Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อุบาสิกาเเก้วยอดหญิงผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกฉบับเป็นสุขด้วยธรรม

อุบาสิกาเเก้วยอดหญิงผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกฉบับเป็นสุขด้วยธรรม

Description: อุบาสิกาเเก้วยอดหญิงผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกฉบับเป็นสุขด้วยธรรม

Search

Read the Text Version

11 ยอดหญิงผู้นำหืเนฟูสืลธรรมโลก ฉบับเป็นสุขด้วยธรรม i. («) www.kalyanamitra.org

j Mi*®ล/เ เ ยอฟิหญิฟ็นู้นๆสันฟูฟึลรร;มโลก «, ^ ฃ <น ฉบับ \"เป็นสขด้วยธรรม\" พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตตเโว) www.kalyanamitra.org

คำ นำ พระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงห้วงบุญกศล ซึ่งนำสุขมาให้ เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุฃเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ เป็นไปเพื่อ เกื้อกูลเพื่อสุขที่นำปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจดังมีใจความโดยสังเขป ดังนี้ ^ดมีศรัทธาในตถาคต ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีสืลงาม เป็นสืลที่ พระอริยะชอบใจ (และ) สรรเสริญ มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมี ความเห็นตรง {เห็นว่าพระอรหันต์เป็นผู้สุจริต) บัณฑิตทั้งหลายเรียกผู้ นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของเขาก็ไม่สูญเปล่า เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาเมื่อระลึกถึงคำสังสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ควรหมั่นประกอบศรัทธา ดีล ความเลื่อมใส(ในพระรัตนตรัย) และการเห็น (สัจ) ธรรม จากพุทธภาษิตนี้ย่อมเห็นได้ว่า การมีความเชื่อมั่นในพระธรรม คำ สั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย การ ตั้งใจรักษาดีล และพากเพียรเจริญสัมมาสมาธิจนสามารถเห็นธรรม คึอ ห้วงบุญกุศล ที่จะนำความสุขมาให้ในปัจจุบันชาต เมื่อละโลกไปแล้ว ย่อมไปบังเกิดในสวรรค์ ดังนั้น บรรดาอุบาสิกาแก้วทั้งหลาย ที่เข้ามาบวชในโครงการบวช อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ๕๐๐,๐๐๐ คน ในครั้งนี้ ย่อมชื่อว่าได้ดำเนิน การสร้างห้วงบุญกุศลตามพุทธภาษิตแล้ว หลังจากจบโครงการ ถ้าท่าน ยังคงปาเพ็ญ ดีล สมาธิ ปัญญา อย่างต่อเนื่อง ห้วงบุญกุศลของท่านก็ จะมีอานุภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะอำนวยผลให้ท่านประสบสุขยิ่งขึ้นทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ชุบ!รกานก้ว ยรพ! าส์ไ.rtflBtrTulรก &บับ \"ulttMihwrMj* (^) ค่านา www.kalyanamitra.org

หนังสีอ อุบาสีกาแก้ว ยอดหญิงผู้นำหื้เนฟูสีลธรรมโลก ฉบบ \"เป็นสุขด้วยธรรม\"ฉบับนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านเกิดวิริยะอุตสาหะ บำ เพ็ญ สืล สมาธิ ปัญญา ให้ก้าวหนัายิ่งๆ ขึ้นไปอีก หากท่านได้อ่าน ทบทวนหลายๆ ครั้ง จนเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้ง ยิ่งกว่านั้น ความรู้ความเข้าใจธรรมะต่างๆ ในหนังสิอเล่มนี้ จะ เป็นพื้นฐานสำคัญในการลึกษาธรรมะในพระไตรปิฎกด้วยตนเองต่อไปอีก ซึ่งจะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในภูมิธรรมของตนยิ่งขึ้น ในขณะที่ท่านไป ทำ หน้าที่กัลยาณมิตรให้แก่สมาชิกในครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง ตลอดจนทำหน้าที่พื่เลี้ยงอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ในรุ่นต่อๆ ไป เพื่อการ ในโอกาสนี้ คณะผู้จัดทำขอกราบขอบพระคุณในความเมตตา ของพระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ {หลวงพ่อทัตตชีโว) รองเจ้า- อาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นอย่างสูง ที่อนุญาตให้คณะผู้จัดทำ น่าพระ- ธรรมเทศนาของท่าน มาเรียบเรียงเป็นหนังลึอเล่มนี้ และหวังเป็น อย่างยิ่งว่า หนังสิอเล่มนี้จะอำนวยประโยชน์ให้แก่อุบาสิกาแก้ว หน่ออ่อนทุกท่านเป็นอย่างดี ท้ายที่สุดนี้ คณะผู้จัดทำขออนุโมทนา และขออำนาจกุศลผลบุญ แห่งความศรัทธาในพระรัตนตรัย และห้วงบุญกุศลที่ท่านสรรค์สร้างแล้ว จงดลบันดาลให้อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนทุกท่าน ประสบแต่ความสุขและ ความเจริญ ตลอดทั้งโลกนี้และโลกหน้า ตราบเท่าถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ ขอขอบพระคุณ คณะผู้จัดทำ เมษายน ๒๕๕๓ quiSnWb u^fmญิง (ผับ ๆรนชุฟhsmH* (d) ทำ นา www.kalyanamitra.org

อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน หมายถึง อุบาสิกาผู้มีสีล ๘ เป็นอาภรณ์ประดับกาย วาจา ใจ และปฏิบ้ติตามทางสายกลาง คอ อริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมงดงามบริสุทธ ประดุจดอกไม้แก้วแรกแย้ม เช่นนี้จึงได้ชี่อว่า อุบาสิกาผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัยอย่างแท้จริง www.kalyanamitra.org

สารบัญ คำ นำ หน้า ๑. อยูเป็นสุขด้วยธรรมะ (๔) ความทุกข์ ๒ แบบ ๔ คนเราเกดมาทำไม ๖ ๒. คุณสมบัติของอุบาสิกาแก้ว ๙ ๑. เป็นผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ๑ฅ ๒. เป็นผ้มีศีล ๑๖ ๓.ไม่ถือมงคลตื่นข่าว (เชื่อเรื่องกรรม) ๓๑ ๔. ไม่แสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพุทธศาสนา ๕. ทำ บุญไนพระพุทธศาสนา (1๒ ฅ. บทแกห้าฟ้องแห่งสิวิต ๕๙ ๘๑ หลักการปลูกฝ็งนิสัยที่ดีงาม ๙๔ อานิสงส์ของการบวชอุบาสิกาแก้ว ๙๙ ๑๓๕ รุบาสิทแก้า บ2»ท1ญิ;พู้บ่'1รน^รร11าา}เโรก ฬบ ■เป็นชุขก้าชพม\" (ฅ1) สารปัญ www.kalyanamitra.org

๑ อยู่เป็นสุขด้วยธรรม www.kalyanamitra.org

ไ www.kalyanamitra.org

เรื่อง \"คนเราเกิดมาทำไม\" นันทนา ถามอะไรหน่อยสิ เจ คนเราเกิดมาทำไม เจริญใจ ไม่รู้ชี พ่อกับแม่ ก็ไม่เห็นเคยบอกเลย นันทนา บอกหน่อยได!หมรุ่ง ว่า \"คนเราเกิดมาทำไม\" วรรณรัตน์ สงสัยเมื่อคืนนอนไม่หลับ หรือว่าฝืนร้าย วันนี้ หญิงนันท์ จึงมีคำถามแปลกๆ แด'เช้าเชียว เราว่าต้องมีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ เลย น์นทนา ก็เมื่อวานนี้าเะซี ไปเดินเล่นที่ซอปปิงเซนเตอร์ ก็มีนักคืกษา เอาไมค์มาจ่อปาก แล้วถามว่า คนเราเกิดมาทำไม วรรณรัตน์ ไม่เคยได้ยินบ้างเหรอใครๆ เขาก็พูดกันว่าคนเราเกิดมาใช้ กรรม นันทนา จรืงเหรอ งั้นคำตอบของเราก็...ไม่ลูกน่ะชี เจริญใจ เอ..., เราจะไปหาคำตอบเรื่องนี้!ด้ที่ไหนล่ะ รุ่งนภา ในพระไตรปีฎกก็คงจะมีนะ นันทนา พระไตรปิฎกเหรอ อยู่ที่ไหนล่ะ บริษัทของเราก็ไม่มีห้องสมุด รรรณรัตน์ ไปถามหลวงพ่อที่วัดแน่ะ ง่ายดี นันทนา วัดไหนล่ะ ฉันไม่เคยไปชักวัดเดียว เจริญใจ คุณสาธิต มาแล้ว ลองถามคุณสาธิตดูชี (สาธิตเดินเข้ามา ในห้องพร้อมกับปีเตอร์ชาวเยอรมัน) นันทนา เอ้อ, คุณสาธิต ช่วยตอบหน่อยชิว่า คนเราเกิดมาทำไม สาเต คำ ถามนี้ ต้องถามพีทดีกว่า เดี๋ยวนี้พีทเขาเก่งนะ ตั้งแต่ ลาสิกขาออกมาแล้วนี่พูดไทยเก่งขึ้นเยอะ แถมยังคุยธรรมะ ได้คล่องอีกด้วย กานก้'!ย พัน'ilh^cAiยทท\" (ท ป็นฟึขสัวนธรรมร www.kalyanamitra.org

รเตอร์ ะ ออ, พระใNทธเจ้าสอนว่า คนเราเกิดมาทำพระนิพพาน ให้แจ้งครับ เอ้อ,..ผมยังไม่เคยพบพระพุทธเจ้าหรอกครับ พระอุปัชฌาย์ท่านบอกตอนที่ผมเข้าพิธีบวชน่ะคร้บ ร่งนภา ะ นิพพาน หมายถึงอะไรคะ ป็เตอร์ นิพพาน แปลว่า หมดกิเลสครับ สารด แปลว่า ตาย ก็ได้ใช่ไหมครับ ใช่ครับ ตายแล้วก็พ้นจากสังสารวัฏไปเลยไม่กสับมาเกิดอีก หมดทุกข์อย่างเด็ดขาด แต่สำหรับพระพุทธเจ้าใช้ ปรินิพพาน... เสด็จดับข้นธปรินิพพาน นันทนา ะ ท่านปรินิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหนคะ ป็เตอร์ ะ อีอ, มีที่อยู่สำหรับผู้เข้านิพพานโดยเฉพาะ เรียกว่า อายตนะนิพพาน วรรณรัต่น์ ะ คุณพิทนี่ยอดเยี่ยมจริงๆพวกเราเป็นชาวพุทธ(ยกนิ้วให้)ยัง ไม่รู้เลย ป็เตอร์ ะ ไปบวชอุบาสิกาแก้วข้ครับ ตอนนิ้วัดพระธรรมกายกำสังมี โครงการบวชห้าแสนคน สาธิตก็จะไปบวชพระตอนเข้า พรรษาด้วยนะ รทรมโททผ่ผ้*|31ชุฟhtnrni' ๔ รย่เป็นสุธดวย&รรมร www.kalyanamitra.org

อยู่เป็นสุขด้วยธรรมะ สัจธรรมหรือความจริงอันประเสริฐประการแรก ที่พระสัมมา- สัมพุทธเจ้าทรงค้นพบจากการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ก็คีอ สิวิตนี้เป็น ทุกข์ ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์เหล่าใดเลยที่เกิดมาในโลกใบนี้แล้วจะพบ ความสุขล้วนๆ เพียงอย่างเดียว ไม่เว้นแม้แต่พระราชา มหากษัตริย์ ประธานาธิบดี มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก นักวิชาการ ดารา นักร้อง นักแสดง นักบวชในทุกศาสนา หรือแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรง เปียมด้วยบุญบารมี มีความเป็นเลิศยิ่งกว่าผู้ใดในภพ ๓ ความทุกข์เป็นลิงที่ทุกชีวิตต้องเผชิญ จะต่างกันก็ตรงที่มากหรือ น้อยเท่านั้น อะไรเล่าเป็นสาเหตุให้ความทุกข์ต้องเข้ามาก่อปัญหาให้แก่ ชีวิตมนุษย์ กิเลสที่แอบแฝงแนบแน่นติดอยู่ในใจคนเราตั้งแต่ปฏิสนธิ ในครรภ์มารดานั้นเอง ที่เป็นสาเหตุของความทุกข์ เมื่อใดก็ตามที่กิเลส มีอำ นาจเหนือจิตใจบุคคล ก็จะบังคับให้เขาคิดไม่ดี พูดไม่ดี และกระทำ ในลิงที่ไม่ดี ผลของการประกอบกรรมชั่วดังกล่าวก็คิอความทุกข์ ทรมานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามกฎของการกระทำ หรือที่ภาษา พระเรืยกว่า \"กฎแห่งกรรม\" คนเราโดยทั่วไปมักไม'ทราบความเป็นจริงของชีวิตเหล่านี้เลย จึง พยายามดิ้นรนแสวงหาความสุขโดยการดับทุกข์ให้แก่ตนเองด้วยวิธีการ ผิดๆ ซึ่งรังแต่จะสร้างวิบากกรรมเพิ่มขึ้นมาอีก เรืยกได้ว่าเป็นการดับ ทุกข์เก่า ด้วยการสร้างทุกข์ใหม่ให้กับชีวิต ด้วยเหตุนี้เองกงล้อแห่ง ความทุกข์จึงดำเนินไปอย่างไม่รู้จักจบลิน ทำ ให้ต้องเวียนตายเวียนเกิด เพราะวิบากแห่งกรรมชั่ว (ผลแห่งกรรมชั่วที่ทำไว้แต่ชาติก่อน) ที่ตน กระทำไว้เรื่อยไปโดยที่ไม่มีโอกาสล่วงรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงแห่งความทุกข์ ของตนเลย รุบฟ้ก!ผท้ uofiViiiK^uifiuijflinmfcn amj■ฟ้น(prifjsrrw (f ธย่เป็นสุรด้วยธรรมะ www.kalyanamitra.org

การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถือเป็นโอกาสอันลํ้าค่ายิ่ง ซองมวลมนุษยชาติ เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถรู้แจ้งเห็น แจ้งแทงตลอดในทุกเรื่องราวของสรรพสัตว์และสรรพสิงตามความเป็นจริง ด้วยกำลังแห่งพุทธญาณอันบริสุทธิ้ และด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์จึงทรงทำหน้าที่กลยาณมิตรตรัสแสดงความจริงต่างๆ ตาม ที่พระองค์ทรงเห็นแจ้งรู้แจ้ง ให้ชาวโลกได้รู้ตามพระองค์ไปด้วย ความทุกข์ ๒ แบบ แม้คนเราจะสามารถพรํ่าพรรณนาความทุกข์จากประสบการณ์ ชีวิตของตนได้มากมายเพียงใดก็ตาม แต่พระพุทธองค์ก็ทรงแปงความ ทุกข์ออกเป็น ๒ แบบ เท่านั้น คือ ๑. ทุกข์ประจำ ๒. ทุกข์จร ๑. ทุกข์ประจำ (สภาวทุกข์) เป็นความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสภาพธรรมดาของสัตว์ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องประสบ ทุกข์ชนิดนี้มี ๓ อย่าง ได้แก่ ๑) ความเกิดเป็นทุกข์ ๒) ความแก่เป็นทุกข์ ๓) ความตายเป็นทุกข์ ธุชารก!แสัาฆรรพญิงผู้นำพนฟุรรรรnit<naih;\"alu^t<ว่iiniH* ๖ 0ย่เป็นสุรเค')ยรรรUJ www.kalyanamitra.org

ศาสนาอื่นๆในโลก อย่างมากที่สุดก็บอกได้เพียงว่า ความแก่ ความ เจ็บ ความตายเป็นทุกข์ ส่วนความเกิดหรือการเกิดกลับถือว่าเป็นสุข เป็น พรพิเศษที่มีผู้ประทานมาจากสรวงสวรรค์ จึงจัดฉลองวันเกิดกันอย่าง เอิกเกริก ด้วยญาณทัศนะอันบริสุทธื้ สามารถเห็นแจ้งรู้แจ้งโลกตามความ เป็นจริง พระพุทธองค์จึงทรงชี้ให้เรารู้ว่า การเกิดนั่นแหละคือตัวทุกข์ทุกข์ ตั้งแต่อยูในครรภ์มารดา ทุกข์ในขณะที่คลอดจากครรภ์ ทุกข์ในขณะที่ พ้นจากครรภ์มารดามาแล้ว เพราะตัองช่วยตัวเองด้วยการหายใจเอง นับแต่วินาทีที่สายสะดือถูกตัดขาดจากรก อาการที่ปงบอกถึงความทุกข์ของการเกิดของเด็กทารกก็คือ ร้อง จ้าสุดเสืยง การเกิดนี่เองเป็นต้นเหตุและที่มาของความทุกข์อื่นๆ ทั้งปวง ถ้าหยุดเกิดได้อย่างถาวรเมื่อไรทุกข์ก็หยุดด้วย ความคิดนี้จะเป็นจริงได้ หรือไม่หนอ หลังจากที่ทุกข์เพราะเกิดแล้ว คนเราก็ต้องเผชิญกับทุกข์เพราะ ความแก่ คือความทรุดโทรมของร่างกาย หลังจากที่มีพ้ฒนาการจนถึง จุดที่สมถูรณ์ที่สุดแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มเสือมลงทีละน้อยตามกาลเวลา เนี่องจากจำนวนเชลล์ในร่างกายที่เกิดขึ้นมาใหม่น้อยกว่าจำนวนเชลล์ที่ ตายไป ความแข็งแรงสมถูรณ์ของร่างกายจึงถดถอยลงเริ่อยๆ เป็นเหตุ ให้การใช้ชีวิตประจำวันยากลำบากมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นโรคต่างๆ ก็มักจะ พากันรุมล้อมไม่ว่างเว้น ด้งนั้นความแก่จึงทำให้ทุกคนเป็นทุกข์มากขึ้น ไม่มีใครเลยที่มีความสุขกับสภาพร่างกายอันเสือมโทรมของตนเอง £(บาสิทแษ่ฑ้ ย8«ทญิงพุ้น่า^าา'สืรทามโรก ทบ้บ'ป้น^ทาบทาม\" £า1 อยู่เป็นสุชฟ้TJยรรพะ www.kalyanamitra.org

ต่อจากทุกข์เพราะแก่ ก็มาถึงคิวซองทุกข์เพราะความตาย บาง คนก็ตายอย่างทรมาน ต้องเจ็บปวดอย่างมาก แต่บางคนก็ตายอย่าง ไฝทันตั้งตัว แต่ไม'ว่าจะตายด้วยอาการอย่างไร ความตายก็นำความ ทุกข์มาให้เสมอ ทั้งแก่ผู้ตายและe5ใกล้ชิด นอกจากมนุษย์จะต้องเผชิญหน้ากับทุกข์ประจำใหญ่ๆ ทั้งสาม ประการแล้ว มนุษย์ยังต้องโดนรุมเร้าด้วยทุกข์จร ซึ่งเปรียบเสมือนแขก ที่ไม่ได้ร้บเชิญ ที่มาเยี่ยมเยือนทุกวันทุกเวลาตลอด ๒๔ชั่วโมงไม่มืว่างเว้น ๒. ทุกข์จร (ปกิณณกทุกข์- ปะ-กิณ-ณะ-กะ-ทุกข์) หรือทุกข์ เบ็ดเตล็ด เป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตใจหย่อนสมรรถภาพไม่สามารถ ทนต่อเรื่องภายนอกที่มากระทบตน จึงทำให้เกิดความทุกข์ ความไม่ สบายใจ พระพทธองค์ทรงแบ่งทุกข์จรออกเป็น ๘ อย่าง ดังนี้ ๑. ความเศร้าโศก ความแห้งใจ (โสกะ) ๒. ความครํ่าครวญรำพัน(ปริเทวะ) ๓. ความเจ็บไข์!ด้ปวย (ทุกซะ) ๔. ความน้อยใจ (โทมนัสสะ) ๕. ความท้อแท้ กลุ้มใจ (อุปายาสะ) ๖. ความเบื่อหน่ายจากการประสบสิงที่ไม่เป็นที่ร้ก(ล้มปะโยคะ) ๗. ความห่วงใย อันเกิดจากการพลัดพรากจากซองรัก (วิปปโยคะ) ๙. ความผิดหวัง ไม่สมปรารถนา (อลาภะ) อุนาสิmแ^ นชรทญิงยู้น่ฟ้น!;!สิล!mนโ๓&บน\"นิเนชุช#ายทพ\" ๘ ร^เป็นรุรสัวยธรรมะ www.kalyanamitra.org

คนเราเกิดมาทำไม ก่อนจะตอบคำถามนี้ ขอไห้เราลองสืกษาเรื่องที'ได้เกิดขึ้นแล้วใน สมัยพุทธกาล ด้งนี้ ในครั้งพุทธกาล นางกิสาโคตมีเป็นผู้มีบุญมาก สามารถจับเงิน ของเศรชุท่านหนึ่งซึ่งกลายเป็นถ่านไปแล้วให้กลับเป็นเงินอีกครั้งหนึ่ง เศรษฐีจึงมอบทร้พย์ให้นาง ๔๐ โกฏิ แล้วชวนนางมาเป็นสะใภ้ของตน หลังจากแต่งงานกับบุตรชายของเศรษฐีไม่นานนัก นางก็ตั้งครรภ์ เวลาผ่านไป ๑๐ เดือน จึงคลอดบุตรเป็นชาย แต่เมื่อทารกนั้นเดินได้ ก็เสียชีวิต ด้วยเหตุที่นางไม'เคยรู้เรื่องความตาย ไม่เคยเห็นคนตาย นาง จึงอุ้มบุตรตระเวนไปถามหายาเพื่อทำให้บุตรฟืน คนทั้งหลายพากันพูด กับนางว่า \"เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ เจ้าเที่ยวถามหายาเพื่อบุตรที่ตายแล้ว\" แต่นางก็ยังหวังว่าจะได้พบคนที่รู้จักยาเพื่อรักษาบุตรของนาง จึง ตระเวนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบบุรุษผู้เป็นบัณฑิตท่านหนึ่ง เขา แ^แะนำให้นางไปเฝ็าพระลัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องราวและความปรารถนาของนาง แล้ว จึงทรงออกอุบายให้นางไปหายา ดือเมล็ดพันธ์ผักกาดประมาณ หนึ่งหยิบมือ มาจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย ทุกบ้านที่นางไป ตั้งแต่ เช้าจรดเย็น ล้ว'นมืเมล็ดพันธ์ผักกาด และพร้อมที่จะมอบให้นาง แต่ ไม่มืลักบ้านเดียวที่ไม่เคยมืคนตาย แถมยังมีคนให้ความรู้แก่นางอีกว่า \"คนเป็นมีน้อย คนตายนั่นแหละมีมาก\" คำ พูดนี้ทำให้นางเกิดปัญญาเข้าใจความจริง นางมิได้รับเมล็ด- พันธุผักกาดจากบ้านใดขณะที่ครุ่นคิดถึงความจริงว่า\"คนเป็■แมีนัอย คน EjnSniurri ยรรทไญิงพุ้ ฟรร!rro.ใ?ท ฉป๋น'liluarfiย«»■ sf รย่เป็นสช!>1วษรรรJJS www.kalyanamitra.org

ตายนั่นแหละมีมาก\" ความเศร้าโศก เพราะความรักบุตรก็ค่อยๆ มลายหายไป นางจึงทิ้งศพของบุตรไวในปา แล้วเดินกลับไปสู่สำนักของ พระพุทธองค์ หลังจากที่ทรงไต่ถามนางแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสว่า \"เธอ เข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั้นตาย\", ความตายนั้นเรนธรรมยั่งยืน สำ หรับสัตว์ทั้งหลาย, ด้วยว่ามัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีสัธยาด้ย ยังไม่เต็มเร่ยมนั่นแล ลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงนํ้าใหญ่ฉะนั้น\" เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงตรัสพระคาถานี้ว่า \"มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์ของเลี้ยง ผู้มีใจท่าน ไปในอารมณ์ (เป รส กลิ่น เสิยง สัมผัส) ต่างๆ ไป ดุจห้รงนั้าใหญ่ พัดชาวบ้านผู้หสับไหลไปฉะนั้น\" ในกาลจบคาถา นางกิสาโคตมีดำรงอยู่ในโสดาป้ตติผล แม้ชน เหล่าอื่นเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาป้ตติผลเป็นต้น ดังนี้แล ฝ่ายนางกิสาโคตมีได้พูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ทรงล่งนาง ไปบรรพชาในสำนักของภิกบุณี วันหนึ่ง นางถือเอาเปลวเทียนที่ลุกโพลงแล้วหรี่ลงเป็นอารมณ์ พิจารณาว่า \"แมัสัดว์ทั้งหลายก็เปีนเท่นนั้เหมือนกน เกิดเนและดับไป ด้งเปลวเทียน ผู้ถึงพระนิพพานไม่ปรากฏอย่างนั้น\" พระสัมมาล้มพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ ณ พระคันธกุฎีทรงแฝพระ รัศมีไป ดุจดังนั่งอยู่ตรงหน้านาง ตรัสว่า อ!ุ ทสิกานm ย •ยู้ โลก5ฟ้ชฯรนชุtfcowai\" ๑0 อ^เป็นสุชส์วยธรรมะ www.kalyanamitra.org

\"อย่างนั้นแหละโดดมี สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเกิดและ ดับเหมีอนเปลวประทีป, ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ ปรากฏอย่างนั้น: ความเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของผู้ เห็นพระนิพพานประเสเฐกร่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของ (^ม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น\" ครั้นแล้วพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาต่อไปอีก เมื่อจบเทศนา นางกิสาโคตมี บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา(ปัญญา แตกฉาน)ทั้งหลาย ขณะนั่งอยู่ ณที่เดิม เมื่ออ่านเรื่องของนางกิสาโคตมีจบ ก็เชื่อมั่นว่า ท่านผู้อ่านคงได้ คำ ตอบแล้วว่า เราเกิดมาท่าไม จากประสบการณ์ชีวิตจริงของท่าน และจากเรื่องนี้ ท่านคง ตระหนักดีว่า ชีวิตคนเรานั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ทุกข์ประจำนั้นไม่มีใคร เลี่ยงได้ แต่ทุกข์จรนั้นเราสามารถหลีกเลี่ยงหรือผ่อนคลายได้ด้วย ปัญญาทางธรรมเท่านั้น มิใช่การหาที่พึ่งพิงนอกพระพุทธศาสนา หริอลี่ง อื่นใดที่ท่าให้ลีมความทุกข์เฉพาะหน้า อย่างไรก็ตาม ตราบที่ยังไม่บรรลุพระนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่าย ตายเกิด และทุกข์ทรมานอยู่ในคุกยักษ์ คือสังสารวัฏ อย่างไม่มีที่สินสุด วิถีทางบรรลุพระนิพพาน ก็คือการปฏิบัติสัมมาสมาธิอันประกอบ ด้วยองค์ ๗ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามรรคมีองค์ ๘ซึ่งย่อลงเป็นองค์ ๓ คือ คืล สมาธิ ปัญญา ^นารกานm มอคVIญิงญ้นา^4ฟุratmulan ฉนัน'เแนฟุร^ชทผ\" <ริ)ร> ซสัวย&รรม£ www.kalyanamitra.org

ดังนั้น คำ ตอบของคำถามที่ตั้งไว้ก็คือ เราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ที่โรงเรียนอนุบาลฝืนในฝืนวิทยา มีคำ ขวัญให้นักเรียนท่องกันว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี อนึ่ง จากเรื่องของนางกิสาโคตมีนี้ย่อมประจักษ์ชัดแจ้งว่าการ บรรลุอรห้ตผล หรีอนิพพานนั้น มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศใด ดังนั้น อุบาสิกาแก้วย่อมมีสิทธื้เต็มที่ ขณะที่ยังไม่บรรลุพระนิพพาน ก็สามารถ สังสมบุญเป็นทุนสำรองไว้ได้ทุกวินาที ตราบใดที่อยู่ในบุญ ย่อม สามารถควบคุมกิเลสไว้ได้เสมอ ถ้าเช่นนั้นก็สามารถเลี่ยงทุกข์จรได้ชีวิต ย่อมเป็นสุข ด้งพุทธพจน์ที่ว่า ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เ!!นสุข ทานm ยรเทไญิง^า ไ โลกฉบับ\"iiluqsCiuniu' (!>li3 อยู่นสุข$1วยรรรมร www.kalyanamitra.org

๒ คุณสมบัติของอุยาเกาแก้ว www.kalyanamitra.org

r www.kalyanamitra.org

N เรื่อง \"ใครคืออุบาสิกาแก้ว\" วิไล ะ เพ็ญจ๊ะ เธอเคยได้ยินคำว่าอุบาสิกาแก้วมั้ย? วันเพ็ญ ะ เคยได้ยินแต่อุบาสิกา ทำ ไมต้องมีแก้วด้วยล่ะ? อ้อ, นึกออกแล้วแหละ วัดพระธรรมกายกำลังจะมีโครงการ บวชอุบาสิกาแก้วเดือนหน้า เธออยากไปบวชเหรอ วิไล ะ ใช่จ้ะ เราไปบวชด้วยก้นดีไหมจ๊ะ ญาณี : ดีจ้า วันเพ็ญ ะ อ้าว! ญาณี แอบมาเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากเลย ขอถาม หน่อยซี อุบาสิกาแก้วน่ะ ต่างกับอุบาสิกายังไง ญาณี ะ อ๋อ แก้ว หมายถึง ประเสวิฐ หรือ ยอดเยี่ยม ไงล่ะจ๊ะ หญิง ที่จะได้ซื่อว่า อุบาสิกาแก้ว ก็ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ๕ประการ ถ้ายังไม่ครบ ถึงแม้จะนุ่งขาวห่มขาวก็ยังไม่ซื่อว่า อุบาสิกาแก้วหรอกนะ วิไล ะ คุณสมบัติ ๕ ประการที่ว่านั้นมีอะไรบ้างล่ะจ๊ะ ญาณี ะ เดํ่ยว ต้องสัญญากํอนนะว่าจะไปบวชด้วยก้นทั้ง ๒ คน ไม่งั้นไม่บอก วันเพ็ญ ะ ตกลงจ้ะ เราก้บวิไลจะไปบวชแน่ ญาณี ะ ฟังนะจ๊ะ ต่อไปนี้คีอ คุณสมบัติ ๕ประการของอุบาสิกาแก้ว ๑. เป็นผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ๒. เป็นผู้มีดืล ๓. ไม่ถึอมงคลตื่นข่าว เซื่อเรื่องกรรม ๔. ไม่แสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพระพุทธศาสนา ๕. ทำ บุญในพระพุทธศาสนานี้ ฬ รป้ย'น)นทุAamu' ร>๕ คุณสมย้ติธ มาสิกาแ^'] www.kalyanamitra.org

คุณสมบ้ติของอุบาสิกาแก้ว สุภาพสตรีผูไสัร่อว่า \"อุบาสิกาแก้ว\" นั้น ต้องเพียบพร้อมด้วย ดุณสมบัต้ ๔ ประการ ต้งนั้ ๑. เป็นผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ๒. เป็นผู้มีสีล ๓. ไม่ถือมงคลตี่นข่าว (ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว) เชื่อเรื่องกรรม ๔. ไม่แสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพระทุทธศาสนา ๕. ทำ บุญในพระพุทธศาสนา ๑. เป็นผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย คำ ว่าศรัทธาหมายถึง \"ความเร่อ\" หรือ \"ความเลื่อมใส\" เป็นคำ ที่คนไทยโดยทั่วไปรู้จักและคุ้นเคยกันดี มักใช้กับความเชื่อในความ สามารถของบุคคลสำคัญหรือผู้นำของสังคม ใช้กับเรื่องหรือเหตุการณ์ ต่างๆ ที่ผู้คนส่วนมากพากันนิยมชมชอบ เช่น ฮวงจุ้ย และไสยศาสตร์ หรือไซ[นกรณีที่มีความพอใจ ประทับใจ และมั่นใจในลัทธิความเชื่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม หากความศรัทธาที่เกิดขึ้นนั้นไม่ประกอบด้วยเหตุผลและ ปัญญา แต่เป็นไปตามอารมณ์ ย่อมขาดความมั่นคง สามารถเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา คือเกิดขึ้นและดับหายไปได้ง่าย (jinSmim tja«wij!y»5i5uijftsmil9กพน■ฟ็นรุขรjjinw\" (ร)๖ คุณรพบตขอ•รรุบาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

a: (เป็นผู้มีศรัKเธาในพระรัตนตรัย) อุนาสืกาแกา ร10»พญิง^าส์นvjSfiimlทก ฉบ้ข ®£า1 ดุณรมบติiเองอุบาสิกานสัร www.kalyanamitra.org

ส่วนคำว่า \"ศรัทธา\" ซึ่งเป็นธรรมประการหนึ่งของอุบาสิกาแก้วนั้น หมายถึงศรัทธาหรือความเชื่อในพระรัตนตรัย แล้วขอถึงพระรัตนตรัย คือยึดเอาพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่เคารพสูงสุดในชีวิต โดยความเชื่อมั่นหรือเลื่อมใสนี้ต้องเกิดจาก ความรู้และความเข้าใจของผู้เชื่อถึอเอง หลังจากที่ใด้ไข้ปัญญาของตน พิจารณาใตร่ตรองพระธรรมคำสอนต่าง ๆ ด้วยเหตุผลอย่างรอบคอบแล้ว มิใช่ลักแต่ว่าศรัทธาตามบรรพบุรุษ การถูกบังคับขู่เข็ญ การหลอกส่อ ด้วยอามิสสินจ้าง หรือผลประโยชน์ใดๆ ทางโลก เชื่ออย่างมีหลัก โดยตรองด้วยปัญญา การสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาแตกต่างจากความเชื่ออื่น เพราะเน้นให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจรืงเสิยก่อน โดยยึดถือตามหลักกาลามสูตร (กา-ลา-มะ-สูตร) ๑๐ ประการ เพึ่อใช้ ประกอบการตัดสินใจว่าควรเชื่อหรือใม่เชื่อดังนี้ (๑) อย่าเชื่อเพราะพิง หรือเรียนตามกันมา (๒) อย่าเชื่อเพราะถือสิบต่อกันมา (๓) อย่าเชื่อ เพราะใต้ยินมาจากคำเส่าลือ (๔) อย่าเชื่อเพราะการอ้างตามตำรา (๕) อย่าเชื่อเพราะคิดเอาเอง (๖) อย่าเชื่อเพราะการคาดคะเน (๗)อย่าเชื่อ เพราะเห็นตามอาการ (๘) อย่าเชื่อเพราะชอบใจว่าเข้ากันใต้กับความ เชื่อขอ่งตน {๙} อย่าเชื่อเพทะผู้พุดมีดวามน่าเชื่อถือ (๑๐) อย่าเชื่อ เพทะนับถือในสมณะผู้สอนว่าเป็นครูของตน ทั้งนี้ใม่ใต้หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามใม่ให้เชื่อตาม ๑๐ ข้อข้างต้น แต่ทรงห้ามใม่ให1ช้เป็นเครื่องตัดสินชี้ขาดเมื่อต้องการ เชื่อสิงใดสิงหนึ่ง เพทะข้อมูลที่ใต้มาอาจมีความคลาดเคลื่อนหรือผิด ชุ!ภรกาแก้ว eujij•เ!เน^ก้วยmil\" ©๘ คุณสมบัติขอ•รอุบาสิกาแก้ใ www.kalyanamitra.org

พลาดได้ วิธีที่ถูกต้องก็คือ เราต้องใช้ข้อมูลที่ได้จากข้อใดข้อหนึ่งหรือ หลายๆข้อนั้น มาประกอบกันเพื่อพิจารณาไตร่ตรองตามหลักของ เหตุผลอย่างรอบคอบเสิยก่อน แล้วจึงค่อยปักใจเชื่อ หากทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมเป็นศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญา ชื่งมีความมั่นคงกว่าการเชื่อ อย่างเลื่อนลอย กำ เนิดของศรัทธา ความศรัทธานั้นเป็นความรู้สืกนึกคิดในจิตใจ การที่เราเกิด ศร้ทํธาในเรื่องใดนั้นมักเกิดจากการได้รับแรงกระตุ้นทำ ให้เกิดแรงจูงใจ หรือเกิดความสนใจ นำ ไปส่ความเลื่อมใสศรัทธาในที่สุด ความศรัทธา ในพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน การก่อกำเนิดของศรัทธาในพระพุทธ ศาสนามีมาได้หลายทาง อาจสรุปเป็นห้วข้อใหญ่ๆ ได้ ๔ หัวข้อดังนี้ (๑) การยึดถือในคุณสมบัติของภิกษุผู้เทศนาสั่งสอน พระ สัมมาลัมพุทธเจ้าทรงแปงบุคคลที่ยึดถึอคุณสมบัติของภิกษุ ผู้เทศนาสั่งสอนออกเป็น ๔ กลุ่ม คือ ก) ยึดถือในรูป คือเลื่อมใสในรูปร่างสง่างาม มี บุคลิกลักษณะดี ข) ยึดถือในเสืยง คือประหับใจในกระแสเลิยงอ้นไพเราะ หรือได้ยินค่ากล่าวสรรเสริญเยินยอเกียรติคุณของ พระภิกษุผู้สอน พลอยทำให้รู้สิกสนใจและศรัทธา ค) ยึดถือในความครํ่าเคร่งหรือเศร้าหมอง คือนิยมชม ชอบพระภิกษุที่ครองจีวรสิเก่า แลดูขลัง หรือภิกษุที่ ประพฤติตนเคร่งครัดเข้มงวด ธุน!สิกา!เก้า ยอรเพญิงพุ้แาร้นฟุSflTท;!ใรก ฉบ้ฃ ■เรนชุซก้าพแ>!• ๑๙ คุณสมบัติฃฮฟ้8บาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

ง) ยึดถือในธรรม คือยินดีในพระธรรมเทศนาที่พระภิกษุ แสดง หรือยินดีในข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุ ซึ่ง อุดมไปด้วย คืล สมาธิ ปัญญา ศรัทธาของบุคคล ๓ประ๓ทแรกนั้นมีดวามไม่แน่นอน เพราะเกิดจากอารมณ์และความรู้สืก ส่วนข้อสุดท้ายคือ ศรัทธาจากการยึดถือในธรรมนั้น เกิดจากการพิจารณา ไตร่ตรองตามเหตุผล และอยู่บนพื้นฐานของปัญญาจึงมี ความมั่นคงกว่า อย่างไรก็ตาม ในการพิงพระธรรมเทศนานั้น ผู้ฝีงจะ ต้องตั้งใจพิงอย่างจริงจัง มีสมาธิในการพิง ตั้งแต่ต้นจนจบ จึงจะสามารถไตร่ตรองตามเหตุผลจนเกิดความเข้าใจอย่าง ถูกต้อง และสะสมไว้เป็นปัญญา สำ หรับพิจารณาก่อน (๒) การได้รับเรับทราบข้อมูลหรือธรรมจากผู้อื่น ซึ่งอาจเป็น บิดามารดา ครูอาจารย์ นักวิชาการ ผู้สอนศาสนา เพื่อนฝูง หรือตำรับต่ารา ตลอดจนสิอทุกประ๓ท ข้อมูลเหล่านั้มี อิทธิพลสามารถทำให้บุคคลคล้อยตามเห็นดีเห็นงาม จนกระทั่งเชื่อตามนั้นได้อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เหล่านั้อาจมีทั้งถูกต้องและผิดพลาด ซึ่งบุคคลต้องอาด้ย ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อหรือ คล้อยตาม (ท) การคิดด้นด้วยตนเอง ทั้งนั้อาจเกิดจากการคิดหาเหตุผล ตามหลักการ การคาดคะเน การคิดเปรียบเทียบ การคิด ^สิกาพ'ท่ tja»iwtyj^iSwjSfiirr!>jlan amj น^ทร«11- ๒๐ ทุณสมบ้ตํ อุนาสิกไแก้ว www.kalyanamitra.org

ตรึกตรองตามอาการที่เห็น ความรู้จากการคิดค้นด้วย ตนเองนี้สามารถทำให้เราเข้าใจเรื่องง่ายๆ ตามความเป็น จริงของธรรมชาติได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการคิดค้นด้วย ตนเองเหล่านี้จะไห้ความรู้ความเข้าไจที่ถูกต้องเสมอไป ซึ่ง ทั้งไนอดีตและปัจจุบัน ก็มีเจ้าลัทธิความเชื่อและศาสดา มากมายที่ทำการคิดค้นและทำความเข้าไจด้วยตนเองเป็นที่ เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนมากมาย (๔) การทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง คือการน่าความรู้และ ประสบการณ์อ้นเกิดจากการก่อกำเนิดของศรัทธาทั้ง ๓ ประการข้างต้นมาทดลองปฏิบัติจริง เป็นการพิสูจน์ความ รู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาว่าเกิดผลดีหรือไม่อย่างไร เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ถ้าหากพิสูจน์แล้วพบว่าดีจริง มีประโยชน์ มีคุณ ผ้ปฏิบัติก็ จะเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น กลายเป็นศรัทธาที่ตงอยู่บน เหตุผลและปัญญา เซึ่อมั่นในพระพุทธคุณ ความเชื่อมั่นไนพระพุทธคุณซึ่งมีคำค้พท์ว่า ตถาคตโพธิสัทธา (ตะ-ถา-คต-โพ-ธิ-ลัท-ธา) หมายถึง ความเชื่อไนพระปัญญาตรัสรู้ธรรม ของพระลัมมาลัมพุทธเจ้า ถือเป็นธรรมสำคัญประการแรกของอุบาสิกา แถ้วทุกท่าน ไนฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ อ้นดับแรกสุดเราต้องเชื่อมั่นว่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงสมถูรณ์พร้อมด้วยพระคุณอ้นประเสริฐ ๙ ประการ ได้แก่ ชุบาสิก!ผฑ้ tiofivtijjiyaiฟ้นยูฟ้รtrwโลก aim -ttlu^iiJhwwu\" ๒® คุณสมบ้คิขรงอุบาสิกานกร www.kalyanamitra.org

(๑) อะระหัง ทรงเป็นพระอรหันต์ผู้มีจิตบรสุทธิ้ ผุดผ่อง ปราศจากกิเลส ควรต่อการเป็นบรมครูผู้แนะนำสังสอน สรรพสัตว์ และควรแก่การยกย่องบูชาอย่างสูงสุด (๒) สัมมาสัมพุทโธ ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยถูกต้อง ทรง รู้เห็นความจริงทั้งปวง มีอริยสัจ ๔ เป็นสำคัญ อันเป็นเหตุ ให้ทรงมีพระปัญญาสามารถขจัดกิเลสออกจากใจได้โดย เด็ดขาด ทรงเห็นความบริสุทธผุดผ่องของดวงจิต ด้วย อำ นาจความสว่างโพลงที่ศูนย์กลางกายซึ่งเกิดจากการ ทำ ภาวนาอย่างยิ่งยวดชนิดสละชีวิตเป็นเดิมพัน (ฅ) วิชชาจะระณะสัมป้นโน ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ในที่นี้ วิชชา หมายถึง ความรู้แจ้งที่กำจัดมีดเสิยได้ มีด หมายถึง ขันธ์ ๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ส่วน จรณะ หมายถึง ธรรมอันควรประพฤติ ๑๕ ประการ (๔) สุคะโต ทรงดำเนินไปดีแล้ว หมายถึงทรงสามารถดำเนินจิต ไปในทางสายกลางหรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นทางเดียว ที่จะนำไปสู่นิพพาน (๔) โลกะวิทู ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นธรรมดาของโลก ทั้งสังขาร โลก สัตวโลก และโอกาสโลก สังขารโลก หมายถึง ร่างกายและจิตใจของหมู่สัตว์โลก ทั้งมวล สัดวโลก หมายถึง หมู่สัตว์ทั้งหลายในโลก โอกาสโลก หมายถึง สภาพที่อยู่ของภพภูมิต่างๆ ตลอด ทั่วทุกจักรวาล ชุ!ภรทานทว นฟ?ริ)nร}!'๒ทผ้บ* เท่ททท!' Isk) ดุ{นสมนทิ!อ4รุบา^กานกว www.kalyanamitra.org

โดยสรุป คือ ทรงรู้แจ้งเห็นแจ้ง สภาพความเป็นไป ของสัตวโลกทั้งมวล ตั้งแต่เหตุแห่งการมาเกิด การตาย การ เวียนว่ายตายเกิดอยูในสังสารวัฏ รอบแล้วรอบเล่า (๖) อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ ทรงมีดวามสามารถลํ้าเลิศ อย่างไม่มีใครเสมอเหมือนในการฝึกและสอนคนให้เป็นคนด จนกระทั่งถึงระดับที่บรรลุมรรคผลนิพพานได้ (๗) สัตดา เทวะมะนุสสานัง ทรงเป็นบรมครูของทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหม (๘) พุหโธ ทรงมีพระทัยเบิกบาน เพราะทรงบรรลุธรรมซึ่งทำให้ สามารถโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ตามพระองค์ไป ด้วย (๙)ภะคะวา ทรงสามารถยุตสาเหตุของการเวียนวนอยู่ใน วัฏสงสารได้ ทำ ให้หลุดพ้นออกจากภพ ๓ เสด็จเข้าล่ นิพพานได้สำเร็จ อีกทั้งทรงรู้แจ้งธาตุธรรมทั้งปวง ทำ ให้ สามารถจำแนกหลักธรรมออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆได้มากมาย ทั้งหมวดใหญ่ หมวดย่อย อุบาสิกาแก้วท่านใดที่ได้พิจารณาไตร่ตรองพระพทธคุณทั้ง ๙ ประการ จนกระทั่งมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งบังเกิดเป็นความเชื่ออย่าง ปักใจ เพราะหมดสงสัยโดยสิ้นเชิง ถึงฃั้นที่ไม่มีความเชื่ออื่นใดในโลกมา ลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงได้ ย่อมชื่อว่า \"เป็นผู้มีตถาคดโพธิสัทธา\" ธุบารทาพาว ยอ«พญิงผูนา^น1^ร3ท1ม่โลก ฉน้น\"เ&เชุข#)ขรรพ\" เรศา จุนฬพฟ้รช0ง0ทาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

การปฏิบัติธรรมจะตอกยํ้าตถาคตโพธิสัทธา เมื่อเราได้ศึกษาเรื่องศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว จะเห็นได้ว่า ความเรื่อมั่นและความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อปัญญาตรัสรู้ธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมเจริญงอกงามเป็นความศรัทธาเลื่อมใส ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์สาวก คือพระ รัตนตรัยนั่นเอง อุบาสิกาแก้วทุกท่านจึงควรจะหาโอกาสเรียนรู้ประวัติ ความเป็นมาของพระสัมมาล้มพุทธเจ้า นับตั้งแต่การสร้างบารมีตั้งแต่ ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ในหลายๆ ภพ หลายๆ ชาติ จนกระทั่งชาติ สุดท้ายที่ทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงบำเพ็ญเพียรจนกระทั่ง เอาชนะหมู่มาร และบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาล้มพุทธเจ้าในที่สุด เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ ทั้งมนุษย์และเทวดา จน กระทั่งเสด็จด้บขันธปรินิพพาน รวมเวลานานถึง ๙๕ ปี ก่อนเสด็จดับ ขันธปรินิพพานพระองค์ได้ตรัสแสดงแก่พุทธสาวกว่าพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้วนั้นจักเป็นศาสดาแทนพระองค์สิบไป โดย มีพระสงฆ์สาวกทำหน้าที่สิบทอดพระพุทธศาสนา ด้วยการศึกษาและ ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย พร้อมกับการเผยแผ่พระธรรมวินัยเหล่านั้น หากอุบาสิกาแก้วทุกท่านได้ศึกษาจนกระทั่งเข้าใจและมั่นใจใน พระรัตนตรัยอย่างมั่นคงแล้ว ย่อมได้ซื่อว่ามีศรัทธาในพระพุทธศาสนา อย่างแท้จริง เป็นศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญา ซื่งจะเป็นปัจจัยให้ ภูมิปัญญาเพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้น ในทางตรงก้นข้าม หากเราศรัทธาพระพุทธศาสนาเพียงเพราะคิด ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์มีคุณวิเศษดักดื้สิทธสามารถให้คุณให้[ทษ ให้[ชคให้ลาภแก่ผู้นับถือ โดยไม่คิดที่จะปฏิบัติตามคำสอนของท่านเลย qinSmum uDfiviyj ฟ้ฬเฟิททรนโทโไa-ju'SttsiAiinw* ค(น(tUUnUB'JDtJ'lSกา www.kalyanamitra.org

ก็จะเป็นศร้ทธาที่ไม่ประกอบไปด้วยปัญญา มีความคลอนแคลน เพราะ ถ้าคราใดไม่ได้รับโชคลาภหรือประโยชน์ตามปรารถนา ความศรัทธา ชนิดนี้ก็จะเสือมสลายไปโดยง่าย ทำ ให้ต้องแสวงหาเทพเจ้าหรือลัทธิ ความเชื่ออื่น ซึ่งจะทำให้หมดโอกาสบรรลุธรรมตามพระพุทธองค์ โดยสรุปแล้ว \"ศเทธๆ\" ในพระพุทธศาสนาต้องเกิดจากความ เชื่อในปัญญาตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันดับแรก ชื่ง เรียกว'า \"ตถาคตโพธิสัทธา\" โดยเกิดจากการพิจารณาไตร่ตรองด้วย เหตุผลอย่างรอบคอบ มิใช่เชื่อเพราะอารมณ์พาไปหรือเกิดความ พึงพอใจเป็นการส่วนตัว หรือเห็นคล้อยตามผู้อื่น อนึ่ง ความศรัทธาที่ ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผลนี้จะมั่นคงเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับการ พากเพียรปฏิบัติอย่างถูกต้องตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ยิ่งผู้ปฏิบัติ บรรลุผลจากการปฏิบัติมากเพียงไร ความศรัทธานั้นก็จะยิ่งมั่นคงยิ่งขึ้น ไปอีก ทั้งนี้เพราะได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว เปรียบเสมือนคนปวยที่คิด ว่ากินยาขนานนี้แล้วจะหาย ความคิดนี้จะกลายเป็นความเชื่อหรือศรัเาธา ก็ต่อเมื่อหายปวยหลังจากได้กินยานั้นแล้ว ประโยชน์ของศรัทธา พระสัมมาล้มพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับประโยชน์ของศรัทธาไว้ดังนี้ ๑. ศรัทธาเป็นเครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของบุรุษในโลกน็้ เมื่อบุคคลมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมตั้งใจทุ่มเทชีวิต ปฏิบัติตามธรรมของพระสัมมาล้มพุทธเจ้า การปฏิบัติที่สำคัญคือ ทาน คืล ภาวนา การปฏิบัติทั้ง ๓ สิงนี้ย่อมก่อให้เกิดความสุข และความปลาบปลื้มใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญ ชุนฟ้กาแท! ลก ฉปัน เอส์ คุณสพบด็ของอุบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

ภาวนาที่มีประสบการณ์ภายในก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้เกิด ความสุข ความสงบ และความปลาบปลื้มใจอย่างไฝมีสิงใดใน โลกบันดาลให้เกิดขึ้นได้ ๒. บุคคลข้ามพ้นกิเลสได้ด้วยศรัทธา หมายถึงผู้มีศรัทธาเต็มเปียม ย่อมสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ นั่นคือบรรลุมรรคผลนิพพาน ถ. บุคคลเขึ้อหรือศรัทธาในธรรมของพระอรหันต์ย่อมได้ป้ญญา พระอรหันตสาวกย่อมสมบูรณ์พร้อมด้วยความบริสุทธ เพราะ บรรลุนิพพานแล้ว หากเราศรัทธาในคำสอนของท่าน แล้วปฏิบัติ ตามอย่างจริงจังถูกต้อง ย่อมได้ปัญญาสามารถพัฒนาตนให้ เจริญรุ่งเรืองได้ ๔. บุคคลผู้ครองเรือนที่มีศรัทธานั้นเมื่อละโลกแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ในพระพทธศาสนามีหลักธรรม สำ หรับฆราวาส เรืยกว่า ฆราวาสธรรม ๔ ประกอบด้วย ๑) ความจริง (ลัจจะ) ๓ ประการ คือ จริงใจ จริงวาจา และจริงกาย {ทำจริง)บุคคลที่มีความจริง ๓ ประการนี้ ย่อมเป็นที่เคารพนับถือในสังคม ๒) การพัฒนาตน (ธรรม/ทมะ) คำ ว่า ธรรม หรือ ทมะ ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรง บุ่งเน้นที่เรื่อง ปัญญา ซึ่งได้จากการตั้งใจฟ้งธรรม เมื่อเข้าใจ ดีแล้วก็นำมาพัฒนาตนให้เป็นคนดี ๓)ความเพียร(ธิติ)หมายถึง ขยันหมั่นเพียรทำงานด้วยความหนักแนํนอดทนไม่หวั่นไหว ไม่ ท้อถอย จนกว่าจะบรรลุเปัาหมาย ๔)ความเสิยสละ(จาคะ) เช่น สละกิเลส สละความลุขสบาย และผลประโยชน์ส่วนตน มีใจกว้าง มีนี้าใจเมตตากรุณา พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ช่วยเหลึอผู้ร่วม งานที่ทำดีอย่างเต็มความสามารถบุคคลประ๓ทนี้ย่อมเป็นที่เคารพ รักใคร่ นับถือของผู้คนในลังคม เมื่อละโลกไปแล้วก็ไม่เศร้าโศก คือไปส่ลุคติโลกสวรรค์อย่างแนํนอน ๒๖ พณสมมติจรงอุบาสิทาแกว www.kalyanamitra.org

อานิสงส์ของศรัทธา ผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ย่อมได้รับอานิสงส์ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้ตรัสว่าผู้ครองเรือนที่มีศรัทธา จะได้รับ อานิสงส์ ๕ ประการดังนี้ ๑. บัณฑิตนักปราชญ์หรือกัลยาณมิตรทั้งหลาย มีพระภิกษุผู้ ประพฤติดีปฏิบัติชอบเป็นต้น เมื่อจะอนุเคราะห์ฆราวาสคนหนึ่ง คนใด ย่อมเลือกอนุเคราะห์ฆราวาสที่มีศรัทธาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยหาโอกาสอนุเคราะห์ผู้ที่ยังไม่มีศรัทธาเป็นลำดับ ต่อไป แต่ถ้าท่านหาโอกาสไม่ได้ ฆราวาสผู้ปราศจากศรัทธาย่อม ไม่ได้รับการอนุเคราะห์เลย ทำ ให์ไม่ฉลาดในการดำเนินชีวิต ๒. บัณฑิตนักปราชญ์หรือกัลยาณมิตรทั้งหลาย มีพระภิกษุผู้ ประพฤติดีปฏิบัติชอบเป็นต้น เมื่อจะทำการโปรดหรือเยี่ยมเยียน ฆราวาสคนหนึ่งคนใด ย่อมเลือกที่จะโปรดหรือเยี่ยมเยียน ฆราวาสผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ๓. บัณฑิตนักปราชญ์หรือกัลยาณมิตรทั้งหลาย มีพระภิกษุ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเป็นด้น เมื่อจะต้อนรับฆราวาสคนหนึ่ง คนใด ย่อมต้อนรับฆราวาสที่มีศรัทธาก่อน ๔. บัณฑิตนักปราชญ์หรือกัลยาณมิตรทั้งหลาย มีพระภิกษุผู้ ประพฤติดีปฏิบัติชอบเป็นต้น เมื่อจะแสดงธรรมแก่ฆราวาสคน หนึ่งคนใด ย่อมแสดงธรรมแก่ฆราวาสผู้มีศรัทธาก่อน เพราะ จะเกิดประโยชน์มากกว่า {เบาสิโทน.ฑ้ เ;0ร«(5งพุ้น่าฟ้นฟูรทรทบโลก 5ช3บ ■ฟ้นรุ*ffjJiMW\" ItDClI คุณรพบสิชรง0บาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

๕. บุคคลผู้มีศร้ฑธา เมื่อละโลกไปแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เกี่ยวกับอานิสงส์ของศรัทธานี้ มีเรื่องราวปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎกว่าในสมัยพุทธกาลมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อมัฏฐกุณฑลี ตลอดชีวิตเขาไม'เคยทำบุญใดๆ เลย เพราะบิดาของเขาตระหนึ่มาก และครอบครัวก็ไม่ได้นับถึอพระพุทธศาสนา ต่อมาเขาได้ล้มปวย ลงและนอนรอดวามตายอยู่หน้าบ้าน ได้มีโอกาสเห็นพระสัมมา- ล้มพุทธเจ้าผู้มีพุทธลักษณะงดงามสมบูรณ์พร้อมด้วยรัศมีเสด็จ ฝานมา จึงบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มี เรื่ยวแรงจะยกมือไหว้ แต่ด้วยจิตที่เป็นกุศลเพราะเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธองค์ ครั้นเมื่อสินใจเขาจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ทันที แม้ความเลื่อมใสศรัทธาของชายหนุ่มผู้นี้ จะ เป็นเพียงความเลื่อมใสศรัทธาในรูปกายภายนอกและจริยาวัตร อันงดงามของพระพุทธองค์ ยังมีอานิสงส์มากถึงเพียงนี้ หากเขา ได้ฟ้งธรรมของพระองค์จนกระทั่งเกิดความเข้าใจและน้อมนำไป ปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุมรรคผล ย่อมจะได้รับอานิสงส์ทับทวี มากยิ่งขึ้นไปอีก ส่งท้ายเรื่องศรัทธา เราจะเห็นได้ว่า \"ศรัทธาในพระรัตนตรัย\" เป็นธรรมะสำคัญ สำ หรับอุบาสิกาแก้วทุกท่าน ซึ่งจะขาดเลียไม่ได้ เพราะศรัทธาหรือความ เชื่อนั้นเป็นทั้ง \"ลื่อ\" ที่จะนำไปสํแหล่งแห่งปัญญา และเป็น \"พื้นฐาน\" สำ หร้บการพัฒนาปัญญาของบุคคล ตงแต่ระดับเบื้องต้น ไปจนถึงเบื้อง ปลาย เป็นเหตุให็ใจบริสุทธยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งบริสุทธมาก ยิ่งมีอา'แกาพมาก ชุ!Jาสิกานโก์ EjD^wtJoยู้นาร้-นา^รร^รรมโจท ฉบับ ๒๙ ศุ{แสมบ้ดิช0งอุมาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

สามารถขจัดกิเลสและอวิชชาอันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ได!ปตามลำดับ จนกระทั่งหมดสินกิเลส สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได!นที่สุด ถ้า เปรียบเทียบมรรคผลนิพพานเป็นยอดภูเขาสูงเสียดฟ้า ศรัทธาก็คือ ผืนดินอันมั่นคงที่รองร้บภูเขาทั้งลูกเอาไว้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ศร้ทธาจึง เป็นธรรมประการแรกสุดสำหรับอุบาสิกาแก้วทุกคน หากอุบาสิกาท่าน ใดมีความศรัทธาแน่นแฟ้น มั่นคงในพระพุทธศาสนา เป็นศร้ทธาที่เกิด จากการใช้ป้ญญาพิจารณา ย่อมไต้สีอว่าสอบผ่านธรรมะข้อแรกในการ เป็นอุบาสิกาแก้ว ผู้มีความพร้อมแล้วในการพัฒนาตนเองให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ในเล้นทางธรรม tjinSniui*h ยรfพญิงพุ้น่า^ฟุฝืทsmilan ผ่!ท]'ฟ็น^4f}(nr»)' |£3๙ คุณสมบัติของอุบาสิกานก'} www.kalyanamitra.org

T {เป็นผู้มีสืล) ธุบาสิโทนท้ โลกฉบ้บ cno รพฝ็พปัดิของอุบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

เรื่อง \"ต้นเหตุของปัญหา\" ลัดดา ะ ตํ่ว เพี่อนๆ เขาสงสัยว่าเธอลูกล้างสมอง รัตนา ะ หมายความว่าอะไร ไม่เข้าใจ สุรัย์ ะ เมื่อก่อนนี้ พอเลิกงานวันศุกร์ ตํ่วก็ไปกินเหลากับพวกเรา ไปดูหนังฟังเพลงกับพวกเรา แต่เดี๋ยวนี้พอเย็นวันศุกร์ ตวก็รีบร้อนไปวัดไม่ร่วมวงสังสรรค์กับพวกเรามาเป็นเดีอนๆ แล้ว แถมยังไม่ยอมใช้เมคอัพอีก จะไม่ให้พวกเราคิดว่า ลูกวัดล้างสมองได้ยังไงล่ะ รัตนา ะ คงจะใช่มั้ง เราคงถูกวัดล้างสมองจริงๆ ล้างเอาอวิชชา หรีอ ที่เขาเรียกว่าความโง่เขลาออกไปไงล่ะ ลัดดา ะ อ๋อ, นี่ดี๋วกำลังด่าพวกเราว่างี่เง่าใช่ไหม รัตนา ะ เปล่านะ สัดดา เธอว่าของเธอเองต่างหาก เรายังไม่ได้เอ่ย ชื่อใครสักหน่อย อรุณี ะ พี่ว่าตวไม่แต่งหน้า ก็ดูดีนะ ดูหน้าตาเป็นเด็กลงตั้งเยอะ รัตนา ะ ขอบคุณคะพี่ หนูถือคิล ๘ ก็ต้องงดการใช้เครื่องสำอาง งดอาหารเย็น อรุณี ะ คงงดทุกวันใช่ไหมจ๊ะ แล้วหิวไหมจ๊ะ รัตนา ะ ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้ศุ้นแล้วค่ะ อรุณี : พี่ว่าใครๆ แถวนี้ ที่เกิน ๗๐ กิโลน่าจะลองถือคิล ๘ ดูบ้าง นะ จะได้คล่องแคล่วว่องไวขึ้น หมอเขาว่าความอ้วนนี้เป็น โรคชนิดหนึ่งนะ แต่ที่สำคัญก็คือประหยัดรายจ่าย แล้วก็ไม่ ต้องเกี่ยวข้องกับอบายทุขด้วยเป็นวิธปิดนรกได้ชะงัดอีกด้วย ลัดดา ะ อะไรคะ อาหารเย็นเป็นอบายทุขหรีอคะ อรุณี ะ สำ พังแต่อาหารเย็นน่ะ ไม่ได้เป็นอบายมุขหรอกค่ะ แต่เรื่อง เบียร์เรื่องเหล้าชีคะ แล้วก็การไปกินอาหารเย็นกันมืดๆ คํ่าๆ V. พ่ท์ น่า^นฟ^รรานาลก ผัน\"uhu(ฟท่(เทพ (ท® &งรุนาสิกาแทว www.kalyanamitra.org

แถมด้วยดูหนังฟังเพลงต่อ พนันบอลต่อ พวกนี้ชีคะเป็น อบายมข ใครที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ก็คงจะรักษา สืลให้บริสุทธิ้ไม่ได้หรอกค่ะ เตนา ะ หลวงพ่อที่วัดท่านว่า ปัญหาวุ่นวายในสังคมโลกสังคมไทย ทุกวันนี้ ที่ใครๆ พากันมองว่า เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่อง การเมืองน่ะ ที่จริงนั่นเป็นปลายเหตุแล้ว แต่ต้นเหตุแท้จริง ของปัญหาก็คือ คนเราทุกวันนี้ขาดสิล ขาดธรรม ต่างหาก อรณี ะ พี่เห็นด้วยจ้ะ เพียงแค่ทุกๆ คนมืคืล ๕ ครบบริไJรณ์เท่านั้น บ้านเมืองก็คงจะร่มเย็นกว่านี้หลายร้อยเท่าทีเดียว อุบใสิกานท้า ยอfiv.ญิงผู้นฟ้น'tjflssnwianฉบับ•เป็นธุฬพพJH\" รทเอ คุณสมบัสิของอุบาสิกานก้ว www.kalyanamitra.org

๒. เม่นผู้มีสีล สีล คึอดวามเป็นปกติของความเป็นมนุษย์ ผู้ที่มีสิลจึงหมายถึง ผู้ที่มีความประพฤติสุจริต สะอาดม่ราศจากโทษ สุภาพเรียบร้อยดีงาม ทั้งทางกายและวาจาเป็นปกติ ตามธรรมดาทั้งสิ่งมีชีวิตและไฝมีชีวิต ถ้าเมื่อใดเกิดผิดปกติขึ้น ความยุ่งยาก ความเดือดร้อนหรือเสียหาย ย่อมเกิดขึ้นตามมา เช่น ดวงอาทิตย์มีปกติส่องสว่างในเวลากลางวัน ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังส่องแสงเป็นปกติ ตราบนั้นเราทั้งหลายก็ยัง สามารถอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์เพื่อดำเนินชีวิตไปตามปกติได้ แต่ หากวันใดพระอาทิตย์เกิดผิดปกติขึ้นมา คือไม่ส่องแสงในเวลากลางวัน ด้งที่เคยเป็นมา ปัญหาต่างๆ ก็จะเกิดตามมาเป็นลูกโซ่ เช่น การเจริญ เติบโตของพืชผักผลไม้ต่างๆ ก็จะชงักงัน พลอยทำให้แหส่งอาหารของ มนุษย์หมดไป อีกทั้งสัตว์ทั้งหลายก็จะต้องมีชีวิตอยูในความมีดภายใต้ อากาศที่หนาวเย็น ทำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ เป็นต้น คนเราก็เช่นกัน ถ้าหากมีความเป็นปกติ การดำเนินชีวิตก็ไว์ปัญหา ครอบครัว และสังคมก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แต่ถ้าวันใด ที่คนปกติกลายเป็นคนไม่ปกติไป วันนั้นความทุกข์และความเดือดร้อน ย่อมเกิดขึ้นต่อทั้งตนเองและบุคคลที่อยู่รอบข้าง เกณฑ์ที่จะวัดว่า มนุษย์คนใดมีความปกติหรือไม่ ก็คือคืล มนุษย์ปกติจะต้องมีคืล ๕ครบ ถ้วนเป็นพื้นฐาน คืล ๕ จึงถูกจัดว่าเป็นมนุษยธรรม คือธรรมที่ทำให้คน เป็นมนุษย์หรือผู้มีใจสูง ผู้ที่ผิดคืลความเป็นมนุษย์ของเขาก็ลดลง ทำ ให้ มีสภาพใกล้เคียงกับสัตว์ดิรัจฉาน ธุ1ภ8ก1แทว ยรพแรงยู่พฟ้นฬุร«๓»iโBn ouu -lihujiJhBnw ๓๓ คฉเล«ปัรช0ง0บาสิทาเแ'[ใ www.kalyanamitra.org

สืลในพระพทธศาสนา ชีวิตที่ดีงามย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน เพราะเป็นชีวิตที่มี ความสุขมีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม คุณงามความดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ กาย วาจา ใจ ของคนเราบริสุทธสะอาด ไฝเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่นให้เดือดร้อน ดังนั้นชีวิตที่ดีงามจึงเริ่มต้นจากการรักษาดีลนั่นเอง ด้งธรรมภาษิตว่า สืลเป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้งอาด้ย เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดคุณงามความดีทั้งหลาย เป็นประมุขแห่งกุศลธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นนรชนพึงชำระสืลของตนให้บริสุทธื้เถิด ดืลจึงเป็นคุณธรรมที่บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายยอมรับและถือ ปฏิบัติมา ตั้งแต่อดีตกาลถืงปัจจุบัน ถ้าถามว่า ดืลคืออะไร ความหมายตามคำแปลของคำว่าสิล อาจมีอยู่มากมาย เช่น ปกติ ภาพของมนุษย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามความหมายหลากหลายของคำว่าคืลนั้น ที่สำ คัญ ที่สุดก็คีอ เจตนา ด้งนั้น อาจกล่าวได้ว่า สิลคือความตั้งใจที่จะงดเว้นจากความชั่ว ความทุจริต สิงที่ไม่ดี ทุกประการ การรักษาคืลจึงเป็นวิธีการทำบุญ หรือมีคัพท์ทางธรรมว่า บุญกิริยาว้ตธุอย่างหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่เราตั้งใจงดเว้นจากความชั่ว ตั้งใจ ชุนาสิก\"!นทว LBfivitJ;ฟ้น่'ส์พพกืรทวนโรก airj-1^1«านทท- ๓๙ ทุ{นสมนคํ อมาสิทานท-] www.kalyanamitra.org

จะไม่เบียดเบียนใคร ย่อมจะเกิดกระแสแห่งความดี ความเมตตาขึ้นมา ในใจ ที่เราเรียกว่า กระแสบุญ อันเป็นเครื่องชำระจิตใจของเรา ให้ บริสุทธื้สะอาด การรักษาสิลจึงเป็นการพัฒนาคุณภาพสิวิตและจิตใจให้ บริสุทธื้ดีงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ศีลยังเป็นคุณธรรมที่รักษา กาย วาจาให้เรียบร้อย และ เป็นคุณธรรมนำไปสู่กศลธรรมเบื้องสูง คือ สมาธิ และปัญญาต่อไปอีก วัตธุประสงค์ของสืล การรักษาศีลนั้น มีวัตชุประสงค์ ดังนี้ ๑. เพื่อป้องกันชีวิตของเราในป้จจุบนชาติมิให้พบกับความทุกข์ ความเดือดร้อนและความเสิอมเสีย อันเนื่องมาจากการที่เรา d d 1/d โอน ๒. เพื่อป้องกันชีวิตของเราในภพชาติต่อไป มิให้พบกับความ ทุกข์ความเดือดร้อน และความเสือมเสีย อันเนื่องมาจาก การที่ชาตินี้เราได้เบียดเบียนผู้อื่นไว้ ๓. เพื่อให้เกิดความดีงาม และความสุขกายสบายใจในการ ดำ เนินชีวิต ๔. เพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็น และความดีงามแก่ครอบครัว และสังคม ตลอดจนเป็นแบบอย่างที่ดืให้แก่เยาวชน ๕. เพื่อนำไป^คุณธรรมที่สูงขึ้นไป ได้แก่ สมาธิ และปัญญา อันจะทำให้บรรลุนิพพานได้ QUiSnium usfiyii}:$นำ^ฟฝ็!lemTiin QUU -เรนฝุท่เททม* end* คุณสมบ้แรร^รนาสิกไนฬ www.kalyanamitra.org

สีล ๔ สืล ๕ เป็นสีลของอุบาสก อุบาสิกา ในพระพุทธศาสนา เป็นองค์ ประกอบสำคัญที่สุดของค์ล ๘ ดังนั้นอุบาสิกาแก้วจึงจำเป็นต้องมีความ รู้ความเข้าใจเรื่องศีล ๕ อย่างถูกต้องลึกซึ้งด้วย เพี่อจะได้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด หลังจากจบโครงการบวชอุบาสิกาแก้วไปแล้ว ทั้งนี้ เพราะเมื่อจบโครงการแล้วอุบาสิกาแก้วส่วนใหญ่ก็จะงดการถือศีล ๘เมื่อ งดศีล ๘ แล้วก็จะต้องถือศีล ๕ แต่ถ้าไม่เข้าใจเรื่องศีล ๕ อย่างถูกต้อง ก็จะมองข้ามอานิสงส์มหาศาลของศีล ๕ ไป ย่อหย่อนในการถือศีล ๕ ทำ ให้เสิยประโยชน์ในการสร้างสันติสุขให้แก่ตนเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากมนุษย์จำเป็นต้องอยู่ร่วมก้นเป็นลังคม มนุษย์จึงมีข้อ ตกลงระหว่างก้น ในการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ข้อตกลงนั้นก็คือ มนุษยธรรม คือธรรมของมนุษย์ ได้แก่ ศีล ๕ นั่นเอง ซึ่งประกอบด้วย ๑. ตั้งใจงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต {ปาณาติปาตา เวรมณี) ๒. ตั้งใจงดเว้นจากการสักทร้พย์(อทินนาทานา เวรมณี) ๓. ตั้งใจงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี) ๔. ตั้งใจงดเว้นจากการพูดเท็จ (มุสาวาทา เวรมณี) ๕. ตั้งใจงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นเหตุแห่งความ ประมาท (สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี) ไม่ว่าพระสัมมาล้มพุทธเจ้าจะทรงบังเกิดขื้นหรึอไม่ก็ตาม ศีล ๕ ย่อมมีอยู่แล้วทุกยุคทุกสมัย เพราะมนุษย์เป็นผู้รู้จักใช้เหตุผล รู้จัก ยับยั้งชั่งใจ สิงนี้คือสักเศเที่แท้จริงแห่งความเป็นมนุษย์ สิทาพ่ฑัยพทญิ!uuTflwjSsiTTwlpii \"ahujwhomii\" {ก^ พุณสมบ้ติใi2-5อุบาสิกาแก') www.kalyanamitra.org

อานิสงส์ของสีล ๙ เนื่องจากศีล ๕ คือ มนุษยธรรม หรือธรรมของผู้มีจิตใจสูง การ รักษาศีล คือเครื่องชำระใจให้บริสุทธิ้สะอาด บุคคลที่ตั้งใจรักษาศีลให้ บริสุทธอยู่เสมอไม่มีด่างพร้อย ใจที่บริสุทธื้สะอาดก็จะเป็นใจหี่มีพลังยิ่ง บริสุทธมากยิ่งมีพลังมาก เป็นพลังที่จะนำชีวิตให้รุ่งเรืองก้าวหน้า ประสบ ความสำเร็จสมปรารถนา ชนิดที่อุปสรรคใดๆ มีอาจซัดขวางได้เลย ศีลจึงเป็นดั่งแก้วสารพัดนึกที่สามารถบันดาลความสมหวังได้ใน ทุกระดับทุกประการ และจะคอยติดตามหล่อเลี้ยงผู้รักษาศีลไปตราบ นานเท่านาน จวบจนบรรลุพระนิพพาน ดังคำสรุปความ ในเวลาที่พระให้พรแก่ญาติโยม ซึ่งพวกเรา คงจะคุ้นก้นดี ว่า สิเลนะ สุคติง ยันติ บุคคลเข้าถึงสุคติได้ ด้วยศีล สิเลนะ โกคสัมปทา ได้โภคทรัพย์สมบัติ ก็ด้วยศีล สีเลนะ นิพพุติง ยันติ บรรลุนิพพาน ก็ด้วยศีล อานิสงส์ซองการรักษาสิล ๔ แต่ละข้อ ๑. อานิสงส์ของการไม่ฆ่าลัตว์ตัดชีวิต ๑) เป็นผู้มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน ๒) มีร่างกายสูงใหญ่สมส่วน ๓) มีความคส่องแคล่วว่องไว ๙) มีความแกล้วกล้า ๕) มีก่าลังมาก กานภ้? ณ!flvแSJ^น่A<^fii<nาuโnn ami ennl คุผสนนดิธร38บาสิกาแก้'} www.kalyanamitra.org

๖) เป็นที่รักของชาวโลก ๗) พวกพ้องบริวารไม่แตกแยกกัน ๘) ไม่ถูกฆ่าตาย ๙) มีโรคน้อย ๑๐) มีอายุยืน ฯลฯ ๒. อานิสงส์ของการไม่ลักทรัพย์ ๑) มีความมั่งคั่งรํ่ารวย ๒) โภคะที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ๓) โภคะที่เกิดขึ้นแล้วก็มั่นคงถาวร ไม่สลายไปด้วยภัยต่างๆ ๔) ได้ทรัพย์ที่คนทั่วไปไม่มี ๕) มีความเป็นอยู่สุขสบาย ฯลฯ ท, อานิสงส์ของการไม่ประพฤติผิดในกาม ๑) ไม่มีด้ตรูคู่อาฆาต เป็นคนไม่มีภัย ๒) หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ๓) พ้นจากภัยในอบายภูมิ ๔) ไม่เกิดเป็นหญิงหรือกะเทย ๕) อารมณ์ดี ไม่มักโกรธ ไม่เป็นคนผิดหวัง ๖) ไม่ต้องหวาดระแวง ไม่ต้องหลบหน้า ๗) มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ยูบใสิกใน/ท่ งพุ้น่AnjSpjnwIลกฉนบ\"uJwjtfcjUTOi\" cnce ตุณสมนตขอ'3อุบาสิกาแกร www.kalyanamitra.org

๘) เป็นคนเปิดเผย ๙) มความเป็นอยู่สุขสบาย ๑๐)ไม่พลัดพรากจากคนรักและของรัก ฯลฯ ๔. อานิสงส์ของการไฝพูดเท็จ ๑) มีอินทรีย์ผ่องใส ๒) เป็นคนพูดจาไพเราะ ศักดิ้สิทธ ๓) มีฟันขาวสะอาดเรียบเสมอกัน ๙) มีกลิ่นปากหอม ๕) มีคำ พูดที่คนเซี่อถือ ๖) จิตใจไม่ใ^งซ่าน ๗) มีบรีวารเป็นผู้ว่าง่าย ๘) ไม่อ้วน ผอม สูง หรึอเตี้ยเกินไป ๙) มีสัมผัสเป็นสุข ๑๐) มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหว ฯลฯ ๔. อานิสงส์ของการไม่ดื่มสุราเมรัย (รวมทั้งสิงเสพติดทั้งปวง) ๑) มีปฏิภาณไว ๒) มีสติมั่นคง ๓) ไม่เป็นบ้า ไม่โง่เง่า ๙) ไม่เป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ quwmiA £ii>R>T3j^iw«>jf!pTOi;*lsn ฉ1?น {ท๙ พุJพ(พฟ้ติข8ง6บาสิกาแ/!ว www.kalyanamitra.org

๕) ไม่เหลงขี้ลืม ๖) ไม่ขี้ริษยา ๗) ไม่พูดส่อเสียด คำ หยาบ และเพ้อเจ้อ ๘) มีกตัญญกตเวที ๙) ไม่เป็นคนตระหนี่ แต่ชอบเสียสละ ๑๐) มีปัญญามาก ฯลฯ โทษของการฝ็ดสีล ๔ แต่ละข้อ พระสัมมาส้มพูทธเจ้าได้ตรัสถึงโทษของการทำผิดสีล ๕ ไว้ว่า บุคคลที่ทำผิดศีล ๕ แต่ละข้อเป็นประจำ ย่อมมีโทษหนักเหมือนกันทุก ข้อ คือ เมื่อละโลกแล้ว ต้องไปเกิดในทุคติ ได้แก่ นรก ติรัจฉาน เปรต อสุรกาย หลังจากที่ต้องรับโทษในทุคติแล้ว ถ้าได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยังต้องรับโทษอย่างเบาต่อเนี่องไปอีก ด้งนี้ ๑. โทษอย่างเบาที่สุดของการฆ่าสัตว์คือมีโรคภัย มีอายุลันทำ ให้ เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ๒. โทษอย่างเบาที่สุดของการลักขโมย คือ เกิดมายากจน หาก เคยทำทานมามากในอดีตชาติ ทำ ให้เกิดมารํ่ารวย แต่ใน ที่สุดทรัพย์เหล่านั้นก็จะต้องพินาศด้วยภัยต่างๆ ๓. โทษอย่างเบาที่สุดของการประพฤติผิดในกาม คือ มีศัตรูมาก ยากจะหาความสงบสุขในชีวิต (]ษ1สิท1นทวเ1อ^!รงผู้พ่»1นฟร{1ธ7»โรทพํน•ฟ็นชุ«ihtinw\" <tO พุณสมฟ้ตีของ3Uาสิกานกว www.kalyanamitra.org

๙. โทษอย่างเบาที่สุดซองการพูดเท็จ คือ ถูกกล่าวหาด้วยเรื่อง 'น]จริง บางคนอาจถูกใส่flยป้ายสิจนเสิยผู้เสิยคน ๕. โทษอย่างเบาที่สุดซองการดื่มสุราเมรัย คือ มีจิตใจเลื่อนลอย ขาดสติ หรือเป็นบ้า ปัญญาอ่อน โทษอย่างเบาที่สุด ยังทำให้ชีวิตในขณะที่เป็นมนุษย์ตกตํ่าล่าบาก ถึงเพียงนี้ จึงสุดที่จะคิดคำนวณได้ว่า โทษหนักในนรก ดิรัจฉาน เปรต และอสุรกายนั้นจะทำให้ทุกข์ทรมานเพียงใด เมื่อใดทราบถึงอานัสงส์ของการรักษาคืล ๕และโทษของการผิดคืล ๕ แต่ละข้อดังกล่าวแล้ว ครั้นกลับไปอยู่บ้านหลังจากโครงการบวช อุบาสิกาแก้วสินสุดลงแล้วก็ฃอให้ท่านตั้งใจรักษาคืล ๕ ให้บริสุทธ บริบูรณ์ตลอดไป การอาราธนาคืล ๕ ทุกๆ เข้า ภายหลังตื่นนอน นับ เป็นกุศโลบายอันวิเศษที่จะช่วยเตือนใจให้ท่านสามารถรักษาสืล ๕ ได้ บริสุทธบริบูรณ์ตลอดชีวิต องค์ประกอบของสิล ๘ คืล ๘ มีหัวข้อเหมีอนคืล ๕ แต่เปลี่ยนข้อ ๓ และเพิ่มข้อ ๖-๗-๘ ต่อไปนี้คือคืล ๘ พร้อมด้วยองค์ประกอบที่จะทำให้คืลขาด ถ้า องค์ประกอบไม่ครบก็ชึ่อว่า คืลทะลุ ไม่บริสุทธ ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ คืลจะขาดต่อเมื่อมีองค์ประกอบครบ ๕ ประการ คือ yafiiijHMuiwuyj»■ส ftuij คุทน!พ!!สิ?รง฿ฆาสิกาแก้ว www.kalyanamitra.org

๑. สัตว์นั้นมีชีวิต ๒. เว่าสัตว์นั้นมีชีวิต ๓. คิดจะฆ่าสัตว์นั้น ๔. พยายามฆ่าสัตว์นั้น ๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น ๒. เว้นจากการลักทรัพย์ ศีลจะขาดต่อเมื่อมีองค์ประกอบครบ ๕ ประการ คือ ๑. ทรัพย์มีเจ้าซอง ๒. รู้ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของ ๓. คิดจะสักทรัแย์นั้น ๔. พยายามลักทรัพย์นั้น ๕. ได้ทรัพย์มาด้วยความพยายามนั้น ฅ. เว้นจากการกระทำที่เป็นข้าสืกต่อพรหมจรรย์ ศีลจะขาดต่อเมื่อ มีองค์ประกอบครบ ๓ ประการ คือ ๑. มีสิงที่พึงล่วงละเมิด ๒. พยายามเข้าถึง ๓. ยินดี ๔. เว้นจากการพูดมุสา ศีลจะขาดต่อเมื่อมีองค์ประกอบครบ ๕ ประการ คือ ๑. เรื่องเท็จ ๒. มีเจตนาจะพูดเท็จ ๓. พยายามจะพูดเท็จ ๔. พูดเท็จต่อคนอื่น ๕. เขารู้เรื่องเท็จ qirSrniirhufl^nitJj'^T^^pptiTsylRnEUjij\"นิ)ใเชุฟ่fianw* Ctk) คพสมบตของอุบใสิกาแสัว www.kalyanamitra.org

cf. เว้นจากการดื่มนํ้าเมา สืลจะขาดต่อเมื่อมีองค์ประกอบครบ q:ประการ คือ ๑. มีซองมึนเมา มีสุรา เป็นต้น ๒. จิตคิดอยากจะดื่มของมึนเมานั้น ๓. พยายามจะดื่ม ๔. ดื่มเข้าไปในลำคอ ๖. เว้นจากการบรโภคอาหารในเวลาวิกาล คืลจะขาดต่อเมื่อมีองค์ ประกอบครบ ๔ ประการ คือ ๑. เวลาวิกาล (หลังเที่ยงไปแล้วจนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่) ๒. เป็นของที่อนุญาตให้กินได้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ๓. กลืนกินของนั้น ๔. บุคคลมิได้เป็นบ้า ฝ (ก) เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ดูการละเล่น อันเป็นข้าส์กแก่การกุศล คืลจะขาดต่อเมื่อมีองค์ประกอบ ครบ ๓ ประการ คือ ๑. มีการฟ้อนรำ ขับร้อง ๒. มีเจตนาไปดูหรึอฟัง ๓. ดูหร้อฟัง (ข) เว้นจากการลูบไล้ทัดทรง ประดับตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา คืลจะขาดต่อเมื่อ มีองค์ประกอบครบ ๓ ประการ คือ ๑. มีดอกไม้และของหอม ๒. และไม่มีเหตุเจ็บไข้ตามที่พระสัมมาลัมพุทธเจ้าทรง อนุญาตใหใซ!ด้ ๓. ลูบไล้ทัดทรงตกแต่งด้วยจิตคิดจะประดับให้สวยงาม ธุเทสิท1เฟ้1 jiiflimjjlลก Q'JIJ\"ฟ้นสุรรวพๆพ\" (iCT คทเสผปัต็ขอ'รอุบาสิกาแกว www.kalyanamitra.org

๘. เว้นจากการนอนที่นอนอันสูงใหญ่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี สีล จะขาดต่อเมื่อมีองค์ประกอบครบ ๓ ประการ คือ ๑. ที่นั่งนอนสูงใหญ่ ๒. รู้ว่าที่นั่งนอนนั้นสูงใหญ่ ๓. นั่งหรือนอนลง อานิสงส์ของสิล ๘(อุโบสถศีล) การรักษาสิล ๘ ทำ ใฟ้,ปเกิดในสวรรค์ ครั้งหนึ่ง พระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้ตรัสแก่มหาอุบาสิกาวิสาขาว่า \"อุโบสถสิล ประกอบด้วยองค์๘ประการ บุคคลรักษาแล้วมีผลมาก มีอานิสงส์มาก พระราชาที่เสวยราชย์ดำรงอธิปไตยในชนบทใหญ่ๆ ๑๖ รัฐ การเสวยราชย์ ดำ รงอิสรภาพและอธิปไตยของพระราซานั้น ไม่ถึงเสียว ที่ ๑๖ (๑/๑๖) แห่งอุโบสถคืล ที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ เพราะ ราชสมบัติของมนุษย์เปรียบเหมีอนของคนกำพร้า เมื่อเทียบกับสุขอัน เป็นทิพย์ ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา จนถึงปรนิมมิตวสวัตตี (สวรรค์ ชั้นที่ ๑-๖)\" พญานาครักษาอุโบสถสืลเพื่อกล้บมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงปรารภอุโบสถกรรม จึงทรงนำเรื่องใน อดีตชาติมาตรัสเล่าว่า ชุบ^กาแกว 10คา1ญิ0พู้11|^น)^สื«ร7รมโรก ft'JlJ (£^ คณสมบั®ของอุนาสิกานก้ว www.kalyanamitra.org