Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องเล่าจากบ้านเรา.-ในวันที่สายลมแห่งภูเขาโบราณ-นำทางเราไป-ปี-2563

เรื่องเล่าจากบ้านเรา.-ในวันที่สายลมแห่งภูเขาโบราณ-นำทางเราไป-ปี-2563

Description: เรื่องเล่าจากบ้านเรา.-ในวันที่สายลมแห่งภูเขาโบราณ-นำทางเราไป-ปี-2563

Search

Read the Text Version

และตั้งใจของผู้ทอผ่านผืนผ้าที่งดงามผืนน้ี แม่เฒ่าคงแอบเห็นประกาย ความสนใจในแววตาของฉันกระมัง จึงเข้าไปหยิบผ้าถุงลักษณะเดียวกัน อีกผนื จากในหบี ส่งให้ “เขาเรียกผา้ จวนแหละน้ยุ ผา้ จวนตานี” ผ้าจวนตานี หากฟังดูแล้วฉันคิดเอาเองว่าคงเกี่ยวข้องกับ กล้วยตานีหรือผีสาวท่ีสิงสถิตอยู่ในต้นกล้วยเป็นแน่ แต่แท้จริงแล้วผ้า จวนตานีกับกล้วยตานีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ท่ีมาของช่ือ จวนตานีน้ันมาจากกรรมวิธีการทออย่างประณีต มีการทอท้ังจากเส้นไหม และเส้นใยฝ้ายยกด้วยเส้นเงินหรือเส้นทอง ผ้าจวนตานีจะมีแถบร้ิว ลวดลายวางเป็นแนวแทรกอยู่ระหว่างผืนผ้าและชายผ้าท้ังสองด้าน มี คา� เรยี กในภาษาพื้นถิ่นว่า จูวา หรอื จวน ซ่งึ แปลว่าร่องหรือทาง จึงมชี อ่ื ที่เรียกผ้าชนิดน้ีอีกช่ือหนึ่งว่าผ้าล่องจวน สีของผืนผ้านิยมใช้สีท่ีตัดกัน โดยบริเวณท้องผ้าจะใช้สีหลัก ได้แก่ ม่วง เขียว ฟ้า น�้าตาล ส่วนชายผ้า ทั่วไปจะใช้เฉดสีแดง ชายผ้าท้ังสองด้านทอเป็นผืนผ้าเดียวกัน นอกจาก การใช้สีท่ีตัดกันแล้วแต่ละแถบของผ้าจวนตานีโดยทั่วไปมีห้าสี ซ่ึงค�าว่า “ลีมา” เป็นอีกช่ือของผ้าจวนตานี เป็นค�าภาษามาเลย์หมายถึง “ห้า” จ�านวนลวดลายบนผืนผ้าจะมีต้ังแต่ 5-7 ลาย เช่น ลายโคม ลายประจ�า ยามกา้ นแยง่ ลายตาราง เปน็ ตน้ การทอลวดลายทง้ั วธิ กี ารทอแบบมัดหมี่ และทอแบบยกสอดดิ้นเสริมในผืนผ้า นับเป็นผ้าที่มีลักษณะพิเศษเป็น เอกลักษณ์เฉพาะที่ทอยาก มีราคา และใช้เฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น เป็นผ้าทอดั้งเดิมในพ้ืนที่ทางภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เดิมมีศูนย์กลางคือเมืองปัตตานีใน อดีต จังหวัดเพ่ือนบ้านฉันนี่เอง คุณครูประจ�าวิชาประวัติศาสตร์เคยเล่า ให้ฟังว่าในอดีตปัตตานีเป็นเมืองท่าส�าคัญเมืองหน่ึงในคาบสมุทรมลายู มีความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมือง ซื้อขายแลกเปล่ียนสินค้าและ วัฒนธรรมกบั ประเทศต่างๆ ทีเ่ ข้ามาติดตอ่ ค้าขาย เช่น จีน อินเดยี ประเทศ ในแถบอาหรับ ยุโรป และมาลายา โดยมีสินค้าประเภทผ้าไหม เส้นไหม 100

และฝ้าย เป็นสินค้าท่ีมีการซื้อขายแลกเปล่ียนอยู่ด้วย จึงนับได้ว่าเมือง ปตั ตานเี ปน็ เมอื งสา� คญั ในการคา้ ขายสนิ คา้ ผา้ ไหมและแลกเปลยี่ นวฒั นธรรม เก่ียวกับผ้าแห่งหน่ึง ฉันได้เข้าใจถึงความเป็นมามากขึ้นยิ่งท�าให้อยาก เรียนรู้และทา� ความรจู้ ักกบั ผืนผา้ ชนดิ นี้ ฉันตื่นเต้น ความรู้สึกเหมือนก�าลังด�าดิ่งไปยังโลกของผ้าทอ โบราณ เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความเป็นมาผ่านเส้นใยที่เรียงตัวกัน เป็นลวดลายอันวิจิตรงดงาม ในครั้งที่ได้อ่านวรรณคดีเร่ืองขุนช้างขุนแผน ก็ได้มีการกล่าวถึงเครื่องแต่งกายของตัวละคร เป็นผ้าตานีสองช้ัน ช้ันใน ท�าจากผ้าไหมท่ีประณีตสวยงามและมีสีสัน ชั้นนอกปักและฉลุเป็น ลวดลายสลบั ซบั ซอ้ น ดงั ท่จี ะยกให้เห็นเปน็ ตวั อยา่ ง ดังนี้ วรรณคดเี รือ่ ง ขนุ ช้างขนุ แผน “ผา้ ยกตานนี ่งุ พุ่งทอง สอดสองซบั สดี สู ดใส กรองนอกดอกฉลุดวงละไม เส้นไหมย้อมป้องเป็นมนั ยบั ” “ศรีประจนั ครัน้ แลเห็นลกู สาว กูนีห้ ัวหงอกขาวมันพน้ ที่ จะตกแต่งตัวไปท�าไมมี ควา้ ผ้าตานีหม่ ดอกดา� ” แม้จะเป็นเพียงการกล่าวถึงโดยท่ัวไปแต่ฉันกลับรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้อ่านและตื้นตันใจไปกับเร่ืองราวของผืนผ้าในวรรณคดี เสมือน กระจกเงาสะท้อนภาพในอดตี บง่ บอกถงึ วิถชี วี ิต สังคม และสถานภาพของ 101

ผสู้ วมใส่ ตลอดจนสายสมั พนั ธ์ระหวา่ งแต่ละทอ้ งท่ี ฉนั ตระหนกั ได้ทันทวี ่า ในปัจจุบันน้ีท่ามกลางโลกท่ีหมุนอยู่ตลอดเวลา กระแสวัฒนธรรมต่างชาติ ที่ก�าลังทะลักล้นเข้ามา วัฒนธรรมท้องถิ่นและเอกลักษณ์พื้นบ้านของไทย จะยืนหยัดตั้งม่ันอยู่ได้อย่างไรกัน เฉกเช่นผ้าทอโบราณผืนน้ีที่ก�าลังถูกลืม และทอดท้ิงเหลือไวเ้ พยี งชอื่ เทา่ น้นั คดิ แลว้ ช่างใจหาย ลา� พังแค่เดก็ ผ้หู ญงิ ตัวเล็กๆ คนเดียวคงช่วยอะไรไม่ได้ เสียงของฉันเล็กเกินไป เพียงแต่หาก เราทุกคนร่วมด้วยช่วยกันสืบสานและอนุรักษ์ผืนผ้าทอโบราณน้ีไว้ เป็น โชคดีของเราทุกคนท่ีในปัจจุบันมีกลุ่มทอผ้าต�าบลทรายขาว อ.โคกโพธ์ิ จ.ปัตตานี มีการสอนการท�าผ้าจวนตานีให้กับนักเรียนในพื้นท่ีและเปิด โอกาสใหก้ ับผทู้ ส่ี นใจไดศ้ ึกษาเรียนรู้ เพราะเชื่อม่ันในความสามารถของคน ในพื้นท่ีและต้องการให้งานหัตถศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองปัตตานี ชิ้นนี้คงอยู่ต่อไป ดังพระราชด�ารัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรม ราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ บพิตรว่า “…ข้าพเจ้าน้ันภูมิใจเสมอมาว่า คนไทยมีสายเลือดของช่างฝีมือ อยู่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา หรืออาชีพใด อยู่สารทิศใด คนไทย มีความละเอียดอ่อนและฉับไวต่อการรับศิลปะทุกชนิด ขอเพียงแต่ให้เขา ไดม้ โี อกาสฝึกฝน เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เห็น…” แม่เฒ่าเอง ก็บอกฉันว่าผ้าทอนัน้ นอกจากลวดลายสวยงามแลว้ ยังมเี รอ่ื งราวในตัวเอง เรื่องราวเบ้ืองหลังมากมายก่อนที่จะได้ออกมาเป็นผ้าสักผืน เม่ือยุคสมัย เปล่ียนไปความนิยมชมชอบก็เปลี่ยนแปลง จนเราหลงลืมเอกลักษณ์ที่ จับตอ้ งได้ผนื นี้ไป จงเรยี นร้ทู ่จี ะชน่ื ชมและรักษาเอาไวน้ ะนยุ้ 102

เรอื่ งสั้น ระดับอุดมศกึ ษา



ตำดีกำกบั กระดำนแหง่ ควำมทรงจ�ำ รอมฎอน เบญ็ โกบ ...มันคือกระดานแห่งความทรงจ�าของผม... ณ เวลาน้ี...กระดานด�าเก่าๆ แผ่นน้ีมันยังคงถูกตรึงไว้ท่ีผนัง หน้าห้องเรียนเหมือนเมื่อคร้ังวันวาน...ส�าหรับผม...ในนั้น...มันมีภาพๆ หนึ่ง ซึ่งท�าให้ผมย้อนเวลากลับไปสู่เหตุการณ์อันแสนเศร้าที่ยังฝังจ�าอยู่ ทุกเม่ือ...ถึงแม้ว่าภาพๆ น้ันที่ผมก�าลังจะบอกเล่าต่อไปนี้...จะเลือนหาย ไปหลายปแี ล้วก็ตาม... (1) คร้ันเร่ิมจ�าความ...ผมก็พบว่าตัวเองอาศัยอยู่กับอาเยาะห์ใน บ้านไมเ้ ก่าๆ หลงั น้ีเพยี งสองคนเท่านัน้ อาเยาะห์เคยเลา่ ให้ผมรูเ้ พยี งวา่ ท่านกับม๊ะย้ายมาจากอ�าเภอตากใบเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านแห่งน้ีช่วง ปลายปี 2547 แนน่ อนว่าขณะนน้ั ผมยังไม่ทันลืมตาดูโลกดว้ ยซ�า้ ค�่าคืนน้ันเหล่าดาวเกล่ือนฟ้า เราสองพ่อลูกนอนผ่อนคลาย บนผืนเปลญวนท่ีผูกไว้ระหว่างเสาสองต้นตรงหน้าระเบียง พ่อได้เล่า ต�านานให้ผมฟังหลายต่อหลายเรื่อง บางฉากบางตอนฟังดูน่าต่ืนตา ตื่นใจราวกับบทนวนิยายท่ีถูกแต่งข้ึนอย่างไร้ท่ีติ หนึ่งในนั้นคือเรื่องราว อันรุ่งโรจน์ของประวัติศาสตร์และวีรบุรุษแห่งรัฐปัตตานี รวมท้ังล�าดับ เหตุการณ์การแผ่ขยายเข้ามาของศาสนาอิสลาม ณ พ้ืนท่ีแหลมมลายู 105

เมอื่ คร้ังโพ้นบรรพกาล กระนั้นผมก็ยังมีปริศนาท่ีค้างคาใจมานานหลายปีว่าจริงๆ แล้วม๊ะของผมหายไปไหน ไปอยู่ที่ไหน ท�าไมชีวิตของผมจึงมีอาเยาะห์ แค่คนเดียว ในครานั้นผมคะยั้นคะยอท่านให้พูดความจริงกับผมเสียที เพราะท่ีผ่านมาท่านบอกผมแค่ว่า ‘ม๊ะมีธุระส�าคัญต้องท�าเดี๋ยวก็คงกลับ มา’ บ้างก็ว่า ‘อีกไม่นานม๊ะจะกลับมาแล้ว’ และบ้างก็ตอบออกแนว ละครหลังข่าวว่า ‘สักวันหน่ึง... ถ้าผมโตข้ึนมากกว่าน้ี...ก็จะรู้เรื่องราว ทง้ั หมดเอง’ เมื่อต้องเจอกับการรบเร้าเอาค�าตอบของผมอย่างไม่ลดละ ในที่สุดค�าตอบที่คลายปริศนาก็หลุดลอดมาจากริมฝีปากคร้ึมหนวดเครา ของอาเยาะห์ ท่านปรับสีหน้าและขรึมเงียบไปชั่วขณะก่อนประสาน สายตาอาทรมายังคู่แววตาเยาว์วัยของผม ค�าพูดของอาเยาะห์ท�าให้ผม แทบลมจับเมื่อได้รับรู้ถึงเงื่อนปมที่สงสัยมานาน ว่าขณะผมอายุได้เพียง 2 ขวบ เราต้องสูญเสียม๊ะในเหตุการณ์พวกโจรทมิฬกราดกระสุนทะลุ ร่างชาวบ้านผบู้ รสิ ทุ ธ์ใิ นพน้ื ทกี่ ว่า 5 ศพ และบาดเจบ็ สาหัสอกี ราว 3-4 ราย ตรงก�าแพงท่ีแบ่งแยกระหว่างการมีและไร้ซ่ึงลมหายใจของ คนสองคนท่ีรักกัน ณ จุดเกิดเหตุ อาเยาะห์ได้ปร่ีเข้าไปช้อนร่างไร้ วิญญาณของม๊ะซ่ึงชุ่มโชกไปด้วยเลือดเลอะฉานข้ึนมากอดทั้งน�้าตา พรากไหลและหัวใจที่แตกสลาย ผมจ�าได้ว่าเที่ยงคืนนั้นผมเผลอผล็อย หลับไปในอ้อมกอดของอาเยาะห์ท้ังๆ น�้าตาที่ค่อยๆ ไหลรินจาก หว้ งสา� นกึ อันแสนเศร้า สบั สน และอา้ งว้างเหลือบรรยาย (2) แสงทองอร่ามยามอรุโณทัยได้เข้ามาทาบทับค่�าคืนที่เจ็บร้าว มนั เป็นวนั หยดุ ทีเ่ ด็กๆ ทกุ คนในหมบู่ า้ นเล็กๆ แห่งน้ีเฝา้ รอคอย หลังจาก 106

ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนของรัฐบาลติดต่อกันหลายวัน อาเยาะห์ ของผมได้ควบมอเตอร์ไซค์โบราณสีเขียวโดยมีผมซ้อนท้ายมายัง โรงเรียนตาดีกาแห่งน้ีด้วย ไม่กี่นาทีเราท้ังสองก็ก้าวเดินไปท่ีสนามหญ้า หน้าเสาธงพรอ้ มๆ กัน หลังจากท่ีคุณครูและนักเรียนทุกคนร่วมเปล่งเสียงร้องเพลง ชาติ สวดดุอาอ์ และศอลาวาต1 กันอย่างพรอ้ มพรงั่ ต้งั ใจ อาเยาะหข์ อง ผมซึ่งมีต�าแหน่งเป็น ‘มูเดร์’2 ของโรงเรียนตาดีกาแห่งน้ีได้ก้าวออกมา ยืนหน้าแถวเพอ่ื ใหโ้ อวาทแกน่ กั เรียนซึ่งมอี ยรู่ าวๆ 150 คน และทิ้งทา้ ย ถ้อยค�าที่เราทุกคนจดจ�าจนขึ้นใจแล้วว่า “จงมีจิตใจจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระราชาแห่งแผ่นดินสยาม และร่วมกันดุอาอ์จาก พระผูเ้ ป็นเจา้ ใหช้ ายแดนใตข้ องเราได้พบความสนั ตสิ ขุ เสียที” ทันทีที่การให้โอวาทของอาเยาะห์จบลง อุสตาซประจ�าช้ัน ก็ได้ออกค�าส่ังให้นักเรียนทุกคนเดินแถวเข้าห้องเรียนตามระดับช้ัน ของตนเองอย่างเป็นระเบียบ--‘ห้องเรียนช้ันปีที่ 2’ ซึ่งมีผมและเพื่อน สมาชิกอกี 19 คน โดยมีเพอ่ื นผูห้ ญิงอยู่เพยี ง 5 คนเท่านน้ั และยงั เปน็ ห้องเรียนที่ได้รับเสียงเล่าลือจากคณะอุสตาซว่า “ครองแชมป์ความซน และส่งเสียงดังท่ีสุดในโรงเรียน” แม้จะมีค�าว่าแชมป์น�าหน้าให้พวกเรา ก็ตามเถอะ ส�าหรับผมในตอนนั้นมันฟังไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าใดนัก ท้ังยัง ท�าให้อาเยาะห์ต้องปวดหัวในวีรกรรมประจ�าวันของห้องผมท่ีมีไม่ซ�้า อยเู่ สมอ (3) ช่วั ครู่ ‘อุสตาซะหอ์ าอชี ะห’์ ไดก้ า้ วเข้ามายนื ตรงหนา้ ช้ันเรียน ด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับแดดเช้าของฤดูร้อน ผมจ�าได้แม่นย�าว่าวันน้ัน 1 การประสาทพรแดอ่ คั รศาสดามฮู ัมหมดั ของอิสลาม 2 ครใู หญ่ 107

ท่านคลุมฮิญาบสีด�าสนิทและสวมชุดอบายะห์3 สีน�้าเงินเข้มดูราวเฉดสี ของผืนน้�าในเว้ิงมหาสมุทร ในสายตาเยาว์วัยของผมมันคือชุดที่งดงาม ในแบบฉบับอิสลามขนานแท้--เป็นจังหวะเดียวกันที่ ‘อัซการีย์’ เพ่ือน นักเรียนชายผมู้ นี �้าหนัก-ส่วนสงู มากท่สี ดุ ในห้อง และยงั ท�าหนา้ ที่หวั หน้า ได้เปล่งประโยคค�าสั่งให้นักเรียนทุกคนยืนท�าความเคารพผู้สอนเป็น ภาษาอาหรบั ดว้ ยเสียงอนั ดงั “อสิ๊ ตะอิ๊ด กิยามัน!” ผมและเพื่อนๆ ทุกคนพลันลุกข้ึนยืนเพ่ือให้เกียรติผู้ถ่ายทอด ความรู้ของเราด้วยรอยยิ้มและกล่าวประโยคทักทายแบบมุสลิมเป็น เสียงเดียวกันว่า “อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะห์มาตุ้ลลอฮิ วะบะเราะ กาตุห์” อุสตาซะห์ฯ เริ่มคาบเรียนด้วยรอยย้ิมแสนอารีก่อนจะตอบรับ ค�าทักทายอันจ�าเริญแทบในทันทีว่า “วะอะลัยกุมุสสลาม วะเราะห์ มาตุ้ลลอฮิ วะบะเราะกาตุห์” พร้อมท้ังโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง และสง่ั ให้นกั เรียนทกุ คนน่งั ลงด้วยน้า� เสยี งท่ไี พเราะและอ่อนโยนยิง่ (4) ก่อนที่อุสตาซะห์จะน�าพาพวกผมทั้ง 20 ชีวิต เข้าสู่บทเรียน ‘วิชาจริยธรรมอิสลาม’ ซึ่งกินเวลาถึงสองคาบติดกัน ผมรีบชิงจังหวะ อ้อนวอนขอให้ท่านได้โชว์ฝีมือวาดรูปประกอบค�าสอนสวยๆ ให้พวกเรา ได้ชื่นชมกันอีกครั้ง ท่านน่ิงพิจารณาช่ังใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่งย้ิมหวาน พยักหน้าข้ึนลงเบาๆ และส่งสายตาอันอบอุ่นไปยังนักเรียนตัวน้อยๆ อย่างทั่วถึง แสดงว่าค�าร้องขอที่ผมส่งไปหาท่านนั้นได้ผล เสียงปรบมือ และอาการกระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจดังเกรียวกราวขึ้นตามประสา อุสตาซะหถ์ งึ กับรบี โบกมือหา้ มไม่ใหเ้ ราสง่ เสียงรบกวนหอ้ งอ่ืนๆ ท่ีกา� ลัง เข้าสู่บทเรียนต่างๆ และได้บอกให้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าภาพท่ีท่าน 3 ชุดพื้นเมอื งของสตรมี สุ ลิม 108

วาดจะสื่อเรื่องราวเก่ียวข้องกับอะไรบ้าง และยังมีเง่ือนไขส�าคัญอีกข้อ ว่า ‘ระหว่างที่ท่านวาดภาพ ห้ามมิให้นักเรียนคนใดซักถามหรือส่งเสียง รบกวน เว้นแต่ภาพดังกล่าวจะถูกวาดและตกแต่งจนเสร็จเรียบร้อย แล้วเท่าน้ัน’ แทบไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนๆ และตัวผมเองพลันปิดสวิตช์เสียง รบกวนแล้วพยักหน้าหงึกๆ เต็มใจยอมรับข้อตกลงของอุสตาซะห์อย่าง วา่ ง่าย ราวกับถูกเวทมนตรว์ เิ ศษสะกดใจใหเ้ คลิ้มคล้อยตามเลยทเี ดียว เม่ือการเสนอและตอบรับข้อตกลงของท้ังสองฝ่ายส้ินสุดลง พลันลายเส้นสีขาวยาว–สั้นจากแท่งชอล์กธรรมดาๆ ท่ีตวัดลากเป็น รูปร่างต่างๆ นานาก็เริ่มปรากฏเค้าโครงบนกระดานด�า โดยฝีมือศิลปิน สาวผู้ช่�าชองการถ่ายทอดจินตนาการให้แปรเปล่ียนเป็นภาพท่ีสามารถ เข้าใจและมองเหน็ ไดด้ ้วยตาของเรา ภาพแล้วภาพเล่าท่ีทยอยปรากฏให้ เห็นดูเป็นเรื่องง่ายๆ ส�าหรับอุสตาซะห์ ซึ่งงดงามไม่น้อยไปกว่าภาพ ประกอบหนังสือการ์ตูนสอนใจเด็กๆ มุสลิมท่ีอาเยาะห์เคยซื้อให้ผมอ่าน ก่อนเข้านอนเปน็ ประจา� ทุกคา่� คนื (5) 1 ชั่วโมงแห่งความหฤหรรษ์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ภาพที่ พวกเราท้ัง 20 ชีวิตใจจดใจจ่อที่จะได้เห็นก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ในท่ีสดุ ... ...และแล้วบนกระดานด�าท่ีเคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยภาพ ขนาดใหญ่ท่ีผมรู้สึกว่าแปลกตาและน่าประหลาดใจกว่าทุกๆ หนที่ ผ่านมา ด้านขวามือของผมเป็นภาพวัดและเจดีย์องค์ใหญ่คลับคล้าย วัดที่มีช่ือเสียงแห่งหน่ึงซ่ึงต้ังอยู่ริมถนนไม่ไกลจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ด้านซ้ายเป็นภาพโบสถ์คริสต์อันวิจิตรตระการตาและมีสัญลักษณ์ ไม้กางเขนขนาดใหญ่ปรากฏให้เราเห็นอย่างเด่นชัด ส่วนต�าแหน่ง ใจกลางของกระดานคือภาพมัสยิดเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีของหมู่บ้าน 109

แห่งนี้ที่ผมคุ้นตาและผูกพันมาต้ังแต่แรกเร่ิมจ�าความ ไม่เพียงแค่น้ัน อุสตาซะห์ยังได้วาดภาพผู้คนมากมายอยู่รายรอบสถานที่เหล่าน้ัน เมื่อผมลองมองเข้าไปในรายละเอียดพบว่าทุกๆ ใบหน้าเล็กๆ ในภาพ ฉาบฉายไปด้วยรอยย้ิมอิม่ เอมใจ ใกล้ๆ กับศาสนสถานส�าคัญในรูปวาดเป็นตลาดเล็กๆ ในน้ัน มีครอบครัวประกอบด้วยอาเยาะห์ในชุดพ้ืนเมืองมลายู ลูกชายวัยรุ่น 2-3 คนในชุดโต๊ปดูดีมีเสน่ห์ไม่เบา ส่วนม๊ะและลูกสาวตัวเล็กอีก 2 คน ซ่ึงสวมชุดสตรีพื้นเมืองมลายูยืนจับมือเคียงข้างกันอย่างอบอุ่นตรง หน้าร้านน้�าชากลางตลาด ถัดจากน้ันเล็กน้อยเป็นภาพครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกผู้ชาย-ผู้หญิงตัวเล็กๆ ในชุดไทยโบราณ ก�าลังเดินจับจ่ายสินค้าและอาหารพื้นเมืองอย่างผ่อนคลายสบายใจ ใกล้ๆ กันน้ันยังมีครอบครัวชาวไทยคริสต์ พวกเขาทั้ง 5 คนห้อย สร้อยคอรูปไม้กางเขนขนาดจ๋ิวก�าลังจับจ่ายสินค้าพร้อมกับยืนพูดคุย อยกู่ ับสองครอบครัวที่ผมไดบ้ อกเลา่ ไปอย่างใกล้ชดิ สนทิ สนม ส่วนฉากหลังในภาพที่อุสตาซะห์วาดออกมาได้อย่างน่า เหลือเช่ือคือ ฝูงนกพิราบสีขาวก�าลังหกร่อนอยู่เหนือเทือกเขาบูโดอัน ตระหง่าน สูงขึ้นไปมวลเมฆใหญ่น้อยลอยละล่องไปสุดปลายฟ้า ภาพ ทุกภาพท่ีผมมองเห็นต่างก็อยู่ภายใต้แสงเจิดจ้าแห่งดวงตะวันดวง เดียวกัน...ดวงตะวันซึ่งส่องฉายพ้ืนท่ีแห่งประวัติศาสตร์ที่มากหลาย ดว้ ยความดี ความงาม ความฝัน และแรงปรารถนาสนั ตภิ าพ... (6) ระหว่างท่ีผมและเพ่ือนๆ ก�าลังรู้สึกพิศวงปนงงงวยไปกับ ภาพวาดจากจินตนาการอันเพริศแพร้วของอุสตาซะห์อยู่น้ัน จู่ๆ อัซการีย์ก็ไดต้ ้ังค�าถามหนงึ่ ขึน้ “อุสตาซะห์ครับ...ภาพวาดหนน้ีสวยจังเลย...แต่...ผมเองก็ยัง 110

ไมเ่ ข้าใจอย่ดู ีว่า...ท�าไม..ในภาพนี้ถงึ มีวัดและโบสถ์คริสตอ์ ยูข่ า้ งๆ มัสยิด ของพวกเราดว้ ยละ่ ครับ?” ผู้เปน็ หวั หนา้ ห้องเลกิ คว้ิ ขึ้นสูงอยา่ งฉงนฉงาย อุสตาซะห์ยิ้มกว้างกับประเด็นค�าถามอันซ่ือใสน้ัน แล้วจึงให้ คา� ตอบทีช่ วนขบคิดว่า “..ศิษย์รักท้ังหลายของอุสตาซะห์...เธอลองสังเกตไปยัง สรรพสิ่งรอบตัวให้ดีสิ...สิ่งที่เธอก�าลังสงสัย...มันย่อมมีค�าตอบที่ชัดเจน อย่ใู นนน้ั ...” “เช่นอะไรบา้ งหรือครับ...อุสตาซะห์?” ผมขอใชส้ ทิ ธริ์ องหวั หนา้ ตั้งค�าถามขึน้ บ้าง ผู้รับค�าถามส่งย้ิมมาให้ผมด้วยความพึงใจ ก่อนสอดส่าย สายตาคมสวยฉาบฉายไปท่ัวห้องสี่เหลี่ยมอีกครา แล้วจึงพรั่งพรู ตัวอยา่ งเพ่อื คลายข้อสงสยั ของผมอย่างเนบิ ช้าแตช่ ัดเจนยงิ่ วา่ “...ตัวอย่างแรก...อุสตาซะห์เช่ือว่านักเรียนต้องเคยสังเกตสี ที่เราใช้ระบายภาพ อย่างน้อยๆ สี 1 กล่องมันรวมสีถึง 12 เฉดสีไว้ ดว้ ยกัน และแตล่ ะสกี ็ยอ่ มมคี ุณสมบัติและให้ความรู้สกึ งดงามท่แี ตกต่าง กันออกไป นักเรียนลองจินตนาการกันดูสิคะว่าหากสรรพส่ิงในโลกน้ี มสี ีเพยี งแค่สีเดียวมนั จะสวยสดงดงามกวา่ มหี ลายสสี นั หรือไม.่ ..? ...และอีกตัวอย่าง...ทุกครั้งที่เป็นคืนเดือนดับ ท่ามกลาง ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และไม่มีเมฆฝนมาบดบังสายตา เราก็จะพบกับ แสงระยิบระยับจากดวงดาวจ�านวนมหาศาล นักเรียนลองคิดดูสิคะว่า หากฟากฟ้ายามค่�าคืนเหลือดวงดาวที่ส่องแสงอยู่เพียงแค่ดวงเดียว บรรยากาศในยามค�่าคืนจะยังสวยงามตระการตาเหมือนที่เราเคยเห็น กันหรือไม่...? ตัวอย่างท้ังหมดที่บอกไป... อุสตาซะห์หวังว่า...นักเรียน ที่รักทุกๆ คนคงพอจะเข้าใจเหตุผลเกี่ยวกับภาพท่ีอุสตาซะห์วาดใน กระดานนไ้ี ดบ้ า้ งแล้วนะคะ... ” 111

“...ผมชอบภาพวาดกบั ตวั อย่างของอุสตาซะหม์ ากๆ เลยครบั ...ผมคิดว่า... ผมเริ่มจะเข้าใจความหมายภาพในกระดานได้บ้างแล้ว ละ่ ครบั ” ผมเสริมข้ึนด้วยความรู้สึกประทับใจในบทเรียนสั้นๆ แต่ ทรงคุณค่าต่อใจผมอย่างล้นพ้น อัซการีย์ได้หันมาส่งยิ้มอวดฟันหลอ ให้ผม ผมเองก็ส่งย้ิมโชว์ฟันหลอกลับไปให้เพื่อนสนิทคนนี้ทันทีเช่นกัน ในขณะเพื่อนๆ ท่ีเหลือต่างก็พยักหน้าเชิงเข้าใจในบทเรียนสุดพิเศษ ครง้ั นน้ั ดว้ ยความสนกุ หรรษา ทันทที ่ีผมพูดจบ รอยย้มิ พรมิ้ พรายจากอุสตาซะห์ก็ปรากฏขึ้น อีกครัง้ ขณะน้ันผมเพ่งพศิ เข้าไปในอาณาจักรกว้างใหญท่ ี่ซ่อนอยู่ภายใน ดวงตาของคุณครูท่านนี้...มันช่างท่วมท้นไปด้วยความรักความเมตตา และความเอ็นดูผู้เป็นศิษย์อย่างไร้เงื่อนไข ซ่ึงผมและเพ่ือนๆ ต่างก็ สัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณการรับรู้แสนบริสุทธิ์ภายในจิตใจดวงน้อยๆ ของพวกเราทกุ คน (7) ช่ัวโมงน้ีผมก�าลังเรียนวิชาจริยธรรมอิสลามซึ่งเป็นคาบแรก ของระดับช้ันสุดท้าย ก่อนท่ีจะย้ายไปเรียนต่อระดับมัธยมฯ ท่ีสถาบัน ปอเนาะแห่งหนึ่งในอีกไม่ก่ีเดือนข้างหน้า...น่าใจหาย...ต่อแต่นี้ครูผู้เป็น ต้นแบบจริยธรรมอันงดงามหาใช่อุสตาซะห์อาอีชะห์อีกต่อไป...มัน เป็นไปไม่ได้ท่ีผมจะสามารถกลับมามอบรอยยิ้มเอ่ยสลามทักทาย หรือ แม้แต่มอบการ์ดอวยพรแบบท�ามือและขนมต้มเนื่องในวันฮารีรายอ ทั้งสองแด่ท่านได้อีก... มันไม่มีทางและไม่มีวันที่จะเป็นเช่นน้ันต่อไปได้ อีกแล้ว!!! หลายปีก่อน... ย�่าสนธยาของปลายเดือนรอมฎอนอันจ�าเริญ...เหตุลอบ 112

วางระเบิดคร้ังรุนแรงกลางตลาดของชุมชนแห่งน้ี ได้กระชากชีวิตอัน บริสุทธ์ิของอุสตาซะห์อาอีชะห์โดยท่ีท่านยังไม่ทันได้เอ่ยค�าร่�าลาใครๆ แม้กระท่ัง ‘บังฮารูน’ ข้าราชการทหารหนุ่มผู้เป็นสามีท่ีเพ่ิงใช้ชีวิตคู่อัน แสนสั้นดว้ ยกนั ยงั ไมท่ นั ขา้ มปี “แท้จริงเราท้ังหลายเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และ แทจ้ รงิ เราทงั้ หลายตอ้ งกลับคืนไปสพู่ ระองค”์ น่ันคือความหมายบทดุอาอ์แห่งพระคัมภีร์อัลกุรอานที่คร้ัง หนึ่งอุสตาซะห์เคยสอนให้ผมและเพ่ือนๆ ร่วมชั้นเรียนหัดกล่าว ทันทีที่ มุสลิมอย่างเราได้รบั ทราบขา่ วรา้ ย...แต.่ ..แตค่ รัง้ นน้ั ..มนั คือขา่ วที่เลวรา้ ย อย่างท่ีสุด! พอๆ กับการได้รับรู้ถึงสาเหตุการตายอันสุดเศร้าของม๊ะ ทผ่ี มไม่มีแมแ้ ต่วาสนาได้เหน็ ใบหน้าจรงิ ๆ ของทา่ น ความสญู เสียท้งั สอง นั้นแม้มันจะต่างเหตุการณ์และวาระ มันก็คือ ‘ความจริง’ ซึ่งเปรียบ ได้กับ ‘คมกระสุนอันร้ายกาจ’ ที่พุ่งตรงเข้าตัดข้ัวหัวใจอันบอบช้�า ของผมจนขาดข้วั ในช่วั พริบตา! นานเพียงไหน?...ต้องใช้เวลาอีกนานเพียงไหน?...ผมถึงจะ ลบและลืมภาพวินาทีที่ร่างไร้วิญญาณซ่ึงเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ จากแรงระเบิดของอุสตาซะห์ พร้อมๆ กับชีวิตบริสุทธิ์อายุเพียง 12 สัปดาห์ภายในครรภ์ของท่านถูกกองดินร่วนละเอียดทยอยกลบฝังจน คอ่ ยๆ ลับหายสายตาไป ท่ามกลางวงล้อมขนัดแนน่ ของบรรดาชาวบา้ น และผคู้ นทห่ี ล่ังไหลจากพื้นทใ่ี กล้เคยี งนบั พนั เพ่ือมาร่วมสง่ วญิ ญาณของ ท่านไปสชู่ นั้ ฟา้ ดว้ ยความอาลัยเป็นคร้ังสดุ ท้าย เสี้ยวเวลาท่ีลานสุสานคลาคล�่าไปด้วยผู้คนอยู่น้ัน สายตาของ ผมท่ีพร่าเลือนจากการร่�าไห้สัมผัสได้ถึงรอยย้ิมอันคุ้นเคยของบุคคลที่ ผมประหวัดคร�่าครวญ หล่อนผู้นั้นก�าลังอุ้มทารกน้อยแนบอกในชุด ฮญิ าบและอบายะหส์ ขี าวบรสิ ทุ ธอิ์ ยใู่ ตร้ ม่ ตน้ ลนั่ ทมซง่ึ เตม็ ไปดว้ ยดอกขาว สลา้ งไม่ต่างสผี า้ ห่อศพตรงรมิ รว้ั กุโบร์!!! 113

ให้ตายสิ!!! ผมสาบานได้เลยว่าตอนน้ันผมไม่ได้ตาฝาด!!! ก้อนเน้ือขนาดก�าปั้นในหัวอกของผมกระเพื่อมไหวรุนแรงเพราะภาพ ที่ไม่อยากจะเชื่อสายตา ‘มันเป็นไปไม่ได้!!!.’ ผมตะโกนคัดค้านสุดเสียง อยู่ในใจ...แต่!...แต่ภาพนั้นก็ยังคงปรากฏและเคล่ือนไหวอย่างต่อเนื่อง คล้ายภาพฝัน เม่ือผมแทรกฝูงชนท่ีแออัดออกมาได้แล้วก็พลันพุ่งตัว สุดก�าลังไปยังจุดท่ีเห็นภาพน้ันอย่างไม่ลังเล...แต่เปล่าเลย! ทุกสิ่งอย่าง ท่ีพยายามไปกลับป่วยการ เพราะท้ายท่ีสุดผมกลับพบว่าภาพๆ นั้น เป็นเพียงอากาศธาตุว่างเปล่า ความหวังที่สูญสิ้นจบลงด้วยเสียง สะอน้ื ไห้ของตนเองอยใู่ ตร้ ่มไมแ้ หง่ ความเศร้าตน้ นนั้ ...อย่างเดียวดาย.. (8) นับเป็นความขมขื่นเกินรับไหวท่ีความทรงจ�าของผมมัน ด้ือรั้นและพุ่งทะยานกลับมายังรูปภาพในกระดานแผ่นน้ีอีกจนได้... และแล้วสายตาของผมก็ประจักษ์อย่างชัดแจ้งว่า...ตลาดอันเป็น สถานที่ท่ีท�าให้อุสตาซะห์ต้องจากพวกเราไปช่ัวนิรันดร์เป็นสถานท่ี เดียวกันกับ ‘ตลาดแห่งสันติภาพ’ ท่ีอุสตาซะห์เคยใช้มือขวาอัน เรียวสวยของท่านวาดมันข้ึนอย่างงดงามล้�าค่าลงบนกระดานด�าแผ่นนี้ กระดานภาพสังคมพหุวัฒนธรรมแห่งความรักความเข้าใจในอุดมคติ ของท่านท่ีเราทุกคนต่างก็ปรารถนา – ภาวนาให้มันบังเกิดขึ้นจริงใน เรว็ วนั ณ แผ่นดนิ ชายแดนใต้อันครุ ้อน อาเยาะห์เคยบอกผมดว้ ยความภาคภมู ิเสมอวา่ ชายแดนแหง่ น้ีคือ ‘แผ่นดินอันเรืองแต่เบ้ืองบรรพกาล’ แต่ส�าหรับผมทุกๆ รัตติกาล ท่ีเวียนมาบรรจบในวงโคจรแห่งวัยเยาว์ของชีวิต, บนฟูกนอนท่ีแข็งและ หยาบหนา, ในใยผ้าห่มคลายหนาวผืนบาง, และบนหมอนหนุนกระด�า กระด่างใบเก่า ผมมิอาจจะกล้าหลอกตัวเองหรือแม้แต่ใครสักคนเดียว ได้เลยว่า...ท่ีนี่คือ ‘ดินแดนแห่งความฝัน’ ที่ที่ถนนทุกสายถูกโปรยด้วย 114

กลีบดอกไม้กรุ่นหอมหลากสีสัน ที่ที่มวลความม่ันคงและสันติภาพจับคู่ เริงระบ�าในท้องทุ่งแห่งความเชอ่ื อันหลากหลาย ทท่ี ีส่ ะพรบึ พรายไปดว้ ย หมู่มวลผีเสื้อลายธงชาตินับล้านกระหยับปีกบินว่อนท่ัวดินแดนหลาก วัฒนธรรม ท่ีที่ล�าน�ายุคใหม่ขับกล่อมถึงแผ่นดินสุดตระการอันไร้ซึ่ง ม่านควันทึบหนาเพราะเปลวเพลิงที่พร้อมเผาผลาญทุกสรรพส่ิง ท่ีที่ บทกวีร่วมสมัยเขียนถึงท้องฟ้าสีครามใสสวย...มันไม่เคยมีห่าฝนที่หลั่ง ลงมาสังเวยมาตุภูมิเป็นหยดเลือดและหยาดน�้าตาแห่งความสูญเสีย - สิน้ หวงั ! ณ วินาทีน้!ี !! กระดานด�าเก่าๆ แผ่นน้ีมันยังคงถูกตรึงไว้ท่ีผนังหน้า ห้องเรียนเหมือนเมื่อครั้งวันวาน...ส�าหรับผม...ในนั้น...มันมีภาพๆ หน่ึงซ่ึงท�าให้ผมย้อนเวลากลับไปสู่เหตุการณ์อันแสนเศร้าท่ียังฝังจ�า อยู่ทุกเม่ือ...แม้ว่าภาพๆ น้ันท่ีผมได้บอกเล่าไปจะถูกลบหายไป หลายปีแลว้ ก็ตาม... 115

เปิดภำพ อายรู า ดาลอ ภายในห้องท่ีเงียบสงบ มีเพียงสายลมผ่านช่องระบายอากาศ เข้ามาอย่างแผ่วเบา หญิงสาวร่างเล็กนั่งน่ิงบนเก้าอ้ีตรงมุมห้อง หยิบ โทรศัพท์ข้ึนมาแล้วใช้ปลายนิ้วมือแตะไปท่ีคลังภาพ จากน้ันก็ไล่ดูรูปไป ทีละรูป…ทีละรูป ภาพท่ีเล่ือนผ่านค่อยๆ เปล่ียนบรรยากาศของห้อง ก่อนท่ีจะมีเสียง...ตึกตักๆ ปฏิกิริยาที่เจ้าของมันเท่าน้ันท่ีรู้สึกได้ รอยย้ิม จางๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า สายตาฉายแววความสดใส ก่อนที่หัวใจ ของเธอจะลอ่ งลอยไป… เวลา 05.00 น. ...ลา ล่า ล้า ลา ล่า ล้า…นาฬิกาปลุกดังข้ึน มายูงัวเงียตื่นข้ึนมา ก่อนจะปิดเสียง แล้วเดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้�า สายน�้าเย็นฉ�่าท่ีไหลผ่านฝักบัวมากระทบตัวของมายู ได้พรากความง่วงงง ออกไปจากตวั ของเธอจนหมดส้ิน “มายู อาบนา�้ เสร็จรึยัง?” เสยี งของพวี่ นั ดังลนั่ ในหอ้ งนอน “เสร็จแล้ว ๆ” มายูออกมาละหมาด แล้วแบมือขอดุอาอ์ เธอ ชอบเสียงเบาๆ ท่ีเปล่งออกมาจากหัวใจ โดยอ้อนวอนต่อพระเจ้าขอให้ ภารกจิ ของเธอและเพอ่ื นๆ ส�าเรจ็ ด้วยด…ี . เม่ือแต่งตัวเสร็จแล้วเธอหยิบกระกระเป๋าเส้ือผ้าที่จัดไว้ต้ังแต่ เม่ือคืนข้ึนมาสะพายหลัง แล้วหยิบกล่องไว้ในมือ ในขณะที่เธอเปิดประตู 116

กา� ลังจะก้าวเท้าออกจากห้อง ก็มีเสียงทักจากดา้ นหลังวา่ “จะไปไหนแต่เช้ามายู” พ่ีวันท�าหน้าสงสัยในขณะท่ีตายังไม่ เปิดกว้าง มายูหันไปย้ิมแห้ง ๆ ให้พี่วัน “เอ่อ...น้องจะไปเปิดหมวกที่ จงั หวดั นราธิวาส หางบเขา้ ชมรมคะ่ ” “ทางชมรมมีโครงการใหม่เหรอ จัดที่ไหน” สีหน้าและน�้าเสียง ของพว่ี ันดูตื่นเต้นมาก…. “ใช่ค่ะ…โครงการพัฒนาโรงเรียนที่ขาดแคลนในจังหวัดสตูล เห็นรุ่นพ่ีบอกว่าเป็นโรงเรียนที่อยู่ในพ้ืนที่ทุรกันดาร ถ้าจะไปพัฒนาก็คง ตอ้ งใชเ้ งินเยอะหนอ่ ย” พวี่ นั ผงกหัวเบาๆ “เอ่อ.…แลว้ นม่ี ายจู ะไปยงั ไง?” “นัดกับเพ่ือนไว้แล้วที่สถานีรถไฟยะลา ว่าจะเดินไประยะทาง ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ เดินสักสิบถึงสบิ ห้านาทกี ็ถึงแลว้ ” “มาๆ เด๋ียวพไ่ี ปสง่ จะไดไ้ ม่ตอ้ งเดินใหเ้ หนอ่ื ย” วา่ แลว้ พว่ี ันก็รบี เอายางมารดั ผม หยิบหนา้ กากอนามยั มาใส่เพอื่ ปกปดิ หน้าสดในยามเชา้ เวลา 06.15 น. พ่ีวันขับมอเตอร์ไซค์มาส่งมายูที่สถานีรถไฟ “โชคดีนะมายู” มายยู มิ้ ตอบ “ขบั รถกลบั ดีๆ นะพ่ีวนั ” “จา้ า...อยา่ ลมื ซือ้ ของฝากกลบั มาให้พ่ีด้วยนะ” พว่ี ันยม้ิ รา่ มายูแสดงสีหน้าคล้ายไม่พอใจแต่ก็ยิ้มท่ีมุมปาก “ว่าแล้วเชียว ทา� ไมใจดอี ยากมาสง่ นอ้ ง” พ่ีวันท�าหน้าทะเล้น “ขอบคุณ เอ๊ะ! ตือมอกาเสะดีกว่า จะรอ นะ ฮ่าๆๆๆ” พูดจบพ่ีวันรีบบิดมอเตอร์ไซค์กลับไปประมาณว่าค�าพูด สุดทา้ ยทท่ี ้งิ ไวค้ ือข้อตกลงระหวา่ งพวกเธอ เหลือเพียงมายูท่ียืนข�าอยู่คนเดียว แล้วบ่นๆ กับตัวเองว่า “ท�าไมเวลาคนไทยพุทธพูดมลายูไม่ชัดแล้วดูน่ารักจังเลยนะ หรือตอนท่ี 117

ฉันพูดภาษาไทยไม่ชัดก็ดูน่ารักเหมือนกัน ต้องใช่แน่ๆ ง้ือ….เขินอะ ฮ่าๆๆๆ” ทันใดน้ันเอง ก็มีเสียงเรียกขึ้นจากด้านหลังว่า “มายูรีบไปเร็ว รถไฟจะออกแลว้ ” มายูหันไปเห็นนารีมะห์และเพ่ือนๆ ในทีมท่ีจะร่วมเดินทางไป กับเธอ ทุกคนแต่งกายในธีมเดียวกันคือชุดกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ซ่ึงเป็นสีส้มสดสะดุดตามาแต่ไกล พวกเธอหวังว่าสีของเสื้อน่าจะพอเป็นที่ ดึงดูดสายตาให้ชาวบ้านสนใจ พอๆ กับโครงการท่ีพวกเธอก�าลังจะท�า ถัดจากน้ี “มานานแล้วเหรอ” มายูถามเพ่ือนเมื่ออยู่กันพร้อมหน้า พรอ้ มตา “ไม่นานหรอก แต่ก็ทันเห็นแกยิ้มอยู่คนเดียว” นารีมะห์ท�า หนา้ กวนๆ เพ่ือนทีเ่ หลอื กห็ ัวเราะตาม…“ฮา่ ๆๆๆ” มายูท�าท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่เสียงเจ้าหน้าที่บน รถไฟดงั ขึน้ ซะก่อน “น้องๆ จะไปไหม รถไฟจะออกแลว้ ” “ไปๆ ค่ะพ่”ี มายูตอบกลับเจา้ หน้าที่แทนทจี่ ะเถียงกับเพ่อื นต่อ มายูเป็นคนแรกที่ก้าวเท้าขึ้นรถไฟ พร้อมกระเป๋าสะพายและ ถือกล่องรับบริจาคในมือ ตามมาด้วยนารีมะห์ท่ีสะพายกระเป๋าพร้อมกับ ถือบอร์ดโครงการมาด้วย หลังจากน้ันเพื่อนที่เหลืออีก 3-4 คนก็ก้าวเท้า ข้นึ มาติดๆ ทุกคนพกความม่ันใจต้ังใจและหว่ันใจอยู่พอๆ กนั เม่ือทุกคนข้ึนมาแล้วก็กวาดสายตาหาที่นั่ง รถไฟขบวนเช้า ไม่ค่อยมีคนเท่าไร มีเพียงลุงวยั กลางคนสวมเส้ือลายดอก กางเกงสามสว่ น ซ่ึงก�าลังพูดคุยกับชายหนุ่มข้างๆ ที่แต่งกายด้วยชุดโต๊ปสีขาวใส่หมวก กะปิเยาะห์ ทั้งคู่ก�าลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ถัดไปเห็นหญิงสาวสวม ฮิญาบน่ังนิ่ง ท้ังตัวเห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของเธอ 118

ได้ ตอนน้เี ธอกา� ลังทอดสายตาไปทางหน้าตา่ ง…. ระหว่างท่ีรถไฟแล่นอยู่น้ัน นารีมะห์ก็พูดขึ้นมาว่า “เราจะท�า ส�าเร็จไหม ท้ังค่าเดินทาง ค่ากิน และอุปกรณ์ท่ีต้องซื้อไปพัฒนาโรงเรียน รวมยอดแล้วก็เกือบๆ แสน พวกเราแบ่งกลุ่มลงพื้นที่หางบแค่ในสาม จงั หวัด จะได้สกั ก่ีบาทกันเชียวในชว่ งเศษฐกิจแบบน”้ี ทุกคนในกลุ่มได้ยินดังน้ันก็หันมาสบตากัน มายูที่รับหน้าที่เป็น หัวหน้ากลุ่มในการลงพ้นื ทค่ี ร้งั นี้พยายามปลอบเพ่ือนว่า “พวกเราน่าจะท�า ได้ ถา้ เราพยายามมากพอ” ทกุ คนนิง่ เงยี บ ไมม่ ีใครพูดอะไรต่อ เวลาสองชั่วโมงผ่านไป รถไฟจอดที่สถานีตันหยงมัส ผู้โดยสาร บางส่วนทยอยกันลงมา มายูกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณสถานีเห็นวาณี เพ่ือนอีกคนท่ีจะเปิดหมวกกับพวกเธอ ในฐานะเจ้าถิ่นวาณีจึงรับหน้าที่ เป็นคนน�าทาง…. ทนั ทที ่วี าณเี หน็ มายู ก็รีบเรยี กเพอ่ื น “ทางน้ีมาย”ู มายยู ้ิมตอบ แลว้ เดินน�าเพื่อนๆ ไปหาวาณี “มานานยังวาณี” “สักพกั แลว้ แหละ พวกเธอกนิ ขา้ วกนั หรือยงั ” ทุกคนตอบเป็น เสยี งเดียวกันวา่ “ยัง” มายูพูดเสรมิ “ค่อยกินก็ได้ เรารบี ไปเปดิ หมวกกนั เถอะ ฉันรอ้ นใจจะแย่แลว้ ” เพื่อนๆ ที่เหลือต่างเห็นด้วย แววตาและสีหน้าของแต่ละคนดู มุ่งมั่นและจริงจัง เพราะน่ีเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเธอพอจะมีเวลาว่าง มาเปิดหมวก หากได้เงินมาไม่พอตามที่ต้องการ โครงการท่ีวางไว้ตั้งแต่ ต้นเทอมก็จะจบลงด้วยเช่นกัน วาณีเห็นเพ่ือนต้ังใจแน่วแน่ขนาดนั้นจึง รบี พาเพือ่ น ๆ ไปเปิดหมวกทันที รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่แล่นอยู่บนถนนด้วยความเร็ว ที่รถมอเตอร์ไซค์ยังต้องแซง วาณีเลี้ยวรถจอดริมถนนข้างๆ ตลาดนัด ปตท. มายูเปิดประตูรถออกมา แล้วหันไปถามเพ่ือนๆ ที่ก�าลังออก 119

จากรถดว้ ยเช่นกัน “พร้อมไหมพวกเรา” ทุกคนพดู เปน็ เสียงเดยี วกนั วา่ “พร้อมมาก” มายูสดู หายใจเข้าเต็มปอดแลว้ พูดในใจว่า ‘ฉนั ทา� ได!้ !’ จากน้นั จงึ เดนิ นา� เพอ่ื นๆ เขา้ ไปในตลาด พลางพูดเชญิ ชวน “บริจาคเพื่อสังคมไหมคะ พัฒนาโรงเรียนท่ีขาดแคลนค่ะ” เพ่ือนๆ ท่ีเดินตามมาก็คอยส่งรอยย้ิมให้กับคนในตลาด บรรดาพ่อค้า แม่ค้าทั้งหลายต่างหันมามอง บางคนมีสีหน้าสงสัย บางคนเมินเฉย และ บางคนกย็ ้มิ ใหจ้ างๆ จนกระทัง่ ปา้ คนหนึง่ พูดขึ้นมาวา่ “น้องคะ พวกปา้ เพ่งิ เปิดรา้ น ยงั ขายของไมไ่ ดค้ ่ะ” มายูไดย้ นิ ดงั น้นั จึงยิ้มตอบกลบั ไป แลว้ พูดว่า “คะ่ ปา้ ไม่เปน็ ไร ค่ะ” ท้ังที่ในใจเร่ิมห่อเห่ียว มาครั้งแรกค�าพูดแรกท่ีเจอก็….แต่ก็ต้องฝืน ตัวเองแล้วเดินน�าเพื่อนๆ เปล่ียนเส้นทางไปเปิดหมวก พวกเธอตัดสินใจ เดินริมถนนพรอ้ มตะโกนตลอดทางวา่ “บริจาคเพื่อสังคมไหมคะ พัฒนาโรงเรียนท่ีขาดแคลนค่ะ” โดยมีผู้คนเดินผ่านไปมา ทั้งพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของตามริมฟุตพาทและ บรษิ ทั ขนาดใหญร่ วมถงึ รา้ นขายของที่อยู่ตดิ กนั ตลอดแนวทางเดิน มายูตัดสินใจรวบรวมความกล้าอีกคร้ัง โดยเดินน�าเพ่ือนๆ เข้าไปในร้านขายเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ มีลูกค้าอยู่เต็มหน้าร้าน เธอคิด ในใจวา่ รา้ นใหญ่ขนาดนเ้ี จา้ ของร้านคงจะรวยนา่ ดู ทนั ทที เี่ ข้าไปถงึ ในร้าน มายูเปน็ คนกลา่ วทกั ทาย “สวัสดีคะ่ พี่ พวกหนูเดนิ ทางมาจากยะลา พ่ีพอจะกรุณาบรจิ าค เงินให้พวกหนูไหมคะ พวกหนจู ะนา� เงนิ ไปพฒั นาโรงเรียนที่ขาดแคลนคะ่ ” หญิงสาวเจ้าของร้านวัยสามสิบปีท่ีตอนน้ีนั่งอยู่บนเก้าอ้ีไม้ ลวดลายสวยงาม สวมทองเหลืองอร่าม ร่างกายอวบอ้วน ผิวขาวเนียน และมใี บหน้าทเี่ รยี บสวย เธอละสายตาจากสมุดบัญชหี นั มามองมายู ทกุ คน ต่างตะลึงเหมือนต้องมนตร์กับใบหน้าท่ีดูอย่างไรก็มีเสน่ห์ ระหว่างท่ีกลุ่ม 120

มายูกา� ลงั เคลบิ เคลมิ้ กบั ใบหนา้ หญงิ สาวเจ้าของรา้ นนน้ั เธอก็ลุกขึน้ เดินมา แลว้ พูดวา่ “หลบหน่อยค่ะ พ่ีจะขายของ” สีหน้าและแววตาดูแข็งกร้าว เธอเดนิ ผ่านกลุ่มมายไู ปหาลูกค้าทกี่ า� ลังเลือกดเู ฟอร์นิเจอร์อยหู่ นา้ รา้ น ทุกคนได้ยินดังนั้นถึงกับอึ้งไปต่อไม่ถูก เหมือนโดนแอลกอฮอล์ ราดบนแผลท่ียังไม่หายดี นารีมะห์เป็นคนแรกที่ตัดสินใจเดินออกมาจาก ร้านในสภาพที่น้�าตาคลอ แล้วเพ่ือนๆ ที่เหลือก็เดินตามมาติดๆ สักพัก นารีมะหก์ พ็ ูดว่า “ท�าไมอะ พวกเราท�าเพื่อสังคมนะเว้ย แล้วน่ีเหรอท่ีสังคม ตอบแทนเรา” เพื่อนๆ เงียบกันหมด เหมือนความตั้งใจและก�าลังใจท่ีพก มาใกลจ้ ะหมดลงทุกที แตแ่ ลว้ ก็มคี า� พูดของมายูดังขึน้ มาว่า “เราจะตัดสินคนในสังคมจากค�าพูดของคนแค่บางคนไม่ได้ หรอกนะ อย่าลืมเป้าหมายของเรา ไปกนั ต่อเถอะ พวกเราท�าได้” ทุกคนเดินหน้ากันต่อ พกก�าลังใจสุดท้ายที่เหลืออยู่พลาง ตะโกนตลอดทางวา่ “บริจาคเพือ่ สังคมไหมคะ พัฒนาโรงเรียนทข่ี าดแคลน ค่ะ” เวลาผ่านไปราวสิบนาที ไร้ว่ีแววคนท่ีจะเดินเข้ามาบริจาค ขณะน้ีเวลา 10.45 น. แล้ว แต่พวกเธอยังไม่ได้รับเงินบริจาคเลยสักบาท เดียว ทุกคนเร่ิมหมดหวังกับยอดท่ีวางไว้ ตอนน้ีขอแค่มีคนมาบริจาคก็พอ แล้ว มายูเองก็เริ่มท้อ ใบหน้าเหม่อลอยเหมือนคนส้ินหวัง ทุกคนเดินไป เรื่อยๆ ไมม่ ใี ครพดู อะไรจนกระท่ังมเี สยี งเรียกว่า “พวกลือ้ ๆ เข้ามาล่ีมา” ทกุ คนหันไปพรอ้ มกันและย้ิมกวา้ ง มายูรีบเดินนา� เพือ่ นๆ เขา้ ไป ในร้าน “พวกล้ือมาจากไหนกัน” อาม่าท�าหน้าสงสัยแล้วหันไปดูบอร์ด โครงการ มายูอธิบายว่า “พวกหนูเดินทางมาจากยะลา มาหางบจะไป 121

พัฒนาโรงเรยี นขาดแคลนทีจ่ ังหวดั สตูลคะ่ ” อามา่ ไดย้ นิ ดังนน้ั กฉ็ กี ยม้ิ กวา้ ง พลางผงกหัวเบา ๆ “เออๆ ลี่ๆ งน้ั อวั๊ ะชว่ ยบริจาคลว้ ย” อาม่าหนั ไปหยิบกระเปา๋ ที่ วางอย่ดู ้านหลังโต๊ะทา� งานแลว้ เปดิ กระเป๋าออกมา ทุกคนเบิกตากว้างทันทีท่ีเห็นแบงก์สีม่วงถูกหยอดลงไปใน กล่องรับบริจาค หัวใจเร่ิมช่ืนบาน ความหวังผุดขึ้นมาอีกครั้ง พวกเธอรีบ ขอบคุณอามา่ กนั ยกใหญ่ “ตรีมอกาเซะห์ ขอบคุณนะคะอาม่า” อาม่ายิ้มทิ้งท้ายก่อนท่ี พวกเธอจะเดนิ ออกมาจากรา้ น แลว้ เดนิ ต่อไปเรอื่ ยๆ ด้วยใบหน้าท่ยี ิม้ แยม้ สักพักมายูพูดขน้ึ มาวา่ “พวกเราต้องสู้นะ อย่าลืมเป้าหมายของเรา ไม่ว่าจะเจอกับ ค�าพูดอะไร จ�าไว้ว่าเขามีสิทธ์ิท่ีจะปฏิเสธ เราแค่ท�าหน้าท่ีของเราให้ดี ก็พอ” พวกเธอแวะทุกร้านท่ีเดินผ่าน จนมาถึงหน้าบริษัทแห่งหน่ึง มีลูกค้าก�าลังเลือกดูรถท่ีตั้งโชว์ เพ่ือนๆ ในกลุ่มก็ชักชวนกันว่า “เราลอง เข้าไปขอพ่เี ขาดไู หม ดทู ่าแล้วพี่เขานา่ จะใจด”ี มายรู ีบเดินไปแบบไม่ลงั เลใจ ทันทีทไ่ี ปถึงกท็ กั วา่ “พี่คะ บริจาค เพ่อื สังคมไหมคะ พวกหนจู ะน�าเงินไปพฒั นาโรงเรียนทขี่ าดแคลนคะ่ ” หญิงสาวร่างสวย แต่งตัวดูดีหันมามองส�ารวจกลุ่มมายู แล้ว พูดว่า “พวกนอ้ งมาจากไหนกันเหรอคะ” มายยู ิม้ แล้วตอบวา่ “พวกหนูมาจากยะลาค่ะ” “อ๋อ มาไกลจังเลยนะ ถ้าพี่ไม่ให้ก็ใจด�าแล้วแหละ” พูดจบ แบงก์ร้อยก็ถูกหยอดลงไปในกล่องรับบริจาค ทุกคนเห็นดังน้ันก็ต่างย้ิม ดใี จ “ตรีมอกาเซะห์ ขอบคุณนะคะพี่” มายูและเพ่ือนๆ กล่าว ขอบคณุ พรอ้ มกัน 122

จากนั้นจึงเดินกันต่อ แล้วแวะทุกร้านท่ีเดินผ่านเหมือนเดิม ทั้งร้านไทยพุทธและร้านมุสลิม ถูกปฏิเสธบ้าง ให้การสนับสนุนบ้าง แต่ ส่วนมากก็สนับสนุน จนพวกเธอลืมความเหน่ือยที่เดินกันมาครึ่งวัน ยิ่ง ได้เงินเยอะย่ิงอยากเดินต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายย้อนกลับมาจุดเร่ิมต้นของ พวกเธออีกคร้ังคือตลาดนัดปตท. ตอนนี้ผู้คนเร่ิมหนาแน่น พ่อค้าแม่ค้า ขายดบิ ขายดี มายูสดู ลมหายใจเข้าเตม็ ปอดอกี ครง้ั แลว้ พดู กับตัวเองวา่ “ฉัน ต้องท�าได้!!!” แต่ในใจก็ยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเธอเดินน�าเพื่อนๆ เข้าไป ในตลาด ยังไม่ทันที่พวกเธอจะตะโกนขอรับบริจาคก็มีเสียงจากพ่ีคนหน่ึง พูดขึ้นมาวา่ “เด๊ะๆ มารีๆ” (น้องๆ มาๆ ) กลุม่ มายูรบี เดินเข้าไปหาทนั ที พ่ีสาวขายผักไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่หยอดแบงก์ยี่สิบลงกล่องรับบริจาคแล้ว ย้ิมให้ “ตรีมอกาเซะห์นะก๊ะ” มายูรีบขอบคุณและยิ้มตอบ ตามมา ดว้ ยเสยี งพดู ของเพอ่ื นๆ ว่า “ขอบคณุ นะคะพี่ ….” ทกุ คนในกล่มุ ยมิ้ แยม้ ระยะทางท่ีเดินในตลาดถัดจากน้ันก็มีแต่เสียง….ตรีมอกาเซะห์ แบ….ขอบคุณนะคะป้า….ตรีมอกาเซะห์ก๊ะ….ขอบคุณนะคะลุง เสียง ขอบคุณและรอยย้ิมจากพวกเธอท่ีมอบให้ลุงป้าน้าอาในตลาดดังตลอด ไม่ขาดสาย เมื่อพ่อค้าแม่ค้าเร่ิมขายดิบขายดี เงินบริจาคเล็กๆ น้อยๆ ก็ ไม่ใชป่ ญั หาอกี ตอ่ ไป ระหว่างที่พวกเธอเดินอยู่น้ัน มายูก็หันไปสบตากับลุงคนหนึ่ง ท่ีนั่งอยู่ในตลาด ซึ่งแกเองก็ก�าลังมองกลุ่มมายูอยู่ด้วยเช่นกัน มายูและ เพื่อนๆ เดินเข้าไปหาลุง เธอหยิบเงินในกระเป๋าตัวเองเพื่อที่จะใส่ในขัน ของลงุ แตย่ ังไมท่ ันใส่ลุงก็บอกกบั เธอวา่ “หนเู ก็บเงนิ ของหนไู ว้เถอะ” จากนั้นลงุ ก็หยิบเหรยี ญในขนั ของ ตวั เองมาหยอดลงกล่องรบั บริจาค 123

“ลุงช่วยได้เท่านี้นะหนู” ลุงท่ีก�าลังนั่งขอทานอยู่ย้ิมแห้งๆ ให้ กบั กลมุ่ มายู “ตรีมอกาเซะห์ ขอบคุณนะคะลุง” กลุ่มมายูขอบคุณลุงด้วย น�า้ เสียงทส่ี ดุ ตนื้ ตันใจ ลุงฉีกยิ้มกว้างตอบกลับมา แม้จะไม่ใช่รอยย้ิมที่หล่อเหลาที่สุด แต่กลบั เปน็ รอยยิ้มทส่ี รา้ งพลงั บวกใหพ้ วกเธอได้มากที่สดุ ในรอบวันนี้ คร่ึงวันผ่านไป หลังจากที่ตกลงกันแล้วว่าจะเดินไปเปิดหมวกที่ ถนนอีกฝั่ง ทุกคนย้ิมแย้มอารมณ์ดีตลอดการเดินทางเพราะยอดเงินที่ได้ เพิ่มสูงข้ึนเรื่อยๆ ขณะน้ีเวลา 13.45 น. ด้วยความที่ถนนเป็นทางด่วน รถจึงแล่นไปมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างท่ีพวกเธอหยุดรอให้ถนนว่างน้ัน นารีมะห์ใบหน้าเริ่มเหม่อลอย แล้วก้าวเท้าข้างหนึ่งไปบนถนน รถคันหนึ่ง แล่นมาอย่างรวดเร็ว วินาทนี ้นั มเี พียงเสียงมายูทีด่ ังล่นั “นารีมะห์...” ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดเหมือนหัวใจหล่นไป ทต่ี าตมุ่ แล้วกม็ เี สยี งโวยวายจากเพอ่ื นอกี คนวา่ “เฮ้.!! เดินดๆี สนิ ารมี ะห์ เกือบโดนรถชนแล้วไหมล่ะ” “เฮ้อ ขอโทษที ฉันหิวข้าวมากไปหน่อยเลยเบลอๆ” เธอท�า หน้าหงอย มายูท่ีตอนนี้ก็ตกใจไม่ต่างจากเพ่ือน พยายามรวบรวมสติแล้ว ชวนทุกคนไปกินข้าวทันที เม่ือเดินมาถึงร้านที่อยู่ตรงข้ามกับถนนก็มี เสียงจากเจ้าของร้านว่า “เด๊ะๆ จาดีปอสะนิง” (น้องๆ เมื่อกี้เป็นอะไร) นารมี ะห์ผปู้ ระสบเหตโุ ดยตรงอธบิ ายว่า “ออ๋ ....หนตู าลายคะ่ วันนยี้ ังไมไ่ ด้กนิ ขา้ ว ” ป้าอีกคนท่ีนั่งกินข้าวอยู่ในร้านด้วยก็พูดข้ึนมาว่า “โถ….ดูสิ ทุ่มเทเพ่ือสังคมถึงเกือบจะสูญเสียชีวิต งั้นป้าช่วยบริจาคให้พวกหนูด้วย นะลูกนะ” พดู จบปา้ กห็ ยบิ แบงก์ย่สี ิบหยอดลงในกลอ่ งรบั บรจิ าค พี่เจ้าของร้านก็พูดขึ้นมาอีกว่า “มาแกนาซิดาแฆนะ ตะคือ 124

นอบายาดูวิ อาแบตูลง” ทันทีที่ค�าพูดของพี่เจ้าของร้านจบลง มายูและ เพ่อื นๆ ฉีกย้มิ กวา้ ง…. เมอื่ รู้วา่ มอ้ื นี้ไดก้ ินข้าวฟรีจากเจา้ ของรา้ นใจดี แถม “นาซิดาแฆ” ยังเป็นอาหารพ้ืนเมืองที่ข้ึนชื่อของจังหวัดนราธิวาสซะ ด้วย…. รอยยิ้มในวันนั้นยังค้างมาถึงวันนี้ ใบหน้าท่ีย้ิมแย้มของเธอ บอกได้ถึงความชน่ื บานของหัวใจ เมื่อเลือ่ นมาถงึ ภาพสุดทา้ ย เธอใชป้ ลาย น้ิวมือแตะไปที่แอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก แล้วโพสต์ภาพลงไป เธออยากให้ เพ่ือนท่ีไม่รู้จักกันอีกมากมาย ซ่ึงอยู่ในท่ีต่างๆ ของโลกได้เห็นภาพเหล่าน้ี และได้อ่านแคปชันสั้นๆ ที่เธอพิมพ์ไว้ว่า “ดีซีนี….รูเมาะซายอ” ตามมา ด้วยสติกเกอรร์ อยย้มิ “เพราะทน่ี ี…่ .คือบา้ นของฉัน” 125

ควำมหวังทพ่ี ำดผ่ำน นำ่ นน้�ำท่ีบ้ำนเรำ สรายุทธ์ แสงบัวหมัด แสงแดดเช้าส่องเข้าหน้า ท�าให้ผมต้องลืมตาต่ืนข้ึนมาอย่าง งัวเงีย ได้ยินเสียงฝาหม้อน้�าชากระทบกัน แข่งกับเสียงนกกรงหัวจุกจาก ร้านน้�าชาหน้าบ้าน ประกอบเข้ากับเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ ท่ีวิ่ง ผ่านไป แต่ไร้เสียงเรือท่ีเคยวิ่งผ่านคลองหลังบ้านอยู่ทุกเช้าในเวลาน้ี ซ่ึง มันเป็นแบบนีม้ าเกือบเดอื นแล้ว “ซาน รีบอาบน้า� เร็วเขา้ จะสายอกี แลว้ ” เสยี งม๊ะตะโกนมาจาก ในครัว วันนี้ยังคงเป็นอีกวันท่ีผมไม่มีความอยากไปโรงเรียนเลยสัก นิดเดียว เพราะเป็นห่วงท่ีบ้านว่าจะอยู่กันอย่างไร เราท้ังหมดจะเอาอะไร กินหากยังเป็นอยู่แบบน้ี และผมที่ยังเรียนอยู่เป็นคนเห็นแก่ตัวไหม ท่ีต้อง รับเงนิ จากทีบ่ ้านเพอ่ื ไปเรยี นทกุ วันทั้งทม่ี ๊ะก็ไมม่ ี “ตอนค่�าถ้าป๊ะไม่ได้ปลาอีก ม๊ะจะไปซื้อมะม่วงมาดอง และ แชอ่ มิ่ ไปขาย ไปด้วยกันนะ” มะ๊ พูดมาจากในครวั ระหวา่ งที่ก�าลังหุงข้าว “ได้ครับ ช่วยกันท�าให้ทันก่อนตลาดวันเสาร์แล้วกัน” ผม ตอบรับด้วยน�้าเสียงที่เตม็ ใจ ผมเดินออกจากบ้าน ด้วยสีหน้าเหมือนคนก�าลังสู้กับโลกอย่าง หนักหน่วง ท้ังที่จริงแล้วผมเพียงแค่ต้องท�าหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมายจาก 126

ทางบ้านให้ส�าเร็จก่อนหมดเทอมน้ีไป แต่ใจผมเองท่ีเจอเร่ืองราวที่เหมือน ภูเขาสูงขวางกั้น จนอยากจะถอดใจเสียหลายต่อหลายครั้ง ท้ังๆ ที่ควร มุ่งมั่นมากกว่าน้ี ถัดจากบ้านผมไป เป็นบ้านของเถ้าแก่จอมซ่ึงเปิดร้านขาย น้�ามันและอุปกรณ์ของชาวประมงอย่างคันเบ็ด ลังน�้าแข็ง แห เชือกที่ ใช้ท�าอวน และหลายต่อหลายอย่างที่ชาวประมงต้องใช้ วันน้ีกลับดู เงียบเชียบไม่เหมือนแต่ก่อน คงเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจท่ีมันคงย�่าแย่ลง ทุกวัน ตั้งแต่ชาวประมงออกเรือหาปลาไม่ได้ท�าให้ร้านค้าพลอยต้อง ซบเซาตามไปด้วย แพปลาที่รับซื้อก็หยุดกัน เพราะไม่มีปลาที่จะน�าไป ส่งต่อ แต่ที่สลับกันคงจะเป็นร้านน้�าชาฝั่งตรงข้ามท่ีคึกคักเป็นพิเศษ เพราะเม่ือไม่ได้ออกเรือ ทุกคนก็มานั่งฟังข่าวกันท่ีน่ี บังลีเจ้าของร้านคง สุขใจอยู่ไม่น้อยท่ีมีลูกค้าเยอะทุกเช้า แต่คงไม่มีใครต้องการให้เป็นแบบน้ี เพราะในเรื่องที่ถกกันก็หนีไม่พ้นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่เดือดร้อนจน หาทางแก้ไม่ได้ และการหาลู่ทางทา� มาหากนิ ใหม่ๆ ท่ีจะท�าให้อยู่รอดได้ ก่อนถึงสะพานข้ามคลองซึ่งเป็นท่ารถท่ีผมต้องไปรอ ผ่านบ้าน ก๊ะหวันซ่ึงเป็นรุ่นพี่ผมท่ีโรงเรียนท่ีเรียนจบและสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไปแล้ว ผมได้ยินข่าวมาว่า ป๊ะของก๊ะหวันขายเรือเพ่ือท่ีจะเอาเงินไปจ่าย คา่ เทอมใหก้ ๊ะหวันเองได้เรียนตอ่ ผมยิ่งหนักใจข้ึนเรื่อยๆ เพราะม๊ะต้องการให้ผมสอบเข้า มหาวิทยาลัยให้ได้เพ่ือจะได้ท�างานท่ีม่ันคงกว่านี้ และผมยิ่งกลัวขึ้น ทุกครั้ง กลัวว่าจะท�าไม่ส�าเร็จ แต่มากกว่าน้ันคือกลัวว่าถ้าหากผมท�าได้ ส�าเร็จ แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมาให้ผมเรียนมหาวิทยาลัย คลองปากน�้า ของหมู่บ้านปากบางสะกอมของเราจะเป็นอย่างไร ผมยังคิดไม่ออกเลย ดว้ ยซ้�า “ซาน เย็นน้ีเราไปเขาล้อนกันไหม พวกอามีนมันชวนไปฟันสน มาทา� กระท่อม” ฮาริสเพื่อนสนทิ ของผมเอ่ยปากชวน 127

“รสิ กวู ่าเลกิ ไหม เลิกคบกับพวกไอม้ นี และก็เลิกไปตดั สนด้วย มึงรู้ไหมว่าแถวบ้านกูตอนนี้ปลายังหายากเลย แล้วนี่พวกมึงยังจะมาตัดไม้ ไปอีก” ผมฉุนใส่ฮาริสด้วยน�้าเสียงของอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่ไม่ได้โกรธ ฮาริสเลยสักนิด เพราะผมรู้ว่ามันไม่ได้คิดแบบนั้น ฮาริสเป็นเด็กหัวอ่อน เดินตามเพื่อนไปวันๆ ท่ีบ้านฮาริสท�าธุรกิจรีสอร์ทอยู่ต่างจังหวัด ฮาริส เลยมชี วี ิตทไ่ี ม่คิดอะไรเลย รวมถึงเรอ่ื งคบเพอ่ื นอยา่ งอามนี ซ่ึงเปน็ เดก็ ทม่ี ี ปัญหาทสี่ ดุ เทา่ ท่ผี มเจอมาแล้ว ทง้ั สูบบุหร่ี ซ่ิงรถ และมั่วสุม แล้วยังจะไป ตัดต้นไม้อีก ผมจะไม่โกรธเท่าน้ีหากว่าต้นไม้ท่ีจะตัดไม่ใช่ต้นสนท่ีเขาล้อน ซึ่งเป็นหาดใกล้หมู่บ้านผมเอง และเราก็ช่วยกันดูมาแต่ไหนแต่ไร แต่ คงเป็นเพราะหลังๆ คนในหมู่บ้านเร่ิมไม่สนใจ จึงมีคนไปรุกรานมันบ่อยๆ ผมทีเ่ ป็นเดก็ ม.6 คงทา� อะไรไม่ไดม้ ากไปกว่าแคโ่ วยวายกับเพ่ือนแบบน้ี “เออๆ ไม่ไปก็ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวกูแวะไปบ้านมึงก่อนแล้วกัน เผ่ือมึงอยากมา โอเคนะ” ฮาริสพูดเสียงเรียบๆ คงกลัวผมโกรธที่ไปกับ อามีน “ไมต่ ้องมา วนั น้ไี มว่ า่ ง กูตอ้ งออกไปชว่ ยมะ๊ กซู ้อื มะม่วงมาดองและ แช่อ่ิมขาย” ผมตอบฮาริส “อ้าว แล้วป๊ะมึงไม่ออกเรือแล้วเหรอ” ฮาริส ท�าหน้าสงสัย เพราะรู้ว่าอาชีพหลักของบ้านผมคือประมง ซึ่งป๊ะจะต้อง ออกเรือไปหาปลานอกชายฝั่ง “มันออกไม่ได้นานแล้ว แต่ป๊ะกูก็ยังฝืน ออกไปทุกวัน ก็หวังว่าจะได้ปลากลับมา ร้านขายของก็ขายไม่ได้ แล้วนี่ บ้านก๊ะหวันเพ่ิงขายเรือไปเอง กูยังไม่รู้เลยว่ากูจะอดตายกันวันไหน” ผม อธิบาย “เอ้อ กูเข้าใจละท่ีมึงอารมณ์ข้ึน ไม่ไปก็ไม่ไปเนอะ” ฮาริสจบ บทสนทนาก่อนคุณครูจะเข้ามาสอนในคาบเรยี นแรก เลิกเรียนวันน้ันผมไม่โอ้เอ้ รีบข้ึนรถแล้วกลับบ้านเพื่อออกไป หามะม่วงขาย เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงป๊ะคงไม่ได้ปลากลับมาเหมือนวัน ก่อนๆ “ได้ไหมปะ๊ วนั น้”ี ผมถามดว้ ยเสยี งหายใจหอบ เพราะรบี ว่งิ มา ใหถ้ งึ บา้ น 128

“เหมือนเดิมนั่นแหละ พรุ่งน้ีป๊ะไม่ไปแล้ว รอฟังข่าวบ้านบังลี ก่อน” ป๊ะตอบผม หน้าตาเหมือนคนเบ่ืออาหาร เป็นปกติของป๊ะท่ีเวลา ออกเรอื ไมไ่ ดก้ จ็ ะอารมณ์ไม่ดี เพราะทงั้ ชวี ติ ของปะ๊ มแี ตท่ ะเล มีแต่ขับเรอื ออกไปนอกชายฝั่งและต้ังใจหาปลามาขาย ผมรู้ว่าป๊ะพยายามหามาให้ได้ เพ่ือท่ีพวกเรานั้นจะได้อยู่กินกันอย่างสบาย และผมจะได้เรียนต่อไปใน ระดบั ทีส่ งู ข้ึน ผมพยักหน้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่า เสียงดังไปกับม๊ะ เราขับไปตามทางที่มีต้นมะม่วงอยู่หน้าบ้าน แล้วเข้าไป ขอซ้ือ บางคนขาย บางคนไมข่ าย กวา่ ตะวนั จะตกดนิ กไ็ ด้มาหน่งึ กระสอบ ใหญ่พอดี ทั้งจากบ้านพี่นีปากสะพาน บ้านบังบ่าว บ้านยายเจ้ียนแถวๆ ถนนใหญ่ และบ้านก๊ะฟาท่ีขายของช�าอยู่ริมคลองตรงข้ามโรงโม่น้�าแข็ง ขากลับม๊ะเป็นคนขับและผมต้องประคองมะม่วงในกระสอบไว้ไม่ให้ตก ถึงบา้ นปะ๊ รบี มาชว่ ยยกลงจากรถมอเตอรไ์ ซค์ไปไว้ในบา้ น กินข้าวเย็นเสร็จ ผมรีบหยิบมีดในครัวและช่วยม๊ะเทมะม่วง ลงไปในกะละมงั ใหญ่ ปอกเปลอื กและลา้ งยางออก แลว้ มะ๊ ก็สอนใหห้ ั่นคร่งึ เอาเมล็ดออก และแบ่งเป็นช้ินยาว ซ่ึงลูกเล็กก็จะได้หกชิ้นต่อลูก แต่ถ้า ลูกใหญก่ จ็ ะไดแ้ ปดช้นิ กวา่ จะเสรจ็ ในคนื นนั้ กล็ ว่ งไปเกอื บจะเที่ยงคืน “ไปนอนก่อนไปซาน เดย๋ี วม๊ะจัดการเอง” ม๊ะเหน็ ผมเริ่มง่วงจงึ ให้ไปนอนก่อนเพราะต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า ม๊ะยังจัดการแช่มะม่วงกับ นา�้ ปนู ใสเพือ่ ให้มะม่วงกรอบและบรรจใุ ส่โหลแช่ทิง้ ไวห้ นง่ึ คนื ตื่นเช้ามาคลองหลังบ้านยังคงไร้เสียงเรือ หรือน่ีคือสิ่งท่ีเราต้อง ชิน เกิดค�าถามน้ีในหัวของผม ในเช้าวันศุกร์ร้านน้�าชายังคงครึกคร้ืน เหมือนทุกวนั ป๊ะไดเ้ ข้าร่วมวงพดู คุยดว้ ย และเหน็ ผู้ใหญบ่ า้ นเหมกอ็ ย่ดู ้วย เช่นกัน ข้าวเหนียวแดงหน้าสังขยาไข่ที่ห่อด้วยใบตองสองห่อวางไว้ใกล้ กับธนบัตร 20 บาท 2 ใบ ผมแต่งตัวเสร็จรีบเดินไปรอรถเหมือนปกติ ทกุ วนั แตว่ นั น้ไี ม่เหมอื นกบั วนั อื่น ๆ 129

รถโดยสารหยุดรอผมอยู่ พร้อมกับนักเรียนหญิงคนหนึ่งท่ีได้ ข้ึนมาก่อนแล้ว ทั้งนายหัวรถและผู้โดยสารคนน้ันซึ่งผมรู้จักเธอดี ต่างก็ หันมามองท่ีผม ผมเร่งฝีเท้าเดินจนเกือบจะว่ิง เพื่อให้ทั้งสองรู้สึกว่าผม ก�าลังรีบ และก้าวขาขวาขึ้นไปบนรถและน่ังอย่างเร็วไว รถขับวนใน หมู่บา้ นปากบางสะกอมจนทั่ว ไมม่ ผี โู้ ดยสารเพ่มิ ขึน้ จากเดิม คงเปน็ เพราะ วันศุกร์ท่ีคนส่วนใหญ่ใช้เป็นวันหยุด และในเวลาเจ็ดโมงเช้าแบบนี้คงจะ ไม่มีใครตื่นไปไหนในวันพักผ่อนของตัวเอง แต่จะว่าไปวันอื่นๆ ก็เงียบ ไม่แพก้ ัน รถโดยสารขับผ่านสะพานข้ามคลองมุ่งหน้าไปตัวอ�าเภอ เหมือนทุกๆ วนั อยา่ งปกติ เพยี งแตผ่ มรู้สึกผิดแปลกไปแค่น้นั “สวัสดีฟาดา ท�าไมน่ังเงียบจัง” ผมทักทายฟาดา เพื่อนสมัย ประถมทีเ่ รียนอย่คู นละห้องในตอนน้ี ซ่ึงปกตแิ ลว้ ฟาดาไมเ่ คยไปรถโดยสาร เพราะม๊ะของฟาดาจะไปส่งฟาดาตลอด ต้ังแต่เรียนมัธยมมาผมกับฟาดา ดูจะห่างเหินกันพอสมควรถึงแม้จะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน อาจเป็นเพราะ ไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน และผมก็น่ังรถโดยสารไปโรงเรียนเลยไม่มีเวลา ทจ่ี ะเจอกันและไม่มเี หตผุ ลอะไรที่จะต้องพดู คุยกนั ด้วย “เป็นไงบ้างซาน สอบเข้าที่ไหนไดบ้ า้ งยัง” ฟาดาถามเสยี งอ่อน และฝืนย้ิมออกมา แตย่ ิ้มหวานของเธอยังคงท�าผมยิม้ ตามได้เหมือนเดมิ “ยังเลยฟาดา เราตอ้ งดูให้แนใ่ จกอ่ นว่าจะเขา้ ที่ไหนดี อยากยื่น ครั้งเดียวแล้วติดเลย เราไม่อยากเสียความม่ันใจ ฟาดาล่ะจะเป็นพยาบาล เหมอื นเดิมไหม ท่ีเคยบอกไวต้ อนเดก็ ๆ อะ” ผมตอบคา� ถามด้วยน�า้ เสยี งที่ ร่าเริงเกินปกติ เหมือนก�าลังพยายามท�าให้บรรยากาศมันไม่อึดอัดและ หมองเศร้า เพราะผมรู้ว่าฟาดาคงมีเรื่องกลุ้มใจอยู่ไม่น้อยแต่คงไม่กล้าพูด ออกมา ผมไมก่ ล้าปลอบไปตรงๆ กลวั เธอจะเสียใจและปลอ่ ยโฮออกมา “พยาบงพยาบาลที่ไหนกันล่ะ ตอนเด็กๆ ใครจะฝันอะไรก็ได้ แต่พอโตมามนั ก็ตอ้ งยอมรบั ความจรงิ อยดู่ ี” ฟาดาตอบด้วยนา้� เสียงที่ยังคง 130

แย่เหมือนเดิม เหมือนเธอกา� ลงั มีปญั หาทผ่ี มยงั ไม่รู้ “เอ่อ ก็จริง เด๋ียวนี้อะไรมันก็เปลี่ยนไปหลายอย่าง ปากบาง สะกอมบ้านเราก็เงียบไปกว่าเมื่อก่อนมาก เราก็คงต้องยอมรับความจริง กัน” ผมอดที่จะพูดสิ่งท่ีเป็นความจริงไม่ได้ ว่าความฝันตอนเด็กๆ อาจจะ ไม่เป็นจริง เพราะความจริงกับความฝันน้ันมันต่างกันมาก ชุดข้าราชการ สีกากีของผมท่ีฝันไว้ว่าอยากจะสวมใส่คงจะเป็นไปได้ยาก เหมือนท่ี ฟาดาบอก สอบเข้าเรียนครูก็ไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ เราแค่เด็กในโรงเรียน อ�าเภอเล็กๆ ยงั ไมร่ ู้ว่าจะเอาอะไรไปสกู้ ับคนอ่ืน รถโดยสารถงึ หนา้ โรงเรียน พอดี ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และย้ิมเจื่อนให้ฟาดา ก่อนลงจากรถและ มุ่งไปเข้าแถวโดยไรบ้ ทสนทนาตอ่ กนั เย็นวันนั้นเองผมกับฟาดายังคงนั่งรถโดยสารคันเดียวกัน กลับบ้าน ระหว่างทางรถก็ได้จอดส่งนักเรียนจนเหลือแค่เธอกับผมที่บ้าน อย่ไู กลสุดปลายทาง “ซาน ม๊ะเราขายรถไปแล้ว ซานว่าเราควรท�ายังไงให้บ้านเรา ไม่อดตาย” ฟาดาเผยปญั หาทค่ี าอย่ใู นใจ เธอคงอึดอดั น่าดูทตี่ ้องทนเก็บไว้ และไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง ฟาดาและม๊ะอยู่กันสองคน ม๊ะของฟาดา จะใช้รถยนต์เพอื่ ซื้อปลาจากชาวประมงไปสง่ ใหก้ ับแม่ค้าในตลาด ซง่ึ ถือวา่ เป็นแม่ค้าคนกลางที่ลุยทุกตลาดในอ�าเภอและเข้าถึงเรือทุกล�าในย่าน คลองปากบางสะกอม “ใจเย็นๆ นะฟาดา ตอนนี้ท่ีบ้านเราก็ไม่ต่างกันเลย ป๊ะเรา ออกเรือแล้วไม่ได้อะไรกลับมาเป็นเดือนแล้ว เราคิดว่าตอนนี้ผู้ใหญ่ก�าลัง หาทางออกกันอยู่” ผมปลอบใจฟาดา ขณะที่รถก�าลังแล่นผ่านสะพาน มองออกไปไกลเห็นปากคลองเชื่อมต่อกับทะเล เรือนับร้อยล�าท่ีจอดแน่น่ิง อยู่ริมท่า ทุกอย่างนิ่งงันไม่ไหวติง แม้แต่สายตาของผมเองท่ีจ้องไปท่ีทะเล สุดกว้างขวาง ทิวสนบางๆ ที่พลิ้วไหวไปตามลมทะเลไกลออกไปท�าให้ รู้สกึ เหงาและหดหู่ใจขึน้ ไปกวา่ เดิม 131

“ข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้นกันนะ ท�าไมถึงเป็นแบบน้ี” ผม ทิ้งท้ายค�าถามท่ีไม่ได้ต้องการค�าตอบจากใคร ก่อนรถจะจอดลงและเรา สองคนก็ลากนั กลับบา้ น ผมยังไม่ถึงบ้าน มองเห็นร้านน้�าชาบังลีคนเยอะไม่ต่างจาก ตอนเช้าที่ออกไปโรงเรียน เสียงดังครึกครื้นต่างกับบรรยากาศของ ตอนเย็นท่ีดูจะเหงาๆ เงียบๆ ผมเดินไปถึง มองเห็นกระดานใหญ่วางอยู่ ด้านหน้า ผู้ใหญ่บ้านเหมถือไม้เรียวยาวเกือบจะสองศอกช้ีไปๆ มาๆ ทุกคนนั่งมองไปที่ผู้ใหญ่และฟังอย่างต้ังใจเหมือนนักเรียนท่ีก�าลังต้ังใจฟัง ครูสอนอย่างไม่มีผิด นักเรียนเหล่าน้ันท่ีผมมองเห็นมีม๊ะกับป๊ะอยู่ด้วย ผมเดินผ่านเข้าบ้านไปเพ่ือไม่ให้ดูว่าเป็นเด็กไร้มารยาท แต่หน้าต่างท่ีบ้าน ไม่ได้มีความสามารถเก็บเสียงเท่าไหร่ บวกกับเสียงของผู้ใหญ่บ้านเหม ท่ีกระชับและชัดเจนอยู่แล้ว ผมจึงจับใจความได้ว่าทางอบต. ก�าลังจะท�า ปะการังเทียมกันเพ่ือให้ปลาได้มีที่อยู่ และฟื้นฟูธรรมชาตินอกชายฝั่ง ผู้ใหญ่บ้านและทุกๆ คนดูจริงจังกับเร่ืองน้ีมาก ขณะท่ีฟังในใจผมต่ืนเต้น อย่างบอกไม่ถูก ผมเกิดความรู้สึกเหมือนเราได้เร่ิมต่อสู้ในสงครามแล้ว หลังจากทเ่ี ราโดนโจมตมี าจนเราเกือบจะไมไ่ หว “ม๊ะ ได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านเหมจะให้เราท�าปะการังเทียมกัน” ผมถามขนึ้ มาระหวา่ งกินขา้ วเย็น “ใช่แล้ว เร่ิมพรุ่งน้ีเลย” ม๊ะตอบผมพลางยิ้มและตักไข่เจียว ใส่จานตัวเอง “ป๊ะออกไปตั้งแต่เช้า เขาจะท�ากันท่ีโรงเรียน ต้องไปช่วยกวน ปูน ซานค่อยตามไปนะถ้าอยากไป” ป๊ะคงรู้ว่าผมอยากจะช่วยใจจะขาด ผมอดคิดภาพของวันพรุ่งน้ีไม่ได้เลย คืนน้ันผมรีบเข้านอนเพื่อจะได้ตื่น เช้าๆ และรีบออกไปช่วยกันทา� ปะการังเทียม ในเช้าวันเสาร์เราทุกคนช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ มะม่วงดอง และแช่อิ่มของม๊ะไม่ได้เอาไปขายอย่างท่ีตั้งใจ แต่ได้เอามาแบ่งปันกันกิน 132

ทุกคนชมว่าอร่อยเหมือนท่ีตลาดขายเลย ผมมองเห็นม๊ะยืนย้ิมแต่ไม่ตอบ อะไร การท�าปะการังเทียมเป็นการคืนความสมดุลให้กับท้องทะเล เพราะ ปะการังเทียมที่ท�าจากแท่งปูนจะเป็นท่ีอยู่อาศัยของสัตว์น้�า ซ่ึงจะท�าให้ วิถีของชาวประมงกลับมามีความสุขอีกครั้ง และชายฝั่งของบ้านเราจะ กลับมาอุดมสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าต้องใช้เวลาแต่พวกเราก็ท�ามันด้วยความหวัง และความต้งั ใจ เราทุกคนช่วยเหลือกันเต็มที่ มีคนช่วยผสมปูนและน�าไปลง บล็อกเพื่อข้ึนเป็นรูปทรงที่ปะการังจริงจะสามารถงอกออกมาได้และปลา จะเข้ามาอยู่ เราได้รับความช่วยเหลือจากอบต. อย่างเต็มที่ในเรื่องของ งบประมาณและเรือท่ีจะน�าปะการังเทียมไปปล่อยนอกชายฝั่ง ซ่ึงต้อง รอเวลาอีกสองสัปดาห์ถึงจะครบจ�านวนของแท่งปะการังท่ีเราช่วยกันท�า ถึงสองร้อยแท่ง ผมไม่รู้ว่าจ�านวนน้ีมากหรือน้อย แต่ผมรู้และมองเห็นว่า ทุกคนก�าลงั สู้ไปด้วยกนั และเราจะท�าใหม้ ันส�าเรจ็ ไปดว้ ยกัน “ซาน เป็นไงบา้ ง ดจี งั เลยนะทที่ ุกคนชว่ ยกันแบบน”ี้ เปน็ เสียง หวานๆ ท่ีมาพร้อมรอยยิ้มของฟาดาน่ันเอง เธอเข้ามาทักทายผมท่ีก�าลัง ล้างแก้วน้า� อยูห่ ลังจากท่เี กบ็ มาจากทกุ ๆ คน “ดีมากๆ เลยแหละ เราดีใจจังท่ีอบต. เข้ามาช่วยเหลือ” ผม ย้มิ ให้ฟาดา และก้มหนา้ ถูแก้วต่อไป ผมและเธอเงยี บไปพักหน่ึง เธอน่ังลง ชว่ ยผมลา้ งแก้วทเี่ หลอื อยู่ “ซาน เราท�าโครงการกับผู้ใหญ่บ้าน สนใจท�าด้วยกันไหม เรา กับเพื่อนๆ คนอื่นช่วยกันเอาต้นสนไปลงปลูกที่หาดท่ีเขาล้อน ซาน อยากไปด้วยไหม” ค�าถามของฟาดาครั้งน้ีท�าผมใจช้ืนข้ึนเป็นอย่างมาก ผมอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก ผมได้แต่ยิ้มกว้างยิงฟันแทบจะท้ังหมดให้ฟาดา ได้เหน็ ว่าผมดีใจแค่ไหน “ไปสิ ไปกัน เราอยากไป” ผมยังยิ้มกว้างต่อไปไม่หยุด คิดถึง ป่าสนที่โดนตัดออกไป ถ้าพวกมันมีชีวิตมันคงจะดีใจไม่แพ้ไปกว่าผมใน 133

ตอนนี้เลย วันอาทิตย์สองสัปดาห์หลังจากนั้น เป็นวันที่อากาศปลอดโปร่ง และท้องฟ้าสดใสอย่างบอกไม่ถูก ผมและฟาดารวมทั้งเพื่อนๆ และเด็กๆ คนอ่ืนรวมตัวกันท่ีโรงเรียนเพ่ือรอรถท่ีจะมารับพวกเรา พร้อมต้นสนเล็กๆ กว่าร้อยต้น ผมไม่ลืมชวนฮาริสมาด้วยเพื่อให้ได้เห็นความส�าคัญของ ต้นสนที่เราต้องการจะรักษามัน พวกเราข้ึนรถไปในเวลาเจ็ดโมงเช้า เริ่ม ช่วยกันขุดหลุมและถมต้นสนทั้งหมดลงไปในทราย ถึงแม้ว่าเม่ือมองดูแล้ว มันจะยังไม่สามารถให้ร่มเงาได้ แต่มันคืออนาคตท่ีจะเป็นร่มเงาและยึด ทรายชายฝั่งไว้ให้ม่ันคง ไม่ต่างจากพวกเราที่ร่วมมือกันเพื่อที่จะเป็น อนาคตทม่ี ่นั คงให้แก่สังคมในวนั ข้างหน้า ผม ฟาดา ฮาริส และทุกคนปลูกต้นสนเสร็จในเวลาเที่ยงตรง เราได้รับข้าวกล่องจากก๊ะมา ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านเหม เป็นข้าวย�ากับ กุ้งทอดตัวโต พวกเราทุกคนท้ังอ่ิมท้องและอ่ิมใจ ผมมองออกไปนอก ชายฝั่ง มองเห็นเรือยนต์ขนาดใหญ่บรรทุกปะการังเทียมและใช้รถแบ็กโฮ ในการวางปะการังเทียมลงในทะเล เวลานั้นใจของผมพองโตเหมือนจะ ออกมาเต้นอยู่ข้างนอก มันมีความสุขมากๆ ท่ีได้เห็นภาพตอนนี้ เขาล้อน ที่เต็มไปด้วยหาดทรายสีขาวกับทะเลสีฟ้าทอดยาวไกลออกไปโอบล้อม พวกเราไว้ คลุมด้วยท้องฟ้าและเมฆสีขาวใหญ่ ท่ีนี่ช่างเป็นบ้านท่ีอบอุ่น เหลือเกนิ คงจะไม่มีทไ่ี หนทีจ่ ะกอดเราไดแ้ น่นไปกวา่ นแ้ี ล้ว 5 ปีผา่ นไป เสียงเรือลอดผ่านประตูหลังบ้านเข้ามาถึงหูผม แดดส่องตาท่ี อบอุ่นไปท้ังใบหน้าจนท�าให้ผมต้องต่ืน หน้าบ้านยังคงครึกคร้ืนด้วยเสียง นกกรงหัวจุกที่ร้องแข่งกันกับเสียงคน รถมอเตอร์ไซค์ว่ิงผ่านไปมาสลับกับ เสียงฝาปิดน�้าชาของบังลเี ปน็ ระยะๆ ผมลุกขึน้ มาบดิ ขเี้ กยี จและผลกั ประตู เดินออกไปแค่ส่ีก้าวเป็นท่าเรือหลังบ้านที่ไม่มีเรือ แต่คงไม่ได้เป็นแค่ท่าน้ี 134

ท่าเดียว เรืออีกหลายล�ายังคงอยู่นอกชายฝั่ง ก�าลังหาปลาและน�ามาให้ คนบนฝั่งได้กินกันรวมท้ังป๊ะของผมด้วย ท่ีน่ีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ทะเล ผู้คนอยู่ดีกินดีและมีความสุข ผมท่ีเรียนจบและได้กลับมาอยู่บ้าน เป็นวันท่ีสอง รอถึงเวลาเพื่อสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูยืนมองสายคลอง ทอดยาวออกไปจนเห็นปากน้า� เป็นทะเลกวา้ งใหญ่ “ซาน ออกมากินข้าวเหนียวลูก เด๋ียวป๊ะเข้าเรือแล้วได้ช่วยกัน ยกปลา” เสียงมะ๊ เรยี กจากหนา้ บ้าน ผมเดินไปถึงหน้าบ้าน หันมองข้าวเหนียวแดงหน้าสังขยาไข่ที่ ห่อด้วยใบตองสองห่อวางอยู่ เป็นภาพที่ชินตาแต่ก็ไม่ได้เห็นมานานแล้ว เยื้องออกไปหน้าบ้านเห็นพยาบาลสาวสวยมาซ้ือชาร้อนที่ร้านบังลี พยาบาลสาวคนนั้นคงเป็นคนอ่ืนไปไม่ได้ นอกจากฟาดาเพื่อนของผม คนเดิมที่มีความฝันและได้ท�าตามฝันของตัวเองให้เป็นจริง เหมือนกับ ผมเองท่ีสอบเขา้ เรยี นครใู นมหาวิทยาลยั ได้ในรอบสุดท้าย ผมขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกไป ผ่านร้านน�้าชาหันไปยิ้มให้ ฟาดา เธอยังส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้ผมเหมือนเช่นเคย ขับผ่านร้านของ เถ้าแก่จอมท่ีขยายกิจการเป็นหลังใหญ่ มีโกดังเก็บของที่สามารถขาย อปุ กรณช์ าวประมงใหก้ บั คนในยา่ นคลองปากบางสะกอมนอ้ี ยา่ งไมข่ าดเหลอื แพปลาต่างคึกคักยกปลายกกุ้งข้ึนฝั่งเพื่อชั่งกิโลขาย ผมมองเห็นแต่ ความสุขของคนท่ีนี่และย้ิมไปตลอดทางจนไปถึงเขาล้อน ผมนั่งลงบน ทรายขาวใต้ร่มสนที่จ�าได้ดีว่าปลูกมันเองกับมือ มองออกไปนอกชายฝั่ง ได้ยินเสียงเครื่องเรือและมองเห็นเรือเล็กเท่าเล็บมือแล่นไปอย่างช้าๆ ใต้ ท้องฟ้าที่สดใสและดวงตะวันที่สาดแสงอบอุ่นไปท่ัวหาด ผมได้กลับมาถึง บ้านของผมสักที บ้านท่ีเต็มไปด้วยความสุข บ้านที่เราต่างได้สร้างกันมา ความรู้สึกทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปล่ียนแปลง และยังคงเป็นอยู่ อยา่ งนีต้ ลอดไป ท่นี ่บี า้ นของผม ... ปากบางสะกอม 135

ของขวญั ชนิ้ วิเศษ มะรอวี เจะ๊ อมุ า ห่างจากตัวเมืองปัตตานีเพียง 3 กิโลเมตร ชุมชนแออัดริม แม่น�้าปัตตานดี เู หมอื นจะไมม่ พี นื้ ท่ีวา่ งสา� หรบั ให้เด็กๆ ว่งิ เลน่ แล้ว นอกจาก การลงเล่นน้�าคลองที่คอยสร้างความระแวงให้กับเหล่าบรรดาผู้ใหญ่กลัว จะพลาดพลั้งจมน�้าไป ท้ังบ้านเล็กบ้านน้อยบ้านหลังงามล้วนกระจุกตัว รวมอยู่ริมแม่น�้าอย่างเนืองแน่น บางหลังก็สร้างรุกคืบริมฝั่งแม่น้�าโดย ไมส่ นใจความปลอดภัยใดๆ เลย ฉันไม่เข้าใจว่าท�าไมคนสมัยก่อนถึงชอบมาสร้างบ้านเรือนอยู่ กระจกุ ตวั ริมแมน่ า้� เปน็ ท่ีแนช่ ดั วา่ สายน้�าเปรยี บเสมือนสายเลือดหลอ่ เลย้ี ง ชีวิต เป็นแหล่งท�ากินสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านธรรมดาอย่างเรา แต่ ส�าหรับการสร้างหมู่บ้านท่ีกระจุกตัวอยู่ริมแม่น้�า ความคับแคบดูเหมือน จะท�าหน้าท่ีปิดก้ันความมั่นคงในชีวิตอย่างเห็นได้ชัด ยามใดที่ลมมรสุม พัดผ่านและน้�าทะเลหนุนสูง ชุมชนก็แทบจะกลายเป็นหมู่บ้านลอยน้�า สรา้ งความเดือดรอ้ นในการเดนิ ทางสัญจรไปมาผ่านซอยแคบๆ รวมถึงเป็น แหลง่ เพาะพนั ธเ์ุ ชอ้ื โรคดีๆ นี้เอง ถึงกระน้ัน ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่น่ีคือส่วนหนึ่งท่ีท�าให้ฉันเติบโต มาได้ เวิ้งแม่น�้าปัตตานีท่ีทอดยาวอยา่ งสวยงามเปรยี บเสมอื นเครอ่ื งบรรจง สรรพชวี ติ แหง่ ลุ่มน�า้ ใหม้ ชี วี า ที่นีม่ เี ร่ืองราวมากมายใหฉ้ ันไดจ้ ดจ�า จนเมื่อ 136

มีข่าวว่าทางการจะตัดถนนเพื่อใช้เป็นทางลัดเข้าสู่มัสยิดชุมชนซ่ึงต้อง ผ่านที่ดินของป๊ะและป๊ะต้องเสียสละ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันควรจะจดจ�าอีก หรอื เปล่า ป๊ะสอนให้ฉันรู้จักเสียสละเพ่ือผลประโยชน์ของส่วนรวม แม้ ครอบครัวของเราจะไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรมากมายนอกจากท่ีดินที่ย่า แบ่งให้ลูกๆ ของท่านรักษาไว้ แต่สิ่งท่ีป๊ะบอกกับฉันเสมอว่า “เราไม่ควร ขาดแคลนน�้าใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” บางครั้งเองฉันก็สับสนว่าการ เสียสละกับการสูญเสียในความเป็นจริงคือส่ิงเดียวกันหรือเปล่า จนเมื่อ คร้ังที่ฉันได้เห็นป๊ะแอบร้องไห้คนเดียวอยู่หลังบ้าน ดูเหมือนจะชัดแล้วว่า การเสียสละกบั การสูญเสียเอาเข้าจริงแลว้ อาจจะเปน็ ส่ิงเดียวกัน ปะ๊ เขา้ มาพดู คยุ ปรกึ ษากบั มะ๊ เรอ่ื งทคี่ ณะกรรมการมสั ยดิ ตอ้ งการ ใหห้ นว่ ยงานช่วยสร้างถนนทางลัดใหม่เช่อื มชุมชนกบั มัสยดิ เพอ่ื ให้ชาวบ้าน เดินทางไปมัสยิดได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งข้ึนซึ่งต้องผ่านท่ีดินของป๊ะ ไม่ต้องอ้อมไปทางถนนใหญ่ท่ีไกลเกือบ 1.5 กิโลเมตร ถ้าหากสามารถ สร้างถนนทางลัดใหม่น้ีได้ก็จะช่วยให้ระยะทางจากตัวชุมชนไปมัสยิด เหลอื เพยี ง 500 เมตร นอกจากน้ีมสั ยิดจะไดม้ ลี านกจิ กรรมไวค้ อยอ�านวย ความสะดวกใหก้ บั คนในชมุ ชนอกี ดว้ ย ดว้ ยลกั ษณะชมุ ชนทม่ี บี า้ นเรอื นอาศยั อยอู่ ยา่ งกระจกุ ตวั รมิ แมน่ า้� ริมถนนและอีกบางส่วนอาศัยอยู่ในป่าสวนมะพร้าว คนในชุมชนเรียกว่า “กาแลบาระ” ทา� ให้การเดินทางสัญจรไปมัสยิดซ่ึงเป็นจุดศูนย์รวมของคน ในชุมชนเกิดความล�าบากและล่าช้า ชาวบ้านส่วนใหญ่เองก็เห็นด้วย แมก้ ระทงั่ ชาวบา้ นท่นี บั ถือศาสนาพทุ ธในชุมชนก็ยังเหน็ ด้วยเชน่ กนั เท่าท่ีจ�าความได้หน่วยงานได้ส่งตัวแทนมาพูดคุยกับป๊ะ หลายครัง้ แล้วเพ่อื ขอให้บรจิ าคทด่ี นิ สรา้ งถนนทางลัดเขา้ สู่มสั ยดิ ทกุ คร้งั ที่ เขามามักจะมีของติดไม้ติดมือมาให้ป๊ะ ล�าพังเนื้อตัวท่ีสะอาดสะอ้านบวก กับกิริยาท่าทางและค�าพูดอันน่าฟังกลมกลืนราวกับเป็นญาติสนิท ก็ 137

เพียงพอแล้วที่จะท�าให้ใครสักคนเช่ือฟังและยอมท�าตามได้ง่ายๆ แต่ป๊ะ ก็ได้ปฏิเสธทุกคร้ัง เน่ืองจากหากคิดเป็นจ�านวนเงินแล้วเกินก�าลังท่ีป๊ะจะ ให้ได้ คนในครอบครวั ก็ไม่มใี ครเห็นดว้ ยเช่นกนั “เราจะท�าอย่างไรได้บ้างม๊ะ ท่ีดินผืนนี้มากพอสมควรเลย” ป๊ะพดู เสียงสนั่ คลอ แววตาสะทอ้ นถึงความลา� บากใจอย่างเหน็ ไดช้ ัด “ปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮ์เถอะป๊ะ มะ๊ เชอ่ื วา่ เราจะผ่านเรื่องน้ีไปได”้ ฉันได้แต่ฟังป๊ะกับม๊ะพูดคุยกัน ปัญหาระดับใหญ่แบบนี้ต้อง ค่อยๆ คิดแก้ไข หากท�าอะไรบุ่มบ่ามไปความล�าบากใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่มีใครอยากถูกมองว่าไม่เสียสละเพ่ือส่วนรวม แต่บางเร่ืองมันก็ยากที่จะ อธิบายให้คนอ่ืนเขา้ ใจได้ ทุกคืนเสียงอัลกุรอานจะดังข้ึนจากลานบ้าน นอกจากป๊ะจะท�า อาชีพหลักคือประมง ป๊ะยังมีอาชีพเป็นครูสอนอ่านอัลกุรอานให้กับเด็กๆ ในชุมชนอีกด้วย เสียงกังวานเป็นจังหวะสูงต�่าของเด็กๆ ทรงพลังยิ่งนัก ความไพเราะจับใจของน้�าเสียงชวนให้ใจสงบน่ิง ท�าให้ม๊ะและตัวฉันคลาย ความทุกข์ท่ีสุมลึกอยู่ในใจได้บ้าง แต่ส�าหรับป๊ะแล้ว ฉันไม่รู้ว่าป๊ะจะรู้สึก เช่นเดียวกันไหม นึกถึงภาพความคิดท่ีลอยอยู่ในหัว หากป๊ะสามารถยก ท่ีดินผืนนี้ให้ได้ ณ ตอนน้ีป๊ะก็คงมีความสุขที่สามารถเสียสละเพื่อ ส่วนรวมไปแลว้ แต่แล้วอาจจะด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาปรานี ฉันคิดเช่นนั้น ป๊ะกลับโชคดีที่มีประธานชุมชนอย่างประธานมะที่รู้จัก เห็นอกเห็นใจชาวบ้านด้วยกัน ตัวแทนทางการได้มาพูดคุยกับประธานมะ ให้มาเจรจาเรื่องให้ป๊ะบริจาคที่ดิน สิ่งแรกที่เขาท�าคือเขาไม่เอนเอียงไป ตามทตี่ ัวแทนหน่วยงานเสนอใหท้ า� ทงั้ ยงั กลา่ วอกี ว่า “ในเมื่อเป็นความประสงค์ของชาวบ้าน เขาจะอาสารับผิดชอบ 138

กบั เรอ่ื งน้ตี ามวถิ ีชาวบา้ นเอง” ป๊ะศรัทธาในตัวประธานมะ ถึงเขาจะท�างานเพ่ือรัฐแต่เขาก็ ไม่เคยละทิ้งความเป็นชาวบ้านและยังสามารถเป็นที่พ่ึงพาของคนใน ชุมชนได้ เขาไม่ปล่อยให้ป๊ะเสียสละอยู่คนเดียวเพราะถือว่าไม่มีความ เป็นธรรม เร่ืองน้ีทุกคนในชุมชนต้องช่วยเหลือกันและไม่เห็นด้วยกับวิธี บังคับให้คนๆ เดียวต้องมาเสียสละเพ่ือส่วนรวม ไม่เพียงแต่ป๊ะท่ีช่ืนชมใน ตัวเขา ฉันเองก็ชื่นชมและช่ืนชอบประธานมะเช่นกัน ฉันยังเคยคิดเลยว่า หากวันหนง่ึ ฉันได้เปน็ ผู้น�า ฉนั ต้องมเี ขาเปน็ แบบอย่างที่ดอี ยา่ งแน่นอน ประธานมะคิดค�านวณเป็นจ�านวนเงินแล้ว ต้องจ่ายค่าท่ีดิน ให้กับป๊ะเป็นจ�านวนเงินหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท เขาจึงเสนอให้ชาวบ้าน ในชมุ ชนช่วยกนั เสียสละคา่ ใช้จา่ ยครง่ึ หนงึ่ จากราคาเตม็ และร่วมกันจดั งาน “มาแกแต” (ภาษาไทยเรียกว่า กินน้�าชา) ซ่ึงเป็นประเพณีจัดงานเล้ียง อาหารท่ีปฏิบัติกันอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อระดมทุนให้กับมัสยิด น�ามาพัฒนาชุมชน คณะท�างานเห็นด้วยกับข้อเสนอน้ีเช่นเดียวกับป๊ะ ของฉนั นบั เป็นวิธีการที่ยุติธรรมอยา่ งมาก ไก่ขานขันทกั ทายตะวันเสียงดงั เอ้กอเี อก้ เอ้ก อากาศยามเชา้ ตรู่ เย็นสบาย แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ฉาบขอบฟ้าเหลืองผ่อง อีกไม่นาน ตะวันจะสาดส่องแสงสดใสมอบสีสันและไออุ่นให้กับทุกชีวิตได้ชื่นบาน ทุกบ้านก�าลังปรุงอาหารเช้าส่งกล่ินชวนหิว เสียงนกกรงหัวจุกท่ีแขวนอยู่ ใต้ถนุ บ้านส่งเสยี งทกั ทายกล่มุ ชาวบา้ นเป็นช่วง ๆ ประธานมะน�าเรื่องการจัดงาน “มาแกแต” เพื่อระดมทุนสร้าง ถนนทางลัดเข้าสู่มัสยิดไปปรึกษาหารือกับคณะท�างานและกลุ่มชาวบ้านท่ี มาร่วมฟังการประชุม ท้ังน้ีเพ่ือให้ทันกับการจัดประเพณีแห่นกและการ แข่งขันประชันเสียงนกกรงหัวจุกที่ปีน้ีทางชุมชนได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขัน การสร้างถนนทางลัดนี้จะท�าให้ชุมชนมีถนนสายใหม่และ 139

ลานกจิ กรรมชว่ ยให้เกิดผลดตี ่อการดา� เนนิ งานตา่ งๆ ของชมุ ชน “งานมาแกแตคร้ังนี้ เราต้ังเป้ายอดบริจาคให้ได้หนึ่งแสนบาท ข้ึนไป ท่ีเหลือพวกเราจะร่วมกันบริจาคเท่าท่ีพวกเราจะสามารถให้ได้” ประธานมะพดู อยา่ งมั่นใจและเชอ่ื ม่ันว่าชาวบ้านทกุ คนจะท�าได้ “เอาเลยประธาน เด๋ียวพวกเราจะร่วมด้วยช่วยกันอย่าง สดุ ก�าลังฝีมือและแรงทีม่ ี” ตัวแทนชาวบ้านคนหนง่ึ พดู ขน้ึ มา สีหน้าแววตา ท่ีจริงใจของชาวบ้านท�าให้ประธานมะมีก�าลังใจท่ีจะสู้อย่างเต็มร้อย นึกเห็นความสา� เร็จเบอ้ื งหนา้ ทอี่ ย่ไู มไ่ กลเกินเออ้ื ม ป๊ะได้ฟังในสิ่งที่ชาวบ้านพูดข้ึนมา จึงแสดงน�้าใจด้วยการ ลดราคาที่ดินให้อีก ไมค่ ดิ ราคาเต็ม “ไหนๆ เราก็จะร่วมท�าเพื่อชุมชนด้วยกันแล้ว ผมจะลดราคา ท่ีดินตามที่ค�านวณกับประธานมะให้อีก โดยจ่ายให้ผมหนึ่งแสนสามหม่ืน บาทพอแล้ว” ป๊ะพูดเตม็ ปากเต็มค�า “เย่ เย.่ .” เมื่อชาวบ้านได้ฟังที่ป๊ะพูดไปเท่าน้ัน ทุกคนต่างเฮกันดังสน่ัน ห้องประชุมและซาบซ้ึงใจที่ป๊ะยอมลดราคาท่ีดินให้ ป๊ะเผลอย้ิม ฉันดีใจ ท่ีเห็นป๊ะยิ้มได้อีกคร้ัง ช่างเป็นรอยย้ิมท่ีมีความสุขมากที่สุดเท่าท่ีฉันเคย เหน็ จ�านวนเงินท่ีได้หลังจากจัดงาน “มาแกแต” ประธานมะจะ น�าไปรวมกับเงินที่ชาวบ้านในชุมชนช่วยกันเสียสละจ่ายค่าที่ดินให้กับป๊ะ ชาวบ้านทุกคนซ่ึงส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามทุกคนช่วยกันเสียสละ เพ่ือชมุ ชนตามก�าลังที่มี หลายครอบครวั ใหค้ รบตามจา� นวน บางครอบครัว ให้ไม่ครบ และบางครอบครัวก็ไม่มีให้ แต่สิ่งท่ีฉันช่ืนใจเป็นพิเศษคือ ชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธทุกคนต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้ เราจะนับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่ฉันคิดเสมอว่าสิ่งที่เรามีเหมือนกันนั้น มากกว่าสงิ่ ทีต่ า่ งกัน เพราะเราคือครอบครัวชมุ ชนเดียวกัน 140

วันจัดงานมาแกแต ชาวบ้านทุกคนตื่นนอนกันต้ังแต่เช้ามืด เสียงอาซานละหมาดซุบฮีอันไพเราะดังกึกก้องไปทั่วชุมชน เช้านี้ลมพัด เอากลิ่นอายธรรมชาติอันสดชื่นล่องลอยอบอวลไปทั่วพื้นที่ ทุกคนตื่น ขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ย้ิมแย้มแจ่มใส วันนี้ถือเป็นอีกหน่ึงวันส�าคัญของชุมชน เต็นท์และเก้าอ้ีจัดงานวางเรียงรายไกลสุดลูกหูลูกตา ฉันไม่เคยเห็นการ จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่แบบน้ีมาก่อน กลุ่มแม่บ้านชุมชนท้ังไทยพุทธและ ไทยมุสลิมพร้อมใจกันเดินทางเพ่ือมารังสรรค์อาหารแสนอร่อยกันอย่าง คึกคัก วัตถุดิบทุกอย่างล้วนมาจากน้�าใจของชาวบ้านท่ีร่วมกันบริจาคเพื่อ รอตอ้ นรบั แขกที่จะมาร่วมงานในวนั นี้ แดดยามสายปรายแสงเจิดจ้าส่องกระทบสายน้�าระยิบระยับ น่ามอง วันนี้ประธานมะและโต๊ะอิหม่ามรับหน้าท่ีต้อนรับแขกที่เดินทาง เข้าร่วมงานจากทั่วทุกสารทิศอย่างมุ่งมั่นเพ่ือท�าเป้าหมายให้ส�าเร็จ รถรา สัญจรเข้าสู่ชุมชนกันอย่างเนืองแน่น บ้างก็มาเป็นคณะ บ้างก็มาเป็น ครอบครัว ทุกคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากหลายสีสันเดินเข้าสู่บริเวณงาน ด้วยใบหน้าผ่องใส เสียงอัสสลามุอะลัยกุมดังขึ้นทุกช่วงเวลา ทุกคนยกมือ รับสลามซ่ึงกันและกันเคล้าไปกับเสียงเพลงเปาะซู (เพลงมลายูท้องถ่ิน) อันไพเราะท่ีขับประสานออกมาให้ผู้คนได้ฟังอย่างครึกครื้นตามประสา ชาวบ้านด้วยกนั “งานใหญม่ ากเลยประธาน” แขกคนหนง่ึ พดู ทกั ทายประธานมะ ทีย่ นื หันรหี ันขวางไปมาอยหู่ น้าซุม้ งาน “ทกุ อยา่ งเกดิ จากการรว่ มไมร้ ว่ มมอื ของชาวบา้ นในชมุ ชนนแี้ หละ ยังไงกข็ อใหร้ ับประทานอาหารอย่างเอรด็ อร่อยและเตม็ ทนี่ ะครับ” “ไดเ้ ลยประธาน” อาหารแสนอร่อยไม่ว่าจะเป็นข้าวย�า ปูโละซามา (ข้าวเหนียว กุ้ง) ตาแป (ข้าวหมัก) และน้�าชา ถูกจัดแจงวางไว้อย่างสวยงามเพ่ือ ต้อนรับผู้คนที่เดินทางเข้าร่วมงานได้รับประทาน กลิ่นน้�าบูดูหอมโชย 141

มาแต่ไกล บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยผักเล็กผักน้อยสีสันละลานตา อาจจะ ไมไ่ ด้เรยี บหรเู หมอื นร้านอาหาร แต่สา� หรบั คนในท้องถ่ินแล้วน่ีคืออาหารท่ี แสนอร่อยที่สุด เป็นมื้อพิเศษท่ีหาซ้ือไม่ได้ ทุกคนรับประทานอาหาร ร่วมกนั อยา่ งเอร็ดอรอ่ ย “เด๊ะๆ เติมข้าวหน่อย... ” แขกคนหน่ึงเรียกให้น้องผู้ชายที่ ท�าหน้าท่ยี กอาหารและเครื่องดื่มมาบริการและอา� นวยความสะดวกให้ “ไดๆ้ แบ สักครนู่ ะครบั ” “ขอบูดเู ยอะๆ ด้วยนะ บูดูท่ีน่ีอรอ่ ยมากๆ เลย” “ได้เลย” น้องผู้ชายรีบรับค�าส่ัง เผลอย้ิมให้กับค�าชมที่แขก กล่าวขน้ึ กลุ่มวัยรุ่นชายหญิงของชุมชนรับหน้าท่ียกอาหารและเครื่องดื่ม กันอย่างคึกคัก เดี๋ยวโต๊ะน้ันเรียก เด๋ียวโต๊ะโน้นเรียก เดินสลับกันไปมา แบบท่ีไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเลยเพราะทุกคนท�าด้วยความเต็มใจและ มีความสุขท่ีได้ท�าเพ่ือส่วนรวม บรรยากาศภายในงานจึงเต็มไปด้วยเสียง เอะอะเฮฮาของผู้คน ทุกอย่างดูวุ่นวายแต่กลับสร้างรอยย้ิมท่ีแสนพิเศษ ใหก้ บั ฉันและคนในชุมชนของฉัน เมือ่ ทกุ คนรบั ประทานอาหารกนั เสรจ็ สน้ิ ก็จะมีการร่วมบริจาค เงินให้กับชุมชนตามจิตศรัทธา บางคนมีมากให้มาก บางคนมีน้อยให้น้อย ทกุ คนให้ด้วยความบรสิ ุทธิ์ใจ การจดั งาน“มาแกแต”ในวนั นี้เปรยี บเสมือน ตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้เกิดความรักความ สามัคคีและการแสดงความมีน้�าใจให้แก่กันด้วยจิตใจท่ีบริสุทธิ์พร้อม ทีจ่ ะสละเงนิ บรจิ าคให้กบั มสั ยดิ เพ่ือนา� มาพัฒนาชุมชน เม่ือเสร็จส้ินการจัดงาน “มาแกแต” ดูเหมือนเวลาก็ล่วงเลย มาถึงเท่ียงคืน ค�่าคืนนี้แสงจันทร์ทอแสงสว่างใส ท้องฟ้าเต็มไปด้วย ดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ ละอองน้�าค้างหยดลงจากฟากฟ้าท�าหน้าท่ี สร้างความอบอุ่นให้กับชาวบ้านท่ีก�าลังท�าการเก็บข้าวของเคร่ืองใช้ 142

ภายในงาน จากสถานท่ีท่ีเคยคับแคบเพราะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน มา ตอนนี้ทุกอย่างดูกว้างขวาง ชาวบ้านเองก็ดูจะเหน็ดเหน่ือยกันเป็นพิเศษ เหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน ก่อนท่ีทุกคนจะมาน่ังพักพร้อมกันบริเวณ ลานงาน เพอื่ ท�าการนบั จ�านวนเงินบริจาคท่ไี ด้พร้อมกัน ยอดเงินบริจาคในงาน “มาแกแต” คร้ังน้ีได้เกินเป้าเล็กน้อย ซ่ึงนับว่าเพียงพอแล้วเมื่อรวมเข้ากับเงินท่ีชาวบ้านได้บริจาคแยก ประธาน มะเลยมอบค่าท่ีดินให้กับพ่อต่อหน้าโต๊ะอิหม่ามและชาวบ้านทุกคน ส่วน เงินที่เหลือได้มอบให้โต๊ะอิหม่ามไว้ใช้บริหารงานมัสยิดและชุมชน เมื่อ ทุกอย่างเรียบร้อยชาวบ้านก็เดินทางกลับ ทุกคนพอใจและภูมิใจท่ีได้ร่วม เสียสละให้แก่ส่วนรวม วันแห่งความสขุ น้ีจะตราตรงึ ในหัวใจของทุกคน ขบวนแห่นกย่ิงใหญ่และงดงามก�าลังขับเคลื่อนผ่านถนนทางลัด เส้นใหม่ท่ีเพิ่งสร้างเสร็จของชุมชน ขบวนกลองบานอน�าหน้าท�าหน้าที่ สร้างความครึกคร้ืน นกประดิษฐ์แต่ละตัวมีรูปร่างแปลกประหลาด มหัศจรรย์ โน้มน้าวให้ฉันระลึกถึงพญาครุฑในวรรณคดีไทย นกหัสดีลิงค์ ในนิยายปรัมปราทกุ ตัวก�าลังเลือ่ นลอยยืนอยู่บนคานอย่างวจิ ติ รตระการตา มีจ�านวนคนหามมากน้อยแล้วแต่ขนาดและน�้าหนักของนก แต่ละคนแต่ง เครื่องแบบพลทหารถือหอกเป็นอาวุธ ชาวบ้านจากท่ัวทุกพ้ืนที่เข้าร่วม ขบวนแห่นกกันอย่างสนุกสนาน วันน้ีเป็นอีกหน่ึงวันท่ีดีของชุมชนที่ได้ รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดประเพณีแห่นกและการแข่งขันนกกรงหัวจุก ผ่านเส้นถนนสายใหมข่ องชุมชนท่ียิ่งใหญ่ทส่ี ดุ “วา้ ว...นี่มันนกในสวรรค์จริงๆ นะน่ี” “ใชเ่ ลย มนั สุดยอดจริงๆ” “นกใหญ่มาก ยอดเย่ยี มเลย” เด็กๆ ต่างร่วมแสดงความรู้สึกท่ีได้ชมขบวนแห่นกเดินผ่าน ต่อหน้าต่อตา น้�าเสียงเปี่ยมไปด้วยความสุข สุ้มเสียงเร้าใจของกลอง 143

บานอท�าให้ทุกคนคึกคัก เด็กบางคนน�้าตาร้ืนออกมาเพราะอึ้งในความ ย่งิ ใหญป่ ะปนกับความหวาดกลัวตามประสาเดก็ ทางด้านลานกิจกรรมของชุมชนก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนเต็ม ถนดั ตา ชาวบ้านทีเ่ ล้ยี งนกกรงหัวจกุ ต่างเดนิ เขา้ มาทีล่ านแข่งขัน กรงนกมี ผ้าคลุมสีสันสดใส ได้ยินเสียงนกร้องดังเป็นระยะๆ ชาวบ้านทุกคนต่าง เข้ามาล้อมลานแข่งเชียร์กันเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง พอนกร้องเสียง เจี๊ยวจา๊ วตามที่ขอกส็ ่งเสยี งเฮชอบใจ ทา� ใหล้ านแข่งเตม็ ไปด้วยเสียงเฮสน่ัน หว่ันไหว ใบหน้าเปื้อนยิ้มของชาวบ้านและผู้ท่ีเข้าร่วมงานพลอยท�าให้ป๊ะ และฉันรู้สึกอ่ิมเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีสิ่งใดเกิดข้ึนแล้วมีคุณค่าเท่ากับ ส่งิ ที่เกดิ จากการรว่ มใจของทกุ คนแล้ว นับต้ังแต่วันนั้นถนนสายนี้ก็ได้เช่ือมโยงหัวใจของคนในชุมชน เข้าด้วยกัน มีลานกิจกรรมท�าหน้าท่ีสร้างรอยย้ิมเสียงหัวเราะให้กับทุกๆ ชีวิตได้แจ่มชื่น ฉันเดินชมเด็กๆ ว่ิงเล่นกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความรักและความสุข ท่ามกลางสภาพชุมชนที่ แออัดอยู่หลายทศวรรษ นี่คงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดส�าหรับเด็กๆ ทุกคน แล้ว 144

ไออนุ่ บดู ูแทง่ นูรฟาเดีย สะนิวา ยามค�่าคืนที่แสนเหน็บหนาว มองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ ข้างเตียง หยดน้�าค้างก�าลังไหลรินอยู่บนบานกระจกหน้าต่าง สัมผัสได้ถึง ความออ่ นโยนจากการท่มี ันเคลือ่ นไหวลงอยา่ งช้า ๆ กร๊งิ กรงิ๊ ….เสยี งนาฬิกาปลกุ ดังขึ้นมาจากโทรศพั ท์รุ่นเกา่ ๆ ของ ฟาเรีย ท�าให้ม๊ะกับเธอสะดุ้งลุกจากที่นอน เธอกับม๊ะใช้ชีวิตเพียงสองคน เพราะเย๊าะของเธอได้เสียชีวิตลงตอนท่ีเธอยังจา� ความไม่ได้ ฟาเรียต้องตื่น ต้ังแต่หัวรุ่งอยู่เป็นประจ�าทุกวันเพ่ือเตรียมของพวกผักสวนครัว ไม่ว่า จะเป็นผักบุ้ง ผักกาด ถ่วั ฝกั ยาว มะนาว ที่ปลกู ไวใ้ นสวนหลังบ้าน เพอ่ื เอา ไปขายทต่ี ลาดสดสายบุรี จงั หวดั ปัตตานีอยเู่ ป็นประจา� ช่วงเวลาหกโมงเช้า ฟาเรียกับม๊ะก็ได้เข็นรถไม้เก่าๆ มุ่งหน้าสู่ตลาด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน มากนกั ระหว่างทางฟาเรียพูดข้ึนมาว่า “ม๊ะ แล้วเย๊าะเสียชีวิตเพราะ อะไรเหรอ” “ทา� ไม วันนี้ลูกถงึ ได้ถามแบบน้ลี ะ่ ” “เอ่อ พอดีหนูเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งจูงมือกันซ้ือขนม ท�าให้นึกถึง เย๊าะขึน้ มา” “เย๊าะของลูกล่ืนล้มในห้องน้�า หัวฟาดพื้นท�าให้เส้นเลือดใน 145

สมองแตก” ฟาเรยี น้�าตาคลอ ดซู มึ ๆ และเงียบไปในท่ีสดุ ภายในใจของเธอ ไม่อยากให้เร่ืองนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเลย แต่ในเมื่อเร่ืองเกิดขึ้นมานานแล้ว ไมค่ วรท่ีจะเอามาคิดและจมอยู่กบั สิ่งนนั้ เม่ือถึงตลาดแล้ว ฟาเรียเจอผู้คนมากมายเรียกว่าวุ่นวายกัน เลยทีเดียว สินค้าต่างๆ ที่น�ามาวางขายในตลาดสดนั้นจะวางขายบน พ้ืนถนน แต่ก็มีบ้างที่วางขายบนโต๊ะหรือแผงท่ีสร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆ โดยการเอาท่อนไม้มาประกอบเป็นโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีรถกระบะหลายคัน มาขายสนิ ค้า ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ เชน่ แตงโม สม้ กลว้ ย อีกทัง้ ยงั มอี ปุ กรณ์ ของใช้ในครัวเรือน ขึ้นชื่อว่าตลาดสดส่ิงท่ีขาดไม่ได้เลยก็คือของสดใหม่ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล เน้ือวัว เน้ือไก่ ผักสด ผู้คนส่วนใหญ่ ที่มาตลาดสดน้ันมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม คนพุทธ มุสลิม และ เชื้อสายจีน พวกเขามักซื้อของในช่วงเช้า เพราะว่าใครๆ ก็อยากได้ของท่ี สดใหม่ เม่ือฟาเรียกับม๊ะมาถึงแผงของตัวเองก็ช่วยกันจัดของที่จะวาง ขายให้สวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็มีลูกค้าอายุประมาณ สามสิบปเี ดินเข้ามาถาม “หนู มะนาวขายยงั ไงคะ” ด้วยสหี นา้ ท่ียิม้ แยม้ แจ่มใส “สามลกู สิบบาทคะ่ พี”่ ฟาเรยี สง่ ยิ้มกลบั ใหพ้ ่เี ขา “ง้นั เอาสกั ยีส่ ิบบาทนะหน”ู “ไดเ้ ลยคะ่ เดย๋ี วหนใู สถ่ งุ ใหน้ ะคะ” “เอ่อ หนไู ม่ตอ้ งกไ็ ด้ พเี่ อาถุงผ้ามาแล้ว” “โอ้โห…ดีจังเลย พ่ีมีเทรนด์รักษ์โลกด้วย ถ้าทุกคนท่ีมาตลาด ตา่ งพกถงุ ผ้ามาจะดมี ากเลยคะ่ พ่ี” วันน้ีวนั ศกุ ร์ ผกั ทฟี่ าเรียกบั มะ๊ ขายนนั้ มีน้อย ทา� ใหข้ ายหมดเร็ว เพราะอาจจะเป็นวันสุดท้ายก่อนวันหยุด คนเลยมาซ้ือกันเป็นจ�านวนมาก 146

พอถึงช่วงบ่ายท้ังสองคนก็เร่ิมเก็บข้าวของขึ้นรถเข็นเพื่อท่ีจะกลับบ้านไป พักผ่อน พอกลับมาถึงบ้าน ม๊ะจะน่ังนับเงินท่ีขายได้วันนี้ สีหน้าที่ เหน็ดเหนื่อยก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่พอใจจากเงินท่ีขายได้ ฟาเรียน่ังลง ข้างมะ๊ แลว้ เอามอื ทง้ั สองขา้ งไปนวดท่ีไหลเ่ บา ๆ แล้วถามวา่ “เหน่ือยไหมมะ๊ วนั นี้ได้เทา่ ไหร”่ “สามร้อยกวา่ บาทลูก” ฟาเรยี ยิม้ แลว้ พดู กลับไปว่า “ขอสักยส่ี ิบบาทได้ไหมม๊ะ” ม๊ะหนั มาจ้องเขม็ง “แหมๆ ทีท่ า� ดีเนี่ยแคจ่ ะมาขอตงั ค์ใช่ไหม” ฟาเรยี หัวเราะเบาๆ แลว้ มะ๊ ก็ยื่นเงินให้ “ตรมี อกาเซะห์นา้ า…” แล้วฟาเรียก็ออกไปซ้อื กรอื โป๊ะท่ีอยู่ตรงข้ามบ้านของเธอ เช้าวันเปิดเทอมวันแรกของภาคเรียน เวลาเจ็ดโมงเช้าฟาเรีย เตรียมตวั ไปโรงเรยี นซ่งึ อยไู่ มไ่ กลจากบา้ นเท่าไหร่ เธอเลยเลือกทจี่ ะเดินไป โรงเรียนเปน็ ประจา� กอ่ นไปโรงเรยี นเธอขอเงนิ ม๊ะ “ม๊ะ เทอมน้หี นขู นึ้ มอสี่แล้วนะ ขอค่าขนมเพ่ิมไดไ้ หม” ฟาเรีย ยมิ้ แลว้ สง่ สายตานา่ สงสาร “จะเอาเท่าไหรล่ ่ะ” มะ๊ ใจออ่ นเมือ่ ลูกสาวสง่ สายตาแบบน้นั “สกั หา้ สิบบาทนะมะ๊ ” ม๊ะหยิบเงินในกระเป๋าให้ฟาเรีย “ใช้ตังค์อย่างประหยัดๆ นะ ลกู ” ฟาเรียพยักหนา้ แล้วสลามกับม๊ะ พร้อมหอมแกม้ ม๊ะ โรงเรียนสายบุรีเป็นโรงเรียนขนาดเล็กติดกับแม่น้�าสายบุรี มีประชากรประมาณห้าร้อยกว่าคน ภายในโรงเรียนไม่ได้มีแค่อาคารเรียน แต่ยงั มีแปลงผัก บ่อเลี้ยงปลา โรงแพะพันธุ์นม และทีส่ า� คญั คอื โรงงานผลิต บูดูอัดแท่ง ซึ่งเป็นของดีของข้ึนช่ือของโรงเรียน โรงเรียนสายบุรีจะอยู่ใน จุดศูนย์กลางของอ�าเภอสายบุรี ล้อมรอบไปด้วยผู้คนต่างศาสนาไม่ว่า จะเปน็ ชาวพุทธ ชาวมสุ ลมิ ชาวจนี ทอ่ี ยูด่ ว้ ยกนั อยา่ งพหวุ ัฒนธรรม 147

เม่ือถึงเวลาแปดโมงเช้า ฟาเรียรีบไปเข้าแถวบริเวณหน้าเสาธง กับเพ่ือน หลังเคารพธงชาติเสร็จก็จะท�าพิธีตามหลักศาสนาแต่ละศาสนา หลังจากเสร็จพิธีหน้าเสาธงเรียบร้อยแล้วครูจะให้นักเรียนแต่ละแถว ข้นึ ไปยังห้องเรยี นต่างๆ เม่อื ฟาเรยี ขน้ึ มาถงึ ห้อง เธอได้เจอเพ่อื นๆ ในห้อง ที่ก�าลังคุยกันเสียงดัง “ในช่วงปิดเทอม ใครไปเทีย่ วไหนมาบา้ ง” “ฉันไปเทยี่ วหาดใหญ”่ “ฉันไปเบตง” “แล้วเธอล่ะ ฟาเรียไปเที่ยวไหนบา้ ง” “ฉันไมไ่ ปไหนหรอก ช่วยม๊ะขายผักท่ีตลาดสดนี่แหละ” มีเพ่ือนคนหนึ่งวิ่งเขา้ มาในหอ้ งแลว้ พดู ขน้ึ วา่ “ครูมาแล้ว…” ระหว่างที่ก�าลังเรียนอยู่น้ันทางโรงเรียนได้ประกาศว่าในช่วง บ่ายของวันนี้ทางโรงเรียนจะจัดกิจกรรมให้เลือกชมรม โดยจะให้นักเรียน ทกุ คนมารวมตวั พร้อมกันทหี่ อประชุมใหญใ่ นเวลาบา่ ยโมงตรง เม่ือถึงเวลาบ่ายโมงระหว่างที่ฟาเรียก�าลังเลือกชมรมอยู่น้ัน มนี กั เรียนคนหนงึ่ มาสะกิดบรเิ วณบ่าของเธอจนสะดุ้งตกใจ “เธอๆ ช่อื อะไรเหรอ” “ฉันชือ่ ฟาเรยี ” “ฉันชือ่ โซเฟีย อยู่หอ้ ง 4/2” “ยินดที ่ีไดร้ ู้จกั นะ ฉันอยูห่ อ้ ง 4/1” “น่ี ฉันมชี มรมจะมาแนะนา� ” “ชมรมอะไรเหรอ” “บูดูอัดแท่งไง เป็นชมรมที่ฉันอยากเข้ามากเลย ได้ข่าวว่าครู กใ็ จดีดว้ ยนะฟาเรยี ” “เอ่อ...โอเค...งั้นไปลงช่ือกนั ดีกวา่ ” หลังจากวันนั้นฟาเรียกับโซเฟียได้สนิทกันในท่ีสุด ทั้งนี้ชมรม 148

บูดูอัดแท่งมีครูท่ีรับผิดชอบคือ ครูอาซีซะห์ โดยครูอาซีซะห์ได้เล่าถึง ประวัติความเป็นมาของชมรมว่า แรกเร่ิมครูอาซีซะห์เป็นผู้คิดค้น “บูดู ก้อน” หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “บูดูอัดแท่ง” แต่ต้องปรับปรุงพัฒนาอยู่ หลายคร้ัง และอ�าเภอสายบุรีเป็นอ�าเภอท่ีมีช่ือเสียงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ น้�าบูดู ซงึ่ เปน็ ท่นี ยิ มของคนสามจงั หวัดชายแดนภาคใต้ อกี ทัง้ น้า� บดู ูยังเปน็ ที่ยอมรับและแพร่กระจายไปยังนอกพื้นที่ แต่มักเจอปัญหาเก่ียวกับการ พกพา เน่ืองจากน้�าบูดูเป็นของเหลวและค่อนข้างมีกลิ่นจึงท�าให้ส่งออกไป นอกพน้ื ทต่ี า่ งๆ ไดย้ าก เพราะนา�้ บูดูจะต้องบรรจุในขวด ทา� ให้ครอู าซีซะห์ มีความคิดเก่ียวกับการผลิตบูดูอัดแท่งข้ึนมา เพ่ือให้เกิดความสะดวกใน หลายๆ ด้านน่นั เอง เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ฟาเรียมุ่งหน้าไปหาม๊ะที่ตลาดสด เพื่อ ชว่ ยเก็บขา้ วของเหมอื นทท่ี �าอยเู่ ป็นประจ�าทุกวัน “ม๊ะ หนมู าแลว้ …” ฟาเรียเขา้ ไปกอดหอมแก้มมะ๊ “ดีเลยลกู กา� ลงั จะเก็บขา้ วของอยพู่ อด”ี “มาๆ เดี๋ยวหนชู ว่ ยนะ ม๊ะ” ฟาเรียกับม๊ะช่วยกันเก็บข้าวของข้ึนรถเข็นไม้ แล้วเธอก็ช่วยม๊ะ เข็นรถกลับบ้านด้วยสีหน้าท่ีเต็มใจ พอถึงบ้านม๊ะก็พูดว่า “ลูก เอาของ เข้ามาในบ้านดว้ ยนะ” แลว้ มะ๊ ก็เข้าไปในหอ้ งครวั ลงมอื ท�ากับขา้ วทฟ่ี าเรีย ชอบอย่างสดุ ฝมี ือ อาหารทมี่ ะ๊ กา� ลังทา� น้ันส่งกลิน่ หอมโชย เธอจึงรบี เข้าไป ในห้องครวั อยา่ งรวดเร็ว “มะ๊ ท�าอะไรกนิ เน่ีย กลนิ่ หอมมากเลย” “ท�าของโปรดลูกอยู่ไงล่ะ” มีทั้งปลาทอด บูดู ผักต้ม และที่ ขาดไม่ไดก้ ็คือ แกงส้ม ของโปรดของฟาเรียน่นั เอง แลว้ ทง้ั สองคนก็กนิ ขา้ ว พร้อมกนั หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้ว ฟาเรียได้ช่วยล้างจานก่อนท่ี เธอจะท�าการบ้านและอาบนา�้ เข้านอนตอนสามทุ่ม เธอต้องรีบนอนเพราะ 149