Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยานิพนธ์ ประภัสรา โคตะขุน

วิทยานิพนธ์ ประภัสรา โคตะขุน

Published by Www.Prapasara, 2020-06-19 13:55:46

Description: วิทยานิพนธ์ ประภัสรา โคตะขุน
การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตามแนวคิด
ของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ เพื่อเพิ่มทักษะการแก้ปัญหา
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

THE DEVELOPMENT OF MATHEMATICS INSTRUCTION
ACTIVITIES BY USING CONSTRUCTIVISM THEORY
ENHANCING THE PROBLEM–SOLVING SKILL
OF MATTAYOMSUKSA III STUDENTS


นางสาวประภัสรา โคตะขุน

Keywords: การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตามแนวคิด ของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ เพื่อเพิ่มทักษะการแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3,ประภัสรา โคตะขุน,ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์,ทักษะการแก้ปัญหา

Search

Read the Text Version

82 4.3 แบบวดั เจตคตติ ่อวชิ ำคณติ ศำสตร์ แบบวดั เจตคติใชว้ ดั เจตคติต่อวชิ าคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนภายหลงั ไดร้ ับการสอน เพือ่ นามาศึกษาพฒั นาการของนกั เรียนดา้ นเจตคติต่อวชิ าคณิตศาสตร์ ภายหลงั ไดร้ ับการสอนดว้ ย กิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ ผวู้ จิ ยั ดาเนินการตามลาดบั ข้นั ดงั น้ี 4.3.1 ศึกษาเคร่ืองมือวดั เจตคติจากเอกสารตา่ งๆแลว้ นามาเขียนเป็นขอ้ คาถาม พร้อม ขอคาแนะนาจากอาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์เพ่ือเป็นแนวทางในการสร้างแบบวดั เจตคติ 4.3.2 สร้างขอ้ คาถามโดยใชม้ าตราวดั ของลิเคอร์ท (Likert Scale) ที่มีมาตรา ใหเ้ ลือกตอบ 5 ระดบั คือ \"ไมเ่ ห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ ” \"ไมเ่ ห็นดว้ ย” \"ไม่แน่ใจ” \"เห็นดว้ ย” และ \"เห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ ” ซ่ึงประกอบดว้ ยขอ้ ความทางบวกและขอ้ ความทางลบที่มีวธิ ีใหค้ ะแนน (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2541 : 99) มาตราวดั ลิเคอร์ท ใหค้ ะแนนกบั ขอ้ ความทางบวก ดงั น้ี ถา้ ตอบในช่อง \"ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ่ ” ให้ 1 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"ไม่เห็นดว้ ย” ให้ 2 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"ไมแ่ น่ใจ” ให้ 3 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"เห็นดว้ ย” ให้ 4 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"เห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ ” ให้ 5 คะแนน มาตราวดั ลิเคอร์ท ใหค้ ะแนนกบั ขอ้ ความทางลบ ดงั น้ี ถา้ ตอบในช่อง \"ไมเ่ ห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ ” ให้ 5 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"ไมเ่ ห็นดว้ ย” ให้ 4 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"ไม่แน่ใจ” ให้ 3 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"เห็นดว้ ย” ให้ 2 คะแนน ถา้ ตอบในช่อง \"เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ่ ” ให้ 1 คะแนน แบบวดั เจตคติต่อวชิ าคณิตศาสตร์ มีขอ้ ความทางบวก 11 ขอ้ ไดแ้ ก่ 3 , 4 , 6 , 7 , 9 , 11 , 12 , 16 , 17 , 18 , 20 และมีขอ้ ความทางลบ 9 ขอ้ ไดแ้ ก่ 1 , 2 , 5 , 8 , 10 , 13 , 14 , 15 , 19

83 4.3.3 นาแบบวดั เจตคติไปใหผ้ เู้ ช่ียวชาญพจิ ารณาความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา ของขอ้ คาถาม เพ่ือขอคาแนะนาซ่ึงใชเ้ ป็นแนวทางในการแกไ้ ขขอ้ บกพร่องของแบบวดั เจตคติ ใหส้ มบูรณ์ยง่ิ ข้ึน 4.3.4 นาแบบวดั เจตคติไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ภาคเรียน ท่ี 1 ปี การศึกษา 2544 โรงเรียนบา้ นกุดหมากไฟ สังกดั สานกั งานการประถมศึกษาอาเภอ หนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี จานวน 25 คน ซ่ึงผวู้ จิ ยั พิจารณาแลว้ วา่ เป็นตวั แทนท่ีดีของกลุ่ม ตวั อยา่ งที่ตอ้ งศึกษา เน่ืองจากมีสภาพแวดลอ้ มใกลเ้ คียงกนั แลว้ นาผลการตอบแบบวดั เจตคติ ของนกั เรียนมาหาค่าอานาจจาแนกของแบบวดั เจตคติรายขอ้ คดั เลือกเฉพาะขอ้ ท่ีมีค่าดชั นีอานาจ จาแนกต้งั แต่ 0.20 - 0.80 ถา้ ขอ้ คาถามในขอ้ ท่ีมีค่าอานาจจาแนกต่ากวา่ 0.20 ตอ้ งตดั ทิ้งหรือ นาไปปรับปรุงแกไ้ ข 4.3.5 นาแบบวดั เจตคติไปหาคา่ ความเชื่อมน่ั โดยใชน้ กั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนบา้ นโคกผกั หอมแลว้ หาคา่ ความเชื่อมน่ั (Reliability) ของแบบวดั เจตคติ โดยใชส้ ูตร สมั ประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาค (Cronbach 's Alpha Coefficient) ไดค้ า่ ความเช่ือมนั่ ท้งั ฉบบั เทา่ กบั 0.83 แบบวดั เจตคติที่ใชเ้ ป็นแบบวดั เจตคติต่อวชิ าคณิตศาสตร์ของนกั เรียน โดยใชว้ ดั ภายหลงั ไดร้ ับการสอนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากแบบวดั เจตคติตอ่ วชิ าคณิตศาสตร์ โดยใชค้ า่ เฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) ของแบบวดั เจตคติท้งั ฉบบั โดยใชเ้ กณฑก์ ารแปลความหมาย ดงั น้ี คา่ เฉล่ีย ระดบั เจตคติ 4.50 - 5.00 ดีมาก 3.50 - 4.49 ดี 2.50 - 3.49 ปานกลาง ต่ากวา่ 2.50 ไมด่ ี

84 4.4 แบบบันทกึ กำรสังเกตกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอน แบบบนั ทึกการสังเกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนใชเ้ ป็นแบบบนั ทึกจากการสงั เกต พฤติกรรมการเรียนการสอนของครูผสู้ อนและนกั เรียนในแตล่ ะเรื่องยอ่ ย ที่เกิดข้ึนระหวา่ งดาเนิน กิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือนาผลท่ีไดไ้ ปปรับปรุงการเรียนการสอนในเร่ืองตอ่ ไป ซ่ึง แบบบนั ทึกการสังเกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนประกอบดว้ ยแบบบนั ทึกต่างๆ ดงั น้ี (1) แบบบนั ทึกการสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน (ชุดที่ 1) (2) แบบบนั ทึกการสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน (ชุดที่ 2) (3) แบบบนั ทึกการสะทอ้ นผลการใชแ้ ผนการสอน (4) แบบบนั ทึกการสงั เกตพฤติกรรมการเรียนของนกั เรียน (5) แบบสัมภาษณ์นกั เรียนเก่ียวกบั กิจกรรมการเรียนการสอน (6) แบบสังเกตพฤติกรรมการมีทกั ษะทางสังคม โดยผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการสร้างแบบบนั ทึกการสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ตาม ข้นั ตอน ดงั น้ี 4.4.1 ศึกษาหนงั สือ เอกสาร งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การสร้างแบบบนั ทึก การสังเกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 4.4.2 กาหนดขอบขา่ ยของแบบบนั ทึกการสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 4.4.3 สร้างแบบบนั ทึกการสังเกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 4.4.4 นาแบบบนั ทึกการสังเกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน เสนอตอ่ คณะกรรมการที่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์และผเู้ ชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบและพจิ ารณาปรับปรุงแกไ้ ข เพื่อ นาไปใชใ้ นการทดลอง

85 5. รูปแบบในกำรทดลอง ในการวจิ ยั คร้ังน้ี ใชร้ ูปแบบการวจิ ยั แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน (One - Group Pretest - Posttest Design) (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538 : 249 ; พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ (Treatment) T2 แทน ทดสอบหลงั เรียน (Posttest) 6. กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล 6.1 ข้นั เตรียม ผวู้ จิ ยั ไดเ้ ตรียมนกั เรียนโดยการใหค้ าช้ีแจง เพ่ือทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั วธิ ีการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ มแ์ ละแนะนา บทบาทหนา้ ท่ีของครูผสู้ อนและของนกั เรียน โดยปฏิบตั ิการสอนจริงล่วงหนา้ ก่อนการเกบ็ ขอ้ มูล ซ่ึงมีข้นั ตอน ดงั น้ี 6.1.1 จดั นกั เรียนเขา้ กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน โดยแต่ละกลุ่มประกอบดว้ ย เดก็ เก่ง เด็ก ปานกลาง เด็กออ่ น ในอตั ราส่วน 1 : 2 : 1 โดยใชร้ ะดบั ความสามารถทางการเรียนที่มี วธิ ีการจดั ดงั ตารางที่ 2

86 ตารางท่ี 2 การจดั นกั เรียนเขา้ กลุ่มตามระดบั ความสามารถ ระดบั ความสามารถ ลาดบั กลุ่มท่ี ระดบั ความสามารถ ลาดบั กลุ่มที่ ของนกั เรียน นกั เรียน สังกดั ของนกั เรียน นกั เรียน สงั กดั เด็กเก่ง 1 A เดก็ อ่อน 18 E เดก็ ปานกลาง 2 B 19 D 3 C 20 C 4 D 21 B 5 E 22 A 6 E 7 D 8 C 9 B 10 A 11 * 12 * 13 A 14 B 15 C 16 D 17 E หมำยเหตุ เนื่องจากนกั เรียนกลุ่มทดลองมีจานวน 22 คน แบง่ เป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน จะมี 2 กลุ่มท่ีมี 5 คน นกั เรียนลาดบั ที่ 11 และ 12 จดั เขา้ กลุ่มตามความเหมาะสม โดยใช้ ระดบั ความสามารถทางการเรียน ซ่ึงนกั เรียนลาดบั ท่ี 11 ใหเ้ ขา้ กลุ่มที่สังกดั คือ กลุ่ม D และ นกั เรียนลาดบั ที่ 12 ใหเ้ ขา้ กลุ่มที่สงั กดั คือ กลุ่ม E 6.1.2 ช้ีแจงวตั ถุประสงคแ์ ละขอ้ ตกลงตา่ งๆในการเรียน

87 6.1.3 ทบทวนความรู้เดิม เพอ่ื เช่ือมโยงเขา้ กบั เน้ือหาใหม่ที่จะสอน

88 6.2 ทาการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 6.3 ดาเนินการทดลองโดยใชก้ ิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิดของทฤษฎี คอนสตรัคติวสิ ม์ เร่ือง ระบบสมการเชิงเส้น จานวน 14 แผนการสอน 6.4 ทาการทดสอบหลงั เรียน (Posttest) หลงั จากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและแบบวดั เจตคติตอ่ วชิ าคณิตศาสตร์ฉบบั เดียวกนั กบั ที่ ใชท้ ดสอบก่อนการทดลอง 6.5 นาผลที่ไดจ้ ากการทดลองไปวเิ คราะห์ผล โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ SPSS for Windows 7. กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเพ่ือหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนการสอน ผวู้ จิ ยั ไดน้ า ขอ้ มูลจากการเก็บรวบรวมมาวเิ คราะห์ ดงั น้ี 7.1 ผวู้ จิ ยั ดาเนินการหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนการสอน โดยหา ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกระบวนการและผลลพั ธ์เฉลี่ย โดยการคานวณค่า E1 / E2 มีเกณฑ์ ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนการสอน คือ 80 / 80 โดยที่ 80 ตวั แรก หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ 80 ตวั หลงั หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ ซ่ึงการหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนการสอน E1 / E2 มีสูตรการคานวณ ดงั น้ี (ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ, 2520 : 136) x E1 = N 100 A

89 y E2 = N 100 B

90 เมื่อ E1 = ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 = ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ x = คะแนนรวมของการทาแบบฝึกหดั หรืองาน A = คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหดั ทุกขอ้ หรืองานทุกชิ้นรวมกนั N = จานวนนกั เรียน y = คะแนนสอบหลงั เรียน B = คะแนนเตม็ ของการสอบหลงั เรียน 7.2 ผวู้ จิ ยั ดาเนินการหาพฒั นาการหรือการเรียนรู้ของนกั เรียน ที่เกิดจากกิจกรรม การเรียนการสอนและวเิ คราะห์ขอ้ มูลดว้ ยวิธีการทางสถิติ ดงั น้ี 7.2.1 สถิติพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ คา่ เฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7.2.2 สถิติเพ่ือหาคุณภาพของแบบทดสอบ 7.2.2.1 หาค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบ คานวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2535 : 81) สูตร r = R U  R L f เม่ือ r แทน อานาจจาแนก R u แทน จานวนคนในกลุ่มสูงท่ีตอบถูก R L แทน จานวนคนในกลุ่มต่าท่ีตอบถูก f แทน จานวนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่า 7.2.2.2 หาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบ คานวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2535 : 81)

91 สูตร p = R N เมื่อ p แทน ระดบั ความยากง่าย แทน จานวนผตู้ อบถูกท้งั หมด R แทน จานวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่า N 7.2.2.3 หาคา่ ความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน คานวณจากสูตร KR - 20 ของคูเดอร์ - ริชาร์ดสัน (Kuder - Richardson) (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538 : 197 - 198) สูตร rtt = n (1   pq ) n 1 S 2 t เมื่อ rtt แทน ค่าความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบ แทน จานวนขอ้ ของแบบทดสอบ n p แทน สัดส่วนของผทู้ ี่ทาไดใ้ นขอ้ หน่ึงๆ = จำนวนคนท่ี ทำถูก จำนวนคนท้ั งหมด q แทน สดั ส่วนของผทู้ าผดิ ในขอ้ หน่ึงๆ หรือ คือ 1  p S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนแบบทดสอบท้งั ฉบบั t 7.2.2.4 หาคา่ ความเชื่อมนั่ ของแบบวดั เจตคติต่อวชิ าคณิตศาสตร์ คานวณจากสูตรสมั ประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาค (Cronbach ' s Alpha Coefficient) (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538)

92 สูตร α = n (1  S 2 ) i n 1 S 2 t

93 เมื่อ α แทน ค่าสมั ประสิทธ์ิของความเชื่อมนั่ n แทน จานวนขอ้ สอบในแบบทดสอบ S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรายขอ้ i S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมท้งั ฉบบั t 7.2.3 การทดสอบสมมติฐาน เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าคณิตศาสตร์ก่อนและภายหลงั ไดร้ ับการจดั การเรียนการสอน ดว้ ยกิจกรรมการเรียนการสอนตาม แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ ซ่ึงใชส้ ถิติ t - test แบบ Dependent โดยใชโ้ ปรแกรม คอมพวิ เตอร์ SPSS for Windows

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ในการวจิ ยั ครงั้ น้มี วี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื พฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ า คณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหาของนกั เรยี น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ผวู้ จิ ยั ไดน้ าเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ของการวจิ ยั ในครงั้ น้ี ดงั น้ี 1. การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ 2. ผลการใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา 2.1 ประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา 2.2 ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา ปีท่ี 3 ก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ 2.3 เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ 2.4 ผลทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์

90 1. การพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตามแนวคิด ของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ เพ่ือเพ่ิมทกั ษะการแก้ปัญหา ในการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ผวู้ จิ ยั ไดน้ าแผนการสอนไปทดลองใช้ จากการทดลองกลุ่มเดย่ี ว (จานวน 4 คน) และกล่มุ เลก็ (จานวน 12 คน) ไดผ้ ลตามตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 ประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา จากการทดลองกลมุ่ เดย่ี ว (จานวน 4 คน) และกลุ่มเลก็ (จานวน 12 คน) จาแนกตามเรอ่ื งยอ่ ย เรอ่ื ง ประสทิ ธภิ าพ (E1 / E2) กล่มุ เดย่ี ว (จานวน 4 คน) กลมุ่ เลก็ (จานวน 12 คน) สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร กราฟของสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร 75.00 / 52.50 80.30 / 60.00 ระบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร วธิ แี กร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร 77.15 / 57.50 83.90 / 64.16 โจทยส์ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปร 76.11 / 60.00 84.87 / 62.50 ภาพรวม 79.33 / 52.50 85.17 / 63.33 77.50 / 47.50 83.27 / 65.83 77.02 / 54.00 83.50 / 63.16 จากตารางท่ี 3 พบวา่ ประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอน จากการทดลอง กลุ่มเดย่ี วมปี ระสทิ ธภิ าพโดยเฉลย่ี (E1 / E2) เทา่ กบั 77.02 / 54.00 แสดงวา่ กจิ กรรมการเรยี น การสอนมปี ระสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E1) เทา่ กบั 77.02 มคี ่าต่ากวา่ เกณฑท์ ต่ี งั้ ไวแ้ ละ มปี ระสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E2) เทา่ กบั 54.00 มคี ่าต่ากว่าเกณฑท์ ต่ี งั้ ไวแ้ ละ ประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอน จากการทดลองกลุม่ เลก็ มปี ระสทิ ธภิ าพโดยเฉลย่ี (E1 / E2) เทา่ กบั 83.50 / 63.16 แสดงวา่ กจิ กรรมการเรยี นการสอนมปี ระสทิ ธภิ าพของ กระบวนการ (E1) เทา่ กบั 83.50 มคี า่ สงู กว่าเกณฑท์ ต่ี งั้ ไวแ้ ละมปี ระสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ โดยเฉลย่ี (E2) เท่ากบั 63.16 มคี ่าต่ากว่าเกณฑท์ ต่ี งั้ ไว้

91 จากการนากจิ กรรมการเรยี นการสอนและเอกสารประกอบการเรยี นการสอน ท่ี แกไ้ ขปรบั ปรงุ ตามคาแนะนาของผเู้ ชย่ี วชาญไปทดลองใชก้ บั นกั เรยี นโรงเรยี นบา้ นโคกผกั หอม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 กลมุ่ เลก็ จานวน 12 คน สงั เกตพฤตกิ รรมและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพ่อื นาขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าวเิ คราะห์ เพ่อื หาขอ้ บกพรอ่ งไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขกจิ กรรมการเรยี นการสอน และเอกสารประกอบการเรยี นใหม้ คี วามสมบรู ณ์ก่อนทจ่ี ะนาไปใชใ้ นการทดลองภาคสนาม และผวู้ จิ ยั ไดพ้ บขอ้ บกพรอ่ งของแผนการสอนทต่ี อ้ งแกไ้ ขก่อนนาไปทดลอง ดงั น้ี 1. แผนการสอนเรอ่ื ง โจทยส์ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปร นกั เรยี นสว่ นใหญ่ไมค่ ่อย เขา้ ใจเพราะเน้อื หาค่อนขา้ งยาก ทาใหน้ กั เรยี นยงั มคี วามสบั สนในการวเิ คราะหโ์ จทยส์ มการ เชงิ เสน้ สองตวั แปร ซง่ึ ครผู สู้ อนตอ้ งใหค้ าแนะนาและใหค้ วามชว่ ยเหลอื เพอ่ื ไมใ่ หน้ กั เรยี น เกดิ ความสบั สน จะช่วยใหส้ ามารถทาความเขา้ ใจโจทยส์ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปรไดอ้ ยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ 2. ใบงานและแบบฝึกทกั ษะบางเรอ่ื งมากและยากเกนิ ไป ไมส่ อดคลอ้ งกบั เวลา ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 3. ในการทดลองในช่วงแรกนกั เรยี นไมเ่ ขา้ ใจบทบาทหน้าทข่ี องตนเอง แต่นกั เรยี น สนใจและตงั้ ใจทากจิ กรรมดแี ละการช่วยเหลอื กนั ในกลุ่มยงั มนี ้อย สว่ นใหญ่นกั เรยี นต่างคน ต่างทาเดก็ เก่งบางกล่มุ มคี วามตงั้ ใจและพยายามสอนเพ่อื นภายในกลุ่ม บางครงั้ กจ็ ะใหเ้ พ่อื น คดั ลอกใบงาน เมอ่ื เหน็ ว่าเพ่อื นในกล่มุ ทาไม่ทนั เวลา แต่เมอ่ื ไดร้ บั คาแนะนาส่งผลทาให้ นกั เรยี นใหค้ วามรว่ มมอื กนั มากขน้ึ 2. ผลการใช้กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดของ ทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ เพื่อเพิ่มทกั ษะการแก้ปัญหา 2.1 ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตาม แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ เพ่ือเพิ่มทกั ษะการแก้ปัญหา จากผลการใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา ไดผ้ ลการทดลองตามตารางท่ี 4

92 ตารางท่ี 4 ประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา กลุ่มนกั เรยี น ประสทิ ธภิ าพโดยเฉลย่ี ตามเกณฑค์ วามสมั พนั ธ์ ระหว่างกระบวนการและผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E1 / E2) เดก็ เก่ง เดก็ ปานกลาง 97.79 / 92.00 89.64 / 85.00 เดก็ อ่อน 78.23 / 63.33 ภาพรวม 88.89 / 81.67 2.1.1 จากตารางท่ี 4 ในภาพรวม กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหามปี ระสทิ ธภิ าพของ กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยเฉลย่ี (E1 / E2) เทา่ กบั 88.89 / 81.67 แสดงวา่ กจิ กรรม การเรยี นการสอนมปี ระสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E1) เท่ากบั 88.89 ซง่ึ มคี ่าสงู กว่าเกณฑ์ และมปี ระสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E2) เท่ากบั 81.67 ซง่ึ มคี ่าสูงกวา่ เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ 2.1.2 จากตารางท่ี 4 พจิ ารณาตามความสามารถทางการเรยี นของนกั เรยี น พบวา่ 2.1.2.1 กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา เมอ่ื นามาใชก้ บั เดก็ เก่งปรากฏว่ามี ประสทิ ธภิ าพโดยเฉลย่ี (E1 / E2) เท่ากบั 97.79 / 92.00 แสดงว่ากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี มปี ระสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E1) เท่ากบั 97.79 ซง่ึ มคี ่าสงู กว่าเกณฑท์ ก่ี าหนดไวแ้ ละมี ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E2) เทา่ กบั 92.00 ซง่ึ มคี ่าสงู กว่าเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ 2.1.2.2 กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา เมอ่ื นามาใชก้ บั เดก็ ปานกลางปรากฏวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพโดยเฉลย่ี (E1 / E2) เทา่ กบั 89.64 / 85.00 แสดงว่ากจิ กรรมการเรยี นการสอน น้มี ปี ระสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E1) เทา่ กบั 89.64 ซง่ึ มคี า่ สงู กว่าเกณฑท์ ก่ี าหนดไวแ้ ละมี ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E2) เทา่ กบั 85.00 ซง่ึ มคี ่าสงู กว่าเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้

93 2.1.2.3 กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา เมอ่ื นามาใชก้ บั เดก็ อ่อนปรากฏว่ามี ประสทิ ธภิ าพโดยเฉลย่ี (E1 / E2) เทา่ กบั 78.23 / 63.33 แสดงว่ากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี มปี ระสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E1) เทา่ กบั 78.23 ซง่ึ มคี ่าเท่ากบั เกณฑท์ ก่ี าหนดไวแ้ ละมี ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E2) เท่ากบั 63.33 ซง่ึ มคี า่ ต่ากว่าทก่ี าหนดไว้ 2.2 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษา ปี ท่ี 3 ก่อนและภายหลงั ได้รบั การสอนด้วยกิจกรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคิด ของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ จากการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา ผวู้ จิ ยั ไดท้ าการทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นก่อนและ ภายหลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ไดผ้ ลการทดลองตามตารางท่ี 5 ตารางท่ี 5 การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ ของการทดสอบก่อน และภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแก้ปัญหา จาแนกตามกลุ่มนกั เรยี น กลมุ่ ก่อนไดร้ บั การสอน หลงั ไดร้ บั การสอน t - test นกั เรยี น คา่ เฉลย่ี ส่วนเบย่ี งเบน ค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบน เดก็ เก่ง 22.36 ** เดก็ ปานกลาง ( X ) มาตรฐาน (S) ( X ) มาตรฐาน (S) 18.23 ** เดก็ อ่อน 16.20 0.84 27.60 0.89 9.00 ** 14.25 2.14 25.50 2.43 19.31 ** ภาพรวม 11.80 1.30 19.00 1.00 14.14 2.27 24.50 3.67 ** P < .01

94 จากตารางท่ี 5 ผลการวเิ คราะหใ์ นภาพรวมปรากฏวา่ นกั เรยี นมคี ่าเฉลย่ี การทดสอบ ก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอนตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เทา่ กบั 14.14 และ 24.50 ตามลาดบั ซง่ึ ค่าเฉลย่ี การทดสอบก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอนแตกต่างกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 แสดงวา่ นกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี จะมพี ฒั นาการดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู กว่าก่อนไดร้ บั การสอน พจิ ารณาตามความสามารถทางการเรยี นของนกั เรยี น พบว่า เดก็ เก่งไดค้ า่ เฉลย่ี การทดสอบก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอน ตามกจิ กรรม การเรยี นการสอนน้ี เท่ากบั 16.20 และ 27.60 ตามลาดบั ซง่ึ คา่ เฉลย่ี ของการทดสอบ ก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอนแตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 แสดงวา่ นกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี จะมพี ฒั นาการดา้ นผลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู กว่าก่อนไดร้ บั การสอน เดก็ ปานกลางไดค้ า่ เฉลย่ี การทดสอบก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอน ตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เท่ากบั 14.25 และ 25.50 ตามลาดบั ซง่ึ ค่าเฉลย่ี ของ การทดสอบก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอนแตกต่างกนั อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 แสดงวา่ นกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้จี ะมพี ฒั นาการ ดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู กว่าก่อนไดร้ บั การสอน เดก็ อ่อนไดค้ ่าเฉลย่ี การทดสอบก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอน ตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เท่ากบั 11.80 และ 19.00 ตามลาดบั ซง่ึ คา่ เฉลย่ี ของ การทดสอบก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอนแตกต่างกนั อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 แสดงว่า นกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้จี ะมพี ฒั นาการ ดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู กว่าก่อนไดร้ บั การสอน เมอ่ื นาผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นของนกั เรยี นทงั้ 3 กลมุ่ แสดงเสน้ กราฟเปรยี บเทยี บ เป็นรายบุคคล ทาใหเ้ หน็ ความแตกต่างของผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นทแ่ี ตกต่างกนั ระหว่างก่อน และภายหลงั ไดร้ บั การสอนในภาพรวมของนกั เรยี นแต่ละกลุม่ ไดช้ ดั เจนมากขน้ึ ตาม ภาพประกอบท่ี 10 - 13 ดงั น้ี

95 คะแนน 30 25 20 15 กอ่ นเรยี น 10 หลงั เรยี น 5 0 นกั เรยี นคนท่ี 12345 ภาพประกอบท่ี 10 กราฟเปรยี บเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรก์ ่อน และภายหลงั ไดร้ บั การสอนของเดก็ เก่ง คะแนน 30 25 20 กอ่ นเรยี น 15 10 หลงั เรยี น 5 0 นกั เรยี นคนท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 30ภาพประกอบท่ี 11 กราฟเปรยี บเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรก์ ่อน 25 และภายหลงั ไดร้ บั การสอนของเดก็ ปานกลาง 20 ก่อนเรยี น 15

96 25 คะแนน 20 15 กอ่ นเรยี น 10 หลงั เรยี น 5 0 นกั เรยี นคนท่ี 12345 25ภาพประกอบท่ี 12 กราฟเปรยี บเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรก์ ่อน 20 และภายหลงั ไดร้ บั การสอนของเดก็ อ่อน 15 ก่อนเรยี น 10 คะแนน หลงั เรยี น 5 30 25 เดก็ เก่ง 0 20 15 1 2 3 4 5 เดก็ ปานกลาง 10 5 เดก็ อ่อน 0 ค่าเฉล่ียก่อนเรียน ค่าเฉล่ียหลังเรียน ภาพประกอบท่ี 13 กราฟเปรยี บเทยี บค่าเฉลย่ี ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตรก์ ่อน และภายหลงั ไดร้ บั การสอนจาแนกตามความสามารถของนกั เรยี น

97 2.3 เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 ภายหลงั ได้รบั การสอนด้วยกิจกรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ จากการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา ผลการประเมนิ เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นกลมุ่ ทดลอง โดยใชแ้ บบวดั เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ลว้ หาค่าเฉลย่ี ของคะแนน จากผลการวดั ทงั้ ฉบบั มาเทยี บกบั เกณฑค์ ะแนนเฉลย่ี ทก่ี าหนดไว้ ผวู้ จิ ยั นาเสนอโดยจาแนกตามความสามารถ ทางการเรยี นของนกั เรยี น ปรากฏผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามตารางท่ี 6 ตารางท่ี 6 ผลการศกึ ษาเจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรม การเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะ การแก้ปัญหา กล่มุ นกั เรยี น จานวน (คน) คา่ เฉลย่ี ส่วนเบย่ี งเบน ระดบั เจตคติ (X) มาตรฐาน (S) เดก็ เก่ง 5 4.49 ดี เดก็ ปานกลาง 12 4.14 0.16 ดี 5 3.93 0.10 ดี เดก็ อ่อน 0.08 ดี 22 4.17 ภาพรวม 0.22 จากตารางท่ี 6 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในภาพรวม พบว่าเจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ โดยมคี า่ เฉลย่ี 4.17 เมอ่ื เทยี บเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ กลา่ วไดว้ า่ นกั เรยี นมเี จตคติ ต่อวชิ าคณติ ศาสตรอ์ ยใู่ นเกณฑด์ ี เมอ่ื พจิ ารณาเจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรต์ ามความสามารถ ทางการเรยี นของนกั เรยี น พบวา่ เดก็ เก่ง เดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อน โดยมคี า่ เฉลย่ี 4.49 , 4.14 และ 3.93 ตามลาดบั เมอ่ื เทยี บกบั เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ ทกุ กลมุ่ มเี จตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรอ์ ยใู่ นเกณฑด์ ี

98 2.4 ผลท่ีได้จากการสงั เกตในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิด ของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ จากการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เรอ่ื ง ระบบสมการเชงิ เสน้ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ไดแ้ บ่งเน้อื หาเป็น 5 เรอ่ื งยอ่ ย ตามลกั ษณะเน้อื หาและความเหมาะสมในการวดั และประเมนิ ผลหลงั จากสอนจบ ในแต่ละเรอ่ื ง ซง่ึ ในระหว่างการสอนผวู้ จิ ยั ไดส้ งั เกตผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน วชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา มดี งั น้ี 1. ขนั้ นา มกี ารแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ มกี ารจดั กจิ กรรมในรปู แบบต่างๆ เพอ่ื แจง้ จดุ ประสงคใ์ นแต่ละแผนการสอน โดยนกั เรยี นจะทราบว่าจะเรยี นเรอ่ื งอะไร จะไดเ้ ตรยี ม ความพรอ้ มรวมถงึ ไดท้ ราบถงึ เป้าหมายของการเรยี นในแต่ละครงั้ การนาเสนอจุดประสงค์ จะจดั กจิ กรรมโดยเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นมสี ่วนรว่ มทาใหก้ จิ กรรมน่าสนใจ เช่น การเลน่ เกม การรอ้ งเพลง ใหน้ กั เรยี นช่วยกนั เรยี งบตั รคา จะเหน็ ว่านกั เรยี นมสี ่วนรว่ มและแสดงความสนใจ ทาความเขา้ ใจจดุ ประสงคไ์ ดด้ ี จากนนั้ ทบทวนความรเู้ ดมิ ซง่ึ การทบทวนความรเู้ ดมิ จะช่วยให้ ครผู สู้ อนทราบพน้ื ฐานความรขู้ องนกั เรยี นและยงั เป็นการเพม่ิ พนู ความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี นให้ มากยงิ่ ขน้ึ เพ่อื เตรยี มพรอ้ มทจ่ี ะรบั ความรใู้ หม่ ซง่ึ ส่งผลทาใหน้ กั เรยี นสามารถใชค้ วามคดิ ของ ตนเองในการแกป้ ัญหาและอธบิ ายความคดิ ของตนเองได้ ในขนั้ น้นี กั เรยี นสว่ นมากสามารถใช้ ความรเู้ ดมิ แกป้ ัญหาไดเ้ ป็นอยา่ งดี ผลการจดั กจิ กรรมขา้ งตน้ พบวา่ การใชเ้ กมในการทบทวน ความรเู้ ดมิ จะสรา้ งความสนุกสนานใหก้ บั นกั เรยี นและทาใหก้ ารดาเนินกิจกรรมในขนั้ ตอนต่อไป ไมน่ ่าเบ่อื 2. ขนั้ สอน 2.1 ทาความเขา้ ใจและหาแนวทางแกป้ ัญหา กจิ กรรมขนั้ น้เี ป็นการฝึกให้ นกั เรยี นทาความเขา้ ใจปัญหาและหาแนวทางแกป้ ัญหาดว้ ยตวั นกั เรยี นเอง รวมถงึ สามารถ เชอ่ื มโยงความรเู้ ก่ากบั ความรใู้ หมเ่ ขา้ ดว้ ยกนั และกจิ กรรมน้ี จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นมคี วามสามารถ ในการวเิ คราะหป์ ัญหามากขน้ึ เน้นใหน้ กั เรยี นทาความเขา้ ใจปัญหาและหาแนวทางแกป้ ัญหา ดว้ ยตนเอง แผนการสอนท่ี 1 เรอ่ื ง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร จะเป็นการกาหนดค่าตวั แปร แทนจานวนทไ่ี มท่ ราบคา่ การเขยี นสมการจากประโยคภาษาและหาคาตอบของสมการ ซง่ึ ในแผนการสอนน้ี ครผู สู้ อนเสนอตวั อยา่ งแลว้ ใหน้ กั เรยี นดาเนินการแกป้ ัญหา พรอ้ มทงั้ ให้ นกั เรยี นอธบิ ายวธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการหาคาตอบ ผลจากการจดั กจิ กรรมพบว่า นกั เรยี นส่วนมาก สามารถเขยี นสมการจากประโยคภาษาและหาคาตอบของสมการได้ ซง่ึ มบี างคนเท่านนั้ ทไ่ี ม่ เขา้ ใจ แต่พอไดร้ บั คาอธบิ ายจากเพ่อื นในกลมุ่ กส็ ามารถทาได้

