Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

Published by มณฑลทหารบกที่ 19, 2020-11-14 00:11:33

Description: พระราชประวัติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

Keywords: พระราชประวัติ

Search

Read the Text Version

51 ราชประสงค์จะให้สมเด็จพระอนุชา พระเอกาทศรถขึ้นครอง ด้วยเหตุผลที่ว่าพระองค์ได้ทรงทาการศึกมา อย่างยาวนาน ทรงเป้ือนเลือดมามากแล้ว หากจะทรงข้ึนปกครองแผ่นดิน ก็คงจะต้องเข้มงวดกวดขัน จน เกิดความเดือดร้อนทวั่ ไป มีการตอบโตต้ ่อรองกันอย่นู านกว่าพระองคจ์ ะทรงยอมรับราชสมบัติ และเม่ือรับ ราชสมบัติแล้ว พระองค์ทรงประกาศว่า “ถ้าดังน้ัน เราขอให้พวกท่านทุกคนจงเชื่อฟังเราปฏิบัติตามพระ ราชกาหนดกฎหมาย และช่วยกันรักษาพระราชกาหนดกฎหมาย มิให้ขาดตกบกพร่อง ผู้ใดละเมิดแม้เพยี ง เลก็ นอ้ ย ก็จะต้องถกู ลงโทษสถานหนกั ” นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงประกาศในกาลต่อมาอีก หลังจากได้ลงพระราชอาญาอย่างแยบขาด แก่บุคคลแก่บุคลผู้ละเมิดแล้วด้วยว่า “พวกเจ้าคนไทยท้ังหลาย จะต้องปกครองด้วยระบบน้ี เพราะพวก เจ้านั้นดื้อด้าน มีสันดานหยาบ ตกอยู่ในสภาพอันเหลวแหลก เราจะใช้อาญาเช่นนี้แก่พวกเจ้าจนกว่าจะ เปน็ ชาติที่มผี คู้ นยอมรับนับถือ พวกเจ้านัน้ เปรยี บเหมือนหญา้ ที่ขึ้นอย่ใู นดนิ อนั อุดม ย่งิ ตัดให้ส้นั ลงเทา่ ไร ก็ จะยิ่งเจริญงอกงามดีย่ิงขึ้นเท่าน้ัน อันแปลได้ว่าสมเด็จพระนเรศวรนั้นพระองค์ได้ทรงประกาศใช้กฎ เหล็กในการบริหารชาติบ้านเมือง อันเน่ืองเป็นการสมควรอย่างยิ่งต่อสภาวะของอาณาจักรอยุธยาในเวลา นัน้ (เสท้ือน, 2547, 101 – 103) พอสมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ได้ 4 เดือน หงสาวดมี าตเี มืองไทยสาเหตุเกิดจากการที่ต้องถอย ทัพกลับไปเมื่อศึกครั้งก่อนทาให้เมืองต่าง ๆ แข็งเมือง รวมถึงเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคัง พระเจ้าหงสาวดี ปรึกษากับเสนาบดีในการปราบปราม เสนาบดีคนหนึ่งชื่อ สิริชัยนรธา ทูลว่า เกิดจากการท่ีไม่สามารถ ปราบไทยได้ เมืองตา่ ง ๆ จึงแขง็ เมอื งตาม ตอ้ งปราบเมืองไทยให้ได้ เมอื งอนื่ จะได้ยาเกรง พระเจ้าหงสาวดี เห็นชอบด้วยและเป็นช่วงเปล่ียนพระเจ้าแผ่นดิน คาดว่าภายในเมืองไทยยังคงไม่ปกติ เป็นโอกาสให้พระ เจ้าหงสาวดีจัดกองทัพ 2 ทัพ ให้พระเจ้าแปรคุมกองทัพจานวนพล100,000 คน ยกไปตีเมืองคังโดยมีเจ้า เมืองพสิมกับเจ้าเมืองพุกามเปน็ ทัพหน้าและให้พระมหาอุปราชาเป็นจอมพลคุมทัพหลวงจานวน 200,000 คน มาตีเมืองไทยพระมหาอุปราชายกออกจากเมืองหงสาวดีเมื่อเดือน 12 แรม 12 ค่า พ.ศ.2133 (ค.ศ. 1590) เดินกองทพั เขา้ มาทางด่านพระเจดียส์ ามองค์เพราะใชเ้ วลาในการข้ามแดนเพยี ง 15 วนั กถ็ งึ กรงุ ศรี อยุธยาซงึ่ ใกลก้ วา่ ทางแม่สอด ทางดา้ นกรงุ ศรอี ยุธยาก็มีความลาบากในการต้อนผู้คนเข้าพระนครแต่สมเด็จ พระนเรศวรก็ยกกองทัพหลวงไปถึงเมืองสุพรรณบุรีเพ่ือความได้เปรียบทางการรบ ข้าศึกเข้ามาถึงเมือง กาญจนบุรีจึงให้ซุ่มกองทัพหลวงไว้แต่งกองทัพน้อยไปล่อข้าศึก ฝ่ายกองทัพพระมหาอุปราชาคิดว่าไทยคง จะตั้งมั่นคอยต่อสู้อยู่ท่ีพระนครศรีอยุธยาเหมือนครั้งก่อนจึงยกทัพเข้ามาด้วยความประมาท เม่ือพบ กองทัพล่อก็เข้ารบพุ่งจนเข้าไปอยู่ในท่ีซุ่มกองทัพหลวงทาให้กองทัพหงสาวดีแตกพ่ายไป พระยาพุกามก็ ตายในท่ีรบ ส่วนพระยาพสิมก็ถูกตามจับได้ที่บ้านจระเข้สามพันกองทัพหน้าของพระมหาอุปราชาแตกหนี ไทยไล่ติดตามไปปะทะกับทัพหลวงก็ทาให้ทัพหลวงแตก เช่นกัน ในพงศาวดารพม่าว่าไทยเกือบจะจับพระ มหาอุปราชาได้แต่พระมหาอุปราชาก็หนีกลับไป ถึงเมืองหงสาวดีเมื่อเดือน 5 ปีเถาะ พ.ศ.2134 (ค.ศ. 1591) พระเจ้าหงสาวดที รงขดั เคอื งลงพระราชอาญาแกน่ ายทัพนายกอง ส่วนพระมหาอุปราชาน้นั จะให้แก้ ตวั ใหม่

52 ภาพ 21 แผนที่อาณาจกั รกรงุ ศรีอยุธยา ในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2133 – 2148

53 บทที่ 3 ระยะที่ 3 ศกึ ษารวบรวม ข้อมูลสมเดจ็ พระนเรศวร ต้งั แต่ ปี พ.ศ. 2135 – 2148 3.1. สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสบุ นิ เมื่อถึงปีมะโรง พ.ศ.2135 (ค.ศ.1592) พระเจ้าหงสาวดีให้พระมหาอุปราชามาตีเมืองไทยอีก คร้ังหนึ่ง โดยเกณฑ์กองทัพ 3 เมือง คือ กองทัพเมืองหงสาวดีได้เจ้าเมืองจาปะโรเป็นทัพหน้า พระมหาอุป ราชาเป็นจอมพลคุมทัพหลวง กองทัพเมืองแปรและกองทัพเมืองตองอู รวม 3 ทัพ จานวนพล 240,000 คน ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ท้ัง 3 ทัพ และส่ังให้พระเจ้าเชยี งใหม่คุมเสบียงอาหาร ลงมาทางเรืออีกทัพหน่ึง พระมหาอุปราชายกกองทัพออกจากหงสาวดีเมื่อวันพุธเดือนอ้าย แรม 7 ค่า ปี มะโรง พ.ศ.2135 (ค.ศ.1592) เดินกองทัพผ่านด่านพระเจดีย์สามองค์มาถึงกาญจนบุรีไม่มีใครต่อสู้จึงยก มาเมืองสุพรรณบุรีเมื่อวันขึ้น 14 ค่า มีความในพระราชพงศาวดาร แสดงถึงความอัศจรรย์ตอนหน่ึงว่า ขณะเม่ือสมเด็จพระนเรศวร ประทับอยู่ที่ค่ายหลวง ตาบลมะขามหวาน ก่อนวันที่จะเสด็จยกกองทัพไป เมืองสุพรรณบุรี ในตอนกลางคืน พระองค์ทรงพระสุบินว่า มีน้าท่วมป่า หลากมาแต่ทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยน้าไปพบจรเข้ใหญ่ตัวหนึ่ง ได้เข้าต่อสู้กัน ทรงประหารจรเข้นั้นสิ้นชีวิตด้วยฝีพระหัตถ์ สายน้านั้นก็เหือดแห้งไป ทรงมีรับสั่งให้โหรทานายพระสุบินนั้น พระยาโหราธิบดีกราบทูลพยากรณ์ว่า เสดจ็ ไปคราวนจี้ ะไดร้ บพงุ่ กบั ข้าศึก เป็นมหายุทธสงคราม ถงึ ได้ทายทุ ธหัตถีและจะมีชัยชนะข้าศึก เร่อื งของศภุ นิมิตครง้ั ที่สองที่ได้กล่าวไว้ในที่บางแห่งว่า เม่อื ใกลฤ้ กษ์ยกทัพ สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จไปยังเกยทรงช้างพระท่ีน่ังตามพิชัยฤกษ์นั้น พระองค์ได้ทอดพระเนตร เหน็ พระบรมสารีริกธาตุ ขนาดเทา่ ผลส้มเกลี้ยง ส่องแสงเรืองอรา่ ม ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้ แล้วลอย วนรอบกองทัพไทย เป็นทักษิณาวัตรสามรอบ จากนั้นจึงลอยข้ึนไปทางทิศเหนือ สมเด็จพระนเรศวร และพระอนุชาทรงปิติยนิ ดีตื้นตันพระราชหฤทัยย่ิงนัก ทรงนมัสการและอธิษฐานให้ พระบรมสารีริกธาตุ นัน้ ปกป้องค้มุ ครองกองทัพไทย ให้พ้นอันตรายจากผองภยั ทัง้ มวล ปรากฏเร่อื งพระสุบินนี้ปรากฏในบทประพนั ธ์ประเภทลิลติ เร่ือง ลิลติ ตะเลงพ่าย ของสมเด็จพระ นเรศวรปรากฏในบทประพันธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมหม่นื ภูบาลบริรกั ษ์ ตอน พระสบุ ินและพระนิมติ ของพระนเรศวร ว่า เทวญั แสดงเหตใุ ห้ สงั หร เหน็ แฮ เห็นกระแสสาคร หลง่ั ล้น ไหลลบวนาดอน แดนตก ทศิ นา พระแต่เพ่งฤๅพน้ ทน่ี า้ นองสาย

54 พระกรายกรย่างเยอ้ื ง จรลี ลุยมหาวารี เรีย่ วกว้าง พอพานพะกมุ ภีล์ หนง่ึ กว้าง ไสร้นา โถมปะทะเจ้าช้าง จักเคี้ยวขบองค์ กับกร พระทรงแสงดาบแก้ว เฟ่อื งน้า โจมประจญั ฟนั ฟอน ราญชพี กนั แฮ ตา่ งฤทธิต์ า่ งรบรอน ทง่ ทอ้ งชลธี สระทา้ นทกุ ถ่ินท่าถ้า ศกึ ธาร มอดม้วย นฤบดีโถมถีบสู้ หายเหือด แห้งแฮ ฟอนฟาดสงุ สมุ าร เผด็จเสยี้ นเศิกกษยั สายสนิ ธุ์ซ่ึงนองพนานต์ จอมถวัลย์ พระเร่งปรดี าดว้ ย หอ่ นรู้ พลางบอก ฝันนา ทนั ใดดลิ กเจ้า ทถี่ ้อยตูแถลง สร้างผทมถวลิ ฝัน ในมลู ฝนั แฮ พระหาพระโหรพลัน แด่ไท้ เร็วเร่งทายโดยกระทู้ ฝนั ใฝ่ นน้ั ฤๅ ธิราชรู้เปน็ กล พระโหรเหน็ แจง้ จบ นองพนา สณฑ์เฮย ถวายพยากรณท์ ูล ทว่ มไซร้ สบุ นิ บดินทร์สรู มัญหมู่ นี้นา หากเทพสังหรให้ ธเรศนั้นอย่าแหนง ภัยชรา นุสนธซ์ิ ่ึงนา่ นนา้ เชษฐผ์ ู้ หนปัจฉิมทิศา นี้ใหญ่ หลวงแฮ คอื ทัพอรริ า- ศกึ ชา้ งสองชน สมดั่งลักษณฝ์ ันไท้ เดชะ ศึกนา้ เหตแุ สดงแห่งราชพอ้ ง ไดแ้ ก่อุปราชา จักมอด เมอื แฮ สงครามซง่ึ เสดจ็ ครา หั่นด้วยขอคม แทจ้ ักถึงยทุ ธ์สู้ แถวธาร เศิกไสร้ ซ่งึ ผจญอริราชด้วย เพือ่ พระเดโชชนะ คือองคอ์ มิตรพระ เพราะพระหัตถห์ ากห้า เบอื้ งบรมขตั ตยิ ท์ อ่ งท้อง พระจกั ไล่ลยุ ลาญ

55 ริปู บ่ รอราญ ฤทธิ์ราช เลยพ่อ พระจักชาญชเยศได้ ด่ังทา้ วใฝฝ่ ัน (สานกั ราชเลขาธิการ, 2539) พระสบุ ินของพระองค์ในเหตุการณท์ ี่นา้ ทว่ ม ซึง่ หลากมาทางทิศตะวนั ตกในขณะนั้น พระองค์จึง ตัดสินพระทัยเสด็จลุยน้าไปจนกระท่ังพบจระเข้ตัวใหญ่มหึมา จึงได้เข้าต่อสู้ห้าห่ันกัน ในท่ีสุดพระองค์ก็ ทรงประหารจระเข้ตัวน้นั ดว้ ยฝพี ระหตั ถข์ องพระองค์เอง ฉับพลนั สายน้าท่ที ่วมอยู่น้ันกแ็ หง้ เหอื ดไป ภาพ 22 พระนเรศวรทรงสุบินว่า ลุยนา้ ไปพบจระเขใ้ หญ่จะทาร้ายพระองค์ ทรงประหาร จระเข้ตาย โหรทานายถวายว่าจะทรงชนะศกึ หงสาวดี พ.ศ. 2138 พระชนั ษา 40 ปี ทม่ี า: ภาพจิตกรรมวัดสวุ รรณดาราราม จังหวดั พระนครศรีอยุธยา

56 พอรุ่งข้ึนสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงโปรดให้โหราธิบดีทานายพระสุบินน้ันว่าจะดีร้ายประการใด ทางโหราธบิ ดกี ราบทูลคาพยากรณ์เอาไว้วา่ พระสบุ ินของพระองค์นน้ั มีความหมายว่า พระองค์นนั้ จะได้รบ พุ่งกับเหล่าข้าศึก อันถือว่าศึกครั้งน้ีเป็น “มหายุทธสงคราม” ท้ายที่สุดแล้วในการศึกคร้ังนี้พระองค์จะ ได้รบั ชยั ชนะเหนือเหลา่ ศตั รู นอกจากนั้นยังมีเร่ืองเล่าที่ถือว่าเป็นลางดีว่า ในเวลาใกล้ฤกษ์ยกทัพนั้น สมเด็จพระนเรศวรแล สมด็จพระเอกาทศรถทรงเสด็จไปเกยช้างพระท่ีน่ังตามฤกษ์มงคล ในขณะนั้นเองพระองค์ทรง ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งขนาดเท่าผมส้มเกล้ียง ส่องแสงสีทองเหลืองอร่าม ล่องลอยมา จากท้องฟา้ ทางทิศใต้ แลว้ พระบริมสารรี กิ ธาตุก็เสดจ็ วนอยรู่ อบกองทัพของกรงุ ศรีอยธุ ยาสามรอบ จากน้ัน กล็ อ่ งลอยขน้ึ ไปทางทศิ เหนือ สมเด็จพระนเรศวรและพระอนชุ านนั้ ทรงปติ ิยินดอี ยา่ งมาก ทรงนมัสการอฐิษ ฐานใหพ้ ระบรมสารีริกธาตคุ ุ้มครองปกปักรักษาให้กองทัพของพระองค์พน้ จากผองภัยท้งั มวล (ยอดมนู เบ้า สุวรรณ และธีระวุฒิ ปัญญา, 2553, น. 136 – 137) 3.2. สงครามยทุ ธหตั ถี ในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ.1592) พระเจ้านันทบุเรง โปรดใหพ้ ระมหาอปุ ราชา นากองทพั ทหารสอง แสนสี่หม่ืนคน มาตีกรุงศรีอยธุ ยาหมายจะชนะศกึ ในคร้งั นี้ สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพ ใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกาลังหน่ึงแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสพุ รรรบรุ ีข้ามน้าตรงทา่ ทา้ วอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย เชา้ ของวันจันทร์ แรม 2 คา่ เดอื นย่ี ปมี ะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคร่ืองพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรง ของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่าน สงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซ่ึงเป็นช้างที่กาลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวง่ิ ไลต่ ามพม่าหลงเขา้ ไปในแดนพมา่ มเี พียงทหารรกั ษาพระองค์และจาตรุ งคบ์ าทเท่านั้นทต่ี ดิ ตามไปทนั สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าท้าว พระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลาเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก แลว้ แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเดจ็ พระนเรศวร ทรงเหน็ ว่าเปน็ การเสียเปรียบข้าศึกจึงไสชา้ งเข้า ไปใกล้ แล้วตรัสถามดว้ ยคุ้นเคยมาก่อนแตว่ ัยเยาว์ว่า \"พระเจ้าพี่เราจะยืนอยูใ่ ยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทา ยุทธหตั ถีดว้ ยกัน ให้เป็นเกยี รตยิ ศไว้ในแผ่นดนิ เถดิ ภายหนา้ ไปไมม่ ีพระเจ้าแผน่ ดนิ ท่จี ะได้ยุทธหัตถแี ล้ว\" พระมหาอุปราชาได้ยินดังน้ัน จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสีย หลัก พระมหาอปุ ราชาทรงฟนั สมเดจ็ พระนเรศวรด้วย พระแสงของ้าวแตส่ มเด็จพระนเรศวรทรงเบ่ียงหลบ ทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากน้ันเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระ นเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของา้ วถกู พระมหาอปุ ราชาเข้าที่องั สะขวา ส้นิ พระชนมอ์ ยบู่ นคอชา้ ง

57 ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แลว้ จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดน้ัน ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสอง พระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่น้ันมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ากราย กรุงศรีอยุธยาอีกเปน็ ระยะเวลาอกี ยาวนาน บันทึกประวตั ิศาสตรเ์ ทิดพระเกียรตสิ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราชในจดหมายเหตขุ องโยส เซาเต็น พ.ศ. 2178 (ค.ศ.1635) โดยเขียนข้ึนในรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรมและสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง คือ จดหมายเหตขุ อง โยส เซาเต็น ผ้จู ดั การคา้ บริษทั ฮอลนั ดาประจากรุงศรีอยธุ ยา กล่าววา่ ...เม่ือสมัยก่อนๆ การทาสงครามได้เกิดข้ึนเพราะชา้ งเผือกเปน็ เหตุ และเม่ือ 60 ปี ท่ีแล้วเมา พระมหากษัตริย์หงสาวดีเมื่อทรงรบชนะกรุงศรีอยุธยาแล้วก็ได้นาช้างเผอื กไป ยังกรุงหงสาวดีและยงั ทาให้กษัตริย์สยามเปน็ เจา้ ประเทศราชดว้ ย ผ้สู บื สนั ตตวิ งศก์ ษัตริย์ สยาม (พระนเรศวร) จึงประกาศอิสรภาพและกระทาการรบพุ่งจนพระนามของพระองค์ เป็นท่ีหวาดหว่นั เกรงขามแกช่ าวหงสาวดีท่วั ไป (ประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี 36, 2507, น. 19) เหตุการณ์ยุทธหัตถีในบันทึกเล่าเร่ืองอาณาจักรสยามของวัน วลิต ในปีต่อมา พ.ศ 2179 (ค.ศ. 1636) วัน วลิต เจ้าหน้าที่สถานีการค้าของฮอลันดาประจากรุงศรีอยุธยาได้เป็นผู้จัดการต่อจาก โยส เซา เต็น ในพ.ศ. 2181 (ค.ศ.1638) ได้เขียนบันทึกเร่ืองราวเก่ียวกับอาณาจักรสยามพรรณาเกี่ยวกับสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชไว้ค่อนข้างละเอียดแสดงว่าพระประวัติเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยได้มการเล่าขานเป็นท่ีรับรู้ แพร่หลายเรื่องท่ีต้องเสด็จไปเป็นตัวประกัน ณ ราชสานักกรุงหงสาวดีและการทายุทธหัตถีกับสมเด็จพระ มหาอปุ ราชา ...ระหว่างรัชกาลของพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายในอดีตของประเทศสยามบรรดา พระจักรพรรดิขององั วะและของหงสาวดไี ด้ทรงมาทาสงครามรบพ่งุ ดว้ ยเปน็ หลายคร้ังทุก พระองค์โดยเฉพาะอย่างย่ิงกษัตริย์ของอังวะได้ส่งพยายามเอาชนะประเทศใกล้เคียง หลายคร้ังหลายคราวประเทศสยามได้ส่งเครื่องบรรณาการให้อังวะเป็นเวลาหลายปี แต่ ในที่สุดชาวสยามโดยความช่วยเหลือของชายผู้หน่ึงซ่ึงคนทั้งหลายเรียกว่า พระองค์ดา (The Black King) ได้สลัดแอกของต่างชาติไปได้พระองค์ทรงเป็นรัชทายาทของบัลลังก์ สยามและเม่ือยังทรงพระเยาว์พพระองค์ทรงเสด็จไปเป็นตัวประกันท่ีราชสานักหงสาวดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากพระองค์ต้องอดทนต่อการดูถูกหม่ินประมาทนานับประการจึงทา ให้ทรงคิดหนี คืนหน่ึงพระองค์ทรงนี้ไปกับพวกขุนนาง 300 คนซ่ึงล้วนแต่เป็นข้าราช บริพารของพระองค์ พระองค์และพวกเขาเดินทางกลับประเทศสยามและเมื่อเขาการนี้รู้

58 ไปถึงราชสานักอังวะ พระเจ้าแผ่นดินทรงสั่งให้ติดตามพวกท่ีหลบหนีนั้นแต่เจ้าชายแห่ง ประเทศสยามทรงปล้นและเผาหมู่บ้านหลายแห่งตามทางเสด็จผ่านมาและพวกท่ีได้ ติดตามพระองค์ก็ได้พบแต่บ้านเมืองที่เสยี หายราบเรียบความอดทนอดอยากทาให้พวกท่ี ได้ติดตามต้องกลบั ไปและเจ้าชายได้เสดจ็ มาถึงประเทศสยามโดยสวัสดภิ าพพร้อมพวกข้า ราชบริพารของพระองค์ การครั้งนี้ทรงสร้างความอึดอัดอย่างย่ิงแก่ราชสานักสยามพระ เจ้าแผ่นดินและบรรดาข้าราชการผู้ใหญ่ของพระองค์ทรงกลัวว่าอังวะจะมาโจมตี แต่ เจ้าชายก็ทาให้พวกเขาท้ังหมดหายกลัวโดยทรงเสนอที่จะไปโจมตีเจ้าชายของหงสาวดี อย่างไรก็ตามเนอื่ งจากพวกสยามไม่คุ้นเคยการทาสงครามอาวธุ ยุทธภัณฑก์ ็เก่าแก่ล้าสมัย และเคร่ืองใช้ในการสงครามอย่างอ่ืนๆ ก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศดังนั้นพวกทหาร หงสาวดีจึงพร้อมรบกว่าชาวสยามและเข้ามาทาลายเมืองท้ังหลายเป็นจานวนมาก ใน ท่ีสุดพวกหงสาวดีก็ยกทัพมายังกรุงศรีอยุธยาถึงหน้ากรุงซ่ึงพวกเขาคิดว่าจะเอาชนะได้ อย่างง่ายดายแต่เจา้ ชายสยามทรงยกทัพไปต้านทานข้าศึกไดป้ ะทะกบั พวกเขา ณ บริเวณ เหนือตัวเมืองข้ึนไปครึ่งไมล์ใกล้กับวัดปรักหักพังวัดหน่ึงซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ท้ัง 2 ทัพยังไม่ ทันประจันหน้ากันเม่ือเจ้าชายของหงสาวดีและเจ้าชายของสยามผู้หนุ่มแน่น (ท้ังสอง พระองค์ทรงขี่ช้างและแต่งองค์ในฉลองพระองค์ของกษัตริย์) ทรงสูญเสียการควบคุม พระองค์ท้ิงกองทัพและการต่อสู้กันอย่างดุเดือดเจ้าชายสยามทรงพุ่งหอกของพระองค์ไป ยังร่างของเจ้าชายแห่งหงสาวดีและยึดเอาช้างทรงตัวนั้นไว้พวกข้าทาสของพระองค์ซ่ึง ติดตามพระองค์มาอย่างใกล้ชิดได้ฆ่าพวกโปรตุเกสคนหนึ่งซ่ึงนั่งอยู่ข้างหลังเจ้าชายหง สาวดีในฐานะเป็นคราญช้างพวกทหารหงสาวดีเห็นว่าผู้นาของตนถูกฆ่าตายแล้วก็หนีไป (จดหมายเหตุ วัน วลติ , น. 46 – 47) ใน พ.ศ. 2183 (ค.ศ.1640) วัน วลิต ได้เขียนพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาอีกเร่ืองหน่ึง เม่ือพรรณา ถึงรัชกาลสมเด็จพระมาหาธรรมราชาและสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ย้าเหตุการณ์เร่ืองราวความกล้า หาญและการทายุทธหัตถี โดยบรรยายละเอียดราวกบั อยู่ร่วมในเหตกุ ารณ์อย่างใกลช้ ดิ และเสริมด้วยจติ นา การ มีความวา่ ...พระเจ้าแผ่นดินพะโค ยกแสนยานุภาพมากรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรยกทัพกลับ มาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง (ซ่ึงยังมีซากปรากฏอยู่ทุกวันน้ี) ช่ือว่า แกรง (Crengh) หรือหนอง สาหร่าย เพ่ือพบกับกองทัพพะโค เมื่อกองทัพท้ังสองมาเผชิญหน้ากันพระนเรศวรและ พระมหาอุปราชา (ซ่ึงฉลองพระองค์เต็มยศฐานันดรศักดิ์ และทรงช้างศึก) ต่างก็ขับช้าง เข้าหากันประหนึ่งเสียสติ ท้ิงกองทหารไว้ข้างหลังแต่ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรเล็ก

