Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัยเสนาฉบับสมบูรณ์

งานวิจัยเสนาฉบับสมบูรณ์

Published by somchaipoonudom, 2020-04-28 01:22:32

Description: วิจัยเสนา ๐๑๑ ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

๙๓ ประพาสทางน้าโดยเรือลาใหญ่ ๒ ช้ัน โดยมีพระประสงค์จะเสด็จไปวัดเจ้าเจ็ด แต่ทรงแวะพัก และเสด็จ ขึ้นท่าที่บริเวณโรงเลื่อย หมู่ที่ ๑ ตาบลบ้านแพน อาเภอเสนา มีนายสมพงศ์ ตรีสุขี และภรรยาเป็นผู้เชิญ เสด็จ และสร้างพลับพลาที่ประทับถวายช่ือ พลับพลาตรีสุขี จากน้ันได้ทรงพระดาเนินเสด็จเยี่ยมเยียน ราษฎร์ท่มี าเฝ้ารับเสด็จ มีประชาชนมารับเสดจ็ จานวนมาก ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จสองขา้ งทางมคี วาม ปล้ืมปิติท่ีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ชาวบ้านได้นาผ้าเช็ดหน้ามาวางเรียงกัน เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชดาเนินไปบนผ้าเช็ดหน้า ซงึ่ พระองค์ทรงตรสั เป็นถ้อยคาในความทรงจาวา่ ผ้าเช็ดหน้า ไม่ถึงเนื้อ พระองค์หรอก เพราะว่าใส่ถุงเท้า นางบุญธรรม สินธุเดชะ เล่าให้ฟังอีกว่า สมเด็จพระราชินีทรงมีพระสิริ โฉมงดงามมาก ทรงแจกของเล่นให้กับเด็ก ๆ ที่มาเข้าเฝ้า ณ พลับพลาตรีสุขีด้วยจากน้ันเสด็จพระราช ดาเนินตอ่ ไปวัดเจา้ เจด็ ภาพประกอบ ๓๐ ภาพทีร่ ะลึก ณ พลับพลาศรีสุขี ในคราวเสดจ็ พระราชดาเนิน อาเภอเสนา ท่ีมา: นางสาวเจนจริ า กิจเมฆ ครู กศน.ตาบลบ้านแพน

๙๔ ภาพประกอบ ๓๑ พลบั พลาศรสี ขุ ี ท่ีมา: นางสาวเจนจริ า กิจเมฆ ครู กศน.ตาบลบา้ นแพน ควำมทรงจำเกี่ยวกับกำรมำเยือนของนำยกรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญ เนื่องจากตาบลบ้าน แพน มีท้องท่ีท่ีประสบปัญหาอุทกภัยหลายคร้ัง ดังน้ัน ชาวบ้านแพน และชาวเสนา จึงเคยมีโอกาสได้ ต้อนรบั นายกรัฐมนตรี และบุคคลสาคัญ ท่ีเดนิ ทางมาตรวจเย่ยี มประชาชนที่ได้รบั ผลกระทบจากอุทกภัย หลายครงั้ อาทิ วันท่ี ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดนิ ทางมาตรวจเยี่ยม และซ้อมแผน อุทกภัยท่โี รงเรียนวัดโพธ์ิ หมู่ท่ี ๔ ตาบลบา้ นแพน วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางมาตรวจเย่ียม และให้ กาลังใจชาวบ้านท่ีประสบอุทกภัย พร้อมกับมอบถุงยังชีพแก่ผปู้ ระสบภัย บริเวณวัดโบสถ์ล่าง ตาบลบ้าน แพน อาเภอเสนา วันที่ ๒๕ ก.ย.พ.ศ. ๒๕๖๐ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย นาชุดธารน้าใจ สภากาชาดไทยพระราชทาน พร้อมน้าดื่ม จานวน ๓,๔๙๙ ชุด ไปมอบให้กับประชาชนที่ได้รบั ผลกระทบ จากอิทธพิ ลของพายโุ ซนร้อนตาลสั เซินกา และทกซูรี ณ วัดโบสถล์ า่ ง ตาบลบ้านแพน

