1 บทที่1 บทนำกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
2 กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็นศาสตร์หรือแขนงของการศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์ เป็น วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายของสัตว์และมนุษย์ รวมทั้งตำแหน่งและที่ตั้ง สาขาวิชากายวิภาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 4 สาขา ดังนี้ 1.จุลกายวิภาคศาสตร์ (Microscopic Anatomy) หมายถึง การศึกษาโครงสร้างของสัตว์ และพืชเป็นรายละเอียดขนาดเล็กๆ โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ (Microscope) 2.มหากายวิกาคศาสตร์ (Gross anatomy) หมายถึงการศึกษาโครงสร้างของร่างกายด้วย ตาเปล่าโดยใช้เครื่องมือชำแหละช่วย 3.วิทยาเอ็มบริโอ (Embryology) หมายถึงการศึกษา การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เริ่ม การปฏิสนธิ (Fertilized egg) จนถึงตอนที่ร่างกายของมนุษย์เติบโตเต็มที่ 4.ประสาทกายวิภาคศาสตร์ (Neuroanatomy) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทซึ่งมีหน้า ที่ควบคุมและร่วมมือกับอวัยวะหรือโครงสร้างอื่นๆให้ดำเนินไปด้วยดี 1.ระนาบทางกายวิภาคศาสตร์ (Plane of section) ระนาบต่างๆของร่างกาย แบ่งได้ 3 ลักษณะ sagittal plane แบ่งลำตัวออกเป็นด้านซ้ายขวา frontal/coronal plane แบ่งร่างกายออกเป็นส่วนหน้ากับส่วนหลัง horizontal/transverse/axial plane แบ่งร่างกายออกเป็นส่วนบนและส่วนล่าง
3 2.คำศัพท์ที่ ชี้บอกทิศทาง ตำแหน่งและความสัมพันธ์ กับอวัยวะใกล้เคียง Superior ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่สูง ค่อนไปทางส่วนหัว (cephalic) Inferior ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ต่ำกว่า หรือ ค่อนไปทางปลายเท้า (Caudal) Mediat ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ใกล้แนวกลางร่างกาย ด้านความ Lateral ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ทางด้านข้าง ห่างออกจากแนวกลางร่างกาย Anterior หรือ Ventral ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ด้านหน้าของร่างกายแขนและขา Posterior หรือ Dorsal ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ด้านหลังร่างกาย แขนและ ขา Proximal ตำแหน่ง อวัยวะที่อยู่ใกล้จุดเริ่มต้น หรือส่วนที่อยู่ใกล้ลำตัว Distal ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ส่วนปลายหรือ อยู่ไกลลำตัว ใช้พูดถึงแขน ขา เช่น ปลาย มือ หรือ ปลายเท้า ที่อยู่ใกลลำตัว Internal ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ ด้านในร่างกายหรือ ด้านในของผนังอวัยวะ External ตำแหน่งอวัยวะที่อยู่ ด้านนอกร่างกาย Superficial ตำแหน่งอวัยวะ ส่วนที่อยู่ ตื้นหรือใกล้กับผิวภายนอก Deep ตำแหน่งอวัยวะ ส่วนที่อยู่ ลึกหรือไกลจากผิวภายนอก Ascending หมายถึง พุ่งขึ้น ใช้กับอวัยวะที่มีลักษณะพุ่งขึ้นข้างบน เช่น ลำไส้ใหญ่ส่วนที่ พุ่งขึ้น บน(ascending colon) หรือหลอดเลือด aorta ส่วนที่ทอดตัวจากด้านล่างขึ้นด้านบน (ascending aorta) Descending หมายถึง ลงต่ำ ใช้กับอวัยวะที่มีลักษณะทอดตัวลงด้านล่าง เช่น ลำไส้ใหญ่ ส่วนที่พาดลงล่าง(descending colon) หรือหลอดเลือด aorta ส่วนที่ทอดตัวจากบนลงล่าง (descending aorta) Peripheral หมายถึง ส่วนปลาย หรือส่วนที่อยู่ ห่างออกไปจากศูนย์กลาง Central หมายถึง ตำแหน่งอวัยวะ ที่อยู่ศูนย์กลาง Visceral หมายถึง ตำแหน่งโครงสร้าง ส่วนที่อยู่ชั้นในของอวัยวะ เช่น เยื่อหุ้มปอดชั้นใน (visceral pleura) Parietal หมายถึง ตำแหน่งโครงสร้าง ส่วนที่อยู่ชั้นนอกของอวัยวะ เช่น เยื่อหุ้มปอด ชั้นนอก (parietal pleura)
4 3.คำศัพท์เกี่ยวกับท่าทางและการเคลื่อนไหว (Term of position and movement) เป็นคำศัพท์ที่ใช้บอกรูปแบบ การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ได้แก่ Flexion (การงอ) หมายถึง ลักษณะการเคลื่อนส่วนของร่างกายสองส่วน เข้ามาใกล้กัน ทำให้มุม แคบลง เช่น การงอข้อศอก เป็น การเคลื่อนไหว ปลายแขนเข้ามาใกล้ต้นแขน Extension (การเหยียด) หมายถึง ลักษณะการเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายสองส่วน ไปในทิศทางตรงข้าม กัน ทำให้มุมเพิ่มขึ้น เช่น การเหยียดข้อเข่า เป็นการเคลื่อนไหวปลายขา ออกห่าง จากต้นขา Abduction (การกางออก) หมายถึง การเคลื่อนย้ายโครงสร้าง ให้ห่างออกไปจาก แนวกลางของ ลำตัว เช่น การกางแขน ออกไปด้านข้างของลำตัว Adduction (การหุบเข้า) หมายถึง การเคลื่อนย้ายโครงสร้างเข้ามาใกล้แนวกลาง ลำตัวหรือเคลื่อนใน ทิศทางตรงข้ามกับ abduction เช่น การดึงแขน หรือขาเข้าหาลำตัว Circumduction (การเคลื่อนไหวลักษณะเหมือนกรวยกลม ) หมายถึง การเคลื่อนไหวส่วนของร่างกาย โดยมียอดกรวยอยู่ที่ข้อไหล่ เคลื่อนเป็นวงกลม ทำได้ที่ ข้อไหล่ ข้อสะโพก Rotation (การหมุน) หมายถึง การเคลื่อนไหวส่วนของร่างกาย รอบแกนตามยาว ของร่างกายหรือ อวัยวะ การหมุนมีสองทาง ได้แก่ แบบ medial rotation คือหมุนเข้าหาแนว midline และ lateral rotation หมุนออกจากแนว midline Pronation (การคว่ำ) หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายให้อยู่ในท่าคว่ำ เช่น การ นอนคว่ำ การคว่ำมือ Supination (การหงายมือ) หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายให้อยู่ในท่าหงาย เช่น นอนหงาย หงายมือ หรือการเคลื่อนไหวในทิศตรงข้ามกับ pronation
5 Protraction (การยื่นไปข้างหน้า ) หมายถึง การเคลื่อนย้ายบางส่วนของร่างกายไป ข้างหน้า เช่น การเคลื่อนขากรรไกรล่าง หรือไหลไปด้านหน้า Retraction (การยื่นไปข้างหลัง) หมายถึง การเคลื่อนย้ายบางส่วนของร่างกายไป ด้านหลัง เช่น การดึง ไหลไปด้านหลัง เป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับ protraction Eversion (การหมุนออกด้านนอก) หมายถึง การหมุนฝ่าเท้าไปด้านข้าง (นอกลำตัว) หรือ lateral rotation ของฝ่าเท้า (plantar) Inversion (การหมุนเข้าด้านใน) หมายถึง การหมุนฝ่าเท้าเข้าหาด้านในลำตัว หรือ medial rotation ของ plantar depression (การกดลง) หมายถึง การเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายให้ต่ำลงด้านล่าง เช่น การปล่อยไหล่ ที่ยกขึ้นลงสู่ตำแหน่งเดิม การปล่อยขากรรไกรล่างให้น้อยลง ( การอ้าปาก) elevation (การยกขึ้น) หมายถึง การเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายขึ้นด้านบน เช่น การยกไหล่ขึ้นด้านบน การยกขากรรไกรล่างขึ้น (การหุบปาก) plantar flexion (การงอปลายเท้าลง) หมายถึงการเคลื่อนไหวของปลายเท้าโดย การกดลง dorsiflexion (การกระดกปลายเท้าขึ้น) หมายถึงการเคลื่อนไหวของปลายเท้าโดย การยกขึ้น
6 4.โพรงในร่างกาย (Body cavity) โพรงใหญ่ 2 โพรง ถูกกั้นด้วย กระดูกสันหลัง (vertebral column) ดังนี้ 4.1 โพรงด้านหลัง (Dorsal cavity) เป็นโพรงที่อยู่ด้านหลังของร่างกาย มีกระดูก ล้อมรอบ ประกอบด้วยโพรงย่อย ได้แก่ - โพรงไขสันหลัง (Spinal cavity หรือ vertebral cavity) เป็นโพรงที่ล้อมรอบด้วย กระดูกสันหลัง ภายในโพรง บรรจุไขสันหลัง (spinal cord) ด้านบนของโพรงนี้ติดต่อกับโพรงกะโหลก ศีรษะที่ทอดต่อมาจากโพรงสมอง -โพรงสมอง (Cranial cavity) เป็นโพรงที่ล้อมรอบด้วยกะโหลกศีรษะ ภายในมี สมอง (brain) บรรจุอยู่ ด้านล่างสุดของโพรงนี้จะติดต่อกับโพรงไขสันหลัง นอกจากนี้ภายในโพรงสมอง ยังมีโพรงเล็ก ๆ อีก 3 โพรง คือ 1.โพรงเบ้าตา (Orbital cavities) ภายในบรรจุตา (eyes) เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงลูกตา (optic nerve) กล้ามเนื้อตา (muscle of the eyeball) และต่อมขับน้ำตา (lacrimal gland) 2.โพรงจมูก (nasal cavity) 3.โพรงปาก (buccal cavity or mouth cavity) เป็นที่อยู่ของลิ้น (tongue) และฟัน (teeth) 4.2 โพรงด้านหน้า (ventral cavity) เป็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าของร่างกาย เป็น โพรงที่ไม่มีกระดูกล้อม อยู่ครบ โพรงนี้อยู่ ต่อจากกระดูกสันหลังออกมาทางด้านหน้า ล้อมรอบด้วยผิวหนัง (skin) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) กระดูก (bone) กล้ามเนื้อ (muscle) และเยื่อบางเหนียว (serous membrane) โพรงนี้ถูกแบ่งออกโดยกระบังลม (diaphragm) ได้เป็น 1. โพรงอก (Thoracic cavity) เป็นโพรงที่อยู่เหนือกระบังลม มีกระดูกซี่โครงเป็น เกราะป้องกัน โพรงอก แบ่งออกเป็นโพรงย่อยโดยมีแผ่นเยื่อบาง ๆ ล้อมรอบได้แก่ โพรงรอบหัวใจ (pericardial cavity) โพรงเยื่อหุ้ม ปอด (pleural cavity) ซึ่งมี ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา แต่ละด้านเป็นที่อยู่ของปอด บริเวณที่อยู่ระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง เรียกว่า mediastinum ภายในบรรจุอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ หลอดลม (trachea) หลอดลมแยก (bronchi) ปอด (ในng) หลอดอาหาร (esophagus) เส้นประสาท (nerve) หัวใจ (heart) หลอดเลือดขนาดใหญ่ที่ติดต่อกับ หัวใจ เช่น aorta, superior vena Cava และ inferior Cava
7 2. โพรงช่องท้องและช่องเชิงกราน (Abdominopeliv cavity) เป็นโพรงที่อยู่ใต้ กระบังลม แบ่งออกเป็นโพรง 2 ย่อย โดยเส้นสมมติที่ลากจากส่วนนูนของกระดูกสันหลัง (Sacral promontary) ไปยัง บริเวณที่กระดูก เชิงกรานชนกันทางด้านหน้า ประกอบด้วย 2.1 โพรงช่องท้อง (abdominal cavity) เป็นโพรงอยู่ทางด้านบน ด้านข้างมี ผนัง ด้านหน้าเป็นกล้ามเนื้อ และ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ภายในโพรงช่องท้องประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ใน ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ กระเพาะ อาหาร (stomach) ตับ (liver) ถุงน้ำดี (gal bladder) ตับอ่อน (pancreas) ม้าม (spleen) ไต (kidney) หลอดไต (ureter) ลำไส้เล็ก (Small intestine) ลำไส้ใหญ่ (large intestine) 2.2 โพรงช่องท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกราน (pelvic Cavity) เป็นโพรงที่อยู่ใต้ต่อ จากโพรงช่องท้อง ถูกล้อม รอบด้วยกระดูกเชิงกราน ภายในอุ้งเชิงกรานประกอบด้วย ลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid colon กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) ไส้ตรง (rectum) และอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของ เพศหญิง ทั้งหมด ได้แก่ มดลูก (uterus) ท่อมดลูก (uterine tube) รังไข่ (ovaries) เพศชายมีอวัยวะสืบพันธุ์ บางส่วน ได้แก่ ท่อน้ำเชื้ออสุจิ (vas deferen) ถุงสร้างน้ำเลี้ยงเชื้อ (seminal vesicle) และต่อม ลูกหมาก (prostate gland)