99 แผนการสอนท่ี 2 ครผู สู้ อนใหน้ กั เรยี นเขยี นตารางแสดงค่า x และ y ทเ่ี ป็น คาตอบของสมการใหส้ มบูรณ์ในตาราง จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นนาคาตอบในตารางเขยี นคาตอบ ของสมการในรปู คอู่ นั ดบั (x , y) แลว้ นาค่อู นั ดบั ทเ่ี ป็นคาตอบของสมการนามาแลว้ เขยี นกราฟ ผลการจดั กจิ กรรมพบว่า นกั เรยี นสามารถแทนคา่ x , y ในตารางได้ พรอ้ มทงั้ นาคาตอบมา เขยี นในรปู ค่อู นั ดบั และสามารถนาคอู่ นั ดบั ทเ่ี ป็นคาตอบมาเขยี นกราฟไดถ้ กู ตอ้ งและพบว่า เดก็ เก่งจะทาไดร้ วดเรว็ กวา่ เวลาทก่ี าหนด สว่ นเดก็ อ่อนใชเ้ วลามากกวา่ แผนการสอนท่ี 3 เป็นการจดั สมการทก่ี าหนดใหอ้ ยใู่ นรปู y = ax + b ผลจาก การตรวจใบงาน พบว่านกั เรยี นสามารถพจิ ารณาสมการ Ax + By + C = 0 และ y = ax + b และไดค้ ่าของ a = - A และ b = - C เดก็ เก่งและเดก็ ปานกลางสามารถทาได้ แต่ BB เดก็ อ่อนยงั ตอ้ งการคาแนะนาจากเดก็ เก่ง แผนการสอนท่ี 4 เป็นการเขยี นกราฟของสมการ y = ax + b ในรปู แบบต่างๆ พบวา่ จากการทาใบงานท่ี 6 เดก็ เก่งและเดก็ ปานกลางสามารถทาได้ แต่เดก็ อ่อนจะมปี ัญหา เรอ่ื ง การเขยี นกราฟ นกั เรยี นยงั เขยี นกราฟผดิ บา้ ง ซง่ึ เดก็ เก่งตอ้ งคอยแนะนาจงึ จะสามารถ วเิ คราะหว์ ธิ กี ารแก้ปัญหาได้ แผนการสอนท่ี 5 จากใบงานท่ี 9 นกั เรยี นพจิ ารณาเขยี นกราฟของสมการ Ax +By + C = 0 และใหบ้ อกลกั ษณะของกราฟดว้ ย ผลจากการตรวจใบงาน พบวา่ เดก็ อ่อน ไมเ่ ขา้ ใจและไมส่ ามารถบอกลกั ษณะของกราฟต่างๆได้ แต่สามารถเขยี นกราฟได้ แผนการสอนท่ี 6 เป็นการหาคาตอบของระบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร โดย การใชก้ ราฟ เดก็ เก่งสามารถทาได้ สว่ นเดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อนบางคนยงั หาคาตอบของ ระบบสมการโดยการใชก้ ราฟไมถ่ ูกตอ้ ง ครผู สู้ อนตอ้ งสอนซอ่ มเสรมิ จงึ สามารถทาได้ แผนการสอนท่ี 7 เป็นการหาคาตอบของระบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร โดย การใชก้ ราฟ ครผู สู้ อนไดเ้ สนอตวั อยา่ ง โดยใชก้ ารถามตอบกบั นกั เรยี นเพอ่ื หาคาตอบของ ระบบสมการ จากการสงั เกตการตอบคาถาม พบว่า เดก็ เก่งและเดก็ ปานกลางสามารถตอบ คาถามไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งแต่เดก็ อ่อนบางคนยงั ตอบผดิ บา้ ง ซง่ึ เดก็ เก่งตอ้ งคอยอธบิ ายและให้ คาแนะนาจงึ สามารถทาได้ แผนการสอนท่ี 8 เรอ่ื ง วธิ แี กร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร เป็นการแกร้ ะบบ สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร โดยใชส้ มบตั กิ ารบวกและสมบตั กิ ารคณู ในการแกร้ ะบบสมการ เชงิ เสน้ โดยวธิ กี าจดั ตวั แปรนัน้ เดก็ เก่งสามารถทาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ส่วนเดก็ ปานกลางและ เดก็ อ่อนยงั ทาผดิ ครผู สู้ อนตอ้ งสอนซ่อมเสรมิ และการแกร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ โดยวธิ แี ทนค่า เดก็ เก่งสามารถทาไดถ้ กู ตอ้ ง ส่วนเดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อนตอ้ งขอคาแนะนาจากเดก็ เก่งจงึ สามารถทาได้

100 แผนการสอนท่ี 9 เรอ่ื ง วธิ แี กร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร เป็นการแก้ระบบ สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร โดยใชส้ มบตั กิ ารบวกและสมบตั กิ ารคณู โดยใหน้ กั เรยี นแสดง วธิ กี ารแกร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร โดยวธิ กี ารทน่ี กั เรยี นเลอื กเอง จะเหน็ วา่ นกั เรยี นได้ นาความรทู้ ไ่ี ดเ้ รยี นมาใชใ้ นการแกป้ ัญหา เชน่ การบวก การลบ การคณู การหาร จานวน เตม็ เศษสว่ นและการหา ค.ร.น. ซง่ึ นกั เรยี นไดน้ ามาใชแ้ กป้ ัญหา พรอ้ มทงั้ อธบิ ายขนั้ ตอนทใ่ี ช้ ในการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ส่วนการหาคาตอบของระบบสมการ เดก็ อ่อนยงั หาผลลพั ธ์ ไดไ้ มถ่ ูกตอ้ ง เดก็ เก่งตอ้ งคอยแนะนาจงึ สามารถทาไดถ้ ูกตอ้ ง แผนการสอนท่ี 10 วธิ แี กร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร ครผู สู้ อนมอบใบความรู้ ท่ี 3 และเอกสารแนะแนวทาง 6 ใหน้ กั เรยี นทา พบว่า เดก็ เก่ง เดก็ ปานกลาง ทาไดถ้ กู ตอ้ ง ส่วนเดก็ อ่อนทาถกู ตอ้ ง 70 % แผนการสอนท่ี 11 เรอ่ื ง โจทยส์ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปร ครผู สู้ อนเสนอตวั อยา่ ง พรอ้ มใชค้ าถามเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นนาความรู้ เรอ่ื ง ระบบสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร มาใชใ้ น การหาคาตอบของโจทยป์ ัญหาต่างๆ พบว่า เดก็ เก่งสามารถตอบคาถามไดถ้ กู ตอ้ ง ส่วน เดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อนยงั ตอบผดิ ครผู สู้ อนจะตอ้ งสอนซ่อมเสรมิ จงึ สามารถทาได้ แผนการสอนท่ี 12 เรอ่ื ง โจทยส์ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปร เป็นโจทยป์ ัญหา เกย่ี วกบั เรอ่ื ง อตั ราเรว็ ครผู สู้ อนเสนอตวั อยา่ งพรอ้ มใชค้ าถามกระตุ้น เดก็ เก่งทาความเขา้ ใจ โจทยป์ ัญหาและวเิ คราะหป์ ัญหาไดด้ ว้ ยตนเอง สว่ นเดก็ ปานกลาง เดก็ อ่อนตอ้ งไดร้ บั คาแนะนา จากเดก็ เก่ง และจากการสอนซอ่ มเสรมิ จงึ สามารถทาได้ แผนการสอนท่ี 13 เรอ่ื ง โจทยส์ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปร เป็นโจทยป์ ัญหา เกย่ี วกบั เรอ่ื ง ของผสม จากใบงานท่ี 16 เดก็ เก่งและเดก็ ปานกลางทาไดถ้ กู ตอ้ ง แต่เดก็ อ่อน ยงั มปี ัญหาตอ้ งไดร้ บั คาแนะนาจากเดก็ เก่ง และครผู สู้ อนต้องสอนซอ่ มเสรมิ จงึ สามารถทาได้ แผนการสอนท่ี 14 เรอ่ื ง โจทยส์ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปร เป็นโจทยป์ ัญหา เกย่ี วกบั เรอ่ื ง การทางาน จากการสงั เกตและการตรวจใบงาน เดก็ เก่งทาไดถ้ กู ตอ้ ง แต่ เดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อนบางคนมปี ัญหา ซง่ึ ครผู สู้ อนตอ้ งสอนซอ่ มเสรมิ จงึ สามารถทาได้ 2.2 การดาเนนิ กจิ กรรมไตรต่ รอง 2.2.1 กจิ กรรมไตรต่ รองของระดบั กลุ่ม ในขนั้ น้ีนกั เรยี นนาวธิ กี ารทใ่ี ช้ แกป้ ัญหาจากใบงานและเอกสารแนะแนวทางทต่ี นเองทามาใหเ้ พ่อื นในกลุ่มพจิ ารณา เพ่อื ให้ เพอ่ื นชว่ ยกนั ตรวจสอบวธิ กี ารแกป้ ัญหา ซง่ึ กนั และกนั ในแผนการสอนท่ี 1 - 2 จากการสงั เกต กลุม่ ต่างๆหวั หน้ากลุ่มจะซกั ถามเพ่อื นและใหเ้ พ่อื นอธบิ ายวธิ กี ารของตนเองก่อนสรปุ จาก แผนการสอนท่ี 3 นกั เรยี นกลา้ อธบิ ายวธิ กี ารของตนเองใหเ้ พ่อื นฟังมากขน้ึ โดยประธานกลุ่ม จะทาหน้าทส่ี รปุ ขนั้ ตอนวธิ กี ารทเ่ี พอ่ื นนาเสนออกี ครงั้ เพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจใหต้ รงกนั ในส่วน การแทนค่าและเขยี นกราฟทผ่ี ดิ นนั้ นกั เรยี นจะช่วยกนั แทนค่าและเขยี นกราฟใหมแ่ ลว้ อธบิ าย ขนั้ ตอนการแทนค่าและการเขยี นกราฟนนั้ ซง่ึ ผลจากการดาเนินกจิ กรรมในใบงานสรปุ ไดด้ งั น้ี

101 แผนการสอนท่ี 3 - 5 ในการแทนค่าและเขยี นกราฟนนั้ เดก็ เก่งและเดก็ ปานกลางสามารถทาได้ ถูกตอ้ งและเสรจ็ เรว็ กว่าเวลาทก่ี าหนด สว่ นเดก็ อ่อนใชเ้ วลาตามทค่ี รผู สู้ อนกาหนดไว้ สว่ น แผนการสอนท่ี 6 - 14 ในภาพรวมนกั เรยี นรบู้ ทบาทหน้าทข่ี องตนสามารถทางานกลุ่มได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ถูกตอ้ งและเสรจ็ ทนั เวลากาหนด 2.2.2 กจิ กรรมไตรต่ รองระดบั ชนั้ นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ จะส่งตวั แทนนาเสนอ ผลงานและวธิ กี ารแก้ปัญหาของกลุ่มต่อชนั้ เรยี น ซง่ึ ถา้ วธิ กี ารแกป้ ัญหาซา้ กนั ครผู สู้ อนจะไมใ่ ห้ นาเสนอ นกั เรยี นทเ่ี ป็นตวั แทนในการนาเสนอผลงานจะมคี วามมนั่ ใจมาก เมอ่ื มปี ัญหาเพอ่ื น ซกั ถามกส็ ามารถอธบิ ายใหเ้ พ่อื นๆฟังไดเ้ ขา้ ใจ ในแผนการสอนแรกๆนกั เรยี นจะเลอื กวธิ กี าร แกป้ ัญหาทค่ี ลา้ ยกนั ไมห่ ลากหลาย ครผู สู้ อนตอ้ งใชค้ าถามกระตุน้ หลงั จากทน่ี กั เรยี นนาเสนอ ผลงานหน้าชนั้ ทกุ กลุ่ม เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเรยี นรวู้ ธิ กี ารแกป้ ัญหาเพมิ่ เตมิ โดยกระตุ้นใหน้ กั เรยี น นาความรแู้ ละหลกั การทน่ี กั เรยี นรมู้ าใชใ้ นการแก้ปัญหา ซง่ึ สง่ ผลทาใหน้ กั เรยี นเรยี นรวู้ ธิ กี าร แกป้ ัญหาทห่ี ลากหลายเพม่ิ ขน้ึ จากการสงั เกตโดยครผู สู้ อนสุ่มตวั แทนหรอื ใหน้ กั เรยี นในแต่ละ กลุม่ ส่งตวั แทนกลุ่มออกมานาเสนอการแทนคา่ ของสมการและเขยี นกราฟลงบนกระดาน เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นกลุ่มอ่นื เหน็ ไดช้ ดั เจนขน้ึ มกี ารซกั ถาม อภปิ รายชป้ี ระเดน็ ถงึ ขอ้ ดี ขอ้ จากดั ของ แต่ละวธิ ี แต่ถา้ กลุม่ ไหนมวี ธิ กี ารทซ่ี า้ กนั จะไมเ่ สนอวธิ กี ารบนกระดานเพยี งอธบิ ายใหเ้ พ่อื นฟัง เมอ่ื เพ่อื นมปี ัญหาซกั ถามกส็ ามารถอธบิ ายใหเ้ พ่อื นเขา้ ใจได้ จากการสงั เกตพบว่านกั เรยี นท่ี เป็นตวั แทนของกลุ่มจะมคี วามเชอ่ื มนั่ และกลา้ แสดงออกดกี ว่าในเรอ่ื งทผ่ี ่านมา ขณะทน่ี าเสนอ ถา้ เพ่อื นไมฟ่ ังนกั เรยี นทเ่ี ป็นตวั แทนบางคนจะถามกลบั เพ่อื ใหเ้ พ่อื นตอบและอธบิ ายวธิ กี าร แกป้ ัญหา จากผลการจดั กจิ กรรมในขนั้ น้ี นกั เรยี นนาวธิ กี ารแกป้ ัญหามาใชไ้ ดห้ ลากหลายขน้ึ และเน้อื หาใน เรอ่ื ง กราฟของสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร นกั เรยี นจะความเขา้ ใจและสามารถ แสดงวธิ กี ารแกป้ ัญหาไดถ้ กู ตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ แต่เรอ่ื ง การแทนคา่ และการเขยี นกราฟนนั้ เดก็ อ่อนวเิ คราะหไ์ ดไ้ มค่ อ่ ยดเี ท่าทค่ี วร ซง่ึ ครผู สู้ อนตอ้ งสอนซอ่ มเสรมิ จงึ สามารถทาได้ 3. ขนั้ สรุป เป็นการสรุปขนั้ ตอนและวธิ กี ารแกป้ ัญหาของแต่ละเน้อื หา ทน่ี กั เรยี นไดเ้ รยี นในแต่ ละแผนการสอน ซง่ึ เรอ่ื ง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปรน้ี นกั เรยี นสามารถสรปุ ขนั้ ตอนและวธิ กี าร แกป้ ัญหาไดเ้ ป็นสว่ นใหญ่ โดยสงั เกตจากการตอบคาถามนกั เรยี น ในแผนการสอนท่ี 3 - 5 เรอ่ื ง กราฟของสมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร นกั เรยี นสามารถจดั สมการและหาค่า a , b ได้ นกั เรยี นสามารถสรปุ ขนั้ ตอนการวเิ คราะหก์ ารแทนค่าการเขยี นกราฟและสรปุ ลกั ษณะต่างๆของ กราฟไดเ้ ป็นสว่ นใหญ่ สว่ นแผนการสอนท่ี 6 - 14 โดยสงั เกตจากการรว่ มกนั สรปุ ของนกั เรยี น ซง่ึ ครผู สู้ อนจะกระตุน้ โดยใชค้ าถามและสรปุ เพมิ่ เตมิ เพ่อื เน้นยา้ ขอ้ สรปุ ใหช้ ดั เจนขน้ึ

