Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน สกทาคามี

Description: พุทธวจน สกทาคามี

Search

Read the Text Version

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : สกทาคามี เหน็ สญั โญชนยิ ธรรมโดยความเปน็ ของ 49 นา่ เบอ่ื หนา่ ย เพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะ -บาลี ทกุ . อ.ํ ๒๐/๖๕/๒๕๒. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ธรรม ๒ อยา่ งเหลา่ นม้ี อี ย ู่ ๒ อยา่ ง อะไรบ้าง คือ การตามเห็นความเป็นของน่ายินดี (อสฺสาทา) ในธรรมทง้ั หลายอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ สงั โยชน ์(สโฺ ชนเิ ยสุ ธมเฺ มส)ุ และการตามเหน็ ความเปน็ ของนา่ เบอ่ื หนา่ ย (นพิ พฺ ทิ า) ในธรรม ทง้ั หลายอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ สงั โยชน.์ ภิกษุท้ังหลาย  ผู้ตามเห็นความเป็นของน่ายินดี ในธรรมทั้งหลายอันเป็นท่ีตั้งแห่งสังโยชน์อยู่ ย่อมละราคะ โทสะ โมหะไม่ได้  เพราะละราคะ โทสะ โมหะไม่ได้ ย่อม ไมห่ ลุดพ้นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกขะโทมนสั อปุ ายาสะท้ังหลาย เรากลา่ วว่า ยอ่ มไม่หลุดพน้ จากทกุ ข์. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ผตู้ ามเหน็ ความเปน็ ของนา่ เบอ่ื หนา่ ย ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์อยู่ ย่อมละราคะ โทสะ โมหะได ้ เพราะละราคะ โทสะ โมหะได้ ยอ่ มหลดุ พน้ จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสะ ทัง้ หลาย เรากล่าวว่า ยอ่ มหลุดพ้นจากทุกข์. ภิกษทุ งั้ หลาย  เหลา่ นแ้ี ลธรรม ๒ อย่าง. 133

พทุ ธวจน - หมวดธรรม (ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ สงั โยชน์ ไดแ้ ก่ อายตนะภายในหก คอื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๑๐/๑๕๙.  อายตนะ ภายนอกหก คอื รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรม -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๓๕/๑๘๙.  ขันธ์ห้า คอื รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ -บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๒/๓๐๘.  นอกจากน้ี ยังได้ตรัสอีกว่า ธรรมเหลา่ น้ี กเ็ ปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ อปุ าทาน (อปุ าทานนยิ ธรรม) ดว้ ยเชน่ กนั ผสู้ นใจสามารถศกึ ษาเพมิ่ เตมิ ไดจ้ าก หนงั สอื พทุ ธวจน-หมวดธรรม เลม่ ๑๕ ปฏบิ ตั ิ สมถะ วปิ สั สนา หรอื จากพระไตรปฎิ ก.  -ผรู้ วบรวม) 134

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : สกทาคามี เพราะมีความสน้ิ ไปแห่งนนั ทิ 50 จึงิ มีความส้ินไปแหง่ ราคะ -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๖๓/๑๐๓. ภิกษุท้ังหลาย  ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงน่ันแหละ ว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอน้ันเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเห็น อยโู่ ดยถกู ตอ้ ง ยอ่ มเบอื่ หนา่ ย เพราะความสนิ้ ไปแหง่ นนั ท ิ (ความเพลิน) จึงมีความส้ินไปแห่งราคะ เพราะความส้ินไป แหง่ ราคะ จงึ มคี วามสนิ้ ไปแหง่ นนั ทิ เพราะความสน้ิ ไปแหง่ นันทิและราคะ กล่าวไดว้ า่ จติ หลุดพน้ แล้วด้วยด.ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษเุ หน็ เวทนาอนั ไมเ่ ทย่ี งนน่ั แหละ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง … ภกิ ษเุ หน็ สญั ญาอนั ไมเ่ ทย่ี งนน่ั แหละ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง … ภกิ ษเุ หน็ สงั ขารอนั ไมเ่ ทย่ี งนน่ั แหละ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง … ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษเุ หน็ วญิ ญาณอนั ไมเ่ ทย่ี งนน่ั แหละ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง ความเหน็ ของเธอนน้ั เปน็ สมั มาทฏิ ฐิ เมอ่ื เหน็ อยู่ โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จงึ มคี วามสน้ิ ไปแหง่ ราคะ เพราะความสน้ิ ไปแหง่ ราคะ จงึ มี ความสนิ้ ไปแหง่ นนั ทิ เพราะความสน้ิ ไปแหง่ นนั ทแิ ละราคะ กลา่ วได้ว่า จิตหลดุ พน้ แล้วดว้ ยด.ี 135

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย  เธอท้ังหลายจงกระทำ�ไว้ในใจซ่ึงรูป โดยอุบายอันแยบคาย และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง แห่งรูป ตามความเป็นจริง เม่ือภิกษุกระทำ�ไว้ในใจซึ่งรูป โดยอบุ ายอนั แยบคาย และพจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทยี่ งแหง่ รปู ตามความเปน็ จรงิ ย่อมเบ่อื หนา่ ยในรูป เพราะความสน้ิ ไป แห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ เพราะความส้ินไป แห่งราคะ จึงมีความส้ินไปแห่งนันทิ เพราะความสิ้นไป แหง่ นนั ทแิ ละราคะ กล่าวไดว้ า่ จติ หลุดพ้นแลว้ ด้วยด.ี ภิกษุทั้งหลาย  เธอท้ังหลายจงกระทำ�ไว้ในใจซึ่ง เวทนาโดยอุบายอันแยบคาย … เธอท้ังหลายจงกระทำ� ไว้ในใจซึ่งสัญญาโดยอุบายอันแยบคาย … เธอทั้งหลาย จงกระท�ำ ไว้ในใจซึ่งสังขารโดยอบุ ายอนั แยบคาย … . ภิกษุท้ังหลาย  เธอทั้งหลายจงกระทำ�ไว้ในใจ ซึ่งวิญญาณโดยอุบายอันแยบคาย และจงพิจารณาเห็น ความไม่เท่ียงแห่งวิญญาณ ตามความเป็นจริง เม่ือภิกษุ กระท�ำ ไวใ้ นใจซง่ึ วญิ ญาณโดยอบุ ายอนั แยบคาย และพจิ ารณา เห็นความไม่เท่ียงแห่งวิญญาณ ตามความเป็นจริง ย่อม เบ่อื หน่ายในวิญญาณ เพราะความส้ินไปแห่งนันทิ จึงมี ความสิ้นไปแห่งราคะ เพราะความส้ินไปแห่งราคะ จึงมี ความสน้ิ ไปแหง่ นนั ทิ เพราะความสนิ้ ไปแหง่ นนั ทแิ ละราคะ กลา่ วได้ว่า จิตหลุดพ้นแลว้ ด้วยด.ี 136

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : สกทาคามี (ในสตู รอน่ื -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๗๙-๑๘๐/๒๔๕-๒๔๘. ได้ตรัสโดยลักษณะเดียวกันนี้ แต่เปล่ียนจากช่ือของขันธ์ห้า เป็นอายตนะภายในหก คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ และอายตนะ ภายนอกหก คอื รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรม.  -ผรู้ วบรวม) 137

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : สกทาคามี นพิ พานท่ีเหน็ ไดเ้ อง 51 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๐๒/๔๙๕. ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ   ค�ำ ทพี่ ระโคดมกลา่ ววา่ นพิ พานทเี่ หน็ ไดเ้ อง (สนทฺ ฏิ ฺ กิ  นพิ พฺ าน) นพิ พานทเี่ หน็ ไดเ้ อง ดงั น ้ี ขา้ แตพ่ ระโคดม ผเู้ จรญิ  นพิ พานทเ่ี หน็ ไดเ้ อง ไมป่ ระกอบดว้ ยกาล เปน็ สง่ิ ทกี่ ลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสใ่ จ เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตนนน้ั มไี ด้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า พระเจ้าขา้ . พราหมณ์  บุคคลผู้มีราคะ ถูกราคะครอบงำ� มีจิต ถกู ราคะกลมุ้ รมุ ยอ่ มคดิ เพอ่ื เบยี ดเบยี นตนเองบา้ ง ยอ่ มคดิ เพ่ือเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนท้ังสอง ฝา่ ยบา้ ง ยอ่ มเสวยเฉพาะซง่ึ ทกุ ขะโทมนสั อนั เปน็ ไปทางจติ บา้ ง  เมื่อละราคะได้แล้ว เขาย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดเพ่ือเบียดเบียนผู้อื่น ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียน ทั้งสองฝ่าย และย่อมไม่เสวยเฉพาะซึ่งทุกขะโทมนัสอัน เป็นไปทางจิตโดยแท้  พราหมณ์  นิพพานที่เห็นได้เอง  (สนทฺ ฏิ ฺ กิ  นพิ พฺ าน) ไมป่ ระกอบดว้ ยกาล เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะ ผอู้ นื่ วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สงิ่ ทคี่ วรนอ้ มเขา้ มาใสใ่ จ เปน็ สง่ิ ท่ี ผู้รกู้ ร็ ้ไู ด้เฉพาะตน ย่อมมีไดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน.้ี 138

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สกทาคามี พราหมณ์  บุคคลผู้มีโทสะ ถูกโทสะครอบงำ� มีจิต ถกู โทสะกลมุ้ รมุ ยอ่ มคดิ เพอ่ื เบยี ดเบยี นตนเองบา้ ง ยอ่ มคดิ เพ่ือเบียดเบียนผู้อ่ืนบ้าง ย่อมคิดเพ่ือเบียดเบียนทั้งสอง ฝา่ ยบา้ ง ยอ่ มเสวยเฉพาะซง่ึ ทกุ ขะโทมนสั อนั เปน็ ไปทางจติ บา้ ง เม่ือละโทสะได้แล้ว เขาย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ย่อมไม่คิดเพ่ือเบียดเบียน ทั้งสองฝ่าย และย่อมไม่เสวยเฉพาะซ่ึงทุกขะโทมนัสอัน เป็นไปทางจิตโดยแท้  พราหมณ์  นิพพานท่ีเห็นได้เอง ไมป่ ระกอบดว้ ยกาล เป็นสง่ิ ท่คี วรกล่าวกะผ้อู น่ื ว่าทา่ นจงมา ดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสใ่ จ เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน ยอ่ มมไี ดด้ ้วยอาการอย่างน.ี้ พราหมณ์  บุคคลผู้มีโมหะ ถูกโมหะครอบงำ� มีจิต ถกู โมหะกลมุ้ รมุ ยอ่ มคดิ เพอ่ื เบยี ดเบยี นตนเองบา้ ง ยอ่ มคดิ เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ย่อมคิดเพ่ือเบียดเบียนท้ังสอง ฝา่ ยบา้ ง ยอ่ มเสวยเฉพาะซง่ึ ทกุ ขะโทมนสั อนั เปน็ ไปทางจติ บา้ ง เมื่อละโมหะได้แล้ว เขาย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดเพ่ือเบียดเบียนผู้อ่ืน ย่อมไม่คิดเพ่ือเบียดเบียน ทั้งสองฝ่าย และย่อมไม่เสวยเฉพาะซ่ึงทุกขะโทมนัสอัน เป็นไปในทางจิตโดยแท้  พราหมณ์  นิพพานท่ีเห็นได้เอง 139

พุทธวจน - หมวดธรรม ไมป่ ระกอบดว้ ยกาล เป็นสง่ิ ท่คี วรกลา่ วกะผอู้ ่นื วา่ ท่านจงมา ดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสใ่ จ เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน ยอ่ มมีไดด้ ้วยอาการอย่างน้ี. พราหมณ ์ เมอ่ื ใด ผนู้ ยี้ อ่ มเสวยเฉพาะซง่ึ ความสน้ิ ไป แหง่ ราคะ อนั หาเศษเหลอื มไิ ด้ ยอ่ มเสวยเฉพาะซงึ่ ความสนิ้ ไป แหง่ โทสะ อนั หาเศษเหลอื มไิ ด้ ยอ่ มเสวยเฉพาะซง่ึ ความสน้ิ ไป แห่งโมหะ อันหาเศษเหลือมิได้  พราหมณ์เอย  เม่ือน้ัน นพิ พานทเ่ี หน็ ไดเ้ อง ไมป่ ระกอบดว้ ยกาล เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะ ผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสใ่ จ เปน็ สง่ิ ท่ี ผรู้ กู้ ร็ ู้ไดเ้ ฉพาะตน ย่อมมีได้ดว้ ยอาการอย่างน้แี ล. 140

ภพ ๓ 141

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : สกทาคามี 52 ภพ ๓ (กามภพ รปู ภพ อรูปภพ) -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๕๒/๙๒. ภิกษทุ ั้งหลาย  ภพ1 เป็นอย่างไรเล่า. ภิกษทุ ั้งหลาย  ภพทงั้ หลาย ๓ อยา่ ง เหลา่ น้ี คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ2   ภิกษุทง้ั หลาย  นีเ้ รียกว่า ภพ. ความก่อข้นึ พร้อมแหง่ ภพ ยอ่ มมี เพราะความกอ่ ขึน้ พรอ้ มแห่งอุปาทาน  ความดับไม่เหลอื แหง่ ภพ ย่อมมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ อปุ าทาน มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอันประเสรฐิ นั่นเอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ภพ ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ นี้ คือ ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ การพูดจาชอบ การทำ� การงานชอบ การเล้ียงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตง้ั ใจม่นั ชอบ. 1. ภพ = สถานที่อันวิญญาณใช้ตั้งอาศัยเพื่อเกิดขึ้น หรือเจริญงอกงามต่อไป.  -ผู้รวบรวม 2. กามภพ = ทเ่ี กดิ อนั อาศยั ดนิ นำ้ � ไฟ ลม  รปู ภพ = สถานทเ่ี กดิ อนั อาศยั สง่ิ ทเ่ี ปน็ รปู ในสว่ นละเอยี ด  อรปู ภพ = สถานทเ่ี กดิ อนั อาศยั สง่ิ ทไ่ี มใ่ ชร่ ปู .  -ผรู้ วบรวม 142

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : สกทาคามี 53 การตง้ั อยขู่ องวญิ ญาณ คือ การบังเกดิ ในภพใหม่ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๘๗/๕๑๖. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   พระองคต์ รสั วา่ ภพ ภพ ดงั นี้ ภพ ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ ไร พระเจา้ ขา้ . อานนท ์ ถา้ กรรมมกี ามธาต1ุ เปน็ วบิ าก จะไมไ่ ดม้ แี ลว้ กามภพจะพงึ ปรากฏได้หรอื . ไมพ่ งึ ปรากฏเลย พระเจ้าขา้ . อานนท ์ ดว้ ยเหตนุ แี้ หละ กรรมจงึ เปน็ ผนื นา (กมมฺ  เขตตฺ ) วญิ ญาณเปน็ พชื  (วิ ฺ าณ พชี ) ตณั หาเปน็ ยางของพชื   (ตณฺหา สิเนโห) วิญญาณของสัตว์ท้ังหลายท่ีมีอวิชชาเป็น เครอ่ื งกน้ั มตี ณั หาเปน็ เครอ่ื งผกู ตง้ั อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ น้ั ทราม การบงั เกดิ ขนึ้ ในภพใหมต่ อ่ ไป ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน ี้ (อวิชฺชานีวรณาน สตฺตาน ตณฺหาสฺโชนาน หีนาย ธาตุยา วิฺาณ ปถุนา้ พกฺภรวรามภมินรีพิ ปู ฺพธตาตฺ ติ โ2ุ ห เตป)ิ น็. วบิ าก ปตฏิ ฺิต เอว อายตึ จะไมไ่ ดม้ แี ลว้ อานนท ์ รูปภพจะพึงปรากฏได้หรือ. ไมพ่ ึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า. 1. กามธาตุ = ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้ � ธาตไุ ฟ และธาตลุ ม.  -ผรู้ วบรวม 2. รปู ธาตุ = สง่ิ ทเ่ี ปน็ รปู ในสว่ นละเอยี ด.  -ผรู้ วบรวม 143

พทุ ธวจน - หมวดธรรม อานนท์  ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางของพืช วิญญาณของ สตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มตี ณั หาเปน็ เครอ่ื งผกู ตง้ั อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ นั้ กลาง (มชฌฺ มิ าย ธาตยุ า) การบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างน.ี้ อานนท ์ ถา้ กรรมมอี รปู ธาต1ุ  เปน็ วบิ าก จะไมไ่ ดม้ แี ลว้ อรูปภพจะพึงปรากฏได้หรือ. ไม่พงึ ปรากฏเลย พระเจ้าข้า. อานนท์  ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช  ตัณหาเป็นยางของพืช  วิญญาณของ สตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มตี ณั หาเปน็ เครอ่ื งผกู ตงั้ อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ น้ั ประณตี  (ปณตี าย ธาตยุ า) การบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน.้ี อานนท์  ภพ ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล. 1. อรปู ธาตุ = สง่ิ ทไ่ี มใ่ ชร่ ปู เปน็ นามธรรม เชน่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร (ผไู้ ดส้ มาธริ ะดบั อากาสานญั จายตนะขน้ึ ไป).  -ผรู้ วบรวม 144

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : สกทาคามี การตั้งอยู่ของความเจตนา 54 หรอื ความปรารถนา คือ การบงั เกิดในภพใหม่ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๘๘/๕๑๗. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   พระองคต์ รสั วา่ ภพ ภพ ดงั นี้ ภพ ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ ไร พระเจา้ ขา้ . อานนท ์ ถา้ กรรมมกี ามธาตเุ ปน็ วบิ าก จะไมไ่ ดม้ แี ลว้ กามภพจะพึงปรากฏได้หรือ. ไม่พึงปรากฏเลย พระเจา้ ขา้ . อานนท ์ ดว้ ยเหตนุ แ้ี หละ กรรมจงึ เปน็ ผนื นา (กมมฺ  เขตตฺ ) วญิ ญาณเปน็ พชื  (วิ ฺ าณ พชี ) ตณั หาเปน็ ยางของพชื   (ตณหฺ า สเิ นโห) ความเจตนากด็ ี ความปรารถนากด็ ี ของสตั ว์ ท้งั หลายท่มี ีอวิชชาเป็นเคร่อื งก้นั มีตัณหาเป็นเคร่อื งผูก ตง้ั อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ น้ั ทราม การบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ (อวิชฺชานีวรณาน สตฺตาน ตณฺหา- สโฺ ชนาน หนี าย ธาตยุ า เจตนา ปตฏิ ฺ ติ า ปตถฺ นา ปตฏิ ฺ ติ า เอว อายตึ ปนุ พภฺ วาภนิ พิ พฺ ตตฺ ิ โหต)ิ . อานนท์  ถา้ กรรมมรี ปู ธาตเุ ปน็ วบิ าก จะไมไ่ ดม้ แี ล้ว รปู ภพจะพึงปรากฏไดห้ รอื . ไมพ่ ึงปรากฏเลย พระเจา้ ขา้ . 145

พทุ ธวจน - หมวดธรรม อานนท์  ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางของพืช ความเจตนาก็ดี ความปรารถนากด็ ี ของสตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ต้ังอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นกลาง  (มชฺฌมิ าย ธาตยุ า) การบังเกดิ ขนึ้ ในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ดว้ ยอาการอย่างน.ี้ อานนท ์ ถา้ กรรมมอี รปู ธาตเุ ปน็ วบิ าก จะไมไ่ ดม้ ีแลว้ อรูปภพจะพึงปรากฏได้หรือ. ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าขา้ . อานนท์  ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางของพืช ความเจตนาก็ดี ความปรารถนากด็ ี ของสตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มีตัณหาเป็นเคร่ืองผูก ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุช้ันประณีต  (ปณีตาย ธาตุยา) การบังเกิดข้ึนในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอยา่ งน.้ี อานนท์  ภพ ยอ่ มมีได้ดว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล. 146

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : สกทาคามี ฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หา อปุ ายะ 55และอปุ าทาน ในขนั ธ์ ๕ คอื เครอ่ื งน�ำไปสภู่ พ -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๓๓/๓๖๘. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระองค์ตรัสว่า  เครื่องนำ�ไปสู่ภพ เคร่ืองนำ�ไปสู่ภพ ดังน้ี  ก็เครื่องนำ�ไปสู่ภพเป็นอย่างไร  และความดับ ไม่เหลือของเคร่ืองน�ำ ไปสูภ่ พเปน็ อยา่ งไร พระเจ้าข้า. ราธะ  ฉนั ทะ (ความพอใจ)  ราคะ (ความก�ำ หนดั )  นนั ท ิ (ความเพลิน)  ตัณหา (ความอยาก)  อุปายะ (ความเข้าถึง)  และอุปาทาน (ความถือม่ัน)  อันเป็นเครื่องตั้งทับ เครอ่ื งเขา้ ไปอาศยั และเครอ่ื งนอนเนอ่ื งแหง่ จติ  (เจตโส อธฏิ ฺ านา- ภนิ เิ วสานสุ ยา) ในรปู สิ่งเหล่าน้ีเราเรียกว่าเคร่ืองนำ�ไปสู่ภพ ความดบั ไมเ่ หลอื ของเครอื่ งน�ำ ไปสภู่ พมไี ด้ เพราะความดบั ไมเ่ หลอื ของฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หา อปุ ายะ และอปุ าทาน เหลา่ นัน้ นนั่ เอง. ราธะ  ฉนั ทะราคะนนั ทิ ตณั หา อปุ ายะและอปุ าทาน อนั เปน็ เครอื่ งตง้ั ทบั เครอ่ื งเขา้ ไปอาศยั และเครอ่ื งนอนเนอ่ื ง แห่งจิตในเวทนา … ในสัญญา … ในสังขารท้งั หลาย … ในวิญญาณ  สิ่งเหล่าน้ีเราเรียกว่าเครื่องนำ�ไปสู่ภพ ความดบั ไมเ่ หลอื ของเครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พมไี ด้ เพราะความดบั ไมเ่ หลอื ของฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หา อปุ ายะ และอปุ าทาน เหลา่ นน้ั นน่ั เอง. 147

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี มจี ติ ฝังลงไปในสง่ิ ใด 56 เครอื่ งนำ�ไปสูภ่ พใหม่ยอ่ มมี -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๘๐/๑๔๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ บคุ คลยอ่ มคดิ  (เจเตต)ิ  ถงึ สงิ่ ใดอยู่ ยอ่ มด�ำ ร ิ(ปกปเฺ ปต)ิ  ถงึ สง่ิ ใดอยู่ และยอ่ มมจี ติ ฝงั ลงไป (อนเุ สต)ิ   ในสิ่งใดอยู่ สิ่งน้ันย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการต้ังอยู่แห่ง วิญญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ยู่ ความตง้ั ขน้ึ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณ ย่อมมี  เม่ือวิญญาณน้ันต้ังข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหม ่(นต)ิ  ยอ่ มม ี เมอ่ื เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหมม่ ี การมาการไป (อาคตคิ ต)ิ  ยอ่ มม ี เมอ่ื การมาการไปมี การเคลอ่ื น และการบงั เกดิ ยอ่ มม ี เมอ่ื การเคลอ่ื นและการบงั เกดิ มี ชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสะท้ังหลาย จึงเกิดข้ึนครบถ้วนต่อไป ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ ท้ังสนิ้ นี้ ยอ่ มมีดว้ ยอาการอย่างนี้. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สง่ิ ใด ยอ่ มไม่ ด�ำ ริถงึ ส่งิ ใด แตเ่ ขายงั มีจิตฝงั ลงไปในสงิ่ ใดอยู่ สงิ่ นั้นย่อม เป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ  เมื่ออารมณ์มีอยู่ ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี เมื่อวิญญาณน้ัน ตงั้ ขน้ึ เฉพาะ เจรญิ งอกงามแลว้ เครอื่ งน�ำ ไปสภู่ พใหมย่ อ่ มม ี 148

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี เมอื่ เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหมม่ ี การมาการไปยอ่ มม ี เมอื่ การมา การไปมี การเคล่ือนและการบงั เกิดยอ่ มม ี เม่ือการเคล่อื น และการบงั เกดิ มี ชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ นตอ่ ไป ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม แหง่ กองทุกขท์ งั้ ส้ินนี้ ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอย่างนี.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สงิ่ ใดดว้ ย ยอ่ มไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใดดว้ ย และยอ่ มไมม่ จี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใดดว้ ย ในกาลใด ในกาลนนั้ สงิ่ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ อารมณเ์ พอื่ การตง้ั อยู่ แหง่ วญิ ญาณไดเ้ ลย  เมอ่ื อารมณไ์ มม่ ี ความตงั้ ขน้ึ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณยอ่ มไมม่  ี เมอ่ื วญิ ญาณนน้ั ไมต่ ง้ั ขน้ึ เฉพาะ ไมเ่ จรญิ งอกงามแลว้ เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหมย่ อ่ มไมม่  ี เมอ่ื เครอ่ื งน�ำ ไปสู่ ภพใหมไ่ มม่ ี การมาการไปยอ่ มไมม่  ี เมอ่ื การมาการไปไมม่ ี การเคล่ือนและการบังเกิดย่อมไม่มี  เม่ือการเคล่ือนและ การบงั เกดิ ไมม่ ี ชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลายตอ่ ไป จงึ ดบั สนิ้ ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ข์ ทัง้ สนิ้ นี้ ยอ่ มมีดว้ ยอาการอย่างน้ี ดงั น้ีแล. 149

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : สกทาคามี มีจิตฝังลงไปในสิง่ ใด 57 การกา้ วลงแห่งนามรูปย่อมมี -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๗๙/๑๔๗. ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าบุคคลย่อมคิดถึงสิ่งใดอยู่ ย่อม ดำ�ริถึงส่ิงใดอยู่ และย่อมมีจิตฝังลงไปในส่ิงใดอยู่ ส่ิงน้ัน ยอ่ มเปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ยู่ ความตั้งข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว การก้าวลงแห่งนามรูป  (นามรูปสฺส อวกฺกนฺติ) ย่อมมี  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ  เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ  เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา  เพราะมเี วทนาเปน็ ปจั จยั จงึ มตี ณั หา  เพราะมตี ณั หาเปน็ ปจั จยั จงึ มอี ปุ าทาน  เพราะมี อปุ าทานเปน็ ปจั จยั จงึ มภี พ  เพราะมภี พเปน็ ปจั จยั จงึ มชี าต ิ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอยา่ งน.้ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สงิ่ ใด ยอ่ มไม่ ดำ�ริถึงสิง่ ใด แตเ่ ขายงั มจี ติ ฝังลงไปในสิง่ ใดอยู่ สง่ิ น้นั ย่อม เป็นอารมณ์เพื่อการต้ังอยู่แห่งวิญญาณ  เม่ืออารมณ์มีอยู่ 150

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : สกทาคามี ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เม่ือวิญญาณนั้น ตง้ั ขน้ึ เฉพาะ เจรญิ งอกงามแลว้ การกา้ วลงแหง่ นามรปู ยอ่ มม ี เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ … ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม แหง่ กองทุกขท์ ั้งสิ้นน้ี ย่อมมีด้วยอาการอยา่ งน้ี. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สงิ่ ใดดว้ ย ยอ่ มไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใดดว้ ย และยอ่ มไมม่ จี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใดดว้ ย ในกาลใด  ในกาลนน้ั สง่ิ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยู่ แหง่ วญิ ญาณไดเ้ ลย  เมอ่ื อารมณไ์ มม่ ี ความตงั้ ขนึ้ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณยอ่ มไมม่  ี เมอื่ วญิ ญาณนน้ั ไมต่ งั้ ขนึ้ เฉพาะ ไมเ่ จรญิ งอกงามแลว้ การกา้ วลงแหง่ นามรปู ยอ่ มไมม่  ี เพราะมคี วามดบั แหง่ นามรปู จงึ มคี วามดบั แหง่ สฬายตนะ  เพราะมคี วามดบั แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ  เพราะมีความดับ แห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา  เพราะมีความดับแห่ง เวทนา จงึ มคี วามดบั แหง่ ตณั หา  เพราะมคี วามดบั แหง่ ตณั หา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน  เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จงึ มคี วามดบั แหง่ ภพ  เพราะมคี วามดบั แหง่ ภพ จงึ มคี วามดบั แหง่ ชาต ิ เพราะมคี วามดบั แหง่ ชาตนิ น่ั แล ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ ดบั สน้ิ   ความดบั ลงแห่งกองทกุ ข์ทงั้ สน้ิ นี้ ย่อมมดี ว้ ยอาการอยา่ งน้ี ดงั นี้แล. 151

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : สกทาคามี มจี ติ ฝงั ลงไปในสงิ่ ใด 58 การเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปยอ่ มมี -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๗๘/๑๔๕. ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าบุคคลย่อมคิดถึงส่ิงใดอยู่ ย่อม ดำ�ริถึงสิ่งใดอยู่  และย่อมมีจิตฝังลงไปในส่ิงใดอยู่ ส่ิงนั้น ยอ่ มเปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ย ู่ ความตั้งข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เม่ือวิญญาณนั้น ตั้งข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว  การเกิดข้ึนแห่งภพใหม่ ตอ่ ไป (ปนุ พภฺ วาภนิ พิ พฺ ตตฺ )ิ  ยอ่ มม ี เมอ่ื การเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหม่ ตอ่ ไปมอี ย ู่ ชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะ ท้ังหลายจึงเกิดข้ึนครบถ้วนต่อไป ความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง กองทกุ ข์ทั้งส้นิ น้ี ย่อมมีดว้ ยอาการอย่างน้.ี ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าบุคคลย่อมไม่คิดถึงส่ิงใด ย่อม ไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใด  แตเ่ ขายงั มจี ติ ฝงั ลงไปในสงิ่ ใดอย ู่ สงิ่ นนั้ ยอ่ มเปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ยู่ ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เม่ือวิญญาณนั้น ต้ังขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว การเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ตอ่ ไปยอ่ มม ี เมอ่ื การเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปมอี ย ู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ เกดิ ขน้ึ 152

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : สกทาคามี ครบถ้วนต่อไป  ความเกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ท้ังส้ินน้ี ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอยา่ งน.ี้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สง่ิ ใดดว้ ย  ยอ่ มไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใดดว้ ย และยอ่ มไมม่ จี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใดดว้ ย ในกาลใด  ในกาลนน้ั สง่ิ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยู่ แหง่ วญิ ญาณไดเ้ ลย  เมอื่ อารมณไ์ มม่ ี ความตง้ั ขน้ึ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณยอ่ มไมม่  ี เมอื่ วญิ ญาณนน้ั ไมต่ งั้ ขน้ึ เฉพาะ ไมเ่ จรญิ งอกงามแลว้ การเกดิ ขนึ้ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปยอ่ มไมม่  ี เมอ่ื การเกิดข้ึนแห่งภพใหม่ต่อไปไม่มี  ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสะทั้งหลายต่อไป จึงดับส้ิน  ความดับลงแห่งกองทุกข์ท้ังสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังน้แี ล. 153

154

ขอ้ ปฏิบัตเิ พ่ือความเปน็ อรยิ บุคคล 155

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สกทาคามี 59 อานิสงสข์ องธรรม ๔ ประการ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๖/๑๖๓๔., -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๓๓๒/๒๔๘. ภิกษุทั้งหลาย  ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ โสดาปตั ติผล  ๔ ประการอะไรบ้าง คอื (1) การคบสตั บุรษุ (สปปฺ ุรสิ สํเสว) (2) การฟงั สทั ธรรม (สทฺธมฺมสสฺ วน) (3) การกระท�ำ ไวใ้ นใจโดยแยบคาย (โยนโิ สมนสกิ าร) (4) การปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ่ รรม (ธมมฺ านธุ มมฺ - ปฏิปตตฺ ิ) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ธรรม ๔ ประการเหลา่ นแี้ ล อนั บคุ คล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ โสดาปัตติผล. ภิกษุทั้งหลาย  ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซึง่ สกทาคามผิ ล  ๔ ประการอะไรบา้ ง คอื การคบสัตบรุ ุษ  การฟงั สทั ธรรม การกระท�ำ ไวใ้ นใจโดยแยบคาย การปฏบิ ตั ิ ธรรมสมควรแกธ่ รรม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ธรรม ๔ ประการเหลา่ นแี้ ล อนั บคุ คล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซึ่งสกทาคามิผล. 156

เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : สกทาคามี ภิกษุท้ังหลาย  ธรรม ๔ ประการเหล่าน้ี อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซ่ึงอนาคามิผล  ๔ ประการอะไรบ้างคือ  การคบสัตบุรุษ  การฟงั สทั ธรรม การกระท�ำ ไวใ้ นใจโดยแยบคาย การปฏบิ ตั ิ ธรรมสมควรแกธ่ รรม. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ธรรม ๔ ประการเหลา่ นแี้ ล อนั บคุ คล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ อนาคามิผล. ภิกษุท้ังหลาย  ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ อันบุคคล เจริญแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือกระทำ�ให้ แจง้ ซงึ่ อรหตั ตผล  ๔ ประการอะไรบา้ ง คอื การคบสตั บรุ ษุ   การฟงั สทั ธรรม การกระท�ำ ไวใ้ นใจโดยแยบคาย การปฏบิ ตั ิ ธรรมสมควรแกธ่ รรม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ธรรม ๔ ประการเหลา่ นแ้ี ล อนั บคุ คล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ อรหตั ตผล. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ธรรมทง้ั หลาย ๔ ประการเหลา่ น้ี เปน็ ไป เพอ่ื ไดเ้ ฉพาะซงึ่ ปญั ญา (ปฺ าปฏลิ าภ)  ๔ ประการอะไรบา้ ง คือ การคบสัตบุรุษ การฟังสัทธรรม การกระทำ�ไว้ในใจ โดยแยบคาย การปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ่ รรม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ธรรม ๔ ประการเหลา่ นแ้ี ล เปน็ ไปพรอ้ ม เพอ่ื ไดเ้ ฉพาะซง่ึ ปญั ญา. 157

พุทธวจน - หมวดธรรม [ธรรม ๔ ประการเหลา่ นเ้ี ปน็ หลกั ธรรมทส่ี �ำ คญั เพราะไดต้ รสั ไว้ ในบาลีแหง่ อนื่ อกี หลายพระสตู ร ดงั น้ี เป็นธรรมที่มีอุปการะมากแก่มนุษย์ (มนุสฺสภูตพหุการ) (-บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๓๓๒/๒๔๙.) เป็นองค์คุณเครื่องให้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน (โสตา- ปตฺตยิ งฺค) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๓๔/๑๔๒๙.) เป็นเครื่องให้มีความเจริญแห่งปัญญา (ปฺาวุฑฺฒิ) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๗/๑๖๓๙.) เป็นเครื่องให้มีความไพบูลย์แห่งปัญญา (ปฺาเวปุลฺล) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๗/๑๖๔๐.) เป็นเคร่ืองให้มีปัญญาอันใหญ่หลวง (มหาปฺตา) (-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๑.) เป็นเคร่ืองใหม้ ปี ญั ญาอันหนาแน่น (ปถุ ุปฺตา) (-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๒.) เป็นเครื่องให้มีปัญญาอันไพบูลย์ (วิปุลปฺตา) (-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๓.) เป็นเครื่องให้มีปัญญาอันลึกซ้ึง (คมฺภีรปฺตา) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๔.) เป็นเครื่องให้มีปัญญาอันหาประมาณมิได้ (อปฺปมตฺต- ปฺตา) (-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๕.) 158

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สกทาคามี เป็นเครื่องให้มีปัญญาเสมือนแผ่นดิน (ภูริปฺตา) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๖.) เป็นเคร่ืองให้มีปัญญามาก (ปฺาพาหุลฺลาย) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๗.) เปน็ เครอ่ื งใหเ้ ปน็ ผมู้ ปี ญั ญาฉบั พลนั (สฆี ปฺ ตา) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๘.) เป็นเคร่ืองให้เป็นผู้มีปัญญาไว (ลหุปฺตา) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๔๙.) เป็นเครื่องให้เป็นผู้มีปัญญาอันร่าเริง (หาสปฺตา) (-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๑๘/๑๖๕๐.) เป็นเครื่องให้เป็นผู้มีปัญญาแล่น (ชวนปฺตา) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๕๑.) เป็นเครื่องให้เป็นผู้มีปัญญาคมกล้า (ติกฺขปฺตา) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๕๒.) เป็นเคร่ืองให้เป็นผู้มีปัญญาเครื่องเจาะแทง (นิพฺเพธิก- ปฺ ตา) (-บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๘/๑๖๕๓.)] 159

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : สกทาคามี ละธรรม ๕ อย่าง 60 ได้ความเปน็ อรยิ บคุ คล -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๓๐๓/๒๕๙. ภกิ ษุท้งั หลาย  ภิกษไุ ม่ละธรรม ๕ ประการ ไมค่ วร เพอื่ บรรลุปฐมฌาน  ธรรม ๕ ประการอะไรบา้ ง คอื (๑) ความตระหน่ีทอ่ี ยู่ (๒) ความตระหนส่ี กลุ (๓) ความตระหนลี่ าภ (๔) ความตระหนวี่ รรณะ (๕) ความเปน็ คนอกตญั ญูกตเวที ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ภกิ ษไุ มล่ ะธรรม ๕ ประการเหลา่ นแี้ ล ไมค่ วรเพอ่ื บรรลปุ ฐมฌาน. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ภกิ ษไุ มล่ ะธรรม ๕ ประการ ไมค่ วรเพอื่ บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน … ตตยิ ฌาน … จตุตถฌาน … ไม่ควรเพอื่ ท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล … สกทาคามผิ ล … อนาคามผิ ล … อรหตั ตผล ธรรม ๕ ประการอะไรบ้าง คอื (๑) ความตระหนท่ี อี่ ยู่ (๒) ความตระหนสี่ กลุ (๓) ความตระหนีล่ าภ (๔) ความตระหนี่วรรณะ (๕) ความเปน็ คนอกตญั ญกู ตเวที ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษไุ มล่ ะธรรม ๕ ประการเหลา่ นแ้ี ล ไมค่ วรเพ่อื ทำ�ใหแ้ จ้งซง่ึ อรหตั ตผล. 160

เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : สกทาคามี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษลุ ะธรรม ๕ ประการได้ ควรเพอื่ บรรลปุ ฐมฌาน  ธรรม ๕ ประการอะไรบา้ ง คอื (๑) ความตระหนีท่ อ่ี ยู่ (๒) ความตระหนี่สกลุ (๓) ความตระหนี่ลาภ (๔) ความตระหนี่วรรณะ (๕) ความเป็นคนอกตญั ญูกตเวที ภิกษุท้ังหลาย  ภิกษุละธรรม ๕ ประการเหล่าน้ีได้ ควรเพ่ือบรรลปุ ฐมฌาน. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ภกิ ษลุ ะธรรม ๕ ประการได้ ควรเพอื่ บรรลุทุติยฌาน … ตติยฌาน … จตุตถฌาน … ควรเพื่อ ท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ โสดาปตั ตผิ ล … สกทาคามผิ ล … อนาคามผิ ล … อรหตั ตผล  ธรรม ๕ ประการอะไรบา้ ง คอื (๑) ความตระหนท่ี อ่ี ยู่ (๒) ความตระหน่สี กุล (๓) ความตระหนี่ลาภ (๔) ความตระหน่วี รรณะ (๕) ความเปน็ คนอกตญั ญูกตเวที ภิกษุท้ังหลาย  ภิกษุละธรรม ๕ ประการเหล่านี้ได้ ควรเพอื่ ทำ�ให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล. (ในสตู รอน่ื ไดต้ รสั โดยนยั เดยี วกนั นี้ ตา่ งกนั เฉพาะในขอ้ ท่ี ๕ โดยตรสั วา่ เปน็ ความตระหนธี่ รรม -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๓๐๒/๒๕๗.  -ผูร้ วบรวม) 161

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : สกทาคามี ผลของการพิจารณาเหน็ สงั ขาร 61 โดยความไม่เที่ยง -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๙๑/๓๖๙. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษผุ พู้ จิ ารณาเหน็ สงั ขารใดๆ โดย ความเป็นของเท่ียง จะเป็นผู้ประกอบด้วยขันติท่ีสมควร (อนโุ ลมกิ าย ขนตฺ ยิ า) ขอ้ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด ้ เธอไม่ ประกอบดว้ ยขนั ตทิ ส่ี มควรแลว้ จะกา้ วลงสหู่ นทางแหง่ ความ ถกู ตอ้ ง (สมมฺ ตตฺ นยิ าม) ขอ้ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด ้ เมอ่ื ไม่ก้าวลงสู่หนทางแห่งความถูกต้องแล้ว จะกระทำ�ให้แจ้ง ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามิผล หรอื อรหัตตผล ขอ้ น้ันยอ่ มไม่เป็นฐานะที่จะมีได้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษผุ พู้ จิ ารณาเหน็ สงั ขารทง้ั ปวงโดย ความเปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง จะเปน็ ผปู้ ระกอบดว้ ยขนั ตทิ ส่ี มควร ข้อน้ันย่อมเป็นฐานะท่ีจะมีได้  เธอประกอบด้วยขันติท่ี สมควรแลว้ จะกา้ วลงสหู่ นทางแหง่ ความถกู ตอ้ ง (สมมฺ ตตฺ นยิ าม) ข้อน้ันย่อมเป็นฐานะท่ีจะมีได้ เม่ือก้าวลงสู่หนทางแห่ง ความถกู ตอ้ งแลว้ จะกระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล หรอื อรหตั ตผล ขอ้ นน้ั ยอ่ มเปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด.้ 162

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : สกทาคามี ผลของการพิจารณาเห็นสังขาร 62 โดยความเปน็ ทกุ ข์ -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๙๒/๓๗๐. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ภกิ ษผุ พู้ จิ ารณาเหน็ สงั ขารใดๆ โดย ความเป็นสุข จะเป็นผู้ประกอบด้วยขันติท่ีสมควร ข้อน้ัน ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ เธอไมป่ ระกอบดว้ ยขนั ตทิ สี่ มควร แล้ว จะกา้ วลงสู่หนทางแหง่ ความถกู ตอ้ ง ข้อน้นั ย่อมไมเ่ ปน็ ฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ก้าวลงสู่หนทางแหง่ ความถกู ตอ้ งแล้ว จะกระท�ำ ให้แจ้งซง่ึ โสดาปัตตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล หรอื อรหตั ตผล ขอ้ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษผุ พู้ จิ ารณาเหน็ สงั ขารทง้ั ปวงโดย ความเปน็ ทกุ ข์ จะเป็นผู้ประกอบด้วยขันติที่สมควร ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะทจ่ี ะมไี ด้ เธอประกอบด้วยขนั ติทสี่ มควรแลว้ จะก้าวลงสู่หนทางแห่งความถูกต้อง ข้อนั้นย่อมเป็นฐานะ ทจี่ ะมไี ด้ เมอื่ กา้ วลงสหู่ นทางแหง่ ความถกู ตอ้ งแลว้ จะกระท�ำ ให้แจ้งซ่ึง โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรือ อรหัตตผล ข้อนน้ั ย่อมเปน็ ฐานะที่จะมไี ด้. 163

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : สกทาคามี ผลของการพิจารณาเหน็ ธรรม 63 โดยความเปน็ อนัตตา -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๙๒/๓๗๑. ภิกษุท้ังหลาย  ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมใดๆ โดย ความเปน็ อตั ตา จะเปน็ ผปู้ ระกอบดว้ ยขนั ตทิ สี่ มควร ขอ้ นนั้ ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจี่ ะมไี ด้ เธอไมป่ ระกอบดว้ ยขนั ตทิ สี่ มควร แลว้ จะก้าวลงส่หู นทางแหง่ ความถกู ตอ้ ง ข้อนน้ั ยอ่ มไมเ่ ป็น ฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ก้าวลงสู่หนทางแหง่ ความถกู ตอ้ งแล้ว จะกระทำ�ให้แจ้งซึ่งโสดาปตั ติผล สกทาคามิผล อนาคามผิ ล หรอื อรหตั ตผล ขอ้ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ภกิ ษผุ พู้ จิ ารณาเหน็ ธรรมทง้ั ปวงโดย ความเปน็ อนตั ตา จะเปน็ ผปู้ ระกอบดว้ ยขนั ตทิ ส่ี มควร ขอ้ นน้ั ย่อมเปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ เธอประกอบดว้ ยขันติทสี่ มควรแล้ว จะก้าวลงสู่หนทางแห่งความถูกต้อง ข้อนั้นย่อมเป็นฐานะ ทจี่ ะมไี ด้ เมอื่ กา้ วลงสหู่ นทางแหง่ ความถกู ตอ้ งแลว้ จะกระท�ำ ให้แจ้งซึ่ง โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรือ อรหัตตผล ขอ้ นนั้ ยอ่ มเป็นฐานะทจี่ ะมไี ด้. 164

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี ผลของการพจิ ารณาเห็นนพิ พาน 64 โดยความเป็นสุข -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๙๒/๓๗๒. ภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้พิจารณาเห็นนิพพานโดย ความเป็นทุกข์ จะเป็นผู้ประกอบด้วยขันติท่ีสมควร ข้อนั้น ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ เธอไมป่ ระกอบดว้ ยขนั ตทิ สี่ มควร แล้ว จะก้าวลงสหู่ นทางแหง่ ความถกู ตอ้ ง ขอ้ นัน้ ย่อมไม่เป็น ฐานะท่ีจะมีได้ เมื่อไม่ก้าวลงสู่หนทางแหง่ ความถกู ตอ้ งแล้ว จะกระทำ�ให้แจง้ ซ่ึงโสดาปตั ติผล สกทาคามิผล อนาคามผิ ล หรอื อรหตั ตผล ขอ้ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด.้ ภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้พิจารณาเห็นนิพพานโดย ความเป็นสุข จะเป็นผู้ประกอบด้วยขันติท่ีสมควร ข้อนั้น ย่อมเปน็ ฐานะทีจ่ ะมไี ด้ เธอประกอบด้วยขันตทิ ี่สมควรแลว้ จะก้าวลงสู่หนทางแห่งความถูกต้อง ข้อน้ันย่อมเป็นฐานะ ทจ่ี ะมไี ด้ เมอื่ กา้ วลงสหู่ นทางแหง่ ความถกู ตอ้ งแลว้ จะกระท�ำ ให้แจ้งซ่ึง โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรือ อรหตั ตผล ขอ้ นนั้ ย่อมเป็นฐานะทจี่ ะมไี ด้. 165

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : สกทาคามี การเห็นเพอ่ื ละสงั โยชน์ 65 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๗/๕๗. ข้าแตพ่ ระองค์ผูเ้ จรญิ   เมื่อบุคคลรู้อยูอ่ ย่างไร เหน็ อย่อู ยา่ งไร จึงจะละสังโยชน์ได.้ ภิกษุ  เม่ือบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งตาโดยความเป็น ของไมเ่ ท่ยี ง ย่อมละสังโยชน์ได้. เมื่อบคุ คลร้อู ยู่ เหน็ อยู่ ซง่ึ รปู ท้ังหลาย … . เมอ่ื บุคคลรู้อยู่ เหน็ อยู่ ซ่ึงจักษุวิญญาณ … . เมอ่ื บุคคลรู้อยู่ เหน็ อยู่ ซงึ่ จักษุสัมผสั … . เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเี่ กิดขึ้นเพราะจกั ษุสมั ผัสเป็นปจั จยั โดยความเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง ยอ่ มละสงั โยชน์ได้. ภกิ ษ ุ เมอ่ื บคุ คลรอู้ ยู่ เหน็ อยู่ ซงึ่ หู … ซง่ึ เสยี งทง้ั หลาย … ซ่ึงโสตวิญญาณ … ซึ่งโสตสัมผัส … ซึ่งสุขเวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเี่ กดิ ขน้ึ เพราะโสตสมั ผสั เปน็ ปจั จัย โดยความเป็นของไมเ่ ท่ียง ย่อมละสงั โยชน์ได.้ ภกิ ษ ุ เมอ่ื บคุ คลรอู้ ยู่เหน็ อยู่ซง่ึ จมกู … ซง่ึ กลน่ิ ทง้ั หลาย … ซ่ึงฆานวิญญาณ … ซึ่งฆานสัมผัส … ซ่ึงสุขเวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะฆานสมั ผสั เปน็ ปัจจยั โดยความเป็นของไม่เท่ยี ง ยอ่ มละสงั โยชน์ได.้ 166

เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : สกทาคามี ภกิ ษ ุ เมอ่ื บคุ คลรอู้ ยู่ เหน็ อยู่ ซง่ึ ลนิ้ … ซงึ่ รสทง้ั หลาย … ซึ่งชิวหาวิญญาณ … ซึ่งชิวหาสัมผัส … ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหา- สมั ผสั เปน็ ปจั จยั โดยความเปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง ยอ่ มละสงั โยชนไ์ ด.้ ภิกษุ  เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งกาย … ซ่ึง โผฏฐัพพะท้งั หลาย … ซึ่งกายวิญญาณ … ซ่ึงกายสมั ผสั … ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ท่ีเกิดข้ึน เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เท่ียง ย่อมละสงั โยชนไ์ ด.้ ภกิ ษ ุ เมอื่ บคุ คลรอู้ ยู่ เหน็ อยู่ ซงึ่ ใจ … ซง่ึ ธรรมทงั้ หลาย … ซึ่งมโนวิญญาณ … ซึ่งมโนสัมผัส … ซึ่งสุขเวทนา ทกุ ขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะมโนสมั ผสั เป็นปจั จัย โดยความเป็นของไม่เทยี่ ง ยอ่ มละสงั โยชนไ์ ด.้ ภิกษุ  เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างน้ีแล ย่อมละสงั โยชนไ์ ด.้ (ในสตู รอน่ื ตรสั วา่ เมอ่ื รอู้ ยู่ เหน็ อยซู่ ง่ึ ธรรมเหลา่ น้ี โดยความเปน็ อนตั ตา สงั โยชนจ์ ึงจะถงึ ความเพกิ ถอน  -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๘/๕๘.  -ผรู้ วบรวม) 167

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : สกทาคามี การเหน็ เพือ่ ละอนุสยั 66 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๙/๖๑. ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจริญ  เม่ือบคุ คลรอู้ ยู่อย่างไร เห็นอยอู่ ยา่ งไร จึงจะละอนสุ ัยได.้ ภิกษุ  เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซ่ึงตาโดยความเป็น ของไม่เทีย่ ง ยอ่ มละอนสุ ยั ได.้ เมื่อบุคคลรอู้ ยู่ เหน็ อยู่ ซึ่งรูปทัง้ หลาย … . เม่อื บุคคลรอู้ ยู่ เห็นอยู่ ซง่ึ จกั ษวุ ิญญาณ … . เมือ่ บคุ คลรอู้ ยู่ เหน็ อยู่ ซงึ่ จักษุสัมผสั … . เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซ่ึงสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทกุ ขมสุขเวทนา ทเี่ กดิ ข้ึนเพราะจกั ษสุ มั ผัสเป็นปัจจัย โดยความเปน็ ของไม่เทยี่ ง ยอ่ มละอนสุ ัยได.้ (ในกรณแี ห่งธรรมหมวด หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ กม็ ขี อ้ ความ อย่างเดยี วกนั ) ภิกษ ุ บุคคลรอู้ ย่อู ยา่ งนี้ เหน็ อยู่อยา่ งนแ้ี ล ย่อมละ อนุสยั ได้. (ในสตู รอน่ื ตรสั วา่ เมอ่ื รอู้ ยู่ เหน็ อยซู่ ง่ึ ธรรมเหลา่ น้ี โดยความ เปน็ อนตั ตา อนสุ ยั จงึ จะถงึ ความเพกิ ถอน  -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๙/๖๒.  -ผรู้ วบรวม) 168

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ : สกทาคามี การเหน็ เพ่อื ละอาสวะ 67 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๘/๕๙. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เม่ือบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จงึ จะละอาสวะได.้ ภิกษุ  เม่ือบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งตาโดยความเป็น ของไมเ่ ทย่ี ง ยอ่ มละอาสวะได้. เม่ือบคุ คลรอู้ ยู่ เหน็ อยู่ ซง่ึ รปู ท้งั หลาย … . เมอ่ื บุคคลรู้อยู่ เหน็ อยู่ ซ่ึงจกั ษวุ ญิ ญาณ … . เมอ่ื บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซ่งึ จกั ษสุ ัมผสั … . เม่ือบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซ่ึงสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทุกขมสุขเวทนา ที่เกดิ ขน้ึ เพราะจักษุสมั ผัสเป็นปจั จยั โดยความเปน็ ของไม่เที่ยง ย่อมละอาสวะได้. (ในกรณแี ห่งธรรมหมวด หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ กม็ ขี อ้ ความ อยา่ งเดียวกนั ) ภกิ ษ ุ บุคคลรอู้ ยู่อย่างนี้ เหน็ อย่อู ยา่ งน้ีแล ยอ่ มละ อาสวะได้. (ในสตู รอนื่ ตรัสว่า เมอื่ รอู้ ยู่ เหน็ อยู่ซ่ึงธรรมเหลา่ น้ี โดยความ เปน็ อนตั ตา อาสวะจงึ จะถงึ ความเพกิ ถอน  -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๘/๖๐.  -ผรู้ วบรวม) 169

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : สกทาคามี การเหน็ เพื่อละอวชิ ชา 68 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๗/๕๖. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จงึ จะละอวชิ ชาได้ วชิ ชาจึงจะเกิดข้ึน. ภิกษุ  เม่ือบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งตาโดยความเป็น ของไมเ่ ทีย่ ง ย่อมละอวิชชาได้ วิชชายอ่ มเกดิ ขน้ึ . เมอ่ื บุคคลรอู้ ยู่ เห็นอยู่ ซง่ึ รปู ทั้งหลาย … . เมอ่ื บคุ คลร้อู ยู่ เห็นอยู่ ซึง่ จักษวุ ิญญาณ … . เม่ือบุคคลรู้อยู่ เหน็ อยู่ ซ่งึ จกั ษุสมั ผัส … . เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ ซ่ึงสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกดิ ขนึ้ เพราะจกั ษุสมั ผสั เปน็ ปัจจัย โดยความเปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง ยอ่ มละอวชิ ชาได้ วชิ ชายอ่ มเกดิ ขน้ึ . (ในกรณแี ห่งธรรมหมวด หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ กม็ ขี อ้ ความ อยา่ งเดียวกนั ) ภิกษุ  เม่ือบุคคลรู้อยู่อย่างน้ี เห็นอยู่อย่างน้ีแล ย่อมละอวชิ ชาได้ วชิ ชายอ่ มเกดิ ขน้ึ . 170

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : สกทาคามี 69 เหตุสำ�เร็จตามความปรารถนา -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๕๘/๗๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เธอทง้ั หลายจงเปน็ ผมู้ ศี ลี อนั สมบรู ณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์อยู่เถิด  จงเป็นผู้สำ�รวมด้วยความ ส�ำ รวมในปาตโิ มกข์ ถงึ พรอ้ มดว้ ยมารยาทและโคจรอย่เู ถิด  จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษท้ังหลาย แม้มีประมาณน้อย สมาทานศกึ ษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ ภกิ ษจุ ะพงึ หวงั วา่ ขอเราพงึ เปน็ ทร่ี กั เปน็ ทช่ี อบใจ เป็นทีเ่ คารพ และเปน็ ผู้ควรยกยอ่ งของเพื่อน สพรหมจารีทงั้ หลายเถิดดงั นี้ ภกิ ษุนั้น พงึ กระท�ำ ใหบ้ รบิ รู ณ์ ในศลี หมน่ั ประกอบธรรมอนั เปน็ เครอ่ื งสงบแหง่ ใจในภายใน ไมเ่ หนิ หา่ งจากฌาน ประกอบดว้ ยวปิ สั สนา และใหว้ ตั รของ ผ้อู ยสู่ ุญญาคารเจรญิ งอกงาม. ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า ขอเราพึงได้ จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปจั จัยเภสชั บรขิ ารเถิด ดังนี้ … . ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราบริโภคจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปจั จยั เภสชั บรขิ ารของเทวดา หรือมนุษย์เหล่าใด สักการะเหล่านั้นของเทวดาและมนุษย์ เหลา่ นั้นพึงมีผลใหญ่ มีอานสิ งสใ์ หญ่เถิด ดงั น้ี … . 171

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า ญาติและ สายโลหติ ของเราเหลา่ ใด ลว่ งลบั ท�ำ กาละไปแลว้ มจี ติ เลอื่ มใส ระลึกถึงอยู่ ความระลึกถึงด้วยจิตอันเล่ือมใสของญาติและ สายโลหติ เหลา่ นน้ั พงึ มผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญเ่ ถดิ ดงั น้ี … . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ ภกิ ษจุ ะพงึ หวงั วา่ เราพงึ เปน็ ผขู้ ม่ ความไม่ยินดีและความยินดีได้ อนึ่ง ความไม่ยินดีไม่พึง ครอบง�ำ เราได้ เราพงึ ครอบง�ำ ย�ำ่ ยี ความไมย่ นิ ดที เ่ี กดิ ขน้ึ อยู่ ไดเ้ ถดิ ดังนี้ … . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ ภกิ ษจุ ะพงึ หวงั วา่ เราพงึ เปน็ ผขู้ ม่ ความกลวั และความขลาดได้ อนงึ่ ความกลวั และความขลาด อยา่ พงึ ครอบง�ำ เราไดเ้ ลย เราพงึ ครอบง�ำ ย�ำ่ ยี ความกลวั และ ความขลาดทีเ่ กดิ ขึ้นอยู่ได้เถิด ดังน้ี … . ภกิ ษุทงั้ หลาย  ถา้ ภกิ ษุจะพึงหวงั ว่า เราพงึ เปน็ ผ้ไู ด้ ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำ�บาก ซึ่งฌานทง้ั ๔ อันเกิดข้ึนเพราะจิตอันย่ิง เป็นธรรมเคร่ืองอยู่เป็นสุขใน ปัจจุบันเถดิ ดงั น้ี … . ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงถูกต้อง ดว้ ยกายซงึ่ วโิ มกขอ์ นั สงบ อนั ไมม่ รี ปู เพราะกา้ วลว่ งรปู เสยี ได้ แลว้ อยเู่ ถิด ดังนี้ … . 172

เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : สกทาคามี ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ ภกิ ษจุ ะพงึ หวงั วา่ เพราะสงั โยชน์ ๓ สิ้นไป เราพึงเป็นโสดาบัน มีความไม่ตกตำ่�เป็นธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี ง จะตรสั รไู้ ดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ เถดิ ดังน้ี … . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ ภกิ ษจุ ะพงึ หวงั วา่ เพราะสงั โยชน์ ๓ สิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เราพึงเป็น สกทาคามี จะมาสู่โลกนี้อีกคร้ังเดียวเท่าน้ัน แล้วจะทำ� ที่สุดแหง่ ทกุ ข์ไดเ้ ถดิ ดงั นี้ … . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ ภกิ ษจุ ะพงึ หวงั วา่ เพราะโอรมั ภาคยิ - สังโยชน์ ๕ ส้ินไป เราพึงเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานใน ที่น้นั มีอนั ไม่กลบั จากโลกนั้นเปน็ ธรรมดาเถดิ ดังน้ี … . ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงบรรลุ อิทธิวิธหี ลายประการ … . ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงได้ยิน เสียงทง้ั ๒ ชนดิ คือ เสยี งทิพย์และเสยี งมนษุ ย์ … . ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงกำ�หนด รใู้ จของสัตว์อ่ืน ของบคุ คลอนื่ ด้วยใจ … . ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงระลึก ชาติก่อนไดเ้ ป็นอนั มาก … . 173

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเห็น หมู่สัตว์ที่กำ�ลังจุติ กำ�ลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนษุ ย์ … . ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ ภกิ ษจุ ะพงึ หวงั วา่ เราพงึ ท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะความสน้ิ ไป แหง่ อาสวะทง้ั หลาย ดว้ ยปญั ญาอนั ยงิ่ เอง ในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อยู่ เถิดดังน้ี ภิกษุน้ัน พึงเป็นผู้กระทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล หม่ัน ประกอบธรรมอนั เปน็ เครอ่ื งสงบแหง่ ใจในภายใน ไมเ่ หนิ หา่ ง จากฌาน ประกอบดว้ ยวปิ สั สนา และใหว้ ตั รของผอู้ ยสู่ ญุ ญาคาร เจรญิ งอกงาม. ค�ำ ใด ทเ่ี รากลา่ วแลว้ วา่   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทง้ั หลาย จงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์อยู่เถิด จงเปน็ ผสู้ �ำ รวมดว้ ยความส�ำ รวมในปาตโิ มกข์ ถงึ พรอ้ มดว้ ย มารยาทและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษ ทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบท ท้ังหลายเถิด ดังน้ี  คำ�นั้น อันเราอาศัยอำ�นาจประโยชน์นี้ จงึ ได้กลา่ วแลว้ . 174

บทสรุป ๑.) ราคะ โทสะ โมหะ ในส่วนใดของกามภพที่สกทาคามี ยงั ต้องท�ำ ลาย (ละ) ๒.) สกทาคามี คือ ผู้ยังต้องมาสู่โลกนี้อีกคร้ังเดียวน้ัน คอื โลกสว่ นใด • สกทาคามียังต้องมาสู่กามภพเพราะยังไม่พรากจากกาม แต่เป็นผู้เร่ิมท�ำ ลายกาม -บคุ คล ๓ จ�ำ พวก ทย่ี งั ประกอบแลว้ ดว้ ยกามโยคะ  (กามโยคยุตฺโต) และภวโยคะ (ภวโยคยุตฺโต) เป็นอาคามี (เหตุท่ี ตอ้ งกลบั สู่กามภพ)  บทท่ี ๙ หน้า ๒๐. -บคุ คล ๔ จ�ำ พวก ทย่ี งั ละโอรมั ภาคยิ สงั โยชนไ์ มไ่ ด ้ (โอรมภฺ าคยิ านิ สโฺ ชนานิ อปปฺ หนี าน)ิ คอื เรมิ่ ท�ำ ลายกามแตย่ งั ทำ�ลายไดไ้ มห่ มด  บทที่ ๗ หน้า ๑๖. -สกทาคามี เปรียบได้กับบุคคลตกน้ำ� ที่เป็นพวก วา่ ยเขา้ หาฝงั่  (เปน็ ผทู้ �ำ ลายกามโดยลกั ษณะอปุ มาอนิ ทรยี ์ ๕ ทแี่ กก่ ลา้ กว่าโสดาบนั )  บทท่ี ๓ หน้า ๗, บทท่ี ๕ หนา้ ๑๓. -โสดาบัน เปรียบได้กับบุคคลตกนำ้� ที่เป็นพวก ลอยตัวและเหน็ ฝัง่ แต่ยงั ไม่ไดว้ า่ ยสฝู่ ่ัง  บทท่ี ๓ หน้า ๗. • อนิ ทรยี ์ ๕ ของสกทาคามี แกก่ ลา้ กวา่ อนิ ทรยี ์ ๕ ของโสดาบนั ประเภทเอกพีชี ซ่ึงมาสู่ภพมนุษย์คราวเดียว  บทท่ี ๖ หนา้ ๑๔, บทท่ี ๑๓ หน้า ๒๗. 175

• กามทด่ี กี วา่ ประณตี กวา่ กามของมนษุ ย์ คอื กามอนั เปน็ ทพิ ย ์ (ทพิ พฺ า กามา) แตส่ กทาคามยี งั ไมถ่ งึ การหมดกาม  บทที่ ๒๙ หนา้ ๗๓, บทท่ี ๙ หนา้ ๒๐. • ภพทีส่ กทาคามีไปไม่ได้ -ผสู้ นิ้ สงั โยชน์ ๓ พน้ แลว้ จาก นรก ก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน เปรตวสิ ัย  บทที่ ๑๓ หนา้ ๒๗, บทที่ ๑๔ หนา้ ๓๑. -รูปภพ และอรูปภพ ไปไม่ได้ เพราะเป็นผู้ทำ� พอประมาณในสมาธิ และยังไม่พรากจากกาม ยังต้องเป็น อาคามี บทท่ี ๙ หนา้ ๒๐, บทที่ ๑๐ หนา้ ๒๑, บทที่ ๑๖ หนา้ ๓๗, บทที่ ๑๘ หนา้ ๔๖, บทท่ี ๑๙ หน้า ๕๐. • ตวั อยา่ งของภพทส่ี กทาคามีมาเกิด -เทวดาช้ันดุสติ ในมิคสาลาสูตร  บทที่ ๔ หน้า ๑๑. • เมอื่ ตดั ภพทสี่ กทาคามไี ปไมไ่ ดอ้ อก ดว้ ยเหตขุ องสงั โยชน์ ทล่ี ะได้ และก�ำ ลงั ของอนิ ทรยี ์ ๕ ทแี่ กก่ ลา้ กวา่ เอกพชี ี รวมถงึ ก�ำ ลงั ของอนิ ทรยี ์ ๕ ในสว่ นของการเปน็ ผทู้ �ำ พอประมาณ ในสมาธิ จึงทำ�ให้กรอบของความน่าจะเป็นไปได้ของ การมาส่โู ลกน้อี ีกคร้งั เดียว ท่สี กทาคามีจะมาเกิดได้ คือ กลุ่มของเทวดาในกามภพ (ซึ่งเป็นส่วนของกามอันเป็นทิพย์ ในกามภพ ที่สกทาคามกี ำ�ลงั เร่ิมละสงั โยชน์ในสว่ นนี้ จนกระทั่งราคะ โทสะ และโมหะส้ินไป) 176

หมายเหตุ นอกจากพระสตู รทีป่ รากฏในหนงั สอื เล่มนี้แล้ว พระศาสดายังได้ตรัสถึงข้อปฏิบัติเพื่อ การละสงั โยชน์ และธรรมะทเี่ กยี่ วกบั สกทาคามไี วอ้ กี มาก คณะงานธัมมะฯ ได้รวบรวมมาไว้เพียงบางส่วน เท่านั้น ผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก หนังสือ พุทธวจน-หมวดธรรม เล่ม 1-1๗ / แอปพลิเคชัน ตรวจหาและเทียบเคียงพุทธวจนจากพระไตรปิฎก (E-Tipitaka) และจากพระไตรปิฎก.



ขอนอบนอ้ มแด่ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพทุ ธะ พระองค์นน้ั ด้วยเศยี รเกลา้ (สาวกตถาคต) คณะงานธมั มะ วดั นาปา พง (กลมุ่ อาสาสมคั รพุทธวจน-หมวดธรรม)

มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ์ มูลนิธิแห่งมหาชนชาวพทุ ธ ผซู้ งึ่ ชดั เจน และมั่นคงในพุทธวจน เรม่ิ จากชาวพทุ ธกลมุ่ เลก็ ๆ กลมุ่ หนง่ึ ไดม้ โี อกาสมาฟงั ธรรมบรรยายจาก ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล ทเี่ นน้ การนา� พทุ ธวจน (ธรรมวนิ ยั จากพทุ ธโอษฐ์ ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงยนื ยนั วา่ ทรงตรสั ไวด้ แี ลว้ บรสิ ทุ ธบิ์ รบิ รู ณส์ นิ้ เชงิ ทง้ั เนอื้ ความและ พยญั ชนะ) มาใชใ้ นการถา่ ยทอดบอกสอน ซงึ่ เปน็ รปู แบบการแสดงธรรมทต่ี รงตาม พุทธบญั ญตั ิตามท่ี ทรงรบั ส่งั แกพ่ ระอรหันต์ ๖๐ รปู แรกที่ปาอสิ ิปตนมฤคทายวัน ในการประกาศพระสัทธรรม และเปน็ ลกั ษณะเฉพาะทภี่ กิ ษใุ นครง้ั พทุ ธกาลใชเ้ ปน็ มาตรฐานเดยี ว หลกั พทุ ธวจนนี้ ไดเ้ ขา้ มาตอบคา� ถาม ตอ่ ความลงั เลสงสยั ไดเ้ ขา้ มาสรา้ ง ความชดั เจน ต่อความพร่าเลอื นสับสน ในขอ้ ธรรมต่างๆ ทม่ี ีอยู่ในสงั คมชาวพทุ ธ ซง่ึ ท้งั หมดนี้ เป็นผลจากสาเหตเุ ดียวคือ การไมใ่ ช้คา� ของพระพุทธเจา้ เป็นตัวต้งั ต้น ในการศกึ ษาเลา่ เรยี น ดว้ ยศรทั ธาอยา่ งไมห่ วน่ั ไหวตอ่ องคส์ มั มาสมั พทุ ธะ ในฐานะพระศาสดา ทา่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ ไดป้ ระกาศอยา่ งเปน็ ทางการวา่ “อาตมาไมม่ คี า� สอนของตวั เอง” และใช้เวลาท่ีมีอยู่ ไปกับการรับสนองพุทธประสงค์ ด้วยการโฆษณาพุทธวจน เพื่อความตั้งมนั่ แหง่ พระสทั ธรรม และความประสานเป็นหน่ึงเดยี วของชาวพุทธ เมอื่ กลบั มาใชห้ ลกั พทุ ธวจน เหมอื นทเี่ คยเปน็ ในครง้ั พทุ ธกาล สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ คือ ความชัดเจนสอดคล้องลงตัว ในความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าในแง่ของหลักธรรม ตลอดจนมรรควธิ ที ต่ี รง และสามารถนา� ไปใชป้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ผล รเู้ หน็ ประจกั ษไ์ ดจ้ รงิ ดว้ ยตนเองทนั ที ดว้ ยเหตนุ ้ี ชาวพทุ ธทเ่ี หน็ คณุ คา่ ในคา� ของพระพทุ ธเจา้ จงึ ขยายตวั มากขึ้นเรอ่ื ยๆ เกิดเป็น “กระแสพทุ ธวจน” ซง่ึ เปน็ พลงั เงียบท่กี �าลงั จะกลายเป็น คลนื่ ลกู ใหม่ ในการกลบั ไปใชร้ ะบบการเรยี นรพู้ ระสทั ธรรม เหมอื นดงั ครง้ั พทุ ธกาล

ด้วยการขยายตวั ของกระแสพทุ ธวจนน้ี ส่อื ธรรมที่เปน็ พุทธวจน ไม่ว่า จะเป็นหนังสือ หรือซีดี ซ่ึงแจกฟรีแก่ญาติโยมเร่ิมมีไม่พอเพียงในการแจก ทั้งน้ี เพราะจ�านวนของผู้ท่ีสนใจเห็นความส�าคัญของพุทธวจน ได้ขยายตัวมากขึ้นอย่าง รวดเร็ว ประกอบกับว่าท่านพระอาจารย์คึกฤทธ์ิ โสตฺถิผโล เคร่งครัดในข้อวัตร ปฏิบัติท่ีพระศาสดาบัญญัติไว้ อันเป็นธรรมวินัยท่ีออกจากพระโอษฐ์ของตถาคต โดยตรง การเผยแผ่พุทธวจนที่ผ่านมา จึงเป็นไปในลักษณะสันโดษตามมีตามได้ เมือ่ มีโยมมาปวารณาเป็นเจา้ ภาพในการจดั พิมพ์ ไดม้ าจ�านวนเท่าไหร่ ก็ทยอยแจก ไปตามทมี่ เี ทา่ นน้ั เมอ่ื มมี า กแ็ จกไป เมอื่ หมด กค็ อื หมด เนอ่ื งจากวา่ หนา้ ทใ่ี นการดา� รงพระสทั ธรรมใหต้ ง้ั มน่ั สบื ไป ไมไ่ ดผ้ กู จา� กดั อย่แู ตเ่ พยี งพทุ ธสาวกในฐานะของสงฆ์เทา่ นนั้ ฆราวาสกลมุ่ หนึ่งซึ่งเห็นความส�าคญั ของพทุ ธวจน จงึ รวมตวั กนั เขา้ มาชว่ ยขยายผลในสงิ่ ทที่ า่ นพระอาจารยค์ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล ทา� อยแู่ ลว้ นน่ั คอื การนา� พทุ ธวจนมาเผยแพรโ่ ฆษณา โดยพจิ ารณาตดั สนิ ใจจดทะเบยี น จัดตัง้ เปน็ มลู นธิ อิ ย่างถูกตอ้ งตามกฏหมาย เพือ่ ใหก้ ารด�าเนนิ การตา่ งๆ ทง้ั หมด อยใู่ นรปู แบบทโี่ ปรง่ ใส เปดิ เผย และเปดิ กวา้ งตอ่ สาธารณชนชาวพทุ ธทวั่ ไป สา� หรับผู้ท่ีเหน็ ความสา� คัญของพุทธวจน และมคี วามประสงค์ทจี่ ะด�ารง พระสทั ธรรมใหต้ ง้ั มนั่ ดว้ ยวธิ ขี องพระพทุ ธเจา้ สามารถสนบั สนนุ การดา� เนนิ การตรงนไ้ี ด้ ดว้ ยวิธงี า่ ยๆ น่ันคอื เขา้ มาใส่ใจศึกษาพทุ ธวจน และนา� ไปใช้ปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง เม่ือรู้ประจักษ์ เห็นได้ด้วยตนแล้ว ว่ามรรควิธีท่ีได้จากการท�าความเข้าใจ โดย ใช้ค�าของพระพุทธเจ้าเป็นตัวต้ังต้นน้ัน น�าไปสู่ความเห็นที่ถูกต้อง ในหลักธรรม อันสอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล และเช่ือมโยงเป็นหน่ึงเดียว กระทั่งได้ผลตามจริง ทา� ใหเ้ กดิ มีจติ ศรทั ธา ในการช่วยเผยแพรข่ ยายส่ือพทุ ธวจน เพียงเท่านี้ คุณก็คอื หนง่ึ หนว่ ยในขบวน “พทุ ธโฆษณ”์ แลว้ น่คี อื เจตนารมณ์ของมูลนิธิพทุ ธโฆษณ์ นน่ั คอื เปน็ มลู นิธิแหง่ มหาชน ชาวพทุ ธ ซง่ึ ชดั เจน และมน่ั คงในพทุ ธวจน

ผูท้ ีส่ นใจรับสือ่ ธรรมทเี่ ปน็ พุทธวจน เพอ่ื ไปใชศ้ กึ ษาส่วนตัว หรือน�าไปแจกเปน็ ธรรมทาน แกพ่ ่อแมพ่ ีน่ ้อง ญาติ หรือเพื่อน สามารถมารบั ไดฟ้ รี ที่วดั นาปาพง หรือตามที่พระอาจารย์คกึ ฤทธ์ไิ ด้รบั นมิ นต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ สา� หรบั รายละเอยี ดกจิ ธรรมต่างๆ ภายใตเ้ ครอื ข่ายพุทธวจนโดยวัดนาปาพง คน้ หา ขอ้ มลู ไดจ้ าก www.buddhakos.org หรือ www.watnapp.com หากมคี วามจ�านงทจ่ี ะรับไปแจกเปน็ ธรรมทานในจา� นวนหลายสิบชดุ ขอความกรุณาแจง้ ความจ�านงไดท้ ี่ มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ์ ประสานงานและเผยแผ่ : เลขที่ ๒๙/๓ หมูท่ ่ี ๗ ถนนเลียบคลอง ๑๐ ฝ่ังตะวันออก ตา� บลบึงทองหลาง อา� เภอลา� ลูกกา จงั หวัดปทุมธานี ๑๒๑๕๐ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔, ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘, ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ โทรสาร ๐ ๒๑๕๙ ๐๕๒๖ เวบ็ ไซต์ : www.buddhakos.org อเี มล์ : [email protected] สนบั สนนุ การเผยแผ่พุทธวจนไดท้ ี่ ชอื่ บญั ชี “มลู นธิ พิ ทุ ธโฆษณ”์ ธนาคารไทยพาณชิ ย์ สาขา คลอง ๑๐ (ธญั บรุ )ี ประเภท บัญชีออมทรัพย์ เลขทีบ่ ัญชี ๓๑๘-๒-๔๗๔๖๑-๐ วธิ ีการโอนเงนิ จากต่างประเทศ ย่นื แบบฟอร์ม คา� ขอโอนได้ท่ี ธนาคารไทยพาณชิ ย์ Account name: “Buddhakos Foundation” SWIFT CODE : SICOTHBK Branch Number : 318 Siam Commercial Bank PCL, Khlong 10(Thanyaburi) Branch, 33/14 Mu 4 Chuchat Road, Bung Sanun Sub District, Thanyaburi District, Pathum Thani 12110, Thailand Saving Account Number : 318-2-47461-0