8 5.บริเวณของร่างกาย (Body Regions ) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน 5.1 ส่วนแกนกลาง (Axial part) ได้แก่ - ศีรษะ (head) ประกอบด้วย ขม่อม (Crown หรือ vertex) หน้าผาก (frontal) ท้ายทอย (occiput) ขมับ (temple) หู (ears) บริเวณใบหน้า (face) ซึ่งประกอบด้วย ตา (eyes หรือ occular) จมูก (nose หรือ nasus) ปาก (mouth หรือ os) - คอ (neck) เป็น ส่วนที่อยู่ระหว่างศีรษะและลำตัว - ลำตัว (trunk) แบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ 1.อก (thorax) ประกอบด้วย หน้าอก (breast) นม (mamma) หลัง (back) ช่องอก (thoracic cavity) 2.ท้อง (abdomen) ตั้งแต่ยอดอกลงไปถึงหัวหน่าว หน้าท้องแบ่งออกเป็นบริเวณต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 หน้าท้องแบ่ง ออกเป็น 4 ส่วน ใช้สะดือเป็นจุดตัดของเส้นตั้งและเส้นนอน 2.2 หน้าท้องแบ่ง ออกเป็น 9 ส่วน ใช้แนวขวาง และแนวดิ่ง ได้แก่ ระนาบแนวขวาง (transverse plane) - เส้นที่ 1 เส้นชายโครง (subcostal plane) เป็นระนาบแนวขวางที่ ผ่านจุดต่ำสุดของโครงทั้งสองข้าง ระนาบนี้อยู่ตรงกับ กระดูกสันหลังระดับเอวชิ้นที่ 1 แนวนี้ผ่านชาย โครงด้านซ้าย จะตรงกับ กระเพาะอาหาร ส่วน pylorus -เส้นที่ 2 เส้นปุ่มกระดูกเชิงกราน (anterior superior iliac spine) เป็นระนาบแนวขวางที่ผ่านปุ่มกระดูก เชิงกรานด้านหน้า แนวนี้ตรงกับกระดูกสันหลังระดับเอวชิ้นที่ 5 แนวดิ่ง ( vertical plane) ระนาบมี 2 แนว ขวาและซ้าย ทั้งสองแนว เริ่มจากบริเวณกึ่งกลางของกระดูก ไหปลาร้า (midclavicular line) ข้าง ไปจด ปุ่มกระดูกที่ปีกเชิงกราน ด้านหน้า (anterior superior iliac ระนาบ spine)
9 บริเวณต่างๆของหน้าท้องแบ่งออกเป็น 9 ส่วนได้แก่ 1. Right hypochondriac region บริเวณชายโครงขวา มีอวัยวะที่สำคัญคือ ตับ ถุงน้ำดี หากพบก้อน หรือมีอาการปวด หรือกดเจ็บบริเวณนี้ อาจร่วมกับอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ก็พึงนึกถึงโรคของตับ หรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ โรคมะเร็งในตับ โรคพยาธิใบไม้ในตับ 2. Epigastric region บริเวณใต้ลิ้นปี่ มีอวัยวะที่สำคัญคือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ถ้าอาการปวดใน บริเวณนี้ ปวดเป็นประจำเวลาหิวจัดหรืออิ่มจัด น่าจะเป็นโรคแผลในกระเพาะ ถ้าเป็นรุนแรงติดต่อกันนาน เกิน 6 ชั่วโมง น่าจะลึกถึงโรคกระเพาะอาหารทะลุ (โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแก้ปวดอยู่เป็นประจำ) ตับอ่อน อักเสบ (โดยเฉพาะพวกที่ดื่มเหล้าจัด) หากคลำได้ก้อน พึงนึกถึงโรคมะเร็งในกระเพาะ 3. Left hypochondriac region บริเวณชายโครงซ้าย มีอวัยวะที่สำคัญคือ ม้าม หากคลำพบก้อนใน บริเวณนี้ แสดงว่ามีอาการม้ามโต พบได้ในโรคมาลาเรีย ทัยฟอยด์ โรคเลือด (เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคธาลัสซีเมีย) 4. Right lumbar region บริเวณสะเอวข้างขวา มีอวัยวะที่สำคัญคือ ท่อไต ตัวไต ลำไส้ใหญ่ ถ้ามี อาการปวดบิดรุนแรงร้าวลงมาที่ต้นขา ก็น่าเป็นโรคนิ่วในท่อไต ถ้ามีอาการปวดหรือกดเจ็บร่วมกับปวด หลัง ไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น พึงนึกถึงโรคไตอักเสบ ถ้าคลำได้ก้อน อาจเป็นก้อนของไต ลำไส้ใหญ่ (โรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่) หรือก้อนอุจจาระเนื่องจากท้องผูก
10 5. Umbilical region บริเวณรอบๆ สะดือ มีอวัยวะที่สำคัญคือ ลำไส้เล็ก อาการปวดในบริเวณนี้ พบในโรค ท้องร่วง ไส้ติ่งอักเสบในระยะเริ่มแรก (ก่อนจะย้ายมาปวดที่ท้องน้อยข้างขวา) 6. Left lumbar region บริเวณสะเอวข้างซ้าย มีอวัยวะและโรคที่พบได้ เช่นเดียวกับบริเวณสะเอวข้างขวา 7. Right iliac region บริเวณท้องน้อยข้างขวา มีอวัยวะที่สำคัญคือ ไส้ติ่ง ท่อไต ปีกมดลูก ถ้าพบมีอาการ ปวดบิดเป็นพัก และร้าวมาที่ต้นขา น่าจะเป็นโรคนิ่วในท่อไต ถ้าพบมีอาการปวดเสียดตลอดเวลาและกดถูกจะ เจ็บมาก พึงนึกถึงโรคไส้ติ่งอักเสบ ถ้าพบว่ามีอาการปวดร่วมไข้สูงหนาวสั่น หรือตกขาวในผู้หญิงพึงนึกถึงปีก มดลูกอักเสบอีกโรคหนึ่งด้วย หากคลำได้ก้อนอาจเป็นก้อนของไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ที่ผิดปกติก็ได้ 8. Hypogastric region บริเวณท้องน้อย มีอวัยวะที่สำคัญคือ กระเพาะปัสสาวะ มดลูก (ในผู้หญิง) หากพบ มีอาการปวดบิดเป็นพักๆ เวลามีประจำเดือน ก็น่าจะเป็นอาการปวดประจำเดือน (ถ้าเป็นเรื้อรังในหญิงที่ แต่งงานแล้วไม่มีบุตร ควรนึกถึงเนื้องอกในมดลูกด้วย) ถ้าปวดเวลาปัสสาวะก็น่าจะเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะ อักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ 9. Left iliac region บริเวณท้องน้อยข้างซ้าย มีอวัยวะที่สำคัญคือ ท่อไต และปีกมดลูก อาการปวดใน บริเวณนี้พบในโรคนิ่วในท่อไต กับปีกมดลูกอักเสบ
11 3. ท้องน้อย (pelvis) นับตั้งแต่หัวหน่าวลงไปถึงฝีเย็บระหว่างซอกขาทั้ง 2ข้าง แบ่งออกเป็นช่อง ท้องน้อย (pelvic cavity) อวัยวะสืบพันธุ์ (genital organ) ฝีเย็บ (perinium) (บริเวณของลำตัวส่วนต่ำที่สุดซึ่งอยู่ระหว่างโคนขาทั้ง 2 ข้าง) ก้น (buttock) ซอกก้น (natal cleft) 5.2 ระยางค์ หรือ แขน และขา (extremities หรือ limbs) - แขน (Upper extremities หรือ upper limbs) ติดต่อกับลำตัวตรงไหล่ (Shoulder) ประกอบด้วย ต้นแขน (arm) ข้อศอก (elbow) ปลายแขน (forearm) มือ (hand) ข้อมือ (wrist) ฝ่ามือ (palm of volar or front of hand) หลังมือ (back or hand) นิ้วมือ (Fingers) ประกอบด้วย นิ้วหัวแม่มือ (thumb) นิ้ว (Index finger) นิ้วกลาง (middle finger) นิ้วนาง (ring finger) นิ้วก้อย (Little finger) - ขา (lower extremities หรือ lower of limb) ส่วนของร่างกายตั้งแต่สะโพก ลงไปที่เท้า สะโพก คือ ส่วนที่ต่อระหว่างล้วตัวส่วนท้องน้อยกับขา ประกอบด้วย ต้นขา (thigh) หัวเข่า (knee) ปลายขา (eg) หน้าแข้ง (shin) น่อง (calf) ข้อเท้า (ankle) และเท้า (foot) ประกอบด้วย ส้นเท้า (heel) ฝ่าเท้า (sole or plantar) หลังเท้า (dorsum of foot) นิ้วเท้า (toe) ประกอบด้วย นิ้วหัวแม่เท้า (great toe) นิ้วเท้าอันที่ 2 (second toe) นิ้วเท้าอันที่ 3 (third toe) นิ้วเท้าอันที่ 4 (fourth toe) นิ้วเท้าอันที่ 5 (Little toe)
12 สรีรวิทยา (Physiology) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่และกลไกการทํางานของร่างกาย ในสภาวะปกติเน้นการควบคุม อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ให้ทำงานสอดคล้องแประสานกัน และปรับภาวะต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงให้กลับคืนสู่ภาวะสมดุล (horทeostasis) เช่น การเปลี่ยนแปลง ความดันเลือดในร่างกาย สภาพแวดล้อมที่ทำให้สมดุลของร่างกายเปลี่ยนแปลงได้แก่ สภาพแวดล้อมนอกร่างกาย (external environment) และสภาพแวดล้อมในร่างกาย (internal environment) ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นกับ การเปลี่ยนแปลงของ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบเซลล์ ในสัตว์ขั้นสูง สภาพแวดล้อมในร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญที่ ทำให้ชีวิตตำรงอยู่ได้ ตัวแปรที่มีผลต่อการรักษาสภาพแวดล้อมในร่างกายให้คงที่ ได้แก่ ความเข้มข้น ของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ สารอาหาร ของเสีย เกลือแร่ อิเล็คโทลัยต์ ความเป็นกรด-เบส (pH) ปริมาตรของเหลวนอกเซลล์ แรงดันออสโมติคของเหลว อุณหภูมิร่างกาย การรักษาดุลยภาพ ภายในร่างกาย (homeostasis) เป็นหัวใจสำคัญต่อการทำหน้าที่ของร่างกาย ของเหลวในร่างกายส่วนใหญ่ มีน้ำเป็นองค์ประกอบ ซึ่งมีถึง 60% ของน้ำหนักตัว โดยแบ่งออกเป็น - ของเหลวในเซลล์ (Intercellular fluid : ICF) มีประมาณ 40% - ของเหลวนอกเซลล์ (Extracellular fluid : ECF) มีประมาณ 20% โดย แบ่งออกตามที่อยู่ที่แตกต่างกันดังนี้ 1) ของเหลวในหลอดเลือด มีประมาณ 59% ของน้ำหนักตัว ได้แก่ น้ำเลือด (blood plasma) 2) ของเหลวระหว่างเซลล์ (interstitiat fluid) มีประมาณ 15% ของน้ำหนักตัว ได้แก่ ของเหลวนอกหลอด เลือด เกิดจากการกรองของน้ำในเลือด ผ่านหลอดเลือดฝอยออกมา ภาวะปกติ ของเหลวนี้จะถูกดูดกลับเข้า ระบบไหลเวียน ผ่านหลอดเลือดดำเล็ก และบางส่วนผ่านเข้าทางหลอด น้ำเหลือง 3) ของเหลวข้ามเซลล์ (trancellular fluid) มีประมาณ 1-3 % ของน้ำหนักตัว คือ ของเหลวที่ อยู่ตามโพรง ต่าง ๆ เช่น น้ำไขสันหลัง น้ำในลูกตา ของเหลวชนิดนี้หลั่งจากเนื้อเยื่อที่อยู่รอบ ๆ โพรงที่บรรจุของเหลว
13 กกบคาาววรรรกบ่คคา(คpุงววมกoบบยาs้คคอยุุiมมtนใiยยชvก้้้ออeลกันนบาfกกeรแลลeคบัับบdวบแbบบ(บfaควeุบcมกekลยd้บอCbน(oanกcneลktัgบrmoaเlteป)i็cvนภheตาัaววfneะช่ปeiวsกdยmตbริัsaกร)่cษาkงากCดาุลoยยnมัภtกrาใoชพ้lก)โาแดรลยคะแวกบบา่งครุเคมป็ยวน้บอ2คนุมกแยลบ้ัอบบนแคบกือบลัลบบแบมบากกว่าการ การควบคุมย้อนกลับแบบลบ คือ ภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นในลักษณะตรงข้าม นกั้บำตสัาญลญที่เาพิณ่มทใี่หป้้อกนลัเบช้มามาสาู่รเะช่ดนับเปมื่กอตริะดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ร่างกายจะตอบสนอง โดยปรับลดระดับ มกับากสแัาญลระญคยวิา่งบณทคุทาีม่รปย้ก้ออดนูนดเกขน้ลามัมบฮาแอบเชรบ่์นโบมวขนกณoคะxืแอyมt่ภใoหา้cนวiะมnทีบ่จุรต่ะายรงิ่งกฮหาอลยัร่ง์ตโมมอานบกสOขึน้นxอyงtตo่อcสiิn่งกจระหะตลุั้่นงใมนาลักกรษะณตุ้นะเใดหี้ยนว้ำนมหลั่งออก การควบคุมแบบย้อนกลับมี องค์ประกอบของ ดังนี้ ตัวรับรู้ (receptor) ศูนย์ควบคุม (Control Center) และตัวตอบสนอง (effector) กลไกการทำงานขององค์ประกอบ แต่ละชนิดในการควบคุมดุลยภาพ คือ 1. เมื่อสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในของร่างกาย มาเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตัวรับรู้จะ ส่งสัญญาณต่อไปที่ ศูนย์ควบคุม 2. ศูนย์ควบคุมจะประมวลผล และสั่งคำสั่งไปยังตัวตอบสนองให้ทำงาน 3. ตัวตอบสนองจะทำงานโดยเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมไปในทิศทางที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกาย กลับเข้าสู่สภาพปกติ