102 4. ขนั้ พฒั นาทกั ษะและการนาไปใช้ 4.1 การพฒั นาทกั ษะขนั้ น้ใี นแผนการสอนแรกๆ ครผู สู้ อนจะย้าถงึ บทบาทของ สมาชกิ ภายในกลุ่มวา่ ทกุ คนตอ้ งช่วยเหลอื กนั ในการทางานและทากจิ กรรมในใบงานอยา่ งเตม็ ท่ี เพอ่ื ใหบ้ รรลุเป้าหมายและทุกคนมคี วามเทา่ เทยี มกนั ในการชว่ ยใหก้ ลุ่มบรรลเุ ป้าหมายสมาชกิ ทกุ คนจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบในการทางานของตน ซง่ึ เดก็ เก่งตอ้ งชว่ ยสอนและอธบิ ายใหส้ มาชกิ ใน กลุ่มไดเ้ รยี นรใู้ หม้ ากทส่ี ุด จากการสงั เกตพบว่า นกั เรยี นเขา้ ใจบทบาทหน้าทข่ี องตนเอง นกั เรยี นสนใจและตงั้ ใจทากจิ กรรมดี แต่การช่วยเหลอื กนั ในกลุม่ ยงั มนี ้อยส่วนใหญ่มลี กั ษณะ ต่างคนต่างทา เดก็ เก่งบางกล่มุ มคี วามตงั้ ใจและพยายามสอนเพอ่ื นภายในกลุม่ บางครงั้ จะ ใหเ้ พอ่ื นลอกใบงานของตนเอง เมอ่ื เหน็ เพอ่ื นทางานชา้ ไมท่ นั เวลาบางคนเรง่ เพ่อื นเพ่อื ให้ ทนั เวลา สรปุ ไดว้ ่า เรอ่ื ง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปรน้ี นกั เรยี นมที กั ษะการทางานกลุ่มอยู่ ในเกณฑไ์ ม่น่าพอใจ จากการตรวจใบงานพบว่านกั เรยี นในกลมุ่ จะเลอื กวธิ กี ารแกป้ ัญหาท่ี คลา้ ยกนั บางครงั้ ใชว้ ธิ ขี องครผู สู้ อนในการแกป้ ัญหา ซง่ึ ครผู สู้ อนตอ้ งใชค้ าถามกระตุน้ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ เก่งและเดก็ ปานกลางสามารถอธบิ ายวธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการหาคาตอบได้ ส่วนเดก็ อ่อน ยงั ไมเ่ ขา้ ใจการอธบิ ายวธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการหาคาตอบ แต่ในแผนการสอนชว่ งหลงั ๆนนั้ นกั เรยี น สว่ นใหญ่ช่วยเหลอื กนั ในการทางานกลุ่ม ซง่ึ แต่ละคนจะทางานในส่วนทต่ี นไดร้ บั มอบหมาย อยา่ งตงั้ ใจและใหก้ ารช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั เป็นอยา่ งดี 4.2 การนาไปใชก้ จิ กรรมขนั้ น้จี ะเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี น นาความรหู้ รอื สงิ่ ทไ่ี ด้ เรยี นไปแลว้ นาไปเชอ่ื มกบั ประสบการณ์ใหมข่ องนกั เรยี นและเป็นการประเมนิ ความรคู้ วามเขา้ ใจ ของนกั เรยี น ซง่ึ ทาใหค้ รผู สู้ อนทราบขอ้ บกพรอ่ งของนักเรยี น รวมถงึ วนิ ิจฉยั สาเหตุและหา แนวทางแกไ้ ขได้ กจิ กรรมในขนั้ น้นี กั เรยี นจะรบั ใบงานและแบบฝึกหดั ไปทาทบ่ี า้ นแลว้ ให้ นกั เรยี นนามาสง่ ในวนั รงุ่ ขน้ึ จากการตรวจใบงานและแบบฝึกหดั พบว่า เดก็ ปานกลางและ เดก็ อ่อนมปี ัญหาใน เรอ่ื ง การเขยี นคาตอบในรปู ค่อู นั ดบั และการนาคอู่ นั ดบั มาเขยี นกราฟ ซง่ึ ครผู สู้ อนตอ้ งสอนซ่อมเสรมิ โดยใชเ้ วลาตอนเยน็ หลงั เลกิ เรยี นแลว้ ใหน้ กั เรยี นแกไ้ ขใหม่ พฤตกิ รรมการสอนของครผู สู้ อน จากการสงั เกตพบวา่ ครผู สู้ อนมกี ารเตรยี ม การเรยี นการสอนไดด้ ี โดยมกี จิ กรรมหรอื ใบงานทน่ี ่าสนใจและมสี อ่ื การสอนทส่ี รา้ งความสนใจ เช่น ใชเ้ กมและเพลง เพอ่ื ชว่ ยใหน้ กั เรยี นเกดิ ความสนุกสนานมกี ารกระตุน้ โดยการใชค้ าถาม รวมทงั้ เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ แนวทางแกป้ ัญหาอย่างอสิ ระ การจดั กจิ กรรมและบรรยากาศในการเรยี นสนุกสนานน่าเรยี น กระตุน้ ความสนใจ สนบั สนุนให้ นกั เรยี นกลา้ แสดงความคดิ เหน็ และมคี วามเช่อื มนั่ ในตนเอง ทงั้ ยงั เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นได้ อภปิ รายแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซง่ึ กนั และกนั อยา่ งเตม็ ท่ี สว่ นเรอ่ื งของเวลาทใ่ี ชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เดก็ เก่งและเดก็ ปานกลางใหค้ วามเหน็ ว่าเหมาะสมกบั เน้ือหา ส่วน เดก็ อ่อนใหค้ วามเหน็ วา่ น่าจะเพมิ่ เวลาอกี สกั 5 - 10 นาที การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน

103 โดยสรปุ ในช่วงของการปฏบิ ตั ิ เรอ่ื ง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร สว่ นใหญ่ใชเ้ วลาโดยเฉลย่ี มากกวา่ 50 นาที จงึ สามารถจบกระบวนการเรยี นการสอน ซง่ึ ครผู สู้ อนตอ้ งกระตุน้ ให้ นกั เรยี นไดอ้ ภปิ รายและกลา้ นาเสนอผลงานของตนเอง จากการสมั ภาษณ์เดก็ เก่ง เดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อนพบว่า นกั เรยี นมคี วามเขา้ ใจ ในเน้อื หาดี กจิ กรรมและสอ่ื การสอนเรา้ ความสนใจและทาใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ส่วนเวลาทใ่ี ชใ้ น การทากจิ กรรมเหมาะสม บรรยากาศในการจดั การเรยี นการสอนเป็นไปอย่างสนุกสนาน นกั เรยี นทุกคนมสี ่วนรว่ มในการทากจิ กรรมและสนบั สนุนใหน้ กั เรยี นกลา้ แสดงความคดิ เหน็ สง่ ผลทาใหน้ กั เรยี นมคี วามเช่อื มนั่ ในตนเอง ซง่ึ ครผู สู้ อนจะเป็นผชู้ แ้ี นะแนวทางและอานวย ความสะดวกในการดาเนินกจิ กรรมต่างๆ

104 5. การทางานกลุ่ม การจดั นกั เรยี นเขา้ กลุ่มยอ่ ยจดั โดยใชร้ ะดบั ความสามารถทางการเรยี น โดยการให้ โอกาสนกั เรยี นไดเ้ รยี นรวู้ ธิ กี ารทางานรว่ มกนั ไดต้ รวจสอบความคดิ ตนเองและเพอ่ื นใหช้ ดั เจน ยง่ิ ขน้ึ รจู้ กั ช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ปรกึ ษาหารอื กนั ในเรอ่ื งท่ี 1 นกั เรยี นยงั ไมค่ ุน้ เคยกบั การทางานเป็นกลมุ่ ซง่ึ สงั เกตว่าเดก็ เก่งจะมบี ทบาทมากกว่าเดก็ อ่อน ครผู สู้ อนตอ้ งคอย กระตุน้ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจบทบาทของตนเอง เมอ่ื เขา้ สเู่ รอ่ื งท่ี 2 นกั เรยี นรจู้ กั แบง่ หน้าทก่ี นั ทางาน เดก็ เก่งใหโ้ อกาสเดก็ อ่อนไดซ้ กั ถามมกี ารแสดงความคดิ เหน็ และอธบิ ายความคดิ ของตนเองใหเ้ พ่อื นฟังมากขน้ึ ในเรอ่ื งท่ี 3 , 4 และ 5 สมาชกิ ในกลุ่มรจู้ กั รบั ผดิ ชอบหน้าท่ี ของตนเองเป็นอยา่ งดี เดก็ อ่อนสามารถอธบิ ายความคดิ ของตนเองใหเ้ พอ่ื นฟังไดแ้ ละนกั เรยี น สว่ นมากมคี วามมนั่ ใจในตนเอง กลา้ แสดงออกมากขน้ึ สามารถแสดงความคดิ เหน็ ของตนเอง ในกลมุ่ ยอ่ ยและกลุ่มใหญ่ไดอ้ ยา่ งดี สามารถอธบิ ายวธิ กี ารแกป้ ัญหาของกลมุ่ ตนเองใหก้ ลุม่ อ่นื เขา้ ใจได้ สมาชกิ ในกลมุ่ ทุกคนตระหนกั ว่าตนเองมบี ทบาทในการช่วยใหก้ ลุม่ ประสบผลสาเรจ็ การสะทอ้ นผลการทางานกลุ่มจะชว่ ยใหน้ กั เรยี นทราบถงึ พฒั นาการในการเรยี นรู้ ขอ้ บกพรอ่ งและแนวทางแกไ้ ขปัญหา เพอ่ื ใหก้ ลุ่มบรรลุถงึ เป้าหมายรวมถงึ มคี วามภมู ใิ จในกลมุ่ หลงั จากการแจง้ ผลการทดสอบยอ่ ยแลว้ นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ จะสง่ ตวั แทนออกมาสะทอ้ นผล การปฏบิ ตั งิ านของกลมุ่ จากการสงั เกตพบวา่ นกั เรยี นส่วนใหญ่พอใจกบั การทางานและให้ ความรว่ มมอื ซง่ึ กนั และกนั นอกจากน้ขี นั้ การอภปิ รายเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหาหรอื เป็นตวั แทน เพอ่ื ออกมานาเสนอนกั เรยี นแต่ละกลมุ่ จะหมนุ เวยี นกนั ออกมานาเสนอหรอื ตวั แทนของกลมุ่ และ เมอ่ื ทาการทดสอบยอ่ ยนกั เรยี นต่างคนต่างทาแบบทดสอบของตนเอง โดยไมป่ รกึ ษาหารอื กนั แสดงใหเ้ หน็ ว่า นกั เรยี นมคี วามเขา้ ใจในกจิ กรรมการเรยี นการสอนมคี วามซ่อื สตั ยเ์ ชอ่ื มนั่ ใน ตนเองและตระหนกั ในคุณค่าของตนเองมากขน้ึ

105 6. สภาพปัญหาและแนวทางแกไ้ ข 6.1 เดก็ อ่อนมปี ัญหาใน เร่อื ง การแทนค่าและการเขยี นกราฟ แนวทางแกไ้ ขปัญหา : ครผู สู้ อนเดนิ ดนู กั เรยี นทุกกลมุ่ ใหค้ าแนะนาอธบิ ายเป็น รายบุคคล ซง่ึ ผสู้ งั เกตการณ์ไดช้ ว่ ยเหลอื ในการอธบิ ายเป็นรายบุคคล 6.2 นกั เรยี นบางคนไมส่ ่งการบา้ น เน่อื งจากทาไมเ่ สรจ็ สมบรู ณ์ แนวทางแกไ้ ขปัญหา : ครผู สู้ อนใหค้ าแนะนา เมอ่ื กลบั ถงึ บา้ นใหน้ กั เรยี น รบี ทาการบา้ นก่อนแลว้ จงึ ค่อยออกไปเลน่ หรอื ทางานอยา่ งอ่นื 6.3 เดก็ อ่อนบางคนไมก่ ลา้ ถามครเู มอ่ื สงสยั หรอื ไมเ่ ขา้ ใจ แนวทางแกไ้ ขปัญหา : ครผู สู้ อนใหค้ าแนะนาและชแ้ี นะใหน้ กั เรยี นเหน็ ความสาคญั ของการถามครผู สู้ อน เมอ่ื นกั เรยี นไมเ่ ขา้ ใจเพราะจะทาใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจมากขน้ึ และ เป็นสงิ่ ทด่ี คี วรปฏบิ ตั ไิ มใ่ ช่เรอ่ื งน่าอาย 6.4 เดก็ อ่อนยงั หาวธิ แี กส้ มการเชงิ เสน้ สองตวั แปรไดไ้ ม่ถูกตอ้ ง แนวทางแกไ้ ขปัญหา : ครผู สู้ อนตอ้ งสอนซอ่ มเสรมิ เป็นรายบคุ คลและรายกล่มุ โดยนากจิ กรรมทน่ี กั เรยี นทาผดิ มาเฉลยเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ แลว้ สรา้ งกจิ กรรมเสรมิ เพอ่ื ย้า ความเขา้ ใจ 6.5 นกั เรยี นมคี วามสนใจเรยี นน้อยลง เน่อื งจากนกั เรยี นตอ้ งสอบบางวชิ า ทาใหน้ กั เรยี นมงี านมากและกงั วล แนวทางแกไ้ ขปัญหา : ใหค้ าแนะนานกั เรยี นในเรอ่ื งของการแบ่งเวลาให้ ถูกตอ้ งและชแ้ี จงใหเ้ หน็ ถงึ ประโยชน์ของการเรยี นในทุกๆวชิ าวา่ มปี ระโยชน์และจาเป็นสาหรบั นกั เรยี น ซง่ึ จะนาความรไู้ ปใชใ้ นอนาคต 6.6 เดก็ อ่อนบางคนมคี วามรสู้ กึ ทอ้ ถอยในการหาผลลพั ธแ์ ละรสู้ กึ ว่าตนเป็น ตวั ถ่วงเพอ่ื นในกลมุ่ แนวทางแกไ้ ขปัญหา : ครผู สู้ อนปลอบใจและใหก้ าลงั ใจนกั เรยี นและบอกถงึ ความสาคญั ของนกั เรยี นชใ้ี หน้ กั เรยี นเหน็ ถงึ ความสามารถของตนเอง ใหพ้ ยายามตงั้ ใจทาแลว้ จะทาไดส้ าเรจ็ อย่าทอ้ ถอย ครผู สู้ อนตอ้ งสอนซอ่ มเสรมิ ใหต้ ลอดเวลาทน่ี กั เรยี นคดิ ว่าตนเอง มปี ัญหาในเรอ่ื งน้ี 6.7 นกั เรยี นทาใบงานหรอื แบบฝึกหดั ทกั ษะบางชดุ ไมค่ ่อยได้ เน่อื งจากเป็น เน้อื หาค่อนขา้ งยาก แนวทางแกป้ ัญหา : ครผู สู้ อนสอนซ่อมเสรมิ โดยนาโจทยป์ ัญหาในใบงานหรอื แบบฝึกทกั ษะมาเฉลย เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจและทราบขอ้ ผดิ พลาดของตน

บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การดาเนนิ การวจิ ยั ครงั้ น้ี สามารถสรปุ ผลการวจิ ยั และใหข้ อ้ เสนอแนะไดต้ ามลาดบั ดงั น้ี 1. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 1.1 เพอ่ื พฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา 1.2 เพอ่ื ศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี น ภายหลงั ได้ รบั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา 1.3 เพอ่ื ศกึ ษาเจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี น ภายหลงั ไดร้ บั การสอน ดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะ การแกป้ ัญหา 2. วิธีดาเนินการวิจยั ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการวจิ ยั ดงั น้ี 2.1 สรา้ งแผนการสอนทเ่ี น้นกระบวนการ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อน สตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา เรอ่ื ง ระบบสมการเชงิ เสน้ จานวน 14 แผนการสอน 2.2 นาแผนการสอนทส่ี รา้ งและพฒั นาขน้ึ ใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบและให้ ขอ้ เสนอแนะในการปรบั ปรงุ แกไ้ ขแผนการสอน 2.3 ผวู้ จิ ยั ปรบั ปรงุ แกไ้ ขแผนการสอนตามขอ้ เสนอแนะของผเู้ ชย่ี วชาญ 2.4 สรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นก่อนและหลงั เรยี น นาไปให้ ผเู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบความตรงดา้ นเน้อื หาแลว้ นามาปรบั ปรงุ แกไ้ ข เพ่อื นาไปใชใ้ นการทดลอง 2.5 สรา้ งแบบวดั เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ นาไปใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบ ความตรงดา้ นเน้อื หาแลว้ นามาปรบั ปรงุ แกไ้ ข เพอ่ื นาไปใชใ้ นการทดลอง

106 2.6 การทดลองผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนนิ การ ดงั น้ี 2.6.1 การทดลองกลมุ่ เดย่ี ว ทโ่ี รงเรยี นบา้ นโคกผกั หอม สานกั งาน การประถมศกึ ษาอาเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี จานวน 4 คน เพ่อื หาประสทิ ธภิ าพ ของแผนการสอนและนาขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าพจิ ารณาแกไ้ ขแผนการสอน 2.6.2 การทดลองกลมุ่ เลก็ ทโ่ี รงเรยี นบา้ นโคกผกั หอม สานกั งาน การประถมศกึ ษาอาเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี จานวน 12 คน เพอ่ื หาประสทิ ธภิ าพ ของแผนการสอน เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นก่อนและภายหลงั การใชแ้ ผนการสอน และนาขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าพจิ ารณาแกไ้ ขแผนการสอน เพ่อื นาไปใชใ้ นการทดลองภาคสนาม 2.6.3 การทดลองภาคสนาม ทโ่ี รงเรยี นบา้ นอูบมงุ สานกั งานการประถม ศกึ ษาอาเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี จานวน 22 คน หาประสทิ ธภิ าพของแผนการสอน เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ละแบบวดั เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรก์ ่อน และภายหลงั การใชแ้ ผนการสอนและนาขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าพจิ ารณาแกไ้ ขแผนการสอนอกี ครงั้ หน่งึ ได้ แผนการสอนฉบบั สมบรู ณ์ 2.7 การทดสอบสมมตฐิ านเพ่อื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ า คณติ ศาสตรก์ ่อนและภายหลงั ไดร้ บั การจดั การเรยี นการสอน ดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ซง่ึ ใชส้ ถติ ิ t - test แบบ Dependent โดยใช้ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ SPSS for Windows 3. สรปุ ผลการวิจยั ผลการวจิ ยั สามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. ดา้ นประสทิ ธภิ าพตามเกณฑค์ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างกระบวนการและผลลพั ธ์ ของกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ พบวา่ 1.1 กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา มปี ระสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอน โดยเฉลย่ี (E1 / E2) เท่ากบั 88.89 / 81.67 แสดงวา่ กจิ กรรมการเรยี นการสอนมปี ระสทิ ธภิ าพ ของกระบวนการ (E1) เท่ากบั 88.89 ซง่ึ มคี า่ สงู กว่าเกณฑแ์ ละมปี ระสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ โดยเฉลย่ี (E2) เท่ากบั 81.67 ซง่ึ มคี ่าสงู กวา่ เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้