59 กว่าช้างทรงของพระมหาอุปราชามาก เม่ือเจ้าชายทั้งสองพระองค์ขับช้างเข้ามาใกล้กัน ช้างทรงของพระนเรศที่เล็กกว่าก็ตื่นกลัวช้างของพระมหาอุปราชา พยามเบี่ยงหัวไปมา เพ่ือหลบหนี พระนเรศทรงตกพระทัยตรัสกับช้างทรงว่า “เจ้าผู้เป็นบิดาแห่งแว่นแคว้นนี้ ถา้ เจา้ ท้ิงขา้ ไปเสยี ตอนนกี้ ็เท่ากับวา่ เจ้าทง้ิ ตัวของเจา้ เอง และโชยชัยทัง้ ปวงเพราะขา้ เกรง ว่า เจ้าจะไม่ได้รับเกียรติยศอันใดอีกแล้ว และไม่มีเจ้าชายองค์ใดทรงข่ีเจ้าอีก คิดดูเถิดว่า ตอนนี้เจา้ มีอานาจเหนือเจ้าชวี ิตถึงสองพระองค์ และเจา้ สามารถนาชัยชนะมาให้แก่ข้าได้ จงดูประชาชนที่น่าสงสารของเรา พวกเราจะพ่ายแพ้ยับเยินเพียงใดและจะแตกสานซ่าน เซ็นอย่างไร ถ้าหากเราหนีจากสนามรบ แต่ถ้าหากเรายืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงด้วยความ กล้าหาญของเจ้าและด้วยกาลังขาแขนของเราท้ังสอง ชัยชนะจะตกเป็นของเราอย่าง แน่นอน และเม่อื ไดร้ บั ชัยชนะแลว้ เจ้าก็จะไดเ้ กียรติยศร่วมกับข้า ...ขณะที่ทรงมีรับสั่ง พระนเรศวก็ประพรมน้ามนต์ซึ่งปลุกเสกโดยพราหมณ์เพ่ือใช้ โอกาสเช่นน้ีลงยังหัวช้าง 3 ครั้ง ทรงพระกันแสงจนกระทั่งหยาดพระสุชลของเจ้าชายผู้ กล้าหาญก็ชูงวงขึ้นหันศรีษะวิ่งเข้าหาข้าศึกตรงไปยังพระมหาอุปราชาดุจบ้าคล่ัง การ ประลองยุทธของช้างตัวนนี้เป็นท่ีน่าสะพรึงกลัวและน่าอัศจรรย์ ช้างทรงตัวท่ีใหญ่กว่า พยามใช้งาเสยช้างตัวท่ีเล็กกว่าให้ถอยกลับไปในที่สุดช้างทรงตัวท่ีเล็กกว่าก็ได้เปรียบว่ิง เสยชา้ งตัวใหญไ่ ปเล็กน้อยและใช้งวงฟาดอย่างแรงช้างตัวใหญ่ร้อง แปร๋นแปร๋นทาให้พระ มหาอุปราชาทรงตกพระทัย พระเจ้าแผ่นดินสยามจึงทรงฉวยโอกาสการาบพระเจ้า แผ่นดินพะโคโดยทรงตีพระเศียรพระเจ้าแผ่นดินพะโคอย่างแรงด้วยขอช้างซึ่งใช้ในการ บังคับช้าง และทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาจนกระทั่งหล่นลงมา สิ้นพระชนม์บนพ้ืนดินและพระองค์ทรงจับช้างได้ทหารราชองครักษ์ของพระองค์ซ่ึงตาม มาททันก็ได้แทงทหารโปรตุเกสซ่ึงนั่งตอนหลังช้างพระที่น่ังทาหน้าท่ีคอยโบกพัดให้พระ เจา้ แผน่ ดินพะโคและบังคบั ช้างเมื่อทหารพะโคเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินของตนส้ินพระชนม์ ลงก็ถอยหนีกนั อลหม่านกองทัพไทยได้กาลังใจดีก็ได้ติดตามไปจบั ไดเ้ ชลยหลายคนทั้งท่ีฆ่า ตายกม็ ีมาก ทัพพะโคแตกกระจายเหมือนแกลบปลิวไปตามลมไดล้ ะทง้ิ ทหารหลายพันคน ไว้ข้างหลัง แต่เน่ืองจากทหารแตกทัพไปทางบริเวณท่ีถูกทาลายแล้วจึงมีฐานจานวนน้อย ที่กลับไปถึงพะโค พระนเรศประสบชัยชนะคร้ังนี้ เมื่อมีพระชนมายุได้ 32 พรรษา พระองค์ทรงสามารถป้องราชอาณาจักรของพระบิดาได้ไม่ให้ตกเป็นเมืองข้ึนได้นับแต่นั้น พระเจ้าแผ่นดินสยามก็ไมข่ ึ้นกบั พระเจ้าแผ่นดินองค์ใดหนา้ (น. 218 – 219) ด้านพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสิรฐ พงศาวดารฉบับน้ีเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ของไทยท่ีบันทึกพระเกียรติประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในปัจจุบัน (หลวง ประเสรฐิ อักษรนติ ์ิไดม้ าและนามาให้หอสมุดวชริ ญาณ เม่อื ร.ศ. 126 ( พ.ศ.2450/ค.ศ.1907) มคี วามวา่

60 ...ศกั ราช 946 วอกศก (พ.ศ. 2127) คร้ังนนั้ สมเด็จพระนารายณเ์ ปน็ เจ้า เสวยราช สมบัติ ณ เมืองพิษณุโลก รู้ข่าวมาว่าพระเจ้าหงสากับพระเจ้าอางวะผิดกัน คร้ังน้ันเสด็จ ไปช่วยการศึกพระเจ้าหงสา และอยู่ในวันพฤหัสบดี แรม 3 ค่า เดือน 4 ช้างต้นพลาย สวัสดมิ งคล และช้างตน้ พลายแก้วจักรรัตน์ชนกัน และงาชา้ งต้นพลายสวสั ดมิ งคลลุ่ยข้าง ซ้าย และโหรทานายว่าห้ามยาตราและมีพระราชโองการตรัสว่า ได้ตกแต่งการน้ันสรรพ แล้วจึงเสด็จพยุหยาตราไป ครั้นเถิง ณ วันพุธ แรม 9 ค่าเดือน 5 เสด็จออกต้ังทัพไชย ตาบลวัดยมท้ายเมืองกาแพงเพชร ในวันนั้นแผ่นดินไหว แล้วจึงยกทัพหลวงเสด็จไปถึง เมืองแครง แล้วจึงทัพหลวงเสดจ็ กลืบคืนมาพระนครศรีอยุธยา...ในปีเดียวกันนั้นพระเจ้า หงสาให้พระเจ้าสาวถีแลพระยาพสิมยกพลลงมายงั กรุงพระนคร และ ณ วันพุธขึ้น 2 ค่า เดือน 2 เพลาเท่ียงคืนแล้ว 2 นาฬิกา 9 บาท เสดจ็ พยหุ ยาตราไปตง้ั ทัพตาบลสามขนอน ครง้ั น้นั เศกิ หงสาแตกพ่ายหนไี ป... ...ศกั ราช 947 ระกาศก (พ.ศ. 2128) พระเจ้าสาวถยี กพลลงมาคร้ังหน่ึงเล่า ต้ังทัพ ตาบลสะเกษ แลต้ังอยู่แต่ ณ เดือนยี่เถิงเดือนส่ี คร้ันเถิงวัน 7 ค่า เดือน 5 เวลารุ่งแล้ว 4 นาฬิกาบาท เสด็จพยุหยาตราต้ังทัพไชยตาบลหล่มพลี และ ณ วนั เสาร์ ขึ้น 10 คา่ เดือน 5 เสด็จจากทัพไชยโดยทางชลมารคไปทางป่าโมก ครั้งนั้นตีทัพพระเจ้าสาวถีซ่ึงตั้งอยู่ ตาบลสะเกษน้ันแตกพา่ ยไป ...ศักราช 948 จอศก (พ.ศ. 2129) ณ วันจันทร์แรม 8 ค่า เดือน 12 พระเจ้าหง สางาจีสยางยกพลลงมาเถิงกรุงพระนคร ณ วันพฤหัสบดีข้ึน 2 ค่า เดือน 2 และพระเจ้า หงสาเขา้ ล้อมพระนคร และตง้ั ทัพตาบลขนอนปากคู และทัพมหาอุปราชาต้ังขนอนบางต นาว และทัพท้ังปวงนั้นก็ต้ังรายกันไปล้อมพระนครอยู่ และคร้ังน้ันได้รบพุ่งกันเป็น สามารถ และพระเจ้าหงสาเลิกทัพคืนไปในศักราช 949 น้ัน (พ.ศ. 2130) วันจันทร์แรม 14 ค่า เดือน 5 เสด็จโดยทางชลมารคไปตีทัพมหาอุปราชา อันต้ังอยู่ขนอนบางตะนาว น้ันแตกพ่ายลงไปต้ังอยู่ ณ บางกระดาน วันศุกร์แรม 10 ค่า เดือน 6 เสด็จพระราช ดาเนินออกไปตีทัพมหาอุปราชา อันลงไปต้ังอยู่ ณ บางกระดานนั้นแตกพ่ายไป วัน พฤหัสบดีขึ้น 1 ค่าเดือน 7 เสด็จพระราชดาเนินพยุหยาตราออกต้ังทัพชัย ณ วัดเดชะ และต้ังค่ายขุดคูเป็นสามารถ วันพฤหัสบดีข้ึน 8 ค่าเดือน 7 เอาปืนใหญ่ลงสาเภา ข้ึนไป ยิงเอาค่ายพระเจ้าหงสา ต้านมิได้ก็เลิกทัพไปตั้ง ณ ป่าโมกใหญ่ วันจันทร์ขึ้น 10 ค่า เดือน 4 เสด็จพระราชดาเนินออกไปตีทัพข้าเศิก น้ันแตกพ่ายไป และไล่ฟันแทงข้าเศิก เข้าไปจนค่ายพระเจ้าหงสานั้น วันอังคารแรม 10 ค่า เดือน 4 เสด็จพระราชดาเนินออก ต้ังเป็นทัพซุ่ม ณ ทุ่งหล่มพลี และออกตีทัพข้าเศิก คร้ังน้ันได้รบพุ่งตะลุมบอนกันกับม้า พระท่ีนั่ง และทรงพระแสงทวนแทงเหล่าทหารตาย คร้ันข้าเศิกแตกพ่ายเข้าค่ายและไล่ ฟันแทงข้าเศิกเข้าไปจนเถิงหน้าค่าย วันจันทร์แรม 10 ค่า เดือน 3 เพลานาฬิกาหน่ึงจะ

61 รุ่ง เสด็จยกทพั ออกไปตีทัพพระยานคร ซ่งึ ตงั้ อยู่ ณ ปากนา้ มุทุเลานนั้ ครง้ั นั้นเข้าตีทัพได้ เถิงในค่าย และข้าเศิกพ่ายหนีจากค่ายข้าเศิกเสียส้ิน และพระเจ้าหงสาก็เลิกทัพคืนไป (น. 463 – 466) ขณะทพ่ี งศาวดารฉบบั ขุนหลวงหาวดั กลา่ ววา่ …ส่วนพระนเรศวรกบั พระมหาอุปราชากเ็ ข้าชนช้างชงิ ชัย แลว้ สู้รบั ฟันแทงกันด้วย พระแสงของ้าวตามกระบวนเพลงขอ ก็รารอรับกัน ประจันสู้กันไปตามเพลง ส่วนช้าง พระนเรศวรนั้นเล็ก ก็ถอยพลางทางสู้ชน ครั้นถอยไปอุปราชา จึงฟันพระนเรศวรด้วย พระแสงของ้าว พระนเรศวรจึงหลบ ก็ถูกพระมาลาบ้ีไปประมาณได้สี่น้ิว คร้ังช้างพระ นเรศร์ถอยไปจึงได้ที ประจันหนึ่งเรียกวา่ หนองขายันและพุทรากระแทก กย็ งั มีทีท่ ี่อันน้ัน จนทุกวันนี้ ช้างพระนเรศวรน้ันยันต้นพุทราน้ันเข้าได้แล้ว จึงชนกระแทกข้ึนไป ก็ค้าคาง ช้างพระมหาอุปราชาเข้า ฝ่ายช้างอุปราชาเบือนหน้าไป พระนเรศวรได้ทีก็ฟันด้วยพระ แสงของ้าว ชื่อเจ้าพระยาแสนพลพ่าย ก็ถูกอุปราชา พระเศียรก็ขาดออกไปกับที่บนคอ ชา้ ง\" (น. 308) ส่วนเหตุการณ์สาคัญท่ีพงศาวดารกรุงเก่าฉบับนี้บันทึกไว้เป็นเน้ือความทาให้สมเด็จกรมพรยา ดารงราชานุภาพทรงม่ันพระทัยวา่ ไดท้ รงพบหลักฐานว่าพระมหาอุปราชามาต้ังประชมุ ทัพอยู่ตาบลตระพัง กรุ แล้วมาชนช้างกับสมเด็จพระนเรศวร ท่ีตาบลหนองสาหร่าย และเป็นต้นเค้าให้ทรงค้นพระเจดีย์ยุทธ หัตถี คือ ความในพงศาวดารกรุงเก่าบันทกึ การทายุทธหตั ถีไว้วา่ ...ศักราช 954 มะโรงศก (พ.ศ. 2135) วนั ศุกรแ์ รม 2 ค่า เดอื น 12 อปุ ราชายกมา แต่หงสาณ วันเสาร์แรม 1 ค่าเดือน 1 เพดานช้างต้นพระยาไชยานุภาพตกออกมาใหญ่ ประมาณ 5 องคุลี คร้ันเถิงเดือนย่ีมหาอุปราชายกมาเถิงแดนเมืองสุพรรณบุรี แต่ตั้งทัพ ตาบลพังตรุ วันอาทิตย์ข้ึน 9 ค่า เดือน 2 เพลารุ่งแล้ว 4 นาฬิกา 2 บาท เสด็จพยุหยา ตราโดยทางชลมารค ฟันไม้ข่มนามตาบลหล่มพลี ตั้งทัพไชยตาบลม่วงหวาน และ ณ วัน พธุ ข้นึ 12 คา่ เดอื น 2 เพลารุ่งแลว้ 2 นาฬกิ า 9 บาท เสด็จพยหุ ยาตราโดยสถลมารค อนง่ึ เมื่อใกล้รุ่งข้ึนวันขึ้น 12 ค่าน้ัน เห็นพระสารีริกธาตุปาฏิหาริย์ไปโดยทางซึ่งจะเสด็จนั้น เถิงวันแรม 2 ค่าเดือน 2 เพลารุ่งแล้ว 5 นาฬิกา 3 บาท เสด็จทรงช้างต้นพระยาไชยานุ ภาพ เสด็จออกรบมหาอุปราชาตาบลหนองสาหร่าย คร้ังน้ันมิได้ตามฤกษ์และฝ่าย (ฝ่า) ฤกษ์หน่อยหนึ่ง และเม่ือได้ชนช้างด้วยมหาอุปราชาน้ัน สมเด็จพระนารายน์บพิตรเป็น เจ้า ต้องปืน ณ พระหัตถ์ข้างขวาหน่อยหน่ึง อนึ่งเม่ือมหาอุปราชาขี่ข้างออกมายืนอยู่นั้น

62 หมวกมหาอุปราชาใส่น้ันตกลงเถิงดิน และเอาคืนข้ึนใส่เล่า คร้ังนั้นมหาอุปราชาขาดคอ ช้างตายในที่น้ัน และช้างต้นพระยาไชยานุภาพ ซ่ึงทรงและได้ชนด้วยมหาอุปราชาและมี ชัยชนะนั้น พระราชทานใหช้ ่อื เจ้าพระยาปราบหงสา นอกจากนี้ เนื้อความในตอนยุทธหัตถีระหวา่ งสมเด็จพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชา ก่อนที่จะ เรมิ่ กระทายุทธหัตถี ก็ได้มเี หตุการณป์ าฏิหารยิ ์เกิดข้ึนให้เหน็ เป็นอัศจรรย์ ดงั ท่ีใน คาใหก้ ารชาวกรงุ เก่า ได้ บรรยายไว้ว่า (คาให้การชาวกรุงเก่า คาให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวง ประเสรฐิ อกั ษรนิต์ิ, 2515, น. 93) …ด้วยบุญญาภินิหารของสมเด็จพระนเรศวรที่จะได้ชัยชะแก่พระมหาอุปราชา ท้ังจะได้เป็นพระมหากษัตริย์ด้วย ก้อนเมฆบนอากาศบันดาลเป็นรูปเศวตฉัตรกางกั้นอยู่ ตรงพระคชาธารพระนเรศวร พระบรมธาตุโตเท่าผลมะงว่ั ก็ทาปาฏิหารยิ ์เสดจ็ ผ่านมาทาง กองทพั พระนเรศวร พระองคก์ ท็ รงยินดยี กพระหัตถ์ขึ้นนสมัสการ พรอ้ มทัง้ นายทัพนายก องทง้ั ปวง ถึงแม้ว่า คาให้การกรุงเก่าและคาให้การขุนหลวงหาวัด จะค่าความน่าเช่ือถือกับเหตุการณ์ทาง ประวัติศาสตร์ค่อนข้างน้อย เพราะเน้ือความคลาดเลื่อนไปจากข้อเท็จจริง และแม้จะเช่ือกันว่าคนไทย เหล่าน้ันไม่ได้เล่าเร่ืองราวท้ังหมดท่ีรู้ให้แก่พม่าแต่คาให้การทั้งสองสานวนน้ีไม่สะท้อนให้เห็นภาพของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในมุมมองของผู้เล่าขานถึงเรือ่ งราวของพระองค์ว่า พระองค์เป็นวีรกษัตรยิ ์ผูซ้ ึง่ มหาชนยกย่องและยอมรบั ในบุญญาบารมีเป็นอยา่ งย่ิง (อรอษุ า สุวรรณประเทศ, 2552, น. 24) คราน้ันพระมหาอุปราชายกทัพ 250,000 คน มาตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศรถนา กาลงั 100,00 คน ไปตั้งรับที่หนองสาหร่ายเมืองสุพรรณบุรีทาใหเ้ กิดการปะทะระหว่าง กองทัพของพระองค์และกองทัพพม่า เม่ือ 12 มกราคม พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรทรงนาทหารตีโต้ ข้าศึกจนช้างพระที่น่ัง ท้ังสองพระองค์ถลา เข้าไปถึงกองทัพหลวงของพม่าโดยที่กาลังทหารไทยตามไปไม่ ทนั เมอ่ื เผชิญหน้ากับทัพพระมหาอุปราชา พระองคท์ รงท้าทายให้กระทายทุ ธหตั ถเี ยี่ยงกษัตริย์ขณะนั้นช้าง พระท่ีนั่งถอยมาถึงจอมปลวกแห่งหน่ึงจึงมีกาลงถนัดดันช้า งพระมหาอุปราชาเบนไปได้ ลางแบกถนัด สมเด็จพระนเรศวรทรงมีชัยได้จึงฟันพระมหาอุปราชาด้วยพระแสงของ้าวขาดคอช้างสิ้นพระชนม์ส่วน สมเด็จพระเอกาทศรถก็ชนช้างชนะมังจาปะโรแม่ทัพพม่า ฝ่ายไทยจึงได้ชัยชนะในขณะที่ทัพพม่าต้อง สญู เสยี พระมหาอปุ ราชา ซึ่งเอกสารฝ่ายไทยเรียกสงครามคร้ังน้วี า่ “สงครามยทุ ธหัตถี”

63 ภาพ 23 พระนเรศวรทรงกาลงั ทายุทธหตั ถี มชี ัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ หนอง สาหร่าย เมืองสพุ รรณบุรี พ.ศ. 2135 ท่ีมา: ถา่ ยโดยผ้วู จิ ยั 26 มกราคม 2562 ด้วยเหตุผลดังกล่าว สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นองค์หน่ึง ตรงที่ได้กระทา ยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ณ ตาบลท่าคอย ซ่ึงปัจจุบันเป็นตาบลดอนเจดีย์ อยู่ห่างจากหนอง สาหร่ายไปประมาณ 100 เส้น พระเจดีย์ท้ิงร้างมานานหลายร้อยปี เพ่ิงมาพบเม่ือปี พ.ศ. 2456 (ค.ศ. 1913) วัดฐานเจดีย์ได้ด้านละ 10 วา ความสูงประมาณ 20 วา ต่อมา ได้มีการบูรณะเป็นรูปแบบท่ี สมบูรณ์ ตามแบบอย่างเจดีย์ท่ีวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงให้สร้างขึ้นเป็น อนุสรณ์ แห่งชัยชนะคร้ังน้ัน ตามคากราบทูลแนะนาของสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว เป็นเจดีย์กลม แบบลงั กา ดังทป่ี รากฎอยูป่ จั จุบันน้ี สมเด็จพระนเรศวร ทรงปูนบาเหน็จความชอบอันเนื่องมาจากการสงครามคร้ังน้ีโดยท่ัวกัน คือ ช้างพระท่ีนั่งที่ชนชนะข้าศึก พระราชทานนามว่า เจ้าพระยาปราบหงสาวดี พระแสงของ้าวก็ได้นามว่า เจ้าพระยาแสนพลพ่าย นับถือเป็นพระแสงศักด์ิสิทธ์ิ สาหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงคชาธารในรัชกาลหลัง ๆ สืบมา พระมาลาท่ีพระองคท์ รงในวันน้นั กป็ รากฎนามว่าพระมาลาเบีย่ ง ดารงคงอยมู่ าถึงปจั จบุ นั นี้

64 เมื่อเสร็จศึกแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงโทมนัส ที่ไม่สามารถจะตีข้าศึกให้แตกยับเยินไปได้ เหมือนครั้งก่อน เพราะเหตุที่แม่ทัพนายกองไม่สามารถตามเสด็จให้ทันการรบพุ่งพร้อมกัน พระองค์จึงให้ ลูกขนุ ประชมุ ปรึกษาโทษแม่ทพั นายกองเหล่านั้นตามพระอัยการศึก ลูกขนุ ปรึกษากันแล้ววางบทวา่ พระยาศรีไสยณรงค์ มีความผิดฐานฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ ไปรบพุ่งข้าศึกโดยพละการจน เสียทัพแตกมา เจ้าพระยาจักรี พระยาพระคลัง พระยาเทพอรชุน พระยาพิชัยสงคราม พระย า รามคาแหง มีความผิดฐานละเลย มิได้ตามเสด็จให้ทันท่วงทีการพระราชสงคราม ทั้งหมดนี้ โทษถึง ประหารชีวิตด้วยกนั พระองคจ์ ึงทรงให้เอาตวั คนท้ังหมดดังกล่าวไปจาตรุไว้ พอพน้ วนั พระแล้ว ให้เอาไป ประหารชีวติ เสีย ตามคาพิพากษาของลูกขุน ครั้นถึงวันแรม 14 ค่า เดือนย่ี สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว กับพระราชาคณะรวม 25 รูป เข้าไปเฝ้า ถามข่าวถึงการเสด็จพระราชสงครามตามประเพณี สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสเล่าเหตุการณท์ ัง้ ปวงใหฟ้ งั ทุกประการ สมเดจ็ พระพนรตั น์ได้ฟังแลว้ จึงถวายพระพรถามว่า พระองค์มชี ยั แก่ข้าศึก แตเ่ หตุ ไฉนข้าราชการท้ังปวงจึงต้องรับราชทัณฑ์ สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่า นายทัพนายกองเหล่าน้ีกลัว ข้าศึกมากกว่ากลัวพระองค์ ละให้แต่พระองค์สองคนพ่ีน้อง ฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึก จนได้ทายุทธหัตถี กับพระมหาอุปราชา ต่อมีชัยกลับมาจึงได้เห็นหน้าพวกเหล่าน้ี น่ีหากว่าพระองค์ยังไม่ถึงที่ตาย หาไม่ แผน่ ดนิ ก็จะเปน็ ของชาวหงสาวดเี สียแลว้ เหตนุ พ้ี ระองคจ์ ึงให้ลงโทษตามอาญาศึก สมเด็จพระพนรัตน์จึง ถวายพระพรว่า เมอื่ พเิ คราะห์ดูข้าราชการเหล่าน้ี ท่จี ะไม่กลัวสมเด็จพระนเรศวรนนั้ หามิได้ เหตทุ ้งั นเ้ี ห็น จะเผอิญเป็น เพื่อจะให้พระเกียรติแก่พระองค์เป็นมหัศจรรย์ เหมือนสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้า เมื่อ พระองค์เสด็จเหนืออปราชิตบัลลังก์ใต้ควงไม้โพธ์ิคร้ังน้ัน เทพเจ้าก็มาเฝ้าพร้อมหม่ืนจักรวาล พระยาวัส วดีมารยกพลเสนามาผจญ ถ้าพระพุทธเจ้าได้เทพเจ้าเป็นบริวาร มีชัยแก่พระยามารก็หาสู้เป็นอัศจรรยไ์ ม่ เผอิญให้หมู่เทพเจ้าทั้งปวงปลาศนาการหนีไปสิ้น เหลือแต่พระองค์เดียวสามารถผจญให้เหล่ามารปราชัย ไปได้ จึงได้พระนามว่า พระพิชิตมาร โมฬีศรีสรรเพชญดาญาณ เป็นมหาอัศจรรย์บันดาลไปทั่วอนันต โลกธาตุ ก็เหมือนท้ังสองพระองค์คร้ังน้ี ถา้ เสดจ็ พร้อมด้วยโยธาทวยหาญมาก และมีชัยชนะแก่พระมหา อปุ ราชา ก็จะหาสเู้ ปน็ มหัศจรรย์แผ่พระเกียรติยศ ใหป้ รากฎแก่นานาประเทศไม่ อันเหตทุ เี่ ป็นทง้ั น้ี เพื่อ เทพเจา้ ทัง้ ปวงอันรกั ษาพระองค์ จักสาแดงพระเกยี รตยิ ศ เป็นแน่แท้ สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงฟังแล้วก็ทรงพระปิติโสมนัส ตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้าว่านี้ควรหนักหนา สมเด็จพระพนรตั นจ์ ึงได้ถวายพระพรว่า ขา้ ราชการซึง่ เป็นโทษเหล่านีก้ ็ผดิ หนักหนาอยแู่ ลว้ แต่ทว่าได้ทา ราชการมา แต่ครั้งสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช และสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ตลอดมาจนถึงพระองค์ดจุ พุทธบริษัท สมเด็จพระบรมครู จึงขอพระราชทานโทษคนเหล่าน้ีไว้สักครั้งหนึ่ง จะได้ทาราชการฉลอง พระเดชพระคุณสืบไป สมเดจ็ พระนเรศวร จึงมีรับสั่งว่าเมื่อสมเด็จพระพนรัตนข์ อแล้ว พระองคก์ ็จะถวาย แตท่ ว่า จะต้องไปตีเมืองตะนาวศรี เมอื งทวายแก้ตวั กอ่ น สมเด็จพระพนรัตน์ ถวายพระพรว่า การจะใช้ไปตีบ้านเมืองน้ันสุดแต่พระองค์จะสงเคราะห์ มิใช่กิจของสมณะ แล้วก็ถวายพระพรลาไป สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้นายทัพนายกองที่มีความผิดพ้นจากเวรจา แล้ว

65 ทรงให้พระยาจักรียกกองทัพมีกาลังพล 50,000 คน ไปตีเมืองตะนาวศรีทัพหน่ึง ให้พระยาพระคลังคุม กองทัพมกี าลัง 50,000 ไปตีเมอื งทวายอีกองทพั หน่ึง 3.3. บันทึกเร่อื งเจดีย์ยทุ ธหตั ถี เร่ืองเจดีย์ยุทธหัตถีน้ี สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือนิทาน โบราณคดี มีขอ้ มลู ทนี่ ่ารดู้ งั น้ี ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ได้กล่าวถึงเจดีย์ยุทธหัตถีไว้ว่า เม่ือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงชนะยุทธหัตถีแลว้ \"ตรสั ใหก้ ่อพระเจดีย์สถาน สวมศพพระมหาอุปราชาไว้ ณ ตาบลตระพงั กรุ\" สมเด็จกรมพระยาดารง ฯ ได้ทรงให้พระยากาญจนบุรี (นุช) ไปสืบหา ได้ความว่าบ้านตระพังกรุ มีมาแต่โบราณ เป็นท่ีดอนต้องอาศัยใช้น้าบ่อ มีบ่อน้ากรุอิฐข้างในซึ่งคาโบราณ เรียกว่า ตระพังกรุ อยู่ หลายบอ่ แต่ไม่มีเจดีย์ท่ีสมควรวา่ เป็นของพระเจ้าแผ่นดินสร้างอย่ใู นบริเวณน้ัน เม่ือได้ประมวลเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้ข้อสรุปว่า สมเด็จพระนเรศวร โปรดให้สร้างพระ เจดีย์ยุทธหัตถี ขึ้นตรงท่ีชนช้างองค์หนึ่ง แล้วทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่อีกองค์หนึ่ง ขนานนามว่า พระ เจดยี ช์ ยั มงคล ข้นึ ท่ีวัดเจ้าพระยาไทย อนั เป็นท่สี ถติ ของพระสังฆราชฝา่ ยขวา จึงมักเรยี กกนั ว่า วดั ปา่ แกว้ ตามนามเดมิ ของพระสงฆค์ ณะนัน้ ในปีแรกรัชกาลที่ 6 พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) เม่ือยังเป็นหลวงประเสริฐ อักษรนิติ ได้พบหนังสือเร่ืองพงศาวดารเลม่ หน่ึง มีหลกั ฐานวา่ เขยี น เมอ่ื ปี พ.ศ. 2223 ซ่งึ ต่อมาให้เรยี กว่า พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ฯ มคี วามในเรอื่ งสงครามยุทธหัตถีวา่ …พระมหาอุปราชามาต้ังประชุมทัพอยทู่ ี่ตาบลตระพังกรุ แล้วมาชนชา้ งกับสมเด็จ พระนเรศวร ฯ ที่ตาบลหนองสาหร่าย เมื่อวันจันทร์ แรม 2 ค่า เดือนย่ี ปีมะโรง จุล ศักราช 955 (พ.ศ. 2135) สมเด็จกรมพระยาดารง ฯ จึงทรงให้พระยาสุนทรบุรี (อ่ี กรรณสูตร) สมุหเทศาภิบาลมณฑล นครไชยศรี ไปสืบหาตาบลหนองสาหร่าย ได้ความว่า ตาบลหนองสาหร่ายนั้นอยู่ใกล้ลาน้าท่าคอย อยู่ ทางทิศตะวันตกของเมืองสุพรรณ เป็นลาน้าเดียวกันกับลาน้าจรเข้สามพัน ที่ตั้งเมืองอู่ทอง แต่อยู่เหนือ ข้ึนไปไกล มีเจดีย์โบราณอยู่ ชาวบ้านเรียกว่า ดอนเจดีย์ เป็นเจดีย์ฐานทักษิณเป็น 4 เหล่ียม 3 ช้ัน ชั้น ล่างกว้าง 8 วา องค์พระเจดีย์เหนือฐานทักษิณ ช้ันท่ี 3 ขึ้นไป หักพังหมดแล้ว ประมาณขนาดสูงเมื่อยัง บริบูรณ์ เห็นจะราวเท่า ๆ กับ พระปรางคท์ วี่ ดั ราชบรู ณะในกรงุ เทพ ฯ

66 ภาพ 24 (ซ้าย) ซากเจดีย์ยุทธหัตถีเดมิ (ขวา) เจดยี ย์ ทุ ธหัตถี สร้างใหม่ครอบองค์เดมิ ตาบล ดอนเจดีย์ จังหวดั สุพรรณบุรี ท่มี า: ภาพจากหนังสือ โบราณวตั ถสุ ถานท่ัวพระราชอาณาจกั ร จัดพิมพ์โดยกรมศลิ ปากร, พ.ศ. 2500 ระยะทางระหว่างตาบลสาคัญท่ีได้จากเส้นทางเสด็จพระราชดาเนินโดยสถลมารค ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือคร้ังเสด็จพระราชดาเนนิ ไปสักการบูชา พระเจดีย์ยุทธหัตถี เมอ่ื พ.ศ. 2453 พอประมวลได้ดังนี้ นครปฐม ถึง กาแพงแสน ระยะทาง 568 เส้น หรือประมาณ 23 กิโลเมตร กาแพงแสน ถงึ บ้านบอ่ สพุ รรณ ระยะทาง 706 เสน้ หรอื ประมาณ 28 กิโลเมตร บ้านบอ่ สุพรรณ ถงึ บ้านตระพังกรุ ระยะทาง 125 เส้นหรือประมาณ 5 กิโลเมตร บ้านตระพงั กรุ ถึง บ้านดอนมะขาม ระยะทาง 274 เส้นหรือประมาณ 11 กิโลเมตร บ้านดอนมะขาม ถงึ บ้านจรเขส้ ามพัน ระยะทาง 411 เสน้ หรือประมาณ 16 กโิ ลเมตร บ้านจรเข้สามพัน ถึง อูท่ อง ระยะทาง 140 เสน้ หรือประมาณ 6 กโิ ลเมตร อูท่ อง ถงึ บ้านโข้ง ระยะทาง 510 เส้นหรอื ประมาณ 20 กโิ ลเมตร บ้านโข้ง ถงึ ดอนเจดีย์ ระยะทาง 495 เสน้ หรอื ประมาณ 20 กิโลเมตร

67 ภาพ 25 อนุสรณ์ดอนเจดีย์ ทม่ี า: www.เทีย่ วภาคกลาง.com สืบค้น 22 พฤษภาคม 2562 3.4. ปราบกบฎพระยาตะนาวศรี เมืองทวาย และเมืองตะนาวศรี เป็นเมืองขึ้นของไทยแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มาตกเป็น ของพมา่ เม่อื คร้ังพระเจ้าหงสาวดบี ุเรงนองตีได้กรุงศรีอยุธยา ด้วยเหตนุ ้ี สมเดจ็ พระนเรศวรจงึ ทรงให้ไปตี ก่อนเมืองอื่น เมืองทวายอยู่ต่อแดนมอญ ข้างเหนือเมืองตะนาวศรี พลเมืองเป็นทวายชาติหนึ่งต่างหาก ขึน้ กรุงศรีอยุธยาเหมือนอย่างประเทศราช เมืองตะนาวศรีอยู่ใตเ้ มอื งทวายมาตอ่ กบั เมืองชุมพร พลเมอื งมี ทั้งพวกเม็งและไทยปนกัน เมืองมะรดิ อันเปน็ เมืองขนึ้ ตง้ั อยู่ทปี่ ากนา้ เมอื งตะนาวศรี มีเรือกาปั่นแขกฝร่ัง มาคา้ ขายท่ีเมืองนี้ และมที างขนสนิ คา้ มากรงุ ศรอี ยุธยาไดส้ ะดวก เมืองมะริดจงึ กลายเป็นเมืองทา่ ของไทย ทางอ่าวบังกล่า ซึ่งเรียกว่าทะเลตะวนั ตก ทางกรุงศรีอยุธยาจึงตั้งข้าราชการในกรุง ออกไปเป็นเจ้าเมือง ตะนาวศรีอย่างหัวเมืองทั้งปวงมาแต่โบราณ เมื่อพม่าชิงเอาเมืองทวายกับตะนาวศรีไป ก็เอาแบบอย่าง ไทยไปปกครอง เม่ือพม่าเจ้าเมืองตะนาวศรี ทราบข่าวว่ากองทัพไทยจะยกไปตีเมืองก็รีบบอกไปยังกรุงหงสาวดี ขอกองทัพมาช่วย คร้ังน้ันพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงทรงพิโรธแม่ทัพนายกองที่มาทัพกับพระมหาอุป ราชา จึงทรงให้เขาเหล่าน้ันคุมกองทัพมาช่วยรักษาเมืองทวายและเมืองตะนาวศรีให้มารบกับไทยแก้ตัว ใหม่ ขณะที่กาลังเตรียมทัพอยู่เจ้าพระยาจักรีก็ยกทัพไปถึงเมืองตะนาวศรีเสียก่อนแล้วล้อมเมืองไว้ ทาง

68 ตะนาวศรีสู้อยู่ได้ 15 วันก็เสียเมืองแก่ไทย ส่วนกองทัพพระยาพระคลังท่ียกไปตีเมืองทวาย ได้รบพุ่งกับ ขา้ ศึกตรงด่านเชงิ เขาบรรทดั คร้ังหน่งึ ฝ่ายไทยตขี า้ ศึกแตกพ่ายไป จากนั้น กองทพั พระยาพระคลังก็ยกไป ล้อมเมืองทวาย ล้อมอยู่ได้ 20 วัน ทางเมืองทวายก็ออกมาอ่อนน้อม ยอมเป็นข้าขอบขัณฑสีมา ของกรุง ศรีอยุธยาดงั แตก่ ่อน ฝ่ายพระยาจักรี เมื่อได้เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดแล้ว วิตกว่าเมืองทวายซึ่งอยู่ต้นทาง เกรงทางขา้ ศึกยกทัพมาตีกระหนาบกองทัพพระยาพระคลัง จงึ ให้จบั เรือกาป่นั ที่มาค้าขายอยูท่ ี่เมืองมะริด ได้เรือสลุปของฝร่ัง ลาหนึ่ง ของแขก 2 ลา และเรือพ้ืนเมืองอีก 150 ลา จัดเป็นกองเรือรบ ให้พระยา เทพอรชุนเป็นนายทัพเรือ คุมกาลังพล 10,000 คน ยกไปเมืองทวายทางทะเล ให้พระยาศรีไสยณรงค์ คุมกาลังพล 10,000 คน อยู่รักษาเมืองตะนาวศรี แล้วเจ้าพระยาจักรียกกาลงั พล 30,000 คน ยกข้ึนไป เมืองทวายทางบก กองกาลังทางเรือของพระยาเทพอรชุน ยกไปทางทะเล ถึงตาบลบ้านบ่อในแดนเมือง ทวาย ก็ปะทะกับกาลังทางเรือของสมิงอุบากอง สมิงพระตะบะ ซ่ึงพระเจ้าหงสาวดีให้ลงมาช่วยรักษา เมืองตะนาวศรี มีกาลังทางเรือประมาณ 2,000 ลา กาลังพลประมาณ 10,000 คน ก็เข้ารบพุ่งกันทาง ทะเล ตั้งแต่เช้าถึงเท่ียง ยังไม่แพ้ชนะกัน ถึงเวลาบ่ายลมตั้งคลื่นใหญ่ จึงต้องทอดสมอเรือ รอกันอยู่ท้ัง สองฝา่ ย ฝ่ายพระยาพระคลัง เม่ือได้ตีเมืองทวายแล้ว ก็เป็นห่วงทางเจ้าพระยาจักรี เนื่องจากไม่ได้ข่าว ว่าตีเมอื งตะนาวศรีได้แลว้ หรือไม่ จงึ ให้จดั กาลังทางเรือ มจี านวนเรอื 100 ลา กบั กาลงั พล 5,000 คนให้ พระยาพิชัยสงคราม พระยารามคาแหง คุมกาลังไปช่วยเจ้าพระยาจักรีท่ีเมืองตะนาวศรี พอกองทัพยก ออกจากเมืองทวาย ก็ได้ยินเสียงปืนดังข้ึนทางทิศใต้ จึงให้ขุนโจมจตุรงค์ คุมเรือลาดตะเวณลงไปสืบ ได้ ความว่า กองกาลังทางเรือของไทยยกขึ้นมาจากทางตะนาวศรี กาลังต่อสู้อยู่กบั กองกาลังทางเรือของพม่า ฝ่ายไทยจึงยกกองทัพเข้าตีกระหนาบพม่าลงไปจากทางเหนือ กองทพั ไทยยิงถูก สมิงอบุ ากองนายทัพพม่า ตายในที่รบ และยิงเรือสมิงพระตะบะ และเรือข้าศึกจมอีกหลายลา กองกาลังทางเรือของพม่าก็แตก กองทพั ไทยจบั เป็นได้ประมาณ 500 คน ไดเ้ รอื และเครื่องศตั ราวธุ เปน็ จานวนมาก ฝ่ายไทยได้ทราบความจากพวกเชลยว่า ยังมีกองทัพข้าศึกยกมาทางบก จากเมืองเมาะตะมะจะ ลงมาช่วยเมืองทวาย เจ้าพระยาจักรีกับพระยาพระคลัง จึงจัดกาลังทางบกข้ึนไปทางแม่น้าทวายเป็นสอง ทาง โดยท่ีกองทัพเจ้าพระยาจักรี ยกข้ึนไปทางฝ่ังตะวันออก กองทัพพระยาพระคลังยกไปทางฝ่ัง ตะวันตกของแม่น้า ไปดักซุ่มอยู่สองฟากทางที่กองทัพข้าศึกจะยกลงมา กองทัพข้าศึกมีเจ้าเมืองมล่วน เป็นนายทัพ ยกลงมาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้าทางหน่ึง ตรงมาทางเมืองกลิอ่อง หมายที่จะเข้าเมือง ทวายทางตาบลเสือข้าม โดยทไ่ี ม่รู้ว่า เมอื งทวายและเมืองตะนาวศรีเสียแก่ไทยแล้ว ส่วนเจา้ เมืองกลิตอง ปุ ก็คุมกองทัพ มาทางชายทะเลด้านตะวันตก มาถึงป่าเหนือบ้านหวุ่นโพะ ฝ่ายไทยเห็นฝ่ายพม่า ยก กาลังถลาเข้ามาในบริเวณท่ีซุ่มอยู่ ก็ออกระดมโจมตีทั้งสองกองทัพ ฝ่ายข้าศึกไม่ทันรู้ตัวก็แตกพ่าย เสีย ช้างม้าผู้คนและเคร่ืองศัตราวุธให้แก่ฝ่ายไทยเป็นอันมาก ฝ่ายไทยจับได้นายทัพนายกอง 11 คน ไพร่พล 400 คนเศษ เม่อื ความทราบถึงสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ก็โปรดให้พระยาศรีไสยณรงค์ อยู่รักษาเมือง

69 ตะนาวศรีต่อไป ส่วนเมืองทวาย ก็ให้เจ้าเมืองกรมการ เข้ามาเฝ้าถือน้าพิพัฒน์สจั จา แล้วโปรดให้กลบั ไป รกั ษาเมอื งตามเดมิ แลว้ มตี ราให้กองทัพกลบั พระนคร เมอื่ ปี มะเส็ง พ.ศ. 2136 3.5. สงครามกรุงละแวก พ.ศ. 2135 – 2137 (ค.ศ. 1592 – 1594) สมเด็จพระนเรศวรทรงแค้นเคืองเขมร ที่ลอบเข้ามาทารา้ ยไทย ทุกคร้ังท่ีไทยเกิดมีภัยพิบตั ิและ อ่อนกาลังลง ดังนั้น พอเสร็จศึกสาคัญหมดแล้ว พระองค์จึงเสด็จยกทัพไปตีกัมพูชา ในปีมะเส็ง พ.ศ. 2136 (ค.ศ. 1593) โดยจัดกาลังเป็นทัพเรอื สองกองทพั ใหพ้ ระยาเพชรบุรเี ป็นแม่ทัพเรอื ยกไปตีทางเมือง ปา่ สักทพั หนงึ่ ใหพ้ ระยาราชวงั สนั เป็นแมท่ พั เรอื ยกไปตีเมืองบนั ทายมาศอีกทัพหนง่ึ สว่ นกองทัพบก ให้ พระยานครราชสีมา คุมพลหัวเมืองตะวันออก ไปตีเมืองเสียมราฐ และฝ่ังตะวันออกของทะเลสาบเขมร อีกทพั หน่ึง ส่วนกองทพั หลวง ให้พระราชมนคู มุ กองทพั หน้า สมเดจ็ พระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศ รถ เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองพระตะบอง ทางด้านฝ่ังตะวันตกของทะเลสาบ นัดหมายให้ไปถึงเมือง ละแวก อันเป็นนครหลวงของกัมพูชา พร้อมกันทุกกองทัพ ในการน้ี ให้เกณท์ผู้คนในเมืองนครนายก เมืองปราจีณบุรีอันอยู่บนเส้นทางเดินทัพไปเขมร เข้าร่วมกองทัพด้วย เม่ือไปถึงเมืองพระตะบองก็ตีเมือง ได้ และจับตัวเจ้าเมือง คือพระยามโนไมตรีจิตได้ จากน้ันก็เข้าตีเมืองละแวกได้ เม่ือต้น ปีมะเมีย พ.ศ. 2137 (ค.ศ. 1594) จับนักพระสัตถาเจ้ากรุงกัมพูชาได้ แล้วให้ประหารชีวิตนักพระสัตถาเสียในพิธีปฐม กรรม แล้วกวาดตอ้ นครอบครัวเขมร มาเปน็ เชลยเปน็ อันมาก พระองคไ์ ด้ให้พระมหามนตรีปกครองเขมร ชั่วคราว แล้วให้นาราชอนุชานักพระสัตถา พระนามว่าพระเจ้าศรีสุพรรณมาธิราชมายังกรุงศรีอยุธยา ต่อมาจงึ โปรด ฯ ใหก้ ลับไปครองกรุงกมั พชู า เขมรจึงกลบั เป็นเมอื งขนึ้ ของไทยนับแต่นนั้ มา เหตุการณใ์ นตอนนี้ วนั วลิต ได้บรรยายไว้ว่า ….สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพไปตีบ้านเมืองต่าง ๆ ได้เป็นอันมาก และมีชัย ตอ่ เจ้ากรุงกมั พชู า พระองค์จับพระเจ้ากรงุ กัมพชู า และพระราชโอรสธริ าชท้ังหมดเป็น เชลย แต่ทรงอนุญาตให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ของเจ้ากรุงกัมพูชา อยู่ครอบครอง กัมพูชาต่อไป โดยให้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่คิดคดทรยศ จะเป็นข้ากรุงศรีอยุธยา สืบไป เมือ่ ได้จัดการกับกรุงกัมพูชาเสรจ็ แลว้ สมเดจ็ พระนเรศวรจึงยกทัพกับพระนคร และให้เอาตัวเจ้ากัมพูชา กับราชโอรสอีกสามองค์มาเป็นเชลยด้วย เม่ืออยู่ต่อมาได้ ระยะหนึง่ ไม่นาน ก็โปรดใหส้ ่งเจา้ กรุงกมั พูชากลบั ไปเสวยราชย์ ณ กรุงกมั พูชาตามเดิม โดยให้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ให้พระราชโอรสอยู่เป็นตัวจานาที่กรุงศรีอยุธยา และให้ กรงุ กัมพชู าถวายต้นไมเ้ งินตน้ ไม้ทองต่อกรุงศรีอยุธยาปีละคร้ัง

70 เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับถึงพระนครแล้ว ได้มีพระราชดารัสสั่งให้ต้งั หัวเมืองเหนอื ที่ได้ ทิ้งให้ร้างต้ังแต่เริ่มทาสงครามกู้อิสรภาพอยู่ 8 ปีน้ัน ให้กลับมีเจ้าเมืองกรมการปกครองดังแต่ก่อน ทรงตั้ง ใหข้ ้าราชการทีม่ บี าเหนจ็ ความชอบ ใหไ้ ปเปน็ ผ้ปู กครองคือ พระยาชัยบรู ณ์ (ไชยบรุ ี) ข้าหลวงเดมิ ทีไ่ ดท้ รง ใช้สอยทาศึกมาแต่แรก ให้เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ ครองเมืองพิษณุโลก พระยาศรีเสาวราช ไปครองเมือง สุโขทัย พระองค์ทอง ไปครองเมืองพิชัย หลวงจ่า (แสนย์) ไปครองเมืองสรรคโลก และเข้าใจว่า ได้ส่ง ครอบครวั เขมรทีไ่ ดม้ าคราวไปตเี ขมรนน้ั ไปอยู่หวั เมอื งเหนอื โดยมาก 3.6. เสดจ็ ยกทพั ตกี รงุ หงสาวดี พ.ศ. 2138 (ค.ศ. 1595) การท่สี มเดจ็ พระนเรศวร ได้หวั เมืองมอญฝา่ ยใตม้ าเป็นเมืองขึน้ นับว่าเป็นจุดหกั เหท่ีมนี ัยสาคัญ ของการสงครามไทยกับพม่า จากเดิม ฝ่ายพม่าเป็นฝ่ายยกทัพมาย่ายีไทยมาโดยตลอด การได้หัวเมือง มอญฝา่ ยใต้ ทาใหไ้ ทยใช้เป็นฐานทพั ทจ่ี ะยกกาลังไปตเี มอื งหงสาวดีได้สะดวก สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกกองทัพหลวงไปตีเมืองหงสาวดี ออกจากพระนคร เม่ือวันอาทิตย์ ข้ึน3 ค่า เดือนอ้าย ปีมะแม พ.ศ. 2138 (ค.ศ. 1595) มีกาลังพล 120,000 คน เดินทัพไปถึงเมืองเมาะตะ มะ แล้วรวบรวมกองทัพมอญเข้ามาสมทบ จากนั้น ได้เสด็จยกกองทัพหลวงไปยังเมืองหงสาวดี เข้าล้อม เมืองไว้ กองทัพไทยล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ 3 เดือน และได้เข้าปล้นเมือง เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่า เดือน 4 ครั้งหน่ึง แต่เข้าเมืองไม่ได้ คร้ันเม่ือทรงทราบว่าพระเจ้าแปร พระเจ้าอังวะ พระเจ้าตองอู ได้ยก กองทัพลงมาช่วยพระเจ้าหงสาวดีถึงสามเมือง เห็นว่าข้าศึกมีกาลังมากนัก จึงทรงให้เลิกทัพกลับ เม่ือวัน สงกรานต์ เดือน 5 ปีวอก พ.ศ. 2139 (ค.ศ. 1596) และได้กวาดต้อนครอบครัวในหัวเมืองมณฑลหงสาวดี มาเป็นเชลยเป็นอนั มาก และกองทัพข้าศึกมิได้ยกตดิ ตามมารบกวนแต่อยา่ งใด การสงครามคร้ังนี้ สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ (2546) ทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จ พระนเรศวรเสด็จยกทัพไปคร้ังนี้ เป็นการจู่ไป โดยไม่ให้ข้าศึกมีเวลาพอตระเตรียมการต่อสู้ได้พรักพร้อม และพระราชประสงค์ทยี่ กไปนน้ั นา่ จะมอี ยู่ 3 ประการคอื ประการแรก ถา้ สามารถตเี อาเมอื งหงสาวดไี ดก้ ็จะตเี อาทเี ดยี ว ประการที่สอง ถ้าตีเมืองหงสาวดียังไม่ได้คร้ังนี้ ก็จะตรวจภูมิลาเนา และกาลังข้าศึกให้รู้ไว้ สาหรับคดิ การคราวตอ่ ไป ประการที่สาม คงคิดกวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลยให้มาก เพ่ือประสงค์จะตัดทอนกาลังข้าศึก และเอาผ้คู นมาเพ่ิมเติม เปน็ กาลังสาหรบั พระราชอาณาจักรตอ่ ไป ข้อสันนิฐานอืน่ ๆ มีอยู่วา่ การกวาดต้อนผู้คนกลับพระราชอาณาจักรไทยคร้ังน้ี นา่ จะได้ช่วยนา คนไทย ผู้ซึ่งถูกพม่ากวาดต้อนเอาไปเป็นเชลย แล้วเอาตัวไว้ใช้งานตามเมืองต่าง ๆ กลับมาด้วย ประการ ต่อมา สาเหตุท่ียกทัพกลับน้ัน นอกจากจะทรงเห็นวา่ กองทัพข้าศึกกาลังระดมยกมาจากอีกสามเมืองใหญ่ มีกาลังมากแล้ว เสบียงอาหารของกองทัพไทยก็น่าจะขาดแคลน เพราะมีกาลังพลมาก และล้อมเมืองหง สาวดีอยู่นานถึงสามเดือน ประกอบกับใกล้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว และประการสุดท้าย การท่ีพระองค์ถอนทัพ

71 กลับ โดยที่พม่าไม่ได้ยกติดตามตีหรือรบกวนแต่อย่างใด ทั้งที่มีพลเรือนที่ถูกกวาดต้อนมาเปน็ จานวนมาก เช่นเดยี วกับคร้ังสงครามประกาศอิสรภาพท่ีเมืองแครง กน็ า่ จะเป็นเพราะพระองค์ดาเนินการถอนทัพ และ นาผู้คนพลเรือนกลับมาอย่างมีระบบ โดยให้พลเรือนล่วงหน้าไปก่อน อย่างคร้ังสงครามประกาศอิสรภาพ พมา่ ไมก่ ลา้ ตดิ ตาม เพราะได้ทราบบทเรียนจากครง้ั น้ัน ประกอบกบั ความเกลงกลวั ในพระบรมเดชานุภาพ ของสมเด็จพระนเรศวร และความเข้มแข็งเก่งกล้าสามารถของกองทัพไทยในคร้ังนั้น ทาให้กองทัพไทย ถอนทพั กลบั ไดโ้ ดยราบรืน่ ปราศจากการรบกวนใด ๆ 3.7. สงครามเมืองตองอู พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีกรุงหงสาวดีครั้งแรกแล้ว ไทยก็ว่างศึกสงครามอยู่ 3 ปี ในระหว่างนั้น พม่ามีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อพม่า พระเจ้าหงสาวดีนันท บุเรงได้ยกพระเจ้าอังวะให้เป็นพระมหาอุปราชา แทนที่จะยกให้แก่พระเจ้าแปร ซ่ึงเคยทาสงครามมี ความชอบมาแต่ก่อน พระเจ้าแปรคดิ ว่าพระเจ้าตองอูส่งเสริมพระเจ้าหงสาวดี ให้ดาเนนิ การไปเช่นนั้น ก็ แค้นพระเจ้าตองอู จึงยกทพั ไปตีเมอื งตองอู เวลานนั้ พระเจา้ ตองอยู ังอยู่ที่เมืองหงสาวดี ให้นดั จนิ หนอ่ งผู้ เปน็ ราชบุตรอยรู่ ักษาเมือง พระเจา้ แปรตีเมอื งตองอูไม่ได้ จงึ ไดแ้ ต่แขง็ เมอื ง ต่อมาเมืองตองอู เมืองยะไข่ เมืองเชียงใหม่ และกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ต้ังแข็งเมืองขึ้นมาบ้าง พระเจ้าหงสาวดีไม่รู้ที่จะทาประการใด เหน็ วา่ ไมม่ กี าลงั พอทีจ่ ะปราบปรามได้ จงึ ตอ้ งนิง่ อยู่ ฝา่ ยพระหน่อแก้ว เจา้ กรุงศรีสัตนาคนหุต ไดห้ นุนใหพ้ ระยาน่านซง่ึ ขนึ้ กับเมืองเชยี งใหม่ ใหแ้ ขง็ เมืองต่อเชียงใหม่ บรรดาชาวลานช้างซ่ึงถูกกวาดต้อนไปจากถิ่นฐานเนื่องจากการสงคราม พอรู้ว่าพระ หน่อแก้วประกาศเอกราชก็ดีใจ พากันอพยพครอบครัวจะกลับไปเมืองลานช้าง แต่เส้นทางกลับต้องผ่าน เขตเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าเชียงใหม่ช่ือมังนรธาช่อ ซึ่งเป็นน้องของพระเจ้าหงสาวดี ก็คอยขัดขวางเพ่ือ รกั ษาประโยชนข์ องพม่า พระหนอ่ แกว้ จงึ เตรยี มกองทพั มารบั ครวั ลานช้างไปจากเมืองเชียงใหม่ พระเจ้า เชียงใหม่ทราบเร่ืองก็ร้อนตัว ประกอบกับการท่ีตนเป็นพม่าเข้ามาปกครองชาวไทย เม่ือพม่าทาสงคราม แพ้ไทย ราษฎรก็จะไม่กลัวเกรงพม่าอีกต่อไป ถ้ากองทัพกรุงศรีอยุธยาหรือกรุงศรีสัตนาคนหุตยกมาตี เกรงว่าราษฎรจะไปเขา้ กับฝา่ ยข้าศึก เมือ่ เห็นสถานการณเ์ ป็นเช่นน้ัน จงึ หาทางออกด้วยการมาสวามิภักด์ิ กบั ไทย พระเจ้าเชยี งใหมจ่ งึ ส่งทตู เชิญราชสาส์น และเครอื่ งราชบรรณาการมายงั กรงุ ศรีอยธุ ยา ขอเปน็ ข้า ขอบขัณฑสมี า ตอ่ สมเดจ็ พระนเรศวร และขอพระราชทานกองทัพข้ึนไปช่วยคุ้มกันเมืองเชยี งใหม่ สมเด็จ พระนเรศวรจึงโปรดใหเ้ จา้ พระยาสุรสีห์ เจ้าเมืองพิษณุโลก คุมกองทัพหัวเมืองฝา่ ยเหนือขึ้นไปห้ามปราม มิให้ทางลานช้างมารุกรานเมืองเชยี งใหม่ และให้พาตัวพระยารามเดโช ซึ่งเป็นท้าวพระยาเมืองเชียงใหม่ ทีห่ นพี มา่ มาพึง่ สมเดจ็ พระนเรศวรทีก่ รงุ ศรีอยธุ ยา ขึ้นไปชว่ ยพระเจา้ เชียงใหม่รกั ษาบ้านเมอื งต่อไปดว้ ย เจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพข้ึนไปถึงเมืองเชียงแสน ห้ามทัพกรุงศรีสัตนาคนหุต ซ่ึงยกกาลังมาต้ังติด เมืองเชียงแสนอยู่ ให้ยุติการรุกรานเมืองเชียงใหม่ ด้วยพระเจ้าเชียงใหม่ได้ยอมเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของ กรงุ ศรีอยุธยาแลว้ กองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้ทราบเรื่อง ก็เกรงพระบรมเดชานภุ าพสมเด็จพระนเรศวร

72 พากันเลิกทัพกลับไป แต่เวลาน้ันเมืองน่านและเมืองฝาง ยังไม่ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าเชียงใหม่ เจ้าพระยาสุรสีห์จึงให้พระยารามเดโช เป็นข้าหลวงอยู่ที่เมืองเชียงแสน เพ่ือให้เกลี้ยกล่อมหัวเมืองที่ยัง กระด้างกระเด่ือง และคอยระวังมใิ หเ้ กดิ เหตุกับเมืองลานชา้ งต่อไป ตั้งแต่นั้นมาดินแดนลานนาไทย ก็เข้ามาอยู่ในพระราชอาณาเขตของสมเด็จพระนเรศวรมาโดย ตลอด เปน็ การเร่มิ รวมชนชาติไทย เขา้ มาเปน็ ปกึ แผน่ อนั หนึ่งอันเดยี วกัน นอกจากท่ีกล่าวมาแล้ว ยังมีเหตุการณ์เกิดข้ึนทางเมืองยะไข่ ซ่ึงแต่เดิมเป็นประเทศอิสระอยู่ ทางชายทะเลด้านตะวันตก ต่อมาได้ตกเป็นประเทศราชของพม่า ในสมัยพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เม่ือ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงเสื่อมอานาจลง พระเจ้ายะไข่ก็ตั้งแข็งเมืองบ้าง เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อ่ืน ๆ ท่ี ได้กล่าวมาแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นโดยต่อเน่ืองกันมา ตั้งแต่ปีมะแม พ.ศ. 2138 (ค.ศ. 1595) จนถงึ ปีจอ พ.ศ. 2141 (ค.ศ. 1598) สมเด็จพระนเรศวรทรงพระราชดาริเห็นว่า เมืองหงสาวดีป่ันป่วน เป็นโอกาสของฝ่ายไทย จึง ทรงให้เตรียมการตีเมืองหงสาวดีอีกคร้ังหน่ึง การยกทัพไปคร้ังน้ีได้มีการเตรียมการเป็นขั้นตอน ไม่ได้ยก แบบจู่โจมไปเชน่ ครั้งกอ่ น เรม่ิ ตน้ ดว้ ยการให้เจ้าพระยาจกั รี คุมกองทัพ มกี าลังพล 15,000 คน ยกออกไป เมื่อต้นปีกุน พ.ศ. 2142 (ค.ศ. 1599) ไปต้ังทัพอยู่ท่ีเมืองเมาะลาเลิง เกณฑ์ผู้คนมาทานาในปีฤดูฝนปีนั้น เพ่ือเตรียมเสบียงอาหารไว้สาหรับกองทัพหลวง และได้เกณฑ์กองทัพเมืองทวาย มีกาลังพล 5,000 คน ให้ไปตัง้ ต่อเรือสาหรับกองทพั ทเ่ี กาะพะรอก แขวงเมืองวังราว (ปัจจุบนั คือเมอื งอัมเฮิสต์ ) ครง้ั น้ัน หวั เมอื งขน้ึ ของเมืองหงสาวดี ทราบเรอื่ งวา่ สมเด็จพระนเรศวรจะเสด็จไปตีเมืองหงสาว ดี ก็พากันมาอ่อนน้อมหลายเมือง ท่ีสาคัญ คือ เมืองยะไข่ (ละเคิง) กับเมืองตองอู ซ่ึงได้ตั้งแข็งเมืองอยู่ ก่อนแล้ว ท้ังสองเมืองนี้ได้มีศุภอักษร ให้ทูตถือมาถวายสมเด็จพระนเรศวร ที่กรุงศรีอยุธยา รับว่าถ้าเสด็จ ไปตเี มืองหงสาวดีเม่ือใด กจ็ ะยกกองทัพลงมาช่วย การดาเนินการทางการทตู ของทั้งสองเมืองน้ี ทางกรุง หงสาวดไี ม่ทราบเร่อื ง การที่เมืองท้ังสองมาอ่อนน้อมต่อสมเด็จพระนเรศวรนั้น นอกจากจะเป็นการปลอดภัยจาก กองทพั ไทยแลว้ ก็ยงั หวงั ประโยชนท์ ่ีจะได้เพม่ิ เตมิ จากสถานภาพทเี่ ปน็ อยปู่ ัจจบุ ัน กล่าวคือ เมืองยะไข่เป็นเมืองชายทะเล ชาวเมืองย่อมชานาญในการใช้เรือ พระเจ้ายะไข่อยากได้หัว เมอื งขนึ้ หงสาวดี ทต่ี อ่ แดนกบั ทางชายทะเลตะวนั ออก ไปเป็นเมอื งขน้ึ ของยะไข่ จงึ มาขอเข้ากับไทย ด้วย หวังว่าจะให้สมเด็จพระนเรศวร ยอมยกหัวเมืองดังกล่าวให้เป็นบาเหน็จ เมื่อทูตยะไข่กลับจากกรุงศรี อยุธยา พระเจ้ายะไข่ทราบว่า สมเด็จพระนเรศวรรับเป็นไมตรีแล้ว ก็ให้กองกาลังทางเรือยกมายึดเมือง สเิ รยี ม (เมืองเสรียง) ซึ่งต้งั อย่ทู ่ีปากน้าหงสาวดีไว้ได้ และรอท่ากองทัพไทยอยู่ สาหรบั การปฏิบัติการข้ัน ต่อไป ส่วนเมืองตองอู พระเจ้าตองอูเห็นว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรตีเมืองหงสาวดีได้แล้ว คงจะ แสวงหาผู้ท่ีจะครอบครองเมืองหงสาวดีต่อไป และเม่ือได้เป็นพระเจ้าหงสาวดี โดยท่ีมีกาลังฝ่ายไทย สนับสนุนอยู่ ก็จะได้เป็นใหญ่ในเมืองพม่า อย่างไรก็ตาม ท่ีเมืองตองอูในเวลานั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ช่ือ พระมหาเถรเสียมเพรียม เป็นผู้ทม่ี ีความเห็นตา่ งไปจากพระเจ้าตองอู เมอื่ ทราบวา่ พระเจ้าตองอู มาออ่ น นอ้ มตอ่ ไทย จงึ เข้าไปทัดทานด้วย เหตผุ ลว่าการที่พระเจ้าตองอูหมายจะเป็นใหญ่ โดยปกตพิ งึ่ ไทยนั้นเห็น

73 จะไมส่ มคดิ เพราะกรุงหงสาวดแี ละกรงุ ศรีอยธุ ยา ได้ทาศึกขบั เคย่ี วกันมา กด็ ้วยประสงคจ์ ะแข่งอานาจกัน ถ้าพระนเรศวรได้เมืองหงสาวดีแล้ว คงไม่ยอมให้ใครมีอานาจเป็นคู่แข่งอีก คงคิดจะตัดรอนทอนกาลัง ไมใ่ หเ้ มืองหงสาวดีกลับเป็นอสิ ระได้อีกต่อไป คงได้เปน็ เพียงประเทศราชข้ึนกรุงศรีอยุธยา เหมอื นอย่างที่ เมืองตองอูขึ้นพระเจ้าหงสาวดีอยู่ปัจจุบัน หนทางที่พระเจ้าตองอูคิดจะเป็นใหญ่โดยลาพัง ไม่ต้องไปเป็น เมอื งขึ้นของไทยนั้นมีอยู่ แลว้ กไ็ ดบ้ อกอบุ ายใหพ้ ระเจ้าตองอูทราบ พระเจ้าตองอูกเ็ ห็นด้วย จึงได้แต่งคน สนิท ให้ลอบมาเท่ียวยุยงพวกมอญ ที่ถูกไทยเกณฑ์ให้ทานา ให้เป็นอริกับไทย โดยยุยงมอญว่า เมื่อเสร็จ สงครามแล้ว พวกมอญก็จะถูกฝ่ายไทยกวาดต้อนมาไว้ที่กรุงศรีอยุธยา พวกมอญเหล่านั้นจึงซ่องสุมกัน มี ท่าทวี ่าจะกอ่ การกบฎตอ่ ไทย เม่ือสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพหลวงจากพระนครศรีอยุธยา พร้อมสมเดจ็ พระเอกาทศรถ เม่ือปลายปี พ.ศ. 2142 เม่ือมาถึงเมืองมอญ พระองค์ต้องใช้เวลาถึงสามเดือน จึงปราบ มอญลงได้ นบั เป็นอปุ สรรคสาคัญประการหนงึ่ ในการยกกองทพั ไปตเี มืองหงสาวดี นอกจากนัน้ พระเจ้าตองอูยงั ได้ดาเนนิ กุศโลบายขน้ั ต่อไป โดยแต่งทตู ไปยงั กองทพั เมืองยะ ไข่ ซึ่งต้ังอยู่ท่ีเมืองสิเรียม ชักชวนพระเจ้ายะไข่ ให้ยกทัพไปติดเมืองหงสาวดี ส่วนพระเจ้าตองอูจะยก กองทัพไป ทาประหนึ่งว่าจะไปช่วยพระเจ้าหงสาวดี เม่ือเข้าเมืองหงสาวดีได้แล้ว ก็จะหย่าทัพกับพระเจ้า ยะไข่ แลว้ จะยอมยกหวั เมอื งทางชายทะเลให้ตามทีท่ างยะไขต่ ้องการ พระเจ้ายะไขเ่ ห็นดีด้วยกับแผนการ น้ี จึงตกลงดว้ ย แลว้ ท้งั สองเมอื งกเ็ ริ่มดาเนินการตามแผน โดยยกกองทัพไปตีเมืองหงสาวดี เมอื่ เดอื น 12 ปกี นุ แตเ่ หตกุ ารณ์ไม่เป็นไปตามท่ีคาดการณ์ไว้ พระเจา้ หงสาวดีมีความระแวง ไมไ่ วใ้ จพระเจ้าตองอู จึง ไม่ยอมให้กองทัพเมืองตองอเู ข้าเมือง กองทัพเมืองตองอูและกองทัพเมืองยะไข่ จงึ ต้องล้อมเมืองหงสาวดี ไว้ เมื่อเมืองหงสาวดีถูกล้อมอยู่นานเข้า เกิดขาดแคลนเสบียงอาหาร พวกผู้คนพลเมืองท่ีอดหยาก ก็พากันหลบหนี ไปพึ่งพระเจ้าตองอูมากข้ึน จนถึงพวกข้าราชการ และในที่สุดพระมหาอุปราชาเอง ก็ไป ข้ากับพระเจ้าตองอู เม่ือได้ข่าวว่ากองทัพสมเด็จพระนเรศวร ยกไปถึงเมืองเมาะตะมะ พระเจ้าหงสาวดี เห็นว่าไม่มีทางเลือก จึงยอมให้กองทัพพระเจ้าตองอูเข้าไปในพระนคร แล้วมอบราชการบ้านเมือง ให้ พระเจ้าตองอูบังคับบัญชาต่างพระองค์แต่นั้นมา พระเจ้าตองอูจึงส่งราชธิดาของพระเจ้าหงสาวดีนันท บุเรงองค์หนึ่ง กับช้างเผือกเชือกหน่ึง ไปถวายพระเจ้ายะไข่ แล้วขอหย่าศึกตามท่ีได้ตกลงกันมาแต่ต้น และขอให้กองทัพพระเจ้ายะไข่ คอยกีดกันกองทัพสมเด็จพระนเรศวร พระเจ้ายะไข่ก็ยินยอมตามน้ัน จากนั้น พระเจ้าตองอูก็ทูลพระเจ้าหงสาวดีว่า กองทัพสมเด็จพระนเรศวรท่ียกมาคร้ังนี้ มีกาลังมากนัก จะต่อสู้อยู่ที่เมืองหงสาวดี คงรับไว้ไม่ไหว ให้เชิญเสด็จไปเมืองตองอู เพ่ือตั้งรับต่อสู้ข้าศึกที่น่ัน แล้วพระ เจ้าตองอูก็ทะยอยส่งผูค้ น และทรัพย์สมบัติส่งไปเมืองตองอู โดยส่งพระมหาอุปราชาไปก่อน เมือ่ ไปถึงไม่ นานนัดจินหน่อง ราชบุตรพระเจา้ ตองอู ก็ลอบปลงพระชนม์พระมหาอุปราชาเสยี แล้วปกปิดไม่ให้ความ ทราบถึงพระเจา้ หงสาวดี สมเด็จพระนเรศวรพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จยกกองทัพหลวงมีกาลังพล 10,000 คน ออกจากกรุงศรีอยธุ ยา เมื่อวันขน้ึ 11 คา่ เดอื น 11 พ.ศ. 2142 เดินทพั ไปทางดา่ นเจดีย์สาม องค์ เม่ือเสด็จถงึ เมืองเมาะตะมะ ตอ้ งทรงยับยังทัพ เพือ่ ปราบปรามพวกมอญกบฎอยู่เกือบสามเดือน จึง สงบราบคาบ เมื่อพระองค์ทราบว่า กองทัพเมืองยะไข่กับกองทัพเมืองตองอู ต้ังล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ก็

74 แคลงพระทัย ท่ีเห็นกองทัพท้ังสองเมืองด่วนไปกระทาการเสียก่อน ไม่เป็นไปตามท่ีได้กราบทูลเอาไว้ ดังนั้น เม่ือปราบปรามพวกมอญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เสด็จยกกองทัพหลวงจากเมืองเมาะตะมะ เมื่อ เดอื นสาม ปกี ุนน้นั ฝ่ายพระเจ้าตองอูทราบดังน้ัน ก็พาพระเจ้าหงสาวดีออกจากพระนคร เม่ือวันขึ้น 2 ค่า เดือนส่ี มุ่งไปเมืองตองอู ทิ้งเมืองหงสาวดีไว้ให้พวกยะไข่ พวกยะไข่จึงเก็บทรัพย์สมบัติท่ียังคงเหลืออยู่ที่เมืองหง สาวดี แล้วเผาปราสาทราชวัง วัดวาอาราม จนไฟไหม้ลุกลามไปท้ัวเมือง แล้วพากันหลบหนีจากพระ นครไป ภาพ 26 พระนเรศวรไดเ้ มอื งหงสาวดจี ึงเสด็จไปนมัสการพระมตุ าวแล้วเสดจ็ พระราชดาเนิน กลับไปประทบั ณ ค่ายสวนหลวง พ.ศ. 2142 ท่ีมา: ภาพจิตกรรมวดั สุวรรณดาราราม จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา

75 สมเด็จพระนเรศวรเสดจ็ ไปถึงเมืองหงสาวดี เมื่อวันขึ้น 10 ค่า เดอื น 4 หลงั จากท่พี ระเจ้าตองอู พาพระเจ้าหงสาวดีหนีไปได้ 8 วัน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเมืองเหลือแต่ทรากก็ขัดพระทัย จึงทรงให้ ทัพหลวงต้ังค่ายประทับอยู่ท่ีสวนหลวงใกล้พระธาตุมุตาว แล้วแต่งข้าหลวง ถือหนังสือรับส่ังไปยังพระเจา้ ตองอู ถึงเร่ืองที่ได้ให้สัญญากันไว้ เม่ือเหตุการณ์มาเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าพระเจ้าตองอูซ่ือตรงคงความ สัตย์อยู่ ก็ให้มาเฝ้า และพาพระเจ้าหงสาวดีมาถวายตามประเพณี ถ้าไม่ทาดังน้ัน จะยกกองทัพตามไปตี เมอื งตองอูใหจ้ งได้ พระเจา้ ตองอูได้ทราบหนังสือรับส่ัง พยายามหาทางผ่อนคลายประณีประนอม แก้ตวั และประวิง เวลา โดยให้มังรัดอ่องเป็นทูต เชิญพระธามรงค์เพชรสามยอด อันเป็นเคร่ืองราชูปโภคสาหรับพระเจา้ หง สาวดี มาถวายสมเดจ็ พระนเรศวร ทลู วา่ พระเจา้ หงสาวดีประชวรอยู่ และทางตองอูกาลงั รวบรวมช้างม้า พาหนะที่ได้จากเมืองหงสาวดี เม่ือพระเจ้าหงสาวดีหายประชวร ก็จะนามาถวายพร้อมกัน พระเจ้าตองอู ยังมีความสามภิ ักดซิ์ อ่ื ตรงอยู่ หาไดค้ ดิ กลับสตั ยอ์ ยา่ งไรไม่ ขอเชิญเสดจ็ พกั อย่ทู เ่ี มืองหงสาวดีก่อน สมเดจ็ พระนเรศวรทรงรู้เท่าทันว่า พระเจ้าตองอูไม่สุจริตจริง ต้องการหน่วงทัพหลวงประวิงเวลาไว้ เพื่อใ ห้มี เวลาเตรยี มรกั ษาเมืองตองอู จงึ ทรงปรกึ ษานายทพั นายกอง ถึงการทีจ่ ะยกไปตเี มืองตองอตู ่อไป ฝ่ายพระเจ้ายะไข่ เมื่อหย่าทัพกับพระเจ้าตองอูแล้ว ก็ถอยทัพกลับไปตั้งอยู่ที่เมืองสิเรียม เมื่อ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จถึงเมืองหงสาวดี พระเจา้ ยะไขจ่ ึงให้ขนุ นางผูใ้ หญเ่ ป็นทูต เขา้ ไปเฝ้ากราบทูลช้ีแจง วา่ ได้ยกทพั มาช่วยตามทไ่ี ดร้ บั ไว้ แตพ่ ระเจา้ ตองอูคดิ กลอุบายชิงเอาเมืองหงสาวดไี ด้ กองทัพยะไข่ไม่รู้ท่ี จะทาประการใด จึงถอยไปรอกองทัพไทยอยู่ท่ีเมืองสิเรียม ได้เตรยี มกาลังพลไว้ 5,000 คน จะใหก้ องทัพ ยะไข่ปฏิบัติการอย่างไร ก็พร้อมที่จะปฏิบัติ สมเด็จพระนเรศวรทรงแคลงพระทัย ท่ีพระเจ้ายะไข่ไม่ได้มา เฝ้าเอง และทรงทราบกิตติศัพท์ว่า พวกยะไข่เผาเมืองหงสาวดี จึงมีรับสั่งตอบว่า กองทัพหลวงมีกาลัง พลมากพออยูแ่ ล้ว อยา่ ให้กองทัพยะไขย่ กมาเลย สมเด็จพระนเรศวร โปรดให้กองทัพพระยาจันทบุรี อยู่รักษาเมืองหงสาวดี แล้วพระองค์เสด็จ ยกกองทพั หลวงขึ้นไปเมืองตองอู เมอื งตองอูต้ังอยู่ในลุ่มแมน่ ้าสะโตง อยู่ทางเหนอื ของเมืองหงสาวดี หา่ ง ไปประมาณ 6,000 เส้น (240 กิโลเมตร) เส้นทางที่ไปเป็นทางทุรกันดาร ต้องข้ามเทือกเขาสูงและป่าสูง มีไข้ป่าชุกชุม สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพไปคร้ังน้ัน มุ่งหมายเพียงจะตีเมืองหงสาวดีซึ่งอยู่บนท่ีราบ ไม่ได้เตรียมการท่ีจะยกทัพไปถึงเมืองตองอู แต่เนื่องจากสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นในระหว่างเวลาน้ัน ทาให้ พระองค์ต้องขยายผลการรบออกไป การเดินทัพของพระองค์ ไม่ได้มีการขัดขวางต้านทานจากข้าศึกแต่ อย่างใด เมื่อกองทัพหลวงยกไปถึงเมืองตองอู ก็ให้ล้อมเมืองไว้ โปรดให้พระยาแสนหลวง พระยา นคร คุมกองทพั เมอื งเชยี งใหม่ ตง้ั ทางด้านใต้ ร่วมกบั กองทพั พระยาศรีสธุ รรม พระยาทา้ ยน้า และหลวง จ่าแสนบดี กองทัพหลวงก็ต้ังอยู่ทางด้านใต้เช่นกัน ด้านตะวันออกให้กองทัพพระยาเพชรบูรณ์ พระยา สุพรรณบรุ ี กบั หลวงมหาอามาตย์ไปตัง้ ดา้ นเหนอื ใหก้ องทัพเจ้าพระยาสรุ สีห์ และพระยากาแพงเพชรไป ต้ัง ด้านตะวันตก ให้กองทัพพระยานครราชสีมา พระสิงคบุรี ขุนอินทรภิบาล แสนภูมิโลกาเพชร ไปตั้ง ใหเ้ จา้ พระยาสุรสหี ์เปน็ ผู้ตรวจตราหน้าท่ที ัง้ ปวงทั่วไป

76 เมืองตองอูมีคูเมืองกว้างและลึกมาก สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้ขุดเหมือง ไขน้าในคูเมือง ให้ไหลออกไปลงแม่น้า เหมืองน้ันยังปรากฎอยู่ พม่าเรียกว่าเหมืองสยามมาจนถึงทุกวันนี้ ครั้นไขน้าออก หมดแล้ว ก็ให้กองทัพยกเข้าปล้นเมือง ฝ่ายเมืองตองอูก็ต่อสู้ป้องกันเมืองเป็นสามารถ ฝ่ายไทยเข้าปล้น เมืองหลายครั้ง ก็ยังเข้าเมืองไม่ได้ กองทัพไทยล้อมเมืองตองอูอยู่สองเดือน เสบียงอาหารก็ขาดแคลน เพราะเสน้ ทางสง่ กาลงั จากทางใตก้ ็ยาวไกล และทรุ กันดาร นอกจากน้นั พวกกองโจรยะไข่ กค็ อยตีตดั การ ลาเลียง อีกประการหน่ึง ให้กองทัพออกลาดตระเวณหาเสบียงอาหารในพ้ืนที่ขึ้นไปถึงเมืองอังวะ ก็ได้ไม่ เพียงพอ ประกอบกับล่วงเข้าต้นฤดูฝน จึงทรงให้ถอยทัพกลับจากเมืองตองอู เมื่อวันแรม 6 ค่า เดือน 6 ปีชวด พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) ฝ่ายพระเจ้าตองอูก็มีความคร่ันคร้าม ไม่กล้ายกทัพออกติดตาม จึงเป็น การหย่าทัพ ถอยมาได้โดยสะดวก กองทัพไทยกลับมาทางตรอกหม้อ เมื่อถึงตาบลคับแค ก็โปรดให้ สมเด็จพระเอกาทศรถ ยกกองทพั แยกมาทางเมืองเชยี งใหม่ เพื่อระงับเหตวุ ิวาทระหว่างพระเจา้ เชียงใหม่ กับพระยารามเดโช ส่วนสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับทางเมืองเมาะตะมะ ทรงตั้งพระยาทะละเจ้าเมือง มอญ ให้เปน็ เจา้ เมอื งเมาะตะมะ ดูแลหวั เมืองมอญต่างพระเนตรพระกรรณ แลว้ ทรงยกทพั กลับพระนคร ฝา่ ยสมเด็จพระเอกาทศรถ เม่ือเสด็จยกกองทพั ถึงเมืองเถิน กใ็ หต้ งั้ ทัพอยู่ ณ ที่นน้ั แลว้ มีรับส่งั ให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ และเจ้าเมืองใหญ่น้อยในดินแดนลานนา ให้มาเฝ้าพระองค์ที่เมืองเถิน เพ่ือทรง จดั การระงบั เร่ืองวิวาททเ่ี กดิ ขึน้ อันมสี าเหตมุ าจากท่มี ผี คู้ นมาเข้ากับพระยารามเดโชเป็นอันมาก พวกเจ้า เมอื งที่กระดา้ งกระเด่ืองต่อพระเจ้าเชียงใหม่ กม็ ีพระยาราม และพระยาฝาง อาณาเขตลานนาจึงแตกเป็น สองฝ่าย ฝ่ายเหนือขึ้นต่อพระยารามเดโช เป็นข้าหลวงอยู่ท่ีเมืองเชียงแสน ฝ่ายใต้ข้ึนต่อพระเจ้า เชยี งใหม่ บรรดาเจ้าเมืองใหญ่น้อยในแคว้นลานนา ต่างพากันมาเฝ้าถวายต้นไม้ทองเงิน และเครื่องราช บรรณาการถึงเมืองเถินทุกเมือง เว้นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ให้บุตรคุมเคร่ืองราชบรรณาการมาแทน สมเด็จ พระเอกาทศรถจึงเสด็จยกทัพขึ้นไปยังเมืองลาพูน แล้วให้ข้าหลวงเข้าไปบอกพระเจ้าเชยี งใหม่ ถึงเรื่องท่ี สมเด็จพระนเรศวรทรงมอบหมายมา พระเจ้าเชียงใหม่ได้แจ้งกระแสรับส่ังดังน้ัน ก็มีความเกรงกลัว มา เฝ้าท่ีเมืองลาพูน แล้วถวายพระทุลองราชบุตร ให้ลงมาทาราชการที่กรุงศรีอยุธยา และถวายพระราชธดิ า อีกองคห์ นงึ่ ดว้ ย สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเห็นว่า พระเจ้าเชียงใหม่ส้ินทิษฐิแล้ว จึงมีรับส่ังให้ต้ังการพิธีที่พระ ธาตุหรภิ ญุ ชัย ให้พระเจา้ เชียงใหม่ถอื น้ากระทาสัตยต์ ่อกรงุ ศรีอยุธยา แลว้ ใหเ้ จา้ เมอื งใหญ่น้อยท้งั ปวง ถือ น้ากระทาสัตยต์ ่อพระเจ้าเชียงใหม่ แล้วเสดจ็ กลบั พระนคร

77 3.8. เสด็จยกทพั ตีกรุงอังวะ พ.ศ. 2148 (ค.ศ. 1605) ตง้ั แตส่ มเดจ็ พระนเรศวรเสด็จยกกองทพั กลบั จากเมืองตองอูแลว้ กรงุ ศรอี ยธุ ยาก็วา่ งศึกกับพม่า มอญถงึ สามปี ต้ังแต่ พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600)ถึง พ.ศ. 2146 (ค.ศ. 1603)ในระหวา่ งนนั้ ดินแดนพม่าทาง ภาคใต้ ตั้งแต่กรุงหงสาวดีลงมา ตกเป็นของไทยทั้งหมด ส่วนดินแดนทางพม่าเหนือ อันประกอบด้วยรัฐ ไทยใหญ่ต่าง ๆ นั้น ต้ังแต่รัฐแสนหวี ยอมเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของสมเด็จพระนเรศวรแล้ว รัฐไทยใหญ่ อ่ืน ๆ เช่น เมืองนาย (เมืองหน่าย) เมืองหาง (เมืองห้างหลวง) ก็เข้ามาเป็นข้าขอบขันฑสีมาเพิ่มขึ้นอีก พม่าท่ีก่อนหน้านี้เป็นประเทศใหญ่ ก็กลายเป็นประเทศเล็กลงมาก คร้ังน้ัน อาณาเขตไทยทางด้านทิศ เหนือ จงึ แผ่เข้าไปจนต่อกบั แดนประเทศจีน ฝ่ายพระเจ้าตองอู เมื่อพาเอาพระเจ้าหงสาวดีไปประทับท่ีท่ีเมืองตองอูดังกล่าวแล้ว เพื่อ ประสงค์จะให้คนท้ังปวงเห็นว่า เป็นผู้อุปถัมภ์พระเจ้าหงสาวดี แล้วจะแอบอ้างรับสั่ง เพ่ือบังคับบัญชา ปกครองพม่าทั่วราชอาณาเขต และคงจะได้เป็นผู้รับรัชทายาท เม่ือสมเด็จพระนเรศวรเลิกทัพกลั บไป พระเจา้ ตองอูจงึ ทาหนังสอื รับสั่งพระเจ้าหงสาวดี ประกาศไปตามหวั เมืองทั้งปวงวา่ การทีเ่ กิดศึกสงคราม ถงึ พระนคร เป็นเพราะชะตาเมืองหงสาวดีถงึ เวลาเสือ่ มทราม พระเจา้ หงสาวดจี ึงเสด็จแปรพระราชฐานไป อยู่ที่เมืองตองอู เอาเมืองนี้เป็นราชธานีสัก 7 ปี เมื่อบ้านเมืองสิ้นเคราะห์แล้ว ก็จะเสด็จกลับไปอยู่เมือง หงสาวดตี ามเดิม เจ้าทงั้ ปวงได้รับหมายประกาศแลว้ ทเ่ี ช่อื ถือก็มี แตท่ ี่สงสัยว่าพระเจ้าตองอูคิดกลอุบาย ท่ีจะชิงราชสมบัติมีมากกว่า มีเจ้าเมืองที่ยังสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าหงสาวดีหลายคน พากันยกกองทัพไปยัง เมืองตองอู หวังจะไปชงิ เอาพระเจา้ หงสาวดีมา พระเจา้ ตองอูทราบเรือ่ ง จึงไปทูลพระเจ้าหงสาวดีวา่ เจ้า เมืองเหล่าน้ันเห็นจะไปเขา้ ด้วยกบั สมเดจ็ พระนเรศวรเสยี แล้ว ทีย่ กกองทพั มา ก็เพอื่ จะลอ่ ลวงเอาพระองค์ ไปถวายพระนเรศวร จึงขอใหท้ าหนงั สือรับส่ัง ประทับพระราชลัญจกรเป็นสาคัญ ส่งไปยงั บรรดาเจา้ เมอื ง เหล่านั้นมคี วามวา่ ตามพระราชประเพณีมาแตเ่ ดมิ ยอ่ มจะต้องมีท้องตราส่ัง หัวเมอื งจึงจะยกกองทัพเข้ามายังราช ธานีได้ ถ้ายกเข้ามาโดยอาเภอใจ ก็มีความผิดฐานเป็นกบฎ ในคร้ังน้ีหาได้มีท้องตราให้หาไม่ การท่ี บังอาจยกกองทัพเขา้ มาเช่นน้ี จะคดิ เป็นกบฎหรอื อย่างไร พวกเจ้าเมืองได้เห็นหนังสือรับสั่งก็จนใจ พากันเลิกทัพกลับไป และเม่ือทราบว่าราชการงาน เมือง สิทธ์ิขาดอยู่กับพระเจ้าตองอูทั้งสิ้น ก็พากันท้อใจ ท่ีเป็นเมืองใหญ่อยู่โดยลาพังได้ ก็พากันตั้งแข็ง เมอื ง ไม่ยอมข้ึนตอ่ พระเจ้าตองอู เหล่าหวั เมอื งมอญในมณฑลราชธานี ทยี่ ังไม่ได้เปน็ เมืองขน้ึ ของไทยแต่ ก่อน ก็พากันมาอ่อนนอ้ มต่อพระยาทะละ ขอเปน็ ข้าขอบขนั ฑสีมาของสมเด็จพระนเรศวร ในพงศาวดาร พมา่ กลา่ ววา่ ครงั้ นัน้ บรรดาหัวเมอื งมอญทีอ่ ยู่ใตเ้ มืองหงสาวดลี งมา ก็มาเปน็ เมอื งข้นึ ของไทยทัง้ สน้ิ เม่ือพระเจ้าหงสาวดีประทับอยู่ที่เมืองตองอูได้ 8 เดือน นัดจินหน่อง ราชบุตรพระเจ้าตองอู วิตกว่า พระเจ้าหงสาวดียังประทับอยู่เมืองตองอูตราบใด แทนท่ีเมืองตองอูจะได้ประโยชน์ ดังที่พระเจ้า ตองอูคาดหวัง เมืองตองอูกับจะเป็นอันตราย ทั้งจากภายในพม่าเอง และจากสมเด็จพระนเรศวร เมื่อ คิดเห็นดังน้ัน จึงได้วางยาพิษ ปลงพระชนม์พระเจ้าหงสาวดี เมื่อ วันแรม 10 ค่า เดือน 12 ปีชวด พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) พระเจ้าตองอูทราบเรื่องกต็ กพระทยั แตเ่ ม่ือเห็นวา่ เหตุการณ์สายเกินแก้แลว้ จึงให้จึง

78 ให้มีหมายประกาศว่า พระเจ้าหงสาวดีประชวรสิ้นพระชนม์ และขณะประชวรหนักอยู่ ได้ทรงมอบเวน ราชสมบตั แิ ก่พระเจา้ ตองอูผ้เู ปน็ พระอนุชาธริ าช แตป่ ระกาศนัน้ ไมม่ ีเมืองใดเชอื่ ถือ ขณะเมื่อพระเจ้าหงสาวดี อพยพออกจากเมืองหงสาวดีไปเมืองตองอูน้ัน เจ้านะยองราม พระ อนชุ าได้หนไี ปอยเู่ มืองพุกาม เมือ่ ทราบวา่ พระเจา้ กรงุ หงสาวดีนันทบุเรงสนิ้ พระชนม์ ก็รวบรวมผู้คนอยู่ ท่ีเมืองอังวะ เวลาน้ันเมืองอังวะมีแต่ขุนนางว่าราชการเมือง เน่ืองจากพระเจา้ อังวะได้ไปเป็นพระมหาอปุ ราชา พวกชาวเมืองเห็นว่าเจ้านะยองราม เป็นราชบุตรพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็พากันนิยมยินดี ยก เจ้านะยองรามข้ึนเป็นพระเจ้าอังวะ ต้ังตนเป็นอิสระ ดังน้ัน เมืองพม่าจึงแตกเป็นสามพวก คือ พระเจ้า ตองอู ซึ่งต้ังตัวเป็นพระเจ้าหงสาวดีพวกหนึ่ง พระเจ้าแปรซึ่งตั้งแข็งเมืองมาแต่ครั้งพระเจ้าหงสาวดีนันท บุเรง พวกหนึ่ง และพระเจ้าอังวะอกี พวกหน่ึง พระเจ้าตองอูกับพระเจ้าแปร เห็นผู้คนพากันนิยมพระเจ้าอังวะมากข้ึนก็เกิดความวิตก เกรงว่า เม่ือพระเจ้าอังวะมีกาลังมากขึ้น จะยกกองทัพมาตีเมืองตองอู และเมืองแปร จึงได้ปรึกษาหารือกันที่จะ ร่วมกัน ยกกองทัพไปตีเมืองอังวะเสียก่อน เมื่อตกลงกันได้แล้ว ก็ให้พระเจ้าแปรยกกาลังทางเรือ พระ เจา้ ตองอยู กกาลังทางบก เข้าตเี มอื งอังวะพร้อมกนั เมื่อถงึ วันกาหนดทจ่ี ะยกกองทัพออกไป พระเจ้าแปร ถกู ลอบทารา้ ยถึงแก่พิราลยั พระเจา้ ตองอูไม่ทราบเร่ือง ตอ่ มาเมอื่ ยกกองทัพออกไปแลว้ จงึ มาทราบเร่ือง ทีหลัง ก็เลยคิดจะเอาเมืองแปรไว้ในอานาจก่อน จึงยกกองทัพไปตีเมืองแปร แตไ่ มส่ ามารถตหี ักเอาเมือง แปรได้ ต้องเลิกทัพกลับไปเมืองตองอู พม่าก็คงแบ่งออกเป็นสามพวก เป็นอิสระแก่กันต่อมาดังเดิม เหตุการณด์ ังกลา่ ว เกดิ ขนึ้ ในห้วงเวลาระหวา่ ง ปีชวด พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) ถงึ ปเี ถาะ พ.ศ. 2146(ค.ศ. 1603) ต่อมาพระเจา้ อังวะก็ทาพิธีราชาภเิ ษก เปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสีหสธุ รรมราชา แลว้ กค็ ดิ ขยายอาณาเขตให้กว้างขวางออกไป เนอ่ื งจากเมอื งองั วะอยู่ขา้ งเหนือใกล้กับแดนไทยใหญ่ จงึ ได้ แผ่อานาจออกไปทางดินแดนไทยใหญ่ ในเวลาน้ัน ประเทศราชไทยใหญ่ท่ีเรียกว่า 19 เจ้าฟ้า แต่เดิมเคย ขึ้นอยู่กับพระเจ้าหงสาวดี ครั้งเห็นพระเจ้าหงสาวดีหมดอานาจ ก็พากันต้ังแข็งเมือง ที่อยู่ใกล้เขตแดน ไทย ก็พากันมายอมข้ึนแก่ไทยบ้าง ครั้นพระเจ้าอังวะมีอานาจขึ้น พวกท่ีอยู่ใกล้แดนพม่า ก็กลับมายอม อ่อนน้อมต่อพระเจ้าอังวะ ส่วนพวกท่ีอยู่ห่างไกลออกไปก็ยังต้ังแข็งเมืองอยู่ พระเจ้าอังวะก็ยกกองทัพไป ปราบปราม ตีได้หัวเมืองไทยใหญ่ ที่ต้ังตัวเป็นอิสระได้มาตามลาดับ จนมาถึงเมืองหน่ายซ่ึงมาข้ึนอยู่กับ ไทย พระเจ้าอังวะตีได้เมืองหน่ายแลว้ ก็จะเข้าตีเมืองแสนหวี สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบก็ขัดเคือง จึง ดารัสสงั่ ให้เกณฑก์ าลงั พล จานวน 100,000 คน จะเสด็จยกไปตเี มืองอังวะ กองทัพไทยจะเดินไปทางเมืองเชียงใหม่ ไปข้ามแม่น้าสาลวินท่ีเมืองหาง แล้วเดินทัพผ่าน ดินแดนไทยใหญ่ เข้าไปแดนพม่า ท่ีใกล้เมืองอังวะ เส้นทางเดินทัพน้ี จะสะดวกกว่าเส้นทางท่ีผ่านเมือง มอญ เพราะเสน้ ทางนั้นจะต้องผา่ นเมืองตองอู และเมอื งแปรกอ่ น จงึ จะผ่านไปเมอื งอังวะได้ การเดินทัพ คร้ังน้ี ใช้พื้นที่เขตเมืองเชียงใหม่เป็นที่ประชุมพล แล้วเกณฑ์กองทัพเมืองมอญ กับกองทัพชาวลานนาไทย จานวนกาลงั พลประมาณ 200,000 คน สมเด็จพระนเรศวร กับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จยกกองทัพออกจากพระนคร เมื่อ วัน พฤหสั บดี แรม 8 คา่ เดอื นยี่ ปมี ะโรง พ.ศ. 2148 เสดจ็ โดยกระบวนเรอื จากพระตาหนกั ปา่ โมก แลว้ เสดจ็ ข้ึนบนท่ีตาบลเอกราช ไปต้ังทัพชัย ณ ตาบลพระหล่อ แล้วยกกองทัพบกไปทางเมืองกาแพงเพชรสู่เมือง

79 เชียงใหม่ ครั้นเสด็จถึงเมืองเชียงใหม่ ก็หยุดพักจัดกระบวนทัพอยู่หน่ึงเดือน แล้วให้กองทัพสมเด็จพระ เอกาทศรถยกไปทางเมืองฝาง ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองหาง ครนั้ เสดจ็ ถึงเมอื งหางแลว้ ก็ใหต้ ้ังค่าย หลวงประทับอยู่ท่ีทุ่งแก้ว สมเด็จพระนเรศวรประชวนเป็นระลอก ขึ้นที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็น บาดทะพิษ พระอาการหนัก จึงโปรดให้ข้าหลวง รีบไปเชิญเสด็จสมเด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า สมเด็จ พระเอกาทศรถเสด็จมาถึงได้ 3 วัน สมเด็จพระนเรศวรกเ็ สด็จสวรรคต เม่ือ วันจันทร์ ข้นึ 8 คา่ เดอื น 6 ปี มะเส็ง พระชนั ษา 50 ปี เสวยราชสมบัตไิ ด้ 15 ปี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ทรงทาสงครามกับพม่าต้ังแต่พระชันษาได้ 20 ปี การสงคราม ชว่ งแรกเป็นการกู้อิสรภาพของไทย ใหพ้ ้นจากอานาจของพม่า พระองคใ์ ช้เวลา 9 ปใี นช่วงน้ี ต่อมา เปน็ การรวบรวมอาณาเขตของไทยที่ได้เสียไป คือ เมืองทวาย เมืองตะนาวศรี กลับมาจากพม่าและนากรุง กัมพูชา กลับมาเป็นของไทยทั้งหมด ช่วงน้ีใช้เวลา 4 ปี และท้ายสุด เป็นการแผ่พระราชอาณาเขต ให้ กว้างขวางออกไป ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ตอนต้น รวมเวลาที่ทรงทาสงครามมา 16 ปี ด้วยพระปรีชา สามารถ และพระปรีชากล้าหาญ อันพึงเห็นได้จากการทาสงครามทุกคร้ังของพระองค์ จนประเทศไทยมี อาณาเขตแผ่ไพศาล รุ่งเรืองเดชานุภาพ คนทั้งหลายท้ังชาวไทยและต่างชาติ ต่างพากันยกย่องพระ เกยี รติยศของพระองค์วา่ วิเศษทั้งที่เปน็ นักรบ และที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน นับเปน็ มหาราชพระองคห์ น่ึง ที่ เคยปรากฎในโลกน้ี หนังสือพงศาวดารของชาติอื่น เช่น พม่า มอญ เขมร ลานช้าง และจดหมายเหตุ ของจีน และชาวตะวันตก บรรดาท่ีกล่าวถึงพงศาวดารของประเทศตะวันออกในสมัยนั้น ต่างก็ยกย่อง สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชว่าเปน็ วรี มหาราช สอดคลอ้ งต้องกัน พระเกยี รติยศเป็นทปี่ รากฎอยตู่ ราบเท่า ทกุ วนั นี้ และจะคงอยูต่ ลอดไปชวั่ กาลนาน 3.9. การค้าและความสมั พันธก์ ับตา่ งประเทศ (จีน สเปน ฮอลนั ดา) นบั ตั้งแต่รัชกาลสมเดจ็ พระนเรศวรเป็นต้นมาการค้าของอาณาจักรอยุธยาขยายตัวอย่างมากซ่ึง สอดคลอ้ งกับสถานการณ์การค้าภายนอกอาณาจักรดังที่กล่าวไวว้ ่าในครสิ ต์ศตวรรษที่ 17 เป็นยุคสมัยแห่ง การค้าทาให้สมเด็จพระนเรศวรมองเห็นประโยชน์ท่ีจะทรงได้รับและในสมัยของพระองค์นี้เป็นจุดเร่ิมต้น ของยุคแห่งการค้าของอาณาจักรอยุธยาด้วยเช่นกันซึ่งส่งผลให้พระมหากษัตริย์พระองค์อ่ืนจงมองเห็น ประโยชน์ที่จะได้รับจากการค้ากับต่างชาติท่ีจะนามาสร้างเสริมบารมีของความเป็นประสาทตลอดจน บรรดาข้าราชบริพารขุนนางสามัญชนก็น่าจะตระหนักถึงความสาคัญและประโยช น์ของการค้าต่างชาติได้ ไม่มากก็น้อย การท่ีจะพบว่ามีการปะทะสังสรรค์กันในรูปแบบต่างๆ ระหว่างกลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มท่ีเป็นคน อยธุ ยาคนต่างชาติ ภายหลังจากกรุงศรอี ยุธยาไดร้ ับอิสรภาพโดยพระปรชี าสามารถของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงฟื้นฟูอาณาจักรอยุธยาในทุกๆ ด้าน หนึ่งในน้ันคือด้านเศรษฐกิจ การค้าของประเทศซึ่งจะ พบว่ามีความสอดคลอ้ งกับลกั ษณะทางการเมืองท่ีพระองค์ทรงพยามที่จะขยายอาณาเขตตลอดจนรวบรวม ดินแดนท่ีเคยเป็นปรเทศราชของอาณาจักรอยุธยามาก่อน อย่างน้อยท่ีสุดเพ่ือจะรวบรวม ทรัพยากรธรรมชาติ สินค้าของป่า กล่าวคือ พระองค์ทรงได้เมืองเชียงใหม่ ภายหลังการชนะพระมหา

80 อุปราชแห่งอาณาจักรพม่า (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศและฉบับพระจักรพรรดิ พงศ์, 2507, น. 210) เมืองตะนาวศรีในปี ค.ศ. 1593 เมืองปัตตานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ก็เข้า มาสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ในปีเดียวกัน (George Vial Smith, 1977, p. 109) นอกจากน้ียังมีเมืองกัมพูชา จาปา เมืองหาง ลา้ นชา้ ง ลาว กะเหรย่ี ง(กรมศลิ ปากร, 2546, น. 228) ก็ตกเป็นประเทศราชของอาณาจักร อยธุ ยาดว้ ย เช่นกนั น้ี อย่างไรก็ดีจานวนประชากรทมี่ อี ย่ใู นพระนครศรีอยุธยามเี ปน็ จานวนนอ้ ย มีเพียงสตรี และเด็กเป็นส่วนใหญ่ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2532, น. 40) ภาวะการค้าในระยะน้ีจึงน่าที่จะเพิ่งเริ่มต้น เนื่องจากยังขาดแคลนแรงงานในการรวบรวมทรัพยากรหรือสินค้าของป่า และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ การค้าของอาณาจักรเติบโตข้ึนพระองค์ทรงเริ่มฟื้นฟูการค้ากับนานาชาติอีกด้วย (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2532, น. 62 – 63 ) โดยการส่งพระราชสาส์นไปยังข้าหลวงใหญ่สเปนท่ีกรุงมะนิลา ในปี ค.ศ.1598 เพื่อ ชักชวนให้เข้ามาทาการค้าขายกับอาณาจักรอยุธยา พร้อมทั้งว่าจะเปิดเป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งที่ พระนครศรีอยุธยาพร้อมทั้งยกเวน้ ภาษาอีกด้วย ในที่สุดสเปนก็สง่ นาย Joan Tello de Aguirre มาติดต่อ ค้าขายกบั พระนครศรีอยธุ ยา (ธีรวตั ณ ป้อมเพชร, 2533, น. 31) รวมไปถึงเร่ิมปรากฏบทบาทของชาวญ่ีปุ่นในท่าเรือนานาชาติพระนครศรีอยุธยา เพราะปรากฏ ว่ามีหลกั ฐานเป็นใบเบกิ ร่อง (คอื ใบอนญุ าตให้ทาคา้ ขายได้) ทร่ี ฐั บาลญี่ป่นุ ใหแ้ กช่ าวญ่ปี ่นุ ทอ่ี าศัยในดินแดน สยาม (อชิ อิ ิ โยเนะโอะและโยชกิ าวะ โทชิฮารุ, 2542, น. 99) นอกจากนย้ี งั มีความพยามฟ้ืนฟูระบบการค้า บรรณาการกับจีน และดาเนินการค้ากบั ประเทศฝ่ังตะวนั ตก ดังเชน่ 1. การค้ากบั สเปน จดหมายเหตุของชาวตะวนั ตกน้ันมีเอกสารที่เขยี นข้นึ ในรัชกาลสมเดจ็ พระนเรศวรฯเองและท่ี เขียนขึ้นในภายหลัง แต่เล่าถึงเหตุการณ์ในรัชกาลของพระองค์ เอกสารภาษาตะวันตกที่สาคัญท่ีสุดในแง่ ของการให้ข้อเท็จจริงเก่ียวกับรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้แก่เอกสารของชาวสเปนและชาวฮอลันดา ชนสองชาติน้ีเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยเป็นคร้ังแรกในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรฯ โดยชาวสเปนจาก มะนิลาเข้ามาติดต่ออย่างเป็นทางการเป็นคร้ังแรกใน พ.ศ. 2141 (ค.ศ. 1598) ส่วนชาวฮอลันดานั้นเขา้ มา เป็นครง้ั แรกในพ.ศ. 2147 (ค.ศ.1604) ในช่วงปลายรัชกาล เอกสารชีวประวัติ Jacques de Coutreเป็นหลักฐานที่สาคัญมากสาหรับประวัติศาสตร์ อยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรฯเพราะ de Coutreเขียนในฐานะเป็น “eye witness” ในส่วนท่ีเกี่ยวข้อง กับอยุธยา เอกสารฉบับนี้ได้แก่เรื่อง ชีวประวัติ Jacques de Coutreซ่ึงเป็นเอกสารภาษาสเปน แต่เขียน โดยชาวเฟลมิช Jacques de Coutreเป็นชาวเมือง Bruges เดินทางมาเอเชียกับพวกโปรตุเกสในฐานะ ทหารรับจ้าง และภายหลังมีอาชีพค้าเพชรพลอยอัญมณี Jacques de Coutreใช้ชีวิตอยู่ในเอเชียเป็น เวลานาน และได้เดินทางมาท่ีกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรฯ ประมาณปี พ.ศ. 2139 (ค.ศ. 1596) เป็นหลักฐานท่ีสาคัญมากสาหรับประวัติศาสตร์อยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ จะเห็นได้ชัดว่า เอกสารเช่น CortVerhaalหรือ พระราชพงศาวดารฉบับวันวลิต มีทั้งข้อความเกี่ยวกับการสงครามและ ขอ้ ความท่ีเล่าว่า ในรัชกาลสมเดจ็ พระนเรศวรฯ มชี าวต่างชาติมาติดต่อพระองค์มาก เพราะพระองค์ “ทรง นิยมชาวต่างชาติ”ภาษาสเปนก็มีเรื่องราวเก่ียวกับการติดต่อทางการทูตและการค้าระหว่างมะนิลากับกรงุ

81 ศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ อาจสรุปได้ว่าแม้ว่าไทยรบกับรัฐเพ่ือนบ้านอยู่เกือบตลอดรัชกาล นี้ แต่ทางราชสานักไทยก็ยังคงพยายามติดต่อกับต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมพระบารมีและเพื่อหารายได้เขา้ พระคลงั และการทมี่ ีความสมั พันธ์กับสเปนและฮอลนั ดากเ็ ป็นผลพลอยได้ที่ทาให้มีหลักฐานประวัตศิ าสตร์ เพิม่ ข้ึนจาการท่ชี าวตะวนั ตกได้จดบันทกึ ไว้เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเกยี รติยศเกริกไกรพระองค์น้ี (เณรชั ฌา ศกั ด์ศิ ริ ิสมั พนั ธ์, 2555) หลกั ฐานเกย่ี วกับเมืองไทยในเอกสารภาษาสเปนนั้น แปลเปน็ ภาษาอังกฤษแล้วในหนงั สือชุด The Philippinne Islands 1493 – 1898 ของ Emma Helen Blair และ J.A. Robertson ซ่ึงตีพิมพ์ท่ี เมอื ง Cleveland, Ohio ระหว่างปี ค.ศ. 1903 – 1909 เอกสารสเปนทม่ี ีข้อความเก่ียวกับกรุงศรีอยุธยา ท้ังหลายน้ี จันทร์ฉาย ภัคอธิคมแปลเป็นภาษาไทยแล้วในหนังสือเรื่อง กรุงศรีอยุธยาในเอกสารหลักฐาน สเปน (สมาคมประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ 2532) เอกสารในหนังสือของ Blair และ Robertson มีอยู่หลาย ประเภทด้วยกนั มีทงั้ พระราชสาสน์ จดหมาย บนั ทึก และรายงานเอกสารบางฉบับเขียนข้นึ โดยข้าราชการ และบางฉบบั เปน็ เรื่องราวซึ่งบาทหลวงได้บันทึกไว้ในสมัยทีเ่ ริม่ ตดิ ต่อกับไทย สเปนไดต้ ัง้ ฐานทัพและอาณา นิคมไว้ ณ กรุงมะนิลาในหมเู่ กาะฟลิ ิปปินส์ หลายสิบปกี ่อนหนา้ ทสี่ เปนจะเข้ามาติดต่อกบั ไทยนน้ั โปรตเุ กส ได้เร่ิมสร้างสัมพันธภาพทางการทูตและการค้ากับราชอาณาจักรสยามไว้แล้ว แต่ในช่วง พ.ศ. 2123 – 2183 (ค.ศ. 1580 – 1640) กษัตริย์แห่งสเปน เริ่มด้วยพระเจ้า Philip ที่ 2 ได้ผนวกโปรตุเกสเข้าไว้ใน อาณาจักรสเปน จงึ เป็นธรรมดาทส่ี เปนพยายามเผยแผ่ศาสนาและติดต่อคา้ ขายกับดนิ แดนวึ่งชาวโปรตุเกส เคยตดิ ตอ่ ด้วยเป็นประจาเชน่ อาณาจักรอยธุ ยา เปน็ ต้น เม่ือ พ.ศ. 2141 (ค.ศ. 1598) ข้าหลวงใหญ่สเปนท่ีกรุงมะนิลา Don Francisco Tello ได้ส่ง นาย Juan Tello de Aguirre มาตดิ ต่อคา้ ขายกับกรุงศรอี ยธุ ยา ทัง้ นเี้ น่ืองจากสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ทรง ส่งพระราชสาส์นไปถึงข้าหลวงใหญ่แห่งกรุงมะนิลา แสดงความสนพระทัยที่จะค้าขายกับสเปน ในกรณีนี้ ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายริเริ่มการติดต่อกับสเปน ดังรายละเอียดในจดหมายจาก Don Francisco Tello ถวาย พระเจ้า Philip ท่ี 3 : (จนั ทร์ฉาย ภัคอธคิ ม, 2532, น. 62 - 63) …ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชสาส์นจากพระเจ้ากรุงสยาม...ในพระราชสาส์น น้ัน พระเจ้ากรุงสยามทรงประสงค์การพาณิชย์และการค้ากับหมู่เกาะน้ี (หมู่เกาะ ฟิลิปปินส์) ...โดยที่ได้เห็นว่า พระมหากษัตริย์องค์นี้โปรดเช่นนั้น ปีท่ีแล้วพ.ศ. 2141 (ค.ศ. 1598) ขา้ พระพทุ ธเจ้าได้แต่งกัปตัน Juan Tello พร้อมคณะทตู ไปเข้าเฝา้ พระเจ้า กรุงสยามเป็นการตอบพระราชสาส์น โดยได้กล่าวถึงความนิยมชมชื่นอย่างใหญ่หลวง สาหรบั พระราชไมตรีทที่ รงแสดงต่อข้าพระพุทธเจ้า และความนยิ มชมชื่นสาหรับพระราช ปรารถนาที่จะให้ชาวสเปนค้าขายในราชอาณาจักร... กัปตันJuan Telloได้ออกเดินทาง ไปสยามและเม่ือปฏิบัติการทูตสมบูรณ์แล้ว เขาได้ทาข้อตกลงด้วยว่า (สยาม) ควรเปิด