14 สภาวะแวดล้อมภายนอกและสภาวะแวดล้อมภายในเซลล์ แยกจากกันโดยเยื่อหุ้มเซลล์ เซลล์ที่มีชีวิต จะสำเนียง สารเข้า ออกเซลล์ตลอดเวลา เพื่อใช้สร้างพลังงาน และนำของเสียที่เกิดขึ้น รับออกจากเซลล์ แต่เยื่อหุ้มเซลล์ จะยอมให้สารบางชนิดขนส่งผ่าน ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์สามารถควบคุม ภาวะแวดล้อมภายในเซลล์ได้ องคฺประกอบของ cell membrane 1. Protein - โปรตีนภายใน (integral protein) ส่วนใหญจ ะแทรกตัวอยูในชั้นของไขมัน - โปรตีนภายนอก (peripheral protein) มี ประจุ ชอบนํ้า จะจับอยู่ภายนอกด้วยพันธะไฮโดรเจน 2. Lipid - phospholipid - cholesterol - glycolipids 3. Carbohydrate ทําหนาที่ เปน antigen และ receptor - glycoprotein - glycolipid การขนส่งสารผ่านเข้าออกเซลล์แบ่งได้ 3 แบบ คือ 1. การขนส่งแบบไม่ใช้พลังงาน (ผจรws transport) 1.1 การแพร์ยรรมดา (simple (diffusion) 1.2 การแพร่แบบเร่งรัด (Facilitated diffusion) 2. การขนเส่งแบบใช้พลังงาน (active transport) 2.1 แบบปฐมภูมิ (priทary active traก(port) 2.2 แบบทุติยภูมิ (secondary active transport 3. การขนส่งโดยสร้างถุงจากเยื่อหุ้มเซลล์ (Bulk transport) 3.1 เอกโซไซโตซิส (exocytosis) 3.2 เอนโดไซโตซิส (endocytoฟร)
15 1. การขนส่งแบบไม่ใช้พลังงาน (passive transport) 1.1 การแพร่แบบธรรมดา (simple diffusion) เป็นการเคลื่อนที่ สารจากบริเวณที่มี ความเข้มข้นของสารสูง ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารต่ำกว่า การเคลื่อนที่ลักษณะนี้ไม่มีทิศทาง แน่นอน การเคลื่อนที่ของสารจะยุติลง เมื่อสารสองบริเวณมีความเข้มข้นเท่ากัน สารที่เคลื่อนที่เข้าและ ออกจากเซลล์ด้วยวิธีนี้ ต้องเป็น สารที่โมเลกุลมีขนาดเล็กและละลายได้ดีในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว (ไขมัน) ตัวอย่างได้แก่ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน แอลกอฮอล์ กรดไขมัน และฮอร์โมนจำ พวกสเตียรอยด์ ปัจจัยที่กำหนดอัตราเร็วในการแพร่ มีดังนี้ 1. ความหนาของเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์บาง การแพร่เร็ว 2. โปรตีนช่องทางที่ยอมให้สารผ่าน ถ้ามีโปรตีนจำนวนมาก การแพร่เร็ว 3. อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ สูงเล็กน้อย การแพร่เร็ว 4. ความสามารถในการละลายในไขมัน ถ้าละลายได้ดี การแพร่เกิดเร็ว 5. น้ำหนักโมเลกุลของสาร ถ้าน้ำหนักน้อย การแพร่เกิดเร็ว 6. ความเข้มข้นของสารของเยื่อเซลล์ทั้ง 2 ข้าง ถ้าแตกต่างกันมากการแพร่เกิดเร็ว 7. ศักย์ไฟฟ้าของเยื่อเซลล์ ที่แตกต่างกัน 2 ข้าง ทำให้เกิดการผลักหรือดึงดูด ไอออนให้เคลื่อนที่ไปได้ ทำให้การ แพร่เกิดเร็ว แม้ว่าความเข้มข้นของทั้งสองบริเวณจะเท่ากัน 8. ความดันของสารสองบริเวณที่แตกต่างกัน โมเลกุลของสารจะแพร่จากบริเวณที่ มีความดันสูง ไปยังบริเวณที่มีความดันต่ำกว่า ถ้าแตกต่างกันมากการแพร่เกิดเร็ว 1.การแพร่ของสาร 1. โมเลกุลของสารเคลื่อนที่ แทรกทะลุผ่านชั้นไขมันที่เยื่อหุ้มเซลล์ การขนส่ง แบบ นี้ใช้ขนส่งสารที่ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ดีในไขมัน ได้แก่สารที่กลัวน้ำ (hydrophobic ) 2. โมเลกุลของสารเคลื่อนผ่านช่องที่อยู่ ระหว่าง หน่วยย่อยของ โปรตีน ภายในเยื่อ หุ้มเซลล์ ซ่องนี้มีความจำเพาะต่อ สารโมเลกุลเล็ก ๆ ที่มีประจุ ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น ผ่านได้ ได้แก่ K, Na, ca, CI แต่ ช่องทางนี้ไม่ได้เปิดให้สารผ่านเข้าออกตลอดเวลา การเปิดหรือปิด ของช่องทางถูก ควบคุมโดยปรากฏการณ์ที่สำคัญ 2 ชนิด คือ -เมื่อสารที่จะแพร่ จับกับโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของช่องทางนั้น แล้วทำ ให้โครงสร้างของโปรตีนเปลี่ยน ประตูของช่องทางชนิดนี้จะ เปิด เรียก Ligand gating -ความต่างศักย์ที่เยื่อเซลล์เปลี่ยนแปลงทำให้ประตูปิดหรือเปิด เรียก Voltage gating
16 การแพร่แบบเร่งรัด (Facilitated diffusion) เป็นการเคลื่อนที่ของสารโดยอาศัยโปรตีน ตัวพา (carrier protein) ที่ฝังตัวอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ โปรตีนตัวพามีรูปร่างจำเพาะกับสารที่จะขนส่ง เมื่อ โปรตีน ตัวพาจับกับสารที่จะขนส่งซึ่งอยู่นอกเซลล์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลง โครงสร้าง ทำให้สารที่จับกับ โปรตีนตัว พาเคลื่อนมาที่ด้านในของเยื่อเซลล์และปล่อยสารที่จับไว้ เข้าสู่สารละลายในเซลล์ หลังจาก ปล่อยสารทิ้ง โครงสร้างโปรตีนตัวพา จะเปลี่ยนกลับเหมือนเดิม โดยหันบริเวณที่จะจับกับสารที่ต้องการ ขนส่ง มาอยู่ที่ นอกเยื่อเซลล์ เกิดเป็นวงจรการพาใหม่ เช่นนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งความเข้มข้นของ สารละลายภายในและ นอกเขลล์เท่ากัน อัตราการแพร์แบบเร่งรัดแตกต่างจากการแพร่ธรรมดา คือ 1. อัตราการขนส่งเร็วกว่าการแพร่แบบธรรมดามาก 2. จุดอิ่มตัว (saturation) ของการแพร่แบบเร่งรัดเกิดเร็วกว่าการแพร่แบบ บรรดา 3. ความจำเพาะของโปรตีนสูง (specificity) เช่น โปรตีนตัวพามีโครงสร้างทาง เคมีจำเพาะต่อสารที่ขนส่ง แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น เช่น น้ำตาล D-glucose จะแพร่แบบเร่งรัดในขณะที่ น้ำตาล L-glucose จะไม่ถูกขนส่งโดยวิธีนี้ 4. ถ้ามีสารอื่นที่โครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับโปรตีนตัวพา อัตราการขนส่ง สารจะลดลง เนื่องจากสาร นั้น จะแย่งจับกับโปรตีนตัวพาแทนตัวที่ถูกขนส่ง ทำให้ สารที่ต้องการขนส่ง ถูก ขนส่งลดลง เช่น น้ำตาล D-glucose จะขนส่งลดลงถ้ามี น้ำตาล D-galactose สารโมเลกุลใหญ่ที่ไม่ แตกตัว และไม่ละลายในน้ำ เช่น กลีเซอรอล กลูโคสและกรดอะมิโน ส่วนใหญ่ถูกขนส่งเข้าเซลล์ โดย อาศัยโปรตีนตัวพาที่เยื่อเซลล์เอง
17 2. การขนส่งสารแบบใช้พลังงาน (Active transport) การขนส่งสารแบบใช้พลังงาน เป็นการขนส่งสาร ต้านความต่างของระดับความเข้มข้น (เคลื่อนจากที่มีความเข้มข้นของสารน้อยไปยังที่มีความเข้มข้นของสารมาก) และต้านความต่างระดับ ทางไฟฟ้า และเคมี ลักษณะเฉพาะของการขนส่ง คือ 1. ไม่มีจุดอิ่มตัวของการขนส่ง 2. มีความจำเพาะในการขนส่งสารบางชนิด 3. ถูกยับยั้งได้โดยสารที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายกัน หรือถูกยับยั้งเมื่อหมดพลังงาน 4. การขนส่งใช้พลังงานจากขบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ โดยพลังงานที่ใช้เกิดที่ ผนังด้านในของเยื่อหุ้มเซลล์ (Na - K pump) การขนส่งสารแบบใช้พลังงานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 2.1 การขนส่งแบบใช้พลังงานปฐมภูมิ (primary active transport) เป็นการขนส่ง โดยใช้พลังงานโดยตรงจากสารพลังงานสูง ATP ( adenosine triphosphate) ซึ่งได้มาจากการเผาผลาญ สารอาหาร หรือสารประกอบฟอสเฟตพลังงานสูงอื่น ได้แก่ การขนส่ง Na ออกจากเซลล์เคลื่อนที่ด้าน ระดับ ความเข้มข้น (Na นอกเซลล์ มากกว่าในเซลล์) และการเคลื่อนของ K” เข้าสู่เซลล์โดยต้านระดับ ความเข้มข้น (K” ในเซลล์ มากกว่านอกเซลล์) โดยมี Na K ATPase pump ที่ผิวเซลล์เป็นตัวทำงาน ATP แต่ละโมเลกุล ใช้เปลี่ยนแปลงรูปร่างของโปรตีนที่เยื่อเซลล์ เพื่อขนส่ง Na ให้เคลื่อนออกจากเซลล์ 3 โมเลกุล แลกกับการขนส่ง K” เคลื่อนเข้าสู่เซลล์ 2 โมเลกุล ดังนั้นเมื่อเซลล์กลับสู่สภาวะปกติ ความต่างศักย์ไฟฟ้าภายในเซลล์จะมีค่าเป็นลบ Na+/K+ Pump
18 2.2 การขนส่งแบบใช้พลังงานทุติยภูมิ (secondary active transport) เป็นการขนส่งสารควบคู่ไปกับสารอื่น การเคลื่อนที่อาจไปในทิศทางเดียวกันหรือ ตรงข้ามกับสารอื่น พลังงาน จากการเคลื่อนที่ของสารนั้น ไม่ใช่ ATP แต่เกิดจากการสะสมศักย์ทางเคมีจากการ เคลื่อนที่ของสารจาก บริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่ง ถ้าสารเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันกับสารอื่นเรียกว่า การขนส่งร่วม (cotransport or Symport) เช่น การขนส่ง กลูโคส กรดอะมิโน กลัยขึ้น Na จากนอกเซลล์เข้าในเซลล์ คู่ไปกับการขนส่งโซเดียม ตามลาดความเข้มข้น ที่ไม่ใช้พลังงาน การขนส่งแบบนี้เกิดได้ แม้ กลูโคส จะมี ทิศทางต้านลาดความเข้มข้น ซึ่งมีการใช้พลังงาน แต่พลังงานที่ใช้ในการขนส่งไม่ได้มาจากการสลาย ATPถ้า ขนส่งสารทั้งสอง เคลื่อนที่สวนทิศทางกัน เรียกว่า การขนส่งขัดแย้ง (counter antiport) เช่น การเคลื่อน ของ K” แลกที่กับ Na ที่ท่อไตฝอยส่วนปลาย 3. การขนส่งสารโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ การขนส่งสารโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นการลำเลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าหรือออก จากเซลล์ โดยสารโมเลกุลใหญ่ไม่สามารถผ่านทะลุเยื่อหุ้มเซลล์ หรือช่องโปรตีนในเยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรง การเคลื่อนที่ของสารโมเลกุลใหญ่ ไม่ใช้การแพร่แบบเร่งรัด และการขนส่งแบบใช้พลังงาน เซลล์ขนส่งสาร โมเลกุลใหญ่ได้ โดยเยื่อหุ้มเซลล์จะ โอบล้อม สารนั้น เข้าไว้ กลายเป็นถุงเล็ก ๆ (Vesicle) หลังจากนั้น เยื่อหุ้มเซลล์ส่วนที่เป็นถุงก็จะหลุดออกจากเยื่อหุ้มเซลล์ส่วนอื่น ๆ ทิศทางการขนส่งสาร อาจเคลื่อนที่ เข้าในเซลล์ (endocytosis) หรือเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ (exocytosis)
19 3.1 การนำสารเข้าในเซลล์ (Endocytosis) มีรูปแบบการนำเข้าที่แตกต่างกันได้แก่ Pinocytosis หรือ Celt drinking คือ การนำสารละลายเข้าสู่เซลล์ โดยทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เว้าเข้าไปในไซ โทพลาสซึม ทีละน้อยจนกลายเป็นถุงเล็ก ๆ (Vesicle) ถุงนี้จะปิดสนิทหลุดเข้ามาอยู่ในไซโทพลาสซึม เช่นการนำสารเข้าสู่เซลล์ท่อไตฝอย การนำไขมันเข้าสู่เซลล์เยื่อบุของลำไส้ เป็นต้น Phagocytosis หรือ Cell eating คือ การนำสารที่มีลักษณะเป็นของแข็ง เข้าสู่เซลล์โดยการสร้าง Pseudopodium โอบล้อมสารนั้น เกิดเป็นถุงหลุดเข้าไปในเซลล์ เช่น การจับเชื้อแบคทีเรียของเซลล์ เม็ดเลือดขาว การกินอาหารของอะมีบา Recepter -mediated endocytosis คือ การนำสารเข้าสู่เซลล์โดยอาศัยตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ ที่มีความจำเพาะจับกับสารที่ ต้องการขนส่งก่อน จากนั้นเยื่อหุ้มเซลล์ เว้า และหลุดเป็นถุงเข้าไปในไซโทพลาสซึม เช่น การขนส่ง Chlolesterol, Lipoprotein , Antigen, Immunoglobulin, Fibrin,lnsulin 3.2 การนำสารออกนอกเซลล์ (Exocytosis) เป็น การกำจัดสารที่เหลือจากการย่อย ของเซลล์ หรือของเสียออกนอกเซลล์ ได้แก่ กากอาหาร ฯลฯ หรือ นำสารที่เซลล์สร้าง แล้วส่งออก นอกเซลล์ เช่น เอนไซม์ ฮอร์โมน ออสโมซิส (Osmosis) เป็นการแพร่ของของเหลวผ่านเยื่อบางๆ ซึ่งตามปกติจะหมายถึงการแพร่ของน้ำผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เนื่องจากเยื่อหุ้มเซลล์มีคุณสมบัติในการยอมให้สารบางชนิดเท่านั้นผ่านได้ การแพร่ของน้ำจะแพร่จาก บริเวณที่เจือจางกว่า (มีน้ำมาก) ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นกว่า (มีน้ำน้อย) ตามปกติ การแพร่ของน้ำนี้จะเกิดทั้งสองทิศทางคือทั้งบริเวณเจือจาง และบริเวณเข้มข้น จึงมักกล่าวกันสั้นๆ ว่า ออสโมซิสเป็นการแพร่ของน้ำจากบริเวณที่มีน้ำมาก เข้าไปสู่บริเวณที่มีน้ำน้อยกว่าโดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
20 แรงดันออสโมติก เกิดจากการแพร่ของน้ำจากบริเวณที่น้ำมากเข้าสู่บริเวณที่น้ำน้อย แรงดันนี้จะดันให้ของเหลวขึ้นไปใน หลอดได้ ในขณะที่ยังไม่สมดุลของเหลวจะขึ้นไปบนหลอดได้เรื่อยๆ และเมื่อเกิดการสมดุลระดับของ ของเหลวในหลอดจะคงที่ แรงดันออสโมติก ของสารละลายแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน น้ำบริสุทธิ์มีแรงดันออสโมติกต่ำสุด สารละลายที่เจือจางจะมีแรงดันออสโมติกต่ำ สารละลายที่เข้มข้นมากจะมีแรงดันออสโมติกสูง การออสโมซิสของน้ำในสภาพความเข้มข้นของสารละลายต่าง ๆ จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยกระบวนการออสโมซิสพบว่าเมื่อนำ เซลล์เม็ดเลือดแดงไปใส่ในสารละลายที่มีความเข้มข้นต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1) ไฮโพทอนิก โซลูชัน (hypotonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า เซลล์ ดังนั้นเมื่อใส่เซลล์ลงในสารละลายชนิดนี้ จะทำให้เซลล์ขยายขนาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำภายใน สารละลายแพร่เข้าสู่เซลล์มากกว่าน้ำภายในเซลล์แพร่ออกนอกเซลล์ 2) ไอโซทอนิก โซลูชัน (isotonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นเท่ากับเซลล์ ดังนั้นเมื่อใส่เซลล์ลงในสารละลายชนิดนี้ขนาดของเซลล์จะไม่เปลี่ยนแปลง 3) ไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน (hypertonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้น มากกว่าเซลล์ ดังนั้นเมื่อใส่เซลล์ลงในสารละลายชนิดนี้จะทำให้เซลล์เหี่ยวลดขนาดลง ออสโมซิสที่เกิดจากสารละลายไฮโพทอนิกนอกเซลล์ ทำให้น้ำผ่านเข้าไปในเซลล์และเซลล์เต่งขึ้นหรือ เซลล์แตก เรียกว่า เอนโดสโมซิส (endosmosis) หรือพลาสมอพทิซิส (plasmoptysis) สำหรับออสโมซิ สที่เกิดจากสารละลายไฮเพอร์ทอนิกนอกเซลล์แล้ว ทำให้น้ำผ่านออกนอกเซลล์ทำให้เซลล์เหี่ยวเรียกว่า เอกโซสโมซิส (exosmosis) หรือพลาสโมไลซิส
21 กจาากรกคุรณะสจามยบัขติอขงอไองเอยื่ออนเซต่ลาลง์ๆแลทัะ้งคในวแาลมะแนตอกกตเ่ซางลขล์อไมง่สเทา่ารกทัีน่ขนส่สง่ผงผล่าใหน้เเกยืิ่ดอปเซรลาลก์ทฏำกใาห้รใณห์้ที่สำคัญ คือ ปปผเทซสไึฟค่่่ำงงรราลฟผใืนาา้่มหอาีกกลเ้ปยเนืฏฏไกแ่รปปิอทกกตีดะ่รค่หแุาจาส้าุcวมบรรลมกlบเบณณบซดฎจ์์คุแุลลตดะกโมพแปลทออา์กรพร่รานนไาขตรงปณแแร่ีอ์ไเนอนนฟแขดีง้ไกนพนาฟโมอม่้ดเรสา้นซเ(่เาปขขDลาลแึ็น้นอมนกoนลุห์ปงาทลnนไัน้ดรรึงขkn่้งถนานa2้ไกแเอดาคn้ลฏดยดล้ทะืกeา่เอำเลCนาfน็ืในfก่รขlหอeผ้ณโอโ่งcทด์ีมา่จงtทมยนีเีผ่)าลโปเมกนจยกรืัุ่แเงะอละลแรกจัเเกุ้พซงหนุลแผลรล่่ลเขลเลาชัข์่ะนน้กอนีสา้าแขอมาดภออกมาใาองมใาหัยนปดราญใเรถส่อนซู่ทะเขยีเลู่จคซ่มุอทลีลีลล่์ปืงเ่มบอดลรเี์หาจนยมะกีลจาทวโุีปก่วไตผมแ่โรท่ีาาปส่ลตลมนีร้าะนอคผสมต่ีขมวงนานันรผารงภาอมถกลัด้าบตเนไ่คปวโเาไมซดลคะงื้เ่ทลอีรวล่โลดะบนกi์oดุไยคัลดุnบ้มใกทหโกโปามาญารร่งเรลแตีกพนุลรนี่้จะ ใหญ่ เคลื่อนผ่านเยื่อเซลล์ไม่ได้ จะทำให้ ion นาดเล็กแพร่ไปมาจนเกิดภาวะสมดุล แปปลรริะามใกานฏณพกขลาอารสงณโม์ปาดรอตมีนานกแที่กนมีวนป่ารจขึะงอจุมงลีคเบหวอลายวมู่มใสนาำชกค่ัอญแงตวต่่่าอขงกอรางะรเหหควล่วาวบงใเคนซุมชล่กอล์างเรวน่ืแา่อพงงรรจ่ะขาหอกว่งใานงioเเซซnลลเลลห์์แไลม่ล่ามะีนีใโ้นปภพรายตลีในานสอเมยซู่าลมลี์
22 ศักย์เยื่อเซลล์ (Membrane potential) ปกติอะตอมจะมีประจุบวก (proton) เท่ากับประจุลบ (electron) แต่ถ้าประจุบวกเกิน หรือประจุลบเกิน จะทำให้ เกิดสนามไฟฟ้า (electrical field) ดึงดูดหรือผลักสารอื่น ที่มีประจุเข้ามาอยู่ ในสนามไฟฟ้าหรือเข้ามาใกล้สารนั้น การเคลื่อนที่ของประจุภายในสนามไฟฟ้าเรียกว่าศักย์ไฟฟ้า (electrical potential) บริเวณที่มีประจุต่างกันจะมีศักย์ไฟฟ้าต่างกัน ศักย์ไฟฟ้าที่ต่างกันระหว่าง 2 บริเวณนั้น เรียกว่า ความต่างศักย์ไฟฟ้า (potential difference) ของเหลวในร่างกาย ทั้งที่อยู่นอก เซลล์(extracellular fluid ; ECF) และในเซลล์ (intracellular fluid ; ICF) มีประจุที่ต่างกันและแยกจาก กันโดยเยื่อหุ้มเซลล์ ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างภายนอกและภายในเซลล์ เรียกว่า ศักย์เยื่อเซลล์ (membrane potential) เซลล์ทุกชนิดในร่างกายจะมีค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างภายในและภายนอกเยื่อเซลล์ ตั้งแต่ค่าต่ำ ๆ ไปจนถึงค่าสูง ๆ ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อเซลล์ในภาวะปกติเรียกว่าศักย์เยื่อเซลล์ขณะพัก (resting membrane potential) ศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อเซลล์ขณะถูกกระตุ้นเรียกว่า ศักย์ทำงาน (action potential) เมื่อเซลล์ถูกกระตุ้น ศักย์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงจากปกติ หรือบางเซลล์สามารถเปลี่ยนแปลง ศักย์ไฟฟ้าเองได้ เช่น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ และเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ส่งผลให้หัวใจหดตัว ส่งเลือดไป เลี้ยงร่างกาย หรือลำไส้หดตัว บีบตัวไล่อาหารไปยังบริเวณถัดไป ขณะพัก เซลล์จะอยู่ในภาวะคงที่ (steady-state) ปริมาณ Na นอกเซลล์มีมากกว่าใน เซลล์ และ K” ในเซลล์มีมากกว่านอกเซลล์ ขณะพักเซลล์ยังไม่ถูกกระตุ้น ที่ผิวนอกเซลล์มีประจุบวก และ ผิวในเซลล์มีประจุลบ เมื่อมีตัวกระตุ้นทางเคมี, ไฟฟ้า หรือเชิงกล กระทำที่เยื่อหุ้มเซลล์ (membrane) ทำให้เกิดการสลับขั้วไฟฟ้าไปในทางตรงกันข้าม ส่งผลให้ประตูของเยื่อหุ้มเซลล์เปิด ยอมให้ Na แพร่เข้า เซลล์มากขึ้น ส่งผลให้ความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์สองด้านมีความเป็นลบลดลง (เป็นบวก เพิ่มขึ้น) เมื่อเทียบกับศักย์เยื่อเซลล์ขณะพัก เรียกระยะนี้ว่า เกิด depolarization (จาก - 70 mv เป็น - 50 mv. ) เมื่อความต่างศักย์เพิ่ม ถึง threshold ประตู Na จะเปิดอย่างเต็มที่ทำให้ Na เข้า cell มาก ขึ้น เมื่อ Na ภายในและนอกเซลล์ มีปริมาณเท่ากัน Na channel จะปิด Na จะหยุดเข้า cell
23 hเลKเขpซซณดyuลลยpmลัะลลง์์eงเpเคดศปrีหั็งยpทนกีรเ่วoืปเยลอิย์กlืดไบั่aลอฟนเrบอหพฟุiิป้้z่เยมมาูพร่aิเท่ขีทซมะึt่้เตนำลiขยูึืo้่ใลนอมKหn์้ทเา”เซKำpรกีลจงยoก”ลาะกวt์เไน่กปหeรา็ิจศดnละจัยะอtกะคทะผi่ยอaนำอ์ีลเก้lัใวยยกื่หม่า้อๆาNKเเนซกลa*ิอลดด”ไกลหล์rใขนeลcงณpeเอจซloอะนlลหพlกัถaลลึก์นังrใงหiอร(จz้-ะกกาaด5ลักtัcบ0บiชeoศ่อวัlnเกlองปอ็ยก(น์rจยไeน่ฟาา9pอฟกง้0oกรา-lเวทaี)ซ่5ดเrเลยiรื0เz่ีลรอย์็aแวเเกซtปล็รภiลนoะะาล-nยด์ยึข7ะงใทณน0นีำK้วเ)ะ่ใซาพหกจั้ลเคกกนลลิัวแ์ดถบมึตาีงเ่คขมถจุ้้วาตดา่มาบาหมางานใึเศง่ปนัง็กทปนีย่รบ์Nทะีว่ตเaกูยื่Kขออง All or none law การเกิด action potential เริ่มจากมีแรงกระตุ้นทำให้ ศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อเซลล์ขณะพัก เปลี่ยนแปลงโดย ศักย์ไฟฟ้า เป็นลบลดลง เป็นบวกเพิ่มขึ้น (ปกติศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อเซลล์ กล้ามเนื้อลาย ระยะพักมีค่า 90mV.) แรงกระตุ้นที่ทำให้ศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อเซลล์ขณะพัก เปลี่ยนแปลง จนเกิด ศักย์ไฟฟ้า ที่เยื่อเซลล์ขณะทำงาน (action potential) เรียกว่า threshold (ที่ระดับ membrane potential ประมาณ -65 mV.) หากแรงกระตุ้นต่ำกว่านี้ ไม่สามารถทำให้เกิด action potential ได้ แต่เกิดการ เปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้า เรียกว่า sub threshold potential หรือแม้ว่าจะเพิ่มแรงกระตุ้นมากเพียงใดก็ไม่ สามารถทำให้ action potential มีระดับสูงกว่าเดิม ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่า ขณะเกิด action potential นั้น Na แพร่ผ่านเข้าสู่ cell มีค่าสูงสุดแล้ว แม้จะเพิ่มแรงกระตุ้นสูงกว่านี้ก็ไม่สามารถเพิ่ม จำนวน Na ได้อีก การ ตอบสนองจึงเท่าเดิม สรุป การตอบสนองของเยื่อเซลล์ที่เรียกว่า at or none คือ action potential จะเกิด เมื่อ ถ้าเกิดเมื่อแรงกระตุ้นถึง threshold หรือไม่เกิด action potential เมื่อแรงกระตุ้นไม่ถึง threshold
24 Refractory period เมื่อเกิด action potential อันแรกแล้ว action potential อันใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้น ขึ้น อีกก่อนที่ depolarization อันแรกจะสิ้นสุดลง เนื่องจากหลังจากเกิด action potential แล้ว ประตู Na จะปิดแม้จะใช้แรงกระตุ้นมากเพียงใดก็ตาม action potential อันใหม่จึงไม่สามารถเกิดได้ ช่วงเวลา ที่ potential อันใหม่ที่ไม่สามารถถูกกระตุ้นให้เกิดได้ เรียกว่า absolute refractory period ระยะที่ต่อ จาก absolute refractory period เรียกว่า relative refractory period ช่วงนี้กินเวลาประมาณ 1/4 ถึง 1/2 ของระยะ absolute refractory period ระยะ relative refractory period นี้ หากใช้แรง กระตุ้นสูงมากๆ(สูงกว่าค่า threshold ปกติ) จะเกิด action potential อันใหม่ขึ้นได้
25 การแพร่ของศักย์ไฟฟ้าขณะทำงาน ศักย์ไฟฟ้าขณะทำงาน ที่เกิดขึ้นที่ตำแหน่งหนึ่งสามารถ กระตุ้นให้เกิด action potential ขึ้นที่ตำแหน่งใกล้เคียงได้ บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ที่เกิด action potential ศักย์ไฟฟ้าภายในเซตส์จะเป็นบวก periodที่บริเวณข้างเคียง ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกับภายนอกเซลล์ เกิดการเหนี่ยวนำการไหลของ Mons membrane potential ตำแหน่งข้างเคียงเปลี่ยนแปลง เมื่อถึง threshold จะเกิด action potential ขึ้นที่ตำแหน่งข้างเคียงทั้ง 2 ด้าน และเหนี่ยวนำ ให้เกิด action potential ขึ้นที่ตำแหน่งถัดไป ต่อไป action potential จะเคลื่อนไปในทิศทางเดียว เพราะ เยื่อหุ้มเซลล์ บริเวณที่เกิด action potential ขึ้น แล้วจะอยู่ในช่วง refractoryทำให้ไม่สามารถเกิดการตอบสนองได้ จนกว่าจะเกิด repolarization และ ศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อหุ้มเซลล์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงจะสามารถเกิด action potential ที่บริเวณนั้นได้อีก การส่งต่อสัญญาณประสาท (nerve signal jไปตาม เส้นประสาท (nerve fiber) จะต้อง อาศัยการแพร่ของ action potential ไปตามเส้นประสาท (เรียก nerve impulse) ไปจนสุดปลาย เส้นประสาท การแพร่ของ action potential นี้เกิดจาก local circuit โดยเมื่อเกิด action potential ที่จุดใดจุดหนึ่งของ เส้นประสาท ประจุบวกที่เกิดขึ้นก็จะแพร่ออกไปทั้ง 2 ทิศตาม core ของ axon เป็น ผลให้บริเวณที่ถัดออกไปประมาณ 1 ถึง 3 mm. มีการเปลี่ยนแปลงของ membrane potential จนถึง threshold ก็จะเกิดเป็น action potential ขึ้น แล้วก็เกิดต่อๆ กันออกไป ทำให้เกิดเป็นกระแสประสาท แพร่ออกไป ทั้ง 2 ทาง จนกระทั่ง membrane ทั้งหมดเกิด depolarization การแพร่ของ action potential ในเส้นใยประสาทต่างชนิดกันจะแตกต่างกัน การแพร่ในเส้นประสาท ที่หุ้มเบื่อ myelin จะเป็นแบบกระโดด (saltatory propagation) จึงทำให้แพร่ไปด้วยอัตราเร็วมากกว่าเส้น ประสาทที่ไม่ได้หุ้มเบื่อ myelin และเส้นใยประสาทขนาดใหญ่จะแพร่ได้เร็วกว่าเส้นใยประสาทขนาดเล็ก
26 ลำดับโครงสร้างของร่างกาย cell > tissue > organ > system > body วัฏจักรของเซลล์ (cell cycle) วัฏจักรของเซลล์ หมายถึง ช่วงระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ในขณะที่เซลล์มีการ แบ่งตัว ซึ่งประกอบด้วย 2 ระยะได้แก่ การเตรียมตัวให้พร้อม ที่จะแบ่งตัว และกระบวนการแบ่งเซลล์ 1. ระยะอินเตอร์เฟส (Interphase) ระยะนี้เป็นระยะเตรียมตัว ที่จะแบ่งเซลล์ในวัฏจักรของเซลล์ แบ่งออกเป็น 3 ระยะย่อย คือ บรสรัะะงายยเงคะะอรยSG่าา1ะเงหปเ์็ปเน็Dพนืร่อNระใยะAชยะ้สสะอกีรร่ก้้อาาง1นงกตDDัาวNNรAหAสรรื้ใ(อานDงมรNีกะDAยาNระrตAจe่อำpซลไึ่lปงiอcเซงaโลtคiลoร์มโnีมก)โาซโดรมเยจอเรีซิกญล1ลเ์ตมเิีทบก่าโาตตรัเวเตจ็แมริตทญ่ี่โครเตระิยบโมะโตนโีซ้ จแมละทีม่ะีจมกำีกาลราอสรงรข้ึา้นงสยัางร โเตรวคิะดลรยกาโะัมบนGโทาซ่2นอมทนเี่ปแสเ็ุกลนด่าะรไะซทีย่โปทะมหพเลซลังนาสสโรทซ้ึารมงเตม่ีDอยNไรป์A(cซeึ่งnเtซrลoลm์มีeกrาeร)เหจรรืิอญไคเตเินบโโตตคแอลร์ะเ(ตkรiีnยeมtพoรc้อhมorทีe่จ)ะรแะบย่งะนี้ใช้ 2. ระยะ M (M-phase) ระยะ M (M-phase) เป็นระยะที่มีการแบ่งนิวเคลียส และแบ่งไซโทพลาสซึม ซึ่งโครโมโซม จะมีการ เปลี่ยนแปลงหลายขั้นตอน ก่อนที่จะถูกแบ่งแยกออกจากกัน ประกอบด้วย 4 ระยะย่อย คือ โพรเฟส เม ทาเฟส แอนาเฟส และเทโลเฟส
27 ลักษณะขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงในระยะการแบ่งเซลล์แบบ Mitosis
28 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis) ขพ(คกoือางชvรทงีu่ซแสึิ่ใl่งบeงน่พมง)แีบเชมตซีี่ใวกลลนิตาะลอ์รสัแโบลดปบีลดชยบีะจสพอไ์มำบอไนโมใงอ่วนวเซ่รนอิาัสณจชณูุะดเฑปเ(โป็pค็ะนนoรก(โtlโlคาeมeรรsnโแซโtมบsมe่โงaจsซเc)ามซ,)กลรใแัลน2งล์ไเรnุขพะ่ื่นอ่อัเ(พบปo่ส็อสนvร้ปaา-nอrงyแซเรึซ์)่มง,่(ลเsแปหล็pล์นรสืoะือกบเrปรลaพ็ุ่นันไnนกกลgธูหุาก์iขนuรึ่อ-งแmงบทห)่ีส่งัชหลต่เวราวพืื์ยนอ่อซใกโึ่็หคสงต้จรเน้ากำาิมด(นงcใสวoนปนnวอัชeยุรด)์เจโห(คsรริรืpญอโoมใพนrัโeนซอ)ธมุอ์ใวนุล การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสมี 2 ขั้นตอน คือ BA1ไcม.h..โไrอมPInoซโrิtmอoสeซpoิrIสhps(oMahImsa(eMeseioee-อs-ioiอIsIsกi-sจาI-)กหกI)ัรนือมีR5eรdะuยcะtย่iอoยnaคืlอdivision ขั้นตอนนี้จะมีการแยก homologous CED...TMAenelaotappphhhaaassseee---II I A2Bไ4ม...โ-อไPIมnซ5rโิtoอสeรpซrIิะhpIสย(ahMะIsIaย่e(esอMieยo-es-คiIiืoIsอIsI-isII-) หIIร)ือ Equational division ขั้นตอนนี้จะมีการแยกโครมาทิด ออกจากกันมี EDC... TMAenelaotappphhhaaassseee---IIIIII เแมืล่อะสเิซ้นลสลุ์ดทีก่ไดา้รเปแ็นบ่ผงจละลไัดพ้ธ4์ ไเมซ่จลำลเ์ปที็่นมีตโ้คอรงโมมีขโซนมาเดซเลท่ลา์ลก ัะนnซึ่ง(Hขั้นaตplอoนidก)ารซึ่แงเบป่็งนเซคลรึ่ลง์หในนึร่งะขยอะงต่เาซงลๆลข์ตอั้งงตก้นาร แบ่งเซลล์แบบ Meiosis
29 ลักษณะขั้นตอนการแบ่งเซลล์ในระยะต่างๆของการแบ่งเซลล์แบบ Meiosis ข้อแตกต่างของการแบ่งเซลล์ แบบ Mitosis และ Meiosis
30 โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์ เซลล์มีโครงสร้างพื้นฐาน 3 ส่วนหลักๆ ดังนี้ (1) ส่วนที่ทำหน้าที่ห่อมหุ้ม ได้แก่ ผนังเซลล์ (Cell wall) เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) (2) ไซโตพลาสซัม แบ่งเป็น ส่วนที่ไม่มีชีวิต (Cytoplasmic inclusion) และ ส่วนที่มีชีวิต (Organelle) (3) นิวเคลียส ประกอบด้วย เยื่อหุ้มนิวเคลียส (Nuclear membrane) นิวคลีโอลัส (Nucleolus) และ สารพันธุกรรม ประเภทของเซลล์ 1. เซลล์โปรคาร์ริโอต (Prokaryotic cell)ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส ไม่มีออร์แกเนลที่มีเยื่อหุ้ม มีไรโบโซมขนาด 70s และสารพันธุกรรมอยู่ในไซโทพลาสซึม 2. เซลล์ยูคาร์ริโอต (Eukaryotic cell)มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส มีทั้งออร์แกเนลที่มีเยื่อหุ้มและไม่มีเยื่อหุ้ม มีไรโซ โซมขนาด 80s และสารพันธุกรรมอยู่ในนิวเคลียส โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์-เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane / Plasma membrane) - มีคุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน (Semipermeable membrane) ส่วนใหญ่เป็นสารพวกโปรตีนและไขมัน - มีโครงสร้างแบบ fluid mosaic model ประกอบด้วย > Phospholipid bilayer ไขมันพวกฟอสโฟลิพิดสองชั้น โดยหันส่วนที่ไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) ชนกันและหัน ส่วนที่ ชอบน้ำ (Hydrophilic) ออกข้างนอก > Cholesterol (เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่น) > Protein (ทำหน้าที่เป็นช่องทางลำเลียงสารเข้าออกเซลล์ ทำให้เซลล์เกาะติดกัน และเกี่ยวกับรูปร่างของเซลล์) จ>ับCกัaบrไbขoมัhนyเรdียrกaวt่eา G(ทlำyหcนo้lาipที่iสืd่อ)สารระหว่างเซลล์ ถ้าคาร์โบไฮเดรตจับกับโปรตีน เรียกว่า Glycoprotein หรือถ้า เหซนล้าลท์ี่ขแอลงะเเปยื็่นอสหุ่้วมนเซสลำลค์ัญคือสำแหยรกับเกซลารล์ตอิดอตก่อจราะกหสิว่ง่าแงวเดซลล้ลอ์ดม้วรอยบกันๆเซลล์ คัดเลือกสารที่จะผ่านเข้า-ออกจาก
31 ผนังเซลล์ (Cell wall) - พบในพืช ฟังไจ สาหร่าย แบคทีเรีย แต่ไม่พบในเซลล์สัตว์ - เซลล์พืชมีผนังเซลล์ล้อมรอบเยื่อหุ้มเซลล์ มีหน้าที่ให้ความแข็งแรง ป้องกันอันตรายและ ช่วยให้เซลล์ คงรูปอยู่ได้ ผนังเซลล์พืชมี 2 ชั้น >ผนังเซลล์ปฐมภูมิ (Primary cell wall) พบมากในเซลล์พืชที่กำลังเจริญเติบโต หรือเซลล์ที่มีชีวิต >ผนังเซลล์ทุติยภูมิ (Secondary cell wall) เกิดภายหลังผนังเซลล์ปฐมภูมิ ถ้าพอกหนาขึ้นจะทำให้ เซลล์ตาย เช่น ไฟเบอร์ และเวสเซล รระะหหวว่่าางงเเซซลลลล์์พพืืชชสมีอชั้นงเเซชื่ลอลม์มรีชะ่หอวง่าเลง็เกซเลปิลด์เสูร่ีเยซกลวล่์าที่ตMิดidกัdนleเรีlยaกmวe่าllaPl(aเกsิmดขoณdeะมsีกmรaะtบaวนการแบ่งเซลล์) และ - สารสำคัญในผนังเซลล์ของพืชและสาหร่าย ส่วนใหญ่ คือ เซลลูโลส (Cellulose) อาจมีลิกนิน และเพคติน ใในนแฟับงคไจทเีปเ็รนียCแลhะitไซinยาโนแบคทีเรีย (สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน) ประกอบด้วยสารพวก Peptidoglycan และ ** เซลล์สัตว์ไม่มีผนังเซลล์แต่มีสารเคลือบเซลล์ล้อมรอบเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนใหญ่เป็นสารพวกโปรตีน และ (3คคาลรรู้์ปาโบยแไกบฮับบเดPครืlอตasTไmดi้gแohกd่teคjsuอmnลcaลttาiaเoจnขนsออ,งีลDพืาeชสs)ตmินoแsลoะmไกeลsโคหโรปื อรตAีนncเปh็นoตr้iนngกาjuรnเชcื่อtมion(JsuแnบcะtGioanps)juขnอcงtเซioลnลs์สัตว์มี
32 ไซโทซอล (Cytosol) / ไซโทพลาสมิค อินคลูชัน (Cytoplasmic inclusion) คือส่วนที่เป็นของเหลวใน ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต เช่น น้ำ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน CCyyttoospolalsหmมาหยมถาึงยสถ่ึวงนส่ขวอนงทีข่ออยูง่นเหอลกวนิทีว่อเคยู่ลใีนยสCทัy้งtหoมpดlaทsั้งmขอเทง่าเหนั้ลนวและของแข็ง แต่ถ้ากล่าวถึง ออร์แกเนลล์ (Organelle) – ส่วนที่มีชีวิตในไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) โดยจะมีหน้าที่เฉพาะอย่างในเซลล์ จำแนกตามลักษณะ การมีเยื่อหุ้ม ได้ดังนี้ 1.ออร์แกเนลล์ (Organelle) กลุ่มที่ไม่มีเยื่อหุ้มเซลล์ (1) ไรโบโซม (Ribosome) ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีน ประกอบด้วยหน่วยย่อย (Subunit) สองหน่วย แต่ละ หน่วยย่อยมีชนิดของ RNA ไรโบโซมกับโปรตีนที่แตกต่างกัน พบบริเวณเยื่อหุ้มนิวเคลียส (Nuclear membrane) บน RER (สร้างโปรตีนส่งออกนอกเซลล์ ) อยู่ใน Cytosol (สร้างโปรตีนใช้ในเซลล์) ใน Mitochondria และ Chloroplast (สร้างโปรตีนใช้เองใน Mitochondria และ Chloroplast ตามลำดับ ) - ใน Prokaryotic cell ไรโบโซมมีขนาด 70S หน่วยย่อยใหญ่ขนาด 50S และหน่วยย่อยเล็ก ขนาด 30S - ใน E=uSkvaerydobteicrgcuenlliไtรoโบfโsซeมdมีiขmนeาnดta8t0ioSnหcนo่วeยffย่i cอiยeใnหtญ่ซึข่งนเปา็นดค่6า0ควSามแลเระ็วหในน่วกยายร่อตยกเตล็ะกกขอนนาด 40S ** S
33 (2) Cytoskeleton ภ–าเยส้ในนใเยซโลปลร์ตกีนาซรึ่งแมบี่บงเทซบลาลท์ สมีำ3คัญชนใินดกโาดรยทแำตใ่ลห้ะเกชิดนิรดูปมีรข่านงาเดซแลลล์ะกโปารรตเีคนลทืี่่อเปน็นที่สท่ั้วงนขปอรงเะซกลอลบ์แต่ลาะงอกัอนร์แกเนล ใ-ต้ไเมยื่โอคหรุ้มทูเบซูลลล(์Mเปi็cนrสo่วtuนbปuระleก)อเบกิขดอจงากเซโปนรทตรีินโอTลu(bCuelnintrมiีoลัlกeษ) แณบะซเปอ็นลทบ่ออกดีล(วBงaพsaบlในbไoซdโทyซ)อเสล้น(ใCยyสtปิoนsเoดิlล) (Spindle fiber) ซีเลีย (Cilia) และแฟลกเจลลา (Flagella) -เขาInเtปe็นrmต้นedTioanteoffiillaammeennttเเกกิิดดจจาากกโโปปรรตตีีนนหCลyาtยoชkนิeดrขaึ้นtiอnยู่ทกัำบหหนน้้าาททีี่่ต่เอช่ตน้าโนปตร่อตีแนรKงกeดraพtiบnที่พเยืบ่อในบุผผิวม ขน - ไมโครฟิลาเม้น (Microfilament) เกิดจากโปรตีนแอคติน (Actin) เกี่ยวข้องกับรูปร่างเซลล์ การหดตัว (ขPอsงeกuล้dาoมpเนืo้อdiโuดmยท)ำกงาารนแรบ่่วงมไซกัโบทโพปลราตีซนึมMขอyงoสัsตinว์ก(Cาyรtไหoลkขinอeงsไซisโท) พลาสซึม (Cyclosis) การยื่นเท้าเทียม (จ3ำ)นเวซนน9ทริกโอลุ่ลม ((C9etnritprileotles)) ปเซรนะกทอริโบอดล้วสยอไมงโอคันรวทูาบูงลตั้ง(Mฉาicกrกoันtuเรbียuกleว่)าอเยซู่กนันโทเปร็นโซกมลุ่ม(Cกeลnุ่มtrลoะs3omอันe)(ทTำriหpนl้eาtที)่ ใสนร้พาืชงเขัส้้นนสใูยงส(Hปิiนgเhดิ้eลr(pSlpainntd)lพeวfiกbไeม้rด)อเพกื่อแลยึะดGแลyะmดึnงโoคsร pโมerโซmมแพลบะฟใันงเไซจลส่ลว์สนัตใหว์ญ่โปรโตซัว ราบางชนิด แต่ไม่พบ
34 ออร์แกเนลล์ (Organelle) ที่มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว 1. เอนโดพลาสมิค เรติคูลัม (Endoplasmic Reticulum-ER) --> Endoplasmic = ภายในไซโทพลาส บหซึมรนือ/เยืเR่ยอื่eอหุt้หมุi้cมEuเซRluลmแล์ล=แะชบ่รนง่ิาเดปง็เแนรีหย2บ,ชโ(ดนSิยดmกคoืรอoะจtชาhนิยดEเขปn็รนdุขรo่ราpงะlแa(Rหsอomยuูi่cใgนhRไซeEโtทnicพduoลlpาuสlmaซึs-มmSแiEcลRะRอ)eาไมtจ่iมเcีชไืu่รอlโuมบmตโ่ซอ-มกRัเบกEเาRยืะ่บอ) นมหุี้เไมรยืน่โอิบวหุโเ้ซคมมลEีเยกRสาะ ส11Gส่..าง12oเมlRขgS้าาoiรmสูucถ่ชoog่ขอomhนงtสpลEhู่งlเneมโEปdxนnรoนdต(pLีอoนluaกpไปmsจlamยาeัsกงnimcสนั่้=iวนRcนยeชัRต่งt่อeเาiกcงีงt่วยuiๆ่cาวlใuuงนข้mภlไอuซา-งmโยทกRั-ใพบนESกลทR่EาาอรRสเ/กีเซ่ปถึยเุมกลงีวี่่ยยขหE้วนอรRืขโอง้)ปอกอัแรงบอลกตกัีกะบนาหนกเรลปอาุ็สดนกัรงอไเสเกซัคองลลเรกคโลาคเ์รปะ็โหาปน์ะโรถปหุ์ตงรีไเนตขลี็มนก(ัโนๆปโดร(ฟVยตอีโeนปสsรโ+iฟcตีลlคนeิพา)ทิีร่ดเส์พัโืบง่เอสเไคฮสต่ีรเงยดาตร่ระอหอต์ไไยป)ด้ดยแถ์ัูลงกะ ฮ(Dอeร์tโoมxนiเfพicศatแiลoะnค)อเลสเตอรอล เกี่ยวข้องกับเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต และการกำจัดสารพิษ กก2อา.รลกหจอิลลั่(งCจสิaคาmรอiม(llSoเพeGลc็oกrelซg์tii(o)Gมnoีล)lัgซกึ่งiษเCณป็oนะmเสป็าpนรlถeทุีง่xสแร/บ้านGงเจoรีายlgกงiซE้bอRoนdแกัyลนะเ/มปี็กนGาชัo้รนlเgๆปiลเีaร่ยีpยนกpแแaปตrล่aลงtะเuถพืุ่sงอ)วใ่าพห้เบซหิคสมรเัาท้งะอแสรรม์นกพีโรมด้ีอหยมน้นทาี่าทจีย่ะเกคปี่ยาล่มวอิลขย้โออลงอกกับ นทกัำบอหกกนาเ้ซราลทสี่ลสร์ั้งาด้เงควเซยรลวาิะลธ์ีหเ์พEสลxารoทพc(yวCtกeoพllsอpisลlีaแนtซอ๊eกก)คจใานาไกกรรนดั์้ะนบทีย่ัวเงปน็ทนกำสา่หวรนน้แาปบท่ีรง่เไปะซกลีโอ่ทยบพนขลเออานงซึผไมซนมั(์งCใเนซyไลtลoลโ์ซkแโiลnซะมeสsา(iLรsyเ)คsขลoอือsงบoเซเmซลeลล์)ลพ์ืใสชหั้ตพวร์้อเกีม่ยใวช้ขง้าอนง
35 3โป.รไตลีนโซคโซามร์โ(บLไyฮsเดoรsตomไขeม)ันลักกษรณดนะิเวปค็นลีถอุิงคมีเ(ยพื่อบหเุ้อมนชั้ไนซเมด์ีปยรวะขมนาาณด600.1-ช1นิไดม)คทรำองนานภไาด้ยดีใทนี่สบภรารพจุเเปอ็นนกไซรมด์ ย(่pอHย ปร(่Aารงuะกมtาoายณpขh5าaด)gเทyอำ)นหแไซนล้มาะ์ยทขี่่ออย่ยงอไเยลซสโลซาลโร์ซตปัมวรจเะอะกงทอำ(บAใภห้uเากtยิoดใlนโyรเsคซiลพs)ลอ์ซมึอ่งพาพีห(บาPใรoนmชเ่ชืว้pองeโทรี’่มคdีกทiี่sาเขeร้เาaจสsูร่เeิซญ)ลคเืลช์อ่นอขอากดรา์เแรอกสนเรนไ้ซาลงมล์น์ยิ้ท่วีอ่อมยืาอไยกุนมิล้วาโคเกทเ้จานถ้าจึง ทำให้สะสมที่ตับและกล้ามเนื้อมากเกินไป 4. เพอรอกซิโซม (Peroxisome) เป็นถุงกลม รูปไข่ มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว ภายในบรรจุเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับเมแทบอ เลโิกดีซ่ึยยมวมีขเก้ชอ่านรงกสOับรx้าเiมdงแโaปทsรบeตอ,ีนCลิแซaึลมtะaขไขlอaมงัsนไeนทีโ่ชสต่วำรยคเัจสญนลขาไอขยงมHัเนพ2อพOีรว2อรีซกึน่งซิเเโปพซ็นอมพรทีิ่อษไซกใโซทหิ้โกซซอลมลาสยกา่เอมป็นานรแHถลเ2พะิส่Oมาจ+รำเหนOลว2่นาพนไีด้บจ้คใะนถลู้เกาซยสล่ไงลม์ไพปโืตยชัคงตอเัพบนอแเดลรรอะีไยกตซิ โซมกันเก่า เมื่อเพอรอกซิโซมกันเก่าโตเต็มที่ก็จะแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ข5อ. งแเวหคลิววโใอนลถุง(Vเรaียcกuวo่าleเซ) ลมีลล์ัแกซษพณ(ะCเปe็นllถุsงaเpยื่)อแหุว้มคชิัว้นโเอดลียเกวิดเรจียากกกว่าาเรยืห่อลุหุด้มขวา่าดโขทอโงนพEลRาหสรตื์อ(TGoonlgoipClaosmt)plex ตvมีีaหสcนน้้uาำoทจีื่lดหeล) มเาีรหกียนห้กาลวทา่ี่าสยะCโดสoยมnถส้tาาrมรaีตอc่าtาiหงlๆeารvสaะcสuมoอlยeู่เใรีนยพกืชว่มาีแFวoคิoวd โอvลaขcนuาoดleใหถญ้า่เทกืำอหบน้เาต็ทมี่ใเนซกลาล์รเรัรกียษกาวส่ามCดุeลnน้tำra(พl บในโปร
36 ออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น 1.ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น โดยเยื่อหุ้มชั้นในยื่นเข้าไป (เรียกว่า Cristae) ในช่องว่าง ภายในไมโตคอนเดรียซึ่งมีของเหลวอยู่ (เรียกว่า Matrix) ซึ่งบรรจุเอนไซม์สำหรับการหายใจระดับเซลล์, Ribosome (ขนาด 70s), DNA, RNA จึงสามารถสังเคราะห์โปรตีนและจำลองตัวเองโดยไม่ต้องอาศัย นิวเคลียส (Semiautonomous organelle) ไมโตคอนเดรียทำหน้าที่สร้างและสะสมสารพลังงานสูง (ATP = Adenosine triphosphate) 2. พลาสติด (Plastids) มี 3 ชนิด คือ (1) Chloroplast พลาสติดสีเขียว มีรงควัตถุ (Pigment) ซึ่งสามารถจับพลังงานแสงและเปลี่ยนเป็น พลังงานเคมีได้ ทำหน้าที่ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) เยื้อหุ้มด้านในยื่นพับไปมา ซ้อนกันเรียกทั้งหมดว่า Thylakoid membrane ซึ่งบนเยื่อหุ้ม Thylakoid จะมีสารสี/รงควัตถุ (Pigment) โดยเยื่อหุ้มนี้ซ้อนเป็นชั้นคล้ายเหรียญ เรียกว่า Granum แต่ละชั้นเชื่อมด้วย Stroma ซึ่งบรรจุเอนไซม์ สำหรับสังเคราะห์ด้วยแสง, RNA, DNA และ Ribosome (70s) จำลองตัวเองได้เช่นเดียวกับไมโตคอนเดรีย (2) Chromoplast เป็นพลาสติดสีอื่นๆ เช่น สีแดงในพริก (3) Leucoplast เป็นพลาสติดสีขาว ทำหน้าที่เก็บแป้งที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง พบในเซลล์ในส่วนที่ ใช้สะสมอาหารเช่น มันฝรั่ง มันเทศ ทั้งไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ มีลักษณะบางประการคล้ายกับเซลล์โปรคาริโอต (แบคทีเรียและไซยาโนแบคที เรย) คือ มีสารพันธุกรรม และRibosome (ขนาด 70s) ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ไมโตคอนเดรียและคลอโร พลาสต์เคยเป็น พวกเซลล์โปรคาริโอต แล้วเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์ยูคาริโอต จนกลายเป็น Organelle ในเซลล์ยูคา ริโอต เรียกว่า ทฤษฎี Endosymbiosis
37 นซึิมวเทีค่เลกีิNขเโสยดดยืดา่uสขยอึร้สcนัรห้พ(ุนl้Nัภะeมนหาพauนธวิยุr่cรวกา้ใlอpเงนรeคมoเรuเยลซืrทีม่ัsอeย้ลง)หสคเลุกื้เป์มอป็ร(็นปชNนัะD้แรนจสuทะN่าน่วcกงยอAนlอโeอคกทบีaซย่รแึูม่ด่rงรีลโ้สมจวอmะัาบโยชบัซe้รอสนนม่mพิยวใัวูเน่นbมนกเืั่มคธrอบตีุ่aชลกเโา่ีกปnอยรงิดรeงรๆสวตก/ม่ีดแาานNอัลงงรยuเนขูะแี่ร้มcีดบมีย่ีlไกงeหรกเลaนโวซบ้่าrาาลโยทซeลีP่เ์คมnปe็วเvนrกeบiเาnสlค้ะoุuนอมpcไยลยูelั่eรกโ)คaอษรrมบณีมลsนัะาpกอขทaษิกอนcณงe(สะิC่เทงีปh่ม็เีนยrืชo่ีเอวยmืิห่ตุอ้aมแหุtม้ลมีiชnะส่เอ)อมงแงแลชทั้ะนบจอะ ลิ โนนสปัิิงววรเคคคตีลลรนีีโโาออมะีพลหหั์สลนR้าา(NสNที่AซสuึัมงcDเl(คeNNรoAuาlucะแหsl์ลeไ)ระoโเpCบป็loโนaซeกsม้nอmzขน)yณอmคยะืู่อแeในบบ่นงริิเวเซวเลคณลล์ีทีจย่เะสหสลสลือาาภรยาทไีป่ยพใแบนลในนิะวสนิเรคว้าคลีงลยขีึโ้สนอใลมหัีสสม่าเครมืือ่พอวแRกบN่งเAเอซนไลรไลซโ์บเมส์โทซีร่็ใมจช้กับ เนื้อเยื่อ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อพื้นฐาน 4 ประเภท เนื้อเยื่อเหล่านี้ รวมตัวกันเป็นโครงสร้างและอวัยวะต่างๆ กัน เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบไปด้วยชั้นของเซลล์ที่ปกคลุม พื้นผิวของอวัยวะต่างๆ เช่น พื้นผิว ของผิวหนัง และบุผิวทางเดินอาหาร มีหน้าที่ปกป้องจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หลั่งสารและดูดซึมสาร เนื้อเยื่อเกี่ยว พัน (Connective tissue) ทำหน้าที่เป็นโครงร่างยึดส่วนต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น เลือด หรือ กระดูก เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (Muscular tissue) เซลล์กล้ามเนื้อประกอบด้วยฟิลาเมนต์ (เส้นใย) หลายเส้นที่หดตัวได้ สามารถเคลื่อนที่ผ่านกันและเปลี่ยนขนาดของ เซลล์ได้ เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทคือ กล้ามเนื้อ เรียบ (visceral or smooth muscle) พบอยู่ที่ผนังของอวัยวะภายใน, กล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal muscle) ซึ่ง (ยNึดeอrยvู่กoับuกsรtะiดsูsกuทeำ)หปนร้าะทกี่ใอนบกดา้วรยเคเซลื่ลอลน์ทไี่หรววมแตลัวะกกัลน้าเปม็นเนืส้อมห อัวงใจ(b(rcaainrd)i,aไcขสmันuหsลcังle()spพiบnไaด้lทีc่ หoัวrdใจ) ,เนแื้อลเะยรื่อะบปบระสาท ประสาทนอกส่วนกลาง (peripheral nervous system) แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelial tissue or Epithelium) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective tissue ) เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (Muscular tissue) เนื้อเยื่อประสาท ( Nervous tissue )
38 เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelial tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่ปกคลุมผิวนอกร่างกายหรือผิวท่ออวัยวะภายใน มีหน้าที่รับ ความรู้สึก เช่น ที่ผิวหนัง เกี่ยวกับการดูดซึม เช่น เยื่อบุผิวทางเดินอาหาร การสร้างสาร และการหลั่งสาร เช่น ที่ต่อมน้ำลายและต่อมเหงื่อ เป็นต้น เซลล์เยื่อบุผิวมีลักษณะแตกต่างกัน 3 แบบ คือ รูปร่างแบนบาง (squamous) รูปลูกบาศก์ (cubic) ลักษณะเป็นแท่งหรือรูปทรงสูง (column) กลุ่มเซลล์เหล่านี้จะจัดเรียงตัวกันบนฐาน (basement) ชั้นเดียว (simple epithelium) หรือหลายชั้น (stratified epithelium) และอาจพบลักษณะการจัดเรียงตัวของเซลล์หลายชั้นเทียม (pseudo stratified epithelium) คือ เซลล์เรียงตัวชั้นเดียวอยู่บนฐาน แต่มองเห็นเหมือนเป็นหลายชั้น เนื่องจากเซลล์มีความสูง แตกต่างกัน เช่น เยื่อบุผิวที่หลอดลม และอาจพบเยื่อบุผิว แบบหลายชั้นยืดหยุ่น (transitional epithelium) ซึ่งเป็นเยื่อบุผิวที่จัดเรียงตัวหลายชั้น แต่เนื่องจากเซลล์มีรูปร่างไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการยืดหดตัวของอวัยวะ พบที่ผนังด้านในของกระเพาะปัสสาวะ โดยเมื่อกระเพาะปัสสาวะว่าง จะอยู่ในสภาพหดตัว เซลล์มีรูปร่างเหลี่ยม ลูกบาศก์และซ้อนกันหลายชั้น เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม จะอยู่ในสภาพขยายตัว เซลล์มีรูปร่างแบนบางและ เรียงตัวน้อยชั้น นอกจากนี้ อาจพบ ขนเซลล์ (cilia) เซลล์ต่อมหลั่งสารต่างๆ ที่เซลล์เยื่อบุผิวด้วย เช่น เยื่อ บุผิวภายในกล่องเสียงบางส่วน และผิวด้านบนของเพดานอ่อน (soft plate) ทางด้านช่องจมูก เป็นต้น เยื่อบุผิวเจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อชั้นนอก(ectoderm) ชั้นกลาง (mesoderm) หรือชั้นใน (endoderm) ก็ได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นมาจากเนื้อเยื่อชั้นนอกมักจะปกคลุมร่างกาย เช่น ผิวหนัง ถ้ามาจากเนื้อเยื่อชั้น ใน มักจะบุภายในของอวัยวะ ที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อชั้นใน เช่น เยื่อบุทางเดินอาหาร ถ้ามาจาก เนื้อเยื่อชั้นกลาง ก็มักจะห่อหุ้ม หรือบุอวัยวะที่มาจากเนื้อเยื่อชั้นกลาง เช่น ห่อหุ้มหรือบุอวัยวะขับถ่ายและ สืบพันธุ์
39 เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่พบแทรกอยู่ทั่วไปในร่างกาย ทำหน้าที่ ยึดเหนี่ยวหรือพยุง อวัยวะ ให้คงรูป อยู่ได้ลักษณะของเนื้อเยื่อชนิดนี้ คือตัวเซลล์และเส้นใยกระจายอยู่ ในสารระหว่างเซลล์ที่เรียกว่า เมทริกซ์ (matrix) ซึ่งเส้นใยที่พบ ได้แก่ - เส้นใยคอลลาเจน(collagen fiber) - เส้นใยอิลาสติก (elastic fiber) - เส้นใยร่างแห(reticular fiber เนื้อเยื่อเกี่ยวพันแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันสมบูรณ์ (connective tissue proper) 2. กระดูกอ่อน (cartilage) 3. กระดูกแข็ง(bone) 4. เลือด (blood) 1. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันสมบูรณ์ (connective tissue proper) ลักษณะเมทริกซ์เป็นเส้นใยกระจายอยู่แตกต่างกัน ทำให้แบ่งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดนี้เป็น 2 ประเภทคือ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดโปร่งบาง (loose connective tissue) เป็นเนื้อเยื่อมีเส้นใยเรียงตัว ไม่เป็นระเบียบ ชนิดที่พบมาก ได้แก่คอลลาเจนและ อิลาสติก สำหรับเส้นใยร่างแหพบเล็กน้อย เซลล์ที่พบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ชนิดโปร่งบาง ได้แก่ - เซลล์ไฟโบรบลาสต์(fibroblast) - เซลล์แมโครฟาจ (macrophage) - เซลล์แมสต์ (mast cell) - เซลล์พลาสมา (plasma cell) - เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ (dense connective tissue) - เนื้อเยื่อไขมัน(adipose tissue) เซลล์ประเภทนี้พบอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ พบปริมาณเส้นใยมากอยู่ติดกันแน่นทึบ ทำให้มีช่องว่าง ระหว่างเซลล์น้อย แบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ - ชนิดเกี่ยวพันทึบ พบตามเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) และเอ ็นยึด (ligament) ประกอบด้วยเส้นใย คอลลาเจนเรียง ตัว หนาแน่นสีขาว - ชนิดยืดหยุ่น (elastic connectivetissue)พบที่ผนังหลอดเลือด กล่องเสียง หลอดลม และปอด ประกอบด้วย เส้นใยอิลาสติก สีเหลือง ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี - ชนิดร่างแห (reticularconnective tissue) ตัวเซลล์เป็นเซลล์ร่างแห (reticular cell) มีแขนง แยกออกไป ติดต่อ กับเซลล์ข้างเคียง
40 2. กระดูกอ่อน (cartilage) พบอยู่ตามส่วนของโครงกระดูก โดยเฉพาะบริเวณที่กระดูกมีการเสียดสีกัน ประกอบด้วย เมทริกซ์ ซึ่งเป็นสารพวกมิว โคพอลิแซ็กคาไรด์ ชนิดคอนโดรมิวคอยด์ (condromucoid) มีลักษณะคล้าย วุ้นเซลล์ กระดูกอ่อน เรียกว่า คอนโดรไซต์ (chondrocyte) มีรูปร่างกลมหรือ รูปไข่ อาจพบ 1-4 เซลล์ เรียงตัวอยู่ ในช่องว่างที่เรียกว่า ลาคูนา (lacuna) กระดูกอ่อนสามารถพบได้ที่ใบหู ฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis)กล่องเสียง(trachea) กระดูกอ่อนกั้นระหว่าง กระดูกสันหลัง แต่ละข้อ (intervertebral disc) เป็นต้น 3. กระดูกแข็ง(bone) ประกอบด้วยเซลล์กระดูกที่เรียกว่า ออสทีโอไซต์ (osteocyte) อยู่ในช่องลาคูนา โดยเซลล์กระดูก จัดเรียงตัวเป็น วงรอบช่อง ฮาเวอร์เชียน (harversian canal) ที่มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงเซลล์ กระดูกและเรียกลักษณะ การเรียงตัวของ เซลล์กระดูกนี้ว่า ระบบฮาร์เวอร์เชียน (harversian system) ช่องฮาร์เวอร์เชียนสามารถติดต่อกับ ช่องลาคูนาหรือระหว่าง ช่องลาคูนาด้วยกันเองโดยผ่านช่องเล็ก ๆ ที่ เรียกว่า คานาลิคูไล (canaliculi) สารระหว่างเซลล์กระดูก ประกอบด้วยแคล เซียมและฟอสเฟตเป็นองค์ ประกอบสำคัญ
41 4. เลือด (blood) ประกอบด้วย น้ำเลือด (plasma) เซลล์เม็ดเลือด ซึ่งแบ่งเป็น - เซลล์เม็ดเลือดแดง (red blood cell or erythrocyte) เซลล์เม็ดเลือดแดง มีรงควัตถุฮีโมโกลบิน (hemoglobin)ทำหน้าที่ ลำเลียงออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ - เซลล์เม็ดเลือดขาว (white blood cell or leucocyte) เซลล์เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ทำลาย สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย มี 2 ประเภท คือ พวกที่มีเม็ดแกรนูล (granule) พิเศษในไซโทพลาสซึม (granulocyte) สามารถย้อมติดสี ได้ดี เซลล์เม็ด เลือดขาวในกลุ่มนี้ ได้แก่นิวโทรฟิล (neutrophil) เซลล์มีนิวเคลียส 2-6 พู โอซิโนฟิล (eosinophil) เซลล์มี นิวเคลียสไม่เกิน 3 พู และเบโซฟิล (basophil) เซลล์มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ แยกเป็นพูรูปตัวเอส (s) หรือรูป ร่างไม่แน่นอน พวกที่ไม่มีเม็ดแกรนูลในไซโทพลาสซึม (agranulocyte) ได่แก่ ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เซลล์มี นิวเคลียสกลมมี ขนาดใหญ่ ขนาดใกล้เคียงกับเซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์โมโนไซต์ (monocyt) นิวเคลียส มีขนาดใหญ่ รูปไต หรือรูปรี เกล็ดเลือด (thrombocyte) เกล็ดเลือด เป็นชิ้นส่วนของไซโทพลาซึม (cytoplasm) ของเซลล์ชนิดหนึ่ง ในไขกระดูกที่แตก ออกจากกัน เข้ามาอยู่ในกระแสเลือดไม่มีสี และไม่มี นิวเคลียส ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การแข็งตัวของเลือด
42 เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยสามารถหดตัวได้ เซลล์กล้ามเนื้อ มีรูปร่างยาว มัก เรียกว่า ใยกล้ามเนื้อ (myofibril) แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ กล้ามเนื้อลาย (skeletal or striated muscle) มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก เรียงตัวขนานกัน มีลาย แต่ละ เซลล์มี หลายนิวเคลียส กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) เซลล์มีรูปร่างยาวหัวท้ายแหลมแต่ละเซลล์มีนิวเคลียส 1 อัน อยู่กลาง เซลล์ ไม่มีลายตามขวาง กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) เซลล์มีลายคล้ายกล้ามเนื้อลาย พบนิวเคลียส 1-2 อัน อยู่กลางเซลล์ และเซลล์มีแขนงเชื่อมต่อกัน เนื้อเยื่อประสาท ประกอบด้วย เซลล์ประสาท (neuron) ทำหน้าที่รับส่งกระแสประสาท เซลล์เกี่ยวพันประสาท (neuroglia) มีหน้าที่สนับสนุนการทำงานของเซลล์ประสาท เช่นยึดเหนี่ยวหรือค้ำจุน เซลล์ประสาท ซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาท เป็นต้น เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ ประกอบด้วย ตัวเซลล์ ซึ่งอยู่ในชั้นสีเทา (grey matter) ของระบบประสาทไขสันหลังและระบบประสาท ส่วนกลาง เซลล์ ประสาทมีลักษณะกลมขนาดใหญ่ มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง แขนงประสาท แบ่งเป็น 2 พวก คือ - เดนไดรต์ (dendrite) ที่เป็นแขนงประสาทขนาดสั้นทำหน้าที่รับกระแสประสาท (impulse) เข้าสู่ตัวเซลล์ ป-รแะอสกาซทออนอ(กaจxาoกnตั)วเปเซ็นลแลข์ นงประสาทลักษณะยาวไม่มีแขน งแตกออกใกล้กับตัวเซลล์แอกซอน ทำหน้าที่นำ กระแส
43 ระบบปกคลุมร่างกายประกอบด้วยผิวหนังและโคร้างสร้างที่เจริญมาจากผิวหนัง ซึ่งได้แก่ เส้นผมหรือขน (Hair) ต่อมเหงื่อ (Sweat gland) ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) เล็บ (Nail) ต่อมน้ำนม (Mammary gland ผิวหนัง เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย หรือ ประมาณ 20% ของน้ำหน้กร่างกาย ความหนาของ ผิวหนังจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของร่างกาย ตั้งแต่ 1 มม. ถึง 5 มม. ส่วนที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมบ่อย ๆ เพื่อปกป้องอวัยวะที่อยู่ภายในจะมีความหนามากกกว่าที่ อื่น(Thick skin) เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นต้น หน้าที่ของผิวหนัง 1. ทำหน้าที่ป้องกัน (Protection) เช่น ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลท ป้องกันเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม ป้องกันการสูญ เสียน้ำออกจากร่างกาย โดยทำงานร่วมกับระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิต 2. รับความรู้สึก (Sensation) เช่น ร้อน เย็น แรงกด การสัมผัส และอาการเจ็บปวดโดยทำงานร่วมกับระบบประสาท 3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Body temperature regulation) ผิวหนังสามารถปรับเพิ่มหรือลดอุณภูมิของ ร่างกายให้มีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้อวัยวะในร่างกายสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยทำงานร่วมกับ ระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ 4. สังเคราะห์ไวตามินดี (Vitamin D production เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดงอย่างพอเหมาะ 5. ขับของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อ (Excretion)
ส่วนประกอบของผิวหนัง 44 ผิวหนังประกอบด้วย 2 ชั้น คือ หนังกำพร้า และหนังแท้ หนังกำพร้า (Epidermis) เป็นบริเวณชั้นนอกสุดของผิวหนัง ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าหรือออก จากร่างกาย และห่อหุ้มร่างกาย ประกอบด้วยเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวประเภทสแตรทิฟายด์ สแควมัส (Stratified squamous epithelium) รองรับด้วยเบซัล ลามินา (ฺBasal lamina cell) หนังกำพร้า ไม่มีหลอดเลือด แต่ได้รับสารอาหารและถ่ายเทของเสียโดยการแพร่ผ่านหนังแท้ เซลล์องค์ประกอบส่วน ใหญ่ของหนังกำพร้าคือ คีราติโนไซต์ (Keratinocytes:สารที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือหมดอายุขัยจะ กลายเป็นขี้ไคล : Keratin) เมลาโนไซต์ (Melanocytes:สารตั้งต้นกระตุ้นให้เกิดเม็ดสี หรือ Melanin ทำให้มีสีผิวเข้มขึ้น) เซลล์แลงเกอร์ฮานส์ (Langerhans cells ทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิคุ้นกันของ ผิวหนัง) และเซลล์เมอร์เคลส์ (Merkels cells: เซลล์ที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกสัมผัส) หนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นของผิวหนังที่อยู่ใต้หนังก ำพร้า (Epidermis) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ลดการกระแทกจากแรงดึงต่างๆ หนังแท้ยึดติดกับหนังกำพร้าอย่างแน่นหนา โดยเยื่อฐาน (Basement membrane) และมีปลายประสาทมากมายซึ่งรับความรู้สึกเช่นสัมผัสหรือ ความร้อน ในหนังแท้ยังมีรากขน (Hair follicle) ต่อมเหงื่อ (Sweat gland) ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ต่อมเหงื่อแบบอะโพครายน์ (Apocrine sweat glands) และหลอดเลือด (Blood vessel) หลอดเลือดในชั้นหนังแท้มีประโยชน์ในการให้อาหารมาเลี้ยงและขับของเสีย เช่นเดียวกับสตราตัม เบซา เลของหนังกำพร้า
โครงสร้างที่เจริญมาจากผิวหนัง (Derivtives of skin) 45 เส้นขน หรือเส้นผม เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยเคอราตินสีและขนาดขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ อายุ เพศ และ ตำแหน่งบนร่างกาย สามารถมาพบได้ทั่วร่างกาย ยกเว้น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ริมฝีปาก หัวนม และบางส่วนของ อวัยวะสืบพันธ์ุ ได้แก่ ส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย (Glans penis) จุดกระสันของเพศหญิง (Clitoris) และ แคมเล็ก (Labia minora) เส้นขนและเส้นผมของเราจะมีอยู่ประมาณ 100,000 – 120,000 เส้น และจะหลุดล่วงได้วันละ 50 -100 เส้น แต่สำหรับท่านที่ไม่ได้สะผมทุกวัน เช่น สะทุก 2-3 วัน แล้วพบว่ามีเส้นผมจำนวนมากหลุด ล่วงออกมา ก็ไม่ต้องตกใจครับ เพราะนั้นอาจเป็นเพราะเส้นผมก่อนหน้าที่จะสะผมไม่มีการหลุดล่วง จึงเกิด การหลุดล่วงสะสมได้ ทำให้เหมือนกับว่า “ผมล่วงจำนวนมาก” การเจริญเติบโตของเส้นผมหรือขนมีอยู่ด้วย กัน 3 ระยะ 1.ระยะการเจริญเติบโต (Anagen Phase) เป็นระยะเวลาที่เส้นผมใหม่งอกขึ้น มีระยะเวลายาวนาน ประมาณ 3 ปี หรืออาจถึง 7 ปี (ในวัยเด็ก) และเมื่ออายุมากขึ้น ระยะการเจริญเติบโตนี้ก็จะสั้นลง ในระยะนี้ เส้นผมจะงอกเร็วประมาณ 1 cm. หรือ ครึ่งนิ้ว (90% ของเส้นผมอยู่ในระยะการเจริญเติบโต อีก 10%อยูใน ระยะพักตัว) 2. ระยะเส้นผมพักตัว (Catagen Phase) คือ ระยะสิ้นสุดการเจริญเติบโตแล้ว และเส้นผมจะเข้าสู่ ระยะพักตัว ประมาณ 3 สัปดาห์ ในระยะนี้เส้นผมแยกตัวจากหลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยง ค่อยๆขาดสารอาหาร และเตรียมที่จะร่วง (10% ของเส้นผมอยู่ในระยะพัก) 3. ระยะหยุดการเจริญเติบโต (Telogen Phase) ต่อมรากผมจะเลื่อนตัวขึ้นไป ระยะนี้ใช้เวลา ประมาณ 3 เดือน จะมีเส้นผมที่งอกขึ้นใหม่ดันให้ผมเก่าหลุดร่วงออกไป (10-15% ของเส้นผมอยู่ในระยะหยุด การเจริญเติบโต) ถ้าจะมีอะไรก็ตามที่มาขัดขวางการเจริญของผมใหม่ หรือเร่งให้ผมมาอยู่ในระยะพักเร็วขึ้นก็ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วง มากกว่าผมขึ้น ดูผมบางลงได้
46 หน้าที่ของขนหรือเส้นผม ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ปกป้องผิวหนัง เช่น จากแสงแดด เป็นต้น รับความรู้สึกสัมผัส เช่น เราจะรู้สึกได้เมื่อมีลมพัดผ่านผิวหนังเรา เป็นส่วนที่ช่วยระบายเหงื่อและไขมัน สร้างบุคลิกของร่างกาย เช่น ทรงผม เป็นต้น มีส่วนสนับสนุนการหายของแผล เล็บ (Nail) เล็บ เป็นส่วนของเซลล์ชั้นหนังกำพร้าที่ตายแล้ว เลื่อนขึ้นมาอัดแน่นเป็นแผ่นแข็งติดชั้นหนังกำพร้า เล็บจะงอก ยาวประมาณ 0.1 มิลลิเมตรในเวลา 1 สัปดาห์ ส่วนประกอบของเล็บคือ 1. Nail plate คือ แผ่นเล็บ ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว เล็บจะยาวและงอกใหม่ตลอดเวลา มีโปรตีนที่เรียก ว่า Keratin 2. Proximal nail fold คือ ผิวหนังด้านล่างบริเวณโคนเล็บ มีเยื่อขาว ๆ ที่เรียกว่าคิวติเคิล ช่วยยิดโคนเล็บ ให้ติดกับ Nail plate 3. Lateral nail folds คือ ผิวหนังที่ปกคลุมด้านข้า งทั้งซ้ายและขวาของ nail plates ไว้ทำให้ nail plate ถูกปกคลุมด้วยผิวหนังตลอด 3 ด้าน 4. Nail matrix คือ ตัวสร้างเล็บ (Nail plate) ประกอบไปด้วยเซลล์ต่างๆ โดยเซลล์ส่วนใหญ่คือ Keratinocyte ที่จะผลิตเล็บให้ยืดยาวออกไป 5. Nail bed คือ เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ Nail plate 6. Hyponychium คือ ผิวหนังบริเวณที่ Nail plate แยกตัวออกจาก Nail bed ทำให้สามารถตัดเล็บได้ บริเวณตำแหน่งนี้
47 หน้าที่ของเล็บ 1. ป้องกัน (Protection) อันตรายที่จะเกิดต่อนิ้วส่วนปลาย 2. รับความรู้สึก (Sensitivity) ทำให้ระบบรู้สึกสัมผัสแบบระเอียดดีขึ้น 3. ทำให้นิ้วมือสามารถหยิบจับสิ่งของได้ดี โดยเฉพาะสิ่งของที่มีขนาดเล็ก 4. เป็นอาวุธของร่างกายอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ ในการขีด ข่วน เพื่อต่อสู้กับอันตราย 5. เล็บนิ้วเท้ายังช่วยให้การเคลื่อนไหวของเท้าได้ดียิ่งขึ้น 6. เป็นแหล่งข้อมูลต่างๆ ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ต่อมไขมัน (Sebaceous Gland หรือ Oil Gland) ต่อมไขมันมีหน้าที่โดยปกติคือ ผลิตและขับน้ำมัน (มีชื่อเฉพาะว่า Sebum) น้ำมันซีบัม ที่ขับออกมานี้ ทำให้ผิวหนังเป็นมัน นุ่มไม่แตกแห้ง ลดความฝืด และ ช่วยสร้างความชุ่มชื้น เพราะความหนืดของน้ำมัน จึงไม่ยอมให้น้ำในร่างกายระเหยผ่านออกไปได้ แต่ถ้า น้ำมันซีบัมไม่สามารถขับออกมาได้เพราะปากท่อต่อ มน้ำมัน มีการอุดตันจะโดยสาเหตุใดก็ตาม ทำให้ เกิดมีตุ่มสิวขึ้น
ต่อมเหงื่อ (Sweat gland) 48 ต่อมเหงื่อ พบได้ทั่วร่างกายเช่นเดียวกัน ยกเว้นที่ริมฝีฝาก (Lips) ช่องหูส่วนนอก (External Ear Canal) และบริเวณแคมเล็ก หรือแคมในของอวัยวะเพศสตรี (Labia Minora) ต่อมเหงื่อจะ มีมากที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และหน้าผาก เวลามีเรื่องตื่นเต้นจะพบว่าเหงื่อออกมากในบริเวณดังกล่าว หน้าที่ของต่อมเหงื่อ คือ ผลิตเหงื่อ ซึ่งเป็นน้ำและเกลือโซเดียมละลายอยู่ค่อนข้างสูง โดยเหงื่อจะ ช่วยให้ร่างกายเย็นลง เมื่อน้ำเหงื่อระเหยเป็นไอน้ำก็จะดึงความร้อนแฝงออกไป กรณีอากาศร้อน ท(Tำhใหe้ตr่mอoมrเหegงื่อuทlีa่ผtิวoหryนังCผeลnิตtเeหrงื่)อทอี่ออยกู่บมราิเมวาณกมกั็น เพสมราอะงศสู่นวยน์คล่วาบงค(ุHมอyุณpoหtภhูมaิlamus) เป็นผู้สั่ง การให้ต่อมเหงื่อทำงานเพิ่มขึ้นนั่นเอง
49 ต่อมกลิ่นตัว (Apocrine gland) ต่อมกลิ่นตัว สำหรับต่อมกลิ่นตัวมีลักษณะโครงสร้างคล้ายต่อมเหงื่อ (Sweat Gland) แต่มีหน้าที่หลักคือ ผลิตกลิ่นเฉพาะที่ค่อนข้างฉุนเพื่อประโยชน์ทางเพศแต่ใช้มากกับ สัตว์ มนุษย์มีบ้างแต่น้อยมากที่จะชอบกลิ่นฉุนแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ ต่อมดังกล่าวจะ มีหนาแน่นบริเวณรักแร้ (Axilla) ผิวหนังรอบทวารหนักและอวัยวะเพศ (Anogeital Region) เหงื่อที่ออกมากเกินไปอย่าง เช่น กรณีเล่นกีฬาหนัก ๆ จะขับแมกนีเซียมออก มามาก พร้อมกับเหงื่อจนทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียม จนถึงหัวใจวายได้ เหงื่อตาม ปกติจะมีกลิ่นอ่อนมาก
50 อ้างอิง https://sites.google.com/site/biology5481136033/bth-thi/4-2 https://th.wikipedia.org/wiki https://www.dreamstime.com/stock https://sites.google.com/site/nichaapa44750/sell-prasath/kar-sng- krasae-prasath https://www.trueplookpanya.com/learning/detail https://www.google.com/url https://sites.google.com/site/posa4532/watcakr-khxng-sell-cell-cycle https://www.scimath.org/lesson-biology/item http://www.digitalschool.club/digitalschool/health4- 6/health4_1/more/lesson1_2/1.php http://www.xn72crqqbbaf2a1acnh9a7hl5fb1hsiqhd.com https://www.pobpad.com/g6pd-deficiency https://amprohealth.com/beauty/healthy-skin/ http://www.fsps.muni.cz/emuni/data/reader/book-4/11.html https://www.zrtlab.com/blog/archive/sweating-heavy-metal-detox หนังสือAnatomy Physiology | by A.J.Chutiporn Jaritngarm http://lms.mju.ac.th/courses/538/locker https://anatomyfivelife.wordpress.com https://th.wikipedia.org/wiki
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147