เอกสารประกอบ การอบรมเขม้ เสรมิ ประสบการณ์มหาบณั ฑติ ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร เร่อื ง การพัฒนาบคุ ลิกภาพสำหรับนักสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรพล จันทราปัตย์ แขนงวิชาสง่ เสรมิ การเกษตร สาขาวิชาเกษตรศาสตร์และสหกรณ์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช
การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ* ดร.สรุ พล จันทราปตั ย์1 การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ หรอื การพดู ในโอกาสพเิ ศษ (Special occasion speeches) มีลักษณะ ดงั นี้ 1) เปน็ การพดู ต่อชมุ นุมชน 2) เปน็ การพดู ในโอกาสหรอื วาระ หรือกิจกรรมที่แนน่ อน เฉพาะเจาะจง 3) เปน็ การพดู ปากเปล่า (ไมอ่ ่าน) 4) มวี ัตถปุ ระสงค์ที่เนน้ ความรูส้ กึ อนั เกิดจากการฟังของผ้ฟู ัง 5) เปน็ การพูดสน้ั ๆ ทเี่ หมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์ 6) เป็นการร้อยเรยี งถ้อยคา ที่ทาให้การพูดมีคณุ ค่า นา่ ฟัง และนา่ ประทับใจ มคี วามหมายทาง จิตวิทยาอยา่ งยิ่ง 7) เปน็ การพดู ทีม่ ีการเตรยี มการ และควรซักซ้อมมาก่อน ไม่ใชพ่ ดู ไปคดิ ไป เพราะอาจทาให้การ พดู สะดดุ ชงักงัน ดอ้ ยคณุ คา่ และไม่นา่ ฟงั การพูดในโอกาสต่างๆ นี้ แม้ผู้พูดจะได้รับเชิญให้ขึ้นพูดโดยไม่มีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้า เช่น การกลา่ วต้อนรับแขกผู้มาเยือน การกล่าวอวยพรในงานมงคลตา่ ง ๆ เป็นต้น แต่ในช่วงเวลาท่ีมีอยู่ก่อน ข้ึนพูด ผู้พูดก็ต้องนึกคิดและเตรียมพร้อม ว่าจะขึ้นต้นและลงท้ายอย่างไร มีประเด็นอะไรท่ีสาคัญ ควร ยกข้ึนมาพูดในส่วนเนือ้ เรื่องบ้าง ประเดน็ ใดต้องพดู ถึงก่อน-หลัง และจะสร้างความรู้สึกที่ดีใหเ้ กดิ แก่ผู้ฟัง ได้อยา่ งไร เป็นต้น ผู้พูดในโอกาสต่างๆ พึงระลึกว่า เวลาที่กาหนดหรือมีให้พูด ยิ่งส้ันมากเท่าใด ยิ่งต้องค้ันเอา เฉพาะประเด็นสาคัญมากล่าว จงถือหลักว่า พูดช้าๆ แต่ชัดเจน ดีกว่าการพูดยาวๆ แล้วเร่งพูดให้จบ ภายในเวลา 1* จากบทความเรื่องเดียวกันของผู้เขียน (2557) นามาใช้เป็นเอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมเข้มเสริมประสบการณ์มหาบัณฑิต (ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร) ร่นุ ที่ 21 สาขาวิชาเกษตรศาสตรแ์ ละสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช วนั ที่ 18 กันยายน 2564 1 ผทู้ รงคณุ วฒุ ิพเิ ศษ สาขาวชิ าเกษตรเขตร้อน คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และทปี่ รกึ ษา สานักส่งเสริมและฝกึ อบรม กาแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ต่อไปนี้จะจาแนกประเภทการพูดในโอกาสตา่ งๆ และแสดงแนวการพูดไวโ้ ดยสงั เขป พอให้ เขา้ ใจวา่ ควรขน้ึ ต้นอย่างไร ดาเนินเรอ่ื งและลงท้ายอยา่ งไร แตไ่ ม่ใช่สตู รสาเร็จทีต่ ้องกระทาตามแนวท่ี แนะนานที้ ุกคนและทุกครงั้ ในทางปฏิบัติ ผพู้ ูดต้องกล่าวทกั ทายท่ปี ระชมุ ก่อน ดว้ ยถ้อยคาทส่ี ุภาพและ เหมาะสมกบั กล่มุ ผู้ฟังและโอกาสท่ีพูด แล้วจึงเริ่มต้นดว้ ยการเลือกสรรถ้อยคา ร้อยเรยี งเป็นคาพูดที่ชวน ฟงั แลว้ ลงทา้ ยดว้ ยลีลาและวาทะที่สรา้ งความประทบั ใจแก่ผูฟ้ ังตอ่ ไป โอกาสท่ีพดู แนวการพดู 1. การประกาศ ความมงุ่ หมาย : เพื่อชี้แจง แจง้ ข่าว เรื่องราว - ข้ึนพูดประกาศด้วยทา่ ทีที่สุภาพออ่ นน้อม สาคัญเกย่ี วกับกาหนดการ หรอื วิธีการ หรือ - บอกจดุ ม่งุ หมายสาคญั ของการประกาศ ข้อตกลงใด ๆ เพอ่ื ให้เปน็ ที่ทราบท่ัวกนั ในหมู่ - ตอ้ งมีสาระวา่ จะใหผ้ ฟู้ ังทราบในเรื่องใด เช่น ใคร ทา คณะหรือท่ปี ระชมุ นนั้ อะไร ท่ไี หน เม่ือไร อย่างไร เปน็ ตน้ (พงึ พิถีพถิ นั การใช้ ถ้อยคาสานวน อย่าใช้คาผวน คาอวดอา้ ง ยกตนเหนือ ผ้อู ื่น) - เน้นความคดิ เห็นหรอื ขอ้ ความสาคัญ วา่ จะให้ผู้ฟงั ทา อะไร พูดใหส้ ั้น และชดั เจน - กลา่ วยา้ ประเด็นสาคญั อกี ครั้งในตอนท้าย 2. การกลา่ วแนะนาวทิ ยากรหรอื องค์ปาฐก - กอ่ นกลา่ วแนะนา ควรเชญิ วทิ ยากรไปนั่งทที่ ี่จดั ไว้ ความมุ่งหมาย : เพื่อเรง่ เรา้ ความสนใจและ บริเวณหนา้ ชน้ั เรยี นก่อน ความม่ันใจจากผฟู้ งั และวทิ ยากร ใหร้ ูจ้ กั กนั และเกดิ ความสบายใจทงั้ สองฝา่ ย ทง้ั กระตนุ้ - ขึน้ กลา่ วแนะนา โดยแสดงความสาคญั ของเร่อื งที่ ใหว้ ทิ ยากรทาหนา้ ที่ของตนให้สมบรู ณ์ท่สี ดุ วทิ ยากรจะพดู อยา่ งรวบรดั ทสี่ ุด แต่ไดค้ วามชดั เจน และผู้ฟังเกดิ ความสนใจท่จี ะเรียนรู้ ทาให้ วตั ถปุ ระสงค์ของการนาเสนอในครัง้ นัน้ - แนะนาใหเ้ หน็ ถงึ ความเหมาะสมของวทิ ยากรกบั เรื่องท่ี สมั ฤทธิผล พูด โดยแนะนาอย่างกระชบั ถงึ ประวตั ิของวิทยากร ดา้ น วุฒิการศึกษาและประสบการณ์ เฉพาะในส่วนท่ี เกยี่ วข้องสมั พนั ธ์กบั เรอ่ื งท่ีพดู เพอ่ื สร้างความเชื่อม่นั ศรัทธาของผู้ฟงั ตอ่ วทิ ยากร และคาดวา่ จะไดร้ บั ประโยชนค์ ุ้มค่าจากการฟัง - อยา่ ยกยอปอปั้นจนวิทยากรขวยเขิน และเกดิ ความไม่ สบายใจท่ีอาจทาถึงขนั้ ท่ีแนะนาไวไ้ มไ่ ด้ - ประกาศช่อื (ระบุยศ ตาแหนง่ ใหถ้ กู ต้อง หากไม่มี ตาแหนง่ อาจใชค้ านาหน้าวา่ อาจารย์ หรอื ท่านวทิ ยากร เพ่ือเปน็ การยกยอ่ งใหเ้ กียรติ แต่ไม่ควรใช้คานาหนา้ ว่า นาย นาง หรือนางสาว เพราะฟงั ดแู ขง็ เกนิ ไป และ สุรพล จันทราปตั ย์ การพดู ในโอกาสต่างๆ 2
โอกาสท่ีพดู แนวการพดู วทิ ยากรอาจรู้สึกอึดอัด) และเรียนเชิญวิทยากรข้ึนพูด 3. การกลา่ วขอบคณุ วิทยากรหรอื องค์ โดยขอเชญิ ผู้ฟงั ปรบมอื ต้อนรบั วิทยากร ปาฐก - อย่าแนะนายืดยาวจนผู้แนะนากลายเปน็ วทิ ยากรไป ความมุ่งหมาย : เพื่อแสดงความยนิ ดีและ - กล่าวแสดงความรสู้ กึ ยนิ ดแี ละเป็นเกยี รติแก่หนว่ ยงาน ประทบั ใจ รวมทงั้ ขอบคุณวิทยากร ทไ่ี ด้ให้ และผฟู้ ัง ที่ไดม้ โี อกาสฟังการพดู ของวทิ ยากร ซึ่งมีคณุ ค่า ความรอู้ นั มีคณุ คา่ แก่ผฟู้ ัง สามารถนาไปใช้ อย่างยง่ิ ประโยชนท์ งั้ ต่อตนเอง และหนา้ ท่ีการงานได้ อยา่ งมาก การขอบคุณยงั เปน็ การสาน - กลา่ วถงึ ความสาคญั ของสาระความรแู้ ละประสบการณ์ ความสมั พันธท์ ี่ดีกบั วทิ ยากร เพอื่ การเชิญมา ท่ีได้ฟงั จากการถา่ ยทอดของวิทยากร หากสามารถนา เป็นวิทยากรในโอกาสตอ่ ไปอกี ดว้ ย คาพูด ขอ้ คดิ สาระสาคญั จุดเดน่ ของการนาเสนอของ วิทยากรซง่ึ นา่ ประทบั ใจ มากล่าวถึงอยา่ งกระชับดว้ ยก็ จะดียง่ิ - กล่าวถึงประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จากการฟงั วา่ จะสามารถ นาไปใชใ้ นการปฏิบัตงิ านให้มปี ระสทิ ธผิ ลและ ประสิทธภิ าพได้เปน็ อยา่ งดี - แสดงความประทบั ใจ และขอบคุณวิทยากรอีกครง้ั - หากมขี องท่รี ะลกึ ที่จะมอบให้วิทยากร ใหข้ อเชญิ ผูท้ จ่ี ะ มอบของ ได้มอบของระลึกแก่วิทยากรดว้ ย ในโอกาสน้ี ผู้ฟงั ปรบมือให้เกียรติแก่วิทยากร - พิธีกรขอเชิญทุกคนปรบมอื เพอื่ เป็นการขอบคุณแก่ วทิ ยากรอีกครั้ง 4. การกล่าวคาตอ้ นรบั - กลา่ วแสดงความยินดีต้อนรับการมาเยือนของเขาในคร้ังน้ี ความมุ่งหมาย : เพือ่ ให้เกยี รตแิ ละสร้าง - พดู ถงึ ความสาคญั ของโอกาสหรอื วาระที่ผูม้ าเยือนได้ ความรสู้ กึ อบอนุ่ แกผ่ ู้มาเยือน หรอื ผูม้ า รว่ มงาน มาร่วมในงานครงั้ น้ี - กลา่ วสรรเสรญิ หรือคานิยมยกยอ่ งผ้มู าเยือน เกี่ยวกบั 4.1 การกลา่ วคาตอ้ นรับแขกผู้มาเยอื น ผลงานหรอื คณุ งามความดขี องเขา (ถา้ เกี่ยวกบั โอกาสหรือ วาระ และเร่อื งทเี่ ขาจะมสี ว่ นรว่ มกับเรา) - ระบถุ ึงประโยชนท์ ่ีจะไดร้ ับร่วมกัน สรุ พล จันทราปตั ย์ การพดู ในโอกาสต่างๆ 3
โอกาสท่พี ูด แนวการพดู - จบด้วยการแสดงความยนิ ดีทไี่ ด้ตอ้ นรบั เปน็ การยา้ มิตรภาพและความปรารถนาดี 4.2 การกลา่ วคาต้อนรบั สมาชิกใหม่ของ - กลา่ วแสดงความยินดตี ้อนรับเขา ที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ หนว่ ยงาน ของหนว่ ยงาน – อธิบายถึงลกั ษณะงานและความสาคญั ของหน่วยงาน อยา่ งรวบรัด – อาจกล่าวโดยสงั เขปถึงหนา้ ทแ่ี ละสทิ ธทิ ี่พึงมพี งึ ไดข้ อง สมาชิกของหนว่ ยงาน (ถ้าไมจ่ าเป็น ก็ไม่ตอ้ งกลา่ วถงึ ) – จบด้วยการกลา่ วแสดงความยนิ ดีอกี คร้งั ที่เขาเข้ามาเปน็ สมาชกิ ใหม่ของหน่วยงาน พรอ้ มทง้ั ต้งั ความหวงั ไว้วา่ เขา จะเป็นสว่ นหน่ึงท่ีจะช่วยเสริมสรา้ งงานและหนว่ ยงานให้ กา้ วหน้าตอ่ ไป 5. การกล่าวตอบการตอ้ นรับ ความมงุ่ หมาย : เพ่ือแสดงความขอบคุณและ - กล่าวแสดงความรู้สึกซาบซง้ึ ยนิ ดีในการตอ้ นรบั ความพึงพอใจในการต้อนรับ - แสดงความรู้สกึ ประทับใจต่อขอ้ ความในคากลา่ วตอ้ นรบั - กลา่ วถงึ เรือ่ งท่เี ปน็ ความสาคญั นา่ ภูมิใจของกลุ่มตอ้ นรบั - กล่าวถงึ ความสาเร็จท่จี ะมใี นอนาคต - ย้าว่าจะไดร้ บั ประโยชน์หรือประสบการณ์ ทน่ี า่ ประทบั ใจจากการทไ่ี ดม้ าเยือนหรือมารว่ มงานดว้ ย - จบด้วยการแสดงความขอบคณุ อยา่ งจรงิ ใจ ตอ่ เกียรติที่ไดร้ ับ 6. การกลา่ วมอบรางวลั เกยี รติคุณ - กลา่ วถึงความสาคญั ของโอกาสเช่นนนั้ ความมุ่งหมาย : เพื่อแสดงความยนิ ดที ผี่ นู้ ั้น - กลา่ วถึงชอื่ และความดเี ดน่ ของผไู้ ดร้ บั รางวลั เนน้ เฉพาะ ประสบความสาเร็จ และได้รับรางวลั จุดสาคัญที่จะใหเ้ ปน็ เกียรตแิ กเ่ ขาเท่านนั้ (ผู้มอบรางวลั อาวโุ สกว่าผไู้ ด้รบั มอบรางวัล) - พูดฝากความหวงั ไว้วา่ ผู้รับรางวัลจะดารงมนั่ อยู่ในคุณ ความดี หรอื เสริมสร้างผลงานดเี ดน่ เชน่ นี้อีกตลอดไป - อวยพรให้ผ้ไู ด้รับรางวลั มคี วามเจรญิ ก้าวหน้า และมี ความสาเร็จในอนาคต สรุ พล จันทราปัตย์ การพดู ในโอกาสตา่ งๆ 4
โอกาสทพ่ี ูด แนวการพดู 7. การกล่าวรับ ความมุ่งหมาย : เพ่อื รบั รใู้ นรางวลั เกยี รตคิ ุณ - กลา่ วแสดงความขอบคุณและความพอใจในรางวลั และ แสดงความพอใจและขอบคณุ ถอ้ ยคาทก่ี ลา่ วมอบ - พูดใหเ้ ห็นวา่ “ของรางวลั ” หรอื เกียรตคิ ุณทไ่ี ด้รับนัน้ มี ความหมายในดา้ นจติ ใจต่อผูร้ บั เพียงใด - รางวัลนน้ั ให้กาลังใจแกผ่ ูร้ ับอยา่ งไร - กลา่ วถึงและขอบคณุ ผมู้ สี ว่ นรว่ มหรอื ทาให้ตนได้รับรางวลั น้ี (ถา้ มี) - จบด้วยการแสดงความขอบคณุ และประทับใจ อีกคร้ัง 8. การกลา่ วมอบตาแหน่งงาน - กล่าวถงึ ความสาคญั ของตาแหนง่ นน้ั ต่อการดาเนนิ งาน ความมงุ่ หมาย : เพอ่ื เป็นการยกย่องในความ ของหนว่ ยงาน (ระบชุ ือ่ ตาแหน่งอยา่ งถูกต้อง) เหมาะสมของบคุ คลผไู้ ด้รับมอบหมาย - ยกย่องผ้เู ข้ารบั ตาแหน่ง วา่ เปน็ ผู้มีคุณสมบตั เิ หมาะสม ได้ ตาแหน่งงานน้ัน เคยแสดงผลงานหรอื บริการอันดีเด่นเหมาะสมแกต่ าแหน่ง ดังกลา่ วดว้ ยประการทง้ั ปวง - พดู ฝากความหวังไว้วา่ ภายใตก้ ารดาเนินงานของผู้เข้ารบั ตาแหนง่ ใหม่นี้ กจิ การท้ังหลายคงจะดาเนนิ ไปไดด้ ว้ ยดีมี ประสทิ ธิภาพยิง่ ขึ้น - จบดว้ ยการเชิญชวนใหท้ ุกทา่ นสนบั สนุนผ้เู ข้ารบั ตาแหนง่ โดยระบชุ ือ่ ผ้รู บั ตาแหน่งอยา่ งถกู ต้องและชดั เจน 9. การกลา่ วคาสดุดี ความมงุ่ หมาย : เพอื่ ยกย่องสรรเสรญิ ผู้อน่ื ใน - ข้นึ กลา่ วคาสดดุ ีดว้ ยการยกย่องสรรเสรญิ เกยี รติคณุ ใน ผลงานหรอื ในความสาเรจ็ อนั ยิ่งใหญ่ของเขา จดุ สาคญั ทจี่ ะทาใหผ้ ฟู้ งั ประทับใจท่สี ุด (คากลา่ วประเภทท่ี 6 และท่ี 8 ก็คลา้ ย ๆ กบั - กลา่ วน้อมนาจติ ใจผฟู้ งั ทงั้ หลายใหด้ าเนินรอยตามบุคคลผู้ เปน็ คาสดดุ อี ยา่ งหน่ึง เพยี งแต่ขนาด นั้นหรอื กลมุ่ นน้ั เพ่อื ความสาเร็จอนั เป็นเกยี รติคณุ สงู สง่ ใน ความสาคัญยงั ไมเ่ ขา้ ขน้ั ท่ีจะเปน็ สดดุ ีเทา่ นนั้ ) เบอ้ื งหน้าเช่นเดียวกนั - กลา่ วมอบอนสุ าวรยี ห์ รือถาวรวตั ถุ (ถ้ามี) เป็นท่รี ะลึกถงึ คณุ งามความดีของบุคคลนนั้ หรือกลมุ่ คนนนั้ ๆ สรุ พล จันทราปัตย์ การพดู ในโอกาสต่างๆ 5
โอกาสที่พูด แนวการพูด 10. การกล่าวคาอวยพร ความม่งุ หมาย : เพอ่ื แสดงความยนิ ดีและอวย พรแก่บุคคลหรือกลมุ่ บคุ คล เนื่องในวาระ สาคัญของเขา 10.1 การอวยพรคสู่ มรส - เดินไปยงั เวทีดว้ ยทา่ ทที ส่ี งา่ ใบหน้ายม้ิ แยม้ แจ่มใส และ ยินดี แตส่ ุภาพ (ไมต่ อ้ งถือแก้วเคร่ืองด่ืมไป เจ้าหนา้ ทจ่ี ะ เตรียมไว้ยืน่ ให้ เมื่อจะกลา่ วอวยพร) - เร่ิมพูดดว้ ยการกล่าวทกั ทายแขกผู้มารว่ มงาน โดยพดู ดว้ ย เสียงคอ่ นข้างดงั เลก็ นอ้ ย เพอื่ เรียกความสนใจ (เชน่ ทกั ทายว่า ทา่ นเจ้าภาพและแขกผมู้ ีเกยี รตทิ ุกท่าน เป็น ต้น) แล้วกลา่ วถงึ ความสมั พนั ธข์ องท่านกับคสู่ มรสฝ่ายใด ฝ่ายหน่งึ หรือทงั้ สองฝา่ ย เพอ่ื ให้รูถ้ งึ ความคนุ้ เคยใกล้ชิด - กลา่ วแสดงความยินดที ี่บา่ ว-สาว ได้สมรสกัน ซง่ึ เป็นการ ตัง้ รากฐานของครอบครัวที่ดีต่อไป - เพ่ือเป็นการเสรมิ รากฐานดงั กลา่ ว ก็กลา่ วใหข้ อ้ แนะนาทด่ี ี ในการครองเรอื นแก่คู่สมรสตามสมควร จากนน้ั หนั มา รบั แก้วเคร่อื งดืม่ จากเจา้ หน้าที่ แล้วขอเชิญแขกทุกทา่ น ลุกขน้ึ ยืน เพือ่ ดืม่ อวยพรให้แก่คู่สมรส – เมอ่ื แขกยืนข้ึนแล้ว จงึ กล่าวคาอวยพร เม่อื จบคาอวยพร หากมวี งดนตรี ใหเ้ ขาบรรเลงเพลงมหาฤกษจ์ บกอ่ น จึง เปลง่ เสยี งชโย แลว้ ด่มื อวยพร เสร็จแล้วกล่าวคาขอบคุณแขก แล้วเดนิ ลงจากเวทอี ยา่ ง สง่างาม 10.2 การอวยพรวนั เกดิ - ขึ้นพดู ดว้ ยทา่ ทีรา่ เริงยนิ ดี แตส่ ภุ าพ - กล่าวถงึ ความสาคญั ของวันคลา้ ยวันเกิดสักเลก็ น้อย แล้ว พูดถึงคุณงามความดแี ละเกียรตคิ ุณของเจ้าของวันคลา้ ย วนั เกิดตามสมควร - หากเจา้ ของวันคลา้ ยวนั เกิดเป็นผู้อาวุโส ก็กลา่ วอวยพรให้ ทา่ นมคี วามสุข และมสี ขุ ภาพพลานามัยแขง็ แรง กบั ให้มี อายยุ ืนนานเปน็ ทีพ่ ง่ึ ของลูกหลานสบื ไป หากเจ้าของ วนั คลา้ ยวนั เกิดเปน็ ผ้อู ่อนอาวุโส กอ็ วยพรให้มคี วามสขุ ความเจริญก้าวหนา้ ประกอบคณุ งามความดี เพอ่ื เปน็ ศรี แกว่ งศส์ กุลสืบไป สรุ พล จันทราปตั ย์ การพูดในโอกาสตา่ งๆ 6
โอกาสท่พี ูด แนวการพูด 11. การกลา่ วคาไว้อาลยั ความมุง่ หมาย : เพอ่ื ไว้อาลยั แก่ผู้วายชนม์ - ขน้ึ พดู ด้วยทา่ ทีท่สี งบ (ท่าทีเปน็ ธรรมชาติ ไมใ่ ช่การแสดง) หรอื ผู้ท่ียา้ ยงานหรอื ออกจากงานไป (เป็นคา - กลา่ วสรรเสริญเกยี รตคิ ุณของผูว้ ายชนม์ เลือกเฉพาะ กลา่ วสดุดยี ่อย ๆ อย่างหน่งึ แตไ่ มม่ ี ผลงานหรอื ความสาเรจ็ อนั ดเี ด่นขน้ึ มาพูด เพือ่ ใหเ้ กิด ความสาคัญสงู เชน่ ขอ้ 9) ความประทบั ใจ 11.1 การกล่าวคาไวอ้ าลยั ผวู้ ายชนม์ - พดู ใหค้ วามอบอุ่นแกค่ รอบครัวและญาติมติ ร ของผวู้ ายชนม์ และเร้าใจใหส้ นองคุณผูว้ ายชนม์ โดย ปฏบิ ตั แิ ตค่ วามดเี หมือนอยา่ งทเี่ ขาได้กระทามา - ตั้งความปรารถนาร่วมกัน ให้วญิ ญาณของผวู้ ายชนมไ์ ปสู่ สคุ ติ แล้วเชญิ ชวนใหย้ นื ไว้อาลยั 1 นาที - ยนื ไว้อาลัยโดยสงบ 1 นาที เปน็ อนั เสร็จสน้ิ การกล่าว 11.2 การกลา่ วคาไวอ้ าลัยแด่ผูย้ ้ายงานหรือ - ขึน้ พดู ดว้ ยทา่ ทที ี่แสดงความอาลัยอยา่ งจรงิ ใจ แตไ่ ม่ ออกจากงานไป ถงึ กับแสดงอากปั กริ ยิ าโศกเศร้า เพราะผู้นนั้ มไิ ดต้ ายจาก เราไป - กลา่ วยกย่องในคณุ งามความดแี ละผลงาน ที่ผู้จากไปได้ สร้างไว้ในขณะปฏบิ ตั ิงานในหนว่ ยงาน เลือกเฉพาะ จุดเด่นท่สี ร้างความประทบั ใจ - กลา่ วถงึ ความรกั ใครอ่ าลยั ของบรรดาผูร้ ่วมงานท้ังหลาย ด้วยท่าทที ่จี ริงใจทสี่ ดุ - หวังวา่ ความสาเร็จทผ่ี ู้จะจากไปได้ทาไว้ คงเปน็ บนั ไดให้ผู้ ทีจ่ ะมาแทน ไดป้ ระสบความสาเรจ็ เป็นอย่างดยี ่ิงขึน้ - จบดว้ ยการกลา่ วอวยพร หากเป็นการอวยพรแกผ่ ้ยู ้าย งาน ก็ขอให้เขาประสบความสาเรจ็ ในหนา้ ท่กี ารงาน ตลอดไป และขอให้เดนิ ทางโดยสวสั ดิภาพ หากเขามี โอกาสใดทจ่ี ะมาเยย่ี มเยือนหน่วยงานแลว้ ก็ขอเชญิ ชวน และยนิ ดตี อ้ นรับทกุ โอกาส หากเป็นการอวยพรแกผ่ อู้ อกจากงาน ก็ขออวยพรให้เขา ประสบแตค่ วามสขุ ความเจริญ พร่ังพร้อมสมบูรณด์ ้วย อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ทา่ มกลางความอบอนุ่ ใน ครอบครัว เพอ่ื นฝูง และญาตมิ ติ รอันเปน็ ที่รักตลอดไป สรุ พล จันทราปัตย์ การพูดในโอกาสตา่ งๆ 7
โอกาสทพี่ ดู แนวการพดู 12. การกล่าวภายหลงั งานเลย้ี งอาหารคา่ ความมงุ่ หมาย : เพือ่ ใหค้ วามสนกุ สนาน - ในกรณที ี่พดู เป็นกจิ จะลกั ษณะ ตอ้ งใหข้ อ้ มลู ข่าวสาร หรอื บนั เทงิ หรือพดู เรื่องทีเ่ หมาะสมกบั เหตกุ ารณ์ ชกั จูงใจผู้ฟงั ควรสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง และใช้ อยา่ งเป็นกจิ จะลกั ษณะ คาพูดที่กะทัดรัด กินใจ น่าสนใจ - ในกรณีท่ีพูดใหค้ วามบันเทงิ ควรเร่มิ ด้วยขอ้ ความตลก ขบขันแต่ไม่นอกเรอ่ื ง หากหาจุดขบขนั จากทป่ี ระชมุ นัน้ ได้ จะน่าสนใจยงิ่ ขึน้ (แต่อย่านาความเพล่ยี งพลา้ ของผูอ้ ่ืนมา เป็นเรอ่ื งตลก พึงระวังอยา่ ทาให้ผใู้ ดเสียหนา้ หรืออบั อาย เป็นอนั ขาด – ให้ข้อคดิ สลบั ด้วยขอ้ เปรียบเทียบดว้ ยเหตุและผล – จบด้วยการสรา้ งอารมณร์ ว่ มและดว้ ยไมตรีจิตมิตรภาพ 13. การกล่าวคาอาลา ความม่งุ หมาย : เพื่อแสดงความร้สู ึกของตนท่ี - กล่าวแสดงความเสยี ใจทต่ี นจะต้องจากไป ต้องจากไป - กลา่ วถึงความสุขท่ตี นได้รบั และความคนุ้ เคยทีม่ อี ยู่กับ บุคคลต่าง ๆ ในทนี่ นั้ – เล่าถึงเหตุการณท์ ี่ประทบั ใจในขณะท่ไี ด้อยมู่ าชา้ นาน และคงระลึกถึงด้วยความสุข ความภูมใิ จตลอดไป - สรรเสริญคณะผ้จู ัดหรือร่วมเล้ยี งสง่ ดว้ ยใจจริง - หวังว่าความสมั พันธ์อันแนน่ แฟ้นจะยังคงมีอยู่ตลอดไป หากผ้ใู ดผา่ นไปในสถานท่ที ต่ี นจะไปอยูใ่ หม่ ขอใหแ้ วะ เยยี่ มเยียนกันบา้ ง ยนิ ดีตอ้ นรบั เสมอ - จบดว้ ยการกลา่ วขอบคณุ และขออาลา แล้วอวยพรใหท้ กุ คนจงประสบแตค่ วามสุขสวสั ดี สรุป การพดู ในโอกาสต่าง ๆ มคี วามสาคัญมาก เพราะเป็นการพดู ในช่วงเวลาอันส้นั แนวการพดู ท่ี นาเสนอขา้ งตน้ นี้ เป็นเพียงการแนะนาประเดน็ และสาระสาคัญสว่ นท่ีน่าจะพดู เท่าน้นั ไมไ่ ด้เป็นสูตร สาเรจ็ ตายตัวแต่อย่างใด ในการพูดจรงิ ผู้พดู จะต้องวิเคราะหส์ ถานการณ์ แลว้ ขึ้นพดู ด้วยการกลา่ ว อรรถาธบิ ายขยายความ ยกสานวนโวหาร สภุ าษติ ฯลฯ ขึ้นสนับสนุนการพูดของตนให้เหมาะสมกับเรือ่ ง และโอกาสด้วย ยง่ิ มีการฝกึ ฝนตนเองในการพูดในโอกาสต่าง ๆ มากขึ้น และมผี ู้ฟังคอยให้ความคดิ เห็น หรอื ขอ้ แนะนาดว้ ยแล้ว กจ็ ะช่วยใหต้ นสามารถปรับปรงุ การพดู ใหน้ า่ ฟังยิ่งขน้ึ ดว้ ยเป็นเอนกประการ. สุรพล จนั ทราปัตย์ การพูดในโอกาสตา่ งๆ 8
บรรณานกุ รม ประสงค์ รายณสุข. 2528. การพูดเพือ่ ประสิทธิผล. ศนู ย์หนงั สือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร. เอกสารโรเนยี วเย็บเลม่ . ปานใจ สุภาพ. 2527. แนวทางและตวั อยา่ ง “การพูด”. นครปฐม : โรงพมิ พ์ศนู ย์ส่งเสรมิ และฝึกอบรม การเกษตรแห่งชาติ สานักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน. สมิต สัชฌุกร. 2547. การพูดตอ่ ชมุ นุมชน. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พส์ ายธาร. สรุ พล จันทราปตั ย.์ 2528. ศิลปะการพูดต่อชมุ นุมชน. สานกั สง่ เสริมและฝึกอบรม มหาวทิ ยาลัย เกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ เอกสารโรเนียวเย็บเล่ม. อทุ ิศ นาคสวสั ด.ิ์ 2519. ศลิ ปะการพดู . กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พ์อกั ษรเจรญิ ทศั น.์ DeVito, Joseph A. 1981. The Elements of Public Speaking. New York : Harper & Row Publishers. Kushner, M. 1999. Public Speaking for Dummies. California : IDG Books Worldwide, Inc. Lucas, Stephen E. 1983. The Art of Public Speaking. New York : Random House. File: สุรพล จันทราปตั ย์ การพดู ในโอกาสต่างๆ มสธ. 18 ก.ย. 64 สรุ พล จนั ทราปัตย์ การพูดในโอกาสต่างๆ 9
(เอกสารแนบท้ายบทความ) แนวการประเมินการพดู ในโอกาสตา่ งๆ โอกาสท่ีพดู .................................................................. ช่ือผูพ้ ูด.................................................................................................... เวลาท่ใี ช้ในการพูด....................นาที เกณฑ์ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ : คะแนน 5 = ดีมาก, 4 = ด,ี 3 = พอใช้, 2 = ยังตอ้ งปรบั ปรุงบ้าง, 1 = ยงั ต้องปรบั ปรุงอีกมาก หัวขอ้ การประเมิน คะแนนท่ใี ห้ () ขอ้ วิจารณ์ 5432 1 1. การปรากฏตัวตอ่ ชุมนมุ ชนอย่างสง่ามนั่ คง และออ่ นน้อม 2. การกลา่ วทักทายผ้ฟู งั ได้อยา่ งกระชบั และเหมาะสม 3. การนาเข้าสู่เรอ่ื งทพี่ ดู ได้อยา่ งน่าสนใจ เรา้ ใหผ้ ู้ฟังติดตามฟัง ไดด้ ี 4. การถา่ ยทอดคาพูดในส่วนของตวั เร่อื ง กระทาได้ชดั เจน กระชับ และกระทบความรู้สกึ ของผู้ฟัง 5. การลงท้ายอย่างน่าประทบั ใจ 6. การใชเ้ วลาพูดไดอ้ ย่างเหมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์ 7. การสบสายตากับผฟู้ งั กระทาได้ดีและทัว่ ถึง 8. การเคลื่อนไหว กิริยาทา่ ทางประกอบการพูด สอ่ื ความหมาย ไดช้ ัดเจนและกลมกลืน 9. เสียงดังชดั เจน น้าเสียงหนกั –เบา สงู –ตา่ ช้า–เรว็ พอเหมาะ กระต้นุ ใหส้ นใจติดตามฟังโดยตลอด 10. การเว้นจังหวะการพูดถูกตอ้ ง รวมคะแนน ส่ิงท่ผี พู้ ูดกระทาได้ดีท่สี ุดในการพูดคร้งั นี้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สงิ่ ทีผ่ พู้ ดู ควรปรบั ปรุงเป็นพิเศษในการพดู ครง้ั ต่อไป ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… .......................................................... ผปู้ ระเมิน วันที่........…../……………/………….. (ออกแบบประเมนิ โดย ดร.สุรพล จนั ทราปัตย์)
ศิลปะการพูดต่อทีช่ ุมนุมชน ดร.สรุ พล จันทราปัตย์ 1 ความนา บทความเร่ือง “ศลิ ปะการพูดตอ่ ทีช่ ุมนุมชน” นี้ เขียนขึน้ ดว้ ยจดุ มุ่งหมายเพ่ือเสนอหลักและแนว ปฏิบัตเิ บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การพูดต่อท่ชี ุมนุมชน รวมถึงเทคนิคการพูดเพื่อใหข้ ่าวสารความรู้ และการพดู เพ่ือ โนม้ นา้ วชกั จูงใจ โดยมีแนวประเมินการพดู ในแตล่ ะประเภทไว้ด้วย เพื่อประโยชน์ในการวัดและประเมนิ การพูด และเป็นแนวทางให้ปรบั ปรุงการพูดให้สมั ฤทธิผลยง่ิ ๆ ขึ้นต่อไป อย่างไรกต็ าม บทความชิน้ นี้เป็น เพียงการแนะนาเพื่อการพูดทด่ี ี ส่วนท่ีจะบงั เกิดผลเป็นประการใดนน้ั ย่อมข้ึนอยกู่ ับผู้พูด วา่ จะปรับใช้ ขอ้ แนะนาท่ีเสนอในบทความนีไ้ ด้มากนอ้ ยเพียงใด นอกจากนี้ ขอแนะนาใหศ้ ึกษาคน้ ควา้ จากเอกสารอ่นื ๆ เพม่ิ เตมิ อีกด้วย กจ็ ะเกิดประโยชนม์ ากขนึ้ ความหมายและองคป์ ระกอบของการพูด การพูด คือ การถ่ายทอดความรู้ ความคิด และความรู้สกึ ของผู้พดู ไปยังผู้ฟัง โดยมีคาพดู น้าเสียง และอากปั กริ ยิ าของผพู้ ูดเปน็ ส่ือ เพื่อใหผ้ ฟู้ งั รบั รู้ และเข้าใจตรงตามจุดมงุ่ หมายของผ้พู ูด จากคาจากัดความข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่า การพูดมีองค์ประกอบสาคัญอยู่ 7 ประการ คือ (1) ผู้ พูด (2) ผู้ฟัง (3) ความรู้ ความคิด ความรู้สึกของผู้พูด (4) คาพูด (5) น้าเสียง (6) อากัปกิริยา ของผู้พดู และ (7) จดุ มุ่งหมายในการพูด ผู้พูด ตามปกติผู้พูดย่อมมีเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา การบรรยาย สัมมนา อภิปราย โต้วาที ประชุม หรือการพูดแบบใดก็ตาม แม้จะมีผู้พูดหลายคนแต่ก็ต้องพูดทีละคน หากมีผู้พูดพูดพร้อม กนั แล้ว การพูดครั้งนัน้ คงไมร่ าบร่ืน ตรงกันขา้ ม อาจวุน่ วายสบั สนกนั ไปหมดก็ได้ เนอื่ งจากไม่มีใครฟงั ใคร เลย มีแต่ผพู้ ูดอย่างเดยี ว ฉะนั้น เมอื่ ผู้พูดมีเพียงคนเดียวในครั้งหนึง่ ๆ เช่นน้ีแล้ว ผู้พูดจึงต้องมกี ารเตรยี ม ตวั ใหพ้ ร้อมเพอื่ การพูดทด่ี ี ผู้ฟัง มีตั้งแต่คนเดียวไปจนถึงจานวนมากเป็นกลุ่มใหญ่นับไม่ถ้วน หากมีผู้ฟังเพียงคนเดียวหรือ หลายคนแต่จานวนไม่มากนักมานั่งล้อมวงคุยกัน เรียกการพูดแบบน้ีว่า “การสนทนา” (conversation) แต่ถ้ามีผู้ฟังเป็นจานวนมาก และมีผู้พูดเพียงคนเดียวต่อหน้าผู้ฟังเหล่านี้แล้ว ก็เรียกการพูดแบบน้ีว่า “การพดู ต่อทช่ี ุมนุมชน” (public speaking) ความรู้ ความคดิ และความรู้สึกของผูพ้ ดู เป็นองคป์ ระกอบท่สี าคัญประการหน่ึงในการพูด เพราะ การทค่ี นเราพูดก็เพ่ือจะถ่ายทอดความรู้ ความคิด และความรู้สึกของตนไปยังผู้ฟังนั่นเอง ความรเู้ ป็นส่งิ ที่ ผู้พูดได้มาจากการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิต ความคิดเป็นสิ่งท่ีกล่ันกรองจากสมองของผู้พูด โดยอาศัย ความรแู้ ละประสบการณ์ที่ได้รับมาเป็นสาคญั ส่วนความรูส้ ึกน้นั เป็นเรื่องของอารมณท์ ี่ผ้พู ูดมีตอ่ เรอ่ื งที่จะ พดู ถ้าผู้พูดมีความรสู้ ึกรนุ แรงเกนิ ไป ก็อาจถ่ายทอดความรู้สกึ นั้นไปสผู่ ู้ฟงั โดยใช้น้าเสียงและอากัปกิรยิ า ทเี่ กินความเหมาะสมไปกไ็ ด้ 1 ผทู้ รงคุณวุฒิ ที่ปรึกษาสานกั สง่ เสริมและฝึกอบรม กาแพงแสน มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรรมการบริหาร หลักสูตรเกษตรเขตรอ้ น คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ บางเขน กรงุ เทพฯ
คาพูด เป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคัญมาก เพราะการพูดก็คือการเรยี บเรียงถอ้ ยคาให้เปน็ ประโยคหรือ วลี ท่ีสื่อความหมายตามที่ผู้พูดต้องการน่ันเอง หากผู้พูดใช้ถ้อยคาสานวนภาษาท่ีถูกต้องเหมาะสม ก็จะ ช่วยเพิ่มความเข้าใจและประทับใจให้แก่ผู้ฟังได้เป็นอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม หากผู้พูดใช้คาพูดท่ีไร้ สาระ คลมุ เครือและวกวน กจ็ ะทาให้ผู้ฟงั ไมเ่ ขา้ ใจและเกดิ ความเบ่อื หนา่ ยขึ้นได้ น้าเสียง การใช้น้าเสียงที่เหมาะสมกับเร่ือง มีระดับเสียงเน้นหนัก–เบา สูง–ต่า ตามแต่ใจความ รจู้ ักจังหวะและวรรคตอน มีการพูดที่พร่ังพรูไม่ตะกกุ ตะกัก มีอัตราชา้ –เร็วพอเหมาะ ไม่ดังหรือคอ่ ยเกินไป เหลา่ นเ้ี ปน็ ตน้ จะชว่ ยใหก้ ารพูดได้รับความสาเร็จเป็นอย่างมาก อากัปกิริยา ได้แก่ การปรากฏ กาย (appearance) ท่ายืน (posture) การเคลื่อน ไหว (movement) กิริยาท่าทาง (manner) สีหน้าระหว่างการพูด (facial expression) การสบสายตา (eye contact ) และการแสดงประกอบการพูด (action) เหล่าน้ีล้วนมีความสาคัญต่อการพูดท้ังส้ิน เพราะการแสดงอากัปกิริยาโดยไม่มีคาพูดเลยก็ส่ือความหมายได้ (ดังที่เรียกว่า “ภาษาท่าทาง”) ดว้ ยเหตุ นี้ ผพู้ ดู จงึ ตอ้ งใช้อากปั กิริยาท่ีสอดคล้องกับคาพดู ท้งั ในความหมายและอารมณ์ จุดมงุ่ หมายในการพดู เป็นองค์ประกอบที่สาคัญยิ่งในการพูด เพราะผู้พูดต้องรู้ตัวตลอดเวลา ว่าที่ตนจะพูดไปนั้นเพ่ือให้เกิดผลอะไรขึ้นมา การพูดที่ไม่มีจุดมุ่งหมายเปรียบเสมือนเรือท่ีแล่นไปอย่างไร้ หางเสือ ไม่มีทิศทางและขอบเขตทีแ่ น่ชัด จงึ มแี ตค่ วามเคว้งควา้ งและเล่ือนลอย การพูดท่ไี ม่มีจุดมงุ่ หมาย ทีช่ ดั เจนยอ่ มสะเปะสะปะ หาสาระและความประทับใจได้ยาก การพูดทปี่ ระสบผลสาเรจ็ ย่อมเกิดจากผู้พูด ทีร่ ู้จกั เลือกสรรถ้อยคา สานวนภาษา และแสดง น้าเสยี ง อากัปกิรยิ าประกอบการพูดได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสมแก่ผู้ฟงั และกาลเทศะ สามารถถา่ ยทอด ความรูส้ กึ นึกคิดไปยงั ผฟู้ ังได้อย่างกระชบั ทาให้ผู้ฟังรบั รูแ้ ละเข้าใจไดอ้ ยา่ งกระจ่างแจ้ง ตรงตาม จดุ มงุ่ หมายของผู้พดู ส่งผลให้เกิดการสนองตอบไปตามที่ผูพ้ ูดตอ้ งการในทีส่ ุด จดุ มุ่งหมายในการพดู ต่อทชี่ ุมนมุ ชน จดุ ม่งุ หมายในการพูดต่อที่ชุมนมุ ชนมี 2 ระดับ คอื จดุ มงุ่ หมายทวั่ ไป และจดุ ม่งุ หมายเฉพาะ จดุ มงุ่ หมายทั่วไป หมายถึงผลรวมที่ผ้พู ดู ต้องการให้เกิดข้ึนจากการพดู ในครง้ั นัน้ ซึ่งจาแนกได้เป็น 3 จดุ ม่งุ หมายหลัก คือ 1. เพื่อให้ข่าวสารความรู้ คือพูดมุ่งเน้นให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้ฟังเกิด ความเข้าใจ ความกระจ่าง และความสนใจ เรียกการพูดชนิดนี้ว่า การพูดเพ่ือให้ข่าวสารความรู้ (Informative or Instructive Speech) 2. เพื่อโน้มน้าวหรือจูงใจ คือพูดปลุกเร้า โน้มน้าว ชักจูงเกลี้ยกล่อม ให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือเห็น คล้อยตาม ปฏิบัติในสิ่งที่ต้องการให้ปฏิบัติ และไม่ปฏบิ ัติในสิ่งท่ีไมต่ ้องการให้ปฏิบัติ เรียกการพูดชนิดน้ีว่า การพดู เพ่ือโนม้ น้าวจงู ใจ (Persuasive or Influenced Speech) 3. เพือ่ ใหค้ วามบนั เทิง เพลิดเพลิน คือพดู มุ่งให้เกิดความสนุกสนานบันเทิงอยา่ งมสี าระ แต่ไม่เป็น พิธีการ ทาให้ผู้ฟังเกิดความกระปรี้กระเปร่าและเพลิดเพลิน จากการฟังเรื่องที่เบาสมอง และผู้พูดมี อารมณ์ขัน เรยี กการพดู ชนดิ น้วี ่า การพูดเพื่อความบนั เทงิ (Recreation or Entertaining Speech) สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศิลปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 2
จุดมุ่งหมายเฉพาะ หมายถึงผลท่ีผู้พูดต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟัง โดยกาหนดแน่ชัดว่าต้องการให้ ผู้ฟังมีพฤติกรรมสนองตอบไปในทางใด อย่างไร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ นาจุดมุ่งหมายท่ัวไปมาจาเพาะ เจาะลกึ ให้ละเอียดและแนน่ อนย่งิ ขึ้นไปอีกนนั่ เอง ในการพูด ผู้พูดควรกาหนดจุดมุ่งหมายทั่วไป ว่าต้องการพูดเพื่อให้ข่าวสารความรู้ หรือเพ่ือโน้ม น้าวชักจูงใจ หรือเพ่ือให้ความบันเทิง อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหากจาเป็นต้องมีมากกว่าหนึ่งแล้ว อย่างใด เป็นจุดมุ่งหมายหลัก อย่างใดเป็นจุดมุ่งหมายรอง กาหนดให้แน่ชัดและเสริมซ่ึงกันและกัน เพื่อให้เกิดผล รวมตามที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นจึงกาหนดจุดมุ่งหมายเฉพาะลงไป ว่าต้องการให้ผู้ฟัง เกิดการตอบสนองในเร่ืองใด อย่างไร เพ่ือท่ีผู้พูดจะได้วางโครงเร่ืองท่ีจะพูด และรวบรวมเน้ือหาสาระ เตรียมการในเรอื่ งต่างๆ แล้วนาเสนอใหเ้ กิดผลทีแ่ น่นอนตอ่ ไป แบบของการพูดตอ่ ท่ชี ุมนมุ ชน การพดู ตอ่ ที่ชมุ นมุ ชนจาแนกได้เปน็ 4 แบบตามลกั ษณะของการถ่ายทอด ดงั น้ี 1. การพูดแบบฉับพลัน (Impromptu Speech) เป็นการพูดท่ีผู้พูดไม่มีโอกาสเตรียมตวั ล่วงหน้า มาก่อน เน่ืองจากได้รับเชิญให้ขึ้นพูดโดยกระทันหัน หรือบางคร้ังเกิดความจาเป็นต้องพูดแนะนา ช้ีแจง วิจารณ์ อภิปราย เหล่าน้ีเป็นต้น ทาให้ผู้พูดต้องใช้ไหวพริบ ปฏิภาณ ประสบการณ์และภูมิรู้ เข้าช่วยเป็น อยา่ งมาก จงึ จะประสบผลสาเรจ็ 2. การพูดแบบจดมาอ่าน (Written and Read Speech) เป็นการพดู ทผ่ี ู้พดู มีโอกาสได้เตรยี ม ตัวล่วงหน้ามานานพอสาหรบั การร่างแล้วนามาอา่ น เหมาะที่จะใช้ในโอกาสทม่ี กี ารกาหนดเวลาพดู ไว้ แน่นอน และเปน็ การพดู ที่เป็นพธิ กี าร เช่น การกล่าวรายงานตอ่ ประธานในพธิ ีเปดิ การประชุมสัมมนา การ ปราศรัย การกล่าวสนุ ทรพจน์ เปน็ ตน้ 3. การพดู แบบทอ่ งจาจากร่าง (Memorized Speech) เปน็ การพดู ทผ่ี พู้ ดู ท่องจามาจากร่างท่ีได้ เตรียมไว้ แม้อาจจะเหมาะสาหรบั การพูดเร่ืองสาคัญในเวลาสั้นๆ เพยี ง 3 – 4 นาที แต่โดยท่ัวไปไม่ควรใช้ เพราะเสยี เวลาในการท่องจาและอาจหลงลมื ได้เม่ือข้ึนพูดจริง นอกจากน้ี ถึงแมผ้ พู้ ดู จะสามารถจา ข้อความได้ทุกคา กอ็ าจพูดอย่างไม่มีชีวติ ชีวา เพราะมัวแต่พะวงถึงข้อความท่ีเตรยี มมาเปน็ สาคญั จน ละเลยการแสดงสีหน้าท่าทางอากปั กิริยาประกอบการพูดไป ทาใหไ้ ม่ประสบผลสาเร็จเทา่ ทีค่ วร หรืออาจ ลม้ เหลวโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้ 4. การพูดแบบจดเฉพาะหัวข้อ (Extemporaneous Speech) เปน็ การพดู จากภมู ิรู้ ความรสู้ ึก นึกคิดของผพู้ ูด โดยมกี ารศึกษาและเตรียมตัวล่วงหนา้ มาพรอ้ มแล้ว และเพ่ือป้องกันการลืมและสับสนใน การพดู จงึ จดเฉพาะหัวข้อเร่ืองตามลาดบั จากต้นจนจบเพอ่ื เตอื นความจา หากมเี รื่องใดตอนใดสาคัญ ต้องการเนน้ ย้าก็แสดงเครอ่ื งหมายไว้ จะช่วยให้การพูดไดป้ ระเดน็ สาคัญครบถว้ นกระบวนความและ น่าสนใจ การพูดแบบน้ี หากผพู้ ดู มีความชานาญและมีความจาดี ก็อาจไมน่ าโครงเรอื่ งไปเตอื นความจา ของตนขณะพูดก็ได้ การพดู เป็นทง้ั ศาสตรแ์ ละศลิ ปะ การพูดเป็นศาสตร์เพราะมที ฤษฎี หลักเกณฑ์ท่ีจะใชส้ อน ถ่ายทอด และฝึกหัดกนั ได้ สว่ นที่ว่าการ พูดเป็นศิลปะ เพราะแต่ละคนย่อมมีลักษณะเฉพาะอันเป็นแบบฉบับของตนเอง จึงต้องฝึกฝนการพูดให้ สรุ พล จันทราปัตย์ ศิลปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 3
เหมาะกับตน และหมั่นประเมินการพูดให้เกิดความก้าวหน้าและสัมฤทธิผลย่ิงขึ้น ผู้พูดจะต้องใช้ลักษณะ เฉพาะท่ีเด่นของตนให้เป็นประโยชน์ในการพูดให้มากที่สุด และหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ท้ังในการคิด อยา่ งมีเหตุผลและสรา้ งสรรค์ การฟงั อยา่ งจับประเด็นได้รวดเร็วและกระจ่าง ไม่ใชฟ่ ังอยา่ งจับผิดและคอย คดิ แย้ง การสงั เกตใหร้ ู้ถงึ สิ่งทเี่ ห็นนั้นได้อย่างเข้าใจถ่องแทว้ ่าคืออะไร เป็นอยา่ งไร ทาไมจึงเป็นเช่นน้ัน ก่อให้เกิดผลอะไรตามมา ดังนี้เป็นต้น นอกจากนี้ ควรหมั่นจดจาสิ่งต่าง ๆ ไว้ เพ่ือเป็นความรู้เสริม สติปญั ญา เมือ่ เวลาพูดกจ็ ะสามารถนามาเป็นข้อมลู ไดอ้ ย่างหลากหลาย ไม่ซา้ ซากน่าเบอ่ื หนา่ ย ทาให้มี ความคล่องตวั สามารถพดู ไดด้ ที กุ สถานการณ์ และเปน็ ทปี่ ระทบั ใจแก่ผูฟ้ ังยง่ิ ข้นึ ลกั ษณะการพูดที่ดี 1. มคี วามจรงิ ใจและสุจริตใจในการพูด อยา่ พดู ตลบตะแลง กะล่อน พูดโกหกพกลม เสยี ดสีโดยไร้ ความจริง ฯลฯ จงพูดแต่ความจริง มีความซ่ือสัตย์ต่อตนเอง และอย่าพูดในสิ่งท่ีขัดกับความรู้สึกความ คิดเหน็ ของตนเอง 2. เป็นประโยชน์ จงพูดอย่างมีสาระและคุณค่า ให้คุ้มกับเวลาท้ังของผู้พูดและผู้ฟัง รวมท้ังให้คุ้ม กบั แรงงานและทนุ ที่ตอ้ งเสยี ไปดว้ ย 3. เป็นที่พึงพอใจแก่ผู้ฟัง จงพูดอย่างสุภาพ ไพเราะ ให้เกียรตผิ ู้ฟัง ไมเ่ หยียดหยามผู้อื่น ไม่สบถ สาบาน ไม่ประจบสอพลอ ไม่เสแสรง้ สรรเสรญิ เยินยอโดยปราศจากความจริง เปน็ ตน้ การพูดท่ีดีจะต้องให้ลักษณะทั้งสามข้างต้นผสมกัน จึงจะนาไปสู่ผลสาเร็จในการพูด การพูดที่จะ ให้ได้รับความสาเร็จน้ัน ต้องจูงใจ ให้ผู้ฟังสนใจ เข้าใจ พอใจ และประทับใจ ด้วยการพูดท่ีเป็นความจริง ถกู ตอ้ งตามกาล อ่อนหวานชวนฟัง ตัง้ มน่ั ในคุณธรรม และนอ้ มนาประโยชน์ คณุ สมบตั ิของนกั พูดทีด่ ี ผจู้ ะเป็นนกั พูดทดี่ ี ควรพัฒนาตนเองใหม้ คี ณุ สมบตั ติ ่อไปน้ีให้มากท่สี ุด 1. มีบุคลิกภาพเหมาะสม บุคลิกภาพหมายถึงลักษณะเฉพาะของผู้พูด ท่ีแสดงออกท้ังทางกาย และทางใจ ทั้งที่ให้ผู้อ่ืนเห็นได้และไม่ได้ นักพูดที่ดีมักมีบุคลิกภาพทางกาย (หรือท่ีเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า บุคลิกภาพภายนอก) เป็นที่ยอมรับนับถือและศรัทธา เช่น มีลักษณะท่าทางสง่า แต่งกายสุภาพเรียบร้อย เหมาะสม กิริยาท่าทางประกอบการพูดเป็นไปอย่างธรรมชาติสมจริง และหากมีน้าเสียงกังวานด้วยแล้ว ก็จะเป็นท่ีต้องใจคนย่ิงนัก ในด้านบุคลิกภาพทางใจ (หรือที่เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า บุคลิกภาพภายใน) นั้น แม้ไม่สามารถเห็นได้จากภายนอก แต่ก็ส่งผลถึงบุคลิกภาพภายนอกด้วย เช่น ความเช่ือมั่นในตนเอง ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความขยันขันแข็ง ความคิดริเริ่ม ความจา อารมณ์ขัน ฯลฯ ดังนั้น ผู้ประสงค์เป็นนักพูดที่ดีจึงควรฝึกฝนสร้างเสริมบุคลิกภาพของตน ทั้งภายนอกและภายใน ใหม้ มี ากขึ้น เพื่อให้เป็นทปี่ ระทบั ใจแกผ่ ู้ฟงั ต้ังแตเ่ ริม่ ปรากฎกายจนเสร็จส้ินการพดู 2. มใี จรักท่จี ะพดู ไม่ฝืนใจและอารมณ์ในขณะพดู 3. กลา้ แสดงออกตอ่ ทส่ี าธารณชนอยา่ งไมเ่ คอะเขิน 4. มีความสานึกและรับผิดชอบในเรอ่ื งทจี่ ะพูด โดยการศกึ ษาหาความรู้และประสบการณใ์ นเรื่อง ทีจ่ ะพดู อย่างเพยี งพอ สรุ พล จันทราปัตย์ ศิลปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 4
5. ถ้ามีผู้พูดหลายคน ต้องมีจิตสานึกและรับผิดชอบต่อผู้ฟัง ให้เกียรติและให้สาระอันคุ้มค่าแก่ ผฟู้ งั 6. รู้จักอ่อนนอ้ มถอ่ มตน ไม่อวดอ้างสรรพคณุ ของตนเอง อยา่ ยกตนขม่ ผ้อู ื่น 7. สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างแม่นตรง ทาให้เตรียมการพูดได้อย่างตรงเป้าหมายและ เทา่ ทัน 8. สามารถหาขอ้ ยตุ ิข้อโต้แยง้ ตา่ งๆ ได้โดยสนั ติ 9. มอี ารมณข์ นั สร้างอารมณร์ ่วมให้เกิดขน้ึ ท้งั ผ้ฟู งั และผู้พดู ได้อยา่ งเหมาะสม 10. สนใจผู้ฟังทกุ คน มิใช่คนใดคนหนึง่ หรือกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ 11. ยอมรบั ความคดิ เห็น ขอ้ ตติ ิงอันเปน็ ประโยชน์จากผอู้ ืน่ เพื่อการแก้ไขปรับปรงุ ให้การพูดของ ตนดขี นึ้ อยู่เสมอ หลกั ท่วั ไปในการพดู ต่อที่ชมุ นุมชน ในการพูดตอ่ ทช่ี ุมนมุ ชน มีหลกั ปฏิบัติตั้งแต่ขั้นการเตรียมการกอ่ นพูดไปจนถงึ ขนั้ การขน้ึ พดู ดังจะ อธบิ ายโดยสังเขปต่อไปนี้ ก. การเตรียมการกอ่ นพูด ขั้นนี้แบ่งออกเป็น 4 ช่วง คือ การเตรียมการเมื่อได้รับเชิญให้ไปพูด การเตรียมเร่ืองเพื่อไป พูด การเตรียมโสตทศั นปู กรณ์ที่จะใช้ประกอบการพูด และการเตรยี มตวั ผู้พูดเองให้พร้อมก่อนพดู 1. การเตรียมการเมอื่ ได้รบั เชญิ ใหไ้ ปพูด เมื่อได้รับการทาบทามให้ไปพูดในเรื่องใดก็ตาม ผู้พูดจะต้องวิเคราะห์เร่ืองท่ีจะพูด จดุ มุ่งหมายในการพูด ผู้ฟัง โอกาส เวลา และสถานที่ท่ีจะไปพูด ให้แน่ชัด เพ่ือการเตรียมการท่ีพรักพร้อม และสมบูรณ์ทีส่ ดุ เทา่ ทจ่ี ะทาได้ 1.1 การวเิ คราะหแ์ ละเลอื กเรอ่ื งที่จะพดู ผู้พูดควรเลือกพูดแต่เฉพาะเร่ืองท่ีตนมีความรู้และประสบการณ์เพียงพอเท่านั้น หากผู้พูดไปพูดเรื่องที่ตนไม่มีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์แล้ว จะประสบความยุ่งยากในการ เตรียมการพูด และลาบากใจในการพูดถ่ายทอดให้ผู้ฟังเห็นภาพพจน์ได้อย่างถ่องแท้มากทีเดียว นอกจากนี้ควรเลือกเรื่องท่ีตนมีความสนใจจรงิ ๆ เพราะแม้จะมีความรู้และประสบการณ์เก่ียวกับเร่ืองน้ันดี แต่ถ้าไม่สนใจแล้ว ตัวผู้พูดเองก็จะไม่เกิดความกระตือรือร้น ทาให้การพูดในครั้งนั้นไม่ตื่นเต้นเร้าใจ และ อาจล้มเหลวได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรเลือกพูดแต่เร่ืองที่ผู้ฟังสนใจ และเหมาะกับโอกาสด้วย เพราะถ้า ผู้ฟังไม่สนใจ กเ็ ป็นการยาก และใช้เวลามากขึน้ ในการท่จี ะพูดดงึ ผฟู้ งั ใหก้ ลบั มาสนใจได้ เร่ืองตอ่ ไปนเี้ ปน็ เรือ่ งท่ผี ฟู้ งั มกั จะให้ความสนใจเสมอ - เรื่องเกีย่ วกบั ชีวิตประจาวนั และความสุขความเจรญิ ในชีวติ - เรื่องที่กาลังเปน็ ขา่ ววิพากษ์วจิ ารณ์กนั อยใู่ นปจั จุบัน - เร่อื งทีจ่ ะนาไปส่กู ารแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นทยี่ อมรบั กนั ท่ัวไป - เรอ่ื งทใ่ี หมแ่ ละทนั ต่อเหตกุ ารณ์ สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศลิ ปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 5
เพื่อความสัมฤทธิผลในการพูด ควรเลือกพูดแต่เฉพาะเร่ืองท่ีมีขอบเขตแคบพอสมควร ถ้าจาเป็นต้องพูดเรื่องที่กินความกว้าง ก็จงเลือกพูดแต่เฉพาะแง่ใดแง่หนึ่งที่ตนถนัดหรือมีความรู้เท่านั้น ดังนีก้ ็จะพูดไดด้ ีในช่วงเวลาจากัดได้ เมื่อเลือกเร่ืองท่ีจะพูดไดแ้ ล้ว ต่อไปควรตั้งชื่อเรื่องให้เรา้ อารมณ์ผู้ฟงั ให้ต่ืนเต้น สนใจและ อยากฟงั โดยยดึ หลัก 3 ประการ ดังน้ี - ตง้ั ชอ่ื เรือ่ งใหเ้ ขา้ กับเร่อื งทีจ่ ะพูด หรือเข้ากบั สว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของเร่อื ง - ต้ังชอ่ื ให้สั้นและฟังงา่ ย - ตง้ั ชื่อเร่อื งใหเ้ ร้าอารมณผ์ ู้ฟงั ชวนสนใจ ไม่เรียบจนดูพ้ืนๆ แต่ก็ไม่ควรใหช้ ่ือผาดโผน จนไม่น่าเลื่อมใส บางคร้งั ผู้มาเชิญไปพดู อาจกาหนดชอ่ื เรอ่ื งมากอ่ นแล้ว แต่บางคร้ังผู้พูดก็อาจมีส่วนใน การตั้งชอ่ื ทีจ่ ะพูดบ้าง (หากผู้เชญิ ยนิ ดี) ในกรณนี ีค้ วรตัง้ ชื่อโดยคานงึ ถึงหลักข้างต้น เชน่ ตง้ั ชื่อเร่อื งวา่ “ทางอย่รู อดของเกษตรกร” จะน่าสนใจกว่าช่อื “ปญั หาความเดือดรอ้ นในการทากินของเกษตรกรและ แนวทางแกไ้ ข” และชื่อ “ชนบทเจริญไดเ้ พราะใครแน่” จะน่าสนใจกวา่ ชือ่ “การสร้างการเข้ามสี ่วนร่วม ของประชาชนในการพัฒนาชนบท” ดังนี้เป็นต้น 1.2 การกาหนดจุดม่งุ หมายในการพดู ผู้พูดต้องวิเคราะห์และกาหนดทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะในการพูด ใหช้ ัดเจน เพอ่ื ใหส้ ะดวกในการเตรยี มเรือ่ งทีจ่ ะพดู ซ่งึ เป็นขั้นตอนตอ่ ไป 1.3 การวิเคราะห์ผูฟ้ งั ความสาเรจ็ ในการพดู ตอ่ ทชี่ ุมนุมชนมไิ ด้อยู่ท่ผี ู้พดู เพียงฝ่ายเดียว แต่ข้ึนอยกู่ ับผู้ฟัง ด้วยเป็นอย่างมาก เพราะผู้ฟังน่นั แหละจะเปน็ ผู้ตดั สนิ ว่าผพู้ ูดพดู เปน็ อย่างไร เขาพอใจและประทบั ใจ หรอื ไม่ เพยี งใด ดงั น้นั การ “รเู้ ขา” คือผฟู้ งั จึงมีความสาคัญอย่างมากและจะทาใหก้ ารพดู สมั ฤทธิผล การได้รวู้ ่าผูฟ้ ังเป็นใคร ทาใหผ้ ูพ้ ูด (ซึ่งต้อง “รเู้ รา”) เตรียมตวั ไดพ้ ร้อมท้ังตัวผู้พดู เอง ตวั เร่ือง การใช้ ถ้อยคา สานวนโวหาร การให้คาจากัดความ การอธิบายขยายความ การแสดงอากัปกริ ยิ า การใชส้ ่อื อุปกรณ์ประกอบการพดู และอ่นื ๆ เพื่อใหเ้ หมาะกับกล่มุ ผฟู้ งั ปัจจัยท่คี วรพจิ ารณาเกีย่ วกบั ผู้ฟงั ไดแ้ ก่ - วยั บอกใหร้ ถู้ ึงความแตกต่างในระดับความสามารถของบคุ คล ในการทาความเข้าใจ เรอื่ งตา่ งๆ และบอกถึงประสบการณต์ า่ งวยั และต่างแบบ ความสนใจในเรอื่ งส่ิงตา่ งๆ ท่ไี มเ่ หมือนกนั ตลอดจนอารมณท์ ่ตี ่างกันในวัยตา่ งๆ ด้วย - เพศ เพศหญิงมักคิดมากและเก็บไปคิดนานกว่าเพศชาย แต่เพศชายมักชอบเรื่อง จริงจัง ไม่เพ้อฝัน สนใจเร่ืองผจญภัย กีฬา ตลกโปกฮาต่างๆ จนลงเอยด้วยเรื่อง ผู้หญิง - จานวนผฟู้ ัง มคี วามสมั พันธ์โดยตรงกับการใช้ระดับเสียง อากัปกริ ิยา และวิธีการพูด ของผู้พูด โดยท่ัวไปถ้ามีผู้ฟังจานวนมาก ผู้พูดต้องใช้เสียงดังชัดเจน และใช้ท่าทาง การเคล่ือนไหวให้เด่นชัดข้ึน สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศิลปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 6
- อาชีพของผู้ฟงั ผูฟ้ ังย่อมสนใจต่างกนั ไปตามลกั ษณะอาชพี และลักษณะการ รวมกลุ่มกันของพวกเขา ฉะนัน้ ผูพ้ ูดจงึ ต้องเตรยี มเรื่องไปพูดให้สอดคลอ้ งกบั ความ สนใจของผู้ฟัง โดยศึกษาวเิ คราะหใ์ ห้ทราบล่วงหนา้ ถงึ ความสนใจของกลุ่มด้วย - ระดับการศึกษา ผู้ฟังท่ีมีระดับการศึกษาต่างกันย่อมมีความรู้ ประสบการณ์ ความคิด และสติปัญญาผิดแผกกัน ผู้พูดต้องใช้ความสามารถในการพูดและ ยกตัวอย่างอรรถาธบิ าย ให้ผฟู้ งั ทมี่ รี ะดบั การศกึ ษาแตกต่างกนั ใหเ้ ข้าใจจงได้ ถ้าเป็น การพูดให้ผู้ฟังที่มีระดับการศึกษาแบบเดียวหรือใกล้เคียงกัน จะง่ายกว่าการพูดให้ ผู้ฟงั ทมี่ ีระดบั การศกึ ษาแตกต่างกันฟัง - ความรู้ของผู้ฟังเกี่ยวกับเร่ืองท่ีพูด ผู้พูดจะต้องวิเคราะห์ให้รู้ว่าผู้ฟังส่วนใหญ่มี ความรู้ในเร่ืองที่ตนจะไปพูดเพียงใด ทั้งนี้ เพ่ือประโยชน์ในการอธิบายยกตัวอย่าง แจกแจงรายละเอียด ส่วนใดท่ีผู้ฟังรู้ดีแล้วก็พูดแต่น้อย การที่รู้ว่าผู้ฟังมีความรู้ เกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะพูดเพียงใดน้ี มิใช่เพ่ือให้ผู้พูดไปยกตนข่มท่านว่าตนเองรู้มากกว่า เขา แต่เพ่ือประโยชนใ์ นการพูดให้สอดคลอ้ งกบั ระดับความร้แู ละความเข้าใจของผูฟ้ ัง น่ันเอง - ความเช่ือของผู้ฟัง ผู้พูดต้องไม่พูดในเรื่องที่ขัดกับความเช่ือของผู้ฟัง โดยเฉพาะ ความเชื่อเก่ียวกับเรื่องทางศาสนา มิเช่นน้ัน ผู้ฟังจะเกิดปฏิกิริยาเปน็ ปฏิปักษ์ต่อผู้พูด ทาใหก้ ารพดู ลม้ เหลว และผูพ้ ูดอาจไมไ่ ดร้ ับความปลอดภยั ดว้ ย - ท่าทีของผู้ฟังต่อผู้พูด ต้องประเมินให้ทราบล่วงหน้าว่าผู้ฟังมีความเป็นมิตรต่อตน หรือไม่ เพียงใด และยอมรับนับถือในความรู้และคุณสมบัติอย่างอื่นของตนหรือไม่ เพ่อื ประโยชนใ์ นการเตรยี มตวั ให้พร้อมและเหมาะกบั ผู้ฟัง 1.4 การวเิ คราะห์โอกาส เวลา และสถานที่ การรู้โอกาส เวลา และสถานที่ ช่วยให้ผู้พูดทาตัวได้ถูกต้อง หรือที่เรียกว่าถูก กาลเทศะนัน่ เอง ดังนน้ั ผู้พดู จงึ ควรทราบขอ้ มลู ล่วงหน้าใหม้ ากทส่ี ุดในเรื่องตา่ งๆ ดังตอ่ ไปนี้ - จะพดู เน่ืองในโอกาสหรอื วาระอะไร มีความสาคญั อยา่ งไร เพียงใด - เวลาท่ีกาหนดให้พูดนานเท่าใด มีผู้อื่นพูดด้วยหรือไม่ ถ้ามี เป็นใครบ้าง มีการ แบ่งหัวข้อพูดกันอย่างไร ใครพูดก่อน–หลัง พูดในช่วงเวลาใด การพูดท่ีดีผพู้ ูดไม่ ควรพูดเกินเวลา และอย่าพูดสั้นเกินไปจนเหลือเวลาอีกมาก การพูดในชว่ งเช้าเป็น เวลาท่ีดีมาก เพราะโดยท่ัวไปผู้ฟังย่อมได้พักผ่อนมาเพียงพอ และยังมีความ กระตอื รือร้นดีอยู่ การพูดในช่วงใกล้เวลาอาหารกลางวัน ผู้ฟังอาจรสู้ ึกหิวและนึก ถึงอาหารจนไม่ใคร่ฟัง ช่วงบ่ายต้น ๆ ผู้ฟังอาจง่วงซึมเพราะอาหารกาลังย่อย ช่วงใกลเ้ ลิกงาน ผู้ฟังอาจมีสมาธิสั้นและอยากใหก้ ารพูดเสร็จเรว็ ๆ ดงั นี้เปน็ ต้น - สถานที่ที่จะไปพูด เป็นท่ีใด มีความสาคัญท่ีต้องปฏิบัติตนเป็นพิเศษอย่างไรบ้าง หรือไม่ มีความกว้างขวางเพียงใด บริเวณโดยรอบเป็นอย่างไร มีเสียงรบกวน หรือไม่ การจัดท่ีสาหรับขึ้นพดู เป็นอยา่ งไร เหลา่ นี้เป็นต้น สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศิลปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 7
2. การเตรียมเร่อื งเพอื่ ไปพูด ในข้นั นผ้ี ู้พูดจะต้องไปทบทวนหวั ข้อเร่ือง และจดุ ม่งุ หมายใหก้ ระจ่างแจ้งอีกครง้ั แลว้ เขียนความคิดสาคัญซึ่งเป็นหลักของเรื่องที่จะพดู ลงไว้ จากน้นั จึงจัดระเบียบและวางเคา้ โครงเรื่องท่จี ะพูด โดยนาความคิดสาคัญมาพจิ ารณาแยกเป็นประเดน็ หรือหัวขอ้ ตา่ งๆ ก่อน วา่ มปี ระเด็นหลักก่ปี ระเดน็ และ ในแตล่ ะประเดน็ หลักน้นั มปี ระเด็นย่อยท่ีมาขยายหรือเสริมอกี ก่ีประเด็น ประเด็นเหลา่ นีผ้ พู้ ดู จะนาไปเสนอ ในตอนตัวเรอ่ื ง (body) เสร็จแลว้ จึงพจิ ารณาวา่ จะข้นึ คานา (introduction) อย่างไร จึงจะน่าสนใจและ เปน็ การปพู ื้นทด่ี ไี ปสตู่ วั เรือ่ ง และจะลงสรุป (conclusion) อย่างไร จึงจะโนม้ นา้ วความรสู้ ึกของผฟู้ ัง ให้ เขา้ ไปสู่จุดสาคัญในการพูด ใหผ้ ้ฟู งั เกิดความพอใจและประทบั ใจในท่ีสุดได้ การจัดระเบียบและวางโครงเรื่องมีประโยชน์ต่อการพูดอย่างย่ิง เพราะเป็นการวาง แผนการพูด ท่ีช่วยให้ผู้พูดจัดแนวความคิดได้ตรงกับเรื่องที่จะพูด ทาให้พูดได้ตรงประเด็น ชัดเจน เป็น ลาดับสัมพันธ์กัน และต่อเน่ืองกัน นอกจากนี้ ยังช่วยให้จัดสัดส่วนเนื้อหาได้อย่างเหมาะสมกับเวลาอีก ด้วย โครงเรอ่ื งประกอบด้วย 3 สว่ นสาคญั คอื (1) คานาหรืออารัมภบท (2) เนื้อเรอ่ื งหรอื ตวั เรอื่ ง และ (3) คาลงทา้ ยหรือสรุป ทั้ง 3 สว่ นน้ีต้องให้สมั พนั ธส์ อดคล้องกัน จึงจะทาใหก้ ารพูดดาเนนิ ไป เปน็ ลาดบั รบั กัน และต่อเน่ืองกันประดุจลูกโซ่ นอกจากนี้ ตอ้ งให้มคี วามเป็นเอกภาพด้วย คือ เมื่อผู้ฟงั ได้ ฟังแลว้ สามารถบอกไดว้ ่าผู้พดู พูดถึงเร่อื งอะไรอย่างชัดเจน เมื่อวางโครงเร่ืองได้แล้ว ต่อไปก็เป็นข้ันรวบรวมข้อมูล ซึ่งอาจเป็นแนวคิดของผู้พูดเอง จากความรู้และประสบการณ์ท่ีได้รับจากการอ่าน การฟัง การสังเกต การสนทนา และการจดจา นอกจากน้ีอาจได้จากการสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม เป็นต้น เมื่อได้รับข้อมูลมาแล้วก็พิจารณาดู ว่า ข้อมลู ใดที่ไม่เก่ียวข้องหรือห่างไกลจากเร่ืองที่พูดก็คัดทิ้งไป ส่วนที่เหลอื กจ็ ัดหมวดหมู่และแยกแยะให้ดี ว่า ส่วนใดมีความสาคัญท่ีต้องเน้นเป็นพิเศษ ส่วนใดเป็นส่วนเสริมหรือสนับสนุนที่จะช่วยให้ผู้ฟังเกิดความ กระจ่างย่ิงขึ้น จัดสรรเวลาให้แต่ละส่วนอย่างเหมาะสม โดยคานึงถึงเวลาท่ีพูดท้ังหมด และควรเหลือเวลา ใหผ้ ู้ฟงั ได้ซกั ถามหรอื อภิปรายด้วยจะดี ไม่มีกฎตายตัวว่าสัดส่วนของคานา ตัวเร่ือง และสรุป จะเป็นเท่าใด โดยปกตผิ ู้พูดควรใช้ เวลาสาหรับคานาประมาณ 10 – 20 % ส่วนเวลาในส่วนสรุปนั้นควรใช้เพียง 5 – 10 % ก็พอ คงมี เวลาสาหรบั ตัวเร่ืองประมาณ 70 – 85 % อยา่ งไรก็ตาม การให้สัดส่วนของเวลาข้ึนอยู่กับดุลพินิจของ ผู้พูด โดยกาหนดให้เหมาะกับกลุ่มผู้ฟังและโอกาส เช่น ถ้าผู้ฟังรู้หรือสนใจในเรื่องท่ีพูดแล้ว ก็ใช้เวลาพูด ในส่วนคานาเพียงส้ันๆ แต่ถ้าผู้ฟังไม่มีความรู้ในเร่ืองน้ัน หรือมีเจตคติเป็นกลางต่อผู้พูดหรือต่อเร่ืองที่พูด แลว้ ก็ใชเ้ วลาสว่ นคานามากข้ึน เปน็ ตน้ อนง่ึ อาจมผี ู้สงสัยว่าการรวบรวมข้อมลู ไม่กระทาก่อนการวางโครงเร่อื งหรือ ข้อนต้ี อบได้ ว่า ในการพูดต่อท่ีชุมนุมชนน้ัน ผู้พูดควรเลอื กพูดเฉพาะเรอื่ งที่ตนมีความรู้ความเข้าใจดีเท่าน้ัน ด้วยเหตุ นี้ การรวบรวมข้อมูลก็คงไม่จาเป็นนักในขั้นการเขียนความคิดสาคัญและการวางโครงเร่ือง แต่ถ้าผู้พูด จาเป็นต้องไปพูดในเรื่องท่ีตนยังไม่มีความรู้ดีพอแล้ว การรวบรวมข้อมูลก่อนการจัดระเบียบและวางโครง เร่ืองก็จาเป็น โดยต้องคิดว่ามีเร่ืองอะไรควรพูดบ้าง และในเรือ่ งท่ีจะพูดนั้น เร่อื งอะไรที่ตนรู้ดีอยู่แล้ว เรื่อง อะไรท่ียังไม่รู้ ก็ไปค้นคว้าหามา เมื่อรวบรวมข้อมูลได้แล้ว ก็นามาจัดระเบียบและวางโครงเร่ืองต่อไป หากเห็นว่ายังขาดข้อมูลส่วนใดอีก ก็จัดหารายละเอยี ดเพ่ิมเติมเอา และอาจมีการปรับเปลี่ยนโครงเรือ่ งไป สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศิลปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 8
อีกบ้างก็ได้ เพื่อให้การนาเสนอเรื่องกระชับ และเป็นลาดับรับกันย่ิงขึ้น ท้ังประเด็นท่ีนาเสนอก็มีน้าหนัก เพมิ่ ขน้ึ ด้วย ดงั นจ้ี งึ จะเป็นการเตรยี มการพูดท่ีดี 3. การเตรยี มโสตทศั นปู กรณ์ทจี่ ะใช้ประกอบการพดู เมื่อมีเนื้อหาสาระพร้อมท่ีจะไปพูดแล้ว ก็ควรเตรียมโสตทัศนูปกรณ์เพ่ือช่วยให้การพูดมี ความกระจ่างชัดย่ิงข้ึนด้วย แต่มีหลักว่า ต้องไม่ใชโ้ สตทัศนูปกรณ์จนลดบทบาทและความสาคัญของผู้พูด ไป โสตทัศนูปกรณ์จะถูกใชป้ ระกอบการพูดเท่านั้น และต้องแน่ใจว่าโสตทศั นปู กรณ์ที่ใช้เหมาะสมกบั กลุ่ม ผู้ฟัง โอกาส เวลา และสถานที่ที่จะไปพูด โดยสถานท่ีนั้นมีเคร่ืองอานวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องและ จาเปน็ แกก่ ารใช้โสตทัศนปู กรณ์นน้ั ๆ พร้อมดว้ ย เชน่ โตะะ อุปกรณ์เคร่อื งเสียง ไฟฟา้ เป็นต้น หากผพู้ ดู มีความสามารถในการใชโ้ สตทัศนปู กรณ์แลว้ ก็จะไดร้ บั ประโยชนท์ ั้งต่อตัวผพู้ ดู เองและต่อผฟู้ ัง ประโยชน์ตอ่ ตวั ผู้พดู เชน่ ช่วยให้การนาเสนอความคิดมีความรัดกมุ และกระจา่ งยง่ิ ขนึ้ เพ่ิมความม่ันใจแก่ผู้พดู กระตุ้นให้ระมัดระวังและรอบคอบในการนาเสนอ ไมส่ ะเปะสะปะหลงประเด็น ทา ใหก้ ารพดู เป็นลาดบั รับกนั ดี ผ้ฟู งั ตดิ ตามเรอ่ื งได้เปน็ ลาดับ มคี วามเช่ือถอื ในเรอ่ื งท่ีไดฟ้ งั และเกดิ ความ ศรทั ธาในตวั ผ้พู ูด เปน็ ต้น สว่ นประโยชนต์ ่อผู้ฟังนน้ั ก็ได้แก่ ชว่ ยใหเ้ กิดความสนใจและต้ังใจฟังมากขนึ้ ความคดิ ไดร้ ับการกระตุ้นมากข้นึ สามารถติดตามฟังและทาความเข้าใจเรื่องที่ยงุ่ ยากซบั ซ้อนไดด้ ีข้ึน จดจาประเด็นได้มากข้นึ และเน้นความสาคัญและเสรมิ ประเดน็ สาคัญไดม้ ากข้ึน เป็นต้น ผู้พูดควรใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ประกอบการพดู เม่ือเรื่องทตี่ นจะพูดมคี วามยุ่งยากซับซ้อนจน ผู้ฟังเข้าใจได้ยาก รวมท้ังมีรายละเอยี ดทต่ี อ้ งนาเสนอมาก หรอื มสี ถิติข้อมูลตัวเลขทต่ี อ้ งอ้างองิ มภี าพที่ ต้องการแสดง หรือต้องการเชอื่ มโยงความสมั พันธร์ ะหว่างสว่ นประกอบต่างๆ ซงึ่ ลาพังการพูดแลว้ ไม่ช่วย ใหผ้ ฟู้ งั นกึ มองเห็นภาพไดช้ ดั เจนตรงกัน หรือต้องการเร้าอารมณ์ของผูฟ้ ังด้วยภาพและสี เหลา่ นีเ้ ปน็ ตน้ โสตทศั นูปกรณ์ทีน่ ามาใช้ประกอบการพูด ได้แก่ แบบจาลอง ของจริง แผนภูมิ แผนภาพ แผ่นภาพพลิก แผ่นปลิว แผ่นพับ กระดานดา ไวท์บอร์ด สไลด์ แผ่นใส แถบเสียงหรือเทป วีดิทัศน์ PowerPoint presentation เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นโสตทัศนูปกรณ์ชนิดใด ผู้พูดต้องรู้จัก เข้าใจ และใช้ สื่อน้ันให้ถูกต้องคล่องแคล่วด้วย นอกจากน้ี ต้องแน่ใจด้วยว่าผู้ฟังจะสามารถมองเห็นสิ่งท่ีต้องการเสนอ อย่างชดั เจนทกุ คน จึงจะสรา้ งความสนใจ เข้าใจ พอใจ และประทบั ใจแก่ผูฟ้ ังไดด้ งั ต้องการ 4. การเตรยี มตวั ผู้พูดเอง เม่ือเตรียมเร่ืองท่ีจะพูดพร้อมสื่ออุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ผู้พูดต้องเตรียมตนเองให้พร้อม ด้วย โดยทบทวนเน้ือหาสาระ ถ้อยคาสานวนโวหารท่ีจะใช้ ให้ถูกต้องตามหลักการพูด หลักการใช้เสียง หลักการใช้ภาษา ซักซ้อมการพูดตามหัวข้อท่ีวางไว้ โดยใช้โสตทัศนูปกรณ์เข้าช่วย (หากมี) ในแต่ละ ข้ันตอนอย่างเหมาะสมกลมกลืน และจดจาลาดับความคิดต่างๆ ที่จะพูดได้เป็นอย่างดี เมื่อใกล้ถึงวันไป พูดก็เตรียมเคร่ืองแต่งกายที่สุภาพ สะอาด เรียบร้อย เหมาะสมแก่กาลเทศะ และเข้ากับขนบธรรมเนียม ของผู้ฟังไวด้ ้วย จะชว่ ยใหเ้ กิดความม่ันใจและสบายใจเป็นอยา่ งมาก เพอื่ เปน็ หลักการพืน้ ฐานในการนาไปฝึกพดู จะเสนอหลักการใชเ้ สยี ง หลกั การใช้ภาษา และ หลักการกล่าวคานา เสนอเน้อื เรอื่ ง และลงสรุป อยา่ งสงั เขป ดังต่อไปนี้ สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศลิ ปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 9
หลกั การใชเ้ สียง - พูดเสียงดัง ฟังได้ชดั เจนทัว่ ทง้ั ห้องประชุมน้นั สงั เกตได้โดยมองไปที่ผฟู้ ังทนี่ ่ังอยู่ 2 แถว หลังท้ังซา้ ยขวา ถา้ พวกเขายงั มองมาทผ่ี ู้พูดอยา่ งปกติ ไมม่ ที ที า่ ว่าเงย่ี หูฟงั และสนใจดี อยูก่ ็ใช้ได้ - ร่ืนหู น่าฟัง เปน็ ไปตามธรรมชาติ ไม่ดดั เสียง - มรี ะดับเสียงขึน้ ลงตามลีลาที่พดู ไมซ่ า้ ซากจาเจ หรอื พูดระดบั เสียงเดียวทาให้ฟังนา่ เบื่อ หนา่ ย ไมม่ ีชวี ติ ชีวา ตอนใดทไ่ี มต่ ้องการเนน้ กพ็ ดู เสียงดงั ปกติ หนกั แนน่ กระปรีก้ ระเปร่า กระแสเสียงมีพลัง สะท้อนใหเ้ หน็ ว่าผูพ้ ดู มคี วามมน่ั ใจท่จี ะพดู แตต่ อนใดท่ีต้องการเร้า อารมณ์ผฟู้ ังใหร้ สู้ ึกต่นื เตน้ กผ็ ลกั ดนั น้าเสยี งให้ดังข้นึ ๆ จนเข้าส่จู ดุ สาคัญของเร่ือง (แต่ อยา่ กระทาบ่อยจนผฟู้ ังเกิดความเครยี ด) ตอนใดทแี่ สดงถงึ ความเศรา้ โศก ว้าเหว่ หรอื ชวนหวาดกลวั ก็ลดเสยี งให้เบาลงๆ เพอื่ สะกดอารมณ์ของผู้ฟงั ใหด้ ิ่งลงจนรู้สกึ ถึงความ เงียบเหงาเศร้าสรอ้ ย หรอื หวาดกลวั นน้ั ได้ เปน็ ต้น - เน้นเสียงหนักเบาตรงใจความสาคัญ ให้ผู้ฟังรู้สึกได้ถึงความสาคัญของเร่ืองท่ีกาลังพูดถึง นั้น ตอนใดที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ ให้พูดแต่ละคาอย่างชัดถ้อยชัดคา และพูดช้าลง เล็กนอ้ ย เพื่อใหผ้ ฟู้ ังคิดและรู้สึกคล้อยตามว่าสาคญั จริงๆ - พดู คลอ่ ง ไม่ตะกุกตะกกั เสียงไมเ่ พี้ยน แปรง่ - จังหวะการพูดดี เว้นวรรคตอนดี อัตราเร็วเหมาะสม ไม่ช้าจนเป็นลากเสียง และไม่เร็วจน รัว ฟังไมไ่ ด้ศัพท์ - พูดชัดถอ้ ยชดั คา ถกู ตอ้ งตามอกั ขรวธิ ีและความนยิ ม - ออกเสยี งควบกลา้ ตวั ร ล กว ขว คว ชัดเจนดี หลกั การใชภ้ าษา - ใช้ลักษณะนามให้ถูกต้อง เช่น แห 1 ปาก มุ้ง 2 หลัง เล่ือย 1 ป้ืน อย่าใช้อัน เพราะ ทาใหเ้ ห็นวา่ ผ้พู ูดดอ้ ยในเรอ่ื งภาษา - ใชค้ ากิริยาใหถ้ กู ต้อง เช่น ด่ืมน้า (ไมใ่ ช่กนิ นา้ ) เป็นต้น - ใช้ถ้อยคาภาษาเหมาะกับระดับของกลุ่มผู้ฟัง และเป็นที่เข้าใจกันโดยท่ัวไปในหมู่ผู้ฟังนั้น ไม่ใช้คาตลาด คาเฉพาะท้องถ่ินหรอื เฉพาะแหง่ ท่ีเป็นท่ีเข้าใจเฉพาะคนบางกลุ่ม ในขณะท่ี คนสว่ นใหญไ่ มเ่ ขา้ ใจ - ขจัดคาพูดทีซ่ ้าซาก ไรส้ าระ เช่นคาว่า เออ้ อ้า อ้ือ ฯลฯ คาพูดวกวนหรือพูดซ้าบ่อยๆ เช่น นะคะ(ครับ) ๆ เช่ือไหม รู้หรอื เปล่า อะไรอีกละ่ เหล่าน้ีเปน็ ต้น หลกั การใชอ้ ากัปกิรยิ าประกอบการพดู - ปรากฏกายด้วยความเช่ือมั่นในตนเอง มีบุคลิกภาพที่สง่างามและสร้างความรู้สึกเป็น กันเอง - ท่ายนื พูด ยืนพูดตามสบาย ใหแ้ ขนหอ้ ยลงมาแนบลาตัว ปล่อยมือตามสบาย ถ้าไม่เปน็ การพดู กลา่ วในงานพธิ ี ควรยืนแยกสน้ เทา้ ออกจากกันเล็กน้อย ลงน้าหนักเตม็ ฝ่าเท้า ไม่ สรุ พล จันทราปัตย์ ศิลปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 10
ลงน้าหนักตวั ที่ส้นเท้าจนเกินไป เพราะจะทาให้กล้ามเนอ้ื ขาเมื่อยลา้ มากขึน้ อยา่ ยนื อ่อน ปวกเปียกเหมือนคนไมส่ บาย และอย่ายนื เทา้ โตะะ เกา้ อ้ี พงิ กระดานดา ขา้ งฝา หรือเกาะ ยึดส่ิงอืน่ ๆ เพราะจะทาใหไ้ ม่สง่างาม นอกจากนี้ อยา่ ยนื ตรงตัวแขง็ ทอ่ื ตลอดเวลา เพราะจะทาให้ผู้ฟังอดึ อัดและเม่อื ยไปดว้ ย - การเคลื่อนไหวอิริยาบถ อย่าเดินหลุกหลิกไปมาจนคนฟังรู้สึกราคาญ ให้เคลื่อนไหวได้ เท่าที่จาเป็นและสอดคล้องกับการพูด อย่าหันหลังให้ผู้ฟังขณะเดิน เม่ือก้าวเดินไป ข้างหน้า ไม่ว่าจะตรงไปหรือเฉียงข้างก็ตาม ให้ก้าวเท้าสั้นๆ และอย่างช้าๆ มีจังหวะ แลว้ ถอยหลังกลับอย่างช้าๆ เชน่ กนั จะทาใหบ้ ุคลกิ ภาพดูสงา่ ไมเ่ คอะเขนิ - กิริยาทา่ ทางอย่าทาเก้งก้าง ขัดเขิน คนั ร่างกายไมห่ ยุด จบั โน่นแกะนี่ดูน่าราคาญ การเลีย ริมฝปี ากบ่อยๆ กไ็ มด่ ี ฯลฯ - การใช้มือประกอบการพดู อยา่ ชีห้ นา้ ผูฟ้ ัง ใหช้ ้ีสูงพน้ ศีรษะผฟู้ ัง และควรชี้ไปยังผู้นงั่ สอง แถวหลงั ถ้าจะใหด้ ี ควรใช้มอื ผายไปจะดสู วยงามกว่า ถ้าจะแสดงถึงความม่ันคงเอาจริง เอาจัง เด็ดเดยี่ ว หนักแน่ อาจกาหมดั แล้วยกข้นึ สงู ระดับนัยน์ตาของผูพ้ ดู แต่ไม่ว่าจะ ทาท่าอยา่ งไรกต็ าม ให้ทาอยา่ งเปน็ ธรรมชาติ และมคี วามหมายตรงกบั แนวคดิ หรอื คาพูด อย่าทาซ้าไปซา้ มาจนผู้ฟังร้สู ึกราคาญ - สหี นา้ ระหว่างการพูด ไม่เสแสร้งหรอื แสดงออกเกนิ ความรูส้ ึกภายในตามธรรมชาติของผู้ พดู อยา่ ตงั้ ใจสารวมจนเกินไป จงยม้ิ พมิ พ์ใจ และอยา่ ฝืนย้ิม - การสบสายตากับผู้ฟัง พยายามสบสายตากับผู้ฟังตลอดเวลาและให้ทั่วกัน อย่าจ้องหรือ มองเฉพาะแห่ง และอย่าสอดส่ายสายตาไปมามากเกินไปเหมือนเช่นพัดลมหมุน นอกจากน้ี ไม่ควรหลบสายตาผู้ฟังโดยเสไปมองนอกหน้าต่างบ้าง เหม่อมองเพดานบ้าง หรือหลบสายตาต่าดูพ้ืนห้องบ้าง แต่ต้องสบสายตากับผู้ฟังด้วยดวงตาท่ีแจ่มใส และมี ความเป็นมติ รอยเู่ สมอ - การแสดงประกอบการพูด พึงระลึกไวว้ า่ นักพดู มิใช่นกั แสดง ฉะน้ันนักพดู ท่ีดีจึงไม่ กาหนดไว้ล่วงหน้า วา่ วันนี้จะตอ้ งแสดงทา่ อย่างน้ันอย่างน้ี จานวนก่ีครัง้ แตน่ กั พูดจะ แสดงท่าประกอบการพดู ไปโดยอัตโนมัติและเปน็ ธรรมชาติ ข. การขน้ึ พูดต่อทีช่ มุ นมุ ชน เม่ือจะถึงเวลาขน้ึ พดู ผพู้ ดู ควรปฏบิ ตั ดิ งั นี้ - สารวมการแตง่ กายของตนเองใหเ้ รยี บรอ้ ยต้ังแต่ศรี ษะจรดเท้า - สาหรบั ผทู้ เ่ี พ่ิงเร่ิมฝึกพดู ต่อทีช่ ุมนุมชนใหม่ๆ อาจเกดิ อาการประหมา่ ตื่นเต้น เช่น หวั ใจเต้นแรง เหง่อื ออก หนา้ ซีด ปากส่นั แข้งขาส่นั ปวดท้อง เหล่านเ้ี ปน็ ตน้ ขออย่าได้ ตกใจ เพราะเปน็ เรอ่ื งธรรมดาทผ่ี ูไ้ มเ่ คยพดู ต่อท่ีชมุ นุมชนมากอ่ นเลยจะมีอาการอย่างนี้ การประหมา่ แต่เพยี งเล็กนอ้ ยเปน็ เรอื่ งทีด่ ี แสดงว่าผพู้ ูดรบั ผิดชอบต่อผู้ฟัง และมีความ ต้งั ใจท่จี ะพดู ใหผ้ ู้ฟังไดร้ บั ประโยชนแ์ ละพึงพอใจ ผู้พูดสามารถแก้อาการประหม่าได้ หลายวิธี เช่น หายใจเขา้ ลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกชา้ ๆ สองสามครั้ง หรอื ขยบั รา่ งกายเพียงเล็กน้อยให้อาการเครยี ดคลายลงไป แต่วิธแี ก้อาการประหม่าทด่ี ที ่ีสุดกค็ อื สรุ พล จันทราปัตย์ ศิลปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 11
เตรียมการพดู ให้พร้อมลว่ งหนา้ ตามทีไ่ ดอ้ ธิบายไว้ก่อนหนา้ น้แี ลว้ จะช่วยให้ผู้พูดมคี วาม มน่ั ใจเพยี งพอที่จะขนึ้ พูดต่อท่ีชมุ นุมชน - เมื่อได้รับเชิญให้ขึ้นพูดบนเวที ให้เดินตรงไปยังเวทีอย่างองอาจ เงยหน้าข้ึนอย่างสง่าผ่า เผย และเดินด้วยจังหวะปกติ ไม่ช้ายืดยาด และไม่เร็วจนรุกรน ในระหว่างท่ีเดิน ให้ สายตาจับอยู่ทที่ ี่พูดบนเวที โดยไม่กวาดสายตาดใู ครตอ่ ใคร และไม่ต้องไปยกมือไหวห้ รือ ทักใครทั้งสิ้น สังเกตพ้ืนท่ีจะก้าวเดินไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย หากมีพ้ืนท่ียกระดับจะได้ ไม่สะดดุ - โค้งคานับผู้เป็นประธาน แล้วจึงหันมาทักทายผู้ฟังอย่างมีมารยาทอันดีงาม โดยอาจ ทกั ทายตามลาดับอาวุโสอย่างเป็นพิธีการ เช่น “ทา่ นอธิบดี และข้าราชการกรม (ชอ่ื กรม) ท่ีเคารพทุกท่าน” หรือ “ท่านประธาน และท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ” ฯลฯ หรือกล่าว ทักทายอย่างไม่เป็นพิธีการซึ่งมักใช้กับเฉพาะกิจ เฉพาะกลุ่ม หรือเฉพาะท่ี เช่น “สวัสดี ครับ(ค่ะ) พ่ีน้องเกษตรกรบ้านผาเด่ือที่รักทุกท่าน” หรือ “ท่านผู้ร่วมอุดมการณ์ในการ พิทักษ์สิ่งแวดล้อมทุกท่าน” ฯลฯ อย่าทักว่า “ขอสวัสดี…” หรือ “ครับ (ค่ะ)ก็ขอ สวัสดี…” เพราะไม่มีสาระอะไรเลย ทาไมต้องขออนุญาตสวัสดี และทาไมจึงนาคาว่า ครับ คะ่ ซงึ่ เป็นคาลงท้ายประโยคมาใชข้ นึ้ ต้นประโยค การกล่าวทักทายไม่ใช่การตอบรับ อยา่ ทาลายบคุ ลิกภาพของตนดว้ ยคาขน้ึ ตน้ ที่ไรส้ าระ แต่ควรทกั ทายอย่างกระชบั และอ่อน น้อมถ่อมตนเป็นดที สี่ ุด - หลังการทักทายแล้ว ให้หยุดทอดจังหวะเล็กน้อย เพื่อให้บรรยากาศดี และดึงดูดผู้ฟังให้ หันมาสนใจมากข้ึนด้วย แล้วจึงเริ่มข้ึนคานาด้วยความม่ันใจ และเร้าความสนใจผู้ฟังให้ มากท่สี ดุ เทคนิคการข้นึ คานาหรืออารัมภบท จดุ มงุ่ หมายท่สี าคญั ของคานามี 3 ประการ คือ 1. เพื่อเรยี กร้องใหผ้ ฟู้ ังเกิดความสนใจ และมีความกระตอื รอื ร้นที่จะฟงั ต่อไปด้วยความตง้ั ใจ 2. เป็นการปูพ้ืนที่ดีนาไปสู่ตวั เรือ่ งทจ่ี ะพดู ตอ่ ไป 3. ชใ้ี ห้เหน็ ประโยชนท์ จ่ี ะไดร้ ับจากการฟัง เปน็ การผูกมติ รกบั ผฟู้ งั ยทุ ธวธิ ใี นการขนึ้ คานา เลือกกระทาอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ - นาด้วยการชี้จุดสาคัญท่ีจะพูดเลยทีเดียว การนาแบบน้ีเหมาะสมสาหรับการพูดเร่ืองท่ี ผู้ฟังมีความสนใจและกระตือรือร้นที่จะฟังอยู่แล้วเท่าน้ัน ผู้พูดสามารถกล่าวนาด้วยการชี้จุดสาคัญของ เรื่องหรือปัญหาที่จะพูด แล้วเข้าสู่เรื่องหรือปัญหาดังกล่าวเลยทีเดียว การกล่าวนาเช่นนี้จะมีผลทาง จิตวิทยา ให้ผู้ฟังรู้ว่าผู้พูดเองก็มีความกระตือรือร้นท่ีจะพูด เช่นเดียวกับผู้ฟังซึ่งมีความต้ังใจที่จะฟัง เหมอื นกัน - นาดว้ ยการต้ังคาถามทเ่ี ก่ียวกบั เร่อื งทจ่ี ะพดู อาจเป็นคาถามเดยี วหรือหลายๆ คาถามก็ ได้ตามความเหมาะสม จะทาใหผ้ ูฟ้ ังเริ่มสนใจที่จะฟังต่อ หรอื บางทกี เ็ ริ่มคดิ หาคาตอบในข้อปัญหานั้นไปใน ใจทเี ดียว สรุ พล จันทราปัตย์ ศิลปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 12
- นาด้วยข้อความที่ชวนต่ืนเต้น เพ่ือกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความสนใจท่ีจะติดตามฟังต่อไป ถอ้ ยคาที่พดู อาจเป็นเร่ืองต่นื เตน้ ยินดี แปลก น่าทง่ึ น่าสงสยั น่าตกใจ สะเทือนใจ และนา่ กลวั ก็ได้ - นาด้วยการยกภาษิตหรือวาทะของผู้มชี ื่อเสียงซ่ึงเป็นท่ีรู้จักกนั ทั่วไป ไม่วา่ จะเป็นบทร้อย แกว้ หรอื รอ้ ยกรองกต็ าม หากเข้ากับเรอื่ งทีจ่ ะพดู แล้วกถ็ อื ว่าใช้ได้ - นาดว้ ยวิธยี กตัวอยา่ ง นทิ าน พรรณนาถึงภาพเหตกุ ารณ์หรอื จากสภาพจรงิ ๆ อาจนา ภาพหรือสิ่งของมาแสดงประกอบตัวอย่าง หรือจะยกคาพูดขน้ึ มาลอยๆ โดยไม่มภี าพประกอบกไ็ ด้ - นาดว้ ยการใชอ้ ารมณข์ ัน เรยี กเสียงหัวเราะหรือเฮฮาจากผ้ฟู ัง สรา้ งบรรยากาศเป็นกนั เอง ซง่ึ ทาได้ไม่งา่ ยนัก เพราะตอ้ งให้เขา้ กบั บุคลิกของผพู้ ูด และตอ้ งพิจารณาดคู วามเหมาะสมของสถานการณ์ ดว้ ย คานาทไ่ี ม่ควรใช้ - คาแถลงออกตัวหรือลดตัว เป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ และอาจถือว่าผู้พูดไม่เต็มใจจะ พูด นอกจากน้ีผู้ฟังก็อาจร้สู ึกว่าผู้พูดไม่ใหเ้ กยี รตผิ ู้ฟังแต่อย่างใด เชน่ พูดว่า “วนั น้ีผมได้รับมอบหมายให้ มาพูดแทนท่านผ้อู านวยการกอง เน่ืองจากท่านติดภารกจิ จาเปน็ จงึ ไม่อาจมาบรรยายตามทไ่ี ดร้ บั เชิญไว้ได้ ผมไม่ใคร่รู้เร่ืองนี้เท่าใดนัก แต่ก็จะพยายาม เพราะเม่ือท่านมอบหมายมาแล้ว ผมก็จะทาหน้าที่ให้ดีที่สุด” เปน็ คาพูดที่ฟงั ไมไ่ ด้ประโยชน์อะไรเลย - คาขออภัยต่อผู้ฟัง ถ้าผ้พู ดู ใชใ้ นการดาเนินเน้ือเรือ่ งสมเหตสุ มผลก็ไมก่ ระไร แต่หากไปขอ โทษในตอนกลา่ วนาแล้ว จะทาใหผ้ ฟู้ งั หมดศรัทธาท่ีจะฟงั ตง้ั แต่เรมิ่ แรกเลยทเี ดียว - การดถู กู กา้ วรา้ วผ้ฟู ังด้วยท่าทหี รือทา่ ทางทะเลาะกับผฟู้ ังหรือกลุ่มที่ไมเ่ หน็ ด้วย - คากล่าวนอกเรื่องท่ไี มจ่ าเปน็ ไมป่ ะตดิ ปะตอ่ เชอ่ื มโยงกับเนือ้ เรอ่ื ง - การเร่มิ ด้วยประโยคทย่ี าวยืดยาด วกวน - เรื่องพ้ืนๆ ธรรมดาท่ีใครๆ ก็รู้ หากดึงเรื่องนี้มาเพ่ือนาเข้าสู่เร่ืองอย่างกระชับก็ใช้ได้ แต่ ถ้ามวั พดู เลา่ ราพนั อยูก่ ็เสยี เวลาโดยใช่เหตุ - เร่ิมด้วยคาถามท่ีไม่เข้าท่า เช่น “ท่านเคยหยุดคิดบ้างไหมว่า...” คาว่า “หยุดคิด” หมายความวา่ กระไร ทาไมไมพ่ ดู วา่ “ท่านเคยคดิ บา้ งไหมวา่ …” ซง่ึ ชัดเจนกว่า ดังนเี้ ปน็ ตน้ เทคนคิ การพดู นาเสนอเนื้อเร่ืองหรือตัวเรอ่ื ง เนื้อเรือ่ งเปน็ ส่วนดาเนินเร่ืองซง่ึ ประกอบด้วยข้อความอันเปน็ เนอื้ หาสาระต่างๆ ท่ีผูพ้ ูด ตอ้ งการจะพูดออกไป การดาเนินเรื่องต้องเปน็ ไปตามโครงเรอ่ื ง ใหค้ รอบคลุมใจความหรือจุดสาคัญของ เร่ืองทงั้ หมด โดยทั่วไปมีหลักเกณฑ์ ดงั นี้ - จงพดู แบบ “จุดเดียว” (one-point speech) คือใชป้ ระโยคสน้ั ๆ แสดงจุดสาคญั ของ เรื่องเพียงจดุ เดียว ผู้พูดไมค่ วรใช้ประโยคยาวๆ ซ่งึ ฟังแล้วสบั สนจับต้นชนปลายไม่ถูกเรื่องหรอื จับ ประเดน็ ไมไ่ ด้ แตค่ วรพูดเนน้ จุดสาคญั ของเรอื่ งใหช้ ดั เจน สว่ นจุดอนื่ ๆ นัน้ ควรพดู เพ่ือสนับสนุน ความสาคัญของประเด็นท่ีเสนอใหเ้ ด่นชดั ขนึ้ เทา่ นั้น - ถ้าการพูดครั้งน้ันมีจุดสาคัญเกินกว่าหน่ึงจุด ขอให้พยายามลาดับความสาคัญเหล่านั้น การเรียงลาดับความสาคัญให้เรียงจากจุดท่ีมีความสาคัญน้อยไปสู่จุดที่มคี วามสาคัญมาก ส่วนข้อความท่ี สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศิลปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 13
เก่ียวกับกาลเวลานั้น ควรเรียงลาดับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันและไปสู่อนาคต ก็จะช่วยให้ผู้ฟังสามารถ เช่อื มโยงข้อคิดในประเด็นตา่ งๆ ประสานกลมกลนื กันไปไดต้ ลอดเร่อื ง - พยายามพูดให้ตรงประเด็น โดยเหลือบดูหัวข้อตามโครงเร่ืองท่ีได้เตรียมไว้เป็นการ ตรวจสอบ อยา่ ออกนอกเรอื่ ง - พยายามเร้าความรู้สึกของผู้ฟังให้สูงข้ึนเร่ือยๆ จนไปสูงที่สุดในจุดสาคัญท่ีเป็นประเด็น หลักของหวั ขอ้ น้นั ๆ - ใชโ้ สตทศั นปู กรณต์ ่างๆ ท่ไี ด้เตรยี มไว้ดีแลว้ ให้เหมาะสม เทคนิคการลงท้ายหรือสรุป การพูดสรุปเป็นจุดสุดยอด ท่ีผู้พูดจะสร้างความประทับใจฝากไว้ให้แก่ผู้ฟังยิ่งกว่าตอนข้ึนคา นาเสียอีก วัตถุประสงค์ของบทสรุปก็เพ่ือท่ีจะกระตุ้นความรู้สึกของผู้ฟังให้เข้าไปสู่จุดสาคัญในการพูด โดยถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทบทวนช้ีชัดถึงความมุ่งหมายเฉพาะในการพูด รวมทั้งจุดสาคัญของเรื่อง ด้วย หากแนวคิดที่ได้เสนอไว้ในตอนดาเนินเรื่องยังพร่ามัวกระจัดกระจายกันอยู่ ก็รวบรวมให้กระชับขึ้น แลว้ ระดมคาพดู เน้นน้าหนัก เรา้ ใจให้ผูฟ้ งั ฝงั ใจ เช่อื ถอื และกระทาตามให้จงได้ ยุทธวิธใี นการลงสรุป เลือกกระทาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ต่อไปนี้ - ลงทา้ ยแบบสรปุ ความ (summary) ผพู้ ดู จะต้องยา้ ให้เห็นถึงจุดสาคญั ของเรอ่ื ง ไม่วา่ จะ เป็นจุดเดยี วหรอื หลายจุดก็ตาม เพอ่ื ใหก้ ารพูดเดน่ ชัดกระชับแน่นขน้ึ การพูดลงท้ายแบบนเี้ หมาะสาหรบั การพูดแบบใหข้ ้อเท็จจรงิ หรือการพูดเสนอเร่อื งในการประชมุ ทางวิชาการ - ลงทา้ ยแบบเรยี กรอ้ งหรือชักชวน (appeal) ผู้พูดจะต้องพดู เร้าอารมณข์ องผู้ฟังให้ถึงจดุ สุดยอด เพือ่ เรียกร้องให้เขาเชื่อหรอื ปฏบิ ัติตามแนวทางท่ีต้องการ ผ้พู ดู จะต้องยา้ ถงึ จุดสาคญั ในการพดู พรอ้ มกับเตือนผฟู้ ังใหต้ ระหนกั ถงึ ความรบั ผดิ ชอบของทุกๆ คน ในการท่ีจะแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปด้วย - ลงท้ายด้วยการใช้คาคมหรอื สภุ าษิตที่มีอยู่แล้ว (quotation) ผูพ้ ูดจะต้องหาคาพังเพย สภุ าษติ หรอื คาพดู ทีค่ มคายของผู้มีชือ่ เสียงท่ีเปน็ ท่ียอมรบั ของคนทงั้ หลาย มาปิดทา้ ยการพดู ของตน เพ่ือให้เกิดความประทับใจ - ลงท้ายด้วยการประกาศความเด็ดเด่ียว หรือความตง้ั ใจส่วนตวั ของผ้พู ดู (personal intention) ใชไ้ ด้ดเี ฉพาะผพู้ ูดที่ผู้ฟังให้ความเคารพนบั ถอื เทา่ นน้ั เชน่ นายกรฐั มนตรีกล่าวสุนทรพจน์ แลว้ ลงท้ายดว้ ยการเรยี กร้อง ฝากความหวังตั้งใจของตนให้ประชาชนรว่ มมือปฏิบัตติ าม ผ้บู ังคับบญั ชา กล่าวลงท้าย ชักชวนให้ผู้ร่วมงานร่วมมือร่วมใจกนั กระทาภารกจิ ใหบ้ รรลุผลสาเรจ็ ตามเป้าหมายให้จงได้ ดังนเ้ี ป็นต้น - ลงท้ายด้วยการแสดงตัวอย่าง (illustration) ตวั อยา่ งทดี่ ีอาจนามาลงทา้ ยได้ เชน่ เดียวกับเป็นคาขึน้ ตน้ แต่อย่าให้เป็นการอรรถาธบิ ายขยายความอีก เพราะควรกระทาในตอนเนื้อเรอ่ื ง การลงท้ายแบบน้ี เช่น “พนี่ อ้ งเกษตรกรท่ีรัก ส่ิงท่เี ราคดิ จะทาในคร้งั นี้ ได้มผี ทู้ าสาเรจ็ มาแลว้ ทห่ี มู่บ้าน อน่ื ๆ ในภาคอสิ าน หมู่บา้ นของเรากไ็ ม่มอี ะไรแตกตา่ งจากหมบู่ ้านเหลา่ น้นั ขอเพียงพวกเราตง้ั ใจ และ ร่วมมอื กันอยา่ งจริงจงั เทา่ นั้น ส่ิงทีเ่ ราคิดจะทาต้องสาเร็จด้วยดีอย่างแน่นอน” สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศลิ ปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 14
ขอ้ พงึ ละเว้นในการสรปุ - อย่าขอโทษ เพราะจะเป็นการแสดงว่าผู้พูดขาดความเช่ือม่ันในเร่ืองท่ีพูด ถ้าเราตั้งใจดี ผูฟ้ งั ยอ่ มเห็นใจเอง - อย่าจบโดยกระทันหันหรือเย่ินเย้อ การจบลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือการปล่อยให้ผู้ฟัง ถอนใจเฮือกๆ อยู่นั้นไม่ดีเลย การลงท้ายด้วยคากล่าวที่ว่า “ผม(ดิฉัน) ก็มีเพียงเท่านี้” ไม่มีคุณค่าแต่ อย่างใด ควรเลยี่ ง - อยา่ ตั้งประเดน็ ของเรือ่ งข้ึนมาใหม่อีก เพราะจะเปน็ การเริม่ พดู ใหม่แทนทจ่ี ะสรปุ - อย่าสรปุ นอกเร่อื ง จะกลายเป็นเร่ืองหวั มงกุฎ ท้ายมงั กร - อย่าปล่อยให้เรือล่มเม่ือจอด คนฟังสนใจ เข้าใจ ประทับใจมาแต่ต้นแล้ว อย่าให้หลุดมือ ไปได้ ต้องกุมหัวใจคนฟังไว้จนคาพูดสุดท้ายท่ีก้องกังวานในหูของคนฟังตลอดไป และฝังลึกในความทรง จาอย่างครนุ่ คดิ ตราบนานเท่านาน เทคนคิ การพดู เพอ่ื ให้ขา่ วสารความรู้ การพูดเพื่อใหข้ า่ วสารความรู้ เปน็ การพูดทีเ่ น้นให้ข้อมูลขา่ วสาร ความรู้ ข้อเทจ็ จริง และความ คิดเห็นแกก่ ลุ่มผู้ฟัง เพือ่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ความกระจ่าง และความสนใจ ดังน้นั เร่ืองท่ีพดู จึงต้องมีสาระ เป็นประโยชน์ และน่าเชือ่ ถือ ไมพ่ ูดอย่างเล่ือนลอย ระบายอารมณ์ หรือกล่าวพาดพิงถึงบคุ คลใดอย่างไร้ เหตผุ ลและคณุ ธรรม การพดู ใหข้ า่ วสารความรู้ทีจ่ ะตัดสินว่าดีหรือไม่ มีเกณฑ์วัดอยู่ 3 ข้อ ดังนี้ 1. ขา่ วสารความร้ทู น่ี าเสนอมคี วามถกู ตอ้ งแนน่ อน (accuracy) หรือไม่ 2. ข่าวสารความรู้ทน่ี าเสนอมคี วามกระจ่างแจ้ง (clarity) หรือไม่ 3. ข่าวสารความรู้ท่ีนาเสนอมีความหมาย (meaningful) คือมีสาระ และให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง หรือไม่ และน่าสนใจ (interesting) สาหรบั ผฟู้ งั เพียงใด ขอ้ แนะนาในการพูดเพือ่ ใหข้ ่าวสารความรู้ - อย่าคาดหวังความรู้ของกลุม่ ผฟู้ ังสงู เกนิ ไป อยา่ ทึกทักเอาวา่ ผู้ฟังรู้เรอ่ื งนน้ั เร่ืองนี้ดีแล้ว หรอื แม้วา่ จะกลา่ วถึงเรอื่ งธรรมดาๆ กอ็ ยา่ หวงั วา่ ทกุ คนจะจาเร่อื งน้ันได้ท้ังหมด ไม่มองว่าเร่ืองน้นั งา่ ย เกนิ ไปจนถ้าพูดไปแล้วจะเป็นการดถู กู ผูฟ้ ัง ทางที่ดีผพู้ ูดควรหาทางทราบลว่ งหน้าใหไ้ ด้ วา่ กลมุ่ ผู้ฟังส่วน ใหญม่ ีการศึกษาตา่ สุดอยู่ในระดบั ใด แล้วพูดให้คนกลุม่ นี้ฟงั ใหเ้ ขา้ ใจ แลว้ กล่มุ ที่เหลอื ก็จะเข้าใจไดเ้ ช่นกัน - จงทาใหเ้ รือ่ งทพ่ี ดู สัมพันธก์ ับกลมุ่ ผู้ฟงั ให้มากท่ีสดุ มิเชน่ นั้นผ้ฟู ังจะไม่สนใจ จงพูด ใหส้ อดคล้องกับความสนใจและความเกยี่ วข้องกับผฟู้ ัง โดยต้องสนใจพวกเขาก่อน รู้จักพวกเขาให้มาก ท่ีสุด เพอ่ื ทจี่ ะไดพ้ ูดในส่งิ ที่ใกลต้ ัวเขา และเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา การพูดครั้งนน้ั จงึ จะมีความหมายต่อ พวกเขา จงเสนอความคดิ ใหม่ให้เช่ือมโยงกบั ความคิดเกา่ ทพี่ วกเขามอี ยู่ รู้อยู่ จึงจะชว่ ยให้พวกเขาเข้าใจ เรอื่ งได้งา่ ยและรวดเร็วขนึ้ - อย่าพูดใหเ้ ปน็ วิชาการเกนิ ไป จงพดู ประโยคงา่ ยๆ ที่กลุ่มผู้ฟังเข้าใจ แมห้ ัวข้อเรื่องก็ไมค่ วรต้ัง ให้เป็นวิชาการนัก เพราะจะไม่จงู ใจใหฟ้ งั อยา่ งไรก็ตาม ข้อน้ีใหพ้ ิจารณาดูสถานการณด์ ้วย ถ้าเปน็ การ สรุ พล จันทราปัตย์ ศลิ ปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 15
ประชุมทางวชิ าการเฉพาะสาขา ซงึ่ ผู้ฟังล้วนเปน็ นักวิชาการในสาขานน้ั ก็คงไม่กระไร แตถ่ ้ามีประชาชน รว่ มฟังดว้ ย ผพู้ ูดกค็ วรระวังในเร่ืองนไ้ี ว้บ้าง เน่ืองจากการพูดเนน้ หนักทางวิชาการทาใหผ้ ู้ฟังเกิด ความเครยี ด และรู้สึกเบ่ือหน่ายได้ง่าย ผ้พู ดู จึงควรใชเ้ ทคนิคการพดู ท่ีชว่ ยให้บรรยากาศการฟังดีขน้ึ และ ใชอ้ ากปั กริ ยิ าประกอบการพูดใหค้ าพดู มีความชัดเจนยิ่งขึ้นจะดี - หลกี เลย่ี งการพดู ทเี่ ปน็ นามธรรม เพราะทาใหฟ้ ังเขา้ ใจยาก นึกภาพไมอ่ อก การพูดเพอ่ื ให้ ข่าวสารความรู้ต้องมงุ่ ให้ผฟู้ ังเข้าใจ ด้วยคาพูดท่ีสื่อความหมายชดั เจนเปน็ รปู ธรรม หากเร่อื งใดเขา้ ใจยาก ก็อาจใชโ้ สตทัศนปู กรณเ์ ข้าช่วย การนาเสนอขอ้ มูลที่ลงรายละเอียดเกนิ ไปก็ไม่ควรกระทา เพราะผูฟ้ ังจะ จดจาได้ไมห่ มด และรูส้ ึกลา้ - จงหลอมความรคู้ วามคดิ ออกเป็นภาษาพดู ท่เี ม่อื ถ่ายทอดออกไปแล้วบุคคลทั่วไปเขา้ ใจและ นกึ เห็นภาพได้ ผู้พูดเองต้องเข้าใจในเรอื่ งท่พี ดู อย่างแจ่มแจ้งก่อนเป็นเบื้องตน้ จากนน้ั จงึ หลอมความรูส้ ึก ความคดิ เห็น ออกเป็นประเด็นทช่ี ดั เจน และอยา่ ใหม้ ากมายหลายประเด็นนัก ให้ผู้ฟงั เขา้ ใจน้อยประเดน็ แตอ่ ยา่ งกระจา่ งแจ้ง จะดกี วา่ ใหพ้ วกเขารับทราบมากมายหลายประเดน็ แต่เขา้ ใจอย่างคลุมเครือ จงจดั ระเบยี บของเร่ืองใหเ้ ป็นไปตามลาดบั และพูดให้กระจ่างทีละเรื่อง ระหว่างเร่ืองก็ควรเว้นระยะหรอื ท้งิ จงั หวะการพดู ให้ผูฟ้ ังแยกแยะออกวา่ เรื่องใดเปน็ เร่อื งใด มกี ารอรรถาธิบายขยายความสนบั สนนุ ประเดน็ ที่พดู อยา่ งกระชับ ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเสนอสถติ ิตัวเลขทลี่ ะเอียดเกินไป แต่ยกเฉพาะเม่ือต้องการเพิม่ นา้ หนกั ความนา่ เช่อื ถือ และเป็นข้อมลู ที่จดจาไดง้ ่ายเท่านัน้ ตวั เลขหลังจุดทศนยิ ม ถ้าไมส่ าคัญกไ็ มต่ อ้ งยกมาพดู โดยปกตแิ ล้วผฟู้ ังจะสนใจผู้พูดกับเรอ่ื งท่พี ูดมากกว่าสถิติ ด้วยเหตุน้ี การยกตวั อย่างกด็ ี การเปรียบเทยี บ อปุ มาอุปมัยกด็ ี ควรเนน้ การสอื่ ความหมายทีผ่ ู้ฟังเขา้ ใจและจดจาไดง้ า่ ยเปน็ สาคัญ แนวการประเมนิ การพดู เพื่อใหข้ ่าวสารความรู้ แบบประเมินการพดู เพ่ือให้ข่าวสารความรูท้ ี่แสดงไว้ในหนา้ ถัดไปนี้ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทางการ ประเมนิ และการวจิ ารณโ์ ดยกล่มุ ผู้ฟัง การประเมินแยกเปน็ 5 สว่ นใหญๆ่ คือ การทักทปี่ ระชมุ และการ ข้นึ คานา การนาเสนอตวั เร่ือง การสรุป บคุ ลิกภาพของผู้พดู และการประเมนิ โดยรวม ในขณะเดียวกัน ก็ ประเมินว่าผูพ้ ดู ได้กระทาส่งิ ใดดีท่สี ดุ ในการพูดครั้งน้ี และสิ่งใดท่ียงั ไม่ดีสมควรปรับปรงุ เพื่อผ้พู ูดจะได้ ทราบจุดดีของตนที่ควรรักษาไว้หรอื ทาใหด้ ีขนึ้ อีก และทราบจุดดอ้ ยหรือจดุ บกพรอ่ งของตน แลว้ ปรบั ปรุง ใหด้ ขี ้ึนในการพูดคร้ังตอ่ ไป เรือ่ งทพี่ ึงระวังในการวิจารณ์และแนะนาแก่ผฝู้ ึกพดู กค็ ือ อย่ายัดเยยี ดแบบฉบับท่ีตนชอบใหผ้ ู้ฝกึ พดู ชอบและกระทาตามดว้ ย การวิจารณ์เป็นศลิ ปะ ผ้วู ิจารณ์ไม่ควรเร่งรัดผูฝ้ กึ พูด อยา่ วจิ ารณด์ ้วย ถ้อยคาทีท่ าให้ผ้ฝู กึ พดู ทอ้ แท้ใจ เห็นวา่ ชาติน้ตี นคงเอาดีในการพดู ไม่ได้ อยา่ ลืมว่าการฝึกพดู เพยี งคร้ังสอง คร้ังไมท่ าให้บรรลผุ ลทันตาทันใจได้ จงให้กาลังใจแกผ่ ู้ฝึกพูดด้วยการชี้ข้อดีทีเ่ ขามีอยู่อย่างจรงิ ใจ แลว้ แนะนาข้อควรปรบั ปรุงแกไ้ ขเพยี งบางข้อทีเ่ ขาพอจะรบั ไปแก้ไขได้ เพื่อช่วยให้เขาดขี ้ึนในการพูดครง้ั ต่อไป มคี วามเปน็ ไปได้สูงท่ีคนเราจะมปี ัญหาอยา่ งเดยี วกันในการพูด แต่กไ็ มจ่ าเปน็ ว่าปัญหานั้นๆ จะแกไ้ ขได้ ดว้ ยวิธีการอยา่ งเดียวกัน ดังน้ัน ผวู้ จิ ารณ์จึงควรแนะนาแนวทางหรือวธิ กี ารทีเ่ ป็นไปได้สาหรบั ผู้พดู แตล่ ะ คน ที่จะรบั ไปแกไ้ ขปรับปรงุ ให้การพดู ของตนดขี น้ึ ได้ในโอกาสต่อไป ข้อเสนอแนะสาหรบั ผ้วู จิ ารณท์ ี่จะใชเ้ ปน็ หลักโดยท่ัวไปในทีน่ ้คี ือ ควรเรม่ิ วจิ ารณ์ดว้ ยการกลา่ วถึง ข้อดีของผู้ฝกึ พดู ก่อน เลือกท่เี ด่นๆ ทีส่ ่อวา่ เขาจะเป็นนักพดู ท่ีสามารถได้คนหนง่ึ หากไดฝ้ ึกฝนอยา่ งจริงจัง เป็นการวิจารณ์ดว้ ยใจจริง ไม่ใช่ยกยอหรือปัน้ แต่ง จากนน้ั จึงวิจารณเ์ รยี งตามรายการในแบบประเมิน สรุ พล จันทราปัตย์ ศลิ ปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 16
แลว้ ชถ้ี งึ สิ่งท่ีผู้ฝึกพดู ควรปรบั ปรงุ เป็นพเิ ศษ เพ่อื ใหด้ ีขึ้นในการฝึกพูดครั้งต่อไป ท้ายท่ีสดุ ผู้วจิ ารณ์อาจ แสดงความเหน็ เพิ่มเติมอีกเล็กนอ้ ยตามความเหมาะสม เพยี งเทา่ นก้ี ถ็ ือวา่ ได้ชว่ ยให้การฝึกพูดและการ วิจารณ์การพดู เกดิ สมั ฤทธิผลตามจดุ มุ่งหมายแลว้ แบบประเมนิ น้ี ผู้ฝกึ พดู สามารถใชเ้ พ่ือเปน็ รายการตรวจสอบ (Checklist) และเตรียมความ พร้อมของตนกอ่ นไปพูดได้ส่วนหนึ่ง และใช้เพอื่ การเตือนย้าตนเองในสิ่งทส่ี มควรกระทาดว้ ยอีกส่วนหนงึ่ แต่จะกระทาไดด้ ีเพยี งใดน้นั ย่อมต้องอาศยั การฝกึ ฝน และส่งั สมประสบการณใ์ นการพูดในเร่อื งและ สถานการณ์ตา่ งๆ ซง่ึ เปน็ การเรยี นรู้ท่ดี ี ยง่ิ ถา้ ได้ยนิ ได้ฟงั คนอืน่ ๆ พูดอีกด้วยแล้ว กจ็ ะเป็นการเพมิ่ พนู ความรูแ้ ละประสบการณ์ ท่ีสามารถนามาปรับใช้ให้เหมาะสมกบั บคุ ลิกของตนได้ นกั พดู ท่ดี ีต้องเปน็ นัก ฟังทดี่ ดี ้วย สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศลิ ปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 17
แบบประเมนิ การพดู เพ่อื ให้ข่าวสารความรู้ ชอ่ื ผพู้ ดู ..............………………………………………………......เรื่องท่ีนาเสนอ.......................………………………….……………….. เวลาทใ่ี ชใ้ นการนาเสนอ.....................นาที สื่อทีใ่ ชป้ ระกอบการนาเสนอ................................................................. คะแนนทีใ่ ชใ้ นการประเมิน : 5 = ดมี าก, 4 = ด,ี 3 = พอใช้, 2 = ยังต้องปรบั ปรุงบ้าง, 1 = ต้องปรับปรุงอกี มาก หวั ข้อการประเมนิ คะแนนทใ่ี ห้ () ข้อวจิ ารณ์ 5432 1 ก. การทักทปี่ ระชุม และการข้นึ คานา 1. กลา่ วทกั ทายทปี่ ระชุมผูฟ้ งั ได้อย่างกระชับและเหมาะสม 2. นาเข้าส่เู รือ่ งทจ่ี ะถา่ ยทอดไดอ้ ยา่ งนา่ สนใจ เรา้ หรอื จูง ใจ ให้ผ้ฟู งั ติดตามฟงั เป็นการปูพ้นื เข้าสูต่ ัวเรือ่ งได้ดี 3. บอกหัวข้อเรอ่ื งที่จะพดู อยา่ งชดั เจน 4. สร้างความเชือ่ ถือในตัวผู้พูดได้ในช่วงน้ี ข. การนาเสนอตัวเรือ่ ง 5. นาเสนอเรื่องเปน็ ลาดบั เน้อื หาสมั พนั ธ์กนั ดี 6. อธิบายขยายความใหผ้ ้ฟู งั เขา้ ใจได้อยา่ งกระจ่างแจง้ 7. มกี ารเนน้ ย้าเนื้อหาสาระท่ีสาคญั 8. ใชถ้ ้อยคาภาษาเหมาะสมกับเร่ืองและกลุ่มผ้ฟู ัง 9. สามารถตอบคาถามผ้ฟู งั ไดอ้ ย่างชดั เจน และกระชบั ค. การสรปุ 10. ลงสรปุ ไดอ้ ยา่ งกระชับ ไมเ่ ยิน่ เยอ้ หรอื หว้ น 11. เร้าใหผ้ ฟู้ งั ประทบั ใจ เช่ือถอื และเห็นคลอ้ ยตาม ๑2. จบได้ในเวลาท่ีกาหนด ง. บุคลกิ ภาพของผพู้ ูด 13. ขึ้นปรากฏตวั ตอ่ ท่ีประชมุ อย่างสง่ามั่นคง และออ่ นนอ้ ม ๑4. สบสายตากบั ผฟู้ งั ได้ดแี ละท่ัวถึง ๑5. การเคล่อื นไหว กริ ิยาท่าทางประกอบการพูด ส่อื ความหมายไดช้ ัดเจนและกลมกลืน 16. เสียงดังชดั เจน นา้ เสียงหนกั –เบา สงู –ต่า ช้า–เร็ว พอเหมาะ กระตนุ้ ใหส้ นใจตดิ ตามฟงั โดยตลอด 17. เวน้ จังหวะการพดู ถูกต้อง เร้าใจ จ. การประเมนิ โดยรวม 18. หวั ขอ้ เรื่องทา้ ทาย เร้าใจให้เขา้ ฟงั 19. เนอื้ เร่อื งมีสาระ เปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ู้ฟัง 20. ใชส้ ่อื ประกอบการถ่ายทอดได้อยา่ งเหมาะสม รวมคะแนน สิ่งทีผ่ พู้ ดู กระทาไดด้ ที ีส่ ุดในการพูดนาเสนอคร้งั นี้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….......................................... สง่ิ ทผ่ี พู้ ูดควรปรบั ปรุงเป็นพเิ ศษในการพดู นาเสนอครงั้ ตอ่ ไป ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….......................................... ............................................. (ออกแบบประเมนิ โดย ดร.สุรพล จนั ทราปัตย์) ผู้ประเมิน วันท่ี …../…………/………...
เทคนคิ การพดู เพอ่ื โนม้ น้าวจงู ใจ เทคนคิ การพูดเพอื่ โนม้ น้าวจูงใจผู้ฟงั ซ่ึงเป็นชุมนมุ ชนหรือกลุ่มคนจานวนมาก มหี ลักเกณฑ์และขอ้ ควรตระหนักสรปุ ได้ดังน้ี - ต้องข้นึ ปรากฏตวั ต่อท่ปี ระชุมด้วยความกลา้ หาญ สง่าผา่ เผย และเชื่อมนั่ ในตนเองให้มากทส่ี ดุ บคุ ลิกภาพและการแต่งกายของผู้พูดจะสรา้ งความประทับใจให้เกดิ แกผ่ ู้ฟงั เป็นเบอ้ื งต้น - เม่อื ทักทายท่ีประชุมแลว้ ควรหยดุ ทอดจงั หวะสกั เลก็ น้อยก่อน แล้วจึงเร่มิ พูดต่อไปดว้ ยวาทะท่ี เรง่ เรา้ อารมณ์ผู้ฟงั ให้มากที่สดุ เทา่ ทีจ่ ะมากได้ - ผูพ้ ูดต้องมีความจริงใจและศรัทธาในเร่อื งทจ่ี ะพูดด้วย ถ้าผู้พดู ไม่เช่อื ไม่ศรทั ธา ไม่มีความเข้าใจ ในเรือ่ งทจี่ ะพูดแล้ว จะมีอารมณ์หรอื ความรู้สกึ ทีค่ ล้อยตามเรอื่ งนั้นไม่ได้ และแนล่ ะ กจ็ ะไมส่ ามารถพดู จูง ใจใหผ้ ้ฟู งั มีอารมณ์หรอื ความรู้สึกท่ีคล้อยตามเรอื่ งนนั้ ได้เช่นกัน - พยายามสรา้ งสภาวะรว่ มกันระหวา่ งผู้พดู กบั ผู้ฟังดว้ ยวิธกี ารท่ีเหมาะสม เช่น แสดงท่าทีเป็นมิตรไมตรีกับผู้ฟงั ให้มากท่ีสุ อยา่ ทาทา่ ทใี ดๆ ทีถ่ ือเป็นการข่มขู่ผฟู้ ังเป็นอนั ขาด หากแตต่ ้องมีทา่ ทีสุภาพอ่อนโยน ถ่อมตน และยม้ิ แย้มเปน็ นิจ สร้างอารมณข์ นั ใหเ้ กิดข้นึ เสมอตามโอกาสอันควร พยายามช้ีให้เห็นว่าความคดิ ทผี่ ้พู ูดนามาเสนอนั้นเขา้ กนั ไดด้ กี ับความเช่ือ หรอื สอดคล้อง กบั ความหวังของผู้ฟังด้วย ถึงแมจ้ ะไม่สอดคล้องทีเดียวนกั แต่ได้เพยี งบางส่วนก็ยงั ดี เพ่อื ให้ผ้ฟู ังรสู้ กึ ว่า เขาจะไดร้ บั สาระและประโยชน์ คมุ้ ค่ากับเวลาทเี่ ขาต้องเสียไปในการฟังการพดู ครงั้ น้ัน ใชน้ า้ เสยี งท่เี ปน็ กนั เองและคุ้นเคย ไมแ่ ข็งกร้าวและเป็นทางการ เพราะจะทาให้ผฟู้ ังเกิด ความรู้สกึ เครียด หรืออดึ อัด สบสายตากบั ผู้ฟังเสมอในระหว่างทีพ่ ดู ไม่มีกฎเกณฑ์แนน่ อนว่าตอ้ งมองผูฟ้ ังอย่างไร นานเท่าใด แตม่ ขี ้อแนะนาว่าหากไมม่ คี วามจาเป็นจรงิ ๆ แลว้ ผพู้ ูดไมค่ วรสวมแว่นสีเขม้ แบบแวน่ กันแดด เพราะจะทาใหผ้ ฟู้ ังรู้สกึ วา่ ผู้พูดเปน็ คนลกึ ลบั ไมก่ ล้าเผชญิ กับสายตาของผูฟ้ ัง ทถี่ กู ต้องกค็ ือต้องมอง (อย่าจอ้ ง) ไปยังผูฟ้ ัง ใหร้ ู้สึกวา่ ผ้พู ูดพูดกบั เขา พูดอยู่กบั ทกุ คนทุกซอกทุกมุม ไมไ่ ดท้ อดท้ิงให้ใครเปลา่ เปลย่ี วเลย การสบสายตากันเป็นส่อื สมั พนั ธใ์ หเ้ กิดการถ่ายทอดความรู้สึกนกึ คดิ ท่ดี ียิง่ ระหวา่ งผู้พดู กบั ผูฟ้ ัง ยกตวั อยา่ งประกอบการพูด โดยอา้ งถึงเรอ่ื งท่ีผู้ฟังส่วนมากไดม้ ีประสบการณ์มาก่อนแล้ว จะทาใหฟ้ ังเข้าใจงา่ ย และผู้ฟงั นึกเห็นภาพในเร่ืองท่ีกาลังพดู อธิบายอยนู่ ั้นได้อยา่ งชัดเจน จงหาโอกาสศกึ ษาสภาพแวดลอ้ มของชุมนมุ ชนทีจ่ ะไปพดู ผู้พูดจะสามารถผูกใจผฟู้ ังได้ ด้วยการเอ่ยถึงสิ่งหรือเร่อื งที่เขาชอบ หรอื พูดถึงสงิ่ เชิดหน้าชูตาท่นี าความภาคภมู ิใจมาสู่พวกเขา - พูดใหต้ รงประเดน็ ไมว่ กวน พยายามเสนอความคดิ ความรสู้ กึ ของตนใหก้ ระจ่างแจง้ และให้มี ความสอดคล้องสมั พนั ธ์กนั ระหวา่ งความคดิ ความรสู้ กึ ท่ไี ดเ้ สนอเป็นลาดับน้ัน - หากต้องการปลกุ เรา้ ผ้ฟู งั ให้เกดิ อารมณห์ รือความร้สู ึกอย่างรวดเรว็ และรนุ แรงแล้ว จงพยายาม สร้างความไมพ่ ึงพอใจในสภาพท่เี ป็นอยใู่ หเ้ กดิ ขึ้นแก่กลุ่มผฟู้ งั ทนั ที ด้วยการกระตนุ้ ให้พวกเขาสนใจในสงิ่ หรอื เร่ืองใกล้ตัว แล้วช้ีว่าไดเ้ กิดความไมส่ มดุลขึ้นแล้ว เม่อื เปรียบเทยี บสภาพที่เขาเป็นอยู่กับสภาพทคี่ วร จะเป็น และเปน็ สิทธิอนั ชอบธรรมท่พี วกเขาควรจะไดซ้ ่ึงสภาพอนั พงึ ปรารถนานั้น ผู้พูดตอ้ งยา้ ว่าสภาพ ความไม่สมดุลทเ่ี กิดขึ้นตอ้ งได้รับการแกไ้ ข เพ่ือประโยชน์ของกลุ่มผู้ฟงั เอง และเพ่อื ผลดที ่ีจะเกิดตามมาแก่
สถาบันหรือผู้ทเี่ ขารกั ใคร่หวงแหนและอาทร เชน่ ชาตบิ ้านเมอื งและบุตรหลาน เป็นต้น ผ้พู ดู ต้องอธิบาย ปัญหาทีผ่ ู้ฟังต้องการฟังดว้ ยคาพดู และประโยคส้นั ๆ แต่กินความลึกซึ้ง แล้วชี้แนะแนวทางรวมทั้งวิธีการ แกป้ ัญหา ท่ีทาให้กลุ่มผ้ฟู ังร้สู กึ เห็นคล้อยตาม ให้พวกเขาเล็งเหน็ ผลที่จะเกดิ ขนึ้ หากร่วมมอื ร่วมใจกัน กระทาส่ิงทีส่ มควรตงั้ แต่บัดนี้ หากขืนปล่อยไวใ้ ห้เน่ินนานไปก็มีแต่จะเสียประโยชน์ ด้วยกลยุทธ์นี้ ผูพ้ ูดก็ จะสามารถปลุกระดมผู้ฟังได้สาเรจ็ ขอ้ พงึ ระวงั ในทนี่ ้กี ค็ ือ จงใชก้ ลยุทธนบี้ นพนื้ ฐานของหลกั ความถกู ต้อง ดว้ ยเหตผุ ลและคณุ ธรรม จงึ จะไมท่ าใหเ้ กดิ กฎหมู่อันเป็นการขัดแย้งหรอื ผดิ กฎหมายข้ึน - หากผพู้ ดู ต้องการเน้นความสาคัญของคาพดู วลี หรือประโยคท่ใี ช้ในขณะน้ันไปในทางบวก เช่น จะจูงใจให้พูดฟังกระทาการอย่างใดอย่างหน่งึ หรอื ส่งเสริมหลกั การข้อใดข้อหนึง่ ต้องเพิ่มพลังน้าเสียงให้มี ลักษณะดัง หรอื เนน้ หนกั ขน้ึ ในคาหรอื ข้อความที่ต้องการจะจงู ใจน้นั ซ่ึงในการทาเช่นว่านี้ น้าเสียงของผู้ พูดมกั มแี นวโนม้ ท่จี ะสูงหรือแหลมขึน้ ทนั ที ผู้พูดจึงต้องฝึกหัดควบคมุ น้าเสยี งไม่ใหเ้ ปลี่ยนแปรไป - ในกรณีท่ีต้องการเน้นความสาคญั ของคาพูด วลี หรือประโยคไปในทางลบ เชน่ ตอ้ งการจูง ใจผ้ฟู งั มิให้กระทาการอย่างใดอย่างหน่งึ หรอื จะคดั คา้ นหลกั การข้อใดข้อหนง่ึ ต้องลดพลังนา้ เสยี งทาให้ เบาลงทนั ทีในคาพดู หรือขอ้ ความทีต่ ้องการจะเน้นนั้น - การชีใ้ ห้เห็นความสาคัญโดยการเพ่ิมพลังน้าเสียงให้ดังขึน้ มาทนั ที หรอื ลดพลงั นา้ เสยี งใหเ้ บาลง ทันที จะช่วยปลุกอารมณ์และความรู้สกึ ของผ้ฟู ังไดเ้ ปน็ อยา่ งมาก นอกจากนี้ยงั ช่วยปลุกผฟู้ ังที่ครึ่งหลับ ครึง่ ตนื่ ใหห้ ูตาสว่าง หนั กลับมาสนใจและตั้งใจฟงั ได้อยา่ งดีอกี ด้วย - หากตอ้ งการพูดใหผ้ ู้ฟังรู้ถึงความรสู้ กึ ของผู้พดู วา่ มีความรู้สึกภาคภูมใิ จ เคารพยกย่องให้เกียรติ ซาบซึ้งประทับใจในความดี ความเสียสละอย่างใหญ่หลวง ของใครสักคนหน่งึ หรือกลุ่มหนง่ึ แลว้ ใหพ้ ดู ผลกั ดันเสยี งออกมาเรือ่ ยๆ อย่างหนักแนน่ พอสมควรและสภุ าพ จะบ่งบอกถึงการควบคมุ อารมณ์ของผู้ พูดไดเ้ ปน็ อยา่ งดี - หากผพู้ ดู ใช้พลังหนกั แน่นเช่นเดมิ แตใ่ ช้ในอาการท่ีคอ่ นข้างเรว็ และแรงขึน้ เลก็ น้อยแลว้ น้าเสียงที่เปลง่ ออกมากจ็ ะแสดงความมัน่ ใจ ความเข้มแข็ง และความตัง้ ใจของผพู้ ูดได้เป็นอยา่ งดี - ในการพดู ต่อท่ีชมุ นุมชนทุกครัง้ ผพู้ ดู ตอ้ งไมใ่ หเ้ กดิ อารมณ์หรือความรสู้ ึกโกรธหรอื กลัวอย่าง รุนแรง แต่ต้องใจเย็นไว้ ควบคุมอารมณไ์ ว้ ให้ร้ตู วั อยเู่ สมอ หากผ้พู ดู โกรธหรือกลัวอยา่ งมากแล้ว นา้ เสียง ทีอ่ อกมาจะรุนแรง หวน่ั ไหว บง่ บอกถึงการควบคมุ อารมณไ์ มไ่ ด้ในขณะน้นั และกลายเปน็ ขอ้ เสียอยา่ งมาก ของผู้พูด - จงพูดใหร้ ะดบั เสียงเปน็ ธรรมชาติมากทส่ี ุด แต่อย่าใชน้ ้าเสยี งท่รี าบเรียบเรื่อยไปเป็นอันขาด จง เน้นเสยี งสงู ตา่ เพ่อื ดึงดดู ผฟู้ ังใหม้ ากทสี่ ดุ เท่าทีจ่ ะมากได้ ข้อท่ีพึงระวังก็คืออย่าเนน้ เสียจนเกนิ เหตไุ ป และ อย่าเนน้ ติดต่อกันไปเร่อื ยๆ จะทาให้ผฟู้ ังรูส้ กึ เครียด และคลายความเล่อื มใสในตวั ผู้พูดลง - พดู เว้นจังหวะวรรคตอนให้ถูกตอ้ ง ดว้ ยอตั ราเร็วที่ไม่ชา้ จนดูเฉ่ือยชา และไมเ่ ร็วจนฟังไมร่ ู้เร่อื ง ควรพดู ให้ชดั ถ้อยชดั คา และพรง่ั พรูไม่ตดิ ขัด - จงจบการพูดจูงใจด้วยการเรียกร้องให้ผู้ฟังกระทาตาม เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายท่ีเป็น ผลประโยชน์แก่พวกเขา และให้เขาเหล่านั้นเห็นว่า ผู้พูดเป็นคนหน่ึงที่พร้อมท่ีจะเข้าร่วมขบวนการด้วย อย่างเตม็ ใจและแนว่ แน่ สรุ พล จันทราปัตย์ ศิลปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 20
แนวการประเมินการพดู เพือ่ โน้มน้าวจูงใจ ประเด็นสาหรบั การประเมนิ และการวิจารณก์ ารฝกึ พดู เพ่ือโน้มน้าวจูงใจ มดี ังต่อไปน้ี - ผู้พดู สามารถเรา้ ใจผ้ฟู ังให้เกิดความสนใจ และต้งั ใจฟังต้งั แต่เร่ิมการพูดหรอื ไม่ - ผพู้ ูดขนึ้ คานาไดส้ อดคลอ้ งกบั หัวข้อเร่อื ง และนาเข้าสู่ตัวเรื่องได้สมั พันธ์กันดเี พยี งใด - ผู้พดู เสนอประเด็นทีช่ ดั เจน และนา่ เชือ่ ถือเพียงใด - ผพู้ ูดเรา้ อารมณผ์ ูฟ้ ังใหค้ ล้อยตามไปกับผู้พูดได้มากน้อยเพยี งใด และเปน็ ไปโดยตลอดระยะ ของการพดู หรือไม่ - ผพู้ ูดลงทา้ ยด้วยการเรียกร้องชักชวนให้ผู้ฟังคล้อยตามในเรื่องใด ชัดเจนหรือไม่ - ขอ้ เรียกร้องชกั ชวนของผู้พูดให้ประโยชน์แกผ่ ู้ฟงั เพยี งใด ประเด็นเหลา่ น้ี เปน็ การเนน้ ย้าประเด็นทีเ่ สนอไวใ้ นแบบประเมินการพูดเพ่อื ให้ขา่ วสารความรู้ ผวู้ ิจารณส์ ามารถใช้แบบประเมนิ ชุดนน้ั เปน็ พืน้ ฐาน และผนวกข้อสงั เกตตามประเด็นขา้ งตน้ กจ็ ะเปน็ การ วิจารณ์ทมี่ ีความหมายสาหรับผฝู้ ึกพดู ทาให้สามารถปรบั ปรุงให้ดีขนึ้ เรื่อยๆ ในการฝึกพดู คร้ังต่อไป สรุป การพูดมคี วามสาคัญตอ่ บคุ คล ทั้งในการส่ือสารในชีวติ ประจาวันและในการประกอบอาชพี หาก ใครพดู ไมเ่ ป็น พูดไปแล้วไม่ดี โบราณท่านสอนวา่ อยา่ พูด เพราะไมเ่ กดิ ประโยชน์อนั ใด อยา่ งไรกต็ ามมิได้ หมายความวา่ การพดู นน้ั ฝึกฝนกันไม่ได้ โดยเฉพาะการพูดตอ่ ทชี่ ุมนุมชน มีทฤษฎีและหลักปฏิบตั ิท่ี สามารถนามาฝกึ ฝนกนั ได้ แต่การพดู เปน็ ศลิ ปะ ผ้พู ูดยอ่ มแสดงวาทศลิ ป์ คอื แสดงออกด้วยถอ้ ยคาให้ ปรากฏอย่างงดงาม นา่ พงึ ชม เกดิ อารมณส์ ะเทือนใจ และประทับใจ ดังนนั้ บคุ คลจึงควรพัฒนาการพดู ของตนอยู่เสมอ การไดท้ ราบทฤษฎแี ละหลักปฏิบัติจะช่วยให้ผ้พู ูดประสบความสาเรจ็ ไดส้ ว่ นหนง่ึ แต่การได้ลงมือ ฝึกฝนและประเมินตนเองในการพูดแต่ละครั้ง รวมท้ังสารวจปฏกิ ิรยิ าของผฟู้ ังตลอดเวลาของการพดู จะ ช่วยให้ผพู้ ูดปรับปรุงตนเองให้กา้ วหนา้ ย่ิงขนึ้ ได้ นอกจากน้ี ผฝู้ กึ พดู ควรนอ้ มรบั คาวิจารณด์ ว้ ยความยนิ ดี สภุ าพ และขอบคณุ ด้วย เพราะคาวจิ ารณ์ติตงิ ท้งั หลายเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนให้เห็นถงึ ผลการพดู ของตน การปรับปรุงตนเองอย่เู สมอเป็นคุณสมบตั ิของนักพูดท่ดี ี เป็นมนษุ ย์ สุดนิยม ที่ลมปาก จะได้ยาก โหยหิว เพราะชิวหา แม้พูดดี มีคน เขาเมตตา จะพูดจา จงพเิ คราะห์ ให้เหมาะความ สนุ ทรภู่ สรุ พล จนั ทราปัตย์ ศลิ ปะการพดู ต่อท่ชี ุมนุมชน 21
เอกสารอ้างอิง นพิ นธ์ ศศธิ ร. 2524. หลักการพดู ตอ่ ชุมนมุ ชน. (พิมพ์ครั้งท่ี 3) กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พ์ไทย วฒั นาพานิช จากัด. ประสงค์ รายณสุข. 2528. การพดู เพอื่ ประสิทธิผล. คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทร วิโรฒ ประสานมติ ร . (เอกสารโรเนียวเย็บเลม่ ) สุรพล จันทราปัตย์. 2528. ศิลปะการพูดต่อชุมนุมชน. สานกั ส่งเสริมและฝกึ อบรม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์. เอกสารโรเนยี วเย็บเล่ม อทุ ศิ นาคสวัสด.์ิ 2519. ศลิ ปะการพูด. กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพอ์ กั ษรเจรญิ ทศั น.์ DeVito, Joseph A. 1981. The Elements of Public Speaking. New York : Harper & Row, Publishers. Lucas, Stephen E. 1983. The Art of Public Speaking. New York : Random House. File : สรุ พล ศลิ ปะการพูดต่อทช่ี มุ นุมชน (มสธ.) 18 ก.ย. 64 (ปรับปรุงแกไ้ ขจากต้นฉบับท่พี มิ พเ์ ปน็ เอกสารประกอบการบรรยายของผู้เขียน เมอ่ื ปี พ.ศ. 2528 และ 2547) สรุ พล จันทราปัตย์ ศลิ ปะการพูดต่อท่ชี ุมนุมชน 22
พธิ ีกร1 ดร.สุรพล จนั ทราปัตย์2 นักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรมักได้รับมอบหมายหรือขอร้องให้ทาหน้าท่ีเป็นพิธีกรอยู่บ่อยๆ ดังน้ัน บทความน้ีจึงเสนอความรู้และแนวทางปฏิบัติโดยสังเขปเกี่ยวกับการเป็นพิธีกร ที่นักส่งเสริมและ พัฒนาการเกษตรพึงรู้ และนาไปฝึกฝนเพื่อสรา้ งเสริมประสบการณ์ และพัฒนาตนเองเพ่ือการเป็นพิธีกรที่ มีประสิทธผิ ล สาระทน่ี าเสนอไดจ้ ัดแบง่ เปน็ 5 หวั ข้อสาคัญ ได้แก่ ความหมายของพธิ กี ร หน้าทขี่ องพิธกี ร คุณลักษณะของพธิ กี ร การเตรียมทาหนา้ ท่พี ิธีกร และศลิ ปะการทาหน้าท่ีพธิ ีกรในโอกาสตา่ งๆ แนวทางปฏบิ ตั ทิ ่ีแนะนาในบทความนีไ้ มใ่ ช่คาตอบสดุ ท้าย การทาหน้าที่เป็นพิธีกรให้เกิดผลสาเรจ็ ข้ึนอยู่กับสถานการณ์และปจั จัยต่างๆ ประกอบกัน ขอใหน้ ักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรใช้วจิ ารณญาณ ในการทาหนา้ ท่ีใหด้ ที ่ีสุด และสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ ทัง้ พฒั นาบคุ ลิกภาพของตนเพ่ือการเปน็ พธิ ีกรให้ดยี ง่ิ ข้ึน กจ็ ะประสบความสาเรจ็ และก้าวหน้าในอาชีพและวชิ าชพี ยงิ่ ขึ้น ความหมายของพธิ กี ร พิธกี ร มคี าที่ใช้เรยี กแทนกนั อยู่อกี ๒ คา คือ โฆษก และ ผู้ดาเนนิ รายการ ทัง้ สามคาน้ีมีความหมาย คล้ายคลงึ และแตกตา่ งกันตามบทบาทและหน้าที่ ดังจะอธบิ ายโดยสงั เขปดังต่อไปน้ี พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของ “พธิ ีกร” ว่า หมายถึง ผดู้ าเนินการในพิธี เช่น พธิ ีกรในงานมงคลสมรส, ผู้ดาเนินรายการ เชน่ พิธกี รในการสัมมนา ส่วน “โฆษก” หมายถึง ผูป้ ระกาศ, ผู้โฆษณา, เช่น โฆษกสถานีวทิ ยุ; ผู้แถลงขา่ วแทน เชน่ โฆษกพรรคการเมอื ง สาหรับความหมายทีใ่ ช้กันอยู่โดยทวั่ ไป พอประมวลไดด้ ังน้ี พธิ ีกร (Master of Ceremony - MC) หมายถงึ ผดู้ าเนินการในพิธี ใหเ้ ปน็ ไปตามข้นั ตอนทไี่ ด้ จัดเตรียมไวอ้ ยา่ งเรยี บร้อย จนเสรจ็ สนิ้ พิธกี าร โฆษก (Announcer) หมายถงึ ผปู้ ระกาศ ผู้โฆษณา ผู้แถลงขา่ ว โดยมักมีผเู้ ตรยี มข้อมลู ไวใ้ ห้อา่ น แถลง หรือทาความเข้าใจกบั สาธารณชน ผดู้ าเนินรายการ (Moderator) หมายถึง ผ้ดู าเนินรายการต่างๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ของ งานหรือกิจกรรม และตามกาหนดการทไ่ี ดม้ ีการจดั เตรยี มไว้ ดังนน้ั ผู้เขยี นจงึ ขอสรปุ วา่ พิธีกร หมายถึงผดู้ าเนินการเพ่อื ใหก้ จิ กรรม รายการ หรือพิธีการต่างๆ ดาเนินไปอยา่ งถกู ตอ้ งเปน็ ระเบยี บ จนแล้วเสรจ็ ด้วยความเรียบร้อย ตามกาหนดการทว่ี างไว้ 1 เอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมเข้มเสริมประสบการณ์มหาบัณฑิต (ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร) รุ่นที่ 21 สาขาวชิ าเกษตรศาสตร์และสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วนั ที่ 18 กนั ยายน 2564 2 ผู้ทรงคุณวุฒพิ เิ ศษ สาขาวิชาเกษตรเขตรอ้ น คณะเกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ บางเขน และท่ปี รึกษา สานักส่งเสรมิ และฝกึ อบรม กาแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ในบางโอกาส โฆษกจะเปน็ ผู้ประกาศหรือแถลง ใหผ้ ู้ชม ผู้ฟงั หรอื ผูร้ ่วมพิธี ทราบกอ่ นเข้าสู่พิธกี าร หรอื ก่อนเริ่มดาเนนิ กจิ กรรมหรอื รายการโดยพิธกี ร โดยโฆษกอาจเปน็ ผู้แนะนาพธิ กี รด้วย อย่างไรกต็ าม โฆษกและพธิ ีกรอาจเป็นบุคคลคนเดยี วกนั หรอื ทาคู่กันก็ได้ แตต่ ้องวางแผนใหด้ ีมรี ะบบระเบียบ เพื่อไมไ่ ห้ เกิดความสบั สนและไม่เรียบร้อย และก็มบี างโอกาส ทพ่ี ธิ กี รทาหน้าทีเ่ ช่นเดียวกับผดู้ าเนินรายการ คือ เปน็ ผู้อานวยการใหก้ ิจกรรม รายการ หรือพิธกี ารต่างๆ ดาเนนิ ไปจนแลว้ เสร็จด้วยความเรียบร้อย ตามวตั ถุประสงค์และกาหนดการที่ วางไว้ นน่ั คอื ผูเ้ ปน็ พธิ ีกรอาจทาหน้าทรี่ วมงานโฆษกหรือผ้ปู ระกาศ และผู้ดาเนินรายการไปดว้ ยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของงานหรือเจา้ ภาพ ความเปน็ ไปได้ และความเหมาะสม หนา้ ทขี่ องพิธกี ร ๑. เปน็ ผ้ใู ห้ข้อมลู แก่ผู้ฟัง ผชู้ ม หรือผ้เู ข้าร่วมพธิ ี เกีย่ วกบั ชื่อของงาน สถานที่จัดงาน วันและเวลา ของพธิ กี าร กาหนดการ รายละเอียดของกจิ กรรมหรอื รายการตา่ งๆ การเปลี่ยนแปลงกาหนดการ (ถ้ามี) การกล่าวเชอื่ มโยงเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ตามลาดับพิธีการ การแนะนาบุคคลทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง อาทิ ผู้พดู ผ้รู ่วมการ อภิปราย ผู้ดาเนินการอภปิ ราย ผู้แสดง และการแจ้งเรือ่ งตา่ งๆ เพื่อสร้างความตระหนกั และความเขา้ ใจ ของกลมุ่ ผู้ฟัง ผู้ชม หรอื ผู้เข้ารว่ มพธิ ี ใหถ้ กู ตอ้ งตรงกัน ๒. เป็นผเู้ ร่ิมงานหรอื กจิ กรรมในภาคพิธีการ โดยกลา่ วทกั ทาย ตอ้ นรับ เชิญชวนผู้ฟัง ผู้ชม หรือผู้ รว่ มพิธี เข้าสู่งานหรือพธิ ีการ แล้วดาเนินรายการตา่ งๆ ตามลาดับ ให้เปน็ ไปตามกาหนดการและ วัตถุประสงคข์ องงานหรือกจิ กรรมทีจ่ ัดข้ึนนั้น ๓. เปน็ ผสู้ ร้างบรรยากาศ ทาให้งานหรือกิจกรรมมีความน่าสนใจ เรา้ ใจ ประทับใจ หรือมอี ารมณ์ ขนั บรรเทิงใจ แล้วแตว่ ัตถุประสงค์ของงานและสถานการณ์ ๔. เป็นผูแ้ ก้ปญั หาเฉพาะหนา้ ในชว่ งดาเนนิ งานตามกาหนดการ อาทิ การชี้แจงกรณที ่ีบุคคล สาคัญไม่สามารถมาร่วมในงานหรอื กจิ กรรมได้ การทาความเข้าใจกรณที ตี่ ้องเปลยี่ นแปลงกาหนดการ และ จดั การกับสถานการณท์ ีเ่ ผชญิ อยู่ เช่น ไฟฟา้ ดบั ไมโครโฟนไม่ดัง ส่อื อปุ กรณ์ทใ่ี ชเ้ กดิ ขัดขอ้ ง ฯลฯ เพอื่ ให้ การดาเนินงานเปน็ ไปด้วยความราบร่ืนและเรยี บร้อยจนเสร็จงานในความรับผดิ ชอบ และบรรลุผลตาม วตั ถุประสงค์ของงาน ๕. เปน็ ผพู้ ดู คนแรกและคนสดุ ท้ายของภาคพิธีการ จงึ ต้องรูห้ นา้ ที่และเตรียมความพร้อม ตั้งแต่ ก่อนงาน ช่วงการดาเนินงาน และเมอ่ื เสรจ็ งาน คณุ ลกั ษณะของพิธกี ร 1. มีบคุ ลกิ ภาพดี เช่น มคี วามสภุ าพ อ่อนนอ้ มถ่อมตน กระตอื รือร้น ย้ิมแย้มแจ่มใส เป็นมติ รกับทกุ คน มีความสงา่ แต่งกายสะอาด วางตนเหมาะสมแก่สถานะและโอกาส มีคุณธรรม เป็นตน้ 2. มีความสามารถในการพูด ใชว้ าทศลิ ป์หรือการแสดงออกด้วยคาพดู อยา่ งประทับใจ มีการใช้ ภาษาถ้อยคาสานวนไดไ้ พเราะและกลมกลนื ไมใ่ ช้ภาษาตลาด คาหยาบ คาผวน คาประเภทสองแง่สองงา่ ม คาที่เกนิ ความจาเปน็ และอาจมากจนก่อให้เกดิ ความราคาญ อาทิ เออ้ อ้า นะครับหรือนะคะ นะฮะ รู้มั้ย บางครง้ั ก็นาคาว่า “ครับ” หรอื “คะ่ ” มาขึ้นตน้ ประโยคโดยไมส่ มควร หรอื กล่าวคา “ขอสวัสดี” โดยท่ีไม่มี ความจาเปน็ ตอ้ งขอ แมก้ ารใช้คาพดู วา่ “เพอื่ ไมใ่ ห้เปน็ การเสียเวลา” ก็ไมส่ มควร เพราะทาใหเ้ ขา้ ใจวา่ ท่ี สุรพล จนั ทราปัตย์ พิธีกร 2
ผา่ นมานน้ั เปน็ การเสยี เวลาโดยใช่เหตุ และไมใ่ หเ้ กียรติแกผ่ ู้พูดหรอื ผู้ทาอะไรก่อนหนา้ นี้ด้วย พธิ กี รยงั ต้อง เลยี่ งการพดู ในลกั ษณะโออ้ วด ยกตน หรือดูถกู ผูอ้ ่ืน กับไมพ่ ดู มาก พดู พลา่ ม หรือพดู ยาวเกนิ ความจาเป็น 3. มีความสามารถในการฟัง คือฟังด้วยความสนใจและต้ังใจ ฟังผ้พู ูดทกุ คน ฟงั ให้เขา้ ใจ ความหมาย ฟังโดยไม่พยายามคาดเดาลว่ งหน้า ฟงั โดยไม่จับผิด ฟังโดยไมค่ ิดเตรียมตัวโตต้ อบในขณะฟัง ฟังอย่างปราศจากอคติ เป็นต้น จงึ สามารถจบั ประเด็นไดช้ ดั เจน และถกู ต้อง 4. มีความสามารถในการคดิ คือคดิ อย่างใครค่ รวญด้วยเหตุและผล คิดในทางบวกและสรา้ งสรรค์ ใหไ้ ด้สิ่งใหม่ทเ่ี ป็นประโยชน์ เปน็ ตน้ 5. มีความสามารถในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างย่ิงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งพิธีกร จาเปน็ ตอ้ งดาเนนิ การด้วยความรอบคอบ ฉับไว และละมุนละม่อม 6. มีความสามารถในการบรหิ ารเวลา ทาใหก้ ารดาเนินรายการตา่ งๆ เป็นไปตามกาหนดการท่ีวาง ไว้ล่วงหน้าด้วยดี ในการน้ี จาเป็นตอ้ งมกี ารประสานงานท่ีดดี ้วย 7. มคี วามสนใจใฝ่ศึกษาหาความรู้และประสบการณ์เพ่มิ เติมอยูเ่ สมอ ทาใหเ้ ปน็ คนทรี่ ลู้ กึ รู้รอบ รทู้ ัน และรู้จริงในสิง่ ท่ีควรรู้ โดยเฉพาะความรใู้ นเร่อื งท่ีจะดาเนนิ พธิ ีการหรือรายการ เพอ่ื ให้สามารถทา หน้าทพี่ ิธกี รไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิผล การเตรียมทาหนา้ ทพี่ ิธกี ร การเตรียมทาหน้าทพี่ ิธีกรมี 2 กรณี คือ การเตรียมเฉพาะงานบนเวที และการเตรียมตลอดงาน ๑. การเตรยี มเฉพาะงานบนเวที เปน็ การเตรยี มเฉพาะส่วนที่พิธีกรต้องรับผดิ ชอบบนเวทีในวันงาน สว่ นรายละเอียดของรายการและลาดับขัน้ ตอนต่างๆ นน้ั ทางคณะกรรมการจดั งานหรือเจา้ ภาพได้ จัดเตรยี มหรอื กาหนดไวก้ อ่ นแลว้ พิธีกรจึงเพียงแตร่ ับผดิ ชอบดาเนนิ งานตามรายการและกาหนดการที่มี ผู้ทาไว้ใหเ้ ทา่ น้นั กรณีนี้ ผเู้ ขา้ รับหนา้ ทีพ่ ธิ ีกรจะต้องศึกษาทาความเขา้ ใจรายการต่างๆ ที่กาหนดไว้ ว่า หมายความว่าอย่างไร เจ้าของงานหรอื เจ้าภาพมคี วามต้องการใหท้ าแค่ไหน เพื่อให้เขา้ ใจชดั เจนถงึ วตั ถปุ ระสงค์และความต้องการหรือความคาดหวงั ของเจ้าของงานหรือเจา้ ภาพ จะได้ดาเนนิ การไดถ้ ูกต้อง และถกู ใจ ๒. การเตรียมตลอดงาน เป็นการเตรียมไมเ่ ฉพาะงานบนเวทีเทา่ นั้น แตพ่ ธิ ีกรยงั ได้รบั มอบหมายให้ วางแผนจดั รายการตา่ งๆ และลาดับการดาเนินงานภาคพธิ กี ารทั้งหมด ต้งั แตเ่ รมิ่ ตน้ จนเสร็จส้ินงาน ดังนนั้ การเตรยี มงานจงึ แบง่ เปน็ ๓ ช่วง คือ การเตรียมก่อนวันงาน การเตรียมการทาหน้าทใ่ี นวันงาน และการ สรปุ เมื่อเสร็จงาน (อาจมกี ารประเมนิ ผลด้วย) 1) การเตรียมกอ่ นวันงาน ศึกษาข้อมูลอย่างละเอยี ดและรอบคอบ ในเร่ืองทีจ่ ะรับผิดชอบในการเป็นพธิ กี รแตล่ ะ ครัง้ เช่น วตั ถุประสงคข์ องงานหรือพธิ ี ลักษณะของการจดั งาน รายการต่างๆ และลาดับ ขน้ั ตอน เวลาสาหรับภาคพิธกี าร และภาคอนื่ ๆ ก่อนหน้าและภายหลังภาคพิธีการ เปน็ ตน้ แล้วทารา่ งกาหนดการ นาเขา้ หารอื กับคณะกรรมการจดั งานหรอื เจา้ ภาพ เพอื่ หา ขอ้ สรุปต่อไป ศึกษาบคุ คลทีเ่ กี่ยวข้องในงานหรือพธิ ี อาทิ ผู้กลา่ วรายงาน ผเู้ ปน็ ประธานในพธิ ี บุคคล สาคญั ในพธิ ี ผฟู้ ัง ผู้ชม หรอื ผู้เข้าร่วมในพิธี พิธกี รตอ้ งติดต่อประสานงาน หรือทาความรู้ สุรพล จนั ทราปัตย์ พธิ ีกร 3
จักกบั บคุ คลท่ีเกี่ยวข้องแต่ละท่านเท่าท่ีจะเป็นไปได้ เพ่ือใหส้ ามารถทาหน้าท่ไี ด้อยา่ ง ผสานสอดคล้องกนั ท้งั งานและคน ประเมนิ สถานการณแ์ ละบรรยากาศในวันทจี่ ะดาเนินพิธีการ พิจารณาถงึ ปัจจยั ท้ังหลาย ทเี่ ก่ียวโยงสัมพนั ธก์ ับพธิ กี าร เพือ่ ใหก้ ารวางแผนและการเตรยี มการพรอ้ มรบั กับ สถานการณไ์ ดอ้ ย่างรอบคอบและรดั กมุ ทงั้ สามารถสร้างบรรยากาศทดี่ มี ีมติ รภาพอีก ดว้ ย เตรยี มการดา้ นตา่ งๆ ที่เกี่ยวกบั งานหรอื พธิ ี ตรวจสอบสถานท่ีและเครอ่ื งมืออปุ กรณ์ และ อื่นๆ โดยท่วั ไปพธิ กี รท่มี ีประสบการณม์ ักจะอา่ นลกั ษณะงานออก วา่ งานประเภทใดควร จะดาเนินการทางภาคพธิ ีการอย่างไร มีกิจกรรมอะไรบ้างท่ตี ้องทา และต้องทาอะไร กอ่ น-หลัง ในแตล่ ะอย่างแต่ละขน้ั ตอนมีอะไรต้องเน้นหรอื พิถพี ิถันเป็นพเิ ศษหรอื ไม่ มี ใครเข้าเกีย่ วขอ้ งบา้ ง และแตล่ ะท่านตอ้ งทาอะไร อย่างไร นานเทา่ ใด มสี ิง่ ใดทพ่ี ธิ กี รทา ไดเ้ อง และมสี ิ่งใดที่ตอ้ งการให้คนชว่ ย เร่ืองเหล่านี้ล้วนต้องการพิธีกรที่มีความรู้ ความสามารถ มใิ ชก่ ารเข้ามารบั หน้าทอ่ี ย่างไม่เขา้ ใจ และไมม่ กี ารเตรียมการลว่ งหนา้ แต่ อยา่ งใด ข้อแนะนาในการทากาหนดการ - รปู แบบของกาหนดการ ประกอบด้วย ชอ่ื ของงาน วัตถปุ ระสงค์ของการจดั งาน สถานที่จัดงาน วนั และเวลาของพธิ ีการ ประธานในพิธี การแตง่ กาย ฯลฯ - การกาหนดข้ันตอนของงาน ว่าเวลาใดทาอะไร เช่น พธิ ีเปิดงานเมอื่ ใด เร่มิ พิธกี าร เมอ่ื ใด จากนนั้ มรี ายการอะไรบา้ ง และเริ่มเวลาใดถึงเวลาใดตามลาดบั พธิ ีการ เสรจ็ เวลาอะไร หลังจากเสร็จภาคพธิ ีการแล้วเป็นภาคอะไร เช่น ภาคบนั เทงิ การ พักรับประทานอาหารหรืออาหารวา่ ง เปน็ ต้น - รายละเอียดของผูเ้ กย่ี วข้องในแตล่ ะขัน้ ตอน วา่ ใครจะขึน้ มาทาหน้าที่อะไร อย่างไร นานเทา่ ใด เพอ่ื ประสานให้บคุ คลต่างๆ ที่มีหน้าทต่ี ้องปฏิบตั ติ าม กาหนดการ ไดท้ ราบล่วงหน้าก่อนไดร้ บั เชญิ ขึ้นเวทีในวันงาน วา่ จะมกี ารเชิญใคร ใหข้ นึ้ เวทีเมื่อใด เพอื่ ทาอะไร ทา่ นจะได้มีโอกาสคิดและเตรยี มตัวเตรยี มใจให้ พรอ้ มไปทาหน้าท่ไี ด้อยา่ งมั่นใจ นอกจากน้ี พธิ ีกรเองกต็ อ้ งสอบถามขอ้ มูล บางอยา่ งของบคุ คลบางทา่ น เช่น ประธานในพิธี ผู้กล่าวรายงาน วทิ ยากร ฝึกอบรม ผ้รู ่วมการอภิปราย และทา่ นอืน่ ๆ ทีจ่ ะเชิญข้นึ เวทีตามรายการหรอื กาหนดการ เพอ่ื การแนะนาตวั โดยสังเขป หรือตามที่บุคคลนน้ั ต้องการใหแ้ นะนา - การประสานกบั บุคคลทเ่ี กีย่ วข้องทางดา้ นการบริการ เช่น ฝ่ายตอ้ นรับ ฝ่ายแสง เสยี ง ฝ่ายบรกิ ารอาหารและเคร่อื งด่ืม วงดนตรีทม่ี าบรรเลงในงาน เปน็ ตน้ เพ่อื ให้ เกดิ ความเรียบรอ้ ยในสว่ นทเี่ กย่ี วข้องกบั พิธีการ (งานในส่วนนส้ี ามารถกระทาใน วนั งานได้) ศกึ ษาสถานท่จี ัดงาน สารวจเครอื่ งมืออุปกรณ์ทตี่ อ้ งการใชแ้ ละที่มีให้ใชใ้ นงาน ลักษณะ และขนาดของเวที ตาแหนง่ ทจี่ ะยนื เพอื่ ทาหน้าท่ีพิธกี ร ตาแหน่งยนื ของบุคคลต่างๆ ท่ี เก่ยี วข้อง ตรวจสอบความพร้อมกอ่ นถึงวนั งาน ในสว่ นที่พธิ ีกรต้องรบั ผดิ ชอบในดา้ นต่างๆ สรุ พล จันทราปัตย์ พธิ ีกร 4
2) การเตรียมการทาหน้าทีใ่ นวันงาน แตง่ กายสุภาพ ประณตี และเหมาะสมกับเพศ วยั กาลเทศะ และพธิ กี าร เดินทางถึงสถานท่ีจัดงานก่อนเรม่ิ พิธกี ารประมาณ ๑ ชวั่ โมงหรือน้อยกวา่ แล้วแต่ ลกั ษณะงาน เพ่ือเตรียมการและเตรียมตวั ใหพ้ รอ้ มทาหน้าทใี่ นการดาเนนิ งานตา่ งๆ ตาม กาหนดการ สงั เกตดูว่าในห้องจดั งานและบริเวณงานมสี ิ่งใดที่เด่นหรือเป็นเอกลักษณบ์ ้าง เพ่ือว่าเม่ือ ถงึ เวลาขนึ้ กลา่ ว จะไดห้ ยบิ ยกลกั ษณะเด่นหรือทเ่ี ป็นเอกลักษณ์น้ันมานา เพื่อทาให้ บรรยากาศเกอื้ ต่อการดาเนินพธิ ีการให้สัมฤทธผิ ลดว้ ยดีและประทับใจ ตดิ ตอ่ และประสานกบั บคุ คลทจ่ี ะเชญิ ขนึ้ เวทีตามรายการหรอื กาหนดการอกี ครง้ั หน่งึ เพื่อความเขา้ ใจตรงกนั และพร้อมทาหน้าท่ีของแตล่ ะทา่ นดว้ ยความมัน่ ใจ ตดิ ตอ่ และประสานกบั บุคคลที่รบั ผดิ ชอบดา้ นการบริการ เพอ่ื ความม่นั ใจวา่ ทกุ อย่างท่ี เกย่ี วข้องกับพิธีการมีความพรอ้ ม เชน่ เคร่ืองเสียงใช้งานได้ดี ความสูงของขาต้ัง ไมโครโฟนเหมาะกบั ผทู้ ี่จะขึ้นพดู (อาจจาเป็นต้องปรบั ความสูงให้เหมาะกับผู้พดู เป็น รายๆ ไป) การจดั ผู้บริการยกถาดเครอ่ื งดื่มสาหรบั ประธานในพิธแี ละบุคคลสาคญั ที่ขน้ึ กล่าว ตรงทางข้ึนเวที และรอรบั แกว้ คนื เมื่อผู้กลา่ วเดนิ ลงจากเวที การทาความเข้าใจ กบั วงดนตรีว่าจะบรรเลงเพลงสาคญั ในตอนไหน จะขอให้หยุดบรรเลงตอนไหนบา้ ง เป็น ตน้ ขนึ้ ทาหนา้ ทบ่ี นเวทีเมอื่ แนใ่ จว่าทุกอยา่ งพร้อมแล้วทีจ่ ะเริ่มตามกาหนดการ บางครั้งอาจ จาเปน็ ตอ้ งเปน็ ผปู้ ระกาศเชิญผมู้ าร่วมงานเข้านง่ั ประจาที่ใหเ้ รยี บรอ้ ยก่อนดว้ ย จากนัน้ จงึ ดาเนินงานใหเ้ กิดความเรยี บร้อยในทกุ ขน้ั ตอนของพิธกี าร คอยควบคุมเวลาของ รายการต่างๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามทีก่ าหนดไว้จนเสร็จสน้ิ พยายามหลีกเลี่ยงการแทรกรายการ อน่ื เขา้ มาโดยไมจ่ าเป็น พธิ กี รตอ้ งใชด้ ุลพนิ ิจให้เหมาะสมกับบคุ คล โอกาส และสถานที่ แสดงบคุ ลิกภาพทด่ี ีและน่าประทับใจ อาทิ สุภาพ อ่อนนอ้ ม ย้ิมแยม้ แจ้มใส เปน็ กันเอง กับบคุ คลทีม่ าในงาน มีอารมณ์เยอื กเยน็ สามารถรกั ษาอารมณ์ได้ดีหากมีการรวน โห่ ค้านหรอื ตาหนิ เป็นตน้ ใช้หลักการพดู ต่อที่ชุมนมุ ชน หลกั การใช้ภาษา ถ้อยคา สานวนโวหาร หลกั การใช้เสียง หลกั การใช้อากัปกิรยิ าประกอบการพูด และเทคนิคต่างๆ เพ่ือสื่อความหมายกบั ผู้ฟัง ผชู้ ม หรือผูร้ ่วมพิธี ใหเ้ ข้าใจ พอใจ และประทับใจ ตลอดช่วงพิธกี าร ติดตามฟังหรือชมรายการของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีเชิญข้ึนทาหน้าท่ีอย่างใกล้ชิดและ โดยตลอด ว่าเขาได้พูดหรือแสดงอะไร มีส่วนดีหรือไม่ดีอย่างไร มีความน่าประทับใจ หรือไม่ เพียงใด หากไม่ดีพอหรือขาดตกบกพร่องจนทาให้บรรยากาศในงานหรอื พิธไี ม่ดี จะได้หาทางแก้ไขให้บรรยากาศดีกลับคืนมา ถ้าหากการพูดหรือการแสดงของผู้ได้รับ เชิญออกมาดี ก็จะได้พูดเสริมให้เป็นที่ชื่นชม ทั้งต่อผู้พูดหรือผู้แสดง และผู้ฟังหรือผู้ชม มากยิ่งขน้ึ หากเป็นกิจกรรมทางวชิ าการ พิธกี รควรหารอื กับวทิ ยากร ผบู้ รรยาย หรือผู้ร่วมอภิปราย ก่อน วา่ จะใหผ้ ู้ฟังซักถามหรือแสดงความคิดเห็นหรือไม่ หากให้ เม่ือใด และมเี วลาให้ ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นนานเทา่ ใด แลว้ กาหนดวา่ ในการซักถามหรอื แสดงความ คดิ เหน็ จะใช้วิธใี ดและมกี ตกิ าอะไร เช่น ใหผ้ ฟู้ งั ตั้งคาถามกับวทิ ยากร ผู้บรรยาย หรือผู้ สรุ พล จันทราปัตย์ พิธกี ร 5
อภิปรายได้โดยตรง โดยยืนพูดตรงที่ตง้ั ไมโครโฟนไว้ หรอื จะใหเ้ ขียนคาถามหรือความ คิดเห็นในแผน่ กระดาษท่ีจะแจกใหผ้ ู้เข้าฟัง แล้วสง่ ใหเ้ จ้าหนา้ ทีท่ ่จี ะไปเกบ็ รวบรวมเพ่ือ ส่งต่อให้พธิ ีกรต่อไป เปน็ ตน้ เพอื่ พธิ กี รจะได้ประกาศและดาเนินการใหเ้ ป็นไปตาม ข้อตกลงจากการหารือกนั น้ันใหเ้ กดิ ความเรียบร้อยต่อไป 3) การสรปุ เม่อื เสรจ็ งาน สรปุ เนอื้ หาสาระหรือกจิ กรรมทส่ี าคัญของพธิ ีการอยา่ งกระชับและชดั เจน กลา่ วถงึ ประเดน็ ท่ีน่าสนใจและประทับใจ ท้งั ชื่นชมผลงานของบุคคลหรอื กลุ่มบคุ คลในการพูด หรอื การแสดงทจี่ บลงนัน้ ข้อพึงระวังตรงน้ีกค็ อื พิธกี รตอ้ งไมเ่ ป็นผู้บรรยายเสียเอง แต่ เปน็ ผยู้ กจุดเดน่ หรือประเดน็ สาคัญทไี่ ดฟ้ งั ได้ชมขึน้ มากล่าวอย่างกระชับ ให้ผฟู้ ังผูช้ ม เห็นภาพชดั เจนอกี ครั้ง และอาจยกสภุ าษติ คติ คาคม คาขวัญ หรือสโลแกนท่ีเหมาะสม มากล่าวสรุปท้ายอกี ก็ได้ จะช่วยสรา้ งความประทบั ใจแกผ่ ู้ฟังผู้ชมได้เปน็ อยา่ งดีอีกทาง หนึ่ง กลา่ วขอบคุณบคุ คลหรอื กลุ่มบคุ คลท่ีพูดหรือแสดง และเชญิ ประธานในพิธหี รอื บุคคลท่ี ไดก้ าหนดไวห้ รอื ทีเ่ หน็ สมควร ขนึ้ มอบของทร่ี ะลกึ แก่บคุ คลหรอื กลุ่มบุคคลนั้น (ถา้ มี) กลา่ วขอบคุณผฟู้ ัง ผู้ชม หรอื ผเู้ ข้าร่วมพธิ ี ท่ีล้วนมีส่วนสาคัญทาใหพ้ ิธกี ารหรืองานมี ความสมบรู ณ์ กลา่ วปิดภาคพธิ ีการ เพ่อื โฆษกรบั ช่วงทาหน้าท่ีต่อไป (หากพิธกี รกบั โฆษกเปน็ คนละคน กนั ) หรือพิธีกรประกาศแจง้ รายการภาคตอ่ ไปใหผ้ ู้เขา้ ร่วมงานทราบกไ็ ด้ (หากพธิ ีกรกับ โฆษกเปน็ คนเดยี วกัน) ศิลปะการทาหน้าท่ีพธิ กี รในโอกาสตา่ งๆ 1. การประกาศแจง้ ให้ทราบ จดุ มงุ่ หมาย แนวการทาหนา้ ที่ เพอ่ื ชแ้ี จง แจง้ ขา่ ว เรื่องราวสาคญั - ขึ้นปรากฏตัวต่อที่ประชมุ ดว้ ยทา่ ทีที่สง่า และสุภาพอ่อนนอ้ ม เก่ยี วกบั กาหนดการ หรอื วิธกี าร หรือ - ทักทายทีป่ ระชมุ ด้วยถ้อยคาที่สุภาพ และเหมาะสมกบั กลมุ่ ผฟู้ งั และ ขอ้ ตกลงใด ๆ เพื่อให้เป็นทท่ี ราบทั่วกนั โอกาส ไมต่ ้องกล่าวขอโทษท่ขี น้ึ ประกาศ ในหมคู่ ณะหรือที่ประชุมน้นั - บอกจดุ มงุ่ หมายสาคัญของการประกาศ - ตอ้ งมีสาระวา่ จะใหผ้ ้ฟู งั ทราบในเร่ืองใด เชน่ ใคร ทาอะไร ทไี่ หน เมอื่ ไร อยา่ งไร เปน็ ตน้ (พงึ พถิ พี ถิ นั การใชถ้ ้อยคาสานวน อย่าใชค้ าผวน คาอวดอา้ ง ยกตนเหนือผอู้ ื่น) - เนน้ ความคดิ เห็นหรือขอ้ ความสาคญั วา่ จะใหผ้ ู้ฟังทาอะไร พูดใหส้ น้ั และชดั เจน - กล่าวยา้ ประเด็นสาคัญอีกครง้ั ในตอนทา้ ย สรุ พล จนั ทราปตั ย์ พิธีกร 6
2. การกลา่ วแนะนาวิทยากร จดุ มุง่ หมาย แนวการทาหนา้ ที่ เพอ่ื เรง่ เร้าความสนใจและมนั่ ใจจาก - กอ่ นกลา่ วแนะนา ใหเ้ ชิญวิทยากรไปนั่งทท่ี จ่ี ัดไว้บนเวทีหรอื ผฟู้ งั และแนะนาวิทยากรให้ผฟู้ ังรจู้ ัก บรเิ วณหน้าช้นั เรยี นก่อน เกิดความสบายใจทงั้ สองฝา่ ย ทง้ั กระตุ้นให้วทิ ยากรทาหน้าท่ขี องตนให้ - ข้ึนกล่าวแนะนา โดยแสดงความสาคัญของเรอื่ งทว่ี ทิ ยากรจะพูด สมบูรณ์ท่สี ดุ และผ้ฟู ังเกดิ ความสนใจท่ี อยา่ งรวบรัดที่สุด แตไ่ ดค้ วามชัดเจน จะเรียนรู้ ทาให้วตั ถปุ ระสงค์ของการ นาเสนอสมั ฤทธิผล - แนะนาวิทยากร การแนะนาที่ดีอาจกลา่ วถึงความสาคญั ของ โอกาสท่หี ายาก ท่ีจะเชญิ วทิ ยากรทา่ นนีม้ าได้ง่ายๆ จากนั้น กล่าวถงึ คณุ สมบตั เิ ดน่ ของวทิ ยากร วา่ มคี วามเชย่ี วชาญอะไรเป็น พเิ ศษ และไดร้ ับการยอมรบั อยา่ งกว้างขวางอย่างไร ทา่ นจบ การศกึ ษาระดับใด ด้านใด หากมปี ระวัติดีเดน่ ทางการศกึ ษาก็ควร ระบดุ ว้ ย นอกจากน้ี ควรกล่าวถงึ ประสบการณ์ของท่าน เลือก เฉพาะที่เก่ยี วข้องสมั พันธ์กบั เรอื่ งทีจ่ ะพูด เพอื่ สร้างความเชอ่ื มน่ั ศรัทธาของผ้ฟู งั ตอ่ วทิ ยากร และความคาดหวงั วา่ จะได้รับ ประโยชนค์ ุ้มค่าจากการฟงั - หากทราบแนวการพูดหรอื การแสดงของวทิ ยากรว่าเป็นเชน่ ไร มี ศิลปะอย่างไร ก็อาจกล่าวถึงดว้ ย เพ่ือสร้างความประทับใจเพ่ิมขึ้น - แนะนาช่อื และนามสกุลของวิทยากรในตอนท้าย ระบุยศและ ตาแหน่งให้ถูกต้อง (หากไมม่ ีตาแหนง่ อาจใช้คานาหน้าวา่ อาจารย์ เพ่ือเปน็ การยกย่องให้เกียรติ แต่ไม่ควรใชค้ านาหน้าวา่ นาย นาง หรอื นางสาว เพราะฟงั ดูแขง็ เกินไป และวิทยากรอาจรู้สึกอกึ อัด) แล้วเชญิ ทา่ นขนึ้ พูดหรือแสดง ข้อพึงตระหนกั ในการแนะนาวทิ ยากร คอื อยา่ แนะนายืดยาวจนผ้แู นะนากลายเปน็ วทิ ยากรไปเสียเอง อย่ายกยอปอปน้ั จนวทิ ยากรขวยเขนิ และเกดิ ความไมส่ บาย ใจท่อี าจทาถึงข้นั ที่แนะนาไวไ้ ม่ได้ พยายามสร้างบรรยากาศเป็นมิตรและเปน็ กันเองระหว่าง วทิ ยากรกับผู้ฟัง 3. การกลา่ วขอบคณุ วิทยากร จุดมุ่งหมาย แนวการทาหน้าที่ เพอ่ื แสดงความยนิ ดแี ละประทบั ใจ - กลา่ วทกั ทายวทิ ยากรหรอื คณะวิทยากร โดยมองไปทท่ี ่านหรือ รวมท้ังขอบคณุ วิทยากรหรอื คณะ คณะของท่าน ไม่มองไปที่อนื่ เพราะเป็นการพดู กับผู้รับการ วิทยากร ที่ได้ให้ความรูอ้ นั มีคุณค่าแก่ ขอบคุณเทา่ นนั้ แล้วเรม่ิ กล่าว “ทา่ นวิทยากร (หรือคณะ ผู้ฟัง สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ต่อ วิทยากร) ที่เคารพ....” ตนเอง และหนา้ ที่การงานไดอ้ ยา่ งมาก - กลา่ วแสดงความรสู้ ึกยินดี และเป็นเกียรติ ทีไ่ ด้รบั มอบหมายให้ นอกจากนี้ เปน็ การสานความสมั พนั ธ์ที่ เป็น ผู้กลา่ วขอบคณุ ในนามของหนว่ ยงาน และผู้ฟงั หรือผู้ร่วม ดกี ับวิทยากรหรือคณะวทิ ยากร เพ่ือการ ชุมนุม ณ ที่นนั้ เชญิ มาเปน็ วิทยากรอกี ในโอกาสต่อไป สุรพล จนั ทราปตั ย์ พิธกี ร 7
- กล่าวแสดงความประทับใจ ทีไ่ ดม้ ีโอกาสได้รบั ฟังการนาเสนอ ของวทิ ยากร ซ่ึงมคี ุณค่าอย่างยิ่ง โดยเรมิ่ ดว้ ยข้อความ “ในนาม ของ..........ขอขอบคุณทา่ นวิทยากร (หรือคณะวทิ ยากร) ทีไ่ ดใ้ ห้ ความรทู้ ่มี ีคณุ ค่าอยา่ งยิ่ง ในเร่ือง (หรือเก่ียวกบั เร่ือง)........” - ชค้ี วามสาคญั ของสาระความรแู้ ละประสบการณ์ที่วิทยากร (หรอื คณะวิทยากร) ได้ถา่ ยทอด - หากนาคาพดู ข้อคดิ สาระสาคัญ จดุ เด่นของการนาเสนอของ วิทยากรซ่ึงนา่ ประทบั ใจ มากลา่ วถึงอย่างกระชับได้ก็จะดียง่ิ ขน้ึ - กล่าวถึงประโยชนต์ ่อการนาไปใชใ้ นการปฏิบตั ิงานหรือการ ปฏิบัติตน - ลงทา้ ยด้วยข้อความ “ในนามของ........ ผม/ดิฉนั ขอขอบคณุ ท่านวทิ ยากร(หรอื คณะวทิ ยากร) อีกครง้ั หนง่ึ ทไี่ ด้ใหเ้ กียรติมา พูดหรอื บรรยาย เรอื่ ง......... ในวันนี้” การจบคากลา่ วขอบคณุ ขา้ งต้น จะมผี ลใหผ้ ู้ฟังหรือผูร้ ว่ มชมุ นมุ ปรบมอื ใหแ้ ก่ผรู้ บั การขอบคุณดว้ ยความเต็มใจ โดยไม่จาเป็นตอ้ ง เชญิ ชวนให้ปรบมอื แต่อยา่ งใด - หากมีของทร่ี ะลกึ ที่จะมอบใหว้ ิทยากร (หรือคณะวิทยากร) ใหข้ อ เชิญประธานในพิธี หรอื ประธานจัดงาน หรอื ผู้ที่สมควร ขนึ้ มอบ ของท่ีระลกึ แกว่ ทิ ยากรดว้ ย ในโอกาสนี้ ผู้ฟงั ปรบมอื ให้เกยี รตแิ ก่ วทิ ยากร 4. การกลา่ วคาตอ้ นรบั ผมู้ าเยือน จดุ มงุ่ หมาย แนวการทาหน้าที่ เพอ่ื ให้เกียรตแิ ละสร้างความรูส้ กึ อบอุ่น - ขน้ึ พูดดว้ ยใบหนา้ ทีย่ ม้ิ แย้ม กลา่ วทักทาย และแสดงความรสู้ ึก แกผ่ ้มู าเยือน ยนิ ดีที่เขา (และคณะ) มาเย่ยี มเยือนในครงั้ น้ี ดว้ ยขอ้ ความ เชน่ “ในนามของ.(ชื่อหน่วยงานหรอื องคก์ ร) ผม/ดฉิ ัน ขอตอ้ นรับ. (คณะผูม้ าเยือน).ดว้ ยความยนิ ดยี ่ิง...” - พดู ถึงความสาคัญของโอกาสหรือวาระทีผ่ มู้ าเยือนไดม้ าในครัง้ น้ี - กลา่ วแนะนาหน่วยงานหรือองค์กรของตนอยา่ งกระชับ เพอ่ื เร่ง เร้าให้ผมู้ าเยือนเกิดความสนใจที่จะเยย่ี มชม หรอื ศกึ ษาดูงานมาก ข้ึน - กล่าวสรรเสรญิ หรือคานิยมยกยอ่ งผ้มู าเยือน เกี่ยวกบั ผลงานหรอื คณุ งามความดีของเขา และกลา่ วแสดงความยนิ ดที จ่ี ะได้ แลกเปลีย่ นเรยี นรรู้ ะหว่างกัน นาไปสกู่ ารพัฒนาหรือกระชบั ความ รว่ มมือกนั อยา่ งใกลช้ ดิ ยง่ิ ขนึ้ ในอนาคต (หากการมาเยือนเกี่ยว โยงกบั ความสมั พันธท์ ม่ี ีต่อกนั ในชว่ งท่ีผ่านมา และทจ่ี ะมใี น อนาคต) สรุ พล จนั ทราปตั ย์ พิธีกร 8
จุดมุง่ หมาย แนวการทาหนา้ ที่ - จบด้วยการแสดงความยินดีในนามของหนว่ ยงานหรอื องค์กรอีก ครั้งหนึง่ ทไี่ ดต้ ้อนรบั เป็นการยา้ มิตรภาพและความปรารถนาดี ต่อกัน - หากมีเอกสารแจกแกผ่ ้มู าเยือน ควรมอบให้เขาก่อนข้นึ กลา่ ว ต้อนรับ เพ่ือเขาจะไดพ้ ลิกอา่ นดตู ามสมควรระหวา่ งฟังการ แนะนาหนว่ ยงานของเรา - นาชมศกึ ษาดงู านกจิ การของหนว่ ย แลว้ มอบของทร่ี ะลกึ (ถา้ ม)ี 5. การดาเนนิ การอภิปราย จุดมุ่งหมาย แนวการทาหนา้ ท่ี เพือ่ ดาเนนิ การและกากบั การอภปิ ราย ที่ ก. ถา้ มีการกระทาพธิ ีเปดิ การอภปิ ราย มผี ู้พูดหรือผู้รว่ มอภิปรายหลายคน ให้ - พธิ กี รเรยี นเชิญประธานจดั งานขน้ึ กลา่ วรายงานตอ่ ประธาน เกดิ ความเรยี บร้อย และบรรลผุ ลตาม ในพิธี วัตถุประสงคข์ องการอภิปรายที่กาหนด - ประธานจดั งานขึ้นกล่าวรายงาน โดยมีการระบุถงึ หัวขอ้ ของ ไว้ การอภิปราย และวตั ถปุ ระสงคข์ องการอภิปรายในรายงาน ดว้ ย และลงทา้ ยด้วยการเรียนเชิญประธานในพิธีกล่าวเปิด การอภิปราย - เสร็จพธิ เี ปิดการอภิปราย ข. ถา้ ไม่มีการกระทาพิธีเปดิ การอภปิ ราย แนะนาให้ทาดงั ตอ่ ไปนี้ - พิธกี รประกาศเร่มิ การอภิกราย แนะนาหวั ขอ้ ของการอภปิ ราย และวัตถุประสงคข์ องการอภิปราย รวมท้งั ระบชุ ่ือหน่วยงาน หรอื องค์กรทีจ่ ดั ใหม้ ีการอภปิ รายดว้ ย - แนะนาผรู้ ว่ มอภปิ รายเปน็ รายบคุ คล (อยา่ งนอ้ ยระบุชื่อ ตาแหนง่ วุฒกิ ารศกึ ษา การงาน และประสบการณท์ ีเ่ ก่ยี วข้อง กับเรื่องทอี่ ภปิ ราย) แลว้ เรยี นเชญิ ผรู้ ว่ มอภปิ รายข้นึ เวที เข้า ประจา ณ ทน่ี ั่งทไี่ ดจ้ ดั ไวส้ าหรบั แตล่ ะท่านจนครบ (หรือพธิ ีกรเรยี นเชิญผู้ร่วมอภิปรายทุกทา่ นขน้ึ เวทแี ละเขา้ นง่ั ประจาทกี่ อ่ น แล้วแนะนาผ้รู ว่ มอภิปรายแต่ละทา่ นจนครบ) - แนะนาผูด้ าเนนิ การอภปิ ราย และเชิญขน้ึ เปน็ คนสุดทา้ ย - มอบเวทีใหผ้ ้ดู าเนินการอภปิ รายนาการอภปิ รายต่อไป หากผรู้ ว่ มการอภิปรายอาวุโสกว่าผู้ดาเนินการอภปิ รายมาก พิธีกรอาจปรับเปน็ ดังตอ่ ไปน้ี - แนะนาผูด้ าเนินการอภิปรายก่อนเปน็ ทา่ นแรก - ผู้ดาเนนิ การอภิปรายข้ึนเวที รับชว่ งงานต่อจากพธิ กี ร โดย เรียนเชญิ ผรู้ ่วมอภิปรายขึ้นเวที แล้วแนะนาประวตั ขิ องแตล่ ะ ท่านจนครบ - ผ้ดู าเนนิ การอภปิ รายนาเขา้ สกู่ ารอภิปราย สุรพล จันทราปตั ย์ พธิ กี ร 9
จุดมุง่ หมาย แนวการทาหน้าที่ สรุ พล จนั ทราปตั ย์ ค. การทาหนา้ ท่ีของผ้ดู าเนนิ การอภปิ ราย (Moderator) - พิจารณาว่าจะให้มกี ารอภิปรายก่ีรอบ แตล่ ะรอบจะมเี วลาให้ ผู้ร่วมอภปิ รายไดพ้ ดู ทา่ นละเทา่ ใด - พจิ ารณาว่าจะให้ผ้อู ภิปรายทา่ นใดพูดก่อนและหลงั เพ่อื เปน็ การปพู ้นื ฐาน และเสริมสรา้ งความเข้าใจให้มากและลกึ ซง้ึ ยิ่งข้นึ ไม่เกดิ ความสับสนในการอภิปราย และผฟู้ งั ตดิ ตามฟัง ได้เปน็ ลาดบั เรอ่ื งราวดี - พจิ ารณาวา่ จะใหผ้ ู้ฟงั มโี อกาสซักถาม หรอื แสดงความคิดเหน็ ด้วยหรือไม่ ถ้ามี ในช่วงไหน (อาจนาความคดิ ของตนข้างต้นหารอื กบั ผรู้ ่วมอภิปราย เพื่อ หาขอ้ ตกลงรว่ มกันก็ได้ โดยประสานกับท่านเปน็ รายบุคคล แล้วแจง้ ให้ทุกท่านทราบผลสรปุ กอ่ นถึงวนั อภปิ ราย เพ่ือผู้ รว่ มอภิปรายมเี วลาเตรียมเนอ้ื หาและเตรียมตัวใหพ้ ร้อมได้ทนั หากไม่สามารถหารอื กับผู้รว่ มอภิปรายจนได้ขอ้ สรุปก่อนวนั อภิปรายได้ ก็นดั หมายกับทุกทา่ น ขอเวลาหารอื ในช่วงก่อน ถึงเวลาขน้ึ เวทีเพอ่ื การอภปิ ราย) - เริม่ รายการอภิปรายด้วยการสร้างบรรยากาศให้รสู้ กึ เป็น กันเอง ทง้ั ผรู้ ว่ มอภปิ รายดว้ ยกันและกับผฟู้ งั - แจง้ ให้ผฟู้ งั ทราบวา่ จะมกี ารอภปิ รายกร่ี อบ แต่ละรอบนาน เทา่ ใด ผูร้ ่วมอภิปรายท่านใดจะพดู ก่อน-หลังตามลาดบั ไป หากจะใหผ้ ฟู้ ังมโี อกาสซกั ถามหรือรว่ มแสดงความคดิ เหน็ ด้วย ก็แจง้ ใหท้ ราบวา่ จะอยใู่ นชว่ งไหน มวี ธิ กี ารและกติกาอะไรท่ี ตอ้ งแจ้งขอความรว่ มมือ เป็นตน้ - นาการอภิปราย โดยกล่าวนาเขา้ ส่เู รอ่ื งท่ีจะอภิปรายอยา่ ง นา่ สนใจ ใหเ้ ห็นถึงความสาคญั ของการนาเรอ่ื งน้มี าอภิปราย และประโยชน์ทจี่ ะไดร้ บั จากการอภปิ ราย - เชญิ ผูอ้ ภิปรายทา่ นแรกพูด - สรุปประเด็นสาคญั และทน่ี า่ สนใจของผ้อู ภปิ รายทา่ นแรก แล้วโยงหรอื นาเขา้ สเู่ รือ่ งหรอื ประเด็นท่ีผู้อภิปรายท่านทส่ี อง จะพดู - กล่าวเชิญผอู้ ภิปรายทา่ นท่ีสองพูด - สรุปประเดน็ เชน่ เดยี วกบั ทที่ าหลังการอภปิ รายของท่านแรก ประสานความคดิ ของท้ังสองทา่ นใหล้ งตัว ยกประเด็นท่ี น่าสนใจ และสมควรอภปิ รายให้กวา้ งขวางและลึกซึ้งยิ่งขน้ึ แลว้ เชญิ ผูอ้ ภปิ รายทา่ นทีส่ ามพูด - ทาเชน่ นี้จนถงึ ผู้อภิปรายคนสุดท้ายในรอบแรก สรปุ เน้ือหา และประเด็นทสี่ าคญั นา่ สนใจจากการอภิปรายในรอบแรก โดยเช่อื มโยงและตกผลกึ สาระทไี่ ดจ้ ากการอภิปรายอยา่ ง ชดั เจน แต่ไมเ่ ป็นผูอ้ ภิปรายเสยี เอง และไมล่ าเอยี งโดยสรุป เฉพาะผอู้ ภปิ รายคนใดคนหนึง่ เท่านน้ั พธิ กี ร 10
จดุ มุ่งหมาย แนวการทาหน้าท่ี - เชญิ ผู้ร่วมอภิปรายพดู อภปิ รายรอบที่สอง (ซง่ึ ใช้เวลาส้ันกวา่ รอบแรก) และสรุปสาระอย่างกระชบั และชดั เจนทกุ คร้ังหลงั เสรจ็ การอภิปรายของแตล่ ะทา่ น - กลา่ วสรุปผลการอภปิ ราย แล้วเชญิ ผู้ฟังให้ซักถามหรอื แสดง ความเห็น ตามวธิ กี ารและกตกิ าทกี่ าหนด แลว้ มอบให้ผู้ อภปิ รายทพ่ี จิ ารณาเหน็ วา่ สมควรเป็นผ้ตู อบคาถามใหต้ อบ หรือจะขอให้ผอู้ ภปิ รายอาสาเปน็ ผตู้ อบคาถามนั้นก็ได้ - พยายามสร้างบรรยากาศทเี่ ป็นกันเองและเปน็ มิตรโดยตลอด ขจดั ปัญหาหรือข้อขัดแยง้ ท่อี าจมขี นึ้ ใหล้ ุล่วงไปดว้ ยความ เรียบรอ้ ย แบบบัวไม่ให้ช้า น้าไม่ใหข้ นุ่ - กลา่ วสรปุ ผลการอภปิ รายอีกครง้ั หนงึ่ อยา่ งกระชับ เมอ่ื การ อภิปรายและการถาม-ตอบ และแสดงความคิดเหน็ ของผู้ฟงั เสรจ็ สน้ิ ลง - กลา่ วขอบคณุ ผรู้ ว่ มอภิปราย ผฟู้ งั ผ้เู ก่ยี วขอ้ ง และกล่าวปิด การอภปิ ราย หมายเหตุ แนะนาให้ศกึ ษาเพ่ิมเตมิ เรอื่ งการพดู ในโอกาสต่างๆ ที่เรียบเรียงโดยผูเ้ ขียนคนเดียวกนั และ เปน็ เอกสารประกอบการอบรมเขม้ เสริมประสบการณ์คร้งั นี้ดว้ ย บรรณานกุ รม ปานใจ สภุ าพ, 2527. ตวั อย่างและแนวทางการพดู . นครปฐม : โรงพิมพ์ศูนยส์ ่งเสริมและฝกึ อบรม การเกษตรแหง่ ชาติ สานกั ส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน. ราชบัณฑิตยสถาน, 2546. พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : นานมบี ุคส์ พับลิเคช่นั ส.์ สุรพล จันทราปัตย์, 2547. ศลิ ปะการพดู ต่อทช่ี ุมนมุ ชน. กรงุ เทพฯ : เอกสารประกอบการบรรยายในการ ฝกึ อบรม เอกสารสาเนาเขา้ ชดุ _____________, 2557. การพูดในโอกาสตา่ งๆ. กรุงเทพฯ : เอกสารประกอบการบรรยายในการ ฝกึ อบรม เอกสารสาเนาเข้าชุด _____________, 2552. พธิ กี ร. กรุงเทพฯ : เอกสารประกอบการบรรยายในการฝึกอบรม เอกสาร สาเนาเขา้ ชดุ อุทศิ นาคสวัสด์ิ, 2519. ศลิ ปะการพดู . กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พ์อักษรเจรญิ ทศั น์. (File: สุรพล พธิ กี ร มสธ. 18 ก.ย. 64) พธิ กี ร 11 สรุ พล จนั ทราปัตย์
การบรรยาย1 ดร.สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย หรือการปาฐกถา (Lecture) เป็นวธิ ีการถ่ายทอดความรู้และขา่ วสารที่ใช้ใน การเรียนการสอนในสถาบนั การศกึ ษา และโครงการฝึกอบรมตา่ ง ๆ มานานแล้ว แม้วา่ จะมีผ้เู สนอ วิธีการใหม่ ๆ ที่กลมุ่ ผ้เู รียนมีโอกาสเข้ามีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขนึ ้ ก็ตาม แตก่ าร บรรยายก็ยงั คงเป็นวิธีการถา่ ยทอด ที่ครูอาจารย์ และวิทยากรทงั้ หลายยงั นยิ มใช้เป็ นหลกั กนั อยู่ เพื่อให้ ความรู้ ข้อเทจ็ จริง และข้อมลู ขา่ วสารแกผ่ ้เู รียน ผ้เู ข้ารับการฝึกอบรม หรือผ้ฟู ังเป็นสาคญั บทความนีจ้ ะเสนอสาระสาคญั เกี่ยวกบั ความหมายและลกั ษณะสาคญั ของการบรรยาย เกณฑ์พิจารณาใช้การสอนแบบบรรยาย ลกั ษณะของการบรรยายที่ดี ขนั้ ตอนการบรรยาย ข้อดีและ ข้อจากดั ของการบรรยาย แนวปฏิบตั ใิ นการเตรียมการบรรยาย การจดั ทาแผนการเรียนการสอน และ ข้อแนะนาบางประการเพ่ือเพมิ่ ประสทิ ธิผลในการบรรยาย ความหมายและลักษณะสาคัญของการบรรยาย การบรรยาย คือการถ่ายทอดความรู้ ข้อเท็จจริง และข้อมลู ขา่ วสารแก่ผ้เู รียนผ้ฟู ัง ด้วยการ ส่ือความหมายทางวาจา (Oral presentation) โดยผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ นกั วชิ าการ ผ้เู ชี่ยวชาญเฉพาะ สาขาวชิ าหรือในเร่ืองที่บรรยายนนั้ เพ่ือที่จะให้ผ้ฟู ังได้รับความรู้ความเข้าใจหรือยอมรับในเนือ้ หาสาระ ท่ีผ้บู รรยายได้ถ่ายทอดไปนนั้ แม้การบรรยายสว่ นใหญ่จะมงุ่ ให้ความรู้แกล่ มุ่ ผ้ฟู ังเป็นหลกั ก็ตาม แต่ ผ้บู รรยายหรือองค์ปาฐกก็สามารถกระต้นุ ชกั จงู โน้มน้าว และพยายามเปล่ียนเจตคตขิ องกลมุ่ ผู้ฟังได้ เชน่ กนั ถ้าผ้บู รรยายมีความสามารถเพียงพอในการพดู การบรรยายมกั เป็นการสื่อสารหรือสื่อความหมายทางเดียว (one-way communication) และเป็นพิธีการ นอกจากนี ้ ยงั มีลกั ษณะยดึ ตวั ผ้สู อนเป็นศนู ย์กลาง (trainer-centered method) รวมทงั้ ยดึ เร่ืองหรือเนือ้ หาเป็ นศนู ย์กลาง (subject-centered instruction) อีกด้วย คือ ผ้บู รรยายเสนอ เร่ืองไปตามเค้าโครงเรื่อง (outline) ที่ตนได้เตรียมไว้ สว่ นผ้เู รียนผ้ฟู ังก็ฟังและบนั ทกึ เนือ้ หาสาระท่ีได้ฟัง โดยไมม่ ีการป้ อนกลบั (feedback) ให้ผ้บู รรยายได้ทราบวา่ ตนมีความเข้าใจถกู ต้องตรงกนั หรือไม่ ฉะนนั้ ผ้บู รรยายจงึ ไมม่ ีโอกาสอรรถาธิบายให้ความกระจา่ งมากนกั เนื่องจากไมส่ ามารถตรวจสอบ ติดตาม ความสนใจและความเข้าใจของกลมุ่ ผ้เู รียนผ้ฟู ังได้นนั่ เอง อยา่ งไรก็ตาม หากผ้บู รรยายมีความสามารถ 1 เอกสารประกอบการบรรยายในการอบรมเข้มเสริมประสบการณ์มหาบณั ฑิต (ส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร) รุ่นท่ี 21 สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ และสหกรณ์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช วนั ที่ 18 กนั ยายน 2564
ในการอรรถาธิบายให้ผ้เู รียนเกิดความสนใจและเข้าใจ ทงั้ ให้ข้อมลู ขา่ วสาร ข้อเทจ็ จริงที่กระจา่ งชดั ได้ แล้ว ก็จะมีสว่ นช่วยให้การบรรยายครัง้ นนั้ ประสบความสาเร็จได้โดยไมย่ ากแตอ่ ยา่ งใด อนงึ่ ในบทความนีจ้ ะใช้ “ผ้สู อน วิทยากร ผ้บู รรยาย องค์ปาฐก” เป็นคาหรือชื่อเรียกแทน กนั เนื่องจากใช้ในความหมายเดียวกนั คือ ผ้ถู ่ายทอดความรู้ข้อเท็จจริง และใช้ “ผ้เู รียน ผ้ฟู ัง ผ้เู ข้ารับ การฝึกอบรม” แทนกนั ด้วยเชน่ กนั โดยหมายถงึ ผ้รู ับการถ่ายทอด เกณฑ์พจิ ารณาใช้การสอนแบบบรรยาย ในการตดั สนิ ใจวา่ ควรจะใช้การสอนแบบบรรยายหรือไมน่ นั้ มีเกณฑ์พจิ ารณาดงั นี ้ 1. ความรู้ของผู้บรรยายและผู้เรียน ถ้าผ้บู รรยายมีความรู้และประสบการณ์ในเร่ืองที่ บรรยายมากเพียงใด และยิ่งผ้เู รียนมีความรู้และประสบการณ์ในเร่ืองนนั้ น้อยกวา่ ผู้บรรยายมากเพียง ใด ก็ย่ิงเหมาะที่จะใช้การสอนแบบบรรยายมากขนึ ้ เพียงนนั้ ในทางตรงข้าม ถ้าผ้เู รียนมีความรู้และ ประสบการณ์ในเร่ืองนนั้ มากขนึ ้ ก็ควรใช้วธิ ีการสอนแบบอื่นท่ีกลมุ่ ผ้เู รียนจะมีสว่ นร่วม (ที่เรียกวา่ group-participative methods or participative training techniques อาทิ การอภิปราย การระดม สมอง) แทนหรือเสริมการบรรยาย ก็จะชว่ ยให้การถ่ายทอดได้ผลดียิ่งขนึ ้ ด้วย 2. ขนาดของกลุ่มผู้เรียน โดยทว่ั ไปไมม่ ีข้อกาหนดแนน่ อน วา่ ผ้เู รียนหรือผ้ฟู ังจานวน เทา่ ใดจงึ ควรใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย เพียงแตป่ ระมาณกนั วา่ ถ้าจานวนผ้เู รียนเกิน 20 คนก็ควรใช้ การบรรยาย และผ้เู รียนจานวน 35 คนเป็นจานวนนา่ จะเหมาะที่สดุ ที่จะทาให้การบรรยายเกิด ประสิทธิผล การมีผ้เู รียนนบั เป็นจานวนมากไมท่ าให้การบรรยายได้ผล เพราะไมเ่ กิดสมั พนั ธภาพท่ีดี ระหวา่ งผ้บู รรยายกบั ผ้เู รียน กลา่ วคอื ผ้บู รรยายไมส่ ามารถสบสายตากบั ผ้เู รียนได้ทว่ั ถึง เป็นการผิด หลกั ของการพดู ตอ่ ที่ชมุ นมุ ชนซง่ึ ก็เป็นหลกั ของการบรรยายด้วย โดยปกติ ถ้ากลมุ่ ผู้เรียนไมใ่ หญ่นกั ผ้สู อนก็อาจใช้การบรรยาย แล้วตามด้วยการถาม-ตอบ (เรียก lecture forum) หรือกิจกรรมอ่ืนๆ เพ่ือ กระต้นุ การเรียนรู้ของผ้ฟู ังให้มากขนึ ้ ก็ได้ 3. เวลา การสอนแบบบรรยายจะให้ความรู้ ข้อเทจ็ จริง หลกั การ และแนวคดิ ตา่ งๆ แก่ ผ้เู รียนผ้ฟู ังได้มาก โดยใช้เวลาท่ีสนั้ กวา่ การสอนแบบแบง่ กลมุ่ ยอ่ ย ฉะนนั้ หากมีเวลาน้อย แตผ่ ้สู อนมี เนือ้ หาสาระท่ีต้องสอนมากแล้ว ควรใช้การบรรยายจะเหมาะกวา่ อยา่ งไรก็ตาม โอกาสที่ผู้ฟังจะมีสว่ น ร่วมโดยการซกั ถาม ตงั้ ข้อสงั เกต ก็จะมีน้อยมากหรือไมม่ ีเลยก็ได้ เนื่องจากเวลาไมอ่ านวยให้กระทาได้ 4. โสตทัศนูปกรณ์ท่พี อจะจัดหาได้ แม้ผ้เู รียนจะมีความรู้น้อยในเรื่องท่ีบรรยาย แตถ่ ้า ผ้บู รรยายสามารถหาโสตทศั นปู กรณ์หรือส่ือการเรียนการสอน อาทิ ภาพ ภาพพลกิ สไลด์ วีดทิ ศั น์ เข้า ชว่ ยในการบรรยายได้อย่างเหมาะสมแล้ว ถึงผ้เู รียนจะไมส่ ามารถอา่ นออกเขียนได้ แตก่ ็จะสามารถ เข้าใจเร่ืองราวได้โดยงา่ ยและรวดเร็วขนึ ้ การใช้ของจริงหรือสิ่งจาลองหรือภาพตา่ งๆ เข้าชว่ ย เหลา่ นี ้ ล้วนชว่ ยให้ผ้เู รียนได้มีโอกาสใช้ประสาทสมั ผสั เชน่ ตา หู มือ ฯลฯ ประกอบกนั มากขนึ ้ ทาให้การ ถา่ ยทอดความรู้ความเข้าใจได้ผลมากขนึ ้ ด้วย สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 2
5. วัตถปุ ระสงค์ของวิชา/หัวข้อวิชา และลักษณะของเร่ืองท่ีถ่ายทอด หวั ข้อวิชาใดท่ี มงุ่ ให้ผ้เู รียนได้รับความรู้เป็นสาคญั หรือเนือ้ หาวชิ ามีความยงุ่ ยากซบั ซ้อน ต้องอาศยั การบอกเลา่ ชีแ้ จง จากผ้สู อนถึงจะรู้และเข้าใจแล้ว ผ้สู อนก็ควรเลือกใช้การบรรยาย แตใ่ นกรณีที่วตั ถปุ ระสงคข์ องวิชาหรือ หวั ข้อวิชาต้องการให้ผ้เู รียนได้รู้หลกั และวธิ ีการปฏิบตั ิตามขนั้ ตอนตา่ ง ๆ เพื่อทาตามแล้ว ก็ควรใช้การ สาธิตวิธี (method demonstration) และหากหวงั ให้ผ้ฟู ังเกิดทกั ษะ (skill) จนถึงขนั้ ทาได้ด้วยตนเอง แล้ว ก็ต้องให้โอกาสเขาได้ฝึกฝนภายใต้การแนะนาอยา่ งใกล้ชดิ ของผ้สู อนด้วย หรือหากต้องการ เปล่ียนแปลงเจตคติ (attitude) ของผ้ฟู ังเป็นสาคญั แล้ว ผ้สู อนก็ควรเลือกใช้วธิ ีการสอนที่ให้ผ้เู รียนเข้า มีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขนึ ้ เพ่ือรับประสบการณ์ใหม่และเรียนรู้ด้วยตนเองผา่ น กระบวนการที่ผ้บู รรยายได้มีการเตรียมการอยา่ งรอบคอบ เชน่ ใช้กิจกรรมกลมุ่ (group process) บทบาทสมมตุ ิ (role playing) เหลา่ นีเ้ป็ นต้น ลักษณะของการบรรยายท่ดี ี 1. มีการกระต้นุ ความสนใจของกลุ่มผู้เรียนอย่เู สมอ เร่ิมตงั้ แตก่ ารขนึ ้ คานา ท่ี เชื่อมโยงคณุ คา่ ของเรื่องท่ีนามาถ่ายทอดกบั ความสนใจและความคาดหวงั ของผ้เู รียน ชีใ้ ห้เหน็ ถงึ ประโยชน์ที่ผ้เู รียนจะได้รับจากการฟัง รวมทงั้ เค้าโครงเร่ืองที่จะพดู ถึงในครัง้ นนั้ ทงั้ นี ้เพ่ือเร้าความสนใจ และนาเข้าสบู่ ทเรียนให้กลมกลืน ตอ่ จากนนั้ ก็นาเสนอเนือ้ เรื่องเป็นลาดบั ขนั้ ตอนไป โดยในแตล่ ะ ขนั้ ตอน ผ้บู รรยายจะต้องพยายามกระต้นุ ให้กลมุ่ ผ้ฟู ังเกิดความสนใจตดิ ตามฟังอยเู่ สมอ จนถึงสรุป ในชว่ งสดุ ท้ายของเวลา 2. มีการจัดวางเค้าโครงเร่ืองท่จี ะบรรยายได้ดีและชัดเจน มีการจดั ประเดน็ สาคญั เป็นลาดบั และสอดคล้องสมั พนั ธ์กนั สว่ นใดที่เป็นประเดน็ ยอ่ ยก็นามาจดั ให้อยใู่ นท่ีที่เหมาะสม ทงั้ ให้ นา้ หนกั เนือ้ หาสาระในสว่ นตา่ งๆ และการจดั สรรเวลาให้สมสว่ นกนั ก็จะทาให้ผ้สู อนสามารถบรรยาย ได้อยา่ งกระชบั และได้เนือ้ หาสาระมาก 3. มีการปรับปรุงทัง้ เนือ้ หาและส่ือการเรียนการสอนให้เหมาะสมอย่เู สมอ เพื่อ ผ้เู รียนจะได้สนใจ เข้าใจ พอใจ และยอมรับเนือ้ หาสาระที่ได้ฟังนนั้ อยา่ งกระตอื รือร้น 4. มีการนาเสนอเร่ืองต่อผู้เรียนเป็ นอย่างดี การบรรยายท่ีดีนนั้ สว่ นหนงึ่ เกิดจาก การที่ผ้บู รรยายใช้เทคนิคการพดู ท่ีดี ผ้บู รรยายต้องใช้บคุ ลกิ ภาพและความสามารถในการพดู เข้า ประกอบกนั จงึ จะชว่ ยให้เกิดสมั พนั ธภาพท่ีดกี บั ผ้เู รียน และการสื่อความหมายเกิดสมั ฤทธิผล โดยเหตทุ ่ีการบรรยายเป็นการถา่ ยทอดโดยใช้คาพดู เป็ นส่ือสาคญั ดงั นนั้ จงึ จะกลา่ ว เพิ่มเตมิ เก่ียวกบั เทคนิคการพดู ในสว่ นท้ายของบทความนีด้ ้วย เพ่ือผ้อู า่ นจะได้นาไปใช้ประโยชน์ได้มาก ขนึ ้ นอกจากนี ้ ขอแนะนาให้ผ้อู า่ นบทความนี ้ ได้ศกึ ษาเพ่มิ เตมิ เรื่อง “ศลิ ปะการพดู ตอ่ ที่ชมุ นมุ ชน” ซงึ่ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 3
เรียบเรียงโดยผ้เู ขียนคนเดียวกนั นีด้ ้วย จะได้รายละเอียดในสว่ นของวิธีการวางเค้าโครงเร่ือง และ เทคนิคการพดู เพ่ือให้ขา่ วสารความรู้ ตลอดจนแนวการประเมินการพดู เพื่อจดุ มงุ่ หมายนีม้ ากขนึ ้ ขัน้ ตอนการบรรยาย ขัน้ ท่ี 1 การเตรียมการบรรยาย 1. การวิเคราะห์กลุ่มผู้เรียนผู้ฟัง การได้รู้วา่ ผ้เู รียนผ้ฟู ังเป็นใคร ทาให้ผ้บู รรยายสามารถ เตรียมตวั ลว่ งหน้าได้พร้อม ทงั้ ตวั ผ้บู รรยายเอง ตวั เร่ือง การใช้ถ้อยคา สานวนโวหาร การให้คาจากดั ความ การอธิบายขยายความ การแสดงอากปั กิริยา การใช้โสตทศั นปู กรณ์ประกอบการพดู และอื่น ๆ เพ่ือให้เหมาะกบั กลมุ่ ผ้ฟู ัง ปัจจยั ท่ีควรพิจารณาเกี่ยวกับผู้ฟัง ได้แก่ วยั เพศ ระดบั การศกึ ษา และอาชีพ เพื่อให้รู้ถึง ความแตกต่างในระดับความสามารถของบุคคลในการทาความเข้าใจเร่ืองต่างๆ และบอกถึง ประสบการณ์ตา่ งวยั และตา่ งแบบ ความสนใจในเรื่องหรือสิ่งต่างๆ ท่ีไม่เหมือนกนั ตลอดจนอารมณ์ที่ ตา่ งกันในวยั ต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี ้การได้ทราบถึงจานวนผู้ฟัง พืน้ ความรู้ของผู้ฟัง และเจตคติของ ผ้ฟู ังเกี่ยวกบั เร่ืองท่ีจะบรรยาย ก็จะชว่ ยให้ผ้บู รรยายเตรียมตวั ได้ดียง่ิ ขนึ ้ อีกด้วย 2. การวเิ คราะห์โอกาส เวลา และสถานท่ที ่จี ะบรรยาย จะชว่ ยให้ผ้บู รรยายเตรียมตวั ได้ถกู ต้อง ทงั้ ในการแตง่ กายให้ถกู กาลเทศะ การเตรียมการนาเสนออย่างรัดกมุ การเตรียมอปุ กรณ์ให้ เหมาะสมกบั ขนาดและลกั ษณะของห้องท่ีจะไปบรรยาย เป็นต้น 3. การกาหนดวัตถุประสงค์ของการบรรยายให้ชัดเจนและเจาะจง ว่าประสงค์จะ ให้ผ้เู รียนผ้ฟู ังมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องใด เพียงใด เพ่ือจะนาไปใช้ประโยชน์ในงานและองค์กรที่ ทางานอย่างไร อย่างไรก็ตาม ผ้จู ดั หลกั สตู รฝึ กอบรมมกั กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของหวั ข้อวิชาตา่ งๆ ใน หลกั สตู รมาให้ก่อนแล้ว ทงั้ วตั ถปุ ระสงค์โดยทวั่ ไปและวตั ถปุ ระสงค์เฉพาะ ว่าต้องการให้กล่มุ ผ้เู รียนได้ เรียนรู้เพื่อการเปล่ียนแปลงในเร่ืองใด อยา่ งไร ดงั นนั้ ผ้ไู ด้รับเชิญไปบรรยายจงึ ควรศกึ ษาวตั ถปุ ระสงค์ ของหวั ข้อวชิ าให้กระจา่ งแจ้ง รวมทงั้ พิจารณาถึงวตั ถปุ ระสงค์ของหลกั สตู รฝึกอบรมและหวั ข้อวิชาอื่น ๆ ด้วย เพื่อผ้บู รรยายจะได้เตรียมเนือ้ หาได้อย่างถูกต้อง ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ของหวั ข้อวิชาท่ีบรรยาย และให้สมั พนั ธ์กบั หวั ข้อวิชาอื่นๆ นอกจากนี ้ยงั ช่วยในการวดั และประเมินสมั ฤทธิ์ผลในการเรียนรู้ของ ผ้เู รียน (หากต้องการประเมนิ ) อีกด้วย อน่งึ ปกตกิ ารบรรยายจะมีหวั ข้อเร่ืองกาหนดไว้ชดั เจนก่อนแล้ว ผ้บู รรยายเพียงพิจารณา วา่ จะรับเชิญหรือไมเ่ ทา่ นนั้ แตถ่ ้าการบรรยายครัง้ นนั้ มีหวั ข้อเร่ืองเดียวและผ้บู รรยายสามารถกาหนด หวั ข้อเรื่องได้เองแล้ว ก็ควรพิจารณาเลือกเร่ืองที่ตนมีความรู้และประสบการณ์ รวมทงั้ มีความสนใจ เท่านัน้ หากผู้บรรยายไม่สนใจเร่ืองนัน้ แล้ว ก็เป็ นการยากที่จะไปกระตุ้นให้ผู้เรียนผู้ฟังสนใจ และ กระตือรือร้นคิดและทาตามได้ นอกจากนี ้ก็ควรตงั้ ชื่อเร่ืองให้เร้าอารมณ์ผ้ฟู ังให้ต่ืนเต้น สนใจ และ อยากฟังด้วย หลกั การตงั้ ช่ือเร่ืองมี 3 ประการ ดงั นี ้ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 4
1) ตงั้ ช่ือเรื่องให้เข้ากบั เรื่องท่ีจะพดู หรือเข้ากบั สว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของเรื่อง 2) ตงั้ ชื่อให้สนั้ และฟังงา่ ย 3) ตงั้ ช่ือให้เร้าอารมณ์ผ้ฟู ัง ชวนสนใจ ไมเ่ รียบจนดเู ป็นพืน้ ๆ แตก่ ็ไมค่ วรให้ช่ือผาดโผน จนไมน่ า่ เล่ือมใส (ข้อนีแ้ ล้วแตโ่ อกาส หากเป็นเรื่องวชิ าการตามหลกั สูตรฝึ กอบรมก็ มกั เป็นชื่อดาดๆ ไมใ่ คร่มีสีสนั เร้าอารมณ์เทา่ ใดนกั ) 4. การพิจารณาประเด็นสาคัญของเร่ือง เป็ นการจดั ระเบียบความคิด โดยกาหนด ประเดน็ หลกั และประเดน็ ยอ่ ย แล้วศกึ ษาค้นคว้าเพิ่มเตมิ ในประเดน็ เหลา่ นีใ้ ห้ได้รายละเอียดมากย่งิ ขนึ ้ 5. การจัดลาดับเนือ้ หาท่ีจะถ่ายทอด อาจใช้วิธีการจัดลาดบั จากเร่ืองที่ง่ายไปหา เรื่องที่ยากขนึ ้ หรือจากเร่ืองที่เกิดขึน้ ก่อนไปส่เู ร่ืองท่ีเกิดขนึ ้ ภายหลงั หรือจากเร่ืองที่ใกล้ตวั ไปยังเร่ืองท่ี ไกลตวั ผ้เู รียน เป็นต้น ก็จะช่วยให้ผ้เู รียนสามารถเข้าใจเร่ืองราวตา่ งๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว ทงั้ ยงั สามารถ รวบรวมและจดั ลาดบั เรื่องให้ตอ่ เน่ืองสมั พนั ธ์กนั ได้เป็นอยา่ งดสี มเหตผุ ลอีกด้วย 6. การปรับปรุงการถ่ายทอด โดยการให้คาจากัดความ การจาแนกประเภท การ อรรถาธิบายด้วยเหตุและผล การยกตัวอย่าง อุทธาหรณ์ เปรียบเทียบให้เห็น การยกข้อมูลสถิติ สนบั สนนุ ข้อเท็จจริงท่ีนามาพดู การพรรณนาด้วยเทคนิคและลีลาการพูดตามหลกั การพดู ตอ่ ท่ีชุมนุม ชน การเลือกใช้โสตทศั นปู กรณ์เข้าชว่ ยอยา่ งเหมาะสมและคล่องตวั เหลา่ นีเ้ป็นต้น 7. การกาหนดวิธีการประเมินผล เพ่ือประเมินการเรียนรู้ (learning evaluation) ว่า ผ้เู รียนได้เรียนรู้ในเร่ืองตา่ งๆ ที่ได้บรรยายถ่ายทอดไปเพียงใด โดยวดั และเปรียบเทียบการทดสอบก่อน และหลงั การบรรยาย (pretest and posttest) การประเมินปฏิกิริยาของผ้เู รียน (reaction evaluation) ว่าผู้เรียนมีความสนใจและพอใจในกิจกรรมการเรียนการสอนเพียงใด มีข้อแนะนาอะไรบ้าง (หาก ต้องการ) ดงั นีเ้ป็นต้น ขัน้ ท่ี 2 การดาเนินการบรรยาย 1. บรรยายตามลาดบั เนือ้ หาและขนั้ ตอน ตามเค้าโครงเรื่องที่ได้เตรียมไว้ และตามเวลาท่ี ได้วางแผนไว้ 2. นาเสนออย่างกระตือรือร้น พูดอย่างชัดเจน มนั่ คง และมีอัตราเร็วพอเหมาะ มีลีลา และวาทศลิ ป์ ในการบรรยาย เพื่อกระต้นุ จงู ใจให้ผ้ฟู ังสนใจ เข้าใจ พอใจ และประทบั ใจ 3. ใช้โสตทศั นปู กรณ์เข้าช่วยในการเรียนการสอนหรือการถ่ายทอดอย่างเหมาะสม เพ่ือ สื่อความหมายให้เข้าใจกระจา่ งแจ้งตรงกนั ระหวา่ งผ้บู รรยายและผ้ฟู ัง 4. ใช้คาถามเพ่ือกระตุ้นการเข้ามีส่วนร่วมของผู้ฟังในการให้ข้อมูล หรือแลกเปลี่ยน ความรู้และความคดิ เห็น หรือกระต้นุ จงู ใจให้สนใจตดิ ตามเนือ้ หาสาระให้ใกล้ชิดมากขนึ ้ 5. บรรยายให้แล้วเสร็จในเวลาที่กาหนด สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 5
เทคนิคการถาม การถามเป็ นส่วนหนง่ึ ท่ีสาคญั ของการบรรยาย เพราะช่วยกระต้นุ ความสนใจ ตรวจสอบ ความเข้าใจ และสง่ เสริมการเข้ามีสว่ นร่วมของผ้เู รียน ข้อแนะนาในการตงั้ คาถามมีดงั นี ้ 1. ใช้คาถามเป็ นส่วนหนึ่งของคานา โดยตงั้ คาถามแก่กลุ่มผู้เรียนเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะ บรรยาย อาจเป็ นคาถามเดียวหรือหลายคาถามก็ได้ตามความเหมาะสม เพ่ือกระต้นุ ให้ผู้เรียนคิดหา คาตอบ และสนใจท่ีจะติดตามฟังต่อไป เป็ นการใช้คาถามเพื่อนาเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องท่ีจะพูด ยกตวั อยา่ ง ผ้บู รรยายเร่ืองการพดู ตอ่ ท่ีชมุ นมุ ชนอาจยกคาถามทวั่ ไป (โดยพดู ช้าพอควรและชดั เจน) ว่า “ในที่นี ้ทกุ คนพดู ได้ แตม่ ีใครบ้างท่ีพดู เป็ น?” หลงั จากทิง้ ช่วงเวลาไปสกั 2 - 3 วินาที (ในขณะเดียวกนั ก็สบสายตาและสงั เกตปฏิกิริยาของผ้เู รียนไปพร้อมกนั ด้วย) ก็พดู ตอ่ ว่า “วนั นี ้ผม (ดิฉัน) จะพดู ให้ท่าน เห็นว่า การพูดได้กับการพูดเป็ นนนั้ ต่างกันอย่างไร และหากท่านต้องการพูดเป็ นแล้ว ท่านควรทา อยา่ งไร” ดงั นีเ้ป็นต้น 2. ใช้ “คาถามเปิ ด” ท่ีมิได้จากัดคาตอบ แต่เปิ ดกว้างให้ตอบได้อย่างกว้างขวางและ หลากหลาย ผ้บู รรยายอาจตงั้ คาถามในชว่ งการบรรยายแตล่ ะชว่ ง หรือหลงั จากจบการบรรยายแล้วก็ ได้ตามความเหมาะสม เพ่ือกระต้นุ ให้ผ้เู รียนแสดงความคิดเห็น อธิบายหรืออภิปรายให้กว้างขวางขึน้ ในเร่ืองท่ีพูดไปนัน้ นอกจากนี ้ อาจนาไปสู่ความคิดใหม่ ๆ เพ่ิมเติมจากท่ีได้ฟังไปแล้วก็ได้ ทัง้ นี ้ ผ้บู รรยายต้องควบคมุ เวลาในส่วนการถาม-ตอบ อภิปรายให้ดีด้วย มิเช่นนนั้ จะทาให้เวลายืดออกไป จนกระทบเวลาของสว่ นที่จะพดู ตอ่ ไป หรือเวลาบรรยายทงั้ หมด 3. หากต้องการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากขึน้ แล้ว ผู้บรรยายควรใช้เทคนิค “การ ถามต่อ” คือแทนที่จะตอบคาถามเสียเอง ก็โยนคาถามนัน้ ไปยังผู้เรียนคนอ่ืนให้ตอบแทน เช่น โยน คาถามไปยังทัง้ ห้องว่า “ท่ีมีผู้ถามว่า การพูดที่ดีเป็ นอย่างไรนนั้ ท่านผู้อื่นคิดว่าอย่างไรครับ (คะ)?” หากไม่มีผ้ใู ดตอบ ผ้บู รรยายก็อาจเปล่ียนเป็ น “การถามตรง” ไปยงั คนใดคนหนึ่งแทน (พึงระวงั ว่าอย่า เพ่งหรือจ้องหน้าผ้ไู ด้รับคาถาม เพราะจะทาให้เขารู้สกึ อดึ อดั ) หากไม่ได้รับคาตอบอีก ก็เปล่ียนไปถาม คนอื่นอีกสกั 1-2 คน แล้วผ้บู รรยายจึงให้คาตอบ ดงั นี ้ก็จะกระต้นุ ความสนใจและความกระตือรือร้น ของผ้เู รียนได้มาก 4. หากมีผ้ตู งั้ คาถามท่ียากท่ีจะตอบ หรือหากตอบไปทนั ทีแล้วจะกระทบความรู้สึกของ ผ้อู ่ืน หรือพาดพิงถึงคนอื่น หรืออาจเป็ นคาถามที่ไม่ยากท่ีจะตอบ แตน่ ่าจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกนั ก่อนท่ีจะสรุปวา่ คาตอบควรเป็นเชน่ ไร ดงั นี ้ผ้บู รรยายอาจใช้เทคนคิ “การถามย้อน” คือ ย้อนถามไปยงั ผ้ตู งั้ คาถามนนั้ เอง เพ่ือประโยชน์ในการหยงั่ ความคดิ ของเขาในเร่ืองที่ถาม หรือให้เขาร่วมรับผิดชอบใน สาระท่ีจะพดู ตอบกนั ก็ได้ แล้วผ้บู รรยายถึงจะตอบ ยกตวั อยา่ ง หากมีผ้ถู ามผ้บู รรยายวา่ “ในบ้านเมือง ของเรามีนกั พดู เก่ง ๆ หลายคน ท่านคดิ วา่ ระหวา่ งนาย ก กบั นาย ข ใครพดู เกง่ กว่ากนั ” ผ้บู รรยายควร ทิง้ ช่วงสักครู่แล้วย้อนถามกลบั ไปด้วยความสุภาพว่า “แล้วท่านเองคิดอย่างไรครับ (คะ)” จากนัน้ ผ้บู รรยายจงึ แสดงทศั นะของตน หรือไมต่ อบตรง ๆ วา่ ใคร แตใ่ ห้เกณฑ์พิจารณาไปวา่ นกั พดู ท่ีเกง่ ๆ นนั้ สรุ พล จนั ทราปัตย์ การบรรยาย 6
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126