82 เมืองท่าเมืองหนึ่งสาหรับการค้าเพื่อให้ชาวสเปนสามารถไปเมืองนั้นได้และต้ังหลักแหล่ง ไดโ้ ดยอสิ ระ และได้รับการยกเว้นจากภาษีทัง้ ปวง จดหมายของดอน ฟรานซิสโก เตโย (Don Francisco Tello) น้ีแสดงให้เห็นว่าผลจากการ ตดิ ต่อกับสเปนคร้ังนีไ้ ทยได้ทาข้อตกลงกบั สเปน 3 ขอ้ คอื 1. เปดิ เมืองท่าสาหรบั การคา้ ใหช้ าวสเปน 2. เปดิ โอกาสใหช้ าวสเปนเขา้ มาต้งั หลกั แหล่งในไทยได้ 3. ยกเว้นภาษใี ห้แกพ่ ่อคา้ สเปน การทาข้อตกลงคร้ังนี้นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นสนธิสัญญาฉบับท่ีสองท่ีไทยตกลงเซ็นกับ ประเทศตะวันตก โดยฉบับแรกได้แก่สนธิสญั ญาที่เซ็นกับโปรตุเกสในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 2 (ธีร วัต ณ ปอ้ มเพชร, 2533, น. 31) เพื่อใหค้ วามสัมพันธ์ระหวา่ งสเปนกับไทยเออ้ื ประโยชนต์ อ่ สเปนในหลายๆ ทาง Don Francisco Tello ได้ส่งคณะทูตคณะท่ีสองมาถึงกรุงศรีอยุธยา โดยประสงค์ท่ีจะขออนุญาต สมเดจ็ พระนเรศวรฯ สง่ บาทหลวงคณะ Dominican มาเผยแพร่ครสิ ตศ์ าสนาในเมืองไทย หวั หน้าคณะทูต คณะที่สองนี้ชื่อว่า Juan de Mendoza Gamboaเอกสารเร่ือง Sucesos de las Islas Filipinas (“เร่ือง เหตุการณ์ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์”) ของ Antonio de Morgaซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในเม็กวิโกเมื่อ พ.ศ. 2152 (ค.ศ. 1609) ได้ระบุไว้วา่ นาย Mendoza ล้มเหลวในการตดิ ตอ่ กบั ราชสานักสมเด็จพระนเรศวรฯ เนอ่ื งจาก ขัดแย้งกับข้าราชการไทยเก่ียวกับเรื่องของขวัญท่ีนามาให้กับฝ่ายไทย ทางฝ่ายราชสานักไทยต้องการ ของขวัญที่ดีกว่าของขวัญที่ได้รับจากคณะทูตสเปน สมเด็จพระนเรศวรฯทรงประสงค์ที่จะยึดปืนใหญ่ของ พวกสเปน นาย Mendozaจึงเห็นจาเป็นท่ีจะต้องโยนปืนใหญ่เหล่าน้ันลงไปในแม่น้าเจ้าพระยาเพ่ือไม่ให้ ปืนตกเปน็ ของไทยเสยี การเจรจาทางการทูตระหว่าง Mendoza กับราชสานกั ไทยไมป่ ระสบผลสาเร็จมาก นัก ทางฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงผิดหวังในการค้ากับสเปน ซึ่งมิได้นากาไรรายได้มาสู่พระคลัง เท่าท่ีควร จึงไม่ทรงตอบสาส์นของข้าหลวงใหญ่กรุงมะนิลา ส่วนนายMendoza นั้นพยายามออกไปจาก เมืองไทยโดยมิได้รับตราอนุญาตจากกรมพระคลัง (โกษาธิบดี) นอกจากนั้นแล้วเขายังกลับมางมปืนท่ีจมไว้ ใต้น้ากลับขึ้นสู่เรือของเขา และมารับตัวชาวสเปนกับชาวโปรตุเกส ซ่ึงประสงค์จะออกนอกประเทศไป พร้อมกบั เขา การกระทา เหล่านี้ทาให้สมเดจ็ พระนเรศวรฯ ทรงดาเนินการอยา่ งเด็ดขาด ทรงส่งทหารพร้อมเรือไล่ตาม เรือของ Mendoza มีการรบพุ่งกันในแม่น้า ทหารท้ังสองฝ่ายล้มตายไปหลายคน ในที่สุดเรือสเปนก็ หลบหนีไปได้ แต่นาย Mendoza เองน้ันบาดเจ็บถึงตาย หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร อยุธยากับสเปนก็ไดห้ ยดุ ชะงกั ไปชวั่ คราว สมเด็จพระนเรศวรฯทรงตระหนักถึงความสาคัญของการค้านานาชาติ โดยเฉพาะการค้าทาง ทะเลเพ่ือช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจอยุธยา ซ่ึงได้รับความเสียหายพอสมควรจากสงครามต่างๆในสมัยน้ัน นอกจากนั้นยงั ทรงตอ้ งการสินค้าฟ่มุ เฟอื ยจากการค้ากบั กรงุ มะนิลา พ.ศ. 2137 (ตัง้ แตป่ ี ค.ศ. 1594)

83 จดหมายเหตุของDr. Antonio de Morga และหลกั ฐานสเปนฉบับอืน่ ๆกล่าวถงึ เหตกุ ารณ์ใน เขมร (เมืองละแวก) ไว้มาก เน่ืองจากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 16 ชาวสเปนได้เข้าไปมีบทบาทใน เหตุการณ์ทางการเมืองภายในของเขมร สเปนพยายามเข้ามามีบทบาทในช่วงท่ีเขมรต้องรบกับไทย และ นอกจากน้ันแล้ว เจ้านายเขมรก็แย่งชิงอานาจกันเองอยู่ตลอดเวลา ความสัมพันธ์สามเส้าระหว่าง ไทย เขมรและสเปน เอกสารภาษาสเปนหลายฉบับเน้นเหตุการณ์ในเขมรสมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่16 โดยเฉพาะอย่างย่ิง “นกั ผจญภยั ” สองราย อันได้แก่ Blas Ruiz และ DiogoVeloso (Belloso) ได้เขา้ ไปมี บทบาทสาคญั ในการเมืองและการต่างประเทศของเขมร สมเด็จพระนเรศวรฯ ไดท้ รงกรธี าทัพไปตเี มืองละแวกแตกในพ.ศ. 2137 (ค.ศ. 1594 ) ทาให้ นักพระสัฏฐา กษัตริย์เขมร พยายามขอความช่วยเหลือจากสเปน ข้าหลวงใหญ่ของสเปน ณ กรุงมะนิลา ตดั สนิ ใจส่งกองทัพมาช่วยเหลอื นกั พระสฏั ฐาในตน้ ปี พ.ศ. 2138 (ค.ศ. 1536) ท้งั ๆ ที่ชาวสเปนหลายคนที่ กรุงมะนิลาไม่เห็นด้วยกับเขา คนจานวนหนึ่งเกรงว่าสเปนจะต้องกลายเป็นศัตรูของกรุงศรีอยุธยาไปโดยท่ี ไมจ่ าเป็น เพราะสมเดจ็ พระนเรศวรฯเพงิ่ ส่งพระราชสาส์นมายังกรุงมะนิลาและทรงเชอ้ื เชิญใหช้ าวสเปนไป ค้าขายในประเทศสยาม ในท่ีสุดกองทัพสเปนในบังคับบัญชาของ Juan JúrezGallinatoก็ประสบปัญหา มากมาย และประสบความล้มเหลวเน่ืองจากสถานการณ์ในเขมรเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง แม้ว่าจะมีปัญหามากมายในเขมรในช่วง พ.ศ. 2137 – 2139 (ค.ศ. 1594 – 1596) และแม้ว่านักแสวงโชค ชาวสเปนและโปรตุเกสจะเข้าไปมีบทบาทโดยมรี ัฐบาลกรงุ มะนิลาหนนุ หลังอยู่ ทางฝา่ ยสมเด็จพระนเรศวร ก็ยังทรงติดต่อกับข้าหลวงใหญ่แห่งกรุงมะนิลาต่อไป ในบรรดาเอกสารสเปนยังคงมีสาเนาพระราชสาส์น (ฉบับแปล) หลงเหลืออยู่ฉบับหน่ึงเป็นเอกสารซึ่งเขียนขึ้นเมื่อราวๆ พ.ศ.2141 – 2142 (ค.ศ. 1598 - 1599) ในพระราชสาส์นฉบับนี้สมเด็จพระนเรศวรฯทรงแสดงความพึงพระทัยท่ีทางกรุงมะนิลาส่งคณะทูต มาเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอยุธยา พระองค์มิได้ทรงเอ่ยถึงเขมร แสดงว่าทรงเน้นแต่เรือ่ งมิตรภาพ และการค้าขายกอ่ นหนา้ ท่ีจะเผชญิ ปญั หาคณะทตู Mendoza จึงสรุปได้ว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับสเปนในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ดาเนินไป ดว้ ยมติ รภาพบ้าง ความเข้าใจผดิ บ้าง และมกี ารขัดผลประโยชน์กันบ้าง เพราะสเปนมุง่ หวงั อยู่ตลอดเวลาที่ จะขยายอิทธิพลมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพ้ืนทวีป ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงพยายาม ควบคมุ เขมรใหเ้ ปน็ เมืองประเทศราชของกรงุ ศรีอยุธยา (เณรัชฌา ศักดศิ์ ิริสัมพนั ธ์, 2555) 2. การคา้ กบั ฮอลนั ดา เนื่องจากบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (VereenigdeOost IndischeCompagnie หรือเรียกย่อๆว่า VOC) ได้เริ่มเปิดสานักงานการค้าข้ึนท่ีกรุงศรีอยุธยา เม่ือ พ.ศ. 2141 (ค.ศ. 1608) ใน รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ เอกสารร่วมสมัยที่มีข้อความเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาในรัชกาสมเด็จพระ นเรศวรฯ จึงไม่มีหลงเหลืออยู่เลยในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ณ กรุงเฮก (AlgemeenRijksarchief, Den Haag) แต่มีเฉพาะเอกสารของสานักงาน VOC ในสยามเขียนขึ้นหลังปี พ.ศ. 2141 (ค.ศ. 1608) แล้ว เทา่ นั้น

84 ในตอนแรก บริษัท VOC เข้ามาในเมืองไทยโดยหวงั ที่จะอาศัยเรอื สาเภาหลวงของราชสานัก สยามไปค้าขายท่ีเมืองจีน ท้ังนี้เพราะ Wijbrand van Warwijckได้ทราบจากราชทูตไทยซ่ึงมาแวะที่ ปตั ตานีว่าพระเจา้ กรุงสยามสง่ เรือสาเภาไปเมืองจีนเปน็ ประจา และชาวฮอลนั ดาอาจอาศยั เรือสาเภาหลวง ไปได้ VOC ต้องการหาลู่ทางไปค้าขายท่ีเมืองจีนโดยตรง van Warwijck จึงส่งผู้แทนของบริษัทไปยังกรุง ศรีอยุธยาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2137 (ค.ศ. 1604) พ่อค้าฮอลันดากลุ่มแรกท่ีมาเมืองไทย มี Lambert Jacobsz. Heijnและ CornelisSpecxเป็นผู้นา พวกเขาได้นาปืนใหญ่ 2 กระบอก เป็นเคร่ืองบรรณาการ ถวายสมเด็จพระนเรศวรฯพร้อมสารคากราบบังคมทูลของ van Warwijck ซึ่งอธิบายถึงเหตุผลท่ีบริษัท VOC เข้ามาติดต่อราชสานัก สินค้าท่ีVOCนาเข้ามาคร้ังแรกน้ีมีมูลค่า 4,000 กิลเดอร์สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงให้รับรอง Heijnและ Specx เป็นอย่างดี แต่ความฝันของพ่อค้า VOC ท่ีจะอาศัยเรือสาเภาหลวงไป ค้าขายที่เมืองจีนต้องสลายไป เมื่อสมเด็จพระนเรศวรฯ เสด็จไปการศึกท่ีพม่าและเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2148 (ค.ศ.1605) ทาให้ราชสานักไทยต้องผัดผ่อนการส่งสาเภาหลวงไปเมืองจีน อย่างไรก็ตาม VOC ก็ยัง สนใจท่ีจะค้าขายในเมืองไทยต่อไป เพราะกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าของป่า ข้าว สินค้าจีน และ อืน่ ๆ ซง่ึ สามารถเปน็ ประโยชนต์ อ่ การค้าของบรษิ ัทภายในภมู ภิ าคเอเชยี ข้อความที่เก่ียวกับสมเด็จพระนเรศวรฯ ใน CortVerhaalหรือ “พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวนั วลิต” นมี้ ีอยู่ 3 ลกั ษณะด้วยกนั ดังตอ่ ไปนี้ 1.พรรณนาเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรฯ ว่า ทรงเป็นนักรบท่ีเก่งกาจ เป็น “วีรบุรุษนักรบ” (“eenstrijtbaerhelt”) ทรงรบชนะข้าศึกหลายครง้ั และในหลายแดน ทรงทาสงครามอยเู่ กือบรัชกาล van Vlietอ้างว่า “ทรงครองราชย์อยู่เป็นเวลา 20 ปี แต่ทรงพานักอยู่ในกรุงศรีอยธุ ยาไม่เกินกว่า 2 ปี เท่าน้นั ” หมายความว่าอีก 18 ปนี ั้น พระองคท์ รงออกศึกอยนู่ อกอยธุ ยาตลอดเวลา 2. เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระนเรศวรฯ ในเชิงนิทานหรือเกร็ด อาทิเช่น เร่ืองที่เย็น วันหน่งึ ขณะที่พระองค์ล่องเรือไปตามแมน่ ้า ปรากฏว่ามพี ายฝุ นหนัก ก็ไม่สามารถเสด็จกลับวังได้ พระองค์ ทรงเสด็จไปหลบฝนท่ีบ้านของหญิงชราผู้หนึ่งซ่ึงยากจน แต่ก็เลี้ยงดูและรับรองพระองค์อย่างดี โดยที่ไม่ ทราบวา่ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ แต่เมอื่ ทรงขอดื่มเหล้า หญงิ ชรากก็ ลวั มากว่าจะเป็นการละเมดิ กฎหมาย เนอ่ื งจากช่วงนน้ั เปน็ ระยะเข้าพรรษา ในทส่ี ุดกย็ อมเอาสรุ าออกมาให้พระองค์ทรงดืม่ หลังจากน้ันกไ็ ด้เสด็จ กลับพระราชวัง ต่อมาอีกวันหน่ึง มีเรือมาจากพระราชวังหลวงมารับหญิงชราผู้น้ีไปเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระ นเรศวรฯ หญิงชรารู้สึกกลัวมาก เพราะสานึกว่าตนได้กระทาผิดในการนาสุราออกมาให้คนดื่มในช่วง เข้าพรรษา แต่ท่ีจริงแล้วสมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงประสงค์เพียงแต่จะยกย่องและเล้ียงดูหญิงชราคนน้ี เหมือนเป็นพระมารดา เกร็ด หรือ “นิทาน” เร่ืองนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนไทยในสมัยอยุธยาเพียงไม่กี่ปี หลังจากท่ีสมเด็จพระนเรศวรฯเสด็จสวรรคตก็เร่ิมยกย่องพระองค์เสมือนเป็น “folk hero” หรือพระเอก ในนิทานพน้ื บ้าน 3. การเน้นเรื่องความเข้มงวดรุนแรงในการปกครอง van Vilietอ้างว่ามีหลักฐาน (รวมท้ัง หลักฐานของผู้ท่ีเห็นเหตุการณ์ต่างๆด้วยตนเอง) ซ่ึงกล่าวว่า ในระหว่างท่ีทรงครองราชย์การปกครองของ

85 พระองค์เป็นที่เข้มงวดท่ีสุดในประวัติศาสตร์สยาม : “Is den strijtbaerstenendegestrengsten in regeringegeweest die in Siam bekent is.” แม้แต่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยาของไทยก็ได้ระบุไว้เช่นเดียวกัน หากพิจารณาบรบิ ททาง ประวัติศาสตร์จะเห็นว่ารัชกาลสมเด็จพระนเรศวรฯ เป็นช่วงเวลาอันวิกฤตสาหรับอาณาจักรอยุธยา ไทย ตอ้ งทาสงครามกบั รฐั เพื่อนบา้ นเปน็ ประจา จึงเปน็ เรอ่ื งธรรมดาท่สี มเดจ็ พระนเรศวรฯ อาจทรงใชม้ าตรการ ทรี่ ุนแรงเปน็ พเิ ศษในการปกครองพระราชอาณาจกั ร 4. อันท่ีจริงvan Viliet มิได้พยายามเจาะจงโจมตีสมเด็จพระนเรศวรฯ ข้อความใน CortVerhaalได้สรุปไว้ว่าบ้านเมือง “เจริญรุ่งเรือง” ในรัชกาลของพระองค์คงจะเป็นเพราะ “พระนเรศ ราชาธิราชทรงเปน็ วีรบุรษุ นักรบ” อกี ทั้ง พงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยาฉบับวันวลิต พ.ศ. 2182 ยงั ไดแ้ สดงให้เหน็ ความสัมพนั ธ์รหว่าง สมเด็จพระนเรศวรกับชาวต่างชาติ โดย วัน วลิต กล่าวว่าสมเด็จพระนเรศวร “ทรงนิยมชาวต่างประเทศ” โดยเฉพาะชาวฮอลนั ดา ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินสยามพระองคแ์ รกทส่ี ง่ คณะทูตและพระราชสาสน์ ไปถวาย พระเจ้ามอริส (Muaritius) ราชวงศ์ประเทศเนเธอร์แลนด์เม่ือไหร่ก็ตามที่พระองค์ให้คณะทูตต่างประเทศ เข้าเฝา้ พระองค์ไม่มีพระประสงค์จะให้เขาและทิ้งประเพณีประจาชาติและหันมาทาตามแบบชาวสยามโดย ตรสั ว่าพวกทา่ นเป็นผู้แทนที่พนี่ ้องของเราส่งมาดังนั้นเราจงึ ไม่ปรารถนาให้พวกคา่ เสยี งเกียรตยิ ศหรือแสดง ความเคารพเรามากกวา่ ที่ทา่ นไดใ้ ห้แก่พระเจ้าแผน่ ดนิ ของพวกทา่ น (วัน วลิต, 2548, น. 61) วัน วลิต (2548, น. 61) ยังได้กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพทางภาษาของสมเด็จพระนเรศวรว่า ด้วยการเจรจากบั ชาวตา่ งประเทศสมเด็จพระนเรศวรจะตรสั ถามคณะทูตว่ารภู้ าษาสนาม พะโค หรือ พม่า หรือไม่ถ้าหากรู้ก็ให้เจรจากับพระองค์ได้โดยตรงถ้าหากไม่รู้พระองค์ก็จะรับสั่งให้ขุนนางคนใดคนหน่ึงทา หน้าที่เป็นล่ามเพ่ือให้พระองค์ท่านสามารถเจรจากับคณะทูตได้ ความสามารถในการส่ือสารด้วย ภาษาต่างประเทศน้ีนับว่าเป็นคุณสมบัติอันสาคัญอย่างยิ่งของผู้ที่จะเป็นนักการทูตซ่ึงข้อมูลของวัน วลิต ตอนนไ้ี ด้ยนื ยนั ใหเ้ ห็นว่าสมเดจ็ พระนเรศวรทรงเป็นผูท้ ่ีมีความคุณสมบตั นิ ้ีอยเู่ ต็มศกั ยภาพ 3. การค้ากบั จนี จีนมีประเพณีการจดบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบมาเป็นเวลาช้านาน เอกสารโบราณที่เก่ยี วกับประวตั ิศาสตรจ์ ึงมีหลายรปู แบบ และมีเน้ือหาสาระครอบคลมุ เร่อื งราวต่างๆต้ังแต่ เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนเร่ืองการต่างประเทศ ดังน้ันเอกสารโบราณของจีนจึงได้จด บันทึกเก่ียวกับความสัมพันธ์กับไทยเป็นหลัก และเร่ืองราวในอดีตของประเทศไทยอยู่บ้างพอเป็นสังเขป เอกสารโบราณของจนี ทีจ่ ะใช้อา้ งอิงในบทความนีม้ ีอยู่ 3 ประเภท กล่าวคอื 1. เอกสารท่ีเรียกว่า เจิ้งสื่อ หรือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉบับหลวงซ่ึงเป็นเอกสารสาคัญท่ีสุด เพราะเป็นงานท่ีจักรพรรดิจีนของราชวงศ์ท่ีครองราชย์อยู่มีพระบรมราชโองการ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิต

86 ของพระองค์รวบรวมและเรียบเรียงเร่ืองราวเก่ียวกับราชวงศ์ท่ีเพิ่งหมดอานาจไป และยึดถือเป็นประเพณี ท่รี ชสานกั จนี ทุกราชวงศ์มีหนา้ ทีแ่ ละความรับผดิ ชอบ ที่ต้องกระทาซง่ึ ต่อเนื่องมาแต่สมัยราชวงศ์ถังเป้นต้น มา สาหรบั ประวัติศาสตร์ราชวงศฉ์ บบั หลวงที่จะใช้อา้ งองิ ในบทความนี้คือ ประวัตศิ าสตรร์ าชวงศห์ มิงฉบับ หลวง 2. เอกสารอีกประเภทหน่ึงได้แก่ สือลู่ หรือ จดหมายเหตุประจารัชกาล เอกสารน้ีก็เป็นงาน ที่จักรพรรดิจีนองค์ที่ครองราชย์อยู่มีพระราชโองการให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตรวบรวมเรียบเรียงเกี่ยวกับ รัชกาลท่ีเพิ่งจะส้ินสุดลง โดยอาศยหลักฐานราชการทุกชนิด รวมทั้งบันทึกราชกิจรายวันและบันทึกอนทุ ิน เอกสารนี้จะบันทึกแบบเรียงลาดับวันเดือนปี และมีรายละเอียดมาก สาหรับจดหมายเหตุประจารัชกาลที่ ใชอ้ ้างองิ คอื จดหมายเหตปุ ระจารชั กาลจักรพรรดเิ สินจงแห่งราชวงศห์ มิง 3. เอกสารประเภทสุดท้าย ได้แก่เอกสารโบราณเอกชน เอกสารประเภทน้ีเรียบเรียงโดย เอกชนเอกสารโบราณของจีนท่ีได้บันทึกเรื่องราวเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์หมิงกับกรุงศรี อยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีเรื่องที่สาคัญอยู่เรื่องหนึ่งคือ พันธมิตรทางการทหาร ระหว่างไทยกบั จนี การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยาของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชกับราชวงศ์หมิงคง ดาเนินไปตามปกติ ประวัติศาสตร์ราชงศ์หมิงฉบับหลวงในบรรพว่าด้วย “สยาม” บันทึกไว้ว่า (ประพฤทธ์ิ ศกุ ลรตั นเมธี, 2533, น. 51) ...ในระหว่างรัชศกหลงชิ่ง พ.ศ. 2110 – 21116 (ค.ศ.1567 – 1573) ประเทศ ตงหมานนิว(พม่าหรือตองอู) ซึ่งเป็นประเทศใกล้เคียงของประเทศน้ัน (หมายถึงเซียน หลอหรือสยาม) ได้สู่ขอพระราชธิดาแต่ได้รับการปฏิเสธ จึงมีความรู้สึกท้ังโกรธแค้นและ อบั อาย ครน้ั แลว้ กไ็ ด้ยกทัพใหญเ่ ข้าตปี ระเทศนนั้ ถึงเมืองแตก กษตั ริยส์ ยามไดท้ รงกระทา อัตวินบิ าตกรรมด้วยการผูกพระศอ กองทพั ตงหมานนิวได้จับตัวพระราชโอรสองคโ์ ตและ ยดึ เอาตราท่รี าชสานกั จนี พระราชทานใหไ้ ปด้วย พระราชโอรสองค์รองจึงได้สบื ราชสมบัติ และได้ถวายพระสุพรรณบัฎแก่จักรพรรดิจีน พร้อมท้ังขอพระราชท านตราด้วย จักรพรรดิจนี ไดพ้ ระราชทานให้นบั แตน่ นั้ เป็นตน้ มา (สยามประเทศ)กถ็ กุ ตงหมานหนิวเข้า ครอบงา กษัตริย์ผู้สืบราชสมบัติได้หมายมั่นจะแก้แค้นให้จงได้ ในระหว่างรัชศกว่านลี่ กองทัพข้าศึกได้ยกทัพเข้ามาอีก กษัตริย์ได้จัดกองทัพเข้ากระหน่าตีจนข้าศึกแตกพ่ายไป อย่างราบคาบ และได้ฆ่าพระราชโอรสของตงหมานหนิว ทหารท่ีเหลือก็แตกทัพหลบหนี ไปในความมดื ตอนกลางคืน ต่อจากนั้นก็เคล่ือนย้ายกองทัพไปตีเจินลา่ (กมั พชู า) จนแตก พ่าย และกษัตริย์ประเทศนั้นได้ยอมจานนอีกด้วย ตั้งแต่นั้นมาก็ทาศึกสงครามุกปี จน สามารถดารงความเปน็ ใหญ่เหนอื ประเทศทั้งหลาย

87 ...เม่ือปีที่ 6 แห่งรัชศกว่านลี่ (พ.ศ.2121 /ค.ศ. 1578) สยามได้ส่งราชทูตมา ถวายเครื่องราชบรรณาการ ปีท่ี 20 (พ.ศ.2135 /ค.ศ. 1592)ญี่ปุ่นได้เข้ามาตีเกาหลีจน เมืองแตก เพื่อมุ่งหมายกดดันญ่ีปุ่นแนวหลัง สือชิงซ่ึงเป็นเสนาบดีในส่วนกลางเห็นพ้อง ด้วย แต่เซียวเอ้ียนซ่งึ เป็นผบู้ งั คับบญั ชาทหารกวางตุ้งกว่างซคี ดั คา้ น เรอ่ื งน้ีจงึ ยุตแิ ค่น้ี ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงฉบับหลวง บรรพ 227 เรื่องประวัติเซียวเอี้ยนได้บันทึกในเร่ือง เดียวกนั น้ีวา่ (ประพฤทธิ์ ศุกลรตั นเมธี, 2533, น. 54) ...ครั้งน้ันญี่ปุ่นเข้าย่ายีเกาหลี ในโอกาสเดียวกันน้ัน สยามได้เข้าถวายเครื่อง บรรณาการ ราชทูตแห่งประเทศนี้ขออาสาส่งกองทัพเข้าช่วยทาศึกสงคราม สือชิง เสนาบดีจึงให้ยกทัพไปโจมตีญ่ีปุ่นได้ แต่เอ้ียนเห็นว่าสยามต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกอันไกล โพ้นหา่ งจากญ่ีปุ่นเป้นระยะทางถึงหมืน่ ล้ี จะสามารถบนิ ข้ามทะเลอันกวา้ งใหญ่ไพศาลได้ หรือ จึงขอยุติข้อเสนอน้ีเสีย แต่สือชิงไม่เห็นพ้องด้วย คงยืนยันยึดม่ันในความเห็นเดิม อย่างไรกต็ าม ในทส่ี ุดกองทพั สยามกม็ ไิ ดย้ กออกไปแต่อย่างใด ความสัมพันธ์ระหว่างราชสานักจีนกับกรุงศรีอยุธยาของสมเด็จพระนเรศวรฯตามท่ีได้กล่าว ในเร่ืองพันธมิตรทางการทหารคร้ังแรกเป็นการติดต่อทางทะเล แต่ทางบกท้ังสองประเทศก็มีความสัมพนั ธ์ กันอย่างใกล้ชิดแนบแน่น เอกสารที่กล่าวถึงเป็นเอกสารภาคเอกชน อาทิ ในหนังสือ เหมียนเลี่ยแต่งโดย เปาเจ้ียนเจ๋ีย ซ่ึงอ้างจากหนังสือประมวลเอกสารข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของยูนนานรวบรวมโดยหวางชง มดี งั น้ี (ประพฤทธ์ิ ศุกลรัตนเมธี, 2533, น. 55) ...เม่ือเดือน 12 ปีท่ี 21 (พ.ศ. 2136 /ค.ศ. 1593) แห่งรัชศกว่านล่ี ฯลฯ เมื่อ เดือนดังกล่าวเฉินย่งปิน ได้ก่อสร้างป้อมปราการ และดาเนินการปลูกข้าวโดยทหารและ วา่ จ้างชาวบ้าน ท้ังน้ีเพือ่ เปน็ กาลังต่อต้านพมา่ ทางพมา่ ร้ดู ีว่าปอ้ มปราการดงั กล่าวจะเป็น อุปสรรคแก่ฝ่ายตนในการทาสงคราม จึงได้พยายามต่อต้านขัดขวางอยู่หลายคร้ังหลาย หน เฉินย่งปินผู้ตรวจราชการได้จัดส่งหวงกงซึ่งเป็นชาวฮกเก๊ียนเป็นทูตไปสยามโดยนา สาส์นไปด้วย ท้ังน้ีได้มุ่งหมายให้ไปเจรจากับสยาม ร่วมมือกับเต๋อเลิงตีกระหนาบพม่าท้ัง จากภายนอกและภายใน ฯลฯ หลังจากนัน้ หวงกงซ่ึงเป็นทตู ที่ยง่ ปินส่งไปไดเ้ ดนิ ทางไปถึง สยาม ทางสยามได้นดั หมายกบั หวงกง แลว้ ก็ยกทัพเขา้ ตีเอาพะโคและทาใหเ้ ปน็ เมืองร้าง หลังจากนั้นพม่าก็ถูกสยามและเต๋อเลิงรุกตีบ่อยครั้ง กองทัพต้องเหนื่อยยากจากการ เดินทัพทางไกลไปมาอยู่ตลอดเวลา จึงมไิ ดเ้ ขา้ มากอ่ กวนจนี อกี ต่อไป

88 ในหนังสือ เตียนซีซ่ือเลี้ย แต่งโดยซือฝ่านอ้างจากหนังสือประมวลเอกสารข้อมูลทาง ประวตั ศิ าสตรข์ องยนู นาน โดยหวางชง มวี า่ (ประพฤทธิ์ ศุกลรตั นเมธี, 2533, น. 55) ...เม่ือปีท่ี 22 (พ.ศ. 2137 /ค.ศ. 1594) แห่งรัชศกว่านล่ีจับได้ตัวเอียนกับบุตร แล้วประหารชีวิตเสียท้ังหมด ย่งปินยังได้ส่งสาส์นถึงสยามขอให้ร่วมโจมตีพม่า พม่าจึง ต้องเหนื่อยยากจากการเดินทัพทางไกลไปมาอยู่ตลอดเวลา จากนั้นการก่อกวนรุกราน ทางชายแดน จึงไดย้ ตุ ิไประยะหนง่ึ นอกจากน้ีในหนังสือ ประมวลเร่อื งท้องถนิ่ ของเถิงเอี้ยโจวฉบับรชั กาลเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ ชงิ บรรพ 8 ประวัติเฉินยง่ ปนิ อา้ งจากหนังสือข้อมูลสังเชปทางเอกสารประวัติศาสตร์ของยนู นานโยฟางก๋ัว อี๋ หนา้ 308 มีวา่ (ประพฤทธิ์ ศกุ ลรตั นเมธี, 2533, น. 55) ...เม่ือปีท่ี 23 (พ.ศ. 2138 /ค.ศ. 1595) แห่งรัชศกกว่านล่ีจัดสร้างป้อมปราการ 8 แห่งท่ีเถิงชง แต่งต้ังผู้รักษาการป้อมปราการท่ีหมานฮาและหล่งปา โดยจัดกาลังทหาร รักษาไว้ด้วย จัดหาคนไปสยามเพ่ือนัดหมายกันให้ตีกระหนาบหน่า พร้อมกันนั้นได้ จัดสร้างปอ้ มปราการทเ่ี มอื งมาว และตง้ั ชือ่ วา่ เมอื งผิงลู่ จากเอกสารโบราณทางประวตั ศิ าสตร์ของจีนดงั กลา่ วมีข้อที่น่าพิจารณาว่า กรุงศรอี ยุธยาของ สมเด็จพระนเรศวรฯกับจีนในปลายรัชสมัยแห่งราชวงศ์หมิง ได้เป็นพันธมิตรทางทหารกัน การเป็น พันธมิตรทางทหารได้เกิดขึ้น 2 กรณี กรณีแรก เป็นพันธมิตรทางทหารไปตีญ่ีปุ่นซ่ึงเป็นสงครามทางทะเล กรณีท่สี องเป็นพันธมิตรทางทหารไปตีพม่าซ่ึงเป็นสงครามทางบก สาหรับสงครามทางบกนัน้ แสนยานุภาพ แห่งกองทัพบกของสมเด็จพระนเรศวรฯย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว แต่สาหรับสงคราม ทางทะเล โดยเฉพาะอย่างย่ิงการทาสงครามทางทะเลซ่ึงมีระยะทางเดินทัพถึงญี่ปุ่น ซึ่งไกลแสนไกลเช่นน้ี ถงึ แม้วา่ ในทส่ี ดุ กองทัพเรือสมเด็จพระนเรศวรฯมิได้ยกออกไปตีกต็ าม แตแ่ สนยานภุ าพแหง่ กองทัพเรือของ พระองค์ก็น่าจะเป็นส่ิงอัศจรรย์ในยุคสมัยนั้น ทั้งนี้ก็ด้วยกฤษฎาภนิ ิหารขององค์สมเด็จพระนเรศวรฯซ่งึ ทา ให้ประเทศไทยเป็นมหาอานาจแหง่ ยุคในภูมภิ าคนี้

89 3.10. เสดจ็ สวรรคต บันทึกตามพระราชพงศาวดารระบุว่า พระองค์สวรรคตในวันจันทร์ เดือน 6 ขึ้น 8 ค่า ปีมะเส็ง จุลศักราช 967 (พ.ศ. 2148/ค.ศ.1605) ที่ทุ่งดอนแก้ว เมืองหาง ขณะเสด็จเคลื่อนทัพไปตีกรุงอังวะ ท้ังนี้ เหตุการณ์ช่วงน้ัน ในตานานได้กล่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรสทรงนา กองทพั ไทยจากกรุงศรีอยุธยาเดินทางมาถงึ เมืองเชยี งใหม่ เม่อื ออกจากเมืองเชยี งใหมแ่ ลว้ จึงไดแ้ บ่งทัพแยก ทางกัน สมเด็จพระนเรศวรทรงนากองทพั ไทยออกจากเชยี งใหม่พร้อมกับพระเจ้าเชียงใหม่และลูกพระเจา้ เชยี งใหม่ทง้ั สามไปโดยทัพหลวงยกพยุหโยธาไปทางเมืองหางและโปรดให้สมเด็จพระเอกาทศรสทรงนาทัพ อีกส่วนหนึ่งไปทางเมืองฝางนอกจากน้ันในตานานพระธาตุเมืองน้อย อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีชายแดน อยู่ตดิ กับพื้นท่อี าเภอเวยี งแหง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ใชเ้ ส้นทางเดินทัพไปยังประเทศพม่าโดยผ่านเมืองน้อย ซึง่ ตอนน้ัน เป็นชุมชนของชนเผ่าลัวะ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จถึงเขตเมืองหาง ทรงทัพหลวงท่ีตาบลทุ่ง แก้วหรือทงุ่ ดอนแก้ว แรมทพั ในตาบลน้ี และเกดิ ทรงพระประชวรข้ึน (คม ชัด ลึก, ออนไลน)์ ตามคาให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง กล่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรสวรรคตด้วยแมลงภ่บู นิ มา ต่อยทพ่ี ระอณุ าโลม(ตรงหวา่ งคิว้ ) จงึ ทรงสวรรคต ... อนั องคพ์ ระนเรศร์นัน้ เสด็จอยูเ่ มืองห่าง เพราะเหตุฉนจี้ ่งึ ถวายพระนามเรียก องค์พระนารายน์เมืองหา่ ง เปนกรงุ หยุดพักอยู่กลางทางของพระองค์ คร้ันเสรจ็ การมงคล พิธีแล้วพระองค์ก็ยกไปเมืองหงษา จ่ึงทรงช้างพระท่ีน่ังสุวรรณปฤษฎางค์ ก็พ้นเมือง ทางไกลได้เจ็ดวัน จึ่งพ้นไปน่าเขาเขียวดงตะเคียนใหญ่ จ่ึงมีศาลนางเทพารักษ์อยู่ท่ีต้น ตะเคียนใหญ่ มีอานุภาพศักดิสิทธิยิ่งนัก เสนาจึ่งทูลเชิญเสด็จให้ลงจากชา้ งพระที่น่ัง เม่ือ จักมีเหตุมาน้ัน พระนเรศร์จึ่งถามเสนาว่า เทพารักษ์นี้เปนเทพารักษ์ผ้ชู ายฤๅผหู้ ญิง เสนา จึ่งทูลว่า อันเทพารักษ์เปนนาง ศักดิสิทธิยิ่งนัก พระนเรศร์จ่ึงตรัสว่าอันเทพารักษ์นี้เปน แต่นางเทพารกั ษด์ อก ถา้ จกั เปนเมียเรากจ็ ักได้ เราไมล่ งจากช้าง คร้นั พระนเรศรต์ รัสดังน้ี แล้ว ก็ทรงช้างพระท่ีนั่งผ่านน่าศาลนางเทพารักษ์น้ันไป จึ่งเห็นเปนตัวแมลงภู่บินตรงมา นา่ ช้างแลว้ กเ็ ข้าต่อยเอาท่ีอุณาโลม องค์พระนเรศรน์ ั้นกส็ ลบอยู่กับหลงั ช้างพระทน่ี ั่ง แล้ว ก็เสด็จสู่สวรรคตท่ีตรงน่าเขาเขียว เสนาท้ังปวงจ่ึงเชิญพระศพ แล้วก็กลับมายังพลับ พลาเมืองห่าง ส่วนพระเอกาทศรถนั้นก็ยกพลไปถึงแดนเมืองหงษา จ่ึงตีบ้านกว้านกวาด ได้มอญลาวหญิงชายเปนอันมาก แล้วจักยกเข้าตีเมืองหงษา ก็พอเสนาอามาตย์ให้ม้าใช้ เร่งรีบไปทูลความพระนเรศร์สวรรคต พระองค์ครั้นทราบดั่งนั้นก็เร่งรีบยกพลโยธาทัพ กลับมายงั เมอื งห่าง ครน้ั ถึงแลว้ กเ็ สด็จเขา้ ไปสยู่ ังสถานพระเชษฐา จง่ึ กอดพระบาทพระพ่ี ยาเข้าแลว้ ก็ทรงพระกรรแสงโศกาอาดูรร่าไรไปตา่ ง ๆ พระองค์ก็กอดพระเชษฐาเข้าแล้ว ก็สลบลงอยู่กับท่ี แต่ทรงพระกรรแสงแล้วสลบไปถึงสามครั้ง คร้ันพระองค์ก็ได้สมฤดีคืน มาแล้ว พระองค์จ่ึงมีพระบัณฑูรตรัสสง่ั ให้หาพระโกษฐทองทั้งสองใบที่ใส่พระศพ แล้วจ่งึ

90 เชญิ ขึ้นสู่บนพระราชรถ แลว้ กแ็ ห่แหนเปนกระบวนมหาพยหุ บาตราอย่างใหญ่มาจนถึงกรุ งอยุทธยาธานี แล้วจึ่งสั่งให้ทาพระเมรุทองอันสูงใหญ่ยิ่งนัก อันการพระบรมศพคร้ังน้ัน เปนการใหญ่หลวงหนักหนา เกินท่ีเกินทางแต่ก่อนมา ทั้งเครื่องไทยทานก็มากมายหนัก หนา แล้วให้ชุมนุมกษตั รทุกประการอันน้อยใหญ่ท้งั ส้ิน จ่งึ เชิญพระศพแห่แหนไปแล้ว จงึ่ ถวายพระเพลิงทีว่ ัดสบสวรรค์ ๚ ( น. 311 – 315) คาให้การชาวกรุงเก่า กลา่ ววา่ เทพารักษร์ ักษาเขาเขียวบนั ดาลให้พระนเรศวรสวรรคตบนคอช้าง พระที่นงั่ ...พระนเรศวรก็ยกทัพจากเมืองหาง ไปทางตาบลเขาเขียว เทพารักษ์ซ่ึงรักษา เขาเขียวน้ัน บันดานให้พระองค์เสด็จสวรรคตบนคอช้างพระท่ีน่ังพิศณุราชาณตาบลเขา เขียวน้ัน เมื่อพระนเรศวรเสวยราชย์พระชนม์ได้ 15 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 20 ปี เมื่อ เสด็จสวรรคตพระชนม์ได้ 35 พรรษา พระนเรศวรสมภพวันพฤหัศบดี เสด็จสวรรคตเม่อื จุลศกั ราช 960 ปี (น. 97 – 98) ทั้งน้ีมีเพียงเอกสาร คาให้การขุนหลวงหาวัด และ คาให้การของชาวกรุงเก่า ทั้งสองช้ินที่ระบุวา่ สมเด็จพระนเรศวรสวรรคตเน่ืองจากทรงแมลงภู่ต่อยทีพ่ ระอุณาโลม เน่ืองจากทรงถูกนางเทพารกั ษ์สาป ด้านสาเหตุการสวรรคตท่ีรับรู้กันท่ัวไปคือ “ทรงพระประชวรเป็นหัวระลอก (ฝี) ข้ึนที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษพระอาการหนัก”ความเข้าใจดังกล่าวมาจากพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยา ดารงราชานุภาพ 2 เรื่องคือ ไทยรบพม่า และ พระประวัติสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช โดย “ไทยรบพม่า” ไดร้ ะบุไวว้ า่ ...คร้ันเสด็จถึงเมืองหางแล้วก็ให้ต้ังค่ายหลวงประทับอยู่ท่ีทุ่งแก้ว สมเด็จพระ นเรศวรทรงพระประชวรเปน็ ระลอกขึ้นท่ีพระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษพระอาการ หนัก จึงโปรดให้ข้าหลวงรีบไปเชิญเสดจ็ สมเดจ็ พระเอกาทศรถมาเฝา้ สมเด็จพระเอกาทศ รถเสดจ็ ฯ มาถงึ ได้ 3 วัน สมเด็จพระนเรศวรก็เสด็จสวรรคต ขณะท่ี “พระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” โดย กรมพระยาดารงราชานุภาพ (2546 น. 130) กล่าวว่า ...เวลาสมเดจ็ พระนเรศวรเสด็จประทับแรมอยู่ ณ ตาบลทงุ่ แกว้ เกดิ ประชวรเป็นหวั ระลอก ขน้ึ (บ้างว่าถูกตัวสัตว์พวกแมลงมีพิษต่อย) ที่พระพักตร์ แลว้ เลยเป็นบาดพิษจนพระอาการหนัก จงึ ตรัสสั่ง ให้ข้าหลวงรีบไปเชิญเสดจ็ สมเดจ็ พระเอกาทศรถมาเฝ้า สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมาถึงทันทรงพยาบาล สมเด็จพระเชษฐาธริ าชอยู่ 3 วนั สมเด็จพระนเรศวรกเ็ สด็จสวรรคตทเ่ี มืองหาง เม่ือวนั จนั ทร์ เดือน 6 ข้นึ 8 ค่า ปมี ะเสง็ พ.ศ. 2148 พระชันษาได้ 50 ปี เสวยราชสมบัตไิ ด้ 15 ปี

91 ภาพ 27 สมเด็จพระนเรศวรทรงขอให้สมเด็จพระเอกาทศรถนาทัพไปตีเมืองอังวะ โดยไม่ต้อง ห่วงพระองคท์ ่ีทรงพระประชวรหนัก ณ เมืองหาง พ.ศ. 2148 ท่มี า: ถ่ายโดยผู้วจิ ยั 26 มกราคม 2562 ดา้ นพระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริตชิ มวิ เซียม กลา่ ววา่ ...ฝา่ ยสมเดจ็ พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จถึงเมืองหางหลวง และต้งั ทพั หลวงอยู่ตาบล ทุ่งแก้ว แรมทัพในตาบลนั้น ส่วนพระยากาแพงเพชร และพระหัวเมือง ขุนหม่ืนท้ังหลาย ผู้เป็นทัพหน้า ก็ยกช้างม้าร้ีพลไปถึงแม่น้าคง ในขณะนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรง พระประชวรหนัก ก็ตรัสใช้ข้าหลวงให้กราบทูลพระกรุณา ถึงเมืองฝาง พระบาทสมเด็จ เอกาทศรถอิศวรบรมนาถบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จจากเมืองฝาง มายังสมเด็จ พระพุทธเจ้าหลวงในเมืองหางหลวง และเสด็จถึงในวันเสาร์ ข้ึน 6 ค่า เดือน 6 ปีมะเส็ง เบญจศกนน้ั ...รุ่งขึ้น วันจันทร์ ขึ้น 8 ค่า เดือน 6 เพลาชายแล้ว 2 บาท สมเด็จพระพุทธเจ้า หลวงก็เสด็จสวรรคต สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระพรรษาปีมะโรงศก เมื่อได้ราชสมบตั ิ น้ัน ศักราช 904 ปีขาล สัมฤทธิศก ในปีขาลน้ันพระชนม์ได้ 35 พระพรรษา เสด็จอยู่ใน

92 ราชสมบัตินั้น 15 พระพรรษา เม่ือ เสด็จสวรรคตในเมืองหางหลวงพระชนม์ได้ 50 พระ พรรษา เม่อื สมเดจ็ พระนเรศวรสวรรคตแลว้ ท้าวพระยาขา้ ราชการกพ็ ร้อมกันเชญิ สมเด็จพระเอกาทศรถ ผ่านพิภพ จึงโปรดให้เลิกกองทัพ เชิญพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรกลับมายังพระนคร เม่ือสมเด็จพระ เอกาทศรถเสด็จกลับมาถึงพระนครทาพระราชพิธีราชาภิเษกแล้ว ให้สรา้ งพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรม ศพสมเด็จพระนเรศวร ในหนังสือพระราชพงศาวดารวา่ เป็นงานใหญอ่ ยา่ งมโหฬารย่งิ กวา่ งานพระบรมศพท่ี เคยมีมา และมีเจ้าประเทศราชและเจ้าเมืองต่าง ๆ ซ่ึงเป็นข้าขอบขัณฑสีมามาถวายบังคมพระบรมศพ จานวนมาก ทรงพระเกียรติเป็นพระเจ้าราชาธิราชบริบูรณ์ทุกสถาน (ดารงราชานุภาพ, 2546, น. 126- 133) ภาพ 28 พระเอกาทศรถจงึ เชิญพระบรมศพมาสู่พระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2148 ทม่ี า: ภาพจติ กรรมวัดสวุ รรณดาราราม จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา

93 3.11. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชในวัฒนธรรมร่วมสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งต่อแผ่นดิน ไทย ตลอดพระชนม์ชีพทรงปกปักรักษาบ้านเมืองเพื่อให้ประชาราชร่มเย็นเป็นสุขเร่ิมตั้งแต่ทรงประกาศ อิสรภาพและทรงต้องทาศึกสงครามเพ่ือรักษาราชธานีและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับพระราชอาณาจักร ตลอดรัชกาล การสงครามย่ิงใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์คือผู้ชนะในสงครามยุทธหัตถีเมื่อ พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรกษัตริย์เป็นนักรบผู้ย่ิงใหญ่ พระเกียรติยศท่ีทรงได้รับการยก ย่องนั้นไม่ปรากฏหลักฐานเฉพาะประชาชนชาวไทยเท่าน้ันแต่ยังปรากฏในพงศาวดารต่างชาติ เช่น พม่า มอญ เขมร ตลอดจนจดหมายเหตุของจีนและตะวันตก ก็ปรากฏหลักฐานทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น พระมหากษตั รยิ ์นักรบทยี่ ่ิงใหญแ่ ละประทับอย่ใู นใจชาวไทยตลอดมา (วฒั นา อนุ่ ทรพั ย์, 2550, น.1) ท้ังนี้มีหลักฐานว่าในปลายสมัยอยุธยาปรากฏว่าได้มีการสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวร มหาราชประดิษฐานไว้ที่โรงแสนต้นในพระราชวัง ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าให้สร้างพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประดิษฐานไว้ที่แสงใน พระบรมมหาราชวังต่อมาเมื่อมีการสร้างพระท่ีนั่งภาณุมาศจารูญขึ้น ณ บริเวณโรงแสงจึงนาพระบรมรูป สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไปประดิษฐานไว้ ณ พระทนี่ ั่งภาณุมาศจารูญ (ปัจจุบันคือ พระทน่ี งั่ บรมพิมาน) ดังความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาซ่ึงสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุ ภาพไดอ้ ธิบายได้ดงั นี้ ...ถ้าหากประเพณีในประเทศทางทิศนี้ในเวลาน้ันเหมือนกันกับยุโรปคงจะได้มี อนุสาวรีย์ใหญ่สร้างไว้เฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระนเรศวรปรากฏอยู่จนตราบเท่าทุก วันนี้จะเป็นท่ีพอใจของชาวไทยเราไม่น้อยทีเดียว ถึงทุกวันน้ีตั้งแต่เด็กท่ีอยู่ในโรงเรียน ตลอดจนผู้ใหญ่ทุกชนทุกชั้นบรรดาศักด์ิเม่ือได้อ่านพงศาวดารถึงเรื่องสมเดจ็ พระนเรศวร หรอื แม้ที่สุดเพยี งเหน็ พระรูปทรงชนชา้ งติดต้ังไว้ ณ ท่ีใดๆ ใครเลยท่จี ะไมน่ กึ รักใครน่ ับถือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชท่านแต่ก่อนท่านก็นึกอย่างนั้นเหมือนกันความจริงในชั้นกรุง เก่า ไดส้ ร้างพระรปู สมเดจ็ พระนเรศวรและสร้างหอประดิษฐานไวเ้ ป็นท่สี กั การะบชู าท่ีโรง แสงต้นในพระราชวังถึงในกรุงรัตนโกสินทร์น้ี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชก็ได้โปรดให้สร้างพระรูปสมเด็จพระนเรศวรและสร้างหอขึ้นไว้ที่โรงแสงในส่งที่ สร้างพระท่ีนั่งภาณุมาศจารูญเดี๋ยวน้ี ข้าพเจ้าได้เคยเห็นเองพระบรมรูปสมเด็จพระ นเรศวรยังประดิษฐานเปน็ ท่ีสกั การะบูชาอย่ใู นพระทน่ี ่ังภาณุมาศจารูญ

94 ปัจจุบันชาวไทยยอมรับแนวคิดตะวันตกมากข้ึน จึงนิยมสร้างอนุสาวรีย์บุคคลสาคัญเพื่อเป็นท่ี ราลึกถึงและเคารพสาระ โดยเฉพาะสมเด็จพระนเรศวรซึ่งมีการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของสมเด็จพระ นเรศวรมหาราชในหลายแห่งทว่ั ประเทศ เชน่ 1. พระบรมราชานุสรณ์ศาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ณ พระราชวังจันทน์ จงั หวดั พิษณุโลก ศาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช 2. พระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จงั หวัดพิษณุโลก 3. พระบรมราชานสุ รณ์สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ณ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร จงั หวดั พิษณโุ ลก 4. พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี 5. ศาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทีร่ ิมหนองบวั ลาภู ในจังหวัดหนองบวั ลาภู เปน็ ต้น 6. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช บริเวณทุ่งมะขามหย่อง ตาบลบ้านใหม่ อาเภอพระนครศรีอยุธยา จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา 7. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตาบลดอนเจดีย์ อาเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบรุ ี 8. พระบรมราชานุสาวรยี ส์ มเด็จพระนเรศวรมหาราช ท่ีวดั ไชยนาวาส จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี 9. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ มหาวิทยาลัยพะเยา ตาบลแม่กา อาเภอเมอื งพะเยา จงั หวดั พะเยา 10. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ตาบล ทา่ ทอง อาเภอเมืองพิษณโุ ลก จังหวัดพิษณโุ ลก 11. พระบรมราชานสุ าวรยี ส์ มเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ อาเภอเกาะคา จังหวดั ลาปาง 12. พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชานุสรณ์ ณ ตาบลเมืองงาย อาเภอเชียงดาว จงั หวัดเชียงใหม่ 13. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ อุทยานราชภักด์ิ อาเภอหัวหิน จัง หวังประจวบคีรีขันธ์ 14. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐาน ณ สวนสาธารณะหน้าท่ี ว่าการอาเภอวัฒนานคร จงั หวัดสระแกว้

95 15. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช วัดใหญ่ชัยมงคล อาเภอ พระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา 16. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานภายในศาลสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช หม่ทู ่ี 3 ตาบลทา่ โรง อาเภอวเิ ชยี รบุรี จงั หวัดเพชรบรู ณ์ 17. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานภายในศาล อาเภอแม่ สรวย จังหวัดเชียงราย 18. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานด้านหน้าอาคาร กองบัญชาการทหารสงู สดุ ถนนแจง้ วฒั นะ เขตหลกั สี่ กรงุ เทพมหานคร 19. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานด้านหน้ากองบังคับการ กรมทหารราบท่ี 21 รักษาพระองค์ค่ายนวมินทราชินี อาเภอเมอื ง จงั หวดั ชลบรุ ี 20. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานบริเวณบ้านป่ายางผาแตก ฐานปฏบิ ัติการตารวจตระเวนชายแดน (เก่า) อาเภอแมส่ าย จงั หวดั เชียงราย 21. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานภายในศาลาหน่วย พัฒนาการเคลื่อนท่ี 32 หน่วยพัฒนาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด อาเภอเชียงดาว จังหวัด เชยี งใหม่ (วัฒนา อุ่นทรัพย์, 2550, น. 2 – 3 ) ทั้งนี้มีการนาพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นตราประจาจังหวัดของไทย ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดตาก และจังหวัดหนองบัวลาภู การนาพระนามของสมเด็จพระนเรศวรมหาราข ไปต้ังเป็นช่ือของ มหาวิทยาลัยนเรศวร และค่ายทหารต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น ค่ายนเรศวร ที่จังหวัดลพบุรี คา่ ยนเรศวรมหาราช ทีอ่ าเภอแม่แตง จังหวดั เชยี งใหม่ เป็นต้น ดา้ นกรมตารวจได้นาพระนามของพระองค์ มาตั้งเปน็ ช่ือค่ายตารวจตระเวนชายแดนทีอ่ าเภอชะอา จงั หวัดเพชรบุรีว่า \"คา่ ยนเรศวร\" ดว้ ยเช่นกัน ด้านความเช่ือ ชาวไทยนิยมนาหุ่นรูปไก่ชนพันธ์ุเหลืองหางขาวไปบนบานกับพระบรมรูปสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช เพราะเช่ือกันว่าเป็นไก่พันธ์ุเดียวกับตัวท่ีเอาชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาแห่งหง สาวดไี ด้ อีกทั้งมีการนาพระราชประวัติมาสร้างเป็นภาพยนตร์ 2 คร้ัง ครั้งแรก ใช้ชื่อว่า มหาราชดา ในปี พ.ศ. 2522 และคร้ังที่ 2 ใช้ช่ือว่า ตานานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในปี พ.ศ. 2550 รวมถึงมีการสร้าง ละครเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เม่ือ พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 และได้รับรางวัลโทรทัศน์ ทองคาในปีน้ันถึง 5 รางวัล ภายหลังมีการนาละครเร่ืองน้ีมาฉายใหม่ทางช่อง สทท.11 อีกครั้ง (ประมาณ พ.ศ. 2540) และไม้ เมอื งเดมิ ได้นาเหตกุ ารณใ์ นสมยั นไี้ ปใชเ้ ป็นฉากในนวนิยายเรื่อง ขนุ ศกึ ซึ่งตวั เอกของ เรื่องคือ เสมา ทหารในสมัยสมเด็จพระนเรศวร นวนิยายเร่ืองนี้ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์และละคร โทรทัศน์เช่นกัน การนาพระราชประวัติของพระองค์ไปเขียนเป็นหนังสือการ์ตูนอยู่หลายคร้ัง เช่น มหา

96 กาพย์กู้แผ่นดิน ผลงานของมนตรี คุ้มเรือน เป็นต้น และได้มีการสร้างตานานสมเด็จพระนเรศวรอีกคร้ัง หน่ึง ซ่ึงใช้ช่ือว่า กษัตริยา ควบคู่กับ มหาราชกู้แผ่นดิน เพ่ือเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้า สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ ทรงมพี ระชนมายคุ รบ 72 พรรษา ใน พ.ศ. 2542 โดยบรษิ ัท กนั ตนา จากดั เปน็ ผผู้ ลิตรายการ ออกฉายทางสถานวี ิทยโุ ทรทัศนก์ องทัพบกช่อง 5 ในชว่ งปี พ.ศ.2545 – 2546 นอกจากนี้ กองทัพไทย ยังถือเอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรกระทายุทธหัตถี กาหนดเป็น “วัน กองทัพไทย” เปน็ วนั ที่ระลกึ ในวาระทสี่ มเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทายุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ของพม่า โดยถือเอาวันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทยตามการคานวณจากเหตุการณ์ใน ประวัติศาสตร์ ท่ีระบุว่า พระองค์กระทายุทธหัตถี ในวันจันทร์ แรม 2 ค่า เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 คานวณได้ ตรงกับวนั ที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1593 หรอื พ.ศ. 2135

97 บทท่ี 4 บทสรปุ 4.1. พระราชประวัตสิ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนเรศวรสมภพที่เมืองพิษณุโลกเม่ือปีเถาะ พ.ศ.2098 (ค.ศ.1555) เป็นราชโอรสของ สมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิ์กษัตริย์ พระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิอันเกิดด้วย พระสุริโยทัย พระองค์มีพระพ่ีนางหน่ึงพระองค์ทรงพระนามสุพรรณกัลยาณีหรือพระสุวรรณกัลยา และ พระอนุชาหน่ึงพระองค์ทรงพระนามว่า พระเอกาทศรถ (สรัสวดี ประยูรเสถียร, 2542, น. 87)เมื่อสมเด็จ พระนเรศวรสมภพ ยศเจา้ ฟ้ายังไมม่ ใี นประเพณีกรงุ ศรีอยุธยา สมเดจ็ พระชนกก็ยงั ทรงพระยศเพียงเป็นเจ้า ขัณฑสมี า แตพ่ ระชนนีเปน็ สมเด็จพระราชธดิ า พระองคเ์ ป็นราชนัดดา คงทรงพระยศเปน็ พระองค์เจ้า ฝร่งั จึงเรียกในจดหมายเหตุแต่งในสมัยนั้นว่า The Black Prince ตรงกับว่า พระองค์ชายดา และเรียกพระ อนุชาเอกาทศรถว่า The White Prince ตรงกับพระองค์ชายขาว เป็นคู่กัน คงแปลไปจากพระนามที่คน ทงั้ หลายเรยี กสมเดจ็ พระนเรศวรเม่ือทรงพระเยาวว์ ่า พระองคช์ ายดา เม่ือสมเด็จพระนเรศวรพระชันษาได้ 8 ขวบ ก็เกิดศึกหงสาวดีคือ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองขอ ชา้ งเผอื กสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ 2 ช้าง ซึ่งทกุ ประเทศทางตะวันออกถอื ว่าช้างเผือกเป็นคู่บารมีของพระ เจา้ แผ่นดนิ ไมเ่ คยมพี ระเจ้าแผน่ ดินยอมให้ช้างเผือกแก่กัน หากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิยอมให้ช้างเผือก ก็เหมือนยอมอยู่ในอานาจพระเจ้าหงสาวดี แต่ถ้าไม่ยอมก็เหมือนเป็นการท้าทายให้พระเจ้าหงสาวดีมาตี เมืองไทย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงพระราชดารเิ ห็นว่า ถึงให้ช้างเผือกไปก็ไม่สามารถคุ้มภัยได้และยงั เสียเกียรติยศด้วย จึงไม่ยอมให้ช้างเผือก พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงยกกองทัพมาตีเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. 2106 (ค.ศ.1563) เข้ามาทางดา่ นแมล่ ะเมา ตหี วั เมอื งเหนือแลว้ จึงลงมาตีพระนครศรีอยุธยาแตฝ่ ่ายไทยคิด วา่ กองทพั หงสาวดีจะยกเข้ามาทางด่านเจดยี ส์ ามองค์เหมือนครัง้ ก่อน จงึ เตรยี มปอ้ งกันพระนครแต่พระเจ้า หงสาวดียกกองทัพมาอยู่ที่กาแพงเพชรซึ่งจัดเป็นทัพกษัตริย์ 5 ทัพ แยกกันไปรบโดยพระเจ้าหงสาวดีตั้ง กองทพั หลวงอยูท่ ี่เมืองกาแพงเพชร กองทัพพระเจ้าอังวะกับกองทัพพระเจ้าตองอไู ปตีเมืองพิษณโุ ลก ล้อม ไว้จนในเมืองไม่มีเสบียงอาหารทั้งยังเกิดโรคไข้ทรพิษทาให้พระมหาธรรมราชายอมอ่อนน้อมต่อข้าศึก กองทัพพระมหาอุปราชากับกองทัพพระเจ้าแปรไปตีเมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิชัย ซึ่งเมือง สุโขทัยตอ่ สจู้ นเสียเมอื ง เมืองสวรรคโลกและเมืองพิชยั ออ่ นนอ้ มต่อข้าศึก เมื่อกรุงศรีอยุธยารู้ข่าวก็ให้พระราเมศวร ราชโอรสยกทัพไปช่วยเมืองเหนือ ได้รบกับข้าศึกที่เมือง ชัยนาท ทานข้าศึกได้พักหนึ่งก็สู้ไม่ไหวต้องถอยกลับ พระเจ้าหงสาวดีมาถึงพระนครศรีอยุธยา มีพระราช สาสน์ถามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิว่า จะสรู้ บตอ่ ไปหรือจะเป็นไมตรโี ดยดี ถา้ ยอมเปน็ ไมตรีก็จะให้คงเป็น

98 บ้านเป็นเมืองต่อไป ถ้าขืนต่อสู้ เม่ือตีพระนครได้จะเอาเป็นเมืองเชลย สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิจึงรับเปน็ ไมตรี พระเจ้าหงสาวดีจึงเรียกค่าไถ่เมืองตามปรารถนา ท้งั ยังเชิญสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิออกไปอยู่เมือง หงสาวดีอย่างเป็นตัวจานา และตรัสขอสมเด็จพระนเรศวรต่อพระมหาธรรมราชาวา่ จะเอาไปเลี้ยงเปน็ ราช บุตรบุญธรรมแต่ในความจริงก็คือ เป็นตัวจานาสาหรับพระมหาธรรมราชา สมเด็จพระนเรศวรจึงเสด็จไป อยเู่ มืองหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดที รงอปุ การะเลีย้ งดใู หอ้ ยู่กับเจ้านายรนุ่ เดียวกนั สมเด็จพระมหินทราชาธิราชขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา ทรงขัดเคืองสมเด็จพระมหาธรรมราชาและ พระมหาธรรมราชาไม่นับถือสมเด็จพระมหินทราชาธิราชจึงเกิดระแวงสงสัยกันท้ัง 2 ฝ่ายฝ่ายสมเด็จพระ มหนิ ทราชาธิราชสงสยั ว่า พระมหาธรรมราชาจะไปเข้ากับพระเจ้าหงสาวดี ฝ่ายพระมหาธรรมราชาก็สงสัย ว่าสมเด็จพระมหินทรฯจะกาจัดพระองค์จากเมืองเหนือ สมเด็จพระมหินทรฯ ได้รับราชสาสน์จากพระไชย เชษฐา ทูลขอพระเทพกษตั รไี ปอภิเษกเป็นพระมเหสี ฝา่ ยสมเด็จพระมหนิ ทรฯยนิ ดที จี่ ะเปน็ สัมพันธมิตรกับ พระเจา้ ไชยเชษฐาเพ่ือจะไดช้ ่วยกันต่อสู้กับหงสาวดีในอนาคต เม่อื พระมหาธรรมราชาทราบข่าวจึงทูลพระ เจา้ หงสาวดีให้ทหารมาดกั ชิงตวั พระเทพกษัตรีไปยังหงสาวดี (ดารงราชานภุ าพ, 2546, น. 9 - 25) ปรากฏ ในพระราชพงศาวดารกรงุ เก่าฉบับหลวงประเสรฐิ ความวา่ พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดีตลอดระยะเวลาในวัยเยาว์ ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก จนกระท่ังเม่ือพระเจ้าบุเรงนองยกทัพ มาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาวดี และ ทาให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชหงสาวดีไม่ข้ึนต่อกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองได้ ทรงขอพระนเรศวรไปเป็นองคป์ ระกนั ทีห่ งสาวดี ทาใหพ้ ระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมอื งนอนตง้ั แต่มีพระชนม์ มายุเพียง ๙พรรษานอกจากพระองค์แล้วยังมีองค์ประกันจากเมืองอื่น ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีเป็น จานวนมาก พระเจ้าบุเรงนองน้ันทรงให้เหล่าองค์ประกันได้รับการเล้ียงดูและการศึกษาอย่างดี พระ นเรศวรทรงใช้เวลา ๘ปีเต็มในหงสาวดีศึกษายทุ ธศาสตร์ของพม่า พระองค์ทรงศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และ วิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก พระองค์ทรงมีโอกาสศึกษา ท้ังภายในราชสานักไทย และราชสานักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ท่ีมารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็น อย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนาหลักวิชามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมในการทาศึกได้เป็นเลิศ ดังเห็นได้จากการสงครามทุกครั้งของพระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่ การใช้คนจานวนน้อยเอาชนะคนจานวนมาก และยุทธวิธีการรบแบบกองโจร พระองค์ทรงนามาใช้ ก่อนจอมทัพท่ีเลื่องชื่อในยุโรป นอกจากนั้น หลักการสงครามท่ีเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เช่น การดารงความมุ่งหมาย หลักการรุก การออมกาลัง และการรวมกาลัง การดาเนินกลยุทธ ความ เด็ดขาดในการบังคับบัญชา การระวังป้องกัน การจู่โจม ฯลฯ พระองค์ก็ทรงนามาใช้อย่างเช่ียวชาญ และ ประสบผลสาเรจ็ อย่างงดงามมาโดยตลอด เน่ืองจากการท่ีพระองค์มชี ีวิตอยใู่ นฐานะองค์ประกนั ทาให้ทรงมี ความกดดันสูงจากมังกะยอชวา (พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึงทรงมีแรงผลักดันท่ีจะกอบกู้ อิสรภาพให้กับบ้านเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองค์กับมังกะยอชวา เป็นต้น รวมทั้งการ เหยยี ดหยามว่าเปน็ เชลย จากพวกพม่าด้วย

99 4.1.1. ดารงยศเปน็ พระมหาอปุ ราช ระหว่างที่ไทยยังเป็นประเทศราชแก่พม่าอยู่ และสมเด็จพระนเรศวรฯทรงเป็นมหา อุปราชอยู่ เมืองพิษณุโลก ผู้คนพลเมืองของไทยถูกกวาดต้อนไปพม่าเป็นจานวนมาก ฝ่ายเขมรซึ่งเคยเป็น ประเทศราชของไทย เม่ือเห็น กรุงศรีอยุธยาอ่อนแอ ในปี พ.ศ. 2113 (ค.ศ.1570) พระบรมราชาเจ้ากรุง กัมพูชา ซึ่งตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองละแวก พงศาวดารเรียกว่าพระยาละแวก ยกกองทัพมาทาง ปราจีนบุรีมุ่ง หน้าเข้าพระนครศรีอยุธยา กองทัพไทยก็ สามารถเข้าต่อสู้จนทัพเขมรหนีพ่ายไป ในปีพ.ศ. 2118 (ค.ศ. 1575) นกั พระสฏั ฐาราชอนชุ าเจ้ากรุงกมั พูชา ยกกองทพั มาทางเรือ สามารถข้นึ มาได้ถึง วัดพนญั เชงิ แต่รบ แพ้กองทัพไทย ถอยกลับไป ระหว่างถอยไปนั้นก็ปล้นสะดม ไล่จับผู้คนพลเมือง ท่ีธนบุรีและพระประแดง นาไปกัมพูชาด้วย ปีพ.ศ.2112 พระยาจีนจันตุ เป็นขุนนางจีนคนหนึ่ง ในกัมพูชา รับอาสานักพระสัฏฐามา ปล้นเมืองเพชรบุรี แต่มาพ่ายแพ้แก่ไทยตีเมืองไม่ได้ตาม สัญญา จะกลับกัมพูชาก็เกรงจะถูกทาโทษจึงพา พรรคพวกหนีมาสวามิภกั ดิ์ตอ่ ไทย สมเด็จพระ มหาธรรมราชาทรงรบั เล้ียงไว้ อยมู่ าภายหลงั พระยาจีนจันตุ คงมคี วามผิดจึงลอบลงเรือสาเภาหนี จากพระนคร สมเด็จพระนเรศวรฯ ซึ่งประทับอยู่ท่กี รุงศรีอยุธยา ทรง ทราบจึงจัดเรือพายรีบตาม ไปทัน เรือสาเภาจีนจนั ตุท่ีปากน้า เสด็จออกทรงยิงพระแสงปืนสบั นก ในขณะ น้ันเองข้าศึกยิงสวน มาถูกรางพระแสงปืนแตกอยู่กับพระหัตถ์ พระองค์ก็ไม่หลบเลี่ยงทรงพยายามจะยิง ข้าศึกต่อไป พระเอกาทศรถเกรงวาสสมเด็จพระเชษฐาจะเป็นอันตราย จึงตรัสส่ังเรง่ เรอื ลาท่ีทรงเองเข้าไป ขวางเรอื สมเด็จพระเชษฐา พอเรือสาเภาพระยาจีนจนั ตุไดล้ มจึงแล่นหนีออกทะเลไป ตอ่ มาใน ปีพ.ศ.2122 เจ้ากรุงกัมพูชาให้พระทศราชาคุมกองทัพกัมพูชาเข้ามาตีเมืองนครราชสมี า ได้สาเร็จ พระทศราชาได้ใจจงึ คุมทหารรุกเข้ามาหมายจะปล้นจับเอาชาวเมืองสระบุรี และเมือง อื่น ๆ ไปเป็นเชลยด้วย สมเด็จพระ นเรศวรซ่ึงประทบั อยู่ทก่ี รุงศรอี ยธุ ยา จงึ ให้จดั ไพร่พลสามพนั คน รบี ยกไปยงั เมืองชยั บาดาล ตรัสสง่ั ให้พระ ชัยบุรีเจ้าเมืองชัยบาดาลกับพระศรีถมอรัตน์ เจ้าเมืองศรีเทพ คุมพลไปซุ่มตั้งอยู่ในดง สองข้างทางที่ข้าศึก ยกมา ผลท่ีสุดพระยาท้ังสองก็ ทาลายกองทัพเขมรแตกหนีไปทางนครราชสีมา ถูกทัพหลวงนครราชสีมา กระหน่าตีต่อไปอีก เจ้าทศราชาจึงนาทัพที่เหลือหนีไปเมืองกัมพูชา จากนั้นกองทัพกัมพูชาก็ไม่กล้ายกทัพ มารุกรานอีกนาน (ในประวัติศาสตร์ จารึกเหตุการณ์สมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพไปปราบเขมร และตัด หัว พระยาละแวกในปี พ.ศ. 2137) เหตุการณ์ตอนสมเด็จพระนเรศวรให้ประกอบพิธีปฐมกรรมพระยาละแวกน้ี นัก ประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นฉากนาฏ – วาทศิลป์ที่ผู้บันทึกพงศาวดารแต่งเติมเข้าไป เน่ืองจาก ไม่ปรากฏความในฉบับหลวงประเสริฐซึ่งเปน็ พงศาวดารฉบับท่ีมีความแม่นยาที่สุด และจากการตรวจสอบ กบั หลักฐานตา่ งประเทศกไ็ มป่ รากฏวา่ มีเหตกุ ารณด์ ังกล่าวเกิดข้ึน (วนิ ัย พงศ์ศรีเพียร, 2533, น. 62) พ.ศ. 2124 (ค.ศ.1581) พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสวรรคตเมื่อพระชนมพรรษา 85 พรรษา มังชัยสิงห ์ ราชโอรสข้ึนครองเมืองหงสาวดีต่อ ทรงพระนามว่าพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง แต่งต้ัง มังกยอชวา ราชโอรสเป็นพระมหาอุปราชาตามธรรมเนียม เม่ือมีการเปล่ียนแผ่นดินใหม่ เจ้าเมือง เจ้า ประเทศราช ทั้งหลาย จะต้องเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ สมเด็จพระนเรศวรฯ ต้องเสด็จไปแทนพระ

100 ราชบิดา เพราะพระราชบิดาทรงชรามาก เจ้าฟ้าไทยใหญ่แข็งเมืองไม่ยอม เข้าไปเฝ้า พระเจ้านันทบุเรงจงึ โปรดใหเ้ จ้านายชั้นหนุ่ม ๆ ซ่ึงเคยอยูร่ ่วมสานกั บเุ รงนองรุน่ เดยี ว กับสมเดจ็ พระนเรศวรฯ เม่อื ทรงพระเยาว์ อันมีพระมหาอุปราชาหนึ่ง พระสังขะทัต (นัดจิงหน่อง) ราชบุตร พระเจ้าตองอู หนึ่ง และสมเด็จพระ นเรศวรฯจากเมืองไทยซ่ึงพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ไดข้ า่ ววา่ รบพุ่งกล้าหาญยิง่ นัก จงึ ให้คุมพลชาวอยุธยา อกี ทัพหน่งึ ผลัดกนั เขา้ ตีเมืองคัง พระมหาอุปราชาและพระสังขะทัต ขอเขา้ ตีกอ่ นไมส่ ามารถตีเมืองคังแตก ได้ พระนเรศวรฯทรง วางแผนการรบ โดยใช้กลลวง จัดกองกาลังรบเป็น ๒ กอง ลวงว่าจะบุกเข้าตี ด้านหน้าด้วยไพร่พล จานวนมาก ถึงเวลาบุกจริงใช้คนน้อย แต่อีกกองหน่ึงนั้นให้บุกขึ้นไปในทางลับที่ทรง สารวจไว้ ล่วงหน้าแล้ว ด้วยไพร่พลจานวนมากกว่าและเป็นเวลากลางคืน ทาให้ชาวเมืองคังไม่สามารถ ป้องกันเมืองไว้ได้ พระนเรศวรฯจึงยึดเมืองได้สาเร็จและจับกุมตัวเจ้าฟ้าเมืองคังถวายพระเจ้า หงสาวดีได้ พระมหาอปุ ราชาและพระสงั ขะทตั มีความละอายและเกลียดชังสมเดจ็ พระนเรศวรฯ ตง้ั แต่น้ันมา ฝา่ ยพระ เจา้ หงสาวดถี ึงจะไม่พอพระทยั แต่ขณะนั้นก็ไม่อาจทาอะไรได้ นอกจาก ปนู บาเหน็จรางวัล แกส่ มเด็จพระ นเรศวรฯตามประเพณี ส่วนความคิดที่จะกาจัดพระนเรศวรฯ ้ยังคงมีอยู่ไม่เปล่ียนแปลง เมื่อยังคงพัก กองทัพอยู่ในหงสาวดีน้ันได้ชนไก่กับพระมหาอุปราชา ไก่ชนของพระมหาอุปราชาแพ้ พระมหาอุปราชา กาลังขุ่นเคืองพระนเรศวรฯเรื่องตีเมืองคังอยู่ จึงตรัสออกไปว่า \"ไก่เชลยตัวน้ีเก่งจริงหนอ\" สมเด็จพระ นเรศวรฯ ตรสั ตอบไปวา่ \"ไก่ตวั นอี้ ย่าวา่ แต่จะพนนั เอา เดิมพนั เลย ถึงพนันเอาบ้านเมืองกนั ก็ยงั ได้\" ตอ่ มาอีก 2 ปี พระเจา้ หงสาวดีนนั ทบุเรงเกิดผิดใจกับพระเจา้ อังวะ พระเจ้าองั วะจงึ ชวน เจ้าฟ้า ไทยใหญ่เป็นพวก แต่งทูตไปชวนเจ้าเมืองอื่น ๆ อีกแต่ไม่ได้ผล เมื่อพระเจ้าหงสาวดีทราบว่า พระ เจ้าอังวะแขง็ เมืองจงึ จดั กาลังทหารเป็นกองทัพกษัตริยเ์ ตรียมเข้าตเี มอื งอังวะ ศกึ ครงั้ นไ้ี ด้ เกณฑก์ องทัพเจ้า เมืองต่าง ๆ เข้าสมทบพร้อมเมืองประเทศราช คือ เจ้าเมืองตองอู เจ้าเมือง แปร เจ้าเมืองเชียงใหม่ (ราช บุตรพระเจ้าบุเรงนอง) เจ้าเมืองล้านช้าง และพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (พระมหาธรรมราชา)ซ่ึงให้สมเด็จพระ นเรศวรฯทรงนากองทัพไปแทน พอถึงกาหนดนัดหมาย กองทัพไทยยังไปไม่ถึง พระเจ้าหงสาวดีคิดระแวง ว่าสมเด็จพระนเรศวร คงจะแข็งเมืองเช่นเดียว กัน ก่อนเคล่ือนทัพไปอังวะได้ตรัสให้พระมหาอุปราชอยู่ รักษาเมืองและรับสั่งว่า \"ถ้าสมเด็จพระ นเรศวรฯมาถึงแล้ว ให้การต้อนรับแต่โดยดีเช่นเคย และให้กาจัด เสยี พระมหาอปุ ราชาจงึ ให้พระยา เกยี รตแิ ละพระยาราม พระยามอญ 1 คน เป็นขา้ หลวง มาคอยรับเสด็จ ที่เมืองแครง (มอญเรียก เมืองเดิงกรายณ์) และให้พระยามอญทั้ง 2 เป็นไส้ศึกอยู่ในกองทัพไทย ถ้าได้ โอกาสให้ฆ่า พระนเรศวรฯได้ทันที ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรฯเมื่อทรงทราบว่าเกิดสงครามระหว่างเมืองหง สาวดี และเมืองอังวะเช่นน้ี จึงเห็นโอกาสอันเหมาะสมท่ีจะหาทางให้ไทยเป็นอิสระจากพม่า จึงวางแผน ปฏิบัติการตามข้ันตอน โดยแกล้งยกทัพมาช้า ๆ รอให้พระเจ้านันทบุเรงเข้าตีเมืองอังวะเสีย ก่อน ถ้าหง สาวดีแพ้ ก็จะเข้าตีซ้าเติมอีกทางหนึ่ง ถ้าพระเจ้านันทบุเรงชนะ ก็จะรีบนาครอบครัวไทย ครอบครัวมอญ กลบั เมืองไทยและเร่งเตรยี มจัดหากาลังพลเพื่อทาสงคราม ใหญ่ ตอ่ ไป วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2127 (ค.ศ.1584) สมเด็จพระนเรศวรฯเดินทัพมาถึงเมือง แครง ด้วยบุญญาธิการ ของสมเด็จพระนเรศวร ทรงปฏิบัติตนเป็นที่เคารพรักของชาวมอญ เมื่อครั้งได้ เสด็จไปมา ระหว่างเมืองไทยกับพม่าอยู่เสมอน้ัน ทรงหยุดพักที่เมืองแครงอยู่เสมอจึงมีพรรคพวกคนมอญ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook