34 1) การเรยี นรเู้ ป็นกระบวนการทค่ี วรเป็นไปอย่างมชี วี ติ ชวี า การเรยี นรจู้ ะเกดิ ขน้ึ ไดด้ ี ถา้ ผเู้ รยี นมบี ทบาทรบั ผดิ ชอบต่อการเรยี นรขู้ องตนและมสี ่วนใน กจิ กรรมการเรยี น 2) การเรยี นรเู้ กดิ ขน้ึ ไดจ้ ากแหล่งต่างๆกนั มใิ ช่จากแหล่งใด แหล่งหน่งึ เพยี งแหลง่ เดยี ว ประสบการณ์ ความรสู้ กึ นึกคดิ ของแต่ละบุคคลถอื ว่าเป็นแหล่ง การเรยี นรทู้ ส่ี าคญั 3) การเรยี นรทู้ ด่ี จี ะตอ้ งเป็นการเรยี นรทู้ เ่ี กดิ จากความเขา้ ใจ จงึ จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นจดจาและสามารถใชก้ ารเรยี นรนู้ นั้ ใหเ้ ป็นประโยชน์ได้ การเรยี นรทู้ น่ี กั เรยี น เป็นผคู้ น้ พบดว้ ยตนเอง มสี ว่ นช่วยใหน้ กั เรยี นเกดิ ความเขา้ ใจลกึ ซง้ึ และจดจาไดด้ ี 4) การเรยี นรกู้ ระบวนการนัน้ มคี วามสาคญั เพราะกระบวนการเป็น เครอ่ื งมอื ในการแสวงหาความรแู้ ละคาตอบต่างๆทต่ี อ้ งการ ผลงานต่างๆจะมปี ระสทิ ธภิ าพมาก น้อยเพยี งใดขน้ึ อยกู่ บั กระบวนการเป็นสาคญั ดงั นนั้ การเรยี นรทู้ ด่ี จี ะตอ้ งเน้นกระบวนการ 5) การเรยี นรทู้ ม่ี คี วามหมายต่อนกั เรยี น คอื การเรยี นรทู้ ส่ี ามารถ นาไปใชไ้ ด้ การช่วยใหน้ กั เรยี นไดใ้ ชค้ วามรจู้ ะชว่ ยใหน้ กั เรยี นเกดิ ความเขา้ ใจในสงิ่ นนั้ มากขน้ึ และการเรยี นรเู้ พมิ่ ขน้ึ กระบวนการกลุ่มสมั พนั ธ์ เกดิ จากการปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั เรยี น โดยใหน้ กั เรยี น เป็นศนู ยก์ ลางของการเรยี นรู้ ครผู สู้ อนใชก้ จิ กรรมเป็นสง่ิ เรา้ ช่วยกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นมสี ่วนรว่ ม และเกดิ การเรยี นรโู้ ดยวธิ กี ารคน้ พบดว้ ยตนเอง โดยทส่ี มาชกิ ทุกคนในกลุ่มมบี ทบาทและหน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายจากกลุ่ม 4.5.2.4 เทคนิคการใชค้ าถาม การเรยี นการสอนปัจจบุ นั มุ่งเน้นใหน้ กั เรยี นเป็นสาคญั ในการเรยี นสามารถสรา้ ง ความรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง ในการเรยี นการสอนลกั ษณะดงั กลา่ วน้นี กั เรยี นจาเป็นตอ้ งไดร้ บั การฝึกฝนในดา้ นการคดิ อยา่ งสม่าเสมอ ซง่ึ บทบาทในการจดั การเรยี นการสอนนนั้ ครผู สู้ อน ควรใชค้ าถามอยา่ งหลากหลายตงั้ แต่คาถามงา่ ยๆจนถงึ คาถามทต่ี อ้ งใชค้ วามคดิ ทส่ี ูงขน้ึ การใชค้ าถามทางคณติ ศาสตรท์ ส่ี ง่ เสรมิ การคดิ ของนกั เรยี นในลกั ษณะต่างๆ (คณะกรรมการ การประถมศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ 2541 : 27 - 34) 1) คาถามทด่ี จี ะช่วยส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นคดิ อยา่ งมรี ะบบและเกดิ การเรยี นรตู้ ามจดุ ประสงคท์ ก่ี าหนดไว้ คาถามทด่ี มี ลี กั ษณะดงั น้ี คอื (1) มคี วามหมายชดั เจนไมค่ ลมุ เครอื ใชภ้ าษางา่ ยๆเจาะจง เมอ่ื นกั เรยี นฟังคาถามแลว้ จะเขา้ ใจอย่างถกู ตอ้ ง (2) เป็นขอ้ ความทก่ี ระทดั รดั และไมค่ วรมคี าถามหลายประเดน็ พรอ้ มกนั
35 (3) เป็นขอ้ ความทส่ี มบรู ณ์ไมค่ วรละขอ้ ความบางสว่ นของ คาถามเพ่อื ใหน้ กั เรยี นคดิ (4) มคี วามเหมาะสมกบั ระดบั สตปิ ัญญาของนกั เรยี น ความยาก งา่ ยพอเหมาะเพราะคาถามทย่ี ากอาจจะทาใหน้ กั เรยี นเกดิ ความทอ้ ถอย แต่ถา้ คาถามทง่ี ่าย เกนิ ไปทาใหน้ กั เรยี นไมไ่ ดฝ้ ึกกระบวนการคดิ (5) เป็นคาถามทส่ี ่งเสรมิ และกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นใชค้ วามคดิ เพ่อื หาคาตอบทเ่ี หมาะสม 2) การใชค้ าถามทด่ี คี รผู สู้ อนจะรจู้ กั ลกั ษณะคาถามทจ่ี ะพฒั นา ความคดิ ของนกั เรยี นใหม้ คี วามสามารถในการคดิ ทส่ี งู ขน้ึ กว่าการรู้ การจาหรอื เขา้ ใจ ซง่ึ เป็น การใชค้ าถามระดบั งา่ ยแลว้ ครผู สู้ อนตอ้ งมกี ารฝึกใชค้ าถามในลกั ษณะทถ่ี ูกตอ้ งและฝึกจน เกดิ ทกั ษะ ซง่ึ มแี นวคดิ ดงั น้ี (1) เตรยี มคาถามลว่ งหน้าเพราะจะทาใหใ้ ชค้ าถามไดเ้ ป็นลาดบั ขนั้ ตอนจะทาใหน้ กั เรยี นเกดิ ความคดิ เป็นลาดบั และมคี วามมนั่ ใจในการถาม (2) การใชค้ าถามควรเรยี งลาดบั ความยากงา่ ยตามลาดบั เน้อื หา (3) เมอ่ื ถามแลว้ ตอ้ งใหเ้ วลานกั เรยี นไดค้ ดิ เพอ่ื ฝึกการคดิ อยา่ ง รอบคอบและเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ เก่งและเดก็ อ่อนไดม้ โี อกาสคดิ เท่าเทยี มกนั (4) เมอ่ื นกั เรยี นยงั ตอบคาถามไมไ่ ดค้ วรใชค้ าถามใหง้ ่ายขน้ึ แต่ ไมค่ วรทวนคาถามบอ่ ยๆอาจทาใหน้ กั เรยี นสบั สน (5) ในการสอนครงั้ หน่งึ ๆครผู สู้ อนควรใหค้ าถามทงั้ งา่ ยและ ยากปนกนั (6) เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นไดถ้ ามครผู สู้ อนบา้ ง เป็นการซกั ถาม เพอ่ื ความเขา้ ใจตรงกนั ในกระบวนการของการใชค้ าถามทด่ี ี ครผู สู้ อนควรหยดุ เวน้ ระยะเวลา เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดใ้ ชค้ วามคดิ และคาถามควรเป็นคาถามปลายเปิด (Open - Ended Question) เพอ่ื ฝึกใหน้ กั เรยี นคดิ แบบนิรนยั ครผู สู้ อนจะตอ้ งเรยี นรใู้ นการเพม่ิ ความเงยี บและรอคอย คาตอบ เมอ่ื ใชค้ าถามระดบั สงู สอดคลอ้ งกบั ราวน์ทรี (Rowntree, 1978) ทไ่ี ดก้ ล่าวถงึ ประโยชน์ของการรอคอยคาตอบเกนิ กวา่ 3 นาที คอื (1) คาตอบของนกั เรยี น ตอบไดย้ าวและนานกว่าเดมิ (2) ไดค้ าตอบทไ่ี มค่ าดคดิ แต่เป็นคาตอบทด่ี มี มี ากขน้ึ (3) การไมต่ อบคาถามมนี ้อยลง
36 (4) มคี วามเช่อื มนั่ ในการตอบมากขน้ึ (5) มกี ารเสย่ี งตอบเพม่ิ ขน้ึ (6) นกั เรยี นมกี ารเปรยี บเทยี บขอ้ คน้ พบมากขน้ึ (7) นกั เรยี นมกี ารลงความคดิ เหน็ เป็นขอ้ ความทม่ี หี ลกั ฐาน สนบั สนุนเพมิ่ ขน้ึ (8) นกั เรยี นถามคาถามเพมิ่ ขน้ึ (9) นกั เรยี นทเ่ี รยี นชา้ ไดต้ อบเพม่ิ มากขน้ึ (10) นกั เรยี นมพี ฤตกิ รรมทางวาจาในหลายลกั ษณะหลายแบบ เพม่ิ ขน้ึ (11) ความคาดหวงั ของครผู สู้ อนต่อพฤตกิ รรมของนกั เรยี น ปรากฏว่า นกั เรยี นทเ่ี รยี นชา้ มพี ฤตกิ รรมเปลย่ี นแปลงดขี น้ึ (12) จานวนและประเภทของคาถามทค่ี รผู สู้ อนถามเปลย่ี นแปลง ไป แนวคดิ ทน่ี ามาใชใ้ นการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี เทคนิคการใชค้ าถาม เป็นเทคนิควธิ หี น่งึ ทผ่ี วู้ จิ ยั คดิ วา่ มคี วามเหมาะสมในการนามาใชเ้ ป็นสง่ิ เรา้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ทกั ษะ การพดู โดยการตอบคาถาม การฝึกใหน้ กั เรยี นตงั้ คาถาม การใชค้ าถามกระตุน้ ใหน้ กั เรยี น รว่ มกนั อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ ทย่ี งั ไมส่ ามารถหาขอ้ สรุปไดห้ รอื สถานการณ์ ปัญหาทก่ี าหนดให้ การใชค้ าถามสามารถประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ต่างๆของการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนอาจเป็นการถามหน้าชนั้ การถามเมอ่ื นกั เรยี นปฏบิ ตั งิ านกลมุ่ หรอื การดดั แปลงใหเ้ ป็นประเดน็ ใหอ้ ภปิ รายในกลุ่มนกั เรยี นกไ็ ด้ การใชค้ าถามทด่ี จี ะสง่ เสรมิ ให้ นกั เรยี นเกดิ การคดิ และสะทอ้ นออกมาใหเ้ หน็ ความสามารถขนั้ สงู ของนกั เรยี น ไดแ้ ก่ การคดิ ไตรต่ รองและการคดิ สรา้ งสรรคไ์ ด้ ซง่ึ เป็นจุดมงุ่ หมายสาคญั ของการสอนคณติ ศาสตร์ การจดั กจิ กรรมการเรยี นทใ่ี หน้ กั เรยี นสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง มจี ดุ มงุ่ หมายทส่ี าคญั เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรทู้ ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพหรอื ใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรสู้ งู สดุ เตม็ ศกั ยภาพ ของแต่ละบคุ คล การเรยี นรแู้ บบสรา้ งความรเู้ ป็นการเรยี นรทู้ เ่ี น้นใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นรว่ มมากทส่ี ุด กล่มุ เพอ่ื นเป็นปัจจยั เบอ้ื งตน้ ทส่ี าคญั ในการทางานกลุ่ม ซง่ึ นกั เรยี นจะส่อื ความหมายไดโ้ ดยงา่ ย ใชภ้ าษาทส่ี อดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั ในปัจจบุ นั การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน จงึ จาเป็นตอ้ ง ลดบทบาทของครผู สู้ อนจากการบอกความรมู้ าเป็นผจู้ ดั กจิ กรรมกระตุน้ แนะนาใหก้ บั นกั เรยี นได้ รว่ มกนั ทากจิ กรรมใหม้ ากทส่ี ดุ เพ่อื ใหส้ ามารถสรปุ เป็นองคค์ วามรทู้ ส่ี าคญั ในเรอ่ื งนนั้ ๆได้
37 4.6 บทบาทของครผู สู้ อนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ 4.6.1 บทบาทของครผู สู้ อนตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มน์ นั้ ควรใช้ หลกั การสอน 12 ประการ ดงั น้ี (สมศรี คงวงศ,์ 2542) 4.6.1.1 ครผู สู้ อนตอ้ งยอมรบั ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลของนกั เรยี นและ ใชค้ าถามกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นใชก้ ระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหาเพอ่ื ก่อใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ เพอ่ื ชว่ ยให้ นกั เรยี นไดค้ ดิ และแกป้ ัญหา 4.6.1.2 ครผู สู้ อนจะตอ้ งใชแ้ หล่งขอ้ มลู หรอื วตั ถุดบิ ทอ่ี ยรู่ อบๆตวั นกั เรยี น มาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นไดเ้ รยี นรู้ 4.6.1.3 เมอ่ื มอบหมายงานใหน้ กั เรยี นทา ครผู สู้ อนตอ้ งใชค้ าถามทท่ี าให้ นกั เรยี นเกดิ ความคดิ และสตปิ ัญญา เช่น \"ใหจ้ าแนก\" \"ใหว้ เิ คราะห\"์ \"ใหท้ านาย\" และ \"ให้ สรา้ งสรรค\"์ 4.6.1.4 ครผู สู้ อนจะตอ้ งอนุญาตใหน้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสแสดงความคดิ เหน็ ความรสู้ กึ นึกคดิ ทม่ี ตี ่อบทเรยี นวธิ สี อนและเน้อื หาวชิ า 4.6.1.5 ครผู สู้ อนจะตอ้ งพยายามทาความเขา้ ใจความคดิ รวบยอดของ นกั เรยี นก่อนทจ่ี ะรว่ มแสดงความคดิ เหน็ ของครผู สู้ อนเอง 4.6.1.6 ครผู สู้ อนจะตอ้ งกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสสนทนา เพ่อื แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ทงั้ กบั เพ่อื นนกั เรยี นดว้ ยกนั และกบั ครผู สู้ อน 4.6.1.7 ครผู สู้ อนจะตอ้ งกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ โดยครผู สู้ อน ใชค้ าถามทส่ี มเหตุสมผล ใชค้ าถามปลายเปิดและส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นไดถ้ ามคาถามกบั เพ่อื น นกั เรยี นดว้ ยกนั 4.6.1.8 ครผู สู้ อนจะตอ้ งพยายามชว่ ยใหน้ กั เรยี นไดแ้ กไ้ ขขอ้ ผดิ พลาด ดว้ ยตวั เอง 4.6.1.9 ครผู สู้ อนจะตอ้ งใหค้ วามสนใจประสบการณ์เดมิ ของนกั เรยี น เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดน้ ามาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ในการแกโ้ จทยป์ ัญหาเพ่อื การตรวจและกระตุน้ ให้ นกั เรยี นไดร้ ว่ มอภปิ รายวธิ กี ารแกป้ ัญหา 4.6.1.10 ครผู สู้ อนจะตอ้ งใหเ้ วลากบั นกั เรยี น เพ่อื รอคาตอบหลงั จากทใ่ี ช้ คาถามหรอื เสนอสถานการณ์ปัญหา 4.6.1.11 ครผู สู้ อนจะตอ้ งใหเ้ วลากบั นกั เรยี น เพ่อื หาความสมั พนั ธ์ ระหว่างความรเู้ ดมิ กบั ความรใู้ หมข่ องนกั เรยี น 4.6.1.12 ครผู สู้ อนจะตอ้ งตอบสนองความอยากรอู้ ยากเหน็ ของนกั เรยี น ในทกุ ๆสถานการณ์
38 4.6.2 กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยนาแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ มาใชใ้ นการเรยี นการสอนอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพดว้ ยวธิ กี าร ดงั น้ี (ไพจติ ร สดวกการ, 2539) 4.6.2.1 ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นมอี สิ ระในการใชค้ วามคดิ 4.6.2.2 สงั เกตพฒั นาการความกา้ วหน้าของนกั เรยี น โดยครผู สู้ อนเป็น ผจู้ ดบนั ทกึ ผลการเรยี นของนกั เรยี นทุกระยะ 4.6.2.3 บนั ทกึ ความกา้ วหน้าทางการเรยี นของนกั เรยี นจากแบบฝึกหดั ผลงาน การแสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นทม่ี ตี ่อการเรยี นการสอนในแต่ละครงั้ และบนั ทกึ การสงั เกตอยา่ งไมเ่ ป็นทางการเกย่ี วกบั นกั เรยี นแต่ละคน 4.6.2.4 ศกึ ษาวธิ กี ารแยกแยะปัญหาของนกั เรยี นจากการเขยี นรายงานถงึ วธิ กี ารแกป้ ัญหาของนกั เรยี นแต่ละคน 4.6.2.5 ส่งเสรมิ การทางานกลมุ่ ยอ่ ยและมกี ารอภปิ รายรว่ มกนั 4.6.2.6 บอกจดุ มงุ่ หมายและวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นก่อนสอนทุกครงั้ แนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มท์ น่ี ามาใชใ้ นการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ จะช่วยใหค้ รผู สู้ อนทราบถงึ ความคดิ ของนกั เรยี นว่าคดิ อยา่ งไร ความคดิ นนั้ เป็นความคดิ ท่ี ผดิ หรอื ถูก ช่วยใหค้ รผู สู้ อนไดเ้ ขา้ ใจถงึ ความคดิ ทน่ี กั เรยี นใชแ้ ละวธิ กี ารเรยี นรขู้ องนกั เรยี น จากการเขยี นผลสะทอ้ นเกย่ี วกบั การจดั กระทากบั ส่อื รปู ธรรมและการแบง่ กลมุ่ ยอ่ ยใน การแกป้ ัญหา สรปุ แนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ซง่ึ เป็นแนวคดิ ทเ่ี ช่อื ว่าความรทู้ ด่ี ที ส่ี ดุ เกดิ จากนกั เรยี นไดส้ รา้ งความรดู้ ว้ ยตวั ของนกั เรยี นเอง ดงั นนั้ ในการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ จงึ เน้นใหน้ กั เรยี นเป็นผทู้ ม่ี บี ทบาทในการกระทาไดจ้ ดั กระทากบั ส่อื รปู ธรรม ไดพ้ ดู อธบิ าย มโนทศั น์ดว้ ยตนเอง มกี ารอภปิ รายในกลุ่มยอ่ ยและครผู สู้ อนมบี ทบาทในการจดั สภาพแวดลอ้ ม พรอ้ มทงั้ สงั เกตศกึ ษาพฒั นาการความคดิ หรอื ความเขา้ ใจจากการบนั ทกึ การสมั ภาษณ์หรอื ผลงานของนกั เรยี น ซง่ึ สามารถสะทอ้ นผลถงึ ความสามารถของนกั เรยี นไดอ้ ยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ 4.7 บรรยากาศของห้องเรียนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ 4.7.1 บรรยากาศของหอ้ งเรยี นตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ มดี งั น้ี (ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื , 2543) 4.7.1.1 การสอนเรม่ิ จากภาพรวมไปยงั รายละเอยี ดยอ่ ยๆ โดยเน้นท่ี ความคดิ รวบยอด
39 4.7.1.2 ยดึ แนวทางทจ่ี ะใหน้ กั เรยี นแสวงหาคาตอบจากคาถาม 4.7.1.3 กจิ กรรมการเรยี นการสอนเน้นทแ่ี หลง่ ขอ้ มลู และสงิ่ ทอ่ี ยรู่ อบตวั นกั เรยี น 4.7.1.4 นกั เรยี นเปรยี บเสมอื นหน่งึ นกั คดิ คน้ ทฤษฎดี ว้ ยตวั นกั เรยี นเอง 4.7.1.5 ครผู สู้ อนทาหน้าทเ่ี ป็นผกู้ ระตุน้ ส่งเสรมิ และจดั สภาพแวดลอ้ มท่ี เหมาะสมใหก้ บั นกั เรยี น 4.7.1.6 ครผู สู้ อนทาหน้าทค่ี น้ หาความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นเพ่อื จะไดเ้ ขา้ ใจ ความคดิ รวบยอดของนกั เรยี นเพอ่ื นาไปใชป้ ระกอบการเรยี น 4.7.1.7 การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี นของนกั เรยี นไมส่ ามารถแยก ออกจากการสอนได้ ครผู สู้ อนใชว้ ธิ กี ารสงั เกตการทางานของนกั เรยี น การจดั นทิ รรศการของ นกั เรยี นและการเลอื กชน้ิ งานทด่ี ที ส่ี ดุ ของนกั เรยี นดว้ ยตวั นกั เรยี นเอง 4.7.1.8 นกั เรยี นส่วนใหญ่ทางานเป็นกลุ่ม 4.7.2 หอ้ งเรยี นทใ่ี ชต้ ามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มจ์ ะมลี กั ษณะ ดงั น้ี (เฉิดศกั ดิ ์ชมุ นุม, 2540) 4.7.2.1 ครผู สู้ อนยอมรบั ส่งเสรมิ การรเิ รม่ิ และการเป็นตวั ของตวั เอง ของนกั เรยี น การทค่ี รผู สู้ อนใหก้ ารยอมรบั ความคดิ ของนกั เรยี นและสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นใช้ ความคดิ โดยอสิ ระนนั้ จะเป็นการช่วยใหน้ กั เรยี นไดพ้ ฒั นาความมเี อกลกั ษณ์ทางดา้ นวชิ าการ เฉพาะตวั นกั เรยี นทต่ี งั้ คาถามและประเดน็ แลว้ ทาการวเิ คราะหแ์ ละหาคาตอบดว้ ยตนเองจะ เป็นคนทร่ี บั ผดิ ชอบทจ่ี ะหาความรแู้ ละแกป้ ัญหา 4.7.2.2 ครผู สู้ อนตงั้ คาถามประเภทปลายเปิดและทง้ิ ช่วงเวลาใหน้ กั เรยี น ตอบเพราะความคดิ ทล่ี กึ ซง้ึ ตอ้ งใชเ้ วลาและจะเกดิ ขน้ึ จากการไดฟ้ ังความคดิ เหน็ ของคนอ่นื ซง่ึ ลกั ษณะคาถาม ลกั ษณะคาตอบจากนกั เรยี นจะมสี ว่ นส่งเสรมิ การเรยี นรขู้ องนกั เรยี น 4.7.2.3 ครผู สู้ อนส่งเสรมิ ความคดิ ซง่ึ มคี วามซบั ซอ้ นขน้ึ ครผู สู้ อนใน แนวคดิ น้จี ะกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นไมใ่ หพ้ อใจแค่เพยี งความรอู้ ยา่ งงา่ ยๆแต่ใหส้ ามารถเช่อื มโยง และสรปุ ความคดิ รวบยอดต่างๆ โดยการวเิ คราะห์ ทานายและใหค้ าอธบิ ายความคดิ ของ นกั เรยี นเองได้ 4.7.2.4 นกั เรยี นมกี ารแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ในลกั ษณะแลกเปลย่ี นกบั ครผู สู้ อนและกบั เพ่อื นนกั เรยี นความคดิ ของนกั เรยี นทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปหรอื มนั่ คงขน้ึ เมอ่ื ได้ ทดสอบความคดิ นนั้ ในสงั คม เมอ่ื นกั เรยี นมโี อกาสแสดงความคดิ ของตนและไดย้ นิ ความคดิ ของ คนอ่นื นกั เรยี นจะมพี น้ื ฐานความรทู้ เ่ี ขา้ ใจได้ นกั เรยี นมโี อกาสทจ่ี ะแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ เพ่อื ใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ อยา่ งมคี วามหมาย
40 4.7.2.5 ครผู สู้ อนจดั โอกาสใหน้ กั เรยี นไดร้ บั ประสบการณ์ทจ่ี ะทดสอบ ขอ้ สงสยั และกระตุน้ การอภปิ ราย ถา้ หากใหน้ กั เรยี นมโี อกาสทจ่ี ะทานายเกย่ี วกบั ปรากฎการณ์ ธรรมชาตแิ ต่ละคนจะตงั้ สมมตฐิ านไวแ้ ตกต่างกนั ครผู สู้ อนทม่ี คี วามคดิ ตามแนวคดิ น้จี ะเปิด โอกาสใหน้ กั เรยี นทาการทดสอบสมมตฐิ านเหล่านนั้ จากการอภปิ รายประเด็นทเ่ี ป็นรปู ธรรม 4.7.2.6 ครผู สู้ อนใหข้ อ้ มลู ดบิ จากแหล่งปฐมภมู ใิ หน้ กั เรยี นมโี อกาส เคลอ่ื นไหวใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์ รวมทงั้ สอ่ื การสอนและประเภททม่ี กี ระบวนการตอ้ งปฏสิ มั พนั ธ์ (Interaction) ครผู สู้ อนทย่ี ดึ แนวคดิ น้ี ทาใหน้ กั เรยี นไดเ้ รยี นในสภาพแห่งความเป็นจรงิ แลว้ ชว่ ยใหน้ กั เรยี นสามารถเชอ่ื มโยงปรากฏการณ์ต่างๆโดยใชค้ วามคดิ การนาแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มม์ าใชใ้ นการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ จะ ชว่ ยใหค้ รผู สู้ อนทราบถงึ ความคดิ ของนกั เรยี นวา่ คดิ อย่างไร ไมว่ า่ ความคดิ นนั้ จะเป็นความคดิ ทผ่ี ดิ หรอื ถูก คาตอบของนกั เรยี นซง่ึ คลาดเคลอ่ื นไปจากคาตอบทค่ี รผู สู้ อนคาดหวงั อาจเป็นสง่ิ ทม่ี เี หตุผลและถูกตอ้ งในฐานะทเ่ี ป็นทางเลอื กอกี ทางหน่งึ ครผู สู้ อนตอ้ งเปิดโอกาสนกั เรยี นได้ ชแ้ี จงและครผู สู้ อนตอ้ งระลกึ อยเู่ สมอวา่ คาตอบทค่ี ลาดเคลอ่ื นของนกั เรยี นเป็นสงิ่ ทม่ี คี ่า สาหรบั ครผู สู้ อน ในการตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นและพจิ ารณาปรบั เปลย่ี นตามความเหมาะสม ช่วยใหค้ รผู สู้ อนเขา้ ใจถงึ ความคดิ ทน่ี กั เรยี นใชแ้ ละวธิ กี ารเรยี นรขู้ องนกั เรยี น เน่อื งจากนกั เรยี น เป็นผสู้ รา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง กจิ กรรมทใ่ี ชส้ ว่ นใหญ่ภายในหอ้ งเรยี นจะดาเนินไปดว้ ยตวั ของ นกั เรยี นเอง ดงั นัน้ บทบาทครผู สู้ อนในทรรศนะของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ หมายถงึ ผอู้ านวย ความสะดวกใหน้ กั เรยี นเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองมากกวา่ ทจ่ี ะเป็นผบู้ อกความรู้ โดยครผู สู้ อนทาหน้าท่ี เป็นเพยี งพเ่ี ลย้ี งมากกว่าผบู้ อกเล่า ทงั้ น้โี ดยครผู สู้ อนจะเป็นผรู้ วบรวมสอ่ื การสอนเอกสารต่างๆ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดใ้ ชอ้ ้างองิ จดั กจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั บทเรยี นหรอื แนวคดิ ทต่ี อ้ งการให้ นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรแู้ ละชแ้ี นะนกั เรยี นบางโอกาส เพ่อื ใหน้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสใชค้ วามคดิ ของ ตนเองอยา่ งเตม็ ท่ี ครผู สู้ อนจะตอ้ งตระหนกั ถงึ โครงสรา้ งทางปัญญาและประสบการณ์เดมิ ของ นกั เรยี น ทงั้ ประสบการณ์ทน่ี กั เรยี นไดร้ บั จากโรงเรยี นและประสบการณ์ในชวี ติ ประจาวนั นอกโรงเรยี น เพอ่ื จะไดใ้ ชส้ ง่ิ เหลา่ น้เี ป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของการสรา้ งโครงสรา้ งใหมท่ างปัญญาและ ครผู สู้ อนไมค่ วรปฏเิ สธกลวธิ กี ารเรยี นรขู้ องนกั เรยี นทใ่ี ชไ้ ดจ้ รงิ ๆสาหรบั ตวั นกั เรยี นเอง
41 5. ทกั ษะการแก้ปัญหา 5.1 ความหมายและความสาคญั การแกป้ ัญหา (Problem Solving) คอื กระบวนการประยกุ ตน์ าหลกั เกณฑค์ วามรู้ ทม่ี อี ยไู่ ปใชแ้ ก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ (วลั ลภา อารรี ตั น์, 2528 : 36) เป็นกระบวนการ ทางสมองทซ่ี บั ซอ้ นทต่ี อ้ งอาศยั ความรพู้ น้ื ฐาน ความคดิ รวบยอดและทกั ษะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหานนั้ ๆเป็นกระบวนการทต่ี อ้ งใชเ้ วลานานเพ่อื ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความเขา้ ใจและการแกป้ ัญหา ในวชิ าคณติ ศาสตรเ์ ป็นรปู แบบหน่งึ ของการแก้ปัญหา ทต่ี อ้ งใชห้ ลกั การและกฎเกณฑท์ าง คณติ ศาสตร์ รวมทงั้ ประสบการณ์เดมิ ของนกั เรยี นมาประมวลเขา้ กบั สถานการณ์ปัญหาใหม่ เพ่อื ใหไ้ ดค้ าตอบของปัญหาทต่ี อ้ งการ (ปรชี า เนาวเ์ ยน็ ผล, 2537 : 53) โจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ คอื โจทยภ์ าษาหรอื โจทยเ์ รอ่ื งราวหรอื โจทยเ์ ชงิ สนทนา ทไ่ี มค่ ุน้ เคยประกอบดว้ ยสถานการณ์ทเ่ี ป็นขอ้ ความและตวั เลขโดยตอ้ งการคานวณเชงิ ปรมิ าณ ตวั เลขหรอื คาอธบิ ายใหเ้ หตุผล ซง่ึ ผแู้ กป้ ัญหาตอ้ งคน้ หาวา่ ใชว้ ธิ กี ารใดแกโ้ จทยป์ ัญหา เป้าหมายสงู สุดของหลกั สตู รการสอนคณติ ศาสตรท์ วั่ โลก คอื พฒั นาทกั ษะ การแกป้ ัญหา (น้อมศรี เคท, 2526 : 65) ซง่ึ ประเทศไทยไดก้ าหนดวตั ถุประสงคข์ อง วชิ าคณติ ศาสตรต์ ามหลกั สูตรมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ พุทธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2533) ดงั น้ี 5.1.1 เพอ่ื ใหม้ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจในวชิ าคณติ ศาสตร์ ขอ้ มลู ทป่ี รากฏใน สงิ่ แวดลอ้ มสามารถคดิ อยา่ งมเี หตุผลและใชเ้ หตุผลในการแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งมรี ะบบ ระเบยี บชดั เจนรดั กุม 5.1.2 เพ่อื ใหม้ ที กั ษะในการคดิ คานวณ 5.1.3 เพอ่ื ใหเ้ หน็ ประโยชน์ของวชิ าคณติ ศาสตรท์ ม่ี ตี ่อชวี ติ ประจาวนั และท่ี เป็นเครอ่ื งมอื แสวงหาความรู้ 5.1.4 เพ่อื ใหส้ ามารถนาความรคู้ วามเขา้ ใจและทกั ษะคณติ ศาสตรไ์ ปใช้ ในชวี ติ ประจาวนั และเป็นพน้ื ฐานในการศกึ ษาคณติ ศาสตรแ์ ละวชิ าอ่นื ๆ จากการวเิ คราะหจ์ ดุ ประสงคท์ งั้ 4 ขอ้ พบวา่ เป็นจดุ ประสงคท์ ม่ี เี ป้าหมายเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เป็นผทู้ ม่ี ที กั ษะการแกป้ ัญหาเป็นประเดน็ สาคญั ดงั นนั้ ในการจดั การเรยี นการสอนคณติ ศาสตรจ์ งึ จาเป็นตอ้ งเน้นการพฒั นาทกั ษะการแกป้ ัญหา โดย จะตอ้ งปรบั ปรงุ วธิ กี ารสอน กาหนดโจทยป์ ัญหาใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั โดยให้ นกั เรยี นเป็นศูนยก์ ลางของการเรยี นรแู้ ละเรยี นรโู้ ดยการคน้ พบหรอื การรว่ มมอื ของเพ่อื นในหอ้ ง โดยครผู สู้ อนมบี ทบาทเป็นเพยี งผคู้ อยใหค้ าแนะนาในสง่ิ ทเ่ี ป็นปัญหาและชว่ ยพจิ ารณาแกไ้ ขใน สว่ นทน่ี กั เรยี นบกพรอ่ ง
42 5.2 รปู แบบของโจทยป์ ัญหา รปู แบบของโจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตรแ์ บ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื (สุนยี ์ เหมะประสทิ ธ,ิ ์ 2533 ) 5.2.1 โจทยป์ ัญหาปกติ คอื โจทยป์ ัญหาทม่ี งุ่ ฝึกทกั ษะใดทกั ษะหน่งึ ใช้ หลกั การและกฎเกณฑท์ างคณติ ศาสตรท์ ไ่ี มย่ งุ่ ยาก มขี อ้ มลู ทจ่ี าเป็นและมคี าตอบถูกเพยี ง คาตอบเดยี ว 5.2.2 โจทยป์ ัญหาไมป่ กตเิ ป็นโจทยป์ ัญหาทส่ี อดคลอ้ งกบั สภาพความเป็นจรงิ มขี อ้ มลู ทงั้ จาเป็นและไมจ่ าเป็นใชห้ ลกั การและกฎเกณฑท์ ซ่ี บั ซอ้ นเน้นกระบวนการคดิ วเิ คราะห์ อยา่ งมเี หตุผล คาตอบอาจจะมมี ากกว่า 1 คาตอบกไ็ ด้ 5.3 ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ปัญหาทางคณติ ศาสตรอ์ อกเป็น 2 ประเภท คอื (ปรชี า เนาวเ์ ยน็ ผล, 2537 : 62) 5.3.1 ปัญหาใหค้ น้ หาเป็นปัญหาใหค้ น้ คาตอบทอ่ี ยใู่ นรปู ปรมิ าณ จานวนหรอื วธิ กี ารคาอธบิ ายใหเ้ หตุผล 5.3.2 ปัญหาใหพ้ สิ จู น์เป็นปัญหาใหแ้ สดงการใหเ้ หตุผลว่าขอ้ ความทก่ี าหนดให้ เป็นจรงิ หรอื เป็นเทจ็ 5.4 กระบวนการแก้ปัญหา (Problem solving Process) กระบวนการแกป้ ัญหามบี ทบาททส่ี าคญั ในการพฒั นาคณติ ศาสตรเ์ พราะคาตอบทไ่ี ด้ จากกระบวนการแกป้ ัญหาจะทาใหเ้ กดิ ขอ้ คน้ พบใหมแ่ ละสามารถประยกุ ตไ์ ปใชก้ บั ปัญหาอ่นื ๆ ได้ และรปู แบบการแกป้ ัญหาของโพลยาทใ่ี ชโ้ ดยทวั่ ไปมกั จะเหน็ กระบวนการแก้ปัญหาทเ่ี ป็น รปู เชงิ เสน้ โดยเรม่ิ ตน้ จากการอ่านปัญหา การทาความเขา้ ใจปัญหา การวางแผนการแกป้ ัญหา การดาเนินการแกป้ ัญหาและการตรวจสอบผล การเรยี งลาดบั ขนั้ ตอน เพ่อื ใหไ้ ดค้ าตอบท่ี ถกู ตอ้ ง ซง่ึ ตอ้ งชใ้ี หเ้ หน็ ขอ้ บกพรอ่ งของการคดิ ตามขนั้ ตอน คอื ทาใหเ้ ขา้ ใจว่ากระบวนการ แกป้ ัญหาเป็นกระบวนการในแนวเสน้ ตรงจะตอ้ งดาเนินการตามขนั้ ตอนจะไดค้ าตอบ ทาให้ นกั เรยี นเกดิ การจากระบวนการ ขนั้ ตอนมากกกวา่ คดิ แกป้ ัญหาเชงิ สรา้ งสรรคแ์ ละเกดิ ความ เขา้ ใจวา่ การแก้ปัญหาขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยจะไดผ้ ลลพั ธ์ คอื คาตอบทถ่ี ูกตอ้ งเพยี งคาตอบเดยี ว เท่านัน้ วลิ สนั และคณะ (Wilson and Others, 1993 : 60 - 63) ไดเ้ สนอรปู แบบกระบวนการ แกป้ ัญหาทเ่ี ป็นพลวตั ร (Dynamic) ตามแนวคดิ ของโพลยาตามภาพประกอบท่ี 4 (Wilson and Others, 1993 : 60 - 63)
43 ทาความเขา้ ใจปัญหา ตรวจสอบผล กระบวนการจดั การกจิ กรรมการสอน วางแผนการแกป้ ัญหา ดาเนินการแกป้ ัญหา ภาพประกอบท่ี 4 ทกั ษะการแกป้ ัญหาทแ่ี สดงความเป็นพลวตั รของโพลยา 5.5 องคป์ ระกอบที่ส่งผลต่อความสามารถในการแก้ปัญหา ปรชี า เนาวเ์ ยน็ ผล (2537 : 64 - 66) ไดเ้ สนอองคป์ ระกอบทส่ี ง่ ผลต่อความสามารถ ในการแกป้ ัญหาทางคณติ ศาสตร์ 5 ประการ คอื 5.5.1 ความสามารถในการทาความเขา้ ใจปัญหามที กั ษะทเ่ี กย่ี วขอ้ ง คอื ทกั ษะ การอ่านและทกั ษะการฟัง โดยแยกแยะประเดน็ สาคญั ว่าปัญหากาหนดอะไรใหแ้ ละตอ้ งการให้ หาอะไรมขี อ้ มลู ใดบา้ งทจ่ี าเป็นและไม่จาเป็น 5.5.2 ทกั ษะในการแกป้ ัญหาเกดิ จากการฝึกทกั ษะการแกป้ ัญหา จนกระทงั่ มี ความชานาญกบั รปู แบบการแกป้ ัญหา ดงั นนั้ เมอ่ื เผชญิ ปัญหาใหมจ่ งึ สามารถเชอ่ื มโยงนาวธิ กี าร ไปใชแ้ กป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 5.5.3 ความสามารถในการคดิ คานวณและความสามารถในการใหเ้ หตุผล แมว้ า่ นกั เรยี นจะแกป้ ัญหาไดแ้ ต่ถา้ การคานวณผดิ พลาดถอื วา่ การแกป้ ัญหาไม่ประสบ ความสาเรจ็ สาหรบั ปัญหาทต่ี อ้ งการคาอธบิ ายใหเ้ หตุผล นกั เรยี นจะตอ้ งอาศยั ทกั ษะพน้ื ฐาน ในการเขยี นการพดู มคี วามเขา้ ใจในกระบวนการใหเ้ หตุผลทางคณติ ศาสตร์
44 5.5.4 แรงขบั เน่อื งจากปัญหาเป็นสถานการณ์ทแ่ี ปลกใหมต่ อ้ งอาศยั ความสามารถสงู ดงั นนั้ นกั เรยี นจงึ ตอ้ งอาศยั แรงขบั ทจ่ี ะสรา้ งพลงั ในการคดิ ไดแ้ ก่ เจตคติ ความสนใจ อตั มโนทศั น์หรอื แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ ์ฯลฯ เพ่อื ใชใ้ นการแก้ปัญหา 5.5.5 ความยดื หยนุ่ การแกป้ ัญหาทด่ี ตี อ้ งยดื หยนุ่ ในการคดิ ไมย่ ดึ ตดิ รปู แบบ ทค่ี ุน้ เคย ยอมรบั รปู แบบและวธิ กี ารใหมๆ่ เพราะความยดื หยนุ่ เป็นความสามารถในการปรบั กระบวนการคดิ แก้ปัญหา โดยบรู ณาการความเขา้ ใจทกั ษะและความสามารถในการแกป้ ัญหา ซง่ึ แรงขบั ทม่ี อี ยจู่ ะเช่อื มโยงกบั สถานการณ์ใหมส่ รา้ งเป็นองคค์ วามรทู้ ส่ี ามารถนาไปใชใ้ นการ แกป้ ัญหาใหม่ 5.6 การพฒั นาความสามารถในการแก้ปัญหา การพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาคณติ ศาสตร์ โดยประยกุ ตข์ นั้ ตอน การแกป้ ัญหาของโพลยามาเป็นวธิ กี ารพฒั นา ดงั น้ี (ปรชี า เนาวเ์ ยน็ ผล, 2537 : 66 - 74) 5.6.1 พฒั นาความสามารถในการเขา้ ใจปัญหา 5.6.1.1 การพฒั นาทกั ษะการอ่าน โดยการวเิ คราะหค์ วามสาคญั ความเขา้ ใจในปัญหารายบคุ คลหรอื กลุ่ม 5.6.1.2 การใชก้ ลวธิ เี พอ่ื เพม่ิ พนู ความเขา้ ใจ 1) การเขยี นภาพ แผนภาพหรอื แบบจาลอง เพอ่ื แสดงความสมั พนั ธ์ ของขอ้ มลู ซง่ึ จะชว่ ยทาใหข้ อ้ มลู มคี วามเป็นรปู ธรรมทาความเขา้ ใจไดง้ า่ ยขน้ึ 2) ลดปรมิ าณทก่ี าหนดในปัญหาใหน้ ้อยลง เพอ่ื เน้นโครงสรา้ งของ ปัญหามคี วามชดั เจนขน้ึ โดยคานึงถงึ ความเป็นไปไดแ้ ละความมเี หตุมผี ล 3) การยกตวั อยา่ งทส่ี อดคลอ้ งกบั ปัญหา 4) การเปลย่ี นแปลงสถานการณ์ใหเ้ ป็นเรอ่ื งทส่ี อดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั 5.6.1.3 การใชป้ ัญหาทใ่ี กลเ้ คยี งกบั ชวี ติ ประจาวนั 5.6.2 การพฒั นาความสามารถในการวางแผน ถา้ โจทยป์ ัญหามคี วามซบั ซอ้ น ควรฝึกใหน้ กั เรยี นเขยี นเป็นประโยคสญั ลกั ษณ์หรอื เขยี นลาดบั ขนั้ ตอนการคดิ อยา่ งคร่าวๆก่อนลงมอื ทา ในการพฒั นาความสามารถในวางแผน แกป้ ัญหามแี นวทาง ดงั น้ี 5.6.2.1 ไมบ่ อกวธิ กี ารแก้ปัญหาโดยตรงแต่กระตุน้ โดยใชค้ าถามนาแลว้ ใหน้ กั เรยี นหาคาตอบ
45 5.6.2.2 สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นคดิ ออกมาดงั ๆ สามารถบอกใหผ้ อู้ ่นื ทราบวา่ ตนคดิ อะไรไมใ่ ชค่ ดิ ในใจเงยี บๆการคดิ ออกมาดงั ๆ เชน่ การสนทนาหรอื การเขยี นลาดบั ขนั้ การคดิ ออกมาใหผ้ อู้ ่นื ทราบ 5.6.2.3 สรา้ งลกั ษณะนิสยั ของนกั เรยี นคดิ วางแผนก่อนลงมอื ทา 5.6.2.4 จดั ปัญหาใหน้ กั เรยี นฝึกทกั ษะ ควรเป็นปัญหาทท่ี า้ ทายเหมาะสม กบั ความสามารถไม่ยากหรอื งา่ ยเกนิ ไป 5.6.2.5 ในการแกป้ ัญหาแต่ละปัญหา ควรสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นใชย้ ทุ ธวธิ ใี น การแกป้ ัญหามากกวา่ 1 รปู แบบ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การยดื หยนุ่ ในการคดิ 5.6.3 การพฒั นาความสามารถในการดาเนนิ การตามแผน 5.6.4 การพฒั นาความสามารถในการตรวจสอบผล การตรวจสอบการแกป้ ัญหาทางคณติ ศาสตรค์ รอบคลุมประเดน็ สาคญั 2 ประเดน็ คอื ประเดน็ แรกตรวจสอบขนั้ ตอนตงั้ แต่เรม่ิ ตน้ จนเสรจ็ กระบวนการอกี ครงั้ หน่งึ รวมทงั้ หายทุ ธวธิ อี ่นื ในการแกป้ ัญหา ประเดน็ ทส่ี องตอ้ งมองไปขา้ งหน้าเป็นการใชป้ ระโยชน์ จากกระบวนการแกป้ ัญหา โดยสรา้ งสรรคป์ ัญหาทเ่ี กย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั ขน้ึ มาใหมม่ แี นว ทางการพฒั นา ดงั น้ี 5.6.4.1 กระตุน้ ใหน้ กั เรยี นเหน็ ความสาคญั ของการตรวจสอบคาตอบทไ่ี ด้ ใหเ้ คยชนิ เป็นนสิ ยั 5.6.4.2 ฝึกใหน้ กั เรยี นคาดคะเนคาตอบ 5.6.4.3 ฝึกการตคี วามหมายของคาตอบ 5.6.4.4 สนบั สนุนใหน้ กั เรยี นทาแบบฝึกหดั โดยใชว้ ธิ หี าคาตอบมากกว่า 1 วธิ ี 5.6.4.5 ใหน้ กั เรยี นฝึกสรา้ งโจทยป์ ัญหาเก่ยี วกบั เน้อื หาทเ่ี รยี น แนวคดิ ทน่ี ามาใชใ้ นการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนน้ี ทกั ษะ การแกป้ ัญหาเป็นทกั ษะทห่ี ลายประเทศใหค้ วามสาคญั ในการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ แต่ ยงั ไม่มปี ระเทศใดประสบความสาเรจ็ อยา่ งสมบูรณ์ ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งแสวงหาวธิ ที ด่ี ที ส่ี ดุ เพ่อื สนอง ต่อจดุ ประสงคแ์ ละกระบวนการแกป้ ัญหาทค่ี รผู สู้ อนคณิตศาสตรม์ กั จะนามาใช้ คอื การแกป้ ัญหา ของโพลยาทเ่ี ป็นเชงิ เสน้
46 6. เจตคติ 6.1 ความหมายของเจตคติ แมค็ โดแน็ลด์ (McDonald, 1959 : 564) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ า่ เจตคติ คอื ความโน้มเอยี งหรอื ความพรอ้ มทจ่ี ะแสดงพฤตกิ รรมทางหน่งึ ทางใด ฟิชบายน์ (Fishbein, 1967 : 8) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ า่ เจตคติ คอื สภาพ ความพรอ้ มของสมองและประสาท ซง่ึ มกี ารจดั ระบบประสบการณ์จากอทิ ธพิ ลภายนอกหรอื ภายในทม่ี ตี ่อบุคคลในการทจ่ี ะตอบสนองสง่ิ ใดสงิ่ หน่งึ และต่อสภาพการณ์ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สงิ่ นนั้ กู๊ด (Good, 1973 : 49) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ า่ เจตคติ คอื ความเอนเอยี ง หรอื ความชอบของบุคคลทแ่ี สดงผลเฉพาะไปส่วู ตั ถุ สงิ่ ของ สถานการณ์หรอื คุณคา่ ตามปกติ จะประกอบไปดว้ ยความรสู้ กึ และอารมณ์ ฮอรน์ บี (Hornby, 1974 : 50) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ า่ เจตคติ คอื ทา่ ทหี รอื ความโน้มเอยี งของบคุ คลทม่ี ตี ่อสงิ่ ใดสงิ่ หน่งึ ซง่ึ ประกอบดว้ ยความรสู้ กึ การคดิ และพฤตกิ รรม อนาสตาซี (Anastasi, 1986 : 541) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ ่า เจตคติ คอื ความโน้มเอยี งทแ่ี สดงออกวา่ ชอบหรอื ไมช่ อบต่อสงิ่ นนั้ ๆ เช่น ขนบธรรมเนยี มประเพณี เชอ้ื ชาตแิ ละสถาบนั ต่างๆ เป็นตน้ พรรณี เจนจติ (2528 : 288) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ า่ เจตคติ คอื เรอ่ื งของ ความรสู้ กึ ทงั้ ทพ่ี อใจและไมพ่ อใจทบ่ี ุคคลมตี ่อสงิ่ หน่ึงสง่ิ ใด ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลทาใหแ้ ต่ละคน สนองตอบต่อสง่ิ เรา้ แตกต่างกนั ไป บุญธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ทุ ธิ ์(2535 : 239) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ ่า เจตคติ คอื ท่าทรี วมๆของบุคคลทเ่ี กดิ จากความพรอ้ มหรอื ความโน้มเอยี งของจติ ใจ ซง่ึ แสดงออกต่อสง่ิ เรา้ หน่งึ ๆ เชน่ ต่อวตั ถุ สง่ิ ของและสถานการณ์ต่างๆทส่ี าคญั โดยจะแสดงออกในทางบวก ซง่ึ มี ความรสู้ กึ เหน็ ดเี หน็ ชอบต่อสงิ่ เรา้ นนั้ หรอื แสดงออกในทางลบ ซง่ึ มคี วามรสู้ กึ ไมเ่ หน็ ดเี หน็ ชอบ ต่อสง่ิ เรา้ นนั้ พวงรตั น์ ทวรี ตั น์ (2540 : 106) ใหค้ วามหมายของเจตคตวิ ่า เจตคติ คอื ความรสู้ กึ ของบุคคลต่างๆ อนั เป็นผลเน่อื งมาจากการเรยี นรปู้ ระสบการณ์และเป็นตวั กระตุน้ ใหบ้ ุคคลแสดงพฤตกิ รรมต่อสงิ่ ต่างๆไปในทศิ ทางใดทศิ ทางหน่ึง ซง่ึ อาจเป็นไปในทศิ ทาง สนบั สนุนหรอื ต่อตา้ นกไ็ ด้
47 สุรางค์ โคว้ ตระกูล (2541 : 246) ไดใ้ หค้ วามหมายของเจตคตไิ วว้ ่า เจตคตเิ ป็น อชั ฌาสยั (Disposition) หรอื แนวโน้มทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมสนองตอบต่อสง่ิ แวดลอ้ มหรอื สงิ่ เรา้ ซง่ึ อาจจะเป็นไปไดท้ งั้ คนวตั ถุสงิ่ ของหรอื ความคดิ เจตคตอิ าจจะเป็นบวกหรอื ลบ ถา้ บคุ คลมเี จตคตบิ วกต่อสงิ่ ใดกจ็ ะมพี ฤตกิ รรมทจ่ี ะเผชญิ กบั สงิ่ นนั้ ถา้ มเี จตคตลิ บกจ็ ะหลกี เลย่ี ง เจตคตเิ ป็นสงิ่ ทเ่ี รยี นรแู้ ละเป็นการแสดงออกของคา่ นิยมและความเช่อื ของบุคคล กล่าวโดยสรปุ เจตคติ หมายถงึ การแสดงออกของมนุษย์ ซง่ึ เป็นกรยิ าท่าทรี วมๆ ของบุคคลทเ่ี กดิ จากความพรอ้ มหรอื ความโน้มเอยี งของของจติ ใจภายใน ซง่ึ แสดงออกต่อสง่ิ เรา้ หน่งึ ๆอนั เป็นผลเน่อื งมาจากการเรยี นรปู้ ระสบการณ์ นอกจากน้เี จตคตยิ งั เป็นเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั ความรสู้ กึ นึกคดิ ความเช่อื ความคดิ เหน็ และความรหู้ รอื ความจรงิ รวมทงั้ ความรสู้ กึ ท่ี ประเมนิ ค่าออกมาทงั้ ในทางบวกและทางลบ
48 6.2 องคป์ ระกอบของเจตคติ สาหรบั แนวคดิ เกย่ี วกบั องคป์ ระกอบของเจตคตมิ หี ลายแนวคดิ ทงั้ เหมอื นกนั และ แตกต่างกนั ซง่ึ พอจะรวบรวมแนวคดิ ต่างๆได้ ดงั น้ี 6.2.1 องคป์ ระกอบของเจตคติ มดี งั น้ี (อารี ศรธี ญั พงษ์, 2530 : 19) 6.2.1.1 ดา้ นความรสู้ กึ การทบ่ี คุ คลจะมเี จตคตอิ ยา่ งไร เชน่ ชอบหรอื ไม่ ชอบอะไรกต็ ามนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั ปัจจยั หรอื องคป์ ระกอบทส่ี าคญั ทส่ี ดุ คอื ความรสู้ กึ เพราะความรสู้ กึ จะบ่งชว้ี ่าชอบหรอื ไมช่ อบ เชน่ ความรสู้ กึ ชอบเป็นครหู รอื ไมเ่ ป็นครู เป็นตน้ 6.2.1.2 ดา้ นความรู้ บุคคลจะมเี จตคตอิ ยา่ งไรตอ้ งอาศยั ความรหู้ รอื ประสบการณ์ว่าเคยรจู้ กั หรอื เคยรบั รมู้ าก่อน มฉิ ะนัน้ บคุ คลไมอ่ าจกาหนดความรสู้ กึ เพ่อื ทา่ ทวี า่ ชอบหรอื ไมช่ อบได้ เชน่ บุคคลทบ่ี อกว่าชอบเป็นครหู รอื ไมช่ อบเป็นครนู นั้ จะตอ้ งทราบ เสยี ก่อนว่าครมู บี ทบาทอยา่ งไร มรี ายไดเ้ ท่าไรและจะก้าวหน้าเพยี งใด มฉิ ะนนั้ ไมอ่ าจบอกถงึ เจตคตขิ องตนได้ 6.2.1.3 ดา้ นพฤตกิ รรม บุคคลจะมเี จตคตอิ ยา่ งไรใหส้ งั เกตจากการกระทา หรอื พฤตกิ รรม ถงึ แมว้ ่าพฤตกิ รรมจะเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ของเจตคตแิ ต่ยงั มคี วามสาคญั น้อยกว่าความรสู้ กึ เช่น ยกมอื ไหว้ หรอื กล่าวคาวา่ สวสั ดี แตใ่ นความรสู้ กึ จรงิ ๆนนั้ อาจมไิ ด้ เลอ่ื มใสศรทั ธาเลยกไ็ ด้ 6.2.2 องคป์ ระกอบของเจตคตแิ บง่ ออกเป็น 3 องคป์ ระกอบ คอื ไทรแอนดสิ (Triandis, 1971 : 2 - 3) 6.2.2.1 องคป์ ระกอบดา้ นความคดิ ความเขา้ ใจ หมายถงึ ความเชอ่ื ความรู้ ความคดิ และความคดิ เหน็ ของบคุ คลทม่ี ตี ่อเป้าหมายของเจตคติ 6.2.2.2 องคป์ ระกอบดา้ นความรสู้ กึ หมายถงึ ความรสู้ กึ ชอบหรอื ไมช่ อบ หรอื ท่าทดี หี รอื ไมด่ ี ทบ่ี ุคคลมตี ่อเป้าหมายของเจตคติ 6.2.2.3 องคป์ ระกอบดา้ นพฤตกิ รรม หมายถงึ ความพรอ้ มหรอื แนวโน้มท่ี บุคคลจะปฏบิ ตั ติ ่อเป้าหมายของเจตคติ 6.2.3 องคป์ ระกอบของเจตคตแิ บง่ ออกเป็น 3 องคป์ ระกอบ คอื ชาเวอร์ (Shaver, 1977 : 168) 6.2.3.1 องคป์ ระกอบดา้ นความรู้ หมายถงึ เน้อื หา สาระ รายละเอยี ด เกย่ี วกบั สงิ่ นนั้ ๆแลว้ ยงั รวมถงึ ความเช่อื เกย่ี วกบั สง่ิ นนั้ ดว้ ย 6.2.3.2 องคป์ ระกอบทางดา้ นความรสู้ กึ จะประกอบไปดว้ ย ค่านิยม อารมณ์ ตลอดจนประสบการณ์ของบคุ คลทน่ี าไปประเมนิ คา่ สงิ่ นนั้ ว่ามลี กั ษณะเป็นบวกหรอื เป็นลบ
49 6.2.3.3 องคป์ ระกอบดา้ นแนวโน้มของพฤตกิ รรมจะเป็นเรอ่ื งของ ความพรอ้ มทจ่ี ะตอบสนอง ซง่ึ จะประกอบไปดว้ ยความเช่อื และการประเมนิ ค่าสงิ่ นนั้ 6.2.4 การแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างองคป์ ระกอบได้ ตามแผนภาพประกอบ ท่ี 5 (Eiser, 1980 : 46 - 47) การวดั ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรแทรก การวดั ตวั แปรตาม สง่ิ เรา้ ,บุคคล เจตคติ ความรสู้ กึ การตอบสนองโดยประสาทอตั โนมตั ิ สถานการณ์, การรู้ คาพดู ทแ่ี สดงความรสู้ กึ กลมุ่ และ ทห่ี มายอ่นื ๆ พฤตกิ รรม การตอบสนองการรบั รู้ ของเจตคติ คาพดู ทแ่ี สดงถงึ ความเช่อื ปฏกิ ริ ยิ าทแ่ี สดงออก คาพดู ทเ่ี กย่ี วกบั การปฏบิ ตั ิ ภาพประกอบท่ี 5 องคป์ ระกอบของเจตคติ 6.3 ลกั ษณะของเจตคติ ลกั ษณะของเจตคติ มดี งั น้ี (สุรางค์ โคว้ ตระกูล, 2541 : 246) 6.3.1 เจตคตเิ ป็นสง่ิ ทเ่ี รยี นรู้ 6.3.2 เจตคตเิ ป็นแรงจงู ใจทจ่ี ะทาใหบ้ คุ คลกลา้ เผชญิ กบั สง่ิ เรา้ หรอื หลกี เลย่ี ง ดงั นนั้ เจตคตจิ งึ มที งั้ บวกและลบ เช่น ถา้ นกั เรยี นมเี จตคตบิ วกตอ่ วชิ าคณติ ศาสตร์ นกั เรยี น จะชอบเรยี นคณติ ศาสตรแ์ ละเมอ่ื อยชู่ นั้ มธั ยมศกึ ษากจ็ ะเลอื กเรยี นแขนงวทิ ยาศาสตร์ ตรงขา้ ม กบั นกั เรยี นทม่ี เี จตคตลิ บต่อคณติ ศาสตรจ์ ะไมช่ อบหรอื ไมม่ แี รงจงู ใจทจ่ี ะเรยี น เมอ่ื อยชู่ นั้ มธั ยมศกึ ษากจ็ ะเลอื กทางสายอกั ษรศาสตรท์ างภาษา เป็นตน้ 6.3.3 เจตคตมิ อี งคป์ ระกอบ 3 อยา่ ง คอื องคป์ ระกอบดา้ นความรสู้ กึ องคป์ ระกอบดา้ นความคดิ ความเขา้ ใจและองคป์ ระกอบดา้ นพฤตกิ รรม
50 6.3.4 เจตคตเิ ปลย่ี นแปลงไดแ้ ต่ตอ้ งอาศยั ระยะเวลา การเปลย่ี นแปลงเจตคติ อาจจะเปลย่ี นแปลงจากบวกเป็นลบหรอื จากลบเป็นบวกซง่ึ บางครงั้ เรยี กวา่ การเปลย่ี นแปลง ทศิ ทางของเจตคตหิ รอื อาจจะเปลย่ี นแปลงความเขม้ (Intensity) หรอื ความมากน้อย เจตคติ บางอยา่ งอาจจะหยดุ เลกิ ไปได้ 6.3.5 เจตคตเิ ปลย่ี นแปรตามชุมชนหรอื สงั คมทบ่ี ุคคลนนั้ เป็นสมาชกิ เน่อื งจาก ชมุ ชนหรอื สงั คมหน่งึ ๆอาจมคี า่ นิยมทเ่ี ป็นอุดมการณ์พเิ ศษเฉพาะ ดงั นนั้ ค่านยิ มเหลา่ น้มี อี ทิ ธพิ ล ต่อเจตคตขิ องบุคคลทเ่ี ป็นสมาชกิ ในกรณที ต่ี อ้ งการเปลย่ี นเจตคตจิ ะตอ้ งเปล่ยี นคา่ นิยม 6.3.6 สงั คมประกติ (Socialization) มคี วามสาคญั ต่อพฒั นาการเจตคตขิ องเดก็ โดยเฉพาะเจตคตติ ่อความคดิ และหลกั การทเ่ี ป็นนามธรรม เช่น อุดมคติ เจตคตติ อ่ เสรภี าพ ในการพดู การเขยี น เดก็ ทม่ี าจากครอบครวั ทส่ี ภาพเศรษฐกจิ สงั คมสงู จะมเี จตคตบิ วกสงู 6.4 การเสริมสร้างเจตคติ 6.4.1 เจตคตเิ ป็นสง่ิ ทส่ี ามารถเสรมิ สรา้ งใหเ้ กดิ ขน้ึ ได้ ดงั น้ี (Allport, 1985 : 418) อลั พอรต์ กลา่ ววา่ การเสรมิ สรา้ งเจตคตทิ ด่ี ตี ่อการเรยี น การจดั กจิ กรรม การเรยี นการสอนนบั วา่ มคี วามสาคญั มาก ดงั นนั้ จงึ เป็นหน้าทข่ี องผสู้ อนทจ่ี ะตอ้ งสร้าง ความสาเรจ็ ในการเรยี นใหเ้ กดิ แก่นกั เรยี น เจตคตขิ องนกั เรยี นต่อการเรยี นจะค่อยดขี น้ึ เรอ่ื ยๆ 6.4.2 การสรา้ งเจตคตทิ ด่ี แี ก่นกั เรยี น มดี งั น้ี (ทพิ สร มปี ิ่น, 2539 : 44) 6.4.2.1 ใหน้ กั เรยี นทราบจดุ มงุ่ หมายในเรอ่ื งทเ่ี รยี น 6.4.2.2 ใหน้ กั เรยี นเหน็ ประโยชน์ของวชิ านนั้ ๆโดยแทจ้ รงิ 6.4.2.3 ใหน้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสหรอื มสี ่วนรว่ มในการเรยี นการสอน 6.4.2.4 ใหน้ กั เรยี นไดเ้ รยี นสอดคลอ้ งกบั ความสามารถ ความถนดั เพ่อื จะ ไดเ้ กดิ ผลสาเรจ็ ในการเรยี น ซง่ึ ส่งผลทาใหม้ เี จตคตทิ ด่ี ตี ่อไป 6.4.2.5 การสอนของครผู สู้ อนจะตอ้ งมกี ารเตรยี มตวั อยา่ งดี ใชว้ ธิ สี อนทด่ี ี นกั เรยี นเขา้ ใจอยา่ งแจ่มแจง้ 6.4.2.6 ครผู สู้ อนจะตอ้ งสรา้ งความอบอุ่นใจและความเป็นกนั เองกบั นกั เรยี น 6.4.2.7 ครผู สู้ อนตอ้ งสรา้ งเสรมิ บุคลกิ ภาพใหเ้ ป็นทน่ี ่าเล่อื มใสแก่นกั เรยี น 6.4.2.8 จดั สภาพแวดลอ้ มต่างๆของโรงเรยี น หอ้ งเรยี นใหม้ บี รรยากาศ ทน่ี ่าอยแู่ ละน่าสนใจ
51 6.4.3 การเปลย่ี นแปลงเจตคตขิ น้ึ อยกู่ บั อทิ ธพิ ลดงั ต่อไปน้ี (ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์, 2534 : 17) 6.4.3.1 แหลง่ ขา่ วสารรวมถงึ ผใู้ หข้ า่ วสารซง่ึ เป็นแหล่งใหค้ วามรู้ ถ่ายทอด ความรสู้ กึ นกึ คดิ เจตคติ เช่น ผใู้ หข้ า่ วเป็นคนน่าเชอ่ื ถอื เป็นผทู้ น่ี ่ารกั ใคร่ เป็นบุคคลสาคญั กจ็ ะเกดิ การถ่ายทอดความรสู้ กึ หรอื อารมณ์ดว้ ยตวั อยา่ งจากการโฆษณาชวนเชอ่ื ลทั ธกิ ารเมอื ง การเผยแพรศ่ าสนา เป็นต้น 6.4.3.2 ผรู้ บั ขา่ วสาร ผรู้ บั ข่าวสารจะถกู ชกั จงู ใหเ้ ปลย่ี นเจตคตไิ ดห้ รอื ไม่ ขน้ึ อยกู่ บั สตปิ ัญญา วจิ ารณญาณ ความเชอ่ื มนั่ ในตนเองของผรู้ บั ผรู้ บั เป็นผเู้ ช่อื งา่ ยกจ็ ะ เปลย่ี นไดง้ ่าย 6.4.3.3 ขา่ วสารหรอื สอ่ื ทใ่ี ช้ สอ่ื ทใ่ี ชใ้ นการไดข้ า่ วสารนนั้ ถา้ ไดท้ าบอ่ ยๆ พรอ้ มทงั้ ใหค้ วามรสู้ กึ หรอื อารมณ์ตรงกบั ผรู้ บั กจ็ ะทาใหผ้ รู้ บั เปลย่ี นงา่ ยขน้ึ 6.4.3.4 ปัจจยั อ่นื ๆ ไดแ้ ก่ สภาพแวดลอ้ ม เชน่ เหตุการณ์ สถานการณ์ ทท่ี าใหผ้ รู้ บั รสู้ กึ วา่ คนอ่นื ไดเ้ ปลย่ี นเจตคตแิ ลว้ กจ็ ะเกดิ การเลยี นแบบเอาอยา่ งขน้ึ 6.4.4 เจตคตบิ างอยา่ งไมค่ งทอ่ี าจเปลย่ี นแปลงไดเ้ มอ่ื อย่ใู นสง่ิ แวดลอ้ มต่างๆกนั องคป์ ระกอบทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการเปลย่ี นแปลงมี 3 ประการ ดงั น้ี (Kelman, 1958 : 51 - 60) 6.4.4.1 การยนิ ยอม จะเกดิ ขน้ึ เมอ่ื บุคคลยอมรบั อทิ ธพิ ลจากผอู้ ่นื เพราะ ตอ้ งการใหผ้ อู้ ่นื ปฏบิ ตั ติ ่อตนในทางทต่ี นตอ้ งการและพงึ พอใจ เชน่ การไดร้ บั รางวลั หรอื การยอมรบั จากบุคคลอ่นื 6.4.4.2 การลอกเลยี นแบบ จะเกดิ จากการทบ่ี คุ คลนนั้ ยอมรบั อทิ ธพิ ลจาก ผอู้ ่นื เพราะตอ้ งการสรา้ งพฤตกิ รรมของตนขน้ึ ใหเ้ หมอื นกบั บคุ คลอ่นื ในสงั คม เพอ่ื ทจ่ี ะตดิ ต่อ หรอื มคี วามสมั พนั ธก์ บั บคุ คลอ่นื ไดด้ ี 6.4.4.3 การเปลย่ี นแปลงอย่างเหมาะสมกบั ความตอ้ งการมอี ยใู่ นตวั เอง เกดิ ขน้ึ จากการทบ่ี คุ คลยอมรบั อทิ ธพิ ลหรอื พฤตกิ รรมต่างๆ เพราะเหน็ ว่าเหมาะสมกบั ระบบ ค่านยิ มทม่ี อี ยใู่ นตวั เองสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการซง่ึ เป็นเบอ้ื งหลงั อยแู่ ลว้ จากทก่ี ล่าวมาขา้ งต้นสรปุ ไดว้ ่า เจตคตสิ ามารถทาใหเ้ ปลย่ี นแปลงได้ สาหรบั การศกึ ษาแลว้ กจิ กรรมการเรยี นการสอนทท่ี าใหน้ กั เรยี นประสบความสาเรจ็ จะเป็นปัจจยั สาคญั ทท่ี าใหน้ กั เรยี นเกดิ เจตคตทิ ด่ี ตี ่อการเรยี น การเสรมิ สรา้ งเจตคตทิ ด่ี เี ป็นสงิ่ ทค่ี วรกระทา ดว้ ยความระมดั ระวงั รอบคอบและควรเป็นไปดว้ ยความสมคั รใจมใิ ชก่ ารบงั คบั หรอื วางเงอ่ื นไข ซง่ึ หมายถงึ การเสยี เวลาเปล่าประโยชน์ ดงั นนั้ ในการเรยี นการสอนครผู สู้ อนจงึ มบี ทบาทท่ี สาคญั มาก
52 6.5 ประโยชน์ของเจตคติ ประโยชน์ของเจตคติ มดี งั น้ี (ผดงุ ขาวสาอางค,์ 2542 : 4) 6.5.1 ชว่ ยทาใหเ้ ขา้ ใจสงิ่ แวดลอ้ มรอบๆตวั โดยการจดั รปู หรอื จดั ระบบสง่ิ ของ ต่างๆทอ่ี ยรู่ อบตวั เขา 6.5.2 ช่วยใหม้ กี ารเขา้ ขา้ งตวั เอง โดยช่วยใหบ้ คุ คลหลกี เลย่ี งสงิ่ ทไ่ี มด่ หี รอื ปกปิดความจรงิ บางอยา่ ง ซง่ึ นาความไมพ่ อใจมาสตู่ วั เอง 6.5.3 ชว่ ยในการปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สง่ิ แวดลอ้ มทส่ี ลบั ซบั ซอ้ น ซง่ึ การมปี ฏกิ ริ ยิ า ตอบโตห้ รอื การกระทาสงิ่ ใดสงิ่ หน่งึ ออกไปนนั้ ส่วนมากจะทาในสง่ิ ทน่ี าความพอใจมาใหห้ รอื เป็นบาเหน็จรางวลั จากสง่ิ แวดลอ้ ม 6.5.4 ช่วยใหบ้ คุ คลสามารถแสดงออกถงึ คา่ นยิ มของตนเอง ซง่ึ แสดงว่า เจตคตนิ นั้ นาความพอใจมาใหบ้ ุคคลนนั้ 6.6 การพฒั นาเจตคติ ในการเรยี นการสอนคณติ ศาสตรเ์ จตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าน้ี เป็นสง่ิ ทพ่ี งึ ปรารถนาเป็น อยา่ งยง่ิ เจตคตเิ ป็นสงิ่ ทไ่ี ม่สามารถสอนไดโ้ ดยตรง แต่เป็นสง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื ไดร้ บั การปลกู ฝัง ทลี ะเลก็ ละน้อยกบั ตวั นกั เรยี นผา่ นทางกจิ กรรมการเรยี นการสอน ดงั นนั้ ในการจดั กจิ กรรม การเรยี นการสอนทกุ ครงั้ จงึ ควรตอ้ งคานึงถงึ ดว้ ยวา่ จะเป็นทางนานกั เรยี นไปส่เู จตคตทิ ด่ี หี รอื ไมด่ ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตรห์ รอื ไมเ่ พยี งไร พฤตกิ รรมทจ่ี ะช่วยส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นมเี จตคตทิ ด่ี ตี ่อ วชิ าคณติ ศาสตรท์ จ่ี ะถ่ายทอดใหน้ กั เรยี นได้ มดี งั น้ี (อุทยั เพชรช่วย, 2536 : 3 - 7) 6.6.1 ครผู สู้ อนตอ้ งมเี จตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ เพอ่ื วา่ จะไดแ้ รงและ กาลงั ใจทจ่ี ะถ่ายทอดความรใู้ หแ้ ก่นกั เรยี นได้ 6.6.2 ครผู สู้ อนตอ้ งมเี จตคตทิ จ่ี ะศกึ ษานกั เรยี น ทงั้ ผทู้ ม่ี คี วามสามารถใน การเรยี นสงู และผทู้ ม่ี คี วามสามารถในการเรยี นต่า เพ่อื ทจ่ี ะไดช้ ว่ ยคนเก่งใหเ้ ก่งยงิ่ ขน้ึ และ พยงุ คนเรยี นไมเ่ ก่งใหส้ ามารถเรยี นต่อไปได้ 6.6.3 การจดั หอ้ งเรยี นใหน้ ่าสนใจและสง่ เสรมิ การเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ เชน่ การจดั ป้ายนิเทศ หนงั สอื ภาพและเกมต่างๆ 6.6.4 การกระทาต่อไปน้ชี ว่ ยสรา้ งเจตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตรไ์ ด้ 6.6.4.1 ใชค้ าถามปลายเปิดเพ่อื กระตุน้ ใหน้ กั เรยี นอยากรอู้ ยากเหน็ 6.6.4.2 ทางานกบั นกั เรยี นดว้ ยความอดทนและใจเยน็ จนนกั เรยี นแต่ละคน ประสบความสาเรจ็ นกั เรยี นจะไดม้ คี วามมนั่ ใจในตนเอง
53 6.6.4.3 เลอื กใชว้ ธิ สี อนและส่อื การสอนทเ่ี ปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นมสี ว่ นรว่ ม เพอ่ื ว่านกั เรยี นจะไดม้ คี วามสนุกสนานในการเรยี น 6.6.4.4 ใหง้ านนกั เรยี นตามความสามารถและใหอ้ ยา่ งมเี หตุผล เพ่อื นกั เรยี นจะไดม้ องเหน็ ประโยชน์และคุณค่า 6.6.4.5 สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจลกั ษณะโครงสรา้ งและประโยชน์ของ วชิ าคณติ ศาสตร์ เพอ่ื จะไดม้ องเหน็ คณุ ค่าและเกดิ ความซาบซง้ึ 6.6.4.6 ใหค้ ณติ ศาสตรเ์ ป็นการสนองตอบนกั เรยี นในทางบวกไมใ่ ช่ทางลบ เชน่ ไมท่ าโทษนกั เรยี นดว้ ยการใหท้ าโจทยค์ ณติ ศาสตรห์ ลายๆขอ้ 6.7 หลกั การวดั เจตคติ การวดั เจตคตเิ ป็นสงิ่ ทย่ี งุ่ ยากพอสมควรเพราะเป็นการวดั คณุ ลกั ษณะภายใน ของบคุ คล ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั อารมณ์และความรสู้ กึ หรอื เป็นลกั ษณะทางจติ ใจ คุณลกั ษณะ ดงั กล่าวมกี ารแปรเปลย่ี นไดง้ า่ ยแต่อยา่ งไรกต็ าม เจตคตขิ องบุคคลทม่ี ตี ่อสง่ิ ใดสง่ิ หน่งึ กย็ งั สามารถวดั ได้ โดยอาศยั หลกั สาคญั ดงั ต่อไปน้ี (ไพศาล หวงั วานิช, 2526 : 147 - 148) 6.7.1 การยอมรบั ขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั การวดั เจตคติ คอื 6.7.1.1 ความคดิ เหน็ ความรสู้ กึ หรอื เจตคตขิ องบุคคลนนั้ จะคงอยู่ ชว่ งหน่งึ นนั่ คอื ความรสู้ กึ นึกคดิ ของคนเราไมไ่ ดเ้ ปลย่ี นแปลงหรอื ผนั แปรตลอดเวลาอยา่ งน้อย จะตอ้ งมชี ่วงเวลาใดเวลาหน่ึงทค่ี วามรสู้ กึ ของคนเรามคี วามคงทท่ี าใหส้ ามารถวดั ได้ 6.7.1.2 เจตคตขิ องบคุ คลไมส่ ามารถวดั หรอื สงั เกตเหน็ ไดโ้ ดยตรง การวดั จะเป็นแบบวดั ทางออ้ ม โดยวดั แนวโน้มท่บี คุ คลแสดงออกหรอื ประพฤตอิ ยเู่ สมอ 6.7.1.3 เจตคตนิ อกจากแสดงออกในรปู ทศิ ทางของความรสู้ กึ นึกคดิ เช่น สนบั สนุนหรอื คดั คา้ น ยงั มขี นาดหรอื ปรมิ าณของความคดิ ความรสู้ กึ นนั้ อกี ดว้ ย ดงั นนั้ ใน การวดั เจตคตนิ อกจากจะทาใหท้ ราบลกั ษณะหรอื ทศิ ทางและสามารถบอกระดบั ความมากน้อย หรอื ความเขม้ ขน้ ของเจตคตไิ ดด้ ว้ ย 6.7.2 การวดั เจตคตดิ ว้ ยวธิ ใี ดกต็ ามจะตอ้ งมสี ง่ิ ประกอบ 3 อยา่ ง คอื ตวั บุคคลทจ่ี ะถูกวดั มสี ง่ิ เรา้ เช่น การกระทาเรอ่ื งราวทบ่ี คุ คลแสดงเจตคตติ อบสนองและ สุดทา้ ยตอ้ งมกี ารตอบสนอง ซง่ึ จะออกมาในระดบั สงู ต่ามากน้อย 6.7.3 สง่ิ เรา้ ทจ่ี ะนาไปใชเ้ รา้ ทน่ี ยิ ม คอื ขอ้ ความคดิ เจตคติ ซง่ึ เป็นสงิ่ เรา้ ทางภาษาทใ่ี ชอ้ ธบิ ายคณุ ค่า คุณลกั ษณะของสงิ่ นนั้ เพอ่ื ใหบ้ ุคคลตอบสนองออกมาเป็นระดบั ความรสู้ กึ เช่น มาก ปานกลาง น้อย เป็นตน้ 6.7.4 การวดั เจตคตติ อ้ งคานงึ ถงึ ความเทย่ี งตรงของการวดั เป็นพเิ ศษ ตอ้ ง พยายามใหผ้ ลของการวดั ทไ่ี ดต้ รงกบั สภาพความเป็นจรงิ ของบคุ คล ทงั้ ในแงท่ ศิ ทางและระดบั
54 ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2534) ใหค้ วามเหน็ ว่า เน่อื งจากเจตคตคิ อ่ นไปทาง นามธรรมมากกวา่ รปู ธรรมเป็นความรสู้ กึ ความเช่อื ของบคุ คล ซง่ึ มกี ารเปลย่ี นแปลง การวดั เจตคตจิ งึ ไมส่ ามารถจะวดั ไดโ้ ดยตรงแต่วดั ไดจ้ ากแนวโน้มของบุคคลทแ่ี สดงออกทางภาษาและ วดั ในรปู ของความคดิ เหน็ การวดั เจตคตขิ องบุคคลทม่ี ตี ่อสง่ิ ใดและผใู้ ดอาจจะใชว้ ธิ กี ารสงั เกต จากการกระทา คาพดู การแสดงสหี น้าท่าทางหรอื สมั ภาษณ์ความรสู้ กึ นกึ คดิ ของเขา แต่ แบบวดั หรอื เครอ่ื งมอื ทน่ี กั จติ วทิ ยานิยมใชม้ ากจะอยใู่ นรปู ของแบบสอบถามหรอื แบบสารวจ เรยี กวา่ แบบวดั เจตคติ จฬุ ามาศ จนั ทรศ์ รสี คุ ต (2537) ใหค้ วามเหน็ วา่ เจตคตจิ ะวดั โดยตรงไมไ่ ด้ แต่ จะตอ้ งวดั จากการแสดงออกในรปู ของความคดิ เหน็ หรอื ภาษาพดู ซง่ึ วดั ไดไ้ มแ่ น่นนอนและควร วดั เจตคตจิ ากพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกจรงิ ๆ ซง่ึ บางทอี าจเกดิ ความคลาดเคล่อื นได้ เน่อื งจาก พฤตกิ รรมของคนเราอาจบดิ เบอื นจากเจตคตทิ ม่ี อี ยจู่ รงิ ดงั นนั้ การใชก้ ารวดั เจตคตจิ ากคาตอบ \"เหน็ ดว้ ย” หรอื \" ไมเ่ หน็ ดว้ ย” กบั ขอ้ ความในแบบวดั เจตคตแิ ต่จะตอ้ งไมส่ รปุ เอาเองวา่ บุคคล นนั้ จะปฏบิ ตั ติ ามในขอ้ ทต่ี นเองเหน็ ดว้ ยขอ้ ความในแบบวดั เจตคตไิ มว่ ่าแบบใดตอ้ งไมเ่ ป็น ขอ้ ความเกย่ี วกบั ความรคู้ วามจรงิ เพราะคาตอบของผตู้ อบต่อขอ้ ความทเ่ี ป็นจรงิ จะไมแ่ สดงให้ เหน็ เจตคตขิ องผตู้ อบ 6.8 มาตราวดั เจตคติ มาตราวดั เจตคตทิ ใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั มอี ยหู่ ลายชนิดทน่ี ิยมใชม้ อี ยู่ 3 ชนดิ ดงั น้ี (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538 : 179 - 191) 1. วธิ ขี องเทอรส์ โตน 2. วธิ ขี องลเิ คอรท์ 3. การวดั เจตคตโิ ดยใชค้ วามหมายทางภาษา สาหรบั มาตราวดั เจตคตทิ ผ่ี วู้ จิ ยั นามาใชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ น้ี เป็นมาตราวดั เจตคติ ตามวธิ ขี องลเิ คอรท์ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี มาตราวดั เจตคตติ ามวธิ ขี องลเิ คอรท์ กาหนดช่วงความรสู้ กึ ของคนเป็น 5 ชว่ ง หรอื 5 ระดบั คอื เหน็ ดว้ ยอยา่ งยงิ่ เหน็ ดว้ ย ไมแ่ น่ใจ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ไมเ่ หน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ ขอ้ ความทบ่ี รรจใุ นมาตราวดั ประกอบดว้ ยขอ้ ความทแ่ี สดงความรสู้ กึ ต่อสง่ิ ใดทงั้ ในดา้ นทด่ี แี ละ ในทางทไ่ี มด่ ี โดยมจี านวนขอ้ พอๆกนั การกาหนดน้าหนกั คะแนนการตอบแต่ละตวั เลอื ก กระทาภายหลงั จากทไ่ี ดร้ วบรวมขอ้ มลู มาแลว้ โดยกาหนดตามวธิ ี Arbitrary Weighting Method ซง่ึ เป็นทน่ี ิยมใชม้ ากทส่ี ดุ คอื กาหนดคะแนนเป็น 5 4 3 2 1 สาหรบั ขอ้ ความทางบวก 1 2 3 4 5 สาหรบั ขอ้ ความทางลบ
55 7. งานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง 7.1 งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้องกบั แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ 7.1.1 ในต่างประเทศ คุค (Cook, 1995) ไดศ้ กึ ษาผลของการเรยี นและการสอนแบบคอนสตรคั ตวิ สิ ม์ ในวชิ าคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง พชี คณติ เบอ้ื งตน้ พบว่าการเรยี นการสอนแบบคอนสตรคั ตวิ สิ มม์ ผี ล ต่อการเรยี นรขู้ องนกั เรยี น เน้อื หาทส่ี อนและมผี ลต่อการสอนของครผู สู้ อน เพยี ซา (Piazza, 1995) ไดท้ าการวจิ ยั เชงิ คุณภาพสารวจการเรยี นการสอน คณติ ศาสตรภ์ ายใตท้ ฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ พบวา่ ทฤษฎกี ารสอนแบบคอนสตรคั ตวิ สิ ม์ช่วยให้ นกั เรยี นไดเ้ รยี นรกู้ ารสรา้ งองคค์ วามรดู้ า้ นคณติ ศาสตรด์ ขี น้ึ ช่วยใหค้ รผู สู้ อนไดพ้ ฒั นาการสอน ของตนเอง เวด (Wade, 1995) ไดศ้ กึ ษาผลการสอนคณติ ศาสตรแ์ บบแกป้ ัญหาตาม ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มต์ ่อผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น ความเช่อื มนั่ ในตนเองและเจตคตติ ่อ วชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น และใชก้ ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพในการศกึ ษาเจตคตแิ ละความเช่อื มนั่ ในตนเองในการเรยี น คณติ ศาสตรข์ องกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยวธิ สี งั เกตและสมั ภาษณ์ ผลการศกึ ษาพบวา่ ผลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นของกลุ่มตวั อยา่ งเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั น้อยกวา่ .05 ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นหลงั เรยี นครงั้ ท่ี 2 ไดผ้ ลเชน่ เดยี วกบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นหลงั เรยี น ครงั้ แรกและนกั เรยี นทม่ี ผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นต่า เมอ่ื เรยี นโดยวธิ สี อนแบบแกป้ ัญหาตาม ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ส่งผลทาใหผ้ ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นเพม่ิ ขน้ึ สงู กวา่ กลุ่มนกั เรยี นทม่ี ี ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั น้อยกว่า .05 จากการศกึ ษาขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ พบว่าเจตคตแิ ละความเช่อื มนั่ ในตนเองต่อวชิ าคณติ ศาสตรข์ องกลุม่ ตวั อยา่ งสงู ขน้ึ อลั ซปั (Alsup, 1996) ไดศ้ กึ ษาผลการสอนแบบคอนสตรคั ตวิ สิ มข์ อง นกั ศกึ ษาฝึกสอนวชิ าคณติ ศาสตรโ์ ดยใชก้ ารเรยี นรแู้ บบแกป้ ัญหาภายใตท้ ฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ในวชิ าคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง เศษส่วน ทศนิยมและรอ้ ยละ ผลการศกึ ษาพบวา่ นกั ศกึ ษาฝึกสอน ลดความวติ กกงั วลในการเรยี นคณติ ศาสตรแ์ ละช่วยใหน้ กั ศกึ ษาฝึกสอนมคี วามมนั่ ใจทจ่ี ะสอน วชิ าคณติ ศาสตรเ์ พมิ่ ขน้ึ บลู ลอค ( Bullock, 1996) ไดศ้ กึ ษาเพ่อื ประเมนิ ประสทิ ธผิ ลของการสอน ตามทฤษฎกี ารเรยี นรคู้ อนสตรคั ตวิ สิ มข์ องครคู ณติ ศาสตรใ์ นระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษา จากเจตคติ ของนกั เรยี นทม่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ผลการศกึ ษาพบว่านกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การสอนตามทฤษฎี
56 คอนสตรคั ตวิ สิ มม์ เี จตคตใิ นทางบวกต่อวชิ าคณติ ศาสตร์
57 7.1.2 ภายในประเทศ ไพจติ ร สดวกการ (2539) ไดท้ าการศกึ ษา ผลการสอนคณติ ศาสตร์ ตาม แนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ทม่ี ตี ่อผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ และความสามารถในการถ่ายโยงการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2537 โรงเรยี นพทุ ธจกั รวทิ ยา กรงุ เทพมหานคร สงั กดั กรมสามญั ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จานวน 145 คน ไดข้ อ้ คน้ พบ ดงั น้ี 1. นกั เรยี นทม่ี รี ะดบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรป์ านกลาง ทไ่ี ดร้ บั การสอนดว้ ยกระบวนการสอนคณติ ศาสตรท์ ส่ี รา้ งขน้ึ มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น วชิ าคณติ ศาสตรส์ งู กวา่ นกั เรยี นระดบั เดยี วกนั ทไ่ี ดร้ บั การสอนปกตอิ ย่างมคี วามนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 แต่ไมพ่ บความแตกต่างอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ใิ นนกั เรยี นระดบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นคณิตศาสตรส์ งู และต่า 2. ขนาดของความแตกต่างระหวา่ งผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ ทเ่ี น่อื งมาจากการสอนดว้ ยกระบวนการสอนคณติ ศาสตรท์ ส่ี รา้ งขน้ึ และการสอนปกตใิ นนกั เรยี น ระดบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรป์ านกลางและต่ามากกว่าขนาดของความแตกต่าง ในนกั เรยี นระดบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นคณติ ศาสตรส์ งู 3. นกั เรยี นระดบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู และปานกลางท่ี ไดร้ บั การสอนดว้ ยกระบวนการสอนคณติ ศาสตรท์ ส่ี รา้ งขน้ึ และการสอนตามปกตมิ คี วามคงทน ต่อผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรไ์ มแ่ ตกต่างกนั 4. นกั เรยี นระดบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู ปานกลางและ ต่าทไ่ี ดร้ บั การสอนดว้ ยกระบวนการสอนคณติ ศาสตรท์ ส่ี รา้ งขน้ึ มคี วามสามารถในการถ่ายโยง การเรยี นรู้ สงู กว่านกั เรยี นระดบั เดยี วกนั ทไ่ี ดร้ บั การสอนตามปกตอิ ย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ ทร่ี ะดบั .05 , .001 และ .005 ตามลาดบั วโิ ชติ พงษ์ศริ ิ (2540) ไดศ้ กึ ษาผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นและเจตคตติ ่อ การเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2539 โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน จานวน 80 คน ทไ่ี ดร้ บั การสอนโดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นแบบคอนสตรคั ตวิ สิ มด์ ว้ ยวธิ สี อนแบบแกป้ ัญหากบั การสอน ตามค่มู อื ครู ผลการศกึ ษา พบวา่ 1. ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นทเ่ี รยี นโดยใชก้ จิ กรรม การเรยี นแบบคอนสตรคั ตวิ สิ มด์ ว้ ยวธิ สี อนแบบแกป้ ัญหาและนกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การสอนตาม คมู่ อื ครแู ตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 2. เจตคตติ ่อการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นทเ่ี รยี นโดยใชก้ จิ กรรม การเรยี นแบบคอนสตรคั ตวิ สิ มด์ ว้ ยการสอนแบบแกป้ ัญหาและนกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การสอนตาม ค่มู อื ครู แตกต่างกนั อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01
58 สมศรี คงวงศ์ (2542) ไดพ้ ฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนการแกโ้ จทยป์ ัญหา คณติ ศาสตรช์ นั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละการเรยี นแบบ รว่ มมอื ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2541 โรงเรยี นบา้ นปากชอ่ งผาเบยี ด จงั หวดั ชยั ภมู ิ จานวน 25 คน พบว่า จานวนนกั เรยี นรอ้ ยละ 86 มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ ตงั้ แต่รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไปและจานวนนกั เรยี นรอ้ ยละ 84 มคี วามสามารถในการถ่ายโยงการเรยี นรู้ ในการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณติ ศาสตรต์ งั้ แต่รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป ไพพยอม พมิ พพ์ าเรอื (2543) ไดศ้ กึ ษาผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง เศษสว่ น ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรยี นบา้ นหนองบวั คาแสน อาเภอนา กลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2542 จานวน 2 หอ้ ง รวม 44 คน ทไ่ี ดร้ บั การสอนโดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มก์ บั การสอนปกติ พบวา่ นกั เรยี นกลุ่มทดลองทไ่ี ดร้ บั การสอนโดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มม์ ผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู กวา่ นกั เรยี นกลุ่มควบคุมทไ่ี ดร้ บั การสอนตามปกตอิ ยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ภทั ราภรณ์ คมั ภริ า (2543) ไดพ้ ฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน วชิ าคณติ ศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 เรอ่ื งการคณู และการหารเบอ้ื งตน้ ตามแนวคดิ ของ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละการเรยี นแบบรว่ มมอื ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2542 โรงเรยี นบา้ นหนั ทราย จงั หวดั นครราชสมี า จานวน 31 คน พบวา่ นกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละการเรยี นแบบรว่ มมอื มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นคดิ เป็นรอ้ ยละ 74.57 สงู กว่าเกณฑท์ ก่ี าหนดไวร้ อ้ ยละ 70 และมจี านวนนกั เรยี นทผ่ี ่านเกณฑค์ ดิ เป็นรอ้ ยละ 80.64 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑจ์ านวนนกั เรยี นทก่ี าหนดไวร้ อ้ ยละ 80 วนั เพญ็ ผลอุดม (2543) ไดพ้ ฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง ทศนิยม ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละการเรยี น แบบรว่ มมอื ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2542 โรงเรยี นนายม สานกั งานการประถมศกึ ษา อาเภอพบิ ลู ยร์ กั ษ์ จงั หวดั อุดรธานี จานวน 25 คน พบวา่ นกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การสอนตาม รปู แบบการสอนทพ่ี ฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มแ์ ละ การเรยี นแบบรว่ มมอื จานวนนกั เรยี นรอ้ ยละ 84 มผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ สงู กว่าเกณฑจ์ านวนนกั เรยี นทก่ี าหนดไวร้ อ้ ยละ 80.00 และมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ า คณติ ศาสตรค์ ดิ เป็นรอ้ ยละ 80.88 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑท์ ก่ี าหนดไวร้ อ้ ยละ 70.00
59 จากผลงานวจิ ยั ทไ่ี ดศ้ กึ ษาขา้ งตน้ นัน้ สรปุ ไดว้ า่ การสอนตามแนวคดิ ของ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ พบว่า ประสบผลสาเรจ็ ทาใหน้ กั เรยี นรคู้ ณุ คา่ ของโอกาสในการใช้ ความคดิ และความรขู้ องตนเอง สง่ ผลใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ ไดค้ ดิ ไดค้ น้ ควา้ และสรา้ งองค์ ความรดู้ ว้ ยตนเอง มสี ว่ นรว่ มในการสรา้ งความรอู้ ยา่ งมกี ระบวนการ นกั เรยี นไดท้ างานรว่ มกนั มปี ฏสิ มั พนั ธท์ ด่ี ตี ่อกนั เกดิ ความตระหนกั ในตนเองมคี วามเช่อื มนั่ ในตนเอง มเี จตคตทิ ด่ี ตี ่อ วชิ าคณติ ศาสตร์ สง่ ผลทาใหผ้ ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นไดด้ ขี น้ึ และ สามารถนาความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั นอกจากน้ยี งั ช่วยใหค้ รผู สู้ อนวชิ าคณติ ศาสตร์ ไดพ้ ฒั นาการสอนและมคี วามมนั่ ใจในการสอนเพมิ่ ขน้ึ 7.2 งานวิจยั ที่เก่ียวข้องกบั ทกั ษะการแก้ปัญหา 7.2.1 ในต่างประเทศ บาโลว์ (Balow, 1964) ไดศ้ กึ ษาถงึ ความสาคญั ของความสามารถในการอ่าน และความสามารถในการคดิ คานวณทม่ี ผี ลต่อความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ โดยใชว้ ธิ กี ารวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนและควบคุมระดบั สตปิ ัญญากบั นกั เรยี น 468 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณติ ศาสตรจ์ ะเพมิ่ ขน้ึ ถา้ ความสามารถ ในการคดิ คานวณและความสามารถในการอ่านเพม่ิ ขน้ึ ทคั เกอร์ (Tucker, 1975) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างความสามารถดา้ น การคดิ แกป้ ัญหากบั ความสามารถในการอ่าน การคานวณและทกั ษะในการใหค้ วามหมายของ รปู แบบทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหา พบว่าทกั ษะในการคานวณและทกั ษะในการใหค้ วามหมายของ รปู แบบทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหามคี วามสมั พนั ธก์ บั ความสามารถดา้ นการคดิ แกป้ ัญหา ลอรเ์ รย์ (Lowrey, 1978) ไดศ้ กึ ษาผลการใชแ้ บบฝึกทกั ษะต่อนกั เรยี นทม่ี ี ผลสมั ฤทธติ ์ ่าของนกั เรยี นเกรด 1 - 3 จานวน 87 คน ผลการวจิ ยั พบว่า แบบฝึกหดั เป็นเครอ่ื งมอื ทช่ี ่วยใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรหู้ ลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นและสามารถทาขอ้ สอบ วดั ผลสมั ฤทธไิ ์ ดถ้ ูกตอ้ งสงู เฉลย่ี 90.8 และแบบฝึกหดั ยงั เหมาะสมกบั การเรยี นแต่ละคนดว้ ย
60 7.2.2 งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทกั ษะการแกป้ ัญหาภายในประเทศ อานวย เลศิ ชยนั ตี (2523) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างความสามารถทาง สมองกบั ความสามารถในดา้ นการคดิ แกป้ ัญหา ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 จานวน 420 คน โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น 13 ฉบบั และแบบทดสอบวดั ความถนดั ทางการเรยี น 10 ฉบบั ผลปรากฏว่าความสามารถในการคดิ แกป้ ัญหาทางคณติ ศาสตรแ์ ละ ความสามารถทางสมองมสี ว่ นสมั พนั ธก์ นั สงู ตวั แปรในดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น ทจ่ี ดั ไดว้ า่ มี ความสมั พนั ธก์ นั มากทส่ี ุดกบั ความสามารถในการคดิ แกป้ ัญหา คอื การวเิ คราะหค์ วามสาคญั การวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ การวเิ คราะหห์ ลกั การ ความรู้ ความจา ในเน้อื หา ความรู้ ความจาในวธิ กี ารคานวณ ความเขา้ ใจในการแปลความ ความเขา้ ใจในการขยายความ สมเดช บุญประจกั ษ์ (2540) ไดพ้ ฒั นาศกั ยภาพทางคณติ ศาสตรข์ อง นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยใชก้ ารเรยี นแบบรว่ มมอื ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2538 ผลการศกึ ษาพบว่า 1. แผนการสอนทแ่ี สดงกจิ กรรมการเรยี นการสอนเพ่อื พฒั นาศกั ยภาพทาง คณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 เมอ่ื พจิ ารณาความสมั พนั ธร์ ะหว่างกระบวนการ และผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี (E1 / E2) มปี ระสทิ ธภิ าพ 66.31 / 59.12 ซง่ึ ต่ากวา่ เกณฑท์ ค่ี าดหวงั คอื 70 / 70 2. ศกั ยภาพทางคณติ ศาสตรด์ า้ นการแกป้ ัญหา การใหเ้ หตุผลและการใช้ คณติ ศาสตรส์ อ่ื สารของกลุม่ ทดลองหลงั การทดลองสงู กวา่ ก่อนทดลองอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ ทร่ี ะดบั .01 3. ศกั ยภาพทางคณติ ศาสตรด์ า้ นการแกป้ ัญหา การใหเ้ หตุผลและการใช้ คณติ ศาสตรส์ อ่ื สารหลงั การทดลองของกลมุ่ ทดลองสงู กว่ากลมุ่ ควบคุมอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ ทร่ี ะดบั .01 สมชาย วรกจิ เกษมสกุล (2540) ไดพ้ ฒั นารปู แบบการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ โดยการสอ่ื สารแนวความคดิ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหาของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2539 โรงเรยี นนยิ มศลิ ป์ อนุสรณ์ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ ผลการศกึ ษาพบว่า 1. รปู แบบการสอนน้ีมปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑค์ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง กระบวนการและผลลพั ธโ์ ดยรวมและเมอ่ื พจิ ารณาเฉพาะกลุม่ นกั เรยี น พบวา่ ทุกกลุ่มมี ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑค์ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกระบวนการและผลลพั ธ์ ยกเวน้ นกั เรยี นทม่ี ี ภมู หิ ลงั ทางการเรยี นต่าทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพของผลลพั ธโ์ ดยเฉลย่ี ต่ากวา่ เกณฑท์ ก่ี าหนด
61 2. รปู แบบการสอนน้เี มอ่ื พจิ ารณาตามเกณฑพ์ ฒั นาการของนกั เรยี น พบว่า 2.1 ดา้ นผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น มปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ การพฒั นาการ นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรเู้ พม่ิ ขน้ึ หลงั ไดร้ บั การสอนและเมอ่ื พจิ ารณาตามกลุ่ม นกั เรยี น พบว่า ทกุ กลุ่มจะเกดิ การเรยี นรหู้ ลงั ไดร้ บั การสอนเพม่ิ ขน้ึ โดยทน่ี กั เรยี นทม่ี ภี มู หิ ลงั ทางการเรยี นต่าหลงั ไดร้ บั การสอนเกดิ การเรยี นรเู้ พม่ิ ขน้ึ มากทส่ี ุด รองลงมาคอื นกั เรยี นทม่ี ี ภมู หิ ลงั ทางการเรยี นปานกลางและนกั เรยี นทม่ี ภี มู หิ ลงั ทางการเรยี นสงู ตามลาดบั การวเิ คราะห์ ความแปรปรวนแบบสองตวั แปร พบว่าไมม่ อี ทิ ธพิ ลรว่ มกนั ระหว่างตวั แปรดา้ นการทดสอบ กบั ตวั แปรกลุ่มภูมหิ ลงั ของนกั เรยี นในขณะทพ่ี บความแตกต่างระหว่างตวั แปรหลกั ทงั้ สอง 2.2 ดา้ นเจตคติ นกั เรยี นมเี จตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตรห์ ลงั ไดร้ บั การสอนเพมิ่ ขน้ึ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 จากงานวจิ ยั ทไ่ี ดศ้ กึ ษาขา้ งตน้ สรปุ ไดว้ ่า ในการพฒั นากจิ กรรมเพ่อื เพ่ิมทกั ษะ แกป้ ัญหาสามารถดาเนินการโดยการสอนเกย่ี วกบั ปัญหาหรอื การสอนการแกป้ ัญหาหรอื การสอนโดยใชก้ ารแกป้ ัญหาและในการพฒั นาตอ้ งคานึงถงึ องคป์ ระกอบอ่นื ๆ เชน่ สถานการณ์ การปัญหาทน่ี ามาใชพ้ ฒั นา บรรยากาศในชนั้ เรยี น เวลาทใ่ี ช้ ลกั ษณะของกจิ กรรมทจ่ี ดั ความรู้ ความเขา้ ใจ ความเชอ่ื เกย่ี วกบั การแกป้ ัญหาทงั้ ของนกั เรยี นและครผู สู้ อน รวมถงึ ปัจจยั ต่างๆท่ี สง่ ผลต่อความสามารถในการแกป้ ัญหาแลว้ ยงั สง่ ผลต่อการพฒั นาความสามารถในการใหเ้ หตุผล และการใชค้ ณติ ศาสตรส์ อ่ื สารอกี ดว้ ย 7.3 งานวิจยั ที่เกี่ยวข้องกบั เจตคติที่มีต่อวิชาคณิตศาสตร์ 7.3.1 ในต่างประเทศ โจนส์ (Jones, 1988) ไดท้ าการศกึ ษา เรอ่ื ง องคป์ ระกอบทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ละการเลอื กวชิ าเอกทเ่ี กย่ี วขอ้ งหรอื ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั วชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นในอเมรกิ า กล่มุ ตวั อยา่ งเป็นนกั เรยี นทเ่ี ลอื กเรยี นวชิ าท่ีเกย่ี วขอ้ ง หรอื ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั วชิ าคณติ ศาสตร์ จานวน 150 คน และนกั เรยี นทเ่ี ลอื กเรยี นวชิ าทไ่ี ม่ เกย่ี วขอ้ งกบั คณติ ศาสตร์ จานวน 150 คน พบวา่ เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธ์ กบั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรอ์ ยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ชารนั (Sheoran, 1989) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างเจตคตแิ ละผลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นและการรบั รเู้ ก่ยี วกบั การสอนคณติ ศาสตรข์ องครปู ระถมศกึ ษา โดยใชแ้ บบวดั เจตคตทิ างคณติ ศาสตรข์ อง Aiken และแบบสงั เกตเจตคติ แบบวดั ผลสมั ฤทธแิ ์ ละการรบั ของ นกั เรยี นในการสอนของครู พบวา่ ครคู ณติ ศาสตรม์ ผี ลต่อการประสบผลสาเรจ็ ในการเรยี น คณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นและมผี ลต่อการทน่ี กั เรยี นจะเลอื กวชิ าคณติ ศาสตรเ์ ป็นวชิ าเอก
62 ทอมสกิ (Tomsic, 1990) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างการตงั้ จุดมงุ่ หมายใน การประสบความสาเรจ็ ในการเรยี นของเดก็ เก่ง เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ทกั ษะการคดิ และ ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ พบวา่ 1. เดก็ เก่งมกี ารคาดหวงั ในผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสงู 2. สาเหตุทท่ี าใหผ้ ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นต่ายงั ซบั ซอ้ น 3. ตวั แปรทงั้ 3 แสดงใหเ้ หน็ ความแตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสาคญั เพยี งบางพ้นื ท่ี เท่านัน้ สเวต็ แมน (Swetman, 1991) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความวติ กกงั วล ของครผู สู้ อนวชิ าคณติ ศาสตรร์ ะดบั ประถมศกึ ษาและเจตคตขิ องนกั เรยี นทม่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ โดยศกึ ษาจากครทู ส่ี อนชนั้ เกรด 3 - 6 และนกั เรยี นจาก 6 โรงเรยี นในชนบท ภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือของรฐั เทก็ ซสั พบว่า 1. ระดบั ชนั้ และเจตคตขิ องนกั เรยี นทม่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธ์ ทางลบ 2. ความวติ กกงั วลของครผู สู้ อนวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ละเจตคตขิ องนกั เรยี นทม่ี ตี ่อ วชิ าคณติ ศาสตรไ์ มม่ คี วามสมั พนั ธก์ นั มาซนิ (Ma Xin, 1997) ไดท้ าการทดสอบความสมั พนั ธร์ ะหว่างเจตคตติ ่อ วชิ าคณติ ศาสตรแ์ ละผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ โดยไดศ้ กึ ษากบั นกั เรยี นไฮสกลู ปีสุดทา้ ยของสาธารณรฐั โดมนิ กิ นั (Dominican Republic) ซง่ึ ไดท้ าแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ละแบบสอบถามวดั เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ ผลการวจิ ยั พบวา่ ตวั แปรทงั้ ค่มู คี วามสมั พนั ธ์ โดยทงั้ เจตคตแิ ละผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นสามารถเปลย่ี นแปลงได้ 7.3.2 ภายในประเทศ บญุ ชม ศรสี ะอาด (2530) ไดท้ าการศกึ ษาเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ ์ าง การเรยี น เจตคตติ ่อการเรยี นและความวติ กกงั วลในการเรยี นของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยการสอนเป็นรายคู่ (Learning Cell) ทม่ี กี ารสอบย่อยกบั การสอบบรรยายใน 4 วชิ า สอนโดยครผู สู้ อนคนเดยี วกนั ซง่ึ ไดแ้ บง่ นกั เรยี นออกเป็นกลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคุมกลุ่มละ 30 คน พบวา่ กลุม่ ทดลองและกลุม่ ควบคุมต่างมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นหลงั การทดลองเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ทงั้ 4 วชิ า และวชิ าสงั คมศกึ ษา พบว่ากลุม่ ทดลองมี ค่าเฉลย่ี เจตคตติ ่อการสอนสงู กว่ากลุม่ ควบคุมอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 วชิ าอ่นื ๆ ไมพ่ บความแตกต่าง
62 จฬุ ามาศ จนั ทรศ์ รสี คุ ต (2537) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบทบาท ของครผู สู้ อนและผปู้ กครองต่อเจตคตคิ วามเช่อื มนั่ ในตนเองและผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น วชิ าคณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 สงั กดั สานกั งานการประถมศกึ ษา จงั หวดั อุดรธานี พบวา่ บทบาทของครผู ูส้ อนและผปู้ กครอง เจตคตติ ่อวชิ าคณติ ศาสตร์ และความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง มคี วามสมั พนั ธก์ บั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 สงวนศกั ดิ ์ โกสนิ นั ท์ (2543) ไดท้ าการศกึ ษาเปรยี บเทยี บเจตคตติ ่อ วชิ าคณติ ศาสตรแ์ ละผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ทเ่ี รยี นโดยใชเ้ ทคนคิ กลุม่ เพ่อื นชว่ ยเพ่อื นกบั เรยี นโดยวธิ ปี กติ ผลการวจิ ยั ปรากฏวา่ นกั เรยี น กลมุ่ ทดลองมเี จตคตแิ ละผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ตกต่างจากกลุ่มควบคุม อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 นนั่ คอื นกั เรยี นกลมุ่ ทดลองมเี จตคตแิ ละผลสมั ฤทธิ ์ ทางการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรส์ งู กวา่ นกั เรยี นกลมุ่ ควบคุม จากการรวบรวมงานวจิ ยั ทงั้ ในต่างประเทศและในประเทศไทย พบวา่ เจตคตติ ่อ วชิ าคณติ ศาสตรส์ ว่ นใหญ่มคี วามสมั พนั ธก์ บั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ นนั่ คอื การส่งเสรมิ หรอื ปลกู ฝังใหน้ กั เรยี นมเี จตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ลว้ ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี น คณติ ศาสตรจ์ ะสงู ขน้ึ ดว้ ย 8. กรอบความคิดในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ เพ่ือเพ่ิมทกั ษะการแก้ปัญหา ท่ี ผวู้ ิจยั สร้างขึน้ จากการศกึ ษาแนวคดิ หลกั การ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ผวู้ จิ ยั จงึ นามาส่กู ารสงั เคราะหเ์ ป็นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามกรอบความคดิ ใน การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา ทผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ ดงั น้ี 8.1 หลกั การและเป้าหมาย จากการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ มงุ่ พฒั นานกั เรยี นไดม้ โี อกาสไดส้ รา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง โดยครผู สู้ อนเป็นผจู้ ดั กจิ กรรมการเรยี น การสอน ใหน้ กั เรยี นไดเ้ ผชญิ กบั สถานการณ์ปัญหาทส่ี มั พนั ธก์ บั เน้อื หาของบทเรยี นและ สอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั นกั เรยี นไดแ้ ก้ปัญหาเป็นรายบุคคลดว้ ยวธิ ที ห่ี ลากหลาย เน่อื งจาก ขอ้ มลู ความรทู้ ม่ี อี ยเู่ ดมิ ไมเ่ พยี งพอหรอื ไมส่ อดคลอ้ งกบั ปัญหาทไ่ี ดร้ บั ทาใหเ้ กดิ การพจิ ารณา ไตรต่ รองหาขอ้ มลู มาเพม่ิ เตมิ โดยการอธบิ าย ถกเถยี งแลกเปลย่ี นความรซู้ ง่ึ กนั และกนั
63 การจดั สถานการณ์ใหเ้ กดิ การสรา้ งความรนู้ ้ี ทาใหน้ กั เรยี นไดน้ าความรเู้ ดมิ มาเชอ่ื มโยงกบั ความรใู้ หม่ มโี อกาสสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเองจงึ เป็นความรทู้ ม่ี คี วามหมายสาหรบั นกั เรยี น ครผู สู้ อนเป็นเพยี งผกู้ ระตุน้ ใหน้ กั เรยี นมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการคดิ คน้ เพ่อื ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ อานวยความสะดวก ชว่ ยเหลอื ชแ้ี นะและตรวจสอบความคดิ ของนกั เรยี นกจิ กรรมการเรยี น การสอนทส่ี งั เคราะหข์ น้ึ มอี งคป์ ระกอบ ดงั น้ี 8.2 จดุ มงุ่ หมาย 8.2.1 เพ่อื ใหน้ กั เรยี นเรยี นรมู้ โนทศั น์ การคดิ คานวณและการแกป้ ัญหา ทางคณติ ศาสตรไ์ ด้ 8.2.2 เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดส้ ารวจและเผชญิ ความคดิ ของตนเอง 8.2.3 เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดม้ โี อกาสในการแกป้ ัญหาอยา่ งอสิ ระและมเี หตุผล 8.2.4 เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดร้ จู้ กั แนวทางในการแก้ปัญหาหลายๆวธิ ี 8.2.5 เพ่อื ใหน้ กั เรยี นไดพ้ ฒั นาเปลย่ี นแปลงและขยายความคดิ ของตนเอง โดยการแกป้ ัญหาทน่ี กั เรยี นสนใจและตรวจสอบคาตอบทค่ี าดคดิ ไว้ 8.2.6 เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นตระหนกั วา่ ความคดิ ทแ่ี ทจ้ รงิ ของตนเองนนั้ มคี วามหมาย และมคี ณุ ค่า 8.2.7 เพ่อื ใหน้ กั เรยี นไดม้ กี ารสะทอ้ นกลบั อยา่ งมวี จิ ารณญาณและพจิ ารณา อยา่ งรอบคอบถงึ วธิ กี ารทไ่ี ดม้ าซง่ึ คาตอบดว้ ยวธิ กี ารทร่ี วดเรว็ 8.2.8 เพ่อื ใหน้ กั เรยี นนาความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากบทเรยี นไปใชก้ บั สถานการณ์ใหมไ่ ด้ 8.3 องคป์ ระกอบ การพฒั นามโนทศั น์ การพฒั นาทกั ษะและการพฒั นาการแกป้ ัญหาหรอื การนา ความรไู้ ปใชใ้ นสถานการณ์ปัญหาอ่นื ๆ ซง่ึ ไดน้ ามาจดั ไวใ้ นกจิ กรรมการเรยี นการสอน 8.4 ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎี คอนสตรคั ตวิ สิ มท์ ส่ี งั เคราะหข์ น้ึ มดี งั น้ี 8.4.1 ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรยี น ซง่ึ เป็นขนั้ ตอนการเตรยี มความพรอ้ มของนกั เรยี น โดยการทบทวนความรเู้ ดมิ และพยายามกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นระลกึ ถงึ ประสบการณ์เดมิ ทเ่ี กย่ี วข้อง โดยตรงกบั เน้อื หาใหมด่ ว้ ยวธิ กี ารต่างๆ เช่น การสรา้ งสถานการณ์ ยกตวั อยา่ ง ใชเ้ กม ใชค้ าถาม ฯลฯ เพ่อื เป็นแรงจงู ใจในการเรยี นเน้อื หาใหมแ่ ละเพ่อื เป็นพน้ื ฐานในการสรา้ ง โครงสรา้ งใหมท่ างปัญญา ครผู สู้ อนจะตอ้ งคน้ หาและระลกึ ถงึ ความรแู้ ละประสบการณ์เดมิ ของนกั เรยี น เพราะถา้ นกั เรยี นสามารถระลกึ ถงึ ประสบการณ์เดมิ ไดม้ ากนกั เรยี นจะมขี อ้ มลู ทจ่ี ะนามาใชใ้ นการแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ กี ารทห่ี ลากหลายไดม้ าก ดงั นนั้ นกั เรยี นจะตอ้ งแสดง ออกมาใหค้ รผู สู้ อนเหน็ วา่ แต่ละคนมคี วามรพู้ น้ื ฐานเดมิ ในเรอ่ื งทเ่ี รยี นมากน้อยเพยี งใดเพอ่ื เป็น การทดสอบความคดิ รวบยอดความรเู้ ดมิ ทส่ี มั พนั ธก์ บั เน้ือหาใหม่ หลงั จากนนั้ ครผู สู้ อนแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ หน้ กั เรยี นทราบ
64 8.4.2 ขนั้ สอน 8.4.2.1 ขนั้ เผชญิ สถานการณ์ปัญหา ซง่ึ เป็นแกป้ ัญหาเป็นรายบุคคล ครผู สู้ อน เสนอสถานการณ์ทเ่ี ป็นปัญหาทส่ี มั พนั ธก์ บั บทเรยี นและสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั เหมาะสม กบั วยั และความสามารถของนกั เรยี นเป็นแรงจงู ใจใหน้ กั เรยี นเกดิ ความอยากรอู้ ยากเหน็ ซง่ึ นกั เรยี นทาความเขา้ ใจสถานการณ์ปัญหาและหาแนวทางในการแกป้ ัญหา โดยใชส้ อ่ื ทเ่ี ป็น รปู ธรรมทค่ี รผู สู้ อนเตรยี มให้ ครผู สู้ อนกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นพยายามสารวจหาวธิ กี ารแกป้ ัญหาท่ี หลากหลายเป็นรายบคุ คล โดยใชค้ าถามในลกั ษณะสรา้ งสรรค์ ซง่ึ ทาใหน้ กั เรยี นนาความรเู้ ดมิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งและไมเ่ กย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั เรอ่ื งทเ่ี คยเรยี นมาใชใ้ นการแกป้ ัญหา 8.4.2.2 ขนั้ กจิ กรรมไตรต่ รองระดบั กลุ่มยอ่ ย เป็นขนั้ ตอนทส่ี มาชกิ ในกลุม่ ยอ่ ย เสนอแนวทางแกป้ ัญหาของตนเองทอ่ี าจเป็นไปไดต้ ่อกลุ่มยอ่ ย ครผู สู้ อนจะตอ้ งพยายามกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นสะทอ้ นความคดิ ออกมา เพราะการสะทอ้ นความคดิ เป็นการแสดงออกถงึ ความรู้ ความเขา้ ใจของนกั เรยี นว่ามมี ากน้อยเพยี งใด ทช่ี ว่ ยใหส้ มาชกิ เหน็ แนวทางแกป้ ัญหาของคนอ่นื มากยง่ิ ขน้ึ โดยใชส้ อ่ื รปู ธรรม ทดลองและปฏบิ ตั ใิ หเ้ หน็ จรงิ มกี ารแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซง่ึ กนั และกนั จากนนั้ ใหเ้ พ่อื นๆชว่ ยกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ งความสมเหตุสมผลจากการได้ ปฏบิ ตั จิ รงิ มกี ารนาวธิ กี ารของนกั เรยี นแต่ละคนในกลุ่มมาลองใชก้ บั สถานการณ์ตวั อยา่ ง ซง่ึ แต่ละคนอาจจะมวี ธิ กี ารทแ่ี ตกต่างกนั ดงั นนั้ ในแต่ละกล่มุ อาจมวี ธิ กี ารในการแก้ปัญหา มากกวา่ 1 วธิ ี เพ่อื เสนอต่อทงั้ ชนั้ 8.4.2.3 เสนอแนวทางแกป้ ัญหาต่อทงั้ ชนั้ เป็นขนั้ ตอนทก่ี ล่มุ ยอ่ ยเสนอแนวทาง การแกป้ ัญหาและแสดงใหเ้ หน็ จรงิ ถงึ ความสมเหตุสมผล ในขนั้ น้กี ลมุ่ ยอ่ ยจะมสี ่วนช่วยทาให้ ทกุ คนมคี วามพรอ้ มทจ่ี ะนาเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อทงั้ ชนั้ พรอ้ มทงั้ ตอบขอ้ ซกั ถามและชแ้ี จง เหตุผล นกั เรยี นทุกคนจะไดม้ สี ว่ นรว่ มในการอภปิ รายและตรวจสอบถงึ ความถูกตอ้ งและ เหมาะสมในแนวทางการแกป้ ัญหาประเมนิ ทางเลอื กถงึ ขอ้ ดขี อ้ จากดั ของแต่ละทางเลอื กและ สรปุ แนวทางเลอื กทงั้ หมด เพ่อื นาไปใชใ้ นการแก้ปัญหาในสถานการณ์อ่นื ๆ ซง่ึ ครผู สู้ อนตอ้ ง พรอ้ มทจ่ี ะรบั ฟังความหลากหลายและการใหเ้ หตุผลทแ่ี ปลก ซง่ึ อาจจะชว่ ยใหน้ กั เรยี นคนอ่นื ๆ เกดิ ความเขา้ ใจมโนทศั น์ทางคณติ ศาสตร์ ครผู สู้ อนไมค่ วรปฏเิ สธคาตอบหรอื คาอธบิ ายของ นกั เรยี นควรใหโ้ อกาสนกั เรยี นทต่ี อบคลาดเคลอ่ื นไปจากความคาดหวงั ของครผู สู้ อน อาจเป็น อกี ทางหน่งึ ทน่ี กั เรยี นไดส้ รา้ งขน้ึ และชว่ ยใหค้ รผู สู้ อนไดม้ โี อกาสตรวจสอบความเขา้ ใจของ นกั เรยี นและถา้ ครผู สู้ อนมวี ธิ กี ารอ่นื ๆนอกเหนอื จากทน่ี ักเรยี นนาเสนอไปแลว้ แต่นกั เรยี นไมไ่ ด้ นาเสนอครผู สู้ อนสามารถเพม่ิ เตมิ ไดอ้ กี 8.4.3 ขนั้ สรุปนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ หลกั การและกระบวนการแกป้ ัญหา ในเรอ่ื ง ทเ่ี รยี นและครผู สู้ อนชว่ ยเสรมิ แนวคดิ หลกั การความคดิ รวบยอดและกระบวนการแก้ปัญหา ใหช้ ดั เจนยงิ่ ขน้ึ
65 8.4.4 ขนั้ ฝึกทกั ษะและนาไปใช้ เป็นขนั้ ทใ่ี หน้ กั เรยี นฝึกทกั ษะจากใบงานทค่ี รผู สู้ อน สรา้ งขน้ึ ทม่ี สี ถานการณ์ทห่ี ลากหลายหรอื ทน่ี กั เรยี นสรา้ งสถานการณ์ทค่ี ลา้ ยคลงึ กบั สถานการณ์ เดมิ นกั เรยี นเลอื กทางเลอื กทเ่ี หมาะสมเพอ่ื ใชใ้ นการแกป้ ัญหาและสามารถอธบิ ายวธิ แี กป้ ัญหา ของตนเองได้ โดยใหเ้ พอ่ื นในกลุม่ ช่วยกนั ตรวจสอบคาตอบทถ่ี กู ตอ้ งจากบตั รเฉลย นกั เรยี นแต่ ละคนอาจจะเลอื กใชว้ ธิ กี ารในการแกป้ ัญหาทแ่ี ตกต่างกนั ซง่ึ การฝึกทกั ษะจะช่วยใหน้ กั เรยี นมี ความคงทนในการจาและเกดิ ความคลอ่ งแคลว่ แมน่ ยารวดเรว็ และพฒั นาความคดิ อยา่ งมเี หตุผล ครผู สู้ อนจะตอ้ งดแู ลและใหค้ วามชว่ ยเหลอื ในกรณีทน่ี กั เรยี นเกดิ ความขดั แยง้ หาขอ้ สรปุ ไมไ่ ด้ จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นทาแบบฝึกหดั จากบทเรยี น 8.4.5 ขนั้ ประเมนิ ผลขนั้ น้จี ะประเมนิ ผลจากการทาใบงาน จากการทาแบบฝึกหดั ในบทเรยี นและจากสถานการณ์ทน่ี กั เรยี นสรา้ งขน้ึ นอกจากนนั้ ครผู สู้ อนอาจใชก้ ารสงั เกตใน การรว่ มกจิ กรรมในชนั้ เรยี น เพอ่ื เป็นการตรวจสอบระดบั ความรขู้ องนกั เรยี นในเรอ่ื งทเ่ี รยี นวา่ นกั เรยี นมคี วามรคู้ วามสามารถตามเกณฑท์ ไ่ี ดต้ งั้ ไวห้ รอื ไมม่ ากน้อยเพยี งใด เพ่อื เป็นขอ้ มลู ใน การสอนซอ่ มเสรมิ ใหก้ บั นกั เรยี นทย่ี งั ไมผ่ า่ นจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรกู้ ่อนทจ่ี ะทาการสอนเน้อื หา อ่นื ๆต่อไป ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ ซง่ึ จาแนกตามบทบาทและพฤตกิ รรมของครผู สู้ อนและนกั เรยี นไดต้ ามตารางท่ี 1
66 ตารางท่ี 1 บทบาท / พฤตกิ รรมครผู สู้ อนและบทบาท / พฤตกิ รรมนกั เรยี นตาม กระบวนการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ กจิ กรรม บทบาท / พฤตกิ รรมครผู สู้ อน บทบาท / พฤตกิ รรมนกั เรยี น การเรยี นการสอน ขนั้ ท่ี 1 ขนั้ นา -จดั กจิ กรรมเรา้ ความความสนใจ -แสดงพฤตกิ รรมเพ่อื คน้ หาความรทู้ ม่ี อี ยเู่ ดมิ -ครผู สู้ อนกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นระลกึ ถงึ ความรู้เดมิ ของนกั เรยี นทเ่ี กย่ี วกบั มโนทศั น์นนั้ ๆ โดย ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ สอน ทเ่ี กย่ี วขอ้ งและไม่เกย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั เร่อื ง การอธบิ าย 2.1 ขนั้ เผชญิ ทเ่ี รยี น -เขา้ รว่ มกจิ กรรม สถานการณ์ท่ี -สารวจ คน้ หาความคดิ ของนกั เรยี นเกย่ี วกบั เป็นปัญหา เร่อื งทเ่ี รยี นโดยใชค้ าถาม -เผชญิ สถานการณ์ปัญหา -เสนอสถานการณ์ปัญหา -ทาความเขา้ ใจปัญหาจนเขา้ ใจ 2.2 ขนั้ กจิ กรรม -แจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ -สารวจ คดิ คน้ ความรดู้ ว้ ยตนเอง ไตรต่ รองระดบั -เสนอสถานการณ์ปัญหาทส่ี อดคลอ้ งกบั เน้อื หา -หาแนวทางแกป้ ัญหาจากสอ่ื รปู ธรรม กลมุ่ ยอ่ ย และชวี ติ ประจาวนั -แกป้ ัญหาดว้ ยวธิ กี ารทห่ี ลากหลาย -จดั ประสบการณ์ทเ่ี ป็นแรงจงู ใจใหศ้ กึ ษา -คดิ และถามคาถามเกย่ี วกบั มโนทศั น์ -ตงั้ คาถามและกระตุน้ ใหน้ กั เรยี นสารวจ คดิ คน้ ทเ่ี รยี น และหาวธิ แี กป้ ัญหาหลายๆวธิ เี ป็นรายบุคคล -ใชค้ าถามในลกั ษณะสรา้ งสรรค์ -ใชส้ อ่ื รปู ธรรมเพ่อื แสดงการแกป้ ัญหา -สารวจความคดิ ของนกั เรยี น -รวบรวม อธบิ ายและแสดงออก ซง่ึ -ช่วยใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจกระบวนการเรยี นรู้ ความคดิ ของตนเองว่ารอู้ ะไรบา้ ง -จดั เตรยี มสอ่ื รปู ธรรมใหพ้ รอ้ มทกุ กลมุ่ -เสนอแนวทางแกป้ ัญหาของตนเอง ท่ี -สงั เกตการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม อาจเป็นไปไดต้ ่อกลมุ่ ยอ่ ย -กระตุน้ ใหอ้ ธบิ ายสง่ิ ทน่ี กั เรยี นคดิ และสรา้ งขน้ึ -อธบิ ายความคดิ เหน็ ของตนเองเกย่ี วกบั -ใหโ้ อกาสนกั เรยี นไดเ้ สนอแนวทางแกป้ ัญหา มโนทศั น์ใหช้ ดั เจน ดว้ ยตนเอง -สะทอ้ นความคดิ ของตนเองและของสมาชกิ -ตคี วามและอธบิ ายความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น -รวบรวมแนวทางแกป้ ัญหา ใหแ้ จม่ แจง้ -ตรวจสอบและทดลองแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ -ชว่ ยนกั เรยี นทาความเขา้ ใจความคดิ ของ -แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งมเี หตุผล ตนเองใหช้ ดั เจนและพจิ ารณาความคดิ ของ -เปรยี บเทยี บความคดิ เหน็ ของตนเอง ตนเองใหร้ อบคอบ กบั ความคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื -เรยี นรคู้ วามคดิ ประสบการณ์และความสนใจ ของนกั เรยี น -สนบั สนุนใหก้ ลา้ ตดั สนิ ใจในการแกป้ ัญหา -ใหค้ าชมเชยและใหก้ าลงั ใจนกั เรยี นทพ่ี ยายาม คน้ หาแนวทางในการแกป้ ัญหา
67 ตารางท่ี 1 บทบาท / พฤตกิ รรมครผู สู้ อนและบทบาท / พฤตกิ รรมนกั เรยี นตาม กระบวนการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ (ต่อ) กจิ กรรม บทบาท / พฤตกิ รรมครผู สู้ อน บทบาท / พฤตกิ รรมนกั เรยี น การเรยี นการสอน -แสดงวธิ แี กป้ ัญหาของกลมุ่ -เสนอมโนทศั น์ของบทเรยี น โดย -กระตุน้ และสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารแลกเปลย่ี น สอ่ื รปู ธรรม -อภปิ รายและตอบขอ้ ซกั ถาม แนวคดิ ซง่ึ กนั และกนั -คน้ หาขอ้ ด-ี ขอ้ จากดั ในความคดิ เหน็ เหลา่ นนั้ 2.3 เสนอทาง -อานวยความสะดวกในการแลกเปลย่ี น -ตรวจสอบความถูกตอ้ งและ ความสมเหตุสมผล แกป้ ัญหาต่อ ความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น -เสนอแนวทางเลอื กทย่ี งั ไมม่ กี ลุ่มใดเสนอ -ซกั ถามเม่อื เกดิ ขอ้ ขดั แยง้ และ ทงั้ ชนั้ -เปิดการอภปิ รายใหก้ วา้ ง ถามครผู สู้ อน เม่อื ไมเ่ ขา้ ใจวธิ กี ารทค่ี รผู สู้ อนนาเสนอ -ทาใหแ้ น่ใจวา่ ทุกความคดิ เหน็ ไดร้ บั พจิ ารณา -แสดงความคดิ ถงึ ขอ้ ด-ี ขอ้ จากดั ของวธิ กี ารต่างๆ -ยอมรบั การแสดงความคดิ เหน็ ไดร้ บั พจิ ารณา ทก่ี ลมุ่ ยอมรบั -ยอมรบั การแสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น ทม่ี ตี ่อความคดิ ใหมแ่ ละกระตุน้ ใหใ้ ชค้ วามคดิ ต่อไป -เป็นผฟู้ ังทด่ี ไี มต่ รวจสอบความคดิ ของ นกั เรยี นทนั ที -ตอบขอ้ สงสยั เม่อื เกดิ ขอ้ ขดั แยง้ -นาเสนอแนวทางแกป้ ัญหาทน่ี กั เรยี นยงั ไม่ไดเ้ สนอเพมิ่ เตมิ -สง่ เสรมิ และเปิดอภปิ รายใหก้ วา้ ง -กระตุน้ ใหม้ กี ารรว่ มอภปิ รายในการแกป้ ัญหา -ช่วยเหลอื นกั เรยี นเท่าทจ่ี าเป็น -กระตุน้ ใหน้ กั เรยี นคดิ เกย่ี วกบั ความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น -ชว่ ยนกั เรยี นเชอ่ื มความรเู้ ก่ากบั ความรใู้ หม่ -อภปิ รายขอ้ ด-ี ขอ้ จากดั ของการแกป้ ัญหา ดว้ ยวธิ กี ารต่างๆทท่ี งั้ ชนั้ ใหก้ ารยอมรบั -ตอบคาถามเม่อื นกั เรยี นสงสยั -ใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั -ประเมนิ ความคดิ ของนกั เรยี นเพอ่ื การเปลย่ี นแปลงและพฒั นา 3.สรุป -ใชค้ าถามเพอ่ื สรปุ บทเรยี น -รวบรวมความคดิ ของนกั เรยี น
68 ตารางท่ี 1 บทบาท / พฤตกิ รรมครผู สู้ อนและบทบาท / พฤตกิ รรมนกั เรยี นตาม กระบวนการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ (ต่อ) กจิ กรรม บทบาท / พฤตกิ รรมครผู สู้ อน บทบาท / พฤตกิ รรมนกั เรยี น การเรยี นการสอน -ชว่ ยใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจแนวคดิ ความคดิ รวบยอด -ประเมนิ ทางเลอื กใหเ้ หมาะสมกบั กระบวนการแกป้ ัญหาและหลกั การทถ่ี กู ตอ้ งให้ แต่ละสถานการณ์ ชดั เจนยง่ิ ขน้ึ -ซกั ถามขอ้ สงสยั -ยอมรบั ฟังความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นทม่ี ตี ่อ -ตอบคาถาม ความคดิ ใหม่ -รว่ มอภปิ รายและลงขอ้ สรุป -สรุปหลกั การและกระบวนการแกป้ ัญหา ขนั้ ท่ี 4 ฝึกทกั ษะ -สงั เกตการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเป็นรายบคุ คล -ทาแบบฝึกทกั ษะจากใบงานทค่ี รผู สู้ อน และนาไปใช้ และกลมุ่ ย่อย เตรยี มมา -ตรวจสอบการแกป้ ัญหาจากสถานการณ์ท่ี -สรา้ งสถานการณ์ปัญหา นกั เรยี นสรา้ งขน้ึ -เลอื กทางเลอื กทเ่ี หมาะสมโดยใช้ -ตรวจแบบฝึกหดั มโนทศั น์เป็นพน้ื ฐานเพ่อื นาไปใชใ้ น -สงั เกตการร่วมกจิ กรรม การแกป้ ัญหา -เสนอสถานการณ์ทห่ี ลากหลายจากแบบฝึกทกั ษะ -ตรวจสอบความถูกตอ้ งจากบตั รเฉลย -ชว่ ยเหลอื เม่อื นกั เรยี นเกดิ ขอ้ สงสยั -ตรวจสอบการแกป้ ัญหาจากสถานการณ์ -สนบั สนุนใหน้ กั เรยี นเลอื กใชว้ ธิ กี ารทเ่ี หมาะสม ทน่ี กั เรยี นสรา้ งขน้ึ กบั สถานการณ์ปัญหา -ทาแบบฝึกหดั เป็นการบา้ น -ช่วยเหลอื และชว่ ยแกป้ ัญหาทม่ี คี วามซบั ซอ้ น -สรา้ งสถานการณ์ทเ่ี ป็นปัญหาทส่ี มั พนั ธ์ มากยงิ่ ขน้ึ และสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั -แนะนานกั เรยี นสง่ิ ทน่ี กั เรยี นตอ้ งการ -ประเมนิ คาตอบซง่ึ กนั และกนั อยา่ งมี ความช่วยเหลอื วจิ ารณญาณ -ซกั ถามเม่อื หาขอ้ สรปุ ไมไ่ ด้ ขนั้ ท่ี 5 -แบบบนั ทกึ การสงั เกตการจดั กจิ การเรยี นการสอน -ประเมนิ ตนเองในการคดิ อย่างมี ประเมนิ ผล -จากการทาใบงาน วจิ ารณญาณ -จากการทาแบบฝึกหดั -มคี วามรบั ผดิ ชอบในการเรยี นของตนเอง -จากการสรา้ งสถานการณ์ปัญหา -สงั เกตจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมในชนั้ เรยี น -ประเมนิ ความคดิ ของนกั เรยี น จากกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั และพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มท์ ผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ ไดข้ นั้ ตอนตามภาพประกอบท่ี 6
69 ขนั้ นา - ตรวจสอบความร้พู นื้ ฐาน ครผู สู้ อนกระต้นุ ให้นักเรียนระลึกถึงความร้เู ดิม - แจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ท่ีจะนามาใช้ในการสร้างความรใู้ หม่ 1. ขนั้ เผชิญสถานการณ์ปัญหาและแก้ปัญหาเป็นรายบคุ คล -เผชิญสถานการณ์ปัญหาท่ีสมั พนั ธ์กบั บทเรียนและสอดคลอ้ งกบั ชีวิตประจาวนั -ทาความเข้าใจสถานการณ์ปัญหา -นักเรียนสารวจ คิดคน้ ความรทู้ ี่จะนามาใช้ในการแก้ปัญหาดว้ ยตนเอง -หาแนวทางแก้ปัญหาเป็นรายบคุ คลโดยใช้ส่ือรปู ธรรมท่ีครผู สู้ อนเตรียมให้ -แสวงหาวิธีการที่หลากหลายในการแกป้ ัญหา 2. ขนั้ กิจกรรมไตรต่ รองระดบั กล่มุ ยอ่ ย -เสนอแนวทางแก้ปัญหาเป็นรายบุคคลต่อกล่มุ ยอ่ ย ขนั้ สอน พฒั นา -อธิบายแนวทางในการแก้ปัญหาของแต่ละบคุ คล ทกั ษะการ ขนั้ สรปุ มโนทศั น์ -กลมุ่ ยอ่ ยตรวจสอบแนวทางแกป้ ัญหาของสมาชิก แก้ปัญหา -แลกเปล่ียนความคิดเหน็ ซ่ึงกนั และกนั ในกล่มุ ย่อย -เลือกแนวทางแกป้ ัญหาที่สมเหตสุ มผล 3. ขนั้ สอนแนวทางแก้ปัญหาต่อทงั้ ชนั้ -ทกุ คนมีความพร้อมที่จะนาเสนอผลงานของตนเอง -อภิปรายและตอบขอ้ ซกั ถามตามแนวทางท่ีกลมุ่ ยอ่ ยนาเสนอ -ตรวจสอบความถกู ต้องถึงความสมเหตสุ มผลของแต่ละแนวทางจากทงั้ ชนั้ -ทกุ คนมีส่วนร่วมในการอภิปรายแนวทางในการแก้ปัญหา -นักเรียนเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อทงั้ ชนั้ -ครผู สู้ อนเสนอแนวทางแก้ปัญหาท่ีนักเรียนยงั ไมไ่ ดน้ าเสนอเพิ่มเติม -รวบรวมวิธีการแก้ปัญหาท่ีถกู ต้องและสมเหตสุ มผลท่ีสมาชิกให้การยอมรบั -อภิปรายขอ้ ดี-ขอ้ จากดั ของแต่ละทางเลอื ก -สรปุ แนวทางเลือกทงั้ หมดเพอ่ื นาไปใช้ในการแกป้ ัญหา -นักเรียนร่วมกนั สรปุ แนวคิด หลกั การ และกระบวนการแก้ปัญหาในเรอื่ งที่เรียน -ครผู สู้ อนสรปุ เพ่ิมเติมเพื่อให้นักเรียนไดค้ วามคิดรวบยอดและหลกั การที่ถกู ต้อง ขนั้ ฝึ กทกั ษะ พฒั นาทกั ษะ -ทาแบบฝึกทกั ษะจากใบงานท่ีครผู สู้ อนเตรียมมา และนาไปใช้ พฒั นาการแก้ปัญหา -ทาแบบฝึกทกั ษะจากสถานการณ์ที่นักเรียนสรา้ งขนึ้ ทาแบบฝึกหดั จากบทเรียน ขนั้ ประเมินผล -แบบบนั ทึกการสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ไมผ่ ่าน ซ่อมเสริม -จากการทาใบงาน / แบบฝึกหดั ผา่ น -จากสถานการณ์ที่นักเรียนสร้างขึ้น -จากการปฏิบตั ิกิจกรรมในชนั้ เรียน เรียนหน่วยต่อไป -จากแบบทดสอบย่อย ทักษะการแกป้ ัญหา ผา่ น ภาพประกอบท่ี 6 ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ มท์ ผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ
70
บทที่ 3 วธิ ีดำเนินกำรวจิ ยั การวจิ ยั คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอน การแกป้ ัญหา คณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ เร่ือง ระบบสมการเชิงเส้น สาหรับนกั เรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการวิจยั ตามลาดบั ดงั น้ี 1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 2. ตวั แปรในการวิจยั 3. ข้นั ตอนการดาเนินการพฒั นากิจกรรม 4. เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 5. รูปแบบการทดลอง 6. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 7. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. ประชำกรและกล่มุ ตัวอย่ำง ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คร้ังน้ี เป็นนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2544 โรงเรียนบา้ นอูบมุง สังกดั สานกั งานการประถมศึกษา อาเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี จานวน 22 คน 2. ตวั แปรในกำรวจิ ัย ตวั แปรที่ใชใ้ นการวจิ ยั จาแนกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ตวั แปรอิสระ ประกอบดว้ ย การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิดของ ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ เพอื่ เพิม่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา
71 2. ตวั แปรตาม ประกอบดว้ ย ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์และเจตคติ ต่อวชิ าคณิตศาสตร์ของนกั เรียน ภายหลงั ไดร้ ับการสอนดว้ ยกิจกรรมการเรียนการสอน ตาม แนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ 3. ข้นั ตอนกำรดำเนินกำรพฒั นำกจิ กรรม ในการสร้างกิจกรรมการเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดของทฤษฎี คอน สตรัคติวสิ ม์ เพอื่ เพมิ่ ทกั ษะการแกป้ ัญหา ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูลจากการสารวจ ขอ้ มูล เบ้ืองตน้ เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง ดงั น้ี 3.1 การสารวจขอ้ มูลเบ้ืองตน้ ผวู้ จิ ยั ไดข้ อคาแนะนาจากผเู้ ช่ียวชาญ ครูผสู้ อน เก่ียวกบั สภาพปัญหาในการจดั การเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ เพ่ือนามาวิเคราะห์สภาพปัญหาและศึกษาหาแนวทางและ วธิ ีการแกไ้ ขปัญหาการเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ที่เกิดข้ึน โดยการสร้างแบบสอบถามครูผสู้ อนที่ สอนวชิ าคณิตศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ของโรงเรียนขยายโอกาสในอาเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี เกี่ยวกบั เน้ือหาวชิ าที่เป็นปัญหาในการจดั การเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ ค 011 ปรากฏวา่ เน้ือหาวชิ า เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น สมการและอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว และ พหุนาม ตามลาดบั ซ่ึงเร่ือง ระบบสมการเชิงเส้น เป็นปัญหาในการเรียนการสอนมากท่ีสุด ดงั น้นั ผวู้ จิ ยั จึงไดน้ าเน้ือหา เร่ือง ระบบสมการเชิงเส้น มาเป็นเน้ือหาในการสร้างและพฒั นา กิจกรรมการเรียนการสอนในคร้ังน้ี 3.2 การศึกษาคน้ ควา้ เอกสาร บทความและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ รวบรวมและวเิ คราะห์เอกสาร บทความและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ดงั น้ี 3.2.1 เอกสารท่ีเกี่ยวกบั หลกั สูตรและหลกั สูตรวชิ าคณิตศาสตร์ 3.2.1.1 หลกั สูตรมธั ยมศึกษาตอนตน้ พุทธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2533) ของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะในดา้ นหลกั สูตรวชิ าคณิตศาสตร์ 3.2.1.2 หนงั สือคูม่ ือการใชห้ ลกั สูตรมธั ยมศึกษาตอนตน้ พทุ ธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2533 ) ของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ 3.2.1.3 หนงั สือคูม่ ือการประเมินผลมธั ยมศึกษาตอนตน้ พุทธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2533) ของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ
72 3.2.1.4 หนงั สือแบบเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ ค 011 ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 ที่สอดคลอ้ งตามหลกั สูตรมธั ยมศึกษาตอนตน้ พุทธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2533) จดั ทาโดยสถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ
73 3.2.1.5 คูม่ ือครูวิชาคณิตศาสตร์ ค 011 ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ที่สอดคลอ้ งตามหลกั สูตรมธั ยมศึกษาตอนตน้ พุทธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2533) จดั ทาโดยสถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ 3.2.2 เอกสาร บทความและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั กิจกรรมการเรียนการสอน 3.2.3 เอกสาร บทความและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั แนวคิดของทฤษฎี คอนสตรัคติวสิ ม์ 3.2.4 เอกสาร บทความและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การแกป้ ัญหา จากการศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผวู้ จิ ยั ไดก้ าหนดข้นั ตอนของการสร้างและพฒั นา กิจกรรมการเรียนการสอน ตามภาพประกอบท่ี 7
74
75 สภาพปัญหา ศกึ ษาจากเอกสาร นกั เรยี นมที กั ษะการแกป้ ัญหาต่า นกั เรยี นขาดการปฏสิ มั พนั ธ์ วิเคราะหป์ ัญหา หนงั สอื งานวจิ ยั และการชว่ ยเหลอื แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซง่ึ กนั และกนั ปรกึ ษาผเู้ ชย่ี วชาญ แนวการแก้ปัญหา กจิ กรรมการสอนคณิตศาสตรย์ ดึ ครผู สู้ อนเป็นศนู ยก์ ลาง ศกึ ษาจากเอกสาร การเรยี นรโู้ ดยการเลยี นแบบหรอื จดจานกั เรยี นไมม่ สี ว่ นรว่ ม หนงั สอื งานวจิ ยั ขาดปฏสิ มั พนั ธแ์ ละการแสดงความคดิ เหน็ ปรกึ ษาผเู้ ชย่ี วชาญ พฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะ การแกป้ ัญหา เน้นการสรา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเอง ใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นร่วม มปี ฏสิ มั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั การสรา้ ง สรา้ งและพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ การนาไปใช้ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ กระบวนการกล่มุ สมั พนั ธแ์ ละการใชค้ าถาม แบบฝึกทกั ษะ ใบงาน เอกสารแนะแนวทาง แบบบนั ทกึ การสงั เกตการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. ปรบั ปรงุ / แกไ้ ขตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ 2. นาไปทดลองกบั กลุ่มตวั อยา่ ง 3. หาประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอน ผลผลิต 1. กจิ กรรมการเรยี นการสอนวชิ าคณิตศาสตร์ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพอ่ื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา 2. แผนการสอนทเ่ี น้นกระบวนการ 3. สอ่ื การเรยี นการสอน เชน่ แบบฝึกทกั ษะ ใบงาน เกม เอกสารแนะแนวทาง แบบบนั ทกึ การสงั เกตการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ภาพประกอบท่ี 7 ขนั้ ตอนการสรา้ งและพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์
76 4. เครื่องมือทใ่ี ช้ในกำรทดลอง เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ในคร้ังน้ีประกอบดว้ ย 4.1 แผนการสอนท่ีเนน้ กระบวนการ ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ 4.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ 4.3 แบบวดั เจตคติต่อวชิ าคณิตศาสตร์ 4.4 แบบบนั ทึกการสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 4.1 แผนกำรสอนทเ่ี น้นกระบวนกำร ตำมแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรัคติวสิ ม์ แผนการสอนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ มแ์ ละกิจกรรมการเรียนการสอนท่ี ผวู้ จิ ยั พฒั นาข้ึน เพอ่ื แกป้ ัญหาการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบสมการเชิงเส้น ซ่ึงมีข้นั ตอนการ ดาเนินการสร้าง ดงั น้ี 4.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลกั การและแนวคิดท่ีเกี่ยวกบั ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ เทคนิคการสอนคณิตศาสตร์ ทฤษฎีการเรียนรู้เกี่ยวกบั การสอนคณิตศาสตร์ 4.1.2 ศึกษาหลกั สูตรคณิตศาสตร์มธั ยมศึกษาตอนตน้ พทุ ธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2533) คู่มือครู แบบเรียนคณิตศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ของกระทรวงศึกษาธิการและเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ทกั ษะการแกป้ ัญหา 4.1.3 วเิ คราะห์จุดประสงคก์ ารเรียนรู้และเน้ือหาวชิ าคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบสมการเชิงเส้น 4.1.4 สร้างแผนการสอนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ม์ จานวน 14 แผนการสอน ใชเ้ วลาคาบละ 50 นาที 4.1.5 นาแผนการสอนที่สร้างข้ึนเสนอต่อผูเ้ ช่ียวชาญดา้ นเน้ือหาและคณะกรรมการ ที่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ จานวน 6 ทา่ น เพ่ือตรวจสอบความถูกตอ้ งและความเหมาะสม แลว้ นามา แกไ้ ขปรับปรุงขอ้ บกพร่องก่อนนาไปใช้ 4.1.6 นาแผนการสอนมาทดลองสอนกบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียน บา้ นโคกผกั หอม อาเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อุดรธานี ซ่ึงเป็นโรงเรียนท่ีมีสภาพโดยทว่ั ไปคลา้ ยคลึงกบั โรงเรียนกลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการทาวจิ ยั จานวน 4 คน (กลุ่มเดี่ยว) ซ่ึงประกอบไปดว้ ย เด็กเก่ง
77 จานวน 1 คน เด็กปานกลาง จานวน 2 คน และเด็กอ่อน จานวน 1 คน เพ่อื หาขอ้ บกพร่อง ทางดา้ นภาษาและการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 4.1.7 ปรับปรุงแผนการสอนแต่ละแผนใหม้ ีความเหมาะสม 4.1.8 นาแผนการสอนท่ีปรับปรุงแลว้ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนบา้ นโคกผกั หอม กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการทดลองแผนการสอน จานวน 12 คน (กลุ่มเล็ก) ซ่ึง ประกอบดว้ ย นกั เรียน 3 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน โดยแตล่ ะกลุ่มประกอบดว้ ย เดก็ เก่ง เดก็ ปานกลาง เด็ก ออ่ น ในอตั ราส่วน 1 : 2 : 1 เพือ่ หาขอ้ บกพร่องเกี่ยวกบั เวลา สื่อการสอนและปริมาณเน้ือหาท่ีใชใ้ น การจดั กิจกรรมและปรับปรุงแกไ้ ขใหส้ มบูรณ์ 4.1.9 นาแผนการสอนที่ปรับปรุงแลว้ เสนอต่อคณะกรรมการท่ีปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบแกไ้ ขคร้ังสุดทา้ ยก่อนนาไปใชใ้ นการวจิ ยั ต่อไป . จากข้นั ตอนการสร้างแผนการสอนท่ีเนน้ กระบวนการ ตามแนวคิดของทฤษฎี คอนสตรัคติวสิ ม์ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา สามารถสรุปเป็นข้นั ตอนตามภาพประกอบที่ 8
78 ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั - ระบบสมการเชิงเส้น - ทกั ษะการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ และเทคนิคการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ - หลกั การแนวคิดและทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ - ทฤษฎีการเรียนรเู้ ก่ียวกบั การเรยี นการสอนคณิตศาสตร์ ศึกษาหลกั สูตรค่มู อื ครู แบบเรียนคณิตศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 วิเคราะหจ์ ดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้แู ละเนื้อหา สรา้ งแผนการสอนตามกิจกรรมการเรยี นการสอนแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสม์ จานวน 14 แผนการสอน (ตามขนั้ ตอนทกั ษะการแก้ปัญหาของโพลยา) นาแผนการสอนให้คณะกรรมการท่ีปรึกษาวิทยานิพนธแ์ ละผเู้ ชี่ยวชาญตรวจสอบแก้ไข นาแผนการสอนไปทดลองสอนกบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง (กลุ่มเด่ียว จานวน 4 คน) นาแผนการสอนมาปรบั ปรงุ เพื่อความเหมาะสมทางด้านภาษา นาแผนการสอนไปทดลองสอนกบั กล่มุ ตวั อยา่ ง (กล่มุ เลก็ จานวน 12 คน) ปรบั ปรงุ แก้ไขแผนการสอนให้เหมาะสมเกี่ยวกบั เวลา สื่อการสอนและเนื้อหาท่ีใช้ในการจดั กิจกรรม แผนการสอนที่ใช้ในการทดลอง ภาพประกอบท่ี 8 ขนั้ ตอนการสรา้ งแผนการสอนทเ่ี น้นกระบวนการ ตามแนวคดิ ของทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ม์ เพ่อื เพม่ิ ทกั ษะการแกป้ ัญหา
79 4.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น ที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึนเป็นแบบทดสอบอิงเกณฑม์ ี 4 ตวั เลือก ในการสร้าง แบบทดสอบอิงเกณฑ์ ไดด้ าเนินการสร้างตามลาดบั ข้นั ตอน ดงั น้ี 4.2.1 ศึกษาเอกสารหลกั สูตร ไดแ้ ก่ คู่มือครู คู่มือวดั และประเมินผล วชิ าคณิตศาสตร์ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ การสร้างตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง เทคนิคการเขียนขอ้ สอบ การสร้างแบบทดสอบอิงเกณฑแ์ ละวธิ ีการสร้างแบบทดสอบแบบปรนยั ชนิด เลือกตอบ 4.2.2 วเิ คราะห์เน้ือหาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น เพื่อแบง่ เน้ือหาออกเป็นเน้ือหายอ่ ยๆแลว้ เขียนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 4.2.3 สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑว์ ดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ แบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 40 ขอ้ ใหค้ รอบคลุมเน้ือหาและจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรม ตามตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร 4.2.4 นาแบบทดสอบที่สร้างข้ึน โดยใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญ จานวน 7 ทา่ น เพ่ือตรวจสอบ ความสอดคลอ้ งของจุดประสงคแ์ ละความครอบคลุมของขอ้ คาถาม (IOC) แลว้ นาคะแนนมาเฉล่ีย ถา้ ไดค้ า่ เฉล่ียต้งั แต่ 0.5 คะแนนข้ึนไป สรุปวา่ ขอ้ สอบน้นั สอดคลอ้ งกบั จุดมุง่ หมายในการเรียนรู้ ถา้ ได้ คะแนนนอ้ ยกวา่ 0.5 นาไปปรับปรุงแกไ้ ข 4.2.5 นาแบบทดสอบท่ีไดร้ ับการแกไ้ ขปรับปรุงแลว้ ไปทดสอบกบั นกั เรียนช้นั มธั ยม ศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนชุมชนกุดหมากไฟท่ีกาลงั เรียนอยใู่ นภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2544 จานวน 40 คน ซ่ึงผา่ นการเรียนรู้ตามจุดประสงคข์ องขอ้ สอบท่ีตอ้ งการทดสอบ 4.2.6 นาคะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบหาค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบ แลว้ คดั เลือกเฉพาะขอ้ ที่มีคา่ ดชั นีอานาจจาแนกต้งั แต่ 0.20 - 0.80 4.2.7 หาคา่ ความยากง่ายของแบบทดสอบแลว้ คดั เลือกเฉพาะขอ้ สอบท่ีมีค่า ความยากง่ายต้งั แต่ 0.20 - 0.80 และไดข้ อ้ สอบท้งั หมด 30 ขอ้ ซ่ึงใชเ้ ป็นแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์
80 4.2.8 นาแบบทดสอบที่ไดค้ ดั เลือกแลว้ จานวน 30 ขอ้ ไปทดสอบกบั นกั เรียน โรงเรียนหนองววั ซอพทิ ยาคม สงั กดั กรมสามญั ศึกษา จงั หวดั อุดรธานี ที่กาลงั เรียนอยใู่ น ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2544 จานวน 50 คน ซ่ึงผา่ นการเรียนรู้ตามจุดประสงคข์ องขอ้ สอบ ท่ีตอ้ งการทดสอบ เพื่อหาคา่ ความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบท้งั ฉบบั (Reliability) ของขอ้ สอบ โดย คานวณจากสูตร KR - 20 ของ Kuder - Richardson ไดค้ า่ ความเช่ือมน่ั ของแบบทดสอบท้งั ฉบบั เทา่ กบั 0.81 จากข้นั ตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ สามารถสรุปเป็นข้นั ตอน ตามภาพประกอบท่ี 9
81 ศกึ ษาเอกสารหลกั สูตร - คมู่ ือครู - การวดั และประเมินผลวิชาคณิตศาสตรร์ ะดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น - การสรา้ งตารางวิเคราะหห์ ลกั สูตร - เทคนิคการเขียนข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ - การสรา้ งแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ วิเคราะหเ์ นื้อหาและจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เปลี่ยนจดุ ประสงคก์ ารเรียนรใู้ ห้เป็นจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม สรา้ งขอ้ สอบ ตรวจทาน การหาประสิทธิภาพของขอ้ สอบ ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา ความยากงา่ ย , อานาจจาแนก โดยผเู้ ช่ียวชาญ โดยการทดสอบ คดั เลือกขอ้ สอบ วิเคราะหแ์ บบทดสอบหาค่าความเช่ือมนั่ ทงั้ ฉบบั แบบทดสอบที่มีประสิทธิภาพ ภาพประกอบท่ี 9 ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191