เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : สกทาคามี มหานาม ก็บุคคลบางคนในโลกน้ี ประกอบด้วย ความเล่ือมใสอย่างไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า … ใน พระธรรม … ในพระสงฆ์ … ไมม่ ปี ญั ญารา่ เรงิ ไมเ่ ฉยี บแหลม และไมป่ ระกอบดว้ ยวมิ ตุ ติ เพราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป เขาเปน็ โสดาบนั มคี วามไมต่ กต�่ำ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทยี่ ง จะตรสั รไู้ ด้ ในกาลเบื้องหน้า บุคคลนี้ก็พ้นจากนรก กำ�เนิดเดรัจฉาน เปรตวิสยั อบาย ทุคติ และวินบิ าต. มหานาม กบ็ คุ คลบางคนในโลกนี้ ไมป่ ระกอบดว้ ย ความเล่ือมใสอย่างไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า … ใน พระธรรม … ในพระสงฆ์ … ไมม่ ปี ญั ญารา่ เรงิ ไมเ่ ฉยี บแหลม และไม่ประกอบด้วยวิมุตติ แต่ว่าเขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ธรรมทั้งหลาย ท่ีตถาคตประกาศแล้ว ย่อมทนต่อการเพ่ง ดว้ ยปญั ญาของเขา (ยงิ่ ) กวา่ ประมาณ บคุ คลนก้ี ไ็ มไ่ ปสนู่ รก ก�ำ เนดิ เดรัจฉาน เปรตวิสัย อบาย ทุคติ และวนิ ิบาต. มหานาม กบ็ คุ คลบางคนในโลกนี้ ไมป่ ระกอบดว้ ย ความเลื่อมใสอย่างไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า … ใน พระธรรม … ในพระสงฆ์ … ไมม่ ปี ญั ญารา่ เรงิ ไมเ่ ฉยี บแหลม และไม่ประกอบด้วยวิมุตติ แต่ว่าเขามีธรรมเหล่าน้ี คือ สัทธินทรีย์ … ปัญญินทรีย์ และเขามีศรัทธา มีความรัก ในตถาคตพอประมาณ บคุ คลนกี้ ไ็ มไ่ ปสนู่ รก ก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน เปรตวิสยั อบาย ทุคติ และวนิ ิบาต. 33
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : สกทาคามี ผเู้ ชอ่ื มน่ั ในตถาคต ทส่ี �ำ เรจ็ ในโลกน้ี 15และทล่ี ะโลกนไ้ี ปแลว้ จึงส�ำ เรจ็ -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๒๘/๖๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเหลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ เชอ่ื มน่ั ในเรา บคุ คลเหลา่ นน้ั ทง้ั หมดเปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยทฏิ ฐ ิ(ทฏิ ฺ สิ มปฺ นนฺ า) บคุ คลผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยทฏิ ฐเิ หลา่ นนั้ ๕ จ�ำ พวกส�ำ เรจ็ ในโลกน ี้ และอกี ๕ จ�ำ พวกละโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ ส�ำ เรจ็ บคุ คล ๕ จ�ำ พวก เหล่าไหนทสี่ ำ�เรจ็ ในโลกน้ี คอื (1) สัตตักขัตตปุ รมะ (2) โกลังโกละ (3) เอกพีชี (4) สกทาคามี (5) อรหนั ต์ในปจั จบุ ัน (ทิฏเฺ ว ธมฺเม อรหา) บคุ คล ๕ จ�ำ พวกเหล่านแ้ี ล สำ�เรจ็ ในโลกน.้ี บคุ คล ๕ จ�ำ พวกเหลา่ ไหน ละโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ ส�ำ เรจ็ คอื (1) อันตราปรนิ พิ พายี (2) อุปหจั จปรนิ พิ พายี (3) อสังขารปรนิ ิพพายี 34
เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : สกทาคามี (4) สสังขารปรินพิ พายี (5) อทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐคามี บคุ คล ๕ จ�ำ พวกเหลา่ นแ้ี ล ละโลกนไี้ ปแลว้ จงึ ส�ำ เรจ็ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเหลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ เชอ่ื มน่ั ในเรา บุคคลเหล่าน้ันทั้งหมดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิเหล่าน้ัน ๕ จำ�พวกสำ�เร็จในโลกนี้ และอกี ๕ จำ�พวกละโลกนไี้ ปแล้วจึงสำ�เรจ็ . ภิกษุท้ังหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเล่ือมใส อย่างไม่หว่ันไหวในเรา บุคคลเหล่าน้ันท้ังหมดเป็นผู้ถึง กระแสนพิ พาน (โสตาปนนฺ า) บคุ คลผถู้ งึ กระแสนพิ พานเหลา่ นน้ั ๕ จ�ำ พวกส�ำ เรจ็ ในโลกน ้ี และอกี ๕ จ�ำ พวกละโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ สำ�เร็จ บุคคล ๕ จ�ำ พวกเหลา่ ไหนทส่ี �ำ เรจ็ ในโลกน้ี คือ (1) สัตตักขตั ตุปรมะ (2) โกลงั โกละ (3) เอกพีชี (4) สกทาคามี (5) อรหันตใ์ นปจั จบุ ัน บคุ คล ๕ จำ�พวกเหล่านแี้ ล สำ�เรจ็ ในโลกน้.ี 35
พทุ ธวจน - หมวดธรรม บคุ คล ๕ จ�ำ พวกเหลา่ ไหน ละโลกนไี้ ปแลว้ จงึ ส�ำ เรจ็ คือ (1) อันตราปรนิ ิพพายี (2) อุปหัจจปรินิพพายี (3) อสงั ขารปรินพิ พายี (4) สสังขารปรินพิ พายี (5) อทุ ธังโสโตอกนิฏฐคามี บคุ คล ๕ จ�ำ พวกเหลา่ นแ้ี ล ละโลกนไี้ ปแลว้ จงึ ส�ำ เรจ็ . ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหน่ึงเลื่อมใส อย่างไม่หวั่นไหวในเรา บุคคลเหล่าน้ันทั้งหมดเป็นผู้ถึง กระแสนิพพาน บุคคลผู้ถึงกระแสนิพพานเหล่านั้น ๕ จ�ำ พวกส�ำ เรจ็ ในโลกน ี้ และอกี ๕ จ�ำ พวกละโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ ส�ำ เร็จ. (ใน -บาลี ปฏิสมฺ. ขุ. ๓๑/๒๔๒/๓๖๐-๓๖๑. มีบาลี เหมอื นกนั นี้ แตพ่ ระไตรปฎิ กภาษาไทยฉบบั หลวง แปลสว่ นทา้ ยตา่ ง ออกไปจาก ๕ จ�ำ พวกส�ำ เรจ็ ในโลกน้ี และอกี ๕ จ�ำ พวกละโลกนไ้ี ปแลว้ จึงสำ�เร็จ เป็นบุคคล ๕ จำ�พวกเช่อื แน่ในธรรมน้ี บุคคล ๕ จำ�พวก เชอ่ื แนใ่ นภพชน้ั สทุ ธาวาส ในธรรมน.้ี -ผรู้ วบรวม) 36
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : สกทาคามี ข้อแตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผูไ้ ดส้ ดับ 16กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ มาธิ (รปู สญั ญา) -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๑๖๘/๑๒๓. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๔ จำ�พวกนี้ มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก ๔ จ�ำ พวกอะไรบ้าง คือ (1) บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะสงดั จากกามและ อกุศลธรรมท้ังหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสขุ อนั เกดิ จากวเิ วกแลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนน้ั ปรารถนาธรรมนน้ั และถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาด�ำ รง อยู่ในธรรมน้ัน นอ้ มใจไปในธรรมน้นั อยมู่ ากด้วยธรรมนนั้ ไม่เส่ือมจากธรรมน้ัน เมื่อทำ�กาละ ย่อมเข้าถึงความเป็น สหายของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา ภิกษุทั้งหลาย กัปหน่ึงเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา ปุถุชนดำ�รงอยู่ในช้ันพรหมกายิกานั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มเขา้ ถงึ นรกบา้ ง ก�ำ เนดิ เดรจั ฉานบา้ ง เปรตวสิ ยั บา้ ง สว่ นสาวกของ พระผมู้ พี ระภาค (ภควโต สาวโก) ด�ำ รงอยใู่ นชน้ั พรหมกายกิ านน้ั ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ันให้ ส้ินไปแล้ว ยอ่ มปรนิ ิพพานในภพนน้ั เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คติอบุ ัติยงั มีอย.ู่ 37
พทุ ธวจน - หมวดธรรม (2) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะสงบวิตกและวิจารเสียได้ จึงบรรลุทุติยฌาน อันเปน็ เครอ่ื งผอ่ งใสแหง่ จติ ในภายใน ใหส้ มาธเิ ปน็ ธรรมอนั เอกผดุ ขน้ึ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้ว แลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึง ความยนิ ดดี ้วยธรรมนน้ั เขาด�ำ รงอยู่ในธรรมน้นั น้อมใจไป ในธรรมนน้ั อยมู่ ากดว้ ยธรรมนนั้ ไมเ่ สอื่ มจากธรรมนนั้ เมอ่ื ทำ�กาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่า อาภัสสระ ภิกษุทั้งหลาย ๒ กัปเป็นประมาณอายุของ เทวดาเหล่าอาภัสสระ ปุถุชนดำ�รงอยู่ในชั้นอาภัสสระ ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้น ให้ส้ินไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำ�รงอยู่ใน ช้ันอาภัสสระนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพนน้ั เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คตอิ บุ ตั ิยังมอี ย.ู่ 38
เปิดธรรมที่ถูกปดิ : สกทาคามี (3) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความจางคลายไปแหง่ ปตี ิ จงึ อยอู่ เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะ และย่อมเสวยสุขด้วยกาย จึงบรรลุตติยฌาน อันเป็นฌาน ทพ่ี ระอรยิ ะทง้ั หลายกลา่ ววา่ ผไู้ ดฌ้ านนเ้ี ปน็ ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ติ อยเู่ ปน็ สขุ เขายอ่ มชอบใจธรรมนนั้ ปรารถนาธรรมนน้ั และ ถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาด�ำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั นอ้ มใจไป ในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำ�กาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่า สุภกิณหะ ภิกษุท้ังหลาย ๔ กัปเป็นประมาณอายุของ เทวดาเหล่าสุภกิณหะ ปุถุชนดำ�รงอยู่ในชั้นสุภกิณหะน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้น ให้ส้ินไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำ�รงอยู่ใน ช้ันสุภกิณหะน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพนน้ั เอง. ภิกษุทั้งหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คติอบุ ตั ิยงั มอี ย.ู่ 39
พทุ ธวจน - หมวดธรรม (4) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่ง โสมนสั และโทมนสั ทง้ั หลายในกาลกอ่ น จงึ บรรลจุ ตตุ ถฌาน อนั ไมม่ ที กุ ขไ์ มม่ สี ขุ มแี ตส่ ตอิ นั บรสิ ทุ ธเ์ิ พราะอเุ บกขาแลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนน้ั ปรารถนาธรรมนน้ั และถงึ ความยนิ ดี ดว้ ยธรรมนน้ั เขาด�ำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั นอ้ มใจไปในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เส่ือมจากธรรมน้ัน เม่ือทำ�กาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าเวหัปผละ ภิกษุท้ังหลาย ๕๐๐ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่า เวหัปผละ ปุถุชนดำ�รงอยู่ในชั้นเวหัปผละนั้น ตราบเท่า ตลอดอายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง สว่ นสาวกของพระผมู้ พี ระภาคด�ำ รงอยใู่ นชนั้ เวหปั ผละนน้ั ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้น ใหส้ ิ้นไปแล้ว ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพน้ันเอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเมื่อ คตอิ บุ ัตยิ งั มีอย.ู่ ภิกษุท้ังหลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก หาไดใ้ นโลก. 40
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : สกทาคามี ข้อแตกต่างระหวา่ งอรยิ สาวกผูไ้ ด้สดบั 17กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื เจรญิ พรหมวหิ าร -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๑๗๒/๑๒๕. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๔ จำ�พวกนี้ มีอยู่ในโลก หาไดใ้ นโลก ๔ จำ�พวกอะไรบา้ ง คอื (1) บุคคลบางคนในโลกนี้ มีจิตประกอบด้วย เมตตา แผไ่ ปสทู่ ศิ ทห่ี นง่ึ ทศิ ทส่ี อง ทศิ ทส่ี าม ทศิ ทส่ี ่ี กเ็ หมอื น อย่างน้ัน ท้ังเบื้องบน เบื้องล่าง และเบ้ืองขวาง เขาแผ่ไป ตลอดโลกทง้ั สน้ิ ในทท่ี ง้ั ปวง แกส่ ตั วท์ ง้ั หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทแล้วแลอยู่ เขาย่อม ชอบใจธรรมน้ัน ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความยินดีด้วย ธรรมน้ัน เขาดำ�รงอยู่ในธรรมน้ัน น้อมใจไปในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เม่ือทำ�กาละ ย่อมเข้าถึงความเปน็ สหายของเทวดาเหลา่ พรหมกายกิ า ภิกษุทั้งหลาย กัปหนึ่งเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่า พรหมกายิกา ปุถุชนดำ�รงอยู่ในช้ันพรหมกายิกาน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ัน ให้ส้ินไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง 41
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำ�รงอยู่ใน ชนั้ พรหมกายกิ านน้ั ตราบเทา่ ตลอดอายุ ยงั ประมาณอายขุ อง เทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพนนั้ เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คตอิ บุ ัติยงั มอี ย.ู่ (2) อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี มีจิตประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปสู่ทิศท่ีหน่ึง ทิศที่สอง ทิศ ท่ีสาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น ท้ังเบื้องบน เบ้ืองล่าง และเบอ้ื งขวาง เขาแผไ่ ปตลอดโลกทง้ั สน้ิ ในทท่ี ง้ั ปวง แกส่ ตั ว์ ทงั้ หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ดว้ ยจติ อนั ประกอบดว้ ยกรณุ า เปน็ จติ ไพบลู ย์ ใหญห่ ลวง ไมม่ ปี ระมาณ ไมม่ เี วร ไม่มพี ยาบาท แลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนนั้ ปรารถนาธรรมนน้ั และ ถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาด�ำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั นอ้ มใจไป ในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เส่ือมจากธรรมนั้น เม่อื ทำ�กาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่า อาภัสสระ ภิกษุท้ังหลาย ๒ กัปเป็นประมาณอายุของ เทวดาเหล่าอาภัสสระ ปุถุชนดำ�รงอยู่ในช้ันอาภัสสระนั้น 42
เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : สกทาคามี ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ัน ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำ�รงอยู่ใน ช้ันอาภัสสระน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพนน้ั เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คตอิ ุบตั ยิ ังมีอย.ู่ (3) อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี มีจิตประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไปสู่ทิศที่หนึ่ง ทิศที่สอง ทิศ ท่ีสาม ทิศท่ีสี่ ก็เหมือนอย่างนั้น ท้ังเบ้ืองบน เบื้องล่าง และเบอ้ื งขวาง เขาแผไ่ ปตลอดโลกทง้ั สน้ิ ในทท่ี ง้ั ปวง แกส่ ตั ว์ ท้ังหลายท่ัวหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยมุทิตา เปน็ จติ ไพบลู ย์ ใหญห่ ลวง ไมม่ ปี ระมาณ ไมม่ เี วร ไมม่ พี ยาบาท แล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมน้ัน ปรารถนาธรรมน้ัน และถึงความยินดีด้วยธรรมน้ัน เขาดำ�รงอยู่ในธรรมน้ัน น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เสื่อมจาก ธรรมนนั้ เมอ่ื ท�ำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเทวดา 43
พุทธวจน - หมวดธรรม เหล่าสุภกิณหะ ภิกษุทั้งหลาย ๔ กัปเป็นประมาณอายุ ของเทวดาเหลา่ สภุ กณิ หะ ปถุ ชุ นด�ำ รงอยใู่ นชน้ั สภุ กณิ หะนน้ั ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้น ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำ�รงอยู่ใน ช้ันสุภกิณหะน้ันตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพนนั้ เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คตอิ บุ ตั ยิ งั มอี ย.ู่ (4) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี มีจิตประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่หน่ึง ทิศท่ีสอง ทิศท่ีสาม ทิศท่ีส่ี ก็เหมือนอย่างน้ัน ท้ังเบ้ืองบน เบ้ืองล่าง และเบอ้ื งขวาง เขาแผไ่ ปตลอดโลกทง้ั สน้ิ ในทท่ี ง้ั ปวง แกส่ ตั ว์ ท้ังหลายท่ัวหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยอุเบกขา เปน็ จติ ไพบลู ย์ ใหญห่ ลวง ไมม่ ปี ระมาณ ไมม่ เี วร ไมม่ พี ยาบาท แล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมน้ัน และถึงความยินดีด้วยธรรมน้ัน เขาดำ�รงอยู่ในธรรมน้ัน 44
เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : สกทาคามี น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เสื่อมจาก ธรรมนน้ั เมอ่ื ท�ำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเทวดา เหลา่ เวหปั ผละ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ๕๐๐ กปั เปน็ ประมาณอายุ ของเทวดาเหลา่ เวหปั ผละ ปถุ ชุ นด�ำ รงอยใู่ นชน้ั เวหปั ผละนนั้ ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ัน ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคดำ�รงอยู่ใน ช้ันเวหัปผละนั้นตราบเท่าสิ้นอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพนนั้ เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คตอิ ุบัตยิ ังมอี ย.ู่ ภิกษุท้ังหลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก หาไดใ้ นโลก. 45
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : สกทาคามี ขอ้ แตกต่างระหวา่ งอริยสาวกผไู้ ด้สดบั 18กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ มาธิ (อรปู สญั ญา) -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๔๓/๕๕๖. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๓ จำ�พวกนี้ มีอยู่ในโลก หาไดใ้ นโลก ๓ จ�ำ พวกอะไรบ้าง คือ (1) บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะกา้ วลว่ งรปู สญั ญา เสยี ได้ โดยประการทง้ั ปวง เพราะความดบั ไปแหง่ ปฏฆิ สญั ญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา จึงเข้าถึงอากาสา- นญั จายตนะ อันมีการทำ�ในใจวา่ อากาศไม่มที ี่ส้นิ สดุ ดังนี้ แลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนน้ั ปรารถนาธรรมนนั้ และ ถึงความยินดีด้วยธรรมน้นั เขาดำ�รงอย่ใู นธรรมน้นั น้อมใจ ไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เส่ือมจากธรรมน้ัน เมอ่ื ท�ำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเหลา่ เทวดาท่ี เขา้ ถงึ ชนั้ อากาสานญั จายตนะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ เทวดา ทเ่ี ขา้ ถงึ ชน้ั อากาสานัญจายตนะ มีอายุประมาณสองหมื่นกัป ปถุ ชุ นด�ำ รงอยใู่ นชน้ั อากาสานญั จายตนะนน้ั ตราบเทา่ สน้ิ อายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มเขา้ ถงึ นรกบ้าง กำ�เนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนสาวก ของพระผมู้ พี ระภาคดำ�รงอยู่ในช้ันอากาสานัญจายตนะนั้น ตราบเท่าสิ้นอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ันให้สิ้น ไปแลว้ ย่อมปรินพิ พานในภพนน้ั เอง. 46
เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คตอิ บุ ตั ิยงั มอี ย.ู่ (2) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะกา้ วลว่ งอากาสานญั จายตนะเสยี ได้ โดยประการทง้ั ปวง จงึ เขา้ ถงึ วญิ ญาณญั จายตนะ อนั มกี ารท�ำ ในใจวา่ วญิ ญาณ ไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ เขายอ่ มชอบใจธรรมนน้ั ปรารถนาธรรมนน้ั และ ถึงความยินดีด้วยธรรมน้นั เขาดำ�รงอย่ใู นธรรมน้นั น้อมใจ ไปในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เส่ือมจากธรรมน้ัน เมอื่ ท�ำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเหลา่ เทวดาที่ เขา้ ถงึ ชนั้ วญิ ญาณญั จายตนะ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหลา่ เทวดา ท่ีเข้าถึงช้ันวิญญาณัญจายตนะมีอายุประมาณส่ีหมื่นกัป ปุถุชนดำ�รงอยู่ในชน้ั วญิ ญาณญั จายตนะนน้ั ตราบเทา่ สน้ิ อายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มเขา้ ถงึ นรกบ้าง ก�ำ เนดิ เดรจั ฉานบา้ ง เปรตวสิ ยั บา้ ง สว่ นสาวกของ พระผมู้ พี ระภาคด�ำ รงอยใู่ นชน้ั วญิ ญาณญั จายตนะนน้ั ตราบเทา่ ส้ินอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ันให้สิ้นไปแล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง. 47
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเม่ือ คติอบุ ตั ยิ ังมอี ย.ู่ (3) อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะ ก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะเสียได้ โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ อันมีการทำ�ในใจว่า อะไรๆ กไ็ มม่ ี เขาย่อมชอบใจธรรมน้ัน ปรารถนาธรรมน้ัน และถึง ความยนิ ดีดว้ ยธรรมน้นั เขาด�ำ รงอยู่ในธรรมนน้ั นอ้ มใจไป ในธรรมนนั้ อยมู่ ากดว้ ยธรรมนน้ั ไมเ่ สอื่ มจากธรรมนนั้ เมอื่ ท�ำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเหลา่ เทวดาทเ่ี ขา้ ถงึ ชน้ั อากญิ จญั ญายตนะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ เทวดาทเ่ี ขา้ ถงึ ชั้นอากิญจัญญายตนะมีอายุประมาณหกหมื่นกัป ปุถุชน ดำ�รงอยู่ในช้ันอากิญจัญญายตนะนั้นตราบเท่าส้ินอายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มเขา้ ถงึ นรกบา้ ง ก�ำ เนดิ เดรจั ฉานบา้ ง เปรตวสิ ยั บา้ ง สว่ นสาวกของ พระผมู้ พี ระภาคด�ำ รงอยใู่ นชน้ั อากญิ จญั ญายตนะนน้ั ตราบเทา่ สิ้นอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ันให้สิ้นไปแล้ว ยอ่ มปรนิ พิ พานในภพนั้นเอง. 48
เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : สกทาคามี ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระท�ำ ใหแ้ ตกตา่ งกนั ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ในเมื่อ คติอบุ ัตยิ งั มอี ย.ู่ ภิกษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๓ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก หาไดใ้ นโลก. 49
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : สกทาคามี อรยิ สาวกผปู้ ระกอบดว้ ยสงั โยชน์ แตไ่ มม่ ี 19สงั โยชนท์ เ่ี ปน็ เหตใุ หก้ ลบั มายงั โลกนอ้ี กี -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๑๒/๕๓๔. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมอื นทอ้ งฟา้ อนั อยหู่ า่ งไกล ทปี่ ราศจากเมฆหมอกในสรทสมยั (ฤดูใบไมร้ ว่ ง) ดวงอาทติ ย์ ขน้ึ สทู่ อ้ งฟา้ แลว้ ยอ่ มขจดั ความมดื ทอ่ี ยใู่ นอากาศเสยี ทง้ั หมด แล้วส่องแสงร้อนแรงและรุ่งโรจน์อยู่ฉันใด ภิกษุท้ังหลาย ฉันนั้นก็เหมือนกัน เม่ือใด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินเกิดแก่อริยสาวก พร้อมกับความเกิดขึ้น แห่งทัศนะ อริยสาวกน้ันย่อมละสังโยชน์ ๓ อย่างได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ลำ�ดับต่อมา อริยสาวกออกจากธรรม ๒ ประการ คือ อภิชฌาและ พยาบาท อรยิ สาวกนน้ั สงดั จากกามและอกศุ ลธรรมทงั้ หลาย บรรลปุ ฐมฌาน มวี ติ ก มวี จิ าร มปี ตี แิ ละสขุ อนั เกดิ จากวเิ วก แล้วแลอยู่ ภิกษุท้ังหลาย ถ้าอริยสาวกน้ัน พึงทำ�กาละ ในสมัยน้ัน เธอย่อมไม่มีสังโยชน์ที่เป็นเหตุให้อริยสาวก ผู้ยังประกอบดว้ ยสังโยชน์ พงึ กลบั มายงั โลกน้ีอกี . 50
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สกทาคามี ผลของการประกอบตน 20 ให้ตดิ เนอ่ื งในความสุข ๔ ประการ -บาลี ปา. ท.ี ๑๑/๑๔๕/๑๑๖. จนุ ทะ กเ็ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ คอื การทพ่ี วกปรพิ พาชก อัญญเดียรถีย์จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็เมื่อพวกท่าน ประกอบตนให้ติดเน่ืองในความสุข ๔ ประการ1เหล่าน้ีอยู่ ผลกป่ี ระการ อานสิ งสก์ ป่ี ระการ อนั ทา่ นทง้ั หลายพงึ หวงั ได.้ จนุ ทะ พวกปรพิ พาชกอญั ญเดยี รถยี ผ์ มู้ วี าทะอยา่ งน้ี อนั พวกเธอพงึ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ อาวโุ ส เมอ่ื พวกเราประกอบตน ใหต้ ดิ เนอื่ งในความสขุ ๔ ประการเหลา่ นอี้ ย ู่ ผล ๔ ประการ อานิสงส์ ๔ ประการอันพวกเราพึงหวังได้ ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ. อาวโุ ส ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เพราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป จะเป็นโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป มีความไม่ตกต่ำ� เป็นธรรมดา เปน็ ผู้เทีย่ ง จะตรัสรไู้ ด้ในกาลเบ้อื งหน้า ข้อนี้ เป็นผลประการที่ ๑ เป็นอานสิ งสป์ ระการที่ ๑. 1. ความสุข ๔ ประการ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ผอู้ า่ นสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากเนอ้ื ความเตม็ ของพระสตู ร. -ผรู้ วบรวม 51
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อาวโุ ส ขอ้ อนื่ ยงั มอี กี ภกิ ษเุ พราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง จะเปน็ สกทาคามี มาสู่ โลกนี้อีกคร้ังเดียวเท่าน้ัน แล้วจะทำ�ที่สุดแห่งทุกข์ได้ ข้อน้ี เปน็ ผลประการที่ ๒ เป็นอานิสงส์ประการที่ ๒. อาวโุ ส ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี ภกิ ษเุ พราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ส้ินไป จะเป็นโอปปาติกะ ผู้จะปรินิพพานในท่ีน้ัน มีอัน ไมก่ ลบั มาจากโลกนน้ั เปน็ ธรรมดา ขอ้ นเ้ี ปน็ ผลประการท่ี ๓ เป็นอานสิ งส์ประการท่ี ๓. อาวโุ ส ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี ภกิ ษจุ ะท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะ ทงั้ หลาย ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อยู่ ขอ้ นเี้ ปน็ ผลประการที่ ๔ เป็นอานสิ งส์ประการที่ ๔. อาวโุ ส เมอื่ พวกเราเปน็ ผปู้ ระกอบตนใหต้ ดิ เนอ่ื งใน ความสุข ๔ ประการเหล่าน้ีอยู่ ผล ๔ ประการ อานิสงส์ ๔ ประการเหลา่ นี้ อันพวกเราพงึ หวังได้ ดงั น.้ี 52
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : สกทาคามี 21 บุคคลผู้ควรแก่ของทำ�บุญ -บาลี อฏฺ ก. อ.ํ ๒๓/๓๐๑/๑๔๙. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๘ จ�ำ พวกนี้ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแก่ ของคำ�นับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำ�บุญ ควรแก่ การทำ�อัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๘ จ�ำ พวกอะไรบ้าง คือ (1) โสดาบนั (2) ผปู้ ฏิบตั ิเพือ่ กระท�ำ ให้แจ้งซง่ึ โสดาปตั ติผล (3) สกทาคามี (4) ผปู้ ฏิบัติเพอ่ื กระท�ำ ให้แจ้งซง่ึ สกทาคามิผล (5) อนาคามี (6) ผปู้ ฏิบัติเพอ่ื กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ อนาคามผิ ล (7) อรหนั ต์ (8) ผู้ปฏบิ ัติเพ่ือกระทำ�ให้แจ้งซ่งึ อรหตั ตผล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๘ จ�ำ พวกนแ้ี ล เปน็ ผคู้ วรแก่ ของค�ำ นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ องท�ำ บญุ ควรแกก่ ารท�ำ อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ผปู้ ฏบิ ตั แิ ลว้ ๔ จ�ำ พวก และผตู้ ง้ั อยใู่ นผลแลว้ ๔ จ�ำ พวก นแ่ี หละสงฆ์ ทเ่ี ปน็ คนตรง เปน็ ผตู้ ง้ั มน่ั แลว้ ในปญั ญาและศลี ยอ่ มกระท�ำ ใหเ้ กดิ บุญอ่ืนเน่ืองด้วยอุปธิ แก่มนุษย์ท้ังหลายผู้มีความต้องการ ดว้ ยบญุ กระท�ำ การบชู าอยู่ ทานทใ่ี หแ้ ลว้ ในสงฆจ์ งึ มผี ลมาก. 53
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : สกทาคามี สัทธานุสารี ธัมมานสุ ารี โสดาบนั 22 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ตา เปน็ สงิ่ ไมเ่ ทยี่ ง มคี วามแปรปรวน เปน็ ปกติ มีความเปลย่ี นเป็นอยา่ งอืน่ เปน็ ปกติ หู... จมกู ... ลน้ิ ... กาย... ใจ เปน็ สงิ่ ไมเ่ ทยี่ ง มคี วามแปรปรวนเปน็ ปกติ มีความเปลยี่ นเปน็ อย่างอน่ื เปน็ ปกติ. ภิกษุทั้งหลาย บคุ คลใด มีความเชื่อ น้อมจติ ไปใน ธรรม ๖ อย่างนี้ ด้วยอาการอยา่ งน้ี บุคคลนีเ้ ราเรียกวา่ เปน็ สัทธานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม (หนทางแห่งความถูกต้อง) กา้ วลงสสู่ ปั ปรุ สิ ภมู ิ (ภมู แิ หง่ สปั บรุ ษุ ) ลว่ งพน้ ปถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจ ท่ีจะกระทำ�กรรม อันบุคคลทำ�แล้ว จะเข้าถึงนรก กำ�เนิด เดรัจฉาน หรอื เปรตวสิ ยั และไม่อาจจะทำ�กาละ ตราบเทา่ ท่ี ยงั ไม่ทำ�ใหแ้ จง้ ซ่ึงโสดาปตั ติผล. ภิกษุท้ังหลาย ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ ทนต่อการ เพง่ โดยประมาณอนั ยงิ่ แหง่ ปญั ญาของบคุ คลใด ดว้ ยอาการ อยา่ งน้ี บคุ คลนเ้ี ราเรยี กวา่ ธมั มานสุ ารี กา้ วลงสสู่ มั มตั ตนยิ าม (หนทางแห่งความถูกต้อง) ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ (ภูมิแห่งสัปบุรุษ) ลว่ งพน้ ปถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจี่ ะกระท�ำ กรรม อนั บคุ คลท�ำ แลว้ จะเขา้ ถงึ นรก ก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน หรอื เปรตวสิ ยั และไมอ่ าจจะ ท�ำ กาละ ตราบเท่าท่ยี งั ไม่ทำ�ใหแ้ จ้งซึง่ โสดาปัตตผิ ล. 54
เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : สกทาคามี ภิกษุท้ังหลาย บุคคลใดย่อมรู้ ย่อมเห็นซ่ึงธรรม ๖ อย่างเหล่าน้ี ด้วยอาการอย่างน้ี บุคคลน้ีเราเรียกว่า โสดาบนั มคี วามไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี ง จะตรสั รไู้ ด้ ในกาลเบ้อื งหนา้ . (พระสูตรทีย่ กมาน้ี ไดต้ รสั ถึงความไม่เทย่ี งของธรรม ๖ อยา่ ง คอื อายตนะภายในหก คอื ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ สว่ นในสูตรถดั ไป ทรงแสดงอารมณ์นั้น ด้วยอายตนะภายนอกหก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรม ก็มี, แสดงด้วยวิญญาณหก ก็มี, ด้วยสัมผัสหก ก็มี, ด้วยเวทนาหก ก็มี, ด้วยสัญญาหก ก็มี, ด้วยสัญเจตนาหก ก็มี, ด้วยตณั หาหก กม็ ี, ดว้ ยธาตหุ ก กม็ ี, และด้วยขันธห์ ้า ก็มี ซ่งึ ไดแ้ สดงไว้ ดว้ ยหลักการปฏิบัติอย่างเดียวกนั . -ผรู้ วบรวม) 55
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : สกทาคามี แมแ้ ตอ่ รยิ บุคคลข้นั โสดาบนั 23 ก็ไมอ่ าจแปรปรวน -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๕๗/๑๔๙๔. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอเอน็ ดใู คร และใครถอื วา่ เธอ เป็นผ้ทู เ่ี ขาควรเชอื่ ฟัง เขาจะเป็นมิตรกต็ าม อ�ำ มาตย์ก็ตาม ญาตหิ รอื สายโลหติ กต็ าม เธอพงึ ยงั ชนเหลา่ นน้ั ใหส้ มาทาน ใหต้ งั้ มนั่ ใหด้ �ำ รงอยู่ ในโสตาปตั ตยิ งั คะ ๔ ประการ (องคแ์ หง่ ธรรมเป็นเครอ่ื งบรรลุโสดาบนั ) ๔ ประการอะไรบา้ ง คอื ภิกษุท้ังหลาย เธอพึงยังชนเหล่าน้ัน ให้สมาทาน ให้ต้ังม่ัน ให้ดำ�รงอยู่ ในความเล่ือมใสอย่างไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระอรหันต์ … เป็นผู้จำ�แนกธรรม ภิกษุทั้งหลาย แม้มหาภูตรูป ๔ กล่าวคือ ธาตุดิน น้ำ� ไฟ ลม ก็ยังมี ความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่เหล่าอริยสาวก ในธรรมวินัยน้ี ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเล่ือมใส อย่างไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า ย่อมไม่มีความแปรปรวน เปน็ อยา่ งอน่ื เลย ขอ้ ทว่ี า่ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อยา่ งไมห่ วน่ั ไหว ในพระพทุ ธเจา้ ยงั จะมคี วามแปรปรวนเปน็ อยา่ งอน่ื จนเขา้ ถงึ นรกกด็ ี ก�ำ เนดิ เดรจั ฉานกด็ ี เปรตวสิ ยั กด็ ี ดังนีน้ น้ั ไมใ่ ชฐ่ านะทจ่ี ะมไี ด้เลย. 56
เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : สกทาคามี ภิกษุทั้งหลาย เธอพึงยังชนเหล่าน้ัน ให้สมาทาน ให้ต้ังม่ัน ให้ดำ�รงอยู่ ในความเลื่อมใสอย่างไม่หว่ันไหว ในพระธรรมวา่ พระธรรม เปน็ สง่ิ ทพี่ ระผมู้ พี ระภาคตรสั ไว้ ดีแล้ว … เป็นสิ่งท่ีผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ภิกษุท้ังหลาย แม้มหาภูตรูป ๔ กล่าวคือ ธาตุดิน น้ำ� ไฟ ลม ก็ยังมี ความแปรปรวนเป็นอย่างอ่ืนไปได้ แต่เหล่าอริยสาวก ในธรรมวินัยน้ี ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใส อย่างม่ันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ย่อมไม่มีความแปรปรวน เปน็ อยา่ งอน่ื เลย ขอ้ ทว่ี า่ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อย่างไม่หว่นั ไหวในพระธรรม ยังจะมีความแปรปรวนเป็น อยา่ งอน่ื จนเขา้ ถงึ นรกกด็ ี ก�ำ เนดิ เดรจั ฉานกด็ ี เปรตวสิ ยั กด็ ี ดงั นน้ี น้ั ไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ดเ้ ลย. ภิกษุท้ังหลาย เธอพึงยังชนเหล่าน้ัน ให้สมาทาน ให้ต้ังม่ัน ให้ดำ�รงอยู่ ในความเลื่อมใสอย่างไม่หว่ันไหว ในพระสงฆ์วา่ สงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาค เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ ดีแล้ว … เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอ่นื ย่งิ กว่า ภิกษุ ทง้ั หลาย แมม้ หาภตู รปู ๔ กลา่ วคอื ธาตดุ นิ น้ำ� ไฟ ลม กย็ งั มีความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่เหล่าอริยสาวก ในธรรมวินัยน้ี ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใส อย่างไม่หว่ันไหว ในพระสงฆ์ย่อมไม่มีความแปรปรวนเปน็ 57
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อยา่ งอน่ื เลย ขอ้ ทว่ี า่ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อย่างไม่หว่ันไหวในพระสงฆ์ ยังจะมีความแปรปรวนเป็น อยา่ งอน่ื จนเขา้ ถงึ นรกกด็ ี ก�ำ เนดิ เดรจั ฉานก็ดี เปรตวิสัยก็ดี ดังนี้นน้ั ไมเ่ ป็นฐานะทจ่ี ะมีได้เลย. ภิกษุท้ังหลาย เธอพึงยังชนเหล่าน้ัน ให้สมาทาน ใหต้ ง้ั มน่ั ใหด้ �ำ รงอยู่ ในศลี ทง้ั หลายทพ่ี ระอรยิ ะชอบใจ เปน็ ศลี ทไ่ี มข่ าด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง ไมพ่ ร้อย เปน็ ไท อันผูร้ ู้สรรเสรญิ ไม่ถูกทิฏฐิครอบงำ� เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย แม้มหาภูตรูป ๔ กล่าวคือ ธาตุดิน น้ำ� ไฟ ลม ก็ยังมี ความแปรปรวนเป็นอย่างอ่ืนไปได้ แต่เหล่าอริยสาวก ในธรรมวินัยนี้ ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลท้ังหลายที่ พระอรยิ ะชอบใจ ยอ่ มไมม่ คี วามแปรปรวนเปน็ อยา่ งอน่ื เลย ข้อท่ีว่าผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลท้ังหลายที่พระอริยะ ชอบใจ ยงั จะมคี วามแปรปรวนเปน็ อยา่ งอน่ื จนเขา้ ถงึ นรกกด็ ี กำ�เนิดเดรัจฉานก็ดี เปรตวิสัยก็ดี ดังนี้นั้น ไม่เป็นฐานะ ท่ีจะมไี ด้เลย. ภิกษทุ ้งั หลาย พวกเธอเอน็ ดูใคร และใครถือว่าเธอ เป็นผ้ทู ่เี ขาควรเช่อื ฟัง เขาจะเป็นมิตรก็ตาม อำ�มาตย์ก็ตาม ญาตหิ รอื สายโลหติ กต็ าม เธอพงึ ยงั ชนเหลา่ นน้ั ใหส้ มาทาน ใหต้ ง้ั มน่ั ใหด้ �ำ รงอยู่ ในโสตาปตั ตยิ งั คะ ๔ ประการเหลา่ นแ้ี ล. 58
กาม และ กามคณุ 59
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : สกทาคามี ความหมายของกามและกามคุณ 24 -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๕๙/๓๓๔. ภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายพึงทราบกาม เหตุเกิด แหง่ กาม ความตา่ งกนั แหง่ กาม วบิ ากแหง่ กาม ความดบั แหง่ กาม ปฏิปทาที่ให้ถงึ ความดับแหง่ กาม. ภิกษุท้งั หลาย ข้อท่เี รากล่าวแล้วว่า เธอท้งั หลายพึง ทราบกาม เหตเุ กดิ แหง่ กาม ความตา่ งกนั แหง่ กาม วบิ ากแหง่ กาม ความดับแห่งกาม ปฏิปทาท่ีให้ถึงความดับแห่งกามน้ัน เราอาศยั อะไรกลา่ ว. ภิกษุท้ังหลาย กามคุณ ๕ ประการน้ี คือ รูปท่ีรู้ได้ ดว้ ยตา อนั น่าปรารถนา น่ารกั ใคร่ น่าพอใจ มลี ักษณะนา่ รกั เป็นท่ีตั้งอาศัยแห่งความใคร่ เป็นท่ีต้ังแห่งความกำ�หนัด เสยี งทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยหู ... กลน่ิ ทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยจมกู ... รสทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยลน้ิ ... โผฏฐพั พะ(สมั ผสั ทางผวิ ) ทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยกาย อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เป็นท่ีต้ังอาศัยแห่งความใคร่ เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความก�ำ หนดั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กแ็ ตว่ า่ สง่ิ เหลา่ นไ้ี มช่ อ่ื วา่ กาม สง่ิ เหลา่ นเ้ี รยี กวา่ กามคณุ ในอรยิ วนิ ยั . ความก�ำ หนดั ไปตามอ�ำ นาจความตรติ รกึ (สงกฺ ปปฺ ราค) นน่ั แหละคอื กามของคนเรา อารมณอ์ นั วจิ ติ รทง้ั หลายในโลก 60
เปิดธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี ไมช่ อ่ื วา่ กาม ความก�ำ หนดั ไปตามอ�ำ นาจความตรติ รกึ นน่ั แหละ คอื กามของคนเรา อารมณอ์ นั วจิ ติ รทงั้ หลายในโลก ยอ่ มตง้ั อยู่ ตามสภาพของมันเท่านั้น ผู้มีปัญญาท้ังหลายย่อมกำ�จัด ความพอใจในอารมณ์อนั วจิ ิตรเหลา่ นน้ั . ภิกษุท้ังหลาย ก็เหตุเกิดแห่งกามเป็นอย่างไร คือ ผสั สะเปน็ เหตเุ กดิ แห่งกามท้ังหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันแห่งกามเป็นอย่างไร คือ กามในรูปเป็นอย่างหน่ึง กามในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง กามในกล่ินเป็นอย่างหนงึ่ กามในรสเป็นอยา่ งหน่งึ กามใน โผฏฐพั พะเปน็ อยา่ งหนงึ่ นเี้ รยี กวา่ ความตา่ งกนั แหง่ กาม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กว็ บิ ากแหง่ กามเปน็ อยา่ งไร คอื การที่ บุคคลผู้ใคร่อยู่ซ่ึงอารมณ์ใด ย่อมยังอัตภาพที่เกิดข้ึนจาก ความใคร่นั้นๆ ให้เกิดขึ้น เป็นส่วนบุญก็ดีหรือเป็นส่วน ไม่ใชบ่ ญุ ก็ดี นีเ้ รยี กวา่ วิบากแห่งกาม. ภิกษุท้ังหลาย ก็ความดับแห่งกามเป็นอย่างไร คือ ความดับแห่งกาม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการน้ี คอื สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นปฏิปทาท่ีให้ถึง ความดบั แหง่ กาม. 61
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี โลก ในอรยิ วินยั คือ กามคณุ ๕ 25 -บาลี นวก. อ.ํ ๒๓/๔๔๖/๒๔๒. ครั้งหน่ึง พราหมณ์ผู้ชำ�นาญในคัมภีร์โลกายตะ ๒ คน เข้าไป เฝา้ พระผมู้ พี ระภาค และไดท้ ลู ถามวา่ ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ ปรู ณกสั สปะ เปน็ ผรู้ สู้ งิ่ ทง้ั ปวง เหน็ สง่ิ ทงั้ ปวง ปฏญิ าณการรกู้ ารเหน็ อนั ไมม่ สี ว่ นเหลอื วา่ เมอ่ื เราเดนิ ยืน หลบั และตื่นอยู่ ญาณทสั สนะปรากฏติดต่อเน่ืองกนั ไป ปูรณกัสสปะน้นั กล่าวอย่างน้วี ่า เราร้เู ราเห็นโลกอันไม่มีท่สี ุด ด้วยญาณ อนั ไมม่ ที ส่ี ดุ ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ แมน้ คิ รณฐนาฏบตุ รกเ็ ปน็ ผรู้ สู้ ง่ิ ทง้ั ปวง เหน็ สง่ิ ทง้ั ปวง ปฏญิ าณการรกู้ ารเหน็ อนั ไมม่ สี ว่ นเหลอื วา่ เมอ่ื เราเดนิ ยนื หลบั และตน่ื อยู่ ญาณทสั สนะปรากฏตดิ ตอ่ เนอ่ื งกนั ไป นคิ รณฐนาฏบตุ รนน้ั กล่าวอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็นโลกอันไม่มีท่ีสุด ด้วยญาณอันไม่มีที่สุด ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ คนทง้ั ๒ ตา่ งกพ็ ดู อวดรกู้ นั มคี �ำ พดู ขดั แยง้ กนั ใครพดู จรงิ ใครพูดเท็จ. พราหมณ ์ อยา่ เลย ขอ้ ทคี่ นทง้ั ๒ นต้ี า่ งพดู อวดรกู้ นั มคี �ำ พดู ขดั แยง้ กนั ใครพดู จรงิ ใครพดู เทจ็ นน้ั พกั ไวก้ อ่ นเถดิ พราหมณ์ เราจกั แสดงธรรมแก่ทา่ นท้ังหลาย ทา่ นท้ังหลาย จงฟงั จงใสใ่ จใหด้ ี เราจะกล่าว. พราหมณ ์ เปรยี บเหมอื นชาย ๔ คน ยนื อยใู่ น ๔ ทศิ ตา่ งกม็ ฝี เี ทา้ ในการเดนิ และการวงิ่ ทเี่ ยยี่ มพอๆ กนั ความเรว็ ในการวง่ิ ของเขานน้ั ประดจุ ลกู ธนชู นดิ เบาทถ่ี กู ยงิ ผา่ นเงาตน้ ตาล ตามขวางได้โดยง่าย ของนายขมังธนูท่ถี ือธนูไว้อย่างม่นั คง ผทู้ ศ่ี กึ ษามาเจนฝมี อื แลว้ ผา่ นการประลองฝมี อื แลว้ ในการ 62
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : สกทาคามี กถา้ึงวมขหอางสเขมาุทนรน้ั ด้าปนรทะิศดตจุ กะวา้ วันจตากก1ม หคาสร้ังมนทุ ้ันรดชา้ านยทผศิ ู้ยตืนะอวนัยู่อดอ้านก ทศิ ตะวนั ออก กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ เราจะเดนิ ทางไปใหถ้ งึ ทส่ี ดุ โลก โดยเขาเวน้ จากการดม่ื การกนิ การลม้ิ เวน้ จากการถา่ ยอจุ จาระ และปสั สาวะ เวน้ จากการหลบั และการพกั เขามอี ายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี เดินทางไปตลอด ๑๐๐ ปี ยังไม่ทันถึง ทส่ี ดุ โลกเลย กต็ ายเสยี กอ่ น ถา้ ชายผยู้ นื อยดู่ า้ นทศิ ตะวนั ตก … ถ้าชายผู้ยืนอยู่ด้านทิศเหนือ … ถ้าชายผู้ยืนอยู่ด้านทิศใต้ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ เราจะเดนิ ทางไปใหถ้ งึ ทส่ี ดุ โลก โดยเขาเวน้ จาก การดม่ื การกนิ การลม้ิ เวน้ จากการถา่ ยอจุ จาระและปสั สาวะ เว้นจากการหลับและการพัก เขามีอายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี เดนิ ทางไปตลอด ๑๐๐ ปี ยงั ไมท่ ันถึงท่ีสดุ โลกเลย ก็ตายเสียก่อน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเราไม่กล่าวว่า บคุ คลจะพงึ รพู้ งึ เหน็ จะพงึ ถงึ ทส่ี ดุ ของโลกดว้ ยการเดนิ ทาง เหน็ ปานนน้ั และเราไมก่ ลา่ ววา่ บคุ คลผยู้ งั ไมถ่ งึ ทส่ี ดุ แหง่ โลก จะกระทำ�ทส่ี ดุ แหง่ ทุกข์ได้. พราหมณ์ กามคุณ ๕ ประการน้ี เรียกว่าโลกใน อรยิ วินยั กามคณุ ๕ ประการอะไรบ้าง คอื รูปท่รี ูไ้ ดด้ ้วยตา อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เปน็ ทต่ี ง้ั 1. สำ�นวนแปลมีความแตกต่างจากพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวงบ้าง เพ่อื ให้ สามารถเข้าใจเน้อื ความได้ดีข้นึ จึงได้นำ�สำ�นวนของโรหิตัสสสูตร และฉบับแปล ภาษาองั กฤษของภกิ ขโุ พธมิ าปรบั ใชบ้ างสว่ น. -ผรู้ วบรวม 63
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อาศยั แหง่ ความใคร่ เปน็ ทต่ี ง้ั แห่งความกำ�หนัด เสียงที่รู้ได้ ด้วยหู … กลิ่นที่รู้ได้ด้วยจมูก … รสท่ีรู้ได้ด้วยลิ้น … โผฏฐพั พะทรี่ ไู้ ดด้ ว้ ยกาย อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นท่ตี ้งั อาศัยแห่งความใคร่ เป็นท่ตี ้งั แห่ง ความก�ำ หนดั พราหมณ ์ กามคณุ ๕ ประการเหล่านแ้ี ล เรียกวา่ โลก ในอริยวินัย. พราหมณ์ ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ เพราะสงัดจากกาม และอกศุ ลธรรมทงั้ หลาย บรรลปุ ฐมฌาน มวี ติ ก มวี จิ าร มปี ตี ิ และสขุ อนั เกดิ จากวเิ วกแลว้ แลอยู่ ภกิ ษนุ เี้ รยี กวา่ ไดถ้ งึ ทส่ี ดุ แห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก แต่ชนเหล่าอ่ืนกล่าว ภกิ ษนุ น้ั อยา่ งนว้ี า่ แมภ้ กิ ษนุ ก้ี ย็ งั นบั เนอ่ื งอยใู่ นโลก ยงั สลดั ตน ไม่พ้นไปจากโลก พราหมณ์ เป็นความจริง แม้เราก็กล่าว อยา่ งนว้ี า่ แมภ้ กิ ษนุ ก้ี ย็ งั นบั เนอื่ งอยใู่ นโลก ยงั สลดั ตนไมพ่ น้ ไปจากโลก. พราหมณ ์ อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษุ บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน … บรรลตุ ตยิ ฌาน … บรรลจุ ตตุ ถฌาน … ภกิ ษนุ เ้ี รยี กวา่ ไดถ้ งึ ที่สุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในท่ีสุดแห่งโลก แต่ชนเหล่าอ่ืน กล่าวภิกษุน้ันอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเน่ืองอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก พราหมณ์ เป็นความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างน้ีว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลดั ตนไม่พ้นไปจากโลก. 64
เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : สกทาคามี พราหมณ์ อีกประการหน่งึ ภิกษุ เพราะก้าวล่วง รูปสัญญาเสียได้ โดยประการทั้งปวง ... จึงเข้าถึงอากา- สานัญจายตนะ ... ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถึงท่ีสุดแห่งโลกแล้ว และอยใู่ นทส่ี ดุ แหง่ โลก แตช่ นเหลา่ อน่ื กลา่ วภกิ ษนุ น้ั อยา่ งนว้ี า่ แมภ้ กิ ษนุ ก้ี ย็ งั นบั เนอ่ื งอยใู่ นโลก ยงั สลดั ตนไมพ่ น้ ไปจากโลก พราหมณ์ เป็นความจรงิ แม้เรากก็ ลา่ วอย่างนว้ี า่ แม้ภกิ ษุนี้ ก็ยงั นบั เนอื่ งอยู่ในโลก ยงั สลดั ตนไม่พน้ ไปจากโลก. พราหมณ์ อีกประการหน่ึง ภิกษุ เพราะก้าวล่วง อากาสานัญจายตนะเสียได้ โดยประการท้ังปวง จึงเข้าถึง วญิ ญาณญั จายตนะ … เพราะกา้ วลว่ งวญิ ญาณญั จายตนะเสยี ได้ โดยประการท้ังปวง จึงเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ … เพราะ กา้ วลว่ งอากญิ จญั ญายตนะเสยี ได้ โดยประการทง้ั ปวง จงึ เขา้ ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ … ภกิ ษนุ เี้ รยี กวา่ ไดถ้ งึ ทส่ี ดุ แหง่ โลกแลว้ และอยใู่ นทสี่ ดุ แหง่ โลก แตช่ นเหลา่ อน่ื กลา่ วภกิ ษนุ น้ั อยา่ งนว้ี า่ ภกิ ษนุ ก้ี ย็ งั นบั เนอื่ งอยใู่ นโลก ยงั สลดั ตนไมพ่ น้ ไป จากโลก พราหมณ ์ เปน็ ความจรงิ แมเ้ รากก็ ลา่ วอยา่ งนว้ี า่ แมภ้ กิ ษนุ ก้ี ย็ งั นบั เนอ่ื งอยใู่ นโลก ยงั สลดั ตนไมพ่ น้ ไปจากโลก. พราหมณ์ อีกประการหน่ึง ภิกษุ เพราะก้าวล่วง เนวสญั ญานาสญั ญายตนะเสยี ได้ โดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา้ ถงึ สญั ญาเวทยติ นโิ รธ อาสวะของเธอสน้ิ รอบแลว้ เพราะเหน็ ดว้ ย ปญั ญา พราหมณ ์ ภิกษุนี้เรยี กวา่ ได้ถึงทีส่ ุดแหง่ โลกแลว้ และอยใู่ นทส่ี ดุ แหง่ โลก กา้ วพน้ เครอ่ื งยดึ เหนย่ี วในโลกไดแ้ ลว้ . 65
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : สกทาคามี 26 โลก คอื สิง่ ท่แี ตกสลายได้ -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๖๔/๙๘. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่กล่าวกันว่า โลก โลก ดังน้ี อันว่าโลก มไี ด้ด้วยเหตุเพยี งเทา่ ไรหนอ. ภิกษุ เพราะจะต้องแตกสลาย เราจึงกล่าวว่าโลก ก็อะไรเลา่ จะตอ้ งแตกสลาย. ภิกษุ ตาแตกสลาย รูปแตกสลาย จักษุวิญญาณ แตกสลาย จกั ษสุ มั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะจกั ษสุ มั ผสั เปน็ ปจั จยั กแ็ ตกสลาย. ภิกษุ หูแตกสลาย เสียงแตกสลาย โสตวิญญาณ แตกสลาย โสตสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะโสตสมั ผสั เปน็ ปจั จยั ก็แตกสลาย. ภกิ ษ ุ จมกู แตกสลาย กลน่ิ แตกสลาย ฆานวญิ ญาณ แตกสลาย ฆานสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะฆานสมั ผสั เปน็ ปจั จยั ก็แตกสลาย. 66
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : สกทาคามี ภิกษุ ล้ินแตกสลาย รสแตกสลาย ชิวหาวิญญาณ แตกสลาย ชวิ หาสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะชวิ หาสมั ผสั เปน็ ปจั จยั กแ็ ตกสลาย. ภิกษุ กายแตกสลาย โผฏฐัพพะแตกสลาย กาย- วิญญาณแตกสลาย กายสัมผัสแตกสลาย แม้สุขเวทนาก็ดี ทกุ ขเวทนากด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะกายสมั ผสั เป็นปจั จยั ก็แตกสลาย. ภิกษุ ใจแตกสลาย ธรรมแตกสลาย มโนวิญญาณ แตกสลาย มโนสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะมโนสมั ผสั เปน็ ปจั จยั กแ็ ตกสลาย. ภกิ ษ ุ เพราะจะตอ้ งแตกสลาย เราจงึ กลา่ ววา่ โลก ดงั น.้ี 67
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี กามคณุ ๕ 27 คอื เครอ่ื งจองจ�ำ ในอรยิ วนิ ยั -บาลี ส.ี ท.ี ๙/๓๐๕/๓๗๗. วาเสฏฐะ เปรยี บเหมอื นแมน่ �ำ้ อจริ วดี น�้ำ เตม็ เปย่ี ม เสมอขอบฝั่ง กาก้มลงด่ืมได้ ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝงั่ ไปยงั ฝงั่ ประสงคจ์ ะขา้ มฝง่ั ไป เขามดั แขนไพลห่ ลงั อยา่ งแนน่ ดว้ ยเชอื กอยา่ งเหนยี วทร่ี มิ ฝง่ั น ้ี วาเสฏฐะ ทา่ นจะ ส�ำ คญั ความขอ้ นนั้ วา่ อยา่ งไร บรุ ษุ นน้ั พงึ ไปสฝู่ ง่ั โนน้ จากฝง่ั น้ี แหง่ แมน่ �ำ้ อจิรวดไี ด้หรือไม.่ ไม่ได้เลย ท่านพระโคดมผู้เจรญิ . วาเสฏฐะ ฉันน้ันก็เหมือนกัน กามคุณ ๕ เหล่าน้ี ในอริยวินัยเรียกว่า ข่ือคาบ้าง เรียกว่า เคร่ืองจองจำ�บ้าง กามคุณ ๕ อะไรบ้าง คอื รปู ท่รี ูไ้ ด้ดว้ ยตา เสยี งที่รไู้ ดด้ ้วยหู กลน่ิ ทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยจมกู รสทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยลน้ิ โผฏฐพั พะทรี่ ไู้ ดด้ ว้ ยกาย อนั น่าปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะน่ารกั เป็นท่ี ตงั้ อาศยั แหง่ ความใคร่ เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ความก�ำ หนดั วาเสฏฐะ กามคุณ ๕ เหล่านี้ ในอริยวินัยเรียกว่า ขื่อคาบ้าง เรียกว่า เครื่องจองจ�ำ บ้าง. 68
เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : สกทาคามี วาเสฏฐะ พวกพราหมณผ์ ไู้ ดไ้ ตรวชิ ชา ผหู้ ยง่ั ลงอยู่ สยบอยู่ หมกมนุ่ อยู่ ไมม่ องเหน็ โทษ ไมม่ ปี ญั ญาเครอ่ื งสลดั ออก พากันบริโภคอยู่ซึ่งกามคุณ ๕ เหล่านี้ ก็พราหมณ์ผู้ได้ ไตรวิชชาเหล่าน้ัน ละธรรมท่ีทำ�บุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมประพฤตธิ รรมทไี่ มท่ �ำ บคุ คลใหเ้ ปน็ พราหมณ์ เขาเป็นผู้หยั่งลงอยู่ สยบอยู่ หมกมุ่นอยู่ ไม่มองเห็นโทษ ไม่มีปัญญาเคร่ืองสลัดออก บริโภคอยู่ซ่ึงกามคุณ ๕ มีกามฉันทะผูกมัดแล้ว เบ้ืองหน้าจากการตายเพราะกาย แตกท�ำ ลาย จะเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายแหง่ พรหม ขอ้ นไ้ี มเ่ ปน็ ฐานะทีจ่ ะมไี ด้. วาเสฏฐะ เปรยี บเหมอื นแมน่ �ำ้ อจริ วดี น�ำ้ เตม็ เปย่ี ม เสมอขอบฝั่ง กาก้มลงดื่มได้ ครั้งน้ัน บุรุษผู้ต้องการฝ่ัง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝ่ังไป เขากลับนอน คลุมตลอดศีรษะเสียท่ีฝ่ัง วาเสฏฐะ ท่านจะสำ�คัญความ ข้อนน้ั วา่ อย่างไร บุรุษนนั้ พงึ ไปสู่ฝงั่ โนน้ จากฝัง่ นี้แหง่ แมน่ ้ำ� อจริ วดีไดห้ รอื ไม.่ ไมไ่ ด้เลย ท่านพระโคดมผเู้ จริญ. วาเสฏฐะ ฉันน้ันก็เหมือนกัน นิวรณ์ ๕ เหล่าน้ี ในอริยวินัยเรียกว่า เครื่องปิดบ้าง เครื่องกางก้ันบ้าง เครือ่ งคลมุ บ้าง เครอ่ื งร้อยรดั บ้าง นิวรณ์ ๕ อะไรบ้าง คอื 69
พทุ ธวจน - หมวดธรรม กามฉนั ทนวิ รณ ์ พยาบาทนวิ รณ ์ ถนี มทิ ธนวิ รณ ์ อทุ ธจั จ- กกุ กจุ จนวิ รณ ์ วจิ กิ จิ ฉานวิ รณ ์ วาเสฏฐะ นวิ รณ์ ๕ เหลา่ นี้ ในอริยวินัยเรียกว่า เครื่องปิดบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครอ่ื งคลมุ บ้าง เคร่ืองรอ้ ยรดั บา้ ง. วาเสฏฐะ พวกพราหมณผ์ ไู้ ดไ้ ตรวชิ ชา ถกู นวิ รณ์ ๕ เหลา่ นปี้ ดิ แลว้ กนั้ แลว้ คลมุ แลว้ รอ้ ยรดั แลว้ กพ็ ราหมณผ์ ไู้ ด้ ไตรวิชชาเหล่าน้ัน ละธรรมที่ทำ�บุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมประพฤตธิ รรมทไ่ี มท่ �ำ บคุ คลใหเ้ ปน็ พราหมณ์่ เขาถูกนิวรณ์ ๕ ปิดแล้ว ก้ันแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว เบื้องหน้าจากการตายเพราะกายแตกทำ�ลาย จะเข้าถึง ความเป็นสหายแหง่ พรหม ข้อนีไ้ ม่เป็นฐานะทจ่ี ะมไี ด.้ 70
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : สกทาคามี กามเลว ปานกลาง และประณตี 28 -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๖/๗. ภิกษุทั้งหลาย โดยมากสัตว์ท้ังหลาย หมกมุ่นอยู่ ในกาม กุลบุตรผู้ละเคียวและคานหาบหญ้าออกบวชเป็น บรรพชติ ควรเรยี กวา่ เปน็ กลุ บตุ รผมู้ ศี รทั ธาออกบวช ขอ้ นน้ั เพราะเหตุอะไร เพราะเขาควรได้กามด้วยความเป็นหนุ่ม และกามเหลา่ นนั้ ก็มอี ยตู่ ามสภาพ คือ กามเลว (หีนา กามา) กามปานกลาง (มชฌฺ มิ า กามา) และกามประณตี (ปณตี า กามา) ซ่ึงกามท้ังหมดกถ็ ึงการนับวา่ เปน็ กามทัง้ น้นั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมอื นเดก็ ทย่ี งั ออ่ น ยงั ไดแ้ ต่ นอนหงาย เมอื่ พ่เี ล้ียงเผลอ ไดค้ วา้ ชิน้ ไม้หรือเศษกระเบ้ือง กลนื เขา้ ไป พเ่ี ลย้ี งเหน็ แลว้ กจ็ ะพยายามหาวธิ เี อาออกโดยเรว็ เมอ่ื เอาออกไมไ่ ดโ้ ดยงา่ ยกจ็ ะประคองศรี ษะเดก็ ดว้ ยมอื ซา้ ย งอนว้ิ มอื ขวาลว้ งลงไปเกย่ี วขน้ึ มา แมว้ า่ จะถงึ กบั เลอื ดออกก็ ตอ้ งทำ� ข้อนี้เพราะเหตอุ ะไรเล่า เพราะแมเ้ ด็กน้นั จะไดร้ บั ความเจบ็ ปวดก็จรงิ แต่พ่ีเลีย้ งที่หวงั ความปลอดภัยแก่เดก็ หวงั จะชว่ ยเหลอื เดก็ มคี วามเอน็ ดเู ดก็ กต็ อ้ งท�ำ เชน่ นน้ั เพราะ ความเอ็นดูนั่นเอง คร้ันเด็กนั้นเติบโตขึ้น มีความรู้เดียงสา พอควรแลว้ พ่เี ล้ียงกว็ างใจในเดก็ นัน้ ดว้ ยคิดวา่ บดั น้เี ดก็ นี้ คุ้มครองตวั เองได้แล้ว ไมอ่ าจประมาทอกี ต่อไปแล้ว ดังน้.ี 71
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันน้ันเหมือนกัน ตราบใด ท่ีภิกษุยังไม่ได้ทำ�กิจในกุศลธรรมทั้งหลายอันตนจะต้องทำ� ดว้ ยศรทั ธา ดว้ ยหริ ิ ดว้ ยโอตตปั ปะ ดว้ ยวริ ยิ ะ และดว้ ยปญั ญา ตราบนั้น เรายังจะต้องตามคุ้มครองภิกษุน้ัน แต่เมื่อใด ภิกษุน้ันได้ทำ�กิจในกุศลธรรมทั้งหลาย อันตนจะต้องทำ� ด้วยศรัทธา ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ ด้วยวิริยะ ด้วยปัญญา ส�ำ เรจ็ แลว้ เรากห็ มดหว่ งในภกิ ษนุ นั้ ดว้ ยคดิ วา่ บดั นภ้ี กิ ษนุ ้ี ค้มุ ครองตวั เองได้แลว้ ไมอ่ าจประมาทอีกตอ่ ไปแล้ว ดงั น.ี้ 72
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สกทาคามี กามอันเป็นทพิ ย์ ประณตี กวา่ 29 กามของมนุษย์ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๑๓/๑๖๒๗., -บาลี ม. ม. ๑๓/๒๗๕/๒๘๒. เจา้ ศากยะพระนามวา่ มหานาม ไดท้ ลู ถามผมู้ พี ระภาควา่ ขา้ แต่ พระองค์ผ้เู จริญ หม่อมฉันได้ยินมาว่า ภิกษุมากรูปกระทำ�จีวรกรรมของ พระผมู้ พี ระภาคดว้ ยหวงั วา่ พระผมู้ พี ระภาคทรงท�ำ จวี รส�ำ เรจ็ แลว้ จะเสดจ็ หลกี ไปสทู่ จ่ี ารกิ โดยลว่ ง ๓ เดอื น ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ เรอื่ งนห้ี มอ่ มฉนั ยังไม่ไดฟ้ งั ยงั ไมไ่ ด้รับมา เฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผู้มีพระภาควา่ อุบาสก ผมู้ ปี ญั ญา พงึ กลา่ วสอนอบุ าสกผมู้ ปี ญั ญา ผปู้ ว่ ย ไดร้ บั ทกุ ข์ เปน็ ไขห้ นกั . มหานาม อุบาสกผู้มีปัญญา พึงปลอบอุบาสกผู้มี ปัญญา ผู้ป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ด้วยธรรมเป็นท่ีต้ัง แห่งความเบาใจ ๔ ประการว่า ท่านจงเบาใจเถิดว่าท่าน มีความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ท่านมี ความเลื่อมใสอย่างไม่หว่ันไหวในพระธรรม ... ท่านมี ความเล่ือมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ... ท่านมี ศลี ทงั้ หลายท่พี ระอริยะชอบใจ … เปน็ ไปพร้อมเพื่อสมาธ.ิ มหานาม อุบาสกผู้มีปัญญา คร้ันปลอบอุบาสก ผมู้ ปี ญั ญา ผปู้ ว่ ย ไดร้ บั ทกุ ข์ เปน็ ไขห้ นกั ดว้ ยธรรมเปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ความเบาใจ ๔ ประการนแี้ ลว้ พงึ ถามเขาอยา่ งนวี้ า่ ทา่ นมี 73
พุทธวจน - หมวดธรรม ความหว่ งใยในมารดาและบดิ าอยหู่ รอื ถา้ เขากลา่ วอยา่ งนวี้ า่ เรายังมีความห่วงใยในมารดาและบิดาอยู่ อุบาสกน้ันพึง กล่าวกะเขาอย่างน้ีว่า ท่านผู้เช่นกับเรา ซึ่งมีความตายเป็น ธรรมดา ถา้ แมท้ า่ นจกั กระท�ำ ความหว่ งใยในมารดาและบดิ า ก็จักตายไป ถ้าแม้ท่านจักไม่กระทำ�ความห่วงใยในมารดา และบิดา ก็จักตายไปเหมือนกัน ขอท่านจงละความห่วงใย ในมารดาและบดิ าของทา่ นเสยี เถดิ ถา้ เขากลา่ วอยา่ งนว้ี า่ เราละ ความห่วงใยในมารดาและบดิ าของเราแลว้ . มหานาม อบุ าสกนนั้ พงึ ถามเขาอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นยงั มี ความหว่ งใยในบตุ รและภรรยาอยหู่ รอื ถา้ เขากลา่ วอยา่ งนว้ี า่ เรายังมีความห่วงใยในบุตรและภรรยาอยู่ อุบาสกนั้นพึง กล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านผู้เช่นกับเรา ซ่ึงมีความตายเป็น ธรรมดา ถา้ แมท้ า่ นจกั กระท�ำ ความหว่ งใยในบตุ รและภรรยา กจ็ กั ตายไป ถา้ แมท้ า่ นจกั ไมก่ ระท�ำ ความหว่ งใยในบตุ รและ ภรรยา กจ็ ักตายไปเหมือนกนั ขอทา่ นจงละความหว่ งใยใน บตุ รและภรรยาของทา่ นเสยี เถดิ ถา้ เขากลา่ วอยา่ งนวี้ า่ เราละ ความหว่ งใยในบตุ รและภรรยาของเราแลว้ . มหานาม อบุ าสกนน้ั พงึ ถามเขาอยา่ งนวี้ า่ ทา่ นยงั มี ความหว่ งใยในกามคณุ ๕ อนั เปน็ ของมนษุ ย์อยู่หรือ ถ้าเขา 74
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : สกทาคามี กล่าวอย่างนี้ว่า เรายังมีความห่วงใยในกามคุณ ๕ อันเป็น ของมนุษย์อยู่ อุบาสกน้ันพึงกล่าวกะเขาอย่างน้ีว่า กามอัน เป็นทิพย์ยังดีกว่า ประณีตกว่า กามอันเป็นของมนุษย์ (มานสุ เกหิ กาเมหิ ทพิ พฺ า กามา อภกิ กฺ นตฺ ตรา จ ปณตี ตรา จ) ขอทา่ น จงพรากจิตให้ออกจากกามอันเป็นของมนุษย์ แล้วน้อมจิต ไปในพวกเทวดาชนั้ จาตมุ หาราชกิ าเถดิ ถา้ เขากลา่ วอยา่ งนว้ี า่ จิตของเราออกจากกามอันเป็นของมนุษย์แล้ว จิตของเรา น้อมไปในพวกเทวดาชัน้ จาตุมหาราชกิ าแล้ว. มหานาม อบุ าสกนน้ั พงึ กลา่ วกะเขาอยา่ งนว้ี า่ พวก เทวดาช้ันดาวดึงส์ยังดีกว่า ประณีตกว่า พวกเทวดาช้ัน จาตมุ หาราชกิ า ขอทา่ นจงพรากจติ ใหอ้ อกจากพวกเทวดาชน้ั จาตมุ หาราชกิ า แลว้ นอ้ มจติ ไปในพวกเทวดาชน้ั ดาวดงึ สเ์ ถดิ ถ้าเขากล่าวอย่างน้ีว่า จิตของเราออกจากพวกเทวดาช้ัน จาตุมหาราชิกาแล้ว จิตของเราน้อมไปในพวกเทวดาช้ัน ดาวดงึ สแ์ ลว้ . มหานาม อบุ าสกนน้ั พงึ กลา่ วกะเขาอยา่ งนว้ี า่ พวก เทวดาชนั้ ยามายงั ดกี วา่ ประณตี กวา่ พวกเทวดาชน้ั ดาวดงึ ส์ ... พวกเทวดาชน้ั ดสุ ติ ยงั ดกี วา่ ประณตี กวา่ พวกเทวดาชน้ั ยามา ... พวกเทวดาชั้นนิมมานรดียังดีกว่า ประณีตกว่า พวกเทวดา ชน้ั ดสุ ติ ... พวกเทวดาชน้ั ปรนมิ มติ วสวตั ตยี งั ดกี วา่ ประณตี กวา่ พวกเทวดาชั้นนิมมานรดี ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจาก 75
พุทธวจน - หมวดธรรม พวกเทวดาช้ันนิมมานรดี แล้วน้อมจิตไปในพวกเทวดา ช้ันปรนิมมิตวสวัตตีเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเรา ออกจากพวกเทวดาช้ันนิมมานรดีแล้ว จิตของเราน้อมไป ในพวกเทวดาชนั้ ปรนมิ มติ วสวตั ตีแลว้ . มหานาม อุบาสกน้ันพึงกล่าวกะเขาอย่างน้ีว่า พรหมโลกยงั ดกี วา่ ประณตี กวา่ พวกเทวดาชน้ั ปรนมิ มติ วสวตั ตี ขอทา่ นจงพรากจติ ใหอ้ อกจากพวกเทวดาชน้ั ปรนมิ มติ วสวตั ตี แล้วน้อมจิตไปในพรหมโลกเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากพวกเทวดาช้ันปรนิมมิตวสวัตตีแล้ว จติ ของเรานอ้ มไปในพรหมโลกแลว้ . มหานาม อุบาสกน้ันพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ทา่ นผมู้ อี ายุ แมพ้ รหมโลกกไ็ มเ่ ทย่ี ง ไมย่ งั่ ยนื ยงั นบั เนอ่ื งใน สักกายะ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพรหมโลก แล้วนำ� จติ เขา้ ไปในความดบั แหง่ สกั กายะเถดิ ถา้ เขากลา่ วอยา่ งนวี้ า่ จติ ของเราออกจากพรหมโลกแลว้ เราน�ำ จติ เขา้ ไปในความดบั แหง่ สักกายะแล้ว. มหานาม เราไม่กล่าวถึงความต่างอะไรกันของ อุบาสก ผู้มีจิตพ้นแล้วอย่างน้ี กับภิกษุผู้พ้นแล้วต้ังร้อยปี คอื พ้นดว้ ยวิมุตติเหมือนกนั . .............. 76
เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : สกทาคามี … มาคัณฑยิ ะ เปรียบเหมือนคหบดี หรือบตุ รของ คหบดีท่ีเป็นคนม่ังค่ัง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เอิบอ่ิม เพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำ�เรอตนด้วยรูปที่รู้ได้ด้วยตา อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เปน็ ทตี่ ง้ั อาศยั แห่งความใคร่ เปน็ ทีต่ ้ังแห่งความกำ�หนดั บ�ำ เรอตน ด้วยเสียงท่ีรู้ได้ด้วยหู ... บำ�เรอตนด้วยกลิ่นท่ีรู้ได้ด้วย จมูก ... บำ�เรอตนด้วยรสที่รู้ได้ด้วยลิ้น ... บำ�เรอตนด้วย โผฏฐัพพะท่ีรู้ได้ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่ต้ังอาศัยแห่งความใคร่ เป็นที่ต้ังแห่งความกำ�หนัด เขาเป็นผู้ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เม่อื ตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเทวดาชน้ั ดาวดงึ ส์ เทพบตุ รนน้ั อนั หมนู่ างอปั สรแวดลอ้ มในสวนนนั ทวนั เอบิ อมิ่ เพยี บพรอ้ ม ดว้ ยกามคณุ ๕ อนั เปน็ ทพิ ย์ บ�ำ เรอตนอยใู่ นดาวดงึ สเ์ ทวโลก เทพบุตรน้ันได้เห็นคหบดี หรือบุตรของคหบดี ผู้เอิบอ่ิม เพยี บพร้อมด้วยกามคณุ ๕ บ�ำ เรอตนอยู.่ มาคัณฑิยะ ท่านจะสำ�คัญความข้อนั้นว่าอย่างไร เทพบตุ รนน้ั อนั หมนู่ างอปั สรแวดลอ้ มในสวนนนั ทวนั เอบิ อมิ่ เพยี บพรอ้ มดว้ ยกามคณุ ๕ อนั เปน็ ทพิ ย์ บ�ำ เรอตนอยู่ จะพงึ ทะเยอทะยานต่อคหบดี หรือต่อบุตรของคหบดี หรือต่อ กามคณุ ๕ ของมนษุ ย์ หรอื จะพงึ เวยี นกลบั มาในกามอนั เปน็ ของมนษุ ย์บา้ งไหม. 77
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ไมเ่ ปน็ อยา่ งนน้ั ทา่ นพระโคดม ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ กามอนั เปน็ ทิพย์ น่าใคร่ยิง่ กวา่ และประณีตกวา่ กามของมนษุ ย.์ มาคัณฑิยะ ถึงเราเองก็ฉันนั้นเหมือนกัน เม่ือยัง ครองเรอื นอยใู่ นกาลกอ่ น เอบิ อม่ิ เพยี บพรอ้ มดว้ ยกามคณุ ๕ บำ�เรอตนด้วยรูปที่รู้ได้ด้วยตา อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เปน็ ทต่ี ง้ั อาศยั แหง่ ความใคร่ เปน็ ท่ีต้ังแห่งความกำ�หนัด บำ�เรอตนด้วยเสียงที่รู้ได้ด้วยหู ... บ�ำ เรอตนดว้ ยกลนิ่ ทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยจมกู ... บ�ำ เรอตนดว้ ยรสทร่ี ไู้ ด้ ด้วยลิ้น ... บำ�เรอตนด้วยโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย อันน่า ปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่ต้ัง อาศยั แหง่ ความใคร่ เป็นท่ีต้งั แห่งความก�ำ หนัด. สมัยต่อมาเรานั้นรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไปแห่งกามท้ังหลายตาม ความเปน็ จรงิ แลว้ ละตณั หาในกาม ไดบ้ รรเทาความเรา่ รอ้ น ท่ีเกิดขึ้นเพราะความปรารภกามได้แล้ว เป็นผู้ปราศจาก ความกระหาย มจี ติ สงบในภายในอยู่ เรานนั้ เหน็ หมสู่ ตั วอ์ นื่ ท่ียังไม่ปราศจากความกำ�หนัดในกาม ถูกกามตัณหา เคย้ี วกนิ อยู่ ถกู ความเรา่ รอ้ นทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะความปรารภกาม แผดเผาอยู่ แต่ก็ยังขืนเสพกามอยู่น่ันเอง เราย่อมไม่ ทะเยอทะยานต่อสัตว์เหล่าน้ัน ไม่ยินดีในกามน้ัน ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เพราะเรายินดีอยู่ด้วยความยินดีที่เว้น 78
เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สกทาคามี จากกาม เว้นจากอกุศลธรรม ท้ังเป็นความยินดีท่ีล่วงเลย ความสุขอันเป็นของทิพย์ เราจึงไม่ทะเยอทะยานต่อธรรม อนั เลว ไมย่ ินดใี นธรรมอันเลวนัน้ เลย. มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษโรคเรื้อน มีตัว เป็นแผล สุกปลั่ง ถูกเชื้อโรคแทะกัดอยู่ เกาปากแผลอยู่ ด้วยเล็บ ย่างกายให้ร้อนที่หลุมถ่านเพลิง มาคัณฑิยะ เขาทำ�เช่นนั้นอยู่เพียงใด ปากแผลเหล่านั้นของเขา ยิ่งเป็น ของไมส่ ะอาด มกี ล่ินเหม็นข้ึนและเน่าขน้ึ ดว้ ยประการนนั้ ๆ และจะมีความรู้สึกว่าน่ายินดี น่าพอใจสักหน่อยหนึ่ง ก็คือ ปากแผลทั้งหลาย ได้รับการเกาหรือการอบอุ่นด้วยไฟเป็น เหตเุ ทา่ น้นั ขอ้ นฉ้ี ันใด. มาคณั ฑยิ ะ สตั วท์ งั้ หลายกฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั ยงั เปน็ ผไู้ มป่ ราศจากความก�ำ หนดั ในกาม ถกู กามตณั หาเคยี้ วกนิ อยู่ ถกู ความเรา่ รอ้ นทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะความปรารภกามแผดเผาอยู่ แต่ก็ยังขืนเสพกามอยู่น่ันเอง มาคัณฑิยะ สัตว์เหล่าน้ัน ทำ�เช่นน้ันอยู่เพียงใด กามตัณหาก็ย่อมเจริญข้ึนแก่สัตว์ เหลา่ นน้ั และสตั วเ์ หลา่ นน้ั กถ็ กู ความเรา่ รอ้ นทเี่ กดิ ขนึ้ เพราะ ความปรารภกามแผดเผาอยู่ ด้วยประการน้ันๆ และจะมี ความรู้สึกว่าน่ายินดี น่าพอใจสักหน่อยหน่ึง ก็เพราะอาศัย รสอร่อยของกามคุณ ๕ เป็นเหตเุ ทา่ นัน้ . 79
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : สกทาคามี เทยี บเคยี งลกั ษณะเทวดาชน้ั ดาวดงึ ส์ 30 -บาลี มหา. ว.ิ ๕/๙๕/๗๗., -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๑๑๕/๙๒. พวกเจา้ ลจิ ฉวชี าวพระนครเวสาลี ไดฟ้ งั ขา่ ววา่ พระผมู้ พี ระภาค เสดจ็ มาโดยล�ำ ดบั ถงึ โกฏคิ ามแลว้ จงึ พากนั จดั ยวดยานทง่ี ามๆ เสดจ็ ขนึ้ สู่ ยวดยานทีง่ ามๆ มยี วดยานท่ีงามๆ ออกไปจากพระนครเวสาลี เพื่อเฝ้า พระผมู้ พี ระภาค เจา้ ลจิ ฉวบี างพวกเขยี วลว้ น คอื มผี วิ สเี ขยี ว ทรงผา้ สเี ขยี ว ทรงเครอ่ื งประดบั สเี ขยี ว บางพวกเหลอื งลว้ น คอื มผี วิ สเี หลอื ง ทรงผา้ สเี หลอื ง ทรงเครอ่ื งประดบั สเี หลอื ง บางพวกแดงลว้ น คอื มผี วิ สแี ดง ทรงผา้ สแี ดง ทรงเคร่ืองประดับสีแดง บางพวกขาวล้วน คือ มีผิวสีขาว ทรงผ้าสีขาว ทรงเครอื่ งประดบั สีขาว. พระผู้มพี ระภาคไดท้ อดพระเนตรเหน็ เจ้าลิจฉวเี หลา่ น้ัน ก�ำ ลัง เสด็จมาแตไ่ กล คร้ันแลว้ รับส่ังกะภกิ ษทุ ั้งหลายวา่ . ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็นเทวดาชั้น ดาวดงึ ส์ กจ็ งมองดพู วกเจา้ ลจิ ฉวี จงพจิ ารณาดู จงเทยี บเคยี งดู พวกเจา้ ลิจฉวกี บั พวกเทวดาช้ันดาวดงึ ส์เถิด. (ในสูตรอื่น -บาลี สตฺตก. อํ. ๒๓/๒๖๙/๑๓๖. ยังพบ การกล่าวถงึ สีท่เี ก่ียวขอ้ งกับเทวดาดว้ ย. ผู้รวบรวม) 80
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : สกทาคามี 31 คุณของกามและโทษของกาม -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๑๗๙/๒๐๙. เจ้าศากยะพระนามว่ามหานาม ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเข้าใจข้อธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงมานานแลว้ อยา่ งนวี้ า่ โลภะ โทสะ โมหะ ตา่ งเปน็ อปุ กเิ ลสแหง่ จติ ก็เมื่อเป็นเช่นน้ัน เหตุใด โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยังครอบงำ�จิตของหม่อมฉันไว้ได้เป็นบางครั้งบางคราว หม่อมฉันเกิด ความคดิ เหน็ อยา่ งนวี้ า่ ธรรมชอื่ อะไรเลา่ ทห่ี มอ่ มฉนั ยงั ละไมไ่ ดเ้ ดด็ ขาด ในภายใน อันเป็นเหตุให้โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยงั ครอบง�ำ จติ ของหมอ่ มฉนั ไวไ้ ด้เป็นบางครั้งบางคราว. มหานาม ธรรมนนั้ นน่ั แหละ (โลภะ โทสะ โมหะ) ทที่ า่ น ยังละไม่ได้เด็ดขาดในภายใน อันเป็นเหตุให้โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยังครอบงำ�จิตของท่านไว้ได้ เป็นบางครั้งบางคราว. มหานาม ถ้าธรรมน้ันเป็นอันท่านละได้เด็ดขาด ในภายในแล้ว ท่านก็จะไม่อยู่ครองเรือน ไม่บริโภคกาม แต่เพราะท่านละธรรมเช่นน้ันยังไม่ได้เด็ดขาดในภายใน ฉะน้ันทา่ นจึงยงั อยู่ครองเรอื น จึงยงั บรโิ ภคกาม. มหานาม ถ้าแม้ว่าอริยสาวกเล็งเห็นด้วยปัญญา โดยชอบตามความเปน็ จรงิ อยา่ งนว้ี า่ กามใหค้ วามยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก มีความคับแค้นมาก โทษในกามน้ันย่ิงนัก ดังน้ี ถงึ แมอ้ รยิ สาวกนนั้ เวน้ จากกาม เวน้ จากอกศุ ลธรรม แตย่ งั ไม่ 81
พุทธวจน - หมวดธรรม บรรลปุ ตี แิ ละสขุ หรอื กศุ ลธรรมอน่ื ทส่ี งบกวา่ นน้ั เธอกจ็ ะยงั เปน็ ผเู้ วยี นกลบั มาในกามได้ แตเ่ มอ่ื ใด อรยิ สาวกไดเ้ ลง็ เหน็ ด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า กามให้ ความยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก มคี วามคบั แคน้ มาก โทษในกามนนั้ ยง่ิ นกั ดงั น้ี และเธอกเ็ วน้ จากกาม เวน้ จากอกศุ ลธรรม บรรลุ ปตี แิ ละสขุ หรอื กศุ ลธรรมอนื่ ทส่ี งบกวา่ นนั้ เมอื่ นนั้ เธอยอ่ ม เปน็ ผูไ้ ม่เวยี นกลบั มาในกามได้เป็นแท.้ มหานาม แมเ้ ราเมอื่ ยงั เปน็ โพธสิ ตั ว์ ยงั ไมไ่ ดต้ รสั รู้ กอ่ นการตรสั รู้ กเ็ ลง็ เหน็ ดว้ ยปญั ญาโดยชอบตามความเปน็ จรงิ อยา่ งนว้ี า่ กามใหค้ วามยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก มคี วามคบั แคน้ มาก โทษในกามนั้นย่ิงนัก ดังนี้ และเราก็เว้นจากกาม เว้นจาก อกุศลธรรม แต่ยังไม่บรรลุปีติและสุข หรือกุศลธรรมอ่ืนท่ี สงบกวา่ นน้ั เราจงึ ปฏญิ าณไมไ่ ดว้ า่ เราเปน็ ผไู้ มเ่ วยี นกลบั มา ในกาม แต่เมื่อใด เราเล็งเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตาม ความเป็นจริงอย่างน้วี ่า กามให้ความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มคี วามคบั แคน้ มาก โทษในกามนนั้ ยงิ่ นกั ดงั นี้ และเรากเ็ วน้ จากกาม เวน้ จากอกศุ ลธรรม บรรลปุ ตี แิ ละสขุ และกศุ ลธรรม อื่นที่สงบกว่านั้น เม่อื น้นั เราจึงปฏิญาณได้ว่า เราเป็นผ้ไู ม่ เวยี นกลบั มาในกาม. มหานาม ก็อะไรเล่าเป็นคุณของกามท้ังหลาย มหานาม กามคณุ ๕ ประการน ้ี ๕ ประการอะไรบา้ ง คอื รปู ท่ี 82
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228