ �ำ งับ หายใจเข้า” วา่ “เราเปน็ ผ้ทู �ำ จิตตสังขารให้รำ�งบั ” หายใจออก” ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผู้ เหน็ เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก ออกเสียได.้ ภิกษุทั้งหลาย !   เราย่อมกล่าวการทำ�ในใจเปน็ อยา่ งดตี อ่ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก วา่ เปน็ เวทนา อนั หนง่ึ ๆ ในเวทนาทง้ั หลาย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   เพราะเหตนุ น้ั ในเรอื่ งนี้ ภกิ ษนุ นั้ ยอ่ มชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ หน็ เวทนาในเวทนาทงั้ หลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากิเลส มีสมั ปชัญญะ มีสติ น�ำอภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกออกเสียได้. 14

เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ ภกิ ษุทัง้ หลาย !   สมยั ใด ภกิ ษุ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซง่ึ จติ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ จติ หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ ปราโมทยย์ ง่ิ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ราโมทยย์ ง่ิ หายใจออก” ย่อมท�ำการฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้ท�ำจิตให้ ตง้ั มน่ั หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำจติ ใหต้ ง้ั มนั่ หายใจออก” ยอ่ มทำ�การฝกึ หัดศึกษาว่า “เราเป็นผทู้ ำ�จิตให้ ปลอ่ ยอยู่ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้ทำ�จติ ให้ปล่อยอยู่ หายใจออก” ภกิ ษุท้งั หลาย !   สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำมคี วามเพยี รเผากเิ ลสมสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ภกิ ษทุ ้ังหลาย !   เราไมก่ ลา่ วอานาปานสติ วา่ เปน็ สง่ิ ทม่ี ไี ดแ้ กบ่ คุ คลผมู้ สี ตอิ นั ลมื หลงแลว้ ไมม่ สี มั ปชญั ญะ. 15

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษทุ ้ังหลาย !   เพราะเหตนุ น้ั ในเรอื่ งนี้ ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยู่เปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ภิกษุทัง้ หลาย !   สมัยใด ภกิ ษุ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความไมเ่ ท่ยี งอยู่เปน็ ประจำ� หายใจเข้า” ว่า “เราเป็น ผู้เหน็ ซึ่งความไม่เทีย่ งอยู่เป็นประจ�ำ หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้เห็นซ่ึง ความจางคลายอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า” วา่ “เราเปน็ ผเู้ ห็นซง่ึ ความจางคลายอย่เู ปน็ ประจำ� หายใจออก” ย่อมท�ำการฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผู้เห็นซ่ึงความดบั ไมเ่ หลอื อย่เู ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความสลัดคนื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเข้า” วา่ “เราเป็น ผเู้ ห็นซึ่งความสลดั คนื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” 16

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : อานาปานสติ ภกิ ษุทั้งหลาย !   สมัยนนั้ ภิกษุนน้ั ชอ่ื ว่า เป็นผู้ เหน็ ธรรมในธรรมท้ังหลายอยเู่ ป็นประจ�ำ มีความเพยี ร เผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสียได.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษนุ นั้ เปน็ ผเู้ ขา้ ไปเพง่ เฉพาะ เป็นอย่างดีแล้ว  เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและ โทมนัสท้ังหลายของเธอนั้นดว้ ยปญั ญา. ภิกษุทงั้ หลาย !   เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ย่อมช่ือว่าเป็นผู้เห็นธรรมในธรรมท้ังหลายอยู่เป็นประจำ� มคี วามเพยี รเผากิเลส มีสัมปชญั ญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและ โทมนสั ในโลกออกเสยี ได้. ภิกษุท้ังหลาย !   อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมท�ำสติปัฏฐานท้ัง ๔ ใหบ้ รบิ ูรณ์ได้. 17

พทุ ธวจน - หมวดธรรม สติปฏั ฐานบริบูรณ์ ย่อมท�ำโพชฌงค์ใหบ้ รบิ ูรณ์ ภิกษุทั้งหลาย !   ก็สติปัฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคล เจริญแลว้ ทำ�ใหม้ ากแล้วอยา่ งไรเลา่ จงึ ทำ�โพชฌงคท์ ั้ง ๗ ให้บริบรู ณ์ได้ ? ภิกษุทงั้ หลาย !   สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ หน็ กายในกาย อย่เู ปน็ ประจ�ำ สมัยนนั้ สติท่ีภิกษุเขา้ ไปตัง้ ไว้แลว้ กเ็ ปน็ ธรรมชาตไิ ม่ลมื หลง. ภิกษทุ ัง้ หลาย !   สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไป ตง้ั ไวแ้ ลว้ เปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง สมยั นน้ั สตสิ มั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ นั้ ปรารภแลว้ สมยั นนั้ ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ สติสัมโพชฌงค์  สมัยน้ันสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุช่ือว่า ถงึ ความเตม็ รอบแหง่ การเจรญิ ภกิ ษนุ นั้ เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ติ เชน่ นนั้ อยู่ ยอ่ มท�ำการเลอื ก ยอ่ มท�ำการเฟน้ ยอ่ มท�ำการ ใครค่ รวญซงึ่ ธรรมนนั้ ด้วยปญั ญา. 18

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : อานาปานสติ ภิกษทุ ้งั หลาย !   สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นนั้ อยู่ ท�ำการเลอื กเฟน้ ใครค่ รวญธรรมนน้ั อยดู่ ว้ ยปญั ญา สมัยนน้ั ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค์ สมยั นน้ั ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษชุ ่อื วา่ ถึงความเตม็ รอบแห่ง การเจริญ. ภกิ ษุน้ัน เมื่อเลอื กเฟน้ ใคร่ครวญอย่ซู ึง่ ธรรมนนั้ ดว้ ยปญั ญา ความเพยี รอนั ไมย่ ่อหยอ่ น ชื่อวา่ เป็นธรรมอนั ภกิ ษนุ ัน้ ปรารภแลว้ . ภกิ ษุท้งั หลาย !   สมยั ใด ความเพียรไมย่ อ่ หยอ่ น อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น  ใคร่ครวญในธรรมน้ันด้วยปัญญา สมยั นน้ั วริ ยิ สมั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ สมัยน้ันภิกษุช่ือว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์  สมัยน้ัน วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่ง การเจริญ. ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว ปตี ิอนั เปน็ นิรามิสก็เกิดขึ้น. ภิกษุทั้งหลาย !   สมัยใด  ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว  สมัยนั้น ปตี ิสมั โพชฌงค์ ก็เปน็ อันวา่ ภิกษนุ น้ั ปรารภแล้ว สมัยนน้ั 19

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ปตี สิ มั โพชฌงค์ สมยั นน้ั ปตี สิ มั โพชฌงค์ ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ. ภิกษุนัน้ เมื่อมีใจประกอบดว้ ยปีติ แมก้ ายกร็ �ำ งบั แมจ้ ติ กร็ �ำ งบั . ภิกษุท้ังหลาย !   สมัยใด  ท้ังกายและท้ังจิต ของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ  ย่อมรำ�งับ  สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  ก็เป็นอันว่าภิกษุน้ันปรารภแล้ว สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค ์ สมยั นน้ั ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุช่ือว่าถึงความเต็มรอบแห่ง การเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื มกี ายอนั ร�ำ งบั แลว้ มคี วามสขุ อยู่ จิตยอ่ มต้ังมั่น. ภิกษุทั้งหลาย !   สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกาย อนั ร�ำงับแล้วมคี วามสุขอยู่ ยอ่ มตั้งม่ัน  สมยั นั้น สมาธิ สัมโพชฌงค์  ก็เป็นอันว่าภิกษุน้ันปรารภแล้ว สมยั นน้ั ภิกษุช่ือว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์  สมัยน้ันสมาธิ สมั โพชฌงคข์ องภกิ ษชุ อื่ วา่ ถงึ ความเตม็ รอบแหง่ การเจรญิ . ภิกษุน้ัน  ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซ่ึงจิตอันตั้งม่ัน แลว้ อย่างนั้นเป็นอยา่ งดี. 20

เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : อานาปานสติ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   สมัยใด ภิกษุเป็นผเู้ ข้าไปเพง่ เฉพาะซ่ึงจิตอันตัง้ มน่ั แลว้ อย่างนน้ั เปน็ อย่างดี สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์  ก็เป็นอันว่าภิกษุน้ันปรารภแล้ว สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค ์ สมยั นน้ั อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุช่ือว่าถึงความเต็มรอบแห่ง การเจรญิ . ภิกษุทง้ั หลาย ! สมัยใด ภกิ ษเุ ปน็ ผู้เห็นเวทนาใน เวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจ�ำ…  เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่ เป็นประจ�ำ…  เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมท้ังหลายอยู่เป็น ประจ�ำ สมยั นนั้ สติที่ภกิ ษเุ ข้าไปต้งั ไว้แลว้ ก็เปน็ ธรรมชาติ ไม่ลืมหลง. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! สมยั ใด สตขิ องภิกษผุ เู้ ขา้ ไปตั้ง ไวแ้ ลว้ เป็นธรรมชาตไิ มล่ ืมหลง สมยั นัน้ สตสิ ัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยน้ันภิกษุชื่อว่าย่อม เจริญสติสัมโพชฌงค์  สมัยน้ันสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ช่ือว่าถงึ ความเตม็ รอบแหง่ การเจริญ (ตอ่ ไปนม้ี ขี อ้ ความอยา่ งเดยี วกนั กบั กรณแี หง่ การตามเหน็ กายในกายทกุ ตวั อกั ษร) 21

พุทธวจน - หมวดธรรม โพชฌงคบ์ ริบูรณ์ ย่อมท�ำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   โพชฌงคท์ ง้ั ๗ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำให้มากแล้วอย่างไรเลา่ จงึ จะท�ำวิชชาและวมิ ุตติให้ บริบูรณ์ได้ ? ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุในกรณีนี้  ย่อมเจริญ สตสิ มั โพชฌงค์ อนั อาศยั วเิ วก อนั อาศยั วริ าคะ (ความจางคลาย) อนั อาศยั นโิ รธ (ความดบั ) อนั นอ้ มไปเพอ่ื โวสสคั คะ (ความสละ ความปลอ่ ย) ย่อมเจริญ ธมั มวิจยสัมโพชฌงค์ อนั อาศัยวิเวก อนั อาศยั วริ าคะ อันอาศยั นิโรธ อันนอ้ มไปเพ่ือโวสสคั คะ ยอ่ มเจริญ วิรยิ สมั โพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศยั วริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ อนั นอ้ มไปเพอื่ โวสสคั คะ ยอ่ มเจริญ ปีตสิ ัมโพชฌงค์ อนั อาศยั วเิ วก 22

เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : อานาปานสติ อนั อาศัยวิราคะ อนั อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพอ่ื โวสสคั คะ ยอ่ มเจริญ ปสั สทั ธิสมั โพชฌงค์ อนั อาศัยวเิ วก อันอาศัยวริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพือ่ โวสสคั คะ ย่อมเจรญิ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศยั วเิ วก อนั อาศยั วริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ อนั น้อมไปเพ่ือโวสสคั คะ ยอ่ มเจริญ อุเบกขาสมั โพชฌงค์ อนั อาศัยวเิ วก อันอาศยั วริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพอื่ โวสสัคคะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  โพชฌงคท์ ง้ั ๗ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำใหม้ ากแล้ว อย่างนี้แล ยอ่ มท�ำวิชชาและวิมุตตใิ ห้ บริบรู ณ์ได้ ดังน้.ี (หมายเหตผุ รู้ วบรวม พระสตู รทที่ รงตรสั เหมอื นกนั กบั พระสตู รขา้ งบนน้ี ยงั มอี กี คอื ปฐมอานนั ทสตู ร มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๑๗-๔๒๓/๑๓๘๑ -๑๓๙๘. ทตุ ยิ อานนั ทสตู ร มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๓-๔๒๔/๑๓๙๙-๑๔๐๑. ทตุ ยิ ภกิ ขสุ ตู ร มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๕/๑๔๐๔-๑๔๐๕.) 23

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : อานาปานสติ 24

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : อานาปานสติ เจรญิ อานาปานสติ เปน็ เหตุให้ 04 สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ วชิ ชา และวิมตุ ติบริบูรณ์ (อีกสูตรหนึ่ง) -บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๑๙๐-๒๐๑/๒๘๒-๒๙๑. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   เราเปน็ ผตู้ งั้ มนั่ แลว้ ในขอ้ ปฏบิ ตั นิ .ี้ ภิกษุทั้งหลาย !   เราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วในข้อปฏิบัติ นี้. ภิกษทุ ง้ั หลาย !   เพราะฉะนัน้ ในเรื่องนี้ พวกเธอทง้ั หลาย จงปรารภความเพยี รใหย้ งิ่ กวา่ ประมาณ เพอื่ ถงึ สง่ิ ท่ี ยงั ไมถ่ งึ เพอื่ บรรลสุ งิ่ ทยี่ งั ไมบ่ รรลุ เพอื่ ท�ำใหแ้ จง้ สงิ่ ทยี่ งั ไม่ ท�ำใหแ้ จง้ . เราจกั รอคอยพวกเธอทงั้ หลายอยู่ ณ ที่นครสา วัตถีน้แี ล จนกวา่ จะถงึ วนั ทา้ ยแหง่ ฤดฝู นครบสีเ่ ดือน เป็น ฤดูที่บานแหง่ ดอกโกมุท (เพ็ญเดอื นสบิ สอง). พวกภกิ ษเุ ปน็ พวกชาวชนบทไดท้ ราบขา่ วนี้ กพ็ ากนั หลง่ั ไหลไปสนู่ ครสาวตั ถี เพอ่ื เฝา้ เยยี่ มพระผมู้ พี ระภาคเจา้ . ฝา่ ยพระเถระผมู้ ชี อื่ เสยี งคนรจู้ กั มาก ซง่ึ มที า่ นพระสารบี ตุ ร 25

พทุ ธวจน - หมวดธรรม พระมหาโมคคลั ลานะ พระมหากสั สปะ พระมหากจั จายนะ พระมหาโกฏฐิตะ  พระมหากัปปินะ  พระมหาจุนทะ พระเรวตะ พระอานนท์ และพระเถระรปู อนื่ อกี หลายทา่ น แบง่ กนั เปน็ พวกๆพากนั สงั่ สอนพรำ่� ชแี้ จงพวกภกิ ษใุ หมๆ่ อยา่ งเตม็ ท่ี พวกละสบิ รปู บา้ ง ยสี่ บิ รปู บา้ ง สามสบิ รปู บา้ ง สส่ี บิ รปู บา้ ง. สว่ นภกิ ษใุ หมๆ่ เหลา่ นน้ั เมอื่ ไดร้ บั ค�ำสง่ั สอน ได้รับค�ำพร�่ำชี้แจง  ของพระเถระผู้มีช่ือเสียงทั้งหลายอยู่ กย็ อ่ มรคู้ ณุ วเิ ศษอนั กวา้ งขวางอยา่ งอน่ื ๆ  ยงิ่ กวา่ แตก่ อ่ น. จนกระทง่ั ถงึ วนั เพญ็ เดอื นสบิ สอง. ครั้งนนั้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ จึงไดต้ รัสกบั ภกิ ษุ ทง้ั หลายสืบไปวา่ ภกิ ษทุ ้ังหลาย !   ภกิ ษบุ รษิ ัทน้ี ไม่เหลวไหลเลย. ภิกษทุ ้งั หลาย !   ภิกษบุ ริษัทนี้ไม่เหลวแหลกเลย. ภิกษุ บรษิ ัทน้ี ต้ังอย่แู ลว้ ในธรรมที่เปน็ สาระลว้ น. ภิกษุทัง้ หลาย !   บรษิ ัทเช่นใด มีรูปลักษณะท่ี นา่ บชู า นา่ ตอ้ นรบั นา่ รบั ทกั ษณิ า นา่ ไหว้ เปน็ เนอ้ื นาบญุ ชั้นดีเยี่ยมของโลก หมู่ภิกษุนี้ ก็มีรูปลักษณะเช่นนั้น ภิกษุบรษิ ัทน้ี กม็ รี ปู ลกั ษณะเชน่ น้ัน. 26

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : อานาปานสติ ภกิ ษุท้งั หลาย !   บรษิ ัทเชน่ ใด มรี ปู ลกั ษณะที่ ทานอันบคุ คลให้นอ้ ย แต่กลับมีผลมาก ทานทใ่ี หม้ าก ก็มผี ลมากทวยี ่งิ ขน้ึ หมภู่ ิกษนุ ้ี ก็มรี ูปลกั ษณะเช่นน้นั ภิกษบุ รษิ ัทนี้ ก็มรี ปู ลักษณะเชน่ นัน้ . ภกิ ษุทั้งหลาย !   บรษิ ทั เชน่ ใด มรี ปู ลกั ษณะยาก ทช่ี าวโลกจะได้เหน็ หมภู่ กิ ษุนี้ ก็มีรูปลักษณะเช่นนั้น ภิกษบุ รษิ ัทนี้ ก็มรี ปู ลักษณะเชน่ น้นั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  บรษิ ทั เชน่ ใด มรี ปู ลกั ษณะทคี่ วร จะไปดไู ปเหน็ แมจ้ ะตอ้ งเดนิ สนิ้ หนทางนบั ดว้ ยโยชนๆ์ ถงึ กบั ตอ้ งเอาหอ่ สะเบยี งไปดว้ ยกต็ าม หมภู่ กิ ษนุ ี้ กม็ ีรปู ลักษณะเชน่ นนั้ ภกิ ษบุ รษิ ัทนี้ กม็ ีรูปลกั ษณะเชน่ น้ัน. ภกิ ษุทง้ั หลาย !   ในหมภู่ กิ ษนุ ้ี มพี วกภกิ ษซุ งึ่ เปน็ พระอรหนั ต์ ผสู้ นิ้ อาสวะแลว้ ผอู้ ยจู่ บพรหมจรรยแ์ ลว้ มกี จิ ทคี่ วรท�ำไดท้ �ำส�ำเรจ็ แลว้ มภี าระปลงลงไดแ้ ลว้ มปี ระโยชน์ ของตนเองบรรลแุ ล้วโดยล�ำดบั มสี ัญโญชนใ์ นภพสน้ิ แลว้ หลดุ พน้ แลว้ เพราะรทู้ ว่ั ถงึ โดยชอบพวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานนี้ ก็มีอยู่ในหมู่ภิกษุนี้. 27

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   ในหมู่ภกิ ษุน้ี มีพวกภกิ ษุซงึ่ สน้ิ สญั โญชน์เบ้อื งต่�ำ หา้ เป็นโอปปาตกิ ะแล้ว จักปรินพิ พาน ในท่ีน้ัน  ไม่เวียนกลับมาจากโลกน้ัน  เป็นธรรมดา พวกภกิ ษุแม้เห็นปานนี้ ก็มอี ยูใ่ นหมูภ่ ิกษุน.้ี ภกิ ษุทัง้ หลาย !   ในหมภู่ กิ ษนุ ้ี มพี วกภกิ ษซุ ง่ึ สน้ิ สญั โญชนส์ าม และมคี วามเบาบางไปของราคะ โทสะ โมหะ เปน็ สกทาคามี มาสเู่ ทวโลกอกี ครง้ั เดยี วเทา่ นน้ั แลว้ จกั กระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานน้ี กม็ อี ยใู่ นหมภู่ กิ ษนุ .้ี ภกิ ษุทง้ั หลาย !   ในหมภู่ กิ ษุน้ี มพี วกภิกษุซงึ่ ส้นิ สัญโญชน์สาม เป็น โสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา ผเู้ ทย่ี งแท้ ผแู้ นท่ จ่ี ะตรสั รขู้ า้ งหนา้ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานน้ี กม็ ีอยู่ในหมภู่ กิ ษุน.ี้ ภกิ ษุท้ังหลาย !   ในหมูภ่ ิกษุน้ี มพี วกภกิ ษซุ งึ่ ประกอบความเพียรเปน็ เครอ่ื งต้องทำ�เนอื งๆ ในการ อบรมสตปิ ฏั ฐานส่ี สมั มปั ปธานส่ี อทิ ธบิ าทส่ี อนิ ทรยี ห์ า้ พละหา้ โพชฌงคเ์ จด็ อรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด เมตตา กรณุ า มทุ ิตา อุเบกขา อสุภะ อนิจจสัญญา และอานาปานสติ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานนี้ ก็มอี ยใู่ นหม่ภู กิ ษุน้.ี 28