๓.. มผนนุุ:ษยย'์ยเเร.ามีวิธีใช้!โจจัย ๔ ในรวิตประจำ วินได้กี่รูปแบบ ? มนุษย์เรามีวิธีการใช้ปัจจัย ๔ ในชีวิตประจำวันอยู่ ๓ รูปแบบ รูปแบบที่ ๑ คือ กิจวัตร ตั้งแต่ตื่นนอน อาบนํ้า ขับถ่าย แต่งตัว รับประทานอาหาร เดินทางออกจากบ้าน จนกระทั่ง กลับบ้านเช้านอน รูปแบบที่ ๒ คือ งานประจำ เซ่น ถ้าเป็นเด็กก็มีงานชีด เขียนเรียนอ่าน ^หญ่ก็มีงานอาชีพต่างๆ เป็นตัน รูปแบบที่ ผ คือ งานอดิเรก เซ่น ออกกำลังกาย ปลูก ตันไม้ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังเพลง เป็นตัน การใช้ปัจจัย ๔ ทั่งสามรูปแบบที่แตกต่างกันนี้เอง เป็น ที่มาของนิสัยดีและนิลัยชั่วที่ไม่เหมีอนกัน เพราะฉะนั้น หากต้องการสรัางนิสัยทุ่มชีวิตทำความดี เพื่อขจัดทุกข์ ขจัดกิเลส ขจัดความไม่รูให้หมดสิ้นไป จุดเริ่ม ตันของเรื่องนี้ จึงอยู่ที่กำหนดกิจวัตร งานประจำ และงาน อดิเรกในการใช้ปัจจัย ๔ ในชีวิตประจำวันให้มุ่งไปที่การ บำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้เป็นปกดิประจำวันนั้นเอง ๔๔ ^ทนรเไว้ชุ่นเคิมพัน www.kalyanamitra.org
๔. นิสัยเริ่มเกิดในตัวมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ และแตกต่างกันได้อย่างไร ร นิสัยเริ่มเกิดในตัวมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแตกต่าง กันเพราะไดรบการฟิกการใช้ปัจจัย๔ตั้งแต่แบเบาะไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น กัาในขณะที่ลูกอยู่ในครรภ์มารดา พอ ตกเย็นมา แม่กินเหล้าทุกวัน เมาเช้าเมาเย็นอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ เพียงแค่นี้ก็มืผลต่อการเพาะนิสัยให้แก่ลูกในท้องแล้ว ท้นทีที่ ลูกคลอดออกมา พอดูหน้าปีบ ก็รู้เลยว่า ลูกเป็นเด็กปัญญาอ่อน เพราะว่าแม่เพาะนิสัยขี้เมามาตั้งแต่อยู่ในท้อง และนับจากวัน คลอดออกมา ก็เลยมืนิสัยขี้เมาโดยไม่ตัองกินเหล้า ตั้งแต่วัน เกิดจนกระทั่งวันดาย เด็กบางคนมีนิสัยเกากันในที่สาธารณะ พอสืบสาวไปดู ที่มาของนิสัย ก็พบว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กทารก พอขับถ่ายออก มาแล้ว พ่อแม่ปล่อยให้นอนแช่ปัสสาวะอุจจาระ จนกระทั่งกัน เน่าตั้งแต่เล็ก โรคผื่นตันกินกันลายไปหมด ไปนั้งดรงไหน ก็ เกาขาเกาแขังไม่เลือกที่เสือกทาง นี่ก็เป็นนิสัยที่เพาะขี้นมาตั้ง แต่ลูกยังแบเบาะ นิสัยที่เกิดขี้นจากการซักเสื้อผ้าไม่เหมือนกัน เช่น เด็ก คนหนึ่งซักผ้าทุกวัน ไม่ปล่อยหมักหมมช้ามคืน ก็ไตันิสัย รักษาความสะอาด ได้นิสัยทำอะไรไม่ตั้งค้างมา ได้นิสัยถนอม ช้าวของติดตัวมาจากการซักเสื้อผ้าอย่างถูกวิธี แต่เด็กอีกคนห^นง รอใจหํฬใส.่เ-ฟส้'อผ้าให้หมดตู้ จึงค่อยเอา มาซักพร้อมกัน พอลงมือซักก็แช่หมักจนผ้าเน่าช้ามวันช้ามคืน การ?เททน เรํ่มต้นที?เกสือ!รรรมผ่านป็จจัย ๔ ๔๕ www.kalyanamitra.org
จึงค่อยลงมือซัก เด็กคนนี้ก็ได้นิสัยสกปรกหมักหมม นิสัยไม่รู้ จักถนอมข้าวของ นิสัยทำงานคั่งด้าง และอีกสารพํโดนิสัยเสียๆ จากการใข้เสื้อผ้าไม่ถูกวิธี นี่คือด้วอย่างเพียงเล็กนิ'อยที่แสดงให้เห็นว่า การไข้ปัจจัย ๔ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน ย่อมได้นิสัยที่แตกต่างกัน หากใครได้รับการ?เกให็ไข้สอยปัจจัย ๔ อย่างถูกวิธีมา ตั้งแต่วันแรกเกิตแล้ว คนๆ นั้นย่อมถูก?เกให้รู้จักดูแลสุขภาพ กายให้สะอาตแข็งแรง และรู้จักดูแลสุขภาพใจให้ผ่องใสด้วย การควบคุมกิเลสในใจไปโตยอัตโนม่ต โอกาสที่?เกผ่นอบรม ตนเองให้เข้าถึงธรรมย่อมเกิตขื้นได็ไม่ยาก แต่ถ้าหากใครได้รับการ?เกให็ใข้สอยปัจจัย ๔ อย่างผิต วิธีมาตั้งแต่วันแรกเกิตแล้ว นอกจากคนๆ นั้นจะถูก?เกให้มื นิสัยทำลายสุขภาพ คือไม่สะอาต และหมักหมมไปด้วยโรคภัย ไข้เจ็บแล้ว ยังมืนิสัยดื้อรั้น เจัาอารมถ! ชอบทำตามใจตนเอง อีกด้วยชึ่งก็กลายเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงธรรมไปโตยอัตโนมต นั้นก็หมายความว่า การที่ใครจะบรรลุธรรมได้นั้น สุขภาพกายและสุขภาพจิตด้องสมบูรถ! จึงด้องเริ่มด้นที่ ทัศนคติในการใช้ปัจจัย ๔ ให้ตรงก่อน เพราะเป็นทางมาของ นิสัยควบคุมใจให้คุ้นกับการพรากจากกิเลส เมื่อ?เกนิสัยพื้น ฐานนี้ลงตัวแล้ว การ?เกคุณธรรมอื่นๆ เพื่อการบรรลุธรรมไป ตามลำด้บ ย่อมเป็นไปได็โตยสะตวก ๔๖ ปีวํฅifsrioijuinมพัน www.kalyanamitra.org
การแกตนเองให้มีนิสัยรู้จักใช้ปั'จจัย ๔ ให้ตรงตาม วัตถุประสงค์ที่แท้จริงด้วยความเหมาะสมพอดี จึงเท่ากับ เป็นการพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์พร้อมทั้งสติและปัญญา ทำให้ มีสติรู้เท่าท้นแต่ละวาระจิตของตนเอง และทำให้มีปัญญามอง ทะลุสรรพสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะเมื่อมีสติปัญญาที่ มองทะลุถึงความพอดีและเหมาะสมในการใช้ปัจจัย ๔ ได้ ก็ ย่อมเป็นจุตเริ่มด้นของสติปัญญาที่จะเช้าใจธรรมะที่ละเอียตลึกซึ้ง เช่น เริ่อง การเวียนว่ายตายเกิต กฎแห่งกรรม และมรรคผล นิพพานได้ง่าย เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงได้ยินพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ธัมมชโยท่านกำชับหมู่คณะอยู่เสมอว่า \"ถ้างานหยาบยังไม่ ละเอึยด แล้วจะทำงานละเอียด (นั่งสมาธิ) ให้ละเอียดได้ อย่างไร\" แล้วหลวงพ่อท่านก็ลงมาเคี่ยวเข็ญงานด้านต่าง ๆ ของหมู่ คณะด้วยตัวท่านเอง ก็เพื่อจะถ่ายทอตนิสัยสร้างบารมีอย่าง ทุ่มชีวิตเป็นเติมพันให้ถ้วนทั้วแก่พวกเราโดยท่านใช้คำว่า\"ท่าน จะชวนทุกคนสร้างบุญโดยไม่ให้ตกบุญเลยแม้แต่บุญเดียว\" นี่ดีอวิธีแกพวกเราให้มีนิสัยรักบุญผ่านงานของหลวงพ่อท่าน เพราะท่านด้องการให้เรามีนิสัยละเอียดประณีตในการสร้างบุญ ซึ่งจะส่งผลให้การเช้าถึงธรรมมีความละเอียดประณีตไปด้วย ทา1?1กคน เรํ่มต้นfitเทสืสธรใมฝานปัจพั ๔ ๔๗ www.kalyanamitra.org
๕. พระสัมมาสัมทุฑธเจ้าทรงมีวิธฝกหมู่คณะ ให้มีนิสัยทุ่มรวิตทำความดีได้อย่างไร? พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า ปั'ญหาทั้งหลายใน โลกนี้เกิดจากการใช้!โจจ้ย ๔ ที่ผิดวัตถุประสงค์และเกิน ความจำเป็น เพราะเมื่ออยากได้-อยากมี-อยากเป็นในสิ่งใดแล้ว ก็ จะพยายามตะเกียกตะกายดิ้นรนไขว่คจ้าสิ่งนั้นมาเป็นของตน ใหได้ โตยไม่พิจารณาให้ถ้วนถี่ว่า ตนเองควรใช้เพื่ออะไร มี ความเหมาะสมหรือไม่ คุณภาพควรเป็นอย่างไรค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ จึงควบคุมใจให้รู้จ้กความพอดีไม่ได้ กลายเป็นความอยากได้ ไม่สิ้นสุต ชีวิตของมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาพแข่งกันกิน แข่งกันใช้ แข่งกันสะสม แข่งกันมีหน้ามีตาไม่จบไม่สิ้น ทำให้!จกลายเป็น เหวลึกที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เพราะเหตุนี้ มนุษย์!นโลกนี้จึงด้องทะเลาะเบาะแจ้ง เพราะการแย่งชีงปัจจ้ย ๔ ส่วนเกินกันไม่จบไม่สิ้น กลางคืน เป็นควัน กลางวันเป็นไฟ แล้วก็กลายเป็นชนวนให้เกิต สงครามโลกครั้งแล้วครั้งเล่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงไม่สอนให้หมู่คณะใช้ชีวิตเป็น ขี้ช้ากิเลสเข่นนั้น พระองค์ทรง?เกให้!ช้ปัจจัย ๔ เป็นอุปกรถ!เ สำคัญในการกำจ้ตกิเลสอย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน ซึ่งพระองค์ เรืยกสั้นๆ ว่า \"นิสสัย ๔\" ๔๘ ปีวํท มเคิมทน www.kalyanamitra.org
๕.๑ นิสสัย ๔ ดืออะไร คาตอบที่ลุ่มลึกไปตามลำดับ ก็คือ (๑) นิสสัย ๔ คือ วิธี?เกพุทธบุตรให้มีนิสัยขจัดกิเลส อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน (๒)นิสสัย ๔ คือ วิธี?]กขุนพลนักเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาให้เป็นผู้มีศีลธรรมอุตมสมบูรณ์เหมีอน ดันไม้ใหญ่ แต่ดำเนินชีวิตเรียบง่ายเหมีอนดัน หญ้าที่กินนํ้านัอย (๓) นิสสัย ๔ คือ วิธีหล่อหลอมพุทธบุตรทั้งสังฆ- มณฑลให้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมีอนดวงตะวันที่มีด วงเดียว ๕.๒ นิสส้ย ๔ มีอะไรบ้าง (๑) เที่ยวบิณฑบาต คือ การเดินขออาหารเพอเลยงชีวิต (๒)นุ่งห่มผ้าบังสุกุล คือ การนุ่งห่มผ้าห่อศพหรือผ้าที่ เจ้าของไม่เอาแล้ว ทิ้งไวัตามกองขยะ (๓) อย่โคนไม้ คือ การพักอาดัยใตโคนไม้ใช้เป็นที่กิน- A A0 ทนัง-ทนอน-ททาภาวนา (๔) ฉันยาตองด้วยนํ้ามูตรเน่าคือหากต้องเจ็บไขได้ป่วย ให้ดื่มยาวิเศษประจำดัว นั่นคือนํ้ามูตร หรือ ปัสสาวะของดัวเอง ทาร?เกคน ทมค้นทึ๋?เกสืลธรรมฝานปัจจัย ๔ ๔๙ www.kalyanamitra.org
๕.๓ จุดมุ่งหมายของการแกนิสสัย ๔ มีอย่างน้อย ๒ ประการ (๑) ด้านการแกตน คือ ด้องการแกผู้บวชใหม่ไม่ให้ เป็นคนมีฑิฏฐมานะ เพราะเป็นอุปสรรคในการ แกตนให้เป็นบรรพรดที่คืและเข้าสิงธรรมได้ยาก เช่น ความถือดีในชาติตระกูลสูง การศึกษาสูง เกียรติยศสูง เป็นต้น (๒) ด้านการเผยแผ่ คือ ด้องการแกให้ลูกของ พระองค์เป็นผู้อุดมสมบูรณ์ด้วยพระธรรมวินัย เหมือนด้นไม่ใหญ่ แด่มีความทรหดอดทน เหมือนกับด้นกระบองเพชรกลางทะเลทราย เพราะเมื่อถึงคราวเศรษฐกิจตกตาอย่างหน้ก จะไต้ ไม่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติธรรมและการ ทำงานเผยแฝพระพุทธศาสนา นี่ศึอพระอัจฉริยภาพในการแกหมู่คณะให้มีความเป็นหนึ่ง เดียวกันเหมีอนตวงตะวันที่มีตวงเดียว คือ๑)มีคืลเสมอกัน และ ๒)มีทืฏฐเสมอกัน คือ ความมุ่งมั่นในการรบกับกิเลสเสมอกัน โตยมีปั'จจัย ๔ เป็นอุปกรณ์ในการแกนิสสัย ๔ เพื่อถางทาง ไปพระนิพพานนั่นเอง ๖. พระพุทธศาสนาเป็นเสมือนด้นไajใหญ่ที่กิน น้าน้อย ใครทศึกษาพระไตรปีฎกอย่างจริงจังย่อมพบว่า พระพุทธ ศาสนาเป็นเสมือนด้นไม่ใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพระ <fo ปีวํทฟัรไว้'tjมเทมทัน www.kalyanamitra.org
ธรรมวินัย แต่ทรหดอดทนเหมือนต้นกระบองเพชรกลาง ทะเลทรายที่กินนํ้านัอย ตามธรรมดานั้นต้นไมIหญ่ต้องกินนํ้ากินป๋ยจำนวนมากจึง จะสามารถแผ่กิ่งก้านใบและผลิดอกออกผลไต้เต็มที่ มีแต่ต้น หญ้าเล็กๆ เท่านั้นที่กินนํ้ากินป๋ยจำนวนน้อย เพราะเหตุนี้ ก้า สภาพดินฟ้าอากาศเกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรงขึ้นเมื่อไหร่ ต้นไมีใหญ่จะเหี่ยวแห้งดายลงไปทันที แต่ต้นหญ้าจะสามารถ ปรับตัวให้อยู่รอดต่อไปไต้ทันที เพราะมีความอดทนต่อสภาพ ดินฟ้าอากาศดีเหลือเกิน ยิ่งถ้าเป็นต้นหญ้าหรือกระบองเพชร ในทะเลทรายต้วยแล้ว ยิ่งมีความทรหดอดทนต่อความยาก ลำ บากเป็นพิเศษ พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงสร้างพระพุทธศาสนาให้มี สักษณะพิเศษสองประการนี้รวมก้น ต้วยการ?เกอบรมหมู่สงฆ์ ให้เป็นผู้อุดมสมบูรถ่เต้วยพระธรรมวิน้ย แต่มีความเป็นอยู่ที่ สันโดษเรืยบง่าย รู้จักใช้ปัจจ้ย ๔ ตามความจำเป็น ไม่ฟ้งเฟ้อ ฟ่มเพิอย และมีความทรหดอดทนในการบำเพ็ญภาวนาเพื่อ ขจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป เมื่อทัศนคติในการอยู่ร่วมก้นของทุกคนตรงก้นแล้ว ความเป็นนั้าหนึ่งใจเดียวก้นของหมู่คณะก็เกิดขึ้น ปัญหา ความถือต้ว ปัญหาการเอาแต่ใจต้วเอง ปัญหาความอวดดึ้อถือดี ย่อมถูกกำจัดโดยอัดโนม่ตต้วยต้วของตัวเอง แล้วปัญหาอื่นๆ ในการอยู่ร่วมก้นก็น้อยลง เซ่น ปัญหาการจับผิด ปัญหาความ สุรุ่ยสุร่าย ปัญหาขาดระเบียบวินัย ปัญหาการกระทบกระทัง เป็นต้นความเป็นระเบียบงดงามของหมู่คณะย่อมเกิดขึ้'แตามมา การปีกคน เรมส์นทึ๋ปีกสิรธTJมฝ่านป็?จัย ๔ ๕® www.kalyanamitra.org
ส่งผลให้ความเป็นอยู่ในสังคมพระพุทธศาสนากลายเป็นต้นแบบ สังคมสันติสุขของโลกได้อย่างแท้จริงและเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ที่ใช้งบประมาณน้อย และมีอายุยืนยาวมากกว่าสองพันห้าร้อย ปีแล้ว นี่คือสักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนาที่โดดเด่นเป็น สง่าดุจดวงอาทิดย์ยามเที่ยงวัน ๗. ความเข้าใจถูกในการแกฝนนิสสัย ๔ ให้ แก่ตนเอง ผู้ที่ตั้งใจจะ?เกฝนอบรมดนเองไปดามเสันทางการขจัด กิเลสของพระสัมมาล้มพุทธเจ้าได่ไม่ผิดพลาดนั้น ด้องมีความ เช้าใจในการปีกนิสสัย ๔ให้ดนเองด้งด่อไปนี้ ๗.๑)พระองค์ทรงแบ่งคนในโลกนี้เป็นใอกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรก คือ ผู้ดรองเรือน หมายถึง ผู้ที่ยังด้องการความสุขจากการอยู่ร่วมกับคนใน เรือนของดนเช่นสามีภรรยา บุตรธิดา เป็นด้นและด้องการความ สะดวกสบายจากการครอบครองทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง มาเป็นสิ่งเชิดหน้าชูดาให้แก่ตนเองและวงค์ดระกูล กลุ่มที่สอง คือ บรรพชิต หมายถึง ผู้เห็นโทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด จึงออก จากเรือนเพื่อหาทางขจัดทุกข์ ขจัดกิเลส และทำพระนิพพาน ให้แจ้ง ไม่ยินดีกับการใช้ชีวีดแบบผู้ครองเรือน สาเหดุที่ด้องแปงออกเป็นสองกลุ่มก็เพราะว่าสองกลุ่มนี้ มีเป้าหมายชีวีตไม่เหมีอนกัน (flD ปีวิทนมไว้'!]มเฅํมทัน www.kalyanamitra.org
เป้าหมายชีวิตของกลุ่มแรก คือ ในขณะฑยังมีชีวิตอยู่ ก็ ต้องการมีความสุขอยู่ก็บลูก เมีย ภรรยา สามี และญาติพี่น้อง ยังต้องการวิตถุสิ่งของเงินทองไว้เชิดชูวงศ์ตระกูลให้มีหน้ามีตา บางพวกที่มีปัญญาขึ้นมาอีกหน่อยก็ยังนึกถึงเรื่องความตายบ้าง แต่ก็เป็นการนึกในลักษณะว่า เมื่อตายไปแล้ว ทำ อย่างไรจะไม่ พลัดพรากจากก้น ทำ อย่างไรจะมีโอกาสกลับมาอยู่ต้วยก้นใน ภพชาติต่อไปอีก ยังไม่เห็นโทษก้ยของว้ฎสงสาร ยังไม่คิตจะ บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่เป้าหมายของกลุ่มที่สอง คือ ต้องการมีความสุขก้บ การขจัดกิเลสยินดีก้บการออกจากสารพัดทุกข็ในการครองเรือน มีความสุขก้บการสละว้ดถุสิ่งของเงินทองใชิชีวิดล้นโดษเรืยบง่าย ต้องการสงวนเวลาชีวิตไว้เพี่อการบำเพ็ญเพียรภาวนาให้บรรลุ มรรคผลนิพพาน และบำเพ็ญตนเป็นครูสอนศีลธรรมให้แก่ชาว โลก เพี่อให็โลกทั้งโลกสว่างต้วยศีลธรรม จะไต้เป็นโลกที่มีสิ่ง แวดล้อมเหมาะแก่การประพฤติปฏิบ้ตธรรมไปอีกนานแสนนาน เพราะเหตุนี้ การดำเนินชีวิตของคนสองกลุ่มนี้จึงแดก ต่างก้นโดยสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องกิจว้ตร งานประจำ และงาน อติเรกโดยสิ้นเชิง หากน่ามาปนก้นจะทำให้เกิดความสับสนใน การ?เกฝนอบรมคนในวิถึชีวิตทางโลกก้บวิถึชีวิตทางธรรม เพราะฉะนั้น พระองศ์จึงต้องแปงชีวิตบรรพชิตออกจากชีวิต ฆราวาสให้ชัดเจนก่อนเป็นอันดับแรก เพี่อจะไต้กำหนด มาดรฐานชีวิดของนักสรางบารมี ผู้ต้องการขจัดทุกข์ ขจัดกิเลส และทำพระนิพพานให้แจังให้เกิดความสะดวกในการปฎิบํตไต้ อย่างชัดเจน การ?เกคน เรมต้นที่?!กสิทรรรมผ่านปัจจัย ๔ ๕๓ www.kalyanamitra.org
๗.๒) พระองค์ทรงกำหนดว้ตถุประสงค์การใช้ ป๋'จจ้ย ๔ ที่มีอานุภาพในการขจ้ดกิเลสและเป็น มาตรฐานโลก ฟ้จจ้ย ๔ คืออะไร ร ในที่นี้ ปัจจัย ๔ คือ อุปกรณ์การ!!กนิสัยขจัดกิเลส สำ หรับพระภิกษุสามเณรได้แก่ (๑)จีวร (๒)บิณฑบาต (๓)เสนาสนะหรือที่พักอาศัย (๔)ยารักษาโรค ทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตขั้นตาสุด ใน การบริโภคใช้สอยนั้นหากสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดหรือน้อยเกินไปก็ตาม มากเกินไปกิดาม หรือคุณภาพของสิ่งที่ใช้ดีเกินไป หรือด้อย เกินไปกิตาม ย่อมส่งผลกระทบต่อ (๑)สุขภาพพลานามัย (๒)ชีวิต (๓)การประพฤติปฏิบิตธรรมของพระภิกษุ (๔)ความรูสึกของประชาชนและเพื่อนสหธัมมิก นอกจากนี้ปัจจัย ๔ ยังหมายรวมถึงสิ่งของเครื่องใช้อื่นๆ ที่เนึ่องด้วยปัจจัย ๔ เช่น ๕๔ ปีวํคนเทว้ชุ่นIคินพัน www.kalyanamitra.org
(๑) สิ่งของที่เนื่องด้วยจีวรเช่นเครื่องนอนเครื่องห่ม เข็ม ด้าย เป็นด้น (๒) สิ่งของที่เนื่องด้วยบิณฑบาต เช่น ภาชนะ ถ้วย ชาม ซ้อน เป็นด้น (๓) สิ่งของที่เนื่องด้วยเสนาสนะเช่นตู้โต๊ะเตียง ตั่ง เถ้าอี้ เป็นด้น (๔) สิ่งของที่เนื่องด้วยยารักษาโรค เช่นเครื่องมือปรุงยา อุปกรณ์การแพทย์การพยาบาล เป็นด้น วัตถุประสงค์ของการใช้!โจจัย ๔ ที่แท้จริงมีอะไร บ้าง ร พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรง?!กให้พระภิกษุวางแผนการ ไซ้สอยปัจจัย ๔ ได้อย่างมืประสิทธิภาพ และเป็นปอเกิดคุณ ธรรมและนิสัยทุ่มชีวิตขจัดกิเลสไปด้วยในตัว โดยพระองค์ทรง กำ หนดวัตถุประสงค์การใซ้ปัจจัย ๔ไวัตังนี้ ๑) จีวร มืวัตถุประสงค์คือ ๑.๑)ใซ้เพื่อบาบ้ดความหนาว ๑.๒)ใซ้เพื่อบำบัดความรัอน ๑.๓)ใซ้เพื่อบำบัดการรบกวนของเหลือบยุงลมแดด และสัตว์เลื้อยคลาน ๑.๔)ใซ้เพื่อปกปีดอวัยวะที่ทำให้เกิดความละอาย การ?!กทน ทมต้นที?!กสิลธรรนฝานปัจจัย ๔ ๕๕ www.kalyanamitra.org
ใฮ) บิณฑบาต มีวัตถุประสงค์ คือ ๒.๑)ไม่ใช่กินเพื่อเล่น ไม่ใช่กินเพื่อมัวเมา ไม่ใช่ กินเพื่อประดับ ไม่ใช่กินเพื่อการตกแต่ง ร่างกายให้มีสัดส่วนสวยงาม ๒.๒)กินเพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ ๒.๓)กินเพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงกำลัง ๒.๔)กินเพื่อให้ความลำบากสงบลง ๒.๕)กินเพื่อการประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการ พิจารณาว่า เรากินเพื่อบรรเทาความหิวเสียได้ และจะปัองกันไม่ให้มีเวทนาใหม่เกิตขึ้น ด้วยประการนี้ ความมีชีวิตต่อไปได้ ความ ไม่มีโทษของร่างกาย และความอยู่สบายจะ มีแก่ด้วเรา ๓) เสนาสนะ มีวัตถุประสงค์ คือ ๓.๑)ใช้เพื่อบำบัดหนาว ๓.๒)ใช้เพื่อบำบัดความร้อน ๓.๓)ใช้เพื่อบำบัดการรบกวนของเหลือบยุงลมแดด สัตว์เลื้อยคลาน ๓.๔)ใช้เพื่อบรรเทาอันตรายอันเกิดจากฤดูกาล ๓.๕)ใช้เพื่อความยินดีในการหลีกเร้นเพื่อเจริญ ภาวนา ๕๖ ปีวฅนมเว้ชุ่มเทิมพัน www.kalyanamitra.org
๔) ยารักษาโรค มีวัตอุประสงค์ คือ ๔.๑)ใช้เพื่อกำจัดเวทนาอันเกิดจากโรคต่างๆ ที่ เกิดขึ้น ๔.๒)ใช้เพื่อความไม่ลำบากกาย การ?เกใช้ปัจจัย ๔ให้ดรงวัดอุประสงค์กิคือ การควบคุม นิสัย การควบคุมนิสัยกิคือ การควบคุมใจให้ตรงกับความถูก ต้องอย่างมีความพอดีและเหมาะสม การควบคุมใจให้ดรงกับความถูกต้องอย่างมีความพอดี และเหมาะสม กิคือ การควบคุมกิเลสไม่ให้กำเริบเสิบสานและ เป็นการเปีดทางให้คุณธรรมอื่นๆ งอกงามขึ้นในใจ ขึ้งจะ เป็นอุปการคุณในการบรรลุธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่คือการกำหนดมาดรฐานการใช้ปัจจัย ๔ที่เป็นมาดรฐาน โลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทรงกำหนดให้พระภิกษุ เป็นต้นแบบการดำเนินชีวิดที่ชัดเจนให้แก่ชาวโลก เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า ถ้ามนุษย์ยังใช้ปัจจัย ๔ ผิดวัดอุประสงค์และไม่รู้จักความพอดี มนุษย์ต้องตกเป็นขึ้ข้า กิเลสไปอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน แสัวการก่อบาปก่อเวรเพราะ ความสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักความพอดีกิจะเกิดขึ้นไม่รู้จบสิ้น โลกนี้ ย่อมยากจะหาความสงบสุขไต้เจอ ดังนั้น ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็จะพบว่า การแก่ไขปัญหา ต่างๆ ในโลกนี้ ถ้ายังแถ้ปัญหาเรื่องความพอดีและเหมาะ สมในการใช้ปัจจัย ๙ ไม่ไต้ ปัญหาอื่นๆ ไม่มีทางแก่ไขไต้ การสืกคน เรํ่มค้นทึ๋?!กสืลธรรมฝานปัจจัย ๔ ๕๗ www.kalyanamitra.org
จบสินอย่างแน่นอนแล้วคนที่ช่วยกันทำลายโลกใบนี้ก็ไม่ใช่ใคร ที่ไหน ก็คือ \"ตนเอง และการไม่แกลูกหลานให้รู้จักใช้ปัจจัย ๔ ตามความจำเป็นและถูกวัตถุประสงค์\" นั่นเอง ๗.๓)พระองค์ทรงสอนให้รู้จักความพอดี คำ ว่า \"พอดี\" คือ \"พอแล้วดี\" มิใช่คิดว่าพอ แต่จริงๆ กลับขาด จนกลายเป็นการทรมาน ตนเองมากเกินไปโดยใช่เหตุ หรือคิดว่าพอแต่จริงๆ กลับเกิน คือมากเกินไปจนกลายเป็นการพอกพูนกิเลส ทำ ให้กลายเป็น คนเห็นแก่ปากแก่ห้อง และกลายเป็นการทำลายทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปมากโดยใช่เหตุ ผู้ที่รู้จักความพอดีในการบริโภคปัจจัย ๔ นั้น ต้อง สามารถแยกแยะไต้ระหว่าง ความจำเป็น■ความต้องการ-ความ อยาก ว่าสามอย่างนี้ต่างกันอย่างไร ความจำเป็น คือ ขาดไมใต้หาก.ขาดแล้วมีผลกระทบต่อ ชีวิตและความเป็นอยู่อย่างมาก ความต้องการ คือ ล้าไต้ก็ดี แต่ล้าไม่มีก็ไม่ต้อง เป็น เรื่องของการเพิ่มความสะดวกสบายขึ้นกว่าเติม แต่กัาไม่ไต้ก็ ไม่ถึงกับเดีอดร้อนต่อชีวิดและความเป็นอยู่ ความอยาก คือ ความตะเกียกตะกายในสิงที่ไม่เกิด ประโยชน์ต่อชีวิตและมึผลกระทบต่อความเป็นอยู่ เพราะ ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส (£๘ ^ทนมิไว้ชุ่มIคิมทัน www.kalyanamitra.org
ยิ่งกว่านั้นนอกจากแยกแยะได้แล้ว ยังด้องมีสติควบคุมใจ ไม่ให้ตกเป็นทาสของความอยากอีกด้วย มิฉะนั้น เดี๋ยวก็จะผิด พลาด เอาความอยากในชีวิดชาวโลกมาปนกับซีวิดนักบวช ใน ที่สุดก็ด้องสึกหาลาเพศสมณะไปอย่างน่าเสียดาย ๗.๔)พระองค์ทรงสอนให้รู้จักความเหมาะสม คำ ว่า\"เหมาะสม\"คือ สมควรแก่ฐานะ และเพศภาวะชอง ตนเอง ทั้งในแง่ชนิด คุณภาพ วิธีการได้มา วิธีการใช้ และ วัตถุประสงคํในการใช้งาน ของบางชนิดไม่เหมาะกับพระภิกษุ พระองค์จึงทรง กำหนดไวิในพระธรรมวินัยว่าห้ามรับ ส่วนของบางชนิดพระองคํไม่ได้ทรงห้ามพระภิกษุไม่ให้รับ แต่ด้องระมัดระวังของที่มีคุณภาพดีเกินไปไม่เหมาะกับคุณ ธรรมของดนเอง เมื่อรับมาแล้ว นอกจากจะเพิ่มภาระในการ ดูแลรักษาแล้ว กังทาใหจิดฟังซ่าน การปฎิบดธรรมย่อมไม่ กัาวหน้า และกังขัดต่อความรู้สึกของประชาชนและเพิ่อน สหธัมมิกอีกด้วย เช่น ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระเทวทัดรับผ้าเนื้อดี ราคาถึงหนึ่งแสนกหาปณะ นำ มาตัดเย็บจีวรแล้วนุ่งทุ่มไปในที่ ต่างๆ ในครั้งนั้น ชาวบ้านพากันติเดียนว่า \"ผ้าฝึนนื้ไม่สมควร แก่พระเทวทัด สมควรแก่พระสารีบุดรมากกว่า พระเทวทัดนุ่ง ห่มผ้าอ้นไม่เหมาะแก่ดน\" การ?เกคน เรํ่มต้นที๋?!กสิรรรรมผ่านปัจจัย ๔ ๕๙ www.kalyanamitra.org
นี่คื อความผิดพลาดของพระเทวฑัตในเรื่องนิสัยที่เกิด จากการใช้ปัจจัย ๔ ที่ไม่ก่อให้เกิดคุณธรรมในตัว ซึ่งภายหสัง นำ ไปสู่การพอกพูนฑิฎฐิมานะอย่างแรงกล้า และนำไปสู่การ ก่อความผิดพลาดครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนาอย่างไม่ควรจะเป็น ผลสุดท้ายดนเองกิตัองถูกธรณีสูบ ตัองดกนรกหมกไหม้อยู่ใน อเวจีมหานรกอย่างทุกข์ทรมาน เพราะการจาบจ้วงพระสัมมา สัมพุทธเจ้าด้วยความมีทิฎฐิมานะเป็นเหตุ นั่นก็หมายความว่า ช้าวแต่ละคำ นํ้าแต่ละอึก ปัจจัย ๔ แต่ละชิ้นที่ใช้ในชีวิดประจำวัน นอกจากมีผลต่อนิสัยใจคอแล้ว ยังมีผลต่อการเช้าถึงธรรมอึกด้วย ใครดูเบาเรื่องความเหมาะ สมในการใช้ปัจจัย ๔นี้จึงยากจะเอาดีไดในพระพุทธศาสนา หลวงพ่อจึงเคยเตือนอยู่ปอย ๆ ว่า ใครที่มาอยู่วัดนานแล้ว หรือเพิ่งมาอยู่ใหม่ก็ตาม ถ้าหากยังไม่รู้จักประมาณการใช้ ปัจจัย ๔ต้องถือวำยังเป็นผู้กำลังแกตัวใหม่อยู่ทั้งชิ้น เพราะฉะนั้น พวกเราด้องระม้ดระวังการใช้ปัจจัย ๔ ให้ดี อย่าใช้ด้วยความสุรุ่ยสุร่าย แต่ให้คำนึงถึงความจำเป็นและ ประโยชน์ใช้สอย และคำนึงอยู่เสมอว่าวับมาแล้ว จะเป็นไป เพิ่อการขจัดกิเลสในตัวหรือไม่ หากใครยังแกํไขนิสัยตามใจตัว เองไม่ไต้ แม้เช้าวัดมาเป็นถืบป็ ยี่สิบ!! สามสิบป็ ก็จะเป็น ขี้ช้ากิเลสเหมือนเดิม นิสัยจะไม่ดิขี้นกว่าก่อนเช้าวัด อย่างแน่นอนเรื่องนี้นักสรืางบารมืจึงมองช้ามไม่ไต้เด็ดขาด ๖0 ปีวํทไ!รไว้')]มเทนพัน www.kalyanamitra.org
๗.๕)พระองค์ทรงสอนการใช้ปัจจัย ๔ให้๓ดบุญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ว่า ปัจจัย ๔ แต่ละ ประเภทล้วนเกิดขื้นจากบุญ คือเกิดจากบุญที่ตนเองสั่งสมมา และบุญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปักหลักพระพุทธ ศาสนาไว้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ใช้ปัจจัย ๔ ต้องระลึกว่า กำ สังใช้บุญอยู่ เพราะจริงๆ แล้ว ทุกขณะจิตที่เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่ายามหลับ หรือยามตื่น เราต้องใช้บุญทั้งสิ้น หากการดำเนินชีวิตของเรา ใช้ปัจจัย ๔ อย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้อย่างล้างผลาญ ใช้อย่างไม่ ระมัตระวัง ก็หมายถึงกำลังล้างผลาญบุญของต้วเอง และบุญ ของพระสัมมาลัมพุทธเจ้าอยู่ตลอตเวลาเช่นกัน พระสัมมาลัมพุทธเจ้าทรงสอนพระภิกษุให้รู้จักใช้ปัจจัย๔ ให้เกิตบุญทั้งแก่ตนเองและญาติโยมไว่ใน\"ปุญญากิลันฑสูตร\" ว่า ๑) พระภิกษุรูปใตที่ญาติโยมนำจีวรมาถวาย พอไต้รับ ถวายแล้ว ก็เช้าเจโตสมาธิ คือ ตั้งใจนั้งสมาธิเช้า กลางของกลางธรรมะภายในต้วไป ย่อมทำให้ท่อ ธารบุญกุศลของทายก บังเกิตขึ้นอย่างจะนับ ประมาณมิไต้ ๒) พระภิกษุรูปใตที่ญาติโยมนำอาหารมาถวาย พอไต้ รับถวายแล้ว ก็เช้าเจโตสมาธิ คือ ตั้งใจนั้งสมาธิ เช้ากลางของกลางธรรมะภายในต้วไป ย่อมทำให้ ท่อธารบุญกุศลของทายก บังเกิตขึ้นอย่างจะนับ ประมาณมิไต้ กาฟัทคน ฬํ่มฅันที๋ฟิทฟึคทรมฝานป้จจัย ๔ ๖ท www.kalyanamitra.org
๓) พระภิกษุรปใดที่ญาติโยมนำเสนาสนะมาถวาย / J Of พอได้รับถวายแล้ว ก็เข้าเจโตสมาธิ คือ ตั้งใจนั่ง สมาธิเข้ากลางของกลางธรรมะภายในตัวไป ย่อม ทำให้ท่อธารบุญกุศลของทายก บังเกิดขึ้นอย่างจะ นับประมาณมิได้ ๔) พระภิกษุรูปใดที่ญาติโยมนำคิลานเภสัชมาถวาย พอได้รับถวายแล้ว ก็เข้าเจโตสมาธิ คือ ตั้งใจนั่ง สมาธิเข้ากลางของกลางธรรมะภายในตัวไป ย่อม ทาให้ท่อธารบุญกุศลของทายก บังเกิดขึ้นอย่างจะ นับประมาณมิได้ นั่นก็หมายความว่า เมื่อญาติโยมถวายปัจจัย ๔ มาบำรุง เลี้ยงพระภิกษุแล้ว หากพระภิกษุไม่นั่งสมาธิ เพื่อมุ่งขจัดกิเลส ท่าพระนิพพานให้แจัง ท่อธารบุญในตัวของญาติโยมย่อม บังเกิดนัอย และกลายเป็นหนี้ข้าวปลาอาหารของญาติโยม แต่ว่าในทางตรงกันข้าม ถ้าพระภิกษุรับปัจจัย ๔ ที่ ญาติโยมถวายแล้ว พอกลับมาถึงกุฏิ ก็นั่งสมาธิ จะเห็นธรรมะ หรือยังไม่เห็นธรรมะ ก็ตั้งใจท่าสมาธิเข้าไป ถ้าเป็นอย่างนี้ แม้ มองไม่เห็นท่อธารบุญ แต่บุญได้เกิดเป็นสายทั้งตัวของพระ ภิกษุและญาติโยมแล้ว และความถ้าวหนัาในการ'ฝืกฝนอบรม ตนเองก็จะเพิ่มขึ้นไปตามลำตับ ญาติโยมก็ได้บุญเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วในที่สุดก็กลายเป็นว่า ญาติโยมก็มีนิสัยรักการทำบุญพระ ภิกษุรูปนั้นก็มีนิสัยรักการบำเพ็ญภาวนาและกลายเป็น เนั้อนาบุญอันประเสริฐของญาติโยม และนั่นคือความเจริญ รุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาอย่างยั่งยืน ๖๒ ปีวํทนื้มไว้'ชุ่มเดมพัน www.kalyanamitra.org
๗.๖) กิจวัตร ๑๐ ประการ บทแกน้กบวชให้มี นิสัยวักการปฏิบัติธรรม การที่พระภิกษุรปใดรปหนึ่งจะเกิดนิสสัย ๔ ขึ้นมาได้ ก็ <|<น <นิ ด้องทำให้เป็นกิจวัดรประจำวัน พระเถระในอดีตท่านมองทะลุ เรื่องเหล่านี้อย่างแดกฉานท่านจึงได้สรุป \"กิจวัตร ๑๐ ประการ\" ออกมาจากพระไตรปีฎก เพื่อใช้เป็นบทแกพระภิกษุในชีวิต ประจำวัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่การสร้างนิสสัย ๔ ของนักบวช ขึ้นมาแทนนิสัยฆราวาส นั่นเอง กิจวัตร มาจากคำ ๒ คำ รวมกัน คือ \"กิจ\" กับ \"วัตร\" กิจ หมายถึง สิ่งที่ด้องท่า ถ้าไม่ท่าจะเสียหาย วัตร หมายถึง ช้อปฏิบตที่ควรท่าเป็นนิสัย กิจวัตร หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ต้องทำให้เป็นนิสัย มีฉะนั้น จะเกิดความเสิยหายต่อการแกฝนอบรมตนเอง ให้เป็นสมณะและการบรรลุธรรม กิจวัตร ๑๐ ประการ ได้แก่ ๑) บิณฑบาต ใอ) กวาดวัด ๓) ปลงอาบัติ ๔) ทำ วัตรสวดมนต์และทำภาวนา ๕) พิจารณาบิจจเวกขณะ ๖) อุบิฏฐากอุบิชฌาย์อาจารย์ ๗) บริหารสิงของและร่างกาย ทาร'รกคน เรํ่มคํ'นทึ๋รกสืครรรมฝานปัจจัย ๔ ๖๓ www.kalyanamitra.org
๘) ขวนขวายเรียนพระธรรมวิน้ย ๙) เอาใจใส่หมู่สงฆ์และกิจของสงฆ์ ๑๐) ดำ รงตนให้น่ากราบไหว้ ผลฒื้องต้นที่ได้รับของการแกกิจวัตร ๑๐ ประการ ก็คือ ๑) เป็นการกำจัดนิสัยความถือดีในทิฎฐิมานะของตนให้ หมตไป เช่น นิสัยถือตนว่าดีกว่าเขา-เสมอเขา- ต้อยกว่าเขา เป็นต้น ๒) เป็นการสรัางนิสัยรักการขจัตกิเลสอย่างทุ่มชีวิต เป็นเดิมพันขื้นมาฑตแทน ๓) เมื่อถึงคราวเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็กลายเป็นผู้ อุตมด้วยศีลธรรมเหมือนต้นไมใหญ่ แต่ดำเนิน ชีวิตเรียบง่าย มืความทรหตอตทนเหมือนต้น กระบองเพชรที่กินนํ้าน้อยอยู่กลางทะเลทราย และที่งหมตนี้คือความรูพนฐานของการสร้างทีมงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนาประการที่ ๓นั่นคือทุกคนต้องมีความเข้าใจถูกว่า การแกไขนิสัยของตนเอง การสร้างนิสัยทุ่มชีวิตเป็นเดิม พันในการขจัดกิเลส และการหล่อหลอมพุทธบุตรให้เป็น หนึ่งเดิยวกันนั้น ต้องเริ่มต้นที่การแกนิสสัย ๔ ฝานการ ใช้ปัจจัย ๔ ให้เป็นกิจวัตร ๑๐ ประการ ประจำวัน โดยมี ต้นแบบ ดือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเอง ๖๔ ปีวิฅนรไว้ชุ่มเคมพัน www.kalyanamitra.org
ใครที่มาอยู่วัดนานแล้วหรือเพิ่งมา อยู่ใหม่ก็ตามถ้าหากยังไม่รู้จัก ประมาณการใช้ปัจจัย ๔ต้องถือว่า ยังเป็นผู้กำลังฟิกตัวใหม่อยู่ฑั้งสี้น หากใครยังแล้ไขนิสัยตามใจตัวเอง ไม่ไต้แม้เช้าวัตมาเป็นสิบปี ยี่สิบปี ลทมสิบปีก็จะเป็นขี้ช้ากิเลสเหมือนเดิม นิสัยจะไม่ดีขี้นกว่าก่อนเช้าวัตอย่าง แน่นอนเรื่องนี้นักสรางบารมื จึงมองช้ามไม่ไต้เดิตขาต www.kalyanamitra.org
มรรคมีองค์๘ หัวใจแห่งการบรรลธรรม ควๆมรู้พื้นฐานของการสร้างทีมงานเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาประการที่ ๔ คือ ทุกคนต้องมีความเข้าใจถูกว่า การ บรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีใช่เกิดจาก การนั่งคิดตริตรองต้นเดาเอาเอง แต่เป็นการเห็นธรรมะ ภายในต้วยอำนาจสัมมาสมาธิที่เกิดจากการบำเพ็ญ ภาวนาตามหลักมรรคมีองค์๘ อย่างทุ่มช่วิตเป็นเดิมพัน ในยุคปัจจุบ้นนี้ มีคนจานวนไม่น้อยที่ศึกษาคำสอนใน พระพุทธศาสนาแล้ว เกิดความเข้าใจผิดว่า การดร้สรู้ของพระ สัมมาล้มพุทธเจ้าเกิดจากการนั่งค้นคืดดรึกดรอง จนกระทงไค้ ข้อสรุปเป็นหสักคำสอนต่างๆ ออกมาแล้ว จึงนำมาสั่งสอน ประชาชน ทำให้หลงคิดผิดไปว่าพระองค์ท่านเป็นเพียงน้ก วิชาการคนหนึ่งเท่านั้น ม•ทครอง ๘ พัวใจนพ่งทารบรรรุธรรม ๖๗ www.kalyanamitra.org
ความเข้าใจผิดเช่นนี๋ได้กลายเป็นเครื่องปีดกั้นโอกาสใน การบรรลุธรรมของพวกเขาไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ได้มี โอกาสพบคำสอนของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าแล้วก็ดาม ๑. ธรรมะคืออะไรกันแน่ ทำ ไมจึงเกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ขึ้นมาได้ สาเหตุก็เพราะว่า เขายังไม่ได้ปฎิบ้ติมรรคมีองค์ ๘ อย่าง ทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันเขาจึงไม่รู้ว่า \"ธรรมะที่แฑ้จริงนั้นคืออะไร\" เพราะฉะนั้น เพื่อป้องก้นไม่ให้ความเข้าใจผิดพลาดนี้เกิด ขึ้นก้บหมู่คณะของเรา หลวงพ่อขอใชโอกาสนี้ อธิบายให้ทุก คนเกิดความเข้าใจที่ถูกด้องตรงก้นว่า \"ธรรมคืออะไร\" \"ธรรมะ\" แปงออกเป็น ๓ ระดับ คือ ๑) ธรรมะ คือ ธรรมซาติบริสุฑธในตัวมนุษย์ที่ พระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการทำภาวนา ตามทสักมรรคมีองค์๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเคืมพัน จนกระทั้งหมดทุกข์ หมดกิเลส หมดความไม่รู้อย่าง ถาวร ส่งผลให้หลุดพันจากการก้กข้ง-จองจำ- เหนี่ยวรั้ง-ปีดบังจากการเวียนว่ายดายเกิดในวัฏ สงสารได้อย่างถาวร ๒)ธรรมะ คือ คำ สอนของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าที่มุ่ง สอนประชาชนให้ทุ่มเทก้บการขจัดทุกข์ ขจัดกิเลส ขจัดความไม่รู้!นดนให้หมดสิ้นตามพระองคไป ๖๔ ปีวํฅสัรไว้'ชุ่มเคํมทัน www.kalyanamitra.org
๓) ธรรมะ คือ นิส้ยดีที่เกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ด้วยการละเว้นความชั่ว ทาความดี กลนใจให้ผ่องใส อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันตามคำสอนของพระสัมมา- สมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คำ ว่า \"บรรลุธรรม\" ที่พวกเราด้องการจะ บรรลุตามพระองค์ท่านไปนั้น จึงหมายถึง การเห็นธรรมชาติ บริสุทธ!นตัวด้วยการบำเพ็ญภาวนาตามหลักมรรคมีองค์๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเติมพันเช่นเดียวลับที่พระสัมมาลัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ ๒. องค์ประกอบที่แท้จริงของมนุษย์ ในฐานะที่หลวงพ่อตั้งใจ?เกผ่นอบรมตนเองตามคำสอนของ พระเตชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยอย่างเคร่งครัตมาตั้งแต่แรก สรางวัต หลวงพ่อจึงด้องทำงานไปด้วย ทำ ภาวนาไปด้วย และ ด้นคว้าพระไตรปิฎกไปด้วย ทำ ให้หลวงพ่อมีนิสัยว่า ก่อนที่จะ ลงมีอทำอะไรนั้น ด้องทราบหสักการที่ถูกด้องของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าก่อน โตยจะพยายามหาข้อมูลให้ครบถ้วนที่สุด ข้ตเจนที่สุต และลุ่มลึกที่สุต เพื่อให้ตนเองปฏิบัติตามได้ถูก ด้องให้มากที่สุดพูดง่ายๆ ก็คือ\"หลังอิงด้นโพธ\"ในทุกย่างถ้าว ของการแกตัว เมื่อหลวงพ่อพบความรู้อะไรใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ หมู่คณะทั้งในด้านการสร้างวัต การทำภาวนา และการศึกษา รวมทั้งสุขภาพความเป็นอยู่ ก็จะทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อสลัด มรรครองค์๔พัวใจนพ่งทารบรรลุ®รรม ๖๙ www.kalyanamitra.org
ความรู้เหล่านั้นออกมาให้เป็นภาษาที่ง่ายที่สุด มีเนึ้อหาที่ครบ ถ้วนที่สุดชัดเจนที่สุดสุ่มลึกที่สุดไม่มีปีดบังความรู้แม้แต่นิดเดียว เพื่อให้หมู่คณะและญาติโยมรู้สึกง่ายต่อการจดจำ ง่ายต่อ ความเข้าใจ และง่ายต่อการนำไปปฎิบด นี่คือนิสัยของหลวงพ่อที่ต้องค้ดกรองธรรมะให้ดีที่สุด เพราะรู้ดีว่าทุกสิ่งที่ทำลงไปนั้นนอกจากมีผลต่อการเข้าถึง ธรรมของต้วเองแล้ว บังมีผลต่อความสั้นยาวของอายุพระพุทธ ศาสนาอีกต้วย จึงไม่อาจดูเบาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าแม้แต่คำเดียว หสังจากที่หลวงพ่อไต้พยายามพลิกพระไตรปีฎกอ่าน แล้วอ่านอีกอยู่หลายเที่ยว ในที่สุดก็พบข้อความสำคัญในพระ สูตรชื่อ โรหิตัสสสูตร ส้งยุตดนิกาย สคาถวรรค ว่า \"ธรรมะทั้งหลายที่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น พระองส์ไม่ได้นำมาจากบนฟากฟ้าอากาศ ไม่ได้นำมา จากสิงภายนอกรอบตัวแต่ธรรมะทั้งหลายที่พระองค์ตรัสรู้ ได้มาจากภายในกายยาววา หนาคืบ กว้าศอก และมีใจ ครอบครอง\" หลวงพ่อจึงไต้เฉลียวใจคิดว่า องค์ประกอบจริงๆ ของ มนุษย์นั้น ไม่ไต้มีแค่ ๒ ส่วน แต่มีต้วยถ้น ๓ ส่วน คือ ๑) กาย '๒) ใจ ๓) ธรรม ๗0 ปีวิทนรไว้ชุ่มเดิมทัน www.kalyanamitra.org
ถ้าหลวงพ่อบอกพวกเราอย่างนี้ ก็คงมีคำถามย้อนกลับ มาถามอีกว่า แล้วทำไมในขันธ์๕จึงสอนว่าองค์ประกอบของมนุษย์ มี ใอ ประการ คือ กาย กับ ใจ ร ก็ขอตอบว่า การสอนธรรมะของพระพุทธองค์นั้นต้องสอน กันเป็นขั้นเป็นตอน ต้องลุ่มลึกไปตามลำดับ เพราะคนไนโลกมี ทั้งคนโง่และคนฉลาต สติปัญญาไม่เท่ากัน กว่าจะทำไหใครมี ความเข้าไจว่า คนเรามีกายกับไจ ก็เป็นเรื่องยากอยู่มาก ยิ่งบางคนมีการศึกษามาก เลยไม่ยอมรับว่า คนเรานั้นมี ๗® \"ใจ\"อยู่ภายไนกาย คือเชื่อว่าตายแล้วสูญ แต่ไม่เชื่อว่าตายแล้ว มีการเวียนว่ายตายเกิด มีกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้น ไนเรื่องข้นธ์ ๕ พระพุทธองค์จึงต้องสอน แค่เบื้องต้นว่า คนเราประกอบต้วย กาย กับ ไจ แต่ว่าเมื่อพระองคํไต้พบกับผู้ที่เคยปฎิป้ตธรรมอย่างทุ่ม ชีวิตเป็นเดิมพันมาก่อน ซึ่งเป็นผู้มีความเข้าไจเรื่องกายกับ ไจมาอย่างดีแล้ว แต่ว่ายังไม่บรรลุธรรม พระองค์ก็ทรงสอนไห้ สมกับระดับความรูและประสบการถ่เของเขาว่า แห้จริงแล้ว องค์ประกอบของคนเรานั้น มี ๓ ส่วน คือ กาย-ใจ-ธรรม ส่วนว่า ธรรมะมีรูปร่างลักษณะอย่างไร ร ขอไห้พวกเราตั้งไจเพียร ภาวนาตามหลักมรรคมีองค์ ๘ ต่อไปเถิด แล้วจะต้องไดัเห็น ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้อย่างแน่นอน เหมือนอย่างกับที่พระกัญ- ญาโกณฑัญญะสามารถเห็นธรรมะตามที่พระองค์ทรงสอนไต้ จริงเป็นบุคคลแรกของโลก และต่อมาภายหลังก็มีบุคคลอีก มากมายที่บรรลุธรรมตามมา ซึ่งก็เป็นการยืนยันว่า ธรรมะที่ มรรคมีองสั ๘ หัวใจแท่งการบรรสุรรรม www.kalyanamitra.org
พระองค์ตรัสรู้นั้น มีอยู่จริงในตัวมนุษย์ทุกคนอย่างแน่นอน และทุกคนสามารถเห็นธรรมไตัตัวยการปฏิป้ตมรรคมีองค์ ๘ นั้นเอง ๓. การปฏิบตมรรคมีองค์๘ ต้องทำอย่างไร ร พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการปฏิบต มรรคมีองค์ ๘ อย่างสูงที่สุดในพระพุทธศาสนา โดยพระองค์ ถึงกับดรัสว่า \"ธรรมะทั้งหลายที่เราสั่งสอนนั้นประชุมรวมกัน ในมรรคมีองค์๘\" และยังดรัสยํ้าอีกด้วยว่า \"มรรคมีองค์๘เป็น เส้นทางการตรัสรู้ธรรมที่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าในกาล ก่อนได้เคยตรัสรู้มาแล้ว\" เพราะฉะนั้นพวกเราปฎิบติดามมรรคมีองค์๘ไปเถิด แสัว ก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เพราะเหตุใด หลวงพ่อจึงบอกว่าธรรมะมี ๓ ระตับ โดยมีเงื่อนไขว่า ห้ามทำแบบลิงเกากันคือทำๆ เลิกๆ ไม่จริงจ้ง ถ้าอย่างนั้นไม่มีทางเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ตัองทำแบบ ต่อเนื่องให้เกิดเป็นนิสัยละเว้นความชั่ว ทำ ความดี และกลนใจ ให้ผ่องใสอย่างทุ่มชีวิดเป็นเดิมพัน นั้นแหละจึงจะเข้าใจได้ทั้ง สามระตับดามที่หลวงพ่อพูดมาด้วยตัวเอง มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ๑) สัมมาฑิฎเ คือ ความเข้าใจถูก โดยสามารถตัดสิน ได้อย่างถูกตัองว่า อะไรถูก-ผิด อะไรดี-ชั่ว อะไรบุญ- บาป อะไรควร-ไม่ควรทำ ๗๒ ปีวิทนมไว้ชุ่มเคิมพัน www.kalyanamitra.org
๒) สัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดถูกโดยเลือกคิดเฉพาะ ในสิ่งที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป ๓) สัมมาวาจา คือ การพูดถูกโดยเลือกพูดเฉพาะในสิ่ง ที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป ๔) สัมมากัมมันตะ คือ การทำถูก โดยเลือกทำแต่ใน สิ่งที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป ๕) สัมมาอาสิวะคือ การเลี้ยงชีพถูกโดยเลือกประกอบ อาชีพที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป ๖) สัมมาวายามะ คือ การเพียรพยามถูก โดยเพียร ละเว้นความชั่ว เพียรทำความดี และเพียรกลนใจ ๗) สัมมาสติ คือ ความระลึกถูก โดยพยายามรักษาใจ ให้มีความสะอาดบริสุทธึ๋ในการคิด พูด และทำอยู่ เป็นปกติ ๘) สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นถูก โดยพยายาม ประคับประคองในขณะทำภาวนาให้หยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลางกายอย่างต่อเนิ่องถูกส่วนเป็นปกติ จน กระทั่งเกิดความสว่างฃี้นในใจที่นำไปสู่การเห็น ธรรมะที่เป็นธรรมชาติบริสฺฑธิ้อย่ในคัว เมื่อเราปฏิบ้ติมรรคมีองค์ ๘ ไคัเดีมที่เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเรา ย่อมเห็นธรรมที่อยู่ในคัว ถ้าไม่ปฏิบติมรรคมีองค์ ๘ ให้เต็มที่ ทำ อย่างไรก็ไม่มีทางเห็นธรรมะในคัว ม■ททมองค์ ๔ ฟ้วใจนท่งการบรรลุธรรม ๗๓ www.kalyanamitra.org
มรรคมีองค์๘ นี้ต้องทำใหํได้สัดได้ส่วนไม่ใช่ฑาทีละส่วน แต่ต้องทำพร้อมกันไป ๘อย่างจนกระทั่งกลายเป็นนิสัยประจำด้ว การปฏิบ้ติมรรคมีองค์ ๘ อุปมาเหมีอนนํ้าพริก ถึงแม้ว่า มีส่วนประกอบครบถ้วน คือ กระเทียม หัวหอม กะปี พริก เกลือ นํ้าปลา นํ้าตาล มะนาว แต่ถ้าใส่ครกไปแสัว ยังไม่โขลกรวม กันใหัเป็นเนี้อเดียวนนก็ยังไม่เป็นนี้าพริกแต่เมื่อไหร่ตำใหัแหลก และส่วนประกอบได้สัดส่วนเป็นเนี้อเดียวกัน เมื่อนั้นจึงเป็น นั้าพริก เรานั้งสมาธิมาดลอดหนึ่งพรรษา เวลาที่ใจนึ่งใจก็เริ่มโปร่ง เริ่มเบา ความสว่างก็เริ่มดามมา ความชุ่มอกซุ่มใจก็เริ่มมา แสดงว่ามรรคมีองค์ ๘ ที่เราตั้งใจปฏิบํติมาทั่ง ๘ อย่าง เริ่มได้ สัดส่วนแล้ว แต่ถ้ามรรคมีองค์ ๘ ของเราได้สัดส่วนอย่างต่อเนึ่องแล้ว ในขั้นด้น เวลาที่ใจนึ่ง ใจก็เริ่มโปร่ง เบา สบาย แล้วความสว่าง ก็เกิดขึ้นดามมา เมื่อความสว่างเกิดขึ้นแล้ว เราก็ได้อาศัย ความสว่างนั้นไปเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจ บางคนก็เห็นดวง ปฐมมรรค บางคนก็เห็นพระธรรมกาย ซึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจ เหล่านั้น พระสัมมาล้มพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า \"ธรรม\" ใครทำสมาธิหยุดนึ่งได้มากเท่าไหร่ ก็เห็นธรรมบริสุทธี้ที่ ซ้อนอยู่ข้างในที่ละเอียดไปตามลำดับเท่านั้น แล้วก็จะพบด้วย ด้วเองว่า องค์ประกอบของคนเรานั้น มี ๓ ส่วน คือ กาย ใจ และธรรม ซึ่งก็จะทำใหัเราเกิดความมนใจว่า การตรัสรู้ของ ๗๔ ปีรํทสันไว้ชุ่มเทมทัน www.kalyanamitra.org
พระองค์ท่านนั้นไม่ใช่เกิดจากการคิดแต่เกิดจากการเห็นธรรม ภายในและการเห็นนั้นกิฑำให้เกิดการรู้ความจริง อย่างไรก็ดาม เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบดธรรม หลวงพ่อก็อยากให้พวกเราไปเปีดพระไดรปีฎกอ่านพระสูดร หนึ่งชื่อ สติ!โฏฐานสูตรเป็นพระสูตรที่ว่าดวยการเห็นธรรมะ ภายในไปตามลำดับ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไวํในพระสูดรนี้ก็คือการ ฝ็กมรรคมีองค์ ๘ อย่างหนัก โดยเฉพาะในส่วนที่เป็น สัมมาสติ คือเมื่อแกสติได้ถูกส่วนแสัว ก็จะเห็นธรรมะภายในที่ละเอียด ไปดามลำดับๆ เริ่มตั้งแต่เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิดในจิด และเห็นธรรมในธรรม ดอนนี้เราเห็นแต่ส่วนที่เป็นกาย แม้ส่วนที่เป็นใจยังไม่เห็น แต่ก็สัมผ้สได้ ส่วนธรรมนั้น บางคนก็ยังไม่เห็น แต่บางคนก็ เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น หนัาที่ของพวกเรา ก็คือ ด้องไปด้นจาก การเห็นภายในกันต่อไป เพราะถ้าพบทั้ง ๓ อย่างนี้ คือ กาย ใจ ธรรม ที่ซ้อนๆอยู่ภายในได้ซัดๆ เมื่อไหร่สิ่งที่เกิดขึ้นในเบื้องด้น ก็คือ ความสุขที่มีทั้งความสะอาด ความสว่าง ความสงบหล่อ หลอมรวมกันอยู่ภายใน แล้วก็จะเกิดกำสังใจในการทุ่มชีวิต สร้างบารมีตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านไปได้ และนึ่คือวิธีรักษาด้วเองให้อยู่ในธรรมะของพระสัมมาล้มพุทธ เจ้าด้วยการปฎิบ้ติมรรคมีองค์๘ มฑคมองค์ ๘ พัวใจแห่งการบรใคฺธรรม ๗๕ www.kalyanamitra.org
๔. ธรรมะในตู้กับธรรมะในตัว พระเดชพระคุณหลวงป่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ (สด จันทสโร) ท่านต้องการบรรลุธรรมตามรอยบาทของพระส้มมา- สมพุทธเจัาไป ท่านจึงทุ่มเททำภาวนาดามหส้กมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มซีวิดเป็นเดิมพันท่านจึงต้นพบว่า ธรรมะภายในตัวคน เรานั้น มึลักษณะเปีนดวงช้อนๆ กันอยู่ ส่วนว่าธรรมะที่ซ้อนอยู่ในต้วเรานั้นมีมากมายขนาดไหนก็ ต้องไปเป็ดพระไดรปีฎก อ่านทบทวนในพระสูตรชื่อ สีสปาสูตร แล้วก็จะพบว่า พระส้มมาส้มพุทธเจัาไต้ตรัสเล่าให้พระภิกษุฟังว่า ธรรมะ ทั้งหลายที่พระองคไปรูไปเห็นจากในตัวนั้น มีมากมาย กว่านำใบไม้ทั้งป๋าประดู่ลายมารวมกัน ส่วนธรรมะทั้ง หลายที่พระองค์เสือกมาสอนชาวโลกให้รู้จักลักษณะของ ธรรมะและวิธีการเข้าถึงธรรมะในตัวนั้น มีเหมีอนแค่ ใบไajในกำมีอ ถ้าพวกเรานึกภาพอุปมานี๋ไม่ออก ก็มีวิธีการง่ายๆ ก็คือ ลองไปนับดูว่าต้นประดูลายหนึ่งต้น เฉลี่ยแล้วมีใบอยู่จำนวน เท่าไหร่ แล้วป่าหนึ่งป่าควรจะมีต้นไม้อยู่กี่ต้น แล้วก็เอาต้วเลข สองจำนวนนี้คูณกัน ก็จะเห็นภาพว่าถ้านำใบไม้ทั้งป่ามากอง รวมกันตรงหนัาจะไดิใบไม้กองโตๆ เป็นภูเขาลูกใหญ่ขนาดไหน แต่ธรรมะที่ดรัสรู้จริง ๆ นั้นมีมากมายกว่านั้นหลายเท่านัก ๗๖ ฅนนไว้'!]นเดนทัน www.kalyanamitra.org
เพราะฉะนั้น เมื่อธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้มีมากมายกว่า ธรรมะที่พระองค์ทรงนำมาสอนซาวโลกนี้ ก็อยากจะขอเตือนว่า ถ้าพวกเรายังไม่เห็นธรรมะในตัวล่ะก็ชาตินี้เกิดฟรีตายฟรีเสียแล้ว ถ้าไม่อยากเกิดฟรี ตายฟรี ตัองรีบปฎิยัติมรรคมีองค์ ๘ ให้เป็นนิสัยประจำตัวให็ได้ พอหลับตาทำภาวนาเมื่อไหร่ ใจจะ ไตัหยุตนิ่งถูกส่วนท้นทีแล้วเราก็จะได้เห็นธรรมะในตัว และนี่คือ งานที่แท้จริงของสิวิต เราเกิดมาเพื่อเข้าสิงธรรมในตัว หลวงฟอนำเรื่องนี้มาบอกแก่พวกเรา ก็เพราะด้องการให้ พวกเราเกิดความมั่นใจว่า \"ภายในกายยาววา หนาคืบ กว้าง ศอกของพวกเราทุกคนนั้นมีธรรมะอยู่ในตัวอย่างแน่นอน\" เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราทุกคนตั้งใจประพฤติปฏิบติตาม คำ แนะนำของพระเดชพระคุณหลวงฟอธัมมชโยอย่างสมั่าเสมอ รันใตที่วางใจตามหลักมรรคมีองค์ ๘ ได้ถูกส่วน ใจหยุดนิ่งได้ สมบูรณ์ จะด้องได้เห็นธรรมะที่พระสัมมาลัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ธรรมมาก่อนอย่างแน่นอน ๕, กำ ลังใจไม่มีหมด แต่อย่างไรก็ตามเนิ่องจากในระหว่างที่พวกเราตั้งใจปฎิบติ ธรรมอยู่นี้ พวกเราก็ยังด้องช่วยกันดูแลงานต่างๆ ของรัดพระ ธรรมกายไปด้วย ทำ งานเผยแผ่ธรรมะไปด้วย และด้วยความ ที่ยังไม่มีใครหมดกิเลส บางครั้งบางคราวก็อาจมีกำลังใจตกลง ไปบ้าง เซ็งบ้าง เครียดบ้าง เบื่อบ้าง กลุ้มบ้าง ๘ ทัวไจนท่งกา']บ'ทamม ๗๗ www.kalyanamitra.org
เวลากำลังใจตก ไม่ว่าจะเนื่องด้วยสาเหตุใดก็ตาม บาง คนก็เพราะเหนื่อย บางคนก็เพราะลังขารไม่ไหว บางคนก็ เพราะว่างานท่วม สิ่งที่เกิตขึ้นก็คือ กิเลสมันก็เริ่มบีบคั้น เมื่อ กิเลสบีบคั้นก็เกิตการจับผิต เมื่อจับผิด ก็คิดผิด พูดผิด ทำ ผิด แล้วในที่สุดก็กลายเป็นตีรวน จากตีรวนก็กลายเป็นทิฏเ มานะที่ใครๆ ก็เตีอนไม่ได้ ในที่สุดก็หลุดจากเล้น ทางการสรางบารมีไป สิ่งที่พวกเราด้องคิตก็คือ ทำ อย่างไรให้กำลังใจของเรา นอกจากไม่ตกแล้ว ยังมีกำลังใจไม่สินสุดในการสร้างบารมี อีกด้วย ร คำ ตอบก็คือ ทุ่มอีวิตเป็นเดิมพ้นปฏิบัติมรรคมีองค์๘ เข้าไปอย่างต่อเนื่องเป็นนิสัย เพราะนอกจากกำลังใจไม่มีลต แล้ว ยังมีแต่เพิ่มทับทวียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย พวกเราสามารถดูด้นแบบเรื่องนี๋ใด้จากที่ไหน? ดูได้จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อยัมมชโย ดูอย่างไรจึงเห็นความเป็นด้นแบบของท่านได้ชัดเจนร ในฐานะที่หลวงพ่อร่วมบุกเบิกสร้างวัตพระธรรมกายมากับ หมู่คณะรุ่นแรก ตั้งแต่สมัยยังอยู่กับคุณยายที่บ้านธรรมประสิทธ วัตปากนํ้า ภาษีเจริญ หลวงพ่อขอขึ้ให้พวกเราเห็นง่ายๆ ว่า ตลอดระยะเวลา กว่าสี่สิบปีนี้ สิ่งที่หลวงพ่อเห็นจากการสร้างบุญบารมีของพระ- เตชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ก็คือ การทุ่มเทอย่างชนิดเอา ชีวิตเป็นเดิมพันครั้งแล้วครั้งเล่า โตยไม่เห็นแก่ความเหนื่อย ยากใดๆ ทั้งสิ้นโดยเฉพาะ ๗ ปีว๊คนมิไว้ชุ่มเคิมพัน www.kalyanamitra.org
๑) ท่านทุ่มเทใาาภาวนาอย่างชนิดเอาสิวิตเป็นเดิม พัน เพื่อให้ตนเองเข้าถึงธรรมของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าให้!ด้ พื่งท่านปฏิบัดิมาไม่ขาดเลย แม้แด่วันเดียว ดั้งแด่สมัยเป็นนิดิดเรียน หน้งสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จน กระทั่งทุกวันนี้ ๒) ท่านทุ่มเทเดี่ยวเข็ญอบรมหมู่คณะและสาธุชน อย่างชนิดเอาข็วิตเป็นเดิมพัน เพื่อให้ทุกคน เข้าถึงธรรม ๓) ท่านทุ่มเทสร้างวัตพระธรรมกายให้มีความสัป ปายะอย่างชนิดเอาข็วิดเป็นเดิมพัน เพื่อให้ เป็นสถานที่ที่มีประสิทธิกาพในการรองร้บการ ปฏิบัติธรรมของสาธุชนนับล้านคนจากทั่วโลก ๔) ท่านทุ่มเทขยายงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาไป ทั่วโลกอย่างเอาข็วิดเป็นเดิมพัน เพื่อขยาย โอกาสให้คนฑั้งโลกไล้รู้จักวิธิท่ากาวนาเพื่อเข้า ถึงสันติสุขกายใน พื่งเป็นที่มาของการเกิด สันติกาพโลกที่แห้จริง ทั้งสี่เรื่องนี้ คือภาพที่หลวงพ่อเห็นพระเดชพระคุณ หลวงพ่อธัมมชโยทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันโดยไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใดๆ มาตั้งแต่ยังไม่ได้บวช นี่คือนํ้าใจบรีสุทธของท่านที่มีต่อ เพื่อนมนุษย์ วัดพระธรรมกายจึงได้เติบโดอย่างก้าวกระโดด อย่างที่เห็นในปัจจุบัน มรฬมรงสั ๘ ฬัาใจนทํงการบ?'!รุ ๗๙ www.kalyanamitra.org
ยิ่งหลวงพ่อท่านทุ่มเททำงานมากเท่าไหร่ ปริมาณงาน ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ใครที่ผ่านการทำงานมาแล้ว ก็จะรู้ดีว่าช่วงที่ ต้องไซ้กำล้งใจอย่างมหาศาลนั้นก็คือ ช่วงที่งานขยายต้ว เพราะ เมื่องานขยายต้ว ปัญหาย่อมขยายตามมาต้วย ความต้องการ กำ ล้งคนย่อมเพิ่มขึ้นต้วยความต้องการกำลังทุนย่อมเพิ่มขึ้นต้วย ทุกอย่างในการทำงานจะเกิดภาวะขาดแคลนและเกินกำลังทันที พูดง่ายๆ ก็คือ เงินไม่พอ คนไม่พอ เวลาไม่พอ แต่งานต้อง สำ เร็จตามเป้าหมาย วิ ธี การเดียวที่จะเอาชนะภาวะงานขยายต้วไต้ สำ เร็จก็ดีอ ต้องขยายกำลังใจไหใหญ่กว่างาน วิธีการของ หลวงพ่อท่านก็คือ ท่านขยายความบริสุฑธ!จที่มีต่อชาวโลก ต้วยการปฐบัดีมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มช่วิตเป็นเดีมพัน ต้วยตัวท่านเอง และยกใจหมู่คณะให้ทุ่มช่วิตปฏิบัติมรรค มีองค์ ๘ ให้บริสุฑธยิ่ง ๆ ขึ้นไป งานของวัดพระธรรมกายจึง เติบโดขยายอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในวันนี้ การเผยแผ่ของวัด พระธรรมกายจึงไต้กระจายผ่านการถ่ายทอดสดไปทั่วทุกมุม โลกแล้ว และล้าพวกเราลังเกดให้ดีจะพบว่า ในทุกๆ คืนที่พวก เรานั้งดูรายการธรรมะจากช่องดาวธรรม (DMC) นั้น ท่านจะ ติดดามความคืบหน้าของงานต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกมา รายงานให้พวกเราทราบ ยกต้วอย่างเช่น บางคืนก็นำเรื่องราวการสู้ชีวิดของน้ก สร้างบารมีในประเทศต่างๆ มาให้ซ้อคิดบัาง บางคืนก็นำผล ๔0 ปีวํทน}ทว้'ชุ่มเดํนพัน www.kalyanamitra.org
การปฏิบ้ติธรรมจากสาธุชนในประเทศต่างๆ มาอ่านให้ฟังบาง บางคืนก็นำความคืบหน้าของงานสร้างวัดในประเทศต่าง ๆ มา รายงานให้ฟังบ้าง นำ ข่าวการช่วยเหลือจากผู้ประสบภัยพิบ้ติ ต่างๆ มาแจ้งให้ฟังบ้าง เป็นด้น ใครที่เคยทำงานอย่างจริงจังจนกระทั่งงานในแต่ละปีมี การเติบโตขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ย่อมรู้ดีว่า กว่าจะได้ความ คืบหน้าแต่ละอย่าง คนๆ นั้นด้องทำงานอย่างชนิดเอาชีวิต เป็นเติมพัน เพราะงานยิ่งขยายมากเท่าไหร่ ปัญหาทุกอย่างย่อม ขยายตัวหลายร้อยเท่า ความขาดแคลนกำลังคน กำ ลังทรัพย์ กำ ลังความรู้ก็จะขาดแคลนอีกหลายร้อยเท่า หลวงพ่อท่านทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันแบกรับภาระงานทุก ด้านที่โตขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์โดยไม่มีวันหยุดแม้แต่วันเดียว ท่านจึงสามารถนำความคืบหน้าของงานต่างๆจากทั่วทุกมุมโลก มาเล่าให้ทุกคนได้เห็นภาพรวมได้ปลาบปลื้มในบุญภันทุกคืนๆๆ นี่คือหัวใจของหลวงพ่อท่านที่มีต่อการเข้าถึงธรรม ของชาวโลก โดยไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใด ๆ เลย แม้แต่ วินาทีเดียว เพราะอย่างนี้ ท่านจึงสามารถนำหมู่คณะพลิกผืนนาฟ้า โล่งให้กลายเป็นวัดพระธรรมกายที่สามารถขยายงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก นี่คือการทุ่มชีวิตเป็นเติมพันที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านท่าให้เราได้มีโอกาลมาลร้าง บารมีติดดามท่านไป ม'รรคปีองค์ ๘ หัวใจนท่งการบฑรฺธรรม rf® www.kalyanamitra.org
คำ ถามที่หลายๆ คนสงสัยก็คือ หลวงพ่อท่านเอากำลัง ใจจากที่ไหนมาทุ่มเทท่างานเพี่อการเข้าสิงธรรมของชาว โลกขนาดนี้ ร คำ ตอบก็คือ ท่านเอากำลังใจมาจากการทุ่มเทท่า ภาวนาตามหลักมรรคมีองด์ ๘ อย่างทุ่มข้วิดเป็นเดิมฟัน โดยโม่ขาดแม้แด่วันเดียว ทำ ไมหลวงพ่อท่านต้องปฏิบัดิมรรคมีองค์๘อย่างทุ่ม ข้วิตเป็นเดีมฟันต้วย ? คำ ตอบก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมได้เพราะ ปฎิบ้ตมรรคมีองค์๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน พระสาวกบรรลุธรรมได้เพราะฏิป้ตมรรคมีองค์ ๘ อย่าง ทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันเช่นกัน อายุพระพุทธศาสนาจะยืนยาวต่อไปได้ ทั้งชาวพุทธและ ชาวโลกก็ด้องปฏิบตมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน เช่นกัน หลวงพ่อท่านมีมโนปณิธานอันแข็งแกร่งทจะชักชวนให้ ทุกคนในโลกนี้เชัาถึงธรรมและสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ ยาวนานไปนานนับพันๆ ปี ท่านจึงปฏิป้ตมรรคมีองค์ ๘ อย่าง ทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันก่อนและชักชวนให้ทุกคนปฏิบ้ดิมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันตามมา เพราะมรรคมีองค์ ๘ เป็น หนทางเอกสายเดียวที่นำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไปสู่การตรัสรู้ธรรม ซึ่งไม่มีวันผิดพลาดอย่างแน่นอน ๘๒ ปีวฅนรไว้ชุ่ม!ทิมพัน www.kalyanamitra.org
นั่นก็หมายความว่า การที่พวกเราจะเข้าถึงธรรมในตัว ไตัจริงการที่พวกเราจะช่วยแบ่งเบาภาระงานของหมู่คณะไตัจริง และการที่พวกเราจะเผยแผ่พระพุทธศาสนาไบ่ทั่วโลกไตัจริงก็คือ พวกเราตัองเอาจริงกับการบ่ฎิบตมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มชีวิต เป็นเดิมพัน และนั่นก็จะกลายเป็นความเจริญรุ่งเรืองของ พระพุทธศาสนาเพิ่มขื้นอย่างไม่สิ้นสุดไบ่อีกนานแสนนาน ๖. แกนิสัยรักการปฏิบัติมรรคมีองค์๘ ทำ อย่างไรเราจึงจะมีนิสัยรักการบ่ฎิบตมรรคมีองค์๘อย่าง ทํมชีวิตเป็นเดิมพัน ? คนที่จะมีนิสัยรักการบ่ฎิป้ตมรรคมีองค์๘ไตันั่น ๑) เขาต้องได้ต้นแบบที่ดี คือ ไตัครูดีที่มีนิสัยบ่ฏิป้ต มรรคมีองค์๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน ๒) เขาต้องไต้หลักสูตรที่ดี คือ มีเนื้อหาความรู้ที่ถูก ต้อง-ครบถ้วน-ชัดเจน-สุ่มลึกในการบ่ฏิบ้ตมรรค มีองค์ ๘ แต่ละข้อ ๓) เขาต้องเอาจริงในการแกตนคือต้องทุ่มชีวิตศึกษา ความรู้และถ่ายทอดเอานิสัยที่ดีจากครูมาสู่ตนเอง เหเต้ ๔) เขาต้องไดริบวิธีการสอนที่ดี คือครูมีความสามารถ ในการใชักิจวัตร การศึกษา และภารกิจของหมู่ คณะสำหรับเป็นบท'ฝืกนิสัยทำความดีอย่างทุ่ม ชีวิตเป็นเดิมพันให้แก่ลูกศิษยํไต้ UTiflSoj^ ๘ พัวใจนห่งกา'ทJTjaimu ๘๓ www.kalyanamitra.org
เมื่อองค์ประกอบ ๔ ประการนี้ครบถ้วนแล้ว สถานที่ แห่งนั้นย่อมกลายเป็นโรงเรียนแกขุนพลนักเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาอย่างยอดเยี่ยม โดยสามารถปลูกฝังนิสัยรักการปฏิบต มรรคมีองค์๘ให้เกิดขึ้นได้ตามลำดับดังนี้คือ ๑) เป็นผู้มีความเข้าใจถูกเป็นสัมมาทิฏฐิ ว่า \"นิสัย สำ คัญกว่าความเวชาการ\" ทำ ไมนิสัยจึงสำคัญกว่าความรู้? เพราะความรูวิชาการเป็นเพียงอุปกรถ!ให้คนทำความชั่ว หรือทำความดีเท่านั้น ถ้าคนนิสัยดีก็ใช้ความรูวิชาการนั้นไป ทำ ความดีถ้าคนนิสัยชั่วก็ใช้ความรูวิชาการนั้นไปทำความชั่ว บานเมีองใดมีคนนิสัยดีมาก บ้านเมืองนั้นย่อมมีแต่ ความเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองใดมีคนนิสัยชั่วมาก บ้านเมืองนั้นย่อมมีแต่ ความล่มจม คนนิสัยดี คือ คิดดี พูดดี และทำดีเป็นปกติ ผลสัพธ์ก็ คือได้ทั้งบุญและความสุขอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้มีความคิด สร้างสรรค์ดี เป็นคนดี และได้เพื่อนที่ดีตามมา ความสำเร็จใน ชีวิดจึงรออยู่ช้างหน้า แต่คนนิสัยชั่ว คือ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำ ชั่วเป็นปกติ ผลสัพธ์ ก็คือได้ทั้งบาปและความทุกข์อย่างต่อเนื่อง ทำ ให้มีความคิด ทำ ลาย เป็นคนชั่ว และได้คัตรูตามมา ความพินาศในชีวิดจึงรอ อยู่เบื้องหน้า ๘๔ ปีวิทนมไว้ชุ่มเคิมพัน www.kalyanamitra.org
คนสองคนจบดอกเตอร์เหมือนกัน คนหนึ่งมืนิสัยดี อีก คนมืนิสัยชั่ว สองคนนี้มืความรู้ทางด้านวิชาการเท่ากัน แต่สอง คนนี้จะเอาความรู้ไปใซไม่ใช้ไม่เหมือนกัน เพราะความรู้เป็น เพียงอุปกรณ1ห้นิสัยนำไปใช้'งานเท่านั้น มหาวิทยาสัยหลายๆ แห่งในเมืองไทยมืกำสังผลิต ดอกเตอร์Iห้จบปีละหลายๆ คน แต่มืมหาวิทยาลัยใดกล้ารับ ประกันว่า ดอกเตอร์ที่จบจากสถาบันนั้นๆ ไปแล้ว จะเป็นคนดี ได้ทั้งหมด สำ นักเรียนบาลีหลายๆ แห่งมีกำลังผลิตพระภิกษุให้จบ ป.ธ. ๙ ปีละหลายๆ รูป แต่ถ้าไม่ปลูกฝังว่า ภาษาบาลีเป็น เพียงกุญแจดอกหนึ่งที่ใช้ไขตู้พระไตรปีฎก เพื่อจะเอาธรรมะ มา'รกนิสัยของตนเองให้ดีขึ้น แล้วจะเอานิสัยดีๆ ไปปราบ กิเลสให้หมดสิ้น ผลที่ได้รับก็คือ เรียนจบ ป.ธ. ๙ เมื่อไหร่ ก็ สึกหาลาเพศออกไปเมื่อนั้น แล้วพระพุทธศาสนาจะมืพระภิกษุ ที่เป็นเสมือนขุนพลในการเผยแผ่ได้อย่างไร หลวงพ่อเอง เพราะตระหนักว่า นิสัยที่ดีนั้นสำคัญกว่า ความรู้ จึงไดโยนใบปริญญาทิ้ง แล้วก็มาบวชติดตามรับใช้งาน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย จนกระทั้งมีวัดพระ ธรรมกายให้พวกเราไดใช้สร้างบารมีร่วมกัน ๒) เป็นผู้มีความคิดถูกเป็นสัมมาสังกัปปะ ว่า \"การ สอน คือ การถ่ายทอดนิสัยใฝ่รู้-ใฟ้ดี-ใฟ้สร้างบารมีจากครู ไปสู่ลูกคิษย์\" มรรคมองค์ ๘ ท้วใจนหํงการบรรลุธรรม ๘<£ www.kalyanamitra.org
สิ่งที่ควรระวังในการถ่ายทอดความรู้ ก็คือ การสอน ไม่ใช่การบอกความรู้ เพราะการสอนกับการบอกนั้นมีจุดมุ่ง หมายต่างกันโดยสิ้นเชิง คำ ว่า \"สอน\"ตรงกับภาษาอังกฤษว่า \"Teaching\" ส่วนคำว่า \"บอก\"ดรงกับภาษาอังกฤษว่า \"Telling\" จุดมุ่งหมายของการสอนธรรมะ คือ ต้องการให้ผู้เรียนสิ้น ทุกข์ ซึ่งต้องถ่ายทอดนิส้ยใฝ่รู้ ใฝ่ดี ใฝ่สร้างบารมีจากครูไปสู่ ลูกศิษย็ให้1ต้ แต่จุดมุ่งหมายของการบอกธรรมะ คือ การบอกให้ผู้ เรียนรับทราบว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เท่านั้น ยังไม่มีการ ถ่ายทอดนิลัยที่นำไปสู่การขจัดทุกข์แต่อย่างใด ปัญหาการศึกษาในยุคปัจจุบันนี้ ก็คือ ครูทำหน้าที่เพียง แค่บอกความรู้ แต่ยังไม่ไต้ถ่ายทอดนิลัยใฝ่รู้-ใฝ่ดี-ใฝ่สร้าง บารมีให้แก่ลูกศิษย์ ดรงนี้เองถ้าหากไม่ไต้ครูดีเป็นต้นแบบแลัว ลูกศิษย์จะไม่มีทางไต้นิสัยใฝ่รู้!ฝ่ดีและใฝ่สร้างบารมีอย่างแน่นอน เมื่อหลวงพ่อยังเรียนหน้งสืออยู่ชั้น ม.๗-ม.๘ ไต้ยินว่า วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ มีทีม?เกสมาธิชั้นเยี่ยมอยู่ที่นั้น หลวงพ่อ จึงเดินทางไปที่วัดปากนั้า จึงไต้กันเห็นพระเดชพระคุณหลวง ปูวัดปากนํ้าขณะที่ยังมีชีวิดอยู่ เพียงแค่เห็นบุคลิกลักษณะที่ ฝองใสของท่าน ก็เชื่อว่าท่านเป็นบุคคลที่ทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน ในการทำภาวนาอย่างแน่นอน ต่อมาหลังจากหลวงปูวัดปากนํ้ามรณภาพไปแล้ว หลวง พ่อยังเป็นนิสิตอยู่ ก็ไต้มีโอกาสไปวัดปากนั้าอีกครั้ง แต่คราวนี้ ๔๖ ปีวิทงรไว้ชุ่มเคมฟัน www.kalyanamitra.org
เป็นการติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยมาพบกับ คุณยาย วันแรกที่หลวงพ่อได้พบกับคุณยาย ได้เห็นความเป็น อยู่ที่สะอาดสะอ้านของท่าน ได้เห็นศีลาจารวัตรของท่าน ได้ ฟ้กสมาธิกับท่าน ได้ฟังคำยืนยันว่านรกสวรรค์มีจริงจากท่าน ก็มั่นใจว่าท่านเป็นบุคคลที่ทุ่มชีวิดเป็นเติมพันอย่างแน่นอน ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อก็ไม่จากไปไหน อยู่เรียนธรรมะ กับคุณยายที่วัดปากนั้า ยอมให้ท่านเคี่ยวเชีญอบรมนิสัยใจคอ ทุกอย่างเพื่อการเข้าถึงธรรม หสังจากนั้นคุณยายก็น่าหมู่คณะมาสร้างวัดพระธรรมกาย วันที่ตัดสินใจจะสร้างวัดนั้น คุณยายก็เรียกประชุม แล้วให้ หลวงพ่อคำนวณว่าการสร้างวัดเกือบ ๒๐๐ ไร่นั้น ด้องไข้เงิน เท่าไหร่หลวงพ่อก็คำนวณเฉลี่ยได้ว่าตกอยู่ที่ ๕แสนบาทต่อไร่ รวมเบ็ดเสร็จก็ด้องมีเงินเป็น ๑๐๐ ล้าน จึงจะสร่างวัดได้เสร็จ หลวงพ่อก็ถามว่าแล้วตอนนี้คุณยายมีเงินอยู่เท่าไหร่ คุณยายท่านก็ห้วเราะหึๆ แล้วก็หยิบเงินในถุงกระดาษออกมา นับได้ ๓,๒๐๐ บาท หลวงพ่อก็ถามว่า \"ยาย เรามีเงินอยู่แค่นี้ แล้วจะสร้าง วัดสำเร็จหรีอ?\" คุณยายก็ตอบว่า \"สำเร็จสิคุณ\" หลวงพ่อก็ถามว่า \"สำเร็จยังไง ยาย?\" คุณยายก็ถามว่า \"ถ้าคุณจะสร้างคนดีสักคนหนึ่งด้องไข้ เงินเท่าไหร่\" มTIflijDงสั ๙ ทัวใจนท่งการบรรธุธรรม ๔๗ www.kalyanamitra.org
หลวงพ่อก็ตอบว่า \"หมดเงินเป็นร้อยล้าน ก็ยังไม่แน่ว่า จะสร้างคนดีได้สักคนหนึ่ง\" คุณยายก็หัวเราะหึๆ แล้วก็ตอบว่า \"ถ้าอย่างนั้น ยาย สร้างวัตสำเร็จ\" หลวงพ่อก็ถามอีกว่า \"สำเร็จยังไง ยาย เรามีเงินแค่ ๓,ใอ๐๐ บาท?\" คุณยายตอบชัตเจนดีเหลือเกินว่า \"ก็ยายมีพวกคุณเป็น คนดีอยู่สิบกว่าคน รวมกันแล้ว ยายก็มีพันกว่าล้าน แล้ว ทำ ไมจะสร้างวัดไม่สำเร็จ\" แล้วคุณยายก็พิสูจนั้1หัเห็นว่าการทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันสร้ไง วัตนั้น ทำ ได้สำเร็จจริงๆ นึ่คือวิธีถ่ายทอดนิสัยใฝ่รู้-นิสัยใฝ่ดี-นิสัยสร้างบารมี อย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันใหัแก่ลูกศิษย์ของคุณยาย ๓) เป็นผู้มีนิสัยร้กการพูดถูกเป็นสัมมาวาจา ว่า \"การพูด\" คือ การอธิบายคำนิยาม หสักการ วิธีการ และผล การปฏิป้ตใหัถูกด้องตรงตามความเป็นจริงของหสักธรรมหรือ เรื่องราวนั้นๆ(ตามหสักวุฒิธรรม ๔) ๔) เปนผู้มีนิสัยร้กการทำถูกให้เป็นสัมมากัมมันดะ ว่า \"การทำถูกของครูผู้สอน คือ ต้องพัฒนานิสัยตนเองให้ เป็นต้นแบบนิสัยใฝ่รู้-ใฝ่ดี-ใฝ่สร้างบารมีให้แก่ดีษย์\"มิฉะนั้น ๘๘ ปีวิฅนมเว้ชุ่มเดินพัน www.kalyanamitra.org
เขาย่อมไม่สามารถเป็นครูสอนศีลธรรมที่เป็นแสงสว่างให้แก่ ชาวโลกได้ ๕) เป็นผู้มีนิสัยรักการมีอาสืพถูกเป็นสัมมาอๆสืวะ ว่า\"อามีพฃองนักบวช คือ การบวชถวายรวิต เพื่อแกฝนตน เองตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และแกลูกคืษย่ไห้ เป็นขุนพลนักเผยแฝที่มีดวามรักในพระพุทธศาสนาอย่าง อุทิศรวิตเป็นเดิมพัน\" นี่ศีอความมั่นคงและยืนยาวของอายุ พระพุทธศาสนา ๖) เป็นผู้มีนิสัยรักความเพียรถูกเป็นสัมมาวายามะ ว่า \"ความพยายามถูก คือ ความพยายามในการแก!ขนิสัย ตนเองเพื่อความพันทุกข์มุงตรงสู่พระนิพพาน\" ๗) เป็นผู้มีนิสัยรักการระลึกถูกเป็นสัมมาสติ ว่า \"ความระลึกถูก\"คือ ความระลึกรัตวในการรักษาใจให้ฝองใส อยู่เสมอ มีข้อคิดอยู่ว่า ยิ่งงานวัดขยายออกไปมากเท่าไหร่ คนที่ รักษาใจให้ฝองใสยากที่สุดก็คือเจ้าอาวาส เพราะตื่นเข้าขึ้นมา ก็มีเรื่องด้องตัดสินใจทุกวัน ด้องระมัดระวังรอบคอบ ด้อง พิจารณาให้รู!ด้รู้เสียถึงผลกระทบที่จะดามมาจากการตัดสินใจ แด่ละเรื่อง มรรคมองสั ๘ ห้วนนฟ่งการมรใaimม ๘๘ www.kalyanamitra.org
ยิ่งถ้างานของวัดขยายด้วยแล้ว การรักษาใจให้ผ่องใส ยิ่งยาก แต่ก็พยายามรักษาใจให้ผ่องใสให้มากที่สุด มิฉะนั้น จะเกิดอาการรวนกันไปทั้งวัด วิธีการที่รับมือกับภาวะงานขยายที่เป็นสูดรสำเร็จที่พระ สัมมาล้มพุทธเจ้าให้ใวักิคือ เมื่องานขยายด้องระดมคน เมื่อ ระดมคนด้องระดมทุน เมื่อระดับทุนด้องระดมธรรม เมื่อระดม ธรรมด้องมีสถานที่ที่พอเหมาะ เมื่อทำได้อย่างนี้จึงจะสร้างทีม งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ และผู้เป็นเจ้าอาวาสก็ชวนกัน แกสมาธิรักษาใจให้ผ่องใสกันทั้งทีม อย่างนี้ถึงจะไปรอดเป็น หมู่คณะ แล้วการกระทบกระทั้งก็จะน้อยลง ๘) เป็นผู้มีนิสัยรักการตั้งใจมั่นถูกเป็นสัมมาสมาธิ ว่า \"ความตั้งใจมั่นถูกคือการแกเก็บใจตนเองให้หยุดนิ่งอยู่ ภายในตัว ไม่ใช่นอกตัว เพื่อความสงบสุขใน!โจจุบ้น และ เพื่อการบรรลุธรรม\"ชึ่งก็คือด้องหมั่นทำสมาธิภาวนานั้นเอง มรรคมีองค์๘ นั้นจะครบถ้วน ๘ข้อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ \"สัมมาสมาธิ\" ถ้าไม่ปลีกตัวออกมาลำพังเพื่อทำภาวนา มรรค มีองค์๘ ก็ยากจะครบ เพราะฉะนั้น ดรงนี้ด้องใข้การบริหารเวลา สาเหตุที่ด้องบริหารเวลาก็เพราะนอกจากภารกิจส่วน ด้วแล้ว ยังมีภารกิจส่วนรวมของหมู่คณะอีกด้วย อยู่ด้วยกันแต่ ไม่แปงงานกันทำ แล้วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร เพราะยังด้อง อาศัยวัดเป็นสถานที่ปฏิบ้ตธรรม ยังด้องอาศัยญาติโยมเป็น กองเสบียง ถ้าไม่ช่วยกันดแล ความสะดวกในการขจัดทกข์ ๙0 ปีวิทนมไว้ชุ่มเฅมทน www.kalyanamitra.org
ทาพระนิพพานให้แจ้งไม่มีทางเกิด เพราะถ้าพระเอาแต่รับ ไม่มีตอบแทนกลับไปญาติโยมก็รูสึกว่าไม่ได้อะไรจากการมาวัด เพราะฉะนั้น ด้องแปงเวลาปฏิบัติทั้งประโยชน์ดนและ ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตน คือ ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ขจัดทุกข์ ทำ พระนิพพานให้แจ้ง ประโยชน์ท่าน คือ ช่วยกันดูแลวัด และสอนการ!เด นรก เป็ดสวรรค์ มุ่งพระนิพพานให้แก่ญาติโยม วัดพระธรรมกายที่ถ้าวมาถึงวันนี๋ได้ก็เพราะอาศัยการนั้ง สมาธิเป็นหลักในการสรัางวัด ทั้งการแกบุคลากรของวัด และ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผู้ที่มาวัดพระธรรมกาย ไม่ว่าจะมาร่วมงานบุญ หรือ มาสมัครบวช จะด้องได้นั้งสมาธิทุกคน ทำ ให้เขาเกิดความ ซาบซื้งใจในพระพุทธศาสนา เพราะว่าเขามาวัดแลัว จิตใจของ เขาได้รับความสบายจากการนั้งสมาธิ เขาจึงอยากมาวัดอีก ส่งผลให้การจัดงานบุญใหญ่ของวัดแต่ละครั้ง จึงได้มีคนมา ปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนหลักหมื่นหลักแสน แต่ว่าสงบเป็น ระเบียบ ไม่วุ่นวาย นี่คือหลักการสำศัญของการแกมรรคมีองค์ ๘ แบบเป็น หมู่คณะใหญ่ของวัดพระธรรมกาย เป็นวิธีการขยายงานได้เร็ว ที่สุด เพราะการนั้งสมาธิเป็นวิธีการที่ทำให้!จของทุกคน ไม่ว่า จะหลักแสนหรือหลักลัานก็ดาม ย่อมสามารถสัมผัสได้ถึง ประโยชน์ของธรรมะได้ดีที่สุด รวดเร็วที่สุด ดรงทางที่สุดนั้นเอง ม■แคมองค์๘พัวใจนทํงกา•รบแลฺธแม ๙® www.kalyanamitra.org
แต่อย่างไรก็ตาม ในการ?เกสมาธินั้น มีข้อควรระวังว่า ภาวะที่ใจจะเป็นสมาธิได้นั้น ใจจะด้องหยุดนิ่งสนิทที่ศูนย์ กลางกาย ชนิดที่เกิดเป็นดวงสว่างอยู่ในตัว เพราะศีลวัดกันที่ ความสะอาด ปัญญาวัดกับที่ความสงบ แต่สมาธิวัดกันที่ความ สว่าง และแน่นอนว่า ถ้าใจหยุดนิ่งถูกส่วนจนเข้าถึงดวงธรรม ภายในเมื่อไหร่ ทั้งความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ย่อม เกิดขึ้นพร้อมกันในดวงธรรมนั้น นิ่ศีอ สมาธิตัวจริง เพราะฉะนั้น จากการปลูกฝังนิสัยรักการปฏิป้ตมรรคมี องค์ ๘ อย่างทุ่มซีวิดมาดามลำดับนี้เอง เมื่อได้รับการ?เกจาก ครูดี-หสักสูดรดี-วิธีการสอนดี-และตัวเองก็รักดีมารอบแล้ว รอบเล่า ความชำนาญในการปฎิป้ตมรรคมีองค์ ๘ แต่ละข้อจึง ยิ่งเพิ่มขึ้นมาดามลำดับๆๆ ในที่สุดแล้ว การปฏิบ้ตมรรคมีองค์ ๘ ย่อมควบคุมใจได้ เหนียวแน่นเต็มที่ และกลายเป็นนิสัยทำความดีอย่างทุ่มซีวิด เป็นเดิมพัน ก็ในเมี่อซีวิดนั้นยังพร้อมจะแลกกับธรรมะได้โดย ไม่เสิยดาย ใจย่อมมีความสะอาด สว่าง สงบ แน่วแน่อยู่ ในตัวสูง กำ สังใจย่อมไม่มีวันหมด ทุกคำพูดย่อมมีแต่ความจริง ทุกการกระทำย่อมมีแต่ความจริงข้อแม้เงื่อนไขให้กับอุปสรรคใดๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ การบรรลุธรรมที่ละเอียดประณีดย่อมเกิดขึ้นไป ดามลำดับๆๆ อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ความรู้พื๋นฐานสำคัญของการสร้างทีมงาน เผยแผ่พระพุทธศาสนาประการที่ ๔ ก็คือ ทุกดนตัองมีดวาม เข้าใจถูกว่า ผู้ที่จะสามารถเข้าถึงธรรมภายในได้ ต้อง ๙๒ ปีวํฬนมไว้ชุ่มเดิมพัน www.kalyanamitra.org
ตั้งใจปฏิบ้ดิมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มมีวิตเป็นเดิมพัน โดย มีพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเป็นด้นแบบนั่นเอง ม'!รทร!องสั ๘ พัวโจนท่งการบรรอฺธรรม ๘๓ www.kalyanamitra.org
สิ่งแวดล้อมในวัด มีอิทธิพลต่อการบรรลุธรรม ความรูพึ้นฐานของการสร้างทีมงานเผยแพร่พระพุทธ ศาสนาประการที่ ๕ ก็คือ การบรรลุธรรมของคนทั้งวัดขึ้นอยู่ กับการบริหารบุคคลภายในวัด และสิงแวดล้อมภายใน วัดให้เหมาะแก่การเข้าถึงธรรม วัดในสมัยพุทธกาลนั้นมีอยู่ด้วยกันถึง ๓ ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ ๑ วัดป๋า คือ วัดที่ใช้สำหรับการอยู่บำเพ็ญ ภาวนาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเพียงอย่างเดียว เปรียบ เสมีอนสถานที่บำเพ็ญวิปัสสนาประจำท้องถิ่น ส์งนวดล้อมในวัค มรทรพลด่อการบ•ทธุธรวม ๙๕ www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171