ได้ทรงเหน็ แล้ว วา่ อ.วนั นี ้ เป็นวนั เป็นที่ กระท�ำแล้ว ซงึ่ ธิดา “อชฺช เอรกปตฺตสฺส ธีตรํ ผเณ กตฺวา นจฺจาปนทิวโส, บนพงั พาน (ยงั ธดิ า) ให้ฟ้ อน แหง่ นาคราชชอ่ื วา่ เอรกปัตต์ (ยอ่ มเป็น), อยํ อตุ ฺตรมาณโว มยา ทินฺนํ ปฏิคีตํ คณฺหนฺโต อ.มาณพชื่อวา่ อตุ ตระ นี ้ เรียนเอาอยู่ ซงึ่ เพลงขบั ตอบ อนั อนั เรา โสตาปนฺโน หตุ ฺวา ตํ อาทาย นาคราชสสฺ สนฺตกิ ํ ให้แล้ว เป็นโสดาบนั เป็น จกั ถอื เอา (ซง่ึ เพลงขบั ตอบ) นนั้ ไป สสู่ ำ� นกั คมิสสฺ ต,ิ โส ตํ สตุ ฺวา `พทุ ฺโธ อปุ ปฺ นฺโนติ ญตฺวา มม ของนาคราช, (อ.นาคราช) นนั้ ฟังแล้ว (ซงึ่ เพลงขบั ตอบ) นนั้ รู้แล้ว วา่ สนฺตกิ ํ อาคมิสสฺ ต,ิ อหํ ตสฺมึ อาคเต มหาสมาคเม อ.พระพทุ ธเจ้า เสดจ็ อบุ ตั แิ ล้ว ดงั นี ้ จกั มา สสู่ �ำนกั ของเรา, อ.เรา คาถํ กเถสสฺ าม,ิ คาถาวสาเน จตรุ าสตี ยิ า ปาณสหสสฺ านํ (ครัน้ เมื่อนาคราช) นนั้ มาแล้ว จกั กลา่ ว ซงึ่ คาถา ในสมาคมใหญ่, ธมมฺ าภิสมโย ภวิสสฺ ตีติ อทฺทส. ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ คาถา อ.อนั รู้ตลอดเฉพาะซงึ่ ธรรม จกั มี แก่พนั แหง่ สตั ว์ผ้มู ีลมปราณ ท. ๘๔ ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา)พระองคน์ นั้ เสดจ็ ไปแล้ว(ในท)ี่ นนั้ ,อ.ต้นซกึ ท.๗ โส ตตฺถ คนฺตฺวา, พาราณสโิ ต อวทิ เู ร สตฺต มีอยู่ ในท่ีไมไ่ กล จากเมืองช่ือวา่ พาราณส,ี ประทบั นง่ั แล้ว ที่โคน สิรีสรุกฺขา อตฺถิ, เตสุ เอกสฺส มูเล นิสีทิ. (ในต้นซกึ ท. ๗) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ ต้นซกึ ) ต้นหนงึ่ ฯ (อ.ชน ท.) ชมพฺ ทุ ีปวาสโิ น คีตปปฺ ฏิคีตํ อาทาย สนฺนิปตสึ .ุ ผ้อู ยใู่ นชมพทู วีปโดยปกติ ถือเอาแล้ว ซง่ึ เพลงขบั และเพลงขบั ตอบ ประชมุ กนั แล้ว ฯ อ.พระศาสดา ทรงเหน็ แล้ว ซง่ึ มาณพช่ือวา่ อตุ ระ ผ้ไู ปอยู่ สตฺถา อวทิ เู ร คจฺฉนฺตํ อตุ ฺตรมาณวํ ทิสฺวา ในท่ีไมไ่ กลตรัสแล้ววา่ ดกู ่อนอตุ ตระดงั นีฯ้ (อ.มาณพช่ือวา่ อตุ ตระ “อตุ ฺตราติ อาห. “กึ ภนฺเตต.ิ “อิโต ตาว เอหีต.ิ ทูลถามแล้ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.อะไร ดังนี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ (อ.เธอ) จงมา (โดยข้าง)นี ้ก่อน ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ (อ.เธอ) จะไป (ในท่ี)ไหน อถ นํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสนิ ฺนํ อาห “กหํ ดงั นี ้(กะมาณพชอื่ วา่ อตุ ตระ) นนั้ ผู้ มาแล้ว ถวายบงั คมแล้ว นงั่ แล้ว ฯ คจฺฉสตี .ิ “เอรกปตฺตสฺส ธีตุ “ชาคนาายมนิ ฏฺฐภานนฺเนตฺตต.ิิ. (อ.มาณพช่ือวา่ อตุ ตระ กราบทลู แล้ว) วา่ (อ.ข้าพระองค์ จะไป) “ชานาสิ ปน คีตปปฺ ฏิคีตนฺติ. สู่ที่เป็ นที่ขับ แห่งธิดา ของนาคราชช่ือว่าเอรกปัตต์ ดังนี ้ ฯ “วเทหิ ตาว นนฺต.ิ อถ นํ อตฺตโน ชานนนิยาเมเนว (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ ก็ (อ.เธอ) ยอ่ มรู้ (ซง่ึ เพลงขบั และ วทนฺตํ “น อตุ ฺตร เอตํ ปฏิคีตํ, อหํ เต ปฏิคีตํ ทสสฺ ามิ, เพลงขบั ตอบ) หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.มาณพชื่อวา่ อตุ ระ กราบทลู แล้ว) วา่ ตํ อาทาย คมิสฺสสีต.ิ “สาธุ ภนฺเตต.ิ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ข้าพระองค์) ยอ่ มรู้ ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว)วา่ (อ.เธอ)จงกลา่ ว(ซงึ่ เพลงขบั และเพลงขบั ตอบ)นนั้ กอ่ น ดงั นี ้ฯ ครงั้ นนั้ (อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว) วา่ ดกู อ่ นอตุ ตระ (อ.เพลงขบั ) นนั่ เป็นเพลงขบั ตอบ (ยอ่ มเป็น) หามิได้, อ.เรา จกั ให้ ซง่ึ เพลงขบั ตอบ แก่เธอ, (อ.เธอ) จกั ถือเอา (ซงึ่ เพลงขบั ตอบ) นนั้ ไป หรือ ดงั นี ้ (กะมาณพชื่อวา่ อตุ ระ) นนั้ ผ้กู ราบทลู อยู่ โดยนิยามแหง่ ความรู้ (แห่งตน) นน่ั เทียว ฯ (อ.มาณพช่ือว่าอตุ ตระ กราบทลู แล้ว) ว่า ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ดีละ ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอตุ ตระ อ.เธอ พงึ ขบั อถ นํ สตฺถา “อตุ ฺตร ตฺวํ นาคมาณวกิ าย คีตกาเล ซงึ่ เพลงขบั ตอบ นี ้วา่ (อ.บคุ คล) ผูเ้ ป็นใหญ่แห่งทวาร ๖ ชือ่ ว่าเป็นพระราชา “ฉทฺวาราธิปตี ราชา รชมาโน รชสฺสิโร (ย่อมเป็น), (อ.พระราชา) ผูก้ �ำหนดั อยู่ ชือ่ ว่าเป็นผูม้ ี- อรชํ วิรโช โหติ รชํ `พาโลติ วจุ ฺจตีติ ธลุ ีบนพระเศียร (ยอ่ มเป็น), (อ.พระราชา ผไู้ มก่ �ำหนดั อยู่ (ในอารมณ์ ท. เหล่านนั้ ) ชือ่ ว่าเป็นผูม้ ีธลุ ีไปปราศแลว้ ย่อมเป็น, (อ.พระราชา) ผูก้ �ำหนดั อยู่ (ในอารมณ์ ท. เหล่านนั้ อนั บณั ฑิต) ย่อมเรียก ว่า เป็นคนพาล ดงั นี้ ดงั นี้ ในกาล (แหง่ เพลงขบั ) อนั นางนาคมาณวกิ า ขบั แล้ว ดงั นี ้ อิมํ ปฏิคีตํ คาเยยฺยาสตี ิ อาห. (กะมาณพชื่อวา่ อตุ ตระ) นนั้ ฯ ก็ อ.เนอื ้ ความ วา่ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.บคุ คล) ผ้เู ป็นใหญ่ อะไรสิ นาคมาณวกิ าย หิ คีตสสฺ อตฺโถ: กสึ ุ อธิปตี ช่ือวา่ เป็นพระราชา ยอ่ มเป็น (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ราชาต:ิ กสึ ุ อธิปติ ราชา นาม โหต.ิ กสึ ุ อธิปตี ราชา ดงั นี ้ฯ 96 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ วา่ ) ก็ อ.พระราชา ชื่อวา่ เป็นผ้มู ีธลุ บี นพระเศียร ยอ่ มเป็น กสึ ุ ราชา รชสฺสิโรต:ิ กถํ ปนราชารชสฺสโิ ร นามโหต.ิ อยา่ งไร (ดงั นี ้แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ กสึ ุ ราชา รชสสฺ โิ ร ดงั นี ้ฯ กถํ สูต:ิ กถํ นุ โข โส ราชา วริ โช นาม โหตีต.ิ (อ.อรรถ) วา่ อ.พระราชา นนั้ ชอื่ วา่ เป็นผ้มู ธี ลุ ไี ปปราศแล้ว ยอ่ มเป็น อยา่ งไร หนอแล ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ กถํ สุ ดงั นีเ้ป็นต้น (ดงั นี)้ ฯ สว่ นวา่ อ.เนอื ้ ความ แหง่ เพลงขบั ตอบ (อนั บณั ฑติ พงึ ทราบ) วา่ ปฏิคีตสสฺ ปนตฺโถ: ฉทวฺ าราธิปตี ราชาต:ิ โย (อ.อรรถ วา่ ) (อ.บคุ คล)ใด ผ้เู ป็นใหญ่ แหง่ ทวาร ท. ๖ คือวา่ เป็น ฉนฺนํ ทฺวารานํ อธิปติ เอกทฺวาเรปิ รูปาทีหิ ผู้ (อนั อารมณ์ ท.) มีรูปารมณ์เป็นต้น ไมค่ รอบง�ำแล้ว แม้ในทวาร อนภิภโู ต, อยํ ราชา นาม. รชมาโน รชสฺสโิ รต:ิ หนง่ึ (ยอ่ มเป็น), (อ.บคุ คล) นี ้ช่ือวา่ เป็นพระราชา (ยอ่ มเป็น ดงั นี)้ โย ปน เตสุ อารมมฺ เณสุ รชต,ิ โส รชมาโน (แหง่ บาทแหง่ พระคาถาวา่ ) ฉทวฺ าราธปิ ตี ราชา ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) รชสฺสโิ ร นาม. อรชนฺต:ิ อรชมาโน ปน วิรโช นาม สว่ นวา่ อ.พระราชาใด ยอ่ มก�ำหนดั ในอารมณ์ ท. เหลา่ นนั้ , โหต.ิ รชนฺติ รชมาโน `พาโลติ วจุ ฺจต.ิ (อ.พระราชา) นนั้ ผ้กู �ำหนดั อยู่ (ในอารมณ์ ท. เหลา่ นนั้ ) ชื่อวา่ เป็น- เป็นผ้มู ีธลุ ีบนพระเศียร (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ รชมาโน รชสสฺ โิ ร ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ สว่ นวา่ อ.พระราชา ผู้ไม่ก�ำหนัดอยู่ ช่ือว่า เป็ นผู้มีธุลีไปปราศแล้ว ย่อมเป็ น (ดังนี ้ แหง่ บท) วา่ อรชํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.พระราชา) ผ้กู �ำหนดั อยู่ (อนั บณั ฑิต) ยอ่ มเรียก วา่ เป็นคนพาล ดงั นี ้(ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ รชํ ดงั นี ้(ดงั นี)้ แหง่ เพลงขบั ตอบ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ ฯ อ.พระศาสดา ครัน้ ประทานแล้ว ซง่ึ เพลงขบั ตอบ (แก่มาณพ เอวมสสฺ สตฺถา ปฏิคีตํ ทตฺวา “อตุ ฺตร ตยา ชอื่ วา่ อตุ ตระ) นนั้ อยา่ งนี ต้ รสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นอตุ ตระ ครนั้ เมอื่ เพลงขบั นี ้ อิมสฺมึ คีเต คายิเต อิมสฺส เต คีตสฺส อิมํ ปฏิคีตํ อนั เธอ ขบั แล้ว (อ.นางนาคมาณวกิ า นนั้ ) จกั ขบั ซง่ึ เพลงขบั ตอบ นี ้วา่ คายิสสฺ ติ อ.คนพาล อนั อะไรสิ ยอ่ มพดั ไป, อ.บณั ฑิต ยอ่ มบรรเทาได้ `เกนสสฺ ุ วยุ ฺหตี พาโล, กถํ นทุ ติ ปณฺฑิโต, อยา่ งไร, (อ.บคุ คล) เป็นผมู้ ีความเกษมจากกิเลสเป็นเครื่อง- โยคกฺเขมี กถํ โหติ, ตํ เม อกฺขาหิ ปจุ ฺฉิโตติ, ประกอบ ย่อมเป็น อย่างไร, (อ.ท่าน) ผู้ อนั เรา ถามแลว้ จงบอก (ซึ่งเนือ้ ความ) นนั้ แก่เรา ดงั นี้ ตอ่ เพลงขบั นี ้ ของเธอ, (ครัน้ เม่ือความเป็น) อยา่ งนนั้ (มีอย)ู่ อถสฺสา ตฺวํ อิมํ ปฏิคีตํ คาเยยฺยาสิ อ.เธอ พงึ ขบั ซงึ่ เพลงขบั ตอบ นี ้วา่ อ.คนพาล อนั กิเลสเพยี งดงั หว้ งนำ้� ยอ่ มพดั ไป, อ.บณั ฑิต `โอเฆน วยุ ฺหตี พาโล, โยคา นทุ ติ ปณฺฑิโต, ยอ่ มบรรเทาได้ ดว้ ยความเพยี รเป็นเครือ่ งประกอบ, (อ.บณั ฑิต สพพฺ โยควิสํยตุ ฺโต `โยคกฺเขมีติ วจุ ฺจตีติ อาห. นน้ั ) ผูป้ ระกอบพร้อมไปปราศแลว้ จากกิเลสเป็นเครื่อง- ประกอบทงั้ ปวง (อนั บณั ฑิต) ยอ่ มเรียก วา่ เป็นผมู้ ีความเกษม- จากกิเลสเป็นเครือ่ งประกอบ ดงั นี้ ดงั นี้ (แกน่ างนาคมาณวิกา) นนั้ ดงั นี ้ฯ อ.เนือ้ ความ วา่ อ.คนพาล อนั กิเลสเพียงดงั ห้วงน�ำ้ มีอยา่ ง ๔ ตสสฺ ตฺโถ “กาโมฆาทินา จตพุ ฺพิเธน โอเฆน พาโล มีกิเลสเพียงดงั ห้วงน�ำ้ คือกามเป็นต้น ยอ่ มพดั พาไป, อ.บณั ฑติ ยอ่ ม วยุ ฺหต,ิ ตํ โอฆํ ปณฺฑิโต สมมฺ ปปฺ ธานสงฺขาเตน บรรเทา ซงึ่ กเิ ลสเพยี งดงั ห้วงนำ� ้ นนั้ ด้วยความเพียรเป็นเครื่อง- โยเคน นทุ ต.ิ ประกอบ อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ ความเพียรเป็นเคร่ืองเร่ิม กระท�ำ ฯ (อ.บณั ฑิต) นนั้ ผ้ปู ระกอบพร้อมไปปราศแล้ว (จากกิเลสเป็น โส สพฺเพหิ กามโยคาทีหิ วสิ ํยตุ ฺโต โยคกฺเขมี เคร่ืองประกอบ ท.) มีกิเลสเป็ นเครื่องประกอบคือกามเป็ นต้น นาม วจุ ฺจตีต.ิ ทัง้ ปวง (อันบัณฑิต) ย่อมเรียก ให้ชื่อว่าเป็ นผู้มีความเกษม จากกิเลสเป็นเคร่ืองประกอบ ดงั นี ้ แหง่ เพลงขบั ตอบ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ ฯ ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 97 www.kalyanamitra.org
อ.มาณพช่ือวา่ อตุ ตระ เรียนเอาอยู่ ซงึ่ เพลงขบั ตอบ นี ้ เทียว อตุ ฺตโร อิมํ ปฏิคีตํ คณฺหนฺโตว โสตาปตฺตผิ เล ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล ฯ (อ.มาณพช่ือวา่ อตุ ตระ) นนั้ คปนตฺตฏิ ฺฺวฐาหิ. โส โสตาปนฺโน หตุ ฺวา ตํ คาถํ อาทาย เป็นพระโสดาบนั เป็น พาเอา ซง่ึ คาถา นนั้ ไปแล้ว กลา่ วแล้ว วา่ “อมโฺ ภ มยา คีตปปฺ ฏิคีตํ อาหฏํ, โอกาสํ แนะ่ ทา่ นผ้เู จริญ ท. อ.เพลงขบั และเพลงขบั ตอบ อนั ข้าพเจ้า เม เทถาติ วตฺวา นิรนฺตรํ ติ สสฺ มหาชนสสฺ มชฺเฌ น�ำมาแล้ว, (อ.ท่าน ท.) ขอจงให้ ซ่ึงโอกาส แก่ข้าพเจ้า ดังนี ้ ชนฺนนุ าว อกฺกมนฺโต อคมาส.ิ ได้คลานไปอยแู่ ล้ว ด้วยเขา่ เทยี ว ในทา่ มกลาง แหง่ มหาชน ผ้ยู นื แล้ว มีระหวา่ งออกแล้ว ฯ อ.นางนาคมาณวิกา ยืนแล้ว บนพงั พาน ของบดิ า ฟ้ อนอยู่ นาคมาณวิกา ปิ ตุ ผเณ ฐตฺวา นจฺจมานา ขับแล้ว ซ่ึงเพลงขับ ว่า (อ.บุคคล) ผู้เป็ นใหญ่ อะไรสิ ช่ือว่า “กึ สุ อธิปตี ราชาติ คีตํ คายิ. อตุ ฺตโร “ฉทฺวาราธิปตี เป็นพระราชา (ยอ่ มเป็น) ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ อ.มาณพชอื่ วา่ อตุ ตระ ขบั แล้ว ราชาติ ปฏคิ ตี ํ คาย.ิ ปนุ นาคมาณวกิ า “เกนสสฺ ุ วยุ หฺ ตี ซง่ึ เพลงขบั ตอบ วา่ (อ.บคุ คล) ผ้เู ป็นใหญ่แหง่ ทวาร ๖ ชื่อวา่ พาโลติ ตสสฺ ปฏิคีตํ คายิ. อถสฺสา ปฏิคีตํ คายนฺโต เป็นพระราชา (ยอ่ มเป็น) ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ อ.นางนาคมาณวกิ า ขบั แล้ว อตุ ฺตโร “โอเฆน วยุ ฺหตี พาโลติ อิมํ คาถมาห. ซง่ึ เพลงขบั ตอบ วา่ อ.คนพาล อนั อะไร สิ ยอ่ มพดั ไป ดงั นเี ้ป็นต้น (แกม่ าณพชอื่ วา่ อตุ ตระ)นนั้ อกี ฯครงั้ นนั้ อ.มาณพชอ่ื วา่ อตุ ตระผ้เู มอื่ ขบั ซงึ่ เพลงขบั ตอบ (แกน่ างนาคมาณวกิ า) นนั้ กลา่ วแล้ว ซงึ่ คาถา นี ้ วา่ อ.คนพาล อนั กิเลสเพียงดงั ห้วงน�ำ้ ยอ่ มพดั ไป ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.นาคราช ฟังแล้ว (ซง่ึ คาถา) นนั้ เทียว รู้แล้ว ซงึ่ ความท่ี- นาคราชา ตํ สตุ ฺวาว พทุ ฺธสสฺ อปุ ปฺ นฺนภาวํ แห่งพระพุทธเจ้า เป็ นผู้เสด็จอุบัติแล้ว มีใจอันยินดีแล้ว ว่า ญตฺวา “มยา เอกํ พทุ ฺธนฺตรํ เอวรูปํ ปทนฺนาม น ชื่อ อ.บท มีอย่างนีเ้ ป็ นรูป เป็ นบท อันเรา ไม่เคยฟังแล้ว สนตตีรุงาฺคปนฏุพุ ิฺเพฺ ฐภ,ํนิชอฺชปุ อสึ ปฺทุ.ุ นกอโฺ ํนิโตปวจหติโรติ.โภจมหโอลสุาเวกภีจมิโพตยทฺุเตโฺ ธอตฐฏุ าิ ฺฐเตนหฏุ สึ ฺฐม.ุมนาสุอนสฺโุโภสา ตลอดพทุ ธนั ดร หนง่ึ (ยอ่ มเป็น), แนะ่ ทา่ นผ้เู จริญ ท. อ.พระพทุ ธเจ้า เสดจ็ อบุ ตั แิ ล้ว ในโลก หนอ ดงั นี ้ ฟาดแล้ว ซงึ่ น�ำ้ ด้วยหาง ฯ อ.คลน่ื ใหญ่ ท. ตงั้ ขนึ ้ แล้ว ฯ อ.ฝ่ัง ท. ทงั้ ๒ แตกแล้ว ฯ อ.มนษุ ย์ ท. อทุ เก นิมชุ ฺชสึ .ุ โส เอตฺตกํ มหาชนํ ผเณ ฐเปตฺวา ในที่ มีอสุ ภะเป็นประมาณ (โดยข้าง) นีด้ ้วย ๆ จมลงแล้ว ในน�ำ้ ฯ อกุ ฺขิปิ ตฺวา ถเล ปตฏิ ฺฐเปส.ิ (อ.นาคราช) นนั้ ตงั้ ไว้แล้ว ซงึ่ มหาชน มีประมาณเทา่ นี ้บนพงั พาน ยกขนึ ้ แล้ว ตงั้ ไว้เฉพาะแล้ว บนบก ฯ (อ.นาคราช) นนั้ เข้าไปหาแล้ว ซง่ึ มาณพชอื่ วา่ อตุ ตระ ถามแล้ว วา่ โส อตุ ฺตรํ อปุ สงฺกมิตฺวา “กหํ สามิ สตฺถาติ ปจุ ฺฉิ. ข้าแตน่ าย อ.พระศาสดา (ยอ่ มประทบั อย)ู่ (ในที่) ไหน ดงั นี ้ ฯ “เอกสฺมึ รุกฺขมเู ล นิสนิ ฺโน มหาราชาต.ิ โส “เอหิ (อ.มาณพชื่อว่าอุตตระ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า สามิ คจฺฉามาติ อตุ ฺตเรน สทฺธึ อคมาส.ิ มหาชโนปิ (อ.พระศาสดา) ประทบั นง่ั แล้ว ที่โคนแหง่ ต้นไม้ แหง่ หนงึ่ ดงั นีฯ้ เตน สทฺธึเยว คโต. นาคราชา คนฺตฺวา ฉพฺพณฺณานํ (อ.นาคราช) นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตน่ าย (อ.ทา่ น) จงมา (อ.เรา ท.) รสมฺ ีนํ อนฺตรํ ปวสิ ติ ฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา โรทมาโน จงไปกนั เถิด ดงั นี ้ ได้ไปแล้ว กบั ด้วยมาณพชื่อวา่ อตุ ตระ ฯ แม้ อฏฺ ฐาส.ิ อ.มหาชน ไปแล้ว กบั (ด้วยนาคราช) นนั้ นนั่ เทียว ฯ อ.นาคราช ไปแล้ว เข้าไปแล้ว สรู่ ะหวา่ ง แหง่ พระรัศมี ท. อนั มีวรรณะ ๖ ถวายบงั คมแล้ว ซง่ึ พระศาสดา ได้ยืน ร้องไห้ อยแู่ ล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร (อ.เหต)ุ อถ นํ สตฺถา อาห “กิมิทํ มหาราชาติ. “อหํ นี ้ อะไร ดงั นี ้ (กะนาคราช) นนั้ ฯ (อ.นาคราช กราบทลู แล้ว) วา่ ภนฺเต ตมุ ฺหาทิสสฺส พทุ ฺธสฺส สาวโก หตุ ฺวา ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ข้าพระองค์ เป็นสาวก ของพระพทุ ธเจ้า วีสติวสฺสสหสฺสานิ สมณธมฺมํ อกาส,ึ โสปิ มํ ผ้เู ชน่ กบั พระองค์ เป็น ได้กระทำ� แล้ว ซง่ึ สมณธรรม ตลอดพนั - สมณธมฺโม นิตฺถาเรตํุ นาสกฺขิ, อปปฺ มตฺตกํ แหง่ ปี ๒๐ ท., (อ.สมณธรรม)แม้นนั้ ไมไ่ ด้อาจแล้ว เพอื่ อนั ต้านทานไว้ เอรกปตฺตจฺฉินฺทนมตฺตํ นิสฺสาย อเหตกุ ปปฺ ฏิสนฺธึ ซงึ่ ข้าพระองค์, (อ.ข้าพระองค์) อาศยั แล้ว (ซงึ่ เหต)ุ สกั วา่ การตดั คเหตฺวา อเุ รน มปนริสสุ กฺสฺกตนฺตฏํ ฺฐลาภเานมิ,นิพนฺพตสฺโทตฺธมมหฺ มฺ ิ,สสฺ เวอนกํ,ํ ซงึ่ ใบแหง่ ตะไคร้น�ำ้ อนั มีประมาณน้อย ถือเอาแล้ว ซง่ึ ปฏิสนธิ- พทุ ฺธนฺตรํ เนว แห่งสัตว์ผู้หาเหตุมิได้ เป็ นผู้บังเกิดแล้ว ในท่ีเป็ นที่กระเสือก น ตมุ หฺ าทิสสสฺ พทุ ฺธสฺส ทสฺสนนฺต.ิ สตฺถา ตสสฺ กถํ กระสนไป ด้วยอก ยอ่ มเป็น, (อ.ข้าพระองค์) ยอ่ มได้ ซงึ่ ความเป็น- สตุ ฺวา “มหาราช มนสุ ฺสตฺตํ นาม ทลุ ลฺ ภเมว, แหง่ มนษุ ย์ หามิได้นนั่ เทียว, (ยอ่ มได้) ซงึ่ การฟังซงึ่ พระสทั ธรรม หามิได้, (ยอ่ มได้) ซงึ่ การเฝ้ า ซงึ่ พระพทุ ธเจ้า ผ้เู ชน่ กบั พระองค์ หามิได้ ตลอดพทุ ธนั ดร หนงึ่ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา) ตรัสแล้ว วา่ ดกู อ่ นมหาบพติ ร ชอ่ื อ.ความเป็นแหง่ มนษุ ย์ เป็นคณุ ชาต (อนั สตั ว)์ ได้โดยยากนนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น), 98 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.อยา่ งนนั้ คือวา่ อ.การฟังซงึ่ พระสทั ธรรม (เป็นคณุ ชาตอนั - ตถา สทฺธมฺมสสฺ วนํ, ตถา พทุ ฺธปุ ปฺ าโท; อิทญฺหิ สตั ว์ได้โดยยาก ยอ่ มเป็น), อ.อยา่ งนนั้ คือวา่ อ.การเสดจ็ อบุ ตั ิ กิจฺเฉน กสเิ รน ลพฺภตีติ วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต แหง่ พระพทุ ธเจ้า (เป็นสภาพอนั สตั วไ์ ด้โดยยาก ยอ่ มเป็น), เพราะวา่ อิมํ คาถมาห (อ.เหตุ มีอยา่ ง ๓) นี ้ (อนั สตั ว์) ยอ่ มได้ โดยยาก โดยลำ� บาก ดงั นี ้ เม่ือทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.การไดเ้ ฉพาะซึ่งความเป็นแห่งมนษุ ย์ เป็นเหตยุ าก “กิจฺโฉ มนสุ ฺสปปฺ ฏิลาโภ, กิจฺฉํ มจฺจานชีวิตํ, (ย่อมเป็น), อ.การเป็นอยู่ แห่งสตั ว์ผูจ้ ะตาย ท. กิจฉฺ ํ สทธฺ มมฺ สสฺ วน,ํ กิจโฺ ฉ พทุ ธฺ านมปุ ปฺ าโทติ. เป็ นสภาพ ท. เป็ นธรรมชาติยาก (ย่อมเป็ น), อ.การฟังซ่ึงพระสทั ธรรม เป็นคณุ ชาตยาก (ย่อมเป็น), อ.การเสด็จอบุ ตั ิ แห่งพระพทุ ธเจ้า ท. เป็นเหตยุ าก (ย่อมเป็น) ดงั นี้ ฯ อ.เนือ้ ความ (แหง่ ค�ำอนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ ก็ ชื่อ อ.การได้ ตสสฺ ตฺโถ “มหนฺเตน หิ วายาเมน มหนฺเตน เฉพาะซง่ึ ความเป็นมนษุ ย์ ชื่อวา่ เป็นเหตยุ าก คือวา่ ชื่อวา่ เป็นเหตุ กสุ เลน ลทฺธตฺตา มนสุ ฺสปปฺ ฏิลาโภ นาม กิจฺโฉ (อนั สตั ว์) ได้โดยยาก เพราะความท่ี (แหง่ การได้เฉพาะซง่ึ ความ ทลุ ฺลโภ, นิรนฺตรํ กสกิ มมฺ าทีนิ กตฺวา ชีวิตวตุ ฺตึ เป็นมนษุ ย์ เป็นเหตุ (อนั สตั ว)์ ได้แล้ว ด้วยความพยายาม อนั ใหญ่ ฆฏนโตปิ ปริตฺตตายปิ มจฺจานํ ชีวติ ํปิ กิจฺฉํ, ด้วยกศุ ลอนั ใหญ่(ยอ่ มเป็น),แม้ อ.การเป็นอยู่แหง่ สตั ว์ผ้จู ะตายท. อเนเกสปุ ิ กปเฺ ปสุ ธมมฺ เทสกสฺส ปคุ ฺคลสสฺ ทลุ ลฺ ภตาย ชื่อวา่ เป็นธรรมชาตยาก เพราะอนั กระท�ำแล้ว (ซงึ่ กรรม ท.) สทฺธมมฺ สสฺ วนํปิ กิจฺฉํ, มกี สกิ รรมเป็นต้น มรี ะหวา่ งออกแล้ว สบื ตอ่ ซงึ่ ความเป็นไปแหง่ ชวี ติ บ้าง เพราะความท่ี (แหง่ ชีวติ ) เป็นชีวติ นิดหนอ่ ย บ้าง (ยอ่ มเป็น), แม้ อ.การฟังซงึ่ พระสทั ธรรมชื่อวา่ เป็นคณุ -ชาตยากเพราะความท่ี- แหง่ บคุ คลผ้แู สดงซง่ึ ธรรม เป็นผู้ (อนั สตั ว)์ ได้โดยยาก ในกปั ป์ ท. แม้มิใชห่ นง่ึ (ยอ่ มเป็น), อนง่ึ แม้ อ.การเสดจ็ อบุ ตั ิ แหง่ พระพทุ ธเจ้า ท. ช่ือวา่ เป็น- มหนฺเตน ปน วายาเมน อภินีหารสสฺ สมิชฺฌนโต เหตยุ ากนน่ั เทียว คือวา่ ชื่อวา่ เป็นเหตุ (อนั สตั ว์) ได้โดยยาก สมิทฺธาภินีหารสสฺ จ อเนเกหิปิ กปปฺ โกฏิสหสเฺ สหิ เกินเปรียบ เพราะอนั ส�ำเร็จ แหง่ อภินิหาร ด้วยความพยายาม ทลุ ฺลภปุ ปฺ าทโต พทุ ฺธานํ อปุ ปฺ าโทปิ กิจฺโฉเยว อติวยิ อนั ใหญ่ ด้วย เพราะเกดิ ขนึ ้ (แหง่ บคุ คล) ผ้มู อี ภนิ หิ ารอนั สำ� เร็จแล้ว ทลุ ลฺ โภต.ิ เป็นผู้ (อนั สตั ว)์ ได้โดยยาก โดยพนั แหง่ โกฏแิ หง่ กปั ป์ ท. แม้มใิ ชห่ นงึ่ ด้วย (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็ นที่สดุ ลงแห่งเทศนา อ.อนั รู้ตลอดเฉพาะซง่ึ ธรรม เทสนาวสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ได้มีแล้ว แก่พนั แหง่ สตั ว์ผ้มู ีลมปราณ ท. ๘๔ ฯ ธมมฺ าภิสมโย อโหส.ิ แม้ อ.นาคราช พึงได้ ซึ่งโสดาปัตติผล ในวันนัน้ , แต่ว่า นาคราชาปิ ตํทิวสํ โสตาปตฺตผิ ลํ ลเภยฺย, (อ.นาคราช ) ไมไ่ ด้ได้แล้ว เพราะความที่ (แหง่ ตน) เป็นสตั วด์ ริ จั ฉาน ฯ ตริ จฺฉานคตตฺตา ปน นาลตฺถ. โส, เยสุ ปฏิสนฺธิคฺ- อ.นาค ท. ถือเอาแล้ว ซง่ึ สรีระของนาคนนั่ เทียว ยอ่ มลำ� บาก เคสหวณนจตตุ จสิ ชงหฺขานเตวิสสฺุสปฏญฺ ฐฺจนสิทุ ฺโฐทาเกนฺกสมุ นนาสคชาานตาิยคาสเมรีรถเมุนว- ในฐานะ ท. ๕ อนั บณั ฑิต นบั พร้อมแล้ววา่ การถือเอาซง่ึ ปฏิสนธิ และการละซ่ึงหนงั และการก้าวลงส่คู วามหลบั อนั ปล่อยแล้วและ คเหตฺวา กิลมนฺติ, เตสุ อกิลมนภาวํ ปตฺวา การเสพซงึ่ เมถนุ ด้วยนางนาคมีชาตเิ สมอกนั และการจตุ ิ เหลา่ ใด, มาณวรูเปเนว วิจริตํุ ลภตีต.ิ (อ.นาคราช) นนั้ ถงึ แล้ว ซง่ึ ความเป็นคอื อนั ไมล่ ำ� บาก (ในฐานะ ท.) ๕ เหลา่ นนั้ ยอ่ มได้ เพื่ออนั เที่ยวไป ด้วยรูปแหง่ มาณพนนั่ เทียว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งนาคราชช่ือว่าเอรกปัตต์ เอรกปตตฺ นาคราชวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 99 www.kalyanamitra.org
๔. อ.เร่ืองแห(่องปันัญข้าหพาเจข้าองจพะกระลเ่าถวร)ะฯช่ือว่าอานนท์ ๔. อานนฺทตเฺ ถรสฺส ปญหฺ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมอ่ื ประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ ซง่ึ ปัญหา “สพฺพปาปสฺส อกรณนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ ของพระเถระชื่อวา่ อานนท์ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อานนฺทตฺเถรสฺส ปญฺหํ สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อารพฺภ กเถสิ. ได้ยินวา่ อ.พระเถระ นง่ั แล้ว ในที่เป็นท่ีพกั ในเวลากลางวนั เถโร พกทุิรฺธทานิวาํ ฏ`ฺฐมาาเตนาปนิ ติสโนิ รฺโนอาจยินปุ ฺเตริจสฺเิ ฉ“โสทตฺถโาพรธาิ คดิ แล้ว วา่ (อ.เหต)ุ ทงั้ ปวง คือ อ.พระมารดาและพระบดิ า ท. สตฺตนฺนํ อ.การก�ำหนดซง่ึ พระชนมายุ อ.ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ อ.การประชมุ กสถาวิตกํ, สอนโุ ฺนปิปสาโถโตปนอคอฺคกสถิโาตว;กากินฺนอุ ปุ โขฏฺฐเาตโสกํปติ ิ สพฺพํ แหง่ พระสาวก อ.พระอคั รสาวก ท. อ.อปุ ัฏฐาก ของพระพทุ ธเจ้า ท. ๗ อยเมว พระองค์ อนั พระศาสดา ตรัสแล้ว, แตว่ า่ อ.อโุ บสถ (อนั พระศาสดา) อโุ ปสโถ อญฺโญต.ิ โส สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ ไมต่ รัสแล้ว, อ.อโุ บสถ (ของพระพทุ ธเจ้า ท.) แม้เหลา่ นนั้ เป็นอยา่ ง ปจุ ฉิ. นนี ้ น่ั เทยี ว (ยอ่ มเป็น) หรอื หนอ แล (หรอื วา่ อ.อโุ บสถ ของพระพทุ ธเจ้า ท. แม้เหลา่ นนั้ ) เป็นอยา่ งอื่น (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ ก็ อ.ความแตกตา่ งแหง่ กาล ของพระพทุ ธเจ้า ท. เหลา่ นนั้ ยสมฺ า ปน เตสํ พทุ ฺธานํ กาลเภโทว อโหส,ิ เทยี ว ได้มแี ล้ว, อ.ความแตกตา่ งแหง่ พระคาถา (ของพระพทุ ธเจ้า ท. น คาถาเภโท; วปิ สฺสี สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ หิ สตฺตเม เหลา่ นนั้ ได้มีแล้ว) หามิได้, ด้วยวา่ อ.พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า สตฺตเม สํวจฺฉเร อโุ ปสถํ อกาส,ิ เอกทิวสํ พระนามวา่ วปิ ัสสี ได้ทรงกระทำ� แล้ว ซง่ึ อโุ บสถ ในปี ที่ ๗ ๆ, เพราะวา่ ทินฺโนวาโทเยว หิสฺส สตฺตนฺนํ สํวจฺฉรานํ อลํ อ.โอวาท (อนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าพระนามวา่ วปิ ัสส)ี นนั้ ประทานแล้ว อโหส;ิ สขิ ี จ เวสสฺ ภู จ โกฉนฏฺาเฐคมโฉนฏฺ เฐจ สวํ จฺฉเร ในวนั หนง่ึ นน่ั เทียว เป็นโอวาทเพียงพอ แก่ปี ท. ๗ ได้เป็นแล้ว, อโุ ปสถํ กรึส,ุ กกสุ นฺโธ จ สวํ จฺฉเร อ.พระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ สขิ ี ด้วย อ.พระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ เวสภู สอกํวจาฺฉสเ,ิ ร,เอกกสทฺสิวสปํททสินพโโนลวาฉโทฏฺเเยฐวฉหฏฺิสเฐฺส มาเส อโุ ปสถํ ด้วย ทรงกระท�ำแล้ว ซง่ึ อโุ บสถ ในปี ที่ ๖ ๆ (เพราะวา่ อ.โอวาท ฉนฺนํ มาสานํ อนั พระพทุ ธเจ้า ท. ๒ เหลา่ นนั้ ประทานแล้ว ในวนั หนงึ่ นน่ั เทียว อลํ อโหส;ิ เป็ นโอวาทเพียงพอ แก่ปี ท. ๖ ได้เป็ นแล้ว), อ.พระพุทธเจ้า พระนามวา่ กกสุ นั ธะ ด้วย อ.พระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ โกนาคมนะ ด้วย (ทรงกระท�ำแล้ว ซึ่งอุโบสถ) ในปี ๆ (เพราะว่า อ.พระโอวาท อนั พระพทุ ธเจ้า ท. ๒ เหลา่ นนั้ ประทานแล้ว ในวนั หนง่ึ นน่ั เทยี ว เป็ นโอวาทเพียงพอ แก่ปี ปี หน่ึง ได้เป็ นแล้ว), อ.พระทสพล- พระนามวา่ กสั สปะ ได้ทรงกระทำ� แล้ว ซง่ึ อโุ บสถ ในเดอื น ท่ี ๖ ๆ, เพราะวา่ อ.โอวาท (อนั พระทศพลพระนามวา่ กสั สปะ นนั้ ) ประทานแล้ว ในวนั หนงึ่ นนั่ เทยี ว เป็นโอวาท เพยี งพอ แกเ่ ดอื น ท. ๖ ได้เป็นแล้ว เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ซง่ึ ความแตกตา่ ง ตสฺมา สตฺถา เตสํ อิมํ กาลเภทํ อาโรเจตฺวา แหง่ กาล นี ้(ของพระพทุ ธเจ้า ท.) เหลา่ นนั้ ตรสั แลว้ วา่ สว่ นวา่ อ.พระคาถา “โอวาทคาถา ปน เนสํ อิมาเยวาติ วตฺวา สพฺเพสํ เป็นเครื่องตรัสสอน ท. (ของพระพทุ ธเจ้า ท.) เหลา่ นนั้ เป็นอยา่ งนี ้ เอกเมว อโุ ปสถํ อาวกิ โรนฺโต อิมา คาถา อภาสิ นนั่ เทียว (ย่อมเป็ นดังนี ้ เม่ือทรงกระท�ำให้แจ้ง ซึ่งอุโบสถ หนึ่ง นั่นเทียว (ของพระพทุ ธเจ้า ท.) ทงั้ ปวง ได้ตรสั แล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ 100 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.อนั ไม่กระท�ำ ซึ่งบาปทงั้ ปวง อ.อนั ยงั กศุ ล ใหเ้ ขา้ ไป- “สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ูปสมฺปทา ถึงพร้อม อ.อนั ยงั จิตอนั เป็ นของตนให้หมดจดรอบ สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พทุ ฺธานสาสนํ. (อ.กรรมมอี ยา่ ง ๓) นนั่ เป็นคำ� เป็นเครือ่ งสอน ของพระพทุ ธเจา้ ท. (ย่อมเป็น) ฯ อ.ความอดทน คือ อ.ความอดกลนั้ เป็นตบะ ขนตฺ ี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา, อยา่ งยงิ่ (ยอ่ มเป็น), อ.ทา่ นผรู้ ู้ ท. ยอ่ มกลา่ ว ซงึ่ พระนพิ พาน วา่ เป็น นิพพฺ านํ ปรมํ วทนตฺ ิ พทุ ฺธา, อยา่ งยิ่ง, ก็ (อ.บคุ คล) ผเู้ ขา้ ไปฆา่ ซึ่งสตั ว์อืน่ โดยปกติ ชือ่ วา่ เป็น น หิ ปพพฺ ชิโต ปรูปฆาตี, บรรพชิต (ย่อมเป็น) หามิได,้ (อ.บคุ คล) ผูเ้ บียดเบียนอยู่ สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนโฺ ต. (ซึ่งสตั ว์)อื่น ชื่อว่า เป็ นสมณะ ย่อมเป็ น (หามิได้) ฯ อ.การไม่เข้าไปกล่าวร้าย ด้วย อ.การไม่เข้าไปฆ่า ด้วย อนูปวาโท อนปู ฆาโต ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร อ.ความส�ำรวมในปาฏิโมกข์ ดว้ ย อ.ความเป็นแห่งบคุ คล มตฺตญฺญตุ า จ ภตฺตสฺมึ ปนตฺ ญฺจ สยนาสนํ ผูร้ ู้ซึ่งประมาณ ในภตั ร ดว้ ย อ.ทีเ่ ป็นทีน่ อนและทีเ่ ป็นทีน่ ง่ั อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พทุ ฺธานสาสนนตฺ ิ. อนั สงดั แล้ว ด้วย อ.ความเพียรเป็ นเครื่องประกอบย่ิง ในอธิจิต ดว้ ย (อ.กรรมมีอย่าง ๖) นน่ั เป็นค�ำเป็นเครื่องสอน ของพระพทุ ธเจ้า ท. (ย่อมเป็น) ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ซงึ่ ธรรมอนั เป็นอกศุ ล ทงั้ ปวง (ดงั นี ้ ในบท ท.) ตตฺถ“สพพฺ ปาปสสฺ าต:ิ สพฺ พสฺสอกสุ ลธมฺมสฺส. เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ สพพฺ ปาปสสฺ ดงั นี ้ฯ อ.อัน ยังกุศล ให้ เกิดขึน้ จ�ำเดิม แต่อันออกไป เพียงใด อุปสมปฺ ทาต:ิ นอิกปุ ฺขปฺ มานทโนตญฺเจปวฏอฺฐปุายปฺ าทิตยสาฺสว แต่อรหัตมรรค ด้ วยน่ันเทียว อ.อัน (ยังกุศล) อัน (อันตน) อรหตฺตมคฺคา กสุ ลสสฺ ให้เกิดขนึ ้ แล้ว ให้เจริญ ด้วย ชื่อวา่ อุปสมปฺ ทา, จ ภาวนา. อ.อนั ยงั จิต ของตน ให้ผอ่ งแผ้ว จากนิวรณ์ ท. ๕ ชื่อวา่ สจติ ตฺ ปริโยทปนนฺต:ิ ปญฺจหิ นีวรเณหิ อตฺตโน สจติ ตฺ ปริโยทปนํ ฯ จิตฺตสฺส โวทาปนํ. (อ.อรรถ วา่ ) อ.พระวาจานี ้ เป็นพระวาจาเป็นเครื่องพร�่ำสอน เอตํ พุทธฺ านสาสนนฺต:ิ สพฺพพทุ ฺธานํ อยํ ของพระพทุ ธเจ้าทงั้ ปวง ท. (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) อนสุ ฏิ ฺฐ.ิ วา่ เอตํ พุทธฺ านสานํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ช่ือ อ.ความอดทน อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ ขนฺตตี :ิ ยา เอสา ตีตกิ ฺขาสงฺขาตา ขนฺติ นาม, ความอดกลนั้ นนั่ ใด, (อ.ความอดทนคอื ความอดกลนั้ ) นี ้ เป็นตบะ อิทํ อิมสฺมึ สาสเน ปรมํ อตุ ฺตมํ ตโป. อยา่ งยิ่ง คือวา่ อยา่ งสงู สดุ ในศาสนา นี ้ (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ขนฺติ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.ทา่ นผ้รู ู้ ท. ๓ เหลา่ นี ้คือ อ.พระพทุ ธเจ้า ท. ด้วย นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พุทธฺ าต:ิ “พทุ ฺธา จ อ.พระปัจเจกพทุ ธเจ้า ท. ด้วย อ.พระอนพุ ทุ ธ ท. ด้วย ยอ่ มเรียก ปจฺเจกพทุ ฺธา จ อนพุ ทุ ฺธา จาติ อิเม ตโย พทุ ฺธา ซ่ึงพระนิพพาน ว่า เป็ นคุณชาตสูงสุด ดังนี ้ (ดังนี ้ แห่งบาท นิพฺพานํ “อตุ ฺตมนฺติ วทนฺต.ิ แหง่ พระคาถา)วา่ นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พุทธฺ า ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.บคุ คล) ผ้เู ข้าไปฆา่ อยู่ คือวา่ ผ้เู บียดเบียนอยู่ น หิ ปพพฺ ชโิ ตต:ิ ปาณิอาทีหิ ปรํ อปุ หนนฺโต (ซง่ึ สตั ว์) อ่ืน (ด้วยปหรณวตั ถุ ท.) มีฝ่ ามือเป็นต้น ชื่อวา่ ผ้เู ข้าไปฆา่ วิเหเฐนฺโต ปรูปฆาตี ปพฺพชิโต นาม น โหต.ิ ซ่ึงสัตว์อื่นโดยปกติ ช่ือว่า เป็ นบรรพชิต ย่อมเป็ น หามิได้ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ น หิ ปพพฺ ชโิ ต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.บคุ คล) เบียดเบียนอยู่ (ซง่ึ สตั ว์) อ่ืน ตามนยั สมโณต:ิ วตุ ฺตนเยเนว ปรํ วเิ หฐยนฺโต สมโณปิ (อนั ข้าพเจ้า) กลา่ วแล้วนนั่ เทียว แม้ชื่อวา่ เป็นสมณะยอ่ มเป็น น โหตเิ ยว. หามิได้นนั่ เทียว (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ สมโณ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.อนั ไมเ่ ข้าไปกลา่ วร้าย ด้วยนนั่ เทียว อ.อนั ไม่ (ยงั บคุ คลอื่น) อนูปวาโทต:ิ อนปู วาทนญฺเจว อนปู วาทาปนญฺจ. ให้เข้าไปกลา่ วร้าย ด้วย ชื่อวา่ อนูปวาโท ฯ อ.อนั ไมเ่ ข้าไปฆา่ ด้วยนนั่ เทียว อ.อนั ไม่ (ยงั บคุ คล) ให้เข้าไป อนปู ฆาโตต:ิ อนปู ฆาตนญเฺ จว อนปู ฆาตาปนญจฺ . ฆ่า ด้วย ชื่อว่า อนปู ฆาโต ฯ (อ.อรรถ ว่า) ในศีลอนั เจริญท่ีสดุ ปาฏโิ มกเฺ ขต:ิ เชฏฺฐกสีเล. (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ปาฏโิ มกเฺ ข ดงั นี ้ฯ ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วัดพระธรรมกาย 101 www.kalyanamitra.org
อ.อนั ปิด ชอ่ื วา่ สวํ โร ฯ อ.ความเป็นแหง่ บคุ คลผ้รู ู้ซง่ึ ประมาณ สวํ โรต:ิ ปิ ทหนํ. มตตฺ ญญฺ ุตาต:ิ มตฺตญฺญภุ าโว คือวา่ อ.อนั รู้ซง่ึ ประมาณ ชื่อวา่ มตตฺ ญญฺ ุตา ฯ (อ.อรรถ) วา่ ปมาณชานนํ. ปนฺตนฺต:ิ วิวิตฺตํ. อธิจติ เฺ ตต:ิ อนั สงดั แล้ว (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ปนตฺ ํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ในจติ อนั ยงิ่ เออฏตฺฐสนมฺตา:ิปเตอตฺตสิํ สงพขฺ าฺเพเตสอํ พธทุกิ จฺธตาิ นเฺ ตํ .สอาาสโนยํ.โคต:ิ ปโยคกรณ.ํ อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ สมาบตั ิ ๘ (ดงั นี ้ แหง่ บท วา่ ) อธิจติ เฺ ต ดังนี ้ ฯ อ.อันกระท�ำซึ่งความเพียรเป็ นเครื่องประกอบ ชื่อว่า อาโยโค ฯ (อ.อรรถวา่ (อ.กรรมมอี ยา่ ง ๖) นน่ั เป็นคำ� เป็นเคร่ืองสอน ของพระพทุ ธเจ้า ท. ทงั้ ปวง (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ แหง่ บท วา่ เอตํ ดงั นี ้ เป็นต้น ฯ ก็ อ.ศีล อนั เป็นไปในวาจา (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว เอตฺถ หิ อนูปวาเทน วาจสิกํ สีลํ กถิตํ, ด้วยการไมเ่ ข้าไปกลา่ วร้าย (ในพระคาถา) นี,้ อ.ศีล อนั เป็นไป อนปู ฆาเตน กายิกํ สีล.ํ ในกาย (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว) ด้วยการไมเ่ ข้าไปฆา่ (ในพระคาถา นี)้ ฯ อ.ศีลคือพระปาฏิโมกข์ ด้วยนั่นเทียว อ.ความส�ำรวม ปาฏิโมกฺเข จ สํวโรติ อิมินา ปาฏิโมกฺขสีลญฺเจว ซงึ่ อินทรีย์ ด้วย (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า อต.ครวัสาแมลบ้วรสิ)ทุ ธ(แดิ์ ห้วง่ยอบาชาพที อินฺทฺริยสํวรญฺจ, มตฺตญฺญตุ าย อาชีวปาริสทุ ฺธิ เจว แหง่ พระคาถา) นี ้วา่ ปาฏโิ มกเฺ ข จ สวํ โร ดงั น,ี ้ ปจฺจยสนฺนิสฺสติ สลี ญฺจ, ปนฺตเสนาสเนน สปปฺ าย- ด้วยนนั่ เทียว อ.ศีลอนั อาศยั พร้อมแล้วซง่ึ ปัจจยั ด้วย (อนั พระผ้มู ี เสนาสนํ, อธิจิตฺเตน อฏฺฐ สมาปตฺตโิ ย. พระภาคเจ้า ตรัสแล้ว) ด้วยความเป็นแหง่ บคุ คลผ้รู ู้ซง่ึ ประมาณ, อ.เสนาสนะอนั เป็นสปั ปายะ (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว) ด้วยเสนาสนะอนั สงดั แล้ว, อ.สมาบตั ิ ท. ๘ (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า ตรัสแล้ว) ด้วยอธิจิต ฯ อ.สกิ ขา ท. แม้ ๓ เป็นสกิ ขา (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว เอวํ อิมาย คาถาย ตสิ ฺโสปิ สกิ ฺขา กถิตาเยว นนั่ เทียว ด้วยพระคาถา นี ้ ยอ่ มเป็น ด้วยประการฉะนี ้ ดงั นีแ้ ล ฯ โหนฺตีต.ิ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท. ) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท. ) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งปัญหา ของพระเถระช่ือว่าอานนท์ อานนฺทตเฺ ถรสสฺ ปญหฺ วตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๕. อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้ไม่ยนิ ดยี ่งิ แล้ว ๕.อนภริ ตภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “น กหาปณวสฺเสนาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซงึ่ ภิกษุผ้ไู มย่ ินดีย่ิงแล้ว รูปหนง่ึ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา เชตวเน วหิ รนฺโต เอกํ อนภิรตภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส.ิ นี ้วา่ น กหาปณวสเฺ สน ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.ภิกษุ) นนั้ บวชแล้ว ในพระศาสนา มีอปุ สมบท โส กิร สาสเน ปพฺพชิตฺวา ลทฺธปู สมปฺ โท อนั ได้แล้ว ผู้ อนั พระอปุ ัชฌาย์ สง่ ไปแล้ว (ด้วยคำ� ) วา่ (อ.เธอ) ไปแล้ว อ“อปุ สชุกฺฌฏาฺ ฐเยานนนฺเนปาสมโิ ต คนฺตฺวา อุทฺเทสํ คณฺหาหีติ ช่ือ สทู่ ี่โน้น จงเรียนเอา ซง่ึ อเุ ทส เถิด ดงั นี ้ ได้ไปแล้ว (ในท่ี) นนั้ ฯ โรโค อปุ ปฺ ชฺชิ. ตตฺถ อคมาส.ิ อถสฺส ปิ ตุ ครัง้ นนั้ อ.โรค เกิดขนึ ้ แล้ว แก่บดิ า (ของภิกษุ) นนั้ ฯ (อ.บดิ า) นนั้ เป็นผ้ตู ้องการเพอ่ื อนั เหน็ ซงึ่ บตุ ร เป็น ไมไ่ ด้แล้ว กญจฺ โิ สอลปภตุติ ฺตวฺ าํ ทปฏตฺุฐตฺ ุกโาสโเกมนหวตุ ลิ ฺวปานโฺตตํ เยปวกฺโอกาสสติ นํุนฺ สมมรโตณฺถํ ซงึ่ ใคร ๆ ผ้สู ามารถ เพื่ออนั ร้องเรียก (ซง่ึ บตุ ร) นนั้ บน่ เพ้ออยู่ ด้วยความโศกเพราะบตุ ร นน่ั เทยี ว เป็นผ้มู คี วามตายอนั ใกล้แล้ว เป็น หตุ ฺวา 102 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ให้แล้ว ซึ่งร้ อยแห่งกหาปณะ ในมือ ของน้องชายผู้น้อยที่สุด “อิทํ เม ปุตฺตสฺส ปตฺตจีวรมูลํ กเรยฺยาสีติ (ด้วยอนั กลา่ ว) วา่ (อ.ทา่ น) พงึ กระท�ำ (ซง่ึ ร้อยแหง่ กหาปณะ) นี ้ กหาปณสตํ กนิฏฺ ฐสฺส หตฺเถ ทตฺวา กาลมกาสิ. ให้เป็นคา่ แหง่ บาตรและจีวร ของบตุ ร ของเรา ดงั นี ้ ได้กระท�ำแล้ว ซงึ่ กาละ ฯ (อ.น้องชายผ้นู ้อยทส่ี ดุ ) นนั้ หมอบลง กลงิ ้เกลอื กอยู่ ณ ทใี่ กลแ้ หง่ เท้า โส ทหรสฺสาคตกาเล ปาทมูเล นิปติตฺวา ในกาล แห่งภิกษุหนุ่ม มาแล้ว ร้ องไห้แล้ว กล่าวแล้ว ว่า ปริวตฺเตนฺโต โรทิตฺวา “ภนฺเต ปิ ตา โว วลิ ปนฺโตว ข้ าแต่ท่านผู้เจริญ อ.บิดา ของท่าน ท. บ่นเพ้ ออยู่เทียว กาลกโต, มยฺหํ ปน เตน กหาปณสตํ หตฺเถ ฐปิ ตํ, เป็นผ้มู ีกาละอนั กระท�ำแล้ว (ยอ่ มเป็น), ก็ อ.ร้อยแหง่ กหาปณะ เตน กึ กโรมีติ อาห. (อนั บดิ า) นนั้ วางไว้แล้ว ในมือ ของกระผม, (อ.กระผม) จะกระท�ำ ซงึ่ อะไร (ด้วยร้อยแหง่ กหาปณะ) นนั้ ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุหนมุ่ ห้ามแล้ว วา่ อ.ความต้องการ ด้วยกหาปณะ ท. ทหโร “น เม กหาปเณหิ อตฺโถติ ปฏิกฺขิปิ ตฺวา (มีอย)ู่ แก่เรา หามิได้ ดงั นี ้ คดิ แล้ว วา่ (อ.ประโยชน์) อะไร แก่เรา อปรภาเค จินฺเตสิ “กึ เม ปรกเุ ลสุ ปิ ณฺฑาย จริตฺวา ด้วยการ เทย่ี วไปแล้ว เพอ่ื ก้อนข้าว ในตระกลู ของบคุ คลอน่ื ท. เป็นอย,ู่ ชีวิเตน, สกฺกา ตํ กหาปณสตํ นิสฺสาย ชีวิตํุ, (อนั เรา) อาจ เพอ่ื อนั อาศยั ซง่ึ ร้อยแหง่ กหาปณะ นนั้ เป็นอย,ู่ (อ.เรา) วพิ ฺภมิสฺสามีต.ิ จกั สกึ ดงั นี ้ในกาลอนั เป็นสว่ นอื่นอีก ฯ (อ.ภิกษุหนุ่ม) นัน้ เป็ นผู้ อันความไม่ยินดียิ่ง บีบคัน้ แล้ว โส อนภิรตยิ า ปี ฬิโต วสิ สฺ ฏฺฐสชฺฌายกมมฺ ฏฺฐาโน ปณฺฑโุ รคี วิย อโหส.ิ เป็ นผู้มีการสาธยายและกัมมัฏฐานอันปล่อยแล้ว เป็ นราวกะ มีโรคผอมเหลือง ได้เป็นแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.ภิกษุหนมุ่ และสามเณร ท. ถามแล้ว (ซง่ึ ภิกษุหนมุ่ ) อถ นํ ทหรสามเณรา “กิมิทนฺติ ปจุ ฺฉิตฺวา, นนั้ วา่ (อ.เหต)ุ นี ้ อะไร ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ (อ.เรา) เป็นผู้ “อกุ ฺกณฺฐโิ ตมหฺ ีติ วตุ ฺเต, อาจริยปุ ชฺฌายานํ อาจิกฺขสึ .ุ กระสนั ขนึ ้ แล้ว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้(อนั ภิกษุหนมุ่ ) กลา่ วแล้ว, บอกแล้ว แก่อาจารย์และอปุ ัชฌาย์ ท. ฯ ครัง้ นนั้ (อ.อาจารย์และอปุ ัชฌาย์ ท.) เหลา่ นนั้ น�ำไปแล้ว อถ นํ เต สตฺถุ สนฺตกิ ํ เนตฺวา สตฺถุ ทสฺเสสํ.ุ (ซึ่งภิกษุหนุ่ม) นัน้ สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา แสดงแล้ว สตฺถา “สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อกุ ฺกณฺฐโิ ตติ ปจุ ฺฉิตฺวา, แกพ่ ระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา ตรสั ถามแล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ได้ยนิ วา่ “อาม ภนฺเตติ วตุ ฺเต, “กสมฺ า เอวมกาส,ิ อตฺถิ อ.เธอ เป็นผ้กู ระสนั ขนึ ้ แล้ว (ยอ่ มเป็น) จริงหรือ ดงั น,ี ้ (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ ปน เต โกจิ ชีวติ ปปฺ จฺจโยติ อาห. “อาม ภนฺเตติ. ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ พระเจ้าข้า (อ.อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้(อนั ภิกษุหนมุ่ “กินฺเต อตฺถีต.ิ “กหาปณสตํ ภนฺเตต.ิ “เตนหิ กตปิ ิ กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ (อ.เธอ) ได้กระท�ำแล้ว อยา่ งนี ้ ตาว สกฺขรา อาหร, คเณตฺวา ชานิสฺสสิ `สกฺกา เพราะเหตไุ ร, ก็ อ.ปัจจยั แหง่ ชีวติ อะไรๆ ของเธอ มีอยู่ หรือ ดงั นี ้ฯ วา ตตฺตเกน ชีวติ ํ,ุ โน วาต.ิ (อ.ภิกษุหนมุ่ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ พระเจ้าข้า (อ.อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้ ฯ (อ.ภกิ ษหุ นมุ่ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค-์ ผู้เจริญ อ.ร้ อยแห่งกหาปณะ (มีอยู่) ดังนี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.เธอ) จงน�ำมา ซง่ึ ก้อนกรวด ท. แม้เลก็ น้อย ก่อน, (อ.เธอ) นบั แล้ว จกั รู้ วา่ (อนั เธอ) อาจ เพื่ออนั เป็นอยู่ (ด้วยร้อยแหง่ กหาปณะ) มีประมาณเทา่ นนั้ หรือ, หรือวา่ (อนั เธอ) ไมอ่ าจ (เพื่ออนั เป็นอยู่ ด้วยร้อยแหง่ กหาปณะ มีประมาณเทา่ นนั้ ) (ดงั นี)้ ดงั นี ้ฯ (อ.ภกิ ษ)ุ นนั้ นำ� มาแล้ว ซง่ึ ก้อนกรวด ท. ฯ ครงั้ นนั้ อ.พระศาสดา โส สกฺขรา อาหริ. อถ นํ สตฺถา อาห ตรัสแล้ว วา่ (อ.เธอ) จงตงั้ ไว้ (ซง่ึ ก้อนกรวด ท.) ๕๐ เพ่ือประโยชน์ “ปริโภคตฺถาย ตาว ปณฺณาสํ ฐเปหิ, ทฺวินฺนํ แก่ปัจจยั เป็นเคร่ืองบริโภค ก่อน, (จงตงั้ ไว้ ซง่ึ ก้อนกรวด ท.) ๒๔ โคณานํ อตฺถาย จตวุ ีสต,ิ เอตฺตกนฺนาม วีชตฺถาย, เพื่อประโยชน์ แก่โค ท. ๒, (จงตงั้ ไว้ ซง่ึ ก้อนกรวด) ช่ือ มีประมาณ ยคุ นงฺคลตฺถาย, กทุ ฺทาลตฺถาย, วาสีผรสอุ ตฺถายาติ. เทา่ นี ้ เพื่อประโยชน์แก่พืช, (จงตงั้ ไว้ ซงึ่ ก้อนกรวด ชื่อ มีประมาณ เอวํ คณิยมาเน ตํ กหาปณสตํ นปปฺ โหต.ิ เทา่ นี)้ เพ่ือประโยชน์แก่แอกและไถ, (จงตงั้ ไว้ ซง่ึ ก้อนกรวด ช่ือมี ประมาณเทา่ นี)้ เพื่อประโยชน์แก่จอบ, (จงตงั้ ไว้ ซงึ่ ก้อนกรวด ช่ือ มีประมาณเทา่ นี)้ เพื่อประโยชน์แก่มีดและขวาน ดงั นี ้ (กะภิกษุ) นนั้ ฯ (ครัน้ เม่ือจ�ำนวนแหง่ ก้อนกรวด อนั ภิกษุนนั้ ) นบั อยู่ อยา่ งนี ้ อ.ร้อยแหง่ กหาปณะ นนั้ ยอ่ มไมเ่ พียงพอ ฯ ผลิตส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม วัดพระธรรมกาย 103 www.kalyanamitra.org
ครงั้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อ.กหาปนะ ท. อถ นํ สตฺถา “ภิกฺขุ ตว กหาปณา อปปฺ กา, กถํ ของเธอ เป็นสภาพน้อย (ยอ่ มเป็น), (อ.เธอ) อาศยั แล้ว (ซง่ึ กหาปณะ ท.) เอเต นิสสฺ าย ตณฺหํ ปเู รสฺสส;ิ เหลา่ นน่ั ยงั ความทะยานอยาก จกั ให้เตม็ ได้อยา่ งไร, ได้ยินว่า ในกาลอันไปล่วงแล้ว อ.บัณฑิต ท. (ยังบุคคล) อตีเต กิร ปณฺฑิตา จกฺกวตฺตริ ชฺชํ กาเรตฺวา ให้กระท�ำแล้ว ซง่ึ ความเป็นแหง่ พระจกั รพรรดริ าชา เป็นผ้สู ามารถ สอปตฺตโฺ ปรฐตตินมวตสฺเฺสตํ นวทสฺฺสวาาทเปสตโยํุ ชสนมฏฺตฐาฺถเาน, กฏิปปฺ มาเณน เพื่ออนั ยงั ฝนคือรัตนะ ๗ ให้ตก โดยประมาณแหง่ สะเอว ในท่ีมี ยาว ฉตฺตสึ โยชน์ ๑๒ เป็นประมาณ (ด้วยอาการ) สกั วา่ (มือ อนั ตน) ปรบแล้ว สกฺกา จวนฺต,ิ เอตฺตกํ กาลํ เทวรชฺชํ กาเรตฺวาปิ (เป็น), แม้ (ยงั เทวดา) ให้กระทำ� แล้ว ซง่ึ ความเป็นพระราชาแหง่ เทพ, มรณกาเล ตณฺหํ อปเู รตฺวาว กาลมกํสตู ิ วตฺวา เตน อ.ท้าวสกั กะ ท. ๓๖ พระองค์ จะเคล่อื น เพียงใด, ตลอดกาลมี ยาจโิ ต อตตี ํ อาหริตวฺ า มนธฺ าตรุ าชชาตกํ วติ ถฺ าเรตวฺ า ประมาณเพียงนนั้ ยงั ความทะยานอยาก ไมใ่ ห้เตม็ แล้ว ในกาล- เป็ นที่ตาย เทียว ได้กระท�ำแล้ว ซ่ึงกาละ ดังนี ้ (กะภิกษุ) นัน้ ผ้(ู อนั ภิกษุ)นนั้ ทลู วงิ วอนแล้ว ทรงน�ำมาแล้ว ซงึ่ เรื่องอนั ลว่ งไป แล้ว ทรงยงั มนั ธาตรุ าชชาดก ให้พสิ ดารแล้ว ได้ตรสั แล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. ๒ เหลา่ นี ้วา่ อ.ความอ่ิม ในกาม ท. ย่อมไม่มี เพราะฝนคือกหาปณะ, “ยาวตา จนทฺ ิมสรุ ิยา [ปริหรนตฺ ิ] ทิสา ภนตฺ ิ วิโรจนา, อ.กาม ท. เป็ นสภาพมีความยินดีน้อย เป็ นทุกข์ สพเฺ พว ทาสา มนธฺ าตุ เย ปาณา ปฐวินิสสฺ ิตาติ (ย่อมเป็ น), อ.บณั ฑิต รู้แจ้งแล้ว ด้วยประการฉะนี้ (อ.บณั ฑิต) นน้ั ย่อมไม่บรรลุ ซึ่งความยินดี ในกาม ท. แม้อนั เป็ นทิพย์, อ.สาวกของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า เป็นผยู้ ินดีแลว้ ในธรรมเป็นทีส่ ิ้นไปแหง่ ตณั หา ยอ่ มเป็น, ดงั นี้ ในล�ำดบั แหง่ พระคาถา นี ้วา่ อิมิสฺสา คาถาย อนนฺตรา อิมา เทฺว คาถา อภาสิ อ.พระจนั ทร์และพระอาทิตย์ ท. (ย่อมหมนุ เวียนไป) “น กหาปณวสเฺ สน ติตฺติ กาเมสุ วิชฺชติ, ส่องอยู่ ซ่ึงทิศ ท. (กระท�ำ) ใหเ้ ป็นธรรมชาติรุ่งโรจน์ อปปฺ สสฺ าทา ทกุ ขฺ า กามา อิติ วิญญฺ าย ปณฑฺ ิโต ก�ำหนดกาลเพียงใด, อ.สัตว์ผู้มีปราณ ท. อปิ ทิพเฺ พสุ กาเมสุ รตึ โส นาธิคจฺฉติ, ผอู้ าศยั แลว้ ซ่ึงแผน่ ดิน เหลา่ ใด (มีอย)ู่ (อ.สตั ว์ผมู้ ีปราณ ท. ตญฺหกฺขยรโต โหติ สมฺมาสมฺพทุ ฺธสาวโกติ. เหลา่ นนั้ ) ทงั้ ปวงเทียว เป็นทาส ของพระราชาพระนามวา่ - มนั ธาตุ (ย่อมเป็น) (ก�ำหนดกาลเพียงนนั้ ) ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถวา่ ) (อ.บณั ฑติ ) นนั้ ปรบแล้ว ยงั ฝนคอื รัตนะ ท. ๗ ใด ตตฺถ “กหาปณวสเฺ สนาต:ิ ยํ โส อปโฺ ปเฐตฺวา ให้ตกแล้ว, (อ.ฝนคอื รตั นะ ๗) นนั้ (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) ตรสั แล้ว สตฺตรตนวสฺสํ วสสฺ าเปส,ิ ตํ อิธ “กหาปณวสฺสนฺติ ให้ชื่อวา่ ฝนคือกหาปณะ ดงั นี ้(ในพระคาถา) นนั้ , ก็ ชื่อ อ.ความอมิ่ วตุ ฺตํ, เตนาปิ หิ วตฺถกุ ามกฺกิเลสกาเมสุ ติตฺติ นาม ในวตั ถกุ ามและกเิ ลสกาม ท. ยอ่ มไมม่ ี (เพราะฝนคอื รตั นะ ๗) นตฺถิ; เอวํ ทปุ ปฺ รู า เอสา ตณฺหา. แม้นนั้ , อ.ตณั หา นน่ั เป็นธรรมชาตเิ ตม็ ได้โดยยาก อยา่ งนี ้ (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี ้ ในบท) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ กหาปณวสเฺ สน ดงั นี ้ เป็นต้น ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ชอ่ื วา่ เป็นสขุ นดิ หนอ่ ย เพราะความท(ี่ แหง่ กาม ท. อปปฺ สฺสาทาต:ิ สปุ ิ นกปู มาทิตาย ปริตฺตสขุ า. เหลา่ นนั้ ) เป็นกามมีอปุ มาด้วยความฝันเป็นต้น (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อปปฺ สฺสาทา ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ชื่อวา่ เป็นทกุ ข์มากเทียว เพราะอ�ำนาจแหง่ ทกุ ข์ ทุกฺขาติ; ทุกฺขกฺขนฺธาทีสุ อาคตทุกฺขวเสน อนั มาแล้ว (ในสตู ร ท.) มีทกุ ขกั ขนั ธสตู รเป็นต้น (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ พหทุ กุ ฺขาว. ทกุ ขฺ า ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) รู้แล้ว ซง่ึ กาม ท. เหลา่ นนั่ ด้วยประการฉะนี ้ อติ ิ วญิ ญฺ ายาต:ิ เอวเมเต กาเม ชานิตฺวา. (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อติ ิ วญิ ญฺ าย ดงั นี ้ฯ 104 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ วา่ ) ก็ ถ้าวา่ (อ.ใคร ๆ) พงึ เชอื ้ เชญิ ด้วยกามเป็นเหตเุ ข้าไป อปิ ทพิ เฺ พสูต;ิ สเจ หิ เทวานํ อปุ กปปฺ นกกาเมหิ สำ� เร็จ ท. แกเ่ ทพ ท. ไซร้ ฯ แม้ (ครนั้ เมอื่ ความเป็น) อยา่ งนนั้ (มอี ย)ู่ นิมนฺเตยฺย. อายสฺมา สมิทฺธิ วิย, เอวํปิ เตสุ กาเมสุ (อ.บณั ฑิต นนั้ ) ยอ่ มไมป่ ระสบ ซง่ึ ความยินดี ในกาม ท. เหลา่ นนั้ รตึ น วินฺทติเยว. นนั่ เทียว ราวกะ อ.พระสมิทธิ ผ้มู ีอายุ (อนั เทพ ท. เชือ้ เชิญอยู่ ด้วยกาม ท. ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อปิ ทพิ เฺ พสุ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.สาวกของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า) เป็นผ้ยู ินดี ตณฺหกขฺ ยรโตต:ิ อรหตฺเต เจว นิพฺพาเน จ ย่ิงแล้ว ในพระอรหตั ด้วยนน่ั เทียว ในพระนิพพาน ด้วย ยอ่ มเป็น, อภิรโต โหติ: ตํ ปฏฺฐยมาโน วิหรต.ิ คือวา่ ปรารถนาอยู่ (ซงึ่ พระอรหตั และพระนิพพาน) นนั้ ยอ่ มอยู่ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ตณฺหกขฺ ยรโต ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุ ผ้โู ยคาวจร ผ้เู กิดแล้ว ในท่ีสดุ แหง่ การฟัง ซง่ึ ธรรม สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโกติ: สมฺมาสมฺพุทฺเธน อนั อนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ทรงแสดงแลว้ ชอื่ วา่ สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สาวโก เทสติ สสฺ ธมมฺ สสฺ สวนนฺเต ชาโต โยคาวจโร ภิกฺขตู .ิ ดงั นีแ้ ล ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน โส ภิกฺขุ เโทสสตนาาปตอฺตโหผิ เสลตี ิ.ปตฏิ ฺฐหิ. ในโสดาปัตติผล ฯ อ.เทศนา เป็ นเทศนาเป็ นไปกับด้วยวาจา สมปฺ ตฺตปริสายปิ สาตฺถิกา มีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัทผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้ไม่ยนิ ดยี ่งิ แล้ว อนภริ ตภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๖. อ.เร่ืองแห่งปุโรหติ ช่ือว่าอัคคทิ ตั ต์ ๖. อคคฺ ทิ ตตฺ ปุโรหติ วตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา (เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ) ประทบั นง่ั แล้ว “พหุํ เว สรณํ ยนฺตตี :ิ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา บนกองแหง่ ทราย ทรงปรารภ ซงึ่ ปโุ รหิต ของพระราชาพระนามวา่ [เชตวเน วหิ รนโฺ ต] วาลกุ ราสมิ หฺ ิ นสิ นิ โฺ น อคคฺ ทิ ตตฺ นนฺ าม โกศล ชื่อว่า อัคคิทัตต์ ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า โกสลรญฺโญ ปโุ รหิตํ อารพฺภ กเถส.ิ พหุํ เว สรณํ ยนฺติ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ (อ.อคั คทิ ตั ต)์ นนั้ เป็นปโุ รหติ ของพระราชาพระนามวา่ โส กิร มหาโกสลสสฺ ปโุ รหิโต อโหส.ิ มหาโกศล ได้เป็นแล้ว ฯ ครัง้ นัน้ ครัน้ เมื่อพระบิดา เป็ นผู้มีกาละอันทรงกระท�ำแล้ว อถ นํ ปิ ตริ กาลกเต ราชา ปเสนทิโกสโล (มีอยู่) อ.พระราชาพระนามว่าปเสนทิโกศล (ทรงด�ำริแล้ว) “อยํ ปิ ตุ เม ปโุ รหิโตติ คารเวน ตสฺมเึ ยว ฐาเน ว่า (อ.อาจารย์) นี ้ เป็นปโุ รหิต ของบดิ า ของเรา (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ปฐเจปฺจตุคฺวฺคามนตํ สฺสกโรอตติ,ฺตโน“อาอจุปริฏยฺ ฐานอิํธ อาคตกาเล ทรงตงั้ ไว้แล้ว (ซง่ึ ปโุ รหติ ชอ่ื วา่ อคั คทิ ตั ต)์ นนั้ ในตำ� แหนง่ นนั้ นน่ั เทยี ว นิสีทถาติ ด้วยความเคารพ ยอ่ มทรงกระทำ� ซงึ่ การต้อนรับ ในกาล (แหง่ ปโุ รหติ สมานาสนํ ทาเปส.ิ ชอ่ื วา่ อคั คทิ ตั ต)์ นนั้ มาแลว้ สทู่ เ่ี ป็นทบ่ี ำ� รงุ ของพระองค,์ (ทรงยงั ราชบรุ ษุ ) ให้พระราชทานแล้ว ซ่ึงอาสนะอันเสมอ (ด้วยพระด�ำรัส) ว่า ข้าแตท่ า่ นอาจารย์ (อ.ทา่ น ท.) ขอจงนงั่ (บนอาสนะ) นี ้เถิด ดงั นี ้ฯ (อ.ปุโรหิตช่ือว่าอัคคิทัตต์) นัน้ คิดแล้ว ว่า อ.พระราชา นี ้ โส จินฺเตสิ “อยํ ราชา อตวิ ิย มยิ คารวํ กโรต,ิ ยอ่ มทรงกระท�ำ ซง่ึ ความเคารพ ในเรา เกินเปรียบ, ผลติ สอื่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 105 www.kalyanamitra.org
แตว่ า่ (อนั เรา) อาจ เพ่ืออนั ยดึ เอา ซง่ึ พระทยั ของพระราชา ท. น โข ปน ราชนู ํ นิจฺจกาลเมว สกฺกา จิตฺตํ คเหตํ;ุ ตลอดกาลเนอื งนติ ยน์ น่ั เทยี ว หามไิ ด้, อนงึ่ อ.พระราชา ทรงเป็นผ้เู ยาว์ ราชา ปน ยวุ า ทหโร, สมานวเยเนว หิ สทฺธึ รชฺชํ ทรงเป็ นหนุ่ม (ย่อมเป็ น), ก็ ช่ือ อ.ความเป็ นแห่งพระราชา นาม สขุ ํ โหต:ิ อหญฺจมหฺ ิ มหลลฺ โก, ปพฺพชิตํุ เม กบั (ด้วยบคุ คล) ผ้มู วี ยั อนั เสมอกนั นน่ั เทยี ว เป็นเหตนุ ำ� มาซง่ึ ความสขุ ยตุ ฺตนฺต.ิ ยอ่ มเป็น, สว่ นวา่ อ.เรา เป็นคนแก่ ยอ่ มเป็น, อ.อนั อนั เรา บวช ควรแล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.ปโุ รหิตชื่อวา่ อคั คทิ ตั ต์) นนั้ ทลู ยงั พระราชา ให้ทรงอนญุ าต โส ราชานํ ปพฺพชฺชํ อนชุ านาเปตฺวา นคเร แล้ว ซง่ึ การบวช (ยงั บคุ คล) ให้ยงั กลอง ให้เที่ยวไปแล้ว ในนคร เภริญฺจาราเปตฺวา สตฺตาเหน สพฺพํ อตฺตโน ธนํ สละวเิ ศษแล้ว ซงึ่ ทรพั ย์ ของตน ทงั้ ปวง ในมขุ คอื ทาน โดยวนั ๗ บวช ทานมเุ ข วิสสฺ ชฺเชตฺวา พาหิรกปปฺ พฺพชฺชํ ปพฺพชิ. แล้ว บวชในลทั ธิอนั มีในภายนอก ฯ อ.พนั แหง่ บรุ ุษ ท. ๑๐ อาศยั แล้ว (ซงึ่ ปโุ รหิตช่ือวา่ อคั คทิ ตั ต์) ตํ นิสฺสาย ทส ปรุ ิสสหสฺสานิ อนปุ ปฺ พฺพชสึ .ุ นนั้ บวชตามแล้ว ฯ (อ.อคั คทิ ตั ต)์ นนั้ สำ� เร็จแล้ว ซงึ่ การอยใู่ นระหวา่ ง แหง่ แวน่ แคว้น โส เตหิ สทฺธึ องฺคมคธานญฺจ ก“ตรุ ุราฏตฺฐาสฺสยสสฺจ ชื่อว่าอังคะและแว่นแคว้นชื่อว่ามคธ ท. ด้วย แห่งแว่นแคว้น อนฺตราวาสํ กปเฺ ปตฺวา อิมํ โอวาทํ เทติ ช่ือวา่ กรุ ุ ด้วย กบั (ด้วยฤาษี ท.) เหลา่ นนั้ ยอ่ มให้ ซง่ึ โอวาท นี ้ วา่ โว กามวิตกฺกาทโย อปุ ปฺ ชฺชนฺต,ิ โส นทิโต เอเกกํ ดกู ่อนพอ่ ท. (อ.วิตก ท.) มีกามวติ กเป็นต้น ยอ่ มเกิดขนึ ้ แหง่ เธอ ท. วาลกุ าปฏุ ํ อทุ ฺธริตฺวา อิมสฺมึ ฐาเน โอกิรตตู .ิ หนา (แกบ่ คุ คล) ใด, อ.บคุ คลนนั้ ยกขนึ ้ แล้ว ซง่ึ หม้อแหง่ ทราย หม้อหนง่ึ ๆ จากแมน่ �ำ้ จงโปรยลง ในที่ นี ้เถิด ดงั นี ้ ฯ (อ.ฤาษี ท.) เหลา่ นนั้ ฟังตอบแล้ว วา่ อ.ดลี ะ ดงั นี ้ กระทำ� แล้ว เต “สาธตู ิ ปฏิสสฺ ณุ ิตฺวา กามวติ กฺกาทีนํ อยา่ งนนั้ ในกาล (แหง่ วติ ก ท.) มีกามวิตกเป็นต้น เกิดขนึ ้ แล้ว ฯ อปุ ปฺ นฺนกาเล ตถา กรึส.ุ โดยสมัย อื่นอีก อ.กองแห่งทรายกองใหญ่ ได้ มีแล้ว ฯ อปเรน สมเยน มหาวาลุกราสิ อโหสิ. ตํ อ.นาคราช ชอื่ วา่ อหฉิ ตั ต์ กำ� หนดถอื เอาแลว้ (ซง่ึ กองแหง่ ทรายกองใหญ)่ อหิจฺฉตฺโต นาม นาคราชา ปริคฺคเหส.ิ นนั้ ฯ (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นแวน่ แคว้นช่ือวา่ องั คะและแวน่ แคว้นช่ือวา่ องฺคมคธวาสโิ น เอจภวิหกรรุ ิตุรฏฺวฺาฐวทาสานโิ นํ จ มาเส มาเส มคธโดยปกติ ด้วยนน่ั เทียว (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นแวน่ แคว้นช่ือวา่ เตสํ มหนฺตํ สกฺการํ เทนฺต.ิ กรุ ุโดยปกติ ด้วย น�ำไปเฉพาะแล้ว ซงึ่ สกั การะ อนั ใหญ่ ยอ่ มให้ ซงึ่ ทาน (แก่ฤาษี ท.) เหลา่ นนั้ ในเดือน ๆ ฯ ครัง้ นนั้ อ.อคั คทิ ตั ต์ ได้ให้แล้ว ซง่ึ โอวาท นี ว้ า่ (อ.ทา่ น ท.) จงถงึ อถ เนสํ อคฺคิทตฺโต อิมํ โอวาทํ อทาสิ ซง่ึ ภเู ขา วา่ เป็นสรณะ, จงถงึ ซง่ึ ป่ า วา่ เป็นสรณะ, จงถงึ ซง่ึ อาราม “ปพฺพตํ สรณํ ยาถ, วนํ สรณํ ยาถ, อารามํ สรณํ วา่ เป็นสรณะ, จงถงึ ซงึ่ ต้นไม้ วา่ เป็นสรณะ; (อ.ทา่ น ท.) จกั พ้น ยาถ, รุกฺขํ สรณํ ยาถ; เอวํ สพฺพทกุ ฺขโต มจุ ฺจิสสฺ ถาติ จากทุกข์ทัง้ ปวง ด้วยประการฉะนี ้ ดังนี ้ (แก่ชน ท.) เหล่านัน้ อตฺตโน อนฺเตวาสเิ กปิ อิมินาว โอวาเทน โอวทิ. กลา่ วสอนแล้ว แม้ซง่ึ อนั เตวาสกิ ท. ของตน ด้วยโอวาท นีเ้ทียว ฯ แม้ อ.พระโพธิสตั ว์ เสด็จออกไปอยู่ เสด็จออกเพ่ือคณุ โพธสิ ตโฺ ตปิ มหาภนิ กิ ขฺ มนํ นกิ ขฺ มนโฺ ต สมมฺ าสมโฺ พธึ อนั ยิ่งใหญ่ ทรงบรรลแุ ล้ว ซง่ึ พระสมั มาสมั โพธิญาณ ทรงอาศยั ปตฺวา ตสฺมึ สมเย สาวตฺถึ นิสฺสาย เชตวเน วหิ รนฺโต ซงึ่ เมืองช่ือวา่ สาวตั ถี ประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ในสมยั นนั้ ปจฺจสู กาเล โลกํ โวโลเกนฺโต อคฺคทิ ตฺตพฺราหฺมณํ ทรงตรวจดอู ยู่ ซงึ่ โลก ในกาลอนั ขจดั เฉพาะซงึ่ มืด ทรงเหน็ แล้ว สทฺธึ อนฺเตวาสเิ กหิ ออตรฺตหโตนฺตญสฺสาณอชปุานลสิสสฺสฺ ยอสนมฺโตปฺ นปฺนวาิฏฺตฐิํ ซง่ึ พราหมณ์ช่ือวา่ อคั คิทตั ต์ กบั ด้วยอนั เตวาสกิ ท. ผ้เู ข้าไปแล้ว ทิสฺวา “สพฺเพปิ เม ในภายใน แห่งข่ายคือพระญาณ ของพระองค์ ทรงทราบแล้ว ว่า ญตฺวา สายณฺหสมเย มหาโมคฺคลฺลานตฺเถรํ อาห (อ.ชน ท.) เหล่านี ้ แม้ทัง้ ปวง เป็ นผู้ถึงพร้ อมแล้วด้วยอุปนิสัย แหง่ พระอรหตั (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ตรัสแล้ว วา่ 106 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ดกู ่อนโมคคลั ลานะ (อ.เธอ) ยอ่ มเหน็ ซง่ึ พราหมณ์ช่ือวา่ อคั คทิ ตั ต์ “โมคฺคลลฺ าน กึ นุ ปสสฺ สิ อคฺคทิ ตฺตพฺราหฺมณํ ผู้ ยงั มหาชน ให้แลน่ ไปอยู่ (โดยท)่ี มใิ ชท่ า่ หรือ หนอ ? (อ.เธอ) จงไป, มหาชนํ อตติ ฺเถน ปกฺขนฺทาเปนฺตํ? คจฺฉ, เตสํ จงให้ ซึ่งโอวาท (แก่ชน ท.) เหล่านัน้ ดังนี ้ กะพระเถระชื่อว่า- โอวาทํ เทหีต.ิ “ภนฺเต พหู เอเต เอกสสฺ มยฺหํ มหาโมคคัลลานะ ในสมัยแห่งเวลาเย็นแห่งวัน ฯ (อ.พระเถระ อวิสยฺหา, สเจ ตุมฺเหปิ อาคมิสฺสถ, วิสยฺหา ช่ือวา่ พระโมาคคลั ลานะ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ภวิสสฺ นฺตีต.ิ “โมคฺคลฺลาน อหํปิ อาคมิสฺสามิ, ตฺวํ (อ.ฤาษี ท.) เหลา่ นน่ั มาก อนั ข้าพระองค์ ผ้เู ดียว ไมพ่ งึ ขม่ ข่ีได้, ปรุ โต ยาหีต.ิ ถ้าวา่ แม้ อ.พระองค์ ท. จกั เสดจ็ มา ไซร้,(อ.ฤาษี ท. เหลา่ นนั้ ) เป็นผู้ (อนั ข้าพระองค์) พงึ ขม่ ข่ีได้ จกั เป็น ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนโมคคลั ลานะ แม้ อ.เรา จกั มา, อ.เธอ จงไป ข้างหน้า ดงั นี ้ฯ เถโร คจฺฉนฺโตว จินฺเตสิ “เอเต พลวนฺโต เจว อ.พระเถระ ไปอยเู่ ทียว คดิ แล้ว วา่ (อ.ฤาษี ท.) เหลา่ นนั่ พสถลพูหผฺเู พจสุ ป,ติ ิ สกวเํคจเฺคทสววพคํ ฺเฺเวคพฏุ นสฺฐําอสเฏุปมฺฐสาเค.ิหมยฏฺยฺนุฐาฺตเินอตกฺติญโนฺจิ กเถสฺสามิ; เป็นผ้มู กี ำ� ลงั ด้วยนน่ั เทยี ว เป็นผ้มู าก ด้วย (ยอ่ มเป็น), ถ้าวา่ (อ.เรา) อานภุ าเวน จกั กลา่ ว (ซงึ่ คำ� ) อะไร ๆ ในทเ่ี ป็นทมี่ าพร้อมกนั (ของฤาษี ท.) ทงั้ ปวง ไซร้; (อ.ฤาษี ท.) แม้ทงั้ ปวง พงึ ลกุ ขนึ ้ โดยพวกและพวก ดงั นี ้ ยงั ฝน มีเม็ดอนั หยาบ ให้ตกแล้ว ด้วยอานภุ าพ ของตน ฯ เต ถลู ผสุ ติ เกสุ ปตนฺเตสุ อฏุ ฺฐายฏุ ฺฐาย อตฺตโน (อ.ฤาษี ท.) เหลา่ นนั้ (ครัน้ เม่ือฝน ท.) มีเมลด็ อนั หยาบ ตกอยู่ อตฺตโน ปณฺณสาลํ ปวสิ สึ .ุ ลกุ ขนึ ้ แล้ว ๆ เข้าไปแล้ว สบู่ รรณศาลา ของตน ๆ ฯ เถโร อคฺคิทตฺตสฺส ปณฺณสาลทฺวาเร ฐตฺวา อ.พระเถระ ยืนแล้ว ใกล้ประตแู หง่ บรรณศาลา ของอคั คทิ ตั ต์ “อคฺคทิ ตฺตาติ อาห. กลา่ วแล้ว วา่ ดกู ่อนอคั คทิ ตั ดงั นี ้ฯ โส เถรสฺส สทฺทํ สตุ ฺวา “อิมสมฺ ึ โลเก มํ (อ.อคั คิทตั ต์) นนั้ ฟังแล้ว ซงึ่ เสียง ของพระเถระ กลา่ วแล้ว วา่ นาเมน อาลปิ ตํุ สมตฺโถ นาม นตฺถิ, โก นุ โข มํ อ.ใคร นนั่ ดงั นี เ้ พราะความที่ (แหง่ ตน) เป็นผ้กู ระด้างเพราะมานะ วา่ นาเมน อาลปตีติ มานตฺถทฺธตาย “โก เอโสติ (อ.บุคคล) ชื่อว่า ผู้สามารถ เพื่ออันร้ องเรียก ซึ่งเรา โดยชื่อ อาห. “อหํ พฺราหฺมณาต.ิ ยอ่ มไมม่ ี ในโลก นี,้ อ.ใคร หนอ แล ยอ่ มร้องเรียก ซงึ่ เรา โดยช่ือ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู ่อนพราหมณ์ อ.เรา ดงั นี ้ ฯ เออากจาิก“วกฺขึาตวปเ.ิณทสฺณีต“ส.ิอาิธ“ลอาชตฺช.ิวสเนม“อฏคฺเฐอฺคากทินรตํ ตฺตฺตนึ อมติธนฺถิ,สุ วฺสสานเอฏนกฺฐสาามนสฺ ํ (อ.อคั คทิ ตั ต์ ถามแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น) กลา่ วแล้ว ซง่ึ อะไร ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ ในวนั นี ้(อ.ทา่ น) จงบอก ซงึ่ ท่ีเป็นที่อยู่ (ในท่ี) นี ้ สนิ ้ ราตรีหนงึ่ แก่เรา ดงั นี ้ ฯ (อ.อคั คิทตั ต์ กลา่ วแล้ว) วา่ มนสุ สฺ านํ, คาโว คนุ ฺนํ, ปพฺพชิตา ปพฺพชิตานํ อ.ทเ่ี ป็นทอ่ี ยู่ (ในท)ี่ นี ้ยอ่ มไมม่ ,ี อ.บรรณศาลา หลงั เดยี วเทยี ว (ยอ่ มม)ี สนฺตกิ ํ คจฺฉนฺต,ิ มา เอวํ กริ, เทหิ เม ปวพสนฺพฏชฺฐิโตามนหนฺ ีฺตต.ิ.ิ (แกบ่ รรพชติ ) ผ้เู ดยี ว ดงั นี ฯ้ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู อ่ นอคั คทิ ตั ต์ “กึ ปน ตฺวํ ปพฺพชิโตต.ิ “อาม ช่ือ อ.มนษุ ย์ ท. (ยอ่ มไป สสู่ ำ� นกั ) ของมนษุ ย์ ท., อ.โค ท. (ยอ่ มไป “สเจ ปพฺพชิโต, กหํ เต ขาริภณฺฑํ ปพฺพชิตปริกฺขาโรต.ิ สสู่ ำ� นกั ) ของโค ท., อ.บรรพชติ ท. ยอ่ มไป สสู่ ำ� นกั ของบรรพชติ ท., “อตฺถิ เม ปริกฺขาโร, `วิสํุ ปน นํ คเหตฺวา วจิ ริตํุ (อ.ทา่ น) อยา่ กระท�ำแล้ว อยา่ งนี,้ (อ.ทา่ น) ขอจงให้ ซงึ่ ที่เป็นที่อยู่ ทกุ ฺขนฺติ อพฺภนฺตเรเนว นํ คเหตฺวา วิจรามิ แก่เรา ดงั นี ้ ฯ (อ.อคั คทิ ตั ต์ ถามแล้ว) วา่ ก็ อ.ทา่ น เป็นบรรพชิต พฺราหฺมณาต.ิ (ยอ่ มเป็น) หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ เออ (อ.เรา) เป็น บรรพชิต ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ฯ (อ.อคั คทิ ตั ต์ ถามแล้ว) วา่ ถ้าวา่ (อ.ทา่ น) เป็นบรรพชิต (ยอ่ มเป็น ไซร้), อ.ภณั ฑะคือสาแหรก เป็นบริขาร ของบรรพชติ ของทา่ น(ยอ่ มม)ี (ในท)ี่ ไหนดงั นี ฯ้ (อ.พระเถระกลา่ วแลว้ )วา่ ดูก่อนพราหมณ์ อ.บริขาร ของเรา มีอยู่ ดูก่อนพราหม์ ก็ (อ.เรา คิดแล้ว) ว่า อ.อันถือเอา (ซ่ึงบริขาร) นัน้ แยกกัน เท่ียวไป เป็ นความล�ำบาก (ย่อมเป็ น) ดงั นี ้ ถือเอา (ซงึ่ บริขาร) นนั้ โดยภายใน นนั่ เทียว ยอ่ มเท่ียวไป ดงั นี ้ฯ ผลิตส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม วดั พระธรรมกาย 107 www.kalyanamitra.org
(อ.อคั คิทตั ต์)นนั้ (กลา่ วแล้ว)วา่ (อ.ทา่ น)ถือเอา(ซง่ึ บริขาร)นนั้ โส “ตํ คเหตฺวา วิจริสฺสสีติ เถรสฺส กุชฺฌิ. จกั เท่ียวไป หรือ ดงั นี ้ โกรธแล้ว ตอ่ พระเถระ ฯ ครงั้ นนั้ (อ.พระเถระ) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ ดกู อ่ นอคั คทิ ตั ต์ (อ.ทา่ น) อถ นํ โส อาห “[อเปหิ] อคฺคทิ ตฺต มา กชุ ฺฌิ, (จงหลกี ไป) (อ.ทา่ น) อยา่ โกรธแล้ว, (อ.ทา่ น) ขอจงบอก ซงึ่ ทเี่ ป็นทอ่ี ยู่ “วเสอนตสฏฺมฺฐาึ ปนนํ เมวาอลากุ จริกาสฺขมิาตหฺ .ิิ โ“กนวตสฺถติ เตี อ.ิ ต“ฺถเอโวกสนนฏาคฺฐราานชนาฺตต.ิ.ิ แกเ่ ราดงั นี(้ กะอคั คทิ ตั ต)์ นนั้ ฯ (อ.อคั คทิ ตั ต์กลา่ วแล้ว)วา่ อ.ทเี่ ป็นทอ่ี ยู่ (ในท่ี) นี ้ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระ ถามแล้ว) วา่ ก็ อ.ใคร “เอตํ เม เทหีต.ิ “น สกฺกา ทาตํ,ุ ภาริยํ เอตสสฺ ยอ่ มอยู่ บนกองแหง่ ทราย นนั่ ดงั นี ้ ฯ (อ.อคั คทิ ตั ต์ กลา่ วแล้ว) วา่ กมมฺ นฺต.ิ “โหต,ุ เทหิ เมต.ิ “เตนหิ ตฺวเมว ชานาหีติ. อ.นาคราช ผ้หู นง่ึ (ยอ่ มอยู่ บนกองแหง่ ทรายนน่ั ) ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น) ขอจงให้ (ซงึ่ กองแหง่ ทราย) นนั่ แก่เรา ดงั นี ้ ฯ (อ.อคั คทิ ตั ต์ กลา่ วแล้ว) วา่ (อนั เรา) ไมอ่ าจ เพ่ืออนั ให้, อ.กรรม (ของนาคราช) นน่ั หนกั ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) ว่า (อ.เหตุ น่ัน) จงมีเถิด, (อ.ท่าน) ขอจงให้ แก่เรา ดังนี ้ ฯ (อ.อคั คทิ ตั กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ อ.ทา่ นนนั่ เทยี ว จงรู้ ดงั นี ้ ฯ อ.พระเถระ มีหน้าเฉพาะต่อกองแห่งทราย (เป็ น) ได้ไปข้าง เถโร วาลกุ ราสอิ ภิมโุ ข ปายาส.ิ นาคราชา หน้าแล้ว ฯ อ.นาคราช เห็นแล้ว (ซง่ึ พระเถระ) นนั้ ผ้มู าอยู่ (คิด ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสวฺ า “อยํ สมโณ อิโต อาคจฺฉติ, แล้ว) ว่า อ.สมณะ นี ้ย่อมมา (โดยข้าง) นี ้เห็นจะ จะไม่รู้ ซงึ่ ความที่ น ชานาติ มญฺเญ มม อตฺถิภาวํ; ธมู ายิตฺวา นํ แห่งเรา มีอย่,ู (อ.เรา)ประพฤติเพียงดงั ควนั แล้ว (ยงั สมณะ) มาเรสฺสามีติ ธมู ายิ. นนั้ จกั ให้ตาย ดงั นี ้ประพฤติเพียงดงั ควนั แล้ว ฯ อ.พระเถระ (คดิ แล้ว) วา่ อ.นาคราช นี ้ เหน็ จะ จะก�ำหนด วา่ เถโร “อยํ นาคราชา `อหเมว ธมู ายิตํุ สกฺโกมิ, อ.เรา นน่ั เทียว ยอ่ มอาจ เพ่ืออนั ประพฤตเิ พียงดงั ควนั , (อ.ชน ท.) อญเฺ ญ น สกโฺ กนตฺ ตี ิ มญเฺ ญ สลลฺ กเฺ ขตตี ิ สยปํ ิ ธมู าย.ิ เหลา่ อ่ืน ยอ่ มไมอ่ าจ ดงั นี ้ดงั นี ้ประพฤตเิ พียงดงั ควนั แล้ว แม้เอง ฯ อ.ควนั ท. อนั ขนึ ้ ไปแล้ว จากสรีระ ของพระเถระและนาคราช ท. ทฺวนิ ฺนมปฺ ิ สรีรโต อคุ ฺคตา ธมู า ยาว พฺรหฺมโลกา แม้ ๒ ตงั้ ขนึ ้ แล้ว เพียงใด แตพ่ รหมโลก ฯ อฏุ ฺฐหสึ .ุ อ.ควัน ท. แม้ทัง้ ๒ ไม่เบียดเบียนแล้ว ซ่ึงพระเถระ อโุ ภปิ ธมู า เถรํ อพาธยิตฺวา นาคราชานเมว ยอ่ มเบียดเบียน ซงึ่ นาคราชนนั่ เทียว ฯ อ.นาคราช ไมอ่ าจอยู่ พาเธนฺต.ิ นาคราชา ธมู เวคํ สหิตํุ อสกฺโกนฺโต ปชฺชล.ิ เพื่ออนั อดกลนั้ ซงึ่ ก�ำลงั แหง่ ควนั โพลงทวั่ แล้ว ฯ เถโรปิ เตโชธาตํุ สมาปชฺชิตฺวา เตน สทฺธึเยว ปชฺชล.ิ อ.เปลวแหง่ ไฟ ท. ตงั้ ขนึ ้ แล้ว เพียงใด แตพ่ รหมโลก ฯ อ.เปลว อคฺคชิ าลา อยพาาวธยิพตฺวฺรหาฺมนโาลคกราาชอาฏนุ ฺเฐมหวสึ .ุพาอธโุ ยภสึ ป.ุิ แหง่ ไฟ ท. แม้ทงั้ ๒ ไมเ่ บียดเบียนแล้ว ซงึ่ พระเถระ เบียดเบียนแล้ว อคฺคชิ าลา เถรํ ซ่ึงนาคราชน่ันเทียว ฯ ครัง้ นัน้ อ.สรีระทัง้ สิน้ (ของนาคราช) นัน้ อถสสฺ สกลสรีรํ อกุ ฺกาหิ ปทิตฺตํ วยิ อโหส.ิ เป็นราวกะวา่ อนั คบเพลงิ ท. ตดิ ทวั่ แล้ว ได้เป็นแล้ว ฯ อ.หมแู่ หง่ ฤาษี แลดแู ล้ว คดิ แล้ว วา่ อ.นาคราช ยงั สมณะ อิสคิ โณ โอโลเกตฺวา จินฺเตสิ “นาคราชา สมณํ ให้ไหม้อย,ู่ อ.สมณะ ผ้เู จริญ หนอ ไมฟ่ ังแล้ว ซงึ่ ค�ำ ของเรา ท. ฌาเปต,ิ ภทฺทโก วต สมโณ อมหฺ ากํ วจนํ อสฺสณุ ิตฺวา ฉิบหายแล้ว ดงั นี ้ฯ นฏฺ โฐต,ิ อ.พระเถระ ทรมานแล้ว ซงึ่ นาคราช กระท�ำแล้ว ให้เป็นผ้มู ี- เถโร นาคราชานํ ทเมตฺวา นิพฺพิเสวนํ กตฺวา อนั เสพผิดออกแล้ว นงั่ แล้ว บนกองแหง่ ทราย ฯ วาลกุ ราสมิ หฺ ิ นิสที ิ. 108 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.นาคราช ล้อมรอบแล้ว ซงึ่ กองแหง่ ทราย ด้วยขนด ท. เนรมิตแล้ว นาคราชา วาลุกราสึ โภเคหิ ปริกฺขิปิ ตฺวา ซง่ึ พงั พาน มีท้องแหง่ เรือนอนั ประกอบแล้วด้วยยอดเป็นประมาณ กูฏาคารกุจฺฉิปฺปมาณํ ผณํ มาเปตฺวา เถรสฺส ทรงไว้แล้ว ในเบือ้ งบน แหง่ พระเถระ ฯ อปุ ริ ธาเรส.ิ อ.หมแู่ หง่ ฤาษี ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระเถระ ในเวลาเช้าเทียว อิสคิ โณ ปาโตว “สมณสฺส มตภาวํ วา (ด้วยความคดิ ) วา่ (อ.เรา ท.) จกั รู้ ซง่ึ ความท่ี แหง่ สมณะ ตายแล้ว อมตภาวํ วา ชานิสฺสามาติ เถรสสฺ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา หรือ หรือวา่ ซงึ่ ความท่ี (แหง่ สมณะ) ไมต่ ายแล้ว ดงั นี ้ เหน็ แล้ว ตํ วาลกุ ราสมิ ตฺถเก นิสนิ ฺนํ ทิสวฺ า อญฺชลึ ปคฺคยฺห (ซงึ่ พระเถระ) นนั้ ผ้นู งั่ แล้ว บนท่ีสดุ แหง่ กองแหง่ ทราย ประคองแล้ว อภิตฺถวนฺโต อาห “สมณ กจฺจิ นาคราเชน ซงึ่ อญั ชลี กลา่ วชมเชยอยแู่ ล้ว วา่ ข้าแตส่ มณะ (อ.ทา่ น) เป็นผ้-ู น พาธโิ ตต.ิ “กึ น ปสสฺ ถ มม อปุ ริ ผณํ ธาเรตวฺ า ติ นตฺ .ิ อันนาคราช ไม่เบียดเบียนแล้ว (ย่อมเป็ น) แลหรือ ดังนี ้ ฯ เต “อจฺฉริยํ วต โภ, สมณสสฺ อานภุ าโว เอวรูโป (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น ท.) ยอ่ มไมเ่ หน็ (ซง่ึ นาคราช) นาม, อเนน นาคราชา ทมิโตติ เถรํ ปริวาเรตฺวา ผู้ ทรงไว้ ซง่ึ พงั พาน ในเบือ้ งบน แหง่ เรา ด�ำรงอยแู่ ล้ว หรือ ดงั นี ้ ฯ ทอฏิสฺฺฐวสํา.ุ อฏุ ตฺฐสามฺ ยึ ขเณ สตฺถา อาคโต. เถโร สตฺถารํ (อ.ฤาษี ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ แนะ่ ทา่ นผ้เู จริญ ท. (อ.เหต)ุ วนฺทิ. นา่ อศั จรรย์ หนอ, อ.อานภุ าพ ของสมณะ ชื่อ มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป, อ.นาคราช (อนั สมณะ) นี ้ ทรมานแล้ว ดงั นี ้ ได้ยืนแวดล้อมแล้ว ซง่ึ พระเถระ ฯ ในขณะ นนั้ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ฯ อ.พระเถระ เหน็ แล้ว ซงึ่ พระศาสดา ลกุ ขนึ ้ แล้ว ถวายบงั คมแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.ฤาษี ท. กลา่ วแล้ว วา่ (อ.สมณะ) นี ้เป็นผ้ใู หญ่กวา่ อถ นํ อิสโย อาหํสุ “อยํ ตยาปิ มหนฺตตโรต.ิ แม้กวา่ ทา่ น (ยอ่ มเป็น หรือ) ดงั นี ้(กะพระเถระ) นนั้ ฯ (อ.พระเถระ “เอส ภควา สตฺถา, อหํ อิมสฺส สาวโกต.ิ กลา่ วแล้ว) วา่ อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้า พระองค์นนั่ เป็นพระศาสดา (ยอ่ มเป็น), อ.เรา เป็นสาวก (ของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า) พระองค์นี ้ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ประทบั นง่ั แล้ว บนที่สดุ แหง่ กองแหง่ ทราย ฯ สตฺถา วาลกุ ราสมิ ตฺถเก นิสที ิ. อิสคิ โณ “อยํ อ.หมฤู่ าษี (กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.อานภุ าพ) นี ้เป็นอานภุ าพ ของสาวก ตาว สาวกสฺส อานภุ าโว, อิมสฺส ปน อานภุ าโว (ยอ่ มเป็น) ก่อน, สว่ นวา่ อ.อานภุ าพ (ของพระศาสดา) พระองค์นี ้ กีทิโส ภวิสฺสตีติ อญฺชลึ ปคฺคยฺห สตฺถารํ อภิตฺถว.ิ เป็นเชน่ ไร จกั เป็น ดงั นี ้ ประคองแล้ว ซงึ่ อญั ชลี ชมเชยแล้ว สตฺถา อคฺคทิ ตฺตํ อามนฺเตตฺวา อาห “อคฺคทิ ตฺต ซ่ึงพระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา ตรัสเรียกมาแล้ว ซ่ึงอัคคิทัตต์ ตฺวํ ตว สาวกานญฺจ อปเุ ทฏสฺฐตี า.ิกาน“เญอตฺจํ โอวาทํ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอคั คทิ ตั ต์ อ.เธอ เมื่อให้ ซง่ึ โอวาท แก่สาวก ท. ททมาโน `กินฺติ วตฺวา ปพฺพตํ ของเธอ ด้วย แก่อปุ ัฏฐาก ท. (ของเธอ) ด้วย กลา่ วแล้ว อยา่ งไร สรณํ คจฺฉถ, วนํ, อารามํ, รุกฺขํ สรณํ คจฺฉถ; เอตานิ ยอ่ มให้ ดงั นี ฯ้ (อ.อคั คทิ ตั ต์ กราบทลู แล้ว) วา่ (อ.ข้าพระองค)์ ยอ่ มให้ หิ สรณํ คโต สพฺพทกุ ฺขา ปมจุ ฺจตีติ เอวํ เตสํ โอวาทํ ซง่ึ โอวาท (แกช่ น ท.) เหลา่ นนั้ อยา่ งนี ้วา่ (อ.ทา่ น ท.) จงถงึ ซง่ึ ภเู ขา ทมมฺ ีต.ิ นน่ั วา่ เป็นสรณะ, (จงถงึ ) ซง่ึ ป่ า (วา่ เป็นสรณะ), (จงถงึ ) ซง่ึ อาราม (วา่ เป็นสรณะ), จงถงึ ซง่ึ ต้นไม้ วา่ เป็นสรณะ, ด้วยวา่ (อ.บคุ คล) ผ้ถู งึ แล้ว (ซง่ึ วตั ถุ ท.) เหลา่ นนั่ วา่ เป็นสรณะ ยอ่ มหลดุ พ้น จากทกุ ข์ ทงั้ ปวง ดงั นี ้ดงั นี ้ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอคั คทิ ตั ต์ (อ.บคุ คล) ผ้ถู งึ แล้ว สตฺถา “น โข อคฺคทิ ตฺต เอตานิ สรณํ คโต (ซง่ึ วตั ถุ ท.) เหลา่ นน่ั วา่ เป็นสรณะ ยอ่ มหลดุ พ้น จากทกุ ข์ หามิได้ ทกุ ฺขา ปมจุ ฺจต,ิ พทุ ฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ ปน สรณํ คนฺตฺวา แล, ส่วนว่า (อ.บุคคล) ถึงแล้ว ซ่ึงพระพุทธ ซึ่งพระธรรม สกลวฏฺฏทกุ ฺขา ปมจุ ฺจตีติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ ซง่ึ พระสงฆ์ วา่ เป็นสรณะ ยอ่ มหลดุ พ้น จากทกุ ข์ในวฏั ฏะทงั้ สนิ ้ ดงั นี ้ ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ ผลิตสือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 109 www.kalyanamitra.org
อ.มนษุ ย์ ท. มาก แล ผอู้ นั ภยั คกุ คามแลว้ ยอ่ มถงึ ซ่ึงภเู ขา ท. “พหํุ เว สรณํ ยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ ด้วย ซึ่งป่ า ท. ด้วย ซึ่งอารามและรุกขเจดีย์ ท. ด้วย อารามรุกฺขเจตฺยานิ มนสุ สฺ า ภยตชฺชิตา; ว่าเป็นสรณะ, อ.สรณะ นน่ั แล เป็นสรณะอนั เกษม เนตํ โข สรณํ เขมํ, เนตํ สรณมตุ ฺตมํ, (ย่อมเป็น) หามิได้ แล, อ.สรณะ นน่ั เป็นสรณะสูงสดุ เนตํ สรณมาคมฺม สพพฺ ทกุ ฺขา ปมจุ ฺจติ. (ย่อมเป็น) หามิได้, (อ.บคุ คล) อาศยั แล้ว ซึ่งสรณะ นนั่ โย จ พทุ ธฺ ญจฺ ธมมฺ ญจฺ สงฆฺ ญจฺ สรณํ คโต ย่อมหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวง หามิได้ ฯ ส่วนว่า จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปปฺ ญฺญาย ปสสฺ ติ (อ.บคุ คล) ใด ผถู้ งึ แลว้ ซึ่งพระพทุ ธเจา้ ดว้ ย ซึ่งพระธรรม ดว้ ย ทกุ ฺขํ ทกุ ฺขสมปุ ปฺ าทํ ทกุ ฺขสฺส จ อติกฺกมํ ซ่ึงพระสงฆ์ ดว้ ย ว่าเป็นสรณะ ย่อมเห็น ซึ่งอริยสจั ท. ๔ อเอรติยํ ญโฺขจฏสฺฐรงณฺคิํกเํขมมคํ,ฺคํ ทกุ ฺขูปสมคามินํ คือซึ่งทกุ ข์ ด้วย คือซึ่งความเกิดข้ึนพร้อมแห่งทกุ ข์ ด้วย เอตํ สรณมาคมฺม, เอตํ สรณมตุ ฺตมํ, คือซ่ึงการกา้ วล่วง ซ่ึงทกุ ข์ ดว้ ย คือซึ่งมรรคอนั ประกอบ- สพพฺ ทกุ ฺขา ปมจุ ฺจตีติ. แล้วด้วยองค์ ๘ อันประเสริ ฐ อันยังสัตว์ให้ถึง- ซึ่งความเข้าไปสงบแห่งทุกข์โดยปกติ ด้วย ดว้ ยปัญญาโดยชอบ, อ.สรณะ นนั่ แล เป็นสรณะอนั เกษม (ย่อมเป็น), อ.สรณะ นน่ั เป็นสรณะอนั สูงสดุ (ย่อมเป็น), (อ.บคุ คล) อาศยั แลว้ ซ่ึงสรณะ นนั่ ย่อมหลดุ พน้ จากทกุ ข์ ทงั้ ปวง ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) มาก (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ตตฺถ “พหนุ ฺต:ิ พห.ู พหุํ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ อ.มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ ๆ ผู้ อนั ภยั นนั้ ๆ คกุ คามแล้ว ปพพฺ ตานตี :ิ “ตตถฺ ตตถฺ อสิ คิ ลิ เิ วปลุ ลฺ เวภาราทเิ ก หรือ หรือวา่ ผ้ตู ้องการเพ่ืออนั พ้น จากภยั หรือวา่ ผ้ปู รารถนาอยู่ ปพฺพเต เจว มหาวนโคสงิ ฺคสาลวนาทีนิ วนานิ จ (ซงึ่ วตั ถุ ท.) มีการได้ซงึ่ บตุ รเป็นต้น ยอ่ มถงึ ซง่ึ ภเู ขา ท. มีอิสคิ ลิ แิ ละ เวฬวุ นชีวกมพฺ วนาทโย อาราเม จ อเุ ทนเจตยิ - เวปลุ ละและเวภาระเป็นต้น ด้วยนน่ั เทียว ซง่ึ ป่ า ท. มีมหาวนั และ- โคตมเจติยาทีนิ รุกฺขเจตฺยานิ จ เต เต มนุสฺสา โคสงิ ควนั และสาลวนั เป็นต้น ด้วย ซง่ึ อาราม ท. มีเวฬวุ นั และ- เตน เตน ภเยน ตชฺชิตา ภยโต มุจฺจิตุกามา ชีวกัมพวันเป็ นต้น ด้วย ซึ่งรุกขเจดีย์ ท. มีอุเทนเจดีย์และโคตม ปตุ ฺตลาภาทีนิ วา ปฏฺฐยมานา สรณํ ยนฺตีติ อตฺโถ. เจดีย์เป็ นต้น ด้วย (ในท่ี) นัน้ ๆ ว่าเป็ นสรณะ ดังนี ้(แห่งบท) ว่า ปพพฺ ตานิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.อรรถ วา่ ก็ อ.สรณะ นนั่ แม้ทงั้ ปวง เป็นสรณะเกษม (ยอ่ มเป็น) เนตํ สรณนฺต:ิ เอตํ ปน สพฺพํปิ สรณํ เนว หามิได้นนั่ เทียว เป็นสรณะสงู สดุ (ยอ่ มเป็น) หามิได้, ด้วยวา่ เขมํ น อตุ ฺตมํ, น จ เอตํ ปฏิจฺจ ชาตอิ าทิธมเฺ มสุ ในสตั ว์ ท. ผ้มู ีทกุ ข์มีชาตเิ ป็นต้นเป็นธรรมหนา (อ.สตั ว์) แม้ผ้หู นงึ่ สตฺเตสุ เอโกปิ ชาตอิ าทิโต สพฺพทกุ ฺขา ปมจุ ฺจตีติ อาศยั แล้ว (ซงึ่ สรณะ) นน่ั ยอ่ มหลดุ พ้น จากทกุ ขท์ งั้ ปวง มชี าตเิ ป็นต้น อตฺโถ. โย จาต:ิ อิทํ อกฺเขมํ อนตุ ฺตมํ สรณํ ทสฺเสตฺวา หามิได้ ดงั นี ้(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ เนตํ สรณํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ เขมํ อตุ ฺตมํ สรณํ ทสสฺ นตฺถํ อารทฺธํ. (อ.คำ� ) นี ้วา่ โย จ ดงั นเี ้ป็นต้น (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) ทรงแสดงแล้ว ซง่ึ สรณะอนั ไมเ่ กษม อนั ไมส่ งู สดุ ทรงปรารภแล้ว เพ่ืออนั ทรงแสดง ซงึ่ สรณะ อนั เกษม อนั สงู สดุ ฯ อ.เนือ้ ความ (แหง่ ค�ำ วา่ โย จ ดงั นีเ้ป็นต้น) นนั้ วา่ สว่ นวา่ โส ตสฺสตฺโถ “โย สจมมฺคาหสฏมฺโฐพฺ ทุวฺาโธตปิอพาฺพทชิกิโํตพวทุ าฺธ`ธอมิตมฺ ปิ -ิ (อ.บคุ คล) ใด คอื อ.คฤหสั ถ์ หรือ หรือวา่ คอื อ.บรรพชติ อาศยั แล้ว ภควา อรหํ ซง่ึ กมั มฏั ฐานคือความตามระลกึ ถึงซง่ึ พระพทุ ธเจ้าและพระธรรม ธสมงฺฆมฺ าญนฺจสุ ฺสสตงกิฺฆมญมฺ ฺจฏฺฐสารนณํ นํ คิสโสฺ ตา,ยตเสสสฺ ฏาฺฐปวิ เสตนํ สพรณทุ ฺธคญมนฺจํ และพระสงฆ์ มีค�ำวา่ อติ ปิ ิ โส ภควา อรหํ สมมฺ าสมพฺ ุทโฺ ธ ดงั นีเ้ป็นต้น ถงึ แล้ว ซงึ่ พระพทุ ธเจ้า ด้วย ซงึ่ พระธรรม ด้วย อญฺญติตฺถิยวนฺทนาทีหิ กปุ ปฺ ติ จลต,ิ ซง่ึ พระสงฆ์ ด้วย วา่ เป็นสรณะ ด้วยสามารถแหง่ ความเป็นวตั ถุ อนั ประเสริฐท่ีสดุ , อ.สรณคมน์ นนั้ (ของบคุ คล) แม้นนั้ ยอ่ มกำ� เริบ ย่อมหวั่นไหว (ด้วยกิจ ท.) มีการไหว้ซึ่งอัญญเดียรถีย์เป็ นต้น, 110 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ส่วนว่า (อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า) เมื่อทรงประกาศ ซึ่งสรณะ ตสสฺ ปน อจลภาวํ ทสฺเสตํุ มคฺเคน อาคตสรณเมว อนั มาแล้ว โดยมรรค นนั่ เทียว ตรัสแล้ว วา่ จตตฺ าริ อริยสจจฺ านิ ปกาเสนฺโต `จตตฺ าริ อริยสจจฺ านิ สมมฺ ปปฺ ญญฺ าย สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ ดังนี ้ เพ่ืออันทรงแสดง ซึ่งความท่ี ปสฺสตตี ิ อาห. (แหง่ สรณคมน์) นนั้ เป็นธรรมชาตไิ มห่ วน่ั ไหว ฯ ด้วยวา่ (อ.บคุ คล) ใด ถงึ แล้ว (ซง่ึ รัตนะ ท. มีพทุ ธรัตนะ เป็นต้น) โย หิ เอเตสํ สจฺจานํ ทสฺสนวเสน เอตานิ เหลา่ นนั่ วา่ เป็นสรณะ ด้วยสามารถแหง่ การเหน็ ซง่ึ สจั จะ ท. เหลา่ นน่ั , สรณํ คโต, ตสสฺ เอตํ สรณํ เขมญฺจ อตุ ฺตมญฺจ, อ.สรณะ นน่ั (ของบคุ คล) นนั้ เป็นสรณะเกษม ด้วย เป็นสรณะ โส จ ปคุ ฺคโล เอตํ สรณํ ปฏิจฺจ สกลสมฺ าปิ สงู สดุ ด้วย (ยอ่ มเป็น), อนงึ่ อ.บคุ คล นนั้ อาศยั แล้ว ซง่ึ สรณะ นน่ั ววฏตุ ฺฺตฏนทฺตกุ ิ.ฺขา ปมจุ ฺจต;ิ ตสฺมา “เอตํ โข สรณํ เขมนฺตอิ าทิ ย่อมหลุดพ้ น จากทุกข์ในวัฏฏะ แม้ ทัง้ สิน้ , เพราะเหตุนัน้ (อ.พระด�ำรัส) มีพระด�ำรัส วา่ เอตํ โข สรณํ เขมํ ดงั นีเ้ป็นต้น (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ดงั นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ฤาษี ท. เหลา่ นนั้ แม้ทงั้ ปวง เทสนาวสาเน สพเฺ พปิ เต อสิ โย สห ปฏสิ มภฺ ทิ าหิ บรรลแุ ล้ว ซง่ึ ความเป็นแหง่ พระอรหนั ต์ กบั ด้วยปฏิสมั ภิทา ท. อรหตฺตํ ปตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจสึ .ุ ถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ทลู ขอแล้ว ซงึ่ การบวช ฯ อ.พระศาสดา ทรงเหยียดออกแล้ว ซงึ่ พระหตั ถ์ จากภายใน สตฺถา จีวรพฺภนฺตรโต หตฺถํ ปสาเรตฺวา แหง่ จวี ร ตรสั แล้ว วา่ (อ.ทา่ น ท.) เป็นภกิ ษุ (เป็น) จงมาเถดิ , อ.ทา่ น ท. “เอถ ภิกฺขโว, จรถ พฺรหฺมจริยนฺติ อาห. จงประพฤติ ซงึ่ พรหมจรรย์ เถิด ดงั นี ้ฯ ในขณะนัน้ นั่นเทียว (อ.ฤาษี ท. เหล่านัน้ ) เป็ นผู้ทรงไว้ ตํขณญฺเญว อฏฺ ฐปริกฺขารธรา วสฺสสตกิ ตฺเถรา ซง่ึ บริขาร ๘ เป็นราวกะวา่ พระเถระผ้ปู ระกอบแล้วด้วยร้อยแหง่ กาลฝน วิย อเหสํ.ุ ได้เป็นแล้ว ฯ ก็ (อ.วนั ) นนั้ เป็นวนั เป็นท่ี ถือเอา ซงึ่ สกั การะ มา (แหง่ ชน ท.) โส จ สพฺเพสํปิ อองโฺคหมสค.ิ ธกรุ ุรฏฺฐวาสีนํ สกฺการํ ผ้ ูอยู่ในแว่นแคว้ นช่ื อว่าอังคะและแว่นแคว้ นช่ื อว่ามคธและ- อาทาย อาคมนทิวโส แวน่ แคว้นชื่อวา่ กรุ ุโดยปกติ แม้ทงั้ ปวง ได้เป็นแล้ว ฯ (อ.ชนท.)เหลา่ นนั้ ผ้ถู อื เอาซงึ่ สกั การะมาแล้วเหน็ แล้ว(ซงึ่ ฤาษีท.) เต สกฺการํ อาทาย อาคตา สพฺเพปิ เต อิสโย เหลา่ นนั้ แม้ทปั้ วง ผ้บู วชแล้ว คดิ กนั แล้ว วา่ อ.พราหมณช์ อ่ื วา่ อคั คทิ ตั ต์ ปพพฺ ชเิ ต ทสิ วฺ า “กนิ นฺ ุ โข อมหฺ ากํ อคคฺ ทิ ตตฺ พรฺ าหมฺ โณ ของเรา ท. เป็นใหญ่ (ยอ่ มเป็น) หรือ หนอ แล หรือวา่ อ.พระสมณะ- มหา อทุ าหุ สมโณ โคตโมติ จินฺเตตฺวา “สมณสสฺ ผ้โู คดม (เป็นใหญ่ ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ได้สำ� คญั แล้ว วา่ อ.อคั คทิ ตั เทยี ว โคตมสสฺ อาคตตฺตา อคฺคทิ ตฺโตว มหาติ อมญฺญึส.ุ เป็นใหญ่ (ยอ่ มเป็น) เพราะความทแ่ี หง่ พระสมณ ผ้โู คดม เสดจ็ มาแล้ว สตฺถา เตสํ อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา “อคฺคทิ ตฺต ปริสาย ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ทรงตรวจดแู ล้ว ซงึ่ อธั ยาศยั (ของชน ท. )เหลา่ นนั้ กงฺขํ ฉินฺทาติ อาห. ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนอัคคิทัตต์ (อ.เธอ) จงตัด ซึ่งความสงสัย แหง่ บริษัท ดงั นี ้ ฯ (อ.อคั คทิ ตั ต)์ นนั้ (กราบทลู แล้ว)วา่ แม้ อ.ข้าพระองค์ยอ่ มหวงั เฉพาะ โส “อหํปิ เอตฺตกเมว ปจฺจาสสึ ามีติ อิทฺธิพเลน (สซฟู่ ึ่้งาเห๗ตุ)ครังม้ ีปด้วรยะกม�ำาลณงั แเหทง่่าฤนิทีน้ ธ่ัน์ิ ลเทงแียลว้ว ดังนี ้ เหาะขึน้ ไปแล้ว สตฺตกฺขตฺตํุ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปุนปฺปุนํ บอ่ ย ๆ ถวายบงั คมแล้ว โอรุยฺห สตฺถารํ วนฺทิตฺวา “สตฺถา เม ภนฺเต ภควา, ซง่ึ พระศาสดา กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.พระผ้มู ี- สาวโกหมสมฺ ีติ วตฺวา สาวกตฺตํ ปกาเสสีต.ิ พระภาคเจ้า เป็นศาสดา ของข้าพระองค์ (ยอ่ มเป็น), อ.ข้าพระองค์ เป็ นสาวก ย่อมเป็ น ดังนี ้ ประกาศแล้ว ซ่ึงความที่ (แห่งตน) เป็นสาวก ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งปุโรหติ ช่ือว่าอัคคทิ ตั ต์ อคคฺ ทิ ตตฺ ปุโรหติ วตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลติ สือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 111 www.kalyanamitra.org
๗. อ.เร่ืองแห(อ่งปันัญข้าหพาเจข้าองจพะกระลเ่าถวร)ะฯช่ือว่าอานนท์ ๗. อานนฺทตเฺ ถรสสฺ ปญหฺ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “ทลุ ลฺ โภ ปุริสาชญโฺ ญติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซง่ึ ปัญหา ของพระเถระชื่อวา่ อานนท์ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา เชตวเน วหิ รนโฺ ต อานนทฺ ตเฺ ถรสสฺ ปญฺหํ อารพภฺ กเถส.ิ นี ้วา่ ทลุ ฺลโภ ปุริสาชญโฺ ญ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนงึ่ อ.พระเถระ ผ้นู งั่ แล้ว ใน เถโร หิ ฉเอทกทฺ ทนิวตฺ สกํเุ ลทวิวาาฏอฺฐโุ ปาเสนถกนเุ ลิสนิวาฺโนอปุ จปฺ ินชฺเชฺตตส,ิ ิ ที่เป็นทพี่ กั ในเวลากลางวนั คดิ แล้ว วา่ อ.ทเี่ ป็นทเี่ กดิ ขนึ ้ ท. (แหง่ สตั ว์ “หตถฺ าชานโี ย วิเศษ ท.) มีช้างเชือกอาชาไนยเป็นต้น อนั พระศาสดา ผ้เู มื่อตรัส อสสฺ าชานีโย สนิ ฺธวกเุ ล วา วลาหกอสฺสราชกเุ ล วา, (ซง่ึ พระดำ� รัส ท.) มพี ระดำ� รัส วา่ อ.ช้างเชอื กอาชาไนย ยอ่ มเกดิ ขนึ ้ โคอาชานีโย ทกฺขิณาปเถตอิ าทีนิ วทนฺเตน สตฺถารา ในตระกลู แหง่ ช้างฉทั ทนั ต์ หรือ หรือวา่ ในตระกลู แหง่ ช้างอโุ บสถ, หตฺถิอาชานียาทีนํ อนุปุ ฺปโขตฺตอิฏปุ ฺ ฐปฺ าชนฺชาตนีติ .ิ กถิตานิ, อ.ม้าตวั อาชาไนย (ยอ่ มเกดิ ขนึ ้ ) ในตระกลู แหง่ ม้าสนิ ธพ หรือ หรือวา่ ปรุ ิสาชานีโย ปน กหํ ในตระกลู แหง่ ม้าผ้รู าชาชอื่ วา่ วลาหก, อ.โคตวั อาชาไนย (ยอ่ มเกดิ ขนึ ้ ) ในชนบทช่ือวา่ ทกั ขิณาบถ ดงั นีเ้ป็นต้น ตรัสไว้แล้ว, สว่ นวา่ อ.บรุ ุษ ผ้อู าชาไนย ยอ่ มเกิดขนึ ้ (ในที่) ไหน หนอ แล ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระศาสดา ถวายบงั คมแล้ว โส สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอตมตฺถํ ทลู ถามแล้ว ซง่ึ เนือ้ ความ นนั่ ฯ ปจุ ฺฉิ. อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนอานนท์ ช่ือ อ.บุรุษ- สตฺถา “อานนฺท ปรุ ิสาชานีโย นาม น สพฺพตฺถ ผ้อู าชาไนย ยอ่ มเกิดขนึ ้ (ในท่ี) ทงั้ ปวง หามิได้, แตว่ า่ (อ.บรุ ุษ- อปุ ปฺ ชฺชต,ิ อชุ กุ โต ปน ตโิ ยชนสตายาเม ออปุาวปฺ ฏชฺฏฺชโตต;ิ ผ้อู าชาไนย) ยอ่ มเกิดขนึ ้ ในท่ีอนั เป็นมชั ฌิมประเทศ อนั ยาวโดย นอปุวโปฺ ยชชฺชนนสฺโตตปจปฺ มนาเยณสมฺ มึ วชาฺฌติมสเทมฺ สึ วฏาฺฐากเนเุ ล อปุ ปฺ ชฺชต,ิ ร้อยแหง่ โยชน์ ๓ โดยตรง มีร้อยแหง่ โยชน์ ๙ เป็นประมาณ โดย กลม, ก็ (อ.บรุ ุษผ้อู าชาไนย ) เมอ่ื เกดิ ขนึ ้ ยอ่ มเกดิ ขนึ ้ (ในตระกลู ) ใด ขตตฺ ยิ มหาสาลพรฺ าหมฺ ณมหาสาลกลุ านํ อญญฺ ตรสมฺ เึยว หรือ หรือวา่ (ในตระกลู ) นนั้ หามิได้, (อ.บรุ ุษผ้อู าชาไนย นนั้ ) อปุ ปฺ ชฺชตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ย่อมเกิดขึน้ แห่งตระกูลของกษัตริย์ผู้มหาศาล และพราหมณ์- ผ้มู หาศาล ท. หนา (ในตระกลู ) ตระกลู ใดตระกลู หนงึ่ นน่ั เทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ อ.บุรุษผู้อาชาไนย เป็ นผู้อนั บุคคลหาได้โดยยาก “ทลุ ฺลโภ ปรุ ิสาชญฺโญ, น โส สพพฺ ตฺถ ชายติ. (ย่อมเป็น), (อ.บรุ ุษผูอ้ าชาไนย) นน้ั ย่อมเกิด (ในที)่ ทงั้ ปวง ยตฺถ โส ชายตี ธีโร, ตํ กลุ ํ สขุ เมธตีติ. หามิได,้ (อ.บรุ ุษผูอ้ าชาไนย) นนั้ ผูเ้ ป็นปราชญ์ ย่อมเกิด (ในตระกูล) ใด, อ.ตระกูล นน้ั ย่อมถึง ซ่ึงความสขุ ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ ก็ อ.บรุ ุษผ้อู าชาไนย เป็นผ้อู นั บคุ คลหาได้โดยยาก ตตถฺ “ทลุ ลฺ โภต:ิ ปรุ ิสาชญฺโญ หิ ทลุ ลฺ โภ, น หิ (ยอ่ มเป็น), คือวา่ เป็นผ้อู นั บคุ คลหาได้โดยงา่ ย ราวกะ (อ.สตั ว์ หตถฺ าชานยี าทโย วยิ สลุ โภ, โส สพพฺ ตถฺ ปจจฺ นตฺ เทเส วิเศษ ท.) มีช้างเชือกอาชาไนยเป็นต้น (ยอ่ มเป็น) หามิได้ แล, วา นจี กเุ ล วา น ชายต,ิ มชฌฺ มิ เทเสเยว ปน มหาชนสสฺ (อ.บรุ ุษผ้อู าชาไนย) นนั้ ยอ่ มไมเ่ กิด (ในที่) ทงั้ ปวง คือในปัจจนั ต- ออภญวิ ฺญาทตนราสทฺมสิึ กกกฺเุ ลารกชราณยตฏ,ิฺฐาเน ขตตฺ ยิ พรฺ าหมฺ ณกลุ านํ ประเทศ หรือ หรือวา่ คือในตระกลู อนั ต่�ำ, แตว่ า่ (อ.บรุ ุษ ผ้อู าชาไนยนนั้ ) ยอ่ มเกิด แหง่ ตระกลู ของกษัตริย์และพราหมณ์ ท. หนา ในตระกลู ตระกลู ใดตระกลู หนง่ึ ในท่ีเป็นท่ีกระท�ำซง่ึ สกั การะ มีการอภิวาทเป็นต้น แหง่ มหาชน ในมชั ฌิมประเทศนนั่ เทียว, 112 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ก็ (อ.บรุ ุษผ้อู าชาไนย) นนั้ ผ้เู ป็นปราชญ์ คือวา่ ผ้มู ีปัญญาสงู สดุ เอวํ ชายมาโน จ ยตฺถ โส ชายติ ธีโร อตุ ฺตมปปฺ ญฺโญ คือว่า ผู้เป็ นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เม่ือเกิด อย่างนี ้ ย่อมเกิด สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ, ตํ กลุ ํ สขุ เมธติ สขุ ปปฺ ตฺตเมว (ในตระกลู ) ใด, (อ.ตระกลู ) นนั้ ยอ่ มถงึ ซง่ึ ความสขุ คอื วา่ เป็นตระกลู โหตีติ อตฺโถ. ถงึ แล้วซง่ึ ความสขุ นน่ั เทยี ว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ทลุ ลฺ โภ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็ นที่สุดลงแห่งเทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งปัญหา ของพระเถระช่ือว่าอานนท์ อานนฺทตเฺ ถรสฺส ปญหฺ วตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๘. อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้มากพร้อม ๘. สมพฺ หลุ ภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “สุโข พุทธฺ านมุปปฺ าโทติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ ซงึ่ วาจาเป็นเครื่องกลา่ ว ของภิกษุ ท. ผ้มู ากพร้อม ตรัสแล้ว ซงึ่ พระ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต สมพฺ หลุ านํ ภิกฺขนู ํ กถํ ธรรมเทศนา นี ้วา่ สุโข พุทธฺ านมุปปฺ าโท ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อารพฺภ กเถส.ิ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนงึ่ อ.ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็น เอกทิวสํ หิ ปญฺจสตา ภิกฺขู โอลปุ เกฏฺ ฐสาขุ นนสฺตาิลกาถยํํ ประมาณ นงั่ แล้ว ในศาลาเป็นท่ีบ�ำรุง ยงั วาจาเป็นเครื่องกลา่ ว วา่ นิสนิ ฺนา “อาวโุ ส กึ นุ โข อิมสมฺ ึ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. อ.อะไร หนอ แล เป็นความสขุ ในโลก นี ้ สมฏุ ฺฐาเปสํ.ุ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ฯ (ในภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ หนา (อ.ภิกษุ ท.) บางพวก กลา่ วแล้ว วา่ ตตถฺ เกจิ “รชชฺ สขุ สทสิ ํ สขุ นนฺ าม นตถฺ ตี ิ อาหสํ .ุ ชอื่ อ.ความสขุ อนั เชน่ กบั ด้วยความสขุ ในความเป็นแหง่ พระราชา เกจิ “กามสุขสทิสํ.....เกจิ “สาลิมํสโภชนสุขสทิสํ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ฯ (อ.ภกิ ษุ ท.) บางพวก (กลา่ วแล้ว วา่ ชอื่ อ.ความสขุ ) สขุ นฺนาม นตฺถีติ อาหํส.ุ อันเช่นกับด้วยความสุขในกาม (ย่อมไม่มี ดังนี)้ ฯ (อ.ภิกษุ ท.) บางพวก กลา่ วแล้ว วา่ ชื่อ อ.ความสขุ อนั เชน่ กบั ด้วยความสขุ ในการบริโภคซงึ่ ข้าวสาลีและเนือ้ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว สทู่ ี่ (แหง่ ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ นงั่ แล้ว สตฺถา เตเอสตํ รหนิ ิสกนิ ถฺนาฏยฺฐาสนนํ ฺนิสอนิ าฺนคานตฺติ ฺวปาจุ ฺฉ“ิตกฺวาาย, ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.เธอ ท.) เป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว นตุ ฺถ ภิกฺขเว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว อะไร หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ ดงั นี,้ “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต, “ภิกฺขเว กึ กเถถ, อิทํ หิ (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. เป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจา- สพฺพํปิ `สพขุ ทุ ํ ฺธวปุ ฏปฺ ฺฏาทโทกุ ฺขปรธิยมามฺ ปสนฺสฺนวเนมํว, อิมสฺมึ ปน เป็นเครื่องกลา่ ว) ชอื่ นี ้(ยอ่ มมี ในกาลน)ี ้ ดงั นี ้(อนั ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ) โลเก สงฺฆสามคฺคี กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.เธอ ท.) ยอ่ มกลา่ ว สมโฺ มทมานภาโวติ อิทเมว สขุ นฺติ วตฺวา อิมํ ซงึ่ อะไร, ด้วยวา่ อ.ความสขุ แม้ทงั้ ปวง นี ้ เป็นความสขุ อนั นบั คาถมาห เนอ่ื งแลว้ ในวฏั ฏทกุ ขน์ นั่ เทยี ว (ยอ่ มเป็น), สว่ นวา่ (อ.ความสขุ ) นี ้นนั่ เทยี ว คือ อ.การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้ า อ.การฟังซ่ึงธรรม อ.ความพร้อมเพรยี งแหง่ สงฆ์ อ.ความท่ี (แหง่ บคุ คล) เป็นผ้บู นั เทงิ พร้อมอยู่ เป็นความสขุ (ยอ่ มเป็น) ในโลก นี ้ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.การเสด็จอบุ ตั ิ แห่งพระพทุ ธเจ้า ท. เป็นสขุ (ย่อมเป็น), “สโุ ข พทุ ฺธานมปุ ปฺ าโท, สขุ า สทฺธมฺมเทสนา, อ.การแสดงซึ่งพระสทั ธรรม เป็ นสุข (ย่อมเป็ น), สขุ า สงฺฆสสฺ สามคฺคี, สมคฺคานํ ตโป สโุ ขติ. อ.ความพรอ้ มเพรียง แหง่ สงฆ์ เป็นสขุ (ยอ่ มเป็น), อ.ตบะ (แหง่ บคุ คล ท.) ผพู้ รอ้ มเพรียงกนั เป็นสขุ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี้ ฯ ผลิตสื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 113 www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ วา่ ) อ.พระพทุ ธเจ้า ท. เสดจ็ อบุ ตั ิอยู่ ทรงยงั มหาชน ตตฺถ “พุทธฺ านมุปปฺ าโทต:ิ ยสมฺ า พทุ ฺธา ยอ่ มให้ข้าม (จากกนั ดาร ท.) มีกนั ดารคือราคะเป็นต้น เหตใุ ด, อปุ ปฺ ชฺชมานา มหาชนํ ราคกนฺตาราทีหิ ตาเรนฺติ; เพราะเหตนุ นั้ อ.การเสดจ็ อบุ ตั ิ แหง่ พระพทุ ธเจ้า ท. เป็นสขุ ตสฺมา พทุ ฺธานํ อปุ ปฺ าโท สโุ ข. ยสฺมา สทฺธมมฺ เทสนํ (ยอ่ มเป็น), อ.สตั ว์ ท. ผ้มู ีทกุ ข์มีชาตเิ ป็นต้นเป็นธรรม อาศยั แล้ว อาคมมฺ ชาตอิ าทิธมมฺ า สตฺตา ชาตอิ าทีหิ มจุ ฺจนฺต;ิ ซง่ึ การแสดงซง่ึ พระสทั ธรรม ยอ่ มพ้น (จากทกุ ข์ ท.) มีชาตเิ ป็นต้น ตสฺมา สทฺธมมฺ เทสนา สขุ า. เหตุใด, เพราะเหตุนัน้ อ.การแสดงซึ่งพระสัทธรรม เป็ นสุข (ย่อมเป็ น) (ดังนี ้ ในบท ท.) เหล่านัน้ หนา (แห่งบท) ว่า พุทธฺ านมุปปฺ าโท ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.ความที่ (แหง่ บคุ คล) เป็นผ้มู จี ติ เสมอกนั ชอ่ื วา่ ความพร้อมเพรยี ง ฯ สามคคฺ ีติ สมจิตฺตตา. สาปิ สขุ า เอว. สมคฺคานํ (อ.ความพร้ อมเพรียง) แม้นัน้ เป็ นสุขน่ันเทียว (ย่อมเป็ น) ฯ ปน เอกจิตฺตานํ ยสฺมา พทุ ฺธวจนํ วา อคุ ฺคณฺหิตํุ ก็ อ.อนั เรียน ซงึ่ พระพทุ ธพจน์ หรือ หรือวา่ อ.อนั รกั ษา ซง่ึ ธดุ งค์ ท. ธตู งฺคานิ วา ปริหริตํุ สมณธมมฺ ํ วา กาตํุ สขุ ํ; หรือวา่ อ.อนั กระทำ� ซงึ่ สมณธรรม (แหง่ บคุ คล ท.) ผ้พู ร้อมเพรียงกนั ตสมฺ า “สมคคฺ านํ ตโป สุโขติ วตุ ฺตํ. คือว่า ผู้มีความคิดเดียวกัน เป็ นสุข (ย่อมเป็ น) เหตุใด, เพราะเหตนุ นั้ (อ.พระด�ำรัส) วา่ สมคคฺ านํ ตโป สุโข ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ฯ ด้วยเหตนุ นั้ นน่ั เทียว (อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว วา่ เตเนวาห “ยาวกีวญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขู สมคฺคา ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. ก็ อ.ภกิ ษุ ท. เป็นผ้พู ร้อมเพรียงกนั (เป็น) จกั ประชมุ กนั , สนฺนิปติสฺสนฺติ, สกมริสคฺฺสคนาฺติ;วุฏฺ ฐวหุฑิสฺฒฺสินเยฺตวิ, สมคฺคา เป็นผ้พู ร้อมเพรียงกนั (เป็น) จกั ลกุ ขนึ ้ , เป็นผ้พู ร้อมเพรียงกนั (เป็น) สงฺฆกรณียานิ ภิกฺขเว จกั กระทำ� ซงึ่ กจิ อนั บคุ คลพงึ กระทำ� แหง่ สงฆ์ ท. ตลอดกาลเพยี งไร, ภิกฺขนู ํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานีต.ิ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.ความเจริญนนั่ เทียว (อนั ภิกษุ ท.) พงึ หวงั เฉพาะ, อ.ความเส่ือมรอบ (อนั ภิกษุ ท. พงึ หวงั เฉพาะ) หามิได้ เพียงนนั้ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภกิ ษุ ท. มาก ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน พหู ภิกฺขู อรหตฺเต ปตฏิ ฺฐหสึ .ุ ในความเป็นแหง่ พระอรหนั ต์ ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั มหาชนสฺสาปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่มหาชน ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้มากพร้อม สมพฺ หลุ ภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 114 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
แห่ง๙ท.ออง.เขร(อ่ืออันงงแพขห้ารพ่งะพทเจรศ้าะพเจจละดพกยี รล์อะ่านันวาเ)ปมฯ็ นว่าวกกิ ัสารสปะ ๙. กสฺสปทสพลสฺส สุวณฺณเจตยิ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือเสด็จเที่ยวไป สู่ท่ีจาริก ทรงปรารภ “ปชู ารเหติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา จาริกํ ซงึ่ พระเจดยี อ์ นั เป็นวกิ ารแหง่ ทอง ของพระทศพลพระนามวา่ กสั สปะ จรมาโน กสสฺ ปทสพลสฺส สวุ ณฺณเจตยิ ํ อารพฺภ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ ปชู ารเห ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ กเถส.ิ (ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร) อ.พระตถาคตเจ้า เสดจ็ ออกแล้ว ตถาคโต สาวตฺถิโต นิกฺขมิตฺวา อนปุ พุ ฺเพน จากเมืองชื่อว่าสาวัตถี เสด็จไปอยู่ สู่เมืองชื่อว่าพาราณสี พาราณสึ คจฺฉนฺโต อนฺตรามคฺเค โตเทยฺยคามสฺส ตามล�ำดับ มีหมู่แห่งภิกษุใหญ่เป็ นบริวาร เสด็จถึงพร้ อมแล้ว สมีเป มหาภิกฺขสุ งฺฆปริวาโร อญฺญตรํ เทวฏฺ ฐานํ ซง่ึ เทวสถาน แหง่ ใดแหง่ หนงึ่ ในท่ีใกล้ แหง่ โตไทยคาม ในระหวา่ ง สมปฺ าปณุ ิ. แหง่ หนทาง ฯ อ.พระสคุ ตเจ้า ผ้ปู ระทบั นงั่ แล้ว (ใกล้เทวสถาน) นนั้ ทรงสง่ ไปแล้ว ตตฺร นิสนิ ฺโน สคุ โต ธมมฺ ภณฺฑาคาริกํ เปเสตฺวา ซง่ึ ภิกษุผ้เู ป็นธรรมภณั ฑาคาริก (ทรงยงั ภิกษุ) ให้ร้องเรียกแล้ว อวทิ เู ร กสกิ มมฺ ํ กโรนฺตํ พฺราหฺมณํ ปกฺโกสาเปส.ิ ซ่ึงพราหมณ์ ผู้กระท�ำอยู่ ซ่ึงกรรมคือการไถ ในท่ีไม่ไกล ฯ โส พฺราหฺมโณ อาคนฺตฺวา ตถาคตํ อนภิวนฺทิตฺวา อ.พราหมณ์ นนั้ มาแล้ว ไมอ่ ภิวาทแล้ว ซง่ึ พระตถาคตเจ้า ไหว้แล้ว ตเมว เทวฏฺฐานํ วนฺทิตฺวา อฏฺฐาส.ิ ซง่ึ เทวสถาน นนั้ นน่ั เทียว ได้ยืนแล้ว ฯ แม้ อ.พระสคุ ตเจ้า ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนพราหมณ์ (อ.ทา่ น) สคุ โตปิ “อิมํ ปเทสํ กินฺติ มญฺญสิ พฺราหฺมณาติ ยอ่ มสำ� คญั ซงึ่ ประเทศ นี ้ อยา่ งไร ดงั นี ้ ฯ (อ.พราหมณ์ กราบทลู แลว้ ) วา่ อาห. “อมหฺ ากํ ปเวณิยา อาคตเจตยิ ฏฺฐานนฺติ ข้าแตพ่ ระโคดม ผ้เู จริญ (อ.ข้าพระองค)์ ยอ่ มไหว้ (ด้วยความสำ� คญั ) วา่ วนฺทามิ โภ โคตมาต.ิ (อ.ทน่ี )ี ้ เป็นทแ่ี หง่ เจดยี ์อนั มาแล้ว ตามประเพณี ของข้าพระองค์ ท. (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ดงั นี ้ฯ อ.พระสคุ ตเจ้า (ทรงยงั พราหมณ์) นนั้ ให้รื่นเริงด้วยดีแล้ว “อิมํ ฐานํ วนฺทนฺเตน ตยา สาธุ กตํ พฺราหฺมณาติ (ด้วยพระด�ำรัส) วา่ ดกู ่อนพราหมณ์ อ.กรรมอนั ดี อนั ทา่ น ผ้ไู หว้อยู่ สคุ โต ตํ สมปฺ หํเสส.ิ ซง่ึ ที่ นี ้กระท�ำแล้ว ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุ ท. ฟังแล้ว (ซงึ่ พระด�ำรัส) นนั้ ยงั ความสงสยั วา่ ตํ สตุ ฺวา ภิกฺขู “เกน นุ โข การเณน ภควา อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า (ทรงยังพราหมณ์) ให้ร่ืนเริงด้วยดีแล้ว เอวํ สมปฺ หํเสสีติ สสํ ยํ สญฺชเนส.ํุ อยา่ งนี ้ด้วยเหตุ อะไร หนอ แล ดงั นี ้ให้เกิดพร้อมแล้ว ฯ ในลำ� ดบั นนั้ อ.พระตถาคตเจ้า ตรัสแล้ว ซง่ึ ฆฏีการสตู ร ตโต ตถาคโต เตสํ สสํ ยมปเนตํุ มชฺฌิมนิกาเย ในมชั ฌิมนิกาย เพ่ืออนั ขจดั ซงึ่ ความสงสยั (แหง่ ภิกษุ ท.) ฆฏีการสุตฺตนฺตํ วตฺวา อิทฺธานุภาเวน กสฺสป- เหล่านัน้ ทรงเนรมิตแล้ว ซ่ึงพระเจดีย์อันเป็ นวิการแห่งทอง ทสพลสฺส โยชนพุ ฺเพธํ กนกเจตยิ ํ อปรญฺจ อันสูงโดยโยชน์หนึ่ง ของพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ ด้วย กนกเจตยิ ํ อากาเส นิมมฺ ินิตฺวา มหาชนํ ทสเฺ สตฺวา แซงห่ึ พง่ รฤะทเจธด์ิ ทยี รอ์ งนั ยเปงั ็มนหวกิาาชรนแหใง่หท้เหองน็ แอลน่ื ้วอกี ตดรัส้วยแลใ้นวอวาา่ กาดศกู ่อด้นวยพอราานหภุ มาณพ์ “พฺราหฺมณ เอวํวิธานํ ปชู ารหานํ ปชู า ยตุ ฺตตราวาติ วตฺวา มหาปรินิพฺพานสุตฺเต ทสฺสิตนเยเนว อ.การบชู า (ซงึ่ บคุ คล ท.) ผ้คู วรเพ่ืออนั บชู า ผ้มู ีอยา่ งอยา่ งนี ้ พทุ ฺธาทิเก จตฺตาโร ปชู ารเห ปกาเสตฺวา สรีรเจตยิ ํ เป็นการบชู าควรแล้วกวา่ เทียว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ทรงประกาศแล้ว อทุ ฺทิสสฺ เจตยิ ํ ปริโภคเจตยิ นฺติ ตีณิ เจตยิ านิ (ซ่ึงบุคคล ท.) ผู้ควรเพ่ืออันบูชา ๔ มีพระพุทธเจ้าเป็ นต้น วิเสสโต ปริทีเปตฺวา อิมา คาถา อภาสิ ตามนัย (อันพระองค์) ทรงแสดงแล้ว ในมหาปรินิพพานสูตร นนั่ เทียว ทรงก�ำหนดแสดงแล้ว ซงึ่ เจดีย์ ท. ๓ คือ ซง่ึ สรีรเจดีย์ ซง่ึ อทุ ทสิ สเจดยี ์ ซงึ่ บรโิ ภคเจดยี ์ โดยวเิ ศษ ได้ตรสั แล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ ผลิตส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 115 www.kalyanamitra.org
อ.บญุ (ของบคุ คล) ผบู้ ชู าอยู่ (ซ่ึงบคุ คล ท.) ผคู้ วรเพอื่ อนั บชู า “ปชู ารเห ปชู ยโต พทุ เฺ ธ ยทิจ สาวเก คือซึ่งพระพทุ ธเจา้ ท. ดว้ ย หรือวา่ คือซ่ึงพระสาวก ท. ดว้ ย ปปญจฺ สมติกกฺ นเฺ ต ติณฺณโสกปริทฺทเว ผมู้ ีธรรมเป็นเหตเุ น่ินชา้ อนั กา้ วลว่ งแลว้ ดว้ ยดี ผมู้ ีความโศก เต ตาทิเส ปชู ยโต นิพพฺ เุ ต อกโุ ตภเย และความร่�ำไรอนั ขา้ มแลว้ ผบู้ ชู าอยู่ (ซ่ึงบคุ คลผคู้ วรเพือ่ - น สกฺกา ปญุ ฺญํ สงฺขาตํุ อิเมตฺตมปิ เกนจีติ. อนั บชู า ท.) เหลา่ นนั้ ผเู้ ชน่ นน้ั ผดู้ บั กิเลสแลว้ ผมู้ ีภยั แตท่ ีไ่ หน ๆ หามิได้ แม้อนั ใคร ๆ ไม่อาจ เพือ่ อนั นบั ว่า (อ.บญุ ) นี้ มีประมาณเทา่ นี้ (ดงั นี)้ ดงั นี้ ฯ (อ.บคุ คล ท. เหลา่ ใด) ผ้คู วร เพื่ออนั บชู า (อ.บคุ คล ท. ตตฺถ ปชู ิตํุ อรหา ปชู ารหา. ปชู ิตํุ ยตุ ฺตาติ อตฺโถ. เหลา่ นนั้ ) ชื่อวา่ ปชู ารหา (ผ้คู วรเพื่ออนั บชู า) (ในพระคาถา ท.) ปชู ารเห ปชู ยโตติ อภิวาทนาทีหิ จ จตหู ิ ปจฺจเยหิ เหลา่ นนั้ อ.อธบิ าย วา่ เป็นผ้คู วรแล้ว เพอ่ื อนั บชู า ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ปเู ชนฺตสฺส. ปชู ารเห ทสฺเสติ พทุ ฺเธตอิ าทินา. พุทเฺ ธติ ผ้บู ชู าอยู่ (ด้วยสามีจิกรรม ท.) มีการอภิวาทเป็นต้น ด้วย สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺเธ. ยทตี ิ ยทิวา. อถวาติ อตฺโถ. ด้วยปัจจยั ท. ๔ ด้วย (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ปชู ารเห ปชู ยโต ดงั นี ้ ฯ (อ.พระตถาคตเจา้ ) ยอ่ มทรงแสดง (ซงึ่ บคุ คล ท.) ผ้คู วรเพอ่ื อนั บชู า (ด้วยบท) มบี ทวา่ พทุ เฺ ธ ดงั นเี ป้ ็นต้น ฯ(อ.อรรถ วา่ ) คือซง่ึ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ท. (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ พุทเฺ ธ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ หรือวา่ (ดงั นี ้แหง่ ศพั ท์) วา่ ยทิ ดงั นี ้ฯ อ.อธิบาย วา่ อีกอยา่ งหนง่ึ ดงั นี ้ ฯ (อ.บท) วา่ ปจเฺ จกพุทเฺ ธ ตตฺถ ปจเฺ จกพุทเฺ ธติ กถิตํ โหต.ิ สาวเก จ. ดงั นี ้เป็นบท (อนั พระตถาคตเจ้า) ตรัสแล้ว (ในบทวา่ พุทเฺ ธ ดงั นี)้ ปปปปญญเฺ จจฺ .สมตตณิ กิ ณฺ กฺ โนสฺเกตปตริ ิททฺสเมวตตกิ ิ ฺกอนตฺตกิ ตกฺ ณนตฺ ฺหโาสทกิฏปฺรฐิทมิ ทฺาเนว-. นนั้ ยอ่ มเป็น ฯ คือ ซงึ่ สาวก ท. ด้วย ฯ (อ.อรรถ) วา่ ผ้มู ีธรรมเป็นเหตุ เนิ่นช้าคือตณั หาและทิฏฐิและมานะอนั ก้าวล่วงแล้วด้วยดี (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ปปญจฺ สมตกิ กฺ นเฺ ต ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ ผู้มีความโศกและความร�่ำไรอันก้าวล่วงแล้ว (ดังนี ้ แห่งบาท แหง่ พระคาถา) วา่ ตณิ ฺณโสกปริททฺ เว ดงั นี ้ฯ อ.อธบิ าย วา่ ผ้กู ้าวลว่ งแล้ว (ซงึ่ ความโศกและความร�่ำไร ท.) ๒ อิเม เทฺว อตกิ ฺกนฺเตติ อตฺโถ. เอเตหิ ปชู ารหตฺตํ เหลา่ นี ้ ดงั นี ้ ฯ อ.ความท่ี (แหง่ บคุ คล) เป็นผ้คู วรเพ่ืออนั บชู า ทสสฺ ติ ํ. เตติ พทุ ฺธาทโย. ตาทเิ สติ วตุ ฺตคหณวเสน. (อนั พระตถาคตเจ้า)ทรงแสดงแล้ว(ด้วยบทท.)เหลา่ นน่ั ฯ(อ.อรรถวา่ ) นิพพฺ ุเตติ ราคาทินิพฺพตุ ยิ า . มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น (ดงั นี ้ แหง่ บทวา่ ) เต ดงั นี ้ ฯ (อ.บท วา่ ) ตาทเิ ส ดงั นี ้ (อนั พระตถาคตเจ้า) (ทรงแสดงแล้ว) ด้วยสามารถ แหง่ อนั ถือเอาซงึ่ คณุ อนั พระองคต์ รสั แลว้ ฯ (อ.บท) วา่ นพิ พฺ เุ ต ดงั นี ้ (อนั พระตถาคตเจ้า ทรงแสดงแล้ว) ด้วยความดบั แหง่ กิเลส มีราคะเป็นต้น ฯ อ.ภยั (แตท่ )่ี ไหน ๆ คอื วา่ แตภ่ พ หรือ หรือวา่ แตอ่ ารมณ์ ยอ่ มไมม่ ี นตฺถิ กโุ ตจิ ภวโต วา อารมมฺ ณโต วา เอเตสํ (แก่บุคคล ท. มีพระพุทธเจ้าเป็ นต้น) เหล่านั่น เพราะเหตุนัน้ ภยนฺติ อกุโตภยา. เต อกโุ ตภเย. น สกกฺ า ปุญญฺ ํ (อ.บคุ คล ท. มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น เหลา่ นนั่ ) ชื่อวา่ อกุโตภยา สงขฺ าตุนฺติ ปญุ ฺญํ คเณตํุ น สกฺกา. (ผ้มู ีภยั แตท่ ่ีไหน ๆ หามิได้) ฯ (ซงึ่ บคุ คล ท. มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น) เหลา่ นนั้ ผ้มู ภี ยั แตท่ ไ่ี หน ๆ หามไิ ด้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.บญุ (อนั ใคร ๆ) ไมอ่ าจ เพ่ืออนั นบั (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ น สกกฺ า ปุญญฺ ํ สงขฺ าตํ ดงั นี ้ฯ หากวา่ (อ.อนั ถาม) วา่ (อ.บญุ อนั ใคร ๆ ไมอ่ าจ เพ่ืออนั นบั ) กถนฺติ เจ. อเิ มตตฺ มปิ เกนจตี ิ อิมํ เอตฺตกํ อิมํ อยา่ งไร ดงั นี ้(พงึ มี) ไซร้ ฯ (อ.อนั วิสชั ชนา) วา่ (อ.บญุ ) แม้อนั ใคร ๆ เอตฺตกนฺติ เกนจีต.ิ (ไมอ่ าจ เพื่ออนั นบั ) วา่ (อ.บญุ ) นี ้ มีประมาณเทา่ นี ้ ดงั นี ้ (พงึ มี) (อ.อรรถ) วา่ (อ.บญุ ) อนั ใคร ๆ (ไมอ่ าจ เพ่ืออนั นบั ) วา่ (อ.บญุ นี)้ มีประมาณเทา่ นี ้ (อ.บญุ ) นี ้ มีประมาณเทา่ นี ้ ดงั นี ้ ดงั นี ้ (แหง่ บาท แหง่ พระคาถา) วา่ อเิ มตตฺ มปิ เกนจิ ดงั นี ้ฯ 116 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.ศพั ท์ คือ อปิ (อนั บณั ฑิต) พงึ สมั พนั ธ์ (ในบท) วา่ (เกนจิ อปิ สทฺโท อิธ สมพฺ นฺธิตพฺโพ. เกนจิ ปคุ ฺคเลน ดงั นี)้ ฯ อนั ใคร ๆ คือวา่ อนั บคุ คล หรือ หรือวา่ อนั เคร่ืองนบั ฯ มาเนน วา. ตตฺถ ปุคคฺ เลนาติ เตน พฺรหฺมาทินา. (ในบคุ คลและเครื่องนบั ท.) เหลา่ นนั้ หนา (อนั บคุ คล) นนั้ มีพรหม มาเนนาติ ตวิ ิเธน มาเนน ตีรเณน ธารเณน เป็นต้น ชื่อวา่ อนั บคุ คล ฯ อนั เคร่ืองนบั มีอยา่ ง ๓ คือวา่ ปรู เณน วา. อนั เครื่องพิจารณา หรือ หรือวา่ อนั เครื่องชง่ั หรือวา่ อนั เครื่องตวง ช่ือวา่ อนั เคร่ืองนบั ฯ อ.เคร่ืองพจิ ารณา โดยนยั วา่ (อ.วตั ถ)ุ นี ้ มปี ระมาณเทา่ นี ้ ดงั นี ้ ตีรณํ นาม อิทํ เอตฺตกนฺติ นยโต ตีรณํ. ช่ือวา่ เคร่ืองพิจารณา ฯ อ.เคร่ืองรองรับ ด้วยตาชั่ง ชื่อว่า เครื่องช่ัง ฯ อ.เครื่องตวง อฑฒฺ ธปาปฺรณสตนปฺตติ ถฺ นตาฬุลกิาายทวิ เสธนารปณรู ณํ. ํ. ปูรณํ นาม ด้วยสามารถแหง่ เครื่องตวงมกี งึ่ แหง่ ซองมอื (และซองมอื ) และแลง่ และ เกนจิ ปคุ คฺ เลน ทะนานเป็นต้น ช่ือวา่ เคร่ืองตวง ฯ อ.บญุ (ของบคุ คล) ผ้บู ชู าอยู่ อิเมหิ ตีหิ มาเนหิ พทุ ฺธาทิเก ปชู ยโต ปญุ ฺญํ (ซง่ึ บคุ คล ท. ผ้คู วรเพ่ืออนั บชู า) มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น อนั ใคร ๆ วิปากวเสน คเณตํุ น สกฺกา ปริยนฺตรหิตโตต.ิ คือวา่ อนั บคุ คล อนั เครื่องนบั ท. ๓ เหลา่ นี ้ ไมอ่ าจ เพ่ืออนั นบั ด้วยสามารถแหง่ วบิ าก เพราะความท่ี (แหง่ บญุ นนั้ ) เป็นคณุ ชาต อนั เว้นแล้วจากสว่ นสดุ รอบ ดงั นีแ้ ล ฯ (อ.อนั ถาม) วา่ อ.การปัน อยา่ งไร (แหง่ บคุ คล) ผ้บู ชู าอยู่ ทฺวีสุ ฐาเนสุ ปชู ยโต กึ ทานํ ปฐมํ ธรมาเน ในฐานะ ท. ๒ (ดงั นี ้ พงึ มี) ฯ (อ.อนั วิสชั ชนา) วา่ อ.ประเภท ท. พทุ ฺธาที ปชู ยโต น สกฺกา ปญุ ฺญํ สงฺขาตํ.ุ ปนุ เต คือ อ.บญุ (ของบคุ คล) ผ้บู ชู าอยู่ (ซง่ึ บคุ คล ท. ผ้คู วรเพ่ืออนั บชู า) ตาทิเส กิเลสปรินิพฺพานนิมิตฺเตน ขนฺธปรินิพฺพาเนน มีพระพทุ ธเจ้าเป็นต้น ผ้ทู รงพระชนม์อยู่ (อนั ใคร ๆ) ไมอ่ าจ นิพฺพเุ ตปิ ปชู ยโต น สกฺกา สงฺขาตนุ ฺติ เภทา ยชุ ฺชนฺต.ิ เพอ่ื อนั นบั กอ่ น (อ.บญุ ของบคุ คล)ผ้บู ชู าอยู่ (ซง่ึ บคุ คล ท. ผ้คู วร เพื่ออนั บชู า) เหลา่ นนั้ ผ้เู ชน่ นนั้ แม้ผู้นิพพานแล้ว ด้วยขันธ- ปรินิพพาน อันมีกิเลสปรินิพพานเป็นนมิ ติ (อนั ใคร ๆ) ไมอ่ าจ เพอื่ อนั นบั อกี ยอ่ มควร (ดงั นี ้พงึ ม)ี ฯ เพราะเหตนุ นั้ แล (อ.พระด�ำรัส) วา่ เตน หิ วิมานวตฺถมุ หฺ ิ (ครนั้ เมือ่ พระตถาคตเจา้ ) ทรงดำ� รงอยู่ ดว้ ย แมเ้ สดจ็ นิพพาน แลว้ ดว้ ย ครนั้ เมือ่ จิต เป็นจิตเสมอ (มีอยู่) อ.ผล เป็นผล ตเจิฏโฺตฐนปเฺสตาทนเหิพตพฺ มุ เุ ตฺหิ จาปิ สเม จิตฺเต สมํ ผลํ เสมอ (ย่อมเป็น), อ.สตั ว์ ท. ยอ่ มไป สสู่ คุ ติ ในเพราะเหต-ุ สตฺตา คจฺฉนตฺ ิ สคุ ฺคตินตฺ ิ คือความเลือ่ มใสแหง่ ใจ ดงั นี้ (อนั ท้าวสกั กะ ตรัสแล้ว) ในวิมานวตั ถุ ฯ (วตุ ฺตํ). ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 117 www.kalyanamitra.org
ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พราหมณ์ นนั้ เป็นพระโสดาบนั เทสนาวสาเน โส พรฺ าหมฺ โณ โสตาปนโฺ น อโหสตี .ิ ได้เป็นแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.พระเจดีย์อนั เป็นวิการแหง่ ทอง อนั ประกอบแล้วด้วยโยชน์ โยชนิกํ กนกเจตยิ ํ สตฺตาหมากาเสว อฏฺฐาส.ิ ได้ตงั้ อยแู่ ล้ว ในอากาศ นน่ั เทียว ตลอดวนั ๗ ฯ อนงึ่ อ.สมาคม (ด้วยมหาชน) หมใู่ หญ่ ได้มีแล้ว ฯ (อ.ชน ท.) มหนฺเตน สมาคโม จาโหสิ. สตฺตาหํ เจติยํ บชู าแล้ว ซงึ่ พระเจดีย์ โดยประการตา่ ง ๆ ตลอดวนั ๗ ฯ นานปปฺ กาเรน ปเู ชส.ํุ ในลำ� ดบั นนั้ อ.ความตา่ งแหง่ ลทั ธิ (ของชน ท.) ผ้มุ ลี ทั ธติ า่ งกนั แล้ว ตโต ภนิ นฺ ลทธฺ กิ านํ ลทธฺ เิ ภโท ชาโต. พทุ ธฺ านภุ าเวน เกิดแล้ว ฯ อ.พระเจดีย์ นนั้ ไปแล้ว สทู่ ี่อนั เป็นของตนนนั่ เทียว ตํ เจตยิ ํ สกฏฺฐานเมว คตํ. ด้วยอานภุ าพของพระพทุ ธเจ้า ฯ ในขณะนัน้ อ.พระเจดีย์อันเป็ นวิการแห่งหิน องค์ใหญ่ ตตฺเถว ตํขเณ มหนฺตํ ปาสาณเจตยิ ํ อโหส.ิ ตสฺมึ ได้มแี ล้ว (ในท)ี่ นนั้ นน่ั เทยี ว ฯ อ.อนั รู้ตลอดเฉพาะซง่ึ ธรรม ได้มแี ล้ว สมาคเม จตรุ าสีตยิ า ปาณสหสสฺ านํ ธมมฺ าภิสมโย แก่พนั แหง่ สตั วส์ผ้มู ีลมปราณ ท. ๘๔ ในสมาคม นนั้ ดงั นีแ้ ล ฯ อโหสตี .ิ อ.เร่ืองแห่งพระเจดยี ์อันเป็ นวกิ าร กสฺสปทสพลสฺส สุวณฺณเจตยิ วตถฺ ุ. แห่งทอง ของพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ พุทธฺ วคคฺ วณฺณนา นิฏฺ ฐิตา. จุททฺ สโม วคโฺ ค. (จบแล้ว) ฯ อ.กถาเป็ นเคร่ืองพรรณาซ่งึ เนือ้ ความแห่งวรรค อันบณั ฑติ กำ� หนดแล้วด้วยพระพุทธเจ้า จบแล้ว ฯ อ.วรรค ท่ี ๑๔ (จบแล้ว) ฯ 118 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
๑๕. อ.กถาอเปัน็ น(บอเณัันครขฑ่ือ้าติ พงกพเำ�จรห้ารนณจดะาแกซล่ลงึ ้เว่านดวือ้้)วคยฯวสาุขมแห่งวรรค ๑๕. สุขวคคฺ วณฺณนา ๑. อ.เร่ืองแห่งอันทรงยังความทะเลาะ ๑. ญาตกานํ กลหวูปสมนวตถฺ ุ. แห่งญาติ ท. ให้เข้าไปสงบวเิ ศษ (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในแวน่ แคว้นช่ือวา่ สกั กะ ท. “สุสุขํ วตาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา สกฺเกสุ ทรงปรารภ ซง่ึ พระญาติ ท. เพ่ืออนั ยงั ความทะเลาะ ให้เข้าไปสงบ- วหิ รนฺโต กลหวปู สมนตฺถํ ญาตเก อารพฺภ กเถส.ิ วเิ ศษ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ สุสุขํ วต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.เจ้าศากยะ ท. ด้วย อ.เจ้าโกลยิ ะ ท. ด้วย (ทรง สากิยา จ โกลยิ า จ กิร กปิ ลวตฺถนุ ครสฺส จ ยงั บคุ คล) ให้กนั้ แล้ว ซง่ึ แมน่ �ำ้ ช่ือ วา่ โรหิณี ในระหวา่ ง แหง่ เมือง โกลยิ นครสฺส จ อนฺตเร โรหิณึ นาม นทึ เอเกเนว ชื่อวา่ กบลิ พสั ด์ุ ด้วย แหง่ เมืองช่ือวา่ โกลยิ ะ ด้วย ด้วยท�ำนบ อนั อาวรเณน พนฺธาเปตฺวา สสฺสานิ กาเรนฺต.ิ เดียวกนั นน่ั เทียว (ทรงยงั บคุ คล) ยอ่ มให้กระท�ำอยู่ ซง่ึ ข้าวกล้า ท.ฯ ครัง้ นนั้ ครัน้ เม่ือข้าวกล้า ท. เหี่ยวแห้งอยู่ ในเดือนอนั เป็นท่ี อภุ ยนอคถรวาเสชกิฏาฺ ฐนมํปูลิ มกามเมฺ สกราสสสนฺเสฺนสิปุ ตสึ ม.ุ ิลายนฺเตสุ ตงั้ แหง่ เดือนอนั ประกอบแล้วด้วยเชฏฐฤกษ์ (อ.ชน ท.) ผ้กู ระท�ำ ซงึ่ การงาน (ของชน ท.) แม้ผ้มู ีอนั อยใู่ นนครทงั้ ๒ เป็นปกติ ประชมุ กนั แล้ว ฯ (ใน ชน ท. ผ้มู ีอนั อยใู่ นนครทงั้ สองเป็นปกต)ิ เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ โกลยิ นครวาสโิ น อาหํสุ “อิทํ อทุ กํ อภุ โต (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นเมืองชื่อวา่ โกลยิ ะโดยปกติ กลา่ วแล้ว วา่ อ.น�ำ้ นี ้ หริยมานํ เนว ตมุ หฺ ากํ ปโหสสฺ ต,ิ น อมหฺ ากํ; (อนั เรา ท.) น�ำไปอยู่ (จากข้าง) ทงั้ ๒ จกั เพียงพอ แก่ทา่ น ท. อมหฺ ากํ ปน สสฺสํ เอกอทุ เกเนว นิปผฺ ชฺชิสสฺ ต,ิ อิทํ หามไิ ด้นนั่ เทยี ว, (จกั เพยี งพอ) แกเ่ รา ท. หามไิ ด้, สว่ นวา่ อ.ข้าวกล้า อทุ กํ อมหฺ ากํ เทถาต.ิ ของเรา ท. จกั สำ� เร็จ ด้วยนำ� ้ คราวเดยี วนน่ั เทยี ว, (อ.ทา่ น ท.) ขอจงให้ ซงึ่ น�ำ้ นี ้แก่เรา ท. ดงั นี ้ฯ อ.ชน ท. แม้เหลา่ นอกนี ้กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้วา่ ครัน้ เม่ือทา่ น ท. อิตเรปิ เอวมาหํสุ น“ีลตมมุ ณเฺ หิกสาุ ฬโมกณฏฺิกเฐหาปปเเู รณตฺวจา ยงั ฉาง ท. ให้เตม็ แล้ว ด�ำรงอยแู่ ล้ว อ.เรา ท. ถือเอาแล้ว ซงึ่ ทองอนั เิ ตสุ มยํ รตฺตสวุ ณฺณํ มีสีสกุ ด้วย ซงึ่ มรกตและนิลและกหาปณะ ท. ด้วย มีวตั ถมุ ีกระเช้า คเหตฺวา ปจฺฉิปปฺ สพิ ฺพกาทิหตฺถา น สกฺขิสฺสาม และกระสอบเป็นต้นในมือ จกั ไมอ่ าจ เพื่ออนั เท่ียวไป ใกล้ประตู ตมุ หฺ ากํ ฆรทฺวาเร วจิ ริตํ,ุ อมหฺ ากํปิ สสฺสํ แหง่ เรือน ของทา่ น ท., อ.ข้าวกล้า แม้ของเรา ท. จกั ส�ำเร็จ ด้วยน�ำ้ เอกอทุ เกเนว นิปผฺ ชฺชิสสฺ ต,ิ อิทํ อทุ กํ อมหฺ ากํ คราวเดียวนนั่ เทียว, อ.ทา่ น ท. ขอจงให้ ซง่ึ น�ำ้ นี ้ แก่เรา ท. ดงั นี ้ ฯ เทถาต.ิ . (อ.ชน ท. ผ้อู ยใู่ นเมืองชื่อวา่ โกลยิ ะโดยปกติ กลา่ วแล้ว) วา่ “น มยํ ทสสฺ ามาติ “มยํปิ น ทสสฺ ามาต.ิ เอวํ กถํ อ.เรา ท. จกั ไมใ่ ห้ ดงั นี ้ ฯ (อ.ชน ท. ผ้อู ยใู่ นเมืองช่ือวา่ กบลิ พสั ด์ุ วโสฑปฺเฒิ ตอฺวญา ฺญเสอฺสโกาปีอตุฏิ ฺ ฐเอาวยํ เอกสฺส ปหารํ อทาสิ, โดยปกติ กลา่ วแล้ว) วา่ แม้ อ.เรา ท. จกั ไมใ่ ห้ ดงั นี ้ฯ (อ.ชน ท. ผ้มู อี นั อยู่ ราชกลุ านํ ชาตึ ฆฏฺ เฏตฺวา อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา ในนครทงั้ ๒ เป็นปกต)ิ เหลา่ นนั้ ยงั วาจาเป็นเครือ่ งกลา่ ว ให้เจรญิ แล้ว กมมฺ กรา วทนฺติ กลหํ วฑฺฒยสึ .ุ โกลยิ - อย่างนี ้ ตีแล้ว ซึ่งกันและกัน อย่างนี ้ คือ (อ.บุคคล) คนหน่ึง ลกุ ขนึ ้ แล้ว ได้ให้แล้ว ซง่ึ การประหาร (แก่บคุ คล) คนหนง่ึ , (อ.บคุ คล) แม้นนั้ (ลกุ ขนึ ้ แล้ว ได้ให้แล้ว ซง่ึ การประหาร แก่บคุ คล) แม้อื่น เสยี ดสีแล้ว ซงึ่ พระชาติ ของราชตระกลู ท. ยงั ความทะเลาะ ให้เจริญแล้ว ฯ (อ.ชน ท.) ผ้กู ระท�ำซงึ่ การงานของเจ้าโกลยิ ะ ยอ่ มกลา่ ว วา่ ผลติ สือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 119 www.kalyanamitra.org
อ.ทา่ น ท. จงพาเอา ซงึ่ เดก็ ท. ผ้อู ยใู่ นเมืองชื่อวา่ กบลิ พสั ด์โุ ดยปกติ “ตมุ ฺเห กปิ ลวตฺถวุ าสโิ น ทารเก คเหตฺวา คจฺฉถ, ไปเถิด, (อ.ชน ท.) เหลา่ ใด อยแู่ ล้ว อยพู่ ร้อม กบั ด้วยพ่ีน้องหญิง ท. เย โสณสคิ าลาทโย วยิ อตฺตโน ภคนิ ีหิ สทฺธึ สํวาสํ ของตน ราวกะ (อ.สัตว์ ท.) มีสุนัขบ้ านและสุนัขจิง้ จอก วสสึ ;ุ เอเตสํ หตฺถิโน จ อสสฺ า จ ผลกาวธุ านิ จ เป็นต้น, อ.ช้าง ท. ด้วย อ.ม้า ท. ด้วย อ.โลห่ ์และอาวธุ ท. ด้วย อมหฺ ากํ กึ กริสสฺ นฺตีต.ิ สากิยกมฺมกราปิ วทนฺติ (ของชน ท.) เหลา่ นน่ั จกั กระทำ� ซง่ึ อะไร แกเ่ รา ท. ดงั นี ้ฯ (แม้ อ.ชน ท.) “อตนมุ าฺเถหาทานนิคิ ฺคกตฏุ กิ ฺฐาโิ นตริ ทจาฺฉราเนกา คเหตฺวา คจฺฉถ, เย ผ้กู ระทำ� ซงึ่ การงานของเจ้าศากยะ ยอ่ มกลา่ ว วา่ ในกาลนี ้ อ.ทา่ น ท. วิย โกลรุกฺเข วสสึ ;ุ จงพาเอา ซง่ึ เดก็ ท. ผ้มู ีโรคเรือ้ น ไปเถิด, (อ.ชน ท.) เหลา่ ใด เอเตสํ หตฺถิโน จ อสฺสา จ ผลกาวธุ านิ จ อมหฺ ากํ เป็นผ้ไู มม่ ที พ่ี งึ่ เป็นผ้มู คี ตอิ อกแล้ว (เป็น) อยแู่ ล้ว ทตี่ ้นกระเบา ราวกะ กึ กริสฺสนฺตีต.ิ อ.สตั วด์ ริ ัจฉาน ท., อ.ช้าง ท. ด้วย อ.ม้า ท. ด้วย อ.โลห่ ์และอาวธุ ท. ด้วย (ของชน ท.) เหลา่ นนั่ จกั กระท�ำ ซง่ึ อะไร แก่เรา ท. ดงั นี ้ฯ (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ ไปแลว้ บอกแลว้ แกอ่ ำ� มาตย์ ท. ผ้ปู ระกอบแลว้ เต คนฺตฺวา ตสฺมึ กมเฺ ม นิยตุ ฺตานํ อมจฺจานํ ในกรรม นนั้ ฯ อ.อ�ำมาตย์ ท. กราบทลู แล้ว แก่ราชตระกลู ท. ฯ กเถสํ.ุ อมจฺจา ราชกลุ านํ กเถส.ํุ ตโต สากิยา ในล�ำดับนัน้ อ.เจ้าศากยะ ท. (ตรัสแล้ว) ว่า (อ.เรา ท.) จักแสดง “ภคนิ ีหิ สทฺธึ สํวาสํ วสติ กานํ ถามญฺจ พลญฺจ ซง่ึ เร่ียวแรง ด้วย ซง่ึ ก�ำลงั ด้วย (ของชน ท.) ผ้อู ยแู่ ล้ว อยพู่ ร้อม กบั ทสเฺ สสสฺ ามาติ ยทุ ฺธสชฺชา นิกฺขมสึ .ุ ด้ วยพ่ีน้ องหญิง ท. ดังนี ้ เป็ นผู้ตระเตรียมเพื่ออันรบ (เป็ น) เสดจ็ ออกไปแล้ว ฯ แม้ อ.เจ้าโกลยิ ะ ท. (ตรสั แล้ว) วา่ (อ.เรา ท.) จกั แสดง ซง่ึ เรี่ยวแรง โกลยิ าปิ “โกลรุกฺขวาสนี ํ ถามญฺจ พลญฺจ ด้วย ซง่ึ ก�ำลงั ด้วย (ของชน ท.) ผ้อู ยทู่ ่ีต้นกระเบาโดยปกติ ดงั นี ้ ทสฺเสสฺสามาติ ยุทฺธสชฺชา นิกฺขมึสุ. สตฺถาปิ เป็นผ้ตู ระเตรียมเพอื่ อนั รบ (เป็น) เสดจ็ ออกไปแล้ว ฯ แม้ อ.พระศาสดา ปจฺจสู สมเย โลกํ โวโลเกนฺโต ญาตเก ทิสฺวา ทรงตรวจดอู ยู่ ซง่ึ โลก ในสมยั อนั ขจดั เฉพาะซงึ่ มืด ทรงเหน็ แล้ว “มยิ อคจฺฉนฺเต อิเม นสสฺ สิ สฺ นฺต,ิ มยา คนฺตํุ ซง่ึ พระญาติท.ทรงดำ� ริแล้ววา่ ครนั้ เมอ่ื เราไมไ่ ปอยู่(อ.ญาติท.)เหลา่ นี ้ วโรฏหฺ ฏิณติยีตาิ จินฺเตตฺวา เอกโกว อากาเสน คนฺตฺวา จกั ฉิบหาย, อ.อนั อนั เรา ไป ยอ่ มควร ดงั นี ้ ผ้พู ระองค์เดียวเทียว นทิยา มชฺเฌ อากาเส ปลฺลงฺเกน นิสีทิ. เสดจ็ ไปแล้ว โดยอากาศ ประทบั นง่ั แล้ว โดยบลั ลงั ก์ ในอากาศ ในทา่ มกลาง แหง่ แมน่ �ำ้ ช่ือวา่ โรหิณี ฯ อ.พระญาติ ท. ทรงเห็นแล้ว ซ่ึงพระศาสดา ทรงทิง้ แล้ว ญาตกา สตถฺ ารํ ทสิ วฺ า อาวธุ านิ ฉฑเฺ ฑตวฺ า วนทฺ สึ .ุ ซง่ึ อาวธุ ท. ถวายบงั คมแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ อถ เน สตฺถา อาห “กึ กลโห นาเมโส มหาราชาติ. ดกู อ่ นมหาบพติ ร ชอื่ อ.ความทะเลาะ นนั่ อะไร ดงั นี ้(กะพระญาติ ท.) “น ชานาม ภนฺเตต.ิ “โกทานิ ชานิสฺสตีต.ิ เหล่านัน้ ฯ (อ.พระญาติ ท. เหล่านัน้ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ.หม่อมฉัน ท.) ย่อมไม่รู้ ดังนี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ อ.ใคร จกั รู้ ในกาลนี ้ดงั นี ้ฯ (อ.พระญาติ ท.) เหลา่ นนั้ ตรัสถามแล้ว เพียงใด แตท่ าสและ- เต “อปุ ราชา ชานิสสฺ ต,ิ เสนาปติ ชานิสฺสตีติ กรรมกร ท. โดยอบุ าย นี ้ วา่ อ.อปุ ราช จกั ทรงทราบ, อ.เสนาบดี อิมินา อปุ าเยน ยาว ทาสกมมฺ กเร ปจุ ฺฉิตฺวา จกั รู้ ดงั นี,้ กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ความทะเลาะ “ภนเฺ ต อทุ กกลโหติ อาหสํ .ุ “อทุ กํ กึ อคฆฺ ติ มหาราชาต.ิ เพราะน�ำ้ ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร “อปปฺ คฺฆํ ภนฺเตต.ิ “ขตฺติยา กึ อคฺฆนฺติ มหาราชาติ. อ.น�ำ้ ยอ่ มถงึ คา่ ซง่ึ อะไร ดงั นี ้ ฯ (อ.พระญาติ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.น�ำ้ ) เป็นของมีคา่ น้อย (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร อ.กษัตริย์ ท. ยอ่ มถงึ คา่ ซง่ึ อะไร ดงั นี ้ฯ 120 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.พระญาติ กราบทูลแล้ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผู้เจริญ “ขตฺตยิ า นาม อนคฺฆา ภนฺเตต.ิ “ยตุ ฺตํ ปน ชอื่ อ.กษตั ริย์ ท. เป็นผ้หู าคา่ มไิ ด้ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตมุ หฺ ากํ อปปฺ มตฺตกํ อทุ กํ นิสฺสาย อนคฺเฆ ขตฺตเิ ย ตรัสแล้ว) ว่า ก็ อ.อัน อันพระองค์ ท. ทรงอาศัยแล้ว ซ่ึงน�ำ้ นาเสตนุ ฺติ. มีประมาณน้อย ทรงยงั กษัตริย์ ท. ผ้หู าคา่ มิได้ ให้ฉิบหาย ควรแล้ว หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.พระญาติ ท.) เหล่านัน้ เป็ นผู้น่ิง ได้เป็ นแล้ว ฯ ครัง้ นัน้ เต ตณุ ฺหี อเหส.ํุ อถ เต สตฺถา อามนฺเตตฺวา อ.พระศาสดา ตรสั เรียกมาแล้ว (ซงึ่ พระญาติ ท.) เหลา่ นนั้ ตรสั แล้ว วา่ “กสฺมา มหาราช เอวรูปํ กโรถ, มยิ อสนฺเต อชฺช ดกู ่อนมหาบพิตร (อ.พระองค์ ท.) ยอ่ มทรงกระท�ำ(ซง่ึ กรรม) มีอยา่ ง โลหิตนที ปวตฺตสิ สฺ ต,ิ อยตุ ฺตํ โว กตํ: ตมุ เฺ ห นีเ้ป็นรูป เพราะเหตไุ ร, ครัน้ เม่ืออาตมา ไมม่ ีอยู่ อ.แมน่ �ำ้ คือโลหิต ปญฺจหิ เวเรหิ สเวรา วิหรถ, อหํ อเวโร วหิ รามิ; จกั เป็นไปทวั่ ในวนั นี,้ (อ.กรรม) อนั ไมค่ วรแล้ว อนั พระองค์ ท. ตมุ เฺ ห กิเลสาตรุ า หตุ ฺวา วิหรถ, อหํ อนาตโุ ร ทรงกระทำ� แล้ว, อ.พระองค์ ท. เป็นผ้เู ป็นไปกบั ด้วยเวร ด้วยเวร ท. ๕ วหิ รามิ; ตมุ เฺ ห กามคณุ ปริเยสเน อสุ สฺ กุ า หตุ ฺวา (เป็น) ยอ่ มอย,ู่ อ.อาตมา เป็นผ้ไู มม่ เี วร (เป็น) ยอ่ มอย,ู่ อ.พระองค์ ท. วหิ รถ, อหํ อนสุ ฺสโุ ก วหิ รามีติ วตฺวา อิมา คาถา เป็ นผู้กระสับกระส่ายด้วยกิเลส เป็ น ย่อมอยู่, อ.อาตมา อภาสิ เป็นผ้ไู มม่ ีความกระสบั กระสา่ ย (เป็น) ยอ่ มอย,ู่ อ.พระองค์ ท. เป็ นผู้ขวนขวาย ในการแสวงหาซึ่งกามคุณ เป็ น ย่อมอยู่, อ.อาตมา เป็นผ้ไู มม่ คี วามขวนขวาย (เป็น) ยอ่ มอยู่ ดงั นี ้ได้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ (ในมนษุ ย์ ท.) ผมู้ ีเวร หนา (อ.เรา ท. เหลา่ ใด) เป็นผไู้ มม่ ีเวร “สสุ ขุ ํ วต ชีวาม เวริเนสุ อเวริโน, (ยอ่ มเป็น), (อ.เรา ท. เหลา่ นนั้ ) ยอ่ มเป็นอยู่ สบายดว้ ยดี หนอ, เวริเนสุ มนสุ ฺเสสุ วิหราม อเวริโน. ในมนษุ ย์ ท. ผูม้ ีเวร หนา (อ.เรา ท. เหล่าใด) เป็นผูไ้ ม่มีเวร สสุ ขุ ํ วต ชีวาม อาตเุ รสุ อนาตรุ า, (เป็ น), (อ.เรา ท. เหล่านนั้ ) ย่อมอยู่ ฯ (ในมนุษย์ ท.) อาตเุ รสุ มนสุ เฺ สสุ วิหราม อนาตรุ า. ผู้กระสบั กระส่าย หนา (อ.เรา ท. เหล่าใด) เป็ นผู้ไม่มี- สสุ ขุ ํ วต ชีวาม อสุ สฺ เุ กสุ อนสุ ฺสกุ า, ความกระสบั กระส่าย (ย่อมเป็ น), (อ.เรา ท. เหล่านนั้ ) อสุ ฺสเุ กสุ มนสุ เฺ สสุ วิหราม อนสุ สฺ กุ าติ. ย่อมเป็ นอยู่ สบายด้วยดี หนอ , ในมนุษย์ ท. ผู้กระสบั กระส่าย หนา (อ.เรา เป็ นผู้ไม่มีความกระสบั กระส่าย (เป็ น) ย่อมอยู่ฯ(ในมนุษย์ ท.) ผู้ขวนขวาย หนา (อ.เรา ท. เหล่าใด) เป็นผูไ้ ม่มีความขวนขวาย (ย่อมเป็น), (อ.เรา ท. เหลา่ นนั้ ) ยอ่ มเป็นอยู่ สบายดว้ ยดี หนอ,ในมนษุ ย์ ท. ผขู้ วนขวายหนา(อ.เรา ท. ) เป็นผไู้ มม่ ีความขวนขวาย (เป็น) ย่อมอยู่ ดงั นีฯ้ (อ.อรรถ วา่ ) สบาย ด้วยดี (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ “สุสุขนฺต:ิ สฏุ ฺฐุ สขุ ํ. (แหง่ บท) วา่ สุสุขํ ดงั นี ้ฯ ผลิตสื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 121 www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถรูป) นี ้ วา่ อ.คฤหสั ถ์ ท. เหลา่ ใด (ยงั ความเป็นไป อิทํ วตุ ฺตํ โหติ “เย คหิ ิโน สนฺธิจฺเฉทาทิวเสน, แหง่ ชวี ติ ให้เกดิ ขนึ ้ แล้ว) ด้วยสามารถแหง่ กรรมมกี ารตดั ซงึ่ ทต่ี อ่ เป็นต้น ปพฺพชิตา วา ปน เวชฺชกมมฺ าทิวเสน, ชีวติ วตุ ฺตึ (ยอ่ มกลา่ ว วา่ อ.เรา ท.) ยอ่ มเป็นอยู่ ตามสบาย ดงั นี)้ , ก็ หรือวา่ อปุ ปฺ าเทตฺวา `สเุ ขน ชีวามาติ วทนฺต:ิ เตหิ มยเมว อ.บรรพชติ ท. (เหลา่ ใด) ยงั ความเป็นไปแหง่ ชวี ติ ให้เกดิ ขนึ ้ แล้ว สสุ ขุ ํ วต ชวี าม, เย มยํ ปญจฺ หิ เวเรหิ เวริเนสุ มนสุ เฺ สสุ ด้วยสามารถแหง่ กรรมมีเวชกรรมเป็นต้น ยอ่ มกลา่ ว วา่ (อ.เรา ท.) อเวริโน, กิเลสาตเุ รสุ [มนสุ ฺเสส]ุ นิกฺกิเลสตาย ยอ่ มเป็นอยู่ ตามสบาย ดงั นี ้ ในมนษุ ย์ ท. ผ้มู ีเวร ด้วยเวร ท. ๕ อนาตรุ า, ปญจฺ กามคณุ ปริเยสเน อสุ สฺ เุ กสุ [มนสุ เฺ สส]ุ หนา อ.เรา ท. เหลา่ ใด เป็น ผ้ไู มม่ ีเวร (ยอ่ มเป็น), (ในมนษุ ย์ ท.) ตาย ปริเยสนาย อภาเวน อนสุ สฺ กุ าต.ิ เสสํ ผ้กู ระสบั กระสา่ ยด้วยกิเลส หนา (อ.เรา ท. เหลา่ ใด) ชื่อวา่ เป็นผ้-ู อตุ ฺตานตฺถเมว. ไมม่ ีความกระสบั กระสา่ ย เพราะความท่ี (แหง่ เรา ท.) เป็นผ้มู ีกิเลส ออกแล้ว (ยอ่ มเป็น), (ในมนษุ ย์ ท.) ผ้ขู วนขวาย ในการแสวงหา ซง่ึ กามคณุ ๕ หนา (อ.เรา ท. เหลา่ ใด) ชื่อวา่ เป็นผ้ไู มม่ ีความ- ขวนขวาย เพราะความไมม่ ี แหง่ การแสวงหา นนั้ (ยอ่ มเป็น), อ.เรา ท. (เหลา่ นนั้ ) นนั่ เทียว ยอ่ มเป็นอยู่ สบายด้วยดี หนอ (กวา่ มนษุ ย์ ท.) เหลา่ นนั้ ดงั นี ้ เป็นค�ำอธิบาย (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว (ยอ่ มเป็น) ฯ (อ.ค�ำ) อนั เหลอื เป็นค�ำมีเนือ้ ความอนั งา่ ยนน่ั เทียว (ยอ่ มเป็น) ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งอันทรงยงั ความทะเลาะ แห่งญาติ ท. ญาตกานํ กลหวูปสมนวตถฺ ุ. ให้เข้าไปสงบวเิ ศษ (จบแล้ว) ฯ ๒. อ.เร่ืองแห่งมาร ๒. มารวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในบ้านของพราหมณ์ ช่ือวา่ “สุสุขํ วตาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ปญฺจสาลายํ ปัญจศาลา ทรงปรารภ ซง่ึ มาร ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ พฺราหฺมณคาเม วิหรนฺโต มารํ อารพฺภ กเถส.ิ สุสุขํ วต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนง่ึ อ.พระศาสดา ทรงเหน็ แล้ว เอกทิวสํ หิ สตฺถา ปญฺจสตานํ กมุ าริกานํ ซง่ึ อปุ นสิ ยั แหง่ โสดาปัตตมิ รรค ของเดก็ หญงิ ท. มรี ้อยห้าเป็นประมาณ โสตาปตตฺ มิ คคฺ สสฺ อปุ นสิ สฺ ยํ ทสิ วฺ า ตํ คามํ อปุ นสิ สฺ าย เสดจ็ เข้าไปอาศยั ซงึ่ บ้าน นนั้ ประทบั อยแู่ ล้ว ฯ วหิ าส.ิ ในวนั แหง่ นกั ษัตร วนั หนง่ึ อ.เดก็ หญิง ท. แม้เหลา่ นนั้ ไปแล้ว ตาปิ กมุ าริกาโย เอกสมฺ ึ นกขฺ ตตฺ ทวิ เส นทึ คนตฺ วฺ า สแู่ มน่ �ำ้ อาบแล้ว ผ้ทู งั้ ประดบั แล้วทงั้ ตกแตง่ แล้ว มีหน้าเฉพาะ นหายิตฺวา อลงฺกตปปฺ ฏิยตฺตา คามาภิมขุ ิโย ปายสึ .ุ ตอ่ บ้าน ได้ออกไปแล้ว ฯ แม้ อ.พระศาสดา เสดจ็ เข้าไปแล้ว สบู่ ้าน สตฺถาปิ ตํ คามํ ปวสิ ติ ฺวา ปิ ณฺฑาย จริ. นนั้ เสดจ็ เท่ียวไปแล้ว เพื่อก้อนข้าว ฯ 122 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.มารสิงแล้วในสรีระ(ของชนท.)ผ้อู ย่ใู นบ้านทงั้ สิน้ โดยปกติ, มาโร สกลคามวาสีนํ สรีเร อธิมุจฺจิตฺวา, อ.พระศาสดา ย่อมไม่ทรงได้ (ซงึ่ วตั ถ)ุ แม้สกั ว่า ยถา สตฺถา กฏจฺฉภุ ิกฺขามตฺตํปิ น ลภต,ิ เอวํ ภิกษามีทัพพีหน่ึงเป็ นประมาณ โดยประการใด, กระท�ำแล้ว กตฺวา ยถาโธเตน ปตฺเตน นิกฺขมนฺตํ สตฺถารํ โดยประการนนั้ ยืนแล้ว ใกล้ประตแู หง่ บ้าน กราบทลู แล้ว วา่ คามทฺวาเร ฐตฺวา อาห “อปิ สมณ ปิ ณฺฑํ ข้าแตพ่ ระสมณะ (อ.พระองค์ ท.) ได้ทรงได้แลว้ ซงึ่ ก้อนข้าว บ้างหรอื ดงั นี ้ อลภิตฺถาต.ิ “กึ ปน ตฺวํ ปาปิ ม ตถา อกาส,ิ กะพระศาสดา ผ้เู สดจ็ ออกไปอยู่ ด้วยทงั้ บาตร อนั พระองคท์ รงล้างแล้ว ยถา อหํ ปิ ณฺฑํ น ลเภยฺยนฺต.ิ “เตนหิ ภนฺเต ปนุ อย่างไร ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ก็ ปวิสถาต.ิ อ.เรา ไมพ่ งึ ได้ ซงึ่ ก้อนข้าว โดยประการใด อ.ทา่ น ได้กระท�ำแล้ว โดยประการนนั้ ทำ� ไม ดงั นี ้ฯ (อ.มาร กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ ผ้เู จริญ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.พระองค์ ท.) ขอจงเสดจ็ เข้าไป อีก ดงั นี ้ฯ ได้ยนิ วา่ (อ.ความคดิ ) อยา่ งนี ้วา่ ถ้าวา่ (อ.พระสมณะ) จะเสดจ็ เข้าไป เอวํ กิรสฺส อโหสิ “สเจ ปนุ ปวสิ ต,ิ สพฺเพสํ อีก ไซร้ , (อ.เรา) สิงแล้ว ในสรีระ (ของชน ท.) ทัง้ ปวง ปรบแล้ว สหรสีเนรเกอฬธึ ิมกจุรฺจิสิตฺสฺวาามีต.ิอิมสสฺ ปรุ โต ปาณึ ปหริตฺวา ซึ่งฝ่ ามือ จักกระท�ำ ซึ่งการหัวเราะและการเยาะเย้ย ข้างหน้า ของพระสมณะ นี ้ดงั นี ้ได้มีแล้ว (แก่มาร)นนั้ ฯ ในขณะ นนั้ อ.เดก็ หญิง ท. เหลา่ นนั้ ถงึ แล้ว ซง่ึ ประตแู หง่ บ้าน ตสมฺ ึ ขเณ ตา กมุ าริกาโย คามทฺวารํ ปตฺวา เหน็ แล้ว ซงึ่ พระศาสดา ถวายบงั คมแล้ว ได้ยนื แล้ว ณ สว่ นข้างหนงึ่ ฯ สตฺถารํ ทิสวฺ า วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐสํ .ุ แม้ อ.มารกราบทลู แล้ววา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ(อ.พระองค์ท.) มาโรปิ ชิฆสจตฺฉฺถาาทรํกุ ฺเขอนาหปี ฬิต“อตปฺถิ าตภ.ิ นฺเต ปิ ณฺฑํ ไม่ทรงได้อยู่ ซึ่งก้อนข้าว เป็ นผู้ อันทุกข์อันเกิดแล้วแต่ความหิว อลภมานา บีบคนั้ แล้ว ยอ่ มเป็น บ้างหรือ ดงั นี ้ กะพระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นมารผ้มู บี าป ในวนั นี ้ อ.เรา ท. สตฺถา “อชฺช มยํ ปาปิ ม กิญฺจิ อลภิตฺวาปิ แม้ไม่ได้แล้ว (ซ่ึงวัตถุ) อะไร ๆ จัก (ยังกาล) ให้น้อมไป อาภสสฺ รเทวโลเก พฺรหฺมาโน วิย ปี ตสิ เุ ขเนว ลว่ งวิเศษ ด้วยสขุ อนั เกิดแล้วปี ตนิ นั่ เทียว ราวกะ อ.พรหม ท. วีตนิ าเมสสฺ ามาติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ในเทวโลกชื่อวา่ อาภสั สรา ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.กิเลสชาตเป็นเครื่องกงั วล ย่อมไม่มี แก่เรา ท. เหล่าใด, “สสุ ขุ ํ วต ชีวาม, เยสนโฺ น นตฺถิ กิญฺจนํ, (อ.เรา ท. เหลา่ นน้ั ) ยอ่ มเป็นอยู่ สบายดว้ ยดี หนอ, (อ.เรา ท.) ปี ติภกฺขา ภวิสฺสาม เทวา อาภสสฺ รา ยถาติ. เป็ นผู้มีปิ ติเป็ นภกั ษา จักเป็ น ราวกะ อ.เทพ ท. ผู้อยู่ในเทวโลกชื่อว่าอาภสั สรา ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ในกเิ ลสชาตเป็นเครื่องกงั วล ท. มรี าคะเป็นต้นหนา ตตฺถ “เยสนฺโนต:ิ เยสํ อมหฺ ากํ ปลพิ ทุ ฺธนตฺเถน อ.กิเลสชาตเป็นเคร่ืองกงั วล เพราะอรรถคืออนั พวั พนั แม้อยา่ ง ราคาทีสุ กิญฺจเนสุ เอกํปิ กิญฺจนํ นตฺถิ. หนง่ึ ยอ่ มไมม่ ี แก่เรา ท. เหลา่ ใด (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ เยสนฺโน ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เทพ ท. ผ้อู ยใู่ นเทวโลกช่ือวา่ อาภสั สรา เป็นผู้ ปี ตภิ กขฺ าต:ิ ยถา อาภสฺสรา เทวา ปี ตภิ กฺขา มีปิ ตเิ ป็นภกั ษา เป็น (ยงั กาล) ยอ่ มให้น้อมไปลว่ งวเิ ศษ ฉนั ใด, หตุ ฺวา วีตนิ าเมนฺต,ิ เอวํ มยํปิ ภวสิ สฺ ามาติ อตฺโถ. แม้ อ.เรา ท. จกั เป็น ฉนั นนั้ ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ ปี ตภิ กขฺ า ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.กมุ าริกา ท. เหลา่ นนั้ แม้มี เทสนาวสาเน ปญฺจสตาปิ ตา กมุ าริกาโย ร้อยห้าเป็นประมาณ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ดงั นีแ้ ล ฯ โสตาปตฺตผิ เล ปตฏิ ฺฐหสึ ตู .ิ อ.เร่ืองแห่งมาร มารวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลิตสือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 123 www.kalyanamitra.org
๓. อ.เร่ืองแห่งความปราชัย ๓. โกสลรญโฺ ญปราชยวตถฺ ุ. แห่งพระราชาพระนามว่าโกศล (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมอื่ ประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ ซง่ึ ความ- “ชยํ เวรนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ปราชัย แห่งพระราชาพระนามว่าโกศล ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรม วิหรนฺโต โกสลรญฺโญ ปราชยํ อารพฺภ กเถส.ิ เทศนานี ้วา่ ชยํ เวรํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.พระราชาพระนามวา่ โกศล) นนั้ ทรงอาศยั แล้ว โส กิร กาสกิ คามํ นิสสฺ าย ภาคเิ นยฺเยน ซงึ่ กาสกิ คาม ทรงรบอยู่ กบั ด้วยพระราชาพระนามวา่ อชาตศตั รู อชาตสตฺตนุ า สทฺธึ ยชุ ฺฌนฺโต เตน ตโย วาเร ผ้เู ป็นพระเจ้าหลาน ผู้ (อนั พระราชาพระนามวา่ อชาตศตั รู) นนั้ ปราชิโต ตตเิ ย วาเร จินฺเตสิ “อหํ ขีรมขุ ํ ทารกํ ทรงให้แพ้แล้ว สนิ ้ วาระ ท. ๓ ทรงด�ำริแล้ว วา่ อ.เรา ไมไ่ ด้อาจแล้ว ปราเชตํุ นาสกฺข,ึ กึ เม ชีวิเตนาต.ิ เพื่ออัน ยังเด็ก ผู้มีน�ำ้ นมในปาก ให้แพ้, (อ.ประโยชน์) อะไร แก่เรา ด้วยชีวติ ดงั นี ้ในวาระ ท่ี ๓ ฯ (อ.พระราชาพระนามวา่ โกศล) นนั้ ทรงกระท�ำแล้ว ซงึ่ การทรง โส อาหารุปจฺเฉทํ กตฺวา มญฺจเก นิปชฺชิ. เข้าไปตดั ซง่ึ พระกระยาหาร บรรทมแล้ว บนพระแทน่ ฯ ครัง้ นนั้ อถสฺส สา ปวตฺติ สกลนครํ ปตฺถริ. ภิกฺขู ตถาคตสสฺ อ.ความเป็นไปทวั่ นนั้ (แหง่ พระราชาพระนามวา่ โกศล) นนั้ แผไ่ ปแล้ว อาโรเจสํุ “ภนฺเต ราชา กิร กาสกิ คามกํ นิสฺสาย ตลอดพระนครทงั้ สนิ ้ ฯ อ.ภิกษุ ท. กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์- ตโย วาเร ปราชิโต, โส อิทานิ ปราชิตฺวา อาคโต ผู้เจริญ ได้ยินว่า อ.พระราชา ทรงอาศัยแล้ว ซ่ึงกาสิกคาม `ขีรมขุ ํ ทารกํ ปราเชตํุ นาสกฺข,ึ กึ เม ชีวิเตนาติ (อนั พระราชาพระนามวา่ อชาตศตั รู) ทรงให้แพ้แล้ว สนิ ้ วาระ ท. ๓, อาหารุปจฺเฉทํ กตฺวา มญฺจเก นิปนฺโนต.ิ (อ.พระราชา)นนั้ ทรงแพ้แล้วเสดจ็ มาแล้วในกาลนีท้ รงกระท�ำแล้ว ซ่ึงการทรงเข้าไปตัดซ่ึงพระกระยาหาร (ด้วยอันทรงด�ำริ) ว่า (อ.เรา) ไมไ่ ด้อาจแล้ว เพ่ืออนั ยงั เดก็ ผ้มู ีน�ำ้ นมในปาก ให้แพ้, (อ.ประโยชน์) อะไร แก่เรา ด้วยชีวิต ดงั นี ้บรรทมแล้ว บนพระแทน่ ดงั นี ้แก่พระตถาคตเจ้า ฯ อ.พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซ่ึงวาจาเป็ นเคร่ืองกล่าว สตฺถา เตสํ กถํ สตุ ฺวา “ภิกฺขเว ชินนฺโตปิ เวรํ (ของภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.บคุ คล) ปสวต,ิ ปราชิโต ปน ทกุ ฺขํ เสตเิ ยวาติ วตฺวา อิมํ แม้ชนะอยู่ ยอ่ มประสบ ซง่ึ เวร, สว่ นวา่ (อ.บคุ คล) ผู้ (อนั บคุ คล อื่น) คาถมาห ให้แพ้แล้ว ยอ่ มนอน ลำ� บาก นน่ั เทยี ว ดงั นี ้ตรสั แล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บคุ คล) ชนะอยู่ ย่อมประสบ ซ่ึงเวร, (อ.บคุ คล) “ชยํ เวรํ ปสวติ, ทกุ ฺขํ เสติ ปราชิโต, ผู้ (อนั บุคคล อื่น) ให้แพ้แล้ว ย่อมนอน ล�ำบาก, อปุ สนโฺ ต สขุ ํ เสติ หิตฺวา ชยปราชยนตฺ ิ. (อ.บคุ คล) ผูเ้ ขา้ ไปสงบแลว้ ละแลว้ ซึ่งความชนะ- และความแพ้ ย่อมนอน สบาย ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.บคุ คล) ชนะอยู่ ซงึ่ บคุ คลอน่ื ยอ่ มกลบั ได้ ซง่ึ เวร ตตฺถ “ชยนฺต:ิ ปรํ ชินนฺโต เวรํ ปฏิลภต.ิ (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท)วา่ ชยํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ปราชโิ ตต:ิ ปเรน ปราชิโต “กทา นุ โข ปจฺจามิตฺตสสฺ อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล) ผู้ อนั บคุ คล อื่น ให้แพ้แล้ว ยอ่ มนอน ล�ำบาก ทปิกุฏฺฺขฐเึ มทวฏฺฐวํุ หิ สรกตฺขีติสิ ฺสอาตมฺโีตถิ . ทกุ ฺขํ เสติ สพฺพิริยาปเถสุ คอื วา่ ยอ่ มอยู่ ลำ� บากนน่ั เทยี ว ในอริ ิยาบถทงั้ ปวง ท. (ด้วยความคดิ ) อุปสนฺโตต:ิ อพฺภนฺตเร วา่ (อ.เรา) จกั อาจ เพ่ืออนั เหน็ ซง่ึ หลงั ของปัจจามิตร ในกาลไร อปุ สนฺตราคาทิกฺกิเลโส ขีณาสโว ชยญฺจ ปราชยญฺจ หนอ แล ดงั นี ้ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ปราชโิ ต ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ หิตฺวา สขุ ํ เสติ สพฺพิริยาปเถสุ สขุ เมว วหิ รตีติ อตฺโถ. อ.พระขณี าสพ มกี เิ ลสมรี าคะเป็นต้นอนั เข้าไปสงบแลว้ ในภายใน ละแลว้ ซง่ึ ความชนะ ด้วย ซงึ่ ความแพ้ ด้วย ยอ่ มนอน สบาย คือวา่ ยอ่ มอยู่ สบายนน่ั เทียว ในอิริยาบถทงั้ ปวง ท. ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ อุปสนฺโต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ 124 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งความปราชัยแห่งพระราชาพระนามว่าโกศล โกสลรญโฺ ญ ปราชยวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๔. อ.เร่ืองแห่งเดก็ หญิงในตระกูลคนใดคนหน่ึง ๔.อญญฺ ตรกุลทาริกาวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “นตถฺ ิ ราคสโม อคคฺ ีติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซงึ่ เดก็ หญิง คนใดคนหนง่ึ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วิหรนฺโต อญฺญตรํ กมุ าริกํ อารพฺภ กเถส.ิ นตถฺ ิ ราคสโม อคคฺ ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.มารดาและบดิ า ท. (ของเดก็ หญิง) นนั้ กระท�ำแล้ว ตสสฺ า กิร มาตาปิ ตโร อาวาหํ กตฺวา มงฺคลทิวเส ซงึ่ มงคลชอื่ วา่ อาวาหะ ทลู นมิ นตแ์ ล้วซง่ึ พระศาสดาในวนั อนั เป็นมงคล ฯ สตฺถารํ นิมนฺตยสึ .ุ อ.พระศาสดา ผ้อู นั หมแู่ หง่ ภิกษุแวดล้อมแล้ว เสดจ็ ไปแล้ว สตฺถา ภิกฺขสุ งฺฆปริวโุ ต ตตฺถ คนฺตฺวา นิสที ิ. (ในที่) นนั้ ประทบั นง่ั แล้ว ฯ อ.หญิงสาว แม้นนั้ แล กระท�ำอยู่ (ซงึ่ กิจ ท.) มีการกรองซง่ึ น�ำ้ สาปิ โข วธกุ า ภิกฺขสุ งฺฆสฺส อทุ กปริสสฺ าวนาทีนิ เป็นต้น แก่หมแู่ หง่ ภิกษุ ยอ่ มเที่ยวไป ไป ๆ มา ๆ ฯ กโรนฺตี อปราปรํ สญฺจรต.ิ แม้ อ.สามี (ของหญงิ สาว) นนั้ ได้ยนื แลดอู ยแู่ ล้ว (ซง่ึ หญงิ สาว) ราควสเสามนิโกโปอิ สโลฺสเากนฺตตสํ สฺ โออโลนเฺโกตนฺโกติเลโอสฏฺฐสามสท.ุิ าจตรสตสฺ ิ. นัน้ ฯ (เมื่อสามี) นัน้ แลดูอยู่ ด้วยอ�ำนาจแห่งราคะ อ.กิเลส ในภายใน ยอ่ มฟ้ งุ ขนึ ้ ฯ (อ.สาม)ี นนั้ ผ้อู นั ความไมร่ ้คู รอบงำ� แล้ว บำ� รงุ แล้ว ซงึ่ พระพทุ ธเจ้า โส อญฺญาณาภิภโู ต เนว พทุ ฺธํ คอณปุ หฺฏฺสิฐหสฺ าิ, มนตี ิ หามิได้นนั่ เทียว, (บ�ำรุงแล้ว) ซงึ่ พระมหาเถระ ๘๐ รูป ท. หามิได้, อสตี มิ หาเถเร; “หตถฺ ํ ปสาเรตวฺ า ตํ [วธกุ ]ํ แตว่ า่ (อ.สามนี นั้ ) ได้กระทำ� แล้ว ซงึ่ ความคดิ วา่ (อ.เรา) เหยยี ดออก ปน จิตฺตํ อกาส.ิ แล้ว ซง่ึ มือ จกั จบั (ซง่ึ หญิงสาว) นนั้ ดงั นี ้ฯ ผลติ สอ่ื การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 125 www.kalyanamitra.org
อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซง่ึ อธั ยาศยั (ของสามี) นนั้ , สตฺถา ตสสฺ อชฺฌาสยํ ญตฺวา, ยถา ตํ [อิตฺถ]ึ (อ.สามนี นั้ ) จะไมเ่ หน็ (ซงึ่ หญงิ ) นนั้ โดยประการใด, ได้ทรงกระทำ� แล้ว น ปสสฺ ต,ิ เอวํ อกาส.ิ โดยประการนนั้ ฯ (อ.สาม)ี นนั้ ไมเ่หน็ แลว้ (ซงึ่ หญงิ ) นนั้ ได้ยนื แลดแู ลว้ ซงึ่ พระศาสดา ฯ โส ตํ อทิสฺวา สตฺถารํ โอโลเกตฺวา อฏฺฐาส.ิ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนกมุ าร ก็ ช่ือ อ.ไฟ อนั เชน่ กบั สตฺถา ตสฺส โอโลเกตฺวา ติ กาเล “กมุ ารก ด้วยไฟคือราคะ ชื่อ อ.โทษ อนั เชน่ กบั ด้วยโทษคือโทสะ ชื่อ อ.ทกุ ข์ น หิ ราคคฺคนิ า สทิโส อคฺคิ นาม โทสกลนิ า สทิโส อนั เชน่ กบั ด้วยทกุ ข์คือการรักษาซง่ึ ขนั ธ์ มีอยู่ หามิได้, แม้ อ.สขุ กลิ นาม ขนฺธปริหรณทกุ ฺเขน สทิสํ ทกุ ฺขํ นาม อนั เป็นกบั ด้วยสขุ คือพระนิพพาน ยอ่ มไมม่ ีนนั่ เทียว ดงั นี ้ ตรัสแล้ว อตฺถิ, นิพฺพานสขุ สทิสํ สขุ ํปิ นตฺถิเยวาติ วตฺวา อิมํ ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ คาถมาห อ.ไฟ อนั เสมอดว้ ยราคะ ยอ่ มไมม่ ี, อ.โทษ อนั เสมอดว้ ยโทสะ “นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ, นตฺถิ โทสสโม กลิ, ย่อมไม่มี, อ.ทกุ ข์ อนั เสมอดว้ ยขนั ธ์ ย่อมไม่มี, อ.สขุ อืน่ นตฺถิ ขนธฺ สมา ทกุ ฺขา, นตฺถิ สนตฺ ิปรํ สขุ นตฺ ิ. ยิ่งกว่าความสงบ ย่อมไม่มี ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ชื่อ อ.ไฟ อื่น อนั เสมอ ด้วยราคะ อนั สามารถ ตตถฺ “นตถฺ ิ ราคสโมต:ิ ธมู ํ วา ชาลํ วา องคฺ ารํ วา เพอ่ื อนั ไมแ่ สดงแล้ว ซง่ึ ควนั หรือ หรือวา่ ซงึ่ เปลว หรือวา่ ซงึ่ ถา่ นเพลงิ สอทมสตฺเฺโสถตรฺวาาเคนอนสฺโตโมเยอวญฌฺโญาเปอคตฺคฺวาิ นาภมสมฺ นมตฏฺุถฺฐิ. ึ กาตํุ ไหม้แล้ว ในภายในนนั่ เทียว กระท�ำ ซงึ่ กองแหง่ เถ้า ยอ่ มไมม่ ี (ดงั นี ้ กลีต.ิ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ นตถฺ ิ ราคสโม โทเสน สโม อปราโธปิ นตฺถิ. ขนฺธสมาต:ิ ขนฺเธหิ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) แม้ อ.ความผิด อนั เสมอ ด้วยโทสะ ยอ่ มไมม่ ี สมา. ยถา ปริหริยมานา ขนฺธา ทกุ ฺขา, เอวํ อญฺโญ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ กลิ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อนั เสมอ ด้วยขนั ธ์ ท. ทกุ ฺโข นาม นตฺถิ. สนฺตปิ รํ สุขนฺต:ิ นิพฺพานโต (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ขนฺธสมา ดงั นี ้ ฯ (อ.อธิบาย วา่ ) อ.ขนั ธ์ ท. อนั อตุ ฺตรึ อญฺญํ สขุ ํปิ นตฺถิ. อญฺญํ หิ สขุ ํ สขุ เมว, (อนั บคุ คล) บริหารอยู่ เป็นทกุ ข์ (ยอ่ มเป็น) ฉนั ใด, ชอ่ื อ.ทกุ ขอ์ น่ื นิพฺพานํ ปน ปรมสขุ นฺติ อตฺโถ. ยอ่ มไมม่ ี ฉนั นนั้ (ดงั นี ้อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ (อ.อรรถ วา่ ) แม้ อ.สขุ อนื่ อนั ยง่ิ กวา่ พระนพิ พาน ยอ่ มไมม่ ี (ดงั นี ้แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ขนฺธสมา ดงั นี,้ อ.อธิบาย วา่ จริงอยู่ อ.สขุ อื่น เป็นสขุ นน่ั เทียว (ยอ่ มเป็น), สว่ นวา่ อ.พระนิพพาน เป็นสขุ อยา่ งยิ่ง (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ พระเทศนา อ.เดก็ หญิง ด้วย อ.เดก็ ชาย เทสนาวสาเน กมุ าริกา จ กมุ ารโก จ โสตาปตตฺ ผิ เล ด้วย ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ ในขณะ นนั้ อ.พระผ้มู ี- ทปสตฺสฏิ ฺนฐหากสึ า.ุ รํ ตสมฺ ึ ขเณ ภควา เตสํ อญฺญมญฺญํ พระภาคเจ้า ได้ทรงกระท�ำแล้ว ซง่ึ อาการคืออนั เหน็ ซงึ่ กนั และกนั อกาสตี .ิ (แก่ชน ท. ๒) เหลา่ นนั้ ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งเดก็ หญิงในตระกูลคนใดคนหน่ึง อญญฺ ตรกุลทาริกาวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 126 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
๕. อ.เร(อ่ือันงแข้หาพ่งอเจุบ้าาสจกะกคลน่าใวด) คฯนหน่ึง ๕. อญญฺ ตรอุปาสกวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในเมืองช่ือวา่ อาฬวี ทรงปรารภ “ชฆิ จฉฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา อาฬวยิ ํ ซง่ึ อบุ าสก คนหนง่ึ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ชฆิ จฉฺ า วิหรนฺโต เอกํ อปุ าสกํ อารพฺภ กเถส.ิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพสิ ดาร ในวนั หนงึ่ อ.พระศาสดา ประทบั นงั่ แล้ว เอกสมฺ ึ หิ ทิวเส สตฺถา เชตวเน คนฺธกฏุ ิยํ ในพระคันธกุฎี ในพระเชตวัน เทียว ทรงตรวจดูอยู่ ซ่ึงโลก นิสนิ ฺโนว ปจฺจสู กาเล โลกํ โวโลเกนฺโต อาฬวยิ ํ เอกํ ในกาลอนั ขจดั เฉพาะซงึ่ มืด ทรงเหน็ แล้ว ซง่ึ มนษุ ย์ผ้ถู งึ แล้ว ทคุ ฺคตมนสุ ฺสํ ทิสวฺ า ตสฺส อปุ นิสฺสยสมปฺ ตฺตึ ญตฺวา ซง่ึ ยาก คนหนง่ึ ในเมืองช่ือวา่ อาฬวี ทรงทราบแล้ว ซงึ่ ความถงึ ปญฺจสตภิกฺขปุ ริวาโร อาฬวึ อคมาส.ิ พร้อมแหง่ อปุ นสิ ยั (ของมนษุ ย์ผ้ถู งึ แล้วซงึ่ ยาก) นนั้ มภี กิ ษุมรี ้อยห้า เป็นประมาณเป็นบริวาร ได้เสดจ็ ไปแล้ว สเู่ มืองชื่อวา่ อาฬวี ฯ (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นเมืองช่ือวา่ อาฬวีโดยปกติ ทลู นิมนต์แล้ว อาฬวีวาสโิ น สตฺถารํ นิมนฺเตส.ํุ โสปิ ทคุ ฺคต- ซงึ่ พระศาสดา ฯ อ.มนษุ ย์ ผ้ถู งึ แล้วซงึ่ ยาก แม้นนั้ ฟังแล้ว วา่ มนสุ ฺโส “สตฺถา อาคโตติ สตุ ฺวา “สตฺถุ สนฺตเิ ก ธมมฺ ํ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ดงั นี ้ ได้กระท�ำแล้ว ซงึ่ ใจ วา่ (อ.เรา) โสสฺสามีติ มนํ อกาส.ิ จกั ฟัง ซง่ึ ธรรม ในสำ� นกั ของพระศาสดา ดงั นี ้ฯ ก็ อ.โค ตวั หนง่ึ (ของมนษุ ย์) นนั้ หนีไปแล้ว ในวนั นนั้ นน่ั เทียว ฯ ตํทิวสเมว จสสฺ เอโก โคโณ ปลายิ. โส “กึ (อ.มนษุ ย์) นนั้ คดิ แล้ว วา่ (อ.เรา) จกั แสวงหา ซงึ่ โค หรือ หนอ แล นุ โข โคณํ ปริเยสสิ สฺ ามิ อทุ าหุ ธมมฺ ํ สณุ ามีติ หรือวา่ (อ.เรา) จะฟัง ซงึ่ ธรรม ดงั นี ้(คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) แสวงหาแล้ว จินฺเตตฺวา “โคณํ ปริเยสติ ฺวา โคคณํ ปเวเสตฺวา ซงึ่ โค (ยงั โค) ให้เข้าไปแล้ว สฝู่ งู แหง่ โค จกั ฟัง ซงึ่ ธรรม ในภายหลงั ปจฺฉา ธมมฺ ํ โสสฺสามีติ ปาโตว เคหา นิกฺขมิ. ดงั นี ้ออกไปแล้ว จากเรือน ในเวลาเช้าเทียว ฯ แม้ (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นเมอื งชอื่ วา่ อาฬวโี ดยปกติ ยงั หมแู่ หง่ ภกิ ษุ อาฬววี าสโิ นปิ พทุ ธฺ ปปฺ มขุ ํ ภกิ ขฺ สุ งฆฺ ํ นสิ ที าเปตวฺ า มีพระพุทธเจ้ าเป็ นประมุข ให้ นั่งแล้ว อังคาสแล้ว รับแล้ว ปริวิสติ ฺวา อนโุ มทนตฺถาย ปตฺตํ คณฺหสึ .ุ ซงึ่ บาตร เพื่อต้องการแก่การอนโุ มทนา ฯ อ.พระศาสดา(ทรงด�ำริแล้ว)วา่ อ.เราอาศยั แล้ว(ซงึ่ มนษุ ย์)ใด สตฺถา “ยํ นิสสฺ าย อหํ ตสึ โยชนมคฺคํ อาคโต, เป็นผ้มู าแล้ว สนิ ้ หนทางมีโยชน์ ๓๐ เป็นประมาณ (ยอ่ มเป็น), โส โคณํ ปริเยสติ ํุ อตรณุ ญฺหฺญี ํอปโหวสิฏฺ.ิโฐ; ตสมฺ ึ อาคเตเยว (อ.มนษุ ย)์ นนั้ เข้าไปแล้ว สปู่ ่า เพอ่ื อนั แสวงหา ซงึ่ โค, (ครนั้ เมอ่ื มนษุ ย)์ ธมมฺ ํ เทเสสฺสามีติ นนั้ มาแล้วนนั่ เทียว, (อ.เรา) จกั แสดง ซงึ่ ธรรม ดงั นี ้ เป็นผ้ทู รงน่ิง ได้เป็นแล้ว ฯ อ.มนษุ ย์ แม้นนั้ เหน็ แล้ว ซง่ึ โค ในเวลากลางวนั ปลอ่ ยแล้ว โสปิ มนสุ ฺโส ทิวา โคณํ ทิสวฺ า โคคเณ ในฝงู แหง่ โค (คิดแล้ว) วา่ แม้ถ้าวา่ (อ.กิจ) อ่ืน ยอ่ มไมม่ ี ไซร้, ปกฺขิปิ ตฺวา “ชสิฆเจจปฺฉิ าอยญฺญปี ฬํ ิโนตตปฺถิ ิ, สตฺถุ วนฺทนมตฺตํปิ (อ.เรา) จกั กระท�ำ (ซงึ่ กิจ) แม้สกั วา่ การถวายบงั คม ซง่ึ พระศาสดา กริสสฺ ามีติ เคหํ คมนาย มนํ ดงั นี ้ แม้ผู้ อนั ความหิว บีบคนั้ แล้ว ไมก่ ระท�ำแล้ว ซง่ึ ใจ เพ่ืออนั ไป อกตฺวา เวเคน สตฺถุ สนฺตกิ ํ อาคนฺตฺวา สตฺถารํ สเู่ รือน มาแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา โดยเร็ว ถวายบงั คมแล้ว วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาส.ิ ซงึ่ พระศาสดา ได้ยืนแล้ว ณ สว่ นข้างหนง่ึ ฯ อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว วา่ อ.ของอนั เป็นเดน ของหมแู่ หง่ ภกิ ษุ สตฺถา ตสสฺ ติ กาเล ทานเวยฺยาวฏิกํ อาห อะไร ๆ มอี ยู่ หรือ ดงั นี ้(กะบรุ ุษ) ผ้ปู ระกอบแล้วด้วยความขวนขวาย “อตฺถิ กิญฺจิ ภิกฺขสุ งฺฆสฺส อตริ ิตฺตนฺต.ิ ในทาน ในกาล (แหง่ มนษุ ย์) นนั้ ยืนแล้ว ฯ ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 127 www.kalyanamitra.org
(อ.บรุ ุษนนั้ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ของอนั - “ภนฺเต สพฺพํ อตฺถีต.ิ “เตนหิ อิมํ ปริวสิ าต.ิ เป็นเดน) ทงั้ ปวง มอี ยู่ ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.ทา่ น) จงเลยี ้ งดู (ซงึ่ มนษุ ย์) นี ้ดงั นี ้ฯ (อ.บรุ ุษ) นนั้ (ยงั มนษุ ย์) นนั้ ให้นง่ั แล้ว ในท่ี อนั พระศาสดา ยาคขุโสาทนสียตโฺถภาชรนาีเยวหตุ ิ ฺตสฏกฺฺกฐาจเฺจนํ เปยรวิวิสน.ิ ํ นิสที าเปตฺวา ตรัสแล้วนน่ั เทียว เลยี ้ งดแู ล้ว โดยเคารพ ด้วยข้าวต้มและของอนั โส ภตุ ฺตภตฺโต บคุ คล พงึ เคีย้ วและของอนั บคุ คลพงึ บริโภค ท. ฯ (อ.มนษุ ย์) นนั้ มขุ ํ วกิ ฺขาเลส.ิ มีภตั รอนั บริโภคแล้ว บ้วนแล้ว ซง่ึ ปาก ฯ ได้ยินว่า ช่ือ อ.อันทรงจัดแจงซึ่งภัตร แห่งพระตถาคตเจ้า ฐเปตฺวา กิร อิมํ ฐานํ ตีสุ ปิ ฏเกสุ อญฺญตฺถ ยอ่ มไมม่ ี (ในท่ี) อื่น ในปิ ฎก ท. ๓ เว้น ซง่ึ ท่ี นี,้ อ.จิต (ของมนษุ ย์) นนั้ ตถาคตสฺส ภตฺตวิจารณํ นาม นตฺถิ: ตสฺส ผู้มีความกระวนกระวายอันระงับแล้ว เป็ นจิตไปสู่อารมณ์เคือง ปสฺสทฺธทรถสฺส จิตฺตํ เอกคฺคํ อโหส.ิ อถสสฺ สตฺถา ได้เป็นแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ซงึ่ อนปุ พุ พีกถา อนปุ พุ ฺพีกถํ กเถตฺวา สจฺจานิ ปกาเสส.ิ ทรงประกาศแล้ว ซง่ึ สจั จะ ท. (แก่มนษุ ย์)นนั้ ฯ ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.มนษุ ย)์ นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว โส เทสนาวสาเน โสตาปตฺตผิ เล ปตฏิ ฺฐหิ. ในโสดาปัตตผิ ล ฯ แม้ อ.พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซงึ่ การอนโุ มทนา เสดจ็ ลกุ สตฺถาปิ อนโุ มทนํ กตฺวา นอฏุิวฺตฐาฺตย.ิ าภสิกนฺขาู ปกฺกามิ. ขนึ ้ แล้ว จากอาสนะ เสดจ็ หลีกไปแล้ว ฯ อ.มหาชน ตามสง่ เสดจ็ แล้ว มหาชโน สตฺถารํ อนคุ นฺตฺวา สตฺถารา ซง่ึ พระศาสดา กลบั แล้ว ฯ อ.ภิกษุ ท. ไปอยู่ กบั ด้วยพระศาสดา สทฺธึ คจฺฉนฺตาเยว อชุ ฺฌายสึ ุ “ปสสฺ ถาวโุ ส สตฺถุ นน่ั เทียว ยกโทษแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. (อ.ทา่ น ท.) จงดู กมมฺ ํ, อญฺเญสุ ทิวเสสุ เอวรูปํ นตฺถิ, อชฺช ปเนกํ ซง่ึ กรรม ของพระศาสดา, (อ.กรรม) มอี ยา่ งนเี ้ป็นรูป ยอ่ มไมม่ ี ในวนั ท. มนสุ ฺสํ นิสสฺ าย ยาคอุ าทีนิ วจิ าเรตฺวา ทาเปสตี .ิ เหลา่ อื่น, แตว่ า่ ในวนั นี ้ (อ.พระศาสดา) ทรงอาศยั แล้ว ซงึ่ มนษุ ย์ คนหนงึ่ ทรงจดั แจงแล้ว (ซงึ่ วตั ถุ ท.) มีข้าวต้มเป็นต้น (ทรงยงั บคุ คล) ให้ให้แล้ว ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ กลบั แล้ว ประทบั ยนื แล้ว เทยี ว ตรสั ถามแล้ว วา่ สตฺถา นิวตฺตติ ฺวา ติ โกว “กึ ภิกฺขเว กเถถาติ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.เธอ ท.) ยอ่ มกลา่ ว ซง่ึ อะไร ดงั นี ้ ทรงสดบั แล้ว ปจุ ฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สตุ ฺวา “อาม ภิกฺขเว, `อหํ ซง่ึ เนือ้ ความ นนั้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. เออ (อ.อยา่ งนนั้ ), ตสึ โยชนกนฺตารํ อาคจฺฉนฺโต ตสฺส อปุ าสกสฺส (อ.เรา) คดิ แล้ว วา่ อ.เรา เม่ือมา สนิ ้ ทางกนั ดารมีโยชน์ ๓๐ อปุ นิสสฺ ยํ ทิสฺวา อาคโต, โส อตวิ ิย ชิฆจฺฉิโต, เป็นประมาณ เหน็ แล้ว ซง่ึ อปุ นิสยั ของอบุ าสก นนั้ เป็นผ้มู าแล้ว วปิจารโิ,ตวชิฆจอฺฉฏุาฺทฐากุ ยฺเขน โคณํ ปริเยสนฺโต อรญฺเญ (ยอ่ มเป็น),(อ.อบุ าสก)นนั้ หิวแล้ว เกินเปรียบ, (อ.อบุ าสก นนั้ ) ธมเฺ ม เทสยิ มาเนปิ ปฏิวชิ ฺฌิตํุ ลกุ ขนึ ้ แล้ว ในเวลาเช้าเทียว แสวงหาอยู่ ซง่ึ โค เท่ียวไปแล้ว ในป่ า, น สกฺขิสสฺ ตีติ จินฺเตตฺวา เอวํ อกาส;ึ ภิกฺขเว ครัน้ เมื่อธรรม (อนั เรา) แม้แสดงอยู่ จกั ไมอ่ าจ เพอ่ื อนั รู้ตลอด ชิฆจฺฉาโรคสทิโส หิ โรโค นาม นตฺถีติ วตฺวา อิมํ เพราะทกุ ขอ์ นั เกดิ แล้วแตค่ วามหวิ ดงั นี ้ ได้กระทำ� แล้ว อยา่ งนี ้ ฯ คาถมาห ดกู ่อนภิกษุ ท. ด้วยวา่ ชื่อ อ.โรค อนั เชน่ กบั ด้วยโรคคือความหิว ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ฯ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ อ.ความหิว เป็นโรค อย่างยิ่ง (ย่อมเป็น), อ.สงั ขาร ท. “ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา, สงฺขารา ปรมา ทกุ ฺขา, เป็ นทุกข์ อย่างยิ่ง (ย่อมเป็ น), (อ.บณั ฑิต) รู้แล้ว เอตํ ญตฺวา ยถาภูตํ นิพพฺ านํ ปรมํ สขุ นตฺ ิ. (ซ่ึงเนือ้ ความ) นนั่ ตามความจริง (ย่อมกระท�ำใหแ้ จ้ง ซ่ึงพระนิพพาน), (เพราะว่า) อ.พระนิพพาน เป็นสขุ อย่างย่ิง (ย่อมเป็น) ดงั นี้ ฯ 128 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ วา่ ) อ.โรค อื่น อนั (อนั บคุ คล) เยียวยาแล้ว คราวเดียว ตตฺถ “ชฆิ จฉฺ า ปรมา โรคาต:ิ ยสฺมาอญฺโญโรโค ยอ่ มเส่ือมหาย หรือ หรือวา่ (อนั บคุ คล) ยอ่ มละได้ ด้วยสามารถ สกึ ตกิ ิจฺฉิโต วินสสฺ ติ วา ตทงฺควเสน วา ปหียต,ิ แหง่ องค์แหง่ โรคนนั้ , สว่ นวา่ อ.ความหิว (อนั บคุ คล) พงึ เยียวยา ชิฆจฺฉา ปน นิจฺจกาลํ ตกิ ิจฺฉิตพฺพาเยวาติ เสสโรคานํ ตลอดกาลเนอื งนติ ย์ นน่ั เทยี ว เหตใุ ด เพราะเหตนุ นั้ (อ.ความหวิ ) นี ้ ชอื่ วา่ อยํ ปรมา นาม. เป็นอยา่ งยง่ิ กวา่ โรคทเ่ี หลอื ท. (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ชฆิ จฉฺ า ปรมา โรคา ดงั นี ้ฯ อ.ขนั ธ์ ๕ ท. ชื่อวา่ สงฺขารา ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.บณั ฑิต รู้แล้ว สงขฺ าราต:ิ ปญจฺ กขฺ นธฺ า. เอตํ ญตวฺ าต:ิ “ชฆิ จฉฺ าย ซงึ่ เนือ้ ความ นนั่ วา่ อ.โรค อนั เสมอ ด้วยความหิว ยอ่ มไมม่ ี, ชื่อ สโม โรโค นตฺถิ, ขนฺธปริหรณสมํ ทกุ ฺขํ นาม นตฺถีติ อ.ทกุ ข์ อนั เสมอด้วยการบรหิ ารซง่ึ ขนั ธ์ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ ตามความเป็นจรงิ เอตมตฺถํ ยถาภตู ํ ญตฺวา ปณฺฑิโต นิพฺพานํ สจฺฉิกโรต.ิ ยอ่ มกระท�ำให้แจ้ง ซง่ึ พระนิพพาน (ดงั นี ้ แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ เอตํ ญตวฺ า ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ เพราะวา่ (อ.พระนิพพาน) นนั้ เป็นสขุ อยา่ งย่ิง นิพพฺ านํ ปรมํ สุขนฺต:ิ ตํ หิ สพฺพสขุ านํ ปรมํ คือวา่ อยา่ งสงู สดุ กวา่ สขุ ทงั้ ปวง ท. (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (แหง่ บาท อตุ ฺตมํ สขุ นฺติ อตฺโถ. แหง่ พระคาถา) วา่ นิพพฺ านํ ปรมํ สุขํ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งอุบาสกคนใดคนหน่ึง อญญฺ ตรอุปาสกวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๖. อ.เร่ืองแห่งพระราชาพระนามว่าปเสนทโิ กศล ๖. ปเสนทโิ กสลวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อาโรคยฺ ปรมา ลาภาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซง่ึ พระราชา พระนามวา่ ปเสนทิโกศล ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา เชตวเน วหิ รนฺโต ราชานํ ปเสนทิโกสลํ อารพฺภ กเถส.ิ นี ้วา่ อาโรคยฺ ปรมา ลาภา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในสมยั หนง่ึ อ.พระราชา ยอ่ มเสวย เอกสมฺ ึ หิ สมเย ราชา ตณฺฑลุ โทณสฺส โอทนํ ซ่ึงพระกระยาหาร แห่งทะนานแห่งข้าวสาร ด้วยแกงและกับ ตทปุ ิ เยน สปู พฺยญฺชเนน ภญุ ฺชต.ิ อนั สมควรแก่พระกระยาหารนนั้ ฯ ในวนั หนง่ึ (อ.พระราชา) นนั้ มีอาหารอนั บคุ คลพงึ กินในเวลา โส เอกทวิ สํ ภตุ ตฺ ปาตราโส ภตตฺ สมมฺ ทํ อวโิ นเทตวฺ า ว เช้าอนั เสวยแล้ว ไมท่ รงบรรเทาแล้ว ซง่ึ ความเมาพร้อมเพราะภตั ร สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา กิลนฺตรูโป อิโต จิโต จ เทียว เสดจ็ ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา มีรูปแหง่ บคุ คล สมปฺ ริวตฺตนฺโต นิทฺทาย อภิภยุ ฺยมาโนปิ อชุ กุ ํ ผ้เู หน็ดเหนื่อยแล้ว ทรงผลดั เปล่ียนอยู่ (โดยข้าง) นีด้ ้วย ๆ นิปชฺชิตํุ อสกฺโกนฺโต เอกมนฺตํ นิสที ิ. แม้อนั ความหลบั ครอบง�ำอยู่ ไมท่ รงอาจแล้ว เพ่ืออนั บรรทม ตรง ทรงประทบั นงั่ แล้ว ณ สว่ นข้างหนง่ึ ฯ ผลิตสอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 129 www.kalyanamitra.org
ครงั้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นมหาบพติ ร (อ.พระองค)์ อถ นํ สตฺถา อาห “กึ มหาราช อวสิ สฺ มิตฺวา ว ไมท่ รงพกั ผอ่ นแล้วเทียว เป็นผ้เู สดจ็ มาแล้ว ยอ่ มเป็น หรือ ดงั นี ้ อาคโตสีต.ิ “อาม ภนฺเต, ภตุ ฺตกาลโต ปฏฺ ฐาย เม (กะพระราชา) นนั้ ฯ (อ.พระราชา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์- มหาทกุ ฺขํ โหตีต.ิ ผ้เู จริญ พระเจ้าข้า (อ.อยา่ งนนั้ ), อ.ทกุ ข์ใหญ่ ยอ่ มมี แก่หมอ่ มฉนั จ�ำเดมิ แตก่ าล (แหง่ ภตั ร อนั หมอ่ มฉนั ) บริโภคแล้ว ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร อถ นํ สตฺถา “มหาราช อตพิ หโุ ภชนํ เอวํ ทกุ ฺขํ อ.อนั บริโภคมากเกนิ เป็นทกุ ข์ อยา่ งนี ้ยอ่ มเป็น ดงั นี ้(กะพระราชา) นนั้ โหตีติ วตฺวา ตรัสสอนแล้ว ด้วยพระคาถา นี ้วา่ (อ.บรุ ุษ) เป็นผูม้ ีความง่วง ดว้ ย เป็นผูม้ ีของกิน- “มิทฺธี ยทา โหติ มหคฺฆโส จ มีค่ามาก ด้วย เป็ นผู้มีอนั หลบั เป็ นปกติ นิทฺทายิตา สมฺปริวตฺตสายี, เป็นผูน้ อนเป็นไปรอบพร้อมแลว้ โดยปกติ เพียงดงั มปนหุ ปาปฺวรนุ าํ โหคพว ภฺ มเุ นปิวตาิ ปมปนโฺุฏทฺ โตฐิ อ.สกุ รตวั ใหญ่ ตวั อนั บคุ คลเลีย้ งแลว้ ดว้ ยผกั ดว้ ย ย่อมเป็น ในกาลใด , (ในกาลนน้ั อ.บรุ ุษนน้ั ) ผูม้ ีปัญญานอ้ ย ย่อมเขา้ ถึง ซ่ึงหอ้ ง บ่อย ๆ ดงั นี้ (ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร อ.อนั บริโภค ชื่อ ซงึ่ โภชนะ อิมาย คาถาย โอวทิตฺวา “มหาราช โภชนํ นาม โดยประมาณ ยอ่ มควร, เพราะวา่ อ.ความสขุ ยอ่ มมี (แกบ่ คุ คล) ผ้มู อี นั มตฺตาย ภญุ ฺชิตํุ วอฏิมฺฏํ ตค,ิ าถมมตาฺตหโภชิโน หิ สขุ ํ โหตีติ บริโภคโดยประมาณเป็นปกติ ดงั นี ้ เม่ือตรัสสอน ยิ่ง ตรัสแล้ว อตุ ฺตรึ โอวทนฺโต ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ อ.เวทนา ท. (ของบคุ คล) ผูเ้ กิดแลว้ แต่มนู ผูม้ ีสติ “มนชุ สฺส สทา สตีมโต ในกาลทกุ เมือ่ ผูร้ ู้อยู่ ซึ่งประมาณ ในโภชนะ (อนั ตน) มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน ไดแ้ ลว้ นนั้ เป็นเวทนาเบาบาง ย่อมเป็น, (อ.อาหาร ตนกุ สฺส ภวนตฺ ิ เวทนา อนั บคุ คลบริโภคแลว้ ) รกั ษาอยู่ ซ่ึงอายุ ยอ่ มคร่�ำคร่าไป สณิกํ ชีรติ อายุ ปาลยนตฺ ิ. ค่อย ๆ ดงั นี้ ฯ อ.พระราชา ไมไ่ ด้ทรงอาจแล้ว เพอื่ อนั ทรงเรียนเอา ซง่ึ พระคาถา, ราชา คาถํ อคุ ฺคณฺหิตํุ นาสกฺขิ, สมีเป ติ ํ ปน แต่ว่า (อ.พระราชา) ตรัสแล้ว ว่า แน่ะพ่อ อ.เจ้า จงเรียนเอา ภาคเิ นยฺยํ สทุ สฺสนํ นาม “อิมํ คาถํ อคุ ฺคณฺห ตาตาติ ซึ่งพระคาถานี ้ดังนี ้กะพระเจ้าหลาน ชื่อว่า สุทัสสนะ ผู้ยืนแล้ว อาห. ในที่ใกล้ ฯ (อ.พระเจ้าหลาน) นนั้ ทรงเรยี นเอาแล้ว ซงึ่ พระคาถานนั้ ทลู ถามแล้ว โส ตํ คาถํ อคุ ฺคณฺหิตฺวา “กึ กโรมิ ภนฺเตติ ซง่ึ พระศาสดา วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ข้าพระองค์) จะกระท�ำ สตฺถารํ ปจุ ฺฉิ. อยา่ งไร ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะเจ้าหลาน) นนั้ วา่ (อ.ทา่ น) อถ นํ สตฺถา อาห “รญฺโญ ภุญฺชนฺตสฺส พึงกล่าว ซ่ึงคาถา นี ้ ในกาล แห่งก้ อนข้ าวอันเป็ นที่สุดลง โอสานปิ ณฺฑกาเล อิมํ คาถํ วเทยฺยาสิ, ราชา ของพระราชา ผ้เู สวยอย,ู่ อ.พระราชา ทรงกำ� หนดแล้ว ซง่ึ เนอื ้ ความ อตฺถํ สลฺลกฺเขตฺวา ตํ ปิ ณฺฑํ ฉฑฺเฑสฺสติ, ตสฺมึ จกั ทรงทงิ ้ ซงึ่ ก้อนข้าว นนั้ , (อ.ทา่ น ยงั พอ่ ครวั ) พงึ ให้ลด ซง่ึ ข้าวสาร ท. ปิ ณฺเฑ สิตฺถคณนาย รญฺโญ ภตฺตปจนกาเล มีประมาณเทา่ นนั้ ในกาลเป็นท่ีหงุ ซงึ่ ภตั ร เพ่ือพระราชา ด้วยการ ตตฺตเก ตณฺฑเุ ล หราเปยฺยาสตี .ิ นบั ซง่ึ เมลด็ ในก้อนข้าว นนั้ ดงั นี ้ฯ 130 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.พระเจ้าหลาน นัน้ (รับพร้ อมแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โส “สาธุ ภนฺเตติ สายํปิ ปาโตปิ รญฺโญ ภญุ ฺชนฺตสสฺ อ.ดีละ ดงั นี ้ เปลง่ แล้ว ซงึ่ คาถา นนั้ ในกาลแหง่ ก้อนข้าวอนั เป็น โอสานปิ ณฺฑกาเล ตํ คาถํ อุทาหริตฺวา เตน ที่สดุ ลง ของพระราชา ผ้เู สวยอยู่ แม้ในเวลาเยน็ แม้ในเวลาเช้า ฉฑฺฑิตปิ ณฺเฑ สติ ฺถคณนาย ตณฺฑเุ ล หาเรส.ิ (ยงั พอ่ ครวั ) ให้ลดแล้ว ซง่ึ ข้าวสาร ท. ด้วยการนบั ซง่ึ เมลด็ ในก้อนข้าว (อนั พระราชา) นนั้ ทรงทิง้ แล้ว ฯ แม้ อ.พระราชา ทรงสดบั แล้ว ซงึ่ คาถา (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) โส ราชาปิ สสฺ คาถํ นสาตุฬฺวิโกาทสนหปสรมสฺ ํตสายหสสฺสณํ ทฺฐาหเิตปฺวสา.ิ ให้พระราชทานแล้ว ซงึ่ พนั แหง่ ทรัพย์ ๆ (แก่พระเจ้าหลาน) นนั้ ฯ อปเรน สมเยน โดยสมยั อื่นอีก (อ.พระราชา)นนั้ ทรงด�ำรงอยดู่ ้วยดีแล้ว เป็นผ้ทู รง- สขุ ปปฺ ตฺโต ตนสุ รีโร อโหส.ิ ถงึ แล้วซง่ึ ความสขุ เป็นผ้มู พี ระสรีระอนั เบา ได้เป็นแล้ว เพราะความท่ี (แหง่ พระองค์) เป็นผ้มู ีพระกระยาหารมีทะนานเป็นประมาณเป็น อยา่ งย่ิง ฯ ครัง้ นัน้ ในวันหน่ึง (อ.พระราชา) เสด็จไปแล้ว สู่ส�ำนัก อเถกทิวสํ สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ของพระศาสดา ถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดา กราบทลู แล้ว วา่ วนฺทิตฺวา อาห “ภนฺเต อิทานิ เม สขุ ํ ชาตํ, มิคํปิ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ในกาลนี ้ อ.ความสขุ เกิดแล้ว แก่หมอ่ มฉนั , อสสฺ ปํ ิ อนพุ นฺธิตฺวา คณฺหนสมตฺโถ ชาโตมหฺ ิ, (อ.หมอ่ มฉนั ) เป็นผ้สู ามารถเพื่ออนั ตดิ ตามแล้ว ซง่ึ เนือ้ บ้าง ซงึ่ ม้า ปพุ ฺเพ เม ภาคเิ นยฺเยน สทฺธึ ยทุ ฺธเมว โหต;ิ อิทานิ บ้าง จบั เอา เป็นผ้เู กิดแล้ว ยอ่ มเป็น, ในกาลก่อน อ.การรบ กบั เม วชิรกมุ ารึ นาม ธีตรํ ภาคเิ นยฺยสสฺ ทตฺวา โส ด้วยหลานนนั่ เทยี ว ยอ่ มมี แกห่ มอ่ มฉนั , ในกาลนี ้อ.บ้าน นนั้ อนั หมอ่ มฉนั คาโม ตสสฺ าเยว นหานมลู กํ กตฺวา ทินฺโน, เตน ให้แล้ว ซง่ึ ธิดา ช่ือวา่ วชิรกมุ ารี แก่หลาน ให้แล้ว กระท�ำ ให้เป็นคา่ สทฺธึ วิคฺคโห วปู สนฺโต, อิมินาปิ เม การเณน แหง่ น�ำ้ เป็นเคร่ืองอาบ (ของธิดา) นนั้ นน่ั เทียว, อ.ความแก่งแยง่ กบั สขุ เมว ชาตํ, กสุ ราชสนฺตกํ มณิรตนํปิ โน เคเห (ด้วยหลาน) นนั้ เข้าไปสงบวิเศษแล้ว, อ.ความสขุ นน่ั เทียว เกิดแล้ว ปรุ ิมทิวเส เมนฏฺฐก:ํ ารเตณํปนิ อิทานิ หตฺถปถํ อาคตํ, แก่หมอ่ มฉนั เพราะเหตุ แม้นี,้ แม้ อ.รัตนะคือแก้วมณี อนั เป็น อิมินาปิ สขุ เมว ชาตํ, ตมุ หฺ ากํ ของมีอยแู่ หง่ พระราชาพระนามวา่ กสุ ะ ในเรือน ของหมอ่ มฉนั ท. สาวเกหิ สทฺธึ วสิ ฺสาสํ อิจฺฉนฺเตน ญาตธิ ีตาปิ โว หายไปแล้ว ในวนั อนั มีในก่อน, (อ.รัตนะคือแก้วมณี) แม้นนั้ มาแล้ว เคเห กตา, อิมินาปิ เม การเณน สขุ เมว ชาตนฺติ. สคู่ ลองแหง่ มอื ในกาลน,ี ้ อ.ความสขุ นน่ั เทยี ว เกดิ แล้ว แกห่ มอ่ มฉนั (เพราะเหต)ุ แม้นี,้ แม้ อ.พระธิดาของพระญาติ ของพระองค์ ท. (อนั หมอ่ มฉนั ) ผ้ปู รารถนาอยู่ ซงึ่ ความค้นุ เคย กบั ด้วยสาวก ท. ของพระองค์ ท. กระทำ� ไว้แล้ว ในเรือน, อ.ความสขุ นนั่ เทยี ว เกดิ แล้ว แก่หมอ่ มฉนั เพราะเหตุ แม้นี ้ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร ชื่อ อ.ความเป็น สตฺถา “อาโรคฺยา นาม มหาราช ปรมา ลาภา, แหง่ บคุ คลผ้ไู มม่ ีโรค เป็นลาภ อยา่ งยิ่ง (ยอ่ มเป็น), อ.ทรัพย์ แม้อนั ยถาลทฺเธน นสิพนฺพฺตาฏุ นฺฐสภิ ทาวิสสํ ปทริสมํปํิ สธขุ นํ นํ, าวมิสสฺนาตสฺถสีตทิ วิโสตฺวจา เชน่ กบั ด้วยความเป็นคือความสนั โดษ (ด้วยวตั ถ)ุ อนั ตนได้แล้ว ญาติ นาม, อยา่ งไร (ยอ่ มไมม่ ี), อนงึ่ ช่ือ อ.ญาติ อนั เชน่ กบั ด้วยความค้นุ เคย อิมํ คาถมาห (ยอ่ มไมม่ ี), ชื่อ อ.ความสขุ อยา่ งย่ิง อนั เชน่ กบั ด้วยพระนิพพาน ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ อ. ลาภ ท. เป็นสภาพมีความเป็นแห่งบคุ คลผูไ้ ม่มีโรคเป็น- “อาโรคฺยปรมา ลาภา สนนิพตฺ พฺ ฏุ าฺฐนิปํ ปรมรมํ ํ ธนํ อย่างยิ่ง (ย่อมเป็น), อ.ทรพั ย์ เป็นทรพั ย์มีความสนั โดษเป็น- วิสฺสาสปรมา ญาตี สขุ นตฺ ิ. อย่างย่ิง (ย่อมเป็น), อ.ญาติ ท. เป็นญาติมีความคนุ้ เคยเป็น- อยา่ งยิ่ง (ยอ่ มเป็น), อ.พระนิพพาน เป็นสขุ อยา่ งย่ิง (ยอ่ มเป็น) ดงั นี้ ฯ ผลิตสือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 131 www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ วา่ ) เป็นสภาพมีความเป็นแหง่ บคุ คลผ้ไู มม่ ีโรคเป็น ตตฺถ อาโรคยฺ ปรมาต:ิ อาโรคภาวปรมา, โรคโิ น อยา่ งยงิ่ (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อาโรคยฺ ปรมา หิ วิชฺชมานาปิ ลาภา อลาภาเยว, ตสฺมา อโรคสฺส ดงั นี ้ ฯ (อ.อธิบาย) วา่ ก็ อ.ลาภ ท. แม้อนั มีอยู่ (แก่บคุ คล) สพฺพลาภา อาคตา ว โหนฺต;ิ เตน วตุ ฺตํ “อาโรคฺยปรมา ผ้มู ีโรคเป็นสภาพมิใชล่ าภนนั่ เทียว(ยอ่ มเป็น),เพราะเหตนุ นั้ อ.ลาภ วลาาภยาํ อตต.ิ ฺตสนนาฺตุฏลฺทฐฺธิปํ รอมตฺํตธโนนนสฺตน:ิฺตคกหิํ เิโตนเนววา ปพฺพชิตสฺส ทงั้ ปวง ท. เป็นสภาพมาแล้ว (แก่บคุ คล) ผ้ไู มม่ ีโรค เทียว ยอ่ มเป็น, สนฺตฏุ ฺฐิ นาม, โส เสสธเนหิ ปรมํ ธนํ. ตสุ สฺ นภาโว เพราะเหตนุ นั้ (อ.พระด�ำรัส) วา่ อาโรคฺยาปรมา ลาภา ดงั นี ้ (อนั พระผมู้ พี ระภาคเจ้า)ตรสั แลว้ ฯ(อ.อรรถ)วา่ (อ.วตั ถ)ุ อนั ๆตนไดแ้ ลว้ ใด เป็ นของมีอยู่ แห่งตน (ย่อมเป็ น), อ.ความเป็ นคืออันยินดี (ด้วยวตั ถ)ุ นนั้ นน่ั เทียว แหง่ คฤหสั ถ์ หรือ หรือวา่ แหง่ บรรพชิต ชื่อว่า เป็ นความสันโดษ (ย่อมเป็ น), (อ.ความเป็ นคือ อันยินดี)นนั้ เป็นทรัพย์ อยา่ งยิ่ง กวา่ ทรัพย์อนั เหลอื ท. (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ สนฺตุฏฺ ฐิ ปรมํ ธนํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ ว่า) อ.มารดา หรือ หรือว่า อ.บิดา จงมีเถิด, วสิ ฺสาสปรมา ญาตตี :ิ มาตา วา โหตุ ปิ ตา วา, อ.ความค้นุ เคย กบั (ด้วยบคุ คล) ใด ยอ่ มไมม่ ี, (อ.บคุ คล) นนั้ เยน สทฺธึ วิสฺสาโส นตฺถิ, โส อญฺญาตโก ว; เยน ปน เป็นผ้มู ิใชญ่ าตเิ ทียว (ยอ่ มเป็น), แตว่ า่ อ.ความค้นุ เคย กบั สทฺธึ วิสฺสาโส อตฺถิ, โส อสมพฺ ทฺโธปิ ปรโม อตุ ฺตโม (ด้วยบคุ คล) ใด มีอย,ู่ (อ.บคุ คล) นนั้ แม้ผ้ไู มผ่ กู พนั กนั ดีแล้ว ญาต;ิ เตน วตุ ฺตํ “วสิ ฺสาสปรมา ญาตตี .ิ เป็นญาติ อยา่ งยิ่ง คือวา่ อยา่ งสงู สดุ (ยอ่ มเป็น) (ดงั นี ้ แหง่ บาท แหง่ พระคาถา) วา่ วิสฺสาสปรมา ญาตี ดังนี,้ เพราะเหตุนัน้ (อ.พระดำ� รสั ) วา่ วสิ สฺ าสปรมา ญาตี ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ฯ อนงึ่ ช่ืออ.ความสขุ อนั เชน่ กบั ด้วยพระนิพพานยอ่ มไมม่ ี,เพราะ นิพฺพานสทิสํ ปน สุขํ นาม นตฺถิ, เตนาห เหตนุ นั้ อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้าตรัสแล้ววา่ นิพพฺ านํ ปรมํ สขุ ํดงั นีฯ้ “นิพฺพานํ ปรมํ สุขนฺติ. ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตตฺ ผิ ลาทนี ิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระราชาพระนามว่าปเสนทโิ กศล ปเสนทโิ กสลวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 132 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
๗. อ.เ(รอ่ือันงขแ้าหพ่งเพจ้ราะจเถะกระลช่า่ือว)ว่าฯตสิ สะ ๗. ตสิ ฺสตเฺ ถรวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในเมืองชื่อว่าเวสาลี “ปวเิ วกรสนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวสาลยิ ํ ทรงปรารภ ซง่ึ ภิกษุ รูปใดรูปหนง่ึ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นีว้ า่ วิหรนฺโต อญฺญตรํ ภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส.ิ ปวเิ วกรสํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร (ครัน้ เม่ือพระด�ำรัส) วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถารา หิ “ภิกฺขเว อหํ อิโต จตหู ิ มาเสหิ อ.เรา จกั ปรินิพพาน โดยเดือน ท. ๔ (แตว่ นั )นี ้ดงั นี ้อนั พระศาสดา ปรินิพฺพายิสฺสามีติ วตุ ฺเต, สตฺถุ สนฺตเิ ก สตฺต ตรสั แล้ว, อ.ร้อยแหง่ ภกิ ษุ ท. ๗ ในสำ� นกั ของพระศาสดา ถงึ ทว่ั แล้ว ภิกฺขสุ ตานิ สนฺตาสํ อาปชฺชสึ .ุ ซงึ่ ความสะด้งุ ด้วยดี ฯ อ.ธรรมสงั เวช เกิดขนึ ้ แล้ว แก่พระขีณาสพ ท. ฯ (อ.ภิกษุ ท.) ขีณาสวานํ ธมมฺ สเํ วโค อปุ ปฺ ชฺชิ. ปถุ ชุ ฺชนา ผ้เู ป็นปถุ ชุ น ไมไ่ ด้อาจแล้ว เพื่ออนั อดกลนั้ ซง่ึ น�ำ้ ตา ท. ฯ อ.ภิกษุ ท. อสฺสนู ิ สนฺธาเรตํุ นาสกฺขสึ .ุ ภิกฺขู วคฺควคฺคา หตุ ฺวา เป็นพวกๆ เป็น ยอ่ มเท่ียว ปรึกษากนั วา่ (อ.เรา ท.) จกั กระท�ำ “กึ นุ โข กริสฺสามาติ มนฺเตตฺวา วจิ รนฺต.ิ อยา่ งไร หนอ แล ดงั นี ้ฯ ครงั้ นนั้ อ.ภกิ ษุ รูปหนง่ึ ชอ่ื วา่ ตสิ สะเถระ (คดิ แล้ว) วา่ ได้ยนิ วา่ อเถโก ติสฺสตฺเถโร นาม ภิกฺขุ “สตฺถา กิร อ.พระศาสดา จกั เสดจ็ ปรินิพพาน โดยอนั ลว่ งไปแหง่ ประชมุ แหง่ - จาตุมฺมาสจฺจเยน ปรินิพฺพายิสฺสติ, อหญฺจมฺหิ เดือน ๔, ก็ อ.เรา เป็ นผู้มีราคะอันไม่ไปปราศแล้ว ย่อมเป็ น, อวีตราโค, สตฺถริ ธรมาเนเยว มยา อรหตฺตํ ครัน้ เมื่อพระศาสดา ทรงพระชนม์อยนู่ นั่ เทียว อ.อนั อนั เรา ถือเอา คณฺหิตํุ วฏฺฏตีติ จตสู ุ อิริยาปเถสุ เอกโก ว วิหาส.ิ ซึ่งความเป็ นแห่งพระอรหันต์ ย่อมควร ดังนี ้ เป็ นผู้เดียวเทียว ในอิริยาบถ ท. ๔ (เป็น) อยแู่ ล้ว ฯ อ.การไป ในสำ� นกั ของภิกษุ ท. หรือ หรือวา่ อ.การสนทนา ภิกฺขนู ํ สนฺตเิ ก คมนํ วา เยนเกนจิ สทฺธึ ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว กบั (ด้วยภิกษุ) รูปใดรูปหนง่ึ ยอ่ มไมม่ ี ฯ กถาสลฺลาโป วา นตฺถิ. ครงั้ นนั้ อ.ภกิ ษุ ท. กลา่ วแล้ว (กะพระเถระ) นนั้ วา่ ดกู อ่ นตสิ สะ อถ นํ ภิกฺขู อาหํสุ “อาวโุ ส ตสิ สฺ กสมฺ า เอวํ ผ้มู อี ายุ อ.ทา่ น ยอ่ มกระทำ� อยา่ งนี ้เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) กโรสตี .ิ โส เตสํ กถํ น สณุ าต.ิ นัน้ ย่อมไม่ฟัง ซ่ึงวาจาเป็ นเครื่องกล่าว (ของภกิ ษุ ท. ) เหลา่ นนั้ ฯ (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว (ซงึ่ ความเป็นไปทว่ั ) นนั้ เต ตํ ปวตฺตึ สตฺถุ อาโรเจตฺวา “ภนฺเต ตมุ เฺ หสุ แก่พระศาสดา กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ความรัก ตสิ สฺ ตฺเถรสสฺ สเิ นโห นตฺถีติ อาหํส.ุ แหง่ พระเถระชื่อวา่ ตสิ สะ ในพระองค์ ท. ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา(ทรงยงั บคุ คล)ให้ร้องเรียกแล้ว(ซงึ่ พระเถระ)นนั้ สตฺถา ตํ ปกฺโกสาเปตฺวา “กสมฺ า ติสสฺ เอวํ ตรัสถามแล้ว ว่า ดูก่อนติสสะ (อ.เธอ) ได้กระท�ำแล้ว อย่างนี ้ อกาสตี ิ ปจุ ฺฉิตฺวา, เตน อตฺตโน อธิปปฺ าเย อาโรจิเต, เพราะเหตไุ ร ดงั นี,้ ครัน้ เมื่อความประสงค์ แหง่ ตน (อนั พระเถระ) `สาธุ ตสิ ฺสาติ สาธกุ ารํ ทตฺวา “ภิกฺขเว มยิ สเิ นหา นนั้ กราบทลู แล้ว, ประทานแล้ว ซง่ึ สาธกุ าร วา่ ดกู ่อนตสิ สะ ตสิ ฺสสทิสา ว โหนฺต;ุ คนฺธมาลาทีหิ ปชู ํ กโรนฺตาปิ อ.ดีละ ดงั นี ้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.ชน ท.) ผ้มู ีความรัก เนว มํ ปเู ชนฺต,ิ ธมมฺ านธุ มมฺ ํ ปฏิปชฺชมานาเยว ปน ในเรา เป็นเชน่ กบั ด้วยตสิ สะเทยี ว จงเป็นเถดิ , (อ.ชน ท.) แม้กระทำ� อยู่ มํ ปเู ชนฺตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ซง่ึ การบชู า (ด้วยวตั ถุ ท.) มีของหอมและระเบียบเป็นต้น ช่ือวา่ ยอ่ มบชู า ซง่ึ เรา หามิได้นนั่ เทียว, สว่ นวา่ (อ.ชน ท.) ปฏิบตั อิ ยู่ ซง่ึ ธรรมอนั สมควรแก่ธรรม นน่ั เทียว ช่ือวา่ ยอ่ มบชู า ซง่ึ เรา ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ ผลิตส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 133 www.kalyanamitra.org
(อ.ภิกษุ ผูข้ ีณาสพ) ดืม่ แลว้ ซ่ึงรสอนั เกิดข้ึนแลว้ แต่ความสงดั - “ปวิเวกรสํ ปิ ตฺวา รสํ อปุ สมสสฺ จ ด้วย ซ่ึงรส (แห่งพระนิพพาน) อนั เป็ นที่เข้าไปสงบ ด้วย นิทฺทโร โหติ นิปปฺ าโป ธมฺมปี ติรสํ ปิ วนตฺ ิ. ดื่มอยู่ ซึ่งรสแห่งปี ติอนั เกิดขึ้นแล้วด้วยอ�ำนาจแห่งธรรม เป็ นผู้มีความกระวนกระวายออกแล้ว เป็ นผู้มีบาปออกแล้ว ย่อมเป็น ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ซงึ่ รส อนั เกิดขนึ ้ แล้ว แตค่ วามสงดั (ดงั นี ้ ตตฺถ “ปวเิ วกรสนฺต:ิ ปวเิ วกโต อปุ ปฺ นฺนํ รส,ํ เอกี ในบทท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท)วา่ ปวเิ วกรสํ ดงั นี ้, อ.อธิบาย วา่ ภาวสขุ นฺติ อตฺโถ. ปิ ตวฺ าต:ิ ทกุ ฺขปริญฺญาทีนิ ซ่ึงสุขอันเกิดขึน้ แล้วแต่ความเป็ นแห่งบุคคลคนเดียว ดังนี ้ ฯ กโรนฺโต อารมมฺ ณโต สจฺฉิกิริยาวเสน ปิ วิตฺวา. (อ.อรรถ วา่ ) (อ.ภิกษุผ้ขู ีณาสพ) กระท�ำอยู่ (ซงึ่ กิจ ท.) มีการ- รสํ อุปสมสฺส จาต:ิ กิเลสปู สมสสฺ นิพฺพานสสฺ จ ก�ำหนดรู้ซง่ึ ทกุ ข์เป็นต้น ด่ืมแล้ว ด้วยสามารถแหง่ การกระท�ำ- รสํ ปิ วติ ฺวา. นิททฺ โร โหตตี :ิ เตน อภุ ยรสปาเนน ให้แจ้ง โดยความเป็นอารมณ์ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ปิ ตวฺ า ดงั นี ้ ฯ ขีณาสโว ภิกฺขุ อพฺภนฺตเร ราคทรถาทีนํ อภาเวน (อ.อรรถ) ว่า ดื่มแล้ว ซ่ึงรส แห่งพระนิพพาน อันเป็ นท่ีเข้าไป นิทฺทโร เจว นิปปฺ าโป จ โหต.ิ สงบแห่งกิเลสด้วย (ดังนี ้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า รสํ อุปสมสฺส จ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.ภิกษุ ผ้ขู ีณาสพ ชื่อวา่ เป็นผ้มู ี- ความกระวนกระวายออกแล้ว ด้วยนน่ั เทียว ช่ือวา่ เป็นผ้มู ีบาป ออกแล้ว เพราะความไม่มี (แห่งความกระวน-กระวายท.) มีความกระวนกระวายคือราคะเป็นต้น ในภายใน เพราะอนั ดื่ม ซง่ึ รสทงั้ ๒ นนั้ ดงั นี ้(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ นทิ ทฺ โร โหติ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.ภิกษุ ผ้ขู ีณาสพ) แม้ดื่มอยู่ ซง่ึ รสแหง่ ปี ติ อนั เกิด ขนึ ้ แล้วด้วยอำ� นาจแหง่ ธรรมอนั เป็นโลกตุ ตระอนั มอี ยา่ ง ๙ เป็นผ้มู -ี รสํ ปิ วนฺต:ิ นววธิ โลกตุ ฺตรธมมฺ วเสน อปุ ปฺ นฺนํ ความกระวนกระวายออกแล้ว ด้วยนน่ั เทียว เป็นผ้มู ีบาปออกแล้ว ปี ตริ สํ ปิ วนฺโตปิ นิทฺทโร เจว นิปปฺ าโป จ โหตีติ อตฺโถ. ด้วย ยอ่ มเป็น ดงั นี ้(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ รสํ ปิ วํ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พระเถระชอื่ วา่ ตสิ สะ บรรลแุ ล้ว ซึ่งความเป็ นแห่งพระอรหันต์ ฯ อ.พระเทศนา เป็ นเทศนา เทสนาวสาเน ตสิ สฺ ตฺเถโร อรหตฺตํ ปาปณุ ิ. เป็นไปกบั ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่มหาชน ดงั นีแ้ ล ฯ มหาชนสสฺ าปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าตสิ สะ ตสิ ฺสตเฺ ถรวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๘(อ.ันอข.เ้ารพ่ือเงจแ้าหจ่งะทก้าลว่สาวัก)กฯะ ๘. สกกฺ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในเวฬุวคาม ทรงปรารภ ซ่ึงท้าวสักกะ ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า สาหุ ทสฺสนํ “สาหุ ทสฺสนนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ เวฬวุ คามเก วิหรนฺโต สกฺกํ อารพฺภ กเถส.ิ ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ครัน้ เม่ือสังขารคือพระชนมายุ อายสุ งขฺ าเร วสิ ญสฺ ฏตฺเฺวฐา โลหติ ป-ฺ อนั พระศาสดาเจ้า ทรงสละวเิ ศษแล้ว อ.ท้าวสกั กะ ผ้พู ระราชาแหง่ เทพ ตถาคตสสฺ หิ อปุ ปฺ นฺนภาวํ สกฺโก ทรงทราบแล้ว ซึ่งความที่ แห่งพระอาพาธมีอันแล่นไปแห่ง- ปกฺขนฺทิกาพาธสฺส คนฺตฺวา พระโลหิตเป็นสมฏุ ฐาน เกิดขนึ ้ แล้ว ทรงด�ำริแล้ว วา่ อ.อนั อนั เรา เทวราชา “มยา สตฺถุ สนฺตกิ ํ คลิ านปุ ฏฺฐานํ ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั ของพระศาสดา กระท�ำ ซงึ่ การบ�ำรุงซง่ึ พระศาสดา กาตํุ วฏฺฏตีติ จินฺเตตฺวา ผ้ทู รงเป็นไข้ ยอ่ มควร ดงั นี ้ 134 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
ทรงละแล้ว ซงึ่ พระอตั ภาพ มีคาวตุ ๓ เป็นประมาณ เสดจ็ เข้าไป ติคาวุตปฺปมาณํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา สตฺถารํ เฝ้ าแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ถวายบงั คมแล้ว ทรงนวดแล้ว ซง่ึ พระบาท ท. อปุ สงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา หตฺเถหิ ปาเท ปริมชฺชิ. ด้วยพระหตั ถ์ ท. ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะท้าวสกั กะ) นนั้ วา่ อ.ใคร อถ นํ สตฺถา อาห “โก เอโสต.ิ “อหํ ภนฺเต นนั่ ดงั นี ้ ฯ (อ.ท้าวสกั กะ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ สกฺโกติ. “กสฺมา อาคโตสีติ. “ตุมฺเห คิลาเน อ.หมอ่ มฉนั เป็นท้าวสกั กะ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา อโตอยปหฺุวชํ,ํปฏนิฺฐสหอติตจตโํตฺุถตรุิ าภปสนเฏมีตฺฺเฐตโิ ายตยชค.ิ นลิ คสาเ“ลหนสสปุกพสฺฏฺกทฺมฐฺธาตกโเฺถกทณุเกวปาํ ภนวํิกิยโฺขิ ตมตู โน.ิ หสุตตฺส“,ิ มุ ภคคหฺ นนจาฺเฺโตฺฉกธํ ตรสั ถามแล้ว) วา่ (อ.พระองค)์ เป็นผ้เู สดจ็ มาแล้ว ยอ่ มเป็น เพราะเหตไุ ร สลี คนฺธํ ฆายิตฺวา ดงั นี ้ ฯ (อ.ท้าวสกั กะ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ สตฺถุ สรีรวลญฺช (อ.หมอ่ มฉนั เป็นผ้มู าแล้ว) เพื่ออนั บ�ำรุง ซงึ่ พระองค์ ท. ผ้ทู รง เป็นไข้ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนสกั กะ อาคโต, อหอเญมฺวญสอสฺ ปุ ฏฺฐหหติสฺเถสฺ นามาปีติ ิ อ.กลน่ิ แหง่ มนษุ ย์ เป็นราวกะวา่ ซากศพ (อนั บคุ คล) ผกู แล้ว นภาชนํ ท่ีคอ ยอ่ มมี แก่เทพ ท. จ�ำเดมิ แตร่ ้อยแหง่ โยชน์, อ.พระองค์ ผสุ ติ ํุ อทตฺวา สเี สเยว ฐเปตฺวา นีหรนฺโต จงเสดจ็ ไปเถิด, อ.ภิกษุ ผ้เู ป็นคลิ านปุ ัฏฐาก ของอาตมา มีอยู่ดงั นี ฯ้ มขุ สงฺโกจนมตฺตํปิ น อกาส,ิ คนฺธภาชนํ ปริหรนฺโต (อ.ท้าวสกั กะ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ แม้ อ.หมอ่ มฉนั วยิ อโหส,ิ เอวํ สตฺถารํ ปฏิชคฺคติ ฺวา สตฺถุ ยนื แล้ว ในทส่ี ดุ แหง่ โยชน์ ๘๔ สดู แล้ว ซงึ่ กลนิ่ แหง่ ศลี ของพระองค์ ท. ผาสกุ กาเลเยว อคมาส.ิ เป็นผ้มู าแล้ว (ยอ่ มเป็น), อ.หมอ่ มฉนั นนั่ เทียว จกั บ�ำรุง ดงั นี ้ ไมป่ ระทานแล้ว เพอื่ อนั ถกู ต้อง ซง่ึ ภาชนะแหง่ วลญั ชะในพระสรีระ ของพระศาสดา แม้ด้วยมือ (แก่บุคคล)อ่ืน ทรงวางไว้แล้ว บนพระเศียรน่ันเทียว ทรงน�ำออกไปอยู่ ไม่ได้ทรงกระท�ำแล้ว (ซึ่งอาการ) แม้สักว่าการทรงสยิว้ ซึ่งพระพักตร์, เป็ นราวกะ ว่า ทรงน�ำไปอยู่ ซง่ึ ภาชนะแหง่ ของหอม ได้เป็นแล้ว, ทรงปฏิบตั แิ ล้ว ซง่ึ พระศาสดา อยา่ งนี ้ ได้เสดจ็ ไปแล้ว ในกาล แหง่ พระศาสดา ทรงพระสำ� ราญนนั่ เทียว ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ฯ อ.ภกิ ษุ ท. ยงั วาจาเป็นเครอื่ งกลา่ ว วา่ โอ อ.ความรกั แหง่ ท้าวสกั กะ ภิกฺขู กถํ นสามมฏุ ฺฐทาเิพปฺพสสํุ ม“ปฺอตโหฺตึ สตฺถริ สกฺกสสฺ ในพระศาสดา (มีอย)ู่ , (อ.ท้าวสกั กะ นนั้ ) ทรงละแล้ว ซงึ่ สมบตั ิ สเิ นโห, เอวรูปํ ปหาย มขุ สงฺโก อนั เป็นทิพย์ ชื่อ มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป ไมท่ รงกระท�ำแล้ว (ซงึ่ อาการ) จนมตฺตํปิ อกตฺวา คนฺธภาชนํ นีหรนฺโต วยิ สตฺถุ แม้สกั วา่ การทรงสยิว้ ซง่ึ พระพกั ตร์ ทรงน�ำออกอยู่ ซงึ่ ภาชนะ สรีรวลญฺชนภาชนํ สเี สน นีหรนฺโต อปุ ฏฺฐานมกาสีต.ิ แหง่ วลญั ชะในพระสรีระ ของพระศาสดา โดยพระเศียร ราวกะ (อ.บคุ คล) น�ำออกอยู่ ซง่ึ ภาชนะแหง่ ของหอม ได้ทรงกระท�ำแล้ว ซง่ึ การบ�ำรุง ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ทรงสดบั แล้ว ซงึ่ วาจาเป็นเครอื่ งกลา่ ว (ของภกิ ษุ ท.) สตฺถา เตสํ กถํ สตุ ฺวา “กึ วเทถ ภิกฺขเวติ เหลา่ นนั้ ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.เธอ ท.) ยอ่ มกลา่ ว ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิทํ นาม ภนฺเตติ วตุ ฺเต, “อฺนจฺฉริยํ (ซึ่งเร่ือง)อะไร ดังนี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกฺขเว เอตํ, ยํ สกฺโก เทวราชา มยิ สเิ นหํ กโรติ; (อ.ข้าพระองค์ ท. ยอ่ มกลา่ ว ซง่ึ เรื่อง) ชอ่ื นี ้ดงั นี ้(อนั ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ) อยํ หิ สกฺโก เทวราชา มํ นิสฺสาย ชรสกฺกภาวํ กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.ท้าวสกั กะ ผ้พู ระราชา วิชหิตฺวา ธมฺมเทสนํ สตุ ฺวา โสตาปนฺโน หตุ ฺวา แหง่ เทพ ยอ่ มทรงกระท�ำ ซงึ่ ความรัก ในเรา ใด, (อ.อนั ทรงกระท�ำ ตรุณสกฺกภาวํ ปตฺโต; ซ่ึงความรัก ในเรา แห่งท้ าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพ) นั่น เป็ นเหตุไม่อัศจรรย์ (ย่อมเป็ น), ด้วยว่า อ.ท้าวสักกะ ผู้พระราชาแห่งเทพนี ้ ทรงสดับแล้ว ซึ่งการแสดงซึ่งธรรม เป็ นโสดาบัน เป็ น ทรงละ ซึ่งความเป็ นแห่งท้ าวสักกะแก่ ทรงถงึ แล้ว ซง่ึ ความเป็นแหง่ ท้าวสกั กะหนมุ่ เพราะอาศยั ซง่ึ เรา, ผลิตสอื่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วัดพระธรรมกาย 135 www.kalyanamitra.org
เพราะวา่ อ.เรา (เมอ่ื ท้าวสกั กะ) นนั้ ผ้อู นั ภยั แตค่ วามตายคกุ คามแล้ว อหํ หิสฺส มรณภยตชฺชิตสฺส ปญฺจสขิ คนฺธพฺพเทวปตุ ฺตํ ประทับนั่งแล้ว ในท่ามกลาง แห่งเทพบริษัท ท่ีถ�ำ้ ชื่อว่า- ปรุ โต กตฺวา อาคตกาเล อินฺทสาลคหุ ายํ เทวปริสาย อนิ ทสาล ในกาล (แหง่ พระองค)์ ทรงกระทำ� แล้ว ซงึ่ เทพบตุ รนกั ฟ้ อนชื่อ มชฺเฌ นิสนิ ฺนสสฺ วา่ ปัญจสขิ ะ ข้างพระพกั ตร์ เสดจ็ มาแล้ว กลา่ วแล้ว วา่ ดูก่อนวาสวะ (อ.พระองค์) จงตรัสถาม ซ่ึงปัญหา “ปจุ ฺฉ วาสว มํ ปญฺหํ, ยงฺกิญฺจิ มนสจิ ฺฉส,ิ กะอาตมา, (อ.พระองค)์ ยอ่ มทรงปรารถนา (เพอ่ื อนั ตรสั ถาม ตสสฺ ตสฺเสว ปญฺหสฺส อหํ อนฺตํ กโรมิ เตติ ซง่ึ ปัญหา) ข้อใดข้อหนง่ึ ในพระทยั , อ.อาตมา จะกระทำ� ซง่ึ ทสี่ ดุ แหง่ ปัญหา นนั้ นนั้ นน่ั เทยี ว แก่พระองค์ ดงั นี ้ เมื่อบรรเทา ซงึ่ ความสงสยั (แหง่ ท้าวสกั กะ) นนั้ แสดง วตฺวา ตสฺส กงฺขํ วโิ นเทนฺโต ธมมฺ ํ เทเสส,ึ แล้ว ซง่ึ ธรรม, ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.อนั รู้ตลอด เทสนาวสาเน จทุ ฺทสนฺนํ ปาณโกฏีนํ ธมมฺ าภิสมโย เฉพาะซง่ึ ธรรม ได้มีแล้ว แก่โกฏิแหง่ สตั ว์มีปราณ ท. ๑๔, อโหส,ิ สกฺโกปิ ยถานิสนิ ฺโนว โสตาปตฺตผิ ลํ ปตฺวา แม้ อ.ท้าวสกั กะ ผ้ปู ระทบั นงั่ แล้ว อยา่ งไรเทียว ทรงบรรลแุ ล้ว ตรุณสกฺโก ชาโต; เอวมสฺสาหํ พหปู กาโร, ตสสฺ ซง่ึ โสดาปัตตผิ ลเป็นท้าวสกั กะหนมุ่ เกิดแล้ว,อ.เราเป็นผ้มู ีอปุ การะ มยิ สเิ นโห นาม อนจฺฉริโย; ภิกฺขเว อริยานํ หิ มาก (ได้เป็นแล้ว) (แก่ท้าวสกั กะ) นนั้ อยา่ งนี,้ ช่ือ อ.ความรัก ในเรา ทสฺสนํปิ สขุ ํ, เตหิ สพสทฺพฺธเมึ ตเอํ กทฏกุ ฺฐฺขานเนฺติ สนฺนิวาโสปิ (แหง่ ท้าวสกั กะ) นนั้ เป็นสภาพ ไมอ่ ศั จจรย์ (ยอ่ มเป็น), ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. สโุ ข, พาเลหิ ปน วตฺวา อิมา จริงอยู่ แม้ อ.การเหน็ ซง่ึ พระอริยเจ้า ท. เป็นเหตนุ �ำมาซงึ่ สขุ คาถา อภาสิ (ย่อมเป็ น,) แม้ อ.การอยู่อาศัยพร้ อม ในที่แห่งเดียวกัน กับ (ด้วยพระอริยเจ้า ท.) เหลา่ นนั้ เป็นเหตนุ �ำมาซง่ึ สขุ (ยอ่ มเป็น), ส่วนว่า (อ.การเห็นและการอยู่อาศัยพร้ อม)ด้วยคนพาล ท. น่ัน ทัง้ ปวง เป็ นเหตุน�ำมาซ่ึงทุกข์ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ อ.การเห็น ซ่ึงพระอริยเจ้า ท. เป็นคณุ ยงั ประโยชน์ใหส้ �ำเร็จ (ยอ่ มเป็น), อ.การอยอู่ าศยั พรอ้ ม (ดว้ ยพระอริยเจา้ ท. เหลา่ นน้ั ) “สาหุ ทสสฺ นมริยานํ สนนฺ ิวาโส สทา สโุ ข, เป็นอาการน�ำมาซึ่งสขุ (ย่อมเป็น) ในกาลทกุ เมือ่ , (อ.บคุ คล) อทสฺสเนน พาลานํ นิจฺจเมว สขุ ี สิยา, เป็นผูม้ ีสขุ พึงเป็นได้ เนืองนิตย์นน่ั เทียว เพราะการไม่เห็น พาลสงฺคตจารี หิ ทีฆมทฺธาน โสจติ, ซ่ึงคนพาล ท., จริงอยู่ (อ.บุคคล) ผู้มีอนั เที่ยวไปแล้ว- ทกุ ฺโข พาเลหิ สํวาโส อมิตฺเตเนว สพพฺ ทา. กบั ด้วยคนพาลเป็ นปกติ ย่อมเศร้าโศก ส้ินกาลนาน, ธีโร จ สุขสํวาโส ญาตีนํว สมาคโม, อ.การอยู่กบั ด้วยคนพาล ท. เป็ นอาการน�ำมาซึ่งทุกข์ [ตสมฺ า หิ] (ย่อมเป็น) ในกาลทงั้ ปวง เพียงดงั (อ.การอยู่กบั ) ดว้ ยศตั รู ธีรญฺจ ปญฺญญฺจ พหสุ สฺ ตุ ญฺจ ผูม้ ิใช่มิตร ฯ ส่วนว่า อ.นกั ปราชญ์ เป็นเหตอุ ยู่กบั น�ำมาซึ่งสขุ โธรยฺหสีลํ วตวนฺตมริยํ (ย่อมเป็น) เพียงดงั อ.สมาคม แห่งญาติ ท., เพราะเหตนุ น้ั ตํ ตาทิสํ สปปฺ รุ ิสํ สเุ มธํ แล (อ.บุคคล) พึงคบ (ซึ่งบุคคล) ผู้เป็ นปราชญ์ ด้วย ภเชถ นกฺขตฺตปถํว จนทฺ ิมาติ. ผมู้ ีปัญญา ดว้ ย ผมู้ ีสตุ ะมาก ดว้ ย ผมู้ ีอนั น�ำไปซ่ึงธรุ ะเป็นปกติ ผมู้ ีวตั ร ผหู้ า่ งไกลนน้ั ผเู้ ชน่ นนั้ ผเู้ ป็นสตั บรุ ษุ ผมู้ ีปัญญางาม เพียงดงั อ.พระจนั ทร์ (คบอยู่) ซึ่งคลองแห่งนกั ษัตร ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) เป็นคณุ ยงั ประโยชน์ให้สำ� เร็จ คือวา่ เป็นความดี ตตฺถ “สาหตู :ิ สาธุ สนุ ฺทรํ ภทฺทกํ. สนฺนิวาโสต:ิ คือวา่ เป็นความเจริญ (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ น เกวลํ เตสํ ทสฺสนเมว, เตหิ ปน กสาทตฺธํุ ลึ เภอนกภฏฺาฐโาวเปนิ สาหุ ดงั นีฯ้ (อ.อรรถวา่ )อ.การเหน็ (ซงึ่ พระอริยเจ้าท.)เหลา่ นนั้ นนั่ นิสีทนาทิภาโวปิ เตสํ วตฺตปปฺ ฏิวตฺตํ เทียว (เป็นคณุ ยงั ประโยชน์ให้สำ� เร็จ ยอ่ มเป็น) อยา่ งเดียว หามิได้, สาธเุ ยว. พาลสงคฺ ตจารี หตี :ิ โย หิ พาเลน สหจารี. ก็ อ.ความเป็ นคือกิริยามีการน่ังเป็ นต้น ในท่ีแห่งเดียว กับ (ด้วยพระอรยิ เจ้า ท.) เหลา่ นนั้ กด็ ี อ.ความเป็นคอื อนั ได้ เพอื่ อนั กระทำ� ซง่ึ วตั รและวตั รตอบ (แก่พระอริยเจ้า ท.) เหลา่ นนั้ ก็ดี เป็นอาการ ยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จน่ันเทียว (ย่อมเป็ น ดังนี ้ แห่งบท) ว่า สนนฺ วิ าโส ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) จริงอยู่ (อ.บคุ คล) ใด ผ้มู อี นั เทยี่ วไป กับ ด้วยคนพาลเป็ นปกติ (ดังนี ้ แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า พาลสงฺคตจารีหิ ดังนี ้ ฯ 136 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.อรรถ วา่ ) (อ.บคุ คล) นนั้ อนั สหายผ้เู ป็นพาล กลา่ วอยู่ วา่ ทีฆมทฺธานนฺติ: โส พาลสหาเยน “เอหิ, (อ.ทา่ น) จงมา, (อ.เรา ท.) จงกระท�ำ (ซงึ่ กรรม ท.) มีการตดั ซงึ่ ท่ีตอ่ สนธฺ จิ เฺ ฉทาทนี ิ กโรมาติ วจุ จฺ มาโน เตน สทธฺ ึ เอกจฉฺ นโฺ ท เป็นต้น ดงั นี ้ เป็นผ้มู ฉี นั ทะอนั เดยี วกนั กบั (ด้วยสหายผ้เู ป็นพาล) หตุ วฺ า ตานิ กโรนโฺ ต หตถฺ จเฺ ฉทาทนี ิ ปตวฺ า ทฆี มทธฺ านํ นนั้ เป็น กระท�ำอยู่ (ซง่ึ กรรม ท.) เหลา่ นนั้ ถงึ แล้ว(ซงึ่ ทกุ ข์ ท.) โสจต.ิ สพพฺ ทาต:ิ ยถา อสหิ ตเฺ ถน วา อมติ เฺ ตน มกี ารตดั ซงึ่ มอื เป็นต้น ยอ่ มเศร้าโศก สนิ ้ กาลนาน (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อาสวี สิ าทหี ิ วา สทฺธึ เอกโต วาโส นาม นิจฺจํ ทกุ ฺโข, ทฑี มทธฺ านํ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ) วา่ ชอ่ื อ.การอยู่ โดยความเป็นอนั - ตเถว พาเลหิ สทฺธินฺติ อตฺโถ. ธีโร จ สุขสวํ าโสต:ิ เดียวกนั กบั (ด้วยศตั รูผ้มู ิใชม่ ิตร ผ้มู ีดาบในมือ หรือ หรือวา่ เอตฺถ สุโข สํวาโส เอเตนาติ สุขสํวาโส, (ด้วยสัตว์ ท.) มีอสรพิษเป็ นต้น เป็ นอาการน�ำมาซ่ึงทุกข์ ปณฺฑิเตน สทฺธึ เสอมกฏาฺฐคาโเนมติว: าโยสถาสโุ ขปติ ยิ ญอาตตฺโถีน.ํ (ยอ่ มเป็น) เนืองนิตย์ ฉนั ใด, (อ.การอยู่ โดยความเป็นอนั เดียวกนั ) กถํ? ญาตีนํว กบั ด้วยคนพาล ท. (เป็นอาการน�ำมาซงึ่ ทกุ ข์ ยอ่ มเป็น เนืองนิตย์) สมาคโม สโุ ข; เอวํ สโุ ข. ฉนั นนั้ นนั่ เทียว ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ สพพฺ ทา ดงั นี ้ฯ (อ.อนั วเิ คราะห์ ในบาทแหง่ พระคาถา) นี ้ วา่ ธีโร จ สุขสวํ าโส ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ กระท�ำ), อ.การอยกู่ บั (ด้วยนกั ปราชญ์) นนั่ อนั น�ำมาซงึ่ สขุ เพราะเหตนุ นั้ (อ.นกั ปราชญ์ นน่ั ) ชอื่ วา่ สขุ สวํ าโส (เป็นเหตอุ ยกู่ บั นำ� มาซงึ่ สขุ ), อ.อธิบาย วา่ อ.การอยู่ ในท่ีแหง่ เดียว กบั ด้วยบณั ฑิต เป็นอาการน�ำมาซง่ึ สขุ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ (อ.อนั ถาม วา่ อ.การอยู่ ในที่แหง่ เดียว กบั ด้วยบณั ฑิต เป็นอาการน�ำมาซงึ่ สขุ ยอ่ มเป็น) อยา่ งไร ดงั นี ้ ฯ (อ.อนั แก้) วา่ (อ.การอยู่ ในที่แหง่ เดียว กบั ด้วย บณั ฑิต เป็นอาการน�ำมาซง่ึ สขุ ยอ่ มเป็น) เพียงดงั อ.สมาคม แหง่ ญาติ ท. ดงั น,ี ้ (อ.อธิบาย) วา่ อ.สมาคม แหง่ ญาตผิ ้เู ป็นทร่ี ัก ท. เป็นอาการน�ำมาซง่ึ สขุ (ยอ่ มเป็น) ฉนั ใด, (อ.การอยู่ ในท่ีแหง่ เดียว กบั ด้วยบณั ฑิต)เป็นอาการน�ำมาซงึ่ สขุ (ยอ่ มเป็น) ฉนั นนั้ (ดงั นี)้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.การอยพู่ ร้อม กบั ด้วยคนพาล เป็นอาการน�ำมา ตสมฺ าต:ิ ยสมฺ า พาเลน สทฺธึ สํวาโส ทกุ ฺโข, ซง่ึ ทกุ ข์ (ยอ่ มเป็น), (อ.การอยพู่ ร้อม) กบั ด้วยบณั ฑิต เป็นอาการ ปณฺฑิเตน สทฺธึ สโุ ข; ตสฺมา หิ ธิตสิ มปฺ นฺนํ น�ำมาซง่ึ สขุ (ยอ่ มเป็น) เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ แล (อ.บคุ คล) พงึ คบ ธีรญฺจ โลกิยโลกตุ ฺตรปปฺ ญฺญาสมปฺ นฺนํ ปญฺญญฺจ คือวา่ พงึ เข้าไปนง่ั ใกล้ (ซงึ่ บคุ คล) ผ้ถู งึ พร้อมแล้วด้วยปัญญาเป็น อาคมาธิคมสมปฺ นฺนํ พหสุ ฺสตุ ญฺจ อรหตฺตปาปน- เครื่องทรงจ�ำ ช่ือวา่ ผ้เู ป็นปราชญ์ ด้วย ผ้ถู งึ พร้อมแล้วด้วยปัญญา สงฺขาตาย ธรุ วหนสลี ตาย โธรยฺหสลี ํ สลี วเตน อนั เป็นโลกิยะและปัญญาอนั เป็นโลกตุ ตระ ช่ือวา่ ผ้มู ีปัญญา ด้วย เจว ธตู งฺควเตน จ วตวนฺตํ กิเลเสหิ อารกตาย ผู้ถึงพร้ อมแล้วด้วยนิกายเป็ นท่ีมาและมรรคและผลเป็ นที่บรรลุ อริยํ ตํ ตถารูปํ สปปฺ รุ ิสํ โสภนปญฺญํ, ยถา ชื่อว่าผู้มีสุตะมาก ด้วย ช่ือว่าผู้มีอันน�ำไปซ่ึงธุระเป็ นปกติ นิมมฺ ลํ นกฺขตฺตปถสงฺขาตํ อากาสํ จนฺทิมา ภชต;ิ เพราะความท่ี (แหง่ ตน) เป็นผ้มู อี นั นำ� ไปซงึ่ ธรุ ะเป็นปกติ อนั บณั ฑติ เอวํ ภเชถ ปยิรุปาเสถาติ อตฺโถ. นบั พร้อมแล้ววา่ การยงั ตนให้บรรลซุ ง่ึ ความเป็นแหง่ พระอรหนั ตช์ อ่ื ว่า ผ้มู วี ตั ร เพราะวตั รคอื ศลี ด้วยนนั่ เทยี ว เพราะวตั รคอื ธดุ งค์ ด้วย ชอ่ื วา่ ผ้เู ป็นอริยะ เพราะความท่ี (แหง่ ตน) เป็นผ้ไู กล จากกิเลส ท. นนั้ ผ้มู ีอยา่ งนนั้ เป็นรูป ผ้เู ป็นสตั บรุ ุษ ผ้มู ีปัญญางาม, อ.พระจนั ทร์ ยอ่ มคบ ซง่ึ อากาศ อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ คลองแหง่ นกั ษัตร อนั มีมลทินออกแล้ว ฉนั ใด, ฉนั นนั้ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ตสฺมา ดงั นี ้ เป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งท้าวสักกะ (จบแล้ว) ฯ สกกฺ วตถฺ ุ. อ.กถาเป็ นเคร่ืองพรรณนาซ่งึ เนือ้ ความแห่งวรรค สุขวคคฺ วณฺณนา นิฏฺ ฐิตา. อันบณั ฑติ กำ� นดแล้วด้วยความสุข จบแล้ว ฯ อ.วรรค ท่ี ๑๕ (จบแล้ว) ฯ ปณฺณรสโม วคโฺ ค. ผลติ สอ่ื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม วัดพระธรรมกาย 137 www.kalyanamitra.org
๑๖.ออัน.บกณัถาฑเปติ ็ นก(เอำ� คหันรนข่ือ้ดางพแพลเรจ้วร้าดณ้จวนยะากอซลา่งึ ่ราเมวน)ณือ้ ฯค์อวันาเมป็แนหท่ง่รี วักรรค ๑๖. ปิ ยวคคฺ วณฺณนา ๑. (ออ.ันเรข่ือ้างพแเหจ่ง้าบจระรกพลช่าติ ว)๓ฯรูป ๑. ตโยปพพฺ ชิตวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อโยเค ยุญชฺ มตตฺ านนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซ่ึงบรรพชิต ท. ๓ รูป ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า เชตวเน วิหรนฺโต ตโย ปพฺพชิเต อารพฺภ กเถส.ิ อโยเค ยุญชฺ มตตฺ านํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.ลกู น้อยคนเดียวเทียว ของมารดาและบดิ า ท. สาวตฺถิยํ กิร เอกสฺมึ กเุ ล มาตาปิ ตนู ํ เอกปตุ ฺตโก ในตระกลู หนง่ึ ในเมอื งชอ่ื วา่ สาวตั ถี เป็นผ้เู ป็นทร่ี กั เป็นผ้ยู งั ใจให้เจริญ ว อโหสิ ปิ โย มนาโป. ได้เป็นแล้ว ฯ ในวนั หนง่ึ (อ.บตุ ร) นนั้ ฟังแล้ว ซง่ึ ธรรมกถา ของภิกษุ ท. โส เอกทิวสํ เคเห นิมนฺตติ านํ ภิกฺขนู ํ อนโุ มทนํ ผู้ (อนั มารดาและบดิ า ท.) นิมนต์แล้ว กระท�ำอยู่ ซง่ึ การอนโุ มทนา กโรนฺตานํ ธมมฺ กถํ สตุ ฺวา ปพฺพชิตกุ าโม หตุ ฺวา ในเรือน เป็นผ้ใู คร่เพ่ืออนั บวช เป็น ขอแล้ว ซงึ่ การบวช กะมารดา มาตาปิ ตโร ปพฺพชฺชํ ยาจิ. และบดิ า ท. ฯ (อ.มารดาและบดิ า ท.) เหลา่ นนั้ ไมอ่ นญุ าตแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ เต นานชุ านสึ .ุ อถสฺส เอตทโหสิ “อหํ มาตาปิ ตนู ํ (อ.ความคดิ ) นนั่ วา่ อ.เรา เม่ือมารดาและบดิ า ท. ไมเ่ หน็ อยนู่ น่ั อปสสฺ นฺตานํเยว พหิ คนฺตฺวา ปพฺพชิสฺสามีต.ิ เทียว ไปแล้ว ในภายนอก จกั บวช ดงั นี ้ได้มีแล้ว (แก่บตุ ร) นนั้ ฯ ครงั้ นนั้ อ.บดิ า (ของบตุ ร) นนั้ เมอ่ื ออกไป ในภายนอก ยงั มารดา อถสฺส ปิ ตา พหิ นิกฺขมนฺโต “อิมํ รกฺเขยฺยาสตี ิ ให้รับแล้ว (ด้วยค�ำ) ว่า (อ.เธอ) พึงรักษา (ซ่ึงบุตร) นี ้ ดังนี ้ ฯ มาตรํ ปฏิจฺฉาเปส,ิ มาตา พหิ นิกฺขมนฺตี ปิ ตรํ อ.มารดา เม่ือออกไป ในภายนอก ยงั บดิ า ให้รับแล้ว ฯ ปฏิจฺฉาเปส.ิ ครัง้ นัน้ ในวันหน่ึง ครัน้ เมื่อบิดา (ของบุตร) นัน้ ไปแล้ว อถสฺเสกทิวสํ ปิ ตริ พหิ คเต มาตา “ปตุ ฺตํ ในภายนอก อ.มารดา (คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั รักษา ซงึ่ บตุ ร ดงั นี ้ รกฺขิสฺสามีติ เอกํ ทฺวารพาหํ นิสสฺ าย เอกํ ปาเทหิ พิงแล้ว ซง่ึ บานแหง่ ประตู บานหนง่ึ ยนั แล้ว ซง่ึ บานแหง่ ประตบู าน อปุ ปฺ ี เฬตฺวา ฉมายํ นิสนิ ฺนา สตุ ฺตํ กนฺตต.ิ หนง่ึ ด้วยเท้า ท. นงั่ แล้ว ที่พืน้ ยอ่ มกรอ ซงึ่ ด้าย ฯ (อ.บตุ ร) นนั้ คดิ แล้ว วา่ (อ.เรา) ลวงแล้ว (ซง่ึ มารดา) นี ้จกั ไป ดงั นี ้ โส “อิมํ วญฺเจตฺวา คมิสฺสามีติ จินฺเตตฺวา กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตแ่ ม่ (อ.ทา่ น) จงหลกี ไป หนอ่ ยหนงึ่ กอ่ น, (อ.กระผม) “อมมฺ โถกํ ตาว อเปหิ, สรีรวลญฺชํ กริสสฺ ามีติ จกั กระท�ำ ซง่ึ วลญั ชะในสรีระ ดงั นี ้ ครัน้ เม่ือเท้า (อนั มารดา) นนั้ วตฺวา ตาย ปาเท สมมฺ ิญฺชิเต, นิกฺขมิตฺวา เวเคน ค้เู ข้าแล้ว, ออกแล้ว ไปแล้ว สวู่ หิ าร โดยเร็ว เข้าไปหาแล้ว ซงึ่ ภกิ ษุ ท. วิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขู อปุ สงฺกมิตฺวา “ปพฺพาเชถ มํ วิงวอนแล้ว วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ (อ.ทา่ น ท.) ขอจง ยงั กระผม ภนฺเตติ ยาจิตฺวา เตสํ สนฺตเิ ก ปพฺพชิ. ให้บวชเถิด ดงั นี ้บวชแล้ว ในส�ำนกั (ของภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.บดิ า (ของบตุ ร) นนั้ มาแล้ว ถามแล้ว ซง่ึ มารดา วา่ อถสฺส ปิ ตา อาคนฺตฺวา มาตรํ ปจุ ฺฉิ “กหํ เม อ.บตุ ร ของเรา (ไปแล้ว) (ในท)ี่ ไหน ดงั นี ้ ฯ (อ.มารดา กลา่ วแล้ว) วา่ ปตุ ฺโตต.ิ “สามิ อิทานิ อิมสฺมึ ปเทเส อโหสตี .ิ ข้าแตน่ าย (อ.บตุ ร นนั้ ) ได้มแี ล้ว ในประเทศ นี ้ในกาลนี ้ดงั นี ้ฯ 138 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.บดิ า) นนั้ ตรวจดอู ยู่ (ด้วยความคดิ ) วา่ อ.บตุ ร ของเรา โส “กหํ นุ โข เม ปตุ ฺโตติ โอโลเกนฺโต ตํ อทิสฺวา (ไปแล้ว) (ในท)่ี ไหน หนอ แล ดงั นี ้ไมเ่ หน็ แล้ว (ซง่ึ บตุ ร) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ “วิหารํ คโต ภวิสฺสตีติ วหิ ารํ คนฺตฺวา ปตุ ฺตํ ปพฺพชิตํ (อ.บตุ ร ของเรา) เป็นผ้ไู ปแล้ว สวู่ หิ าร จกั เป็น ดงั นี ้ไปแล้ว สวู่ หิ าร ทิสวฺ า กนฺทิตฺวา โรทิตฺวา “ตาต กึ มํ นาเสสตี ิ เหน็ แล้ว ซงึ่ บตุ ร ผ้บู วชแล้ว คร�่ำครวญแล้ว ร้องไห้แล้ว กลา่ วแล้ว วา่ วตฺวา “มม ปตุ ฺเต ปพฺพชิเต อหํ อิทานิ เคเห กึ แนะ่ พอ่ (อ.เจ้า) ยงั เรา ให้ฉิบหายแล้ว ท�ำไม ดงั นี ้ (คดิ แล้ว) วา่ กริสฺสามีติ สยํปิ ภิกฺขนู ํ สนฺตเิ ก ปพฺพชิ. ครัน้ เม่ือบตุ ร ของเรา บวชแล้ว อ.เรา จกั กระท�ำ ซงึ่ อะไร ในเรือน ในกาลนี ้ดงั นี ้บวชแล้ว ในสำ� นกั ของภิกษุ ท. แม้เอง ฯ ครงั้ นนั้ อ.มารดา (ของบตุ ร) นนั้ ตรวจดอู ยู่ (ซง่ึ บดิ าและบตุ ร ท.) อถสสฺ มาตา “กึ นุ โข เม ปตุ โฺ ต จ ปติ จ จริ ายนตฺ ,ิ เหล่านัน้ (ด้วยความคิด) ว่า อ.บุตร ด้วย อ.ผัว ด้วย ของเรา กจฺจิ วหิ ารํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตาติ เต โอโลเกนฺตี วหิ ารํ ยอ่ มประพฤตชิ ้า ทำ� ไม หนอ แล, (อ.ชน ท. เหลา่ นนั้ ) ไปแล้ว สวู่ ิหาร คนฺตฺวา อโุ ภปิ ปพฺพชิเต ทิสวฺ า “อิเมสํ ปพฺพชิตกาเล บวชแล้ว แลหรือ ดงั นี ้ ไปแล้ว สวู่ หิ าร เหน็ แล้ว (ซงึ่ ชนท.) แม้ มม เคเหน โก อตฺโถติ สยํปิ ภิกฺขนุ ปู สสฺ ยํ คนฺตฺวา ทงั้ ๒ ผ้บู วชแล้ว (คดิ แล้ว) วา่ อ.ประโยชน์ อะไร ของเรา ปพฺพชิ. ด้วยเรือน ในกาล (แหง่ ชน ท.) เหลา่ นี ้ บวชแล้ว ดงั นี ้ ไปแล้ว สทู่ ่ีเป็นที่เข้าไปอาศยั แหง่ ภิกษุณี บวชแล้ว แม้เอง ฯ (อ.บรรพชิต ๓ รูป ท.) เหลา่ นนั้ แม้บวชแล้ว ยอ่ มไมอ่ าจ เต ปพฺพชิตฺวาปิ วินา ภวติ ํุ น สกฺโกนฺต,ิ วหิ าเรปิ เพอื่ อนั เป็น เว้น (จากกนั ), นงั่ สนทนาอยู่ โดยความเป็นอนั เดยี วกนั ภิกฺขนุ ปู สสฺ เยปิ เอกโต ว นิสที ิตฺวา สลฺลปนฺตา ทิวสํ เทียว ยงั วนั ให้น้อมไปลว่ งวเิ ศษ แม้ในวหิ าร แม้ในท่ีเป็นท่ีเข้าไป วีตนิ าเมนฺต.ิ อาศยั แหง่ ภิกษุณี ฯ เพราะเหตุนัน้ แม้ อ.ภิกษุ ท. แม้ อ.ภิกษุณี ท. เป็ นผู้ เตน ภิกฺขปู ิ ภิกฺขนุ ิโยปิ อพุ ฺพาฬฺหา โหนฺต.ิ (อนั บรรพชิต ๓ รูป เหลา่ นนั้ ) เบียดเบียนแล้ว ยอ่ มเป็น ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนง่ึ อ.ภิกษุ ท. กราบทลู แล้ว ซงึ่ การกระท�ำ อเถกทิวสํ ภิกฺขู เนสํ กิริยํ สตฺถุ อาโรเจสํ.ุ (แหง่ บรรพชิต ๓ รูป ท.) เหลา่ นนั้ แก่พระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา(ทรงยงั ภกิ ษ)ุ ให้ร้องเรียกแล้ว(ซง่ึ บรรพชติ ๓รูปท.) สตฺถา เต ปกฺโกสาเปตฺวา “สจฺจํ กิร ตมุ เฺ ห เอวํ เหลา่ นนั้ ตรัสถามแล้ว วา่ ได้ยินวา่ อ.ทา่ น ท. ยอ่ มกระท�ำอยู่อยา่ งนี ้ กโรถาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “สจฺจนฺติ วตุ ฺเต, “กสฺมา เอวํ จริงหรือ ดงั น,ี ้ (ครัน้ เมอื่ คำ� ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. กระทำ� อยู่ อยา่ งน)ี ้ กโรถ? น หิ เอส ปพฺพชิตานํ โยโคต.ิ “ภนฺเต วินา จริง ดงั นี ้(อนั บรรพชติ ๓ รูป ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, (ตรสั แล้ว) วา่ ภวิตํุ น สกฺโกมาต.ิ “ปพฺพชิตกาลโต อปปฏปฺฺฐิ ยายานญเอฺจวํ (อ.ทา่ น ท.) ยอ่ มกระทำ� อยู่ อยา่ งนี ้เพราะเหตไุ ร ? ก็ (อ.ความประกอบ) กรณํ นาม น ยตุ ฺตํ, ปิ ยานํ หิ อทสสฺ นํ นนั่ เป็นความประกอบ แหง่ บรรพชิต ท. (ยอ่ มเป็น) หามิได้ ดงั นี ้ฯ ทสสฺ นํ ทกุ ฺขเมว; ตสมฺ า สตฺเตสุ เจว สงฺขาเรสุ จ (อ.บรรพชิต ๓ รูป ท. เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ กญฺจิ ปิ ยํ วา อปปฺ ิ ยํ วา กาตํุ น วฏฺ ฏตีติ วตฺวา ผ้เู จริญ อ.ข้าพระองค์ ท. ยอ่ มไมอ่ าจ เพ่ืออนั เป็น เว้น (จากกนั ) อิมา คาถา อภาสิ ดงั นีฯ้ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ชื่อ อ.การกระท�ำ อยา่ งนี ้จ�ำเดมิ แตก่ าล (แหง่ ตน) บวชแล้ว ไมค่ วรแล้ว, เพราะวา่ อ.การไมเ่ หน็ (ซง่ึ สตั ว์หรือสงั ขาร ท.) อนั เป็นท่ีรัก ด้วย อ.การเหน็ (ซงึ่ สตั ว์หรือ สงั ขาร ท.) อนั ไมเ่ ป็นท่ีรัก ด้วย เป็นเหตนุ �ำมาซง่ึ ความทกุ ข์นนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น), เพราะเหตนุ นั้ อ.อนั (อนั บรรพชติ ท.) กระทำ� ในสตั ว์ ท. ด้วยนน่ั เทียว ในสงั ขาร ท. ด้วย หนา (ซง่ึ สตั ว์หรือสงั ขาร) ไร ๆ ให้เป็นทร่ี กั หรือ หรือวา่ ให้ไมเ่ ป็นทร่ี กั ยอ่ มไมค่ วร ดงั นี ้ ได้ตรสั แล้ว ซงึ่ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 139 www.kalyanamitra.org
(อ.บรรพชิต) ประกอบอยู่ ซึ่งตน (ในฐานะ) อนั อนั บรรพชิต “อโยเค ยญุ ฺชมตฺตานํ โยคสฺมิญฺจ อโยชยํ ไมพ่ งึ ประกอบ ดว้ ย ไมป่ ระกอบอยู่ (ซ่ึงตน ในฐานะ) อตฺถํ หิตฺวา ปิ ยคฺคาหี ปิ เหตตฺตานโุ ยคินํ อนั อนั บรรพชิตพงึ ประกอบ ดว้ ย ละแลว้ ซึ่งประโยชน์ มา ปิ เยหิ สมาคญฺฉิ อปปฺ ิ เยหิ กทุ าจนํ, เป็ นผู้ถือเอาซ่ึงอารมณ์อนั เป็ นที่รักโดยปกติ (เป็ น) ปิ ยานํ อทสฺสนํ ทกุ ฺขํ อปปฺ ิ ยานญฺจ ทสฺสนํ; ย่อมกระหยิ่ม (ต่อบรรพชิต ท.) ผู้ตามประกอบ- ตสฺมา ปิ ยํ น กยิราถ, ปิ ยาปาโย หิ ปาปโก, ซึ่งตนโดยปกติ, (อ.บรรพชิต) อยา่ สมาคมแลว้ (ดว้ ยสตั ว์ ท. คนถฺ า เตสํ น วิชฺชนตฺ ิ, เยสํ นตฺถิ ปิ ยาปิ ยนตฺ ิ. หรือ หรือวา่ ดว้ ยสงั ขาร ท.) อนั เป็นทีร่ กั (ดว้ ยสตั ว์ ท. หรือ หรือว่า ดว้ ยสงั ขาร ท.) อนั ไม่เป็นทีร่ กั ในกาลไหน ๆ, (เพราะว่า) อ.การไม่เห็น (ซึ่งสตั ว์ ท. หรือ หรือว่า ซ่ึงสงั ขาร ท.) อนั เป็นทีร่ กั ดว้ ย อ.การเห็น (ซึ่งสตั ว์ ท. หรือ หรือว่า ซ่ึงสงั ขาร ท.) อนั ไม่เป็ นที่รัก ด้วย เป็นเหตนุ �ำมาซ่ึงความทกุ ข์ (ย่อมเป็น), เพราะเหตนุ นั้ (อ.บรรพชิต) ไมพ่ งึ กระท�ำ (ซึ่งสตั ว์ หรือ หรือวา่ ซ่ึงสงั ขาร) ให้เป็ นที่รัก, เพราะว่า อ.ความไปปราศจากสตั ว์หรือ- สงั ขารอนั เป็ นที่รัก เป็ นบาป (ย่อมเป็ น), (อ.อารมณ์) อันเป็ นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็ นที่รัก ย่อมไม่มี (แก่บรรพชิต ท.) เหล่าใด อ.กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ท. ย่อมไม่มี (แก่บรรพชิต ท.) เหล่านน้ั ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (ในฐานะ) อนั อนั บรรพชติ ไมค่ วรประกอบ คอื วา่ ตตฺถ “อโยเคต:ิ อยญุ ฺชิตพฺเพ อโยนิโสมนสกิ าเร. ในการท�ำไว้ในใจโดยอบุ ายอนั ไมแ่ ยบคาย (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อโยเค ดงั นี ้ฯ อ.อธิบาย ว่า ก็ อ.การเสพ ซึ่งอโคจร อันมีอย่าง ๖ เวสยิ าโคจราทิเภทสสฺ หิ ฉพฺพิธสฺส อโคจรสฺส อนั ตา่ งด้วยอโคจรมีอโคจรคือหญิงแพศยาเป็นต้น ช่ือวา่ อโยนิโส เสวนํ อิธ อโยนิโสมนสิกาโร นาม, ตสฺมึ มนสกิ าร (ในท)่ี น,ี ้ (อ.บรรพชติ ) ประกอบอยู่ ซง่ึ ตน ในการทำ� ไว้ในใจ อโยนิโสมนสิกาเร อตฺตานํ ยุญฺชนฺโตติ อตฺโถ. โดยอบุ ายอนั ไมแ่ ยบคาย นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ไมป่ ระกอบอยู่ โยคสฺมินฺติ: ตพฺพิปริเต จ โยนิโสมนสิกาเร (ซง่ึ ตน) ในการกระท�ำไว้ในใจโดยอบุ ายอนั แยบคาย อนั ผิดตรงกนั อยุญฺชนฺโต. อตฺถํ หิตฺวาติ: ปพฺพชิตกาลโต ข้ามจากการกระท�ำไว้ในใจโดยอบุ ายอนั ไมแ่ ยบคายนนั้ ด้วย (ดงั นี ้ หปิ ฏตฺ ฺ ฐวาาย. อธิสีลาทิสิกฺขาตฺตยํ อตฺโถ นาม, ตํ อตฺถํ แหง่ บท)วา่ โยคสฺมึ ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.หมวด ๓ แหง่ สกิ ขามี ปิ ยคฺคาหีติ: ปญฺจกามคุณสงฺขาตํ อธิศีลเป็นต้น ชื่อวา่ ประโยชน์, ละแล้ว ซง่ึ ประโยชน์นนั้ จ�ำเดมิ ปิ ยเมว คณฺหนฺโต. แตก่ าล (แหง่ ตน) บวชแล้ว (ดงั นี ้ แหง่ หมวดสองแหง่ บท)วา่ อตถฺ ํ หติ วฺ า ดงั นี ้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ถือเอาอยู่ (ซงึ่ อารมณ์) อนั เป็นท่ีรัก อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ กามคณุ ๕ นน่ั เทียว (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ปิ ยคคฺ าหี ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.บรรพชิต ) ผ้เู คลื่อนแล้ว จากพระศาสนา ปิ เหตตตฺ านโุ ยคนิ นตฺ :ิ ตาย ปฏปิ ตตฺ ยิ า สาสนโต เพราะการปฏิบัติ นัน้ ถึงแล้ว ซ่ึงความเป็ นแห่งคฤหัสถ์, จโุ ต คหิ ภิ าวํ ปตวฺ า ปจฉฺ า, เย อตตฺ านโุ ยคํ อนยุ ญุ ชฺ นตฺ า (อ.บรรพชิต ท.) เหลา่ ใด ตามประกอบอยู่ ตามประกอบซงึ่ ตน สลี าทีนิ สมปฺ าเทตฺวา เทวมนสุ ฺสานํ สนฺตกิ า สกฺการํ (ยงั หมวด ๓ แหง่ สกิ ขา ท.) มีศีลเป็นต้น ให้ถงึ พร้อมแล้ว ยอ่ มได้ ลภนฺต,ิ เตสํ ปิ เหติ “อโห วตาหํปิ เอวรูโป อสฺสนฺติ ซง่ึ สกั การะ จากสำ� นกั ของเทพและมนษุ ย์ ท., ยอ่ มกระหย่ิม อจิ ฉฺ ตตี ิ อตโฺ ถ. มา ปิ เยหตี :ิ ปิเยหิ สตเฺ ตหิ วา สงขฺ าเรหิ (ตอ่ บรรพชิตท.)เหลา่ นนั้ คือวา่ ยอ่ มปรารถนาวา่ โอหนอแม้ อ.เรา วา กทุ าจนํ เอกกขฺ ณปํ ิ น สมาคจเฺ ฉยยฺ , ตถา อปปฺ ิเยห.ิ เป็นผ้มู ีรูปอยา่ งนี ้ พงึ เป็น ดงั นี ้ ในภายหลงั ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ปิ เหตตตฺ านุโยคนิ ํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.บรรพชิต) ไมพ่ งึ สมาคม ด้วยสตั ว์ ท. หรือ หรือวา่ ด้วยสงั ขาร ท. อนั เป็นที่รัก ในกาลไหน ๆ คือวา่ แม้ในขณะหนงึ่ , อ.อยา่ งนนั้ คือวา่ (อ.บรรพชิต ไมพ่ งึ สมาคม ด้วยสตั ว์ ท. หรือ หรือวา่ ด้วยสงั ขาร ท.) อนั ไมเ่ ป็นทรี่ กั (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ มา ปิ เยหิ ดงั นี ้ฯ 140 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
(อ.อนั ถาม) วา่ (อ.บรรพชิต ไมพ่ งึ สมาคม ด้วยสตั ว์ ท. หรือ หรือวา่ กกึ ารณา? ปิ ยานํ หิ วิโยควเสน อทสฺสนํ ด้วยสงั ขาร ท. อนั เป็นที่รัก ด้วยสตั ว์ ท. หรือ หรือวา่ ด้วยสงั ขาร ท. อปฺปิ ยานญฺจ อุปสงฺกมนวเสน ทสฺสนํ ทุกฺขํ. อนั ไมเ่ป็นทร่ี กั ) เพราะเหตไุ ร (ดงั น)ี ้, (อ.อนั แก้) วา่ เพราะวา่ อ.การไมเ่หน็ ตสฺมาต:ิ ยสมฺ า อิทํ อภุ ยํปิ ทกุ ฺขํ, ตสมฺ า กญฺจิ (ซงึ่ สตั ว์ ท. หรือ หรือวา่ ซง่ึ สงั ขาร ท.) อนั เป็นที่รัก ด้วยอ�ำนาจ สตฺตํ วา สงฺขารํ วา ปิ ยํ นาม น กเรยฺย. ปิ ยาปาโยต:ิ แหง่ ความพลดั พราก ด้วย อ.การเหน็ (ซง่ึ สตั ว์ ท. หรือ หรือวา่ ปิ เยหิ อปาโย วิโยโค. ซงึ่ สงั ขาร ท.) อนั ไมเ่ ป็นท่ีรัก ด้วยอ�ำนาจแหง่ การเข้าไปหาด้วย เป็นเหตนุ �ำมาซง่ึ ทกุ ข์ (ยอ่ มเป็น ดงั นี)้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.การ เหน็ และการไมเ่ หน็ ) แม้ทงั้ ๒ นี ้ เป็นเหตนุ �ำมาซงึ่ ความทกุ ข์ (ยอ่ มเป็น) เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ (อ.บรรพชิต) ไมพ่ งึ กระท�ำ ซง่ึ สตั ว์ หรือ หรือวา่ ซง่ึ สงั ขาร ไร ๆ ชอื่ วา่ ให้เป็นทรี่ กั (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ตสฺมา ดงั นีเ้ ป็ นต้น ฯ อ.ความไปปราศ คือว่า อ.ความพลดั พราก (จากสตั ว์ ท. หรอื หรอื วา่ จากสงั ขาร ท.) อนั เป็นทร่ี กั ชอื่ วา่ ปิ ยาปาโย ฯ (อ.อรรถ วา่ ) เป็นเหตตุ �่ำทราม (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ปาปโก ปาปโกต:ิ ลามโก. คนฺถา เตสํ น วชิ ชฺ นฺตตี :ิ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.อารมณ)์ อนั เป็นทรี่ กั ยอ่ มไมม่ ี (แกบ่ รรพชติ ท.) เยสํ ปิ ยํ นตฺถิ, เตสํ อภิชฺฌา กายคนฺโถ ปหียต;ิ เหล่าใด, อ.กิเลสเป็ นเครื่องร้ อยรัดในกาย คือ อ.อภิชฌา เยสํ อปปฺ ิ ยํ นตฺถิ, เตสํ พฺยาปาโท กายคนฺโถ ปหียติ; (อนั บรรพชิต ท.) เหลา่ นนั้ ยอ่ มละได้, (อ.อารมณ)์ อนั ไมเ่ ป็นที่รัก เตสุ ปน ทฺวีสุ ปหีเนสุ เสสคนฺถาปิ ปหีนา นาม โหนฺต;ิ ย่อมไม่มี (แก่บรรพชิต ท.) เหล่าใด, อ.กิเลสเป็ นเครื่องร้ อยรัด ตสฺมา ปิ ยํ วา อปปฺ ิ ยํ วา น กาตพฺพนฺติ อตฺโถ. ในกาย คือ อ.พยาบาท (อนั บรรพชติ ท.) เหลา่ นนั้ ยอ่ มละได้, ก็ (ครนั้ เมอื่ กเิ ลส ท.) ๒ เหลา่ นนั้ (อนั บรรพชติ ท. เหลา่ นนั้ ) ละได้แล้ว แม้ อ.กิเลสเป็ นเคร่ืองร้ อยรัดท่ีเหลือ ท. ช่ือว่า เป็ นกิเลส (อนั บรรพชิต ท. เหลา่ นนั้ ) ละได้แล้ว ยอ่ มเป็น, เพราะเหตนุ นั้ (อ.อารมณ์)(อนั บรรพชิต) ไมพ่ งึ กระท�ำ ให้เป็นที่รัก หรือ หรือวา่ ให้ไมเ่ ป็นท่ีรัก ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ คนฺถา เตสํ น วชิ ชฺ นฺติ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ .ุ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ สว่ นวา่ อ.ชน ท. เต ปน ตโย ชนา “มยํ วินา ภวติ ํุ น สกฺโกมาติ เหลา่ นนั้ (ปรึกษากนั แล้ว) วา่ อ.เรา ท. ไมอ่ าจอยู่ เพื่ออนั เป็น เว้น วพิ ฺภมิตฺวา เคหเมว อคมํสตู .ิ (จากกนั ) ดงั นี ้สกึ แล้ว ได้ไปแล้ว สเู่ รือนนนั่ เทียว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งบรรพชติ ๓ รูป ตโยปพพฺ ชติ วตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๒. อ.เ(รอ่ือันงขแ้าหพ่งเกจุฎ้าุมจพะกคี ลน่าใวด)คฯนหน่ึง ๒. อญญฺ ตรกุฏุมพฺ กิ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “ปิ ยโต ชายเตติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ปซิ่ึงยกโุฎตุมพชาี ยคเนตใดดคงั นนหีเ้ปน็นึ่งต้นตรฯัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า วหิ รนฺโต อญฺญตรํ กฏุ มุ พฺ ิกํ อารพฺภ กเถส.ิ เป็นผด้มู งักี จาละะกอลนั ่ากวรโะดทยำ� แพลิส้วดา(มรอี ย(อ)ู่ .กผฎุ้อู นัมุ คพวี)านมนัโ้ ศกคเพรัน้ราเะมบ่ือตุบรตุครรอบขงอำ� งแตลน้ว โส หิ อตฺตโน ปตุ ฺเต กาลกเต ปตุ ฺตโสกาภิภโู ต ไเพป่ือแอลนั ้วอดสกู่ปล่ านั้ ช้ าซงึ่ คยว่อามมรโ้ อศกงไเพห้ราฯะบ(ตุอร.กฯุฎุมพีนัน้ ) ย่อมไม่อาจ อาฬาหนํ คนฺตฺวา โรทต.ิ ปตุ ฺตโสกํ สนฺธาเรตํุ น สกฺโกต.ิ อ.พระศาสดา ทรงตรวจดอู ยู่ ซง่ึ โลก ในกาลอนั ขจดั เฉพาะ สตฺถา ปจฺจสู กาเล โลกํ โวโลเกนฺโต ตสสฺ นซง่ึนั้ มเืดสดทจ็ รกง้าเหวน็กลแลบั ้วแลซ้วง่ึ อจปาุ กนบิสณิยั ฑแบหาง่ ตโสทดรางปพัตาตเอมิ ารร(คซงึ่ (ภขิกอษงกุ) ฎุผ้มุเู ปพ็นี) โสตาปตฺตมิ คฺคสสฺ อปุ นิสฺสยํ ทิสฺวา ปิ ณฺฑปาตป-ฺ ปัจฉาสมณะ รูปหนงึ่ ได้เสดจ็ ไปแล้ว สปู่ ระตแู หง่ เรือน (ของกฎุ มุ พ)ี ปฏิกฺกนฺโต เอกํ ปจฺฉาสมณํ คเหตฺวา ตสสฺ นนั้ ฯ เคหทฺวารํ อคมาส.ิ ผลิตสอื่ การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 141 www.kalyanamitra.org
(คดิ แ(ลอ้.วก)ฎุ วมุ า่ พ()ี อน.พนั้ ระฟศังาแสล้ดวาซ)งึ่ เคปว็นาผม้ทูทรี่ แงปหงร่ พะสระงศคา์เพสด่ือาอนั เสทดรจง็ กมราะแทล้�วำ โส สตฺถุ อาคตภาวํ สตุ ฺวา “มยา สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ กาตกุ าโม ภวิสสฺ ตีติ สตฺถารํ เคหํ ซงึ่ การปฏิสนั ถาร กบั ด้วยเรา จกั เป็น ดงั นี ้ (ทลู ยงั พระศาสดา) ปเวเสตฺวา เคหมชฺเฌ อาสนํ ปญฺญเปตฺวา สตฺถริ ให้เสดจ็ เข้าไปแล้ว สเู่ รือน ปลู าดแล้ว ซง่ึ อาสนะ ในทา่ มกลางแหง่ เรือน นิสนิ ฺเน อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสที ิ. ครัน้ เม่ือพระศาสดา ประทับน่ังแล้ว มาแล้ว ถวายบังคมแล้ว นง่ั แล้ว ในสว่ นข้างหนง่ึ ฯ ครัง้ นัน้ อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ย(อ่ ซม่ึงเกปุฎ็นุมเพพี)รานะเัน้หตวไุ ่าร อถ นํ สตฺถา “กึ นุ โข อปุ าสก ทกุ ฺขิโตสีติ ดกู ่อนอบุ าสก (อ.ทา่ น) เป็นผ้ถู งึ แล้วซง่ึ ทกุ ข์ ปจุ ฺฉิตฺวา, เตน ปตุ ฺตวโิ ยคทกุ ฺเข อาโรจิเต “อปุ าสก หนอ แล ดังนี,้ ครัน้ เม่ือทุกข์เพราะความพลัดพรากจากบุตร มา จินฺตยิ, อิทํ มรณํ นาม น เอกสมฺ ึ ฐาเน, น จ อ(อยนั า่ กคฎุดิ แมุ ลพ้วี),นชนั้อื่ กราบทลู แล้ว ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอบุ าสก (อ.ทา่ น) เอกสเฺ สว โหต;ิ ยาวตา ปน ภวปปฺ วตฺติ นาม อ.ความตาย นี ้(ยอ่ มม)ี ในท่ี หนงึ่ หามไิ ด้ ด้วย, ยอ่ มมี อตฺถิ, สพฺพสตฺตานํ มรณํ โหตเิ ยว; เอกสงฺขาโรปิ (แก่บุคคล) หนึ่งนั่นเทียว หามิได้ ด้วย, ก็ ชื่อ อ.ความเป็ นไป นิจฺโจ นาม นตฺถิ; ตสฺมา `มรณธมมฺ ํ มตํ, ท่ัวแห่งภพ มีอยู่ ก�ำหนดกาลเพียงใด, อ.ความตาย ย่อมมี ภิชฺชนธมมฺ ํ ภินฺนนฺติ โยนิโส ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ, แก่สตั ว์ทงั้ ปวงท.นนั่ เทียว(ก�ำหนดกาลเพียงนนั้ ),แม้ อ.สงั ขารหนงึ่ น โสจิตพฺพํ; โปราณกปณฺฑิตา หิ ปิ ยปตุ ฺตสสฺ ชอื่ วา่ เทย่ี ง ยอ่ มไมม่ ,ี เพราะเหตนุ นั้ อ.นามและรปู (อนั ทา่ น) พงึ พจิ ารณา มตกาเล `มรณธมมฺ ํ มตํ, ภิชฺชนธมมฺ ํ ภินฺนนฺติ โดยอุบายอันแยบคาย ว่า (อ.ธรรมชาต) มีอันตายเป็ นธรรม โสกํ อกตฺวา มรณสสฺ ตเิ มว ภาวยสึ ตู ิ วตฺวา “ภนฺเต ตายแล้ว, (อ.ธรรมชาต) มีอันแตกไปเป็ นธรรม แตกไปแล้ว เก ปณฺฑิตา เอวํ อกํส;ุ กทา จ อกํส;ุ อาจิกฺขถ เมติ ดงั นี ้ ฯ (อนั ทา่ น) ไมพ่ งึ เศร้าโศก, เพราะวา่ อ.บณั ฑติ ผ้มู ใี นกาลกอ่ น ท. ยาจิโต ตสฺสตฺถสสฺ ปกาสนตฺถํ อตีตํ อาหริตฺวา (พิจารณาแล้ว) วา่ (อ.ธรรมชาต) มีอนั ตายเป็นธรรม ตายแล้ว, (อ.ธรรมชาต) มีอันแตกไปเป็ นธรรม แตกไปแล้ ว ดังนี ้ ไมก่ ระท�ำแล้ว ซง่ึ ความเศร้าโศก ยงั มรณสตนิ น่ั เทียว ให้เจริญแล้ว ในกาล แห่งบุตรผู้เป็ นท่ีรัก ตายแล้ว ดังนี ้ ผู้ ท(.อันเหกลุฎา่ ุมไหพนี) ทลู วงิ วอนแล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.บณั ฑิต ได้กระทำ� แลว้ อยา่ งนี ้ด้วย, ได้กระทำ� แลว้ ในกาลไร ด้วย, (อ.พระองค์ ท.) ขอจงตรัสบอก แก่ข้าพระองค์ เถิด ดงั นี ้ ทรงน�ำมาแล้ว ซงึ่ เรื่อง อนั ลว่ งไปแล้ว เพอื่ อนั ทรงประกาศ ซงึ่ เนอื ้ ความ นนั้ ทรงยงั อรุ คชาดก ในปัญจกนิบาต นี ้วา่ (อ.บตุ ร ของขา้ พเจ้า) ย่อม ละ ซึ่งสรีระอนั เป็นของตน ไป “อรุ โคว ตจํ ชิณฺณํ หิตฺวา คจฺฉติ สนตฺ นํ,ุ เพียงดงั (อ.สตั ว์) ผูไ้ ปดว้ ยอก (ละ) ซ่ึงหนงั อนั คร่�ำคร่า เอวํ สรีเร นิพโฺ ภเค เปเต กาลกเต สติ, แล้ว (ไปอยู่) , คร้ันเมื่อสรีระ เป็นสรีระมีอนั ใช้สอย- ฑยฺหมาโน น ชานาติ ญาตีนํ ปริเทวิตํ, ออกแล้ว (มีอยู่) อย่างนี้ (คร้ันเมื่อบุตร ของข้าพเจ้า) ตสฺมา เอตํ น โสจามิ, คโต โส ตสสฺ ยา คตีติ ละไปแล้ว เป็ นผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ว มีอยู่, อ.บตุ ร ของขา้ พเจา้ นี้ (อันบุคคล) เผาอยู่ ย่อมไม่รู้ ซึ่งความคร�่ำครวญ แหง่ ญาติ ท., เพราะเหตนุ นั้ อ.ขา้ พเจา้ ยอ่ มไมเ่ ศรา้ โศก(เพราะอาศยั ซงึ่ บตุ ร ผมู้ ีกาละอนั กระทำ� แลว้ ) นน่ั , อ.คติ (แหง่ บตุ รของขา้ พเจา้ นี)้ นน้ั ใด (มีอย)ู่ ,(อ.บตุ ร ของขา้ พเจา้ ) นนั้ ไปแลว้ (สคู่ ติ นนั้ ) ดงั นี้ ให้พิสดารแล้ว ตรัสแล้ว วา่ อ.บณั ฑิต ท. ในกาลก่อน ครัน้ เมื่อบตุ ร อิมํ ปญฺจกนิปาเต อรุ คชาตกํ วติ ฺถาเรตฺวา “เอวํ ผ้เู ป็นที่รัก เป็นผ้มู ีกาละอนั กระท�ำแล้ว (มีอย)ู่ อยา่ งนี,้ ปพุ ฺเพ ปณฺฑิตา ปิ ยปตุ ฺเต กาลกเต, 142 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
อ.ทา่ น สละวิเศษแล้ว ซง่ึ การงาน ท. มีอาหารออกแล้ว ยอ่ มเท่ียว ยถา เอตรหิ ตฺวํ กมมฺ นฺเต วสิ ฺสชฺเชตฺวา นิราหาโร ร้องไห้อยู่ ในกาลนี ้ ฉนั ใด, ไมเ่ ท่ียวไปแล้ว ฉนั นนั้ ไมก่ ระท�ำแล้ว โรทนฺโต วิจรส,ิ ตถา อวิจริตฺวา มรณสสฺ ตภิ าวนาวเสน ซงึ่ ความโศก ด้วยอ�ำนาจแหง่ อนั ยงั มรณสตใิ ห้เจริญ บริโภคแล้ว โสกํ อกตฺวา อาหารํ ปริภญุ ฺชสึ ุ กมมฺ นฺตญฺจ ซง่ึ อาหาร ด้วย ตงั้ ใจไว้มนั่ แล้ว ซง่ึ การงาน ด้วย, เพราะเหตนุ นั้ อมาธิฏจฺ ฐินหฺตึสยุ;ิ, ตสฺมา `ปิ ยปุตฺโต เม กาลกโตติ อ.ทา่ น อยา่ คดิ แล้ว วา่ อ.บตุ รผ้เู ป็นท่ีรัก ของเรา เป็นผ้มู ีกาละ อปุ ปฺ ชฺชมาโน หิ โสโก วา ภยํ วา ปิ ยเมว อนั กระท�ำแล้ว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี,้ จริงอยู่ อ.ความโศก หรือ หรือวา่ นิสสฺ าย อปุ ปฺ ชฺชตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห อ.ความกลวั เมื่อเกิดขนึ ้ ยอ่ มเกิดขนึ ้ เพราะอาศยั (ซง่ึ สตั ว์ หรือ หรือวา่ ซงึ่ สงั ขาร) อนั เป็นท่ีรักนน่ั เทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ “ปิ ยโต ชายเต โสโก, ปิ ยโต ชายเต ภยํ, อ.ความโศก ย่อมเกิด (แต่สตั ว์ หรือ หรือว่า แต่สงั ขาร) ปิ ยโต วิปปฺ มตุ ฺตสสฺ นตฺถิ โสโก, กโุ ต ภยนตฺ ิ. อนั เป็นทีร่ กั , อ.ความกลวั ย่อมเกิด (แต่สตั ว์ หรือ หรือว่า แต่สงั ขาร) อนั เป็นทีร่ กั , (เมือ่ บคุ คล) หลดุ พน้ วิเศษแลว้ (จากสตั ว์ หรือ หรือวา่ จากสงั ขาร) อนั เป็นทีร่ กั , อ.ความโศก ย่อมไม่มี, อ.ความกลวั (จกั มี) (แต่ที)่ ไหน ดงั นี้ ฯ ตตฺถ “ปิ ยโตต:ิ วสฏตฺฏฺตมํ ลู วโาก หิ โสโก วา ภยํ วา อ.อรรถ วา่ ก็ อ.ความโศก หรือ หรือวา่ อ.ความกลวั อนั มวี ฏั ฏะ อปุ ปฺ ชฺชมานํ ปิ ยเมว สงฺขารํ วา นิสสฺ าย เป็นมลู เมื่อเกิดขนึ ้ ยอ่ มเกิดขนึ ้ เพราะอาศยั ซงึ่ สตั ว์ หรือ หรือวา่ อปุ ปฺ ชฺชต,ิ ตโต ปน วิปปฺ มตุ ฺตสฺส อภุ ยํเปตํ นตฺถีติ ซง่ึ สงั ขาร อนั เป็นทร่ี กั นน่ั เทยี ว, แตว่ า่ (เมอื่ บคุ คล) หลดุ พ้นวเิ ศษแล้ว อตฺโถ. (จากสตั ว์ หรือ หรือวา่ จากสงั ขาร อนั เป็นที่รัก) นนั้ อ.ความโศก หรือความกลวั นนั่ แม้ทงั้ ๒ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้(ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ปิ ยโต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ สมปฺ เตทฺตสานนาํ วสสาาตเฺถนิกากฏุ เทมุ สพฺ นิโกา โสตาปตฺตผิ เล ปตฏิ ฺฐหิ. ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา เป็อน.เกทฎุ ศมุ นพาีเป็นตไงั้ปอกยบั เู่ ฉดพ้วายะวแาลจ้วา อโหสีต.ิ ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระเทศนา มีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่ง(จกบุฎแุมลพ้วคี ) นฯใดคนหน่ึง อญญฺ ตรกุฏุมพฺ กิ วตถฺ ุ. ๓. วสิ าขาอุปาสกิ าวตถฺ ุ. ๓. อ.เร่ืองแห่งอุบาสกิ าช่ือว่าวสิ าขา (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ “เปมโต ชายเตติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ วหิ รนฺโต วิสาขํ อปุ าสกิ ํ อารพฺภ กเถส.ิ ซึ่งอุบาสิกา ช่ือว่าวิสาขา ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า เปมโต ชายเต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ สา กิร ปตุ ฺตสสฺ ธีตรํ สทุ ตฺตึ นาม กมุ าริกํ อตฺตโน ได้ยนิ วา่ (อ.นางวสิ าขา) นนั้ ตงั้ ไว้แล้ว ซง่ึ เดก็ หญงิ ชอื่ วา่ สทุ ตั ตี ฐาเน ฐเปตฺวา เคเห ภิกฺขสุ งฺฆสฺส เวยฺยาวจฺจํ กาเรส.ิ ผ้เู ป็นธดิ า ของบตุ ร ในฐานะ ของตน (ยงั เดก็ หญงิ นนั้ ) ให้กระทำ� แล้ว ซงึ่ ความขวนขวาย แก่หมแู่ หง่ ภิกษุ ในเรือน ฯ ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 143 www.kalyanamitra.org
โดยสมยั อ่ืนอีก (อ.เดก็ หญิง) นนั้ ได้กระท�ำแล้ว ซง่ึ กาละ ฯ สา อปเรน สมเยน กาลมกาสิ. สา ตสฺสา (อ.นางวสิ าขา) นนั้ (ยงั บคุ คล) ให้กระท�ำแล้ว ซงึ่ การฝังซงึ่ สรีระ สรีรนิกฺเขปํ กาเรตฺวา โสกํ สนฺธาเรตํุ อสกฺโกนฺตี (ของเดก็ หญงิ ) นนั้ ไมอ่ าจอยู่ เพอ่ื อนั อดกลนั้ ซง่ึ ความโศก เป็นผ้มู ที กุ ข์ ทกุ ฺขินี ทมุ ฺมนา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เป็นผ้มู ใี จอนั โทษประทษุ ร้ายแลว้ (เป็น) ไปแลว้ สสู่ ำ� นกั ของพระศาสดา เอกมนฺตํ นิสีทิ. ถวายบงั คมแล้ว นงั่ แล้ว ณ สว่ นข้างหนงึ่ ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนวสิ าขา อ.ทา่ น อถ นํ สตฺถา “กึ นุ โข ตฺวํ วสิ าเข ทกุ ฺขินี เป็นผ้มู ีทกุ ข์ เป็นผ้มู ีใจอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว เป็นผ้มู ีหน้าอนั ชมุ่ ทมุ มฺ นา อสฺสมุ ขุ า โรทมานา นิสนิ ฺนาสีติ อาห. ด้วยน�ำ้ ตา (เป็น) เป็นผ้นู งั่ ร้องไห้ อยแู่ ล้ว ยอ่ มเป็น เพราะเหตไุ ร หนอ แล ดงั นี ้ (กะนางวิสาขา) นนั้ ฯ (อ.นางวสิ าขา) นนั้ กราบทลู แล้ว ซง่ึ เนอื ้ ความ นนั้ กราบทลู แล้ว วา่ สา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา “ปิ ยา เม ภนฺเต สา ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.เดก็ หญิง) นนั้ ผ้เู ป็นท่ีรัก ของหมอ่ มฉนั กมุ าริกา วตฺตสมปฺ นฺนา, อิทานิ ตถารูปํ น ปสฺสามีติ เป็นผ้ถู งึ พร้อมแล้วด้วยวตั ร (ยอ่ มเป็น), อ.หมอ่ มฉนั ยอ่ มไมเ่ หน็ อาห. “กิตฺตกา ปน วิสาเข สาวตฺถิยํ มนสุ สฺ าติ. (ซงึ่ เดก็ หญงิ )ผ้มู รี ปู อยา่ งนนั้ ในกาลนีด้ งั นีฯ้ (อ.พระศาสดาตรสั ถามแล้ว) “ภนเฺ ต ตมุ เฺ หหเิ ยว เม กถติ ํ `สาวตถฺ ยิ ํ สตตฺ ชนโกฏโิ ยต.ิ วา่ ดกู อ่ นวสิ าขา ก็ อ.มนษุ ย์ ท. ในเมอื งชอ่ื วา่ สาวตั ถี มปี ระมาณเทา่ ไร ดังนี ้ ฯ (อ.นางวิสาขา กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ.พระด�ำรัส) วา่ อ.โกฏิแหง่ ชน ท. ๗ ในเมืองชื่อวา่ สาวตั ถี (ดงั นี)้ อนั พระองค์ ท. นนั่ เทียว ตรัสบอกแล้ว แก่หมอ่ มฉนั ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ก็ ถ้าวา่ อ.ชน มีประมาณเทา่ นี ้ “สเจ ปนายํ เอตฺตโก ชโน ตว นตฺตาย สทิโส นี ้เป็นผ้เู ชน่ กบั ด้วยหลาน ของทา่ น พงึ เป็น ไซร้, อ.ทา่ น พงึ ปรารถนา ภเวยยฺ , อจิ เฺ ฉยยฺ าสิ นนตฺ .ิ “อาม ภนเฺ ตต.ิ “กตี ปน ชนา (ซง่ึ ชน) นนั้ หรือ ดงั นี ฯ้ (อ.นางวสิ าขา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค-์ สาวตฺถิยํ เทวสกิ ํ กาลํ กโรนฺตีต.ิ “พหู ภนฺเตต.ิ ผ้เู จริญ เพคะ (อ.อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั ถามแล้ว) วา่ “นนุ เอวํ สนฺเต ตว โสจนกาโล น ภเวยฺย, รตฺตนิ ฺทิวํ ก็ อ.ชน ท. เทา่ ไร ในเมืองชื่อวา่ สาวตั ถี ยอ่ มกระท�ำ ซง่ึ กาละ ทกุ ๆ โรทนฺตีเยว วจิ เรยฺยาสตี .ิ “โหตุ ภนฺเต, ญาตํ มยาติ. วนั ดงั นี ้ ฯ (อ.นางวิสาขา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ชน ท.) มาก (ในเมอื งชอื่ วา่ สาวตั ถี ยอ่ มกระทำ� ซง่ึ กาละ ทกุ ๆ วนั ) ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั ถามแล้ว) วา่ (ครนั้ เมอื่ ความเป็น) อยา่ งนนั้ มีอยู่ อ.กาลเป็นท่ีเศร้าโศก แหง่ ทา่ น ไมพ่ งึ มี มิใชห่ รือ, อ.ทา่ น พงึ เท่ียว ร้องไห้อยู่ ตลอดคืนและวนั นนั่ เทียว ดงั นี ้ฯ (อ.นางวิสาขา กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ.ข้อนั่น) จงมีเถิด, (อ.เหตนุ น่ั ) อนั หมอ่ มฉนั ทราบแล้ว ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.ทา่ น) อถ นํ สตฺถา “เตนหิ มา โสจิ, โสโก วา ภยํ วา อยา่ เศร้าโศกแล้ว อ.ความโศก หรือ หรือวา่ อ.ความกลวั ยอ่ มเกิด เปมโต ชายตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห แตค่ วามรัก ดงั นี ้(กะนางวสิ าขา) นนั้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.ความโศก ย่อมเกิด แต่ความรกั , อ.ความกลวั ย่อมเกิด “เปมโต ชายเต โสโก, เปมโต ชายเต ภยํ; แต่ความรกั , (เมือ่ บคุ คล) หลดุ พน้ วิเศษแลว้ จากความรกั เปมโต วิปปฺ มตุ ฺตสฺส นตฺถิ โสโก, กโุ ต ภยนตฺ ิ. อ.ความโศก ย่อมไม่มี, อ.ความกลวั (จกั มี) (แต่ที)่ ไหน ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ เพราะอาศยั ซงึ่ ความรัก อนั (อนั ตน) กระท�ำแล้ว ตตฺถ “เปมโตต:ิ ปตุ ฺตธีตาทีสุ กตํ เปมเมว (ในปิ ยชน ท.) มีบตุ รและธิดาเป็นต้น นน่ั เทียว ดงั นี ้ (ในบท ท.) นิสฺสายาติ อตฺโถ. เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ เปมโต ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งอุบาสกิ าช่ือว่าวสิ าขา วสิ าขาอุปาสกิ าวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 144 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org
๔(อ.ันอข.เ้ารพ่ือเงจแ้าหจ่งเะจก้าลล่าจิ วฉ)ฯวี ๔. ลจิ ฉฺ ววิ ตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อทรงอาศยั ซง่ึ เมืองช่ือวา่ เวสาลี ประทบั อยู่ “รตยิ า ชายเตติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวสาลึ ในกุฏาคารศาลา ทรงปรารภ ซ่ึงเจ้ าลิจฉวี ท. ตรัสแล้ว นิสสฺ าย กฏู าคารสาลายํ วิหรนฺโต ลจิ ฺฉวี อารพฺภ ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ รตยิ า ชายเต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ กเถส.ิ ได้ยนิ วา่ (อ.เจ้าลจิ ฉวี ท.) เหลา่ นนั้ ผ้ทู รงประดบั แล้ว ซง่ึ กนั และกนั เต กิร เอกสมฺ ึ ฉณทิวเส อญฺญมญฺญํ อสทิเสหิ ด้วยเคร่ืองประดบั ท. อนั ไมเ่ หมือนกนั เสดจ็ ออกไปแล้ว จากเมือง อลงฺกาเรหิ อลงฺกตา อุยฺยานคมนตฺถาย นครา เพื่อประโยชน์แก่อนั เสดจ็ ไปสอู่ ทุ ยาน ในวนั แหง่ มหรสพ วนั หนง่ึ ฯ นิกฺขมสึ .ุ อ.พระศาสดา เสด็จเข้าไปอยู่ เพื่อก้อนข้าว ทรงเห็นแล้ว สตฺถา ปิ ณฺฑาย ปวิสนฺโต เต ทิสวฺ า ภิกฺขู (ซง่ึ เจ้าลจิ ฉวี ท.) เหลา่ นนั้ ตรัสเรียกมาแล้ว ซง่ึ ภิกษุ ท. ตรัสแล้ว วา่ อามนฺเตสิ “ปสฺสถ ภิกฺขเว ลจิ ฺฉวโิ น, เยหิ เทวา ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.เธอ ท.) จงดู ซงึ่ เจ้าลจิ ฉวี ท. เถิด, อ.เทพ ท. ตวตาฺววตาสึ นาครํนปาทวิฏสิ ฺ.ิฐปพุ ฺพา, เต อิเม โอโลเกนฺตตู ิ ผ้อู ยใู่ นภพชื่อวา่ ดาวดงึ ส์ เป็นผู้ อนั ภิกษุ ท.) เหลา่ ใด ไมเ่ คยเหน็ แล้ว (ยอ่ มเป็น), (อ.ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ จงแลดู (ซงึ่ เจ้าลจิ ฉวี ท.) เหลา่ นี ้ เถิด ดงั นี ้ได้เสดจ็ เข้าไปแล้ว สเู่ มือง ฯ (อ.เจ้าลจิ ฉวี ท.) แม้เหลา่ นนั้ เสดจ็ ไปอยู่ สอู่ ทุ ยาน ทรงพาเอา เตปิ อยุ ฺยานํ คจฺฉนฺตา เอกํ นครโสภินึ อิตฺถึ ซง่ึ หญิง ผ้ยู งั เมืองให้งาม นางหนงึ่ ไปแล้ว ทรงอาศยั แล้ว อาทาย คนฺตฺวา ตํ นิสฺสาย อิสสฺ าภิภตู า (ซง่ึ หญิง) นนั้ ผ้อู นั ความริษยาครอบง�ำแล้ว ทรงประหารแล้ว อญฺญมญฺญํ ปหริตฺวา โลหิตํ นทึ วยิ ปวตฺตยสึ .ุ ซงึ่ กนั และกนั ทรงยงั พระโลหติ อนั ราวกะวา่ แมน่ ำ� ้ ให้เป็นไปทวั่ แล้ว ฯ อถ เน มญฺเจหิ อาทาย อกุ ฺขิปิ ตฺวา อาคมสึ .ุ ครัง้ นัน้ (อ.ราชบุรุษ ท.) พาเอาแล้ว (ซ่ึงเจ้าลิจฉวี ท.) เหล่านัน้ ด้วยเตียง ท. ยกขนึ ้ แล้ว มาแล้ว ฯ แม้ อ.พระศาสดา มีกิจด้วยภตั รอนั ทรงกระท�ำแล้ว เสดจ็ ออก สตฺถาปิ กตภตฺตกิจฺโจ นครา นิกฺขมิ. ภิกฺขู แล้ว จากเมอื ง ฯ อ.ภกิ ษุ ท. เหน็ แล้ว ซง่ึ เจ้าลจิ ฉวี ท. ผู้ (อนั ราชบรุ ุษ ท.) ลจิ ฺฉวโิ น ตถา นียมาเน ทิสวฺ า สตฺถารํ อาหํสุ น�ำไปอยู่ อยา่ งนนั้ กราบทลู แล้ว กะพระศาสดา วา่ ข้าแตพ่ ระองค์- “ภนฺเต ลจิ ฺฉวิราชาโน ปาโตว อลงฺกตปปฺ ฏิยตฺตา ผ้เู จริญ อ.เจ้าลจิ ฉวี ท. ผ้ทู งั้ ทรงประดบั แล้วทงั้ ทรงตกแตง่ แล้ว เทวา วิย นครา นิกฺขมิตฺวา อิทานิ เอกํ อิตฺถึ เป็นราวกะวา่ เทพ (เป็น) เสดจ็ ออกไปแล้ว จากเมือง ในเวลาเช้า นิสสฺ าย อิมํ พฺยสนํ ปตฺตาต.ิ เทียวทรงอาศยั แล้วซงึ่ หญิงนางหนงึ่ ทรงถงึ แล้วซงึ่ ความฉิบหายนี ้ ในกาลนี ้ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.ความโศก หรือ สตฺถา “ภิกฺขเว โสโก วา ภยํ วา อปุ ปฺ ชฺชมานํ หรือวา่ อ.ความกลวั ยอ่ มเกิดขนึ ้ เพราะอาศยั ซงึ่ ความยินดี นน่ั รตึ นิสฺสาย อปุ ปฺ ชฺชตเิ ยวาติ วตฺวา อิมํ คาถมาห เทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.ความโศก ย่อมเกิด แต่ความยินดี, อ.ความกลวั “รติยา ชายเต โสโก, รติยา ชายเต ภยํ; ย่อมเกิด แต่ความยินดี, (เมื่อบคุ คล) หลดุ พน้ วิเศษ รติยา วิปปฺ มตุ ฺตสฺส นตฺถิ โสโก, กโุ ต ภยนตฺ ิ. จากความยินดี อ.ความโศก ยอ่ มไมม่ ี, อ.ความยินดี จกั มี (แต่ที)่ ไหน ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) แตค่ วามยินดีในกามคณุ ๕ (ดงั นี ้ ในบท ท.) ตตฺถ “รตยิ าต:ิ ปญฺจกามคณุ รติโต, ตํ นิสสฺ ายาติ เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ รตยิ า ดงั นี ้ฯ อ.อธิบาย วา่ เพราะอาศยั อตฺโถ. (ซงึ่ ความยินดีในกามคณุ ๕)นนั้ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งเจ้าลิจฉวี ลจิ ฉฺ ววิ ตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลติ สื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 145 www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196