107 1.2 เมอ่ื พจิ ารณาตามความสามารถทางการเรยี นของนกั เรยี นพบว่า เมอ่ื นา กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี มาใชก้ บั เดก็ เก่งและเดก็ ปานกลาง กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี จะมปี ระสทิ ธภิ าพโดยเฉลย่ี สอดคลอ้ งกบั เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ สาหรบั เดก็ อ่อนจะมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยเฉลย่ี ไมส่ อดคลอ้ งกบั เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ โดยมผี ลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E2) ต่ากวา่ เกณฑท์ ่ี กาหนดไว้

108 2. ดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ก่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ พบว่า 2.1 กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา นกั เรยี นไดค้ า่ เฉลย่ี ของแบบทดสอบก่อน และภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เท่ากบั 14.14 และ 24.50 ตามลาดบั ซง่ึ ค่าเฉลย่ี ของแบบทดสอบก่อนไดร้ บั การสอนสงู กวา่ ภายหลงั ไดร้ บั การสอนอยา่ ง มนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 แสดงวา่ นกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี น การสอนน้ี มพี ฒั นาการดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู กว่าก่อนไดร้ บั การสอน 2.2 เมอ่ื พจิ ารณาตามความสามารถทางการเรยี นของนักเรยี นพบว่า เดก็ เก่ง เดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อน มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างคณติ ศาสตรก์ ่อนและภายหลงั ไดร้ บั การสอน แตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ซง่ึ ในภาพรวมพบว่าทกุ กล่มุ มพี ฒั นาการ ทางดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนสงู กวา่ ก่อนไดร้ บั การสอน 3. ดา้ นเจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ พบวา่ 3.1 กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา นกั เรยี นไดค้ า่ เฉลย่ี ของแบบวดั เจตคตภิ ายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เท่ากบั 4.17 เมอ่ื เทยี บกบั เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ นกั เรยี นมเี จตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มอ์ ยใู่ นเกณฑด์ ี 3.2 เมอ่ื พจิ ารณาตามความสามารถทางการเรยี นของนักเรยี น เดก็ เก่ง เดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อนพบว่า กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้มี ปี ระสทิ ธภิ าพ สง่ ผลใหน้ กั เรยี น ทงั้ สามกลุ่มมเี จตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มอ์ ยใู่ นเกณฑด์ ี ซง่ึ ในภาพรวมพบวา่ ทุกกลุ่มมเี จตคติ ต่อวชิ าคณติ ศาสตรอ์ ยใู่ นเกณฑด์ ี

109 4. การอภิปรายผล 4.1 ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรตั ติวิสม์ เพ่ือเพ่ิมทกั ษะการแก้ปัญหา ตามเกณฑ์ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างกระบวนการและผลลพั ธโ์ ดยเฉลี่ย กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะการแก้ปัญหา ทผ่ี วู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาขน้ึ น้ี มปี ระสทิ ธภิ าพสอดคลอ้ งกบั เกณฑข์ อง สมมตฐิ านทก่ี าหนดไว้ กลา่ วคอื กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้มี ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างกระบวนการและผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี แสดงว่ากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี มปี ระสทิ ธภิ าพเพยี งพอและเหมาะสม ทจ่ี ะนาไปใชเ้ ป็นแนวทางหน่งึ ในการจดั การเรยี น การสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหาใหแ้ ก่นกั เรยี นในการจดั การเรยี น การสอนวชิ าคณติ ศาสตรใ์ หบ้ รรลผุ ลสาเรจ็ สงู สดุ ซง่ึ ในกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี ผวู้ จิ ยั มปี ระเดน็ ทน่ี ามาอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ดงั น้ี ภาพรวมของกจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา มปี ระสทิ ธภิ าพของกระบวนการและผลลพั ธ์ โดยเฉลย่ี เท่ากบั 88.89 และ 81.67 ตามลาดบั สอดคลอ้ งกบั เกณฑข์ องสมมตฐิ านทก่ี าหนดไว้ แสดงวา่ นกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี มผี ลงานจากการเขา้ รว่ มกจิ กรรม ไดแ้ ก่ ใบงาน เอกสารแนะแนวทาง แบบฝึกทกั ษะรายบคุ คลหรอื รายกลมุ่ ตาม ทไ่ี ดร้ บั มอบหมายไดถ้ ูกตอ้ งโดยเฉลย่ี คดิ เป็นคะแนนรอ้ ยละ 88.89 และมปี ระสทิ ธภิ าพของ ผลลพั ธต์ ามเกณฑข์ องสมมตฐิ านทก่ี าหนดไว้ แสดงวา่ นกั เรยี นสามารถทาแบบทดสอบ ภายหลงั ไดร้ บั การเรยี นการสอนน้ี ไดถ้ ูกตอ้ งโดยเฉลย่ี คดิ เป็นคะแนนรอ้ ยละ 81.67 ดงั นนั้ จะเหน็ ไดว้ ่า กจิ กรรมการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแก้ปัญหาทผ่ี วู้ จิ ยั พฒั นาขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพเพยี งพอทจ่ี ะนาไปใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน แต่ตอ้ งนากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้มี าปรบั ปรงุ แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ ง ในบางประเดน็ ทผ่ี วู้ จิ ยั ไดส้ งั เกตในระหวา่ งการทดลองและศกึ ษาคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ เพ่อื ทจ่ี ะช่วย ทาใหก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ขน้ึ และมคี วามเหมาะสมทจ่ี ะนาไปใชส้ อน ในสถานการณ์อ่นื มากยง่ิ ขน้ึ เมอ่ื พจิ ารณาประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามความสามารถ ทางการเรยี นของนกั เรยี น พบวา่

110 1. กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เมอ่ื นามาใชก้ บั เดก็ เก่ง ปรากฏว่า กจิ กรรม การเรยี นการสอนน้ี มปี ระสทิ ธภิ าพสอดคลอ้ งกบั เกณฑข์ องสมมตฐิ านทก่ี าหนดไว้ เน่อื งจาก นกั เรยี นในกลุ่มน้มี คี วามตงั้ ใจและสนใจในวชิ าทเ่ี รยี น ดงั นนั้ เมอ่ื ครผู สู้ อนมอบหมายงานให้ ปฏบิ ตั ิ เดก็ เก่งสามารถทาไดด้ ว้ ยดอี ยา่ งสม่าเสมอ 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เมอ่ื นามาใชก้ บั เดก็ ปานกลาง ปรากฏวา่ กจิ กรรม การเรยี นการสอนน้ี มปี ระสทิ ธภิ าพสอดคลอ้ งกบั เกณฑข์ องสมมตฐิ านทก่ี าหนดไว้ แต่มี บางเน้อื หาครผู สู้ อนตอ้ งคอยใหค้ าแนะนาและชแ้ี นะแนวทางเดก็ ปานกลางกส็ ามารถทาได้ 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เมอ่ื นามาใชก้ บั เดก็ อ่อน ปรากฏว่า กจิ กรรม การเรยี นการสอนน้ี มปี ระสทิ ธภิ าพของกระบวนการสอดคลอ้ งกบั เกณฑข์ องสมมตฐิ าน ทก่ี าหนดไว้ แต่ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี มคี ่าต่ากวา่ เกณฑข์ องสมมตฐิ านท่ี กาหนดไว้ เน่อื งจากนกั เรยี นส่วนมากมคี วามตงั้ ใจเรยี นค่อนขา้ งต่าและขาดความรบั ผดิ ชอบ ครผู สู้ อนตอ้ งคอยใหค้ าแนะนาอย่างใกลช้ ดิ จนกระทงั่ นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ประเดน็ ทผ่ี วู้ จิ ยั ไดจ้ ากการทดลองและตงั้ สมมตฐิ าน ซง่ึ มสี ว่ นช่วยส่งเสรมิ ใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนน้มี ปี ระสทิ ธภิ าพสงู ขน้ึ ดงั น้ี การจดั การเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี ผวู้ จิ ยั ไดใ้ ชข้ นั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 5 ขนั้ ตอน ผสมผสานกบั หลกั การ ของการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย ทผ่ี วู้ จิ ยั ไดจ้ ากการศกึ ษาวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหจ์ ากเอกสารและ งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ดงั น้ี 1. ขนั้ นา ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนยอ่ ยๆ ดงั น้ี 1.1 เสนอจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เพ่อื ใหน้ กั เรยี นทราบถงึ จดุ ประสงคข์ อง การเรยี นแต่ละครงั้ โดยเสนอในรปู แบบของเกม เพลง แผนภมู ิ เป็นตน้ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของสมศรี คงวงศ์ (2542) และ ภทั ราภรณ์ คมั ภริ า (2543) ทพ่ี บวา่ การเสนอ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรนู้ นั้ ควรใหม้ กี ารนาเสนอหลายๆรูปแบบ เพอ่ื ใชใ้ นการเรา้ ความสนใจของ นกั เรยี นและเปลย่ี นบรรยากาศในการเรยี นการสอน 1.2 ทบทวนความรเู้ ดมิ เป็นการทบทวนความรเู้ ดมิ ทเ่ี รยี นมา เพอ่ื ใหน้ กั เรยี น มคี วามพรอ้ มทจ่ี ะเรยี นเน้อื หาใหม่ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื (2543) โดยความรทู้ น่ี ามาทบทวนตอ้ งสอดคลอ้ งและสมั พนั ธก์ บั เน้อื หาทเ่ี รยี นใหม่ โดยใชก้ จิ กรรมหรอื เกมทก่ี ระชบั รวดเรว็ เขา้ ใจงา่ ย 2. ขนั้ สอน เป็นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพอ่ื พฒั นามโนทศั น์ใหน้ กั เรยี น ไดเ้ รยี นรมู้ โนทศั น์และหลกั การของการเรยี นในแต่ละครงั้ ซง่ึ ประกอบดว้ ยขนั้ ตอน ดงั น้ี 2.1 เสนอสถานการณ์ปัญหา เป็นการนาเสนอสถานการณ์โดยใชส้ อ่ื รปู ธรรม และกง่ึ รปู ธรรม ซง่ึ สถานการณ์ปัญหาทน่ี าเสนอนนั้ มคี วามสอดคลอ้ งกบั เน้อื หาหรอื จดุ ประสงค์

111 ในบทเรยี น มลี กั ษณะน่าสนใจและเกย่ี วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั สมศรี คงวงศ์ (2542) พบวา่ การใส่ช่อื นกั เรยี นเขา้ ไปในโจทยป์ ัญหาหรอื สถานการณ์ต่างๆ สง่ ผลทาใหน้ กั เรยี นมคี วาม กระตอื รอื รน้ สนใจและตอ้ งการมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมมากยงิ่ ขน้ึ 2.2 กจิ กรรมไตรต่ รองระดบั กล่มุ ยอ่ ย ในการศกึ ษากลุ่มยอ่ ยแต่ละกลมุ่ ประกอบดว้ ยเดก็ เก่ง เดก็ ปานกลางและเดก็ อ่อน ตามอตั ราส่วน 1 : 2 : 1 นกั เรยี นศกึ ษา มโนทศั น์จากใบงาน เอกสารแนะแนวทาง แบบฝึกทกั ษะและตรวจคาตอบจากบตั รเฉลย โดย แต่ละกล่มุ นกั เรยี นแต่ละคนจะตอ้ งมสี ่วนไดร้ บั ผดิ ชอบและปฏบิ ตั กิ จิ กรรมรว่ มกบั กลุ่ม นกั เรยี น มโี อกาสปรกึ ษาหารอื ซกั ถามแลกเปลย่ี นและรบั ฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื ส่งผลทาใหน้ กั เรยี น ไดฝ้ ึกการใชเ้ หตุผล ฝึกการวเิ คราะห์ การรวบรวมขอ้ มลู และเรยี นรมู้ โนทศั น์ของเรอ่ื งนนั้ ๆได้ ตลอดจนการเรยี นรขู้ อ้ ผดิ พลาด สามารถช่วยใหน้ กั เรยี นเกดิ ความคดิ ใหมๆ่ สาหรบั ชว่ ยใน การแกป้ ัญหาในสถานการณ์ต่างๆไดด้ ขี น้ึ การทส่ี มาชกิ ในกล่มุ ไดช้ ่วยเหลอื ซ่งึ กนั และกนั โดย เดก็ เก่งชว่ ยสอนหรอื อธบิ ายใหเ้ ดก็ อ่อน สง่ ผลทาใหเ้ ดก็ อ่อนมกี าลงั ใจทจ่ี ะเรยี นมากขน้ึ เพราะ นกั เรยี นกลา้ ทจ่ี ะพดู หรอื ซกั ถามปัญหาทไ่ี มแ่ น่ใจใหเ้ พอ่ื นอธบิ าย โดยไมต่ อ้ งอายหรอื เกรงใจ จงึ ชว่ ยลดความกงั วลทไ่ี มก่ ลา้ พดู หรอื ถามครผู สู้ อนได้ การทเ่ี ดก็ เก่งสามารถอธบิ ายใหเ้ พอ่ื นฟัง ได้ จะเป็นการยกระดบั ความเขา้ ใจใหส้ งู ถงึ ระดบั การถ่ายทอดความคดิ ช่วยปรบั ความเขา้ ใจ ใหช้ ดั เจนยงิ่ ขน้ึ และส่งผลทาใหน้ กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู ขน้ึ ได้ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ วนั เพญ็ ผลอดุ ม (2543) ไดพ้ ฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง ทศนิยม ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละการเรยี นแบบรว่ มมอื และไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื (2543) ไดศ้ กึ ษาผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง เศษสว่ น ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ทฤษฎคี อน สตรคั ตวิ สิ มก์ บั การสอนปกติ พบวา่ กลุ่มทดลองมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ สงู กวา่ กลุ่มควบคุมและในการทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่ม ส่งผลทาใหเ้ กดิ ทกั ษะทางสงั คมและส่งผล ทาใหน้ กั เรยี นตระหนกั ในคุณค่าของตนเองขน้ึ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของสมศรี คงวงศ์ (2542) ไดพ้ ฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษา ปีท่ี 6 ตามแนวคดิ คอนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละการเรยี นแบบรว่ มมอื พบว่า นอกจากจะทาให้ ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู ขน้ึ สง่ เสรมิ ทกั ษะทางสงั คมและทกั ษะการทางานรว่ มกนั แลว้ ยงั ชว่ ย ใหน้ กั เรยี นมคี วามเช่อื มนั่ ในตนเองสงู ขน้ึ และตระหนกั ในความสาคญั ของตนเองดว้ ย สอดคลอ้ ง กบั งานวจิ ยั ของ ภทั ราภรณ์ คมั ภริ า (2543) พบวา่ การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ า คณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ คอนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละการเรยี นแบบรว่ มมอื นอกจากจะทาให้ ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู ขน้ึ แลว้ ยงั สง่ ผลทาใหน้ กั เรยี นมที กั ษะทางสงั คมในหลายประการ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการทางานรว่ มกนั ทกั ษะการรบั ผดิ ชอบและทกั ษะการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม รวมทงั้ การตระหนกั ในคณุ ค่าของตนเอง

112 2.3 กจิ กรรมไตรต่ รองระดบั ชนั้ ในขนั้ น้เี ป็นการนาเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหา ต่อกลมุ่ ใหญ่ กลมุ่ จะคดั เลอื กตวั แทนกลุ่มยอ่ ยแต่ละกล่มุ มานาเสนอวธิ ที าต่อกล่มุ ใหญ่ ซง่ึ กลมุ่ ใหญ่จะเสนอแนะวธิ กี ารนนั้ โดยการอธบิ ายขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั ของวธิ นี นั้ ในลกั ษณะดงั กล่าว สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ สมศรี คงวงศ์ (2542) และภทั ราภรณ์ คมั ภริ า (2543) กล่าววา่ ในการนาเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหาต่อกลมุ่ ใหญ่ เมอ่ื กลมุ่ ใหญ่ใหก้ ารยอมรบั วธิ กี ารนัน้ จะถกู นาไปใชห้ ากวธิ กี ารใดถกู คดั คา้ น ซง่ึ อาจจะถูกคดั คา้ นจากเพอ่ื นในชนั้ หรอื ครผู สู้ อน สง่ ผลทา ให้ วธิ กี ารนนั้ ตกไปและในการนาเสนอวธิ ที ใ่ี หก้ ารยอมรบั อาจมมี ากกว่า 1 วธิ ี สอดคลอ้ งกบั วนั เพญ็ ผลอุดม (2543) กลา่ ววา่ การกระตุน้ นกั เรยี นโดยใชค้ าถาม ส่งผลใหน้ กั เรยี นแต่ละคน สามารถอภปิ รายถงึ ขอ้ ดเี ปรยี บเทยี บวธิ กี ารของผอู้ ่นื โดยการนาเสนอจะเป็นการตรวจสอบ มโนทศั น์ของนกั เรยี นและการนาไปใช้ ส่งผลทาใหน้ กั เรยี นมคี วามเขา้ ใจถูกตอ้ งและสามารถ นาไปใชป้ ระยกุ ตใ์ ชใ้ หส้ อดคลอ้ งและเหมาะสมกบั สถานการณ์ปัญหา 3. ขนั้ สรุป เป็นขนั้ ทน่ี กั เรยี นสรปุ แนวคดิ หลกั การหรอื ความคดิ รวบยอด เน้อื หา วธิ กี ารแกป้ ัญหาในแต่ละสถานการณ์ทเ่ี รยี นไปในแต่ละชวั่ โมง จากการตอบคาถามของ ครผู สู้ อน นกั เรยี นสามารถสรปุ มโนทศั น์หรอื หลกั การ ซง่ึ เป็นไปตามความเขา้ ใจของตนเอง และเป็นการเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นเป็นผสู้ รุปบทเรยี นก่อน โดยครผู สู้ อนสรปุ เพม่ิ เตมิ เพอ่ื เน้นยา้ ขอ้ สรปุ ใหช้ ดั เจน (ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื , 2543 ; วนั เพญ็ ผลอุดม, 2543) 4. ขนั้ ฝึกทกั ษะและการนาไปใช้ ในขนั้ ตอนน้ีจะใหใ้ บงานและแบบฝึกทกั ษะไปทา เป็นการบา้ นทกุ ครงั้ อยา่ งต่อเน่อื งสม่าเสมอ ซง่ึ ใบงานและแบบฝึกหดั เป็นส่อื การสอนทส่ี าคญั ประการหน่งึ ทจ่ี ะช่วยใหน้ กั เรยี นไดฝ้ ึกทกั ษะการแกป้ ัญหาในชวี ติ ประจาวนั ได้ สอดคลอ้ งกบั ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื (2543) ไดศ้ กึ ษาพบว่า ขนั้ พฒั นาทกั ษะน้ีนกั เรยี นจะบูรณาการ ประสบการณ์ต่างๆ เช่น มโนทศั น์ หลกั การ กฎเกณฑท์ ไ่ี ดจ้ ากการรว่ มมอื กนั แกป้ ัญหาจาก ประสบการณ์เดมิ มาใช้ ซง่ึ สมาชกิ ในกลุ่มจะรว่ มกนั แกป้ ัญหาจากสถานการณ์ปัญหาทไ่ี ดร้ บั จะ ก่อใหเ้ กดิ ทกั ษะการทางานร่วมกนั เดก็ เก่งจะชว่ ยเหลอื เดก็ อ่อนเพราะทกุ คนเป็นส่วนหน่งึ ทจ่ี ะ ทาใหก้ ล่มุ ประสบผลสาเรจ็ ตามเป้าหมายทว่ี างไว้ และสมศรี คงวงศ์ (2542) ไดศ้ กึ ษาพบว่า ในการทางานกลุ่มนกั เรยี นทุกคนตงั้ ใจทาใบงานและแบบฝึกทกั ษะอยา่ งเตม็ ความสามารถ สมาชกิ ทุกคนรว่ มกนั หาแนวทางแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ กี ารทห่ี ลากหลายและสามารถแกป้ ัญหาได้ อยา่ งถูกตอ้ ง ทาไดร้ วดเรว็ และเขา้ ใจงา่ ย และวนั เพญ็ ผลอุดม (2543) ไดศ้ กึ ษาพบวา่ นกั เรยี นฝึกทกั ษะเป็นการนาความรทู้ ไ่ี ดร้ บั ไปใชก้ บั สถานการณ์ใหม่ โดยใหน้ กั เรยี นทา แบบฝึกปฏบิ ตั ติ ามกระบวนการแกป้ ัญหาอย่างสม่าเสมอและต่อเน่อื ง ซง่ึ ส่งผลทาใหน้ กั เรยี น มคี วามชานาญและความแมน่ ยามากขน้ึ

113 5. ขนั้ ประเมนิ ผล ในขนั้ น้เี ป็นการทดสอบความเขา้ ใจในการเรยี นแต่ละครงั้ เมอ่ื นกั เรยี นพบสถานการณ์ทแ่ี ปลกใหม่จะสามารถนาความรไู้ ปใชใ้ นการแกป้ ัญหาใน สถานการณ์ใหม่ โดยการทาแบบฝึกทกั ษะ ใบงาน เอกสารแนะแนวทางและการตอบคาถาม จากครผู สู้ อน เมอ่ื สน้ิ สดุ ในแต่ละเรอ่ื งยอ่ ย นกั เรยี นจะได้รบั การทดสอบจากแบบทดสอบยอ่ ย โดยนกั เรยี นทุกคนจะตอ้ งทาขอ้ สอบโดยไมช่ ว่ ยเหลอื กนั ตอ้ งทาอยา่ งเตม็ ความสามารถและ พยายามทาใหด้ ที ส่ี ุดเพอ่ื พฒั นาความก้าวหน้าของตนเอง ซง่ึ สง่ ผลใหก้ ลุ่มประสบความสาเรจ็ (สมศรี คงวงศ,์ 2542) 4.2 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษา ปี ท่ี 3 ก่อนและภายหลงั ได้รบั การสอนด้วยกิจกรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคิด ของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ เมอ่ื พจิ ารณาประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอนดา้ นผลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นตามเกณฑพ์ ฒั นาการของนักเรยี น พบวา่ กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี สง่ ผล ทาใหเ้ กดิ การพฒั นาการการเรยี นรขู้ องนกั เรยี น กลา่ วคอื เมอ่ื นกั เรยี นไดร้ บั การสอนดว้ ย กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี จะมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู ขน้ึ ดงั น้ี 1. การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ โดยอาศยั ความขดั แยง้ ทางปัญญา ซง่ึ เกดิ จากการทน่ี กั เรยี นไดเ้ ผชญิ กบั สถานการณ์ทเ่ี ป็นปัญหาหรอื มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู้ ่นื ส่งผลทาใหเ้ กดิ การไตรต่ รองและนาไปสู่ การสรา้ งโครงสรา้ งใหมท่ างปัญญาพบวา่ นกั เรยี นใหค้ วามสนใจและมคี วามกระตอื รอื รน้ ใน การทากจิ กรรมต่างๆเป็นอย่างดี ซง่ึ วรรณจรยี ์ มงั สงิ ห์ (2541) กลา่ วว่า การเรยี นรจู้ ะเกดิ ขน้ึ จากการสบื เสาะรว่ มกนั โดยทน่ี กั เรยี นจะเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งเขา้ ใจลกึ ซง้ึ เมอ่ื นกั เรยี นสามารถเสนอ หรอื แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ กบั ผอู้ ่นื ซง่ึ การพนิ ิจพเิ คราะหค์ วามคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื จะช่วยขยาย ทรรศนะของตนใหก้ วา้ งขน้ึ อกี ทงั้ การเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ทาใหน้ กั เรยี นมคี วามสุขสนุกสนานกบั การเรยี น ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นกลา้ แสดงออก รจู้ กั การอภปิ รายและการทางานกลุ่ม สง่ ผลทาใหค้ รผู สู้ อนสามารถจดั กจิ กรรมไดส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของนกั เรยี นในระดบั หน่งึ ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั พรรณี ช. เจนจติ (2538) กลา่ ววา่ ครผู สู้ อนควรเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นไดเ้ ลอื กวธิ เี รยี นดว้ ยตนเองและควรรบั ฟังความคดิ เหน็ ของ นกั เรยี นดว้ ย โดยการเรยี นการสอนทม่ี กี ารปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งครผู สู้ อนกบั นกั เรยี น เพ่อื สนบั สนุนความรว่ มมอื กนั จะเป็นองคป์ ระกอบทส่ี าคญั ในการสรา้ งความรขู้ องนกั เรยี น

114 2. นกั เรยี นไดท้ บทวนความรเู้ ดมิ ซง่ึ เป็นการกระตุ้นใหเ้ กดิ แรงจงู ใจในการเรยี น จากเกม เพลงและใบงาน เพอ่ื เป็นการเตรยี มความพรอ้ มในการเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ (สมศรี คงวงศ,์ 2542 ; ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื , 2543 ; ภทั ราภรณ์ คมั ภริ า, 2543) 3. นกั เรยี นไดม้ โี อกาสฝึกทกั ษะรว่ มกนั โดยแสดงความคดิ เหน็ หรอื อธบิ ายวธิ กี าร แกป้ ัญหา นกั เรยี นสามารถส่อื สารกนั ง่ายเพราะนกั เรยี นอยใู่ นวยั เดยี วกนั ซง่ึ เป็นไปตาม แนวคดิ ของยงั (Young, 1972) ทก่ี ล่าวว่านกั เรยี นอยใู่ นวยั ใกลเ้ คยี งกนั จะสามารถสอ่ื สารเขา้ ใจ กนั งา่ ย กลา้ ซกั ถาม โตแ้ ยง้ กนั ซง่ึ และกนั ส่งผลทาใหเ้ กดิ ผลดใี นการเรยี นและการทเ่ี ดก็ เก่ง ซง่ึ เขา้ ใจคาสอนของครผู สู้ อนไดด้ ี จะเปลย่ี นคาสอนของครผู สู้ อนเป็นภาษาพูดของตนเอง เพอ่ื อธบิ ายใหเ้ พ่อื นฟัง ทาใหผ้ อู้ ธบิ ายเขา้ ใจบทเรยี นไดแ้ จม่ ชดั ยง่ิ ขน้ึ ซง่ึ เป็นไปตามแนวคดิ ของเดวดิ สนั (Davidson, 1990) ทก่ี ล่าวว่านกั เรยี นทส่ี ามารถถ่ายทอดสงิ่ ทเ่ี รยี นรใู้ หแ้ ก่ผอู้ ่นื โดยใชภ้ าษาของตนเอง สง่ ผลทาใหม้ คี วามรใู้ นเรอ่ื งนนั้ แจม่ แจง้ ยง่ิ ขน้ึ เพราะตอ้ งจดั ระบบ ความรทู้ ม่ี อี ยอู่ อกมาเป็นภาษาทส่ี อ่ื สารไดอ้ ย่างดี 4. การสนบั สนุนและกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นแกป้ ัญหา โดยพยายามกระตุน้ ใหน้ กั เรยี น คน้ หาคดิ คน้ ประสบการณ์ในการแกป้ ัญหาทเ่ี คยพบ ซง่ึ นกั เรยี นตอ้ งมปี ระสบการณ์ใน การแกป้ ัญหาเป็นประจาสม่าเสมอ เพ่อื เป็นการกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นไดฝ้ ึกทกั ษะการแกป้ ัญหา อยา่ งต่อเน่อื ง (Tucker, 1975) 5. การเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นสรา้ งปัญหาดว้ ยตนเอง การทน่ี กั เรยี นสามารถสรา้ ง ปัญหาดว้ ยตนเองได้ นกั เรยี นจะสามารถแกป้ ัญหาไดด้ กี ว่า เพราะการทน่ี กั เรยี นจะสามารถ สรา้ งปัญหาดว้ ยตนเองไดน้ นั้ จะตอ้ งรโู้ ครงสรา้ งของปัญหาเป็นอยา่ งดวี ่าส่วนประกอบใดบา้ ง ทจ่ี าเป็น และยงั เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นไดค้ ดิ ปฏสิ มั พนั ธค์ วามรกู้ บั ทกั ษะทางคณติ ศาสตรใ์ น ชวี ติ ประจาวนั ของนกั เรยี นเอง ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ซงิ เกอรแ์ ละดอนแลน (Singer and Donlan, 1982) ไดศ้ กึ ษาพบวา่ นกั เรยี นตงั้ คาถามถามตนเองนนั้ สง่ ผลทาใหค้ วามสามารถในการทา ความเขา้ ใจ และสามารถเขา้ ใจเน้อื เรอ่ื งไดม้ ากกว่านกั เรยี นทต่ี อบคาถามทค่ี รสู รา้ งขน้ึ ส่วน การสรา้ งคาถามของนกั เรยี นเป็นเทคนิคทเ่ี สรมิ สรา้ งแรงจงู ใจใหแ้ ก่นกั เรยี นสรา้ งขน้ึ จะช่วยให้ นกั เรยี นมสี ว่ นรว่ ม โดยปราศจากความคบั ขอ้ งใจหรอื ความรสู้ กึ ลม้ เหลว สอดคลอ้ งกบั ซงิ เกอร์ (Singer, 1978) เหน็ ดว้ ยทว่ี ่าคาถามทน่ี กั เรยี นสรา้ งขน้ึ นนั้ จะช่วยชแ้ี นะแนวทางในการคดิ ของ ตนเอง 6. การสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นทางานเป็นกลุ่มยอ่ ย โดยการเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นช่วยกนั คดิ อภปิ รายสารวจคดิ คน้ วธิ กี ารแกป้ ัญหาเป็นกลมุ่ จะช่วยพฒั นาหรอื กระตุน้ ใหน้ กั เรยี นแสดง ความคดิ เพม่ิ มากขน้ึ ซง่ึ เป็นการสรา้ งโครงสรา้ งความรใู้ นการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์ อยา่ งหน่งึ สอดคลอ้ งกบั แคทเธอรร์ นี (Catherine, 1992) ไดศ้ กึ ษาการสอนโดยใหน้ กั เรยี น

115 มกี ารเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ภายในกลมุ่ เลก็ ทเ่ี น้นความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ของนกั เรยี นเกรด 5 - 6 ในวชิ าคณติ ศาสตร์ พบวา่ นกั เรยี นมคี วามกระตอื รอื รน้ ต่อการแก้ปัญหาและมสี ่วน ช่วยเหลอื กนั เองในการเรยี นรเู้ น้อื หา นกั เรยี นในกลุ่มเก่งมกี ารตอบสนองทด่ี ตี ่อการเปลย่ี นกล่มุ ในการทางาน ส่วนนกั เรยี นในกล่มุ อ่อนสามารถเรยี นรเู้ น้อื หาไดด้ ขี น้ึ ซง่ึ แชมเบอรแ์ ละอบรามี (Chamber and Abrami, 1991) ไดศ้ กึ ษาพบว่า การเรยี นรวู้ ชิ าคณติ ศาสตรเ์ ป็นกลุม่ ๆ ทม่ี สี ่วนรว่ มมอื กนั เรยี นรู้ ผลงานของกล่มุ จะนามาซง่ึ ความสาเรจ็ และเป็นทย่ี อมรบั ในทาง การศกึ ษามากกว่าผลงานของคนเดยี ว และจากเหตุผลขา้ งตน้ เดวดิ สนั (Davidson, 1990) กลา่ ววา่ การเรยี นแบบรว่ มมอื ในกลุ่มยอ่ ยสามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพกบั วชิ าคณติ ศาสตรใ์ นการแกป้ ัญหา การใหเ้ หตุผลและการสรา้ งความเชอ่ื มโยงทางคณติ ศาสตร์ นอกจากน้กี ารเรยี นแบบรว่ มมอื ในกลุม่ ยอ่ ยยงั สามารถนาไปพฒั นาความสามารถของนกั เรยี น ในหลายเป้าหมาย เช่น การอภปิ รายมโนทศั น์ การสบื สวนหรอื การคน้ พบ การกาหนดปัญหา การฝึกทกั ษะ การทบทวน การระดมพลงั สมอง การแลกเปลย่ี นขอ้ มลู และการใชเ้ ทคโนโลยี อกี ดว้ ย 7. การสอนซอ่ มเสรมิ เป็นสงิ่ จาเป็นสาหรบั นกั เรยี น เพราะนกั เรยี นแต่ละบคุ คล มคี วามรคู้ วามสามารถทแ่ี ตกต่างกนั ซง่ึ การสอนซอ่ มเสรมิ เป็นวธิ กี ารทช่ี ว่ ยแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ ง หรอื พฒั นาศกั ยภาพของนกั เรยี น ใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในการเรยี นและพฒั นาไปส่จู ดุ สงู สุด สอดคลอ้ งกบั ศรยี า นยิ มธรรม (2530 : 2) และมะลิ จลุ วงษ์ (2530 : 17) กล่าววา่ การสอนซ่อมเสรมิ เป็นกลุ่ม โดยจดั นกั เรยี นเป็นกลุ่มยอ่ ยใหส้ มาชกิ ในกลุ่มมคี วามสามารถท่ี แตกต่างกนั ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ทาใหเ้ กดิ การชว่ ยเหลอื ระหว่างเดก็ เก่งและเดก็ อ่อน โดย เดก็ เก่งจะชว่ ยสอนเดก็ อ่อนและเป็นการทบทวนความรขู้ องเดก็ เก่งไปพรอ้ มๆกนั สอดคลอ้ งกบั สมศกั ดิ ์ สนิ ธุระเวชญ์ (2529 : 16 - 17) กล่าวว่า นกั เรยี นสอนกนั เองโดยใหเ้ ดก็ เก่งสอน เดก็ อ่อนเป็นรายบุคคลหรอื กลุ่มยอ่ ย ซง่ึ ทาใหน้ กั เรยี นสนใจและมคี วามเขา้ ใจในเน้ือหาวชิ า ไดง้ า่ ยขน้ึ เพราะใชภ้ าษาในระดบั เดยี วกนั ทาใหส้ ่อื สารความหมายไดต้ รงกนั สว่ น ช.ชนบท (2534 : 24 - 25) กล่าวว่า การสอนตวั ต่อตวั ระหวา่ งครผู สู้ อนกบั นกั เรยี นเป็นวธิ สี อนซ่อมเสรมิ ทด่ี ที ส่ี ุด 8. นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ จะทาให้ นกั เรยี นนาความรแู้ ละประสบการณ์ทไ่ี ดจ้ ากการเรยี นรไู้ ปฝึกฝน เพ่อื เกดิ ทกั ษะมคี วามสามารถ ในการแก้ปัญหาและนกั เรยี นสามารถสรา้ งองคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง จากการเขา้ ร่วมกจิ กรรม โดยการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื เดก็ เก่งช่วยเหลอื เดก็ อ่อนในกล่มุ เดยี วกนั ส่งผลทาใหผ้ ลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นสงู ขน้ึ (สมศรี คงวงศ,์ 2542 ; ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื , 2543 ; ภทั ราภรณ์ คมั ภริ า, 2543 ; วนั เพญ็ ผลอุดม, 2543)

116 9. นกั เรยี นใหค้ วามรว่ มมอื ในการทาใบงาน แบบฝึกทกั ษะทงั้ รายบุคคลและ รายกลุ่ม ส่งผลทาใหน้ กั เรยี นเกดิ การถ่ายโยงการเรยี นรจู้ ากการทาใบงานและแบบฝึกทกั ษะ อยา่ งสม่าเสมอ หรอื แบบบนั ทกึ การสงั เกตการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน แบบสมั ภาษณ์ เมอ่ื จบคาบเรยี น ส่งผลใหน้ กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู ขน้ึ (วนั เพญ็ ผลอุดม, 2543) 10. แนวความคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ซง่ึ เช่อื วา่ นกั เรยี นจะเป็นผสู้ รา้ ง ความรดู้ ว้ ยตนเองและสรา้ งความรโู้ ดยอาศยั กลุ่มคนในสงั คม จากความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรู้ ความเขา้ ใจ ความเชอ่ื ทม่ี อี ยเู่ ดมิ กบั การปฏสิ มั พนั ธก์ บั สงิ่ แวดลอ้ มใหม่ ดว้ ยกระบวนการต่างๆ มาพฒั นาเป็นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน โดยเน้นใหน้ กั เรยี นไดเ้ ผชญิ กบั สถานการณ์ ปัญหาในลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกนั นกั เรยี นรวู้ ธิ กี ารแก้ปัญหาทห่ี ลากหลายไดค้ ดิ และลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง จากสอ่ื รปู ธรรม กง่ึ รปู ธรรมและสญั ลกั ษณ์ พรอ้ มทงั้ ได้ อธบิ าย เหตุผลในการแกป้ ัญหา ซง่ึ สะทอ้ นถงึ ความเขา้ ใจในมโนทศั น์ทางคณติ ศาสตรท์ ก่ี าลงั เรยี น นกั เรยี นจะรว่ มทากจิ กรรมกล่มุ โดยสมาชกิ ในกลุ่มจะทางานรว่ มกนั ใหก้ ารชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั มคี วามรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั มกี ารเรยี นรรู้ ว่ มกนั สง่ ผลทาใหก้ ลุ่มประสบผลสาเรจ็ และ สามารถนาความรมู้ าคลค่ี ลายสถานการณ์ทเ่ี ป็นปัญหามาใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ในการแก้ปัญหาหรอื อธบิ ายสถานการณ์อ่นื ๆทเ่ี กย่ี วขอ้ งได้ สง่ ผลใหน้ กั เรยี นสรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจในกระบวนการ แกป้ ัญหาไดด้ ว้ ยตนเอง ทางานรว่ มกบั เพ่อื นในกลุ่มไดเ้ ป็นอยา่ งดี ซง่ึ สง่ ผลทาใหน้ ักเรยี นมี ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู ขน้ึ (วโิ ชติ พงษศ์ ริ ,ิ 2540 ; วนั เพญ็ ผลอุดม, 2543 ; สมศรี คงวงศ,์ 2542 ; ภทั ราภรณ์ คมั ภริ า, 2543 ; ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื , 2543) 11. กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี ประกอบดว้ ยส่อื การสอนทม่ี ลี กั ษณะเป็นสง่ิ ทช่ี ว่ ย กระตุน้ ใหน้ กั เรยี นไดส้ รา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเองและไดช้ ว่ ยเหลอื ชง่ึ กนั และกนั โดยการทางาน รว่ มกนั เป็นกลุ่ม ไดแ้ ก่ เกม เพลง ใบงาน เอกสารแนะแนวทาง แบบฝึกทกั ษะ แบบบนั ทกึ การสงั เกตการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน รวมทงั้ เทคนิควธิ กี ารทห่ี ลากหลายทเ่ี หมาะสม ในการนามาใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน ทงั้ น้เี น่อื งจากวชิ าคณติ ศาสตรม์ ลี กั ษณะเป็น นามธรรมและเป็นวชิ าทกั ษะทต่ี อ้ งใชก้ ารฝึกฝนทกั ษะอยเู่ สมอ ดงั นนั้ เมอ่ื ครผู สู้ อนจะจดั การเรยี นการสอนใหน้ กั เรยี นไดเ้ กดิ การเรยี นรู้ โดยการคน้ พบความคดิ รวบยอดดว้ ยตนเอง จะตอ้ งใชส้ อ่ื การสอนและเทคนคิ วธิ กี ารทห่ี ลากหลายในการชว่ ยกระตุน้ ความคดิ และดงึ ดดู ความสนใจของนกั เรยี น จากการสงั เกตและตดิ ตามผลจากการทดลองพบว่า นกั เรยี นให้ ความสนใจในการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตรม์ ากขน้ึ และมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรยี น การสอน เชน่ การซกั ถามประเดน็ ทส่ี งสยั การทางานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเป็นกลมุ่ นอกเวลาเรยี น (สมศรี คงวงศ,์ 2542 ; ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื , 2543 ; ภทั ราภรณ์ คมั ภริ า, 2543 ; วโิ ชติ พงษ์ศริ ,ิ 2540 ; วนั เพญ็ ผลอุดม, 2543)

117 12. เทคนิคการใชค้ าถาม เป็นเทคนคิ วธิ กี ารทน่ี ามาใชใ้ นกจิ กรรมการสอนน้ี เพ่อื ช่วยกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นไดเ้ กดิ ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั เรยี นกบั ครผู สู้ อน หรอื ระหว่างนกั เรยี น ดว้ ยกนั ดงั นนั้ การใชเ้ ทคนิคการใชค้ าถามน้ี ครผู สู้ อนจะตอ้ งมกี ารวางแผนขนั้ ตอนการใช้ คาถามอยา่ งเป็นลาดบั ขนั้ ตอน เพ่อื ทจ่ี ะใชค้ าถามเป็นแนวทางในการนานกั เรยี นไปสู่ การคน้ พบคาตอบทต่ี อ้ งการดว้ ยตนเอง จากการสงั เกตปรากฏวา่ นกั เรยี นมสี ่วนรว่ มใน กจิ กรรมการเรยี นการสอนเป็นอยา่ งดี (ยพุ นิ พพิ ธิ กุล, 2539 ; บุญชม ศรสี ะอาด, 2537) 13. ในการเรยี นแบบรว่ มมอื นกั เรยี นมโี อกาสทางานรว่ มกนั มากขน้ึ ทาให้ บรรยากาศเป็นกนั เอง นกั เรยี นจะรสู้ กึ สบายใจ ไมว่ า้ เหว่ ไมเ่ ครยี ด มคี วามกระตอื รอื รน้ ใน การเรยี นมากขน้ึ ดงั ทด่ี นั น์ (Dunn, 1972 : 154) กลา่ ววา่ การเรยี นการสอนทด่ี คี วรเปิดโอกาส ใหน้ กั เรยี นทางานเป็นกลุ่ม รบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ส่งผลทาใหม้ คี วามสมั พนั ธท์ ด่ี ตี ่อกนั ในการเรยี น จะป้องกนั ไมใ่ หน้ กั เรยี นรสู้ กึ ว่าอยคู่ นเดยี ว อารท์ และนวิ แมน (Artzt and Newman, 1990) ไดศ้ กึ ษาการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื ในวชิ าคณติ ศาสตรภ์ ายในกลุม่ ทม่ี คี วามแตกต่างกนั ระหว่าง บคุ คลของนกั เรยี นในวชิ าคณติ ศาสตร์ พบว่า การรว่ มมอื กนั ของนกั เรยี นทม่ี คี วามแตกต่าง ระหว่างบคุ คลสามารถพฒั นาทกั ษะและความเขา้ ใจในวชิ าคณติ ศาสตร์ นกั เรยี นรสู้ กึ สนุกสนาน สามารถอธบิ ายเน้อื หาคณติ ศาสตรก์ บั เพอ่ื นๆปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกลมุ่ เพอ่ื น ช่วยทาใหเ้ กดิ ผลดี ต่อการเรยี นรเู้ ท่ากบั การสอนของครผู สู้ อนอกี ดว้ ย 4.3 เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ภายหลงั ได้รบั การสอนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ เมอ่ื พจิ ารณาประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอน ดา้ นเจตคตติ ่อ วชิ าคณติ ศาสตรต์ ามเกณฑก์ ารพฒั นาการของนกั เรยี น พบว่ากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี สง่ ผลทาใหน้ กั เรยี นเกดิ เจตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ กลา่ วคอื นกั เรยี นภายหลงั ไดร้ บั การสอนดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี มเี จตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรอ์ ยใู่ นเกณฑด์ ี สาหรบั กจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี จะยดึ นกั เรยี นเป็นศูนยก์ ลางมกี ารใชเ้ กม เพลง ซง่ึ เกมเป็น กจิ กรรมทม่ี คี วามสาคญั ยง่ิ ในการเรา้ ความสนใจและสรา้ งความสนุกสนานการเล่นเกมเป็น วธิ หี น่งึ ทส่ี ่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ เกดิ การเรยี นรู้ และชว่ ยพฒั นาทกั ษะต่างๆรวมทงั้ ส่งเสรมิ กระบวนการ ในการทางานและการอยรู่ ว่ มกนั กบั เพอ่ื นในสงั คม เยาวพา เดชะคปุ ต์ (2525 : 53) กล่าววา่ เกม คอื กจิ กรรมการเลน่ แขง่ ขนั ซง่ึ จะตอ้ งมแี พห้ รอื ชนะตามกตกิ าทก่ี าหนดไว้ ใน สถานการณ์ใดสถานการณ์หน่งึ และเกมชว่ ยสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ ล่นไดเ้ รยี นรมู้ โนทศั น์ใหม่ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั เฮเมอรแ์ ละทรบู อรด์ (Heimer and Trueblood, 1977 : 34) กล่าวว่า เกม

118 ไมเ่ พยี งแต่เรา้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความสนใจและความต่นื เตน้ ในการเรยี นเท่านนั้ แต่ยงั ช่วยพฒั นา ความสามารถของนกั เรยี นไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางจากทกั ษะพน้ื ฐานสคู่ วามสามารถในการแกป้ ัญหา ซง่ึ นอกจากเกมแลว้ ใบงานและแบบฝึกทกั ษะเป็นสงิ่ ช่วยกระตุน้ ความสนใจของนกั เรยี นใน การเขา้ รว่ มกจิ กรรมการเรยี นการสอน โดยการชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั เดก็ เก่งคอยแนะนา เดก็ อ่อน โดยใหโ้ อกาสไดแ้ สดงความคดิ อยา่ งอสิ ระ มกี ารซกั ถามอภปิ รายสงิ่ ทส่ี งสยั กบั เพอ่ื น ในกล่มุ แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ วธิ กี าร กระบวนการแกป้ ัญหา ซง่ึ ทาใหน้ กั เรยี นมคี วามเขา้ ใจ มากขน้ึ และมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู ขน้ึ ซง่ึ สง่ ผลทาใหน้ กั เรยี นมเี จตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ สงู ขน้ึ ดว้ ย (Wade, 1995 ; สงวนศกั ดิ ์ โกสนิ นั ท,์ 2543 ; จฬุ ามาศ จนั ทรศ์ รสี คุ ต, 2537 ; วโิ ชติ พงษศ์ ริ ,ิ 2540) จากเหตุผลขา้ งตน้ สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ วนั ดี เกษรมาลา (2524 : 42) ทก่ี ล่าววา่ วธิ กี ารเรยี นการสอนทน่ี กั เรยี นไดร้ บั มผี ลต่อเจตคตขิ องนกั เรยี น ดงั นนั้ จงึ สรปุ ไดว้ า่ กจิ กรรมการเรยี นการสอนทด่ี นี นั้ คอื เรา้ ความสนใจของนกั เรยี นเหมาะสม กบั วยั และความสามารถ ครผู สู้ อนไมเ่ ครง่ เครยี ดเกนิ ไปสงิ่ เหล่าน้ี จะช่วยเพม่ิ เจตคตขิ อง นกั เรยี นใหส้ งู ขน้ึ ส่วนจากการศกึ ษาของอารท์ และนวิ แมน (Artzt and Newman, 1990) พบว่า การรว่ มมอื กนั ของนกั เรยี นทม่ี คี วามแตกต่างระหว่างบุคคลสามารถพฒั นาทกั ษะและความเขา้ ใจ ในวชิ าคณติ ศาสตร์ เมอ่ื นกั เรยี นเกดิ ความรแู้ ละมที กั ษะในการเรยี น นกั เรยี นจะเลง็ เหน็ ถงึ ประโยชน์และคุณค่าของวชิ าทเ่ี รยี น โดยเฉพาะในการจดั การเรยี นการสอนเป็นกลุ่มคละ ความสามารถ จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นไดป้ ระสบการณ์จากเพอ่ื น เดก็ เก่งเป็นผชู้ ่วยเหลอื เดก็ อ่อน ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ทงั้ ในเรอ่ื งเน้ือหา ภาษาทใ่ี ช้ เดก็ เก่งมโี อกาสขยายความรู้ และประสบการณ์ ใหก้ บั ตนเองดว้ ย การทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่มทาใหเ้ กดิ การช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ระหว่าง นกั เรยี น ทาใหร้ สู้ กึ ว่าการเรยี นไมย่ ากเกนิ ความสามารถ ทาใหร้ สู้ กึ รกั ทจ่ี ะเรยี น ซง่ึ ส่งผลต่อ การสรา้ งเจตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตรอ์ กี ดว้ ย 4.4 ข้อสงั เกตที่ได้จากการทดลอง จากการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา พบขอ้ สงั เกตทไ่ี ดจ้ ากการทดลอง ดงั น้ี 4.4.1 ในการนากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี ไปใชส้ อนในหอ้ งเรยี นนนั้ ครผู สู้ อนตอ้ งมกี ารเตรยี มความพรอ้ มในการเตรยี มแผนการสอน เอกสารประกอบการสอน ส่อื การสอนต่างๆ และมกี ารจดั สภาพหอ้ งเรยี นใหเ้ หมาะสมในการดาเนินการจดั กจิ กรรม 4.4.2 นกั เรยี นใหค้ วามสนใจในขนั้ นาเขา้ ส่บู ทเรยี น เน่ืองจากนกั เรยี นมี สว่ นรว่ มในการรอ้ งเพลง เลน่ เกม ซง่ึ เป็นสง่ิ ทช่ี ่วยกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นมคี วามสนใจทจ่ี ะศกึ ษา เน้อื หาในคาบเรยี นต่อไป

119 4.4.3 ขนั้ สอน จะเป็นขนั้ ทน่ี กั เรยี นจะทาความเขา้ ใจปัญหา รวมถงึ การหา แนวทางแกป้ ัญหาทห่ี ลากหลาย นกั เรยี นจะศกึ ษาสถานการณ์ปัญหาดว้ ยตนเองดว้ ยความตงั้ ใจ โดยอาศยั ขอ้ มลู จากสอ่ื รปู ธรรม กง่ึ รปู ธรรมและดาเนินการแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ กี ารทห่ี ลากหลาย และรวดเรว็ ดว้ ยตนเอง นกั เรยี นสว่ นมากตงั้ ใจทากจิ กรรมแต่มบี างสว่ นทไ่ี มค่ ่อยใหค้ วามสนใจ สง่ เสยี งดงั รบกวนเพอ่ื น ซง่ึ ครผู สู้ อนจะตอ้ งคอยตกั เตอื น 4.4.4 ขนั้ กจิ กรรมไตรต่ รองระดบั กลุม่ ขนั้ น้นี กั เรยี นไดแ้ สดงวธิ กี ารหาคาตอบ การวเิ คราะหส์ ถานการณ์และทาความเขา้ ใจกบั สถานการณ์ปัญหา โดยนาเสนอวธิ กี ารหา คาตอบ กระบวนการแกป้ ัญหาและนกั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ อภปิ รายรว่ มกนั โดยชใ้ี หเ้ หน็ ขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั ของแต่ละวธิ ที ใ่ี ชใ้ นการแกป้ ัญหา ทาใหน้ กั เรยี นทราบคาตอบและสามารถ สรา้ งมโนทศั น์ไดด้ ว้ ยตนเอง ซง่ึ บทบาทของนกั เรยี นในขนั้ น้คี อื นาเสนอวธิ กี ารหาคาตอบ ของตนเองต่อกลมุ่ โดยเสนอกระบวนการแกป้ ัญหา วธิ กี ารไดม้ าซง่ึ คาตอบรวมทงั้ อธบิ ายขอ้ ดี ขอ้ จากดั ของแต่ละวธิ รี ว่ มคดั เลอื กวธิ กี ารทเ่ี หน็ วา่ ดที ส่ี ุดถูกตอ้ งทส่ี ดุ เพอ่ื นาเสนอต่อกล่มุ ใหญ่ 4.4.5 ขนั้ กจิ กรรมไตรต่ รองระดบั ชนั้ กจิ กรรมขนั้ น้ีจะเป็นกจิ กรรมทน่ี กั เรยี น มบี ทบาทมากเป็นการนาเสนอวธิ กี ารหาคาตอบต่อกลมุ่ ใหญ่ โดยการสง่ ตวั แทนกล่มุ เพอ่ื นาเสนอวธิ กี าร ทไ่ี ดต้ ่อกลุ่มใหญ่ และกล่มุ ใหญ่รว่ มอภปิ รายแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ วธิ กี าร กระบวนการไดม้ าของแนวทางแกป้ ัญหา 4.4.6 ขนั้ สรปุ ขนั้ น้ีนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายสรุปมโนทศั น์ วธิ กี าร ขนั้ ตอน การคดิ รวมทงั้ วธิ กี ารแกป้ ัญหา ซง่ึ จะเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นเรมิ่ สรปุ บทเรยี นก่อน 4.4.7 ขนั้ พฒั นาทกั ษะและการนาไปใช้ ขนั้ น้นี กั เรยี นเขา้ กล่มุ ยอ่ ยศกึ ษาใบงาน รว่ มกนั สรา้ งวธิ กี ารแกป้ ัญหาทห่ี ลากหลาย รวมทงั้ สรา้ งสถานการณ์ปัญหาใหม่ ขนั้ น้นี กั เรยี น ทากจิ กรรมกลุ่มยอ่ ยดว้ ยความตงั้ ใจและอธบิ ายวธิ กี ารใหเ้ พอ่ื นในกลมุ่ เขา้ ใจ สาหรบั นกั เรยี นใน ขนั้ น้ีจะตอ้ งรว่ มกนั ศกึ ษาใบงานดว้ ยความเตม็ ใจและช่วยเหลอื กนั ในการแกป้ ัญหา การอภปิ ราย โดยเดก็ เก่งจะชว่ ยเหลอื เดก็ อ่อนและในขนั้ น้ี นกั เรยี นจะนาแบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตรก์ ลบั ไป ทาเป็นการบา้ น นกั เรยี นส่วนมากตงั้ ใจทาแบบฝึกทกั ษะอยา่ งเตม็ ความสามารถเพ่อื เป็น การสรา้ งผลงานของตนเอง 4.4.8 เกม เพลง ใบงาน ใบความรแู้ ละเอกสารแนะแนวทางเป็นส่อื การสอน นกั เรยี นใหค้ วามสนใจและเป็นสง่ิ เรา้ ช่วยใหน้ กั เรยี นไดม้ กี ารเตรยี มความพรอ้ มก่อนเรยี น 4.4.9 แบบฝึกทกั ษะ เป็นส่อื การสอนทน่ี กั เรยี นใหค้ วามสนใจค่อนขา้ งน้อย แต่ครผู สู้ อนตอ้ งกระตุน้ และชแ้ี จงใหน้ กั เรยี นเหน็ ความสาคญั ของแบบฝึกทกั ษะวา่ เป็นสง่ิ ทช่ี ว่ ย ใหน้ กั เรยี นไดฝ้ ึกทกั ษะและสามารถประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณ์อ่นื ๆได้ 4.4.10 แบบสงั เกตพฤตกิ รรม เป็นสอ่ื ทช่ี ่วยใหค้ รผู สู้ อนไดน้ ามาพจิ ารณา ความรแู้ ละความเขา้ ใจของนกั เรยี น ทไ่ี ดร้ บั จากการสอนถงึ มคี วามเขา้ ใจมากหรอื น้อย มขี อ้ บกพรอ่ งใดทค่ี วรไดร้ บั การแกไ้ ขก่อนทจ่ี ะเรยี นเน้อื หาใหม่

120 5. ข้อเสนอแนะ 5.1 ข้อเสนอแนะด้านการเรยี นการสอน 5.1.1 การนากจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา เรอ่ื ง ระบบสมการเชงิ เสน้ ควรศกึ ษาหลกั การ เป้าหมายขนั้ ตอนและองคป์ ระกอบในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน รวมทงั้ บรรยากาศใน การส่งเสรมิ ความสามารถในการแก้ปัญหาใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ เสยี ก่อน 5.1.2 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพอ่ื พฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน วชิ าคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง ระบบสมการเชงิ เสน้ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ครผู สู้ อน ตอ้ งทาการปฐมนเิ ทศผสู้ งั เกตการณ์และนกั เรยี นใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจในขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพ่อื จะไดป้ ฏบิ ตั ไิ ดถ้ กู ตอ้ งและไมเ่ กดิ ปัญหาในการจดั กจิ กรรม การเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มน์ ้ี เป็นการจดั การเรยี นการสอนท่ี ยดึ นกั เรยี นเป็นศนู ยก์ ลาง โดยใหน้ กั เรยี นทากจิ กรรมดว้ ยตนเอง นกั เรยี นตอ้ งใชค้ วามคดิ และ ความสามารถของตนเอง ซง่ึ ครผู สู้ อนจะตอ้ งคานึงถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลสภาพ ความพรอ้ มทางรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ สงั คม สตปิ ัญญาและพน้ื ฐานความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น ครผู สู้ อนตอ้ งใหน้ กั เรยี นไดฝ้ ึกกระทาดว้ ยตนเองใหม้ ากทส่ี ุด ครผู สู้ อนควรกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นได้ คน้ หาความสามารถของตนเอง 5.1.3 ครผู สู้ อนควรมกี ารเตรยี มตวั ล่วงหน้าและจดั เตรยี มสอ่ื และอุปกรณ์ใน การเรยี นการสอนใหพ้ รอ้ มก่อนทาการสอน 5.1.4 ก่อนทาใบงานของกจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ีมาใช้ ควรทาการศกึ ษา หลกั การจดั กจิ กรรมในใบงานทกุ ใบงาน เพอ่ื ใหก้ ารเรยี นการสอนประสบผลสาเรจ็ และดาเนินไป ไดด้ ว้ ยดี 5.1.5 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพ่อื พฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน วชิ าคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง ระบบสมการเชงิ เสน้ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนและกจิ กรรมทห่ี ลากหลาย บางครงั้ ตอ้ งใชเ้ วลานานกว่าทก่ี าหนดไว้ ดงั นนั้ ครผู สู้ อนตอ้ งยดื หยนุ่ เวลาไดต้ ามความเหมาะสม

121 5.1.6 ควรมกี ารแจง้ ผลการทดสอบยอ่ ยแก่นกั เรยี นทกุ ครงั้ รวมทงั้ แจง้ ผล การทาแบบฝึกทกั ษะทนั ที เพอ่ื ใชเ้ ป็นขอ้ มลู ยอ้ นกลบั (Feedback) ใหน้ กั เรยี นทราบผล การทาใบงานของตนเอง ซง่ึ จะช่วยใหน้ กั เรยี นเกดิ ความกระตอื รอื รน้ และสนใจเรยี นมากขน้ึ นอกจากนนั้ การเสรมิ แรง เช่น คาชมเชย รางวลั รวมถงึ การใหโ้ อกาสนกั เรยี นในการแสดงออก กลา้ คดิ กลา้ ทา โดยเฉพาะเดก็ อ่อนควรไดร้ บั กาลงั ใจและการเอาใจใส่อยเู่ สมอจะชว่ ยใหน้ กั เรยี น เกดิ ความเชอ่ื มนั่ ในตนเองมากยง่ิ ขน้ึ รวมถงึ สง่ ผลทาใหน้ กั เรยี นมเี จตคติทด่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ 5.1.7 ควรมกี ารสรา้ งบรรยากาศทเ่ี ออ้ื ต่อการเรยี นรู้ เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี น เรยี นรอู้ ยา่ งเป็นสุข เช่น การจดั โต๊ะเกา้ อ้ี การนาเสนอผลงาน การคดั เลอื กประธานกล่มุ เลขานุการกลุ่ม และการอภปิ รายต่างๆ 5.2 ข้อเสนอแนะในการวิจยั 5.2.1 ควรมกี ารศกึ ษาถงึ ผลทเ่ี กดิ จากการใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอน วชิ าคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง ระบบสมการเชงิ เสน้ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ในดา้ นต่างๆ เชน่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ความคงทนในการเรยี นรู้ ฯลฯ 5.2.2 ควรสรา้ งและพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ มใ์ นวชิ าคณิตศาสตรใ์ นเรอ่ื งอ่นื ๆ 5.2.3 ควรมกี ารพฒั นาแบบวดั และประเมนิ ผลโดยการประเมนิ ตนเองหรอื เพ่อื นรว่ มงาน เพ่อื นามาใชเ้ ป็นเครอ่ื งวดั ผลและประเมนิ ผลอกี ประการหน่งึ ซง่ึ ในการวดั ผล ดา้ นทกั ษะทางสงั คมของนกั เรยี นในการรว่ มมอื ในการทางานกบั ผอู้ ่นื นอกเหนือจากการใช้ แบบทดสอบในการวดั ผลสมั ฤทธแิ ์ ละแบบวดั เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ 5.3 ข้อเสนอแนะการเผยแพร่ผลวิจยั เพ่ือการนาไปใช้ 5.3.1 ควรเผยแพรใ่ หผ้ อู้ ่นื นากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี ใหค้ รผู สู้ อนไดน้ าไป ใชท้ ดลองจดั การเรยี นการสอน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพต่อการจดั การเรยี นการสอน 5.3.2 นากจิ กรรมการเรยี นการสอนไปปรบั ปรุงแกไ้ ขและเพม่ิ เตมิ ใหส้ มบรู ณ์ และนาไปเผยแพรโ่ รงเรยี นใกลเ้ คยี งในอาเภอหนองววั ซอ เพอ่ื กระตุน้ และใหค้ รผู สู้ อนใชเ้ ป็น แนวทางในการพฒั นาการเรยี นการสอน

บรรณานุกรม

122 บรรณานุกรม กมลรตั น์ หลา้ สวุ งษ์. จิตวิทยาการศึกษา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : หา้ งหุน้ ส่วนจากดั ศรเี ดชา, 2528. กติ ตพิ งษ์ ตะไก่แกว้ . การพฒั นารปู แบบการสอนแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เชิงสรา้ งสรรค์ ชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 2. ปรญิ ญาการศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2538. เกสร ทองแสน. การพฒั นารปู แบบการแก้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 โดยเน้นการสอนแบบรว่ มมอื และกระบวนการแก้ปัญหา. ปรญิ ญาการศกึ ษา ศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2539. เกษณิ ี ผลประพฤต.ิ พฤติกรรมการเรียนการสอนกล่มุ สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต 1. จนั ทบุรี : โครงการพฒั นาผลงานทางวชิ าการ สถาบนั ราชภฏั ราไพพรรณี จนั ทบุร,ี 2535. โกวทิ ประวาลพฤกษ์ และสมศกั ดิ ์ สนิ ธุระเวชญ.์ การประเมินในชนั้ เรียน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : วฒั นาพานิช, 2527. คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาต,ิ สานกั งาน. นานาแนวคิดคณิตศาสตรโ์ ครงการพฒั นาการ เรยี นการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นศนู ยก์ ลาง. กรงุ เทพฯ : คุรสุ ภาลาดพรา้ ว, 2541. . แผนพฒั นาการศึกษาแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 8 (พ.ศ.2540 - 2544), 2540. . เอกสารเสริมความรู้ กล่มุ ทกั ษะคณิตศาสตร.์ กรงุ เทพฯ : หน่วยศกึ ษานิเทศก์, 2540. จงเจรญิ เมตตา. พฤติกรรมศาสตร.์ คณะแพทยศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2526. จฬุ ามาศ จนั ทรศ์ รสี คุ ต. ความสมั พนั ธ์ระหว่างบทบาทของผปู้ กครองและครู ต่อเจตคติ ความเช่ือมนั่ ในตนเองและผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรข์ องนักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 สงั กดั สานักงานการประถมศึกษาจงั หวดั อดุ รธานี. ปรญิ ญาการศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2537.

123 จารวุ รรณ ยงั รกั ษา. การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตรข์ องนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ท่ีได้รบั การสอนแบบค้นพบ โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบคอนสตรคั ติวิสซึมเป็นกล่มุ กบั รายบคุ คลและ การสอนตามค่มู ือคร.ู ปรญิ ญาการศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2542. ฉววี รรณ แกว้ หลอ่ น. การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรข์ องนักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 6 เร่ือง การแก้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้รปู แบบ การสอนแบบร่วมมอื กนั เรยี นร้.ู ปรญิ ญาการศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2540. เฉดิ ศกั ดิ ์ ชุมนุม. ค่มู อื การอบรมผบู้ ริหารครแู ละนักเรียน เรอ่ื ง การจดั การเรียนแบบ มีส่วนรว่ ม. สานกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวดั หนองบวั ลาภู, 2540. ช.ชนบท. \"การสอนซอ่ มเสรมิ ดว้ ยวญิ ญาณครู,\" ประชากรศึกษา. 42 (1) : 24 - 25 ; ตุลาคม, 2534. ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ. ระบบส่ือการสอน. กรงุ เทพฯ : คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , 2520. ดวงเดอื น อ่อนน่วม. เรอื่ ง น่าร้สู าหรบั ครคู ณิตศาสตร.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, 2537. . การสอนซ่อมเสริมเผยแพร่. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2535. ทพิ สร มปี ่ิน. การเปรยี บเทียบความเข้าใจในการอ่านและเจตคติต่อการอ่านภาษาไทย ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ที่เรยี นโดยการสอนอ่านแบบปฏิสมั พนั ธ์ ด้วยวิธี KWL - PLUS กบั การสอนอ่านตามค่มู ือคร.ู ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร, 2539. ทศิ นา แขมมณี. เอกสารประกอบการสอนวิชาทฤษฎีการสอน. สาขาหลกั สูตรและการสอน คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2530. ทศิ นา แขมณี และคณะ. กิจกรรมการสอนและฝึ กทกั ษะกระบวนการกล่มุ สาหรบั นักเรียน ระดบั ประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ : บพธิ การพมิ พจ์ ากดั , 2536. ธงชยั ชวิ ปรชี า. \" แยกแยะทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสซึม,\" สสวท. 22 (86) : 3 - 8, 2537.

124 น้อมศรี เคท. \" การสอนการแก้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตร,์ \" หลกั และแนวปฏบิ ตั ใิ นโรงเรยี น ประถมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : วฒั นาพานิช, 2526. นิภาภรณ์ กลา้ หาญ. การใช้ชดุ การสอนซ่อมเสริมที่มตี ่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรอื่ ง การบวก ลบ คณู หารเศษส่วน ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ที่มผี ลการเรยี นคณิตศาสตรต์ า่ . ปรญิ ญาการศกึ ษาศาสตร มหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2540. นอี อน กลน่ิ รตั น์. ความรู้ ทศั นคติ และการปฏิบตั ิ : การสร้างเครื่องมือวดั ในการวิจยั ทางสาธารณสขุ . ขอนแก่น : ขอนแก่นการพมิ พ,์ 2533. บาเพญ็ อาลวี งั ปา. การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค เพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 6. ปรญิ ญาการศกึ ษาศาสตร มหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2536. บุญชม ศรสี ะอาด. การพฒั นาการสอน. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์, 2537. . วิธีการทางสถิติสาหรบั การวิจยั . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์ , 2538. . การวิจยั เบอื้ งต้น. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์ , 2535. บญุ เชดิ ภญิ โญอนนั ตพงษ์. ทฤษฎีและแนวคิด เรอื่ ง การเรียนแบบมสี ่วนร่วม. โครงการ พฒั นาคุณภาพการเรยี นการสอน มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร, 2540. บญุ ทนั อยชู่ มบญุ . หลกั การสอน บทที่ 1 - 4. ภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะวชิ า ครศุ าสตร์ วทิ ยาลยั ครเู ชยี งราย, 2533. บญุ ธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ุทธ.ิ ์ ระเบยี บวิธีการวิจยั สงั คมศาสตร.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 7. กรงุ เทพฯ : เจรญิ ผล, 2540. บญุ ประเสรฐิ ไชยศริ .ิ การพฒั นารปู แบบการสอนคณิตศาสตรช์ นั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 5 เรอื่ ง การแก้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้รปู แบบการสอนแบบรว่ มมือกนั เรยี นร้.ู ปรญิ ญาการศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2537. บุญมา จารกิ . เพียเจต์ (Piaget) และคณิตศาสตร.์ ภาควชิ าคณติ ศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร, 2524. ประวติ เอราวรรณ์. การวิจยั ในชนั้ เรียน. กรงุ เทพฯ : ยแู พด, 2542.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook