68 การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าคณติ ศาสตร์ โดยใช้แบบฝึ กทักษะ เร่ือง การบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 แพรวรุ่ง ศรีประภา โรงเรียนวดั พืชนิมติ (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) สังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ปี การศึกษา 2562
69 การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าคณติ ศาสตร์ โดยใช้แบบฝึ กทักษะ เร่ือง การบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 แพรวรุ่ง ศรีประภา โรงเรียนวดั พืชนิมติ (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) สังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ปี การศึกษา 2562
ช่ือเรื่องการศึกษา 70 ช่ือผวู้ ิจยั บทคดั ย่อ ปี การศึกษา การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ โดยใชแ้ บบ ฝึกทกั ษะ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 นางสาวแพรวรุ่ง ศรีประภา 2562 การศึกษาวิจยั คร้ังน้ีเร่ือง “การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้ แบบฝึ กทักษะ การบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6” มี วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั (1) เพอื่ สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่องการ บวก ลบ คูณและหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพ่ือพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยการใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ การบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน (3) เพื่อ ศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ต่อการใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ การ บวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษาในคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) จานวน 41 คน เคร่ืองมือท่ีใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรียนรู้ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบฝึ กทกั ษะ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนรู้ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ซ่ึงผา่ นการหาประสิทธิภาพจากผเู้ ชี่ยวชาญ สถิติที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูลไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพ (E1 /E2 ) และสถิติทดสอบสมมติฐานของการวิจยั โดยใชส้ ถิติ Dependent Sample t – test คานวณดว้ ยโปรแกรมสาเร็จรูป ผลการศึกษาวิจยั พบวา่ 1. แบบฝึกทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 มีประสิทธิภาพ (E1/ E2) เท่ากบั 82.06/81.23 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 80/80
71 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ต่อการเรียนโดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม มีความพงึ พอใจอยใู่ น ระดบั มาก ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาคร้ังตอ่ ไป 1. ครู ผู้สอนควรมีการแจ้งผลการปฏิบัติทันที เพื่อให้นักเรี ยนได้ตรวจสอบ ความกา้ วหนา้ ของตนเอง 2. ครูผูส้ อนสามารถนาไปเป็ นแนวทางในการสร้างนวตั กรรมในบทเรียนอื่น ๆ เช่น แบบเรียนมลั ติมิเดีย เป็นตน้
72 กติ ตกิ รรมประกาศ การศึกษาวิจยั ฉบบั น้ีสาเร็จลุล่วงไปไดด้ ว้ ยความกรุณาของผูอ้ านวยการโรงเรียนวดั พืช นิมิต (คาสวัสด์ิราษฎร์บารุง) ซ่ึงเป็ นท่ีปรึกษาการศึกษาวิจัย ได้กรุณาให้คาแนะนาแก้ไข ขอ้ บกพร่องต่างๆ พร้อมท้งั ใหข้ อ้ เสนอแนะที่เป็นประโยชนแ์ ละช้ีแนะในเวลาที่มีขอ้ สงสัยหรือมี ปัญหา ผวู้ ิจยั จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง ณ โอกาสน้ี ขอบพระคุณผู้เช่ียวชาญในการตรวจเคร่ื องมือ นางสาวจิระพันธุ์ ปากวิเศษ นางสาวพรไพรินทร์ งาคชสาร และนางสาวโยษิตา มุขแกว้ ที่ไดก้ รุณาใหค้ าแนะนาขอ้ คิดเห็น ตรวจสอบ และแกไ้ ขเคร่ืองมือในการศึกษาวิจยั ใหม้ ีคุณภาพ ขอบพระคุณคณะครู และนกั เรียน โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ที่ไดใ้ ห้ ความร่วมมือในการใหข้ อ้ มูลในการพฒั นาแบบฝึกทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 จนสาเร็จลลุ ่วง ตลอดจนความห่วงใยท่ีมีให้ เสมอมา สุดทา้ ยขอขอบคุณโรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง ที่เป็ นแหล่งใหเ้ รียนรู้ชีวติ และสังคม ซ่ึงเป็ นสถานท่ีท่ีทาใหผ้ วู้ ิจยั ไดม้ ีโอกาสในการเรียนรู้ ผูว้ ิจยั ขอใหเ้ ป็ นกตเวทิตาแด่ผทู้ ี่ เก่ียวขอ้ งทกุ ทา่ น ตลอดจนผเู้ ขียนหนงั สือ และบทความต่างๆ ที่ใหค้ วามรู้แก่ผวู้ จิ ยั จนสามารถให้ การศึกษาวจิ ยั ฉบบั น้ีสาเร็จไดด้ ว้ ยดี แพรวรุ่ง ศรีประภา
73 หนา้ (3) สารบญั (5) (9) บทคดั ยอ่ (11) กิตติกรรมประกาศ สารบญั ตาราง 1 สารบญั ภาพประกอบ 1 บทที่ 4 4 1 บทนา 5 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา 5 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 5 สมมติฐานของการวิจยั 7 ขอบเขตของการวจิ ยั 8 ตวั แปรที่ศึกษา 8 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 13 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ 13 13 2 วรรณกรรมและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 14 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 15 เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั คณิตศาสตร์ 18 แบบฝึกทกั ษะ 18 ความหมายของแบบฝึกทกั ษะ 20 ประโยชนข์ องแบบฝึกทกั ษะ 20 ลกั ษณะของแบบฝึกทกั ษะท่ีดี 21 หลกั ในการสร้างแบบฝึกทกั ษะ หลกั จิตวิทยาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การสร้างแบบฝึกทกั ษะ แผนการจดั การเรียนรู้ ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ ความสาคญั ของแผนการจดั การเรียนรู้
74 สารบัญ (ต่อ) บทท่ี หนา้ ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้ที่ดี 22 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 23 ประเภทของแบบทดสอบวดั สัมฤทธ์ิทางการเรียน 24 ความพงึ พอใจ 25 งานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 26 งานวจิ ยั ในประเทศ 26 งานวิจยั ต่างประเทศ 28 3 วธิ ีดาเนินการวิจยั 29 กรอบแนวความคิดในการวจิ ยั 29 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 30 เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั 30 การสร้างเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวิจยั 33 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 43 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 45 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 51 สญั ลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 51 การวิเคราะห์ผลขอ้ มูลและแปลความหมาย 52 ผลการวิคราะห์ขอ้ มลู 52 ตอนท่ี 1 ผลการพฒั นาแบบฝึกทกั ษะ วชิ าคณิตสาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ท่ี 6………………………………………………… 52 ตอนที่ 2 ผลการพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 53 ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 6……………………………………………… 53
75 สารบญั (ต่อ) หนา้ บทท่ี 56 57 5 สรุปผลการศึกษา อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ 58 สรุปผลการศึกษาวิจยั 60 การอภิปรายผล 60 ขอ้ เสนอแนะ 61 ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้ ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาคร้ังตอ่ ไป 62 64 ภาคผนวก 66 ก รายนามผเู้ ช่ียวชาญตรวจสอบเครื่องมือ 83 ข เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 88 ค ผลการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ 92 ง ผลการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ 94 จ คะแนนสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและลงั เรียน 96 ฉ ผลการทดสอบสมมติฐานของการวิจยั 100 ช รูปภาพการดาเนินกิจกรรมและผลงานนกั เรียน 103 ซ หนงั สือขอความอนุเคราะห์ บรรณานุกรม ประวตั ิผเู้ ขียน
76 สารบญั ตาราง ตาราง หนา้ 1 แผนการจดั การเรียนรู้ วชิ าคณิตสาสตร์ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะเร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 31 2 แบบแผนการทดลองแบบกลมุ่ เดียว ทดสอบก่อนและหลงั (The One Group Pre-test Post-test Design) 44 3 การหาประสิทธิภาพแบบฝึกทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 52 4 คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ โดยการใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 53 5 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการอ่านและเขียนทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่งของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 67 6 คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองหลกั และค่าประจาหลกั ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 68 7 คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 วชิ าคณิตศาสตร์ เรื่องการเขียนทศนิยมในรูปกระจายของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 69 8 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการเปรียบเทียบและเรียงลาดบั ทศนิยมของนกั เรียนช้นั ประถม ศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 70 9 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 วชิ าคณิตศาสตร์ เรื่องการเขียนทศนิยมในรูปเศษส่วนและการเขียนเศษส่วนในรูปทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 71
77 สารบญั ตาราง (ต่อ) หนา้ ตาราง 10 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวกและลบทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่งของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 72 11 คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณและหารทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่งของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 73 12 คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 วชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองการหาทศนิยมเม่ือตวั หารเป็นจานวนนบั หรือเป็ นทศนิยมไมเ่ กินสาม ตาแหน่งของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 74 13 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ หารทศนิยมระคนของนกั เรียนช้นั ประถม ศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 75 14 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 10 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องโจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณหารทศนิยมของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 76 15 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองโจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณหารทศนิยมระคนของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 77 16 คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 12 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องสร้างโจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณหารทศนิยมระคนของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 78
78 สารบญั ตาราง (ต่อ) หนา้ ตาราง 17 คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของแบบฝึกทกั ษะ วชิ าคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณหารทศนิยมของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 79 18 คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน และหลงั เรียน วชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณหารทศนิยมของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 80 19 ค่าความยากงา่ ย ค่าอานาจจาแนก และค่าความเช่ือมน่ั ของแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียน วชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบ ฝึกทกั ษะ 81 20 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแบบสอบถามความพงึ พอใจของ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 82 21 คา่ ประสิทธิภาพ (E1/E2) ของแบบฝึกทกั ษะ แบบรายบคุ คล (Individual Tryout) 84 22 คา่ ประสิทธิภาพ (E1/E2) ของแบบฝึกทกั ษะ แบบกล่มุ เลก็ (Small Group Tryout) 85 23 ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) ของแบบฝึกทกั ษะ แบบภาคสนาม (Field Tryout) 86 24 คะแนนสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน 89 25 ผลการทดสอบสมมติฐานการวจิ ยั 93
79 หนา้ 30 สารบัญภาพ 38 ภาพ 41 95 1 ความสัมพนั ธข์ องตวั แปรในการวจิ ยั 2 ข้นั ตอนการสร้างแบบฝึกทกั ษะ 3 ข้นั ตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 4 การดาเนินกิจกรรม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6
80 บทท่ี 1 บทนา ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา การศึกษาเป็ นเคร่ืองมือในการพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ เป็ นพ้ืนฐานอนั สาคญั ของการ พฒั นาสังคม ผูไ้ ดร้ ับการศึกษาจึงเป็ นบุคลากรท่ีมีคุณภาพ และเป็ นกาลงั สาคญั ในการพฒั นา ประเทศ สภาพปัจจุบนั ประเทศไทยกาลงั เผชิญกับปัญหาและวิกฤติการณ์ทางดา้ นคุณภาพ การศึกษา พบว่า คุณภาพการศึกษาของไทย ท่ีผ่านมาอยใู่ นระดบั ต่า เน่ืองจากคณิตศาสตร์มี บทบาทสาคญั ย่ิงต่อการพฒั นาความคิดของมนุษยท์ าให้มนุษยม์ ีความคิดสร้างสรรค์คิดอย่างมี เหตุผลเป็ นระบบระเบียบ มีแบบแผนสามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ไดอ้ ย่างถี่ถว้ น รอบคอบทาใหส้ ามารถคาดการณ์ วางแผนตดั สินใจและแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม นอกจากน้ีคณิตศาสตร์ยงั เป็นเคร่ืองมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยตี ลอดจนศาสตร์ อื่น ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งคณิตศาสตร์จึงมีประโยชนต์ ่อการดารงชีวิตและช่วยพฒั นาคุณภาพชีวิตใหด้ ีข้ึน นอกจากน้ีคณิตศาสตร์ยงั ช่วยพฒั นาคนให้เป็ นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์มีความสมดุลท้งั ทางร่างกาย จิตใจสติปัญญาและอารมณ์ สามารถคิดเป็นทาเป็นแกป้ ัญหาเป็นและสามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนได้ อยา่ งมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551, หนา้ 1) นอกจากน้ีการจดั การเรียนการสอนวิชา คณิตศาสตร์ในปัจจุบันยังมีปัญหาอยู่มากจากการศึกษาของสถาบันส่งเสริ มการสอน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเก่ียวกบั การทาขอ้ สอบวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ของ สมาคมนานาชาติ เพ่ือการประเมินผลทางการศึกษา พบว่าเด็กไทยทาคะแนนได้ดีสาหรับ ขอ้ สอบแบบเลือกตอบที่ใชท้ กั ษะพ้ืนฐานหรือขอ้ สอบท่ีใชค้ วามจา แต่ไม่สามารถทาขอ้ สอบที่ เป็ นโจทยป์ ัญหาที่ตอ้ งคิดวิเคราะห์หรือตอ้ งเขียนคาตอบอธิบายแสดงให้เห็นถึงปัญหาในการ วิเคราะห์ และการเรียบเรียงความคิดออกมาเป็ นคาพูดของเด็กไทยในขณะที่ความสามารถ ดังกล่าว เป็ นเรื่องที่จาเป็ นสาหรับการดารงชีวิตในโลกปัจจุบัน (สานักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ. 2545, หนา้ 2)
81 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ไดก้ าหนดวิสัยทศั น์ของ การจดั การศึกษา เพื่อให้สอดคลอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม ท่ีมุ่งพฒั นา ผเู้ รียนทุกคนซ่ึงเป็ นกาลงั ของชาติให้เป็ นมนุษยท์ ่ีมีความสมดุลท้งั ดา้ นร่างกายความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็ นพลเมืองไทยและเป็ นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นประมุข มีความรู้และทกั ษะพ้ืนฐาน รวมท้งั เจตคติ ท่ีจาเป็ นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผูเ้ รียนเป็ น สาคญั บนพ้ืนฐานความเช่ือว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551, หนา้ 4) จากหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง 2560) ได้ กาหนดเน้ือหาวิชาคณิตศาสตร์ ท่ีจะตอ้ งเรียนในช้นั ประถมศึกษา ซ่ึงในหลกั สูตรสถานศึกษา ของโรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ได้กาหนดรายวิชาท่ีจะต้องเรียนในช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 ในรายวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง การบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ซ่ึงเป็นเรื่องที่จะตอ้ งใชค้ วามรู้พ้ืนฐานและความเขา้ ใจในการใชท้ กั ษะการคิดเป็ นอยา่ งมาก และ ถือว่าเป็ นรากฐานของการเรียนในรายวิชาคณิตศาสตร์ ท่ีตอ้ งใชค้ วามสามารถในดา้ นการคิด คานวณเป็นส่วนใหญ่ จากการจดั การเรียนการสอนผลการเรียนในภาคเรียนท่ี 1/2561 ท่ีผ่านมา พบวา่ นกั เรียนมีผลการเรียนต่า ซ่ึงเป็ นเน้ือหาความรู้ท่ีต่อเน่ืองกนั หลายเรื่องที่ตอ้ งนาไปใชเ้ ป็ น ความรู้พ้ืนฐานในการเรียนคณิตศาสตร์ในช้นั ท่ีสูงข้ึน และจากการเขา้ สอนในรายวิชาน้ีพบว่า นกั เรียนยงั มีความรู้พ้ืนฐานในรายวิชาคณิตศาสตร์นอ้ ยตามความคาดการณ์ จึงจาเป็ นอยา่ งยิ่งที่ จะตอ้ งไดร้ ับการพฒั นาความรู้ทกั ษะการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและ หารทศนิยม เพื่อจะไดเ้ ป็ นความรู้พ้ืนฐานในการเรียนคณิตศาสตร์ในช้นั ท่ีสูงข้ึนต่อไป แบบฝึก ทกั ษะจึงมีความสาคญั ในการฝึ กให้ นักเรียนเกิดความชานาญ จากการปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง เมื่อ นักเรียนได้รับการฝึ กหลายๆ คร้ังหลายรูปแบบ ก็สามารถพฒั นาตนเองได้สามารถนามา แกป้ ัญหา เป็ นรายบุคคลหรือรายกลุ่มไดเ้ ป็ นอยา่ งดีผเู้ รียนสามารถทบทวนเน้ือหาไดด้ ว้ ยตนเอง ทาใหท้ ราบความกา้ วหนา้ ของตนเป็ นเครื่องมือที่ครูผสู้ อนใชเ้ ป็ นการประเมินความกา้ วหนา้ ได้ เป็นอยา่ งดีแบบฝึกที่ดีเปรียบเสมือนผชู้ ่วยท่ีสาคญั ของครู ทาใหค้ รูลดภาระการสอน ทาใหผ้ เู้ รียน สามารถพฒั นาตนเองไดอ้ ย่างเต็มที่ และยงั เพิ่มความมนั่ ใจในการเรียน (มะลิ อาจวิชยั . 2540, หนา้ 17)
82 ดงั น้ันจึงเป็ นความรับผิดชอบของทางโรงเรียน ซ่ึงเป็ นสถานศึกษาที่ตอ้ งจดั สาระการ เรียนรู้ที่เหมาะสมต่อผูเ้ รียนแต่ละคนท้งั น้ีเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนดไว้ สถานศึกษาควรจดั กระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเนน้ การฝึ กทกั ษะ กระบวนการคิด การจดั การการ เผชิญสถานการณ์ และการประยกุ ตค์ วามรู้มาใชป้ ้องกนั และแกไ้ ขปัญหาจดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนได้ เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึ กการปฏิบตั ิให้ทาไดค้ ิดเป็ นทาเป็ น รักการอ่านและเกิดการใฝ่ รู้ อยา่ งต่อเน่ืองผสมผสานสาระความรู้ดา้ นต่าง ๆ อยา่ งไดส้ ัดส่วนสมดุลกนั ปลูกฝังคุณธรรมและ ค่านิยมที่ดีงามคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ไวใ้ นทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ อานวยความสะดวก เพ่ือให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็ นส่วนหน่ึงของ กระบวนการเรียนรู้โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผูเ้ รียนและจดั การเรียนรู้ให้ เกิดข้ึนไดท้ ุกเวลา ทุกสถานท่ีเพือ่ พฒั นาไปสู่ความเป็ นสากล ผสู้ อนควรจดั หาหรือจดั ทาเอกสาร ประกอบหลกั สูตร เช่น คู่มือการใชห้ ลกั สูตร แนวทางการจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษา คู่มือครู เอกสารประกอบหลกั สูตรใชป้ ระกอบการจดั การเรียนการสอน และกระบวนการเรียนรู้ควรจดั ให้สอดคลอ้ งกบั ความสนใจและความถนดั ของผูเ้ รียนโดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมท้งั วฒุ ิภาวะของผเู้ รียนท้งั น้ีเพื่อให้ผูเ้ รียนมีทกั ษะการคิดคานวณพ้ืนฐาน มีความสามารถใน การคิดในใจตลอดจนพฒั นาผูเ้ รียนให้มีความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ได้อย่างเต็ม ศกั ยภาพ และการที่ผเู้ รียนจะเกิดการเรียนรู้คณิตศาสตร์อยา่ งมีคุณภาพน้นั จะตอ้ งมีความสมดุล ระหว่างสาระทางดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ ควบคู่ไปกบั คุณธรรมจริยธรรมและค่านิยม คือ มีความรู้ความเขา้ ใจในคณิตศาสตร์พ้ืนฐาน เกี่ยวกบั จานวน และการดาเนินการ การวดั เรขาคณิต พีชคณิต การวิเคราะห์ขอ้ มูลและความน่าจะเป็ น พร้อมท้งั สามารถนาความรู้น้นั ไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จาเป็ น ได้แก่ ความสามารถในการแกป้ ัญหาดว้ ยวิธีการที่หลากหลาย การใหเ้ หตุผลการส่ือสารสื่อความหมาย ทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอการมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การเช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ และเช่ือมโยงคณิตศาสตร์กบั ศาสตร์อ่ืนๆ มีการทางานเป็ นระบบ มีระเบียบ วินยั มีความรอบคอบ ยอมรับความคิดเห็นของผอู้ ื่นอยา่ งมีเหตุผล พร้อมท้งั ตระหนกั ในคุณค่า และมีเจตคติท่ีดีต่อคณิตศาสตร์ (กรมวชิ าการ. 2545,หนา้ 1) จากเหตุผลข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะครูผูส้ อนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี จึงสนใจท่ีจะพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและ
83 หารทศนิยม ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะซ่ึงการใชแ้ บบฝึ กทกั ษะที่พฒั นาข้ึนจะเป็ นวิธีสอนอีกวิธีหน่ึงที่จะสามารถ ฝึกใหน้ กั เรียนเกิดทกั ษะการคิด และนอกจากน้ียงั เป็ นการพฒั นาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ใหม้ ีประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึนต่อไป วตั ถุประสงค์ของการวิจัย ในการศึกษาวิจยั เร่ือง การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใชแ้ บบฝึ ก ทกั ษะ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ผูว้ ิจยั กาหนด วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ไวด้ งั น้ี 1. เพ่ือสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพอ่ื พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยการใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ืองการ บวก ลบ คูณและหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน 3. เพ่ือศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ตอ่ การใชแ้ บบฝึกทกั ษะ คณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม สมมตฐิ านของการวจิ ัย ในการศึกษาวจิ ยั เรื่อง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ โดยใชแ้ บบฝึ ก ทกั ษะ เรื่องการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ของนักเรี ยนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ผูว้ ิจัยได้ แนวคิด ทฤษฎี งานวิจยั ท่ีผา่ นมาจึงกาหนดสมมติฐานการวิจยั ไวด้ งั น้ี 1. แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนโดยการใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ือง การบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 หลงั เรียนซ่ึงสูงกวา่ ก่อนเรียน 3. นกั เรียนมีความพงึ พอใจต่อการใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ในระดบั มาก
84 ขอบเขตของการวจิ ยั ประชากร ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษาวจิ ยั คร้ังน้ีคือ นกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนวดั พชื นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) จานวน 41 คน ตวั แปรที่ใชใ้ นการศึกษาวิจยั 1. ตวั แปรอิสระ ไดแ้ ก่ 1.1 แบบฝึกทกั ษะเร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยมช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 2. ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ 2.1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดว้ ยแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 2.2 ระดบั ความพึงพอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ตอ่ การใชแ้ บบฝึก ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม เน้ือหาท่ีศึกษา เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐานพุทธศกั ราช 2551 ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ระยะเวลา ดาเนินการทดลองกบั กลุ่มประชากร ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2562 ใช้ เวลา 22 คาบ คาบละ 60 นาที นิยามศัพท์เฉพาะ 1. แบบฝึกทกั ษะ หมายถึง ส่ือ เอกสารที่ผวู้ ิจยั สร้างข้ึน เพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการแกป้ ัญหาสาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานและผลการ เรียนรู้วชิ าคณิตศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐานพุทธศกั ราช 2551 2. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ขอ้ สอบท่ีผวู้ ิจยั สร้างข้ึน เพ่อื ใชว้ ดั ความรู้เร่ือง การบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ครอบคลมุ เน้ือหาตามจุดประสงคท์ ่ีกาหนดไวเ้ ป็น แบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 10 ขอ้
85 3. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลการเรียนรู้หรือคะแนนก่อนเรียน หรือคะแนน หลงั เรียนของนกั เรียนท่ีไดจ้ ากการทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การบวก ลบ คูณและหารทศนิยม โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ท่ีผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน 4. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการเรียนรู้ หมายถึง ประสิทธิภาพดา้ นกระบวนการ และประสิทธิภาพดา้ นผลลพั ธ์ท่ีได้จากการเรียนรู้ของนักเรียนจากแบบฝึ กทกั ษะตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 80 ตวั แรก คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ หมายถึง คา่ เฉล่ียร้อยละของ คะแนนของนักเรียนทุกคนท่ีทาไดร้ ะหว่างเรียนในแบบฝึ กทกั ษะการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ในระหวา่ งเรียน เรื่องการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ของนกั เรียนซ่ึงตอ้ งไม่นอ้ ย กวา่ ร้อยละ 80 80 ตวั หลงั คือ ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ หมายถึง คา่ เฉลี่ยร้อยละ ของคะแนนการทาแบบทดสอบหลงั เรียน เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ซ่ึงตอ้ งไมน่ อ้ ย กว่าร้อยละ 80 ตามแผนการจดั การเรียนรู้ท่ีนาแบบฝึ กทกั ษะการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องกการ บวก ลบ คูณและหารทศนิยม มาใชเ้ ป็นส่ือ 5. ความพงึ พอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือเจตคติของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ที่ มีต่อการเรียน โดยใช้แบบฝึ กทักษะวิชาคณิศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ประกอบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจที่ผูว้ ิจัยสร้างข้ึนตามวิธีของ ลิเคอร์ท (Likert) โดยใชร้ ูปแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (rating scale) 5 ระดบั มีเกณฑด์ งั น้ี มาก ที่สุด มาก ปานกลาง นอ้ ย และนอ้ ยที่สุด
86 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ 1. ผลการศึกษาคน้ ควา้ จะเป็ นการเสนอแนวทางสาหรับครู ในการปรับปรุงรูปแบบวิธี สอน เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ในระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 และนาไปบูรณาการ กบั รายวชิ าอ่ืนได้ 2. ผลการวิจัยในคร้ังน้ีจะช่วยให้ผูบ้ ริหาร ศึกษานิเทศก์เล็งเห็นถึงแนวทางในการ ปรับปรุงวิธีสอน การนิเทศ และการติดตามผลการสอน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของ ครูผสู้ อนในรายวิชาคณิตศาสตร์ดีข้ึน
87 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้อง การศึกษาวิจัยในคร้ังน้ีเป็ นการศึกษาวิจยั เพื่อพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึ กทกั ษะ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 6 ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาขอ้ มูลต่าง ๆ จากเอกสาร ตารา แนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ ตลอดจน งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งดงั น้ี 1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2. แบบฝึกทกั ษะ 3. แผนการจดั การเรียนรู้ 4. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 5. ความพงึ พอใจ 6. งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กล่มุ สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ (2551, หน้า 1) กล่าวถึงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดวิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมายสมรรถนะสาคัญของผู้เรี ยน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ และคุณภาพของ
88 ผูเ้ รียน เพ่ือเป็ นแนวทางให้สถานศึกษาและครูผูส้ อนคณิตศาสตร์สามารถจดั กิจกรรมการเรียน การสอน ไวด้ งั น้ี วสิ ัยทศั น์ กระทรวงศึกษาธิการ (2551,หนา้ 3) กลา่ วถึงหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน มุ่ง พฒั นาผูเ้ รียนทุกคน ซ่ึงเป็ นกาลงั ของชาติให้เป็ น มนุษยท์ ่ีมีความสมดุลท้งั ดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็ นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ยึดมน่ั ในการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุขมีความรู้และทกั ษะพ้ืนฐาน รวมท้งั เจตคติท่ีจาเป็ นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเนน้ ผูเ้ รียน เป็นสาคญั บนพ้นื ฐานความเชื่อวา่ ทกุ คนสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเอง ไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ จดุ ม่งุ หมายของหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2551, หนา้ 3) กล่าวถึงหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน มุ่งพฒั นาผูเ้ รียนใหเ้ ป็ นคนดี มีปัญญา มีความสุขมีศกั ยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็ นจุดหมายเพ่ือให้เกิดกับผู้เรี ยน เม่ือจบการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ผู้เรียนต้องมี คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินยั และปฏิบตั ิตนตาม หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนบั ถือ ยดึ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมี ความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิดการแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยแี ละมีทกั ษะชีวิตมี สุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีดี มีสุขนิสยั และรักการออกกาลงั กาย มีความรักชาติ มีจิตสานึกใน ความเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ มีจิตสานึกในการอนุรักษว์ ฒั นธรรมและภมู ิ ปัญญาไทย การอนุรักษแ์ ละพฒั นาสิ่งแวดลอ้ ม มีจิตสาธารณะท่ีมุ่งทาประโยชนแ์ ละสร้างส่ิงท่ีดี งามในสังคม และอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งมีความสุข
89 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการ (2551, หน้า 4) กล่าวถึงหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน มุ่งพฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ซ่ึงการพฒั นาผเู้ รียนใหบ้ รรลุมาตรฐานการ เรียนรู้ที่กาหนดน้นั จะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั น้ี 1. ความสามารถในการสื่อสารเป็ นความสามารถในการรับและส่งสารมีวฒั นธรรมใน การใชภ้ าษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเขา้ ใจ ความรู้สึกและทศั นะของตนเองเพ่อื แลกเปลี่ยน ขอ้ มูลข่าวสารและประสบการณ์อนั จะเป็ นประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและสังคมรวมท้งั การ เจรจาตอ่ รองเพื่อขจดั และลดปัญหาความขดั แยง้ ต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับขอ้ มูลขา่ วสารดว้ ย หลกั เหตุผลและความถูกตอ้ ง ตลอดจนการเลือกใชว้ ิธีการส่ือสาร ท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึง ผลกระทบที่มีตอ่ ตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การ คิด อยา่ งสร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ และการคิดเป็ นระบบ เพ่ือนาไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพอื่ การตดั สินใจเกี่ยวกบั ตนเองและสงั คมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอปุ สรรค ต่าง ๆ ท่ีเผชิญไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลกั เหตุผล คุณธรรมและขอ้ มูลสารสนเทศ เขา้ ใจความสัมพนั ธแ์ ละการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสงหาความรู้ ประยกุ ต์ ความรู้มาใชใ้ นการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา และมีการตดั สินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึง ผลกระทบที่เกิดข้ึนต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดลอ้ ม 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใชใ้ น การดาเนินชีวิตประจาวนั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่อง การทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมดว้ ยการสร้างเสริมความสัมพนั ธ์อนั ดีระหว่างบุคคลการจดั การ ปัญหาและความขดั แยง้ ต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสม การปรับตวั ใหท้ นั กบั การเปลี่ยนแปลงของสังคม และสภาพแวดลอ้ ม และการรู้จกั หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ท่ีส่งผลกระทบต่อตนเอง และผอู้ ่ืน
90 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็ นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีดา้ นต่าง ๆ และมีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพฒั นาตนเองและสังคม ในดา้ นการเรียนรู้การส่ือสาร การทางาน การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมี คุณธรรม คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ กระทรวงศึกษาธิการ (2551,หนา้ 5) กลา่ วถึงหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน มงุ่ พฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนในสังคมไดอ้ ย่างมี ความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ดงั น้ี (1) รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ (2) ซื่อสัตย์ สุจริต (3) มีวนิ ยั (4)ใฝ่เรียนรู้ (5) อยอู่ ยา่ งพอเพียง (6)มงุ่ มนั่ ในการทางาน (7)รักความเป็นไทย (8) มีจิตสาธารณะ มาตรฐานและสาระการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551, หน้า 5) กล่าวถึงการพฒั นาผูเ้ รียนให้เกิดความสมดุล ตอ้ ง คานึงถึงหลกั พฒั นาการทางสมองและพหุปัญญาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน จึง กาหนดใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ 8 กล่มุ สาระการเรียนรู้ ดงั น้ี 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 5. สุขศึกษาและพลศึกษา 6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพ 8. ภาษาต่างประเทศ ในแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ไดก้ าหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็ นเป้าหมายสาคญั ของการ พฒั นาคุณภาพผูเ้ รียน มาตรฐานการเรียนรู้ ระบุส่ิงที่ผูเ้ รียนพึงรู้และปฏิบตั ิได้ มีคุณธรรม
91 จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดแก่ผูเ้ รียนเมื่อจบการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน นอกจากน้ีมาตรฐานการเรียนรู้ยงั เป็ นกลไกลสาคญั ในการขบั เคล่ือนพฒั นาการศึกษาท้งั ระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะทอ้ น ให้ทราบว่าตอ้ งการอะไร จะสอนอยา่ งไร และประเมิน อย่างไร รวมท้งั เป็ นเคร่ืองมือในการตรวจสอบเพื่อการประกนั คุณภาพการศึกษา โดยใชร้ ะบบ การประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอกซ่ึงรวมถึงการทดสอบระดบั เขต พ้นื ท่ีการศึกษา และการทดสอบระดบั ชาติ ระบบการตรวจสอบ เพอื่ ประกนั คุณภาพดงั กลา่ วเป็น สิ่งสาคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพฒั นาผูเ้ รี ยนให้มีคุณภาพตามท่ี มาตรฐานการเรียนรู้กาหนดเพยี งใด สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ (2551,หนา้ 9) ไดก้ ล่าวถึงสาระการเรียนรู้ไว้ 6 สาระการเรียนรู้ ดงั น้ี สาระท่ี 1 จานวนและการดาเนนิ การ มาตรฐาน ค 1.1 เขา้ ใจถึงความหลากหลายของการแสดงจานวนและการใชจ้ านวนใน ชีวติ จริง มาตรฐาน ค 1.2 เขา้ ใจถึงผลท่ีเกิดข้ึนจากการดาเนินการของจานวนและความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งการดาเนินการตา่ ง ๆ และการใชก้ ารดาเนินการในการแกป้ ัญหา มาตรฐานค1.3 ใชก้ ารประมาณคา่ ในการคานวณและแกป้ ัญหา มาตรฐาน ค 1.4 เขา้ ใจระบบจานวนและนาสมบตั ิเก่ียวกบั จานวนไปใช้ สาระท่ี 2 การวดั มาตรฐาน ค 2.1 เขา้ ใจพ้ืนฐานเกี่ยวกบั การวดั วดั และคาดคะเนขนาดของส่ิงที่ตอ้ งการ วดั มาตรฐาน ค 2.2 แกป้ ัญหาเกี่ยวกบั การวดั สาระท่ี 3 เรขาคณิต มาตรฐาน ค 3.1 อธิบาย และวิเคราะหร์ ูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ
92 มาตรฐาน ค 3.2 ใชก้ ารนึกภาพ (visualization) ใชเ้ หตผุ ลเก่ียวกบั ปริภมู ิ (spatial reasoning) และใชแ้ บบจาลองทางเรขาคณิต (geometric model) ในการแกป้ ัญหา สาระท่ี 4 พชี คณติ มาตรฐาน ค 4.1 เขา้ ใจ และวิเคราะห์แบบรูป (pattern) ความสัมพนั ธ์ และฟังกช์ นั มาตรฐาน ค 4.2 ใชน้ ิพจน์ สมการ อสมการ กราฟ และตวั แบบเชิงคณิตศาสตร์ (mathematical model) อ่ืน ๆ แทนสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนแปลความหมาย และนาไปใช้ แกป้ ัญหา สาระที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็ น มาตรฐาน ค 5.1 เขา้ ใจ และใชว้ ิธีการทางสถิติในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล มาตรฐาน ค 5.2 ใชว้ ิธีการทางสถิติ และความรู้เก่ียวกบั ความน่าจะเป็นในการ คาดการณ์ ไดอ้ ยา่ งสมเหตุสมผล มาตรฐาน ค 5.3 ใชค้ วามรู้เก่ียวกบั สถิติ และความน่าจะเป็นช่วยในการตดั สินใจ และ แกป้ ัญหา สาระที่ 6 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ มาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแกป้ ัญหาการใหเ้ หตุผล การส่ือสาร การ สื่อ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ การเช่ือมโยงความรู้ตา่ ง ๆ ทางคณิตศาสตร์ และเช่ือมโยงคณิตศาสตร์กบั ศาสตร์อ่ืน ๆ และมีความ คิดริเริ่มสร้างสรรค์ แบบฝึ กทกั ษะ ความหมายของแบบฝึ กทักษะ แบบฝึ กหรือแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกเสริมทกั ษะ เป็ นส่ือการเรียนประเภทหน่ึงสาหรับ ใหน้ กั เรียนฝึกปฏิบตั ิเพ่ือใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจและทกั ษะเพิม่ ข้ึน มีผใู้ หค้ วามหมายของแบบ ฝึกทกั ษะหรือชุดการฝึกไว้ ดงั น้ี
93 สุวิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550, หนา้ 53) ไดส้ รุปความสาคญั ของแบบ ฝึ กทกั ษะว่าแบบฝึ กทกั ษะมีความสาคญั ต่อผูเ้ รียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้างทกั ษะ ใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรู้และเขา้ ใจไดเ้ ร็วข้ึน ชดั เจนข้ึน กวา้ งขวางข้ึนทาใหก้ ารสอนของครู และการเรียนของนกั เรียนประสบผลสาเร็จอยา่ งมีประสิทธิภาพ อกนิษฐ์ กรไกร (2549, หน้า 18) ไดส้ รุปความหมายของแบบฝึ กทกั ษะไวว้ ่า แบบฝึ ก ทกั ษะหมายถึง ส่ือท่ีสร้างข้ึนเพื่อเสริมสร้างทกั ษะให้แก่นักเรียน มีลกั ษณะเป็ นแบบฝึ กหัดที่มี กิจกรรมใหน้ กั เรียนทาโดย มีการทบทวนสิ่งท่ีเรียนผา่ มาแลว้ จากบทเรียน ใหเ้ กิดความเขา้ ใจและ เป็นการฝึกทกั ษะ และแกไ้ ขในจุดบกพร่องเพื่อใหน้ กั เรียนไดม้ ีความสามารถและศกั ยภาพยิ่งข้ึน เขา้ ใจบทเรียนดีข้ึน จากความหมายของแบบฝึกทกั ษะดงั กล่าวขา้ งตน้ ผูว้ ิจยั เห็นว่าแบบฝึ กทกั ษะเป็ นส่ือการ เรียนสาหรับใหน้ กั เรียนฝึกปฏิบตั ิ เพ่อื ทบทวนเน้ือหาและฝึกฝนทกั ษะต่าง ๆ ใหด้ ีข้ึน หลงั จากท่ี ไดเ้ รียนบทเรียนแลว้ ใชค้ วบคู่กบั การเรียน โดยยกตวั อยา่ งปัญหาท่ีครอบคลุมเน้ือหาความรู้ต่าง ๆ ท่ีไดเ้ รียนไปแลว้ ประโยชน์ของแบบฝึ กทกั ษะ วรรณภา ไชยวรรณ (2549, หนา้ 41) ไดอ้ ธิบายถึงประโยชนข์ องแบบฝึกทกั ษะไวว้ า่ แบบ ฝึกทกั ษะช่วยในการฝึกหรือเสริมทกั ษะทางภาษา การใชภ้ าษาของนกั เรียนสามารถนามาฝึ กซ้า ทบทวนบทเรียน และผเู้ รียนสามารถนาไปทบทวนดว้ ยตนเอง จดจาเน้ือหาไดค้ งทน มีเจตคติท่ีดี ต่อการเรียนภาษาไทย แบบฝึ กถือเป็ นอุปกรณ์การสอนอย่างหน่ึงซ่ึงสามารถทดสอบความรู้ วดั ผลการเรียนหรือประเมินผลการเรียนก่อนและหลงั เรียนไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ทาให้ครูทราบปัญหา ขอ้ บกพร่องของผูเ้ รียนเฉพาะจุดได้ นักเรียนทราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง ครูประหยดั เวลา ค่าใชจ้ ่ายและลดภาระไดม้ าก สุวิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550, หนา้ 53 – 54) ไดส้ รุปประโยชน์ของแบบฝึก ทกั ษะดงั น้ี 1. ทาใหเ้ ขา้ ใจบทเรียนดีข้ึน เพราะเป็นเครื่องอานวยประโยชน์ในการเรียนรู้
94 2. ทาใหค้ รูทราบความเขา้ ใจของนกั เรียนท่ีมีต่อบทเรียน 3. ฝึกใหเ้ ด็กมีความเช่ือมนั่ และสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4. ฝึกใหเ้ ด็กทางานตามลาพงั โดยมีความรับผดิ ชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย 5. ช่วยลดภาระครู 6. ช่วยใหเ้ ด็กฝึกฝนไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ 7. ช่วยพฒั นาตามความแตกต่างระหวา่ งบุคคล 8. ช่วยเสริมใหท้ กั ษะคงทน ซ่ึงลกั ษณะการฝึกเพอ่ื ช่วยใหเ้ กิดผลดงั กลา่ วน้นั ไดแ้ ก่ 8.1 ฝึกทนั ทีหลงั จากท่ีเดก็ ไดเ้ รียนรู้ในเรื่องน้นั ๆ 8.2 ฝึกซ้าหลายๆคร้ัง 8.3 เนน้ เฉพาะในเร่ืองที่ผดิ 8.4 เป็นเครื่องมือวดั ผลการเรียนหลงั จากจบบทเรียนในแต่ละคร้ัง 8.5 ใชเ้ ป็นแนวทางเพื่อทบทวนดว้ ยตนเอง 8.6 ช่วยใหค้ รูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กไดช้ ดั เจน 8.7 ประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายแรงงานและเวลาของครู จากที่กล่าวมาขา้ งตน้ จะสรุปไดว้ ่า แบบฝึ กมีประโยชน์สาหรับนักเรียนในการท่ีจะ เสริมสร้างทักษะ ทบทวนความรู้ และทาให้เกิดความชานาญในเน้ือหาวิชาเหล่าน้ันยิ่งข้ึน นอกจากน้ียงั มีประโยชน์สาหรับครู แบบฝึ กทกั ษะเป็ นอุปกรณ์การสอนท่ีช่วยลดภาระของครู และยงั ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนแต่ละคนได้ชัดเจนข้ึน สามารถนาไป พฒั นาการสอนของตนเอง ลกั ษณะของแบบฝึ กทักษะทีด่ ี สุวิทย์ มลู คา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550, หนา้ 60 -61) ไดส้ รุปลกั ษณะของแบบ ฝึ กทกั ษะที่ดีควรคานึงถึงหลกั จิตวิทยาการเรียนรู้ผูเ้ รียนไดศ้ ึกษาดว้ ยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคลอ้ งกบั เน้ือหา รูปแบบน่าสนใจ และคาส่ังชดั เจน และไดส้ รุปลกั ษณะของแบบฝึ ก ทกั ษะไวด้ งั น้ี 1. ใชห้ ลกั จิตวิทยา 2. สานวนภาษาไทย
95 3. ใหค้ วามหมายต่อชีวิต 4. คิดไดเ้ ร็วและสนุก 5. ปลุกความน่าสนใจ 6. เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ 7. อาจศึกษาไดด้ ว้ ยตนเอง และไดแ้ นะนาใหผ้ สู้ ร้างแบบฝึกทกั ษะใหย้ ดึ ลกั ษณะ ของแบบฝึกทกั ษะไวด้ งั น้ี 7.1 แบบฝึกทกั ษะท่ีดีควรมีความชดั เจนท้งั คาสง่ั และวิธีทาคาสงั่ หรือตวั อยา่ งวธิ ีทา ที่ใชไ้ มค่ วรยาวเกินไป เพราะจะทาใหเ้ ขา้ ใจยาก ควรปรับใหง้ า่ ยเหมาะสมกบั ผใู้ ชท้ ้งั น้ีเพอ่ื ให้ นกั เรียนสามารถศึกษาดว้ ยตนเองไดถ้ า้ ตอ้ งการ 7.2 แบบฝึกทกั ษะท่ีดีควรมีความหมายต่อผเู้ รียนและตรงตามจุดมงุ่ หมายของการ ฝึกทกั ษะลงทนุ นอ้ ยใชไ้ ดน้ าน ๆ และทนั สมยั อยเู่ สมอ 7.3 ภาษาและภาพท่ีใช้ในแบบฝึ กทกั ษะควรเหมาะสมกบั วยั และพ้ืนฐานความรู้ ของผเู้ รียน 7.4 แบบฝึกทกั ษะที่ดีควรแยกฝึ กเป็นเร่ือง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมี กิจกรรมหลายรูปแบบ เพ่ือเร้าใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบ่ือหน่ายในการทา 7.5 แบบฝึ กทกั ษะที่ดีควรมีท้งั แบบกาหนดให้โดยเสรี การเลือกช้า ขอ้ ความหรือ รูปภาพในแบบฝึ กหัด ควรเป็ นส่ิงท่ีนักเรียนคุน้ เคยและตรงกบั ความในใจของนักเรียนเพ่ือว่า แบบฝึ กหัดที่สร้างข้ึนจะไดก้ ่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผูใ้ ช้ ซ่ึงตรงกบั หลกั การ เรียนรู้ไดเ้ ร็วในการกระทาท่ีก่อใหเ้ กิดความพึงพอใจฝึกทกั ษะใดทกั ษะหน่ึงจนเกิดความชานาญ 7.6 แบบฝึกทกั ษะท่ีดีควรเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียน ไดศ้ ึกษาดว้ ยตนเองให้รู้จกั คน้ ควา้ รวบรวมส่ิงที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือท่ีตนเองเคยใชจ้ ะทาใหน้ กั เรียนสนใจเร่ืองน้นั ๆ มากยงิ่ ข้ึนและ จะรู้จกั ความรู้ในชีวิตประจาวนั อยา่ งถูกตอ้ ง มีหลกั เกณฑแ์ ละมองเห็นว่าส่ิงที่เขาไดฝ้ ึ กฝนน้นั มี ความหมายตอ่ เขาตลอดไป 7.7 แบบฝึกทกั ษะที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ผเู้ รียนแต่ละคนจะ มีความแตกต่างกนั หลายๆดา้ น เช่น ความตอ้ งการ ความสนใจ ความพร้อม ระดบั สติปัญญาและ ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะน้นั การทาแบบฝึ กทกั ษะแต่ละเรื่อง ควรจดั ทาใหม้ ากพอและมีทุกระดบั
96 ต้งั แต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดบั ค่อนขา้ งยาก เพ่ือวา่ ท้งั เด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะไดเ้ ลือกทาได้ ตามความสามารถ ท้งั น้ีเพือ่ ใหเ้ ดก็ ทกุ คนประสบความสาเร็จในการทาแบบฝึกทกั ษะ 7.8 แบบฝึกทกั ษะท่ีดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนไดต้ ้งั แต่หน้าปกไป จนถึงหนา้ สุดทา้ ย 7.9 แบบฝึ กทกั ษะที่ดีควรไดร้ ับการปรับปรุงไปคู่กบั หนังสือแบบเรียนอยู่เสมอ และควรใชไ้ ดด้ ีท้งั ในและนอกบทเรียน 7.10 แบบฝึกทกั ษะท่ีดีควรเป็นแบบท่ีสามารถประเมิน และจาแนกความเจริญงอก งามของเดก็ ไดด้ ว้ ย ถวลั ย์ มาศจรัส (2550, หนา้ 20) ไดอ้ ธิบายถึงลกั ษณะของแบบฝึ กหัดและแบบฝึ กทกั ษะ ที่ดี ดงั น้ี 1. จุดประสงค์ 1.1 จุดประสงคช์ ดั เจน 1.2 สอดคลอ้ งกบั การพฒั นาทกั ษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการ เรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2. เน้ือหา 2.1 ถูกตอ้ งตามหลกั วชิ า 2.2 ใชภ้ าษาเหมาะสม 2.3 มีคาอธิบายและคาส่ังท่ีชดั เจน ง่ายต่อการปฏิบตั ิตาม 2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นาผูเ้ รียนสู่การสรุปความคิดรวบยอดและ หลกั การสาคญั ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2.5 เป็ นไปตามลาดบั ข้นั ตอนการเรียนรู้สอดคลอ้ งกบั วิธีการเรียนรู้ และความแตกตา่ ง ระะหวา่ งบุคคล 2.6 มีคาถามและกิจกรรมที่ทา้ ทายส่งเสริมทกั ษะกระบวนการเรียนรู้ของธรรมชาติวชิ า 2.7 มีกลยุทธ์การนาเสนอและการต้งั คาถามที่ชดั เจน น่าสนใจปฏิบตั ิไดส้ ามารถให้ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพอื่ ปรับปรุงการเรียนไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง
97 จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า แบบฝึ กจะตอ้ งเก่ียวขอ้ งกบั บทเรียนท่ีเรียนมาแล้ว เหมาะสมกบั ระดบั ความสามารถของผูเ้ รียน มีขอ้ แนะนาในการใชค้ าส่ัง และคาอธิบายที่ชดั เจน แบบฝึ กทกั ษะจะต้องเรียงจากง่ายไปหายาก มีรูปแบบที่หลากหลาย น่าสนใจ และท้าทาย ความสามารถของนักเรียน และแบบฝึ กทกั ษะควรใช้ฝึ กในสิ่งที่มีความหมายต่อผูเ้ รียน เพ่ือ ผเู้ รียนจะไดน้ าไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ หลกั ในการสร้างแบบฝึ กทกั ษะ สุวิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550, น. 54 – 55) ไดส้ รุปหลกั ในการสร้าง แบบฝึ กทกั ษะว่าตอ้ งมีการกาหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผูเ้ รียนทุกคนสามารถผา่ นลาดบั ข้นั ตอน ของทุกหน่วยการเรียนได้ ถ้านักเรียนได้เรียนตามอตั ราการเรียนของตนก็จะทาให้นักเรียน ประสบความสาเร็จมากข้ึน จากขอ้ ความขา้ งต้น จะเห็นไดว้ ่าหลกั ในการสร้างแบบฝึ กทกั ษะท่ีสาคญั น้ันต้องยึด นักเรียนเป็ นหลกั โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอนว่าจะฝึ กเร่ืองอะไร จดั เน้ือหาให้สอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมาย สร้างแบบฝึกทกั ษะใหเ้ หมาะกบั วยั และระดบั ความสามารถของนกั เรียนมีรูปแบบ หลากหลายน่าสนใจ กาหนดเวลาในการฝึกอยา่ งเหมาะสม หลกั จิตวทิ ยาท่เี กย่ี วข้องกบั การสร้างแบบฝึ กทกั ษะ สุวิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550, น. 62 – 64) ไดเ้ สนอแนะรูปแบบการ สร้างแบบฝึกทกั ษะ โดยอธิบายวา่ การสร้างแบบฝึ กทกั ษะรูปแบบก็เป็ นส่ิงสาคญั ในการที่จะจูง ใจใหผ้ เู้ รียนไดท้ ดลองปฏิบตั ิแบบฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใชแ้ บบเดียวจะเกิดความ จาเจน่าเบ่ือหน่าย ไม่ทา้ ทายให้อยากรู้อยากลองจึงขอเสนอรูปแบบท่ีเป็ นหลกั ใหญ่ไวก้ ่อน ส่วน ผสู้ ร้างจะนาไปประยกุ ตใ์ ช้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบ อื่น ๆ กแ็ ลว้ แตเ่ ทคนิคของแต่ละคน ซ่ึงจะเรียงลาดบั จากง่ายไปหายาก ดงั น้ี 1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกทกั ษะที่เป็นประโยคบอกเลา่ ใหผ้ เู้ รียนอ่านแลว้ ใส่เครื่องหมาย ถูกหรือผิดตาม ดุลยพินิจของผเู้ รียน
98 2. แบบจบั คู่ เป็ นแบบฝึ กทกั ษะท่ีประกอบดว้ ยตวั คาถามหรือตวั ปัญหา ซ่ึงเป็ นตวั ยืนไว้ ในสดมภซ์ า้ ยมือ โดยมีที่วา่ งไวห้ นา้ ขอ้ เพ่ือใหผ้ เู้ รียนเลือกหาคาตอบที่กาหนดไวใ้ นสดมภข์ วามือ มาจบั คูก่ บั คาถามใหส้ อดคลอ้ งกนั โดยใชห้ มายเลขหรือรหสั คาตอบไปวางไวท้ ี่วา่ งหนา้ ขอ้ ความ หรือจะใชก้ ารโยงเสน้ ก็ได้ 3. แบบเติมคาหรือเติมขอ้ ความ เป็นแบบฝึกทกั ษะที่มีขอ้ ความไวใ้ ห้ แต่จะเวน้ ช่องวา่ งไว้ ใหผ้ เู้ รียนเติมคาหรือขอ้ ความท่ีขาดหายไป ซ่ึงคาหรือขอ้ ความท่ีนามาเติมอาจให้เติมอยา่ งอิสระ หรือการกาหนดตวั เลือกใหเ้ ติมก็ได้ 4. แบบหลายตวั เลือก เป็นแบบฝึกทกั ษะเชิงแบบทดสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น คาถาม ซ่ึงจะตอ้ งเป็ นประโยคคาถามท่ีสมบูรณ์ ชดั เจนไม่คลุมเครือ ส่วนที่ 2 เป็ นตวั เลือก คือ คาตอบซ่ึงอาจจะมี 3-5 ตวั เลือกก็ได้ ตวั เลือกท้งั หมดจะมีตวั เลือกท่ีถูกท่ีสุดเพียงตวั เลือกเดียว ส่วนที่เหลือเป็นตวั ลวง 5. แบบอตั นยั คือความเรียงเป็นแบบฝึกทกั ษะที่ตวั คาถาม ผเู้ รียนตอ้ งเขียนบรรยายตอบ อยา่ งเสรีตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จากดั คาตอบ แต่กาจดั คาตอบ แต่จากดั ในเรื่องเวลา อาจใชค้ าถามในรูปทวั่ ๆ ไป หรือเป็นคาสัง่ ใหเ้ ขียนเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้ สุวิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550, หน้า 54 – 55) ไดอ้ ธิบายแนวคิดและ หลกั การสร้างแบบฝึ กทกั ษะว่า การศึกษาในเร่ืองจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็ นส่ิงที่ผูส้ ร้างแบบฝึ ก ทักษะ มิควรละเลยเพราะการเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้ต้องข้ึนอยู่กับปรากฏการณ์ของจิตและ พฤติกรรมที่ตอบสนองนานาประการ โดยอาศยั กระบวนการท่ีเหมาะสมและเป็ นวิธีที่ดีที่สุด การศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้จากขอ้ มูลท่ีนกั จิตวิทยาไดท้ าการคน้ พบ และทดลองไวแ้ ลว้ สาหรับ การสร้างแบบฝึกทกั ษะในส่วนท่ีมีความสมั พนั ธก์ นั ดงั น้ี 1. ทฤษฎีการลองถกู ลองผดิ ของธอร์นไดค์ ซ่ึงไดส้ รุปเป็นกฎเกณฑก์ ารเรียนรู้ 3 ประการ คือ 1.1 กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดข้ึนเม่ือบคุ คลพร้อมที่จะกระทา 1.2 กฎผลท่ีได้รับ หมายถึง การเรี ยนรู้ท่ีเกิดข้ึนเพราะบุคคลกระทาซ้ าง่าย 1.3 กฎการฝึ กหัด หมายถึง การฝึ กหัดให้บุคคลทากิจกรรมต่าง ๆ น้ัน ผูฝ้ ึ ก จะตอ้ ง
99 ควบคุมและจดั สภาพการใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องตนเอง บุคคลจะถูกกาหนดลกั ษณะ พฤติกรรมท่ีแสดงออก ดงั น้นั ผสู้ ร้างแบบฝึกทกั ษะจึงจะตอ้ งกาหนดกิจกรรมตลอดจนคาสั่งต่าง ๆ ใบแบบฝึกทกั ษะใหผ้ ฝู้ ึกไดแ้ สดงพฤติกรรมสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคท์ ี่ผสู้ ร้างตอ้ งการ 2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซ่ึงมีความเชื่อว่า สามารถควบคุมบุคคลให้ทา ตามความประสงคห์ รือแนวทางท่ีกาหนดโดยไม่ตอ้ งคานึงถึงความรู้สึกทางดา้ นจิตใจของบุคคล ผูน้ ้ันว่าจะรู้สึกนึกคิดอยา่ งไร เขาจึงไดท้ ดลองและสรุปว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ดว้ ยการกระทา โดยมีการเสริมแรงเป็ นตวั การ เป็ นบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กนั ในช่วงเวลาท่ี เหมาะสม ส่ิงเร้าน้นั จะรักษาระดบั หรือเพม่ิ การตอบสนองใหเ้ ขม้ ข้ึน 3. วิธีการสอนของกาเย่ ซ่ึงมีความเห็นวา่ การเรียนรู้มีลาดบั ข้นั และผูเ้ รียนจะตอ้ งเรียนรู้ เน้ือหาท่ีง่ายไปหายาก การสร้างแบบฝึ กทกั ษะ จึงควรคานึงถึงการฝึ กตามลาดบั จากง่ายไปหา ยาก 4. แนวคิดของบลูม ซ่ึงกล่าวถึงธรรมชาติของผูเ้ รียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกนั ผเู้ รียนสามารถเรียนรู้เน้ือหาในหน่วยยอ่ ยต่าง ๆ ไดโ้ ดยใชเ้ วลาเรียนท่ีแตกต่างกนั จากขอ้ ความขา้ งตน้ พอสรุปไดว้ ่าการสร้างแบบฝึ กทกั ษะควรสร้างให้เหมาะสมกบั วยั และระดบั ความสามารถของนกั เรียน และแบบฝึกทกั ษะควรมีหลายรูปแบบที่น่าสนใจและจูงใจ นกั เรียนใหอ้ ยากทา และควรใหน้ กั เรียนไดร้ ับการฝึกฝนบ่อย ๆ จนเกิดความชานาญ แผนการจดั การเรียนรู้ ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ วนั ชยั แยม้ จนั ทร์ฉาย (2554,หน้า 26) กล่าวสรุปไวว้ ่า แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง การวางแผนล่วงหนา้ เพ่ือจดั กิจกรรมการเรียนการสอน โดยจดั ทาเป็ นเอกสาร เน้ือหาความรู้ สื่อ การเรียนการสอน กิจกรรมและการประเมินผล
100 อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550, หนา้ 205) ไดใ้ หค้ วามหมายของแผนการจดั การเรียนรู้วา่ แผนการ สอน คือ แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ การใชส้ ่ือการสอน การวดั ผลประเมินผลให้สอดคลอ้ ง กบั เน้ือหา และจุดประสงคท์ ี่กาหนดไวใ้ นหลกั สูตร สาลี รักสุทธี (2553,หน้า 16) ไดใ้ ห้ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ว่า แผนการ จดั การ เรียนรู้ คือ แผนการหรือโครงสร้างที่จดั ทาเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เพ่ือการปฏิบตั ิการสอน ในวิชาหน่ึง เป็ นการเตรียมการสอนอย่างเป็ นระบบ และเป็ นเคร่ืองมือที่ช่วยให้ครูพฒั นาการ จัดการเรียนการสอน ไปสู่จุดมุ่งหมายการเรี ยนรู้ และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างมี ประสิทธิภาพ จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง กรอบหรือทิศทางในการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ดาเนินการเป็ นไปตามลาดบั ข้นั ตอน โดยมีการเตรียมขอ้ มูล ต่าง ๆ ไวล้ ่วงหนา้ อยา่ งเป็นระบบ จดั ทาไวเ้ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรและ นามาใชใ้ นการจดั กิจกรรม การเรียนรู้เพ่ือใหผ้ เู้ รียนบรรลจุ ุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายที่ไดก้ าหนดไวอ้ นั จะส่งผลใหผ้ เู้ รียนเกิด การเปล่ียนดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ ความสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ วนั ชยั แยม้ จนั ทร์ฉาย (2554,หน้า 27) กล่าวสรุปไวว้ ่า แผนการจดั การเรียนรู้ถือว่าเป็ น หวั ใจ สาคญั ของการจดั การเรียนการสอน เพราะจะเป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอนของ ครูจะทาให้ ครูดาเนินการสอนไปตามลาดบั ไม่หลงทาง มีระยะเวลาในการทากิจกรรมของ นกั เรียนท่ีชดั เจน อนั จะทาใหก้ ารเรียนการสอนเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550,หน้า 206) กล่าวไวว้ ่า แผนการสอนเปรียบไดก้ บั พิมพเ์ ขียวของ วิศวกร หรือสถาปนิกท่ีใชเ้ ป็ นหลกั ในการควบคุมงานก่อสร้าง วิศวกรหรือสถาปนิกจะขาดพิมพ์ เดียวไมไ่ ดฉ้ นั ใดผเู้ ป็นครูกจ็ ะขาดแผนการสอนไมไ่ ดฉ้ นั น้นั ยง่ิ ผสู้ อนไดจ้ ดั ทาแผนการสอนดว้ ย ตนเอง กย็ งิ่ ใหป้ ระโยชน์แก่ตนเองมากเพยี งน้นั สรุปไดด้ งั น้ี 1. ทาใหเ้ กิดการวางแผนวธิ ีสอนวธิ ีเรียนท่ีมีความหมายยงิ่ ข้ึน เพราะเป็นการจดั ทาอยา่ งมี หลกั การที่ถกู ตอ้ ง
101 2. ช่วยให้ครูมีคู่มือการสอนท่ีทาดว้ ยตนเอง ทาให้เกิดความสะดวกในการจดั การเรียน การสอน ทาใหส้ อนไดค้ รบถว้ นตรงตามหลกั สูตร และสอนไดท้ นั เวลา 3. เป็นผลงานวิชาการที่สามารถเผยแพร่เป็นตวั อยา่ งได้ 4. ช่วยใหค้ วามสะดวกแก่ครูผมู้ าสอนแทนในกรณีท่ีผสู้ อนไมส่ ามารถเขา้ สอนได้ ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ท่ดี ี สาลี รักสุทธี (2553,หน้า 16) กล่าวไวว้ ่า แผนการจดั การเรียนรู้หรือแผนการสอนที่ดี จะตอ้ งประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ครบถว้ นมีกิจกรรม ส่ือ การวดั และ ประเมินผลที่ สอดคลอ้ งกนั ตลอดแนวที่สาคญั ตอ้ งให้ผูเ้ รียนมีส่วนในการปฏิบตั ิมากที่สุด ทุก ข้ันตอน ทุกกระบวนการต้องลงสู่ผูเ้ รียนให้ผูเ้ รียนได้พฒั นาความรู้ความสามารถอย่างเต็ม ศกั ยภาพ ซ่ึงสรุปเป็นขอ้ ๆ ไดด้ งั น้ี 1. เป็นแผนการสอนท่ีมีกิจกรรมที่ใหผ้ เู้ รียนเป็นผไู้ ดล้ งมือปฏิบตั ิให้มากที่สุด โดยครูเป็น เพียงผคู้ อยช้ีนาส่งเสริม หรือกระตนุ้ ใหก้ ิจกรรมที่ผเู้ รียนดาเนินการไปตามความมุ่งหมาย 2. เป็นแผนการสอนที่เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนเป็นผคู้ น้ พบคาตอบหรือทาสาเร็จดว้ ยตนเอง โดย ครูพยายามลดบทบาทของผูบ้ อกคาตอบ มาเป็ นผูค้ อยกระตุน้ ดว้ ยคาถาม หรือปัญหาให้ ผเู้ รียนคิดแก้ หรือหาแนวทางไปสู่ความสาเร็จในการทากิจกรรมเอง 3. เป็ นแผนการสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการมุ่งใหผ้ ูเ้ รียนรับรู้ และนากระบวนการไป ใชจ้ ริง 4. เป็นแผนการสอนท่ีส่งเสริมใหใ้ ชว้ สั ดุอุปกรณ์ท่ีสามารถจดั หาไดใ้ นทอ้ งถิ่น หลีกเลี่ยง การใช้ วสั ดุอุปกรณ์สาเร็จรูปราคาสูง อาภรณ์ ใจเท่ียง (2550,หน้า 213) กล่าวไวว้ ่า แผนการสอนที่ดีจะช่วยให้การเรียนการ สอน ประสบผลสาเร็จไดด้ ี ดงั น้นั ผสู้ อนจึงควรทราบถึงลกั ษณะของแผนการสอนท่ีดี ซ่ึงมีดงั น้ี 1. สอดคลอ้ งกบั หลกั สูตร และแนวการสอนของกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ 2. นาไปใชส้ อนไดจ้ ริงและมีประสิทธิภาพ 3. เขียนอยา่ งถกู ตอ้ งตามหลกั วชิ า เหมาะสมกบั ผเู้ รียนและเวลาท่ีกาหนด 4. มีความกระจ่างชดั เจน ทาใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจง่ายและเขา้ ใจไดต้ รงกนั
102 5. มีรายละเอียดมากพอท่ีทาใหผ้ อู้ า่ นสามารถนาไปใชส้ อนได้ 6. ทกุ หวั ขอ้ ในแผนการสอนมีความสอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ นั จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้ท่ีดีควรมีลกั ษณะ ดงั น้ี 1. มีการกาหนดหัวขอ้ ในแผนการจดั การเรียนรู้ให้มีความสอดคลอ้ งสัมพนั ธ์กนั มีความ กระจ่างชดั เจน ทาใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจง่าย เขา้ ใจไดต้ รงกนั 2. มีการกาหนดจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสอดคลอ้ งกบั เน้ือหาสาระ ความทนั สมยั ทนั ต่อ การ เปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี 3. มีส่ือการสอนท่ีหลากหลายรูปแบบ มีการวดั และประเมินผลตามสภาพจริงดว้ ยวิธีการ ต่าง ๆ เช่น การสัมภาษณ์ การประเมินดว้ ยแฟ้มสะสมผลงาน แบบทดสอบ เป็นตน้ 4. จดั กิจกรรมท่ีเชื่อมโยงความรู้ ประสบการณ์ของผูเ้ รียนกบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน ๆ ใหม้ ีความเหมาะสมกบั ความแตกตา่ งของผเู้ รียน 5. แผนการจดั การเรียนรู้มีความยดื หยนุ่ และสามารถปรับเปล่ียนได้ 6. กาหนดเวลาท่ีใช้ในการสอนให้มีความเหมาะสมกบั เน้ือหาสาระ จดั กิจกรรมให้มี ความเหมาะสมกบั ความแตกตา่ งของผเู้ รียน และสามารถนาไปปฏิบตั ิได้ 7. ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนมีความสามารถในการส่ือสาร การนาเสนอมีส่วนร่วมในการแสดง ความคิดเห็น ความกลา้ แสดงออก 8. สามารถนาผลท่ีไดจ้ ากการเรียนรู้ไปใชใ้ นการดาเนินชีวิตจริงในสงั คมปัจจุบนั ได้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นความสามารถของนกั เรียนในดา้ นตา่ ง ๆ ซ่ึงเกิดจากนกั เรียน ไดร้ ับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูตอ้ งศึกษาแนวทางในการวดั และประเมินผล การสร้างเครื่องมือวดั ให้มีคุณภาพน้ัน ไดม้ ีผูใ้ ห้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนไวด้ งั น้ี
103 จนั ตรา ธรรมแพทย์ (2550, หนา้ 24) ไดใ้ ห้ความหมายว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถด้านสติปัญญาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อมุ่งวดั พฤติกรรมที่พึงประสงคป์ ระกอบดว้ ย ความรู้ความจาเก่ียวกบั การคิดคานวณ ความเขา้ ใจ การ นาไปใช้ และการวิเคราะห์ ซ่ึงผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์น้ีสามารถนาไปเป็ น เกณฑป์ ระเมินระดบั ความสามารถในการเรียนการสอน ไข่มุก มณีศรี (2554, หน้า 57) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสาเร็จในดา้ นความรู้ ทกั ษะ และสมรรถภาพดา้ นต่าง ๆ ของสมองหรือประสบการณ์ที่ได้ จากการเรียนรู้อนั เป็ นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึ กฝนหรือประสบการณ์ตา่ ง ๆ ของแต่ละ บุคคลสามารถวดั ไดโ้ ดยการทดสอบดว้ ยวิธีตา่ ง ๆ กชพร ฤาชา (2555, หน้า 31) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็ นสิ่งท่ีมี ความสาคญั อยา่ งยง่ิ ต่อกระบวนการเรียนการสอนไมว่ ่าจะปรับปรุงเปล่ียนแปลงวิธีสอนอยา่ งไร ก็ตามสิ่งที่พึงปรารถนาของครู คือ การสอนน้นั จะตอ้ งทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สูงข้ึนและส่ิงท่ีใชส้ าหรับวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนส่ิงหน่ึงก็คือ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยน หมายถึง แบบทดสอบที่ใชว้ ดั ความรู้ ทกั ษะ และความสามารถทางวิชาการท่ีผเู้ รียนหลงั จากเรียนมาแลว้ ว่าบรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดมากน้อยเพียงใด แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิจึงเป็ นเคร่ืองมือ สาคญั อยา่ งหน่ึงในการวดั ผลสาเร็จของการจดั กิจกรรมการสอน และวดั ความสาเร็จในการเรียน ของนกั เรียน ประเภทของแบบทดสอบวัดสัมฤทธ์ิทางการเรียน สมนึก ภทั ทิยธนี (2556, หนา้ 73-97) กล่าวว่า แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ประเภทท่ีครูสร้างมีหลายแบบ แตท่ ่ีนิยมใชม้ ี 6 แบบ ดงั น้ี 1. ขอ้ สอบแบบอตั นยั หรือความเรียง (Subjective or Essay Test) ลกั ษณะทวั่ ไป เป็นขอ้ สอบที่มีเฉพาะคาถาม แลว้ ใหน้ กั เรียนเขียนตอบอยา่ งเสรี เขียนบรรยาย ตามความรู้ และขอ้ คิดเห็นของแตล่ ะคน
104 2. ขอ้ สอบแบบกาถูก – ผดิ (True-false Test) ลกั ษณะทว่ั ไป ถือไดว้ า่ ขอ้ สอบแบบกาถูก – ผิด คือขอ้ สอบเลือกตอบที่มี 2 ตวั เลือก แต่ตวั เลือกดงั กล่าวเป็ นแบบคงที่และมีความหมาย ตรงกนั ขา้ ม เช่น ถูก – ผิด, ใช่ – ไม่ใช่, จริง – ไม่จริง, เหมือนกนั – ตา่ งกนั เป็นตน้ 3. ขอ้ สอบแบบเติมคา (Completion Test) ลกั ษณะทวั่ ไป เป็ นขอ้ สอบที่ประกอบดว้ น ประโยคหรือขอ้ ความท่ียงั ไม่สมบูรณ์แลว้ ให้ผูต้ อบเติมคา หรือประโยค หรือขอ้ ความลงใน ช่องวา่ งท่ีเวน้ ไวน้ ้นั เพอื่ ใหม้ ีใจความสมบูรณ์และถกู ตอ้ ง 4. ขอ้ สอบแบบตอบส้ันๆ (Short Answer Test) ลกั ษณะทว่ั ไป ขอ้ สอบประเภทน้ีคลา้ ย กบั ขอ้ สอบแบบเติมคา แต่แตกตา่ งกนั ท่ีขอ้ สอบแบบตอบส้ันๆ เขียนเป็นประโยคคาถามสมบูรณ์ (ขอ้ สอบแบบเติมคาเป็นประโยคหรือขอ้ ความที่ยงั ไม่สมบูรณ์) แลว้ ใหผ้ ูต้ อบเป็ นคนเขียนตอบ คาตอบที่ตอ้ งการจะส้ันและกะทดั รัดไดใ้ จความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็ นการบรรยายขอ้ สอบอตั นัย หรือความเรียง 5. ขอ้ สอบแบบจบั คู่ (Matching Test) ลกั ษณะทว่ั ไป เป็ นขอ้ สอบเลือกตอบชนิดหน่ึง โดยมีคาหรือขอ้ ความแยกออกจากกนั เป็ น 2 ชุด แลว้ ให้ผตู้ อบเลือกจบั คู่วา่ แต่ละขอ้ ความในชุด หน่ึง (ตวั ยืน) จะคูก้ บั คา หรือขอ้ ความใดในอีกชุดหน่ึง (ตวั เลือก) ซ่ึงมีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งใด อยา่ งหน่ึง ตามที่ผอู้ อกขอ้ สอบกาหนดไว้ 6. ขอ้ สอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) ลกั ษณะทวั่ ไป คาถามแบบเลือกตอบ โดยทวั่ ไปจะประกอบดว้ ย 2 ตอน คือ ตอนนาหรือคาถาม (Stem) กบั ตอนเลือก (Choice) ในตอน เลือกน้ีจะประกอบดว้ ยตวั เลือกที่เป็ นคาตอบถูกและตวั เลือกที่เป็ นตวั ลวงปกติจะมีคานวณท่ี กาหนดให้นกั เรียนพิจารณา แลว้ หาตวั เลือกที่ใกลเ้ คียงกนั ดูเผิน ๆ จะเห็นว่าทุกตวั เลือกถกู หมด แต่ความจริงมีน้าหนกั ถูกมากนอ้ ยตา่ งกนั ความพงึ พอใจ โยธิน แสวงดี (2551, หนา้ 9) การวดั ความพึงพอใจเราสามารถวดั ไดโ้ ดยใชเ้ คร่ืองมือวดั ที่เรียกว่า แบบวดั คาว่า แบบวดั น้ีเป็ นคากลางใชแ้ ทนความหมายของเครื่องมือรวบรวมขอ้ มูล ทว่ั ไป ท้งั แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินค่า แบบทดสอบวดั ความรู้ วดั ความถนดั และวดั พฤติกรรม ดงั น้ันในการวดั ความพึงพอใจเราจึงสามารถสร้างแบบสอบถามความพึง
105 พอใจของผูต้ อบไดโ้ ดยอาศยั แนวคิดทฤษฎีสนับสนุน แบบวดั ความพึงพอใจจึงจะมีคุณภาพ สามารถวดั ไดต้ รงกบั ความตอ้ งการ การวดั ความพงึ พอใจสามารถกระทาไดห้ ลายวิธี 1. การใชแ้ บบสอบถามโดยผูส้ อบถามจะออกแบบสอบถาม เพื่อตอ้ งการทราบความ คิดเห็นซ่ึงสามารถทาไดใ้ นลกั ษณะที่กาหนดคาตอบให้เลือก หรือตอบคาถามอิสระ คาถาม ดงั กล่าวอาจถามความพึงพอใจในดา้ นต่าง ๆ เช่น การบริหาร การควบคุมงานเง่ือนไข ต่าง ๆ เป็ นตน้ 2. การสัมภาษณ์ เป็ นวิธีวดั ความพึงพอใจทางตรงทางหน่ึงซ่ึงต้องอาศยั เทคนิคและ วิธีการที่ดีจึงจะทาใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ีเป็นจริงได้ 3. การสังเกต เป็นวิธีการวดั ความพงึ พอใจโดยสงั เกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่า จะแสดงออกจากการพูด กิริยาท่าทาง วิธีน้ีจะตอ้ งอาศยั การกระทาอย่างจริงจงั และ การสังเกต อยา่ งมีระเบียบแบบแผน งานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง งานวจิ ยั ในประเทศ ไพรัช วงศ์ยุทธไกร (2553, บทคดั ย่อ) ไดศ้ ึกษาเร่ือง ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์เพ่ิมเติมสาหรับนักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เพ่ิมเติม ของนักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่าท่ี ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึ กทักษะวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เร่ืองบทประยุกต์ระดับช้ัน มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยนสูงข้ึน ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทักษะวิชา คณิตศาสตร์เพ่ิมเติม เร่ืองบทประยุกต์ ท่ีสร้างข้ึนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83/83.38 สูงกว่า สมมติฐาน 80/80ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์เพ่ิมเติม สาหรับนกั เรียน ท่ีมี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต่า ประเทือง ชนะพนั ธ์ (2552, บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ ึกษา เรื่องผลการพฒั นาแบบฝึกเสริมทกั ษะ คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 เร่ืองอตั ราส่วนและร้อยละ ผลการวิจยั พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียน ภายหลงั ไดร้ ับการสอนโดยใชแ้ บบฝึก เสริมทกั ษะคณิตศาสตร์กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 เร่ืองอตั ราส่วน และร้อยละสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 และนกั เรียนมีความพึงพอใจ
106 ต่อการเรียนรู้ โดยใชแ้ บบฝึ กเสริมทกั ษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 เรื่องอตั ราส่วนและร้อยละอยใู่ นระดบั มาก ดุษฎี ชายภกั ตร์ (2553, บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ ึกษาเร่ือง รายงานการสร้างและพฒั นาชุดฝึกเสริม ทักษะคณิตศาสตร์ เร่ื องอัตราส่วนและร้อยละ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของชุดฝึกเสริมทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ือง อตั ราส่วน และร้อยละ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที 2 ที ผู้รายงานสร้างข้ึน 8 ชุด มีประสิทธิภาพดังน้ี 83.75/82.35, 83.90/82.94, 83.77/80.29, 83.87/81.47, 82.30/81.76, 83.09/82.94, 83.53/81.47 และ81.32/80.59 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนของนกั เรียน เร่ือง อตั ราส่วนและร้อยละ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที 2 จากการ จดั การเรียนรู้โดยใช้ ชุดฝึกเสริมทกั ษะคณิตศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ี ระดบั .01 3) ความพึงพอใจของนกั เรียนที มีต่อการจดั การเรียนรู้โดยใชช้ ุดฝึ กเสริมทกั ษะ คณิตศาสตร์ เร่ือง อตั ราส่วนและร้อยละ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที 2 อยใู่ นระดบั มาก ประภาพร ถิ่นอ่อง (2553, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเร่ือง การพฒั นาแบบฝึ กทักษะวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง การแยกตวั ประกอบของพหุนามดีกรีสอง สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ผลการวิจยั พบวา่ ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทกั ษะ วิชา คณิตศาสตร์เรื่องการแยกตวั ประกอบ ของพหุนามดีกรีสอง สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 พบวา่ มีประสิทธิภาพเท่ากบั 79.17 / 77.78 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดไวค้ ือ 75/75 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ เร่ือง การ แยกตวั ประกอบของพหุนาม ดีกรีสองหลงั การใช้แบบฝึ กทกั ษะ สูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึ ก ทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการแยกตวั ประกอบของพหุนามดีกรีสอง สาหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .01 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการแยกตวั ประกอบของพหุนามดีกรีสอง สาหรับ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3โดยภาพรวม มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก มวลทรัพย์ ปาละวงศ์ (2554, บทคดั ย่อ) ไดศ้ ึกษาเรื่อง การพฒั นาแบบฝึ กทกั ษะ กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เซต ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ผลการวิจยั พบว่า แบบฝึ กทกั ษะ กลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เร่ือง เซต ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ท่ีผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน มีประสิทธิภาพ 77.06/77.13 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐานท่ีต้งั ไว้ 75/75 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการ
107 เรียนรู้คณิตศาสตร์ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษา ปี ที่ 4 ท่ีไดร้ ับการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .01 งานวิจัยต่างประเทศ ฟาร์คาส (Farkas.2002 : 12-43) ไดศ้ ึกษาผลของวิธีการเรียนรู้แบบปกติและการเรียนรู้ โดยใชช้ ุดการเรียนรู้ที่มีการเรียนรู้ดา้ นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเจตคติการเอาใจใส่ในการเรียน และความสามารถในการแปลความหมายของนักเรียนช้ันปี ที่ 7 ผลการศึกษาพบว่าในดา้ น ผลสัมฤทธ์ิชุดการเรี ยนรู้ท่ีมีสื่อหลากหลายทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยนและ ความสามารถในการแปลความหมายดีข้ึน เกย์ และกาแลกเจอร์ (เปตา ก่ิงชัยวงศ์ . 2545 หน้า 23 อา้ งอิงจาก Gay and Gallagher. 1976 : 56-67) ไดศ้ ึกษาเปรียบเทียบระหว่างวิธีสอนโดยใชแ้ บบฝึ กหดั สม่าเสมอในช่วงเวลาการ เรียนการสอน โดยมีการทดสอบย่อยระหว่างการเรียนการสอนในเรื่องเดียวน้นั ๆ กบั การสอน โดยใชแ้ บบทดสอบย่อยระหว่างเรียน มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่านกั เรียนที่เรียนโดยฝึ ก ทกั ษะการทาแบบฝึกหดั เพยี งอยา่ งเดียว อยา่ งมีนยั สาคญั จากการที่ผูศ้ ึกษาคน้ ควา้ ไดท้ าการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั คณิตศาสตร์ หลกั การสอนคณิตศาสตร์ การสร้างแบบฝึกทกั ษะ และกระบวนการแกป้ ัญหาแลว้ ทาใหผ้ ศู้ ึกษา ค้นคว้า มีแนวคิดในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ เร่ื องพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยนวิชา คณิตศาสตร์โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เรื่องการคูณทศนิยม ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ซ่ึง เป็นกระบวนการท่ีจะส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีความสามารถในการคูณทศนิยมไดด้ ียง่ิ ข้ึน
108 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการวจิ ยั การศึกษาวิจัยในคร้ังน้ีเป็ นการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยนวิชา คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึ กทกั ษะ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยผศู้ ึกษาไดก้ าหนดวิธีการดาเนินการศึกษาตามลาดบั ดงั น้ี 1. กรอบแนวความคิดในการวจิ ยั 2. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 3. เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 4. การสร้างเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั 5. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 6. การวิเคราะหข์ อ้ มลู กรอบแนวความคดิ ในการวจิ ยั การศึกษาวิจยั เรื่องพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เรื่องการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 เพื่อสร้างและหา ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทักษะคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 6 ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดย การใช้แบบฝึ กทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน และเพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 6 ต่อการใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม มีแนวคิดใน การวิจยั ดงั น้ี
109 ตวั แปรอสิ ระ (Independent Variables) ตัวแปรตาม (Dependent Variables) แบบฝึกทกั ษะ เร่ืองการบวก 1.ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดว้ ยแบบ ลบ คูณ และหารทศนิยม ช้นั ฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่องการ บวก ลบ คณู และหารทศนิยม ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ประถมศึกษาปี ที่ 6 2.ระดบั ความพงึ พอใจของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ต่อการใช้ แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ือง การบวก ลบ คณู และหารทศนิยม ภาพ 3. 1 ความสมั พนั ธข์ องตวั แปรในการวิจยั คร้ังน้ี ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง ประชากร ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาวิจยั คร้ังน้ี เป็นนกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ภาคเรียน ท่ี 1 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนวดั พชื นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) จานวน 41 คน เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวจิ ยั การศึกษาวจิ ยั ในคร้ังน้ีผวู้ ิจยั ไดใ้ ชเ้ ครื่องมือในการวิจยั ดงั น้ี 1. แผนการจดั การเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ จานวน 12 แผน เวลารวม 22 ชั่วโมง เป็ นแผนการ จดั การเรียนรู้ที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึนเองมีรายละเอียดดงั น้ี
110 ตาราง 1 แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึ กทักษะ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหาร ทศนิยม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี เร่ือง จานวน(ชวั่ โมง) 1. การอา่ นและการเขยี นทศนิยมไมเ่ กินสาม 1 ตาแหน่ง 2. หลกั และคา่ ประจาหลกั 1 3. การเขียนทศนิยมในรูปกระจาย 1 4. การเปรียบเทียบ และการเรียงลาดบั ทศนิยม 1 5. การเขยี นทศนิยมในรูปเศษส่วนและการเขยี น 1 เศษส่วนในรูปทศนิยม 6. การบวกและลบทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง 2 7. การคณู และหารท่ีมีผลลพั ธเ์ ป็นทศนิยมไมเ่ กิน 2 สามตาแหน่ง 8. การหารทศนิยมเม่ือตวั หารเป็นจานวนนบั หรือ 2 เป็นทศนิยมไมเ่ กินสามตาแหน่ง 9. การบวก ลบ คณู และหารทศนิยมระคน 2 10. โจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม 3 ท่ีมีผลลพั ธเ์ ป็นทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง 11. โจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คณู และหารทศนิยม 3 ระคน ท่ีมีผลลพั ธเ์ ป็นทศนิยมไม่เกินสาม 12. ตาแหน่ง 3 การสร้างโจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณ และ หารระคนของทศนิยม 22 รวม
111 2. แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ช้นั ประถมศึกษา ปี ท่ี 6 จานวน 12 เล่ม ซ่ึงประกอบดว้ ย (1) ชื่อเร่ือง (2) คานา (3) สารบญั (4) ข้นั ตอนการใชค้ ูม่ ือ (5) บทบาทครูผู้สอน (6) บทบาทนักเรียน (7) ผลการเรียนรู้/จุดประสงค์การเรียนรู้ (8) แบบทดสอบก่อนเรี ยน (9) ใบความรู้ (10) แบบฝึ กทักษะ (11) เฉลยแบบฝึ กทักษะ (12) แบบทดสอบหลงั เรียน (13) เฉลยแบบทดสอบ (14) บรรณานุกรม และ (15) ประวตั ิผวู้ ิจยั 3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณและหาร ทศนิยม ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ท่ีเรียนโดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ ท่ีผูว้ ิจยั สร้างข้ึนเป็ นแบบทดสอบ ปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 1 ฉบบั จานวน 10 ขอ้ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ต่อการเรียนโดยใช้ แบบฝึกทกั ษะ วชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม แบง่ เป็น 2 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 เป็นแบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ต่อการ เรียนโดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการคูณทศนิยม ในการศึกษาวิจยั คร้ังน้ีผูว้ ิจยั สร้างข้ึนตามวิธีของลิเคอร์ (Likert) โดยใช้รูปแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scalc) 5 ระดบั จานวนท้งั หมด 10 ขอ้ มีเกณฑด์ งั น้ี ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด ใหค้ ะแนน 5 คะแนน ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก ใหค้ ะแนน 4 คะแนน ความพึงพอใจอยใู่ นระดบั ปานกลาง ใหค้ ะแนน 3 คะแนน ความพึงพอใจอยใู่ นระดบั พอใช้ ใหค้ ะแนน 2 คะแนน ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั ปรับปรุง ใหค้ ะแนน 1 คะแนน ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั มากที่สุด ค่าเฉล่ีย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั ปานกลาง คา่ เฉล่ีย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั พอใช้ คา่ เฉล่ีย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั ปรับปรุง
112 ตอนที่ 2 เป็ นขอ้ คาถามให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั การใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยให้นกั เรียน ตอบแบบสอบถามหลงั สิ้นสุดการเรียน โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ การสร้างเครื่องมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั การศึกษาวจิ ยั ในคร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ไดส้ ร้างเครื่องมือในการวิจยั ตามข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี 1. แผนการจดั การเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยม ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ มีข้นั ตอนในการสร้างดงั น้ี 1.1 ศึกษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 และตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลางกลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 1.2 วิเคราะห์ตัวช้ีวัดและสาระการเรี ยนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรี ยนรู้ คณิตศาสตร์ เพ่ือกาหนดขอบข่ายผลการเรียนรู้และกาหนดโครงสร้างของแผนการจดั การเรียนรู้ 22 ชว่ั โมง ภายในระยะ 6 สปั ดาห์ 1.3 จดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหาร ทศนิยม ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใช้แบบฝึ กทักษะ จานวน 12 แผน เวลารวม 22 ช่ัวโมง แผนการเรียนรู้ประกอบดว้ ย ผลการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ภาระงาน/ช้ินงาน ส่ือการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ การวดั และประเมินผล บนั ทึกผลหลงั การจดั การเรียนรู้ โดยในแต่ละชั่วโมง ผูว้ ิจยั จดั การเรียนรู้ 3 ข้นั ตอน ประกอบดว้ ย ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน ข้นั การจดั การเรียนรู้ และข้นั สรุป 1.4 นาแผนการจดั การเรียนรู้ท่ีสร้างเสร็จเรียบร้อยแลว้ เสนอผูเ้ ชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน เพ่ือประเมินค่าดชั นีความสอดคล้องของแผนการจดั การเรียนรู้ซ่ึงมีค่าความสอดคลอ้ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.4.1 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการอ่านและการเขียนทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง สาหรับนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6
113 โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เทา่ กบั 0.93 แสดงวา่ แบบฝึกทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลอง กบั ประชากรได้ 1.4.2 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองหลกั และคา่ ประจาหลกั สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เท่ากบั 0.96 แสดงวา่ แบบฝึกทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.3 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 3 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการเขียนทศนิยมในรูปกระจาย สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เทา่ กบั 0.91 แสดงวา่ แบบฝึกทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.4 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการเปรียบเทียบ และการเรียงลาดบั ทศนิยม สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใช้ แบบฝึ กทกั ษะ เท่ากบั 0.87 แสดงว่าแบบฝึ กทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.5 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 3 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการเขียนทศนิยมในรูปเศษส่วนและการเขียนเศษส่วนในรูปทศนิยม สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เท่ากบั 0.93 แสดงว่าแบบฝึ กทกั ษะมีความเหมาะสม สามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.6 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและลบทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใช้ แบบฝึ กทกั ษะ เท่ากบั 0.91 แสดงว่าแบบฝึ กทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.7 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ื องการคูณและหารที่มีผลลัพธ์เป็ นทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง สาหรับนักเรี ยนช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เท่ากบั 0.87 แสดงว่าแบบฝึ กทกั ษะมีความเหมาะสม สามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.8 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการหารทศนิยมเม่ือตวั หารเป็ นจานวนนับหรือเป็ นทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง สาหรับ
114 นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เท่ากบั 0.93 แสดงวา่ แบบฝึ กทกั ษะมีความ เหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.9 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยมระคน สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบ ฝึ กทักษะ เท่ากับ 0.91 แสดงว่าแบบฝึ กทักษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกับ ประชากรได้ 1.4.10 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองโจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยมที่มีผลลพั ธ์เป็ นทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เท่ากบั 0.93 แสดงวา่ แบบฝึกทกั ษะ มีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.11 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองโจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยมระคน ท่ีมีผลลพั ธ์เป็ นทศนิยมไม่เกินสาม ตาแหน่ง สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เทา่ กบั 0.93 แสดงวา่ แบบ ฝึกทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.4.12 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 3 วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการสร้างโจทยป์ ัญหาการบวก ลบ คูณ และหารระคนของทศนิยม สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชแ้ บบฝึ กทกั ษะ เท่ากบั 0.91 แสดงว่าแบบฝึ กทกั ษะมีความเหมาะสม สามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 1.5 ปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ตามคาแนะนาของผเู้ ช่ียวชาญ 1.6 นาแผนการจดั การเรียนรู้ไปทดลองกบั นกั เรียนประชากร 2. การสร้างแบบฝึกทกั ษะวชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 12 เล่ม ซ่ึงประกอบดว้ ย ชื่อเร่ือง คานา สารบญั ข้นั ตอน การใชค้ ูม่ ือบทบาทครูผสู้ อน บทบาทนกั เรียน ผลการเรียนรู้/จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ แบบทดสอบ ก่อนเรี ยน ใบความรู้ แบบฝึ กทักษะ เฉลยแบบฝึ กทักษะ แบบทดสอบหลังเรี ยน เฉลย แบบทดสอบ บรรณานุกรม และประวตั ิผศู้ ึกษา มีข้นั ตอนการสร้างดงั น้ี
115 2.1 ศึกษาขอ้ มูลพ้ืนฐานและวิเคราะห์หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 และหลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์โรงเรียนวดั พืช นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) 2.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั แบบฝึกทกั ษะ 2.3 ศึกษารายละเอียดของเน้ือหา เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม เพื่อ กาหนดผลการเรียนรู้จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เรียงลาดบั เน้ือหาก่อนและหลงั และจดั ลาดบั ข้นั ตอน ของกิจกรรมการเรียนรู้ 2.4 ดาเนินการสร้างแบบฝึกทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหาร ทศนิยม นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยมีองค์ประกอบดังน้ี (1) ชื่อเรื่อง (2) คานา (3) สารบญั (4) ข้นั ตอนการใชค้ ู่มือ (5) บทบาทครูผูส้ อน (6) บทบาทนักเรียน (7) ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ (8) แบบทดสอบก่อนเรียน (9) ใบความรู้ (10) แบบฝึ กทกั ษะ (11) เฉลย แบบฝึกทกั ษะ (12) แบบทดสอบหลงั เรียน (13) เฉลยแบบทดสอบ (14) บรรณานุกรมและ (15) ประวตั ิผศู้ ึกษา 2.5 นาแบบฝึกทกั ษะเสนออาจารยท์ ี่ปรึกษาตรวจพจิ ารณาเพอ่ื รับขอ้ เสนอแนะและ ปรับปรุง 2.6 ปรับปรุงแกไ้ ขแบบฝึกทกั ษะตามคาแนะนาของอาจารยท์ ่ีปรึกษา 2.7 นาแบบฝึกทกั ษะท่ีสร้างเสร็จเรียบร้อยแลว้ เสนอผเู้ ชี่ยวชาญจานวน 3 ท่านเพอ่ื ประเมินค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแบบฝึกทกั ษะ ซ่ึงมีค่าความสอดคลอ้ งเท่ากบั 0.93 แสดงวา่ แบบฝึกทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไปทดลองกบั ประชากรได้ 2.8 นาแบบฝึกทกั ษะมาปรับปรุงตามคาแนะนาและขอ้ เสนอแนะของผเู้ ช่ียวชาญ 2.9 นาแบบฝึ กทักษะที่สร้างข้ึนไปหาประสิทธิภาพ E1/ E2 กับนักเรี ยนช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ท่ีไม่ใช่ประชากรดงั น้ี 2.9.1 ข้ันหาประสิทธิภาพแบบรายบุคคล (Individual Tryout) ทดลองกับ นกั เรียนโรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 จานวน 3 คนท่ีไมใ่ ช่ ประชากรและยงั ไม่ไดร้ ับการฝึ กดว้ ยแบบฝึกทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ และ หารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ท่ีมีผลการเรียนระดบั เก่ง คือ มีเกรดเฉล่ีย 3.5 -
116 4.0 ปานกลาง คือ มีเกรดเฉล่ีย 2.0 - 3.0 และออ่ น คือ มีเกรดเฉลี่ย 1.0 - 1.5 ซ่ึงผวู้ จิ ยั ไดท้ ดลองให้ นักเรียนเรียนดว้ ยแบบฝึ กทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 สัปดาห์ละ 4 ชว่ั โมง เป็ นเวลา 6 สัปดาห์ รวม 22 ชวั่ โมง โดยจดั กระบวนการเรียนรู้ตามแผนการจดั การเรียนรู้ มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 70.58/74.01 ซ่ึงค่า ประสิทธิภาพที่ไดต้ ่ากว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดจึงทาให้ต้องปรับปรุงแก้ไข แลว้ นาไปทดลองกับ นกั เรียนกลมุ่ เลก็ ต่อไป 2.9.2 ข้นั หาประสิทธิภาพแบบกลุ่มเล็กทดลองกับนักเรียนโรงเรียนวดั พืช นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5 จานวน 10 คน ท่ีไม่ใช่ประชากร และยงั ไม่ไดร้ ับการฝึ กดว้ ยแบบฝึ กทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณและหารทศนิยมของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยดาเนินการเช่นเดียวกับข้ันตอนที่ 1 ทุกประการ มีค่า ประสิทธิภาพเท่ากบั 74.43/71.20 ซ่ึงค่าประสิทธิภาพท่ีไดต้ ่ากว่าเกณฑ์ที่กาหนดจึงทาให้ตอ้ ง ปรับปรุงแกไ้ ข เน้ือหาใหม้ ีความเหมาะสม แลว้ นาไปทดลองกบั นกั เรียนกลุ่มภาคสนามตอ่ ไป 2.9.3 ข้นั หาประสิทธิภาพแบบภาคสนามทดลองกบั นกั เรียนโรงเรียนวดั พืช นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 จานวน 45 คนมีผลการเรียนระดบั เก่ง ปาน กลาง และอ่อนที่ ไมใ่ ช่ประชากรและยงั ไมไ่ ดร้ ับการฝึ กดว้ ยแบบฝึ กทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยกลมุ่ หารประสิทธิภาพ ภาคสนามมีการปรับปรุงตามคาแนะนา ซ่ึงมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.77/83.68 ซ่ึงค่า ประสิทธิภาพที่ไดส้ ูงกวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด แสดงว่าแบบฝึกทกั ษะมีความเหมาะสมสามารถนาไป ทดลองกบั ประชากรได้ 2.10 นาแบบฝึกทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการบวก ลบ คูณ และหารทศนิยม ของ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 นาไปทดลองกบั ประชากร สาหรับข้นั ตอนในการการสร้างแบบฝึกทกั ษะ ขา้ งตน้ ดงั แสดงในภาพท่ี 3.2
117 ศกึ ษาวิเคราะห์หลกั สูตรการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน วิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กำหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ และสาระการเรยี นรู้ วิเคราะหก์ ารวดั และประเมนิ ผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้ จดั ทำแบบฝกึ ทกั ษะ ตรวจสอบโดยผูเ้ ช่ียวชาญ จำนวน 3 คน ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ หนึง่ ต่อหนงึ่ ทดลองใช้ (Try-out) สนาม (3 คน) กลุ่มเลก็ (45 คน) (10 คน) ปรบั ปรุงแก้ไข เตรยี มนำไปใช้งานจรงิ ในการทดลองเพือ่ ยืนยันประสทิ ธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะ ภาพท่ี 3.2 : ข้นั ตอนการสร้างแบบฝึกทกั ษะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116