แด่... li นักสร้าง ขุมทรัพย์ท^ญญา ะ'^ทฟิกผู้นำ เ1^เ.รยงจากหระธรรนเท^นวิ! พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็า ทดูmlโว)
ขุมทรัพย์ทาง!)ญญา ะ ขุดบทtเกผู้นำ แด่... Qj บารมี 0; รวมโอวาทในวาระวันคลายวันเกิดพระภาวนาวิริอคุณ (เผด็จ ทตฺตสิโว) ปีทุทรศักราช ๒๕๓๖ - ๒๕๓๘ โอวาทบุคลากรรุ่น ๙ พุทธศักราช ๒๕๓๙ 7 พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตตสิโว) www.kalyanamitra.org
คำ น่า การนล่นเรือท่ามกลางกระแสคลื่นในมหาสมุทร จำ เป็นต้องมี หางเสิอคอยบังต้บทิศทาง ให้เรือลำนั้นไปถึงทีหมายอย่างปลอดภัย ฉันใด การมีทิวิดอยู่อย่างสงบสุขในทางโลก หรือการประพฤดิปฏิบัดิ ธรรมให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ก็จำ เป็นต้องอาสัยครูบาอาจารย์ผู้มี ความเห็นลูก รู้ลูก และปฏิบัติลูก เป็นผู้เแนะหนทางลูกต้องให้ v_ v. ฉนนน นฅ่...นัก งบารมี ไอ ((ร') ค่านำ
ฝ่ายวิชาการ อาศรมบัณฑิต ได้พิจารณาเห็นว่า โอวาท ข้อคิด และความเห็นต่าง ๆ ที่พระภาวนาวิริยคุณ {เผด็จ ทตฺตชโว) ได้แสดง แก่พระภิกชุ; สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในวาระต่าง ๆ นั้น เป็น ของขวัญอันลํ้าค่า ที'ท่านได้มอบให้แก่บรรดาคิษยานุคิษย์ เพราะ เป็นการประมวลข้อประพฤติปฏิบัติในการสร้างบารมีของท่านออกมา เป็นภาษาง่าย ๆ เป็นบทฝ็กที'ทุกคนสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติ ตามได้อย่างง่ายดาย เพี่อขัดเกลาตนเองให้มีจิตใจสูงขึ้น โอวาทคำสอนเหล่านี้ จึงเปรียบเสมือนหางเสือที่จะช่วยคัดท้าย นาวาชีวิตของนักสร้างบารมี ให้มุ่งหนัาไปถึงฝัง คือนิพพานได้อย่าง ปลอดภัย และยังช่วยให็ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ย่นย่อหนทาง ในการสร้างบารมีไปได้อีกมาก เ^ดอ่านและตั้งใจนำไปปฏิบัติอย่าง จริงจัง ย่อมสามารถเห็นผล เกิดเป็นความเจริญก้าวหนัา ในการฝึกหัด ขัดเกลาตนเองอย่างชนิดก้าวกระโดดทีเดียว ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ฝ่ายวิชาการอาศรมบัณฑิต จึงได้กราบ ขออนุญาตหลวงพ่อ รวบรวม เรียบเรียงโอวาทเหล่านั้น จัดพิมพ์เป็น หนังสือ เพื่อใช้เป็นบทฝึกผู้นำด้านคืลธรรม เป็นต้นแบบอันดีงาม แก่ชาวโลก โดยให้ชีอหนังสือชุดนี้ว่า •'แด่...นักสร้างบารมี\" สำ หรับ \"แด่...นักสร้างบารมี\" เล่ม ๒ นี้ ได้รวบรวมโอวาทใน วาระวันคล้ายวันเกิด พ.ศ. ๒๕๓๖ เรื่อง \"เพราะได้ครูดี จึงจะเอาดีได้\" พ.ศ. ๒๕๓๗ เรื่อง \"การทบทวนคุณธรรม\" พ.ศ. ๒๕๓๘ เรื่อง คํ-เนำ (จ) นฅ่...นกส'ทงบารมี ๒ www.kalyanamitra.org
'•งบประมาณชีวิต\" และโอวาทวันรวมใจสร้างบารมีครบรอบ ๒ ปี ของ 'บุคลากร รุ่น'ที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๓๙ เรื่อง \"อยู่วัดอย่างไรใ'เง้ก้าวหน้า\" ไ'ว้ใน เล่มเดียวกัน ขอใ'ห้'ทุกท่านสามารถสืกษา ค้นคว้า และนำโอวาทอันทรงคุณค่านี้ ไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ให้บังเกิดเป็นคุณธรรม ความดี เป็นบุญบารมียิ่งใหญ่ติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ และเป็นผู้นำ ซึ่งเ'พียบพร้อมด้วยคุณธรรม ตั้งแต่ปัจจุบันชาตินี้เป็นต้นไป ฝ่ายวิชาการ อาศรมบัณฑิต ตุลาคม 'พุทธตักราช ๒๕๔๐ แด่...นักสร้างบารมี ๒ (cv) คํ■เน่า
สารบัญ คำ นำ (๔) เพราะได้ครูดี จึงจะเอาดีได้ ๑ กระแสโลก ๔ ๅฒิธรรม ๖ คนจะได้ดีต้องมีครู ๗ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ๑๐ มีกคุณธรรมโดยผ่านงาน ๑๒ กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ๑๖ ปัญหาประจำสังคม ๑๘ สารบัญ (g>) นด่...นทส'ท้งบารมี ไอ www.kalyanamitra.org
ฆราวาสธรรม Isjla ๒๘ ตรวจสอบตนเอง ฅ๑ การทบทรtเคุณธรรม ๓๔ ชาติกำเนิด ๓๖ ๓๙ ความภูมิใจของผู้เฒ่า ๔๑ ได้ดีเพราะโยมพ่อเคี่ยวเข็ญ ๔๔ วรรณกรรมมีอิทธิพลต่อชีวิต ๔๗ ๕๐ หลักการให้พร ๕๒ สัจจะของใส๓ณี ๕๓ ๕๕ สัจจะของปริพาชก ๕๖ ๕๘ สัจจะของพระองคุลิมาล ๖ฅ ๖๙ ให้พรด้วยสัจจะ ๗๖ ๗๘ ของชีวคราว คนชั่วถาวร ได้ดีเพราะมีครูวิเศษ ความจริงใจและปรารถนาดีต่อลูก ๆ งบประมาณขอฬวิด หัวใจการสืกคุณธรรมอยู่ที่การบริหารปัจจัย ๔ บริหารเวลาให้เป็น ดีลปะการบริหารเวลาของคุณยาย นท่...นัทลร้างบารมี ๒ («) สา'รบัญ
อยู่วัดอย่างไรให้ก้าวหน้า ๘ฅ กิจวัตรทางผ่านคุณธรรม ๘๗ งาน ๓ งบ ๘®' งบที่ ๑ ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ^(ร^ งบที่ ๒ รักษาองค์กร ๙๙ งบที่ ๓ ภาวนากลั่นใจให้เข้าถึงธรรมกาย 6)0® วิธีฝึกสมาธิเบื้องด้น ๑๐๔ ข้อควรระวัง ๑๐๙ ประโยซน้ของการฝึกสมาธิ (ร)(ร)(ร) สารบัญ (ด๐) นด่...นักสร้างบารมี ๒ www.kalyanamitra.org
p *1 V . ^-^ir/
พ,H\"! เพรา d . *. .V•ฟT www.kalyanamitra.org
เพราะได้ครูดี จึงจะเอาดีได้ โอวาทพระเดชพระคุณพระภาวนาริริยคุณ (เผด็จ ฑดฺดสิโว) ในวาระวันคล้ายวันเกิด ๒๑ ธันวาคม พุทธสักราช ๒๕๓๖ ใครก็ตามทีกำลังลอยคออยู่ ท่ามกลางกระแสนํ้าเสิยว หาก ลอยคออยู่เฉย ๆ ไม่ยอมด่อด้าแความเสิยวกรากชองกระแสนา ไม่สิา ก็จะลูกนํ้าฟัดพา และจมนํ้าดายไปในที่สุด ยิ่งถ้าใครว่ายตามกระแสนํ้าไปด้วย ก็จะยิ่งถูกพัดห่างจากฝังมาก ขึ้น ๆ แล้วก็ตายเร็วขึ้น ตรงกันข้ามถ้าใครกัดฟันฝืนว่ายทวนกระแสนํ้า เรือยไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาย่อมสามารถขึ้นฝัง และรักษาชีวิตไวัได้ รอดปลอดภัย
กระแสโลก กระแสนํ้าเชี่ยวมีอุปมาเหมือนกระแสโลก ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมตกอยู่ท่ามกสางกระแสโลก หรือกระแสแห่งกิเลสอันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง กิเลสทั้ง ฅ กระแสนี้ติดตัวเรามา ตั้งแต่เกิด หรืออาจกล่าวให้ชัดลงไปก็ได้ว่า มันนอนเนื่องอยู่ในใจเรามา นานนับภพนับชาติไม่ถ้วน นอกจากกิเลส ๓ ตัวนี้จะฝังแน่นอยู่ในใจเรา เรืยบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เราลืมตาดูโลก เรายังตกอยู่ท่ามกลาง กระแสแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลงของคนทั้งโลกอีกด้วย ถ้าใครปล่อยตัวปล่อยใจกระโจนไปตามกระแสกิเสสเหล่านี้ ก็ เป็นที่แน่นอนว่าตอนมีชีวิตอยู่ก็จะต้องเดือดร้อนลำเค็ญแสนสาหัส แมั หลับตาลาโลกแล้วก็ต้องไปเดือดร้อนต่อในนรกอีก อย่างไม่ต้องสงลัย ใช่แต่คนที่กระโจนตามกระแสเท่านั้นที่จะเดือดร้อน แม้คนที่อยู่ เฉย ๆ เหมือนขอนไม้ลอยนํ้า ไม่ไต้ท่าความชั่วความเลวอะไร ก็มีสิทธ เดือดร้อนด้วย ถ้าเขาไม่ขวนขวายสร้างบุญสร้างบารมื สร้างความดีไวั เป็นภูมิคุ้มกัน และไม่พยายามกลั่นจิตกลั่นใจให้ผ่องใสเต็มที่ ไม่ช้า ไม่นานกระแสโลภ โกรธ หลง ที่มือยู่ในใจของคนรอบต้าน ก็จะดึงดูด บีบคั้นเอา จนกระทั่งต้องไปพลั้งพลาดท่าความชั่วเข้าลักวันหนื่งจนไต้ เพราะฉะนั้น ทางรอดจึงมีอยู่ทางเดียว คือต้องฝืนใจกัดฟัน ทวนกระแสความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้ให้ไต้ เพราะได้ครูดี จึงจะเอาดีได้ ร แด่...นกสรางบารม 1ฮ www.kalyanamitra.org
การที่พวกเราทุกคน รวมทั้งหลวงพ่อยอมสละบ้านเรือนสละโอกาส ที่จะได้ตำแหน่งฐานะอันมีเกียรติยศ ชื่อเสียงทางโลก และเงินทอง ยอมพรากจากพ่อ เฌ่ พี่น้อง ละทิงความสะดวกสบายเยี่ยงชาวโลก ทั่วไป แล้วมาอยู่วัดพระธรรมกาย มาเป็นอุบาสก อุบาสิกากัน ก็เพราะ เรามีความคิดที่จะทวนกระแสโลกทั้ง ๓ กระแสนี้ให้ถึงที่สุด เมื่อมาอยู่วัดแล้ว ก็อย่าเพิ่งประมาท อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะรอดพ้น จากกระแสกิเลสได้นะลูก ก่อนหน้านี้ก็มีพวกที่คิดอย่างเราหลายรุ่น ทั้ง หญิงทั้งชายมากันไม่น้อยเลย ที'มาพร้อมกับหลวงพ่อ จนได้บวช พร้อม ๆ กันก็มี แต่ว่ามาถึงวันนี้ พวกเขาเหล่านั้นหลาย ๆ คน ได้ทิ้ง เล้นทางบุญ ย้อนกลับไปจมอยู่ไนกระแสโลกตามเดิมอีกแล้ว บางคนมาอยู่วัดมาสร้างบุญบารมีก่อนหลวงพ่อเสียอีกทั้งๆที่ เคยเป็นกัลยาณมิตรให้หลวงพ่อ เคยช่วยกันดูแลสุขภาพคุณยาย อาจารย์มาด้วยกัน แต่วิริยอุตสาหะของเขามันน้อย ก็เลยด้องหลุด ลอยไป บางคนวิริยอุตสาหะของเขาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าหลวงพ่อเลย แต่เขาจับหลักคิดไม่ลูก ในทีสุดเขาก็หลุดจากรงบุญไปอย่างน่า เสียดาย วันนี้หลวงพ่อจึงอยากจะชี้ให้ดูว่า คนที'เขาสามารถรักษากาย รักษาใจให้สร้างบารมีมาตลอดรอดฝังได้ เขามีหลักการและวิธีการ อย่างไร ขอให้ถือว่านี่เป็นพรในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อก็แล้วกัน น(;)...นักลร้างบารมี ใอ ๕ ivinsUครูดี ดีฬะIอาดีไค้
วุฒธรรม หลักการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรับรองไว้ชัดเจนว่า (^ด ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตรงตามนี้แล้ว จะสามารถฟันฝ่ากระแสโลกไปได้ ตลอดรอดฝัง และยังสามารถสร้!งบุญบารมีได้เต็มที่ มีแต่ความเจริญ ก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่พบความเสีอมเลย ก็คีอหมวดธรรมที่ชื่อว่า ๅฒิธรรม ® ชื่งมีหลักการ ๔ ประการ คือ ๑. คบสัดบุรุษ ๒. ฟังดำสอนของสัดบุรุษ ฅ. ดรองดำสอนของสัดบุรุษ ๔. ปฏิบัติดามดำสอนของสัดบุรุษให้เต็มที่ หลักการก็มีลัน ๆ เพียง ๔ ข้อเท่านี้ หลวงพ่อได้มาทบทวน ตัวเอง ชำ แล้วชํ้าอีก ก็พบว่าทั้งหลวงพ่อแสะหยู่คณะที่สร้างบารมีมา ยาวนานถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะได้ปฏิบัติตาม \"ๅฒิธรรม\" ครบถ้วน พอสมควรทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงมาไม่ถึงวันนี้ คงท้อถอยถึกหาลาเพศ ออกไปมีลูกมีเมียก้นนานแล้ว สังคีติสูตร, ท.ปา. ๑๖/เร(£๐/®๘๗ (มมร.) ๓ราะได้ทุดิฆืจ!;เอาสิไ(ท้ x> แด่...นักสร้างบารร www.kalyanamitra.org
คนจะได้ดีต้องมีครู วุฒิธรรมข้อแรก ที่ว่า ให้คบสัตบุรุษ คำว่า คบสัตบุรุษ ถ้าถือ เอาตามตัวอักษรแล้วเราจะไม่ได้อะไร แต่ถ้าเฉลียวใจคิดสักนิด แล้ว อ่านหนังสีอธรรมะให้มากสักหน่อย จะพบว่า การคบสัตบุรุษนั้น ท่าน หมายถึง \"ตั้งใจ'พาครูดีให้พบ\" คือต้องตระหนักว่า ถ้าเราค้นครูดีไม่ พบ หรือหาผู้จุดประทีปธรรม ซึ่งเป็นเครื่องส่องสว่างทางใจให้!ม'เจอ ชาตินี้เผลอ ๆ อาจจะไปก่อเหตุให้ตกนรกได้ง่าย ๆ และที่แน่ ๆ คือ เลียเวลาไปเปล'าทั้งชาติ บางคนแม้กระทั่งวันตาย ก็ยังไม่ทราบว่า ทำ ดี คือท่าอย่างไรเสียด้วยชํ้า ? เท่าที่พบเห็นมามากต่อมาก คนเราจะเก่งจะดี โดยไม่มีครูนั้น ท่า ไม่ได้ จำต้องอาตัยครูเป็นผู้ชี้แนะน่าทางลว่าง อย่างน้อยก็ชี้แนะใน เบื้องต้นให้ ถ้าใคร ๆ ก็ลามารถเอาดีได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีครู ไม่มีสัตบุรุษ ไม่ต้องมีกัลยาณมิตรมาชี้น่าให้แล้ว พระสัมมาสัมพทธเจ้า ก็คงไม่จำเป็นต้องบังเกิดชื้น สัตวโลกทั้งหลายก็คงไปนิพพานกันได้เอง หมดตั้งนานแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม'เป็นอย่างนั้น อย่าว่าแต่ไม'มีพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามาบังเกิดเลย ขนาดมีพระสัมมาล้มพุทธเจ้ามาบังเกิด มาเทศน์โปรดสัตวโลกพระองค์แล้วพระองค์เส่า ชาวโลกบางพวกใน ขณะนั้นก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจธรรมะกันเลย ยิ่งหลังจากพระองค์เลด็จ ดับฃันธปรินิพพานแล้ว ถ้าไม่มีพระลาวก ซึ่งทรงความรู้ความลามารถ มาส่วยชี้แนะ เป็นครูบาอาจารย์ลังลอนให้เราอีกทอดหนึ่งแล้ว เราก็ แด่...นักสร้างบารมี ใอ « พราะได้ครูดี จงจะ(อาดีได้
คงจะนำพระธรรมคำสังสอนของพระพุทธองค์ มาฝ็กหัดขัดเกลาตนเอง ไม่ถูก ไม่เป็น ไม่ได้ หรือได้ไม่เต็มที่ แต่ชาวโลกยังโซคดี ที'มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) มาเป็นครูบาอาจารย์ใหั โดยท่านได้นำพระธรรมคำสังสอนของพระสัมมาส้มพุทธเจ้ามาอธิบาย ขยายความ ส่องให้สามารถเห็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติได้ง่าย และชัดเจนโดยเฉพาะการฝึกสมาธิจนเข้าถึงธรรมกายภายใน จากนั้นก็สีบทอดมาถึงคุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ้ (หลวงพ่อธัมมชโย)' จนกระทั่งมาถึงพวกเรา ซึ่งมาอยู่รวมกัน ณ สถานที่นี้ พวกเราเกิดมาไม่ทันพระสัมมาส้มพุทธเจ้า แล้วยังไม่ทันหลวงพ่อ วัดปากนำรํอ!ี.ก แต.่คุณยายอาจารย์rท.่านมาทันหลวงพ่.อวัดป.ากนำรํ มIี หลวงพ่อวัดปากนํ้าเป็นครู หลวงพ่อเอง แม้มาทันได้พบหลวงพ่อวัดปากนํ้า แต่ว่าขณะนั้น ยังเด็กนัก ฟังธรรมะไม'เข้าใจ ปีถัดมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ วัดปากนํ้า ท่านก็มรณภาพ จึงไม่มีโอกาสเป็นติษย์ท่านโดยตรง แต่เมื่อ หลวงพ่อได้พบคุณยายอาจารย์ พบหลวงพ่อธัมมชโยแล้ว จึงได้ท่านทั้ง สองเป็นครูบาอาจารย์สอนธรรมะให้ จึงพอรอดตัวมาได้ถึงทุกวันนี้ \" ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ดำ รงตำแหน่งสมณสักดเป็น พระเทพญาณมหา}JU วิ. (ไชยyลย์ ธมฺมชโย) เพ-ทะนคพี จฬะเอาดิได้ G นด่...นกสร้างบารมี น) www.kalyanamitra.org
ส่วนพวกเรา ลูกพระ ลูกเณร อุบาสก และอุบาสิกาของหลวงพ่อ แม้จะมาทันคุณยายอาจารย์ แต่คุณยายก็อายุตั้งเกือบ ๙๐ ปีแล้ว ท่าน ไมม้เรี่ยวแรงมากพอที่จะมาเคี่ยวเข็ญพวกเราอีก ก็ยังพอมีหลวงพ่อ ทั้งสองที่ช่วยรับหน้าที่เป็นครู เป็นพี่เลี้ยงแทนคุณยาย เราจึงได้มีโอกาส สืกฝนตนเอง จนสามารถอยู่ร่วมกันจนเป็นหมู่คณะใหโยู่ได้ แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ชึ่งดูเผิน ๆ เหมีอนกับว่าท่านสามารถ เอาดีได้ด้วยลำพังตนเอง โดยไม่ต้องมีครูมาล้งสอนอบรมให้ เพราะท่าน สามารถตรัสรู้ธรรมได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อเจาะลึกเข้าไปแล้วก็จะพบว่า ที'ท่านมีความสามารถในชาติที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าน้น ก็เพราะ พื้นฐานธรรมะของท่านแน่นมาจากชาติที่แล้ว ๆ เนื่องจากท่านเองเคย ได้รับการเคี่ยวเข็ญอบรมจากครูบาอาจารย์ในอดีตชาติมาน้บภพน้บชาติ ไม่ถ้วน ไมใช่ว่าอยู่ดี ๆ ท่านจะสามารถเอาตัวรอดเข้านิพพานได้เอง _ CV ^ V .? li หรืออย่างพระสัมมาล้มพุทธเจ้าของเรา พระองค์ก็ต้องทรงเคย ได้ครูดีชี้น่ามาตลอดทาง นับชาติกันไม่ถ้วน คือได้พบพระสัมมา ล้มพุทธเจ้าในอดีตมานับล้าน ๆ พระองค์ คืกษาธรรมะจากสำนัก พระสัมมาล้มพุทธเจ้าในอดีตมานักต่อนัก จนกระทั่งภูมิธรรมแน่น ใน พระชาติสุดท้าย พระองค์จึงสามารถตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูของพวกเราด้วย พระองค์เอง แด่...นักสร้างบารมี เพราะได้ทุดี จืงจะIอาดีไต้
ขนาดพระสัมมาสัมทุทธเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุดในโลก ก็ยังต้องทรงมีครูมาก่อน เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงกล้ายืนยันว่า ''คนเราต่อให้เก่งแสนเก่งแค่ไหน ล้วนไม่สามารลจะเอาดีโดย ลำ ฟังตัวเองได้ทุกคน จำ เแนด้องมีคเดี มีกัลยาณมิตร ต่วยเคี่ยวเข็ญ อบรมสั่งสอน อย่างน้อยฑ็ด้องปูพื้นฐานอัน^กด้องมั่นคงให้ก่อน\" ตนเ!เนที่พึ่งแห่งตน พวกเราบางคนอาจจะนึกแย้งว่า ถ้าอย่างนั้นก็ค้านกับพุทธพจน์ที่ ว่า \"อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนฟ้นที่พึ่งแห่งตน\"\" น่ะซิ ขอตอบว่า ไม่ค้าน เพราะถึงแม้ใครจะมีครูดีแล้ว ได้ครูดีวิเศษขนาดไหนแล้ว และ แม้จะได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองแล้วก็ตาม ก็ยังจำเป็นจะต้องพึ่ง ตัวเองอย่ดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า \"ภิกษุ เราเป็นเพียง ผู้ขี๋ทาง!ห้ แต่เธอต้องเดินเอง\" เพราะฉะนั้น เริ่มแรกต้องมีครู เพึ่อชี้ทางถูกให้ หสังจากรู้จักทาง ถูกแล้ว ก็ต้องพึ่งตัวเองต่อไป คือต้องเดินทางนั้นเอง ใครจะเดินแทน ไม่ได้ จึงตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า \"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน\" \" เรื่องมารดาซองพระๆมารกัสสปเถระ, ชุ.ธ.อ. ๙๒/๒๐๓-๒อรร(มมร.) \" ลุพัฎฐกสุตดนิทเทสที่ ๒. ชุ.ม. ๖๕/๓๗/๒๐๐-๒๐® (มมร.) [พราะได้ครุด็ 5ง%เอาด็ได้ oo นด่...นักส'ภ้งบารมี โอ www.kalyanamitra.org
เราจะพึ่งตนเองกันได้อย่างไร ? ในวุฒิธรรม พระพุทธองค์ตรัสเฉลยไว้อย่างชัดเจน ให้พึ่งได้ด้วย การตั้งใจฟังสัตบุรุษ ๑ ตรองคำสัตบุรุษ ๑ แล้วก็ทำตามสัตบุรุษ ๑ พูดง่าย ๆ คือเริ่มต้นต้อง \"หาครูดี\" ให้ได้ก่อน ถ้าหาครูดีไม่ได้ ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้ ขั้นต่อมาแม้หาครูดีได้แล้ว ก็ยังไม'พอ ยังจะต้อง ตั้งใจ \"ฟังคำครู\" และไม่ใช่แค่ฟังแบบผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา ต้องผ่านใจ ด้วย คือจะต้องนำคำสอนนั้น ๆ ของครูไปคิดไปพิจารณาต่อไปอีก เรียกว่า \"ตรองคำครู\" ฟังมาแล้วก็ต้องนำไปตรองแล้วตรองอีก ให้ เข้าใจความหมายลึกชึ้งที่อยู่ในคำสอนนั้น ๆ จนสามารถนำไปปฏิบัติ อย่างเหมาะสมได้ แล้วก็ลงมือปฏิบัติ เรียกว่า \"ทำตามครู\" การทำตาม ครู ก็ยังต้องปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีก จนกว่าจะถูกต้องเชี่ยวชาญ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นหลักการขั้นตอนโดยย่อของการสืกตัว เพี่อการสร้างบุญบารมีให้ตลอดรอดฝัง ตามคำสอนของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวก ซึ่งถ้าแยกแล้วก็จะพบว่า มี บุคคลแค่ ๒ ฝ่าย คือ \"ฝ่ายครู\" กับ \"ฝ่ายตัวเรา\" นี่ก็เป็นสิงยืนยัน ว่า จะเกิดต่อไปอีกร้อยชาติพันชาติ หมื่นชาติแสนชาติก็ตามที ถ้าจะเอาดี ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ๆ นั้นไม่ได้ ทุกคนจำต้องมีครู และต้องได้ครูดี ด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใคร ๆ ก็ต้องหาครูดีให้พบก่อน นด่...นักสร้างบารมี โฮ ๑® เพ'ทะได้คJดี จงจะเอาดีได้
แกคุณธรรมโดยผ่านงาน เมื่อพบครูดีแล้วก็ต้องเข้าไปฟังท่านสังสอน แต่เมื่อฟังท่านสอน แล้ว บางทียังรู้สืกว่าไม่ลึกซึ้ง ทำ อย่างไรจึงจะมีโอกาสฟังในเรื่องลึกซึ้ง ตรองในเรื่องที่ลึก ๆ ถึงแก่นโดยไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน จนกระทั่ง สามารถนำไปปฏิบัติได้ถูกต้องเต็ม ๑๐๐ % ทางสำเร็จมีอยู่ทางเดียว เท่านั้น คือถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีการงานใดเกิดชื้น ต้องรีบขันอาสาไป ทำ ให้ท่าน ยิ่งงานนั้นเป็นงานยากก็ยิ่งดี เพราะถ้างานที่ท่านมอบหมายมี ความยากมาก ท่านก็จะต้องคอยเอาใจใส่ ตามมาช่วยแนะนำทั่งสอน ต่ออีกในเวลานั้น เราก็จะมีโอกาสได้ฟังเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมากกว่าใคร ยิ่งงานนั้นมีป้ญหามาก เราฑ็จะถูกบังด้บให้ต้องดรองมาก ตรอง ได้ทะลุเมื่อไร ก็รีบลงมีอทำงานทันที แล้วผลงานที่เกิดนั่นแหละ จะเป็น ตัววัดว่า เราสามารถทำตามครูได้มากน้อยเพียงใด จากนั้นสายใยแห่ง ความรัก ความปรารถนาดีระหว่างครูกับเรา ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นแฟัน มั่นคง อย่าไปคิดผิด ๆ ว่า ทำ ไมท่านถึงมอบงานยากอย่างนี้ให้ หรือ ทำ ไมเราถึงโง่ไปรับงานยาก ๆ มา ว่าแล้วก็ทิ้งงาน หนีงานไป ถ้าใครคิด อย่างนี้ก็จะไม่เกิดสายสัมพันธ์ใด ๆ กับครูบาอาจารย์เลย แล้วโอกาส ที่จะได้รับการถ่ายทอดความรู้ ถ่ายทอดคุณธรรมจากครูบาอาจารย์ให้ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะหมดไปโดยปริยาย เพ'รารไดัค3ดิ รืฬะเราค็ได้ ๑าร นฟิ...นทสรา4บารมี ไร) www.kalyanamitra.org
แต่ถ้าคิดว่างานนี้ยากดีจัง จะต้องทำให้สมกับที่ท่านไว้วางใจเรา นับว่าเป็นบุญใหญ่ ลาภใหญ่ของเราแล้ว ที่ได้มาฝึกคุณธรรมผ่านงานนี้ เพราะฉะนั้น เราจะทำงานชิ้นนี้ให้ท่านจนสุดฝึมือ สุดชีวิต หากเหลือบ่า กว่าแรง ท่านก็ต้องตามมาช่วยเราเอง ตราบใดที่เรายังไม่ยอมทอดทิ้ง งาน ท่านก็จะไม่ยอมทอดทิ้งเราอย่างแน่นอน จากจุดนี้เอง ที่เราจะไต้ชุมทรัพย์ทางปัญญา ได้บุญบารมื ได้ เคล็ดวิธีต่าง ๆ ต่อไบ่อีกอย่างมากมายมหาศาล คือจะไต้ฟังคำครู จะมื โอกาลตรองคำครู และจะได้ทำตามครู จนครบขบวนการในทุก ๆ I _ เรองราว หลวงพ่อมองภาพสายใยแห่งการล่ายทอดคุณธรรม ในลักษณะ เช่นนี้ชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อครูบาอาจารย์ มอบหมายงานอะไรให้ทำ ไม่ว่างานนั้นจะยากเย็นแลนเข็ญเพียงใด หลวงพ่อไม่เคยหนีงาน มืแต่ทุ่มชีวิตทำอย่างสุดความลามารถ แล้วก็ หมั่นเข้าไบ่หาครู ทิ้งปรึกษางานเก่า ทิ้งอาลารับงานใหม่จากทำนให้ บ่อยขึ้น ผลจากการหมั่นเข้าไปปรึกษา และอาลารับงานใหม่มาทำบ่อย ๆ เลยถูกบังคับโดยอัตโนมัติให้ต้องตรองคำครู เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคย ได้ยินทำนพรํ่าลอนมา บางอย่างตรองเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ครั้นรับ งานท่านมาแล้ว มืความจำเป็นว่าจะต้องตรองคำของท่านให้เข้าใจให้ได้ ถ้าเข้าใจไม่ได้ เข้าใจไม่ถูก ก็ทำ งานต่อไปไม่ได้ นฅ่...นักลร้างนาร}! เฮ OP) เพราร;ไสัทุด็ จงจะเอาดิน
หลวงพ่อทั้งตรองคำของท่านโดยตรง ทั้งตรองคำอันเป็นเฌ่บทที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ตรองรวมกันบ้าง ตรองเปรียบเทียบกัน บ้าง เมื่อตรองหนักเข้า ๆ ก็จะเข้าใจทั้งคำสอนของท่าน ทั้งคำสอนที่ เป็นแม่บทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชัดเจนขึ้น แล้วก็สามารถนำไป ประพฤติปฏิบัติในงาน จนเกิดคุณธรรมเพิ่มพูนงอกงามขึ้นมาในใจได้ เพราะฉะนน จึงขอยีนยันว่า คุณธรรมเกิดขึ้น เพราะผ่านการ ทำ งานอย่างเต็มที่แน่นอน แล้วยังได้บุญบารมีเพิ่มขึ้นทั้งวันทั้งคืน พร้อมกับผลงานมากมายมหาศาลอย่างนี้แหละลูกเอ๊ย ก็อยากจะเตือนเอาไว้ตรงนี้ เนื่องจากการที่จะได้รับความรู้ ได้รับการถ่ายทอดคุณธรรมความดีจากครูบาอาจารย์ เราจะด้อง กระดือเอรัน อาสาทำงานให้ท่าน เพราะฉะนั้น ถ้าจะถูกใครเขาว่าเสือก ว่าเสนอหน้าก็ต้องยอมนะลูกนะ ต่อไปนี้งานอะไรก็ตามที่ท่านให้มา ให้คิดว่านั่นเป็นทางผ่านของ คุณธรรมเข้าส่ใจเรา ท่านองเดียวกับสายไพ่เป็นทางผ่านของกระแส ไพ่ฟ้าเข้าส่หลอดไพ่ ท่าให้สว่างไปทั้งบ้าน คือกระแสไพ่ฟ้ามันเกิดจาก เครื่องผลิตไพ่ฟ้า ซึ่งอยู่ตั้งไกลลิบลับ ถ้าจะให้มาสว่างที่บ้านเราต้อง มีทางผ่าน คือต้องมีสายไพ่ฟ้าต่อเข้ามา ถ้าไม'มีสายต่อมาจากเครื่อง ผลิตไพ่ฟ้า กระแสไพ่ฟ้าจะไหลมาถึงบ้านเราไม่ได้ บ้านเราก็มีดอยู่นั่น แหละ เพาะนทุดิ จืงจะเอาด๊ได้ Off นค่...นักสร้า'!บารมี 1อ www.kalyanamitra.org
หลวงพ่อเองตั้งแต่เด็ก เมื่อเห็น^หญ่ทำงานอะไรแล้ว เป็นต้อง ยึ่นหน้าเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อสงสัยก็ซักก็ถาม จนกระทั่งเข้าใจแล้ว ก็อาสาใ{วยท่านทำเลย ไม'ใช่เข้าใจแล้วก็เดินหนี เพราะฉะนั้น เ^หญ่ที่หลวงพ่อได้มีโอกาสเข้าใกล้ จึงฌตตาหลวงพ่อ ทุกท่าน อะไรผิด ท่านก็ฌตตาช่วย ฃให้ อะไรถูก ท่านก็สนับสนุน พร้อมกับเต็มใจอบรมสังสอนให็ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น บางครอบครัว ขนาดลูกหสานท่านเอง ท่านยังไม่สอนให้เลย เพราะถือว่าไม่ให้ความ สนใจ สมัยอยู่โรงเรียนประถม พอหลวงพ่อเห็นครูเขียนกระดานดำ จนเต็มกระดานแล้ว เราตัวเล็กนั่งอยู่หน้าสุด ก็รีบลุกไปช่วยครูลบ กระดานดำ เพราะคิดว่าครูจะได้!ม่หนักแรง โต๊ะครู เก้าอี้ครู หลวงพ่อ ช่วยจัดให้เรียบร้อยอย่างดีตลอด ในวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุด ต่าง ๆ หลวงพ่อชอบไปเยี่ยมบ้านครู อาสาช่วยงานต่าง ๆ ของท่าน เพื่อนบางคนที่เห็นดีเห็นงามตามกัน หลวงพ่อก็ชวนไปด้วย บาง คนนิสัยพาลหน่อย ก็ด่าว่าหลวงพ่อชอบเสือก เสือกก็เสือก แต่เสือก แล้วได้ความรู้ ได้ความดีเพิ่มขึ้น อย่างนี้ชอบ เพราะฉะนั้น เพื่อน พาล ๆ จะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่จริง ๆ แล้วตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะไปเอา อะไรจากครู เพียงแต่คิดจะไปช่วยเหลือท่าน ทำ อะไรแล้วลดภาระของ ครูเดกจะทำ นด่...นักลร้างบารมี นเ 0๕ เพราะไสัค จืงจะเราดิไสั
พอมาพบคุณยายอาจารย์ที่บ้านธรรมประสิทธี้ รู้จักได้ไม'กี่วัน อาสางานจัดรองเท้าของญาติโยมที่มานั่งสมาธิกับคุณยายอาจารย์ที่บ้าน ธรรมประสิทธิ้ นิสัยชอบอาสาครูบาอาจารย์นี้มีมาตั้งแต่ยังไม่เข้าวัด จนกระทั่ง เข้าวัดมาแล้วก็ยิ่งอาสาท่านเพิ่มขึ้นไปอีก ท่าถูกบ้างผิดบ้าง ท่าไหได้ร้บ การพรํ่าสอน ดุด่าว่ากล่าวเป็นพิเศษ ตลอดเวลาเหล่านั้น ได้ตั้งใจฟัง ตั้งใจจำ ตั้งใจตรอง แล้วก็ได้ตั้งใจทำตามที่ครูบาอาจารย์สังสอนอย่าง ครบถ้วน เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงสร้างบุญสร้างบารมีมาได้ตลอด รอดฝังจนถึงทุกวันนี้ ถ้าใครอยากจะให้ความรู้ ความสามารลก้าวหน้า อยากจะให้ ภูมิธรรมสูงยิงขึ้น จำ ไว้นะต้องเข้าไปหาครูบาอาจารย์ ไปซักลาม ปัญหา ไปอาสาข้วยงานท่าน แล้วก็ทำงานของท่านให้ดีที่สุด ถ้าทำได้ ครบถ้วน คุณธรรมของเราจะเพิ่มพูนขึ้นท้นตาเห็น ไม'ต้องรอปีหน้า ชาติหน้า ทำ เดี๋ยวนั้นก็ได้เดี๋ยวนั้น กลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ที่หลวงพ่ออธิบายขยายความมาทั้งหมด ก็เพี่อจะให้พวกเราเห็น ความสำคัญของการ \"มีครูดี\" ดังที่ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงสนทนา กับพระอานนท์ ว่า ทะไต้ครูดี จงจะเอาดีใต้ ©จ แด่...นักสร้างบารมี ใร www.kalyanamitra.org
\"อานนท์ การที่ใครจะประพฤติพรหมจรรย์ให้ตลอดรอดฝังได้ ต้องอาด้ยกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ\" พระอานนท์ก็เลยทูลถามว่า \"ถ้าอย่างนั้น กัลยาณมิตรก็เป็นครึ่ง หนึ่งของพรหมจรรย์ใช่ไหม พระเจ้าข้า\" พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า \"ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะความจริงแล้ว กัลยาณมิตรแนทั้งหมดของพรหมจรรย์\"\" ทำไมพระองค์จึงตรัสอย่างนั้น ตอบว่าเพราะเริ่มแรกผู้ที่จะ ประพฤติพรหมจรรย์ หรือจะสร้างบารมี จำ เป็นต้องหาครูดีมาเป็น กัลยาณมิตรให้ไต้เสียก่อน แล้วอาต้ยครูนั่นแหละคอยพรึ่าสอนพรึ่า เตือน จนกระทั่งเกิดโยนิโสมนสิการ คือจับแง่คิด มุมมองไต้ถูกต้อง ตั้งแต่เรึ่องง่าย ๆ ทั่วไป จนกระทั่งถึงเรึ่องคุณธรรมความดีที่ละเอียด ลุ่มลึกไปตามลำดับ เมื่อจับแง่คิดมุมมองถูกต้องแล้ว ก็ไม'ควรหยุดเพียงแค่นั้น คือ ไม่เอาคำสอนที่ตรองไดไปกองทิ้งเสีย แต่ต้องนำไปปฏิบัติแกไขตนเอง อย่างจริงจัง จนกระทั่งครูบาอาจารย์ท่านเห็นว่าเรารักจะเป็นคนดี มี คุณธรรมตามท่านจริง จากนั้นท่านก็จะยิ่งถ่ายทอดความรู้ ถ่ายทอด คุณธรรมให้เรามากขึ้น เราก็จะยิ่งมีโอกาสตรองตาม และปฏิบัติตาม คำ ทั่งสอนของครูได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว อุปัฑฒสูตร, สํ.ม. ๓0/๕-๗/๗-๘ (มมร.) นฬ่...นกสร้างบารมี 1อ act เพราะได้ครู! จึงจะเอาด็ได้
ป็ญหาประจำสังคม หลวงฟอนอกจากอยากจะให้ลูก ๆ ทุกรูปทุกคนเข้าใจหลักการ พัฒนาคุณธรรมตนเอง เป็นฃั้นฟ้นตอนตามหลักวุฒิธรรมแล้ว ในฐานะ ที่พวกเรามาอยู่ร่วมกันเป็นหยู่คณะใหญ่ ๆ อย่างนี้ ทั้งวัดรวมกันแล้ว ตั้งพันกว่าชีวิต หลวงพ่ออยากจะขอให้ชีวยกันระมัดระวัง ทั้งป้องกัน และแเ^ขปัญหาใหญ่ ๆ ๔ เรื่อง อย่าให้เกิดขึ้นในหมู่คณะของเราให้!ด้ หรือถ้าเกิดขึ้นเมื่อใด ก็ขอให้ชีวยกันหาทางแกไข อย่าปล่อยให้ปัญหา นั้น ๆ หมักหมมคั่งค้าง เพราะปัญหาทั้ง cr เป็นต้นตอของปัญหาอื่น ๆ อีกมาก ที่จะติดตามมาเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ปัญหาทั้ง ๔ น ก็คือ ๑) ปัญหาความหวาดรรแวง ไม่ไว้เนื้อเชีอใจกัน ๒) ปัญหาสติปัญญา ความรู!ม่เท่าเทียมหมู่คณรเพื่อนมู่ง ฅ) ปัญหาความเบื่อหน่ายกันเอง ๔) ปัญหาความเห็นแก่ตัว ปัญหาแรก ความหวาดระแวง ไม่ไว้เนื้อเบื่อใจกัน โลกปัจจุบันนี้ แม้อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เป็นสามีภรรยาก็ระแวงกัน เป็นพี่น้อง คลานตามกันมาก็ยังระแวงกัน แม้ที่สุดพ่อกับลูกหรือเฌ่กับลูก ก็ยัง ไม'วายระแวงกันแล้ว เพราะฉะนั้น ไม'ต้องพูดถึงคนอื่น ที่ไม'ได้มี ความล้มพันธ์อะไรกันทางสายเลือด จะไม่ระแวงกัน 1พรใะได้ทรุดี ฆจะเอาด้ได้ OG นส่...นกลร้างบารมี Is www.kalyanamitra.org
สาเหตุที่ระแวงกันมีหลายอย่าง บางทีก็ระแวงเพราะคจามอิจฉา ริษยา บางทีระแวงเพราะอีกฝายไม่มีความร้บผิดชอบ คนหนึ่งทุ่มเทให้ เต็มที่ แต่อีกคนไม่มีความจริงใจ หรือระแวงเพราะอีกคนชอบเอารัดเอา เปรืยบ ฯลฯ ไม่ว่าจะระแวงเพราะเหตุใดก็ตามที ที่แน่ ๆ คือยิ่งมีคนอยู่ ร่วมกันมากเท่าใด ก็ยิ่งมีปัญหามีความระแวงกันมากเท่านั้น ปัญหาที่สอง สติปัญญา ความรู้ ความสามารถไม่เท่าเทียมกัน บางคนคิดจะทำอะไรมักไม่ทันหผู่คณะ ไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เหตุใหญ่ที่ท่าใหใม'ทัน เพราะคนอึ่นเชาปรับปรุงตัวอยู่ตลอดเวลา พัฒนาตัวเองไม่ได้หยุด แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมปรับปรุงแกไขตัวเองเลย เคยอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น คนประ๓หนี้แหละ ที่มักจะคิดน้อยใจโชคชะตา น้อยใจครูบา อาจารย์ว่าไม่รัก แล้วก็ก่อปัญหาแตกความสามัคคืในหยู่คณะ ก็ครูบา อาจารย์สอนแล้ว แต่เขาไม่ขวนขวายเอาไปตรอง ไม่ขวนขวายเอาไปทำ เอง ในที่สุดท่านก็วางอุเบกขา ไปสอนคนอี่นที่เขามีแววจะฝึกได้เร็ว เพราะครูบาอาจารย์ท่านมีคิษย์หลายคน ท่านก็ต้องทุ่มเทให้กับคิษย์ที่ ตั้งใจจะเอาดีเสียก่อนเป็นธรรมดา ปัญหาที'สาม ความเบึ๋อหน่ายกันเอง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า โรคเบื่อคน เรื่องนี้หลวงพ่อเคยสนทนากับผู้พิพากษาสมทบคนหนึ่ง ที่ จังหวัดเชียงใหม่ เขาเล่าว่า เบื่อ ๓ ปีที่แล้ว เขาเริ่มต้นท่างานเป็น ผู้พิพากษาสมทบ เมื่อผู้เยาว์อายุตํ่ากว่า ๑๘ ปี ทำ ผิด ศาลจะส่งตัวไป นทํ...นกสร้างนารมี ใอ ๑รร เพราะได้'ครูดี จงจะฟ็าดีได้
ไว้สถานพินิจ เพื่อควบคุมความปฺระพฤติ ทันทีที่ศาลสัง พ่อเฟก็จะมา ร้องห่มร้องไห้ ขอเอาตัวกลับไปอบรมฝึกหัดขัดเกลาเอง ลูกจะเลวจะชั่ว อย่างไรก็ยังรักยังห่วงลก ขอดูแลแก!ขด้วยตนเอง ไม่ไว้ใจให้!ครอบรม ลูกแทน เพราะเกรงว่าจะทำ เด เม่ดิพอ แต่เดี๋ยวนี้พอลูกทำผิดขึ้น,มา ศาลตามตัวพ่อแม่มาถามว่า ลูกคุณ ทำ ความผิดจะว่าอย่างไร พ่อแมร้บตอบเลย \"ก็แล้วแต่ศาล จะเอา อย่างไรก็เอา เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันแล้วเหมือนกัน ศาลทำอะไร ได้ก็ทำไปเถอะ เหม็นเบื่อมันเต็มที\" เรื่องกลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว ใน ลังคมยุคปัจจุบัน มืคนเบื่อแม้กระทั่งลูกของตัวเอง แม้พวกเราก็เหมือนล้น ระวังอย่าให้มืโรคเบื่อล้นเองนะลูก ถ้า ในหมู่คณะของเรา มีใครทำอะไรไม่ถูกต้อง แล้วพวกเราเบื่อที'จะ ตักเตือน เบื่อที่จะพรํ่าสอน ก็จะกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้มีการ ถ่ายทอดคุณธรรมความดีให้กันและกัน คุณธรรมความดีทั้งของเราและ ของเขาก็จะไม่เพื่มพูนขึ้น ความเบื่อหน่ายล้นเองนั่นแหละ จะเป็นลางแห่งความหายนะ ชองหมู่คณะ เพราะไม่ห้าจะถึงจุดหนึ่งทีด่างคนด่างอยู่ ด่างคนด่าง ตักเตือนล้นไม่ได้ เรื่องนี้พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงห่วงนักเซียว เพราะฉะนั้น วันออกพรรษา ก่อนที่พระในวัด แต่ละรูปจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม เพราะได้ครูดี จง?ะเอาดีได้ นดํ...นักสร้างบารมี ไอ www.kalyanamitra.org
ตามสถานที่วิเวก พระองค์จึงทรงสังให้ทำ \"การปวารณา\"\" เป็น ประเพณีไปเลย คือให้แต่ละรูปต่างเอ่ยปากขอร้อง และอนุญาตให้ พระรูปอื่น ๆ ว่ากล่าวตักเตือนตนได้ ถ้าเห็นว่าตนทำอะไรไม่ถก ไม่ควร ไม่โปว่งใสพอ ป็ญหาที่สื ความเห็นแก่ตัว เรื่องนี้สำคัญมาก เป็นธรรมชาติของ มนุษย์ทั่วไปว่า เมื่อไรก็ตามที่มีการอยู่รวมกันเกิน ๓ คนขึ้นไป จะเรื่มมี การแบ่งพรรคแปงพวก เมื่อแบ่งพรรคแบ่งพวกเสียแล้ว หากมีลาภผล อะไรเกิดขึ้น ก็จะคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของพรรคพวกตัวเองก่อน อีก ฝ่ายจะเดือดร้อนลำบากอย่างไร ไม่สนใจ หนักเข้า ๆ แม้พรรคพวก เดืยวกัน ม้นก็แตกกันเอง เพราะเชื้อความเห็นแก่ตัวได้เข้าห่อทุ้มจิตใจ จนมีดมีด ถึงคราวได้ลาภผลน้อยใหญ่อะไรมา ก็จะไม่ยอมปันกันกินปันกัน ใช้ หนำชํ้ายังเอารัดเอาเปรียบ พรรคพวกเพี่อนยู่งอีก ในที่สุดหยู่คณะก็ จะแตกแยก แล้ววันหนึ่งความแตกแยกก็จะลุกลามใหญ่โต กลายเป็น ความล่มสลายของหม่คณะ พระ'^ทธานุญาตปวารณา, วิ.มหา. ๖/๒๒๖/๕๗๒ (มมร.) นด่...นทสร้างบารมี Is เพราะได้ทุด็ จงจทอาดีได้
ฆราวาสธรรม เมื่อมีคนมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ก็มักจะหลีกไม่พ้นปัญหา หลัก ๆ ๔ เรื่องข้างต้นที่ว่ามาแล้ว จะแก้ไขกันอย่างไร พระสัมมา ลัมพุทธเจ้าทรงให้ธรรมะมาหมวดหนึ่ง เพี่อแก้ไขปัญหาทั้ง (£ เรื่องนี้ ธรรมหมวดนี้ก็คีอ \"ฆราวาสธรรม\"° ซึ่งประกอบด้วยหลักการ ๔ ข้อ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ สัจจะ แปลว่า ความจริงใจ จริงจัง หริอความซึ่อสัตย์ แปลอย่าง นี้หลายคนอาจมองภาพไม่ชัด แต่ถ้าจะแปลเพี'อส่องให้เห็นแนว ประพฤติปฏิบัติได้ชัด ๆ ก็ต้องแปลว่า สัจจะ คือ ความรับผิดชอบ ซึ่ง แสดงออกได้ ๔ ด้าน คือ ๑) ด้านหน้าที่และการงาน คือ ไม่ว่างานนั้นจะยากเย็น แสนเข็ญเพียงใด สภาวะต่าง ๆ จะไม่เอื้ออำนวยขนาดไหน งบประมาณมีอยู่ก็จำกัด กำ ลังคนมีอยู่ก็จำกัด เวลามีอยู่ ก็จำ กัด ความรู้มีอยู่ก็จำกัด แม้กระนั้นคนที่มีสัจจะย่อมจะ ตั้งใจขวนขวายร้บผิดชอบ 'ฑำงานชิ้นนั้นให้ดีที่สุด'' ๒) ด้านคำพูด คือ ต้องเป็นผู้ที่ 'ฑูดอย่างไร ทำ อย่างนั้น และ ทำ อย่างไร ไ^ดอย่างนั้น'' อาฬวกสูตร, สิ.ส. ๒๕/๘๔๕/«๒๕-ร๒๖ (มมร.) lYinsไสัคฬี จืงจะเอาค็ไสั ๒๔) นค่...นกสร้า4บารมี นเ www.kalyanamitra.org
ท) ด้านการคบคน คือ คบค้าสมาคมกับใครด้วยความจริงใจ ไม่มีเหลี่ยมคู มีอะไรก็ว่ากันตรง ๆ เตือนกันตรง ๆ ไม่มี เบื้องหน้า เบื้องหลัง ๔) ด้านคุณธรรมความดี คือ ไม'ว่าจะทำอะไร ถือเอาหลัก ธรรมเป็นใหญ่ ไม่ยอมทำในลี่งที่ผิดศีลผิดธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาตามนี้ คนที'มีสัจจะ ก็คือคนที'มี ความร้บผิดชอบ ทั้งต่อหน้าที่การงาน ต่อคำพูด ต่อคนที่คบด้วย และ ต่อคุณธรรม ซึ่งจะทำให้เป็นคนที่ไม่ว่าจะคิด จะพูด หรีอจะทำลี่งหนึ่ง ประการใด ก็จะคิดพูดทำให้ดีที่สุดเท่าที่ลภาวะแวดล้อม และฝีมือ ตนเองจะอำนวยให้ ยิ่งใครมีสัจจะมากเท่าไร พร\\รคพวกเพี่]อ^นฝงyก็จะยิ^่งใ7ห้ควา7มไว้ เนอเชือใจมาก ความหวาดระแวงทีอาจจะเคยมีมาก่อน ก็จะยิงลดน้อย ถอยลงมากเท่านั้น แต่ถ้าใครมีสัจจะน้อย หยู่คณะก็จะไม่เชื่อถือ และ ในที่สุดก็ระแวงกัน คนที่มีสัจจะนั้น เขาจะมีหลักง่าย ๆ ประจำใจอยู่เลมอว่า ไม่ว่า จะทำอะไรก็ด้องทำให้ดีทึ่สุด เท่าที่ฝีมือด้วเองมีอยู่ แต่แม้กระนั้นก็อย่า ลืมว่า ถ้าหากเราไม่ปรับปรุงพัฒนาฝีมืออยู่ตลอดเวลาแล้ว ดีที่สุดของ เราในวันนี้ เมื่อเทียบกับเพี่อนฝูงที่เขาปรับปรุงตัวเองอยู่เลมอ อาจ กลายเป็นชั้นเลวที่สุดของเขาในวันหน้าก็ได้ นฅํ...นัทล'ทงนารนี ไอ 1SCT เพ'ทะได้ครุดิ จึงจะIอาด็ได้
๒. ทมร ทมะ หมายลึง ความกระดือรือร้นในการเคี่ยจเข็ญfเกดน อย่าง ไม่มีข้อแม้ เพื่อให้ตนเองมีทั้งความรู้ ความสามารถ และความดีเพื่ม มากขึ้น วิธีฝึกหลวงพ่อก็ได้อฒิายไปแล้ว คือให้เข้าไปหาครูบาอาจารย์ ๑ ฟังคำครู ๑ ตรองคำครู ๑ แล้วก็ทำตามครู ๑ ทำ ให้ครบ ๔ ประการ นั่นแหละ จึงจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ และความดีจากครูบาอาจารย์ จำ ไว้ว่า \"ล้าไม่ยื่นหน้าเข้าไปหาครู หรือผู้หลักผู้ใหญ่ เราก็จะ ไม่มีทางได้ฝึกตัว\" และเงื่อนไขที\"สำคัญในการฝึกตัว ก็คือต้องทนฝืนใจ ข่มใจ เพราะการฝึกใด ๆ ถ้าไม่มีการเจ็บตัว ไม่ซื่อว่าเป็นการฝึกตัว เจ็บตัวใน ที่นี ไม่ได้หมายถึงบาดเจ็บหรือต้องได้แผลเหวอะหวะมา แต่หมายถึง การฝืนใจ ข่มใจ ฟลี่ยนนิสัยใจคอเดิม ฟลี่ยนความประพฤติให้ดีงาม ขึ้นใหม่ ซึ่งแน่นอนแมไม่เจ็บกาย แต่มันอึดอัด ขัดใจ เสียหน้า แล้วก็ เจ็บใจ แต่มันจะดีใจและภูมิใจในเบื้องปลายนะลูกนะ 1พราะนทุร็1 ฆืระเอาดีได้ ารเr แด่...นักสfพบารมี น| www.kalyanamitra.org
ฅ. ขันติ ขันติ แปลจ่า ความอดทน การที่คนใดคนหนึ่งจะได้ความดีมา นั้น จะต้องทั้งอดทั้งทน คือต้องทนตั้งแต่ ๑) ทนธรรมชาติ ทั้ง แสงแดดที่แผดกล้า ทั้งลมทั้งฝนที่โหมกระหนํ่า ๒) ทนสืนสังขาร สืน ความเจ็บไข!ด้ปวย ความทน ๒ ประการที่ว่านี้ เป็นการทนขั้นพื้นฐาน เท่านั้น ส่วนการทนที่ยากขึ้นไปอีกก็คีอ ๓)ทนคน และ ๔)ทนกิเลส ในเรื่องของการทนคน ก็ต้องจับแง่คิดให้เป็น คือต้องยอม^ว่า \"แม้เพี่อนที่เราไม่ชอบหน้า ความจริงเขาก็มีนิสัย ความสามารถ ความรู้ ความดีบางอย่างที่คนอื่นไม่มี\" ถ้ายอมรับกันแล้วอาด้ย \"อปริหานิยธรรม\"\" คือหมั่นประชุมกัน บ่อย ๆ เป็นอาทิ มีอะไรก็พูดจาปรึกษากัน เห็นอะไรไม่ชอบมาพากล ก็ ตักเตือนกันไป แล้วเราก็จะสามารถถ่ายทอดความรู้ ถ่ายทอดความดี ซึ่งกันและกันได้ ในวันหนึ่งข้างหน้า ในตัวเพี่อนที่มีนิสัยไม่น่ารัก ให้คิดเสียว่าเขายังมีความดีบางอย่าง อยู่ ที่เทพอจะยอมริบได้ และเทเองก็ยังมีความดีบางอย่างอยู่ ที่พอจะ เป็นด้นแบบให้เขาได้ เขากับเราก็ไปฟังครูบาอาจารย์มาพร้อม ๆ กัน เขาก็จับแง่ติดหนึ่งทีเขาลนด เราก็จับมาอีฑแง่คิดหนึ่งทีเราฉนด เรา ด่างคนต่างนำมาปรับปรุงตัวเอง แล้วก็ล่ายทอดความรู้ความดีในแด่ละ แง'แด่ละมุมให้กันและกันเถอะนะ แล้วทั้งเขาทั้งเราก็จะเแนผู้มีความดี สมบูรณ่€ด^ิวยกa/ิน \" มหาปรินิพพานสูตร, ที.ม. ๑๓/๖๘-๖๙/๒๓๕-๒๓«f(มมร.) แท่...นกสร้างนารม Isi ไร)(ร' เไฬารไสัค^คิ ฬืจะ(อาดีไฅ้
เพราะฉะนั้น ที่จำ เป็นต้องทนคน ก็เพราะต้องการจะเอาดี ด้วย การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความดีให้กันและกัน ความอดทนประเภทนี้ยัง จะทำให้ได้ขันติบารมี และคุณธรรมอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย ในเรื่องของ การทนกิเลสนั้น ต้องทั้งอดทั้งทน หักห้ามใจตนเองไมให้กระโจนตาม กระแสโลก คือความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้น จาดร เพื่อทีจะป็องกันแก้ไขความเห็นแฑ่ต้ว ไม่ให้เกิดขึ้นในใจ เรา จำเแนต้องเป็นนักเสียสละ อะไรก็ตามที่เป็นส่วนเกิน ไม่ว่าของรักแสน รัก ถ้าเกินความจำเป็น ต้องรีบแจกให้คนอื่นไป ยิ่งกว่านั้น แม้ส่วนที่ เราจำเป็น แต่ถ้าเห็นผู้อื่นมีความจำเป็นมากกว่า หรีอหยู่คณะของเรามี ความจำเป็นมากกว่า ก็ต้องตัดใจยกให้เขาไป ไม'ว่าจะเป็นข้าวของ เงินทอง อุปกรเน[นการทำงาน รวมไปจนถึงบุคลากรหรีอคนที่เคยทำงาน ถูกใจกัใฒาด้วย ทำ ได้อย่างนี้เราจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจาคะ เรามักได้ยินกันว่า จาคะ หมายถึง การบริจาค การเสียสละ ถ้า ตีความหมายอย่างนี้หลาย คนอาจยังมองภาพไม่ชัด เพราะฉะนั้น ถ้า จะให้ภาพการประพฤติปฏิบัติชัดเจน ก็ต้องหมายความว่า เ?(ราะได้ทุดี จืงจะเอาดีไดี นค่...นักสร้างบารมี น) www.kalyanamitra.org
๑) สีงใดที่พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นส่วนเกิน ที่งนั้นต้องตัดออก ต้องตัดใจยกให้เขาไป ๒) ที่งใดที่จำเป็น แต่หมู่คณะมีความขาดแคลIฌากกว่า หรือ มีความจำเป็นมากกว่า ก็ตัดใจยกให้เขาไป จาคะจึงเป็นการตัดใจยกทั้งสิงที่เป็นส่วนเกิน และสิงที่ผู้อึ่น จำ เป็นมากกว่าให้เขาไป คนที'จะทำอย่างนี้ได้ดี ต้องเป็นผู้ที'รู้จัก ประมาณ โดยเฉพาะรู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย ๙ เพื่อการดำรง ชีวิต คือรู้จักประมาณทั้งที่อยู่อาศัย ข้าวปลาอาหาร เครี่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เรื่องการบริโภคใช้สอยนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ แนวทางไว้แล้ว คือให้!ช้แต่น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น° ทำ อย่างไรจึงจะใช้แต่น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น อันดับแรกก็ต้องใช้ ให้ตรงดามวัตถุประสงค์ของปัจจัยนั้น ๆ เสิยก่อน คือ เรื่องที่อยู่ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า บ้านมีไว้เพื่ออยู่อาศัย พอกัน หนาว กันร้อน กันแมลง ไม่ได้มีไว้เพื่อสะสมข้าวของเกินความจำเป็น เรื่องข้าวปลาอาหาร มีไว้เพื่อยังชีพ ไม่ได้มีไว้เพื่อให้กินทิ้งกิน ขว้าง สุรุ่ยสุร่าย เรื่องเสือผ้า มีไว้เพื่อป้องกันหนาว กันร้อน ป้องกันแดด ลม ฝน สัตว์เลื้อยคลาน และปกปิดร่างกายส่วนที่น่าละอาย ไม่ได้มีไว้ประดับ ตกแต่ง หรือยั่วยุกามารมณ์ ® โคปาลกสูตร, องฺ.เอก. ๓๘/๒๒๙/๕๗® (มมร.) นต่...นกสร้างบารมี 1อ เพราะ;ได้ฉรดื จงร)ะเอาด็ได้
เรื่องหยูกยา วิชาการแพทย์ต่าง ๆ ก็มีไว้เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ได้มีไว้เพื่อโด๊ปปลุกพลัง หรือดัดแปลงลังขารให้พิศดารไปกว่ามนุษย์ ธรรมดาหรอก!เะ ตรวจสอบตนเอง ต่อแต่นั้Iป หลวงพ่อขอให้ลูก ๆ ทุกคนตรวจสอบตนเองกันให้ดี ว่า ฆราวาสธรรมของเรา มีอยู่ครบถ้วนแค่ไหน \"สัจจะ\" ของเรามั่นคงขนาดหยิบอะไรแล้ว ทำ ให้ดีที่สุดแล้ว หรือยัง ? \"ทมะ\" เราได้ยึ่นหน้าเข้าไปให้อาจารย์พรื่าสอนตักเตือนอยู่เป็น ประจำแล้วหรือยัง ? \"ขันติ\" เราอดทนนุ่งมั่นที่จะถ่ายทอด แลกเปลี่ยนความรู้ ความ ดี ความสามารถภับพื่ ๆ น้อง ๆ ของเราดีพอแล้วหรือยัง ? \"จาคะ\" เราสลัดตัดใจให้ลี่งที่รัก ลี่งที่หวง ลี่งที่เกินจำเป็น หรือ ลี่งที่หมู่คณะขาดแคลนไปบ้างแล้วหรือยัง ? ถ้าใครตรวจสอบตนเอง แล้วพบว่าได้ฝึกปฏิบัติตามฆราวาสธรรม มาพอสมควรแล้ว หลวงพ่อก็ขออนุโมทนาด้วย และขอให้มีความเจริญ ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ถ้าสำรวจตนเองแล้ว พบว่ายังปฏิบัติน้อย เพาะได้ศรูด็ จืงจะเอาดิได้ แด่...นักส'ภ้งบารเร เอ www.kalyanamitra.org
ก็ฃอให้รีบแ^ขเสียฒั้แต่บัดนี้ เพื่อจะได้สร้!งบารมีไปได้ตลอดรอดฝีงนะ ลูกนะ สิงที่หลวงพ่อพูดมาทั้งหมดไนวันนี้ ขอมอบไห้เป็นพรวันเกิดจาก หลวงพ่อ และเป็นของขวัญวันปีไหม่สำหรับพวกเราด้วย ขอไห้ลูก ๆ ทุกรูป ทุกคน ตั้งไจฝึกฝนตนเองกันไห้ดี ต่อไปภายภาคหน้าจะได้เป็น แบบอย่างที่ดีฃองชาวโลกสืบไป ด้วยอำนาจบารมีธรรมทีหลวงพ่อมีความเคารพ มีความซอสัตย์ มีความตั้งไจปฏิบัติตรงต่อครูบาอาจารย์ คีอหลวงพ่อวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ หลวงพ่อธัมมชโย คุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ตรงต่อพระนิพพาน ขออำนาจบารมีธรรมนี้ จงรวมกันเข้ากับบารมีธรรม ของพระสัมมาสัมทุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมครู กับบารมีธรรมของครู ทั้งหลาย ที่ได้ถ่ายทอดความรู้ความดีจนมาถึงพวกเราไนปัจจุบัน ขอไห้บารมีธรรมทั้งหลายเหล่านี้ จงคุ้มครอง ปกป้อง รักษา พวกเราทุกรูป ทุกคน ไห้สามารถสร้างบุญบารมีได้ตลอดรอดฝ่ง ได้รู้แจ้ง แทงตลอดไนวิชชาธรรมกายได้โดยง่าย สามารถปราบมารประหาร กิเลส ไห้สินเชื้อไม'เหลือเศษได้โดยง่าย ตราบวันเข้าพระนิพพาน เทอญ ฯ นฅ่...นกสรำงบารมี นเ \\shK ๓ราะได้ครูดิ พะเอาด้ได้
(พ w.'. p?**' ^<iTp*f^ywjy.> ^wNPTS.'^Wt*' 'ะ\"-?^*!\"! I*.p •\"•.พ ^llsis .'- ■ะ-^^^^g Wl ■'<■ * ร www.kalyanamitra.org
|.IJIII|«J JPJ.. ILI^Iir^.V^llll แพฺเ b.^. v HH' การทบทวน I คุณธรรม -■■I ไ '' ^' ๗ ท^:!
การทบทวนคุณธรรม โอวาทพระเดชพระคุณพระภารนาวิริยคุณ (เผด็จ ทดฺตสิโว) ในวาระวันคล้ายวันเกิด ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗ ดั้งแต่เป็นเด็กเรียนสันมัรยมด็กษา เมือใกล้วันคล้ายวันเกิด สิงก็ใกล้จะสินป็เก่าอยู่แล้ว หลวงพ่อมักจะทบทวนสิวิดของตัวเองที่ ผ่านมาในรอบป็ว่า(ป็นอย่างไร มืข้อคิดในการปรับปรุงดนเองอะไรบ้าง ส่ว'แมากก็จะเป็นเรื่องการเรียน และการเล่นกีฬา www.kalyanamitra.org
ต่อมาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย หลวงพ่อจึงเริ่มทบทวนตัวเองใน เชิงธรรมะเท่าที่ความรู้จะมี ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เจอคุณยาย อาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ยังไม่ได้เจอหลวงพ่อธัมมชโย ก็ตอบ ตนเองชิด ๆ ไม่ได้ว่า เพราะเหตุจูงใจอะไร จึงทำให้มีนิลัยเช่นนั้น ถ้าไมใช่บุญเก่าข้ามชาติเป็นเหตุ ก็ต้องถือว่ามีเหตุจากปัจจุบันชาติ หลาย ๆ อย่างประกอบกันมา ถึงวันคล้ายวันเกิดอีกครั้งในปีนี้ จึง อยากจะยกเรื่องราวบางตอนในชิวิตของหลวงพ่อมาเล่าให้ฟัง เพื่อเป็น ข้อคิดในการสร้างบุญสร้างบารมีของพวกเราต่อไปในภายหน้า ชาติกำเนิด หลวงพ่อเกิดวันเสาร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธตักราช ๒๔๘๓ โยมพ่อบันทึกไว้ว่า ฤกษ์ตกพ่าก เวลา 0 นาฟักา ๓๐ นาทึ คือเลย เที่ยงคืนมา ๓๐ นาทีแล้ว แต่โยมพ่อไปแจ้งเกิดเอาวันที่ ๑ มกราคม พุทธตักราช ๒๔๘๙ (เพราะสมัยนั้พักจะทำคลอดที่บ้าน ไม่ได้เกิดที่ โรงพยาบาลเหมือนยุคปัจจุบัน พ่อเฌ่หรีอคนในบ้านว่างเมื่อไร ก็ไปแจ้ง เกิดเมื่อนั้น) สถานที่เกิดก็เป็นบ้านชาวไร่ หลังคาจาก ฝาไม!ผ่ขัดแตะ ทั้งพ่อแม่ พื่ป้าน้าอา ก็อยู่กันตามประสาชาวบ้าน ที่พิเศษกว่าชาวบ้านทั่วไปในแถวนั้นลักหน่อย ก็ตรงที่โยมพ่อเป็น ผู้มีการคืกษา อาจถือว่าได้ริ่าเรียนมีความรู้วิชาการมากที่สุดในตำบล ก็ว่าได้ การทบพนคุณธรรม ๐๔ แด่...ไร'กสร้า'!บารมี ไร
โยมพ่อเล่าให้ฟังว่า เหตุที่ท่านได้เรียนมากกว่าชาวบ้านในตำบล เดียวกัน ก็เพราะสมัยที\"ท่านยังเป็นหนุ่ม เป็นทหารยศนายสืบ ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖ มีพระราชประสงค์จะพัฒนากองทัพ จึงโปรด ให้ตั้งโรงเรียนสัตวรักษ์ สังกัดหน่วยทหารม้าชื้น เนื่องจากในยุคนั้น รถเกราะไม่มี หน่วยทหารสำคัญที่เทียบเท่าหน่วยยานเกราะปัจจุบัน ก็คีอหน่วยทหารม้านั่นแหละ ความที่โยมพ่อเป็นคนเรียนเก่ง ขยันขันแข็ง ตั้งใจท่างานดี เป็น นายสิบเพียงปีเดียว ก็สามารถสอบชิงทุนเข้ามาเรียนในโรงเรียน สัตวรักษได้ ผู้ที่เข้ามาเรียนก็คัดมาจากหน่วยทหารต่าง ๆ ทั่วประเทค ประมาณรุ่นสะคน ก็ต้องถือว่าคัดเอาหัวกะทิของแต่ละหน่วยงานมา ทั้งนั้น เนื่องจากการสี'อสารและคมนาคมในสมัยนั้นไม่ดี ท่าให้กว่า โยมพ่อจะทราบผลการสอบคัดเลือกและเดินทางไปมอบตัวเข้าเรียน ก็ ช้ากว่าคนอื่นประมาณ ๑ เดือน ทำ ให้ท่านต้องเร่งเรียนให้ทันเพื่อน ท่านเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เทอมแรกจนกระทั่งจบหลักสูตร ใช้เวลา ๒ ปี ปีละ ๓ เทอม ท่านสอบได้ที' ๑ ตลอด จึงเป็นความหวังของ ครูบาอาจารย์ และเพื่อนร่วมรุ่นว่า โยมพ่อคงจะมีอนาคตก้าวไกลใน ชีรีตทหาร แต่ว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เทอมสุดท้ายที่โยมพ่อเรียนจบ ขณะกำลังรอติดยคอยู่นั้น ก็ปรากฎว่า ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จ สวรรคต ประกอบกับเศรษฐกิจการเงินเข้า^ภาวะวิกฤติไปทั่วโลก แด่...นักสร้างบารมี ๒ ท(รr กาใทบทวนคุ(นทรม www.kalyanamitra.org
รัฐบาลไทยในยุคนั้น จึงได้ตัดสินใจUf^ขสถานการณ์เลวร้ายด้าน การเงินของประเทศ ด้วยการประกาศนโยบายดุลยภาพ คีอหน่วยงาน ไหนที่ไม่จำเป็นมากนัก จนถึงกับกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของ ชาติ ก็จะถูกสังยุบหมด เพราะรัฐบาลไม่มีเงินเดือนจ่าย กองทหาร จังหวัดกาญจนบุรีถูกสังยุบด้วย โยมพ่อก็เลยถูกปลดกลางอากาศทันทื โยมพ่อจำต้องตัดใจออกจากการเป็นทหาร กลับไปทำไร่ตาม อาชีพเดิม ที่เคยหวังเอาไว้ว่าจะได้เป็นนายร้อยนายพันในวันข้างหน้า ก็ เป็นอันพับทิ้งไปเลย ความภูมิใจของผู้เฒ่า โดยปกติการเรียนของหลวงพ่อเองก็จัดอยูในเกณฑ์ดี แต่ดีไม่เทำ โยมพี่สาว ซึ่งเรียนได้ที่ ๑ ตลอดกาลตั้งแต่ชั้นประถม จนกระทั่งจบ ชั้นมัธยม ส่วนหลวงพ่อได้ที่ ๑ บ้าง ไม่ได้บ้าง เผลอ ๆ วันดืคีนดี ก็สอบตกเสียอีก พอโยมพ่อเอ็ดบ้าง เฆี่ยนบ้างก็ให้สัญญากับท่านว่า ไม่เป็นไรพ่อ ผมจะแก้ตัวใหม่ แล้วก็เอาที่ ๑ ประจำห้องมาฝากพ่อได้ แต่ว่าพ่ออย่าเผลอนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวสอบตกอีก ต่อมาวันหนึ่งสมัยเรียนมัธยม โยมพ่อก็พูดกับหลวงพ่อถึงความ ในใจ เกี่ยวกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่า ท่านคิด อย่างไร ท่านพดว่า ก75ทบทวนคุณim>.' ox> นดํ...นักสร้างบารมี เอ
\"เรื่องบุญ เรื่องบาป มีหรือไม่มี ฟอก็ไม่รู้ เรื่องชาติที่แล้ว ก็ไม่มี ปัญญาไปตรวจสอบดูว่า มีหรือไม่มี แต่ว่าถ้าถีอเอาเฉพาะชาตินี้ พ่อ สงสัยจริง ๆ เสย ที่พระทุทธองค์ตรัสเอาไว้เรื่องบุญบาป โดยเฉพาะที่ บอกว่า \"มีความเพียรที่ไหน ย่อมมีดวามสำเร็จที่นั้น\" ® \"พ่อสงสัย เพราะวัยเรืยนพ่อเองก็สอบได้ที่ ๑ ตลอดกาส แต่สิง ที่พ่อได้รับก็คือ พ่อยังคงเป็นได้แค่ชาวไร่จน ๆ คนหนึ่ง เพียงแต่โชคดี ไม่ถึงกับต้องเป็นหนี้ใคร ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นด้วยกัน ถึงเวลาทำ การบ้านต้องมาคอยลอกการบ้านจากพ่อ แต่เดี๋ยวนี้ เขาไต่เต้าขึ้นไปเป็น นายทหารขึ้นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว\" หลวงพ่อเคยเห็น นานทีปีหน เพื่อน ๆ ที่โยมพ่อพูดถึงเหล่านั้น มาเยี่ยมโยมพ่อในฐานะที่เป็นเพื่อนรักกันมา เวลามาก็ติดยศ ติดดาว กันมาเป็นแผง แต่โยมพ่อกลับเป็นคนเดียวในรุ่น ที่ต้องก้มหน้าก้มตา ขุดดิน ฟันหญ้า ทำ มาหากินชนิดหลังสู้ฟัาหน้าสู้ดินตลอดชีวิต ด้วยเหตุ นี้กระมังทำนจึงค่อนข้างคิดมาก เพราะในรุ่นก็มีทำนคนเดียวที่เป็นเช่นนี้ หลวงพ่อไม่อยากใช้คำว่า \"ท่านน้อยใจ\" แต่ทำนสงสัยว่า ทำ ไม ชะตาชีวิตของท่านจึงไม่ค่อยยุติธรรมกับทำนเลย ตรงนี้ก็ต้องยอมรับว่า ถ้าหลวงพ่อเองไม'เจอครูบาอาจารย์ผู้ ทรงภูมิธรรมอย่างหลวงพ่อวัดปากนํ้า อย่างคุณยายอาจารย์ของเรา ที่กล้ามายีนยันว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ชาติที่แล้ว ชาติหน้ามีจริง ° อัมพชาดก. ชุ.ชา. ๕๖/®๒๙/๙๘๐ (มมร.) นดํ...นกล'ภ้งบารมี 1อ oev การทบทานคุณธรรม www.kalyanamitra.org
บุญบาปมีจริง บุญมีลักษณะอย่างนั้น ๆ บารมี มีลักษณะอย่างนั้น ๆ นิพพานมีลักษณะอย่างนั้น ๆ ถ้าใครจะตกนรกต้องก่อเวรก่อกรรม อย่างนั้น ๆ ใครอยากขึ้นสวรรค์ต้องสร้างบารมีอย่างนั้น ๆ ฯลฯ หลวงพ่อก็คงจะพกความสงลัยติดตัวไปตลอดชาติ อย่างที่โยมพ่อ สงลัยนั่นแหละ โยมพ่อรำพึงต่อไปว่า '•ถ้าพูดกันถึงความเพึยรพยายามทำมา หากิน พ่อก็ทุ่มให้ทั้งตัว แต่มันก็ไม่เห็นผล\" ที่ท่านพูดเช่นนี้ก็เพราะเวลา เข้าหมู่เข้าคณะ คนโน้นคนนี้เขาคุยเรื่องฐานะการเงิน ความรํ่ารวย ท่าน ต้องเงียบ เพราะฐานะทางบ้านไม่ได้รรรวยอะไร ถ้าพูดถึงยศถา บรรดาต้กดึ๋ เพี่อนที่ลอกการบ้านโยมพ่อนั่นแหละ เขามีมงกุฎ มีดาว ประดับปากันเพียบเลย แต่พ่อไม่มีลักดวง มีแต่ปากกาหมึกซึมด้ามยาว อะไรรู!หม ? ก็จอบไงล่ะ ด้ามยาวจริง ๆ ขุดดินเข้าไปเถอะ พักเดียว เหงื่อซึมแล้ว แต่ที่มีให็โยมพ่อพอจะชื่นใจลักหน่อย ก็เมื่อคุยกันถึงเรื่องลูก ๆ เพี่อนโยมพ่อที่เป็นนายพล นายพัน พอพูดถึงลูก ๆ เขาเงียบ ที่เป็น เศรษฐีเมืองกาญจนบุรี เวลาคุยถึงลูก ๆ เขาเงียบ ทำ ไมถึงเงียบ ก็ เพราะว่าเขาเหล่านั้นต่างต้องเอาชีวิตไปทุ่มแลกกับยศถาบรรดาศักดื้ เอา แรงกายแรงใจ เอาเวลาไปทุ่มกับอาชีพ จนกระทั่งเป็นเศรษฐีขึ้นมาได้ เลยไม่มีเวลาให้กับลูก ๆ ของตัวเอง โยมพ่อไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง แล้วก็ไม่ได้มีกิจการรํ่ารวยใหเมู่โต อะไรนัก โยมพ่อเลยมีเวลาทุ่มให้กับลูก ๆ เพราะฉะนั้น ลูกโยมพ่อทุก กา•รทบทวนคุณธรรม OCf แด่...นักศร้างบารร น|
คนเรียนดี สติปัญญาใ'^ด้หมด ส่วนลูกเศรษฐี ลูกนายพล ลูกนายพัน ก็มาลอกการบ้านจากลูก ๆ ของโยมพ่อ เหมือนพ่อของเขาเคยลอกการ บ้านโยมพ่อนี่แหละ พอจะอวดเขาได้หน่อยก็ตรงนี้นี่เอง โดยเฉพาะโยมพี่สาว คืออาจารย์สุวณีย์ ศรีโสภา {ผ่องสวัสดี้) นอกจากเรียนเก่ง เขายังเป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ชั้นประถมจนกระทั่ง เรียนจบมัธยม ส่วนหลวงพ่อเองเป็นหัวหน้าห้องบ้าง ไม่เป็นบ้าง นี่คือ ความชื่นใจของผู้เฒ่า ใด้ดีเพราะโยมพ่อเคี่ยวเข็ญ ทำ ไมหลวงพ่อกับโยมพี่สาวจึงเรียนอยูในเกณฑ์ดีตลอดมา ที่เป็น อย่างนี้ก็เพราะว่าโยมพ่อเรียนดี แถมยังชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ อีกด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อหลวงพ่อกับโยมพี่สาวติดขัดความรู้เรี่องอะไร ก็มืกุญแจดอกสำคัญประจำบ้านที่จะไขหาคำตอบให้กระจ่างแจ้งได้ คือ ถามจากโยมพ่อนั่นเอง ความที่โยมพ่อชอบอ่านหนังสือ ชอบค้นคว้า แล้วยังเคี่ยวเข็ญให้ ลูก ๆ อ่านหนังสือ หลวงพ่อและโยมพี่สาว ก็เลยได้นิสัยรักการอ่านมา ด้วย หนังสือในห้องสร^ดประจำจังหวัดกาญจนบุรีมีเป็นพัน ๆ เล่ม เมื่อตอนหลวงพ่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ กล้าพูดได้ว่า ไม่มืหนังสือ เล่มไหนในห้องสมุดที่หลวงพ่อไม่เคยอ่าน นฅ่...นักaร้างบารมี นเ OGS การทบrwtfimimjj www.kalyanamitra.org
แม้กระทั่งหนังสือที่อ่านเข้าใจได้ยาก เช่น \"คัมภีร์จิสุทธิมรรค\" ที่ พระมหาทั้งหลายท่านใช้เรียนกัน หลวงพ่อก็อ่านฉบับแปลจบ ตั้งแต่ยัง เรียนไม่จบชั้นมัธยม เพราะอ่านหนังสือทั่วไปในห้องสมุดหมดทุกเล่ม แล้ว ไม่มีหนังสืออะไรให้อ่านอีก ก็เลยต้องอ่านคัมภีร์วิสุทธิมรรค แม้รู้ เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ถึงอย่างนั้นก็อ่านจบตั้ง ๒ - ๓ เที่ยว และเป็น ผลให้ชอบการมักสมาธิในเวลาต่อมา ครั้งนั้น ถ้าพูดทางโลกก็บอกว่าบังเอิญโซคดี ล้าพูดทางธรรมก็บอกว่า บุญชักจูงไป หลวงพ่อสนใจการมักสมาธิ แล้วก็เรื่มมักสมาธิตั้งแต่เรียน อยู่ชั้นมัธยมดีกษาปีที่ ๔ เรื่อยมา จนกระทั่งได้มาพบหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกเรื่องหนึ่ง ที่ได้รับการปลูกฝังมาจากโยมพ่อ ก็คีอการอ่านออก เสืยง หลายคนสงลัยว่า ทำ ไมหลวงพ่อออกเสืยง ร.เรีอ ล.ลิง ชัดแจว ต้องชัดลิลูกเอ๊ย...ขืนไม่ชัด ก็ถูกเฆี่ยนยับ โยมพ่อไม่ยอมผ่อนผันเลย ถ้าออกเสืยง ร.เรีอ ล.ลิง ไมชัด ตัวควบกลํ้าไม่ชัด ท่านให้พูดใหม่ อ่าน ใหม่จนกว่าจะชัด แล้วจึงจะอนุญาตให้!ปทำงานอื่นได้ เป็นกฎประจำบ้านว่าทุกคนในครอบครัวต้องดื่นน,ด่เชัๆมืด โยม พ่อให้ลูกทุกคนตื่นตีสีครึ่ง ตื่นแล้วต้องอ่านหนังสือออกเสืยงดัง ๆ ด้วย ถ้าอ่านออกเสืยงไม่ดัง เสียงอ่อย ๆ โยมพ่อก็จะสำทับเสียงดังลั่น ว่า ให้มันดังกว่านั้!ม่ได้หรีอ ? ยิ่งถ้าออกเสียง ร.เรีอ ล.ลิง ไม่ชัด เสียง กาวทบทวนคุณรรทJ <ro น«...นัทสร้างบารมี ๒
โยมพ่อดังลอยมาเลย ''ร.เรือ ก็ต้องใฬ้เแน ร.เรือ ล.ลิง ก็ต้องใฬ้เแน ล.ลิงไม่ไต้หรือ\" เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงอ่านออกเสียงชัดถ้อยชัดคำ มาตั้งแต่เล็ก ๆ ในช่วงปิดภาคเรียน ก็ยังต้องตื่นเช้าขึ้นมาอ่านหนังสีอเสียงดัง ๆ ทุกวัน เพียงแต่ไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องเป็นหนังสีอเรียน เราอยากอ่าน หนังสืออะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น หนังสือที่ไม่ใช่หนังสีอเรียนเล่มแรกที่ หลวงพ่ออ่านจบก็คือรามเกียรตื่ เล่มต่อมาก็คือสามก๊ก หนังสือต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่ออ่านจบแต่ละเล่มแล้ว โยมพ่อจะนำมายกเป็นข้อสนทนา ชักถามความเห็นเป็นประเด็น ๆ ถ้ามีข้อความตรงไหนไม่เข้าใจชัดเจน ท่านก็จะช่วยอธิบายให้ฟัง แถมเล่าความหลัง หรือภูมิหลังของเรื่อง เหล่านั้นเป็นการขยายความให้ฟังอีกด้วย วรรณกรรมมีอิทธิพลต่อสิวิต มีข้อคิดฝากไว้อยู่เรืองหนึ่ง คีอในการอ่านหนังสีอเหล่านี นอกจากจะได้ประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แล้ว บางทีก็มีของไม'ดี แถมติดมาด้วย เช่น ครั้งหนึ่งหลวงพ่อไปได้คัมภีร์เล่มหนึ่ง สอนให้ฝึก สมาธิ ด้วยวิธีอ่านหนังสือกลับหัวเอาข้างบนลงข้างล่าง หลวงพ่อก็หัด จนชำนาญอ่านได้คล่อง ให้หัดอ่านหนังสือกลับข้างในกระจก คือเอา หนังสือไปตั้งไว้หน้ากระจก ตัวอักษรก็กลับซ้ายเป็นขวา หลวงพ่อก็ฝึก อ่านจนคล่อง นค1..นักสร้างบารมี ไอ <ro กา•รทบทวนคุณธรรม www.kalyanamitra.org
ไม่อยากจะเรียกว่าเป็นครามสามารฉพิเศษ แด่ต้องถือว่าเป็น ความผิดพลาด เพราะแกสมาธิต้รย การอ่านแบบนั้นแล้ว ก็ไม่อ่วยให้ สมาธิก้าวหน้าแด่อย่างใด ขยะจากวรรณคดีไทยของเราก็มี เช่น เรื่องรามเกียรตื้ เรื่องขุน ช้างขุนแผน เรื่องพระอภัยมณี คีออ่านแล้วถึงแม้จะได้ความเทางด้าน อักษรศาสตร์ วิธีใช้ภาษาทีไพเราะ และได้ดีกษาขนบธรรมเนียม ประเพณีไทยในยุคนั้น ๆ แต่ว่าข้อเสียก็คีอตัวละครเด่น ๆ ในเรื่องได้กลายเป็นตันแบบ ความประพฤติที\"ไม่ดีในเรื่องชู้ลาวให้กับเยาวชนคนอ่านไป เช่น ขุนแผนนี่เป็นพระเอกที่กามราคะท่วมหัวเลย ห•แมานก็เหมือนกัน รบ ไปถึงไหน มืเมียไปถึงนั่น พระอภัยมณียิ่งแล้วใหญ่ ตลอดชีวิตไม่เคย ท่าการงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไปถึงไหนก็มืเมียเรื่อยไป มีเมียเป็นคน ยังไม่พอ แถมมีเมียเป็นยักษ์บ้าง มีเมียเป็นล้ตว์ เป็นเงือกบ้าง คีอมี เพลย์บอยเป็นพระเอก ชนชาติด่าง ๆ เขาใช้ต้วละครในวรรณกรรมเป็นต้นแบบการ สร้างชาติ ในการปลูกผิงคุณธรรมให้ก้บเยาวชนของเขา อย่างเช่น คนจีน ถ้าพูดถึงความชื่อสัตย์ ก็ต้องชื่อสัตย์เหมือนกวนอู ถ้าพูดถึง ความยุติธรรม ก็ต้องเหมือนเปาบ้นจิ้น แต่ของไทย ถามว่าชื่อสัตย์ เหมือนใคร ก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าถามว่ากะล่อนเหมือนใคร ก็ต้องตอบว่า เหมือนศรีธนญชัย การทบทวนชุณธT3ม ราร นด่...นัทสร้างบารมี ไอ
เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้วเราไม'มีวรรณกรรมที่เป็นต้นแบบ คุณธรรมอย่างเด่นชัด ถ้าจะมีก็คีอชาดก ซึ่งเป็นเรื่องในอดีตชาติของ พระสัมมาล้มพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้เราก็แทบจะไม'รู้จักกันแล้ว เพราะ ถีอว่าเป็นเรื่องทางศาสนา ชาวจีนได้สร้างเปาบุ้นจิ้นขื้นมาให้เป็นต้นแบบแห่งความยุติธรรม ลำ พังเรื่องยุติธรรมตลอดชีวิตของเปาบุ้นจิ้น อาจมีเพียงแค'ร้อยเรื่อง แต่อะไรที่เป็นความยุติธรรมในยุคนั้น ชาวจีนก็จับยกให้เป็นของ เปาบุ้นจิ้นหมด เพื่อให้ลูกหลานจำง่าย สืกษาง่าย นี่ก็เป็นอัจฉริยะของ คนจีน ขณะที่ของฝรั่งก็มีเช็คสเปียร์ ที่สร้างวรรณกรรมไว้หลายเรื่อง ให้เป็นต้นแบบปลูกฝังคุณธรรมของเยาวชน ที่เล่ามานี้คงเป็นคำตอบในระดับหนึ่งได้ว่า ทำไมหลวงพ่อจึงมี นิสัยชอบประเมินตนเองมาตั้งแต่เล็ก และตั้งแต่บวชมาก็ตั้งใจทุ่มเท เวลาให้กับการเขียนหนังสือมาเป็นสิบ ๆ ปี ตั้งใจว่าก่อนตายจะ พยายามเขียนหนังสือดี ๆ ไว้เป็นต้นแบบปลูกฝังคุณธรรมให้ลูกหลาน ไทยสักหลาย ๆ เล่ม โดยเฉพาะตำราปลูกฝังคุณธรรมลำหรับนักสร้าง บารมีของวัดพระธรรมกาย และประชาชนทั่วไปไว้สืกษา ต่อมาเมื่อมาพบคุณยายอาจารย์ ได้รับการสังลอน ชี้แนะ อบรม โดยเฉพาะลอนวิธีฝึกสมาธิเพื่อเข้าถึงธรรมกาย ให้พอเอามาผสานกับ ความรู้ที่ได้ค้นคว้าเองจากพระไตรปิฎก ก็ทำ ให้รู้จักประเมินการสร้าง บุญบารมีของตนเอง ประเมินข้อประพฤติ การปฏิบัติต่าง ๆ ของตน เป็นประจำทุกปี แส่..,นกสร้างบารมี ๒ cro กT5ทบทวนคณซ*Jรม www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109