Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารการเรียนการสอน ศาสนาสากล ม.6

เอกสารการเรียนการสอน ศาสนาสากล ม.6

Published by ราวีญา ซอมัด, 2021-12-29 04:27:29

Description: เอกสารการเรียนการสอน ศาสนาสากล ม.6

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าศาสนศกึ ษาและคณุ ธรรมเพ่อื ชวี ิต รหัสวิชา ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศึกษาและศิลปะ โรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ ศาสนาอสิ ลาม “อสิ ลาม แปลตามรูปศพั ทว า การยอมมอบตนตามประสงคข องพระผูเปนเจาโดยสนิ้ เชิง ผูนบั ถอื ศาสนาอสิ ลามเรียกวา “มสุ ลิม” แปลวา ผูยอมมอบตนตามประสงคข องพระเจา โดยสนิ้ เชิง ประวัตศิ าสดา ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ ทานนบมี ฮุ ํามดั นบี หมายถงึ ผแู ทนของพระอลั เลาะห มฮุ าํ มัด หมายถึง ผไู ดร ับการสรรเสริญ ทา นทานนบมี ฮุ าํ มดั เปน ชาวอาหรับเผาคเู รช เกดิ เม่ือพ.ศ.1113 ทานนบมี ุฮาํ มดั แตง งานกับนางคอดยี ะ นางคอดยี ะเปน กาํ ลงั สาํ คญั ในการประกาศศาสนาของทา นนบีมฮุ ํามัด ทา นไดพ ดู ถงึ ภรรยาของทา นเสมอ วา”เธอเชื่อฉนั ในขณะทีไมมใี ครเช่อื เธอเปน มติ รและเปนเพื่อนคูใ จในขณะทคี่ นทง้ั โลกเปนศตั รตู อ ฉัน” 1

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าศาสนศกึ ษาและคณุ ธรรมเพื่อชวี ิต รหัสวิชา ส40101 สาขาวิชาสงั คมศึกษาและศลิ ปะ โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ คัมภรี สาํ คัญ คมั ภรี สาํ คัญของศาสนาอสิ ลามคือคัมภีรอลั -กุรอาน(Al-Quran) เปน คัมภีรบันทึกคําสอนซง่ึ ชาว มุสลมิ เชื่อวาเปน โองการจากอัลเลาะหโ ดยผานทางทา นนบีมุฮาํ มัด คัมภรี อ ลั -กุรอาน(Al-Quran)วา ดวยหลัก 3 ประการอนั เปน รากฐานของศาสนาอสิ ลามคือ 1. หลักศรัทธาหรอื ความเช่ือในศาสนา เรียกวา อีมาน(Iman) 2. หลกั ปฏบิ ตั หิ รือหนา ท่ีในศาสนา เรียกวา อิบาดะห(Ibadat) 3. หลักคณุ ธรรมหรอื หลกั ความดี เรยี กวาอหิ ซ าน(Ishan) ผูน ับถอื ศาสนาอิสลามทุกคนจะตองมคี วามรใู นหลกั 3 ประการอยา งแทจ รงิ หลกั 3 ประการดงั กลา วมี สาระสาํ คญั ดงั น้ี 1. หลักศรัทธา 6 หรือความเชอ่ื ในศาสนา เรยี กวา อมี าน(Iman) 1.) ศรัทธาตออลั เลาะห มุสลิมจะตอ งเช่อื มั่นวาพระเจามีจรงิ พระอัลเลาะหเ ปน พระเจาองคเ ดยี วและเปน ผทู รง คุณลักษณะ ดงั นี้ * ทรงเปน ผสู รา งทุกส่ิงทุกอยางในเอกภาพ * ทรงเปน ผอู ยตู ลอดเวลา * ทรงดํารงอยู ไมมใี ครสรางพระองค * ทรงสรรพเดช สัพพญั ู * ทรงความยตุ ิธรรม ทรงพระเมตตา * ทรงเปนผูพิพากษาในการตดั สินชวี ติ มนษุ ยใ นวนั สุดทา ยทเี่ รียกวา วันพิพากษา 2.) ศรทั ธาตอบรรดามลาอิกะหห รอื เทวทตู บรรดามลาอิกะหมจี าํ นวนมากมายสดุ จะประมาณไมไ ดท ําหนา ทส่ี นองพระบัญชา อลั เลาะหแตกตา งกัน คณุ สมบตั ิของบรรดามลาอกิ ะห ดังน้ี 2

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศึกษาและคุณธรรมเพ่อื ชวี ิต รหสั วิชา ส40101 สาขาวิชาสงั คมศึกษาและศิลปะ โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานุสรณ * เปนสง่ิ ทอ่ี ลั เลาะหทรงสรา งขึ้นเพอ่ื ทาํ หนาท่ีตางๆตามทีพ่ ระองคก าํ หนด * ไมตอ งการหลบั นอน * จาํ แลงเปน รปู ตา งๆได * ไมม ีบดิ ามารดา บตุ ร ภรรยา * ปฏบิ ตั ิแตคณุ ธรรมลวนๆ * ไมล ะเมดิ ฝา ฝน บัญชาของพระอัลเลาะหเ ลย * ไมกิน ดม่ื ขบั ถาย ไมมีกิเลสตณั หา 3.) ศรัทธาตอบรรดาพระคัมภีร คัมภีรจํานวน 104 เลม ทอี่ ัลเลาะหไ ดป ระทานแกเหลา ศาสนทตู ของพระองค เพอื่ นาํ มา ประกาศเผยแพรแ กป วงประชาชาติใหหนั หา งจากความมดื มนไปสูท างอนั สวา งไสวและเที่ยงตรง 4.) ศรทั ธาตอบรรดารอซูล หรือศาสนทตู มสุ ลิมจะตอ งศรทั ธาวาพระเจา ทรงเลือกบุคคลในหมมู นษุ ยชาตใิ หเ ปน ผูส่ือสาร นาํ บทบญั ญัติ ของพระองคม าส่ังสอนแกมวลมนุษยทุกยคุ ทกุ สมัย ศาสนทูตเปน ผูทม่ี ีศักดศ์ิ รเี หนือกวา มนษุ ยท งั้ หลาย 5.) ศรัทธาตอวนั สิ้นโลก มุสลิมตองศรัทธาวา ในโลกน้ีเปน โลกทีไ่ มจ รี ังยั่งยนื จะตองมวี นั แตกสลาย เมอ่ื ถงึ วันนน้ั มนษุ ยทั้งหมดจะตองไปรวม ณ ทข่ี องอลั เลาะหเพื่อการสอบสวนและการตอบแทน 6.) ศรทั ธาตอกฎกาํ หนดสภาวการณ กฎกําหนดสภาวการณเ ปน กฎทีค่ วบคุมเอกภพหรือธรรมชาติทง้ั หมด ทงั้ น้เี พราะเมอ่ื พระเจา ไดสรางส่งิ ตางๆขึ้นแลว กท็ รงสรา งกฎทจ่ี ะควบคมุ การทาํ งานของส่งิ เหลา นน้ั ใหด าํ เนนิ ไปอยา งเปน ระเบียบจนกวา พระองคจะทรงเปลย่ี นแปลงใหเปน อยางอนื่ 2. หลักปฏิบตั ิ 5 หรอื หนา ท่ีในศาสนา เรียกวา อิบาดะห(Ibadat) มุสลมิ มหี ลักปฏิบตั ิ 5 ประการ คือ 1. การปฏญิ าณตน หัวใจของการเปน มสุ ลิมคอื การกลาวคาํ ปฏญิ าณวา ”ไมม พี ระเจา อน่ื ใด นอกจากอลั เลาะห และมฮุ มั มดั คือศาสนทตู แหงพระองค” 3

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าศาสนศึกษาและคุณธรรมเพอ่ื ชีวติ รหัสวิชา ส40101 สาขาวิชาสงั คมศกึ ษาและศิลปะ โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ 2. การละหมาด 1.ละหมาดซบุ ฮิ ตง้ั แตแ สงอรุณขึ้นจนกระทั่งถึงดวงอาทติ ยขนึ้ 2. ละหมาดซุฮรี เร่มิ เขา ตงั้ แตด วงอาทติ ยค ลอ ยผานจดุ สูงสดุ (solar noon) จนกระท่ังเงาของสง่ิ ใดส่งิ หนง่ึ (อยางเชน ไม หรืออุปกรณอ ื่นๆ) ทอดยาวออกไปเทาตวั 3. ละหมาดอศั รี เร่มิ เมือ่ เงาของสง่ิ ใดสงิ่ หน่งึ ยาวกวา เทาตัวของมนั ไปจนเมื่อดวงอาทติ ยตก 4. ละหมาดมกั รบิ เรมิ่ ต้งั แตดวงอาทิตยต กจนสนิ้ แสงตะวนั 5. ละหมาดอซี า เร่มิ ตง้ั แตแ สงตะวนั ลบั ขอบฟา จนถงึ แสงอรุณเร่มิ เปดฟาขึน้ มาใหม คอื การนมสั การพระเจา การแสดงความเคารพตอพระเจา เปนการปฏบิ ัตเิ พ่อื แสดงความจงรกั ภกั ดีตอพระเจา การสาํ รวมจิตระลกึ ถงึ พระเจา การละหมาดเปน การขัดเกลาจิตใหสะอาด อยูตลอดเวลา นอกจากนี้ยงั เปนการสรา งพลงั ใหเขมแข็ง จะกระทําละหมาดวนั ละ 5 เวลาคอื เวลายา่ํ รงุ 4

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศึกษาและคุณธรรมเพือ่ ชีวติ รหัสวิชา ส40101 สาขาวิชาสงั คมศึกษาและศลิ ปะ โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ เวลากลางวนั เวลาเยน็ เวลาพลบคํา่ เวลากลางคืน เมอ่ื ไดเ วลาทาํ ละหมาด มสุ ลิมจะละหมาดที่ใดก็ไดไ ม จําเปน ตองเปน สเุ หรา หรอื มสั ยดิ แตตองเปน ทส่ี ะอาด ในเวลาทําละหมาดมุสลิมทั่วโลกจะหนั หนา ไปยัง ทิศเดียวกนั คอื ทีต่ ง้ั ของกะบะฮซึ่งเรยี กวากบิ ลดั บุคคลทล่ี ะหมาดไดตองเปนบุคคลทบี่ รรลุนติ ภิ าวะ ทางรางกายแลว คือหญิงตงั้ แตเร่ิมมีประจาํ เดอื น ชายเริ่มตงั้ แตเปน หนุม มสุ ลมิ จะตอ งหมาดทุกวนั จนกวา จะตาย แตม ีขอ ยกเวน สาํ หรบั หญิงขณะมปี ระจําเดอื น และมีเลอื ดออกหลงั คลอด การละหมาดหญงิ ชายตอ งทําใหรางกายสะอาดเสียกอ น การทาํ ความสะอาดเรยี กวาการอาบนาํ้ ละหมาด วิธีอาบนา้ํ ละหมาดทําดงั นี้ * ลางมอื ทั้งสองขา งจนถึงขอมือ * เอาน้าํ บวนปากพรอมกบั ลางรูจมกู 3 คร้งั * ลางหนา 3 ครัง้ ใหท ั่วบริเวณหนา * ลางแขนท้งั สองขาง 3 ครัง้ ตง้ั แตปลายนิ้วถึงขอศอกโดยลางขางขวากอนขางซา ย * เอามอื ขวาชบุ นาํ้ ลบู ศรษี ะ 3 ครั้ง ต้ังแตดา นหนา ถึงดา นหลัง * เอามอื ทั้งสองชบุ นาํ้ เช็ดใบหูทง้ั สองขาง 3 ครัง้ ใหเปย กทั่วทั้งภายนอกภายใน โดยเช็ดพรอมกนั ท้ังสองขา ง * ลา งเทาทง้ั สองขา ง 3 ครง้ั ใหท ัว่ จากปลายเทาถึงเลยตาตมุ โดยลางเทาขวากอ นเทา ซา ย 3.การถอื ศลี อด หมายถึงการละเวน จากการกนิ การด่มื และเพศสมั พนั ธ ตลอดถงึ การรักษา อวยั วะทกุ สว นใหพ น จากการทําความชั่ว ท้งั ดา นกาย วาจา และใจต้งั แตพระอาทติ ยข ึ้นจนพระอาทิตยต ก ในเดือนรอมฎอน เปนเวลา 1 เดอื น มุสลมิ ทีบ่ รรลุนติ ิภาวะทางรางกายทก่ี ลา วไวใ นเร่ืองการละหมาดแลว ทกุ คนตอ งถือศีลอด ยกเวนสําหรับบคุ คลบางประเภทตอ ไปนี้ * คนชรา * คนปว ยหรอื คนสุขภาพไมดี * หญงิ มีครรภท เ่ี กรงวา จะเปน อนั ตรายแกบ ตุ ร 5

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศกึ ษาและคณุ ธรรมเพ่ือชวี ิต รหสั วิชา ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษาและศลิ ปะ โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานุสรณ * บุคคลทีท่ ํางานหนกั เชน กรรมกรแบกหาม * บุคคลทีอ่ ยูระหวา งการเดนิ ทาง * หญิงขณะมรี อบเดอื นและหลังคลอด 4. การบริจาคซะกาด หมายถงึ การจา ยทานบงั คับจากผูม ีทรัพยสนิ ครบรอบหนง่ึ ป แกค นทม่ี ีสทิ ธ์ริ ับบริจาคตามอัตรากําหนดซ่งึ ข้ึนอยูกับประเภทของทรัพยส นิ เปน การขดั เกลาจติ ใจผูบ รจิ าคใหสะอาดบรสิ ุทธิ์ ลดความตระหนีเ่ หนยี ว แนน ความเหน็ แกต วั ใหมคี วามเอ้ือเฟอ เผือ่ แผ เปน การเตือนการสอนใหม นษุ ยไ มต กเปนทาสของวัตถุ ไม เกิดความละโมบ เพ่อื ลดชอ งวางระหวา งชนชน้ั ในสังคมเปนการเสรมิ สรางหลกั ประกนั ของสังคมใหมัน่ คง ขน้ึ สงิ่ ทตี่ องจายออกเปน ซะกาตไดแ กทองคาํ เงินแทง และเงนิ ปศสุ ตั ว พืชผล รายไดจากธรุ กิจการคา ขมุ ทรพั ย นอกจากนี้สงิ่ ทจ่ี ะบริจาคออกไปจะตอ งเปน สิ่งที่ดี การเลอื กสง่ิ ทีไ่ มใช สงิ่ ท่ีไมด ีบรจิ าคออกไป ไมเรยี กวาบริจาคซะกาต การบริจาคตองทําดว ยใจบรสิ ทุ ธ์ิ มใิ ชท ําดวยความเสียดายหรือทาํ เพื่อโออ วด ผูท่ี มสี ทิ ธิร์ บั ซะกาตมี 8 ประเภทดงั น้ี 1.) คนยากจนขดั สน คอื ผูท่หี าไดไ มคอยพอใช เชน กรรมกรทหี่ าเชา กนิ ค่าํ หรอื แม หมา ยที่สามีตาย ตองเลีย้ งลกู กําพราลาํ พังโดยไมมสี มบัติ 2.) คนอนาถา คอื ผูท่ีอยอู ยา งแรน แคน 3.) ผทู ีม่ ีจติ โนม เอยี งเขา รับอสิ ลาม 4.) ใชในการไถทาส 5.) ผทู ่ีมีหน้ีสินลนพนตวั ซึง่ ไมไ ดเกดิ จากอบายมุขหรือความฟมุ เฟอย 6.) ใชใ นวิถีทางของพระเจา เชน สนบั สนุนการศึกษาการสงเคราะหผ ปู ระสบภยั และใน กิจการ 6

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าศาสนศึกษาและคุณธรรมเพอ่ื ชวี ิต รหัสวชิ า ส40101 สาขาวิชาสังคมศึกษาและศลิ ปะ โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ สาธารณะประโยชน เปนตน 7.) คนเดินทางที่ขาดปจ จยั ในการเดินทาง 8.) เจาหนาท่ีของรัฐผทู าํ หนา ทจ่ี ดั เก็บรวบรวมซะกาต 5.การประกอบพธิ ีฮจั ญ คอื การเดินทางไปประกอบศาสนกจิ ณ เมอื งเมกกะประเทศซาอุดิอารเบยี คําวา “ฮจั ญ” หมายถึง การเดนิ ทางไปยงั จดุ มุง หมายเฉพาะอันหนึ่งในแงก ฎหมายอสิ ลาม คํานีห้ มายความ วา ออกเดนิ ทางไปกะบะหห รือบยั ดลุ เลาฮแ ละประกอบพิธฮี ัจญ พิธฮี ัจญเปนศาสนกิจขอ ท่ี 5 ของมุสลิม เปนขอเดียวในหลกั ปฏิบัติ 5 ประการที่ใหปฏิบัตเิ ฉพาะ บคุ คลทีม่ คี สามสามารถเทา นน้ั บุคคลทม่ี ีความสามารถในการไปประกอบพิธฮี ัจญห มายถึง มสุ ลิมทีม่ ี สขุ ภาพสมบรู ณแขง็ แรงท้งั รา งกายและจติ ใจ และเสนทางทจี่ ะเดนิ ไปจะตอ งปลอดภัย นอกจากนจี้ ะตอง เปน ผทู ี่ประกอบศาสนกจิ ขอ อ่ืนๆเชน การละหมาด การถือศีลอด การบรจิ าคซะกาตเสยี กอ น การ ประกอบพธฮี จั ญไ มใชไ ปเพอื่ โออ วดหรือเพอ่ื แสดงความมง่ั คั่งของตน แตเ ปนการไปเพ่ือทดสอบความ ศรทั ธาและความเขมแขง็ อดทน ในปหนึง่ ๆมสุ ลมิ จากทั่วโลกจะเดนิ ทางไปประกอบพธิ ฮี จั ญพรอมกันท่ี เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย ซึ่งเปน สถานที่เดียวในโลกทใ่ี ชป ระกอบพธิ ี พิธจี ะทาํ ในเดือน ซลุ (เดอื นที่ 12 ของฮิจเราะหศ กั ราช)โดยใชเ วลาประมาณ 1 สัปดาห ความมงุ หมายของการประกอบพิธีฮจั ญ 1.)เพ่ือใหมสุ ลิมจากทั่วโลกไดมีโอกาสพบปะสังสรรคกันอันจะกอใหเ กิดสมั พนั ธภาพและ ภราดรภาพ 2.)เพ่ือใหเ กดิ ความเสมอภาคเพราะผูท มี่ าบาํ เพ็ญฮัจญในปหนึง่ ๆจะมเี ชื้อชาติผิวพรรณ ฐานะที่ แตกตา งกัน แตทุกคนตางอยูในชดุ เอ๊ียะหร ามเหมอื นกนั หมดและทําพธิ ีอยา งเดยี วกนั ไมม ีใครมอี ภสิ ทิ ธิ์ ใดๆ 3.)เพ่ือเปน การทดสอบมนษุ ยในดานการเสียสละส่ิงตางๆในหนทางของพระเจา ต้ังแตท รัพยส นิ เงนิ ทองในการใชจ า ย การตอ งละทิง้ บานเรอื น ครอบครวั และญาตพิ ี่นอง 4.)เพือ่ ฝก ฝนและทดสอบความอดทนทงั้ รา งกายและจิตใจ 7

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศึกษาและคุณธรรมเพือ่ ชวี ิต รหสั วชิ า ส40101 สาขาวชิ าสังคมศกึ ษาและศลิ ปะ โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ 5.)ฝก การสาํ รวมตน ละทิ้งอภิสทิ ธต์ิ า งๆเพราะทกุ คนตอ งปฏบิ ตั ติ ามวนิ ัยบัญญัตขิ องพิธฮี จั ญ เหมือนกนั ทั้งหมด เชน งดเวนการลาสตั ว การตดั ตน ไม การรว มประเวณี เปน ตน 6.)เพ่ือใหม สุ ลิมไดรําลึกถงึ ประวตั ิศาสตรข องอสิ ลามและเพ่ือเปนการเพมิ่ ศรทั ธาใหม น่ั คงยง่ิ ขึ้น 7.)เปน การแสดงถงึ เอกภาพของพระผูเ ปนเจาในการทมี่ สุ ลิมจากทัว่ โลกจํานวนนับแสนเดินทางไป รวมกัน ณ ท่แี หงเดยี วกนั ในชดุ แบบเดยี วกนั กระทาํ พธิ อี ยา งพรอมเพรียงกันในทกุ ๆป 3. หลกั คณุ ธรรมหรือหลกั ความดี เรยี กวา อหิ ซาน(Ishan) หลักคณุ ธรรมหรือหลกั ความดี คอื การกาํ หนดวา สิง่ ใดทีค่ วรปฏบิ ัติและสง่ิ ใดทล่ี ะเวน ขอ กําหนด เหลา น้ีปรากฎอยแู ลว ในคัมภรี อลั -กรุ อาน ซึ่งแบง ออกเปนสองตอนคือการกระทาํ ทอี่ นญุ าต เรยี กวา ฮะลาล (HALAL)และการกระทําท่ตี อ งหาม เรียกวา ฮะรอม(HARAM) 3.1 การกระทาํ ท่ีอนุญาต หมายถึง การอนญุ าตใหทาํ ความดี ซ่ึงความดใี นศาสนาอิสลาม หมายถึง ส่งิ ใดกต็ ามทร่ี ะบไุ วใ นคมั ภรี อลั -กรุ อานวา ดี ส่ิงนน้ั ตองดี ไมว าคนท้งั หลายจะเหน็ ชอบดว ยหรอื ไมก ็ตาม ตวั อยางของการกระทาํ ทีจ่ ดั เปนการกระทําท่ดี ีในศาสนาอสิ ลาม เชน * บอกทางใหแ กผ ูห ลงทาง * หยิบสิ่งอนั ตรายออกจากทางเดิน * ไมเ ขา ใกลแ ละดื่มของมึนเมา * ไมเขา ใกลส ง่ิ ลามกอนาจาร * ตอ สถู ามีการกดข่ี * พูดความจริงตอ หนาผูปกครอง * จา ยคาแรงกอ นเหง่อื จะแหง *ไมเปนคนหลงชาตหิ ลงตระกูล *ไมเ ปนคนทาํ บุญเอาหนาหวังช่อื เสยี งตองการใหช อ่ื ของตนไปตดิ อยทู อ่ี าคารใดอาคาร หนงึ่ * การไมกินดอกเบย้ี ไมต ดิ สนิ บน * การแตง งานที่ใชเงนิ นอยและมีความวนุ วายนอยที่สุด * การยกฐานะคนใชใ หมกี ารกนิ อยเู หมอื นกบั ตน 3.2 การกระทําทีต่ อ งหา ม หมายถงึ การหามกระทําความชัว่ ซึง่ ความชว่ั ในศาสนาอสิ ลามหมายถึง ส่ิงใดกต็ ามท่รี ะบไุ วใ นคมั ภรี อ ลั -กรุ อาน วาชวั่ ส่ิงนนั้ ตองช่วั ไมว า คนทัง้ หลายจะเหน็ ดว ยหรอื ไมก็ตาม ตัวอยา งของการกระทาํ ชัว่ ในศาสนาอสิ ลาม * การตง้ั ภาคีหรือยึดถอื นําส่งิ อนื่ มาเทยี บเคยี งอัลเลาะห เชน เงนิ ตรา เกียรตยิ ศ วงศ ตระกลู ชอื่ เสียง ประเพณี แมแ ตอ ารมณก จ็ ะนาํ มาเปนใหญในตวั เองไมไ ด * การกราบไหวบ ชู ารูปปน วตั ถุ ตนไม กอนอิฐ ดวงอาทติ ย ดวงจันทร ดวงดาว แมน าํ้ ภเู ขา หา มกราบไหวผ ีสางเทวดา นางไม หา มเซน ไหวส ิง่ ใดๆทัง้ สนิ้ 8

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศกึ ษาและคุณธรรมเพ่อื ชวี ิต รหสั วชิ า ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศึกษาและศิลปะ โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ * การเชอื่ ในเรอ่ื งดวง ผูกดวง ดหู มอ ตรวจดชู ะตาราศี ดลู ายมือ ถอื โชคลาง เลน เครอ่ื งลางของขลงั * การเลน การพนนั ทกุ ชนดิ เส่ียงทาย เสย่ี งโชค เลนมา ล็อตเตอรี หวยเบอร * การกนิ สตั วท ่ีตายเอง สตั วท ่ีมีโรค กนิ หมู กนิ สัตวท ่นี ําไปเซนไหว สตั วท ี่ถกู รัดคอให ตายโดยทไี่ มไ ดเ ชอื ดใหเ ลือดไหล สัตวท ่เี ชอื ดโดยไมไ ดก ลาวนามอลั เลาะห * การกนิ ดอกเบ้ยี * การดืม่ สรุ าและเสพส่ิงมนึ เมาทกุ ชนิด * การผดิ ประเวณี แมจะเปน ความสมัครใจของท้ังสองฝา ยกต็ าม * การประกอบอาชพี ทไี่ มชอบดว ยศีลธรรมหรอื อาชีพทจี่ ะนาํ ไปสคู วามหายนะ เชน ต้ัง ซอง บาร อาบอบนวด ปลอ ยเงนิ กูโดยวธิ ีเก็บดอกเบยี้ รับซื้อของโจร * การบรโิ ภคอาหารทีห่ ามาไดโ ดยมิชอบ * การกักตุนสนิ คาเพอ่ื นาํ ออกมาขายดว ยราคาสูงเมอ่ื เกดิ ภาวะขาดแคลนอดอยาก * การกระทําใดๆที่เปน การสรางความเดือดรอ นแกตนเอง เพอ่ื นบา น สงั คมและ ประเทศชาติ ลกั ษณะเดน ของศาสนาอิสลาม 1. ศาสนาอิสลามเปน ธรรมนญู ชวี ติ ของชาวมสุ ลมิ ลกั ษณะเดน ของศาสนาอสิ ลามที่แตกตางไปจากศาสนาอน่ื ๆคือ เปนธรรมนูญชีวติ ของชาวมุสลิม เพราะหลักคาํ สอนของศาสนาอสิ ลามมีลักษณะสอดคลอ งกลมกลืนกบั บญั ญตั ิของกฎหมาย การกระทําใดท่ี ผดิ ตอหลักคาํ สอนของศาสนายอ มเปนการละเมดิ ตอกฎหมายดว ย ดวยเหตนุ หี้ ลกั คําสอนของศาสนา อสิ ลามจึงมอี ิทธิพลตอ จิตใจของมสุ ลมิ ทุกคน เปน เครอ่ื งกําหนดพฤตกิ รรม วถิ ีชีวติ และความรสู กึ นึกคดิ ใน ทกุ ดา นของชาวมสุ ลิมตัง้ แตเ กดิ จนวันสุดทา ยของชวี ติ 2. ศาสนาอิสลามเปนทางดาํ เนนิ ชีวิตทส่ี มบรู ณ เม่ือหลักคําสอนของศาสนาอสิ ลามมลี ักษณะสอดคลองกับบัญญตั ขิ องกฎหมาย จึงเปน ทางดาํ เนนิ ชีวติ ท่เี ปนระเบยี บเพยี บพรอ มและสมบรู ณ คําสอนของศาสนาอสิ ลามคลอบคลมุ ในทุกดา นของชวี ิต ไมว า จะเปน เรอ่ื งสวนตวั สวนรวม เร่ืองของวตั ถหุ รอื จิตใจ เศรษฐกจิ หรอื การปกครอง กฎหมาย วฒั นธรรม ตลอดจนเรอ่ื งของประชาชาติ 3. ศาสนาอสิ ลามมีความสมดลุ ระหวา งสทิ ธิของปจเจกบุคคลและสทิ ธสิ ว นรวม ศาสนาอิสลามสรา งความสมดลุ ในเร่อื งสทิ ธสิ ว นตัวของแตละบุคคลกบั สทิ ธสิ ว นรวมคอื การ ยอมรับในสถานะสว นบคุ คลของมนุษยแ ตล ะคน และรบั ประกันสิทธพิ ้นื ฐานของปจ เจกบุคคลโดยไม ยอมรบั การละเมดิ ใดๆตอ สิทธิพนื้ ฐานนี้ หลกั การของอสิ ลามไมเ หน็ ดว ยกบั หลกั การทว่ี า มนษุ ยควร จะตองสูญเสยี สิทธิสว นตวั ของตนใหเปน ของรัฐบาลท้งั หมด 9

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าศาสนศกึ ษาและคุณธรรมเพอื่ ชีวิต รหัสวิชา ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศึกษาและศลิ ปะ โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ 4. ศาสนาอิสลามไมไดแยกวตั ถกุ ับจติ ใจออกจากกัน ลกั ษณะเดน ของศาสนาอสิ ลามอกี ประการหน่ึงคือไมแยกวัตถกุ ับจติ ใจออกจากกนั อยา งส้นิ เชงิ ศาสนาอิสลามไมไ ดอยเู พ่อื การปฏิเสธชีวติ แตม ีอยเู พอ่ื ทาํ ใหช วี ิตครบสมบูรณ ศาสนาอสิ ลามไมไดสอน ใหเชอื่ ในเรื่องบําเพญ็ ตบะและละทง้ิ เพกิ เฉยตอวตั ถุ แตสอนวาคนเราจะมจี ติ ใจสงู สง ก็ดวยการมีชวี ิตอยู อยางเออื้ เฟอ เผื่อแผแมใ นขณะท่ชี วี ติ ประสบกบั มรสมุ ไมใ ชด ว ยการตัดขาดจากโลก 5. ศาสนาอิสลามไมส อนใหม นษุ ยตดิ อยูกับวตั ถุ ศาสนาอสิ ลามไมม ลี ักษณะเปนวัตถุนยิ ม(METERIALISM) ดงั ปรากฎในคมั ภีรว า”ผูส ะสมสมบตั ิ และหมนั่ นบั มนั เนอื งๆ เขาคิดวา สมบัติของเขาจะทาํ ใหเ ขาอยูไดต ลอดไป หาใชเ ชน นั้นไม เขาจะถูกโยน ลงไปในไฟทแี่ ตกเปน พะเนยี ง” 6. ศาสนาอิสลามสงเสริมการสมรส ศาสนาอสิ ลามถอื วาการครองเรอื นคอื การทําใหศ าสนาสมบรู ณ จึงสงเสรมิ การสมรส เงื่อนไขการ สมรสของศาสนาอิสลามตองเปน ความยนิ ยอมของทัง้ สองฝา ย ไมมีการคลมุ ถงุ ชน ศาสนาอสิ ลามอนุญาต ใหผ ชู ายมภี รรยาได 4 คนแตต อ งอยภู ายใตเ งอื่ นไขตอไปน้ี * คาครองชพี เชน คา อาหาร เคร่อื งแตงกาย ทีอ่ ยูอาศัย และคา อน่ื ๆตองจา ยใหอ ยาง ยุติธรรมทีส่ ุด * ไมส รา งความกระทบกระเทอื นใจใหแกภ รรยาคนใดคนหนงึ่ * ไมแสดงอาการใดๆทสี่ อ ใหเ ห็นวามคี วามรกั ตอ คนใดคนหน่ึงมากกวาคนอืน่ ๆ * ยกฐานะภรรยาทุกคนใหเ ทา เทยี มกนั * ตอ งไมม คี าํ วา เมยี หลวง เมยี นอ ย * ตอ งคางคืนกบั ภรรยาเทาๆกนั * ตอ งใหความรักเทาๆกนั 7. ศาสนาอสิ ลามไมส นบั สนนุ การหยา ราง การหยา รางเปน บอ เกดิ ปญหาสงั คม เพราะลูกที่เกิดจากพอ แมทหี่ ยา รา งกันมักกลายเปน เดก็ มี ปญหาเน่อื งจากเด็กมกั ขาดความอบอนุ ในครอบครัว หากสามีและภรรยาคูใ ดมีความจาํ เปน ตอ งหยารา งกนั กส็ ามารถทาํ ได แตต อ งอยใู นเงื่อนไข ดงั น้ี * หามหยา ระหวา งต้ังครรภ * หามหยา ระหวางมอี ารมณโ กรธหรือโมโห * ในการหยา อยา งนอยตอ งมพี ยาน 2 คน * ตองทําการหยา ตอหนาเจา หนาที่ทางศาสนา *หญงิ ทห่ี ยารางหากจะสมรสใหมจ ะตอ งใหม ีรอบเดือนผา นไปถงึ สามคร้งั เพ่ือพิสจู นว า ไมไ ดตัง้ ครรภแ ละยงั เปด โอกาสใหก ลบั มาคืนดกี ันได 10

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าศาสนศึกษาและคณุ ธรรมเพ่ือชีวิต รหัสวิชา ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษาและศิลปะ โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ 8. ศาสนาอสิ ลามหามการบริโภคเนื้อสุกร มุสลมิ บรโิ ภคเน้อื แพะและเนอื้ แกะ ถอื วา เนือ้ สกุ รสกปรกทสี่ ุดในบรรดาเน้อื ทงั้ หลาย เพราะศาสนา อสิ ลามกาํ เนดิ ขึน้ ในดนิ แดนอาหรับซ่ึงพื้นที่สวนใหญเปน ทะเลทราย จงึ เปนแหลงท่ีขาดแคลนนา้ํ เมอ่ื นํา้ เปน สิ่งทห่ี ายาก บรรดาสัตวเ ลีย้ งเชน สุกรและสนุ ัข(มุสลิมรงั เกียจสุนัขดวยเพราะถือวาเปนสตั วสกปรก) เปาหมายของศาสนาอสิ ลาม เปาหมายของศาสนาอสิ ลามมี 2 ระดบั ระดบั ที่ 1 เปาหมายในโลกนี้ เปนเปา หมายเพ่อื ใหตนเองมคี วามสขุ ทง้ั กายและใจ หมดความทกุ ขความหวาดกลวั และ เพื่อใหสังคมมคี วามเปน อยูท ส่ี งบสุข ระดบั ท่ี 2 เปาหมายในโลกหนา คอื การพนจากการถกู ลงโทษและไดเ ขาสวรรคม คี วามสุขตลอดไป อันถอื เปน เปาหมายสูงสดุ วธิ ีการเขา ถึงเปาหมาย คือการทําดีอันเปน การปฏิบัตทิ อี่ ยูใ นขอบเขตหรือวสิ ัยท่มี นษุ ยสามารถปฏิบตั ิได ดงั นี้ * มเี จตนา คอื มคี วามจงใจในการกระทาํ สง่ิ นัน้ โดยเสรไี มถกู บังคบั ตองทาํ ดว ยความจรงิ ใจและเต็มใจ * ไมโ ออวด คอื ตอ งทําดวยความบรสิ ุทธ์ิใจ ไมใ ชทาํ เพอ่ื ใหผูอน่ื เหน็ วาตนไดกระทาํ ดีเพือ่ เปนการโออ วด * ไมหวงั ผลตอบแทน คือการทาํ ความดีตา งๆผกู ระทําตอ งมคี วามบรสิ ุทธ์ใิ จเปน ท่ตี ง้ั ทงั้ น้ีเพราะความดเี ปน ขอ กาํ หนดของพระเจา การกระทําส่ิงใดก็ตามจะตองมีจติ ท่มี งุ ตอพระองคโดยไมห วังสง่ิ ตอบแทนจากผูใดทัง้ ส้นิ * ขัดเกลากิเลสของตน การทาํ ความดใี นระดบั ตางๆเปน การพฒั นาหรือยกระดับจติ ใจใหส ูงข้นึ จนถงึ ขั้นสูงสุด ท่ีมา : 1. ศาสนาเปรยี บเทยี บ รองศาสตราจารย ดร.สจุ ติ รา ออนคอ ม 2. ศาสนาเบื้องตน ศาสตราจารยก ีรติ บุญเจือ 3. สิบเอ็ดศาสนาของโลก พล.อ.ต.ประทปี สาวาโย 4. จรยิ ศาสตร วศนิ อินทสระ 11

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศกึ ษาและคุณธรรมเพอ่ื ชวี ติ รหสั วิชา ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศึกษาและศลิ ปะ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ แบบทดสอบหลังเรยี นเร่อื ง ศาสนาอิสลาม คาํ ชี้แจง แบบทดสอบหลังเรียนเร่ืองศาสนาอสิ ลาม มี 2 ตอน ตอนท่ี 1 เปนขอ สอบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 10 ขอ ตอนท่ี 2 เปน แบบอธบิ าย 3 ขอ ตอนที่ 1 ปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 10 ขอ 12345 6 7 8 9 10 ตอนที่ 1 เปน ขอสอบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 10 ขอ 1. เพราะเหตใุ ดผทู น่ี ับถอื ศาสนาอิสลามหรอื ที่เรยี กวามสุ ลมิ จงึ มคี วามศรัทธาในพระผูเ ปนเจา อยา งแรงกลา 1. เพราะพระผเู ปนเจาเปน ทพ่ี ่ึงเดียวท่ชี ว ยเหลอื ชาวมุสลมิ ได 2. เพราะคําวาอิสลามหรอื มสุ ลมิ ตา งมีความความหมายถงึ การยอมมอบตนตามพระสงคของพระเจาโดย สนิ้ เชงิ 3. เพราะทุกคนตองสญั ญากบั พระผูเปนเจา 4. เพราะศาสนาอสิ ลามมคี วามเครงครดั พอๆกบั กฎหมาย 2. นครเมกกะ ประเทศซาอดุ อิ ารเบีย มคี วามสาํ คญั อยางไรตอศาสนาอิสลามมากทส่ี ดุ 1. เปน บา นเกดิ ของนางคอดยี ะ(Khadija) 2. เปนทําเลท่เี หมาะแกก ารคา ขายอยางยงิ่ 3. เปน แหลง กาํ เนดิ ของศาสนาอสิ ลาม 4 มบี อนา้ํ มนั มาก 3. การละหมาด 5 เวลา ขอใดไมถกู ตอง 1. ย่าํ รงุ 2. กลางวนั 3. บาย 4. พลบคํ่า 4. กุศโลบายของการละหมาดคือขอ ใด 1. รักษาสัจจะ 2. พลานามยั สมบรู ณแ ขง็ แรง 3. ตรงตอ เวลา 4. ซ่อื ตรง 5. ขอใดคอื บคุ คลทหี่ ลักศาสนาอสิ ลามยกเวน ใหไ มตองถือศลี อด 1. คนปว ยหรอื สขุ ภาพไมดี 2. คนทีม่ ีนํา้ หนักตวั เกนิ 3. ผูทท่ี ําหนาทเ่ี ปนผบู รหิ าร 4. ผูทีไ่ มศรทั ธาในพระเจา 6. ตอไปนี้ขอใดเปนผมู สี ทิ ธิ์ในการรับบรจิ าคซะกาต 1. คนทปี่ ระกอบอาชีพทางการเกษตร 2. คนทขี่ าดปจจัยในการเดนิ ทาง 3. คนที่มบี ุตรมาก 4. คนทไี่ มม อี าชีพทีแ่ นน อน 12

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศกึ ษาและคณุ ธรรมเพ่ือชวี ิต รหัสวชิ า ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษาและศิลปะ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ 7. ขอใด ไมใช จุดมุง หมายของการประกอบพธิ ีฮจั ญ 1. ใหช าวมุสลมิ ทว่ั โลกไดพ บสงั สรรคก ัน 2. ทดสอบมนุษยใ นดา นการเสียสละ 3. ทดสอบความอดทนทางรา งกายและจิตใจ 4. ไดเ ขาเฝาพระผูเ ปน เจา 8. หลกั คุณธรรมหรอื หลักความดีของศาสนาอสิ ลาม มอี ยู 2 ประการคอื คาํ ตอบในขอ ใด 1. หลักเมตตากรุณา 2. หลักอนญุ าตใหท าํ ดแี ละหา มทาํ ชั่ว 3. หลักโมกขษะ 4. หลกั ความยตุ ธิ รรม 9. ขอ ใดคอื ลักษณะเดนของศาสนาอิสลามทก่ี าํ หนดวิถชี ีวติ ตง้ั แตเ กดิ จนตาย 1. ศาสนาอสิ ลามเปน ธรรมนญู ชีวิตของชาวมสุ ลิม 2. ศาสนาอสิ ลามหามการบรโิ ภคเน้อื สกุ ร 3. ศาสนาอิสลามไมส นับสนนุ การหยารา ง 4. ศาสนาอิสลามสงเสริมการสมรส 10. ขอ ใดคอื ประโยชนทนี่ กั เรยี นคดิ วาสาํ คญั ทส่ี ุดจากการเขาถึงเปา หมายของศาสนาอสิ ลาม 1. กระทําการใดๆโดยเสรไี มถกู บังคบั 2. ทาํ งานโดยไมหวงั ผลตอบแทน 3. ไมทาํ ความดเี พ่ือเปนการโออวด 4. ทาํ ความดีเพื่อพฒั นาและยกระดบั จิตใจใหสงู ขนึ้ ตอนท่ี 2 เปน แบบอธิบาย 3 ขอ 1.ใหนกั เรยี นบอกหลกั ปฏิบตั ิของศาสนาอสิ ลามและอธบิ ายสน้ั ๆพอเขา ใจ ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… 13

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศาสนศกึ ษาและคณุ ธรรมเพ่อื ชีวติ รหสั วชิ า ส40101 สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษาและศิลปะ โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ 2.ใหนกั เรียนบอกหลกั ศรัทธาของศาสนาอสิ ลามและอธิบายสนั้ ๆพอเขา ใจ ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………1 3.ใหนกั เรยี นบอกหลกั คุณธรรมหรือหลกั ความดีของศาสนาอสิ ลามและอธบิ ายสัน้ ๆพอเขาใจ ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ช่ือ-สกุล.........................................................................เลขท.่ี .............................ชั้นมธั ยมศึกษาปท่ี 4/…… 14

บทที่ 2 ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ขอบเขตเน้ือหา 2.1 ความเปน็ มา 2.2 ศาสดา 2.3 คัมภรี ์ในศาสนา 2.4 หลักคาสอนสาคัญ 2.5 นกิ ายในศาสนา 2.6 พิธกี รรมสาคัญ 2.7 สญั ลักษณ์ของศาสนา 2.8 ฐานะปจั จุบนั ของศาสนา แนวคดิ 1. พัฒนาการของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ ยุคอารยัน ยุคพระเวท ยคุ พราหมณะ และยุคฮินดู 2. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่มีศาสดาผู้ก่อตั้งเหมือนศาสนาอื่นๆ เพราะคาสอน ต่างๆ พวกพราหมณ์หรือฤๅษีผู้ศักดิ์สิทธ์ิได้ยินหรือฟังมาจากพระเจ้าด้วยตนเอง แล้วมีการ จดจาไว้และถ่ายทอดต่อกันทางความทรงจา 3. คัมภีร์สาคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ส่วนท่ี เป็นศรุติ ได้แก่ คัมภีร์พระเวททั้ง 4 คือ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท 2) ส่วนท่ี เป็นสมฤติ ได้แก่ คัมภีร์ที่ปราชญ์ทางศาสนาได้แต่งข้ึนเพ่ืออธิบายเนื้อหาและสนับสนุนให้ การศึกษาคัมภรี ์พระเวทเปน็ ไปโดยถูกต้อง เช่น คัมภีร์อุปนิษัท คัมภีร์มนูศาสตร์ คัมภีร์ปุราณะ คัมภีร์ภควัทคตี า มหากาพยม์ หาภารตะและมหากาพยร์ ามายณะ เป็นต้น 4. หลักคาสอนสาคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ หลักคาสอนเรื่องอาศรม หรือวิธีปฏิบัติของพราหมณ์ 4 ประการ หลักคาสอนเรื่องตรีมูรติ หลักคาสอนเร่ืองปรมาตมัน หรือพรหมันและชีวาตมนั หลักคาสอนเรือ่ งการหลดุ พน้ หรอื โมกษะ 5. นิกายสาคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มี 4 นิกาย คือ นิกายไวษณวะหรือ ไวษณพ นิกายไศวะ นิกายศกั ติ และนิกายตนั ตระ 6. พิธีกรรมสาคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบด้วย กฎสาหรับวรรณะ พธิ ีประจาบา้ น พธิ ศี ราทธ์ และพธิ ีบูชาเทวดา

7. สัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ เครื่องหมาย โอม ที่หมายถึง สัญลกั ษณแ์ หง่ พลงั ท้ัง 3 คือ พระพรหม พระวษิ ณุ และพระศิวะ 8. ขบวนการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ สมาคมพรหมสมาช สมาคม อารยสมาช สมาคมกฤษณะมชิ ช่นั ขบวนการสรโวทยั วัตถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ เม่อื ได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทนแ้ี ลว้ ผ้ศู ึกษาสามารถ 1. อธบิ ายความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดไู ด้ 2. อธิบายคัมภีร์สาคญั ของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูได้ 3. อธบิ ายหลักคาสอนสาคญั ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดไู ด้ 4. อธบิ ายนกิ ายสาคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูได้ 5. อธิบายพธิ กี รรมสาคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดไู ด้ 6. อธิบายสัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดไู ด้ 7. อธิบายฐานะปัจจบุ นั ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้ กจิ กรรมการเรียน 1. การบรรยาย 2. การอภิปรายกลุม่ ย่อย 3. การบนั ทึกการเรยี นรใู้ นแฟม้ สะสมผลงาน ส่อื การสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ใบสรปุ การเรยี นรูป้ ระจาบทที่ 2 3. แฟม้ สะสมผลงาน 4. สอ่ื อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท การประเมินผล 1. ประเมินจากการร่วมทากจิ กรรมกลุ่ม 2. ประเมินจากการสรปุ การอภปิ ราย 3. ประเมนิ จากใบสรปุ การเรยี นรู้และแฟม้ สะสมผลงาน 24 | ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

2.1 ความเปน็ มา ศาสนาพราหมณ์มีวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน นับต้ังแต่การเร่ิม ต้ังถ่ินฐานของชาวอารยันเร่ิมต้ังถิ่นฐานในชมพูทวีป ต่อมาในสมัยหลังพุทธกาล ศาสนา พราหมณ์ได้วิวัฒนาการมาเป็นศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ใหม่ ซึ่งมีหลักคาสอนท่ีผิดแผก แตกตา่ งไปจากตน้ กาเนดิ เดมิ ของศาสนานี้ จงึ นับวา่ ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่มีอายุยาวนาน ที่สดุ ของโลกศาสนาหน่งึ ศาสนาพราหมณ์ -ฮินดูเป็นศาสนาท่ีแตกต่างจากศาสนาอื่นในโลกเพราะเป็ น ศาสนาท่ีไม่มีศาสดาผู้ก่อตั้ง เพราะมีจุดเร่ิมต้นมาจากความเช่ือว่ามีเทพเจ้าผู้มีอานาจเหนือ ธรรมชาติ เป็นผู้สร้างสรรพส่ิง ต่อมาชาวอารยันผู้ทาหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้า ได้สอนหลักการ เรอ่ื งกาเนดิ ของสรรพส่งิ วา่ เทพเจ้าหรือพระพรหม เป็นผู้สร้างสรรพส่ิงในลักษณะต่างๆ ต่อมา สรรพสง่ิ ทีพ่ ระพรหมสรา้ งก็ตกอยู่ภายใตก้ ารควบคุมของเทพเจ้าองค์อ่ืนๆ ด้วย ทาให้มีเทพเจ้า มากมายและทาหน้าที่ต่างๆกันในท่ีสุด ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูจึงกลายมาเป็นศาสนา ประเภทพหุเทวนยิ มในปจั จบุ ัน เนื่องจาก ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาอันยาวนาน ทาให้ แนวความคิดทางศาสนาแตกต่างกันออกไปมาก ดังน้ัน การศึกษาประวัติความเป็นมาและ พฒั นาการของศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู โดยแบง่ ออกเป็นยุคต่างๆ ดังต่อไปนี้ 2.1.1 ยคุ อารยัน เดิมทีเดียวชมพูทวีปหรือดินแดนท่ีเป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน เป็นท่ีอยู่ของ พวกชนพ้นื เมืองเรียกวา่ ฑราวิฑ (Dravidian) ซ่ึงมเี ผา่ ยอ่ ยอกี หลายเผา่ มีรูปร่างเล็ก ผิวดา เช่น เผ่ามองโกลอยด์ เผ่าเปรโตออสเตรลอยด์ และเผ่าเนกริตอย เป็นต้น1 ต่อมาชนชาติใหม่คือ พวกอินโด-ยูโรเปียน (Indo-European) อพยพมาตั้งถ่ินฐานอยู่ตามลุ่มแม่น้าสินธุ จึงเรียกช่ือ ชนชาติใหม่นี้ว่า พวกสินธุ สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเพราะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ลุ่มน้าสินธุ แต่ชนชาติ อนื่ เรยี กเพ้ียนไปเปน็ อินดัส (Indus) บ้าง ฮินดู (Hindu) บ้างและกลายเป็นอินดิยาหรืออินเดีย (India) ในยุคหลังๆ2 เมื่ออพยพมาตั้งถ่ินฐานอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้าสินธุ คงคาและยมุนาแล้ว กป็ รากฏว่าเจรญิ กวา่ คนพืน้ เมือง ชาวอารยันในชมพูทวีปยกย่องธรรมชาติข้ึนเป็นเทพ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า พายุ ฝน เป็นต้น โดยเชื่อว่าความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับอานาจของเทพเจ้า 1สมัคร บุราวาศ, ปรัชญาพราหมณใ์ นสมัยพทุ ธกาล (กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์ ศยามพิทยา, 2554), หนา้ 3-4. 2สุวรรณา สัจจาวีรวรรณ และคณะ, อารยธรรมตะวันออกและตะวันตก (กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พโ์ อเดยี นสโตร์, 2522), หนา้ 63. ศาสนาขั้นแนะนา | 25

ถ้าปรารถนาจะให้หรือไม่ให้เทพเจ้าแสดงฤทธ์ิเดช ก็ต้องอ้อนวอนให้เทพเจ้าอานวยสิ่งที่ตน ปรารถนา จึงเกิดมีพิธีเซ่นสรวง สังเวยและอ้อนวอน และมีบุคคลผู้ทาพิธีดังกล่าว เรียกว่า พราหมณ์ นอกจากเทพเจา้ ที่มอี ยใู่ นธรรมชาติแล้ว ชาวอารยันยังเชื่อว่าบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว ก็มีอานาจเช่นเดียวกับเทพเจ้าด้วยในการที่จะให้คุณและโทษแก่ลูกหลาน จึงต้องสังเวย บวงสรวงเช่นเดยี วกัน นอกจากนีย้ ังเช่อื วา่ พอ่ แม่ที่ไม่มีบุตรจะตกนรกช่ือ ปุตระ ถ้าไม่มีลูกชาย ทาพิธีเซ่นสรวงบูชาดวงวิญญาณของตน ดังน้ัน ลูกชายจึงเป็นที่ปรารถนาของชาวชมพูทวีปมา จนทุกวันน้ี เมื่อชาวอารยันเข้ามาปกครองดินแดนชมพูทวีปแล้ว คนพ้ืนเมืองที่ไม่ยอมอพยพ หนีไปเมื่อพ่ายแพ้สงครามก็จะยอมเป็นทาสของชาวอารยัน เรียกว่า ทัสยุ ส่วนชาวอารยันก็ถือ ตัวว่าเจริญกวา่ คนพ้ืนเมือง จึงไม่อยากจะหนีไปท่ีอ่ืน ทาให้เกิดการปะปนทางเชื้อชาติขึ้น จึงได้ หา้ มไมใ่ ห้มกี ารสมส่กู นั ระหวา่ งชาวอารยันกับชาวพื้นเมือง และสงวนอาชพี สาคญั ๆและมีเกียรติ ไว้สาหรับชาวอารยัน สาหรับชาวอารยันนั้นแบ่งออกเป็น 3 พวกตามตาแหน่งหน้าท่ีซ่ึงมีฐานะ ไม่เท่าเทียมกัน ส่วนชนพื้นเมืองเดิมน้ันมีฐานะต่าท่ีสุด และประกอบอาชีพท่ีชาวอารยันไม่ ปรารถนาแล้ว ในท่ีสดุ จงึ กลายมาเป็นระบบวรรณะ (Caste system) ข้ึนมา3 ได้แก่ 1) วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ ชาวอารยันที่มีหน้าท่ีเล่าเรียนวิชาการ เวทมนตร์ กระทาพธิ กี รรมตา่ งๆ และสง่ั สอนผอู้ ืน่ 2) วรรณะกษตั ริย์ ไดแ้ ก่ ชาวอารยันทม่ี ีหน้าทป่ี กครองและรักษาบ้านเมือง 3) วรรณะไวศยะ ได้แก่ ชาวอารยันท่ีมีอาชีพหน้าที่ในการทากสิกรรม การค้าขาย และเสียภาษี ชาวอารยนั กลุม่ นี้เป็นผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจของสังคม 4) วรรณะศูทร ได้แก่ พวกชนพ้ืนเมืองเดิมที่ถูกกดขี่ และถูกกีดกันในด้านอาชีพ และสังคม ถูกเหยียดหยามวา่ เปน็ พวกทาสหรอื ทัสยุ เพราะไม่มีอาชพี ท่ีจะทา จงึ จาเป็นต้องคอย รบั ใช้พวกอารยนั ได้รบั คา่ จ้างพอยงั ชีพเลก็ ๆน้อยๆ 2.1.2 ยคุ พระเวท : ยคุ สมัยแห่งคัมภรี ์พระเวท ชาวอารยันได้พัฒนาการนับถือเทพเจ้าให้มีระเบียบแบบแผนดีย่ิงขึ้น มีพิธีกรรม ตา่ งๆ มากมายและมคี วามวิจิตรพิสดารมากยิง่ ข้นึ พราหมณ์ผู้ทาพิธีได้รับการยกย่องมากย่ิงข้ึน ในฐานะเป็นผู้ท่ีสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ยุคพระเวทเป็นยุคเร่ิมต้นของวรรณคดีของ ชาวอารยัน เพราะมีการแต่งคัมภีร์ข้ึนโดยพวกพราหมณ์ ซ่ึงเป็นการวบรวมบทสวดอ้อนวอน เทพเจา้ ทใี่ ชก้ ันอยใู่ นวงศต์ ระกลู ขึ้นเป็นหมวดหมู่ เรยี กวา่ เวท หรือวิทยา หมายถึงความรู้ต่างๆ เป็นความรู้จากสวรรค์ท่ีพวกฤาษี ได้ยินได้ฟังมาจากพระพรหม ซ่ึงวิธีการเช่นน้ีเรียกว่า ศรุติ 3เมธา เมธาวิทยกุล, ศาสนาเปรียบเทียบ (กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2525), หนา้ 174. 26 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

คัมภรี ์พระเวทมี 3 หมวดจึงเรยี กวา่ ไตรเพทหรอื ไตรเวท ตอ่ มาในปลายสมัยพราหมณะ มีการ แตง่ เพม่ิ อกี คมั ภีร์หนง่ึ คือ อาถรรพเวท ในสมยั พระเวทยงั ไม่มีตัวอักษร คมั ภรี ์ตา่ งๆจงึ ยังคงเป็นการนาสืบทอดกันมาจาก การท่องจาปากเปล่าสืบๆมา เรียกว่า มุขปาฐะ คัมภีร์พระเวทถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ พระเจ้าประทานลงมา ห้ามคนนอกศาสนาเรียน พวกพราหมณ์ กษัตริย์ และไวศยะเท่าน้ัน ทเ่ี รยี นได้ พวกศทู รเรียนไมไ่ ดเ้ ลย พวกสตรีในวรรณะสงู ทั้งสามกเ็ รียนไม่ได้ ในยุคพระเวทชาวอารยนั นบั ถอื เทพเจา้ 3 กลุ่ม คอื 1) เทพเจา้ บนพ้ืนโลก ได้แก่ พระปฤถวี พระอัคนี พระยม พระพฤหสั บดี เป็นตน้ 2) เทพเจ้าในอากาศ ไดแ้ ก่ พระอนิ ทร์ พระมารุต พระวายุ เปน็ ตน้ 3) เทพเจ้าบนสวรรค์ ได้แก่ พระวรุณ พระอาทิตย์ เทพอี ุษา เทพราตรี เป็นตน้ 4 เทพเจ้าเหล่าน้ีเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ไม่ขึ้นต่อกันและกัน เทพเจ้าท่ีได้รับ การยกย่องมากท่ีสุด คือ พระอินทร์ เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม พระวรุณเป็นเทพเจ้าแห่ง การเกษตร พระพฤหสั บดีเปน็ เทพเจา้ แห่งวชิ าความรู้ 2.1.3 ยุคพราหมณะ : ยุคสมยั แหง่ คัมภรี พ์ ธิ กี รรม สมยั พราหมณะ เป็นสมยั ที่ชนวรรณะพราหมณ์เรอื งอานาจ มีอทิ ธิพลเหนือวรรณะ อ่ืนๆ เพราะเป็นผู้มีอานาจผูกขาดในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ประชาชนให้ความนับถือว่า เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เป็นผู้กาหนดชะตากรรมของประชาชน เพราะเป็นผู้ตีความคาสอนในคัมภีร์พระเวทเอง คนในวรรณะอื่นไม่มีโอกาสได้ศึกษาคัมภีร์ พระเวท การทีพ่ ราหมณ์ได้รับการยกยอ่ งอย่างสูงทาใหพ้ วกพราหมณห์ ลงอานาจ เร่ิมมองคนใน วรรณะอื่นต่าต้อยกว่าตน เพราะเช่ือมั่นว่า พระเจ้าสร้างวรรณะพราหมณ์มาจากพระโอษฐ์ของ พระเจ้าซ่ึงเป็นอวัยวะสูงส่ง และเพราะถือว่า การท่ีจะเป็นพราหมณ์น้ันทาได้ยากมาก ต้องมี คุณธรรมตา่ งๆมากมาย พวกพราหมณ์ยกย่องพระศิวะ และพระนารายณ์ให้มีศักดิ์สูงเสมอกับพระพรหม จึงเรียกว่า ตรีมูรติ มีประเพณี พิธีกรรม และธรรมเนียมต่างๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น การสงวนวรรณะ ไม่ยอมสมสู่คบหาสมาคมกับคนในวรรณะอ่ืนๆ สามีไม่ยอมรับประทาน อาหารกับภรรยา มีลัทธิยกย่องสัตว์บางชนิด เช่น โค ในฐานะพาหนะของพระศิวะ จนเกิด แนวคิดเร่ืองการนาวัตถุท่ีเกิดจากวัว (ปัญจโคมัย) มาเป็นวัตถุมงคลในการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนา นอกจากนย้ี ังนบั ถอื ลงิ และงู อีกดว้ ย ในสมัยนี้เช่ือว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างสรรพส่ิงในจักรวาล พระพรหมได้สร้าง มนษุ ย์โดยแบ่งภาคจากพระองค์เอง ดังน้ี 4หลวงวจิ ิตรวาทการ, ศาสนาสากล เล่ม 2 (กรงุ เทพฯ : อษุ าการพิมพ์, 2546), หน้า 348-349. ศาสนาขัน้ แนะนา | 27

1) พวกพราหมณ์สร้างมาจากปากของพระพรหม ใหม้ ีหน้าท่ีสัง่ สอน 2) พวกกษตั รยิ ์ สรา้ งมาจากแขนของพระพรหม ให้มีหนา้ ทร่ี บ 3) พวกไวศยะสร้างมาจากสะโพก ใหม้ ีหนา้ ทที่ างานหนัก 4) พวกศทู ร สรา้ งมาจากเท้า ใหม้ หี นา้ ท่ีรบั ใช้วรรณะอ่ืนๆ5 เนื่องจากพวกพราหมณ์พากันคิดค้นพิธีกรรมต่างๆมากมาย และแต่ละพิธีก็มี ค่าใช้จา่ ยทาให้ประชาชนพากนั เบือ่ พิธกี รรมไมอ่ ยากปฏิบัตติ าม ยุคน้ีพวกพราหมณ์พากันละทิ้ง การศกึ ษาเลา่ เรียนและขาดคณุ ธรรมของการเปน็ พราหมณ์ หันมากอบโกยผลประโยชน์จากการ ประกอบพิธีกรรมท่ีประชาชนจาใจต้องปฏิบัติตาม เพราะกลัวพระเจ้าจะลงโทษตามคาขู่ของ พวกพราหมณ์ ในปลายสมัยพราหมณะ พวกพราหมณ์ได้แต่งคัมภีร์ขึ้นมาอีกเล่มหน่ึง คือ อาถรรพเวท โดยอาศัยพื้นฐานจากคัมภีร์พระเวทสามคัมภีร์แรก โดยแต่งเป็นคาถาอาคมเพ่ือ สวดทาพิธีให้เกิดอาถรรพ์ต่างๆ นอกจากน้ียังมีคัมภีร์สาคัญอีกคัมภีร์หน่ึง คือ คัมภีร์อุปนิษัท ซ่ึงเป็นอรรถาธิบายเน้ือความในคัมภีร์พระเวท ได้ก่อให้เกิดความเห็นแตกแยกออกไปเป็น ระบบปรัชญาอกี 6 สานกั คือ ปรชั ญาสางขยะ โยคะ มีมางสา นยายะ ไวเศษิกะ และเวทานตะ สรุปได้ว่า ยุคพราหมณะ ชาวอารยันยังคงเช่ือและนับถือเทพเจ้า และเพื่อให้ เทพเจ้าโปรดปรานจึงมีพิธีกรรมการบวงสรวงที่วิจิตรพิสดารมากย่ิงข้ึนทาให้พวกพราหมณ์มี บทบาทสาคัญในการทาพิธีดังกล่าว จนทาให้เป็นวรรณะท่ีได้รับการยกย่องนับถืออย่างมาก ในสังคม ในยุคนี้พระพรหมมีบทบาทมากกว่าเทพเจ้าองค์อ่ืนในฐานะเป็นผู้สร้างสรรพส่ิง ในจกั รวาล 2.1.4 ยคุ ฮนิ ดู : ยุคสมยั การปรบั เปลยี่ นแนวคิดใหม่ สมัยฮินดูเป็นสมัยที่ความเชื่อยังคงเหมือนเดิมเช่นยุคท่ีผ่านมา แต่ความคิดทาง ปรัชญามีความลุ่มลึกข้ึน เป็นแนวความคิดใหม่ เพราะเป็นยุคที่มีการแข่งขันกันระหว่างศาสนา เพราะในยคุ นไี้ ดเ้ กิดศาสนาใหม่ คอื ศาสนาเชนและพุทธศาสนา จนทาให้ศาสนาพราหมณ์ต้อง ปรับกระบวนการในการสอนศาสนาใหม่จนต้องเรียกตนเองใหม่ว่า ศาสนาฮินดู โดยความคิด ในยคุ ฮนิ ดู มีดังต่อไปน้ี 1) โลกเป็นส่วนหน่ึงของพรหมัน ไม่มีความเป็นจริง เป็นเพียงสิ่งที่สะท้อน ออกมาจากพรหมันเท่านน้ั 2) วิญญาณท้ังหลายเกิดมาจากพรหมันหรือพระพรหม แล้วถือกาเนิดเร่ือยไป เพราะกรรม จนกว่าจะบรรลคุ วามหลุดพน้ หรอื โมกษะ ซึ่งเป็นการกลับไปสูพ่ รหมนั น่นั เอง 5เสฐียร พันธรังษี, ศาสนาเปรียบเทียบ, พิมพ์คร้ังท่ี 8 (กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ สขุ ภาพใจ, 2546), หนา้ 62. 28 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

3) ถ้าปรารถนาจะเข้าถึงความหลุดพ้น ต้องละท้ิงการดาเนินชีวิตแบบชาวบ้าน ออกไปอยู่ปา่ เป็นนักบวช 4) คติเร่ืองการสร้างโลก และการสร้างโลกใหม่ของพระเจ้า เพ่ือทาลายระบบ การเวยี นว่ายตายเกดิ ของวญิ ญาณท้ังหลาย เมื่อสร้างโลกใหม่อีก ธาตุต่างๆก็ชุมนุมกันขึ้นใหม่ วิญญาณท้ังหลายซึ่งกลับไปรวมกับพรหมัน ก็จะออกจากพรหมันมาเกิดเป็นสัตว์โลกอีกเป็น การเร่ิมระบบใหม่ จากทกี่ ลา่ วมาข้างตน้ สรุปได้วา่ ศาสนาพราหมณ์เร่มิ ต้นจากลัทธิประจาเผ่าพัฒนา มาเป็นศาสนาประจาเผ่าอารยันซ่ึงอพยพมารบชนะชาวเผ่าพ้ืนเมืองที่เรียกว่า ทราวิฑหรือทัสยุ ได้ขับไล่พวกชนเผ่าเจ้าของดินแดนเดิมออกไปแล้วต้ังถ่ินฐานท่ีอยู่ครอบครองลุ่มน้าสินธุและ คงคาไดผ้ สมผสานความเช่ือของทอ้ งถิ่นใหเ้ ขา้ กบั ความเชอ่ื ของตน ทาให้เกิดแนวความคิดเร่ือง วรรณะ ตอ่ มาในยุคพระเวทเป็นยุคท่ีมีพัฒนาการการนับถือพระเจ้าให้มีระเบียบแบบแผนมาก ย่ิงขึ้นจนกระท่ังเกิดการรวบรวมบทสวดอ้อนวอนพระเจ้าต่างๆ เรียกว่าคัมภีร์พระเวท ในยุค พราหมณะเป็นยุคท่ีวรรณะพราหมณ์มีอานาจสูงสุดเพราะเป็นผู้ผูกขาดการทาพิธีกรรมต่างๆ มีการแต่งคัมภีร์พระเวทข้ึนอีกหน่ึงคัมภีร์คือ อาถรรพเวท และคัมภีร์อุปนิษัทซ่ึงเป็นรากฐาน ของแนวคิดทางปรัชญาที่สาคัญ ในยุคสุดท้ายคือยุคฮินดูเป็นยุคที่ระบบแนวความคิดทาง ปรัชญามีความสุขุมลุ่มลึกย่ิงข้ึนมากกว่าเดิม เป็นยุคที่มีการแข่งขันกันระหว่างศาสนา คือเกิด ศาสนาใหม่ คือ ศาสนาเชนและพุทธศาสนา จนทาให้ศาสนาพราหมณ์ต้องปรับกระบวนการ ในการสอนศาสนาใหม่จนต้องเรียกตนเองใหม่วา่ ศาสนาฮินดู จากที่กล่าวมาขา้ งตน้ สรุปเป็นแผนภมู ิ เพ่อื ความเขา้ ใจงา่ ยดงั น้ี ศาสนาขั้นแนะนา | 29

ยคุ อารยนั (1) ยุคฮนิ ดู (4) พฒั นาการของ ยคุ พระเวท(2) ศาสนา พราหมณ์-ฮนิ ดู ยุค พราหมณะ(3) แผนภูมภิ าพท่ี 2-1 พฒั นาการของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 2.2 ศาสดา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่มีศาสดาผู้ก่อต้ังเหมือนศาสนาอื่นๆ เพราะคาสอน ตา่ งๆ พวกพราหมณห์ รอื ฤๅษีผู้ศักด์ิสิทธ์ิไดย้ นิ หรือฟังมาจากพระเจ้า เรียกว่า ศรุติ ด้วยตนเอง แลว้ มีการจดจาไวแ้ ละถ่ายทอดต่อกนั ทางความทรงจา 2.3 คมั ภรี ์ในศาสนา คัมภรี ส์ าคญั ในศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู แบง่ ออกเปน็ 2 ส่วนดว้ ยกัน คือ 2.3.1 ส่วนที่เป็นศรุติ แปลตามรูปศัพท์ว่า ได้ยิน ได้ฟัง ได้แก่ คัมภีร์ที่ถือว่าได้ ยินได้ฟังมาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง ไม่มีผู้แต่ง เป็นสัจธรรมที่มีความจริงแท้ เพราะเป็น คาสอนของพระเจ้า เป็นประมวลความรู้ต่างๆอันเป็นความรู้ทางศาสนาและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ เป็น บทสวดสรรเสริญอ้อนวอน พิธีกรรมเพื่อการบูชาพระเจ้า เวทมนต์คาถา และกวีนิพนธ์ อันไพเราะ บนั ทกึ ด้วยภาษาสนั สกฤต เรยี กว่า คมั ภีรพ์ ระเวท แบ่งออกเป็น 4 คัมภีร์หรือหมวด เรียกว่า สังหิตา คือ 30 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

1) ฤคเวท เป็นคัมภีร์เก่าแก่ท่ีสุด เป็นบทสวดหรือมนต์สรรเสริญอ้อนวอน พระผู้เปน็ เจา้ บทสวดในคัมภรี ์ฤคเวทเป็นบทร้อยกรอง 2) ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่เป็นคู่มือประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์ ซ่ึงเป็นบท รอ้ ยแกว้ ท่อี ธบิ ายวิธีการประกอบพธิ ีกรรม บวงสรวงและการทาพิธีบชู ายัญ 3) สามเวท เป็นคัมภีร์ท่ีรวบรวมบทสวดมนต์ ซึ่งเป็นบทร้อยกรอง ใช้สาหรับ สวดในพธิ ถี วายนา้ โสมและขับกลอ่ มเทพเจา้ 4) อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นใหม่ในปลายสมัยพราหมณ์ เป็นคาถาอาคม มนต์ขลังศักด์ิสิทธ์ิ สาหรับทาพิธีขับไล่เสนียดจัญไร และอัปมงคลให้กลับมาเป็นมงคล นาความชว่ั รา้ ยไปบงั เกดิ แกศ่ ัตรู คัมภีร์พระเวท แม้จะมีจานวน 4 เล่ม แต่ก็เรียกว่า ไตรเพทหรือไตรเวท เพราะ พวกพราหมณ์ได้แต่งคมั ภรี อ์ าถรรพเวท ขน้ึ มาในภายหลังยุคพระเวท พระเวทแตล่ ะคมั ภรี ์แบง่ ออกเปน็ 2 ภาค เรียกวา่ กาณฑะหรือกัณฑ์ ได้แก่ 1) กรรมกาณฑะ เป็นภาคท่ีมีเน้ือหาเกีย่ วกบั พธิ กี รรมการบชู า 2) ชญาณกาณฑะ เป็นภาคท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับความรู้หรือปรัชญาเก่ียวกับ ความจรงิ สูงสดุ ได้แก่ พรหมนั อาตมนั และโลกทีเ่ ปน็ ส่ิงที่ปรากฏออกมาจากพรหมัน นอกจากน้ี คัมภรี ์พระเวทแตล่ ะคมั ภรี ์ยงั แบง่ ออกเปน็ 4 ตอนเช่นเดียวกัน คือ 1) มันตระ เปน็ สว่ นทร่ี วบรวมมนตรต์ า่ งๆ สาหรับเป็นบทบริกรรมและขับกล่อม อ้อนวอน สดุดเี ทพเจา้ ในพิธีกรรมบชู าบวงสรวง 2) พราหมณะ เป็นบทร้อยแก้ว หรือเรียงความ อธิบายระเบียบการประกอบ พิธีกรรมต่างๆ ไวอ้ ย่างละเอียด 3) อารัณยกะ เป็นบทร้อยแก้ว ใช้เป็นคู่มือการปฏิบัติของพราหมณ์ ที่ต้องการ ดารงชวี ิตเปน็ ผ้อู ยูป่ า่ (วนปรัสถ์) เพ่ือหาความสขุ สงบ ตดั ขาดจากการอยู่ครองเรือน 4) อุปนิษัท เป็นตอนสุดท้ายแห่งพระเวท เป็นส่วนที่เป็นแนวคิดทางปรัชญา อย่างลึกซ้ึง เป็นบทสนทนาโต้ตอบ อธิบายถึงธรรมชาติและจักรวาล วิญญาณของมนุษย์ การเวียนวา่ ยตายเกดิ กฎแหง่ กรรม ส่วนที่เป็นมันตระ และพราหมณะ จัดอยู่ในภาคกรรมกาณฑะ ส่วนอรัณยกะและ อุปนิษทั อยใู่ นชญาณกาณฑะ 2.3.2 ส่วนท่ีเป็นสมฤติ แปลตามรูปศัพท์ว่า สิ่งท่ีจาไว้ได้ จึงเป็นคัมภีร์ที่จดจาและ ถ่ายทอดกันสืบต่อมา ได้แก่ คัมภีร์ที่ปราชญ์ทางศาสนาได้แต่งข้ึนเพื่ออธิบายเนื้อหา และ ศาสนาขน้ั แนะนา | 31

สนับสนุนให้การศึกษาคัมภีร์พระเวทเป็นไปโดยถูกต้อง เช่น คัมภีร์อุปนิษัท คัมภีร์มนูศาสตร์ คมั ภรี ์ปรุ าณะ คมั ภรี ์ภควทั คตี า มหากาพย์มหาภารตะและมหากาพย์รามายณะ เปน็ ตน้ 6 จากทก่ี ล่าวมาขา้ งต้น สรุปเป็นแผนภูมิ เพ่ือความเขา้ ใจง่ายดงั น้ี คมั ภีร์ศรุติ คัมภีรส์ มฤติ 1. ฤคเวท 2. ยชรุ เวท 3. สามเวท แตง่ ขึ้นเพื่ออธิบายเน้ือหาและ 4. อาถรรพเวท สนับสนุนใหศ้ ึกษาคมั ภีรพ์ ระเวท แผนภมู ภิ าพที่ 2-2 คัมภรี ์สาคัญในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู 2.4 หลกั คาสอนสาคญั หลักคาสอนสาคัญในศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู มีดงั ต่อไปนี้ 2.4.1 อาศรม หรอื วธิ ปี ฏบิ ัติของพราหมณ์ 4 คัมภรี พ์ ราหมณะและอรัณยกะ ได้บัญญัติวิถีชีวิตสาหรับบุคคลท่ีจะเป็นพราหมณ์ โดยสมบรู ณ์ โดยกาหนดเกณฑ์อายคุ นไว้ 100 ปี แบง่ ช่วงของการใช้ชีวิตไว้ 4 ตอนๆ ละ 25 ปี ช่วงชีวิตแตล่ ะชว่ งเรียกวา่ อาศรม หรือ วยั มี 4 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1) ขั้นพรหมจรรย์ ในขน้ั ตอนนี้ เดก็ ชายในตระกูลพราหมณ์ กษัตริย์และไวศยะที่มีอายุครบ 8 ปี จะต้องเข้าพิธีอุปานยัน คือ ให้พราหมณ์ผู้ทรงคุณวุฒิสวมสายธุรา หรือยัชโญปวีต เป็นการ ประกาศตนเป็นพรหมจารี เป็นการประกาศตนว่าเป็นนักเรียน หรือแปลตามศัพท์ว่าผู้มีความ ประพฤติประเสรฐิ จนอายคุ รบ 25 ปี พรหมจารมี หี น้าทีด่ ังน้ี 6Warren Matthews, World Religions (USA : Wadsworth Cengage Learning, 2010), p. 69. 32 | ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

(1) ตั้งใจเรียนวิชาการในวรรณะของตน (2) เชื่อฟงั และปฏบิ ัตติ ามคาสั่งสอนของครูอาจารย์ (3) ไมย่ ่งุ เก่ียวกับเรอ่ื งเพศ (4) ไมค่ บกบั เพศตรงกนั ข้าม (5) เมื่อสาเร็จการศึกษาแล้วต้องทาพิธีเกศานตสันสกา (ตัดผม) และพิธี ครุ ุทกั ษณิ ามอบสงิ่ ตอบแทนครอู าจารย์ 2) ขั้นคฤหสั ถ์ ในข้ันตอนนี้ พรหมจารีผู้ผ่านอาศรมที่ 1 แล้ว ก็กลับมาสู่บ้านของตน ช่วย พ่อ-แมท่ างาน แตง่ งานเป็นหวั หนา้ ครอบครัว ประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว ทาการบูชาเทวดา ทุกเช้าค่า ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพเจ้า จึงต้องกระทาแต่ส่ิงที่ดีงาม อยู่ในช่วงอายุ 26-50 ปี 3) ขนั้ วานปรัสถ์ ในข้ันตอนนี้ คฤหัสถ์ผู้ต้องการแสวงหาความสงบสุขทางใจ ก็จะออกจาก ครอบครัวไปอยู่ในป่าบาเพ็ญสมาธิ โดยอาจจะกลับมาสู่ครอบครัวอีกก็ได้ อยู่ในช่วงอายุ 51-75 ปี 4) ขั้นสนั ยาสี ในขั้นตอนน้ี พราหมณ์ที่ปรารถนาความหลุดพ้น เรียกว่า โมกษะ จะออกจาก ครอบครัวไปอยู่ปา่ ออกบวช เพ่ือปฏิบัติธรรมข้ันสูง และไม่กลับมาสู่โลกียวิสัยอีกเลย เม่ือบวช แล้วจะสึกไมไ่ ด้ บาเพ็ญสมาธิแสวงหาความหลดุ พ้น อยู่ในชว่ งอายุต้งั แต่ 76 ปีข้ึนไป7 2.4.2 หลกั คาสอนเรื่องตรีมูรติ เทพเจ้าที่สาคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้แก่ พระพรหม พระศิวะ และ พระนารายณ์ รวมเรียกว่า ตรมี รู ติ เทพเจ้าแตล่ ะองค์มีหนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) พระพรหม พระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพส่ิงทั้งหลายในโลก ในแนวคิดยุคแรกๆ พระพรหมมีลักษณะที่ไม่มีตัวตน แต่ครั้นเวลาต่อมา พวกพราหมณ์ได้พบข้อบกพร่องว่า เม่ือ พระพรหมไม่มีตัวตน ประชาชนเคารพบูชาไม่ได้ พวกพราหมณ์จึงได้กาหนดให้พระพรหมมี ตัวตน มี 4 พักตร์ สามารถมองดูได้ท่ัวทิศ และเพื่อให้ประชาชนได้เคารพบูชา ดังน้ัน ลักษณะ ของพระพรหมจึงเป็นท้ังนามธรรมและรูปธรรม กล่าวคือ พระพรหมท่ีมีลักษณะเป็นนามธรรม นั้น หมายถึงสิ่งท่ีเป็นแก่นแท้ของสรรพส่ิงในจักรวาล ส่วนพระพรหมที่เป็นรูปธรรมเป็น 7เสฐียร พันธรังษี, ศาสนาเปรยี บเทียบ, หน้า 68-70. ศาสนาขั้นแนะนา | 33

เทพเจ้าผยู้ ิ่งใหญ่ เปน็ ผสู้ ร้างโลกและสรรพส่ิง พระพรหมมีพระชายาชื่อพระสรัสวดี ซ่ึงเป็นเทพี แห่งวาจาและการศกึ ษาเลา่ เรยี น เป็นผู้อุปถัมภ์ศลิ ปะวิทยาท้ังปวง 2) พระศิวะ พระศิวะ เป็นเทพเจ้าแห่งการทาลาย มีหลายช่ือ เช่น อิศวร รุทระ และ นาฏราช เป็นตน้ ประทับอยู่ทภ่ี เู ขาไกรลาส มีโคนันทเี ป็นพาหนะ และมีศิวลึงค์เป็นเครื่องหมาย ของพลงั แหง่ การสร้างสรรค์ ลักษณะของพระศิวะเป็นรูปฤๅษี มี 4 กร นุ่งห่มหนังสัตว์ ประทับน่ังบนหนัง เสือโคร่ง ถืออาวุธตรีศูล ธนู และคทาหัวกะโหลกมนุษย์ ห้อยพระศอด้วยประคาร้อยด้วย กะโหลก มีงูเป็นสังวาล พระศอมีสีดาสนิท กลางพระนลาฏมีพระเนตรดวงท่ี 3 ถ้าพระศิวะ ลืมพระเนตรดวงท่ี 3 เมื่อใด ไฟจะไหม้โลกเมื่อน้ัน เหนือพระเนตรดวงท่ี 3 มีรูป พระจันทร์คร่งึ ซกี พระศิวะมีพระชายาช่ืออุมา ซ่ึงมีหลายลักษณะและมีรายชื่อเรียก เช่น ปารวตีเทวี ผู้เป็นธิดาแห่งหิมวัตหรือหิมาลัย ทุรคาเทวีผู้เป็นเจ้าแม่แห่งสงคราม และกาลีเทวีผู้มีกายสีดา เป็นต้น 3) พระวษิ ณุหรือพระนารายณ์ พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เป็นเทพเจ้าผู้รักษาและคุ้มครองโลกให้เป็นสุข พระนารายณ์เป็นเทพเจ้าที่มีพลังทางทานุบารุงโลก เม่ือเวลาใดโลกเกิดยุคเข็ญ เม่ือเวลานั้น พระนารายณจ์ ะเสดจ็ ไปช่วยบาบัดทกุ ข์ ปราบยคุ เข็ญ เรยี กว่า อวตาร พระนารายณ์ประทับอยู่ในเกษียรสมุทร มีพระยาอนันตราชเป็นบัลลังก์ ทรงครุฑ เป็นพาหนะ มีพระชายาชื่อ ลักษมี ผู้เป็นเทพีแห่งความงาม ผู้อานวยโชคลาภ ความมั่งคั่ง และ ผู้มีใจเมตตาปราณี เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นวามน ปรศุราม และพระราม พระชายาลกั ษมีก็เสดจ็ ลงมาเป็นนางปทุมาหรอื กมลา นางธรณี และนางสดี าตามลาดับ พระนารายณ์จะอวตารลงมาจากสวรรค์และเกิดเป็นสัตว์หรือมนุษย์ต่างๆ เพ่ือ ช่วยเหลอื โลกเรียกว่า นารายณอ์ วตาร จานวน 10 ปาง ดงั ต่อไปนี้ (1) มัตสยาวตาร ลงมาเกิดเป็นปลา เพ่ือปราบยักษ์ชื่อ หยครีวะ ซ่ึงทาให้มนุษย์ หลงผิดจนเกิดน้าท่วมโลก (2) กูรมาวตาร ลงมาเกิดเป็นเต่าในเกษียรสาคร (ทะเลน้านม) ให้หลังรองรับ ภูเขาช่ือ มันทาระ เทวดาใช้ลาตัวพญานาคมาต่อกันทาเป็นเชือกผูกภูเขาเพ่ือใช้เป็นสายโยง สาหรบั ดงึ ภูเขาให้เคล่อื นไหว เพ่อื กวนนา้ ในมหาสมทุ รจนกลายเปน็ นา้ อมฤต (3) วราหาวตาร ลงมาเกดิ เป็นหมูป่า เพื่อปราบยักษ์ หิรัณยากษะ ผู้จับโลกกดให้ จมนา้ ทะเล โดยใช้เข้ียวดุนให้โลกพน้ น้า สตั ว์โลกจงึ ไดเ้ กดิ มา 34 | ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

(4) นรสิงหาวตาร ลงมาเกิดเป็นสัตว์คร่ึงคนครึ่งสิงห์ เพ่ือปราบยักษ์ชื่อ หิรัณยกศิปุ ผูไ้ ด้พรจากพระพรหมวา่ จะไมม่ ีใครฆา่ ให้ตายได้ จึงก่อความเดือดร้อนทวั่ 3 โลก (5) วามนาวตาร ลงมาเกิดเป็นคนค่อมผู้มีฤทธิ์ เพ่ือปราบยักษ์ชื่อ พลิ มิให้มี อานาจครองโลกทง้ั สาม และไดไ้ ล่ยักษพ์ ลิใหไ้ ปอยู่ใตบ้ าดาล (6) ปรศุรามาวตาร ลงมาเกิดเป็นรามผู้มีขวานเป็นสัญลักษณ์ เป็นบุตรของ พราหมณ์ พยายามปอ้ งกันไม่ใหก้ ษตั รยิ ์มอี านาจเหนือวรรณะพราหมณ์ ได้ชาระโลกถึง 21 คร้ัง เพื่อทาลายกษตั รยิ ์ (7) รามาวตาร ลงมาเกิดเป็นพระราม (รามจันทร์) ในมหากาพย์รามายณะ เพอ่ื ปราบทา้ วราพณห์ รือทศกณั ฐ์ (8) กฤษณาวตาร ลงมาเกิดเป็นพระกฤษณะ ผู้มีผิวกายดา เป็นสารถีขับรถศึกให้ อรชุนเพื่อปราบคนชว่ั ในมหากาพยม์ หาภารตะ (9) พุทธาวตาร ลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ประกาศหลักธรรมช่วยมนุษย์ให้พ้น ทุกข์ซึ่งเป็นการปฏิรูปคาสอนของศาสนาพราหมณ์ เหตุผลที่ศาสนาฮินดูดึงเอาพระพุทธเจ้ามา เปน็ อวตารปางหนึง่ ของพระนารายณน์ น้ั นับเปน็ การกลนื พระพุทธศาสนาอีกวิธีหนึ่ง (10) กัลกยาวตาร หรืออัศวาวตาร ลงมาเกิดเป็นบุรุษอาชาไนยหรืออัศวิน ผ้ขู ีม่ า้ ขาว (กลั กี) ถือดาบอันมีฤทธ์ิมีแสงแปลบปลาบดังดาวหาง เพ่ือปราบคนชั่วและสถาปนา ระบบธรรมะขึน้ ใหมใ่ นโลก8 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเช่ือว่า โลกมีการเกิดข้ึน ตั้งอยู่ และสลายไปในท่ีสุด การบูชาเทพเจ้าท้ัง 3 องค์เหล่าน้ีเป็นลักษณะของบุคลาธิษฐาน เป็นการบูชาเพื่อให้รู้แจ้ง สภาวธรรม 3 ประการ น่ันคอื การเกดิ ขึน้ ตง้ั อยู่ และสลายไปของโลกน่ันเอง 2.4.3 หลกั คาสอนเรอ่ื งปรมาตมันหรือพรหมนั และชีวาตมนั ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เช่ือวา่ ปรมาตมัน บางครง้ั เรยี กวา่ พรหมัน ปรมาตมันกับ พรหมจึงเป็นสิ่งเดียวกัน มีฐานะเป็นวิญญาณด้ังเดิมหรือความจริงสูงสุดของโลกและสรรพส่ิง ในโลก เพราะสรรพส่ิงมาจากปรมาตมันหรือพรหมัน ดารงอยู่ และในที่สุดก็จะกลับคืนสู่ ความเปน็ หนึ่งเดยี วกบั ปรมาตมนั หรอื พรหมนั ปรมาตมันหรอื พรหมัน เป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นเอง ไมม่ รี ูปรา่ งปรากฏ มอี ย่ใู นสง่ิ ทัง้ หลาย ท้ังปวง เป็นศูนย์รวมแห่งวิญญาณท้ังปวงเป็นความจริงแท้หรือสัจธรรมเพียงสิ่งเดียว ส่วนโลก และสรรพส่ิงล้วนเป็นส่ิงที่ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงมายาหรือภาพลวงตาท่ีมีอยู่เพียงชั่วคร้ังคราว เทา่ นน้ั 8สชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ, ประวัติศาสตรศ์ าสนา, พิมพค์ รั้งที่ 10 (กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์ รวมสาส์น, 2541), หนา้ 291-292. ศาสนาขัน้ แนะนา | 35

ส่วนชีวาตมัน เป็นตัวตนย่อย หรือวิญญาณที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรอื สัตว์ วญิ ญาณของมนุษยแ์ ละสรรพสัตวย์ ่อมเกิดมาจากวิญญาณสากลคือปรมาตมันหรือพร หมัน เมื่อวิญญาณท่ีออกมาจากปรมาตมันหรือพรหมันแล้วต้องเข้าไปสิงสถิตอยู่ในรูปแบบ ต่างๆของส่งิ มชี วี ติ นบั ชาติไมถ่ ้วนและต้องมีลกั ษณะสภาวะท่ีไม่เหมือนกันจนกว่าจะเข้าถึงความ หลุดพ้น กระบวนการน้ีเรียกว่า การเวียนว่ายตายเกิดหรือสังสารวัฏ ดังน้ัน การที่อาตมันหรือ ชีวาตมันย่อยนี้เข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมัน จึงจะเรียกว่า การพ้นจากทุกข์ ไม่มีการ เวยี นว่ายตายเกดิ อกี ต่อไป 2.4.4 หลกั คาสอนการหลุดพ้นหรือโมกษะ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่า วิญญาณเป็นอมตะจึงไม่ตายตามร่างกาย การตาย เป็นเพียงวิญญาณออกจากร่างกาย เพราะร่างกายเดิมไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ วิญญาณก็จะไป ถือเอาร่างใหม่ หรือท่ีเรียกว่า เกิดใหม่ ดุจคนสวมเสื้อผ้าท่ีเก่าคราคร่า ไปหาชุดใหม่สวมใส่ เรียกว่า สังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่าไปตราบท่ียังไม่บรรลุความหลุดพ้น หรือโมกษะ ชาวฮินดูเช่ือว่า โมกษะเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต ผู้เข้าถึงโมกษะจะไปอยู่กับพระพรหม ชั่วนิรันดร ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตายเกิดอีกต่อไป การปฏิบัติเพ่ือบรรลุโมกษะนั้น มีหลักปฏิบัติ 4 ประการ คอื 1) กรรมมรรค (กรรมโยคะ) คือ การปฏิบัติด้วยการประกอบการงานตามหน้าท่ี ด้วยความขยันขันแข็ง ทางานด้วยจิตใจสงบ ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ผู้ปฏิบัติเรียก กรรมโยคนิ 2) ชยานมรรค (ชยานโยคะ) คือ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงว่า ว่า ปรมาตมันเป็นสิ่งเดียวท่ีมีอยู่ วิญญาณท่ีมีอยู่ในแต่ละบุคคล (ชีวาตมัน) เป็นอันหนึ่ง อนั เดยี วกันกับปรมาตมันหรอื วิญญาณสากล 3) ภักติมรรค (ภักติโยคะ) คือ ความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าที่ตนเคารพนับถือ ผู้ปฏิบัติเรียกว่า ภกั ติโยคิน 4) ราชมรรค (ราชโยคะ) คอื การปฏบิ ตั ิเก่ยี วกบั การฝกึ ทางใจ บังคบั ใจให้อยู่ใน อานาจด้วยการบาเพ็ญโยคะ ผปู้ ฏบิ ตั ิเรยี กว่า ราชโยคิน9 จากทีก่ ลา่ วมาขา้ งตน้ สรุปเป็นแผนภมู ิ เพ่อื ความเขา้ ใจง่ายดงั น้ี 9Warren Matthews, World religions, p. 80-83. 36 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

หลักคาสอน ขนั้ พรหมจรรย์ อาศรมหรอื วธิ ปี ฏบิ ัติของพราหมณ์ ข้ันคฤหสั ถ์ ขนั้ วานปรสั ถ์ ตรมี ูรติ ขั้นสันยาสี ปรมาตมนั หรือพรหมัน และชีวาตมัน พระพรหม พระศิวะ พระวิษณุหรอื พระนารายณ์ การหลุดพน้ หรือโมกษะ แผนภูมภิ าพที่ 2-3 หลกั คาสอนสาคญั ในศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู 2.5 นิกายในศาสนา นกิ ายในศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู มีอยู่ 4 นกิ ายใหญ่ๆ มรี ายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี 1) นกิ ายไวษณวะ หรอื ไวษณพ ผู้ก่อตั้งนิกาย คือ ท่านนาถมุนี ดาเนินการเผยแผ่ลัทธิอยู่ทางภาคใต้ของ อินเดีย เป็นนิกายที่บูชาพระวิษณุหรือพระนารายณ์ เชื่อการอวตารหรือการลงมาเกิดเพื่อ ช่วยเหลือมวลมนุษย์ของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ เช่น การอวตารลงเป็นพระรามใน มหากาพย์รามายณะ เป็นพระกฤษณะในคัมภีร์ภควัทคีตา และเป็นพระพุทธเจ้า เป็นต้น นิกายนี้เน้นหนักการนับถือในพระวิษณุหรือพระนารายณ์ว่าสาคัญกว่าเทพเจ้าองค์อ่ืน หน้าที่ ของพระนารายณ์ไม่ใช่เพียงรักษาโลกให้ดารงอยู่เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สร้างและผู้ทาลายโลก ศาสนาขน้ั แนะนา | 37

อกี ดว้ ย นกิ ายนจ้ี ึงเป็นเอกนิยม นบั ถอื พระวิษณเุ พียงองค์เดียว ยุบเอาลักษณะและความเช่ือใน พระเจา้ ท้งั 3 มารวมไว้ในพระวษิ ณุองค์เดยี ว ในพุทธศตวรรษที่ 19 นิกายไวษณวะ ได้แยกแยกออกเป็น 2 สาขาใหญ่ คือ เตงกไล ซ่ึงเป็นนิกายฝ่ายใต้ กับ วฑกไล ซ่ึงเป็นนิกายฝ่ายเหนือ10 นอกจากนี้ยังแตกแยก ออกเปน็ นิกายย่อยอกี 3 นกิ าย คือ (1) นิกายรามานุช มีสัญลักษณ์ประจาคือ มีดิลก (จุด) และเครื่องหมายเป็น ขีดเสน้ สขี าว 2 เส้นท่ีหนา้ ผาก โดยขีดจากตีนผมลงมาจรดคิว้ และมีเส้นขวางที่ดัง้ จมูก (2) นิกายมาธวะ มีความเชื่อว่า ส่ิงที่เกิดจากส่ิงท่ีไม่มีอยู่จริง ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกสิง่ ทุกอยา่ งตอ้ งมีแหล่งกาเนิดของมนั (3) นิกายวัลลภะ ไม่ถือการบาเพ็ญพรตและการทรมานตนเหมือนนิกายอ่ืน นิกายนเ้ี ขยี นหน้าผากเป็น 4 แบบ คอื 1) ขดี เสน้ คู่ 2 ข้าง แต้มจุดหรือดิลกตรงกลาง 2) เขียน เป็นรูปเกือกม้าแต้มจุดหรือดิลกตรงกลาง 3) เขียนเป็นรูปเกือกม้าและขีดเส้นตรงเส้นหนึ่ง ตรงกลาง 4) เขยี นเป็นรปู ไข1่ 1 2) นกิ ายไศวะ นิกายน้ีถือว่า พระศิวะเป็นผู้สร้างโลก เป็นแก่นแท้ของจักรวาล การนับถือของ นิกายนม้ี ี 2 ลกั ษณะ คอื (1) นับถือและบูชาลิงคะ หรือ ศิวลึงค์ คือ เครื่องหมายเพศบุรุษ เป็นเครื่อง แทนพระศวิ ะในฐานะเปน็ ผู้สรา้ งโลกและสรรพส่ิง (2) นับถือและบูชาโคนันทิ ซ่ึงเป็นพาหนะของพระศิวะ เป็นผู้ให้น้านมและเน้ือ แก่มนุษย์ เปรยี บเหมอื นเปน็ มารดาของคนอนิ เดีย เปน็ สัตวศ์ ักด์สิ ทิ ธ์ิของชาวฮนิ ดู สัญลักษณ์ของคนที่นับถือนิกายน้ี คือ การใช้ข้ีเถ้าของขี้วัวเขียนหน้าผากเป็นเส้น และจดุ ดลิ ก 4 แบบ คอื 1) ขดี เสน้ ที่หน้าผาก 2 ขีด แต้มดิลกข้างใต้ 2) เขียนเส้น 3 ขีด แต้ม ดลิ กใหญต่ รงกลาง 3) เขยี นเป็นรูปสี่เหลี่ยม 4) เขียนเป็นรูปพระจันทร์คร่ึงเส้ียวแต้มดิลกตรง กลาง12 10สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ, ประวตั ิศาสตร์ศาสนา, หน้า 288. 11เมธา เมธาวทิ ยกุล, ศาสนาเปรียบเทียบ, 187. 12เรอ่ื งเดยี วกัน 38 | ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

นิกายไศวะน้ี ภายหลังแตกแยกออกเปน็ นกิ ายย่อยใหญๆ่ 2 นกิ าย13 คือ 1) นิกายกาศมีรไศวะ หรือ กัษมีไศวะ เป็นนิกายฝ่ายเหนือ เกิดข้ึนในแคว้น แคชเมยี ร์ เช่ือว่า พระศวิ ะเปน็ เทพเจ้าสงู สดุ องค์เดียว และทรงแฝงอย่ใู นสรรพสง่ิ 2) นิกาย ลิงคายัต เป็นนิกายฝ่ายใต้ มีศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์ ก่อต้ังโดย ท่านลกลุ ศี ะซงึ่ นกิ ายนเ้ี ชอื่ กนั วา่ เปน็ พระมเหศวร คอื การอวตารเป็นครงั้ สุดท้ายของพระศวิ ะ 3) นกิ ายศักติ คาว่า ศักติ แปลว่า ความสามารถ อานาจ พลัง ความสูงส่ง บุคคลผู้มีพลัง ดังกล่าวคือเทวีหรือเทพเจ้าผู้หญิง นิกายนี้จึงนับถือมเหสีของมหาเทพทั้ง 3 องค์ การนับถือ ศักติหรือมหาเทวีไม่ได้แยกออกเป็นนิกายเอกเทศ แต่แฝงอยู่ในนิกายไศวะ และไวษณวะ น่นั เอง กลา่ วคือ ในนกิ ายไศวะกน็ บั ถอื พระชายาของพระศิวะซงึ่ มเี พียงองค์เดยี วแตม่ หี ลายช่ือ14 เช่น อุมา กาลี ทุรคา เป็นต้น ส่วนนิกายไวษณวะก็นับถือพระนางลักษมีซ่ึงเป็นพระชายาของ พระวิษณุหรือพระนารายณ์ นิกายท่ีนับถือพระพรหมก็นับถือพระนางสรัสวดีซ่ึงเป็นมเหสีของ พระพรหม เป็นตน้ แต่โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่จะนับถือพระนางอุมาย่ิงกว่าเทพีองค์อื่นๆ เพราะ พระนางเป็นมเหสีของพระศิวะซึ่งเป็นเทพเจ้าที่คนเกรงกลัว ดังนั้น พระนางอุมาจึงมี พระนามหลายอย่าง คู่กับพระศิวะ เช่น มหาเทวี คู่กับมหาเทพ โยคินี คู่กับมหาโยคีชคันมาตรี (มารดาของโลก) คู่กับอิศวร ทุรคา หรือไภรวีคู่กับไภรวะ (ผู้น่ากลัว) กาลี (ผู้ทาลาย) คู่กับ มหากาล เปน็ ต้น15 การบูชาของนิกายศักติแปลกกว่าการบูชาของนิกายอ่ืนๆ เช่น ตัดคอแพะบูชา เจ้าแมก่ าลี หรือการประกอบพธิ กี รรม นกิ ายศกั ตแิ บง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ (1) ทกั ษณิ าจารี คือ พวกบชู าด้านขวา หมายถงึ ผูน้ บั ถือนิกายศักติท่ีบูชาพระศิวะ พระวิษณุ พระกฤษณะและพระชายาในฐานะเป็นมหาเทพ ไม่ใช่ด้วยความพึงพอใจต่อพระเทวี ในแงก่ ามารมณ์ มีการทาพธิ ีอยา่ งเปดิ เผย สุภาพ ไม่ลามกอนาจาร ตามคาสอนในคมั ภรี ์ปรุ าณะ (2) วามาจารี คือ พวกบูชาด้านซ้าย หมายถึง ผู้นับถือนิกายศักติที่บูชา พระนางทรุ คามากกว่าพระศิวะ บูชาพระนางราธามากกว่าพระกฤษณะ และบูชาพระนางลักษมี มากกว่าพระวิษณุ นิกายนี้บูชาพระเทวีทุรคาไม่ใช่ในฐานะพระชายาของมหาเทพ แต่ในฐานะ พระเทวีที่เป็นประธานในการร่วมเพศ และพิธีให้เกิดฤทธ์ิเดช การบูชาต้องทาพิธีในที่ลับ 13สชุ ีพ ปุญญานุภาพ, ประวัติศาสตร์ศาสนา, หนา้ 293. 14เสฐยี ร พันธรังษี, ศาสนาเปรียบเทยี บ, หนา้ 89. 15สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ, ประวตั ิศาสตรศ์ าสนา, หน้า 387-389. ศาสนาข้นั แนะนา | 39

ตามพิธที เี่ รยี กวา่ ปัญจมการ หรือ ม 5 ประการ คือ 1) มัทยะ หรอื มัชชะ คือ นา้ เมา 2) มางสะ คอื เนือ้ สัตว์ ตลอดท้ังมัตสยะ เน้ือปลาสด 3) มันตระ คือ บทสวดที่จะทาให้เกิดความกาหนัด 4) มทุ ระ คือ การแสดงท่ายั่วยวน และ 5) ไมถุน คือ เสพเมถุนหรือการร่วมเพศ16 เพราะเช่ือ กนั วา่ เจ้าแม่ทุรคา หรือเจา้ แมก่ าลที รงโปรดการบูชายัญและการเสพเมถุน ดังนั้น การประกอบ กิจดังกล่าวจึงทาให้พระนางพอพระทัย และอีกจุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อให้เบื่อหน่ายในกาม โดยสนองความตอ้ งการใหเ้ ตม็ ท่กี ็จะมาถึงจดุ เบ่ือหน่าย แบบหนามยอกเอาหนามบง่ 4) นกิ ายตันตระ คาว่า ตันตระ แปลว่า พิธีการ แบบแผน หรือกฎเกณฑ์ หมายถึงแบบแผนของ พิธีกรรมต่างๆ ของฮินดูยุคหลังพุทธกาล นิกายน้ีเกิดมาจากการนับถือศักติฝ่ายซ้าย เน้นหนัก ไปในทางกามารมณ์ การบูชาศักติที่เป็นลักษณะเด่นเฉพาะของนิกายน้ีคือ การทาพิธีให้ศักติ หรือมหาเทพที่เป็นสามีพอใจ ได้แก่ การเร่ิมต้นด้วยการพรรณนาคุณแห่งความรักความใคร่ ของสตรีและบุรุษแล้วจบลงด้วยการเสพเมถุน พิธีกรรมดังกล่าวเป็นของพวกวามาจารินหรือ กาฬจกั ร เพราะจะตอ้ งประกอบพธิ ีในเวลาเทยี่ งคนื ของขา้ งแรม ผู้เป็นศาสนิกจะพากันมาชุมนุม กันหนา้ เทวรปู ของพระอุมาเทวีหรือเจา้ แมท่ รุ คา แลว้ เร่ิมกระทาพธิ ีกรรมตามขั้นตอนของ ม ทั้ง 5 (ปัญจมการ)17 ดงั กล่าวแล้ว จากท่กี ลา่ วมาขา้ งต้น สรุปเป็นแผนภมู ิ เพือ่ ความเข้าใจง่ายดังน้ี 16 เรื่องเดียวกนั , หน้า 487. 17 เมธา เมธาวทิ ยกุล, ศาสนาเปรียบเทยี บ, หน้า 192. 40 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

นกิ ายในศาสนา เตงกไล นกิ ายไวษณวะหรือไวษณพ วฑกไล รามานชุ นิกายไวษณวะหรือไวษณพ มาธวะ นกิ ายศักติ วัลลภะ กาศมีรไศวะ/ กัษมไี ศวะ ลิงคายัต นกิ ายตันตระ แผนภมู ภิ าพที่ 2-4 นกิ ายในศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู 2.6 พธิ ีกรรมสาคญั ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาทมี่ ีพิธีกรรมเป็นส่วนประกอบสาคัญอย่างหนึ่ง ของศาสนา เพราะชาวฮินดูทุกวรรณะย่อมมีขนบธรรมเนียมประเพณีเฉพาะที่ต้องประพฤติ ตามที่กาหนดไว้สาหรับวรรณะของตน และกฎประเพณีส่วนรวม ที่ต้องปฏิบัติสาหรับทุกช้ัน วรรณะ โดยแบ่งออกเป็น 4 หมวด ดังน้ี 2.6.1 กฎสาหรบั วรรณะ ศาสนาฮนิ ดมู ีกฎสาหรบั วรรณะให้ปฏบิ ัติอยา่ งเครง่ ครดั หลายเรอ่ื ง เชน่ 1) กฎเกี่ยวกับการแต่งงาน จะแต่งงานนอกวรรณะของตนไม่ได้ แต่ผู้ชายเป็น พราหมณ์จะแต่งงานกับผู้หญิงในวรรณะอื่นได้ เรียกว่า อนุโลม ส่วนผู้หญิงเป็นพราหมณ์จะ แตง่ งานกับผชู้ ายวรรณะอืน่ ไมไ่ ด้ เรียกวา่ ปฏิโลม ศาสนาขน้ั แนะนา | 41

2) กฎเก่ียวกับอาหารการกิน มีข้อกาหนดว่าสิ่งใดกินได้ สิ่งใดกินไม่ได้ และ ข้อกาหนดว่าบุคคลในวรรณะใดปรุงอาหารให้คนวรรณะใดกินไม่ได้ เช่น วรรณะพราหมณ์ไม่ กนิ อาหารทค่ี นวรรณะอื่นทา เป็นต้น 3) กฎเก่ียวกับการประกอบอาชีพ ต้องประกอบอาชีพท่ีกาหนดไว้สาหรับคนใน วรรณะนั้นๆเท่านั้น 4) กฎเก่ียวกับสถานที่อยู่อาศัย ในสมัยโบราณมีกฎห้ามชาวฮินดูมีถิ่นฐาน บา้ นเรือนนอกเขตประเทศอินเดีย และห้ามเดินเรือในทะเล แต่ปจั จุบันไม่ถอื กนั แลว้ 2.6.2 พธิ ีประจาบ้าน พิธีน้ีเป็นพิธีที่กาหนดไว้ในคัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ หรือมนูศาสตร์เรียกว่า พิธี สงั สการ เป็นพิธีกรรมท่ีคนในวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์และวรรณะไวศยะจะต้องทาโดย มพี ราหมณห์ รือนักบวชเป็นผู้ทาพิธี จานวน 12 ประการ คือ 1) ครรภาธาน เป็นพธิ ที ่ีจัดข้นึ เมอ่ื ทราบว่าตัง้ ครรภ์ ถดั จากวันววิ าห์ 2) ปุงสวัน เป็นพิธปี ฏบิ ตั ติ อ่ เด็กในครรภ์ที่เข้าใจว่าเป็นเพศชาย 3) สีมันโตนยนั เปน็ พธิ ตี ดั ผมหญิงมคี รรภ์ เมอื่ ต้งั ครรภ์ได้ 4, 6 หรอื 8 เดือน 4) ชาตกรรม พธิ คี ลอดบตุ ร 5) นามกรรม พธิ ีต้ังชอ่ื เดก็ ในวนั ท่ี 12 หรือ 14 ถดั จากวันคลอด 6) นิษกรมณ พธิ นี าเด็กออกไปดแู สงอาทิตย์ยามเช้า เมอ่ื อายไุ ด้ 4 เดอื น 7) อันนปราศัน พิธีป้อนขา้ วเดก็ เมื่ออายุได้ 7 เดือนหรอื 8 เดือน 8) จูฑากรรม พธิ โี กนผมไว้จกุ เม่อื อายไุ ด้ 3 ขวบ 9) เกศานตกรรม พิธีตัดผม ถ้าเป็นวรรณะพราหมณ์ตัดเม่ืออายุ 16 ปี ถ้าวรรณะกษัตริย์ ตัดเมื่ออายุ 22 ปี ถา้ วรรณะพราหมณต์ ดั เมอื่ อายุ 24 ปี 10) อปุ านยัน พิธีเข้ารับการศึกษา พวกวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ จะต้อง ทาพิธีเข้ารับการศึกษา และเม่ืออาจารย์ในสานักน้ันๆ รับเด็กไว้แล้วก็จะสวมสายธุรา หรือ ยัชโญปวีต ผูท้ ี่ได้สวมสายนี้แลว้ ก็เรียก ว่า ทวิชหรือทิชาชาติ ไดแ้ ก่ เกิด 2 คร้ัง คอื คร้งั แรกเกิด จากครรภ์มารดา และครั้งที่ 2 เกิดจากการสวมสายยัชโญปวีต ส่วนพวกศูทรและจัณฑาลเป็น เอกชาติ คอื เกิดครงั้ เดียวไมอ่ าจเป็นทวชิ าตไิ ด้ 11) สมาวรรตน์ พิธีกลับบ้าน จัดข้ึนเมื่อเด็กหนุ่มสาเร็จการศึกษาและเตรียมตัว กลบั บา้ น 12) ววิ าหะ พิธแี ต่งงาน พิธีสังสการทั้ง 12 ประการ ถ้าเป็นผู้หญิงห้ามทาพิธีอุปานยันอย่างเดียว นอกนั้น ทาได้หมด และห้ามสวดคัมภีร์พระเวท เพราะเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ิที่สงวนเฉพาะผู้ชาย และคน บางวรรณะเทา่ นนั้ 42 | ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

ในปจั จุบนั นี้ชาวฮินดูผู้เป็นทวิชาติคงปฏิบัติอยู่ใน 4 พิธีเท่าน้ัน คือ พิธีนามกรรม พิธีอันนปราศัน พิธีอุปานยัน และพิธีวิวาหะ ที่เหลือนอกนั้นไม่ใคร่ปฏิบัติกันแล้ว ยกเว้นผู้ท่ี เคร่งครดั จรงิ ๆ เท่านั้น18 2.6.3 พธิ ีศราทธ์ พิธีศราทธ์เป็นพิธีทาบุญอุทิศให้มารดาบิดา หรือบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ในเดอื น 10ตงั้ แต่วนั แรม 1ค่า ถงึ วนั แรม 15 คา่ การทาบุญอุทิศน้ีเรียกอกี อย่างหนึง่ วา่ บิณฑะ 2.6.4 พิธีบูชาเทวดา ชาวฮนิ ดูมเี ทพเจา้ ท่ีเคารพมากมายหลายองค์ ผูท้ ่เี กิดในวรรณะสูงสมัยก่อนไดบ้ ชู า พระศิวะและพระวิษณุ เป็นต้น เวลาต่อมาเกิดลัทธิอวตารข้ึน มีการบูชาพระกฤษณะและ พระรามข้นึ อีก แต่บุคคลในวรรณะต่ามักถูกกีดกันมิให้ร่วมบูชาเทพเจ้าของบุคคลในวรรณะสูง ดังนั้น บุคคลในวรรณะต่าจึงต้องสร้างเทพเจ้าของตนเองข้ึน เช่น เจ้าแม่กาลี เทพลิง เทพงู เทพเต่า รุกขเทพ เทพช้าง เป็นต้น การทาพิธีบูชานั้นก็มีความแตกต่างกันออกไปตามวรรณะ แต่บคุ คลในวรรณะสูงมพี ิธีในการบชู าพอจะกาหนดได้ ดงั นี้ 1) สวดมนต์ภาวนา สนานกาย ชาระและสังเวยเทวดาทุกวัน สาหรับผู้เคร่งครัด ในศาสนาตอ้ งทาเปน็ กจิ วัตร สว่ นพวกท่ีไดร้ ับการศึกษาแผนใหมม่ ักไมค่ อ่ ยปฏิบัตกิ ัน 2) พิธีสมโภช ถือศีล และวันศักด์ิสิทธ์ิ เช่น ลักษมีบูชา วันบูชาเจ้าแม่ ลักษมี สรัสวดีบูชา วันบูชาเจ้าแม่สรัสวดี ทุรคาบูชา วันบูชาเจ้าแม่ทุรคา เป็นต้น ซ่ึงอาจ แตกต่างกันออกไปในแต่ละนกิ ายและทอ้ งถนิ่ 3) การไปนมัสการบาเพ็ญกศุ ลตามเทวาลยั ตา่ งๆ เพื่อแสดงความเคารพเทพเจ้า ท่ีตนนับถือ จากทก่ี ลา่ วมาข้างตน้ สรปุ เปน็ แผนภมู ิ เพ่ือความเข้าใจง่ายดังนี้ พธิ ีกรรม กฎสาหรบั วรรณะ พธิ ีประจาบา้ น พธิ ีศราทธ์ พธิ ีบูชาเทวดา แผนภมู ภิ าพท่ี 2-5 พิธกี รรมในศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู 18สชุ พี ปุญญานภุ าพ, ประวติ ิศาสตร์ศาสนา, หนา้ 277-278. ศาสนาขน้ั แนะนา | 43

2.7 สัญลกั ษณข์ องศาสนา สัญลกั ษณข์ องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ท่ีสาคัญและเป็นกลางๆ ท่ีทุกนิกายยอมรับ ก็คือ เคร่ืองหมายอันเป็นอักษรเทวนาครี ท่ีอ่านว่า โอม คาว่า โอม เป็นคาท่ีศักด์ิสิทธิ์ท่ีสุดใน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อนั หมายถึงพระเจ้าทงั้ 3 คือ อ อกั ษร ได้แก่ พระวิษณหุ รือพระนารายณ์ อุ อักษรไดแ้ ก่ พระศวิ ะหรอื พระอิศวร ม อกั ษรไดแ้ ก่ พระพรหม เพราะฉะนั้น การนาอักษรท้ัง 3 คือ อ+อุ+ม เท่ากับ โอม สัญลักษณ์ดังกล่าวน้ีบางคร้ังเรียกว่า สวัสติ หรอื สวสั ตกิ ะ เครอ่ื งหมาย โอม สญั ลักษณ์แห่งพลังทั้ง 3 จงึ หมายถึง พระพรหม พระวษิ ณุ และพระศิวะ แหล่งท่ีมา : ภาพสัญลกั ษณ์ http://www.siamganesh.com/brahmahindu.html 2.8 ฐานะปัจจบุ นั ของศาสนา นับตั้งแต่อินเดียถูกจักรวรรดิอิสลามปกครอง ต้ังแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จึงไม่ได้รับการอุปถัมภ์ และขาดการปรับปรุงพัฒนา จนเกือบจะล่ม สลาย สาเหตุหลักเนื่องจากคนวรรณะพราหมณ์ ลุ่มหลงในอานาจและผลประโยชน์ และต่อมา อินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1857 เป็นเวลา 200 ปี ย่ิงทาให้ศาสนา พราหมณ์-ฮินดู ขาดเอกภาพ เพราะถูกผู้ปกครองกดขี่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแทบจะไม่มี บทบาทเหมือนเดิม แต่ก็มีขบวนการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์-ฮินดูขึ้นมา ทาการปรับปรุง จุดบกพร่องต่างๆ โดยประยุกต์คาสอนในคัมภีร์พระเวทให้ใช้ได้กับชีวิตประจาวันอย่าง กลมกลืน ขบวนการตอ่ สนู้ าไปสู่ทางการเมอื ง เพอ่ื เรียกรอ้ งเอกราชจากอังกฤษ ขบวนการปฏิรูป ศาสนาเหล่าน1้ี 9 ไดแ้ ก่ 19Lewis M. Hopfe, Mark R.Woodward, Religions of the World (New Jersey : Upper Saddle river, 2007), p. 98-101. 44 | ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

2.8.1 สมาคมพรหมสมาช ท่าน ราม โมหัน รอย เป็นผู้ก่อต้ังสมาคมน้ีเกิดข้ึน เม่ือ พ.ศ. 2371 ณ เมือง กัลกตั ตา ประเทศอนิ เดีย โดยหลักการสาคัญของสมาคมพรหมสมาช คือ 1) เทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่มีองค์เดียวคือ พระพรหม ทรงมีตัวตน แต่ไม่เคยอวตาร ลงมาเปน็ อะไรเลย 2) อาตมนั เปน็ อมตะ ไม่มีวนั ตาย 3) บุคคลสามารถบรรลุความหลดุ พ้นได้ โดยการสานกึ ผิด และทาความดี 4) ปฏเิ สธคาสอนเรือ่ งการเวียนวา่ ยตายเกิด (สังสาร) และระบบวรรณะ 5) สนับสนุนให้หญิงหม้ายแต่งงานได้ และออกกฎหมายห้ามชายมีภรรยา หลายคน และห้ามทาพธิ ีสุตตี กลา่ วคือ พธิ ที ่ีหญงิ หม้ายต้องกระโดดเข้ากองไฟตายตามสามี ในปี พ.ศ. 2408 สมาคมน้ไี ดแ้ ตกแยกเปน็ 2 สาขา คอื 1) อาทิพรหมสมาช มี ระพินทร์นาถตะกอร์ เป็นผู้นา สาขาน้ีมุ่งรักษาหลักการ ด้ังเดิมของสมาคมไว้ ไม่เปล่ยี นแปลง 2) สาธารณพรหมสมาช มี เกษับจันทรเสน เป็นผู้นา สาขาน้ีมีการปรับปรุง เปล่ียนแปลงหลักการบางอย่าง เช่น การประดิษฐ์สัญลักษณ์ของนิกายน้ีข้ึนมาใหม่ เป็นรูป ตรีศูล ไม้กางเขนและดวงจันทร์เส้ียว เป็นเชิงรวมเอาสามศาสนา คือ ฮินดู คริสต์ และอิสลาม เข้าดว้ ยกัน และบางคร้ังทา่ นเกษบั จันทรเสนกแ็ สดงตนวา่ เปน็ อนั หน่ึงอันเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นต้น20 2.8.2 สมาคมอารยสมาช ท่าน สวามี ทยานนั ทะ สรสั วดี เปน็ ผู้กอ่ ตั้งสมาคมน้ีข้นึ เม่ือ พ.ศ. 2418 ณ เมือง บอมเบย์ ประเทศอนิ เดีย หลักการใหญ่ของสมาคมนี้ คอื 1) ถือหลกั คาสอนในคมั ภีร์พระเวทเป็นพ้ืนฐานของการปฏบิ ัติ 2) ศกึ ษาคมั ภีร์พระเวทอยา่ งจรงิ จงั 3) นาศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ข้นึ มาเปน็ อุดมการณข์ องชาติ 4) เทพเจา้ สูงสดุ มีเพยี งหนึ่งเดยี ว คือ พระพรหม 5) ปฏิเสธระบบวรรณะ ทฤษฎอี วตารและกุมารสมรส 6) การอนญุ าตใหห้ ญงิ หมา้ ยแตง่ งานใหมไ่ ด้21 20สชุ พี ปุญญานุภาพ, ประวิติศาสตรศ์ าสนา, หนา้ 308-309. 21เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ 309-311. ศาสนาข้นั แนะนา | 45

2.8.3 สมาคมกฤษณะมิชชน่ั ท่าน ศรรี ามกฤษณะ สวามีวิเวกานนั ทะ เปน็ ผู้ก่อตัง้ สมาคมน้ีขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2440 สมาคมนี้ยดึ หลกั การประนีประนอม ยอมรับคาสอนของทุกศาสนาท่ีมีผู้นับถือในอินเดียว่าไม่มี ความขัดแย้งกัน เป็นศาสนาแห่งความนิรันดร เน้นการเข้าถึงคัมภีร์อุปนิษัท และเน้นหลัก อธิบายพระเวท โดยมีจุดประสงค์เพ่ือสร้างความสามัคคีในชาติ ความเสมอภาคทางสังคม เศรษฐกิจ การบริการสังคม และเพอื่ เขา้ ถึงพระเจา้ 22 2.8.4 ขบวนการสรโวทยั ขบวนการนี้นาโดยทา่ น มหาตมะ คานธี ได้นาหลักอหิงสา คือ การไม่เบียดเบียน มาเป็นอุดมการณ์ ให้ปรากฏในบุคคลและสังคม ขบวนการเหล่าน้ี นอกจากปฏิรูปศาสนาฮินดู แล้วยังได้นาการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชกลับคืนมาจนสาเร็จ ทาให้ประเทศอินเดียได้รัฐบาล ที่มาจากคนในศาสนาฮินดูเป็นผู้บริหารประเทศ แต่เน่ืองจากคาสอนอุดมคติและรูปแบบ การดาเนินชวี ิต รวมท้ังความเชื่อถือแตกต่างกันของศาสนาต่างๆ ที่มีอยู่ในอินเดีย เช่น ศาสนา ฮินดู ศาสนาอิสลาม ศาสนาซิกข์ เป็นต้น จึงเกิดปัญหาความขัดแย้งลุกลามเป็นการปะทะกัน อย่างกว้างขวางอยู่เสมอ เช่น กรณีมัสยิดปาปรี ระหว่างอิสลามกับฮินดู กรณีการบุกรุก วิหารทองคา เมืองอมฤตสระ ระหวา่ งศาสนาซกิ ขก์ บั ศาสนาฮินดู เปน็ ตน้ จากท่ีกลา่ วมาขา้ งต้น สรปุ เปน็ แผนภูมิ เพ่ือความเข้าใจงา่ ยดงั น้ี ฐานะปัจจบุ ัน สมาคมพรหมสมาช สมาคมอารยสมาช สมาคมกฤษณะมิชช่นั ขบวนการสรโวทัย ราม โมหัน รอย สวามี ทยานนั ทะ สรสั วดี ศรรี ามกฤษณะ สวามีวิเวกานันทะ มหาตมะ คานธี แผนภมู ภิ าพที่ 2-6 ขบวนการปฏิรปู ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู 22เรื่องเดียวกนั , หน้า 311-312. 46 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

แบบฝึกหัดประจาบทที่ 2 ตอนที่ 1 จงทาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงหน้าขอ้ ทถ่ี กู ต้องที่สุด 1.คัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูทถ่ี ือว่าได้ยนิ ได้ฟังมาจากพระเจา้ โดยตรง เรยี กว่า อะไร? ก. คัมภรี ย์ ชรุ เวท ข.คัมภีรส์ มฤติ ค.คมั ภรี ์ศรุติ ง. คัมภีร์ฤคเวท 2. คัมภรี ์ท่ีนกั ปราชญาทางศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูแต่งข้นึ มาในภายหลัง เรียกว่า อะไร? ก. คัมภีร์ศรุติ ข.คัมภรี ์สมฤติ ค.คัมภีรอ์ าถรรพเวท ง. คมั ภรี ส์ ังหติ า 3. คมั ภีรพ์ ระเวทในข้อใดเปน็ คัมภรี ์ที่แตง่ ขนึ้ ภายหลังคัมภีร์อน่ื ๆ? ก. ฤคเวท ข.ยชุรเวท ค.อาถรรพเวท ง. สามเวท 4. ข้อใดเปน็ องค์ประกอบสว่ นสดุ ท้ายของคมั ภรี ์พระเวท? ก. พราหมณะ ข.อุปนษิ ัท ค.อารัณยกะ ง. สงั หิตา 5. คัมภีร์ในขอ้ ใดเปน็ ส่วนท่รี วบรวมบทสวดอ้อนวอนพระเจา้ ? ก. พราหมณะ ข.อุปนษิ ัท ค.อารัณยกะ ง. สงั หติ า 6. การมอบสมบัติให้บุตรธิดาแล้วออกบวชปฏิบัติธรรม จัดเป็นขั้นตอนการดารงชีวิตของ ชาวพราหมณ์-ฮนิ ดูในข้อใด? ก. พรหมจรรย์ ข.คฤหสั ถ์ ค.วานปรัสถ์ ง. สนั ยสั ต์หรือสันยาสี 7. การรูแ้ จ้งปรมาตมัน แล้วหลดุ พ้นจากการเวยี นว่ายตายเกดิ เรยี กวา่ อะไร? ก. นิพพาน ข.นิรวาณ ค.วิโมกข์ ง. โมกษะ ศาสนาข้นั แนะนา | 47

8. การบรรลคุ วามหลดุ พน้ ตามทศั นะของศาสนาฮนิ ดู ตอ้ งปฏิบตั ิตามขอ้ ใด? ก. กรรมโยคะ ข.ชญาณโยคะ ค. ภักติโยคะ ง. ถกู ทุกข้อ 9. ลักษณะของมหาเทพ ในตรมี ูรติ ที่มลี กั ษณะแสดงถึงการสน้ิ สดุ ของโลก ไดแ้ ก่ เทพองค์ใด? ก. พระพรหม ข.พระวิษณุ ค.พระศวิ ะ ง. พระนารายณ์ 10. มหาเทพท่มี คี รุฑเป็นพาหนะและสามารถอวตารลงมาชว่ ยมวลมนษุ ย์ได้ คอื เทพองค์ใด? ก. พระนารายณ์ ข.พระวิษณุ ค.พระศิวะ ง. ขอ้ ก และ ข ถูก 11. การฝึกฝนทางใจ มงุ่ บงั คับใจใหอ้ ยใู่ นอานาจด้วยการปฏิบตั ิโยคะ เรียกว่า อะไร? ก. กรรมโยคะ ข.ชญาณโยคะ ค.ราชโยคะ ง. ภักติโยคะ 12. พธิ ีกรรมประจาบา้ น 12 ประการที่กาหนดไวใ้ นคัมภีร์มานวศาสตร์ เรียกว่า อะไร? ก. อุปานยนั ข.สังสการ ค. สีมันโตยนั ง. ปงุ สวัน 13. ในปจั จบุ นั พิธกี รรมใดท่ชี าวฮนิ ดูยงั คงปฏบิ ตั กิ นั อยู่? ก. เกศานตกรรม ข.นามกรรม ค. ววิ าหะ ง. ข้อ ข และ ค ถกู 14. พิธีเขา้ รับการศึกษา เรียกวา่ พธิ อี ะไร? ก. อุปานยนั ข.สงั สการ ค. สมี ันโตยัน ง. ปงุ สวนั 15. พธิ กี รรมในข้อใดตรงกับพธิ ีทาบญุ อุทศิ ส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายตามธรรมเนยี มของ พุทธศาสนา? ข.พิธีชาตกรรม ก. พิธีสมาวรรตน์ ค.พิธศี ราทธ์ ง. พธิ มี รณกรรม 48 | ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

16. นกิ ายวฑั กไล และนิกายเตงกไล เปน็ นิกายยอ่ ยของนิกายในขอ้ ใด? ก. ไศวนกิ าย ข.ไวษณวนกิ าย ค. นิกายศกั ติ ง. นิกายลิงคายัต 17. นิกายทป่ี ระกอบพิธกี รรมด้วยปญั จมการ คอื นกิ ายใด? ก. ไศวนิกาย ข.ไวษณวนกิ าย ค. นิกายศักติ ง. นิกายลิงคายัต 18. ขบวนการท่ียดึ หลักอหงิ สา โดยการนาของมหาตมะ คานธี เรียกว่าอะไร? ก. ขบวนการพรหมสมาช ข.ขบวนการอารยสมาช ค. ขบวนการกฤษณะมชิ ช่ัน ง. ขบวนการสวโรทัย 19. ขบวนการที่ยึดหลักประนีประนอม ยอมรับว่าคาสอนของทุกศาสนาไม่มีความแตกต่างกัน เรียกว่า อะไร? ก. ขบวนการพรหมสมาช ข.ขบวนการอารยสมาช ค. ขบวนการกฤษณะมิชชน่ั ง. ขบวนการสวโรทัย 20. ขบวนการทเี่ นน้ การศกึ ษาคัมภีร์พระเวท และนาศาสนามาเปน็ อดุ มการณ์ของชาติ เรียกวา่ อะไร? ก. ขบวนการพรหมสมาช ข.ขบวนการอารยสมาช ค. ขบวนการกฤษณะมชิ ช่นั ง. ขบวนการสวโรทัย ตอนที่ 2 จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1) จงอธิบายคมั ภีรท์ สี่ าคญั ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมาพอเขา้ ใจ? 2) จงอธิบายหลกั คาสอนเร่อื ง อาศรม 4 มา พอเข้าใจ นักศึกษาเห็นด้วยกับหลัก คาสอน ดงั กล่าวหรือไม่? เพราะเหตใุ ด? 3) นิกายสาคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีนิกายใดบ้าง แต่ละนิกายมีจุดเน้น อย่างไร? จงอธิบายมาพอเขา้ ใจ ศาสนาขัน้ แนะนา | 49

บทที่ 4 พทุ ธศาสนา ขอบเขตเนอ้ื หา 4.1 ความเป็นมา 4.2 ศาสดา 4.3 คัมภรี ใ์ นศาสนา 4.4 หลกั คาสอนสาคญั 4.5 นกิ ายในศาสนา 4.6 พิธกี รรมสาคัญ 4.7 สัญลกั ษณ์ของศาสนา 4.8 ฐานะปจั จุบันของศาสนา แนวคดิ 1. พุทธศาสนาก่อต้ังขึ้นโดยเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าเมื่อ 2554 ปี มาแล้ว เป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม ซ่ึงไม่เน้นความสาคัญของพระเจ้า ไม่มีคาสอนเร่ือง พระเจา้ สร้างโลก ควบคมุ โลก หรือพระเจ้าเป็นเป้าหมายสูงสดุ ของชีวิต 2. ศาสดาของพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจ้า โดยมีพระนามเดิมก่อน การตรัสรู้เปน็ พระพุทธเจ้าวา่ เจ้าชายสทิ ธัตถะ ทรงประสูติเมื่อวันเพ็ญข้ึน 15 ค่า เดือน 6 ก่อน พุทธศกั ราช 80 ปี 3. คัมภรี ์ของพุทธศาสนาเถรวาท เรียกว่า พระไตรปิฎก ประกอบด้วยคัมภีร์ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ส่วนคัมภีร์ของพุทธศาสนามหายาน เรียกวา่ พระสตู ร ศาสตร์และตนั ตระ 4. หลักคาสอนสาคัญของพุทธศาสนาเถรวาท คือ หลักไตรลักษณ์ กฎแหง่ กรรม อริยสจั 4 และนพิ พาน สว่ นหลกั คาสอนสาคัญของพุทธศาสนามหายาน คือ หลัก คาสอนเร่ืองพระโพธิสัตว์ แนวคิดเรื่องตรีกาย แนวคิดเร่ืองตรียาน แนวคิดเร่ืองจตุรมหา ปณธิ าน แนวคดิ เร่ืองพระพทุ ธเจ้า และแนวคดิ เรื่องพุทธเกษตร 5. นิกายสาคัญของพุทธศาสนามี 2 นิกาย คือ นิกายเถรวาท เป็นนิกาย อนรุ กั ษน์ ิยม ส่วนนกิ ายมหายาน เปน็ นิกายหวั สมัยใหม่ นยิ มตีความคาสอน 6. พิธีกรรมของพุทธศาสนาเถรวาท แบ่งออกเป็นพิธีกรรมที่เป็นกุศลพิธี บุญพิธี ทานพิธีและพิธีกรรมย่อยอ่ืนๆ ส่วนพิธีกรรมของพุทธศาสนามหายาน คือ พิธีตรุษจีน พธิ กี ินเจ พธิ ีทง้ิ กระจาดไทยทาน และพธิ กี งเตก็ เปน็ ตน้

7. สัญลักษณ์ของพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธรูป ธรรมจักร ต้นโพธ์ิและ รอยพระพทุ ธบาท 8. ฐานะปัจจุบันของพระพุทธศาสนา ได้เจริญอยู่ในประเทศแถบเอเชีย เช่น ประเทศไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า เป็นต้น จนได้นามว่าประทีปแห่งทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยได้ช่ือว่าเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ เพราะพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ยิ่งกว่าประเทศอ่ืนๆ วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ เมอ่ื ได้ศึกษาเนอ้ื หาในบทนแ้ี ล้ว ผู้ศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายความเป็นมาของพุทธศาสนาได้ 2. อธบิ ายคมั ภีร์สาคัญของพทุ ธศาสนาได้ 3. อธบิ ายหลักคาสอนสาคัญของพทุ ธศาสนาได้ 4. อธิบายนกิ ายสาคัญของพุทธศาสนาได้ 5. อธบิ ายพธิ ีกรรมสาคัญของพทุ ธศาสนาได้ 6. อธบิ ายสญั ลักษณ์ของพทุ ธศาสนาได้ 7. อธบิ ายฐานะปัจจุบันของพทุ ธศาสนาได้ กิจกรรมการเรียน 1. การบรรยาย 2. การอภิปรายกลมุ่ ยอ่ ย 3. การบันทึกการเรยี นรใู้ นแฟ้มสะสมผลงาน สอื่ การสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ใบสรปุ การเรียนรูป้ ระจาบทท่ี 4 3. แฟ้มสะสมผลงาน 4. ส่ืออิเล็กทรอนิคทกุ ประเภท การประเมนิ ผล 1. ประเมินจากการร่วมทากจิ กรรมกล่มุ 2. ประเมินจากการสรุปการอภิปราย 3. ประเมนิ จากใบสรุปการเรียนรู้และแฟ้มสะสมผลงาน 70 | พทุ ธศาสนา

4.1 ความเปน็ มา ก่อนพทุ ธกาล ระบบสังคมของชาวอินเดีย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชาวชมพูทวีป เป็นระบบศักดินา แบ่งชนชั้นของคนออกเป็น 4 ระดับที่เรียกว่า วรรณะ ตามหน้าที่ของคนใน วรรณะนั้นๆ คือ วรรณะกษัตริย์เป็นผู้ปกครองและเป็นนักรบ วรรณะพราหมณ์เป็นผู้สอน พระเวทและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ วรรณะแพศย์เป็นผู้ประกอบอาชีพทั่วไป และวรรณะศูทร เป็นวรรณะต่า ประกอบอาชีพรับใช้คนในวรรณะที่สูงกว่าตน นอกจากน้ันยังมี พวกนอกวรรณะ คือ พวกจัณฑาล หากวรรณะสูงแต่งงานกับวรรณะต่า หรือวรรณะต่าแต่งงาน ข้ามวรรณะกันเอง เช่น แพศย์แต่งงานกับศูทร บุตรท่ีเกิดจะถูกจัดเป็นอยู่ในพวกจัณฑาล หรือไม่มีวรรณะ พวกศูทรและพวกจัณฑาลมักถูกคนในวรรณะอ่ืนถูกเหยียดหยามและต้ังข้อ รังเกียจ โดยเฉพาะพวกจณั ฑาลไมม่ โี อกาสศึกษา คมั ภรี พ์ ระเวทและไม่มีโอกาสเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าได้ แต่ถ้าวรรณะสูงแต่งงานข้าม วรรณะกัน เช่น วรรณะพราหมณก์ ับวรรณะกษัตริย์ บุตรที่เกิดมาไม่ถือว่าเป็นจัณฑาล เนื่องจาก เป็นวรรณะในระดบั สงู จึงไมถ่ ูกรังเกยี จเหมอื นกับวรรณะต่าอ่ืนๆ1 ความเช่ือทางศาสนาในสมัยก่อนและสมัยพุทธกาล ชาวอินเดียส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพราหมณ์ และให้ความเคารพยาเกรงต่อพวกวรรณะพราหมณ์เป็นอย่างยิ่ง โดยถือว่า พวกพราหมณ์เป็นผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้าในการเผยแผ่สัจธรรมคาสอ นของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าสูงสุดของชาวอินเดียในยุคน้ี คือ พระพรหม เป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ มีอานาจ สูงสุดเหนอื ทกุ ส่งิ ทุกอยา่ ง ชีวิตมนษุ ย์ตกอยู่ในอานาจของพระพรหม ที่นิยมเรียกว่า พรหมลิขิต ชะตาชีวิตของมนุษย์จะยากดีมีจนหรือประสบโชคดีหรือเคราะห์ก็ล้วนเกิ ดจากพระพรหม บันดาลให้เป็นไปทั้งสิ้น ดังนั้น หน้าที่ของมนุษย์จึงต้องบูชา บวงสรวงและอ้อนวอนต่ออานาจ พระพรหมซึง่ เป็นเทพเจา้ สงู สุดและเทพเจา้ อ่นื ๆตามทร่ี ะบุไว้ในคมั ภีรพ์ ระเวทอีกดว้ ย ในยุคก่อนการอุบัติข้ึนของพระพุทธศาสนานั้น ชาวอินเดียมีทัศนะเก่ียวกับชีวิต เป็น 2 แนวทาง คอื 1) พวกที่เช่ือว่า ตายแล้วต้องเกิดอีก เพราะมีตัวตนหรือท่ีเรียกว่า อาตมัน ที่เท่ียงแท้ แม้ร่างกายจะตายไป แต่ตัวปรมาตมันหาได้ตายไปตามร่างกายไม่ ต้องเวียนว่าย ตายเกิดอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุดจนกว่าจะบรรลุถึงความหลุดพ้น คือ การเข้าไปรวมเป็นอันหนึ่ง อันเดยี วกนั กบั พระเจา้ สงู สุดท่เี รยี กวา่ ปรมาตมนั หรือพรหมัน มนษุ ย์จึงควรทาความดีตามหลัก คาสอนในศาสนาเพ่ือบังเกิดในภพภูมิท่ีดีจนกระทั่งเข้าสู่ความหลุดพ้นดังกล่าว กลุ่มท่ีมีความ คิดเห็นเช่นน้ี เรียกว่า สัสสตทิฎฐิ กลุ่มนี้ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ พวกฤาษีหรือนักพรตอื่นๆ โดยเฉพาะศาสนาเชนท่ีมงุ่ การทรมานตนเพ่ือให้หลุดพ้นจากกิเลส ในธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร 1ภัทรพร สิรกิ าญจน และคณะ, ความรู้พ้ืนฐานทางศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2546), หน้า 27. ศาสนาขั้นแนะนา | 71

พระพุทธเจ้าเรียกวิธีการเช่นน้ีว่า อัตตกิลมถานุโยค เป็นส่ิงที่ประกอบด้วยความทุกข์ ไม่ประเสรฐิ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เปน็ สิ่งท่ีควรเวน้ 2) พวกที่เช่ือว่า ตายแล้วสูญส้ินทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ร่างกายแตกสลาย จิตก็แตกดบั ไปด้วย ไม่มีวิญญาณอมตะ ไม่มีสิ่งท่ีเรียกว่าตัวตนหรืออาตมันอีกต่อไป คนกลุ่มน้ี มกั เนน้ การเสพวตั ถุเพือ่ ใหต้ นมคี วามสุขในขณะท่ยี งั มีชีวิตอยู่ โดยไมต่ ้องคิดถงึ โลกหน้า สวรรค์ นรก ภพภูมิทส่ี ตั วจ์ ะไปเกิดอื่นๆ หรือพระเจ้าสูงสุด เพราะสิ่งเหล่าน้ันไม่มีอยู่จริง เน่ืองจากไม่ สามารถพิสูจน์ทดสอบได้ด้วยประสาทสัมผัส การทาความดีความชั่วไม่มีผลอะไร ความดีคือ การไดเ้ สพสุขทางกายเทา่ น้นั ความชวั่ คือการทาให้ตนเองเป็นทุกข์โดยการทรมานตนให้ลาบาก ตามหลักการศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาอื่นๆที่เน้นสอนเร่ืองการเวียนว่ายตายเกิด กลุ่มท่ีมี ความเห็นเช่นนี้เรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ กลุ่มน้ีได้แก่ พวกจารวาก ในธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า กามสุขัลลิกานุโยค คือ พวกบารุงบาเรอตนเองด้วยกาม เปน็ สิ่งทเี่ ลวทราม ไมป่ ระเสริฐและไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ เปน็ ส่ิงทคี่ วรเว้น2 พุทธศาสนาก่อต้ังขึ้นโดยเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าเม่ือ 2554 ปีมาแล้ว นับตั้งแต่พระองค์ทรงตรัสรู้และประกาศสัจธรรมท่ีแท้จริงต่อชาวโลกท่ัวไป เป็นศาสนา ประเภทอเทวนิยม ซึ่งไม่เน้นความสาคัญของพระเจ้ากับเทพเจ้า ไม่มีคาสอนเรื่องพระเจ้าสร้าง โลก ควบคมุ โลก หรือพระเจา้ เป็นเปา้ หมายสูงสุดของชีวิต แม้ในคาสอนจะพบการกล่าวถึงเทพ ต่างๆ แต่ก็มิได้แสดงบทบาทและอิทธิพลของเทพเหล่าน้ันเหนือชีวิตมนุษย์ ทั้งมนุษย์และ เทพเจา้ ยังคงอยู่ภายใต้แห่งกฎกรรมเช่นเดียวกัน จึงไม่มีใครมีอานาจเหนือใครได้อย่างแท้จริง หากมนุษยห์ รอื เทวดาทาดีย่อมไดด้ ี ทาชว่ั ยอ่ มไดช้ ว่ั เปน็ กฎเกณฑต์ ายตวั คาว่า พุทธศาสนา มาจากคาว่า พุทธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ต่ืน จากความลุ่มหลงเพราะ อานาจของกิเลส หรือ ผู้เบิกบาน เพราะไม่มีกิเลสในใจ กล่าวคือ บุคคลผู้รู้จริง ผสมกับคาว่า ศาสนา (ภาษาบาลี คือ สาสน) แปลว่า คาสั่งสอน รวมความแล้วหมายถึง คาสอนของผู้รู้จริง ที่เรยี กว่า พระพทุ ธเจ้า คาว่า พระพทุ ธเจ้า ไม่ใช่ช่ือเฉพาะของพระศาสดา แต่เป็นสมญานามท่ีใช้หมายถึง บุคคลผู้ไมม่ กี ิเลสที่ทาให้ลุ่มหลงเปรยี บเหมือนบุคคลผู้ต่ืนและมีปัญญารู้แจ้งความเป็นจริงแล้ว ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อทรงตรัสรู้และค้นพบความจริงของโลกและชีวิต จึงได้สมญานามว่า พระพุทธเจ้า พุทธศาสนาเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี แค้วนกาสี (ปัจจุบันคือ สารนาถ ในรัฐอุตตร ประเทศ ประเทศอินเดีย) กล่าวได้ว่าพุทธศาสนาเกิดขึ้นในบรรยากาศที่มีลัทธิความเชื่ออ่ืนๆ แพรห่ ลายอยแู่ ลว้ 2เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ 28. 72 | พุทธศาสนา

นกั วิชาการมขี ้อโตแ้ ยง้ เกีย่ วกับการเกดิ ขึ้นของพทุ ธศาสนาแตกตา่ งกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) นักวิชาการฝ่ายที่มีทัศนะว่า พุทธศาสนาพัฒนาการมาจากศาสนาพราหมณ์ เพราะพระพุทธเจ้าเคยศึกษาคัมภีร์พระเวทและการบาเพ็ญเพียรทางจิตจากท่านอาฬารดาบส และอุทกดาบสซ่ึงเป็นคณาจารย์ในศาสนาพราหมณ์ ทาให้มองเห็นข้อบกพร่องในหลักคาสอน และแนวปฏิบัติในศาสนาพราหมณ์ จึงทรงแก้ไขปรับปรุงและปฏิรูปให้เป็นหลักคาสอนของ พระองค์ เช่น การปฏิเสธระบบวรรณะ ปฏิเสธอานาจของเทพเจ้า เป็นต้น แต่คาสอนหลักๆ เช่น กรรม นิพพาน เหล่านี้ก็มีปรากฏในศาสนาพราหมณ์ แต่มีการอธิบายคนละอย่าง ดังน้ัน พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทาให้ศาสนาพราหมณ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เน่ืองจากธรรม ท่ีพระองค์ตรัสสอนทาให้ชาวอินเดียในยุคน้ันมีความเชื่อมั่นศรัทธาพระผู้เป็นเจ้าแพร่หลาย มากข้ึน และพระสาวกองค์สาคญั ๆกเ็ ปน็ พราหมณท์ ้งั สนิ้ 2) นกั วชิ าการฝ่ายที่ไม่เหน็ ด้วยกบั ทศั นะข้างต้นนั้น ให้ความเห็นว่าพุทธศาสนา มีหลกั คาสอนทแี่ ตกต่างจากศาสนาพราหมณอ์ ย่างสน้ิ เชิง พุทธศาสนาเกิดขึ้นเพราะพระพุทธเจ้า ทรงไม่เห็นด้วยกับหลักคาสอนและวิธีการในศาสนาพราหมณ์ พระองค์ทรงมิได้มองเห็น ขอ้ บกพรอ่ งและคดิ ปรบั ปรงุ ขึ้นมาเป็นคาสอนของพระองคเ์ ท่านั้น แต่ยังทรงคดั คา้ นและติเตียน อกี ด้วย เช่น ทรงติเตียนการบชู ายญั ในศาสนาพราหมณ์ และทรงเน้นหนกั ความเมตตากรุณาต่อ ส่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ ตลอดจนทรงอนุญาตให้ทุกคนทุกวรรณะเข้าอุปสมบทได้อย่างเท่าเทียมกันใน พุทธศาสนา เป็นต้น ทัศนะเก่ียวกับการเกิดข้ึนของพระพุทธศาสนาดังกล่าวข้างต้น ยังไม่สามารถหา ข้อยุติได้ ตา่ งฝา่ ยตา่ งกย็ นื ยันว่าทศั นะของตนเองถูกต้อง 4.2 ศาสดา 4.2.1 ชาตภิ มู ิ ศาสดาของพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจ้า โดยมีพระนามเดิมก่อนการตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าว่า เจา้ ชายสทิ ธัตถะ ประสูติ ณ ลุมพินี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนของกรุงกบิลพัสด์ และกรุงเทวทหะ ปัจจุบันอย่ใู นประเทศเนปาล เจ้าชายสิทธัตถะทรงประสูติเมื่อวันเพ็ญข้ึน 15 ค่า เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระราชมารดา คือ พระนางสิริมหามายา พระราชบิดาคือ พระเจ้าสุทโธทนะแห่ง กรุงกบิลพัสดุ์ ต่อมาฤาษีนามว่าอสิตดาบสได้ข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะทรงได้พระโอรส จึงเดินทางมาเฝ้า คร้ันเห็นพระกุมารแล้ว จึงทานายว่า หากพระกุมารทรงครองตนเป็นฆราวาส จะได้เปน็ พระมหาจักรพรรดิ หากทรงออกบวชก็จะไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า3 3สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช, หลักพระพุทธศาสนา, พิมพ์คร้ังท่ี 9 (กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , 2550), หนา้ 1. ศาสนาขั้นแนะนา | 73

หลังจากท่ีพระกุมารประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้มีพิธีขนานนาม พระราชโอรสว่า เจา้ ชายสิทธัตถะ อันมีความหมายว่า “ประสบความสาเร็จสมความปรารถนา” เม่ือเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้า สทุ โธทนะก็ทรงใหพ้ ระน้านางคือ พระนางประชาบดโี คตมเี ปน็ ผเู้ ล้ยี งดูต่อมา4 เม่ือเจ้าชายสิทธัตถะทรงเจริญวัยขึ้นได้ทรงศึกษาศิลปวิทยาการกับอาจารย์ วิศวามิตร ทรงประสบความสาเร็จในการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างดี เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราหรือพระนางพิมพา ราชธิดาของพระเจ้า สุปปพทุ ธะแห่งกรงุ เทวทหะ และทรงไดร้ บั การบารุงบาเรอใหเ้ พลิดเพลินอย่างเต็มที่ กล่าวคือ พระเจ้าสุทโธทนะไดใ้ ห้ขดุ สระปลกู บวั ขึ้น 3 สระ ในพระราชวัง สระแรกปลูกบัวเขียว สระที่สอง ปลูกบวั หลวง สระที่สามปลกุ บัวขาว ทรงโปรดให้สร้างปราสาท 3 หลัง สาหรับเจ้าชายสิทธัตถะ หลังท่ีหน่ึงสาหรับประทับในฤดูหนาว หลังท่ีสองสาหรับฤดูร้อนและหลังท่ีสามสาหรับฤดูฝน และมสี ตรีงามขับดนตรีให้ความบันเทิงเพลิดเพลินตลอดเวลา เจ้าชายสิทธัตถะทรงพระเกษม สาราญ ปราศจากความทกุ ข์ทั้งปวง จนพระชนมายุได้ 29 พรรษาก็ทรงมพี ระโอรสพระองค์หน่ึง คอื พระราหลุ 5 4.2.2 การออกผนวช เม่ืออายุประมาณ 29 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จประพาสอุทยานและ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ภาพคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ทาให้ พระองค์สลดสังเวชในความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนของชีวิต และความสงบเยือกเย็นและท่าที เปี่ยมไปด้วยความสุขของนักบวชทาให้พระองค์รู้สึกเล่ือมใส ช่ืนชม เม่ือเสด็จกลับพระราชวัง และทรงทราบวา่ พระโอรสได้ประสูติแล้วก็ทรงมองเห็นปัญหาของการครองเรือน อันมีภาระแล เครื่องผกู มัดอนั ทาใหเ้ กดิ ความทกุ ข์ จงึ ทรงตัดสนิ พระทยั ท่ีจะเสด็จออกบรรพชาในคนื นน้ั และ ไดท้ รงอธิษฐานเพศเปน็ บรรพชติ ณ รมิ ฝ่ังแม่นา้ อโนมา 4.2.3 การตรสั รู้ หลังจากทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตแล้ว ได้เข้าไปศึกษาในสานักของ อาฬารดาบส กาลามโคตรและอุทกดาบส รามบุตร ทรงศึกษาจนจบก็ยังมิได้พบทางหลุดพ้น ทุกข์ จงึ ออกจากสานกั ของอาจารย์ และทรงเดินทางไปบาเพ็ญเพียรด้วยพระองค์เอง ณ ตาบล อุรุเวลาเสนานคิ ม ในแคว้นมคธ โดยทรงบาเพ็ญทกุ รกริ ยิ าทรมานพระองค์ตามวิธีการที่นิยมกัน ในยุคนั้น เช่น การทรงกดพระทนต์ (ฟัน) ด้วยพระทนต์ การกดเพดานปากด้วยลิ้น ทาให้ ลมหายใจเดินไม่สะดวก เกิดความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส การผ่อนลมหายใจเข้าออกให้ 4เร่อื งเดียวกนั , หนา้ 2. 5เรือ่ งเดยี วกนั 74 | พุทธศาสนา

หายใจเข้าออกแต่เพียงเล็กน้อย เม่ือหายใจไม่พอเพียงจึงทาให้เกิดหูอื้อ ตาลายและปวด พระเศียรทรงเสยี ดพระอทุ ร การอดอาหารจนกระท่งั พระวรกายซูบผอม และพระโลมาหลุดร่วง จนไม่อาจทรงพระวรกายได้ วิธีการท้ังสามก็ไม่อาจนาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ จึงทรงเลิกทรมาน พระองค์และกลับมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม ปัญจวัคคีย์หรือนักบวชท้ัง 5 ที่คอยเฝ้า ปรนนิบัติเจ้าชายสิทธัตถะขณะท่ีทรงบาเพ็ญทุกรกิริยานั้นเข้าใจผิดว่าพระองค์ทรงละความ พยายามเสยี แลว้ จงึ พากนั ละทงิ้ พระองคไ์ ว้ตามลาพัง6 เจ้าชายสิทธัตถะทรงหันมาเลือกทางสายกลางท่ีไม่ตรึงหรือหย่อนจนเกินไป โดย การบาเพ็ญเพียรทางจิตพิจารณาเหตุการณ์ท้ังหลายตามเหตุตามผล ในที่สุดก็ตรัสรู้ธรรมอัน เป็นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนาคือ อริยสจั 4 เป็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ จึงทรงตัดสนิ พระทัยเสด็จออกเผยแพรพ่ ระธรรม 4.2.4 การเผยแผ่พระธรรม บุค ค ล ที่ พร ะ พุ ท ธเ จ้ า ท รง ตั ด สิ นพ ร ะ ทั ยจ ะ แ ส ดง ธ ร ร มโ ป ร ด เป็ น พ ว กแ ร ก คื อ อาจารย์ของพระองค์ ได้แก่ อาฬารดาบส และอุททกดาบส แต่เมื่อเสด็จไปถึงก็ทรงพบว่า อาจารย์ทั้งสองไดส้ ้ินชวี ติ เสยี แลว้ จงึ ทรงระลกึ ถงึ พวกปญั จวัคคีย์ ที่เคยปรนนิบัติรับใช้พระองค์ มาก่อน พระองค์ได้เสด็จไปแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก คือ ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร โปรดพวกปัญจวัคคีย์ท่ีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่า เดือน 8 นับเป็นการประดิษฐานพุทธศาสนาขึ้นคร้ังแรกในโลก หลักจากน้ันก็ได้มีเหล่า พระสาวกช่วยกันเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาจนกระทั่งมคี วามม่ันคงในชมพทู วีป 4.2.5 การปรนิ พิ พาน พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นเวลา 45 ปี และในปีสุดท้ายของการ ประกาศศาสนา ในวันขึ้น 15 ค่า เดือน 6 พระพุทธเจ้าทรงอาพาธอย่างหนักและทรงแสดง ปัจฉิมโอวาทหรือคาสอนครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จปรินิพพานแก่พุทธบริษัทท้ังฝ่ายบรรพชิตและ ฆราวาสท่ีมาเฝ้าพระองค์ว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านท้ังหลาย สังขาร ท้ังหลายมีความเส่ือมไปและความส้ินไปเป็นธรรมดา ท่านท้ังหลายจงยังกิจทั้งหลายให้สาเร็จ ด้วยความไม่ประมาทเถิด”7 โดยทรงเน้นย้าให้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนในส่ิง ทั้งหลาย เพื่อท่ีจะได้ดารงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ประมาท เม่ือถึงวันเพ็ญข้ึน 15 ค่า เดือน 6 พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ขณะมีพระชนมายุ 80 พรรษา บรบิ ูรณ์ 6สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับประชาชน (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , 2528), หนา้ 396. 7สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช, หลักพระพทุ ธศาสนา, หน้า 9. ศาสนาขัน้ แนะนา | 75

4.3 คมั ภีร์ในศาสนา เนื่องจากในปัจจุบัน พุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 2 นิกาย ใหญ่ คือ นิกายเถรวาท และมหายาน ดังนนั้ จึงจะนาเสนอคัมภรี ์สาคญั ของทงั้ 2 นิกาย นัน้ ตามลาดบั ดังต่อไปนี้ 4.3.1 คัมภีรข์ องพทุ ธศาสนาเถรวาท 1) พระไตรปิฎก คัมภีร์หลักของพุทธศาสนานิกายเถรวาท เรียกว่า พระไตรปิฎก มาจาก คาว่า ไตร แปลว่า สาม ปิฎก แปลว่า ตารา กระจาด หรือตะกร้า ในที่น้ีหมายถึง คัมภีร์ แปล ตามตัวอกั ษรวา่ สามคัมภรี ์ เม่ือกล่าวตามเนื้อความแล้ว พระไตรปิฎกหมายถึงคัมภีร์ท่ีรวบรวมคาสอน ของพระพุทธเจ้าทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยจัดเป็น 3 หมวดหมู่ คล้ายกระจาดหรือตะกร้าท่ี เป็นภาชนะใส่ส่ิงของต่างๆไว้ด้วยกันไม่ให้กระจัดกระจาย คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และ อภิธรรมปฎิ ก8 พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์หลักของพระพุทธศาสนา เป็นแนวทางความเช่ือและ การปฏบิ ัติของพุทธศาสนกิ ชน และผ่านการสงั คายนามาหลายครั้ง เพื่อให้ถูกต้อง ชัดเจน และ ครบถ้วนตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรสั สั่งสอนไว้ พระไตรปิฎกเกิดขึ้นภายหลังจากท่ีพระพุทธเจ้าปรินพพานแล้ว โดยการทา สงั คายนา กลา่ วคอื การประชุมตรวจชาระสอบทานและจัดหมวดหมู่คาส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ให้เป็นแบบแผนเดียวกัน และมีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนา คร้ังท่ี 5 ประมาณ พ.ศ. 450 ตามประวัติศาสตร์พุทธศาสนาที่ยอมรับกันเฉพาะในนิกายเถรวาท มีการ สังคายนาพระไตรปิฎกจานวน 9 คร้ัง โดยกระทาท่ีประเทศอินเดียจานวน 3 คร้ัง ได้แก่ ครั้งที่ 1-3 กระทาท่ีศรีลังกาจานวน 4 ได้แก่ครั้งที่ 4-7 แต่การสังคายนาคร้ังท่ี 6 ไม่ได้นับเป็นการ สังคายนาพระไตรปิฎกหรือการชาระพระไตรปิฎก แต่เป็นการอธิบายพระไตรปิฎกให้ชัดเจน ย่ิงขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการแปลความหมายหลากหลายตามใจชอบ ส่วนการสังคายนาครั้งท่ี 7 ก็ไม่ได้นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎก แต่เป็นการเรียบเรียงคาอธิบายพระไตรปิฎกเป็น ภาษาบาลี โดยท่านพุทธโฆษาจารย์ได้แปลและเรียบเรียงอรรถกถา (คาอธิบายพระไตรปิฎก) จากภาษาภาสิงหลเป็นภาษาบาลี ส่วนการสังคายนาคร้ังที่ 8 เป็นการตรวจชาระอักษร พระไตรปิฎก กระทาที่วัดโพธาราม จังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นการสังคายนาเป็นคร้ังแรกใน ประเทศไทย ส่วนการสังคายนาครั้งท่ี 9 เป็นการชาระพระไตรปิฎกและจารึกลงในใบลาน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นับเป็นการสังคายนาคร้ังที่ 2 ในประเทศไทย 8เร่ืองเดียวกัน, หนา้ 1. 76 | พทุ ธศาสนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook