Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน สกทาคามี

Description: พุทธวจน สกทาคามี

Search

Read the Text Version

เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : สกทาคามี รไู้ ดด้ ว้ ยตา อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เป็นที่ต้ังอาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำ�หนัด เสยี งทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยหู … กลน่ิ ทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยจมกู … รสทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยลน้ิ … โผฏฐพั พะทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยกาย อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มีลกั ษณะน่ารัก เป็นที่ตั้งอาศยั แห่งความใคร่ เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ความกำ�หนัด  มหานาม  เหล่านี้แลกามคุณ ๕ ประการ  ความสุข ความโสมนัสใด อาศัยกามคุณ ๕ เหล่าน้ีเกิดขึ้น น้เี ปน็ คุณของกามทั้งหลาย. มหานาม  ก็อะไรเล่าเป็นโทษของกามทั้งหลาย กุลบุตรในโลกนี้ เลี้ยงชีวิตด้วยความขยันในการประกอบ ศลิ ปะ คือ ด้วยการนบั คะแนนกด็ ี ด้วยการค�ำ นวณกด็ ี ดว้ ย การนบั จ�ำ นวนกด็ ี ดว้ ยการไถกด็ ี ดว้ ยการคา้ ขายกด็ ี ดว้ ยการ เลีย้ งโคก็ดี ด้วยการยิงธนูกด็ ี ดว้ ยการเป็นราชบุรษุ กด็ ี ดว้ ย ศิลปะอย่างใดอย่างหน่ึงก็ดี ต้องตรากตรำ�กับความหนาว ต้องตรากตรำ�กับความร้อน ต้องลำ�บากอยู่ด้วยสัมผัสอัน เกิดจากเหลือบ ยงุ ลม แดด และสัตว์เล้ือยคลาน หรือต้อง ตายเพราะความหิว ความกระหาย  มหานาม  แม้น้ีก็เป็น โทษของกามท้ังหลาย เป็นกองทุกข์ท่ีเห็นได้เองว่า มีกาม เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะ เหตแุ ห่งกามทัง้ หลายทั้งนั้น. 83

พทุ ธวจน - หมวดธรรม มหานาม  ถา้ เมอ่ื กลุ บตุ รนนั้ ขยนั สบื ตอ่ พยายามอยู่ อย่างนั้น โภคะเหล่านั้นก็ไม่สำ�เร็จผล เขาย่อมเศร้าโศก ลำ�บาก ร�ำ่ ไรรำ�พัน ทบุ อก คร่�ำ ครวญ ถึงความหลงเลอื นวา่ ความขยันของเราเป็นโมฆะหนอ ความพยายามของเรา ไม่มีผลหนอ  มหานาม  แม้นี้ก็เป็นโทษของกามท้ังหลาย เปน็ กองทกุ ขท์ เี่ หน็ ไดเ้ องวา่ มกี ามเปน็ เหตุ มกี ามเปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลายทงั้ นนั้ . มหานาม  ถ้าเมอื่ กุลบตุ รนั้น ขยนั สบื ตอ่ พยายาม อยู่อย่างนั้น  โภคะเหล่านั้นก็สำ�เร็จผล  เขาก็ยังเสวย ทุกขะโทมนัส เพราะการคอยรักษาโภคะเหล่าน้ันเป็นตัว บงั คบั วา่ ท�ำ อยา่ งไร พระราชาทงั้ หลายไมพ่ งึ รบิ โภคะเหลา่ นน้ั ไปได้ พวกโจรไมพ่ งึ ปลน้ ไปได้ ไฟไมพ่ งึ ไหมไ้ ปได้ น�้ำ ไมพ่ งึ พดั ไปได้ ทายาทอนั ไมเ่ ปน็ ทรี่ กั ไมพ่ งึ น�ำ ไปได้ เมอื่ กลุ บตุ รนน้ั คอยรักษาคุ้มครองอยู่อย่างน้ี พระราชาท้ังหลายริบโภคะ เหล่าน้ันไปก็ดี โจรปล้นเอาไปก็ดี ไฟไหม้ก็ดี น้ำ�พัดไปก็ดี ทายาทอันไม่เป็นท่ีรักนำ�ไปก็ดี เขาย่อมเศร้าโศก ลำ�บาก ร่ำ�ไรรำ�พัน ทุบอก ครำ่�ครวญ ถึงความหลงเลือนว่า ส่ิงใด เคยเปน็ ของเรา แมส้ ง่ิ นน้ั กไ็ มเ่ ปน็ ของเรา  มหานาม  แมน้ ี้ ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามท้งั หลายท้งั น้ัน. 84

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : สกทาคามี มหานาม  โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย น่ันเอง คือ ข้อที่พวกพระราชาก็วิวาทกันกับพวกพระราชา พวกกษตั รยิ ก์ ว็ วิ าทกนั กบั พวกกษตั รยิ ์ พวกพราหมณก์ ว็ วิ าท กันกับพวกพราหมณ์ พวกคหบดีก็วิวาทกันกับพวกคหบดี มารดาก็วิวาทกันกับบุตร บุตรก็วิวาทกันกับมารดา บิดาก็ วิวาทกันกับบุตร บุตรก็วิวาทกันกับบิดา พ่ีชายน้องชายก็ ววิ าทกนั กบั พช่ี ายนอ้ งชาย พชี่ ายนอ้ งชายกว็ วิ าทกนั กบั พสี่ าว นอ้ งสาว พสี่ าวนอ้ งสาวกว็ วิ าทกนั กบั พชี่ ายนอ้ งชาย สหายก็ วิวาทกันกับสหาย เขาเหล่านั้นต่างถึงการทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาทกัน ทำ�ร้ายซึ่งกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดิน บา้ ง ด้วยท่อนไม้บา้ ง ด้วยศาสตราบ้าง ถึงความตายไปบา้ ง ไดร้ บั ทกุ ขป์ างตายบา้ งอยใู่ นทน่ี นั้ ๆ  มหานาม  แมน้ กี้ เ็ ปน็ โทษของกามท้ังหลาย เป็นกองทุกข์ท่ีเห็นได้เองว่า มีกาม เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะ เหตุแหง่ กามท้ังหลายทั้งน้นั . มหานาม  โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย น่ันเอง คือ คนทั้งหลายต่างถือดาบและโล่ สอดแล่งธนู ว่งิ เข้าสู่สงคราม ปะทะกนั ทงั้ ๒ ฝา่ ย เมอ่ื ลกู ศรท้งั หลายถูก 85

พุทธวจน - หมวดธรรม ยงิ ไปบา้ ง เม่ือหอกท้ังหลายถกู พงุ่ ไปบา้ ง เมือ่ ดาบทั้งหลาย ถูกกวัดแกว่งอยู่บ้าง คนเหล่าน้ันต่างก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง ถึงความตายไปบ้าง ไดร้ บั ทกุ ขป์ างตายบา้ งอยใู่ นทน่ี นั้ ๆ  มหานาม  แมน้ ก้ี เ็ ปน็ โทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองว่า มีกาม เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะ เหตแุ หง่ กามทัง้ หลายท้งั นัน้ . มหานาม  โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย น่ันเอง คือ คนทั้งหลายต่างถือดาบและโล่ สอดแล่งธนู กรกู นั เข้าไปสูเ่ ชิงก�ำ แพงท่ฉี าบด้วยเปือกตมรอ้ น เมอ่ื ลกู ศร ทงั้ หลายถกู ยงิ ไปบา้ ง เมอ่ื หอกทง้ั หลายถกู พงุ่ ไปบา้ ง เมอ่ื ดาบ ทั้งหลายถูกกวัดแกว่งอยู่บ้าง คนเหล่าน้ันต่างก็ถูกลูกศร แทงบา้ ง ถกู หอกแทงบา้ ง ถกู ราดดว้ ยโคมยั รอ้ นๆ บา้ ง ถกู สบั ด้วยคราดบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง ถึงความตายไปบ้าง ไดร้ บั ทกุ ขป์ างตายบา้ งอยใู่ นทน่ี น้ั ๆ  มหานาม  แมน้ กี้ เ็ ปน็ โทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองว่า มีกาม เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะ เหตุแหง่ กามทง้ั หลายทั้งนั้น. 86

เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ : สกทาคามี มหานาม  โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย นั่นเอง คือ คนท้ังหลายตัดช่องย่องเบาบ้าง ปล้นอย่าง กวาดล้างบ้าง ปล้นในเรือนหลังเดียวบ้าง ดักปล้นในทาง เปลี่ยวบ้าง สมสู่ภรรยาคนอื่นบ้าง พระราชาทั้งหลายจับ คนๆ นน้ั ไดแ้ ลว้ ใหท้ �ำ การลงโทษแบบตา่ งๆ คอื เฆยี่ นดว้ ย แส้บ้าง เฆี่ยนดว้ ยหวายบา้ ง ทุบดว้ ยทอ่ นไมบ้ า้ ง ตดั มือบ้าง ตดั เทา้ บา้ ง ตดั ทงั้ มอื และเทา้ บา้ ง ตดั หบู า้ ง ตดั จมกู บา้ ง ตดั ทงั้ หแู ละจมกู บา้ ง ลงโทษดว้ ยวธิ หี มอ้ เคยี่ วน�้ำ สม้ บา้ ง ดว้ ยวธิ ี ขอดสังขบ์ า้ ง ดว้ ยวิธีปากราหูบ้าง ดว้ ยวธิ ีพุม่ เพลิงบา้ ง ดว้ ย วธิ มี อื ไฟบา้ ง ดว้ ยวธิ นี งุ่ หนงั ชา้ งบา้ ง ดว้ ยวธิ นี งุ่ เปลอื กไมบ้ า้ ง ดว้ ยวธิ ยี นื กวางบา้ ง ดว้ ยวธิ กี ระชากเนอื้ ดว้ ยเบด็ บา้ ง ดว้ ยวธิ ี ควักเน้ือทีละกหาปณะบ้าง ด้วยวิธีแปรงแสบบ้าง ด้วยวิธี กางเวียนบ้าง ดว้ ยวธิ ีตงั่ ฟางบา้ ง ราดด้วยน�้ำ มนั ร้อนๆ บา้ ง ตใหัด้สศุนีรัขษกะับด้ากงิน1บค้างนเเหสลีย่าบนด้ัน้วถยึงหคลวาาวมทต้ังาเยปไ็นปๆบ้างบ้าไงด้รใับช้ทดุกาบข์ ปางตายบ้างอยู่ในที่นั้นๆ  มหานาม  แม้นี้ก็เป็นโทษของ กามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะเหตุแห่ง กามทัง้ หลายท้งั นน้ั . 1. รายละเอยี ดวธิ กี ารลงโทษนน้ั สามารถดเู พม่ิ เตมิ ไดจ้ ากกฎหมายตรา ๓ ดวง หมวด พระไอยการกระบดศกึ .  -ผรู้ วบรวม 87

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สกทาคามี 32 สุขท่คี วรกลัวและไมค่ วรกลวั -บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๔๒๗/๖๕๙. ... ก็ข้อนั้น อันเรากล่าวแล้วว่า บุคคลควรรู้จัก การวินิจฉัยในความสุข เมื่อรู้จักการวินิจฉัยความสุขแล้ว ควรประกอบความสุขชนิดท่ีเป็นภายใน ข้อนั้นเรากล่าว เพราะอาศยั เหตุผลอะไร. ภิกษุท้ังหลาย  กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้  ๕ อย่าง อะไรบ้าง คือ รูปท่ีรู้ได้ด้วยตา อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เปน็ ทเ่ี ขา้ ไปตง้ั อาศยั แหง่ ความใคร่ เป็นที่ตงั้ แหง่ ความก�ำ หนัด เสียงทีร่ ู้ได้ดว้ ยหู … กลิ่นที่รไู้ ด้ ด้วยจมูก … รสที่รู้ได้ด้วยลิ้น … และโผฏฐัพพะ ท่ีรู้ได้ ดว้ ยกาย อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เปน็ ทเ่ี ขา้ ไปตง้ั อาศยั แหง่ ความใคร่ เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความก�ำ หนดั   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สขุ โสมนสั อนั ใดอาศยั กามคณุ ๕ เหลา่ นเ้ี กดิ ขน้ึ   สุข โสมนัสน้ัน เราเรียกว่ากามสุข อันเป็นสุขของปุถุชน เป็นสุขทางเมถุน ไม่ใช่สุขอันประเสริฐ เรากล่าวว่า สุขน้ัน บุคคลไม่ควรเสพ ไมค่ วรเจริญ ไม่ควรทำ�ให้มาก ควรกลวั . 88

เปิดธรรมท่ีถูกปิด : สกทาคามี ภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าถึงซึ่ง ปฐมฌาน ... ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... แลว้ แลอย ู่ นเี้ ราเรยี กวา่ สขุ อาศยั เนกขมั มะ เปน็ สขุ เกดิ จาก ความสงดั เงยี บ สขุ เกดิ จากความเขา้ ไปสงบร�ำ งบั สขุ เกดิ จาก ความรู้พร้อม เรากล่าวว่า สุขนั้น บุคคลควรเสพให้ท่ัวถึง ควรทำ�ให้เจริญ ควรท�ำ ให้มาก ไม่ควรกลัว. คำ�ใดท่ีเรากล่าวแล้วว่า บุคคลควรรู้จักการวินิจฉัย ในความสขุ เมื่อรู้จกั การวินิจฉัยความสุขแล้ว ควรประกอบ ความสขุ ชนิดท่ีเป็นภายในน้ัน  ค�ำ นั้น เรากลา่ วแลว้ เพราะ อาศยั เหตุผลน้.ี 89

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : สกทาคามี ต้งั อยใู่ นภูมิคนแก่ เพราะละกามได้ 33 -บาลี ทกุ อ.ํ ๒๐/๘๖/๒๘๓. ทา่ นกจั จานะ  ขา้ พเจา้ ไดฟ้ งั มาดงั นว้ี า่ ทา่ นสมณะกจั จานะหาได้ อภวิ าท ลกุ ขน้ึ ตอ้ นรบั พวกพราหมณผ์ แู้ ก่ ผเู้ ฒา่ ผใู้ หญ่ ผลู้ ว่ งกาลผา่ นวยั หรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ  ท่านกัจจานะ  ข่าวท่ีได้ฟังมาน้ันจริงแท้ เพราะท่านกัจจานะหาได้อภิวาท หรือลุกข้ึนต้อนรับพวกพราหมณ์ผู้แก่ ผเู้ ฒา่ ผใู้ หญ่ ผลู้ ว่ งกาลผา่ นวยั หรอื ไมเ่ ชอ้ื เชญิ ดว้ ยอาสนะ  ทา่ นกจั จานะ  การกระท�ำ เชน่ นน้ี นั้ เป็นการไม่สมควรแท้. พราหมณ ์ ภมู คิ นแกแ่ ละภมู เิ ดก็ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้ทรงรู้ทรงเห็นพระองค์น้ันตรัสไว้ มีอยู่  พราหมณ์  ถึงแม้จะเป็นคนแก่มีอายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี โดยกำ�เนิดก็ดี แต่เขายังบริโภคกาม อยู่ใน ท่ามกลางกาม ถูกความเร่าร้อนเพราะกามแผดเผา ถูก กามวิตกเคี้ยวกินอยู่ ยังเป็นผู้ขวนขวายเพื่อแสวงหากาม เขากย็ อ่ มถงึ การนบั วา่ เปน็ พาล ไมใ่ ชเ่ ถระโดยแท ้ พราหมณ ์ ถงึ แมว้ า่ จะเปน็ เดก็ ยงั เปน็ หนมุ่ มผี มด�ำ สนทิ ประกอบดว้ ย ความเปน็ หนมุ่ อนั เจรญิ ยงั ตง้ั อยใู่ นปฐมวยั แตเ่ ขาไมบ่ รโิ ภคกาม ไมอ่ ยใู่ นทา่ มกลางกาม ไมถ่ กู ความเรา่ รอ้ นเพราะกามแผดเผา ไม่ถกู กามวิตกเคี้ยวกิน ไม่ขวนขวายเพ่อื แสวงหากาม เขาก็ ยอ่ มถึงการนบั วา่ เปน็ บณั ฑติ เปน็ เถระแน่แทท้ เี ดียว. 90

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : สกทาคามี ไดล้ กุ จากทเมน่ี ่อื ง่ั ทห่าม่นผมา้ หเฉาวกยีัจงจบาา่นขะา้ กงหล่านวง่ึ อกยร่าางบนเ้แีทลา้ ้ขวอพงภรากิ หษมหุ ณนมุ่์กัณ๑ฑ๐ร๐ารยปูน1ะ ดว้ ยเศยี รเกลา้ กลา่ ววา่ ‘พระคณุ เจา้ ทงั้ หลายเปน็ ผใู้ หญ่ ตงั้ อยใู่ นภมู ขิ อง คนแก่ แต่ข้าพเจา้ เป็นเดก็ ตั้งอยู่ในภมู ขิ องเด็ก’. 1. พระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั ฉบบั หลวง และฉบบั เฉลมิ พระเกยี รติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ไมม่ ี ระบจุ ำ�นวน ๑๐๐ รปู   แตใ่ นพระไตรปฎิ กฉบบั มอญ และมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั มรี ะบจุ ำ�นวนวา่ ๑๐๐ รปู .  -ผรู้ วบรวม 91

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : สกทาคามี ไม่เวยี นกลบั ไปสู่กามทัง้ หลายอีก 34 เพราะบรรลสุ ุขอ่ืนทส่ี งบกวา่ -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๑๘๐/๒๑๑. มหานาม  ถ้าแม้ว่าอริยสาวกเล็งเห็นด้วยปัญญา โดยชอบตามความเปน็ จรงิ อยา่ งนว้ี า่ กามใหค้ วามยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก มีความคับแค้นมาก โทษในกามน้ันยิ่งนัก ดังนี้ ถึงแม้อริยสาวกน้ันเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม แต่ยัง ไมบ่ รรลปุ ตี แิ ละสขุ หรอื กศุ ลธรรมอน่ื ทส่ี งบกวา่ นนั้ เธอกจ็ ะ ยังเป็นผ้เู วียนกลบั มาในกามได.้ มหานาม  แตเ่ มอื่ ใด อรยิ สาวกไดเ้ ลง็ เหน็ ดว้ ยปญั ญา โดยชอบตามความเปน็ จรงิ อยา่ งนวี้ า่ กามใหค้ วามยนิ ดนี อ้ ย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามน้ันยิ่งนัก ดังนี้ และเธอกเ็ วน้ จากกาม เวน้ จากอกศุ ลธรรม บรรลปุ ตี แิ ละสขุ หรือกุศลธรรมอื่นท่ีสงบกว่านั้น เมื่อน้ัน เธอย่อมเป็นผู้ไม่ เวียนกลบั มาในกามไดเ้ ปน็ แท้. 92

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สกทาคามี เหตเุ กิดของอกศุ ลวติ ก 35 -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๘๑/๓๕๕. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กามวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อย่างไม่มีเหตุ  พยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิด อยา่ งไมม่ เี หต ุ วหิ งิ สาวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อยา่ ง ไม่มเี หต.ุ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  กก็ ามวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อย่างไม่มีเหตุ  พยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิด อยา่ งไมม่ เี หต ุ วหิ งิ สาวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อยา่ ง ไม่มีเหตุ เป็นอย่างไร. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เพราะอาศยั กามธาตุ จงึ เกดิ ความหมายรู้ ในกาม (กามธาตุ ภกิ ขฺ เว ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชชฺ ติ กามสฺ า)1 เพราะอาศัยความหมายรู้ในกาม จึงเกิดความดำ�ริ ในกาม (กามสฺ  ปฏิจฺจ อุปปฺ ชฺชติ กามสงฺกปฺโป) เพราะอาศัยความดำ�ริในกาม จึงเกิดความพอใจ ในกาม (กามสงฺกปปฺ  ปฏิจจฺ อปุ ฺปชชฺ ติ กามจฉฺ นโฺ ท) เพราะอาศยั ความพอใจในกาม จงึ เกดิ ความเรา่ รอ้ น เพราะกาม (กามจฺฉนทฺ  ปฏจิ ฺจ อุปฺปชชฺ ติ กามปริฬาโห) เพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะกาม จึงเกิด การแสวงหากาม (กามปรฬิ าห ปฏิจจฺ อปุ ฺปชชฺ ติ กามปริเยสนา). 1. ได้ปรับสำ�นวนแปลให้เป็นแบบปฏิจจฯ ซ่งึ เป็นลักษณะพิเศษของคำ�พระศาสดา อนั เปน็ สคุ ตวนิ โย.  -ผรู้ วบรวม 93

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้งั หลาย  ปถุ ชุ นผ้ไู มไ่ ด้สดับ เมอ่ื แสวงหากาม ยอ่ มปฏบิ ตั ผิ ดิ โดยฐานะ ๓ คอื ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภิกษุท้ังหลาย  เพราะอาศัยพยาบาทธาตุ จึงเกิด ความหมายรู้ในพยาบาท  เพราะอาศัยความหมายรู้ใน พยาบาท จงึ เกดิ ความด�ำ รใิ นพยาบาท  เพราะอาศยั ความด�ำ ริ ในพยาบาท จึงเกิดความพอใจในพยาบาท  เพราะอาศัย ความพอใจในพยาบาท จงึ เกดิ ความเรา่ รอ้ นเพราะพยาบาท  เพราะอาศยั ความเรา่ รอ้ นเพราะพยาบาท จงึ เกดิ การแสวงหา พยาบาท  ภิกษุท้งั หลาย  ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เม่ือแสวงหา พยาบาทย่อมปฏิบัติผดิ โดยฐานะ ๓ คอื ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภิกษุท้ังหลาย  เพราะอาศัยวิหิงสาธาตุ จึงเกิด ความหมายร้ใู นวหิ งิ สา  เพราะอาศยั ความหมายร้ใู นวิหิงสา จึงเกดิ ความด�ำ รใิ นวิหงิ สา  เพราะอาศยั ความดำ�ริในวหิ ิงสา จงึ เกดิ ความพอใจในวหิ งิ สา  เพราะอาศยั ความพอใจในวหิ งิ สา จงึ เกดิ ความเรา่ รอ้ นเพราะวหิ งิ สา  เพราะอาศยั ความเรา่ รอ้ น เพราะวิหิงสา จึงเกิดการแสวงหาวิหิงสา  ภิกษุทั้งหลาย  ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เม่ือแสวงหาวิหิงสา ย่อมปฏิบัติผิดโดย ฐานะ ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. 94

เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : สกทาคามี ภิกษุท้ังหลาย  บุรุษวางคบหญ้าท่ีไฟติดแล้วใน ปา่ หญา้ แหง้ ถา้ หากเขาไมร่ บี ดบั ดว้ ยมอื และเทา้ แลว้ เมอื่ เปน็ เช่นน้ัน บรรดาสัตว์มีชีวิตท้ังหลาย ท่ีอาศัยหญ้าและไม้อยู่ ก็จะถึงความพินาศย่อยยับ  ภิกษุทั้งหลาย  ฉันใดก็ฉันนั้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหน่งึ เม่อื ไม่รีบละ ไม่รีบ บรรเทา ไมร่ บี ท�ำ ใหส้ น้ิ สดุ ไมร่ บี ท�ำ ใหไ้ มม่ เี หลอื ซง่ึ อกศุ ลสญั ญา ที่เกิดขึ้นก่อกวนแล้ว เขาย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความอึดอัด มคี วามคบั แคน้ มคี วามเรา่ รอ้ นในปจั จบุ นั เบอ้ื งหนา้ จากการตาย เพราะกายแตกท�ำ ลาย ทคุ ตเิ ป็นอันหวงั ได้. ภิกษุท้ังหลาย  เนกขัมมวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ  อัพยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ  อวิหิงสาวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไมเ่ กิดอย่างไม่มีเหตุ. ภิกษุทั้งหลาย  ก็เนกขัมมวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ  อัพยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ  อวิหิงสาวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไมเ่ กดิ อยา่ งไม่มีเหตุ เป็นอยา่ งไร. ภิกษุท้ังหลาย  เพราะอาศัยเนกขัมมธาตุ จึงเกิด ความหมายร้ใู นเนกขมั มะ (เนกฺขมมฺ ธาตุ ภกิ ขฺ เว ปฏิจฺจ อุปฺปชชฺ ติ เนกขฺ มฺมสฺา) 95

พุทธวจน - หมวดธรรม เพราะอาศยั ความหมายรใู้ นเนกขมั มะ จงึ เกดิ ความด�ำ ริ ในเนกขัมมะ (เนกขฺ มฺมสฺ  ปฏจิ ฺจ อปุ ปฺ ชฺชติ เนกขฺ มฺมสงกฺ ปฺโป) เพราะอาศยั ความด�ำ รใิ นเนกขมั มะ จงึ เกดิ ความพอใจ ในเนกขมั มะ (เนกขฺ มมฺ สงกฺ ปปฺ  ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชชฺ ติ เนกขฺ มมฺ จฉฺ นโฺ ท) เพราะอาศัยความพอใจในเนกขัมมะ  จึงเกิด ความเร่าร้อนเพราะเนกขมั มะ (เนกฺขมฺมจฺฉนฺท ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ เนกขฺ มมฺ ปริฬาโห) เพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะเนกขัมมะ จึงเกิด การแสวงหาเนกขมั มะ (เนกขฺ มมฺ ปรฬิ าห ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชชฺ ติ เนกขฺ มมฺ - ปริเยสนา) ภิกษุท้ังหลาย  อริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อแสวงหา เนกขัมมะ ย่อมปฏิบัติชอบโดยฐานะ ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภิกษุท้ังหลาย  เพราะอาศัยอัพยาบาทธาตุ จึงเกิด ความหมายรใู้ นความไมพ่ ยาบาท  เพราะอาศยั ความหมายรู้ ในความไม่พยาบาท จึงเกิดความดำ�ริในความไม่พยาบาท  เพราะอาศยั ความด�ำ รใิ นความไมพ่ ยาบาท จงึ เกดิ ความพอใจ ในความไม่พยาบาท  เพราะอาศัยความพอใจใน ความไมพ่ ยาบาท จงึ เกดิ ความเรา่ รอ้ นเพราะความไมพ่ ยาบาท  เพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะความไม่พยาบาท จึงเกิด การแสวงหาความไม่พยาบาท  ภิกษุทั้งหลาย  อริยสาวก 96

เปิดธรรมท่ีถูกปิด : สกทาคามี ผไู้ ดส้ ดบั เมอื่ แสวงหาความไมพ่ ยาบาท ยอ่ มปฏบิ ตั ชิ อบโดย ฐานะ ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภิกษุท้ังหลาย  เพราะอาศัยอวิหิงสาธาตุ จึงเกิด ความหมายรใู้ นอวหิ งิ สา  เพราะอาศยั ความหมายรใู้ นอวหิ งิ สา จงึ เกดิ ความด�ำ รใิ นอวหิ งิ สา  เพราะอาศยั ความด�ำ รใิ นอวหิ งิ สา จึงเกิดความพอใจในอวิหิงสา  เพราะอาศัยความพอใจใน อวิหิงสา จึงเกิดความเร่าร้อนเพราะอวิหิงสา  เพราะอาศัย ความเร่าร้อนเพราะอวิหิงสา จึงเกิดการแสวงหาอวิหิงสา  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั เมอื่ แสวงหาอวหิ งิ สา ยอ่ ม ปฏบิ ตั ิชอบโดยฐานะ ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภิกษุท้ังหลาย  บุรุษวางคบหญ้าที่ไฟติดแล้วใน ป่าหญา้ แหง้ ถ้าหากเขารบี ดับดว้ ยมอื และเทา้ แล้ว เมอื่ เป็น เช่นนั้น บรรดาสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ท่ีอาศัยหญ้าและไม้อยู่ กจ็ ะไมถ่ งึ ความพนิ าศยอ่ ยยบั   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ฉนั ใดกฉ็ นั นนั้ สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ เมอ่ื รบี ละ รบี บรรเทา รบี ท�ำ ใหส้ น้ิ สดุ รบี ท�ำ ใหไ้ มม่ เี หลอื ซง่ึ อกศุ ลสญั ญาทเี่ กดิ ขนึ้ ก่อกวนแล้ว เขาย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความอึดอัด ไม่มี ความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อนในปัจจุบัน เบื้องหน้าจาก การตายเพราะกายแตกท�ำ ลาย สคุ ตเิ ป็นอนั หวงั ได.้ 97

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สกทาคามี ขอ้ ปฏิบัติเพ่ือดับอกุศลสงั กปั ปะ 36 (ความดำ�ริอันเป็นอกศุ ล) -บาลี ม. ม. ๑๓/๓๔๙/๓๖๔. ช่างไม้  ก็ความดำ�ริอันเป็นอกุศล (อกุศลสังกัปปะ) เปน็ อยา่ งไร  ชา่ งไม ้ ความด�ำ รใิ นกาม ความด�ำ รใิ นพยาบาท ความดำ�ริในวิหิงสา (ความเบียดเบียน) เหล่านี้เรากล่าวว่า ความดำ�รอิ นั เป็นอกศุ ล. ช่างไม้  ก็ความดำ�รอิ นั เป็นอกุศลน้ี มีอะไรเป็นเหตุ ใหเ้ กดิ แมเ้ หตใุ หเ้ กดิ แหง่ ความด�ำ รอิ นั เปน็ อกศุ ลนน้ั เรากลา่ ว แลว้ วา่ มสี ญั ญาเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ กส็ ญั ญาเปน็ อยา่ งไร แมส้ ญั ญา กม็ มี าก หลายอยา่ ง นานาประการ สญั ญาใดเปน็ สญั ญาในกาม  เปน็ สญั ญาในพยาบาท เปน็ สญั ญาในวหิ งิ สา ความด�ำ รอิ นั เปน็ อกศุ ลน้ี มสี ญั ญาเปน็ เหตุใหเ้ กดิ . ชา่ งไม ้ กค็ วามด�ำ รอิ นั เปน็ อกศุ ลเหลา่ นี้ ดบั ไมเ่ หลอื ในท่ีไหน แมค้ วามดับแหง่ ความดำ�รอิ ันเปน็ อกศุ ลนน้ั เราก็ กล่าวไว้แล้ว  ช่างไม้  ในกรณีน้ี ภิกษุเพราะสงัดจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่  ความดำ�ริอันเป็น อกุศลเหล่านี้ ยอ่ มดับไมเ่ หลือในปฐมฌานน้ัน.1 1. ขอ้ สงั เกต แมใ้ นปฐมฌาน กส็ ามารถละอกศุ ลสงั กปั ปะทง้ั ๓ อยา่ งได.้   -ผรู้ วบรวม 98

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี ช่างไม้  ก็ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติเพ่ือ ความดับแห่งความดำ�ริอันเป็นอกุศล  ช่างไม้  ภิกษุใน ธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มปลกู ความพอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภ ความเพยี ร ยอ่ มประคองจติ ยอ่ มตง้ั จติ ไว้ เพอ่ื ความไมบ่ งั เกดิ แหง่ อกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาปทง้ั หลาย ทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ งั เกดิ ขน้ึ … เพ่อื ละอกุศลธรรมอันเป็นบาปท้งั หลายท่บี ังเกิดข้นึ แล้ว … เพอ่ื การบงั เกดิ ขน้ึ แหง่ กศุ ลธรรมทง้ั หลายทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ งั เกดิ … เพ่ือความย่ังยืน ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามย่ิงข้ึน ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มเป่ียมแห่งกุศลธรรม ท้ังหลายท่ีบังเกิดข้ึนแล้ว  ช่างไม้  ผู้ปฏิบัติอย่างน้ีแลช่ือว่า ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความดบั แหง่ ความด�ำ รอิ นั เปน็ อกศุ ล. ชา่ งไม ้ กค็ วามด�ำ รอิ นั เปน็ กศุ ลเปน็ อยา่ งไร  ชา่ งไม้  ความด�ำ รใิ นเนกขมั มะ ความด�ำ รใิ นความไมพ่ ยาบาท ความด�ำ ริ ในอวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) เหล่าน้เี รากล่าวว่าความดำ�ริ อนั เปน็ กศุ ล. ชา่ งไม ้ กค็ วามด�ำ รอิ นั เปน็ กศุ ลน้ี มอี ะไรเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ แมเ้ หตใุ หเ้ กดิ แหง่ ความด�ำ รอิ นั เปน็ กศุ ลนน้ั เรากลา่ วแลว้ วา่ มสี ญั ญาเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ   กส็ ญั ญาเปน็ อยา่ งไร แมส้ ญั ญากม็ มี าก หลายอยา่ ง นานาประการ สญั ญาใดเปน็ สญั ญาในเนกขมั มะ เปน็ สญั ญาในความไมพ่ ยาบาท เปน็ สญั ญาในอวหิ งิ สา ความด�ำ ริ อนั เปน็ กุศลนี้ มีสัญญาเปน็ เหตุให้เกิด. 99

พุทธวจน - หมวดธรรม ชา่ งไม ้ กค็ วามดำ�รอิ ันเปน็ กศุ ลเหลา่ น้ี ดบั ไมเ่ หลือ ในท่ีไหน แม้ความดับแห่งความดำ�ริอันเป็นกุศลนั้น เราก็ กลา่ วไวแ้ ลว้   ชา่ งไม ้ ในกรณนี ้ี ภกิ ษบุ รรลทุ ตุ ยิ ฌาน มคี วาม ผอ่ งใสแหง่ จติ ในภายใน เปน็ ธรรมเอกผดุ ขนึ้ ไมม่ วี ติ ก ไมม่ ี วิจาร เพราะวติ กวิจารสงบไป มปี ตี แิ ละสุขเกดิ อันจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ความด�ำ รอิ นั เปน็ กศุ ลเหลา่ น้ี ยอ่ มดบั ไมเ่ หลอื ใน ทตุ ยิ ฌานนน้ั . ช่างไม้  ก็ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงจะช่ือว่าปฏิบัติเพ่ือ ความดับแห่งความดำ�ริอันเป็นกุศล  ช่างไม้  ภิกษุใน ธรรมวินัยนี้ ยอ่ มปลกู ความพอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภ ความเพยี ร ยอ่ มประคองจติ ยอ่ มตง้ั จติ ไว้ เพอ่ื ความไมบ่ งั เกดิ แหง่ อกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาปทง้ั หลาย ทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ งั เกดิ ขน้ึ … เพ่อื ละอกุศลธรรมอันเป็นบาปท้งั หลายท่บี ังเกิดข้นึ แล้ว … เพอ่ื การบงั เกดิ ขน้ึ แหง่ กศุ ลธรรมทง้ั หลายทย่ี งั ไมไ่ ดบ้ งั เกดิ … เพ่ือความย่ังยืน ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามย่ิงข้ึน ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มเป่ียมแห่งกุศลธรรม ท้งั หลายท่บี ังเกิดข้นึ แล้ว  ช่างไม้  ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แลช่ือว่า ปฏิบัตเิ พื่อความดับแหง่ ความดำ�ริอนั เป็นกุศล. 100

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี เหตุเกิดของกามฉนั ทะ 37 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๑๒๐/๔๓๘. ภิกษุทั้งหลาย  กามฉันทะท่ียังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และท่เี กดิ ขน้ึ แล้ว ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อความเจรญิ ไพบูลยย์ ิ่งขึ้น เพราะกระท�ำ ในใจมากถึงธรรมอนั เปน็ ท่ีตงั้ แห่งกามราคะ. ภิกษุท้ังหลาย  พยาบาทท่ียังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และทเ่ี กิดขึน้ แล้ว ย่อมเปน็ ไปเพือ่ ความเจริญไพบลู ยย์ ิ่งขน้ึ เพราะกระทำ�ในใจมากถึงธรรมอันเป็นทตี่ งั้ แห่งพยาบาท. ภิกษุทั้งหลาย  ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดข้ึน และทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพือ่ ความเจรญิ ไพบูลยย์ ิ่งข้นึ เพราะกระท�ำ ในใจมากถงึ ธรรมอนั เป็นที่ต้ังแห่งถนี มิทธะ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  อทุ ธจั จกกุ กจุ จะทย่ี งั ไมเ่ กดิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ และท่เี กิดข้นึ แล้ว ย่อมเป็นไปเพ่อื ความเจริญไพบูลย์ย่งิ ข้นึ เพราะกระท�ำ ในใจมากถงึ ธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ. ภิกษุท้ังหลาย  วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดข้นึ แลว้ ย่อมเปน็ ไปเพื่อความเจรญิ ไพบลู ย์ยิง่ ข้นึ เพราะกระทำ�ในใจมากถงึ ธรรมอันเป็นทตี่ ้งั แห่งวิจกิ ิจฉา. (ในสตู รอน่ื ตรสั วา่ เพราะกระท�ำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย จงึ เปน็ เหตใุ หน้ วิ รณท์ ง้ั ๕ ทย่ี งั ไมเ่ กดิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ และทเ่ี กดิ แลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเจรญิ ไพบลู ยย์ ง่ิ ขน้ึ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๑๓๒/๔๘๒.  -ผรู้ วบรวม) 101

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : สกทาคามี อาหารของกามฉนั ทะ 38 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๙๔/๓๕๗. ภิกษุทั้งหลาย  กายนี้มีอาหารเป็นที่ต้ัง ดำ�รงอยู่ได้ เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำ�รงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นวิ รณ์ ๕ ก็มีอาหารเปน็ ท่ีตัง้ ด�ำ รงอย่ไู ดเ้ พราะอาศยั อาหาร ไม่มีอาหารดำ�รงอยไู่ ม่ได้ ฉันนัน้ เหมือนกนั . ภิกษุทั้งหลาย  ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้กามฉันทะ ที่ยงั ไม่เกดิ เกดิ ขนึ้ หรอื ทเ่ี กดิ ข้นึ แล้วให้เจรญิ ไพบลู ย์ยง่ิ ขึน้   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  สภุ นมิ ติ มอี ยู่ การกระท�ำ ใหม้ ากซง่ึ อโยนโิ ส- มนสกิ ารในสภุ นมิ ติ นนั้ นเี้ ปน็ อาหารใหก้ ามฉนั ทะทย่ี งั ไมเ่ กดิ เกดิ ขึน้ หรอื ทเี่ กดิ ขึน้ แลว้ ใหเ้ จริญไพบลู ย์ยงิ่ ขนึ้ . ภิกษุท้ังหลาย  ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาท ที่ยังไมเ่ กิด เกิดข้ึน หรือทีเ่ กดิ ขน้ึ แล้วใหเ้ จริญไพบูลยย์ ิง่ ขึน้   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปฏฆิ นมิ ติ มอี ยู่ การกระท�ำ ใหม้ ากซงึ่ อโยนโิ ส- มนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น น้ีเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยัง ไมเ่ กดิ เกดิ ขน้ึ หรือที่เกดิ ข้นึ แลว้ ให้เจริญไพบลู ยย์ ิ่งขน้ึ . ภิกษุทั้งหลาย  ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะ ท่ียังไม่เกิด เกดิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ ขน้ึ แล้วให้เจริญไพบลู ย์ย่ิงข้ึน  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความไมย่ นิ ดี ความเกยี จครา้ น ความบดิ ขเ้ี กยี จ ความเมาอาหาร ความทใี่ จหดหมู่ อี ยู่ การกระท�ำ ใหม้ ากซง่ึ 102

เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : สกทาคามี อโยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา่ นนั้ นเี้ ปน็ อาหารใหถ้ นี มทิ ธะ ทยี่ งั ไมเ่ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ ใหเ้ จรญิ ไพบลู ยย์ งิ่ ขนึ้ . ภิกษุท้ังหลาย  ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจ- กุกกุจจะท่ียังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือท่ีเกิดข้ึนแล้วให้เจริญ ไพบลู ยย์ ง่ิ ขน้ึ   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความไมส่ งบใจมอี ยู่ การกระท�ำ ให้มากซ่ึงอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น  นี้เป็น อาหารใหอ้ ทุ ธัจจกกุ กุจจะท่ียังไมเ่ กดิ เกิดข้นึ หรือท่ีเกิดขนึ้ แลว้ ใหเ้ จริญไพบูลย์ย่ิงขนึ้ . ภิกษุท้ังหลาย  ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉา ท่ยี งั ไมเ่ กิด เกิดข้นึ หรอื ท่เี กิดขนึ้ แลว้ ใหเ้ จรญิ ไพบลู ย์ยง่ิ ขน้ึ   ภิกษุท้ังหลาย  ธรรมท้ังหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา มอี ยู่ การกระท�ำ ใหม้ ากซงึ่ อโยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา่ นนั้ นเ้ี ปน็ อาหารใหว้ จิ กิ จิ ฉาทยี่ งั ไมเ่ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ ใหเ้ จรญิ ไพบูลย์ยง่ิ ขึ้น. ภิกษุท้ังหลาย  กายน้ีมีอาหารเป็นท่ีต้ัง ดำ�รงอยู่ได้ เพราะอาศยั อาหาร ไมม่ อี าหารด�ำ รงอยไู่ มไ่ ด้ แมฉ้ นั ใด นวิ รณ์ ๕ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำ�รงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไมม่ ีอาหารดำ�รงอยูไ่ มไ่ ด้ ฉนั นน้ั เหมอื นกัน. 103

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ : สกทาคามี เมอ่ื ตง้ั ใจฟงั ธรรม กามฉนั ทะ ยอ่ มไมม่ ี 39 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๑๓๔/๔๙๒. ภิกษุทั้งหลาย  สมัยใด อริยสาวกตั้งใจ ใส่ใจ รวม เข้าไวด้ ว้ ยใจท้ังหมด เงีย่ โสตลงฟงั ธรรม สมยั นัน้ นิวรณ์ ๕ ยอ่ มไมม่ แี กเ่ ธอ  โพชฌงค์ ๗ ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บรบิ ูรณ.์ ในสมัยนั้น นิวรณ์ ๕ อะไรบ้างย่อมไม่มีแก่เธอ คือ กามฉันทนิวรณ์ ย่อมไม่มี  พยาบาทนิวรณ์ ย่อมไม่มี ถีนมิทธนิวรณ์ ย่อมไม่มี  อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ย่อมไม่มี วจิ กิ จิ ฉานวิ รณ์ ยอ่ มไมม่  ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในสมยั นน้ั นวิ รณ์ ๕ เหลา่ นี้ ยอ่ มไมม่ แี กเ่ ธอ. ในสมยั นน้ั โพชฌงค์ ๗ อะไรบา้ งยอ่ มถงึ ความเจรญิ บริบูรณ์ คือ สติสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ วริ ยิ สมั โพชฌงค์ ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณ์ ปตี สิ มั โพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมถึง ความเจรญิ บรบิ รู ณ์ สมาธิสัมโพชฌงค์ ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บริบูรณ์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์  ภิกษุท้ังหลาย  ในสมัยน้ัน โพชฌงค์ ๗ เหล่าน้ี ย่อมถึง ความเจรญิ บรบิ รู ณ.์ ภิกษุทั้งหลาย  สมัยใด อริยสาวกตั้งใจ ใส่ใจ รวมเขา้ ไวด้ ว้ ยใจทง้ั หมด เงย่ี โสตลงฟงั ธรรม  สมยั นน้ั นวิ รณ์ ๕ ยอ่ มไมม่ แี กเ่ ธอ และโพชฌงค์ ๗ ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณ.์ 104

ราคะ โทสะ โมหะ 105

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : สกทาคามี ธรรมท่เี กดิ ขึน้ แล้ว บรรเทาได้ยาก 40 -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๒๐๖/๑๖๐. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ธรรม ๕ ประการเหลา่ น้ี เกดิ ขนึ้ แลว้ บรรเทาไดย้ าก  ๕ ประการอะไรบ้าง คอื (1) ราคะ เกดิ ขน้ึ แล้วบรรเทาไดย้ าก (2) โทสะ เกดิ ขึ้นแล้วบรรเทาได้ยาก (3) โมหะ เกดิ ขึน้ แล้วบรรเทาไดย้ าก (4) ปฏิภาณ เกิดขึน้ แล้วบรรเทาไดย้ าก (5) จติ คดิ จะไป (คมกิ จติ ตฺ ) เกดิ ขน้ึ แลว้ บรรเทาไดย้ าก ภิกษุท้ังหลาย  ธรรม ๕ ประการเหล่าน้ีแล เกิดขึ้น แลว้ บรรเทาได้ยาก. 106

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : สกทาคามี 41 ไฟ คอื ราคะ โทสะ โมหะ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๔๒/๔๓. ภิกษุท้งั หลาย  ไฟ ๗ อย่างเหล่าน้มี ีอย่ ู ๗ อย่าง อะไรบา้ ง คือ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ไฟคือ อาหไุ นยะ ไฟคอื คหบดี ไฟคอื ทกั ขไิ ณยะ และไฟทเี่ กดิ จากไม ้ ภิกษุทัง้ หลาย  เหล่าน้ีแลไฟ ๗ อย่าง. … พราหมณ ์ ไฟ ๓ อยา่ งเหลา่ นี้ ทา่ นควรละ ควรเวน้ ไมค่ วรเสพ  ๓ อย่างอะไรบา้ ง คือ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคอื โมหะ. พราหมณ์  ก็เพราะเหตุอะไร จึงควรละ ควรเว้น ไม่ควรเสพไฟคือราคะน้ี เพราะบุคคลผู้มีราคะ ถูกราคะ ครอบงำ� มีจิตถูกราคะกลุ้มรุม ย่อมประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตได้ ครั้นประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตแล้ว เม่ือตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก ดงั นนั้ ไฟคือราคะนี้ จงึ ควรละ ควรเว้น ไมค่ วรเสพ  พราหมณ ์ กเ็ พราะเหตอุ ะไร จงึ ควรละ ควรเวน้ ไม่ควรเสพไฟคือโทสะน้ี เพราะบุคคลผู้มีโทสะ ถูกโทสะ ครอบงำ� มีจิตถูกโทสะกลุ้มรุม ย่อมประพฤติกายทุจริต 107

พุทธวจน - หมวดธรรม วจที จุ รติ และมโนทจุ รติ ได้ ครนั้ ประพฤตกิ ายทจุ รติ วจที จุ รติ และมโนทจุ รติ แลว้ เมอื่ ตายไปยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก ดังนั้น ไฟคือโทสะน้ี จึงควรละ ควรเว้น ไม่ควรเสพ  พราหมณ ์ กเ็ พราะเหตอุ ะไร จงึ ควรละ ควรเวน้ ไมค่ วรเสพ ไฟคอื โมหะนี้ เพราะบคุ คลผมู้ โี มหะ ถกู โมหะครอบง�ำ มจี ติ ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต และ มโนทุจริตได้ คร้ันประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต และ มโนทุจริตแล้ว เม่ือตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดังนั้น ไฟคือโมหะนี้ จึงควรละ ควรเวน้ ไม่ควรเสพ. พราหมณ ์ ไฟ ๓ อยา่ งเหลา่ นแี้ ล ทา่ นควรละ ควรเวน้ ไม่ควรเสพ. พราหมณ์  ไฟ ๓ อย่างเหล่านี้ ท่านควรสักการะ เคารพ นบั ถอื บชู า บรหิ ารใหอ้ ยเู่ ปน็ สขุ โดยถกู ตอ้ ง  ๓ อยา่ ง อะไรบา้ ง คอื ไฟคอื อาหไุ นยะ ไฟคอื คหบดี ไฟคอื ทกั ขไิ ณยะ. พราหมณ ์ กไ็ ฟคอื อาหไุ นยะเปน็ อยา่ งไร  พราหมณ ์ บคุ คลบางคนในกรณนี ี้ คอื มารดากด็ ี บดิ ากด็ ี เหลา่ นเี้ รยี กวา่ ไฟคอื อาหไุ นยะ ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ บคุ คล ยอ่ มเกดิ มาจากมารดาและบดิ า ดงั นน้ั ไฟคอื อาหไุ นยะน้ี จงึ ควร สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า บรหิ ารใหอ้ ยเู่ ปน็ สขุ โดยถกู ตอ้ ง  108

เปิดธรรมที่ถกู ปิด : สกทาคามี พราหมณ์  ก็ไฟคือคหบดีเป็นอย่างไร  พราหมณ์  บุคคล บางคนในกรณนี ี้ คอื บตุ รกด็ ี ภรรยากด็ ี ทาสกด็ ี คนท�ำ งานกด็ ี เหล่าน้ีเรียกว่า ไฟคือคหบดี ดังนั้น ไฟคือคหบดีน้ี จึงควร สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า บรหิ ารใหอ้ ยเู่ ปน็ สขุ โดยถกู ตอ้ ง  พราหมณ์  ก็ไฟคือทักขิไณยะเป็นอย่างไร  พราหมณ์  สมณพราหมณบ์ างคนในโลกน้ี เปน็ ผงู้ ดเวน้ จากความประมาท มวั เมา ผตู้ งั้ มน่ั อยใู่ นขนั ตแิ ละโสรจั จะ ผฝู้ กึ ฝน ท�ำ ความสงบ ทำ�ความดับเย็นแก่ตนเอง เหล่านี้เรียกว่าไฟคือทักขิไณยะ ดงั นน้ั ไฟคอื ทกั ขไิ ณยะนี้ จงึ ควรสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า บรหิ ารให้อยู่เป็นสุขโดยถูกต้อง. พราหมณ ์ ไฟ ๓ อย่างเหล่าน้แี ล ทา่ นควรสักการะ เคารพ นบั ถอื บูชา บรหิ ารใหเ้ ป็นสุขโดยถูกต้อง. พราหมณ ์ สว่ นไฟทเ่ี กดิ จากไม้ ตอ้ งกอ่ ใหล้ กุ โพลงขน้ึ ตามกาลอันควร ต้องคอยดูตามกาลอันควร ต้องคอยดับ ตามกาลอันควร ต้องคอยเกบ็ ตามกาลอันควร. 109

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี เหตุใหเ้ ป็นคนดรุ ้าย 42 หรือคนสงบเสง่ยี ม -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๗๖/๕๘๖. คามณิ  บุคคลบางคนในโลกน้ียังละราคะไม่ได้ เพราะเปน็ ผยู้ งั ละราคะไมไ่ ด้ คนอน่ื จงึ ยว่ั ใหโ้ กรธได้ เมอ่ื ถกู คนอน่ื ยว่ั ใหโ้ กรธ ยอ่ มแสดงความโกรธใหป้ รากฏ ดว้ ยเหตนุ น้ั ผนู้ นั้ จึงถงึ ความนบั ว่า เปน็ คนดรุ ้าย. คามณิ  บุคคลบางคนในโลกนี้ยังละโทสะไม่ได้ เพราะเปน็ ผยู้ งั ละโทสะไมไ่ ด้ คนอน่ื จงึ ยวั่ ใหโ้ กรธได้ เมอ่ื ถกู คนอนื่ ยว่ั ใหโ้ กรธ ยอ่ มแสดงความโกรธใหป้ รากฏ ดว้ ยเหตนุ นั้ ผูน้ ั้นจงึ ถงึ ความนบั ว่า เป็นคนดุรา้ ย. คามณิ  บุคคลบางคนในโลกนี้ยังละโมหะไม่ได้ เพราะเปน็ ผยู้ งั ละโมหะไมไ่ ด้ คนอนื่ จงึ ยวั่ ใหโ้ กรธได้ เมอื่ ถกู คนอน่ื ยวั่ ใหโ้ กรธ ยอ่ มแสดงความโกรธใหป้ รากฏ ดว้ ยเหตนุ นั้ ผนู้ ั้นจงึ ถึงความนับวา่ เปน็ คนดุรา้ ย. คามณ ิ นแี้ ลเปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั ใหบ้ คุ คลบางคนใน โลกนจี้ งึ ถึงความนบั ว่า เป็นคนดรุ ้าย. คามณิ  อนง่ึ บุคคลบางคนในโลกนล้ี ะราคะได้แลว้ เพราะเป็นผู้ละราคะได้ คนอ่ืนจึงย่ัวให้โกรธไม่ได้ เม่ือถูก 110

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สกทาคามี คนอนื่ ยวั่ ใหโ้ กรธ กไ็ มแ่ สดงความโกรธใหป้ รากฏ ดว้ ยเหตนุ น้ั ผ้นู ั้นจึงถึงความนบั ว่า เป็นคนสงบเสงย่ี ม. คามณิ  บุคคลบางคนในโลกน้ีละโทสะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโทสะได้ คนอ่ืนจึงยั่วให้โกรธไม่ได้ เมื่อถูก คนอนื่ ยวั่ ใหโ้ กรธ กไ็ มแ่ สดงความโกรธใหป้ รากฏ ดว้ ยเหตนุ น้ั ผนู้ ้ันจึงถงึ ความนับวา่ เปน็ คนสงบเสงย่ี ม. คามณิ  บุคคลบางคนในโลกนี้ละโมหะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโมหะได้ คนอื่นจึงย่ัวให้โกรธไม่ได้ เม่ือถูก คนอน่ื ยวั่ ใหโ้ กรธ กไ็ มแ่ สดงความโกรธใหป้ รากฏ ดว้ ยเหตนุ นั้ ผ้นู ั้นจงึ ถึงความนบั ว่า เปน็ คนสงบเสงีย่ ม. คามณิ  นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้บุคคลบางคน ในโลกนี้จึงถงึ ความนับว่า เป็นคนสงบเสง่ยี ม. 111

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : สกทาคามี อาชีพที่มสี ่วนเก่ียวขอ้ งกับ 43 ราคะ โทสะ โมหะ -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๗๗/๕๘๙. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เคยได้ยินคำ�ของนักเต้นรำ� ผเู้ ปน็ อาจารยแ์ ละปาจารยก์ อ่ นๆ กลา่ ววา่ นกั เตน้ ร�ำ คนใดท�ำ ใหค้ นหวั เราะ รนื่ เรงิ ดว้ ยค�ำ จรงิ บา้ ง ค�ำ เทจ็ บา้ ง ในทา่ มกลางสถานเตน้ ร�ำ ในทา่ มกลาง สถานมหรสพ ผู้นั้นเม่ือกายแตกทำ�ลายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แหง่ เทวดาชื่อปหาสะ ในขอ้ น้ีพระผ้มู พี ระภาคตรัสว่าอย่างไร. อย่าเลยคามณิ ขอพักข้อน้ีเสียเถิด ท่านอย่าถาม ขอ้ น้กี ะเราเลย. แมค้ รงั้ ที่ ๒ คามณิ ได้ทูลถามอกี พระผู้มีพระภาคตรสั หา้ ม แมค้ รง้ั ท่ี ๓ คามณิ ไดท้ ลู ถามอกี พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั ตอบวา่ คามณิ  เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ ถูกเคร่ืองผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำ�ย่อมรวบรวมเข้าไว้ ซึ่งธรรมอันเป็นท่ีตั้งแห่งราคะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ� ในท่ามกลางสถานมหรสพแก่สตั วเ์ หลา่ นั้นมากย่งิ ข้ึน. คามณิ  เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ ถูกเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำ�ย่อมรวบรวมเข้าไว้ ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ� ในท่ามกลางสถานมหรสพแก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขนึ้ . 112

เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : สกทาคามี คามณิ  เม่อื ก่อนสัตว์ท้งั หลายยังไม่ปราศจากโมหะ ถูกเคร่ืองผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรำ�ย่อมรวบรวมเข้าไว้ ซ่ึงธรรมอันเป็นท่ีตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ� ในทา่ มกลางสถานมหรสพแก่สตั ว์เหล่านน้ั มากยิ่งข้นึ . คามณิ  นักเต้นรำ�นั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้ง อยูใ่ นความประมาท เมอ่ื กายแตกทำ�ลายไป ย่อมบังเกดิ ใน นรกชอ่ื ปหาสะ อนึง่ ถา้ เขามีความเห็นอยา่ งนว้ี า่ นกั เตน้ รำ� คนใดทำ�ให้คนหัวเราะ ร่ืนเริงด้วยคำ�จริงบ้าง คำ�เท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ� ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้น เมอื่ กายแตกท�ำ ลายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายแหง่ เทวดา ชอ่ื ปหาสะดงั น้ไี ซร้ ความเห็นของเขานัน้ เปน็ ความเหน็ ผดิ . คามณ ิ กเ็ รายอ่ มกลา่ วคติ ๒ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ของบคุ คลผมู้ คี วามเหน็ ผดิ คอื นรกหรอื ก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน. 113

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : สกทาคามี ความแตกตา่ งของ ราคะ โทสะ โมหะ 44 และวธิ ลี ะราคะ โทสะ โมหะ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๕๖/๕๐๘. ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าพวกปริพพาชกอัญญเดียรถีย์ จะพึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส  ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้มีอยู่ คือ ราคะ โทสะ และโมหะ  อาวุโส  อะไรเป็นความผิดแปลก อะไรเป็นความแตกต่าง อะไรเป็นเคร่ืองแสดงความต่าง ระหว่างธรรม ๓ อยา่ งเหลา่ น้นั ดงั น.้ี ภิกษุท้ังหลาย  เมื่อพวกเธอถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่เขาว่า อาวุโส  ราคะมีโทษน้อย คลายช้า  โทสะมโี ทษมาก คลายเรว็   โมหะมโี ทษมาก คลายช้า. ถา้ เขาถามอกี วา่ อาวโุ ส อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ปจั จยั ทท่ี �ำ ใหร้ าคะทยี่ งั ไมเ่ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ราคะทเี่ กดิ อยแู่ ลว้ เปน็ ไป เพอื่ ความเจรญิ โดยยง่ิ เพอื่ ความไพบลู ย์ ดงั น้ี ค�ำ ตอบพงึ มวี า่ สุภนิมติ (สงิ่ ท่ีทำ�ให้รู้สึกว่างาม) คอื เมอื่ เขาทำ�ในใจซ่งึ สุภนมิ ิต โดยไม่แยบคาย ราคะที่ยังไม่เกิดก็เกิดข้ึน และราคะท่ี เกดิ อยแู่ ลว้ กเ็ ปน็ ไปเพอื่ ความเจรญิ โดยยง่ิ เพอื่ ความไพบลู ย ์ อาวโุ ส  นค้ี อื เหตุ นคี้ อื ปัจจยั . 114

เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : สกทาคามี ถา้ เขาถามอกี วา่ อาวโุ ส อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ปจั จยั ท่ีทำ�ให้โทสะท่ียังไม่เกิด เกิดข้ึน หรือโทสะท่ีเกิดอยู่แล้ว เปน็ ไปเพอ่ื ความเจรญิ โดยยง่ิ เพอื่ ความไพบลู ย์ ดงั นี้ ค�ำ ตอบ พึงมวี า่ ปฏฆิ นิมิต (สง่ิ ท่ที �ำ ให้รู้สึกกระทบกระทั่ง) คือ เมื่อเขาทำ� ในใจซงึ่ ปฏฆิ นมิ ติ โดยไมแ่ ยบคาย โทสะทยี่ งั ไมเ่ กดิ กเ็ กดิ ขน้ึ และโทสะทเี่ กดิ อยแู่ ลว้ กเ็ ปน็ ไปเพอ่ื ความเจรญิ โดยยงิ่ เพอื่ ความไพบลู ย์  อาวโุ ส  นี้คือเหตุ นี้คือปัจจัย. ถา้ เขาถามอกี วา่ อาวโุ ส อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ปจั จยั ที่ทำ�ให้โมหะท่ียังไม่เกิด เกิดข้ึน หรือโมหะท่ีเกิดอยู่แล้ว เปน็ ไปเพอื่ ความเจรญิ โดยยงิ่ เพอื่ ความไพบลู ย์ ดงั น้ี ค�ำ ตอบ พงึ มวี า่ อโยนโิ สมนสกิ าร (การท�ำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย) คอื เมอื่ เขา ท�ำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย โมหะทย่ี งั ไมเ่ กดิ กเ็ กดิ ขน้ึ และโมหะ ทเ่ี กดิ อยแู่ ลว้ กเ็ ปน็ ไปเพอ่ื ความเจรญิ โดยยง่ิ เพอ่ื ความไพบลู ย์  อาวโุ ส  นีค้ อื เหตุ นี้คอื ปจั จยั . ถา้ เขาถามอกี วา่ อาวโุ ส อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ปจั จยั ท่ีทำ�ให้ราคะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดข้ึน หรือราคะท่ีเกิดอยู่แล้ว ละไป ดังน้ี ค�ำ ตอบพงึ มีวา่ อสภุ นิมติ (สง่ิ ทที่ �ำ ใหร้ ู้สึกว่าไมง่ าม) คือ เม่ือเขาทำ�ในใจซึ่งอสุภนิมิตโดยแยบคาย ราคะที่ยัง ไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น และราคะท่ีเกิดอยู่แล้วก็ละไป  อาวุโส  น้คี อื เหตุ นี้คอื ปจั จยั . 115

พุทธวจน - หมวดธรรม ถา้ เขาถามอกี วา่ อาวโุ ส อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ปจั จยั ที่ทำ�ให้โทสะท่ียังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือโทสะท่ีเกิดอยู่แล้ว ละไป ดงั น ้ี ค�ำ ตอบพงึ มวี า่ เมตตาเจโตวมิ ตุ ติ (ความหลดุ พน้ แหง่ จติ อนั ประกอบอยดู่ ว้ ยเมตตา) คอื เมอื่ เขาท�ำ ในใจซง่ึ เมตตา- เจโตวิมุตติโดยแยบคาย โทสะท่ียังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น และ โทสะที่เกดิ อยแู่ ล้วก็ละไป  อาวโุ ส  น้ีคอื เหตุ นคี้ อื ปจั จยั . ถา้ เขาถามอกี วา่ อาวโุ ส อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ปจั จยั ทท่ี ำ�ให้โมหะท่ียังไมเ่ กดิ ไม่เกดิ ขึน้ หรอื โมหะที่เกดิ อยู่แลว้ ละไป ดังนี้ คำ�ตอบพึงมีว่า โยนิโสมนสิการ (การทำ�ในใจโดย แยบคาย) คอื เมอื่ เขาท�ำ ในใจโดยแยบคาย โมหะทยี่ งั ไมเ่ กดิ ก็ ไมเ่ กดิ ขนึ้ และโมหะทเี่ กดิ อยแู่ ลว้ กล็ ะไป  อาวโุ ส  นคี้ อื เหตุ นีค้ อื ปจั จัย. 116

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : สกทาคามี เจรญิ อสภุ ะเพอ่ื ละราคะ เจรญิ เมตตา 45 เพอ่ื ละโทสะ เจรญิ ปญั ญาเพอ่ื ละโมหะ -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๙๖/๓๗๘. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ธรรม ๓ อยา่ งเหลา่ นม้ี อี ย ู่ ๓ อยา่ ง อะไรบา้ ง คอื ราคะ โทสะ และโมหะ  ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหลา่ นแี้ ล ธรรม ๓ อยา่ งนน้ั . ภิกษุท้ังหลาย  เพ่ือละเสียซ่ึงธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ ควรเจริญซ่ึงธรรม ๓ อย่าง  ธรรม ๓ อย่างอะไรบ้าง คือ เจรญิ อสภุ ะ เพอ่ื ละเสยี ซง่ึ ราคะ  เจรญิ เมตตา เพอื่ ละเสยี ซง่ึ โทสะ  เจรญิ ปญั ญา เพ่อื ละเสยี ซง่ึ โมหะ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ธรรม ๓ อยา่ งเหลา่ น้ี อนั บคุ คลควร เจริญเพอ่ื ละเสียซงึ่ ธรรม ๓ อยา่ งเหลา่ โนน้ แล. 117

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : สกทาคามี เจรญิ อนสุ สติ เพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะ 46 -บาลี เอกาทสก. อ.ํ ๒๔/๓๕๕/๒๑๘. เจ้าศากยะพระนามว่ามหานาม ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ หมอ่ มฉนั ทราบขา่ วดงั นว้ี า่ ภกิ ษเุ ปน็ อนั มากกระท�ำ จวี รกรรมเพอ่ื พระผมู้ พี ระภาคดว้ ยหวงั วา่ พระผมู้ พี ระภาคมจี วี รส�ำ เรจ็ แลว้ จะเสดจ็ จารกิ โดยลว่ งไป ๓ เดอื น ดงั น ี้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   หมอ่ มฉนั ผอู้ ยดู่ ว้ ยธรรมเครอ่ื งอยตู่ า่ งๆ จะพงึ อยดู่ ว้ ยธรรมเครอ่ื งอยอู่ ะไร. สาธุ สาธุ มหานาม  การที่พระองค์ เสด็จเข้ามาหา ตถาคตแลว้ ตรสั ถามวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ หมอ่ มฉนั ผอู้ ยู่ ดว้ ยธรรมเครอ่ื งอยตู่ า่ งๆ จะพงึ อยดู่ ว้ ยธรรมเครอ่ื งอยอู่ ะไร ดงั น้ี เปน็ การสมควรแก่พระองค์ผูเ้ ป็นกุลบุตร. มหานาม  กุลบุตรผู้มีศรัทธาย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ผู้ไม่มีศรัทธาย่อมไม่เป็นผู้บริบูรณ์  ผู้ปรารภความเพียร ยอ่ มเปน็ ผบู้ รบิ รู ณ์ ผเู้ กยี จครา้ นยอ่ มไมเ่ ปน็ ผบู้ รบิ รู ณ ์ ผมู้ สี ติ ตงั้ มนั่ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รบิ รู ณ์ ผมู้ สี ตหิ ลงลมื ยอ่ มไมเ่ ปน็ ผบู้ รบิ รู ณ์ ผมู้ จี ติ ตงั้ มนั่ ยอ่ มเปน็ ผบู้ รบิ รู ณ์ ผมู้ จี ติ ไมต่ ง้ั มน่ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ ผู้บริบูรณ์  ผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ ผู้มีปัญญาทราม ยอ่ มไมเ่ ปน็ ผบู้ รบิ รู ณ ์ มหานาม  เมอ่ื พระองคต์ ง้ั อยใู่ นธรรม ๕ ประการเหล่าน้แี ล้ว พึงเจริญธรรม ๖ ประการเหล่าน้ใี ห้ ยง่ิ ขน้ึ ไป. 118

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : สกทาคามี มหานาม  ในธรรม ๖ ประการนนั้ พระองคพ์ งึ ระลกึ ถงึ ตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์น้ัน เปน็ พระอรหันต์ … เป็นผูจ้ �ำ แนกธรรม  มหานาม  สมยั ใด อรยิ สาวกระลกึ ถงึ ตถาคต สมยั นน้ั จติ ของอรยิ สาวกนนั้ ยอ่ ม ไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม สมยั นน้ั จติ ของอรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มด�ำ เนนิ ไปตรง  มหานาม  อรยิ สาวกผูม้ ีจิตดำ�เนนิ ไปตรงเพราะปรารภตถาคต ยอ่ มได้ ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์ อันประกอบด้วยธรรม ปีติย่อมเกิดแก่อริยสาวกผู้มี ความปราโมทย์ กายของผู้มีใจประกอบด้วยปีติย่อมสงบ ผมู้ กี ายสงบยอ่ มเสวยสขุ จติ ของผมู้ สี ขุ ยอ่ มตงั้ มนั่   มหานาม  อรยิ สาวกนเ้ี รากลา่ ววา่ เปน็ ผถู้ งึ ความสงบอยใู่ นหมสู่ ตั วผ์ ถู้ งึ ความไม่สงบ เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มี ความพยาบาท เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสแห่งธรรมเจริญ พทุ ธานสุ สต.ิ มหานาม  อีกประการหนึ่ง พระองค์พึงระลึกถึง พระธรรมวา่ พระธรรมอนั พระผมู้ พี ระภาคตรสั ดแี ลว้ อนั บคุ คล พงึ เหน็ เอง … อนั วญิ ญชู นพงึ รเู้ ฉพาะตน  มหานาม  สมยั ใด อริยสาวกระลึกถึงพระธรรม สมัยน้ัน จิตของอริยสาวกน้ัน 119

พุทธวจน - หมวดธรรม ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะ กลุ้มรุม สมัยน้ัน จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมดำ�เนินไปตรง  มหานาม  อริยสาวกผู้มีจิตดำ�เนินไปตรงเพราะปรารภ พระธรรม ยอ่ มไดค้ วามรอู้ รรถ ยอ่ มไดค้ วามรธู้ รรม ยอ่ มได้ ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม … มหานาม  อริยสาวกนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ ผถู้ งึ ความไมส่ งบ เปน็ ผไู้ มม่ คี วามพยาบาทอยใู่ นหมสู่ ตั วผ์ มู้ ี ความพยาบาท เปน็ ผูถ้ ึงพรอ้ มดว้ ยกระแสแห่งธรรมเจริญ ธรรมานสุ สต.ิ มหานาม  อีกประการหน่ึง พระองค์พึงระลึกถึง พระสงฆว์ า่ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาค เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ ดแี ลว้ … เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่   มหานาม  สมยั ใด อรยิ สาวกระลกึ ถงึ พระสงฆ์ สมยั นน้ั จติ ของอรยิ สาวกนน้ั ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะ กลุ้มรุม สมัยน้ัน จิตของอริยสาวกน้ัน ย่อมดำ�เนินไปตรง  มหานาม  อริยสาวกผู้มีจิตดำ�เนินไปตรงเพราะปรารภ พระสงฆ์ ย่อมไดค้ วามรูอ้ รรถ ยอ่ มได้ความรธู้ รรม ยอ่ มได้ ความปราโมทยอ์ นั ประกอบดว้ ยธรรม … มหานาม อรยิ สาวกน้ี เรากลา่ ววา่ เปน็ ผถู้ งึ ความสงบอยใู่ นหมสู่ ตั วผ์ ถู้ งึ ความไมส่ งบ 120

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีความพยาบาท เป็นผูถ้ งึ พรอ้ มด้วยกระแสแห่งธรรมเจริญสังฆานุสสต.ิ มหานาม  อกี ประการหน่ึง พระองคพ์ งึ ระลึกถึงศีล ของตนวา่ เราเปน็ ผมู้ ศี ลี ไมข่ าด ไมท่ ะลุ ไมด่ า่ ง ไมพ่ รอ้ ย … เป็นไปเพ่ือสมาธิ  มหานาม  สมัยใด อริยสาวกระลึกถึงศีล สมยั นน้ั จติ ของอรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มไมถ่ กู ราคะกลมุ้ รมุ ไมถ่ กู โทสะกลมุ้ รมุ ไมถ่ กู โมหะกลมุ้ รมุ สมยั นนั้ จติ ของอรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มด�ำ เนนิ ไปตรง  มหานาม  อรยิ สาวกผมู้ จี ติ ด�ำ เนนิ ไปตรง เพราะปรารภศีล ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม … มหานาม  อริยสาวกนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ ผู้ถึงความไม่สงบ เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ ผมู้ คี วามพยาบาท เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยกระแสแหง่ ธรรมเจรญิ สีลานุสสต.ิ มหานาม  อกี ประการหนงึ่ พระองคพ์ งึ ระลกึ ถงึ จาคะ ของตนวา่ เปน็ ลาภของเราหนอ เราไดด้ แี ลว้ หนอ แมห้ มสู่ ตั ว์ เปน็ ผถู้ กู มลทนิ คอื ความตระหนค่ี รอบง�ำ แตเ่ ราเปน็ ผมู้ จี ติ ปราศจากมลทนิ คอื ความตระหนี่ อยคู่ รองเรอื น มกี ารบรจิ าค อันปลอ่ ยอยูเ่ ปน็ ประจำ� มฝี า่ มอื อนั ชมุ่ ยนิ ดแี ล้วในการสละ 121

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปน็ ผคู้ วรแกก่ ารขอ ยนิ ดใี นการใหแ้ ละการแบง่ ปนั   มหานาม  สมยั ใด อรยิ สาวกระลกึ ถงึ จาคะ สมยั นนั้ จติ ของอรยิ สาวกนน้ั ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะ กลุ้มรุม สมัยน้ัน จิตของอริยสาวกน้ัน ย่อมดำ�เนินไปตรง  มหานาม  อริยสาวกผมู้ จี ติ ดำ�เนนิ ไปตรงเพราะปรารภจาคะ ยอ่ มไดค้ วามรอู้ รรถ ยอ่ มไดค้ วามรธู้ รรม ยอ่ มไดค้ วามปราโมทย์ อนั ประกอบดว้ ยธรรม … มหานาม  อรยิ สาวกนเี้ รากลา่ ววา่ เปน็ ผถู้ งึ ความสงบอยใู่ นหมสู่ ตั วผ์ ถู้ งึ ความไมส่ งบ เปน็ ผไู้ มม่ ี ความพยาบาทอยใู่ นหมสู่ ตั วผ์ มู้ คี วามพยาบาท เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ ม ด้วยกระแสแหง่ ธรรมเจรญิ จาคานุสสต.ิ มหานาม  อีกประการหน่ึง พระองค์พึงระลึกถึง เทวดาท้ังหลายว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีอยู่ เทวดา ชั้นดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาชั้นยามามีอยู่ เทวดาชั้นดุสิตมีอยู่ เทวดาชั้นนิมมานรดีมีอยู่ เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีมีอยู่ เทวดาชน้ั พรหมกายกิ ามอี ยู่ เทวดาชน้ั ทส่ี งู ขน้ึ ไปกวา่ นน้ั กม็ อี ยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกน้ี แล้วไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีศรัทธา เชน่ นน้ั   เทวดาเหลา่ นนั้ ประกอบดว้ ยศลี เชน่ ใด จตุ จิ ากโลกนี้ แลว้ ไปบงั เกดิ ในเทวโลกชน้ั นน้ั ๆ ถงึ เรากเ็ ปน็ ผมู้ ศี ลี เชน่ นน้ั   122

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : สกทาคามี เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจากโลกน้ีแล้ว ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นนั้นๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีสุตะเช่นนั้น  เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นน้ันๆ ถึงเราก็เป็นผู้มีจาคะเช่นน้ัน  เทวดาเหลา่ นนั้ ประกอบดว้ ยปญั ญาเชน่ ใด จตุ จิ ากโลกนแ้ี ลว้ ไปบงั เกดิ ในเทวโลกชนั้ น้ันๆ ถงึ เราก็เป็นผมู้ ปี ัญญาเช่นนนั้   มหานาม  สมยั ใด อริยสาวกระลกึ ถงึ ศรทั ธา ศลี สุตะ จาคะ และปัญญาของตนและของเทวดาเหลา่ นัน้ สมัยน้ัน จิตของ อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มไมถ่ กู ราคะกลมุ้ รมุ ไมถ่ กู โทสะกลมุ้ รมุ ไมถ่ กู โมหะกลมุ้ รมุ สมยั นนั้ จติ ของอรยิ สาวกนนั้ ยอ่ มด�ำ เนนิ ไปตรง  มหานาม  อรยิ สาวกผมู้ จี ติ ด�ำ เนนิ ไปตรงเพราะปรารภเทวดา ท้งั หลาย ยอ่ มได้ความรอู้ รรถ ยอ่ มได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม ปีติย่อมเกิดแก่ อรยิ สาวกผมู้ คี วามปราโมทย์ กายของผมู้ ใี จประกอบดว้ ยปตี ิ ยอ่ มสงบ ผมู้ กี ายสงบแลว้ ยอ่ มเสวยสขุ จติ ของผมู้ สี ขุ ยอ่ มตง้ั มน่ั   มหานาม  อริยสาวกนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ใน หมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ใน หมสู่ ตั วผ์ มู้ คี วามพยาบาท เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยกระแสแหง่ ธรรม เจรญิ เทวตานุสสต.ิ 123

พุทธวจน - หมวดธรรม (ในสตู รอน่ื -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๓๔๘/๒๙๖. ตรสั วา่ การระลกึ ถงึ ตถาคต ระลึกถึงพระธรรม ระลึกถึงพระสงฆ์ ระลึกถึงศีล ระลึก ถงึ จาคะ ระลกึ ถึงธรรมอนั ทำ�ใหเ้ ปน็ เทวดา (อนุสสตทิ งั้ ๖ ประการ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ) ท�ำ ใหจ้ ติ ไมถ่ กู กลมุ้ รมุ ดว้ ยราคะ โทสะ และโมหะ เป็นจิตดำ�เนินไปตรง ก้าวออก หลุดพ้นไปจากความอยาก (เคธ) ซึง่ ความอยาก หรือเคธน้ี เป็นชือ่ แทนกามคณุ ๕. ในสตู รอน่ื - บาลี เอกาทสก. อ.ํ ๒๔/๓๖๑/๒๑๙. ตรสั วา่ อนสุ สตทิ งั้ ๖ ประการนี้ สามารถท�ำ ไดแ้ มเ้ มอื่ เดนิ อยู่ หรอื เมอ่ื ยนื อยู่ หรือเมื่อนั่งอยู่ หรือเมื่อนอนอยู่ หรือเมื่อกำ�ลังทำ�งานอยู่ หรือเมื่อ นอนเบียดบตุ รอยบู่ นทีน่ อน). 124

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สกทาคามี ศกึ ษาในสิกขา ๓ 47 เพื่อละราคะ โทสะ โมหะ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๖/๕๒๔. ภิกษุวัชชีบุตรรูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ  สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ ย่อมมาสู่อุเทศทุกก่ึงเดือน ขา้ พระองคไ์ มส่ ามารถท่จี ะศึกษาในสกิ ขาบทเหลา่ น้ี พระเจา้ ขา้ . ภิกษุ  ก็เธอสามารถหรือ ท่ีจะศึกษาในสิกขาทั้ง ๓ คอื ในอธศิ ลี สกิ ขา ในอธจิ ติ ตสกิ ขา และในอธปิ ญั ญาสกิ ขา. ขา้ พระองคส์ ามารถทจี่ ะศกึ ษาในสกิ ขาทงั้ ๓ คอื ในอธศิ ลี สกิ ขา ในอธิจิตตสกิ ขา และในอธิปญั ญาสิกขานัน้ พระเจ้าข้า. ภิกษุ  ถ้าอย่างน้ัน เธอจงศึกษาในสิกขาท้ัง ๓ คือ ในอธศิ ลี สกิ ขา ในอธจิ ติ ตสกิ ขา และในอธปิ ญั ญาสกิ ขาเถดิ . ภกิ ษ ุ เมอื่ ใด เธอศกึ ษาในอธศิ ลี สกิ ขาบา้ ง ศกึ ษาใน อธจิ ิตตสกิ ขาบา้ ง และศึกษาในอธปิ ัญญาสิกขาบา้ ง เมื่อน้ัน เธอผู้กำ�ลังศึกษาในศีลอันยิ่ง ศึกษาในจิตอันย่ิง และศึกษา ในปญั ญาอนั ยง่ิ อยู่ จะละราคะ โทสะ และโมหะเสยี ได้ เพราะ ละราคะ โทสะ และโมหะได้น้ันเอง เธอจะไม่กระทำ�สิ่งอัน เปน็ อกุศล และจะไมเ่ สพสง่ิ ที่เป็นบาปโดยแท้. 125

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี 48การละธรรม ๓ เพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะ -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๕๔/๗๖. ภกิ ษุทง้ั หลาย  ถ้าธรรม ๓ ประการเหล่านี้ ไม่มีอยู่ ในโลก ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นในโลก เป็นอรหันตสัมมา- สัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็ไม่ต้อง รุง่ เรืองอยู่ในโลก ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คอื ชาติ ชรา และมรณะ  ภิกษุท้ังหลาย  ธรรม ๓ ประการเหล่าน้ีแล ถ้าไม่มีในโลก  ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดข้ึนในโลกเป็น อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ และธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศแลว้ ก็ไมต่ ้องรงุ่ เรอื งอยูใ่ นโลก. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  เพราะเหตทุ ธ่ี รรม ๓ ประการเหลา่ น้ี มีอยู่ในโลก ดังน้ัน ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นในโลก เป็น อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ และธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศแลว้ จงึ ต้องรุ่งเรืองอย่ใู นโลก. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  บคุ คลเมอื่ ไมล่ ะซงึ่ ธรรม ๓ คอื ราคะ โทสะ และโมหะ กไ็ มอ่ าจละซง่ึ ธรรม ๓ คือ ชาติ ชรา และ มรณะ. ภิกษุท้ังหลาย  บุคคลเม่ือไม่ละซ่ึงธรรม ๓ คือ สกั กายทฏิ ฐ ิ(ความเหน็ วา่ กายของตน) วจิ กิ จิ ฉา (ความลงั เลในธรรม 126

เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : สกทาคามี ที่ไม่ควรลังเล) และสีลัพพัตตปรามาส (การลูบคลำ�ศีลและพรต) กไ็ ม่อาจละซึ่งธรรม ๓ คอื ราคะ โทสะ และโมหะ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอ่ื ไมล่ ะซงึ่ ธรรม ๓ คอื การท�ำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย (อโยนโิ ส มนสกิ าร) การพวั พนั อยใู่ นทฏิ ฐิ อนั ชวั่  (กมุ มคั คเสวนา) และการมจี ติ หดห ู่(เจตโสลนี ตั ตา) กไ็ มอ่ าจ ละซง่ึ ธรรม ๓ คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา และสลี พั พตั ตปรามาส. ภิกษุท้ังหลาย  บุคคลเมื่อไม่ละซ่ึงธรรม ๓ คือ ความมีสติอันลืมหลง (มุฏฐสัจจะ) ความไม่มีสัมปชัญญะ (อสมั ปชญั ญะ) และความสา่ ยแหง่ จติ  (เจตโส วกิ เขปะ) กไ็ มอ่ าจ ละซ่ึงธรรม ๓ คือ การทำ�ในใจโดยไม่แยบคาย การพัวพัน อยใู่ นทิฏฐิอนั ช่ัว และการมีจิตหดห่.ู ภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเม่ือไม่ละซึ่งธรรม ๓ คือ ความไมอ่ ยากเหน็ พระอรยิ ะ (อรยิ านงั อทสั สนกมั ย๎ ตา) ความไม่ อยากฟังธรรมของพระอริยะ (อริยธัมมัง อโสตุกัม๎ยตา) และ ความมีจิตเท่ียวเกาะเกี่ยว (อุปารัมภจิตตตา) ก็ไม่อาจละซึ่ง ธรรม ๓ คือ ความมีสติอันลืมหลง ความไม่มีสัมปชัญญะ และความสา่ ยแห่งจิต. ภิกษุท้ังหลาย  บุคคลเม่ือไม่ละซึ่งธรรม ๓ คือ ความฟงุ้ ซา่ น (อทุ ธจั จะ) ความไมส่ �ำ รวม (อสงั วระ) และความทศุ ลี   127

พุทธวจน - หมวดธรรม (ทสุ สลี ย๎ ะ) กไ็ มอ่ าจละซง่ึ ธรรม ๓ คอื ความไมอ่ ยากเหน็ พระอรยิ ะ ความไม่อยากฟังธรรมของพระอริยะ และความมีจิตเที่ยว เกาะเก่ยี ว. ภิกษุท้ังหลาย  บุคคลเมื่อไม่ละซ่ึงธรรม ๓ คือ ความไม่มีศรัทธา (อสัทธิยะ) ความไม่เอื้อเฟ้ือ (อวทัญญุตา) และความเกียจคร้าน (โกสัชชะ) ก็ไม่อาจละซ่ึงธรรม ๓ คือ ความฟุ้งซ่าน ความไมส่ ำ�รวม และความทุศีล. ภิกษุท้ังหลาย  บุคคลเม่ือไม่ละซึ่งธรรม ๓ คือ ความไมใ่ สใ่ จ (อนาทรยิ ะ) ความเปน็ ผวู้ า่ ยาก (โทวจสั สตา) และ ความมีมติ รชั่ว (ปาปมติ ตา) ก็ไม่อาจละซ่ึงธรรม ๓ คอื ความ ไมม่ ีศรัทธา ความไม่เอือ้ เฟือ้ และความเกียจคร้าน. ภิกษุท้ังหลาย  บุคคลเม่ือไม่ละซึ่งธรรม ๓ คือ ความไมม่ หี ริ  ิ(ไมล่ ะอายตอ่ บาปอกศุ ล) ความไมม่ โี อตตปั ปะ (ไม่ เกรงกลวั ตอ่ บาปอกศุ ล) และความประมาท กไ็ มอ่ าจละซงึ่ ธรรม ๓ คอื ความไมใ่ สใ่ จ ความเปน็ ผวู้ า่ ยาก และความมมี ติ รชวั่ . ภิกษุท้งั หลาย  เม่อื บุคคลน้ี เป็นผ้ไู ม่มีหิริ (ไม่ละอาย ต่อบาปอกุศล) ไม่มีโอตตัปปะ (ไม่เกรงกลัวต่อบาปอกุศล) และมี ความประมาทแล้ว  เขาเม่ือเป็นผู้ประมาท ก็ไม่อาจละซ่ึง ความไม่ใส่ใจ ความเป็นผูว้ า่ ยาก และความมีมติ รชว่ั . 128

เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปิด : สกทาคามี เขาเม่ือเป็นผู้มีมิตรช่ัว ก็ไม่อาจละซึ่งความไม่มี ศรทั ธา ความไม่เอ้อื เฟือ้ และความเกียจคร้าน. เขาเมอ่ื เปน็ ผเู้ กยี จครา้ น กไ็ มอ่ าจละซง่ึ ความฟงุ้ ซา่ น ความไมส่ ำ�รวม และความทศุ ีล. เขาเมื่อเปน็ ผทู้ ศุ ลี กไ็ ม่อาจละซึง่ ความไมอ่ ยากเห็น พระอรยิ ะ ความไมอ่ ยากฟงั ธรรมของพระอรยิ ะ และความมี จติ เที่ยวเกาะเกยี่ ว. เขาเม่ือเป็นผู้มีจิตเท่ียวเกาะเกี่ยว ก็ไม่อาจละซ่ึง ความมสี ตอิ ันลมื หลง ความไม่มีสมั ปชญั ญะ และความสา่ ย แห่งจติ . เขาเมอ่ื เปน็ ผมู้ คี วามสา่ ยแหง่ จติ กไ็ มอ่ าจละซง่ึ การท�ำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย การพวั พนั อยใู่ นทฏิ ฐอิ นั ชว่ั และการมี จติ หดหู่. เขาเมื่อเป็นผู้มีจิตหดหู่ ก็ไม่อาจละซึ่งสักกายทิฏฐิ วจิ กิ จิ ฉา และสลี พั พตั ตปรามาส. เขาเมื่อเป็นผู้มีวิจิกิจฉา ก็ไม่อาจละซ่ึงราคะ โทสะ และโมหะ. เขาเม่ือไม่ละซ่ึงราคะ โทสะ และโมหะ ก็ไม่อาจละ ซ่ึงชาติ ชรา และมรณะได้. 129

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย  บุคคลเมื่อละซ่ึงธรรม ๓ คือ ราคะ โทสะ และโมหะ ก็อาจละซ่ึงธรรม ๓ คือ ชาติ ชรา และ มรณะ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอ่ื ละซง่ึ ธรรม ๓ คอื สกั กายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพัตตปรามาส ก็อาจละซ่ึงธรรม ๓ คือ ราคะ โทสะ และโมหะ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอื่ ละซง่ึ ธรรม ๓ คอื การท�ำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย การพวั พนั อยใู่ นทฏิ ฐอิ นั ชวั่ และการมี จิตหดหู่ ก็อาจละซึ่งธรรม ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สลี ัพพัตตปรามาส. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอื่ ละซง่ึ ธรรม ๓ คอื ความมี สติอนั ลมื หลง ความไมม่ ีสมั ปชญั ญะ และความส่ายแหง่ จิต กอ็ าจละซง่ึ ธรรม ๓ คอื การท�ำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย การพวั พนั อยใู่ นทิฏฐอิ ันช่ัว และการมจี ิตหดห.ู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอ่ื ละซง่ึ ธรรม ๓ คอื ความไม่ อยากเห็นพระอริยะ ความไม่อยากฟังธรรมของพระอริยะ และความมจี ติ เทย่ี วเกาะเกย่ี ว กอ็ าจละซง่ึ ธรรม ๓ คอื ความมี สตอิ นั ลมื หลง ความไมม่ สี มั ปชญั ญะ และความสา่ ยแหง่ จติ . 130

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอ่ื ละซง่ึ ธรรม ๓ คอื ความฟงุ้ ซา่ น ความไม่สำ�รวม และความทุศีล ก็อาจละซ่ึงธรรม ๓ คือ ความไม่อยากเห็นพระอริยะ ความไม่อยากฟังธรรมของ พระอริยะ และความมีจิตเทีย่ วเกาะเก่ยี ว. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอื่ ละซงึ่ ธรรม ๓ คอื ความไมม่ ี ศรัทธา ความไม่เอื้อเฟ้ือ และความเกียจคร้าน ก็อาจละซ่ึง ธรรม ๓ คอื ความฟงุ้ ซ่าน ความไมส่ ำ�รวม และความทุศีล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอ่ื ละซงึ่ ธรรม ๓ คอื ความไม่ ใส่ใจ ความเป็นผู้ว่ายาก และความมีมิตรชั่ว ก็อาจละ ซึ่งธรรม ๓ คือ ความไม่มีศรัทธา ความไม่เอ้ือเฟ้ือ และ ความเกียจคร้าน. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คลเมอื่ ละซง่ึ ธรรม ๓ คอื ความไมม่ ี หิริ ความไม่มีโอตตัปปะ และความประมาท ก็อาจละซ่ึง ธรรม ๓ คอื ความไม่ใส่ใจ ความเปน็ ผวู้ า่ ยาก และความมี มิตรชั่ว. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เมอื่ บคุ คลน้ี เปน็ ผมู้ หี ริ ิ มโี อตตปั ปะ และมคี วามไมป่ ระมาทแลว้   เขาเมอื่ เปน็ ผไู้ มป่ ระมาท กอ็ าจ ละซึ่งความไมใ่ สใ่ จ ความเปน็ ผ้วู ่ายาก และความมีมติ รชว่ั . เขาเมอ่ื เปน็ ผมู้ กี ลั ยาณมติ ร (มติ รทดี่ งี าม) แลว้ กอ็ าจละ ซง่ึ ความไมม่ ศี รทั ธา ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื และความเกยี จครา้ น. 131

พุทธวจน - หมวดธรรม เขาเมอ่ื เปน็ ผมู้ คี วามเพยี รอนั ปรารภแลว้  (อารทั ธวริ ยิ ะ) กอ็ าจละซง่ึ ความฟงุ้ ซา่ น ความไมส่ �ำ รวม และความทศุ ลี . เขาเม่ือเป็นผู้มีศีล ก็อาจละซึ่งความไม่อยากเห็น พระอรยิ ะ ความไมอ่ ยากฟงั ธรรมของพระอรยิ ะ และความมี จิตเทีย่ วเกาะเกีย่ ว. เขาเมอ่ื เปน็ ผมู้ จี ติ ไมเ่ ทย่ี วเกาะเกย่ี ว (อนปุ ารมั ภจติ ตะ) กอ็ าจละซงึ่ ความมสี ตอิ นั ลมื หลง ความไมม่ สี มั ปชญั ญะ และ ความส่ายแห่งจิต. เขาเมอื่ เปน็ ผมู้ จี ติ ไมส่ า่ ยแลว้  (อวกิ ขติ ตจติ ตะ) กอ็ าจละ ซ่ึงการทำ�ในใจโดยไม่แยบคาย การพัวพันอยู่ในทิฏฐิอันชั่ว และการมจี ติ หดหู่. เขาเม่อื เป็นผ้มู ีจิตไม่หดห่แู ล้ว (อลีนจิตตะ) ก็อาจละ ซงึ่ สักกายทฏิ ฐิ วจิ ิกิจฉา และสลี ัพพัตตปรามาส. เขาเม่ือเป็นผู้ไม่มีวิจิกิจฉาแล้ว ก็อาจละซึ่งราคะ โทสะ และโมหะ. เขาเมอ่ื เปน็ ผลู้ ะไดแ้ ลว้ ซง่ึ ราคะ โทสะ และโมหะ กอ็ าจ ละซง่ึ ชาติ ชรา และมรณะได้ ดังนี้. 132