เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาและวัฒนธรรม สทุ ธิดา จนั ทร์ดวง (อ.ด. ภาษาไทย) คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี 2561
คานา เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ภาษาและวัฒนธรรม รหัสวิชา ED12101 น้ี มี จดุ มงุ่ หมายเพื่อถา่ ยทอดความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกับวฒั นธรรมไทย การใช้ภาษาไทยและทักษะการใช้ ทางภาษาไทยเพอื่ การส่ือสารสาหรับครู นอกจากนี้ยังมุ่งหวังให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสาคัญของ วฒั นธรรมไทยกับการใช้ภาษาไทยในฐานะเป็นเครื่องมือสื่อสาร ตลอดจนสามารถใช้ทักษะทสังคม พหุวัฒนธรรมและทักษะทางภาษาเพ่ือพัฒนาปัญญา สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ อย่างสรา้ งสรรคแ์ ละถูกกาลเทศะ เน้ือหาในเอกสารประกอบการสอนผู้เขียนได้แบ่งเน้ือหาการเรียน ในเอกสารประเกอบการสอนไว้ 9 บท ได้แก่ ทักษะสังคมพหุวัฒนธรรม ภาษาและวัฒนธรรมไทย ความรเู้ บ้อื งต้นเกยี่ วกับการสอื่ สาร การสื่อความหมายในกระบวนการเรียนการสอน การใช้ภาษาไทย เพ่ือการส่ือสารสาหรับครู ทักษะการฟังเพื่อการสื่อสารสาหรับครู ทักษะการพูดเพ่ือการส่ือสาร สาหรบั ครู ทกั ษะการอ่านเพื่อการสือ่ สารสาหรบั ครู และทกั ษะการเขยี นเพอ่ื การส่ือสารสาหรบั ครู เน้ือหาในแต่ละบทน้ันจะมุ่งเน้นให้ความรู้พ้ืนฐานในการใช้ภาษาไทยเพื่อการส่ือสารตาม บรบิ ทของสงั คมพหุวฒั นธรรมและวฒั นธรรมไทยในปจั จบุ ัน ควบคู่กับการฝึกทักษะทางภาษา ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนเพ่ือการสื่อสาร ท้ังน้ีผู้เขียนหวังเป็นอย่างย่ิงว่าผู้อ่านจะได้รับ สารประโยชน์จากเอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี และสามารถนาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในฐานะ ครผู สู้ ง่ สารและผูร้ ับสาร ตลอดจนสามารถใช้ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือการส่ือสารในชีวิตประจาวันใน สถานการณ์ตา่ งๆ ได้อยา่ งถกู กาลเทศะ สรา้ งสรรค์ และมีประสทิ ธภิ าพต่อไป สทุ ธิดา จนั ทร์ดวง
สารบัญ ข คานา หน้า สารบัญ ก สารบัญภาพ ข สารบัญตาราง ฉ แผนบริหารการสอนประจารายวิชา ช แผนการจดั การเรียนรู้บทท่ี 1 ซ บทท่ี 1 ทกั ษะสังคมพหุวัฒนธรรม 1 ความหมายของสังคมพหวุ ัฒนธรรม 3 ความสาคญั ของสังคมพหวุ ฒั นธรรม 3 การพัฒนาทกั ษะสงั คมพหุวัฒนธรรม 3 แนวทางการอย่รู ว่ มกนั ในสังคมพหุวัฒนธรรม 4 ประโยชนข์ องการศึกษาทักษะสังคมพหวุ ฒั นธรรม 14 เอกสารอ้างอิง 14 แผนการจัดการเรยี นรูบ้ ทที่ 2 19 บทที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรมไทย 20 ความหมายและความสาคัญของภาษากับวัฒนธรรม 22 องคป์ ระกอบของวัฒนธรรม 22 ประเภทของวัฒนธรรม 23 ความสมั พันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรม 23 องคป์ ระกอบที่ทาให้เกิดวฒั นธรรมการใช้ภาษา 24 ลักษณะภาษาทส่ี ะท้อนวัฒนธรรมไทย 26 เอกสารอ้างอิง 26 แผนการจดั การเรยี นร้บู ทที่ 3 37 บทท่ี 3 ความรู้เบ้ืองต้นเกยี่ วกับการส่ือสาร 38 ความหมายของการสือ่ สาร 40 ความสาคญั ของการส่ือสาร 40 องค์ประกอบของการสื่อสาร 41 วัตถปุ ระสงค์ของการส่ือสาร 43 46
ค สารบัญ(ต่อ) หน้า 47 ภาษาท่ีใชใ้ นการสื่อสาร 51 ประเภทของการสื่อสาร 53 ปัจจยั อ่ืนๆ ท่ีส่งผลต่อการส่ือสาร 55 อปุ สรรคของการสอื่ สาร 59 เอกสารอา้ งอิง 60 แผนการจัดการเรียนรู้บทที่ 4 61 บทท่ี 4 การส่ือความหมายในกระบวนการเรยี นการสอน 61 ความสาคญั ของการสื่อความหมายในกระบวนการเรยี นการสอน 62 องค์ประกอบการส่ือความหมายในกระบวนการเรยี นการสอน 63 ลักษณะการส่ือความหมายระหวา่ งครกู บั ผู้เรยี น 63 วิธปี รับการสือ่ ความหมายกับกระบวนการเรียนการสอนใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพ 64 ทกั ษะการสื่อความหมายทีส่ าคัญในกระบวนการเรยี นการสอนสาหรับครู 90 เอกสารอ้างอิง 91 แผนการจัดการเรียนรูบ้ ทที่ 5 92 บทท่ี 5 การใชภ้ าษาไทยเพื่อการสือ่ สารสาหรับครู 92 ความหมายของภาษา 92 หลกั การใช้ภาษาไทยเพอื่ การสอ่ื สาร 106 ขอ้ ระมดั ระวังในการใช้ภาษาเพื่อการส่อื สาร 109 ขอ้ ควรคานงึ ในการเรียบเรยี งประโยค 113 เอกสารอา้ งอิง 114 แผนการจัดการเรียนรู้บทที่ 6 116 บทที่ 6 ทักษะการฟังเพื่อการสอื่ สารสาหรับครู 116 ความหมายของการฟัง 117 ความแตกตา่ งระหวา่ งการฟังกบั การไดย้ นิ 117 ความสาคญั ของการฟัง 119 ข้นั ตอนและกระบวนการฟงั
สารบญั (ตอ่ ) ง การเตรยี มความพร้อมในการฟงั เพื่อการสอื่ สารอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ หน้า ประเภทของสารที่ฟงั 119 การฟังประเภทต่างๆ 120 หลักการฟังอยา่ งสร้างสรรค์ 122 มารยาทในการฟัง 127 อุปสรรคในการฟัง 129 เอกสารอา้ งองิ 130 แผนการจัดการเรยี นรูบ้ ทท่ี 7 134 บทที่ 7 การพดู เพ่ือการสอ่ื สารสาหรับครู 135 ความหมายของการพูด 137 ความสาคัญของการพูด 137 องคป์ ระกอบของการพดู 137 วตั ถปุ ระสงค์ของการพดู 138 ส่วนประกอบของเน้ือเร่ืองที่จะพดู 140 การเตรยี มตวั ในการพูด 140 วธิ กี ารพูดเพ่ือการสื่อสาร 141 การพดู ส่ือสารสาหรับครู 142 หลักสาคัญในการพฒั นาทกั ษะการพูดเพ่ือสารสารใหเ้ กิดประสิทธิภาพ 144 เอกสารอ้างองิ 150 แผนการจดั การเรยี นรู้บทท่ี 8 156 บทท่ี 8 ทกั ษะการอา่ นเพอ่ื การส่อื สารสาหรับครู 157 ความหมายของการอา่ น 159 ความสาคญั ของการอ่าน 159 จุดประสงคข์ องการอ่าน 160 ประโยชน์ของการอ่าน 161 ระดบั ของการอา่ น 162 ประเภทของการอา่ น 163 การพัฒนาทักษะการอา่ นสาหรบั ครู 164 เอกสารอ้างอิง 165 178
สารบญั (ต่อ) จ แผนการจัดการเรียนรู้บทที่ 9 หน้า บทที่ 9 ทักษะการเขียนเพอ่ื การสื่อสารสาหรบั ครู ความหมายของการเขยี น 179 จุดประสงคข์ องการเขียน 180 หลักการเขียน 181 ขัน้ ตอนในการเขยี น 181 การเขียนย่อความ 182 การเขียนบทความทางวชิ าการ 182 การเขียนหนังสือราชการ 183 ข้อควรคานึงถึงในการเขียน 185 เอกสารอ้างอิง 189 บรรณานุกรม 197 200 201
ฉ สารบญั ภาพ หน้า 5 ภาพที่ 6 ภาพท่ี 1.1 การแต่งกายชดุ ทางาน แบบกึ่งทางการ 7 ภาพที่ 1.2 การแต่งกายแบบเป็นทางการ 7 ภาพที่ 1.3 การให้ความสาคัญในการเลือกเสอื้ ผ้าท่ีเหมาะสมกับตนเอง 8 ภาพที่ 1.4 การแต่งกายโดยการใสส่ ูทเพ่ือตดิ ต่อประสานงานทาให้ดนู ่าเชอ่ื ถือ 8 ภาพที่ 1.5 การแต่งกายไปงานเลี้ยงกลางคนื 9 ภาพท่ี 1.6 การแต่งกายไปงานกีฬา 9 ภาพท่ี 1.7 การแต่งชุดสาหรบั พนกั งานทาให้ดสู วยงาม น่าเช่อื ถือ 10 ภาพท่ี 1.8 เส้ือผ้าท่ีเหมาะสาหรบั เด็ก 11 ภาพท่ี 1.9 เสื้อผ้าท่เี หมาะสาหรับวยั รนุ่ 12 ภาพที่ 1.10 เส้ือผ้าที่เหมาะสาหรบั วยั ผใู้ หญ่ 33 ภาพท่ี 1.11 การแต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั รปู ร่างแบบตา่ งๆ 43 ภาพที่ 2.1 ตัวอย่างสต๊ิกเกอร์ตดิ ท้ายรถ ภาพท่ี 3.1 องค์ประกอบขิงการสือ่ สาร 117 ภาพที่ 6.1 กระบวนการฟังกับการไดย้ นิ 118 ภาพที่ 6.2 ปริมาณทกั ษะทางภาษาเพื่อการสื่อสารในชวี ติ ประจาวนั 139 ภาพที่ 7.1 รปู แบบจาลองการส่ือสารของชแรมม์
สารบัญตาราง ช ตารางท่ี หน้า ตารางท่ี 4.1 ลกั ษณะของคาถาม 67 ตารางที่ 5.1 แสดงความหมายของคา 98 ตารางที่ 5.2 การใช้คาบุพบทถูกต้อง 99 ตารางที่ 5.3 การใช้คาบุพบทไมถ่ ูกตอ้ ง 99 ตารางท่ี 5.4 การใช้ภาษาตามระดบั ฐานะของบุคคล 102 ตารางท่ี 5.5 กลุ่มคาที่มีความหมายเหมือนกนั 103 ตารางท่ี 5.6 ตัวอยา่ งคาทบั ศัพท์ 105
ซ แผนบรหิ ารการสอนประจารายวิชา รายวชิ าภาษาและวัฒนธรรม รหสั วิชา ED12101 Language and Culture จานวนหน่วยกิต 3(2-2-5) คาอธิบายรายวชิ า ความสาคญั ของพหุวัฒนธรรม การใชภ้ าษาและวฒั นธรรมไทยเพ่อื การเปน็ ครู การใชท้ กั ษะ การฟัง การพดู การอ่าน และการเขียนภาษาไทยเพื่อการสื่อความหมายอยา่ งถูกตอ้ ง การใช้ภาษา และวฒั นธรรมเพอ่ื การอยรู่ ่วมกันอย่างสนั ติ จดุ มุ่งหมายของรายวิชา 1. เพ่ือใหน้ ักศึกษามีความรู้ความเขา้ ใจเกยี่ วกับความสาคัญของพหวุ ัฒนธรรม 2. เพอื่ ให้นกั ศึกษามีความรู้ความเกย่ี วกับความสาคญั ของภาษาและวฒั นธรรม การใช้ ภาษาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยเพื่อการเปน็ ครู 3. เพือ่ ให้นกั ศึกษาใช้ภาษาไทยเพื่อพฒั นาวชิ าชีพครู อนั ไดแ้ ก่ ทกั ษะการฟัง การอ่าน การพูด และการเขียน เพ่อื การสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง 4. เพื่อใหน้ กั ศึกษามคี วามรคู้ วามเข้าใจหลักและวิธกี ารใช้ภาษาในการสอน 5. เพื่อให้นกั ศึกษามคี วามรู้ความเข้าใจเกยี่ วกับการสือ่ สารกบั ผู้เรยี นและใช้ภาษาใน การส่อื สารเพ่อื จัดการเรียนรูแ้ ก่ผเู้ รยี นไดอ้ ย่างเหมาะสม เนื้อหา 4 ช่วั โมง บทท่ี 1 ทักษะสังคมพหุวัฒนธรรม 4 ชว่ั โมง ความหมายของสังคมพหุวัฒนธรรม ความสาคญั ของสังคมพหวุ ฒั นธรรม การพฒั นาทักษะสังคมพหวุ ฒั นธรรม แนวทางการอยูร่ ว่ มกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ประโยชน์ของการศึกษาทักษะสงั คมพหวุ ฒั นธรรม เอกสารอา้ งองิ บทท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรมไทย ความหมายและความสาคัญของภาษากบั วฒั นธรรม องค์ประกอบของวัฒนธรรม ประเภทของวัฒนธรรม ความสมั พันธ์ระหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรม องค์ประกอบท่ีทาใหเ้ กดิ วฒั นธรรมการใช้ภาษา
ฌ ลกั ษณะภาษาที่สะท้อนวฒั นธรรมไทย 4 ชว่ั โมง เอกสารอา้ งอิง บทที่ 3 ความรูเ้ บื้องตน้ เก่ียวกบั การส่อื สาร 4 ชวั่ โมง ความหมายของการสอื่ สาร 4 ชว่ั โมง ความสาคญั ของการสือ่ สาร 4 ช่วั โมง องคป์ ระกอบของการส่ือสาร วัตถุประสงคข์ องการส่ือสาร ภาษาท่ีใชใ้ นการส่อื สาร ประเภทของการสื่อสาร ปัจจัยอ่นื ๆ ทีส่ ง่ ผลต่อการสอ่ื สาร อปุ สรรคของการสื่อสาร เอกสารอา้ งองิ บทที่ 4 การสื่อความหมายในกระบวนการเรยี นการสอน ความสาคัญของการสอื่ ความหมายในกระบวนการเรียนการสอน องค์ประกอบการส่ือความหมายในกระบวนการเรียนการสอน ลักษณะการสื่อความหมายระหวา่ งครกู ับผู้เรยี น วิธปี รบั การส่อื ความหมายกับกระบวนการเรยี นการสอนให้เกดิ ประสิทธิภาพ ทักษะการสื่อความหมายทีส่ าคญั ในกระบวนการเรียนการสอนสาหรับครู เอกสารอ้างอิง บทที่ 5 การใชภ้ าษาไทยเพ่ือการส่อื สารสาหรับครู ความหมายของภาษา หลักการใชภ้ าษาไทยเพื่อการส่ือสาร ขอ้ ระมดั ระวังในการใช้ภาษาเพ่ือการสอ่ื สาร ขอ้ ควรคานึงในการเรยี บเรยี งประโยค เอกสารอ้างอิง บทท่ี 6 ทักษะการฟังเพอ่ื การสอื่ สารสาหรับครู ความหมายของการฟัง ความแตกต่างระหว่างการฟังกับการไดย้ ิน ความสาคญั ของการฟัง ขนั้ ตอนและกระบวนการฟัง การเตรียมความพร้อมในการฟงั เพ่ือการสื่อสารอยา่ งมีประสิทธิภาพ ประเภทของสารที่ฟงั การฟังประเภทต่างๆ หลกั การฟงั อยา่ งสรา้ งสรรค์ มารยาทในการฟัง อุปสรรคในการฟงั
ญ เอกสารอ้างอิง 4 ชัว่ โมง บทที่ 7 การพูดเพือ่ การสื่อสารสาหรบั ครู 4 ชว่ั โมง 4 ช่วั โมง ความหมายของการพดู ความสาคญั ของการพูด องคป์ ระกอบของการพูด วัตถปุ ระสงค์ของการพูด สว่ นประกอบของเนื้อเรื่องท่ีจะพดู การเตรยี มตัวในการพูด วธิ ีการพดู เพ่ือการส่ือสาร การพดู สอ่ื สารสาหรบั ครู หลักสาคญั ในการพัฒนาทักษะการพดู เพอื่ สารสารใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพ เอกสารอ้างอิง บทที่ 8 ทกั ษะการอา่ นเพื่อการสื่อสารสาหรบั ครู ความหมายของการอ่าน ความสาคัญของการอ่าน จดุ ประสงค์ของการอ่าน ประโยชน์ของการอ่าน ระดบั ของการอ่าน ประเภทของการอ่าน การพัฒนาทักษะการอา่ นสาหรับครู เอกสารอา้ งอิง บทที่ 9 ทักษะการเขียนเพือ่ การสอื่ สารสาหรบั ครู ความหมายของการเขียน จดุ ประสงค์ของการเขยี น หลักการเขียน ข้ันตอนในการเขยี น การเขียนย่อความ การเขียนบทความทางวชิ าการ การเขยี นหนังสือราชการ ข้อควรคานงึ ถึงในการเขียน เอกสารอา้ งอิง
ED12101 1 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจดั การเรยี นรู้ บทท่ี 1 ทักษะสังคมพหุวัฒนธรรม สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของสังคมพหวุ ัฒนธรรม 2. ความสาคญั ของสงั คมพหวุ ัฒนธรรม 3. การพัฒนาทักษะสังคมพหุวัฒนธรรม 4. แนวทางการดารงชีวติ อยรู่ ่วมกนั ในสังคมพหุวฒั นธรรม 5. ประโยชน์ของการศึกษาทักษะสงั คมพหุวัฒนธรรม 6. บทบาทของการจดั การศึกษาในสังคมพหวุ ฒั นธรรม วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. อธิบายความหมายและความสาคัญของสงั คมพหวุ ัฒนธรรมได้ 2. วเิ คราะห์ความแตกตา่ งและหลากหลายทางสงั คมพหุวัฒนธรรม และสามารถนาไปปรับใช้ ในชีวติ ประจาวนั ได้ 3. สามารถปฏบิ ตั ิตนในฐานะครไู ดต้ ามสถานการณใ์ นสังคมพหวุ ฒั นธรรมได้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. การบรรยาย 2. การอภิปรายเกย่ี วกบั สงั คมพหวุ ัฒนธรรม 3. กจิ กรรมกล่มุ วิเคราะห์ทักษะสังคมพหวุ ฒั นธรรมที่จาเป็นต้องใชใ้ นชีวติ ประจาวัน 4. อภปิ รายกลมุ่ และนาเสนอผลการศึกษาดว้ ย Mind Mapping 5. นักศกึ ษาแตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนจบั สลาก นาเสนอสถานการณ์การพัฒนาทักษะสงั คมพหุ วฒั นธรรมด้านตา่ งๆ 6. ผเู้ รยี นและผูส้ อนรวมกันสรปุ หลังการเรยี นรู้ นักศึกษาบันทึกสรุปลงสมุด สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ส่อื ส่ิงพิมพ์ เชน่ ข่าว บทความ วารสาร 3. ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ เช่น ซีดี วีดีทศั น์ สไลดน์ าเสนอ 4. แบบฝกึ หดั
ED12101 2 ภาษาและวัฒนธรรม การวดั และประเมินผล 1. สงั เกตความสนใจ ความตั้งใจในการเรยี นการสอน 2. สังเกตการร่วมทากิจกรรม การอภปิ ราย แลกเปลย่ี นความคิดเห็นและการวิเคราะหใ์ น ประเดน็ ที่กาหนดใหร้ วมทั้งการนาเสนอรายงานหน้าช้ัน 3. การซักถามความรู้ ความเข้าใจในประเด็นสาคัญของเร่ือง 4. ตรวจผลงาน จากรายงาน ใบงานและจากการทาแบบฝึกหัด
ED12101 3 ภาษาและวัฒนธรรม บทที่ 1 ทักษะสังคมพหุวฒั นธรรมสาหรบั ครู ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ประชากรมีความหลากหลายทางชาติพันธ์ุ ภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิต โดยเฉพาะในเขตพ้ืนที่ที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากน้ีผลจากการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชากรจากประเทศเพื่อนบ้านและชาวต่างชาติเข้ามา ในประเทศไทยปัจจุบันมีจานวนเพ่ิมขึ้น ทาให้ผู้เรียนในปัจจุบันมีความแตกต่างกันทางชาติพันธ์ุเพ่ิม มากขึ้นตามไปดว้ ย ดังนั้นการจดั การเรียนการสอนในสังคมพหวุ ฒั นธรรมจงึ มีความสาคัญเป็นอย่างย่ิง เพ่ือให้ผู้เรียนยอมรับและอยู่ร่วมกันได้ภายใต้ความหลากหลายทางความคิดและการดารงชีวิตใน ปัจจุบัน ความหมายของสังคมพหุวัฒนธรรม สังคมพหุวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มคนท่ีมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เผ่าพันธ์ุ วิถีชีวิต ความเช่ือ ศาสนา และประเพณีท่ีปฏิบัติท่ีแตกต่างกัน เนื่องจากกระบวนการคิดและสัญลักษณ์ที่ เกิดจากการสร้างของวัฒนธรรม ปัจจัยทางศาสนา เชื้อชาติ อายุ เพศ ชนชั้นทางสังคม และ การศึกษาซ่ึงเป็นตัวกาหนดให้บุคคลมีความคิดความเชื่อ ความรู้สึก และการกระทาในลักษณะที่ แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสท่ีประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การร่วมมือกันในประชาคมของ ประเทศอาเซียน ที่จะมีการปฏิสัมพันธ์กันในระหว่างประเทศสมาชิกมากข้ึน จึงมีความจาเป็นท่ี สมาชกิ ในสงั คมต้องเรียนรู้ถึงระเบียบแบบแผนท่ีควรประพฤติปฏิบัติหรือควรละเว้นตามมารยาทของ กันและกันในแต่ละสังคม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งท่ีจะเกิดขึ้นและนามาซ่ึงความสงบเรียบร้อยของ การอยรู่ ่วมกนั ความสาคญั ของทักษะทางสังคมพหุวฒั นธรรม ปจั จุบนั สงั คมไทยมคี วามหลากหลายทางชาติพนั ธ์ุ ภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิต ดังนั้นทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรมจึงความสาคัญประการหนึ่งที่ทาให้คนในสังคมพหุ วัฒนธรรมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข นิติไทย นัมคณิสรณ์ (2555) ได้กล่าวถึง ความสาคัญของ ทักษะทางสังคมพหวุ ัฒนธรรมไว้ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. เปน็ การถา่ ยทอดทางปัญญาของคนในแต่ละสังคม การแสดงออกทางมารยาทสังคมใน ประเทศอาเซียนเป็นสังคมที่มีการให้เกียรติกันตามลาดับอาวุโสซึ่งจาแนกออกเป็นลักษณะต่างๆ เช่น เปรียบเทียบความมากน้อยกว่ากันโดยอายุเรียกว่า “วัยวุฒิ” เปรียบเทียบความมากน้อยกว่ากัน ทางระดับช้ันของการศึกษา เรียกว่า “คุณวุฒิ” และเปรียบเทียบกันทางชาติกาเนิด เช่นเป็นสามัญ ชนหรือ มีฐานันดรศักด์ิเป็นเช้ือพระวงศ์ช้ันต่างๆท่ีกาหนดไว้ตามแบบแผนของแต่ละสังคมเรียกว่า “ชาติวุฒ”ิ
ED12101 4 ภาษาและวฒั นธรรม ดังน้นั ในการแสดงกิรยิ าอาการต่าง ๆ เช่น การเดนิ การยืน การน่ัง และการนอน รวมถึง การทาความเคารพ การแต่งกาย การพูด ฯลฯ จึงมีข้อปฏิบัติที่บ่งช้ีไว้ชัดเจนแสดงถึงภูมิ ปญั ญาทล่ี ึกซ้ึงของบรรพชนของแต่ละชาตทิ ี่ควรแก่การเรียนรู้ 2. เป็นการรักษาขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณี การปฏิบตั ติ นในทกั ษะสงั คมดา้ นตา่ ง ๆ เป็นการเรียนรูแ้ ละถา่ ยทอดจากคนรนุ่ หนง่ึ ไปสู่คนอีกรนุ่ หน่ึง ปฏบิ ตั สิ ืบตอ่ กนั มาจนกลายเป็น วฒั นธรรมทางสังคม การปฏิบัติตนตามวถิ ีทางสงั คมจึงถือได้ว่าเปน็ การร่วมกันธารงไว้ซง่ึ จารีตและ ประเพณที ี่เป็นเอกลักษณ์ของชาตซิ ง่ึ บรรพชนได้มีการสบื ทอดต่อกนั มาให้คงอยูต่ ่อไป 3. เปน็ การแสดงถึงความเป็นผู้มีวัฒนธรรม การเรียนรู้เร่ืองทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรม และสามารถนาไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เป็นการแสดงออกถึงการเป็นผู้ที่ได้รับ การอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ถือได้ว่าเป็นผู้ท่ีมีมารยาท ยามที่ต้องสมาคมกับผู้อ่ืนก็มีความม่ันใจ แสดงออกได้อย่างไม่เคอะเขนิ หรือ อบั อาย ดังสานวนไทยที่ว่า “ สาเนยี งสอ่ ภาษา กิรยิ าสอ่ สกลุ ” การพัฒนาทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรม การพัฒนาทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรมเป็นสิ่งสาคัญ นอกจากเป็นการให้เกียรติเพื่อน มนษุ ย์ด้วยกันแล้ว ทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรมยังเป็นหนทางหนึ่งท่ีทาให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ อย่างสงบสุข ในบทนี้ขอกล่าวถึงการพัฒนาทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรมด้าน กายแต่งกาย วาจา และใจ โดยสังเขป ตามแนวคิดของ นติ ิไทย นมั คณสิ รณ์ (2555) โดยสังเขป ดังน้ี 1.การแตง่ กายตามสังคมพหุวัฒนธรรม ความสาคัญของการแต่งกายก็มีด้วยกันอยู่หลายประการ เช่น เพื่อปูองกันอันตราย เห็น ได้จากการใส่เส้ือผ้าเพื่อปูองกันความหนาว การใส่เส้ือแขนยาวเพื่อปูองกันแสงแดด หรือแต่งกาย เพื่อดึงดูดความสนใจและความสวยงาม แต่งกายเพื่อแสดงฐานะทางสังคม เช่น เคร่ืองแบบ นักศกึ ษา ขา้ ราชตารวจ หรอื การแต่งกายด้วยเสอื้ ผา้ และเคร่อื งประดบั ราคาแพงก็สามารถบ่งบอก ถงึ ฐานะทางสังคมไดเ้ ช่นกนั นอกจากนี้การแต่งกายยงั บง่ บอกถงึ ขนบธรรมเนียมและความสุภาพ ซ่ึง แต่ละท้องถิ่นก็มีลักษณะแบบแผนของตนเอง อย่างเช่นธรรมเนียมตะวันตกถ้าเป็นงานพิธีการจะต้อง แตง่ กายครบเครอ่ื ง สวมถุงนอ่ ง รองเทา้ หมวก ถุงมือ แตถ่ า้ เป็นธรรมเนยี มไทยเราจะไมส่ วมหมวก ส่วนการแต่งกายตามสงั คมพหวุ ฒั นธรรมมคี วามสาคัญ คือ เป็นเครอ่ื งบง่ บอกถึงความเป็น เช้อื ชาตหิ รอื ชาติพันธุ์ซง่ึ เปน็ เอกลักษณ์และภมู ิปญั ญาของคนในแตล่ ะเชื้อชาติหรอื แตล่ ะชาติพนั ธุ์ ทีม่ ี ความคดิ ความเช่ือแตกตา่ งกัน ดังนน้ั การแต่งกายจึงเป็นการถา่ ยทอดความคิด ความเชื่อ จารรตี ประเพณีและวิถีชวี ติ ของคนในสังคม เชน่ นอกจากน้ี การแต่งกายน้ันควรคานึงถึงการแต่งกายให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ การ แต่งกาย หมายถึง การเลือกใช้เสื้อผ้ารวมไปถึงเคร่ืองประดับตกแต่งร่างกายต้ังแต่ศีรษะจรดเท้า การแต่งกายใหเ้ หมาะสมกับกาละ คือ การแต่งกายให้เหมาะสมกับเวลา ในงานเล้ียงต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นกลางวันหรือกลางคนื สว่ นการแตง่ กายใหเ้ หมาะสมกับเทศะ คือ การแต่งกายให้เหมาะสมกับ สถานท่ี เช่น สถานทร่ี าชการ โรงเรียน โรงภาพยนตร์ เปน็ ตน้
ED12101 5 ภาษาและวฒั นธรรม ประเภทของการแต่งกาย โดยทวั่ ไปการแต่งกายสามารถแบง่ ตามโอกาสทีแ่ ต่งกายได้ 3 ประเภท ดงั นี้ 1.การแตง่ กายแบบไมเ่ ปน็ ทางการ คือ โอกาสในการแตง่ กายทีอ่ ย่ใู นเวลาอิสระ วันหยุด หรือในเวลาพักผ่อน เช่น การพักผ่อนหรอื ทากจิ กรรมครอบครัวทีบ่ า้ น 2. แบบก่งึ ทางการ คือ การแตง่ กายที่มีรูปแบบกาหนดไวก้ ว้าง ๆ ทาให้สามารถนึกรูปแบบ การสวมเสอื้ ผา้ ประเภทนี้ได้ เช่น ชดุ กีฬา ชดุ ราตรี ชุดทางาน ชุดวา่ ยนา้ เป็นต้น ภาพที่ 1.1 การแตง่ กายชุดทางาน แบบก่งึ ทางการ ทม่ี า: อาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุดรธานี 3. แบบเป็นทางการ คอื การแตง่ กายที่มีรปู แบบและระเบียบ เง่ือนไขบ่งช้ี ชดั เจน วา่ มี ลักษณะและข้อบ่งใชอ้ ยา่ งไร ผแู้ ตง่ ควรมีคุณสมบัติอย่างไร เชน่ ชุดนักเรียน นักศึกษา ชุดอาจารย์ ผสู้ อน เคร่ืองแบบขา้ ราชการ ชดุ ประจาชาติ เปน็ ต้น
ED12101 6 ภาษาและวฒั นธรรม ภาพท่ี 1.2 การแตง่ กายแบบเปน็ ทางการ ทมี่ า: https://www.facebook.com/search/top/?q=สโมสรนกั ศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี หลักสาคญั ในการแต่งกาย การแต่งการเป็นส่ิงสาคัญอย่างหนึ่งที่ควรเอาใจใส่ การแต่งการนอกจากเป็นการส่งเสริม บุคลิกภาพอย่างแล้วการแต่งกายยังเป็นการสร้างความม่ันใจแก่ผู้สวมใส่ ทั้งยังทาให้เกิดความ นา่ เชอื่ ถือแก่ผู้พบเห็นอีกดว้ ย หลักสาคญั ในการแตง่ กายมีดงั น้ี 1. ความสะอาด (Clean) ความสะอาดของเครื่องแต่งกายมีส่วนสาคัญในการเสริมสร้าง บุคลิกภาพอย่างมาก หากบุคคลท่ีแต่งกายด้วยเส้ือผ้าที่มีราคาแพง แต่ขาดความสะอาด ทาให้ดู หมดคุณค่าและเป็นการทาลายบุคลิกภาพและความน่าเช่ือถือลง ดังน้ันทุกคนจึงควรให้ความสาคัญ กับการรักษาความสะอาดของเส้ือผา้ พรอ้ มท้งั ทะนถุ นอมเนือ้ ผา้ ใหอ้ ยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ 2. ความสภุ าพเรยี บรอ้ ย (Polite) ความสุภาพเรียบร้อยในการแต่งกาย ควรเร่ิมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เช่น ทรงผม สีผม เสื้อผ้า ไดแ้ ก่ สี แบบ ขนาด รองเท้า การเลือกเครื่องประดับ กระเป๋าถือ ควรเลือกให้เหมาะสมกับตนเอง ไม่ ควรตามแฟช่ัน
ED12101 7 ภาษาและวฒั นธรรม ภาพท่ี 1.3 การใหค้ วามสาคัญในการเลือกเสอ้ื ผ้าท่เี หมาะสมกับตนเอง ท่มี า: http://www.emplealia.net 3. ความถกู ต้องตามโอกาสและกาลเทศะ (Be temperate) การแต่งกายให้เหมาะสมกับโอกาส และกาลเทศะเป็นการให้เกียรติตนเอง และผู้อ่ืน ช่วยให้ เกดิ ความม่ันใจในการดาเนินกจิ กรรมต่าง ๆ แตไ่ มว่ ่าจะเป็นโอกาสใดก็ตาม ผแู้ ต่งควรมีพื้นฐานท่ีความ สุภาพเรยี บรอ้ ย ในการแต่งกายเป็นหลัก ซึ่งหมายถงึ ทัง้ หมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ดังน้ันผู้สวมใส่จึงควร พจิ ารณาวา่ ตนเองจะไปทาอะไร ทไี่ หน อย่างไร เพื่อเลือกเสอ้ื ผา้ ให้เหมาะสมกับโอกาส ตวั อยา่ งเช่น 3.1 การไปติดต่อธุรกิจ ควรให้ความสาคัญกับความเรียบร้อย และความสะอาดของเส้ือผ้า และรา่ งกายเปน็ อยา่ งย่ิง ควรใส่เส้ือสทู เพ่ือให้ดูมคี วามนา่ เช่อื ถอื มากยงิ่ ขึน้ ภาพที่ 1.4 การแตง่ กายโดยการใส่สทู เพ่ือติดต่อประสานงานทาให้ดนู า่ เช่อื ถือ ทมี่ า: https://www.facebook.com/search/top/?q=สโมสรนกั ศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อุดรธานี
ED12101 8 ภาษาและวฒั นธรรม 3.2 การไปงานเลี้ยง ควรพิจารณาลักษณะงาน สถานท่ีจัดงานว่ามีความหรูหรามากน้อย เพียงใด ถ้าเป็นงานเล้ียงตอนกลางวันของบริษัท อาจใส่เส้ือผ้าชุดทางานกลางวันปกติ โดยเสริม เครือ่ งประดับให้ดสู ดใสข้นึ สาหรับงานกลางคืนควรสวมเส้ือผ้าท่ีดูหรูหรามากข้ึน แต่งหน้าเข้มมาก ขึ้นและสวมเครอ่ื งประดับพอสมควร ภาพท่ี 1.5 การแต่งกายไปงานเล้ยี งกลางคืน ทม่ี า: http://saroop.net 3.3 การไปเลน่ กีฬา ควรสวมเครื่องแต่งกายที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น เส้ือทีเชิ้ต กางเกงวอร์ม รองเทา้ ผ้าใบ ซึ่งนอกจากจะเหมาะสมแล้ว ยงั ช่วยใหม้ คี วามคล่องตัวและลดอบุ ตั เิ หตทุ อ่ี าจเกดิ ขึน้ ได้ ภาพที่ 1.6 การแตง่ กายไปงานกฬี า ทม่ี า: https://www.facebook.com/search/top/?q=สโมสรนกั ศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อดุ รธานี
ED12101 9 ภาษาและวฒั นธรรม 4. ความเหมาะสมกับอาชีพหรือสถานะ (Appropriate to the profession) การแต่ง กายให้เหมาะสมกับอาชีพหรือบางสถานะเป็นสิ่งที่ควรคานึงถึงอย่างย่ิง เพราะบางอาชีพเป็นอาชีพท่ี เสี่ยงกบั อันตรายจงึ มีชดุ เฉพาะที่ใสใ่ นการปฏบิ ัติงาน เช่น พนกั งานดบั เพลงิ พนักงานไฟฟูา หรือบาง อาชีพหรือบางสถานะต้องการความน่าเชื่อถือ จึงควรเลือกเส้ือผ้าให้เหมาะสมเพื่อเป็นการ เสรมิ สร้างบคุ ลกิ ภาพ เช่น นกั เรียน นกั ศึกษา ครู แพทย์ พนักงานธนาคาร เป็นต้น ภาพท่ี 1.7 การแตง่ ชุดสาหรับพนักงานทาให้ดูสวยงาม นา่ เชื่อถอื ทมี่ า: https://www.sanook.com/women/94641 5. ความเหมาะสมกบั วัย (Age appropriate) การแต่งกายน้ัน ผู้แตง่ กายควรคานึงถงึ ความ เหมาะสมกบั อายุเปน็ องค์ประกอบ ดงั น้ี 5.1 วยั เดก็ เสือ้ ผ้าควรจะมสี สี ันสดใส รูปแบบนา่ รกั มลี ายการต์ นู ภาพท่ี 1.8 เสือ้ ผา้ ที่เหมาะสาหรบั เด็ก ทมี่ า: https://www.marumura.com
ED12101 10 ภาษาและวัฒนธรรม 5.2 วัยรุ่น เสอื้ ผ้าควรมีสสี นั อ่อน ๆ แบบของเส้อื ผ้าเปน็ ไปตามลกั ษณะรูปรา่ ง และความชอบของแต่ละคน ไม่ควรสวมเส้ือผ้าที่เปิดเผย หรือรัดรูปจนเกินไป โดยเฉพาะเส้ือหรือ กางเกงที่รดั รูปมาก ๆ อาจเกดิ ผลเสียต่อสุขภาพได้ ไมค่ วรใส่เสือ้ ผ้าท่ีมีราคาแพงเกินความจาเป็น และ ไม่ควรใส่เคร่ืองประดับท่ีดูหรูหรา ซึ่งนอกจากดูไม่เหมาะสมกับวัยแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง อกี ดว้ ย สาหรบั รองเท้าควรเปน็ รองเท้าทส่ี วมใสส่ บาย สะดวก คลอ่ งตวั เหมาะกับกิจกรรม และไม่ ควรซ้ือรองเท้าที่แพงเกนิ ไป เนื่องจากในวยั รุ่นเปน็ วัยทม่ี กี ารเปล่ยี นแปลงทางรา่ งกายอยา่ งรวดเรว็ ภาพที่ 1.9 เสื้อผา้ ท่เี หมาะสาหรับวัยรุ่น ที่มา: http://www.sistacafe.com 5.3 วยั ผ้ใู หญ่ เสอ้ื ผา้ ทเ่ี หมาะสมกับวยั ผ้ใู หญ่ควรมีสสี ุภาพเรียบรอ้ ย เพ่ือให้ดูสง่างาม เหมาะสมกับวัยและบุคลิกภาพของตนเอง
ED12101 11 ภาษาและวฒั นธรรม ภาพท่ี 1.10 เส้อื ผ้าทเี่ หมาะสาหรับวยั ผูใ้ หญ่ ทม่ี า: อาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอดุ รธานี 6. ความเหมาะสมกับรูปร่าง (The shape) ศิลปะการแต่งกายท่ีช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพ และภาพลักษณ์ได้เป็นอย่างดี คือการแต่งกายให้เหมาะสมกับรูปร่างและสัดส่วนของตน โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือให้เส้ือผ้าท่ีแต่งช่วยอาพรางจุดบกพร่องของรูปร่าง พร้อมทั้งส่งเสริมจุดเด่นของ รูปร่างทาให้เกิดความเหมาะสม สวยงาม อย่างลงตัว ดงั น้ี 6.1 หุ่นทรงนาฬกิ าทราย หุ่นทรงนาฬกิ าทรายคอื มขี นาดรอบอกและสะโพก เท่ากัน และมีเอวที่เล็กคอด ควรเลือกใส่เสื้อผ้าท่ีมีสี ลวดลาย หรือการตกแต่งตัดกัน เพื่อเน้นให้เห็น รูปร่างได้ชัดเจน รักษาสมดุลของการตกแต่งเคร่ืองแต่งกายท่อนบนและล่าง เพ่ือไม่เน้นให้ให้ส่วนใด ส่วนหน่ึงเล็กใหญ่กว่ากัน แต่ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าท่ีประดับหน้าอก หรือเน้นหน้าอก และเส้ือผ้าท่ี หลวม ใหญเ่ กนิ ตวั 6.2 หุ่นทรงพรี ามิด หนุ่ ทรงพรี ามิด คือ รปู ร่างที่ทอ่ นลา่ งกว้างกวา่ ท่อนบน และมี ช่วงไหล่แคบ อาจมีหน้าอกเล็กด้วย ควรใส่เสื้อผ้าท่ีมีการกระดับตกแต่ง รายละเอียดต่างๆ อยู่ท่ีท่อน บน เพ่อื ดึงสายตามาที่ชว่ งบนของร่างกายเลอื กใส่กระโปรงที่ยาวเหนือเข่า หรือปิดเข่าลงมาหรือพราง สะโพกและต้นขา ด้วยเส้ือผา้ ทอ่ นล่างที่มีสเี ขม้ ควรหลกี เลี่ยงกระโปรงพลที กระโปรงมีจีบ และกางเกง ที่เย็บแบบมีกระเปา๋ หลัง หรือโชวต์ ะเข็บ หลกี เลย่ี งเสอ้ื ท่มี ีความยาวถึงสะโพกพอดี หรือกระโปรงสัน้ 6.3 หนุ่ ทรงพีรามดิ คว่า หนุ่ ทรงพรี ามิดควา่ คือมชี ่วงไหลแ่ ละหนา้ อกกว้างกว่าช่วง สะโพกนน่ั เอง คณุ เหมาะจะใสเ่ สื้อผา้ ที่เน้นช่วงสะโพก กางเกงท่ีมีกระเป๋า เส้ือคอวี หรือสวมกระโปรง บาน และควรหลีกเลี่ยงเสื้อคอกว้าง คอปาด ประดับท่อนบนมากเกินไป หลีกเลี่ยงกระโปรงส้ัน กระโปรงทรงตรง ทีท่ าใหท้ อ่ นล่างคุณดเู ลก็ เข้าไปอีก 6.4 หนุ่ ทรงสี่เหล่ียม หุ่นทรงส่เี หล่ยี ม คือ มชี ว่ งเอวและสะโพกเทา่ ๆ กนั เอวไม่ คอดเท่าไรนัก จงึ ควรใสเ่ สือ้ ยืดที่มจี บี ระบาย หรอื ประดบั ท่ีคอ เลือกเส้อื ผา้ ที่เนน้ ชว่ งอก และสะโพก
ED12101 12 ภาษาและวัฒนธรรม เพ่อื ให้ดมู เี อวมากขึ้น หรือใส่กระโปรงบาน และหลีกเลีย่ งการคาดเข็มขดั หรอื เส้ือผา้ ทีม่ ีลกู เลน่ ตรง ช่วงเอว ภาพที่ 1.11 การแต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั รปู ร่างแบบต่างๆ ท่มี า: http://www.beautyshopdd.com/article-detail/233 การแต่งกายให้เหมาะสมกับรูปร่างเป็นสิ่งสาคัญประการหน่ึงท่ีช่วงส่งเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี ขึ้นได้ การเลือกเสื้อผ้าหรือเคร่ืองแต่งกายให้เหมาะสมกับรูปร่างนอกจากจะช่วยปกปิดข้อด้อยของ รปู ร่างบางประการแล้วยังเป็นการเสริมจุดเด่นของรูปร่าง สามารถเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดูดีได้ทุก วนั ทุกโอกาส 2. มารยาททางวาจาตามสังคมพหุวฒั นธรรม การพูดในชีวติ ประจามีความสาคัญทจ่ี ะทาให้คนรกั หรือเกลียดก็ได้ จะก่อให้เกิดมิตรหรือศัตรู ก็ได้ การพดู จงึ เป็นศลี ข้อสาคัญท่ีทุกศาสนาสอนให้คนระมัดระวัง เช่น ในศีล ข้อท่ี 4 ของพุทธศาสนา สอนให้ละเว้นจากการพูดที่เป็นคาโกหก เสียดสี เหน็บแนมแกมประชด เหลวไหล ไร้สาระ ตลก คะนอง หยาบคาย หรอื ทะล่ึงลามก ต่าง ๆ หลักการพูดท่ีครองใจคน ควรประกอบด้วย คาพูดท่ีเป็นความจริง ไม่เสแสร้ง หรือแสวงหา ผลประโยชน์ให้ตนเอง ไม่แกล้งใส่ร้ายปูายสีคนอื่น มีความจริงใจ ใช้น้าเสียงท่ีอ่อนโยน ไม่กระโชก โฮกฮาก หรอื ประชดประชนั เม่อื อยใู่ นคนกลุ่มใหญไ่ ม่ควรใชภ้ าษาถ่นิ ท่ีสื่อสารกนั เข้าใจเฉพาะในกลุ่ม ควรใช้ภาษากลางท่ผี ฟู้ งั ส่วนใหญฟ่ ังรูเ้ ร่อื ง ในท่ีนีจ้ ะกล่าวถึงการพูดในท่ีชมุ ชน
ED12101 13 ภาษาและวัฒนธรรม การพูดต่อหนา้ ทีช่ มุ ชน 2.1 การเตรยี มตวั ก่อนการพูด 1) ควรมีการวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเป็นใคร มีอาชีพอะไร มีความรู้ในเรื่องท่ีจะพูดมากน้อยเพียงใด สถานที่จะไปพูดนั้นเป็นอย่างไรเพื่อจะได้แต่งกายกายได้สอดคล้องเหมาะสมวันเวลาที่จะไปพูด เป็น เวลาอะไร และบุคคลท่รี ว่ มพูดกบั เรานน้ั มีหรือไม่ เปน็ ใคร 2) เร่ืองท่ีพูดน้ันควรเป็นเรื่องท่ีตรงตามความรู้ท่ีตนชานาญ หรือเช่ียวชาญเป็นอย่างดี เพื่อ ความมั่นใจในการนาเสนอขอ้ มูลทถ่ี กู ต้องและเปน็ ประโยชน์กับผ้ฟู งั อย่างแทจ้ ริง 3) ทาความเข้าใจวัตถุประสงค์ของการพูดในครั้งน้ันว่า ผู้จัดมีความประสงค์ให้ผู้ฟังได้รับ ความรู้เรื่องอะไร หรือเกิดความเปล่ียนแปลงในความคิด ทัศนคติอะไร เพ่ือจะได้พูดได้ตรงตาม วัตถปุ ระสงค์ และโอกาสของงาน 4) เตรยี มร่างกายให้มสี ุขภาพสดใสแขง็ แรง นอนหลบั พกั ผอ่ นใหเ้ พยี งพอ 5) เตรียมขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ในการนาเสนอ ฝกึ ซ้อมการพดู ก่อนเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ไมต่ ิดขดั 6) เตรียมเสอื้ ผา้ เคร่ืองแต่งกายต่าง ๆ สารวจเส้นทางล่วงหน้า เผื่อเวลาไปถึงเพื่อการเตรียม ตัวกอ่ น 2.2 ลาดบั ในการพูด หลักการพดู ทีด่ ีมลี าดับการพูดดังน้ี 1) ทักทายผูฟ้ ัง ใช้คาทักทายให้เหมาะกับผ้ฟู ังเช่น กราบเรียน เรยี น หรือ นมสั การพระคุณ เจา้ ในกรณีทีผ่ ้ฟู ังเปน็ พระสงฆ์ 2) เกริ่นนาหรือทาความเขา้ ใจเพ่อื สรา้ งพน้ื ฐานความรู้ให้แก่ผู้ฟงั ถงึ เรื่องที่ จะพูด 3) เริ่มบรรยายโดยใหค้ วามประทับใจท่ีดีกบั ผู้ฟงั เสมอ ดว้ ยการใชถ้ อ้ ยคา ท่ีสุภาพเรียบรอ้ ย ตามรปู แบบมาตรฐานของสงั คม เข้าใจงา่ ย ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ใชภ้ าษาราชการ หลกี เล่ียงคาแสลง ภาษาทีเ่ ขา้ ใจเฉพาะถนิ่ ไม่กล่าวคาโกหก เพ้อเจ้อ หยาบคาย วา่ รา้ ยนินทา ฯล ฯ 4) สบตากบั ผู้ฟังเป็นระยะ ไม่ล้วงแคะ แกะเกาสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย ใช้ท่าทางประกอบ ความหมายในการพูดสอดคล้องที่สัมพันธก์ นั 5) เปดิ โอกาสให้ผฟู้ งั ได้ซักถาม หรอื แสดงความคิดเหน็ ฉ. สรุปประเด็น ช. ขอ้ คิด – คาคม ท่ี ใหค้ วามประทบั ใจที่ดีกบั ผูฟ้ ังเสมอ ซ. ขอบคุณ และอาลา 3.มามารยาททางใจตามสงั คมพหุวัฒนธรรม การที่บุคคลจะมีความสุขในชีวิตได้น้ันต้องเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจ น่ันคือ การยึดถือและ ปฏิบัติตามหลักธรรมคาสอนทางศาสนาท่ีตนเองศรัทธาเลื่อมใสนับถืออยู่ ทุกศาสนาต่างสอนให้ทุก คนเป็นคนดี มีน้าใจ เอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ซ่ึงกันและกัน มีความรักและศรัทธาในหน้าที่ท่ีพึงกระทา เช่ือม่ันในคุณงานความดีที่ได้ทา มีความมุ่งม่ัน รู้จักอดทน มีเหตุผลในการคิดและตัดสินใจ รวมทงั้ ความคดิ สร้างสรรค์ มอี ารมณ์ขนั มองโลกในแงด่ ที ง้ั ที่ตวั เราและผู้อ่ืน ช่ืนชมความงามรอบ ข้าง เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่พึงพอใจเกิดข้ึนก็สามารถระงับอารมณ์ได้ ส่ิงท่ีเกิดข้ึนต้องมีสมหวังและ ผิดหวังควบคู่กันไป มีสติเป็นเคร่ืองกาหนดให้รู้จักคิด รู้จักพูด และรู้จักทาในส่ิงที่ดี เหมาะสมและ ถูกตอ้ ง ตามบทบาทหนา้ ทีท่ ี่ตนเองเป็นอย่ใู นขณะน้ัน จึงจะทาใหเ้ ปน็ ผมู้ ีความสขุ ทุกขณะเวลา
ED12101 14 ภาษาและวฒั นธรรม แนวทางในการดารงชีวิตอยู่รว่ มกันในสงั คมพหุวัฒนธรรม 1. แสวงหาความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพอยู่เสมอ เน่ืองจากในสังคมปัจจุบันมีการ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของมนุษย์มากข้ึนและทา ใหส้ ังคมเกดิ การเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ว เพ่ือให้สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง ในภาวะปัจจบุ ันได้น้นั จาเปน็ ที่เราต้องมีนิสยั ใฝุเรียนร้อู ยูเ่ สมอ 2. มีความเปน็ มิตร ในสังคมปัจจุบันที่มีความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมน้ัน การให้เกียรติ บุคลคนอื่น การเอื้ออารีต่อคนรอบข้างโดยไม่หวังผลตอบแทน มีการเรียนรู้ศาสนา ค่านิยม ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละการปฏบิ ัติของคนในสังคมท่ีมีความแตกตา่ งกนั 3. มองโลกในแง่ดีมีอารมณ์ขัน การการอยู่ร่วมกับผู้อื่นท่ีมีความแตกต่างไปจากตนเองหรือ อยู่ในสังคมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือวิถีชีวิตความ เป็นอยู่ที่แตกต่างกัน บางคร้ังอาจมีการกระทาท่ีไม่สุภาพ หรือเป็นการไม่ให้เกียรติ กัน อาจ เน่ืองมาจากการไม่เขา้ ใจในวฒั นธรรมอน่ื โดยไม่เจตนา เช่น ถือเป็นส่ิงไม่สมควร แต่เน่ืองจากบุคคล คนต่างสังคมตางตา่ งวัฒนธรรมไม่ทราบวฒั นธรรมไทยจึงควรใหอ้ ภัย 4. มีคุณธรรม การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมท่ีมีความแตกต่างต่างและหลากหลาย ของคนในสังคมน้ัน ความคิด ความเช่ือ และการกระทาย่อมแตกต่างกันไปตามที่แต่ละสังคมได้ส่ัง สอนและหล่อหลอมมา การมีสติไม่หวั่นไหวต่อส่ิงย่ัวยุและพิจารณาส่ิงต่างๆ บนพื้นฐานของความมี เหตุผลสามารถทาใหเ้ ราอยู่รว่ มกับผ้อู ื่นไดอ้ ย่างสงบสขุ 5. เชื่อม่ันและศรัทธาในความดี การดาเนินชีวิตให้มีความสุขและประสบผลสาเร็จในชีวิต หาตาแหน่งทรัพย์สินเงินทองด้วยความสามารถและความพากเพียรของตนเอง ปฏิบัติถูกต้องตาม ครรลองของประเพณแี ละกฎหมาย 6. มีความกล้าหาญ เลือกทาในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลอื่น เพ่ือรักษาเกียรติ และศักด์ิศรขี องตนเอง ขณะเดยี วกันกไ็ มเ่ หยยี ดหยามหรอื ดหู ม่ินเกียรติผอู้ ื่น ประโยชน์ของการศึกษาทกั ษะทางสังคมพหุวัฒนธรรม การศึกษาพหุวฒั นธรรมทจ่ี ดั ข้ึนในสถานศึกษาระดบั พื้นฐานและรวมถงึ ในการศึกษา ระดบั อุดมศึกษามคี วามสาคัญท่ีเป็นประโยชนต์ ่อการเรยี นการสอน ดังนี้ 1. ชว่ ยลดความรสู้ ึกเหยียดหยามเรือ่ งเช้ือชาติ หรือชนชาติและศาสนา 2. จาเปน็ มากสาหรับการศึกษาพนื้ ฐานที่ควรต้องบรรจุไว้ในหลักสูตร 3. เป็นเรื่องทีเ่ ด็ก เยาวชน และประชาชนทุกคน ควรต้องให้ความสนใจ เขา้ ใจ และตระหนกั ความสาคัญ 4. เป็นการศกึ ษาที่ช่วยเสรมิ สร้างความเป็นธรรมในสังคม มองทุกคนในสถานภาพทีเ่ ท่าเทียม กัน ท้ังเรื่องสิทธิ เสรีภาพ หน้าท่ี ในการดาเนินชีวติ ในสงั คมน้ัน 5. เป็นกระบวนการท่ีจะชว่ ยให้ทุกคนอยูร่ ่วมกนั ในชมุ ชน ในสังคม ได้อยา่ งมสี ันตสิ ขุ 6. ครู อาจารย์ท่จี ะสอนเร่อื งน้ีจะตอ้ งมคี วามรู้ ความเข้าใจอย่างลกึ ซึ้ง และมีกระบวนการที่ แยบยลท่จี ะสอนหรือให้ความรู้เร่อื งน้ี หรอื สอนแบบบูรณาการกับวิชาอ่นื 7. ชว่ ยให้ทุกคนในสงั คมเขา้ ใจซึง่ กันและกนั ไมน่ าเร่ืองความแตกต่างของวัฒนธรรม เชอื้ ชาติ ความเช่ือไปใชใ้ นทางที่ผิด
ED12101 15 ภาษาและวัฒนธรรม บทบาทของครูกับการจัดการศกึ ษาในสังคมพหุวฒั นธรรม ผู้เรียนในปัจจุบันมีความแตกต่างกันทางชาติพันธ์ุเพ่ิมมากขึ้น ดังน้ันการจัดการเรียนการ สอนในสังคมพหุวัฒนธรรมจึงมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง ครูหรือผู้จัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนจึงมี บทบาทสาคญั ดังทนี่ ักวิชาการได้กล่าวถึงบทบาทของครูกับการจัดการศึกษาในสังคมพหุวัฒนธรรม ไว้ ดงั ต่อไปนี้ บัญญัติ ยงย่วน (2550) ได้กล่าวถึง บทบาทของครูท่ีมีต่อการจัดการศึกษาในสังคมพหุ วฒั นธรรมไว้ ดงั นี้ 1.ครู เปน็ ผ้ทู ่ีมบี ทบาทสาคัญในการเสรมิ สรา้ งเจตคตแิ ละค่านิยมทถี่ กู ตอ้ งให้แก่ผู้เรียน โดย ผา่ นกระบวนการจัดการเรยี นการสอนและเป็นแบบอยา่ งทีด่ ีให้แก่ผู้เรียน ดังนั้นการรับรู้ เจตคติและ พฤติกรรมของครูเกี่ยวกับผู้เรียนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตต้อง เป็นไปทางดา้ นบวก 2.ครู จะต้องยอมรบั แนวคิดในเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันใน สงั คมทมี่ คี วามหลากหลาย 3.ครู จะต้องมีความรู้ความรู้ เจตคติและทักษะในการส่ือสาร เพ่ือสร้างบรรยากาศในช้ัน เรียนและจัดกิจกรรมในการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเข้าใจ ยอมรับความแตกต่างและความ หลากหลายทางวฒั นธรรม 4. ครูประจาช้ันและครูประจาวิชาในสังคมพหุวัฒนธรรมของสถาบันการศึกษา คือผู้ที่มี บทบาทสาคญั ในการสง่ เสริมเจตคติเรื่องการยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ว่าความแตกต่าง นน้ั จะเป็นด้านเช้ือชาติ ศาสนา ภาษา หรอื วัฒนธรรม 5.ครู จะต้องปราศจากอคติหรือความลาเอียงต่อนักเรียนท่ีมีความแตกต่างไปจากตน และ เรียนรู้นักเรียนกลุ่มต่างๆ เพื่อนาไปสู่การส่ือสารและการจัดกิจกรรมการสอนท่ีเหมาะสมให้เกิดการ สง่ เสริมการยอมรับซงึ่ กันและกนั ของผู้เรียน นอกจากน้ี สลีทเตอร์และแกรนท์ (Sleeter and Grant, 1998 อ้างถึงใน รสสุคนธ์ เนาวบุตร, 2557: 27) ได้กล่าวถึง แนวทางทั่วไปของการจัดการศึกษาในสังคมพหุวัฒนธรรม 5 ประการ(Five General Approaches) ไวด้ งั นี้ 1.การสอนที่ในสภาพท่ีแตกต่างของความสามารถพิเศษและความแตกต่างของผู้เรียน (Teaching the Exceptional and Culturally Difference Student) 2.การสรา้ งความสมั พันธไมตรีในมนษุ ย์ (The Human Relations Approach) 3.การสร้างหลักสูตรที่เจาะจงหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกลุ่มของผู้เรียน (The Single Group Studies Curriculum) 4.การสร้างใหเ้ กดิ การศกึ ษาในลกั ษณะพหวุ ฒั นธรรม (The Multicultural and Social Deconstructionists Approach)
ED12101 16 ภาษาและวฒั นธรรม นอกจากน้ี สลที เตอรแ์ ละแกรนท์ (Sleeter and Grant, 1998 อา้ งถงึ ใน รสสคุ นธ์ เนาวบุตร, 2557: 27-28) ได้กล่าวถึง รูปแบบการวางแผนเพื่อสร้างบทเรียนตามแนวทางของพหุ วฒั นธรรม(Multicultural Approaches to Lesson Planning) ไว้ดงั น้ี 1.การพัฒนาบทเรียน (Aspects of the Lesson) โดยหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนมี ลกั ษณะดงั ตอ่ ไปน้ี 1) มคี วามหลากหลายของรปู แบบการจัดการเรยี นการสอนและแบบฝึกหัด 2) แบบฝกึ หดั ต้องไม่แสดงถงึ ความเขา้ ใจผดิ ในหลักการของพหุวัฒนธรรม (Misconceptions) 3) ภาษาทใ่ี ช้ในแบบฝึกหดั ตอ้ งคานงึ ถึงระดับความสามารถทางการอ่านของผู้เรียน 4) องคค์ วามรู้ท่ีสาคัญต้องมีการจัดทาเปน็ เอกสาร 5) สื่อและอปุ กรณก์ ารจดั การเรียนการสอนต้องไม่กีดกันทางเพศ เชอ้ื ชาตแิ ละ ภาษาของผ้เู รียน 6) แบบฝกึ หัดต้องเช่อื มโยงกบั สงั คมผเู้ รียน 2.การจัดการเรียนการสอนต้องอยู่บนพื้นฐานของหลัก 6 ประการ (Instruction: Based on 6 principles) ดังน้ี 1) ความอยากรู้และความสามารถในการเรยี นและการคดิ 2) สอดคลอ้ งกับแนวทางการเรียนรู้ของแต่ละบคุ คล 3) สร้างให้เกดิ องคค์ วามร้ใู นตัวผเู้ รยี น 4) สร้างให้ผเู้ รียนประสบความสาเรจ็ ตามระดับทเ่ี ปน็ จรงิ ของแตล่ ะคน 5) สง่ เสรมิ ให้เกดิ ความร่วมมือและแบ่งปนั ความรู้ 6) จดั ใหท้ ุกคนหรือทุกกลมุ่ มสี ่วนร่วม 3.การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment) มีลกั ษณะดงั นี้ 1) ใช้วธิ กี ารท่ีหลากหลาย 2) ครอบคลมุ ทงั้ หลักสูตร 3) ไมแ่ สดงถงึ ความรู้ที่ไมเ่ ท่าเทียมกนั 4) มีความยืดหยุน่ ด้านเวลา เนื้อหา ภาษา ทักษะการอ่านและด้านอ่ืนๆ 5) พิจารณาถงึ ภาษาแมข่ องผู้เรยี น 6) เคารพในภาษาและรายละเอยี ดปลกี ย่อย 7) หลกี เล่ยี งการสร้างความเขนิ อายแกผ่ เู้ รียนจากผลการประเมิน จะเห็นได้ว่าในสังคมปัจจุบันมีความแตกต่างกันทางชาติพันธุ์เพ่ิมมากข้ึน ดังนั้นครูหรือ ผู้จัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนจึงมีบทบาทสาคัญในการจัดการเรียนการสอนในสังคมพหุวัฒนธรรมเป็น อย่างย่ิง ท้งั ความรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกับทักษะสงั คมพหวุ ฒั นธรรมเปน็ ทกั ษะท่ีสาคัญประการหน่ึง ที่จะให้ เกิดการลดช่องว่างระหว่างความแตกต่างระกว่างบุคคลท่ีมีความแตกต่างกันตามชาติพันธุ์ ทาให้ สามารถอยูร่ ่วมกันได้อย่างสนั ติ
ED12101 17 ภาษาและวัฒนธรรม บทสรุป ทักษะทางสงั คมพหุวฒั นธรรมเปน็ สิ่งสาคญั ที่ทาให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และเป็น หนทางหน่ึงของการเคารพให้เกียรติกันและกันของบุคคลที่มีความแตกต่างกันทางด้านวัฒนธรรม จาเปน็ อย่างยง่ิ ทีเ่ ราตอ้ งศึกษา โดยเฉพาะนักศึกษาวิชาชีพครูควรปฏิบัติเป็นอย่างทีดีแก่บุคคลคนอ่ืน และปฏิบัติเป็นแบบอย่างท่ีดีเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเท่าเทียมกัน ทาให้การเรียนการสอนในชั้น เรยี นเกดิ ประสิทธิภาพ
ED12101 18 ภาษาและวฒั นธรรม กจิ กรรมประจาบทที่ 1 1. ให้นักศึกษาฟังข่าวเก่ียวกับประเด็นสังคมพหุวัฒนธรรม จากนั้นให้นักศึกษา อภิปรายถึง ลกั ษณะของสงั คมพหุวฒั นธรรมที่เกดิ ขึน้ ตามขา่ ว 2.แบ่งกลุ่มนักศึกษา กลุ่มละ 5 คน ทา Mind mapping การพัฒนาทักษะสังคมพหุ วฒั นธรรม 3.นักศึกษาจับสลาก แสดงบทบามสมมติการใช้ทักษะสังคมพหุวัฒนธรรมในสถานการณ์ท่ี กาหนดให้ 3.นกั ศึกษาวิเคราะห์ประโยชนแ์ ละบทบาทของครูกบั สงั คมพหุวัฒนธรรม 4.นักศึกษาวิเคราะห์ทักษะสังคมพหุวัฒนธรรมที่พบเห็นหรือจากข่าว จากน้ันให้นักศึกษา เสนอแนวทางแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งการพฒั นาทักษะสังคมพหุวัฒนธรรม
ED12101 19 ภาษาและวัฒนธรรม เอกสารอ้างองิ นติ ไิ ทย นัมคณิสรณ์ . (2555). เอกสารประกอบการสอน วิชา ศท.21 การดารงชวี ิตในสังคม ยุคใหม่และประชาคมอาเซียน. ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. (ออนไลน์). สืบค้นจากhttp : // ge.Kbu.ac.th/Download5-file/img/6.pdf. บัญญตั ิ ยงย่วน. (2550). เดก็ ในบริบทของความหลากหลายวฒั นธรรม หนงั สือ 10 ทศวรรษเพื่อเด็กและภูมิปัญญาของครอบครัว. สถาบันแห่งชาติเพ่ือการพัฒนาเด็กและ ครอบครวั มหาวทิ ยาลยั มหิดล. สหมิตรพรน้ิ ติ้งแอนดพ์ ลบั ลสิ ซ่ิงจากดั . รสสคุ นธ์ เนาวบตุ ร. (2557). “แนวทางจดั การศึกษาเรียนรว่ มพหุวัฒนธรรม: กรณศี กึ ษาชุมชน ปาุ ละอู อาเภอหวั หิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์”. ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา วิชาพัฒนศกึ ษา ภาควชิ าพืน้ ฐานทางการศกึ ษา มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.
ED12101 20 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจดั การเรยี นรู้ บทท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรมไทย สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายและความสาคัญของภาษากับวฒั นธรรม 2. องคป์ ระกอบของวฒั นธรรม 3. ประเภทของวฒั นธรรม 4. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาษากับวฒั นธรรม 5. องค์ประกอบที่ทาใหเ้ กิดวัฒนธรรมการใช้ภาษา 6. ลกั ษณะภาษาที่สะท้อนวฒั นธรรมไทย วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. นกั ศกึ ษาสามารถบอกความหมายและความสาคัญของวัฒนธรรมได้ 2. นักศกึ ษาสามารถบอกองค์ประกอบของวัฒนธรรมและสาเหตุทที่ าให้เกิดวัฒนธรรมได้ 3. นักศึกษาสามารถบอกประเภทของวัฒนธรรมได้ 4. นักศึกษาสามารถอธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมไทยได้ กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ผสู้ อนนาบทความ/ข้อความ เสนอเปน็ กรณีตัวอย่างเรื่อง “การใช้ภาษาวยั รุ่น ในสงั คมไทยผ่านส่ือประเภทต่างๆ” โดยใหผ้ ้เู รยี นแสดงความคดิ เหน็ /วิเคราะห์ ตามทฤษฎี หมวก 6 ใบเป็นความคิด 6 แบบ ประกอบด้วย หมวกสีขาว เปน็ ขอ้ มลู ข้อเทจ็ จรงิ หมวกสแี ดง เป็นความคิด ทแ่ี สดงอารมณ์ความรู้สกึ หมวกสดี า เป็นความคิด ด้านลบ หมวกสีเหลือง เป็นความคิด ที่เป็นประโยชน์ ความคิดด้านบวก หมวกสเี ขยี ว แทนความคิดสรา้ งสรรค์ แปลกใหม่ หมวกสนี ้าเงิน การสรปุ ความคิดทง้ั หมด วางแผน 2. ผู้สอนและผูเ้ รยี นสรุป กรณตี วั อย่าง การใช้ภาษาวยั ร่นุ ในสังคมไทยผา่ นสอ่ื ประเภท ตา่ งๆ 3. ผู้สอนอธบิ ายเนอื้ หาเรื่อง ภาษาและวฒั นธรรมไทย ในบทเรยี น ด้วย Microsoft Power Point สนทนาซกั ถามในระหวา่ งการสอนใช้เทคนคิ การเร้าความสนใจ เล่นเกมจบั ค่ลู ักษณะภาษาที่ สะทอ้ นวฒั นธรรมไทย ไดแ้ ก่ ปริศนาคาทาย เพลงพนื้ บา้ น สภุ าษติ สานวน และคาพงั เพย คาผวน สานวนทา้ ยรถเพื่อกระต้นุ ให้นกั ศกึ ษา มีสว่ นร่วมในการเรียนและเกดิ การเรียนรู้ 4. ผสู้ อนและผู้เรยี นรว่ มกันสรุปบทเรียน และมอบหมายให้ผ้เู รียนทาใบงาน
ED12101 21 ภาษาและวัฒนธรรม การวัดและประเมินผล 1. สังเกตความสนใจ ความต้ังใจในการเรยี นการสอน 2. สังเกตการรว่ มทากิจกรรม การอภปิ ราย แลกเปลย่ี นความคิดเห็นและการวิเคราะห์ใน ประเด็นท่ีกาหนดให้รวมทั้งการนาเสนอรายงานหนา้ ช้ัน 3. การซกั ถามความรู้ ความเข้าใจในประเด็นสาคัญของเร่ือง 4. ตรวจผลงาน จากรายงาน ใบงานและจากการทาแบบฝึกหดั
ED12101 22 ภาษาและวัฒนธรรม บทท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรมไทย วฒั นธรรมคือส่ิงท่ีมนุษย์สร้างข้ึนเพ่ือความเจริญงอกงามในวิถีชีวิตมนุษย์และเป็นส่ิงท่ีปฏิบัติ สืบทอดกันมา วัฒนธรรมที่มนุษย์สร้างข้ึนนั้นรวมไปถึงความคิดเห็น ความประพฤติ กิริยาอาการ ภาษาศิลปะ ความเช่ือ ประเพณี เป็นต้น ส่วนภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ท้ังนี้ภาษายังเป็น เคร่ืองมือที่ใช้ในการสื่อสารกันภายในหมู่สังคม เพ่ือให้เกิดความเข้าใจและรับรู้ตรงกันจึงอาจกล่าวได้ ว่าภาษาเกดิ มาพร้อมๆ กบั วัฒนธรรม และมกี ารเจริญงอกงามพัฒนาการเรื่อยมาจนมีรูปแบบท่ีเฉพาะ เชน่ เดียวกับวัฒนธรรม ดังน้ันหากศึกษาภาษาก็จาเป็นท่ีจะต้องศึกษาวัฒนธรรมควบคู่กันไป เพราะ ทั้งภาษาและวฒั นธรรมตา่ งมคี วามสมั พนั ธ์กันอย่างแนบแน่นนน่ั เอง ความหมายของภาษา คาว่า “ภาษา” เป็นภาษาสันสกฤต ภาษาบาลีใช้ว่า “ภาสา” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Language” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 822) ได้ให้ความหมายของคาว่า ภาษา ไว้ว่า น.ถ้อยคาท่ีใช้พูดหรือเขียนเพ่ือสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน หรือ เพื่อสื่อความเฉพาะวงการ เช่น ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม; เสียง ตัวหนังสือ หรือ กริ ิยา; อาการทสี่ ่อื ความได้ เช่น ภาษาพดู ภาษาเขยี น ภาษาท่าทาง ภาษามือ ความหมายของวฒั นธรรม คาว่า “วัฒนธรรม” มาจากภาษาอังกฤษคาว่า “Culture” มีรากศัพท์มาจากคาว่า “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่า การเพาะปลูกหรือการปลูกฝ๎ง (อานนท์ อาภาภิรม, 2519: 99) ซง่ึ ได้อธิบายว่า มนษุ ยเ์ ป็นผปู้ ลกู ฝ๎งอบรมบ่มนิสัยใหเ้ กิดความเจริญงอกงาม ในด้านภาษาศาสตร์ คาวา่ “วฒั นธรรม” เปน็ คาที่เกิดจากคาสองคารวมเข้าด้วยกัน คือ คาว่า “วัฒน” หรอื “วัฒนะ” และคาวา่ “ธรรม”หรอื “ธรรมะ” คาว่า “วัฒน” หรือ “วัฒนะ” นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 1058) ได้ให้ ความหมายไว้ว่า น.สิ่งท่ีทาความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมการใน การแต่งกาย, วถิ ชี ีวติ ของหมคู่ ณะ เชน่ วัฒนธรรมพ้นื บ้าน วัฒนธรรมชาวเขา. ส่วนคาว่า “ธรรม”หรือ “ธรรมะ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 555) ได้ให้ความหมายไว้ว่า น.คุณงามความดี กฎ ระเบียบ หรือข้อปฏบิ ตั ิ ดั้งนั้น หากกล่าวถึงวัฒนธรรมตามความหมายนี้จึงหมายถึง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย การมีวินัย เช่น เม่ือกล่าวถึงบุคคลหน่ึงว่า เป็นคนมีวัฒนธรรม ก็มักจะหมายความว่า เป็นคนท่ีมี ระเบยี บวินัย เปน็ ตน้ นอกจากนี้ในด้านสังคมศาสตร์ วัฒนธรรม หมายถึง วิถีชีวิต (way of life) ของมนุษย์ใน สังคม และแบบแผนในการดาเนินชีวิตของมนุษย์ทุก ๆ อย่างรวมทั้งบรรดาผลงานทั้งมวลที่มนุษย์ได้ สรา้ งสรรค์ขึน้ ตลอดจนความคดิ ความเชื่อ ค่านิยม และความรูต้ า่ ง ๆ เปน็ ตน้
ED12101 23 ภาษาและวฒั นธรรม องค์ประกอบของวฒั นธรรม องค์ประกอบของวฒั นธรรมโดยทัว่ ไป มี 4 ประการ คือ 1.องค์มติ (Concept) หมายถึง ความเชื่อ ความคิด ความเข้าใจ และอุดมการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนทัศนคติ การยอมรับว่าสิ่งใดถูกหรือผิด สมควรหรือไม่ ซึ่งแล้วแต่ว่ากลุ่มใดจะใช้อะไรเป็น มาตรฐาน (Normal) ในการาตดั สนิ ใจหรือเป็นเคร่ืองวัด เช่น ความเชื่อในเรื่องการทาดีได้ดี ทาช่ัวได้ ช่วั เป็นตน้ 2.องค์พิธีการ (Usage) หมายถึง ขนมธรรมเนียมประเพณี ซึ่งเป็นท่ียอมรับกันโดยทั่วไป และแสดงออกมาในรูปพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีศพ มักจะได้รับอิทธิพล จากศาสนาเข้ามาเก่ียวข้องด้วย ตลอดจนพิธีการแต่งกาย และการับประทานอาหาร เช่น การแต่ง กายเครือ่ งแบบของทางราชการ หรอื การแตง่ กายเคร่ืองแบบเตม็ ยศในงานรฐั พิธีตา่ ง ๆ เป็นตน้ 3.องค์การ (Association or Organization) หมายถึง กลุ่มท่ีมีการจัดระเบียบหรือมี โครงสร้างอย่างเป็นทางการมีกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ วัตถุประสงค์ และวิธีดาเนินงานไว้เป็นท่ีแน่นอน เป็นกลุ่มทม่ี ีความสาคญั ท่สี ดุ ในสังคม ซับซอ้ น (Complex Society) เชน่ องค์การสหประชาชาติ ซึ่ง เป็นองค์การที่ใหญ่ที่สุด สมาคมอาเซียน สหพันธ์กรรมกร หน่วยราชการ โรงเรียน วัด จนถึง ครอบครวั ซงึ่ เปน็ องค์การทม่ี ีขนาดเลก็ ท่สี ดุ และใกล้ชดิ กับมนุษย์มากที่สดุ 4.องค์วัตถุ (Instrumental and Symbolic Objects) เป็นวัฒนธรรมทางด้านวัตถุ มี รูปร่างที่สามารถสัมผัสจับต้องได้ เช่น บ้าน โรงเรียน ถนน เคร่ืองแต่งกาย เครื่องใช้ อาวุธ ตลอดจน ผลผลิตทางดา้ นศลิ ปกรรมของมนุษย์ ประเภทของวัฒนธรรม สพุ ตั รา สภุ าพ (2518 : 119 - 120) ได้แบ่งวัฒนธรรมออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1.วัฒนธรรมทเ่ี ปน็ วัตถุ (Material Culture) ซงึ่ ไดแ้ กส่ ่ิงประดษิ ฐ์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่มนษุ ยค์ ิดค้นผลติ ขึ้นมา เช่น ส่ิงก่อสร้าง อาคารบา้ นเรือน อาวุธยุทโธปกรณ์ เครอื่ งอานวยความ สะดวกต่าง ๆ เปน็ ต้น 2. วัฒนธรรมทไ่ี ม่ใชว่ ตั ถุ (Non – material Culture) หมายถึง อุดมการณ์ ค่านิยม แนวคิด ภาษา ความเชื่อทางศาสนา ขนมธรรมเนียมประเพณี ลัทธิการเมือง กฎหมาย วิธีการกระทา และ แบบแผนในการดาเนินชวี ิต ซ่งึ มลี กั ษณะเปน็ นามธรรม (Abstract) ทมี่ องเหน็ ไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติวฒั นธรรมแห่งชาติ ปีพุทธศักราช 2485 ไดแ้ บ่งประเภทวฒั นธรรม ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. คตธิ รรม (Moral) คือวฒั นธรรมท่เี กีย่ วกบั หลักในการดารงชวี ิตส่วนใหญเ่ ปน็ เรื่องของ จิตใจ และได้มาจากศาสนา ใชเ้ ปน็ แนวทางในการดาเนนิ ชีวิตของสงั คม เชน่ ความเสยี สละ ความ ขยัน หม่ันเพียร การประหยัดอดออม ความกตญั ํู ความอดทน ทาดไี ดด้ ี เป็นตน้ 2. เนตธิ รรม (Legal) คือวฒั นธรรมทางกฎหมาย รวมทั้งระเบียบประเพณีท่ียอมรบั นบั ถือ กันวา่ มคี วามสาคญั พอ ๆ กับกฎหมาย เพ่ือให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมคี วามสขุ 3. สหธรรม (Social) คอื วฒั นธรรมทางสงั คม รวมทั้งมารยาทตา่ ง ๆ ทจี่ ะติดต่อเกยี่ วข้อง กับสงั คม เช่น มารยาทในการรบั ประทานอาหาร มารยาทในการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ ในสงั คม
ED12101 24 ภาษาและวฒั นธรรม 4. วตั ถุธรรม (Material) คือวฒั นธรรมทางงวตั ถุ เช่น เคราองนงุ่ ห่ม ยารักษาโรค บ้านเรอื น อาคารสงิ่ กอ่ สรา้ งตา่ งๆ สะพาน ถนน รถยนต์ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เปน็ ตน้ นอกจากน้ี สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ ไดแ้ บ่งออกเปน็ 5 สาขา คือ 1. สาขามนุษย์ศาสตร์ ได้แก่ ขนบธรรมประเพณี คุณธรรม ศีลธรรม ศาสนา ปรัชญา ประวัตศิ าสตร์ โบราณคดี มารยาทในสงั คม การปกครอง กฎหมาย เป็นตน้ 2. สาขาศิลปะ ได้แก่ ภาษา วรรณคดี ดนตรี นาฏศิลป์ วิจิตรศิลป์ สถาป๎ตยกรรม ประตมิ ากรรม จติ รกรรม เป็นตน้ 3. สาขาช่างฝีมือ ได้แก่ การเย็บป๎กถักร้อย การแกะสลัก การทอผ้า การจัดสาน การทา เคร่อื งเขนิ การทาเคร่อื งเงิน เคร่อื งทอง การจดั ดอกไม้ การประดษิ ฐ์ การทาเครอื่ งป๎น้ ดนิ เผา เป็นต้น 4. สาขาคหกรรมศิลป์ ได้แก่ ความรู้เร่ืองอาหาร การประกอบอาหาร ความรู้เร่ืองการ แตง่ กาย การอบรมเลยี้ งดูเดก็ การดูแลบ้านเรอื นทอ่ี ยูอ่ าศัย ความร้เู รอ่ื งยา การรู้จักใช้ยา ความรู้ใน การอยูร่ วมกันเป็นครอบครัว เป็นต้น 5. สาขากีฬาและนนั ทนาการ ได้แก่ การละเล่น มวยไทย ฟ๎นดาบสองมือ กระบี่กระบอง การเล้ียงนกเขา ไมด้ ดั ต่าง ๆ เปน็ ตน้ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งภาษากบั วัฒนธรรม เราอาจมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “วัฒนธรรม” กับ “ภาษา” ได้หลายลักษณะด้วยกัน อาจมองในลักษณะ “การใช้ภาษาอย่างมีวัฒนธรรม” หรือ “วัฒนธรรมที่แสดงออกในภาษา” ก็ได้ ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและภาษา เช่น คนจีนเม่ือเวลาพบกันจะถามว่า “เจ๊ียะ ฮ้อ บ่วย” แปลว่า ทานข้าวหรือยัง คือทักกันด้วยเรื่องกิน เพราะเมืองจีนคนมากอาหารการกินอัตคัด เรื่องท่ีห่วงใยกันหรือท่ีต้องคิดถึงก่อนก็คือเร่ืองการกิน หรือเจ้าของบ้านญี่ปุน มักจะคะยั้นคะยอให้ แขกรับประทานอาหาร เพื่อแสดงความตั้งใจจะเลี้ยงจริงๆและแสดงความเต็มใจต้อนรับ ในขณะท่ี คนอเมริกันกลับเฉยๆ กับเร่ืองการคะย้ันคะยอดังกล่าว ทาให้ดูเหมือนว่าคนอเมริกันไม่ได้ห่วงใย หรือต้ังใจเชิญให้แขกรับประทานอาหารจริง เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมท่ีสามารถมองเห็นได้ จากการใช้ภาษา และเป็นวัฒนธรรมของแต่ละชาติท่ีทาให้คนชาติน้ันๆ พูดประโยคอะไรหรือไม่พูด ประโยคอะไร ซง่ึ แตล่ ะชาตกิ ม็ กั จะมคี วามแตกตา่ งกนั ไป ภาษาเปน็ วฒั นธรรมที่สาคัญประการหนง่ึ ซึง่ จาเป็นต้องเรียนรู้ก่อนและในระหว่างการส่ือสาร ทั้งในด้านวจั นภาษาและอวัจนภาษา รายละเอียดดังน้ี 1. อวจั นภาษา ทมี่ ีลักษณะเฉพาะของสงั คมไทยมหี ลายประการ ดงั น้ี 1.1 กริ ิยาทา่ ทาง การเคล่ือนไหวร่างกาย เช่น คนไทยในอดีตไม่นิยมเคลือ่ นไหว รา่ งกายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้หญิงอวัจนภาษาของผู้หญิงเร่ืองกิริยาท่าทาง นิยมความอ่อนช้อย นม่ิ นวล ซง่ึ ปจ๎ จบุ นั เปลย่ี นไปมาก ป๎จจุบันผู้หญิงไทยมีความสามารถและมีความกล้าทัดเทียมผู้ชาย ท้ังในด้านการเรยี น และการงาน ซึ่งทาใหม้ ีความแตกต่างกวา่ ในอดตี มากขน้ึ 1.2 การสัมผัส วัฒนธรรมไทย ไม่นิยมการสัมผัสโดยเฉพาะระหวา่ งหญงิ ชาย การ
ED12101 25 ภาษาและวัฒนธรรม โอบกอดจับมือทักทาย ถอื เป็นวัฒนธรรมตา่ งชาติ ในป๎จจุบนั คนไทยรับวฒั นธรรมตะวันตกมามากทา ให้การสัมผัสมอื การโอบกอดถือเปน็ เร่ืองปกติ 1.3 ลักษณะทางกายภาพ เชน่ การแต่งกาย สังคมไทยเป็นเมอื งรอั น มกั แต่งกาย ด้วยเสอ้ื ผา้ บาง ไมห่ นักตา แต่เม่ือรบั วัฒนธรรมตา่ งประเทศเขา้ มาก รวมทัง้ สถานท่ที างานติด เครือ่ งปรับอากาศ ทาใหเ้ ราแต่งกายสากลกันมากขนึ้ มีการใส่สูท ผกู เนคไท เป็นต้น 1.4 การใชส้ ายตา ผนู้ อ้ ยไมส่ บตาผใู้ หญโ่ ดยตรง ถอื ว่าเปน็ การเสยี มารยาทแตใ่ น ป๎จจุบันเด็กมีความกล้ามากข้ึน กล้าพูด กล้าทาในสิ่งท่ีตนเองคิดว่าถูก น้ันคือการรับวัฒนธรรม ต่างประเทศเขา้ มาเชน่ กัน จากข้อความขา้ งตน้ ทาให้เห็นวา่ การสื่อความหมายโดยใช้อวัจนภาษาแตล่ ะวัฒนธรรมแต่ละ ภาษาย่อมมีความแตกต่างกัน หากผู้ส่งสารจะต้องส่งสารต่างวัฒนธรรมจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้อง เรยี นรู้วฒั นธรรมของผู้รบั สารให้กระจ่าง เพื่อปอู งกนั ป๎ญหาการส่อื สารอันอาจเกิดจากอวจั นภาษาได้ 2. วัจนภาษา เป็นวัฒนธรรมประจาชาติท่ีชัดเจน วัฒนธรรมทางภาษาของไทยสืบทอดมา ต้ังแตส่ มัยพ่อขนุ รามคาแหงมหาราช คือ อักษรไทย วิธีการเขียนจากซ้ายไปขวา เป็นวัฒนธรรมในการ เขียนอย่างหนึ่งของสังคมไทยท่ีต่างจากหลายชาติในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุน เราจะเห็นว่าทั้งสอง ประเทศจะเปิดหนังสอื จากดา้ นหลังมาดา้ นหนา้ ซ่งึ วัฒนธรรมการใช้วจั นภาษาของไทยมีดังน้ี 2.1 วฒั นธรรมไทยใชภ้ าษาหลากหลาย ส่อื ความหมายเดยี วกนั หรอื ใกลเ้ คียงกนั สาหรับบุคคลต่างระดับ ต่างกลุ่มกัน เช่น คาว่า กิน ในภาษาไทยมีคาท่ีมีความหมายว่ากินหลายคา ได้แก่ ยดั กนิ ทาน รับประทาน เสวย เปน็ ตน้ 2.2 วฒั นธรรมไทยใช้ภาษาในการสร้างความสมั พนั ธแ์ บบระบบเครอื ญาติ เช่น สงั คมไทยมกั กาหนดให้คนรจู้ ัก หรอื คนท่ีเราต้องสอื่ สารดว้ ยไมว่ า่ จะเปน็ การสือ่ สารเฉพาะหน้า หรอื ผา่ นสื่อมวลชนเป็นเครอื ญาติโดยปรยิ าย 2.3 วัฒนธรรมไทยใช้ภาษาในการกาหนดคาลงท้าย ท่ชี ่วยให้การสอื่ สารระหวา่ ง บคุ คลสุภาพและนมุ่ นวลขึ้น เชน่ คะ ขา จ๊ะ จา๋ ครับ ขอรบั กระผม ฯลฯ 2.4 วัฒนธรรมไทยนิยมการใช้คาคล้องจอง ลักษณะคลา้ ยกลอนเพลง เพ่ือให้ เสียงเปน็ จังหวะ และชว่ ยในการจดจา เชน่ กนิ ข้าว กินปลามาหรือยงั เปน็ ตน้ 2.5 วัฒนธรรมไทยใช้ภาษาในการอธิบายความหมายมากกวา่ การพดู ความจริงๆ ตรง ๆ เชน่ การเปรยี บเทยี บ การใชส้ านวน สุภาษติ เช่น ขงิ ก็รา ข่ากแ็ รง ใชเ้ ปรียบเทียบสามี ภรรยาทม่ี ีความกระทบกระทั่งกนั เสมอ ๆ นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตบางประการที่แทรกอยู่ในวัจนภาษาและอวัจนภาษาในสังคมไทย ได้แก่ คนไทยมักใช้คาว่า “เปล่า” ท้ังในการตอบรับหรือปฏิเสธ และการหยุดหรือการเงียบโดยไม่ใช่ การยอมรับตามท่ีเข้าใจกัน ซึ่งทาให้ผู้ท่ีส่ือสารต้องระวังวัฒนธรรมการใช้ภาษาบางประการเหล่าน้ี ด้วย เพราะบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอานาจอย่างสหรัฐอเมริกา การแสดงความคิดเห็น เป็นไปอย่างตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม ซ่ึงผู้ส่งสารต้องเข้าใจในวัฒนธรรมการใช้ภาษาในแต่ละประเทศด้วย การส่อื สารจงึ จะประสบผลสาเร็จ
ED12101 26 ภาษาและวฒั นธรรม เราสามารถสรุปความสมั พันธ์ระหว่างภาษากับวฒั นธรรม ไดด้ งั นี้ 1. ภาษาเป็นเครื่องแสดงความเป็นชาติ และวฒั นธรรมของชาติแสดงถงึ ความผูกพนั เปน็ ชน ชาติเดยี วกนั และมปี ระโยชน์ต่อนักภาษาศาสตร์ท่ีสามารถสืบค้นความเปน็ มาของชนชาตติ น 2. ภาษาเป็นเคร่ืองแสดงปฏิสมั พันธ์ทางสังคม ในฐานะของผู้ส่งและผ้รู บั ภาษา และในฐานะ ความสัมพันธฉ์ นั ทเ์ ครือญาติ 3. ภาษาช่วยในการบันทึกเร่ืองราวประวตั ิศาสตรจ์ ากอดตี ถึงปจ๎ จุบัน และภาษาเปน็ ตวั แทน ของพฤติกรรม และกิจกรรมท่ีถา่ ยทอดความเปน็ สังคมของมนษุ ย์ 4. ภาษาเปน็ เครื่องมอื ทางการเมอื ง แสดงความเชอ่ื ทางการเมอื ง ความศรทั ธาความ จงรักภักดีต่อระบอบ การปกครองและทางการเมือง 5. ภาษาเป็นเครือ่ งมือในการสร้างสรรคส์ ังคม องคป์ ระกอบท่ีทาให้เกิดวฒั นธรรมการใชภ้ าษา 1. อายุ ผ้ทู ี่มอี ายุตา่ งกนั ย่อมใช้ภาษาไม่เหมือนกนั 2. ความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ของบุคคลย่อมมีผลต่อการใช้ภาษา อาทิ ผู้ท่ีมีความใกล้ชิด สนทิ สนมกันเม่ือสอ่ื สารกนั ยอ่ มใชภ้ าษาเป็นกันเอง เปน็ ต้น 3. เพศ ผู้ทีม่ ีเพศตา่ งกนั ใชถ้ ้อยคาบางอยา่ งแตกตา่ งต่างกนั เชน่ คาขานรับ 4. โอกาสการในใช้ภาษา เม่ืออยู่ในโอกาสทีต่ ่างกันย่อมทาใหใ้ ชภ้ าษาแตกต่างกันออกไป 5. อาชีพ บุคคลที่มีอาชีพต่างกัน ย่อมมีศัพท์เฉพาะในอาชีพน้ัน เช่น คอมพิวเตอร์ แพทย์ นกั วิชาการ พ่อคา้ แม่ค้า ฯลฯ 6. การอบรมเล้ยี งดแู ละการศึกษา การท่ีใชภ้ าษานอกจากจะข้ึนอยกู่ ับสภาพแวดล้อม การเล้ยี งดูแลว้ การศึกษาก็เป็นป๎จจยั สาคัญทท่ี าใหบ้ คุ คลใชภ้ าษาแตกต่างกนั 7. ตาแหนง่ และฐานะทางสงั คม เชน่ ตาแหนง่ หนา้ ท่กี ารงาน คณุ วุฒิ เปน็ ต้น 8. สภาพทางภูมิศาสตร์ ผู้ที่อยู่ท้องถ่ินต่างกัน การใช้ภาษาแตกต่างกันออกไป เช่น ภาคเหนือ อีสาน ใต้ ฯลฯ ลกั ษณะภาษาท่สี ะท้อนวัฒนธรรมไทย เนื่องจากภาษาและวัฒนธรรมไทยต่างมีความสัมพันธ์กัน ดังน้ันในสังคมไทยจึงมีการใช้ ภาษาท่สี ะทอ้ นถงึ วัฒนธรรมไทย ดังนี้ 1. ปริศนาคาทาย 2. เพลงพ้ืนบา้ น 3. สุภาษติ สานวน และคาพังเพย 4. คาผวน 5. สานวนท้ายรถ
ED12101 27 ภาษาและวัฒนธรรม 1. ปรศิ นาคาทาย ในสารานุกรมไทยสาหรบั เยาชน โดยพระราชประสงค์พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว (เล่มท่ี 34) ไดใ้ หค้ วามรูเ้ ก่ียวกบั ปรศิ นาคาทายไว้ ดังนี้ 1.1 ความหมายของปริศนาคาทาย ปริศนา คือ คือ สิ่งหรือถ้อยคาท่ีผูกข้ึนเป็นเงื่อนงาเพ่ือให้แก้ให้ทาย (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) ดังนนั้ ปรศิ นาคาทาย หมายถึง ถ้อยคาหรือรูปภาพที่แต่งหรือประดิษฐ์ข้ึนมาให้มีเง่ือนงา หรือ มีความหมายแฝง ท่ีผู้ทายต้องมีความรู้รอบตัว และมีเชาวน์ไวไหวพริบในการตีความจนสามารถทาย ปริศนานั้นได้ ปริศนาที่เป็นข้อความมักข้ึนต้นว่า \"อะไรเอ่ย\" แล้วตามด้วยถ้อยคาที่คล้องจองกัน ผตู้ อบตอ้ งสามารถคิดเช่ือมโยง และมคี วามสามารถในการใช้ภาษา จึงจะโต้ตอบเล่นทายปริศนากันได้ 1.2 การเล่นทายปริศนา การเลน่ ทายปรศิ นามมี านานนับตั้งแต่สมัยกรีกจนถึงป๎จจุบันและมีอยู่ในประเทศต่างๆ การ ทายปริศนาเน้นการฝึกสมอง และความสนุกสนาน และเป็นกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีในกลุ่มคน ไทยนิยมเล่นทายปริศนากันมาต้ังแต่สมัยสุโขทัยจนถึงป๎จจุบัน นอกจากผู้ถามต้องมีความสามารถ ทางการคดิ และการใช้ภาษาแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอีกด้วย ปริศนาคา ทายคาตอบเดียวอาจใช้ภาษาถิ่น และสานวนที่แตกต่างกัน ในแต่ละท้องถิ่น ปริศนาคาทายในแต่ละ ภาคจึงมีลกั ษณะเฉพาะตามประเพณี ความเชื่อ และธรรมชาติแวดลอ้ มในภูมิภาคน้นั ๆ การเล่นปริศนาคาทายบ่งบอกถึงความสามารถทางภาษาไทย และการคิดสร้างสรรค์ของผู้ แต่งและผู้ตอบ เพราะมีการเล่นเสียงสัมผัส การใช้คาซ้า การใช้คาผวน การใช้ความเปรียบ การใช้คา กากวม และการใช้ขอ้ ความ ท่มี ีความหมายขดั แย้งกัน 1.3 ประเภทของปริศนาคาทาย ปรศิ นาคาทายแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื แบ่งตามเน้ือหา และแบง่ ตามรูปแบบ ดังน้ี 1.3.1 การแบ่งปรศิ นาคาทายตามเนอ้ื หา เปน็ การแบ่งโดยพจิ ารณาว่า ข้อความและคาเฉลยเป็นเรื่องที่เกยี่ วกับ ธรรมชาติ ส่งิ แวดล้อมมนษุ ย์ สตั ว์ สง่ิ ของ หรือปรากฏการณ์ตา่ งๆ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี 1) เนอ้ื หาเกี่ยวกับ สง่ิ แวดล้อม ตัวอย่าง อะไรเอ่ย สงู เยย่ี มเทยี มฟูา ตา่ กว่าหญ้านดิ เดยี ว (เฉลย : ภูเขา) 2) เนอ้ื หาเก่ยี วกับ สตั ว์ ตวั อยา่ ง อะไรเอย่ ส่คี นหาม สามคนแห่ สองคนพัด คนหนง่ึ ป๎ดแส้ (เฉลย : ชา้ ง 4 ขา งวงงา หู หาง)
ED12101 28 ภาษาและวัฒนธรรม 3) เนอ้ื หาเก่ยี วกับ พืช (เฉลย : ตน้ กล้วย) ตวั อยา่ ง อะไรเอย่ - ตน้ เทา่ ขา ใบวาเดียว (เฉลย : ต้นออ้ ย) (เฉลย : กอตะไคร)้ - ตน้ เทา่ แขน ใบแล่นเส้ียว - ต้นเทา่ ครก ใบปรกดนิ 1.3.2 การแบง่ ปรศิ นาคาทายตามรปู แบบ เป็นการแบง่ โดยพจิ ารณาจากรปู แบบการแตง่ ปรศิ นา ได้แก่ ปริศนาทีส่ ่อื ด้วยถอ้ ยคา ซ่ึงอาจเปน็ ร้อยแกว้ หรอื คาประพนั ธร์ อ้ ยกรอง เช่น โคลงทาย ผะหมี โจก๊ และอกี รปู แบบหน่ึงเปน็ ปริศนาคาทายทสี่ ่ือดว้ ยภาพ 1.4 องคป์ ระกอบของปรศิ นาคาทาย ปริศนาคาทายมีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ปริศนา และคาเฉลย ปริศนา เป็นถ้อยคา ข้อความ หรือภาพที่อธิบาย บอกใบ้ และบางครั้งลวงให้ผู้ตอบหลงทาง ส่วน คาเฉลย น้ันช่วยสร้าง ความสนุก ปลุกเร้าความสนใจ ให้แง่คิด ผู้ที่ตอบปริศนาได้ จึงมีความพึงพอใจท่ีทาได้สาเร็จ 1.5 เนอื้ หาของปรศิ นาคาทาย ด้านเนื้อหาของปริศนาคาทายนั้นเกิดจากส่ิงแวดล้อมรอบตัว ทั้งท่ีเป็นธรรมชาติ ส่ิงของ บคุ คล และความเปลีย่ นแปลงตา่ งๆ บางคร้ังมกี ารนาลกั ษณะพิเศษของภาษามาสร้างเป็นปริศนา เช่น คาพ้อง คาผวน หรือนาคาไทยท่ีออกเสียงคล้ายกับภาษาอื่น มาแต่งเป็นปริศนาคาทาย เนื้อหาอีก รูปแบบหนึ่ง คือ การคิดสร้างสรรค์ถ้อยคาที่แหวกแนวและหลายความหมายมาแต่งปริศนา การตอบ คาทายรูปแบบน้ี ไม่มีหลักเกณฑ์ความรู้ตามแบบแผน เช่น \"อะไรเอ่ย อยู่บนบ้าน\" คาเฉลย คอื \"ไมโ้ ท\" ป๎จจุบันสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยเปล่ียนแปลงไปทั้งในด้านการดาเนิน ชีวิตประจาวัน การใช้ภาษา ส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เนื้อหาและ รูปแบบของปริศนาคาทาย ตลอดจนการนาเสนอผ่านส่ือต่างๆ ก็แปลกใหม่ และเพ่ิมรูปแบบ หลากหลายขึ้นด้วย การเล่นปรศิ นาคาทายใหส้ นุก ผู้ถามและผตู้ อบจงึ ตอ้ งมีไหวพรบิ ชา่ งสังเกต สนใจ สิ่งแวดล้อม และมีความรู้เรื่องภาษา ถ้อยคา คาศัพท์ การแต่งคาประพันธ์ จึงจะทาให้สามารถ ถามและตอบได้คล่องปริศนาคาทายจึงเป็นการละเล่นของไทยแบบหน่ึงที่มีพื้นฐานสอดคล้องกับ วัฒนธรรมไทย 2. เพลงพนื้ บ้าน เพลงพ้ืนบ้านเป็นร้อยกรองท่ีนามาจัดจังหวะของคา และใส่ทานองเพื่อ ขับร้องในท้องถิ่นสืบ ทอดต่อกันมาด้วยวิธีจดจา ท่ีมาของ เพลงพื้นบ้าน เกิดจากนิสัยชอบบทกลอน หรือทีเรียกว่า “ความ เปน็ เจ้าบทเจ้ากลอน” ของคนไทยในท้องถิ่นต่างๆ ที่เรียงร้อยถ้อยคามีสัมผัสคล้องจอง และประดิษฐ์ ทานองท่ี รอ้ งง่ายแล้วนามารอ้ งเลน่ ในยามว่าง หรอื ระหวา่ งทางาน รว่ มกัน เช่น ลงแขกเกี่ยวข้าว นวด ข้าว เพื่อผ่อนคลายความ เหน็ดเหนื่อยจากการทางาน เพื่อความสนุกสนาน และเพ่ือความสามัคคีใน
ED12101 29 ภาษาและวัฒนธรรม กลุ่มชน การใช้ถ้อยคาในเพลง พ้ืนบ้านนั้น มีลักษณะตรงไปตรงมา นิยมใช้ภาษาพูดมากกว่าภาษา เขียน บางครงั้ กแ็ ฝงนยั ให้คิดในเชงิ สองแง่สองง่าม บางเพลงกร็ ้องซ้าไปมาชวนใหข้ บขัน 2.1 ความหมายของเพลงพื้นบา้ น เพลงพ้ืนบ้าน คอื บทเพลงทเ่ี กิดจากคนในท้องถิน่ ตา่ ง ๆคดิ รปู แบบการร้อง การเล่นขึน้ เป็น บทเพลงที่มีท่วงทานอง ภาษาเรียบง่ายไม่ซับซอ้ น มุ่งความสนกุ สนานรื่นเรงิ ใช้เล่นกนั ในโอกาสตา่ ง ๆ เชน่ สงกรานต์ ลอยกระทง ไหว้พระประจาปี หรอื แม้กระทั่งในโอกาสทไ่ี ด้มาช่วยกันทางาน ร่วมมือ รว่ มใจเพ่ือทางานอย่างหนง่ึ อยา่ งใด เช่น เกีย่ วข้าว นวดขา้ ว เป็นต้น 2.2 ลักษณะของเพลงพนื้ บ้าน ส่วนมากเป็นการเก้ียวพาราสี หรือการซักถามโต้ตอบกัน ความเด่นของเพลงพ้ืนบ้านอยู่ท่ี ความไพเราะ คารมหรอื ถ้อยคาง่าย ๆ แต่มคี วามหมายกินใจ ใช้ไหวพริบปฏิภาณในการร้องโต้ตอบกัน เพลงพื้นบ้านส่วนใหญ่จะมีเน้ือร้อง และทานองง่าย ๆ ร้องเล่นได้ไม่ยาก ฟ๎งไม่นานก็สามารถร้องเล่น ตามได้ การเล่นเพลงชาวบ้านจะเล่นกัน ตามลานบ้าน ลานวัด ท้องนา ตามลาน้า แล้วแต่โอกาสใน การเล่นเพลง เครื่องดนตรีท่ีใช้เป็นเพียงเครื่องประกอบจังหวะ เช่น ฉิ่ง กรับ กลอง หรือเครื่อง ดนตรี ที่ประดิษฐ์ข้ึนบางทีก็ไม่มีเลยใช้การปรบมือประกอบจังหวะส่ิงสาคัญในการร้องเพลงชาวบ้าน อีกอย่างก็คือ ลูกคู่ท่ีร้องรับ ร้องกระทุ้ง หรือร้องสอดเพลง ซ่ึงจะช่วยทาให้เกิดความสนุกสนาน ครกึ ครน้ื ย่งิ ขึน้ 2.3 ประเภทของเพลงพ้ืนบ้าน เราอาจแบ่งประเภทของเพลงพื้นบ้านตามภูมิภาคต่าง ๆ ไดด้ งั นี้ 2.3.1 เพลงพื้นบ้านในภาคเหนือ เช่น เพลงค่าว ซ่ึงเป็นบทขับร้องที่มี ทานองสูงต่าไพเราะ เพลงซอเป็นการขับร้องโต้ตอบเกี้ยวพาราสีกัน จ๊อยหรือการขับลานาในโอกาส ตา่ ง ๆ และทาฮ่าหรือคาฮา่ ซ่งึ เปน็ การขับร้องหมู่ เป็นต้น 2.3.2 เพลงพื้นบ้านในภาคอีสาน เช่น หมอลา ซึ่งอาจแบ่งได้เป็นลา กลอนคอื การลาโดยท่ัวไป ลาโจทก์ – แก้ เป็นการลาถาม – ตอบ โต้ตอบกันในเรื่องต่าง ๆ ลาหมู่ เป็น การลาเล่านิทาน เรื่องราว โดยมีผู้แสดงประกอบ ลาเต้ย เป็นการลาท่ีมีจังหวะช้า และลาเพลิน เป็น การลาแบบใหม่มีสาว ๆ ร่ายราประกอบ นอกจากน้ียังมีเพลงโคราช ซ่ึงมีลักษณะคล้ายกับ เพลงฉ่อย ของภาคกลาง เพลงลากไมเ้ ป็นการรอ้ งประกอบการทางาน เพลงเซ้งิ เชน่ เซง้ิ บ้งั ไฟ เซิ้งผีตาโขน เซ้ิง นางแมว เป็นตน้
ED12101 30 ภาษาและวฒั นธรรม 2.3.3 เพลงพื้นบ้านในภาคกลาง ในภาคกลางมเี พลงพื้นบ้าน มีเปน็ จานวนมาก ซ่ึง มักใช้ร้องในโอกาสต่าง ๆ เช่น ร้องเพื่อความบันเทิง ได้แก่ เพลงเรือ เพลงอีแซว ลาตัดเพลงฉ่อย ร้อง ประกอบการทางาน ได้แก่ เพลงเกยี่ วขา้ ว เพลงเตน้ การาเคยี ว ฯลฯ 2.3.4 เพลงพ้ืนบ้านในภาคใต้ เช่น เพลงเรือ ซ่ึงเป็นเพลงเล่นทางน้าเหมือนกับ เพลงเรือของภาคกลาง แต่ทานองท่รี ้องและการแต่งเน้ือเพลงตา่ งกัน นอกจากนี้ยังมีเพลงบอก ซ่ึงเป็น เพลงท่ีเล่นได้ท้ังร้องคนเดียวและร้องโต้ตอบ เพลงนา ใช้ร้องเล่นเกี้ยวพาราสีกัน ในงาน เทศกาลต่าง ๆ 3. สานวน สภุ าษิต และคาพังเพย การใช้ภาษาในรูปของ สานวน สภุ าษติ และคาพงั เพย เป็นเรอื่ งของการกล่าวเชงิ เปรยี บ เทยี บ หรือเป็นความหมายที่ไมต่ รงตามตัวอักษร (ความหมายโดยนัย หรอื Secondary meaning ) ( บปุ ผา ทวสี ุข, 2530 : 115 ) สานวน สุภาษิต และคาพงั เพย มลี ักษณะเป็นถ้อยคา วลี หรือประโยคที่มีความหมายไม่ ตรงตามตัว แต่มีความหมายในเชงิ เปรียบเทยี บในหมู่คนท่พี ูดภาษาเดียวกัน ถา้ ใคร่เอย๋ ถึงวลี หรอื ถอ้ ยคาเหลา่ นั้นขน้ึ มาก็มีผูเ้ ข้าใจความหมายได้ทนั ที 3.1 ความหมายของสานวน สภุ าษิต และคาพังเพย สานวน หมายถึง คากล่าวส้ันๆๆ กระชับรัดกุม แต่ไม่มีความหมายตรงตามตัวอักษร จะมี ความหมายแปลกไปจากความหมายเดมิ ท่ีใชก้ นั เป็นปกตใิ นวัฒนธรรม เชน่ จูงจมกู หมายถึง ยอมให้คนอนื่ พาหรอื นาไปทางไหน ทาอะไรกไ็ ด้ ต่อยหอย หมายถงึ พูดไมห่ ยดุ ปาก ถอยหลังเขา้ คลอง หมายถงึ ถอยกลบั ไปสู่ยุค เกา่ หรือแบบเก่า สภุ าษิต หมายถึง ข้อความสนั้ ๆ กะทัดรัด แต่มีความหมายชัดเจนลกึ ซ้งึ มีคติสอนใจ หรือให้ ความจริงเกย่ี วกบั ความคิดและแนวปฏบิ ัติ ซงึ่ สามารถพิสจู น์ เชื่อถอื ได้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. เม่อื อา่ น หรือ ฟ๎งแลว้ สามารถเขา้ ใจเน้ือความได้ทันที โดยไม่ตอ้ งแปล ความหมาย ตีความหมาย เช่น ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแตง่ 2. เม่อื อ่าน หรอื ฟ๎งแลว้ ไมส่ ามารถเข้าใจเนื้อความน้ันในทันที ตอ้ งนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสียกอ่ นจึงจะทราบเน้ือแท้ของคาเหล่านนั้ เช่น ผีบา้ นไม่ดีผีปุากพ็ ลอย น้าเช่ียวอย่าขวางเรือ แพเ้ ป็นพระ ชนะเปน็ มาร คาพังเพย มีลักษณะคลา้ ยสภุ าษิตและเกอื บเป็นสภุ าษิต แต่ไมไ่ ด้สอนใจหรือให้ความจรงิ ท่ี สามารถพิสูจน์ได้โดยตรง เป็นคากลา่ วที่มีลักษณะตชิ ม แสดงความเหน็ อยู่ในตัว เช่น ถีล่ อดตาช้าง ห่างลอดตาเลน็ ตานา้ พรกิ ละลายแม่น้า
ED12101 31 ภาษาและวฒั นธรรม ท้งั นถี้ ึงแมจ้ ะสามารถแยกวา่ คาไหนเป็น สานวน สุภาษิต คาพังเพย แตใ่ นทางปฏบิ ตั จิ ริงๆมี ปญ๎ หามาก เพราะข้อความหรอื คากลา่ วเช่นนม้ี จี านวนมากมลี ักษณะคาบเกยี่ วอยูร่ ะหวา่ งสานวน สุภาษิต คาพงั เพย จนไม่อาจตดั สินเด็ดขาดวา่ อยไู่ หนประเภทไหน เชน่ นา้ ขน้ึ ให้รีบตัก (เป็นสานวน เพราะความหมายไมต่ รงตามอักษร เปน็ คาพังเพย เพราะ กลา่ วติชมแสดงความเห็นเกี่ยวกับคนทฉ่ี วยโอกาส เปน็ สุภาษติ เพราะให้คติสอนใจว่า เม่ือมโี อกาส จง รบี ทากิจการให้ไดร้ บั ผลสาเร็จ) นา้ ลดต่อผดุ (เป็นสานวน เพราะ ความหมายไม่ตรงตามอกั ษร เป็นคาพังเพย เพราะ กลา่ วติ หรือเยย้ หยัน คนทาชั่วทคี่ วามชัว่ น้นั ไดป้ รากฏข้ึน เป็นสุภาษิต เพราะ สอนความจริงที่วา่ ความชวั่ ความผิดพลาดนัน้ ไมส่ ามารถปดิ บงั ได้ตลอดไป) ดังนน้ั การใช้สานวนไทยจึงไม่มุ่งเนน้ ความสามารถในการแยกประเภทแต่จะเนน้ ความหมาย เพือ่ จะนาไปใช้ได้ถกู ต้องตามกาลเทศะและบคุ คลในสถานการณต์ ่าง ๆ 4. คาผวน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง (เลม่ ท่ี 3) ไดก้ ลา่ วถึงความร้เู กยี่ วกับคาผวนไว้ ดังนี้ คาผวน คือ คาพูดท่ีเกิดจากการเล่นภาษาอย่างหนึ่งของคนไทย ใช้วิธีกลับเสียงของคาโดยการสลับ เสียงระหว่างคาหรือพยางค์ เมื่ออ่านย้อนกลับสระกันแล้วจะได้คาที่มีความหมายใหม่เกิดขึ้น ส่วน ใหญ่จะได้คาท่ีมีความหมายไปในทางที่ไม่ค่อยสุภาพ และคาที่เก่ียวกับเรื่องเพศโดยตรงเป็นส่วนใหญ่ ซ่งึ คนไทยถือว่าไม่สุภาพ เป็นเรื่องหยาบโลน 4.1 ลักษณะของคาผวน คาผวนต้องมจี านวนพยางค์ท่ใี ช้ในการผวนตั้งแต่ 2 พยางคข์ ึ้นไป จนถงึ เปน็ ประโยคยาวๆ ตัวอยา่ งเช่น ชอกี ผวนเป็น ชีกอ คา่ บน ผวนเปน็ คนบา้ แอร์กี่ ผวนเป็น อแี ก่ แขกตามดอย ผวนเป็น คอยตามแดก แดงจงู หมีไปฆา่ ผวนเปน็ แดงจงู หมาไปขี้ 4.2 วตั ถปุ ระสงคแ์ ละโอกาสในการเลน่ คาผวน การเล่นคาผวนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสนุกสนานมากกว่าทาให้เกิดความคิดเก่ียวกับ อารมณเ์ พศ ดังน้ันบางครัง้ ก็ถกู ใช้เพ่ือลดนัยทางเพศลง ดังเช่น ในการเล่นเพลงปฏิพากย์หรือลิเก เมื่อ ต้องการจะกลา่ วพาดพิงถึงเร่ืองเพศก็มักจะเลี่ยงใช้คาผวนแทน ซ่ึงก็เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก เน่ืองจาก วัฒนธรรมไทยถือกันว่าเร่ืองเพศเป็นของสกปรก ไม่สมควรพูดในที่สาธารณะ เมื่อพูดตรงๆ ไม่ได้ ก็ ต้องหาทางเลี่ยงแทน คาผวนจึงเป็นทางออกทดี่ ี บางครั้งคาผวนก็ถูกใช้เพ่ือผ่อนคลายความตรึงเครียด
ED12101 32 ภาษาและวฒั นธรรม หรือเปลย่ี นบรรยากาศท่ีนา่ เบื่อในกิจกรรมทที่ าอยู่ เชน่ ชาวบ้านที่ร่วมแรงกันลงแขกทางานมักจะร้อง เพลงต่างๆ โดยมีคาผวนในเนื้อเพลง บางโอกาสก็มีจะประสงค์เพ่ือแสดงศิลปะของการประพันธ์ในรูป ร้อยกรองหรือปรศิ นาคาทายทม่ี ีความคล้องจองกนั ท้งั นี้เพราะคนไทยมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนสืบมาแต่ โบราณ ฉะนั้นแทนท่ีจะผูกคาประพันธ์หรือปริศนาคล้องจองโต้ตอบกันอย่างธรรมดา ก็ใช้คาผวน แทรกเข้าไปแทนคาพดู ทม่ี คี วามหมายตรงไปตรงมา เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสนุกสนาน 4.3 ประวัติความเป็นมาของคาผวน คาผวนไม่มีหลักฐานท่ีบ่งบอกว่าคาผวนกาเนิดมาแต่เม่ือใด แต่อาจสันนิษฐานถึงท่ีมาได้เป็น 2 ประการ คือ ประการแรกอาจเป็นเพราะความสนุกปาก ประการท่ีสอง เน่ืองจากสังคมไทยปิดกั้น ความรเู้ ร่อื งเพศ จงึ โต้ตอบและแสดงออกในทางตรงข้าม คือการฝุาฝืนข้อห้าม ซึ่งตรงกับหลักการทาง จติ วิทยาซงึ่ ถือว่า “การปกปดิ เป็นการเรา้ ความสนใจ” ประวัติความเป็นมาของคาผวนเท่าท่ีมีหลักฐานปรากฏพบว่ามีการเล่นคาผวนมาต้ังแต่ ครั้ง กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีเรื่องเล่าว่าในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ศรีปราชญ์ กวีเอกใน สมยั นั้นไดเ้ คยแต่งโคลงกระทคู้ าผวนเอาไว้ 1 บท มคี วามว่า “เป ทะลูอยถู่ า้ มถี ม (ปูทะเล) แป สะหมูอยตู่ าม ไต่ไม้ (ปูแสม) มา แดงแกว่งหางงาม หาคู่ (แมงดา) นา ปลา้ นา้ จม้ิ ให้ รสลมิ้ ชมิ บอล” (นา้ ปลา) ต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มี หลักฐานว่า สนุ ทรภู่ ปรมาจารย์ดา้ นกลอนของไทยได้แต่งโคลงคาผวนโต้ตอบผู้ท่ีสบประมาทกล่าวหา วา่ ท่านแต่งไดแ้ ต่กลอนเท่านั้น โคลงแต่งไม่ได้ สนุ ทรภจู่ ึงแตง่ โคลงเป็นคาผวนดา่ ผสู้ บประมาท ดงั นี้ “เฉนง็ ไอมาเว่ิงเวา้ ว่กู า (เฉนง็ ไอ-ไฉนเอ็ง, ว่กู า-วา่ กู) รูกบั กาวเมิงแต่ยา มไู่ ร้ (ราวกับกมู าเแต่เยงิ ไม่รู)้ ปดิ เซ็นจะมู่ซา เคราทู่ (เปน็ ศษิ ย์จะมาสู้ ครเู ฒ่า) เฉะแตจ่ ะตอบให้ ชพี มว้ ยมังรณอ” (ชอบแต่จะเตะให้, มรณัง) 4.4 คาผวนสะท้อนวฒั นธรรมไทย การเล่นคาผวนถือเป็นศิลปะการเลน่ คาทางภาษาอยา่ ง หน่งึ ท่สี ะท้อนให้เหน็ ถึงวัฒนธรรมไทยดา้ นต่างๆ ดงั น้ี 1) วัฒนธรรมการใชภ้ าษา เนอื่ งจากคาผวนเป็นศลิ ปะการเลน่ คาโดยการ พลิกแพลงได้อย่างหน่ึง ที่สะท้อนให้เห็นว่าภาษาไทยมีการเคลื่อนไหวเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ เคยหยุดนิ่ง 2) วฒั นธรรมด้านความเปน็ อยู่ ซงึ่ จะ ปรากฏในรูปของปริศนาคาทายท่ี สะท้อนถงึ การดารงชีพ อาหารการกนิ และส่ิงของเครอ่ื งใช้ต่างๆ
ED12101 33 ภาษาและวฒั นธรรม 3) วัฒนธรรมดา้ นความรสู้ ึกนกึ คิด ความเชื่อและทศั นคติของคนไทยท่สี ะท้อน ออกมาในรูปของปริศนาคาทาย และลักษณะนิสัยของคนไทย ได้แก่ ความสนใจในเร่ืองเพศแต่ไม่ เอย่ ถึงตรงๆ มักใช้วิธพี ดู เลี่ยงๆ ให้เป็นเร่ืองสนุก ซ่ึงนับเป็นความเฉลียวฉลาดและมีสติป๎ญญาช่างคิด ช่างสงั เกตเปรยี บเทยี บ 5. สานวนท้ายรถ ข้อความสั้น ๆ ท่ีปรากฏอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรถบรรทุก รถเมล์ และรถสองแถวรับจ้างใน ป๎จจุบันนี้เริ่มต้นมาจากกลุ่มผู้ใช้แรงงานท่ีมี อาชีพเกี่ยวข้องกับการขับรถที่ต้องการถ่ายทอดอารมณ์ ความรสู้ ึกของตนออกมาให้ผ้อู น่ื ไดร้ บั รู้ โดยในระยะแรกเริม่ มาจากการเขียนข้อความตามท้ายรถยนต์ โดยเฉพาะรถสิบล้อ ซึ่งในสมัยแรกเร่ิมน้ันจะเป็นการเขียนด้วยลายมือของตนเอง ด้วยการใช้ชอล์ก หรือเอาสีพ่น จากน้ันข้อความท่ีเร่ิมต้นจากลายมือเขียนก็ค่อย ๆ พัฒนารูปแบบเพื่อให้ดูเหมาะสม กบั รูปทรงท่ีปรับเปลี่ยนไปและมูลค่าของรถท่ีเพิ่มมากข้ึนตามกาลเวลาจนกลายมาเป็นสติกเกอร์ท่ีมัก ตดิ อยคู่ กู่ ับรถดังทพ่ี บเห็นทว่ั ไปในปจ๎ จุบนั 5.1 ลกั ษณะการติดขอ้ ความสานวนทา้ ยรถ ข้อความสั้น ๆ ท่ีปรากฏอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรถหรือท่ีเรียกว่า “ข้อความท้ายรถ” เป็น ข้อความที่สามารถแพร่หลายไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เนื่องจากติดอยู่ที่รถ ดังน้ันไม่ว่ารถจะ เคล่ือนท่ีไปยังสถานท่ีไหนผู้อ่านทั่วไปที่อยู่บนท้องถนนก็สามารถพบเห็นได้ง่ายโดยไม่จากัดเวลาและ สถานที่ อีกทั้งข้อความท้ายรถยังมีลักษณะเป็นข้อความสั้น ๆ ผู้อ่านจึงสามารถอ่านจบได้ ภายใน ระยะเวลาอันรวดเรว็ แตก่ ็สามารถเกิดอารมณ์ขนั ได้ ภาพท่ี 2.1 ตัวอย่างสต๊ิกเกอรต์ ิดท้ายรถ ทีม่ า: www.gotoknow.org ภาษาหรือข้อความที่ปรากฏอยตู่ ามทา้ ยรถบรรทุก รถสองแถวเล็ก หรือรถยนต์ส่วนบุคคล ถอื เป็นคาขวญั สานวนใหมห่ รอื วรรณกรรมท้ายรถได้ ภาษาเหล่านน้ั มีสมั ผสั คลอ้ งจองซึง่ บง่ บอกได้ วา่ คนไทยมีนิสยั เจ้าบทเจา้ กลอนต้งั แต่ปูยุ ่าตายายสืบมาจนถึงปจ๎ จบุ นั ซึ่งมีหลากหลายประเภท ดงั น้ี 1.ประเภทใหอ้ ารมณ์ขนั ตวั อยา่ งเชน่ - รถกเ็ กา่ เมยี กแ็ ก่ แย่เลยเรา - นางฟาู อยรู่ ถ แม่มดอยบู่ ้าน - เห็นงามเป็นลม เห็นนมสตู้ าย
ED12101 34 ภาษาและวฒั นธรรม 2.ประเภทถือโอกาสล้อเลียน ตัวอยา่ งเช่น - นายกยังหลกี ภัย คณุ เปน็ ใครไม่หลีกผม - รถผู้ดชี ิดขวา รถขีข้ ้าชดิ ซา้ ย 3. ประเภทเขยี นระบายความในใจ - ดีชัว่ ร้หู มด แต่อดไม่ได้ - ด่มื นมจากเตา้ ดีกวา่ ดื่มเหล้าจากกลม 4. ประเภทเตอื นไมใ่ หป้ ระมาท - ขบั รถระวงั ชน ซกุ ซนระวังเอดส์ - ขับเร็วเงนิ เดนิ ขับเพลนิ จ่าจับ การสร้างสรรค์โดยการเลือกใชค้ าเพอื่ ใชภ้ าษาเปน็ เครื่องมือในการหาความสาราญโดยไมต่ ้อง ลงทุนเป็นวธิ กี ารหนึ่งของผ้คู นยคุ ป๎จจบุ นั เพ่ือผ่อนคลายความตึงเครยี ดในชีวติ ประจาวนั ภาพสะทอ้ นวัฒนธรรมจากภาษาไทย การใช้ภาษาของแต่ละชนชาติสามารถสะท้อนวัฒนธรรมที่แสดงถึงเอกลักษณ์ที่เป็น ลักษณะเฉพาะของคนในชาตินั้นๆ ได้ ดังน้ันภาษาไทยจึงสามารถสะท้อนวัฒนธรรมซึ่งเป็น เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของคนไทยได้ ภาพสะทอ้ นวัฒนธรรมจากภาษาไทยสามารถสรุปได้ ดังน้ี 1. ภาษาไทยมีระเบยี บการใชถ้ ้อยคาใหเ้ หมาะสมกับฐานะของบุคคล 2. ภาษาไทยมีวิธีการใช้ถ้อยคาและข้อความทเ่ี ปลยี่ นแปลงไปใหเ้ หมาะสมตามความสมั พันธ์ ระหวา่ งบคุ คล มีการใช้คาสรรพนามท้ังทีแ่ ทนตวั กบั คูส่ นทนาและผู้ที่กลา่ วถึง 3. ภาษาไทยมีศัพท์แสดงความละเอยี ดในการกล่าวถงึ เรื่องใกล้ตัว และมีศพั ท์เฉพาะในเรื่อง ต่างๆ จานวนมาก 4. ภาษาไทยมีการสรา้ งคาขึน้ ใหมจ่ ากการยืมคาจากภาษาต่างๆ 5. ภาษาไทยมีความละเอียดอ่อนในการใชภ้ าษา ส่งผลให้คนไทยมคี วามเป็นคนเจ้าบท เจา้ กลอน ข้อสังเกตเก่ียวกับวัฒนธรรมไทยในการใช้ภาษาบางประการ 1. ธรรมเนียมไทยถอื ว่าผูใ้ หญ่ล้อเลน่ หรือให้ความสนิทสนมกับเด็กนับเป็นการให้ความเมตตา ถ้าเด็กถือเอาความเมตตาน้ันเป็นโอกาสให้พูดล้อผู้ใหญ่เล่น แม้จะด้วยความรัก ท่านก็ถือว่าไม่งาม เป็นเรื่องเสียมารยาท เด็กสมัยใหม่มักจะขาดมารยาทข้อนี้ มักไม่รู้จักความพอดี ทาให้พูดล่วงเกิน ผู้ใหญ่หรอื พูดจาตีเสมอผ้ใู หญ่ แมจ้ ะเปน็ การพดู โดยไมไ่ ด้มีเจตนารา้ ยก็ตาม 2. ธรรมเนียมไทยน้ัน ผู้ใหญ่ที่ดีท่านย่อมรู้ตัวว่าท่านทาอะไรดีหรือไม่ ท่านแก้ไขตัวเองได้ ไม่ใช่หน้าที่ผู้น้อยที่จะตาหนิ ย่ิงเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองถ้าท่านทาอะไรผิด ผลงานจะเป็นตัวตาหนิ ทา่ นเอง 3. วัฒนธรรมไทยนั้นถือว่าสิ่งท่ีไม่งาม ส่ิงท่ีน่ารังเกียจไม่ควรนามาแสดง การนาสิ่งท่ีไม่ดีของ ผู้อนื่ ออกมาแสดงนั้น ถอื เป็นการประจานผอู้ ่นื เปน็ เรอื่ งเสยี มารยาทอย่างย่ิง
ED12101 35 ภาษาและวัฒนธรรม 4. การคานงึ ถึงการใชภ้ าษาให้สุภาพนน้ั บางคร้งั ทาใหเ้ กิดความฟุมเฟือยข้ึน มักเป็นการใช้คา มากแต่กินความน้อย ทั้งนี้เพราะความพยายามสุภาพ และแสดงความเกรงใจจนทาให้ลืมเนื้อหาที่ ต้องการส่อื สารไป เช่นตัวอย่างการเขียนข้อความบอกอาจารย์ของนักศึกษาที่กล่าวว่า “ดิฉันมากราบ รบกวนอาจารย์ จะรบกวนถามเรื่อง... ถ้าจะมากราบเรียนอีก อาจารย์จะสะดวกวันไหน โปรดกรุณา เขียนวันที่ใหท้ ราบดว้ ย ขอบพระคุณค่ะ” เป็นต้น ในการเขียนนั้นควรเขียนให้กระชับ ตรงไปตรงมา ไมเ่ ยน่ิ เยอ้ และไดส้ าระสาคญั ท้งั ไม่ควรใช้ภาษาท่ีผดิ ธรรมเนยี มหรอื วัฒนธรรมไทยด้วย บทสรปุ ภาษาไม่ใช่แค่เพียงสื่อท่ีทาหน้าที่ลาเลียงสารหรือข้อมูลไปยังผู้รับสารเท่าน้ัน แต่ภาษายัง สะท้อนวัฒนธรรมของผู้ส่งสารออกมาด้วย แม้สารจะถูกต้องชัดเจนแต่หากขาดความสุภาพความ เหมาะสมต่อสถานการณ์ บุคคล หรือเวลาแล้ว การสื่อสารนั้นก็สัมฤทธิ์ผลได้ยาก ดังนั้นลองนึก ทบทวนสักนิดว่าเราได้ใช้ภาษาสุภาพหรือยัง หากยังควรปรับเปลี่ยนทัศนคติและทาความเข้าใจภาษา ให้ถูกต้อง ไม่เช่นน้ันท่านอาจเป็นคนหนึ่งที่เพ่ิม “มลพิษทางภาษา” ให้กับสังคมและลูกหลานไทยก็ เป็นได้
ED12101 36 ภาษาและวัฒนธรรม กิจกรรมประจาบทที่ 2 1. นกั ศกึ ษาแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 5 คน ร่วมกนั อภปิ รายสาเหตุที่ทาใหเ้ กดิ วฒั นธรรม 2. นกั ศึกษาแบ่งกลุม่ กลุ่มละ 5 คน รว่ มกนั ระดมความคิดจดั ทาแผนฟ๎งโดยใช้ Mind Map แลว้ อภิปรายเร่ืององคป์ ระกอบของ “วัฒนธรรมท้องถิ่น” 3. นักศึกษายกตัวอย่างวฒั นธรรมท่ปี รากฏในท้องถนิ่ พร้อมทงั้ บอกว่ามีองค์ประกอบของ วัฒนธรรมอะไรบ้าง และจัดเปน็ วัฒนธรรมประเภทใด พร้อมภาพประกอบ 4. นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ศกึ ษาวัฒนธรรมท้องถิ่นตามประเภทต่างความสนใจ ได้แก่ ภาษา ดนตรี การแต่งกาย อาหาร การละเลน่ ประเพณี เปน็ ตน้ แล้วนาเสนอผล การศึกษาคน้ คว้า
ED12101 37 ภาษาและวฒั นธรรม เอกสารอา้ งอิง ปรีชา ช้างขวญั ยนื . (2540). วพิ ากษ์การใช้ภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ราชบณั ฑิตยสถาน. (2556). พจนานกุ รมราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2545. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน สมพร จารุนฏั . (2541). ภาษาไทยวันน้ี เล่ม 2. กรงุ เทพมหานคร: สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคกลาง (เล่ม 3). (2542). กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรม วฒั นธรรมไทย ธนาคารไทยพานชิ ย์. สวุ รรณา ตงั้ ทฆี ะรักษ.์ (2556). ภาษาและวัฒนธรรม. ปทมุ ธานี : สานกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ. อนุมานราชธน, พระยา. งานนิพนธ์ชุดสมบรู ณข์ องศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน หมวด วฒั นธรรมเรอ่ื ง รวมเรื่องเกย่ี วกบั วฒั นธรรม. กรงุ เทพมหานคร: กรมศิลปากร, 2532
ED12101 38 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจัดการเรียนรู้ บทท่ี 3 ความร้เู บ้อื งตน้ เกย่ี วกับการสือ่ สาร สาระการเรียนรู้ 1.ความหมายของการส่อื สาร 2.ความสาคัญของการสือ่ สาร 3.องคป์ ระกอบของการสือ่ สาร 4.วตั ถปุ ระสงคข์ องการส่ือสาร 5.ภาษาทีใ่ ชใ้ นการส่ือสาร 6.ประเภทของการส่ือสาร 7.ปัจจัยสาคญั อ่ืนๆ ทีส่ ่งผลต่อการส่ือสาร 8.อปุ สรรคของการส่ือสาร วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธิบายความหมายและความสาคัญของการสือ่ สารได้ 2. เลือกรปู แบบและภาษาในการสอ่ื สารได้เหมาะสมกับสถานการณ์การสอื่ สาร 3. วิเคราะห์สถานการณใ์ นการส่อื สารได้ 4. ประยุกต์ใช้สถานการณ์การสอ่ื สารในชีวติ ประจาวันได้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. การบรรยาย 2. นาเสนอสถานการณก์ ารส่ือสาร 3. กิจกรรมกล่มุ (วเิ คราะห์ภาษาจากส่ือหรือกิจกรรม เล่นเกมการสื่อสาร เช่น เกมพลาย กระซบิ เพ่อื กระตุ้นใหน้ กั ศกึ ษา มสี ่วนรว่ มในการเรียนและเกดิ การเรียนรู้ ) 4. อภิปรายกล่มุ และนาเสนอผลการศกึ ษาด้วย Mind Mapping 5. ฝกึ การอ่านโดยให้แสดงวิธีการอา่ นทีถ่ กู ต้อง และแสดงความคดิ เหน็ จากเร่ืองที่อา่ น 6. ผเู้ รียนและผสู้ อนรวมกนั สรปุ หลกั การที่เรยี น ใหน้ ักศึกษาบันทึกสรุปลงสมุด สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. สือ่ สิง่ พิมพ์ เชน่ ข่าว บทความ วารสาร 3. ส่อื อเิ ล็กทรอนิกส์ เชน่ ซดี ี วีดีทศั น์ สไลด์นาเสนอความรู้ด้วยพืน้ ฐานเก่ยี วกบั การสือ่ สาร 4. แบบฝึกหัด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216