๙๕ พระมหำกรุณำธิคณุ ของพระบำทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหำภูมพิ ลอดุลยเดชทม่ี ีต่อเหตุอัคคภี ัย นางบุญธรรม สินธุเดชะ อายุ ๙๑ ปี ในข้อมูลว่า เม่ือวันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๓๖ เกดิ เหตกุ ารณ์เพลิงไหม้คร้ัง ใหญ่ ท่ีบ้านสวนถั่ว หมู่ ๑ มีบ้านเรือไทยไม้สัก ถูกไฟไหม้ไป ๖ หลัง หลังจากเหตุการณ์สงบลง พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) ได้ทรงพระราชทานความช่วยเหลือ และ มอบเคร่ืองใช้จาเป็น อาทิเช่น กระทะ จาน หม้อ ช้อน และอ่ืน ๆ ให้กับประชาชนท่ีประสบเหตุ นับเป็น พระมหากรณุ าธิคณุ ที่สรา้ งความปราบปลืม้ และชว่ ยเยียวยาจิตใจชาวบ้านในตาบลบ้านแพนในเหตุการณ์ ครง้ั นนั้ เป็นอันมาก ๖.๓ วถิ ีชีวติ และควำมสัมพันธ์ทำงสงั คม ด้ำนอำชพี วิถีชวี ิตด้ังเดิมของชาวตาบลบ้านโพธิ์คือ การทานา ทาไร่ และเม่ือว่างเวน้ จากทานา บางคนก็จะนาสินค้าไปขายท่ีตลาดน้าบ้านแพน หน้าท่ีว่าการอาเภอเสนา จากการเก็บข้อมูลด้านอาชีพ ของชาวตาบลบ้านแพน ทาให้ทราบข้อมูลดงั น้ี นางทองใบ โททอง อายุ ๗๕ ปี ได้เล่าถึงวิถีชีวิตของชาวนา ที่สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพัน ระหวา่ งคนกบั ธรรมชาติวา่ “สมยั ก่อนป้าทานา ตื่นไปทานาตัง้ แต่ ตี ๔ เพราะถา้ ไปสายจะร้อน ใช้ควายไถ นา ไถจนกวา่ ความจะเหนอ่ื ย ควายเหนื่อยก็เลิก พอหนา้ นา้ ไม่ได้ทานาก็จะหาปลา เก็บ ผักบุ้ง ตาน้าพริกกิน ปิ้งปลาหมอเก็บไว้ เม่ือก่อนไม่ต้องซ้ืออะไรกินหาได้ในพ้ืนที่ พอ หน้าเกยี่ วข้าวก็จะเตรียมคะเน็ต ทาจากซงั ข้าว เอาไว้มัดขา้ ว เด๋ียวนใ้ี ชห้ ยวกกล้วยแทน การกินบางทกี เ็ อาข้าวคลุกมะพร้าว ใสเ่ กลือกบั นา้ ตาลกิน บางทกี ก็ นิ กบั มะม่วง” นางบุญธรรม สนิ ธุเดชะ อายุ ๙๑ ปี เลา่ วิถชี วี ิตชาวไร่ถว่ั ฝกั ยาววา่ “ในสมัยก่อนท่ีบ้านปลูกถั่วฝักยาวขาย จะปลูกบริเวณหาดทรายริมน้า ปลูก เป็นแถวเลย ตอนเช้าๆจะมีแม่ค้าพายเรือมารับซ้ือถั่วฝักยาวไปขายที่ตลาดน้าหน้าที่ว่า การอาเภอเสนา บริเวณหาดทรายริมน้าตอนเย็นจะมีเด็กลงมาเล่นกัน บางคนก็แตะ ฟุตบอล บางคนก็ลงไปแข่งว่ายน้าข้ามคลอง เวลาทาบุญหรือมีงานวัด พ่อกับแม่พาจะ พายเรอื สาปัน้ ข้ามฝั่งไปท่วี ัดบ้านแพน สมยั กอ่ นคลองไมก่ ว้างเหมอื นในปัจจุบันน้ี คลอง จริง ๆ จะอยขู่ ้างหลังวดั บ้านแพนตอนหลงั ทางน้าเปล่ียนจึงทาให้คลองตื้นเขิน” นายณัฐวฒุ ิ แป้นทองคา หรือ ผูใ้ หญ่หงวน เล่าถงึ วถิ ชี วี ติ ในมมุ ของครอบครัวทีม่ ีอาชีพคา้ ขายว่า “ครอบครัวจะพายเรือมาขายของท่ีตลาดบ้านแพน ตรงหน้าที่ทาการอาเภอ เสนา จะขายหลายอย่าง เช่น มะเขือ มะมว่ ง ใบตอง จะไปรับซ้ือมาจากชาวบ้านท่ีปลูก

๙๖ ในสมยั ก่อนตลาดคกึ คกั มาก มีเรือพายมาของของเยอะมากเตม็ คลอง สว่ นใหญ่กจ็ ะเป็น เรือปา๊ บ เรอื เขม็ ” ดำ้ นอำหำรกำรกิน นายณัฐวุฒิ แป้นทองคา เล่าถงึ อาหารการกนิ ในท้องถ่ินดว้ ยวา่ “ตอนเด็ก ๆ จะช่วยแม่ขายของ บางทีก็หาปลา สมัยก่อนปลาชกุ ชุมมาก เวลา หาปลากลบั มาบ้าน ยายก็จะเอามายา่ ง ใช้กาบมะพร้าว และข่าในการยา่ ง บางสว่ นกเ็ อา ไปทาปลาป่น บางส่วนก็เอาไปทาต้มปลาย่าง เหลือก็นาไปขาย แทบไม่ต้องซื้อของกิน ตอนเด็ก ๆ ไมม่ ไี ฟฟ้าใช้ตะเกียงน้ามนั แทน นา้ ก็จะตักนา้ ในคลองมาเติมในโอ่งให้เต็ม ... ... คนในพื้นทสี่ ่วนใหญ่จะมีอาชีพทานา และค้าขาย หาผกั หาปลากินตามทุ่ง ไมต่ อ้ งไปซื้อ ปลาชุกชุม บางทีไม่ต้องไปหาไกล ดักปลาใต้ถุนบ้านกไ็ ดก้ ินแล้ว กงุ้ แมน่ า้ ก็ เยอะชุกชุม น้าก็สะอาด ใช้น้าในคลองได้เลย เอาถังสังกะสีใส่นา้ แบกมาเตมิ ในโอ่งไวใ้ ช้ ในบา้ น ในคลองมแี พทอ่ี าศัยเยอะ บางแพทาเป็นที่ขายของ จะซอื้ กต็ ้องพายเรอื ไป” กำรเดนิ ทำง ชาวบ้านแพนสมัยก่อน นิยมการเดินทางโดยเรือเป็นอย่างมาก มีเรือเมล์ และเรือ ดว่ นคอยให้บริการอยู่ที่ตลาดบ้านแพน ซ่ึงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทส่ี าคัญในย่านนี้ นายณัฐวุฒิ แป้น ทองคา กลา่ วถึงการเดนิ ทางสญั จรในวยั เยาว์วา่ “ในสมัยวัยเด็ก เวลาเดินทางจะใช้วิธีการเดิน และใช้เรือในการสัญจร ชาวบา้ นมีเรอื ใช้ทุกบ้าน เชน่ เรือปา๊ บ เรือเขม็ ... ...เวลาจะไปเรียนก็จะมีเรือรับจ้างค่อยวิ่งรับส่ง เรียกว่าเรือเมล์ ว่ิงจากบ้าน กระทุ่มรับคนมาเรื่อย ๆ มาส่งเด็กนักเรียนที่โรงเรียนราษฎรบ์ ารุงศิลป์ เวลาจะไปเที่ยว สว่ นใหญ่จะไปเที่ยววัด เช่น วัดไผ่โรงวัว จะใช้บริการเรือหางยาว มาข้ามลี่ที่วัดสามกอ และเรือกจ็ ะวง่ิ ไปตามคลอง หรอื มาเทีย่ วงานประจาปที ี่วดั บางนมโค จะมีงานประจาปี ก็ จะน่ังเรอื ไปกัน และงานประจาปีวัดเกาะ จะใชว้ ธิ ีเดินลัดทุง่ นาไป” ...ในสมัยรุ่นปูย่ า่ การเดนิ ทางจะไปทางทางเรือ มีเรอื ดว่ นวงิ่ ผา่ นจากตลาดลาด ชะโด อาเภอผักไห่ มาตลาดบ้านแพน เวลาจะไปที่ไหนจะข้ึนเรือเป็นทอดๆ และหาก สถานที่ใกลๆ้ เช่นตลาดบา้ นแพน จะใช้วิธีเดนิ เท้าไปข้ามเรอื หน้าท่ีวา่ การอาเภอ” ด้ำนกำรค้ำขำย ท้องท่ีของตาบลบ้านแพน ตั้งอยูไ่ ม่ไกลจากย่านศูนย์กลางทางการค้าขายของ อาเภอ มีตลาดท่ีค้าขายทางน้า มีสินค้านานาชนิดขายอยู่ในเรือนแพ ท่ีผูกเรียงรายต่อเนื่องอยู่บริเวณ

๙๗ หน้าท่ีว่าการอาเภอเสนา ก่อนท่ีจะพัฒนาขึ้นมาตั้งร้านค้ากันริมฝ่ัง กลายเป็นตลาดบ้านแพน ในท้องท่ี ตาบลเสนา ซึง่ เป็นตลาดใหญ่ของอาเภอเสนา ชาวบ้านแพน จึงสามารถเดินทางมาจับจ่ายซื้อของกินของใช้ท่ีจาเป็นท่ีตลาดบ้านแพน ด้วย ระยะทางทไี่ ม่ไกลนกั บางคนเดนิ เท้ามาตลาด บางคนนั่งเรอื รับจ้างซึ่งมบี ริการอยู่ตามลาน้าน้อย และถา้ ใน ตลาดบ้านแพนไม่มีสินค้าที่ต้องการ ชาวบ้านแพนก็สามารถโดยสารเรือด่วนหรือเรือเมล์ไปซ้ือของที่ กรงุ เทพฯ โดยไปลงเรือท่ีทา่ เรอื บ้านแพนน่นั เอง นายเฉยี บ มงคลทรง อายุ ๗๒ ปี เล่าว่า “เวลาจะซอ้ื ของตอ้ งไปตลาดบ้านแพนจะใช้วธิ ีเดนิ เดิน ไปแต่เช้าๆ จะได้ไม่ร้อน ต่อมามีเรือรับจ้างพายไปตลาดบ้านแพน เวลาจะไปต่างถิ่นจะต้องไปข้ึนเรือท่ี ตลาดบ้านแพน จะมเี รือยนต์ เรอื เมล์ ใช้ในการเดินทาง” ในการปัจจุบัน ตลาดบ้านแพน ก็ยังเป็นย่านการค้าท่ีสาคัญของผู้คนในย่านน้ี ต่อมามี ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตสั มาเปดิ บรกิ ารท่ีตาบลบางนมโค ซ่ึงมีสนิ ค้าท่ีครบครัน มที ่ีจอดรถทีส่ ะดวก และ สามารถเดินทางเข้าถึงทางรถยนต์ได้โดยง่าย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยของชาวบ้าน แพน ด้ำนกำรศึกษำ คนรุ่นก่อน มักจะไปเรียนหนังสือท่ีวัด เช่นท่ีวัดบ้านแพน วัดโบสถ์ล่าง และวัด โพธิ์ วิชาท่ีเรียนก็มักจะเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ภาษาบาลี ภาษาไทย และภาษาขอม ต่อมามีการสร้าง โรงเรยี น และเปิดสอนในระดับประถมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนวัดโคกเสอื โรงเรียนวัดโพธิ์ และโรงเรียนวัด โบสถ์ ดงั นนั้ ผ้คู นตั้งแตร่ ุน่ พ่อแม่ลงมา กจ็ ะสาเรจ็ การศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนเหลา่ นี้ สาหรับระดับชั้นมัธยมศึกษา ชาวตาบลบ้านแพน มักจะส่งบุตรหลานไปเรียน ที่โรงเรียนเสนา ประสทิ ธ์ิ หรือโรงเรยี นราษฎรบ์ ารุงศิลป์ ซ่งึ ต้ังอยใู่ นย่านตาบลเสนา สว่ นในระดับอุดมศึกษาน้ัน บางคนมา ศึกษาต่อทวี่ ทิ ยาลยั ครพู ระนครศรีอยธุ ยา หรอื มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยุธยาในปจั จุบัน ด้ำนกำรรักษำโรค นายณัฐวุฒิ แป้นทองคา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาโรคในอดีตว่า “เวลาไม่ สบายจะไปซ้ือยาสมุนไพรโบราณมาต้มกินเอง เช่น ยาเขียว ยาขม ถ้ามคี นจะคลอดลูก ต้องเอาเรอื ไปรับ หมอตาแยที่หน้าวัดบางกระทิง ตาบลหัวเวียง” สะท้อนว่า การแพทย์ในสมัยก่อนผู้คนยังนิยมใช้ยา สมุนไพรโบราณ ซึง่ สามารถหาซ้อื ได้กับเภสัชกรแผนโบราณในตลาดตามต้มกินเอง และยงั มีการทาคลอด โดยหมอตาแยซึง่ เปน็ คนจากท้องถิน่ ข้างเคียงอีกดว้ ย ๖.๔ ภมู ปิ ัญญำท้องถ่นิ ในทอ้ งถิน่ ย่านตาบลบา้ นแพน มภี ูมิปญั ญาอยู่หลายชนดิ อาทิ การทาบ้านทรงไทยกระดาษ ของ นายณัฐวฒุ ิ แป้นทองคา การทาขนมไทย เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ของนางสุรีรีตน์ เกตุพัฒนา กุล การทานา ของนายประจวบ อยู่สอน การทาปุ๋ยชวี ภาพ ของนายสาราญ ฤกษเ์ กษี การทาน้าสม้ ควนั ไม้ ของนางบญุ เสรมิ บุตรแก้วกระยาสารท และนายประเสรฐิ ทรงสุภาพ

๙๘ ในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถ่ินในครั้งน้ี ผู้วิจัยขอนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการทาบ้านทรงไทย กระดาษ ไว้เป็นตัวอย่าง ดังนี้ กำรทำบ้ำนทรงไทยกระดำษ นายณัฐวฒุ ิ แป้นทองคา หรือ คุณลุงหงวน ผูใ้ หญ่บ้าน หมู่ ๔ เป็น ครูภูมิปัญญาการทาบ้านทรงไทยกระดาษ ที่ได้เปิดสอนให้ความรู้กับนักเรียนโรงเรียนเสนาประสิทธิ์ ซ่ึง เป็นโรงเรยี นประจาอาเภอดว้ ย วิธกี ารทาพอสงั เขป คอื เริ่มจากการร่างแบบบ้านทรงไทยลงบนกระดาษ และนากาวติดกระดาษ เทาบางกับแบบบ้านที่จะสร้าง ใช้กระดาษผิวมันในการสร้างโครงบ้าน โดยตัดตามแบบท่ีสร้าง แล้วใช้ กระดาษเทาบางในการทาลายกระเบอ้ื ง โดยใช้สโี ปสเตอรใ์ นการระบาย จากนน้ั นาส่วนประกอบต่าง ๆ มา ทากาวประกอบเข้าเป็นตัวบ้านทรงไทย จากน้ันใช้น้ายาเคลือบเงา เคลือบบ้านทรงไทยเพ่ือความสวยงาม เปน็ ข้ันตอนสุดทา้ ย ภาพประกอบ ๓๒ การทาบ้านทรงไทยกระดาษ ทมี่ า: นางสาวเจนจิรา กิจเมฆ ครู กศน.ตาบลบ้านแพน ๖.๕ ประเพณที อ้ งถน่ิ สลำกภัต เป็นวธิ ีถวายทานแก่พระสงฆอ์ ยา่ งหนง่ึ โดยการจับสลากเพอื่ ถวายภัตตาหารหรือปัจจัย แก่พระภิกษุ เป็นวิธีการทาบุญสาหรับผู้ศรัทธาท่ีมีปัจจัยวัตถุจากัด และไม่สามารถถวายแก่พระสงฆ์ ท้งั หมดได้ ซงึ่ ทีว่ ดั โพธย์ิ ังยดึ ถือปฏบิ ัติอยู่ ทอดผ้ำป่ำทำงเรือ ชาวตาบลบ้านแพนในอดีตใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง ดังน้ันพิธี ทอดผ้าป่า จึงมีการแห่ขบวนผ้าป่าทางเรือไปตามแม่น้าน้อย เม่ือถึงท่าน้าหน้าวัด ก็จะมีการนากองผ้าป่า

๙๙ ข้นึ จากเรือ และจดุ ประทดั เพ่อื เป็นอาณัตสิ ญั ญาณของการมาถงึ ของขบวนผ้าป่า บา้ งมีการทาต๊กุ ตาผีไวบ้ น เรือ โดยใหต้ ๊กุ ตานอนราบไปกบั เรอื และเม่ือมชี าวบา้ นบรจิ าคเงนิ ตุก๊ ตาผกี ็จะลกุ ขึน้ นง่ั ได้ วันสงกรำนต์ สิ่งท่ีนอกจากการรดน้าขอพรผู้ใหญ่ และสรงน้าพระเช่นในท้องถ่ินอื่น ๆ แล้ว ชาวบ้านแพนในอดีตจะมีการละเล่นตีกาบมะพร้าว โดยนากาบมะพร้าวมาตัดให้โค้งๆ แล้วก็ใช้ไม้ตีท่ีหัว กาบ เพอื่ แขง่ ขนั ให้กาบมะพร้าววงิ่ ไปไกล ๆ มกี ารกอ่ เจดีย์ทรายโยนลูกช่วง เล่นมอญซ่อนผา้ และตจ่ี บั ซ่ึง เป็นการละเลน่ แบบโบราณ ทไ่ี ม่มีเลน่ กันแลว้ ในปจั จบุ ัน บวชนำค ชาวตาบลบ้านแพน เป็นหนึ่งในชุมชนท่ีมีวิถีชีวิตผูกพันกับสายน้ามาแต่เดิม ดังน้ัน เวลามีงานบุญต่าง ๆ เช่น งานบวชนาคก็มักจะมีการแห่นาคทางน้า จากภาพถ่ายการแห่นาคทางน้าใน อดตี จากชุมชนในหม่ทู ี่ ๑ เพื่อไปทาบญุ ทีว่ ัดบา้ นแพนนั้น แสดงให้เห็นว่าในขบวนแห่ประกอบด้วยเรือ ๓- ๔ ลา โดยลาที่แห่นาคนั้น ใช้เรอื เมล์ ๒ ชั้น กางร่มสัปทนสูงเด่นอยู่บนเรือ แต่ในปัจจุบันการแห่นาคทาง นา้ ลดน้อยลงไปตามความนิยมในการสญั จรทางเรอื ภาพประกอบ ๓๓ ภาพการแห่นาคทางนา้ จาก หมู่ ๑ ไปยงั วดั บา้ นแพน ที่มา: นางสาวเจนจริ า กิจเมฆ ครู กศน.ตาบลบ้านแพน กำรเชิญร่วมพิธีมงคลสมรส ชาวบ้านย่านบ้านแพน มีวิธีการเชิญแขกให้มาร่วมพิธีมงคลสมรส ด้วยของชารว่ ยอนั เป็นเอกลกั ษณด์ ้ังเดิมของท้องถิ่น คือ ก่อนพธิ ีแต่งงาน ทางฝ่ายเจ้าสาวจะทาขนมไวเ้ ป็น จานวนมาก เมือ่ ถึงเวลาไปเช้ือเชญิ ญาติพนี่ ้องใหม้ ารว่ มงาน กจ็ ะนาขนมไปแจกตามบ้านเรอื นตา่ ง ๆ แทน การใชก้ ารด์ เชญิ

๑๐๐ ๖.๖ ควำมเชื่อ และสิ่งยึดเหนย่ี วทำงจิตใจ ในพืน้ ทีข่ องตาบลบา้ นแพนมีวดั ท้ังหมด ๔ วดั ประกอบด้วย วัดโคกเสือ ที่วัดแห่งนี้ขึ้นช่ือเรื่องเครื่องรางหลวงพ่อปาน เน่ืองจากหลวงพ่อปานทรงบูรณะวัด โคกเสอื คนที่มาทาบุญทว่ี ดั นี้ สว่ นใหญม่ าจาก หมู่ ๓ ตาบลบ้านแพน ภาพประกอบ ๓๔ โบสถว์ ัดโคกเสอื ท่มี า: ผวู้ ิจยั ภาพประกอบ ๓๕ วหิ ารวดั โคกเสือ ท่มี า: ผวู้ ิจัย

๑๐๑ วัดโพธิ์ ต้ังอยู่ริมแม่น้าน้อย มีสภาพร่มรื่นเป็นป่า จึงมีฝูงลิงจานวนมากมาอาศัยอยู่บริเวณน้ี นอกจากนย้ี งั มีเคร่ืองราง พระไพรพี ินาศ เปน็ ทขี่ ึน้ ช่ืออีกด้วย วดั น้ีเปน็ ศูนย์รวมจิตใจของผคู้ นทอี่ าศยั อยทู่ ั้ง ๒ ฝ่ังแม่นา้ น้อย คอื ทั้งฝง่ั ตาบลบ้านแพนด้านทศิ ตะวันออก และฝงั่ ตาบลบ้านโพธท์ิ างดา้ นทศิ ตะวนั ตกของ แม่นา้ โดยไม่มขี อบเขตทางการปกครองมาเป็นเครื่องขีดกนั้ ผู้คนทม่ี าทาบญุ ท่วี ัด ชาวบ้านท่ีนิยมมาทาบุญทว่ี ัดน้ีประกอบด้วย ชาวบ้านในย่าน หมู่ ๔ และหมู่ที่ ๕ ของตาบลบา้ น แพน และชาวบ้านหมู่ ๑ หมู่ที่ ๒ หมู่ท่ี ๓ และหมู่ที่ ๑๒ ของตาบลบ้านโพธ์ิ ซ่ึงช่ือของวัดโพธิ์ที่ต้ังอยู่ใน ตาบลบ้านแพนแห่งนี้ ก็เป็นที่มาของช่ือตาบลบ้านโพธิ์ ซ่ึงมีอาณาบริเวณอยู่ฝั่งตรงขา้ มทางด้านตะวันตก ของแมน่ า้ น้อยน่นั เอง ภาพประกอบ ๓๖ วดั โพธ์ิ ทมี่ า: ผวู้ ิจัย วัดยวด เป็นวัดประจาท้องถ่ินของชาวบ้านหมู่ ๗ ตาบลบ้านแพน ภายในวิหาร ประดิษฐาน หลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปปางมาวิชัยองค์ใหญ่ มีศาลาพระสังกัจจายน์ ศาลหลวงพ่อจิบ ท่ีทางวัดได้เปิด ศาลาเพ่ืออานวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชนท้ังในท้องถ่ินและนักท่องเที่ยวท่ัวไป ให้สามารถเข้าไป สักการะกราบไหว้ได้ตลอดเวลา และนอกจากน้ียังจัดทาศาลากลางน้า ให้ผู้มาเยือนสามารถทาทานให้ อาหารปลารวมท้ังจัดให้มีร้านค้า ร้านอาหารเล็ก วัดนี้จึงมีความพร้อมรองรับการท่องเที่ยวในท้องถิ่นได้ เป็นอยา่ งดี วดั โบสถ์ หลวงพ่อคล้าย ผ้คู นใน หมู่ ๘,๙ ตาบลบ้านแพน นิยมมาทาบญุ ทวี่ ดั นี้

๑๐๒ ภาพประกอบ ๓๗ หลวงพอ่ ใหญ่ วัดยวด ท่มี า: ผูว้ ิจยั ภาพประกอบ ๓๘ วดั โบสถ์ ท่ีมา: ผ้วู ิจัย

๑๐๓ ศำลเจ้ำพ่อขุนหมื่นไกล ในตาบลบ้านโพธ์ิมีศาลเจ้าขุนหม่ืนไกล เป็นศาลเล็ก ๆ ต้ังอยู่ริมลาน้า คนเกา่ แกใ่ นทอ้ งถน่ิ เลา่ วา่ เปน็ ขุนศึกผหู้ นงึ่ ในสมยั อยธุ ยา ๖.๗ ควำมเปลย่ี นแปลงของทอ้ งถน่ิ นายณัฐวุฒิ แป้นทองคา หรือ ผู้ใหญ่หงวน เล่าถึงความเปลย่ี นแปลงวิถีการคมนาคมจากในอดีต ทผ่ี คู้ นนยิ มเดนิ ทางสญั จรโดยเรือ แต่ในปัจจบุ ัน การคมนาคมทางบกสะดวกมากข้ึน ผคู้ นนยิ มเดินทางโดย รถยนตแ์ ทน ว่า “สมัยตอนเด็ก การเดินทางจะไปทางเรอื หากไปไมไ่ กลนกั จะพายเรอื ไปกันเอง แต่ถ้าไกลหน่อยจะมีเรือหางยาว รับจ้างพาไป และก็มีเรือโดยสาร หรือเรือเมล์ แต่ถ้า ทางบกจะเดินไป บางทีจะไปงานวัด เช่นงานวัดเกาะ ก็จะเดินลัดทุ่งไปเที่ยวกัน สมัยนี้ สะดวกมากข้ึน เพราะทุกบ้านมีรถยนต์เป็นของตัวเอง และมีสถานีขนส่งอาเภอเสนา มี รถโดยสารไปที่ไกล ๆ ไมต่ อ้ งไปตอ่ เรอื แบบสมยั กอ่ น” นายณัฐวุฒิ แป้นทองคา ยังให้ขอ้ มูลอกี วา่ “สมัยก่อนการใช้ชีวิตสนกุ สาน และมีความสุขกว่าไม่ ตอ้ งกังวลอะไรมาก จะกินอะไร จะทาอะไรกส็ ามารถทาด้วยตนเองได้ ขา้ วก็หุงด้วยฟืน หาปลา หากุ้ง ชุก ชมุ มากแตใ่ นปจั จุบันทุกอยา่ งจะตอ้ งใช้เงินหมด ส่ิงแวดลอ้ มก็ถูกทาลาย” นายอคั รพงษ์ ทพิ ย์พงษ์ นายเพ็ง ตรพี าต และนายสมควร ดวงดีเล่าว่า “สมยั ก่อน ไมต่ ้องซือ้ ของ กิน เพราะจะใช้วิธีแลกเปลี่ยน มีข้าวก็ไปแลกกับปลา หรือปลูกอะไรไว้ก็จะนามาแลกกัน คนสมัยก่อนมี นา้ ใจ เอื้อเฟื้อ แต่ปจั จบุ นั คนไมค่ ่อยยงุ่ เกย่ี วกันเทา่ ไหร่ และมีคนนอกพน้ื ทมี่ าอาศัยอยูห่ ลายครอบครวั ” ความเปลี่ยนแปลงของท้องถ่ินอย่างหนึ่งที่ถูกสะท้อนได้จากการวิจัยในคร้ังนี้ คือความ เปลย่ี นแปลงทางด้านสังคม ที่แม้ว่าหลายๆ ส่ิง ในทอ้ งถ่ินได้รับการพัฒนาให้มีความเจริญ ทัง้ ระบบไฟฟ้า นา้ ประปา และถนนหนทางท่สี ะดวก แตอ่ ีกด้านหนง่ึ กลบั พบว่าผูค้ นในท้องที่มปี ฏสิ มั พนั ธ์ทางสังคมนอ้ ยลง อนั เนื่องมาจากความเจริญและความสะดวกสบายท่ีเกิดข้ึนน้ัน มีส่วนทาให้ผู้คนไม่จาเป็นต้องอาศยั พึ่งพา กนั มากดังเชน่ แต่กอ่ น ดังเชน่ ในสมัยก่อน เวลาบ้านใด มีงานมงคล เพอื่ นบา้ น ก็จะรว่ มแรงร่วมใจช่วยกัน จดั งาน ๓ วัน ๓ คนื แต่ในสมยั นี้ผูค้ นใชช้ วี ติ แบบต่างคนต่างอยู่ และไปร่วมงานกันบา้ งพอเป็นพธิ ีเท่าน้ัน

๑๐๔ ๗.ตำบลเจำ้ เสด็จ ตาบลเจ้าเสด็จเคยเป็นส่วนหน่ึงของตาบลรางจระเข้ ซึ่งมีทั้งหมด ๑๒ หมู่บ้าน แต่เนื่องจาก ตาบลรางจระเข้ มีประชากรจานวนมาก และการคมนาคมไม่สะดวก ทาให้ไม่สามารถปกครองได้อย่าง ท่วั ถึง จงึ ได้มกี ารแบ่งเขตการปกครองจากตาบลรางจระเข้ออกมา ๖ หมบู่ า้ น ต่อมาทางราชการได้กาหนดเขตสุขาภิบาลเจ้าเจ็ด โดยรวมตาบลเจ้าเสด็จ ตาบลบ้านแถว และ ตาบลเจ้าเจด็ เข้าไว้ในเขตการปกครองของสุขาภิบาลเจ้าเจ็ด และต่อมาไดร้ ับการยกฐานะจากสุขาภิบาล เจ้าเจ็ดให้เป็นเทศบาลตาบลเจ้าเจ็ด ดังนั้น ในปัจจุบัน ตาบลเจ้าเสด็จ จึงอยู่ภายใต้การปกครองของ เทศบาลเจ้าเจ็ด ๗.๑ อำณำเขต และภูมปิ ระเทศ อำณำเขต ตาบลเจ้าเสด็จ มอี าณาเขตตดิ ตอ่ กับตาบลรางจรเข้ทางด้านทิศเหนือ และต่อเนื่องลง มาทางทิศตะวันออก ส่วนทางด้านทิศใต้ติดต่อกับตาบลบ้านแถว และตาบลเจ้าเจ็ด และทางด้านทิศ ตะวันตกมีพื้นท่ีติดต่อกับอาเภอบางซ้าย ตาบลเจ้าเสด็จมีระยะทางห่างจากตัวอาเภอเสนา ประมาณ ๕ กิโลเมตร สว่ นการเดินทางเพ่อื เข้าสู่ตัวจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา มรี ะยะทาง ๒๕ กโิ ลเมตร ทิศเหนอื มีพ้นื ที่ตดิ ต่อกบั ตาบลรางจรเข้ อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มีพน้ื ทต่ี ดิ ต่อกับ ตาบลบา้ นแถว และตาบลเจ้าเจด็ อาเภอเสนา ทิศตะวันออก มีพื้นทีต่ ิดต่อกับ ตาบลรางจรเข้ อาเภอเสนา ทิศตะวนั ตก มพี ้นื ที่ติดตอ่ กับ ตาบลเตา่ เลา่ อาเภอบางซา้ ย แผนที่ ๑๕ แผนท่ีแสดงอาณาเขตตาบลเจ้าเสดจ็ ที่มา: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๐๕ ภูมิประเทศ พื้นท่ีสว่ นใหญ่ของตาบลเจ้าเสด็จ เป็นท่รี าบลุ่ม มีคลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน เป็นคลอง สาคัญไหลผ่าน และมีคลองสาขาอาทิ คลองสะแก คลองววั ใหญ่ และคลองวังเหนือ ทาหน้าที่ชลประทาน น้า ทาใหย้ า่ นตาบลเจ้าเสด็จเหมาะแกก่ ารทาการเกษตร และทาการประมงเล้ียงชีพ คลองเจ้าเจ็ด-บางย่ีหน เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้าระหว่างจังหวัดที่สาคัญในอดีต ชาว สุพรรณบุรีสามารถเดินทางจากอาเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีมาแวะพักที่ท่าเรืออาเภอเสนา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา และสามารถเดินทางต่อไปยงั กรุงเทพมหานครได้ พื้นท่ีทางตอนเหนือของตาบลเป็นทุ่งนากว้างใหญ่ ส่วนพื้นที่ชุมชนน้ัน ต้ังเรียงรายอยู่ริมคลอง เจ้าเจ็ด-บางย่ีหน อนั เป็นชุมชนด้ังเดิมทีอ่ ิงอาศัยสายน้าในการเลี้ยงชีพ ส่วนชุมชนใหม่มีการขยายตัวจาก ริมคลองเจา้ เจด็ - บางยห่ี น ออกมาตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดนิ หมายเลข ๕๐๒๕ ตามความสะดวกในการใช้ รถ และถนนเปน็ เส้นทางในการสญั จร แผนท่ี ๑๖ สภาพทางภมู ศิ าสตร์ย่านตาบลเจ้าเสด็จ ทมี่ า: สถาบนั อยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๐๖ เขตกำรปกครอง ในปัจจุบนั ตาบลเจ้าเสดจ็ มีหม่บู ้านท้งั หมด ๖ หมู่บา้ น ดังต่อไปนี้ หมู่ท่ี ๑ เรียกว่า บ้านกลางคลอง ในอดีตเรียกว่าบ้านบัวหัก ต่อมาเรยี กว่าบ้านบ่อหัก ท่ีมาของ ชอ่ื บา้ นบอ่ หกั เพราะในอดีตเป็นสระนา้ มีลักษณะโค้งเป็นบ่อ ปัจจุบันเรียกบ้านวัดกลางคลอง เน่ืองจากมี วดั กลางคลอง เปน็ วดั สาคัญในพ้ืนท่ี หมทู่ ี่ ๒ เรียกวา่ บ้านคลองสะแก เน่อื งจากมีคลองสะแกคัน่ ระหว่าง หมู่ที่ ๒ และ หมทู่ ี่ ๓ หมู่ท่ี ๓ เรียกวา่ บ้านเจ้าเสด็จ เน่ืองจากสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จ พระนางเจา้ สิรกิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ เสดจ็ มาในทอ้ งท่แี ทบน้ี เมือ่ ปี พ.ศ.๒๕๐๕ หมทู่ ่ี ๔ เรียกว่า บา้ นตากแดด มเี ร่ืองเล่าว่าในอดีตพ้ืนทนี่ ้ีเปน็ ทร่ี าบ คนท่ีอาศยั อยเู่ ปน็ คนยากไร้ จึงได้สร้างบ้านโดยไม่มีหลังคาบ้าน จึงเรยี กว่า บา้ นตากแดด หมู่ที่ ๕ เรียกว่า บ้านรางข้าวผอก มีเรื่องเล่าว่า เคยมีพระมหากษัตริย์เสด็จมาเสวยพระกะยา หารกลางวัน ท่ีลารางสายหน่ึงในยา่ นนี้ ซึ่งข้าวผอกมคี วามหมายถึง ข้าวห่อ หรือข้าวที่บรรจุกระบอกเพื่อ นาไปรับประทานเปน็ อาหารกลางวนั หมู่ท่ี ๖ เรียกว่า บ้านโรงสูง (บ้านญวน) ในอดีตมีชาวญวนอพยพมาตั้งรากฐานบริเวณหมู่ที่ ๖ ซ่งึ ส่วนหนง่ึ นับถือศาสนาคริสต์ มีเรื่องเลา่ ว่าในอดีตมีสัตว์มีพิษจานวนมาก จึงมีการสร้างบ้านเรือนยกสูง เพอ่ื หนนี า้ ท่วม จึงเรียกวา่ บา้ นโรงสูง ๗.๒ ประวัตศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถน่ิ ตาบลเจ้าเสด็จ เป็นตาบลท่ีแบ่งเขตการปกครองมาจาก ตาบลรางจรเข้ เดิมทีพื้นที่ตาบลเจ้า เสดจ็ เรยี กกันว่า บ้านคลองสะแก เน่ืองจากมคี ลองสะแก ท่ีมีตน้ สะแกข้ึนอยู่บริเวณ ๒ ฝั่งคลอง คลองสาย น้ีไหลลงมาจากตาบลรางจรเข้ ผ่านพน้ื ทีย่ า่ นชุมชนของตาบลเจา้ เสด็จ ช่ือตาบลเจ้าเสด็จน้ัน ส่ือความหมายให้ทราบว่า เป็นท้องที่ท่ีพระเจ้าแผ่นดิน หรือ พระมหากษัตริยพ์ ระองคใ์ ดพระองค์หน่ึงเสด็จผ่าน ซงึ่ ในย่านน้ี มีเรือ่ งราวท่ีเล่าเก่ียวกบั การเสด็จพระราช ดาเนนิ ของพระเจ้าแผน่ ดินหลายครงั้ ทง้ั เรื่องเล่าเชงิ ตานาน และเรอื่ งจริงทางประวตั ศิ าสตร์ ดงั นี้ ตำนำนรำงข้ำวผอก ในท้องถ่ินตาบลเจ้าเสด็จมีตานานเล่าขานกันว่า เคยมีพระมหากษัตริย์ เคล่ือนทัพจากจังหวัดสุพรรณบุรีผา่ นมายังพระนครศรีอยุธยา เมื่อผ่านมาบริเวณลารางสายหนึง่ ในท้องท่ี แถบน้ี กท็ รงแวะพกั เสวยพระกระยาหารกลางวนั อยคู่ รูห่ นึง่ จากนั้นจึงเสดจ็ ต่อไป ภายหลังชาวบ้านได้เรยี กขานท้องทแ่ี ห่งนีว้ า่ รางข้าวผอก ซึง่ ข้าวผอกน้ีหมายถงึ ขา้ วห่อหรอื ขา้ ว ทบ่ี รรจกุ ระบอกไปรบั ประทานตอนกลางวนั ปัจจุบันบ้านรางขา้ วผอก คือหมู่ที่ ๕ ของตาบลเจ้าเสดจ็ ตำนำนเจ้ำเจ็ด เป็นเร่ืองเล่าประจาท้องถ่ินย่านคลองเจ้าเจ็ด ของท้ังตาบลเจ้าเสด็จ และตาบล เจ้าเจ็ดวา่ ภายหลงั กรงุ ศรอี ยุธยาถูกกองทพั บุกเข้าเผาทาลายบ้านเมือง และพระราชวงั จนสน้ิ แลว้ ได้มีเจ้า ฟ้า เจ้าแผ่นดิน เสด็จหนีสงครามมาประทับอยู่ท่ีย่านคลองเจ้าเจ็ด นับรวมกันได้ ๗ พระองค์ จึงได้สร้าง บ้านเรือน และสรา้ งวดั เจา้ เจ็ดข้นึ ในย่านน้ี

๑๐๗ เหตุกำรณ์สมเด็จพระปรมินทรมหำภูมิพลอดุลยเดช เสด็จวัดเจ้ำเจ็ด พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นเร่ือง จริงที่ถูกบนั ทึกไวเ้ ป็นประวัตศิ าสตร์ความทรงจาของชาวอาเภอเสนาว่า สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอ ดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชโอรส และพระราชธิดา เสดจ็ ทางชลมารคมาตามคลองเจา้ เจ็ดเพอื่ ทอดพระกฐิน ทว่ี ดั เจ้าเจ็ดในและวดั เจ้าเจ็ดนอก แม้ว่าเหตกุ ารณ์คร้ังน้ีจะเกี่ยวข้องกับวัดเจ้าเจด็ ในและ วัดเจ้าเจด็ นอก ซ่ึงตั้งอยู่ในเขตตาบลเจ้า เจ็ดก็ตาม โดยมิได้เสด็จมาที่ตาบลเจ้าเสด็จโดยตรงก็ตาม แต่ผู้คนท้ังฝั่งตาบลเจา้ เสด็จ และตาบลเจ้าเจ็ด ต่างก็รับรู้ และถือเป็นความทรงจาร่วมกัน หาได้มีเร่ืองของขอบเขตทางการปกครองมาแบ่งก้ันการรับรู้ ของผคู้ นแต่อยา่ งใด จากเรื่องเล่าเชิงตานาน และเร่ืองจริงทางประวัติศาสตร์ที่เก่ียวข้องกับการเสด็จพระราชดาเนิน ของพระมหากษัตริย์หลายเรอื่ งที่กลา่ วแลว้ นัน้ นามาส่กู ารขนานนามของตาบลแหง่ นีว้ ่า “ตาบลเจา้ เสด็จ” ๗.๓ วถิ ีชวี ิต และควำมสัมพันธท์ ำงสงั คม ด้ำนกำรเดินทำง คนในชุมชนมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับการใช้แม่น้า ลาคลองเป็นเส้นทางสัญจรมา ต้งั แตใ่ นอดีต ผู้คนใชเ้ รอื เปน็ ยานพาหนะ บา้ นเรอื นทอี่ ยู่รมิ นา้ มักจะมที ่าเทยี บเรอื อย่หู นา้ บา้ น การท่ีชุมชนย่านเจ้าเสด็จ เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ริมคลองเจ้าเจ็ด- บางย่ีหน ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรท่ี สาคัญจากบางยห่ี น จังหวัดสุพรรณบรุ ี มายังตลาดบา้ นแพน อาเภอเสนา ทาให้ยา่ นนีม้ ีความสะดวกในการ เดินทาง การขนส่ง และการค้าขายเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนพลุกพล่าน มีตลาดน้าท่ีค้าขายกันในแพ และมีท่า เทียบเรอื เมล์สาหรับขนสง่ ผโู้ ดยสารและสนิ คา้ ตา่ ง ๆ ตั้งอยู่ในย่านน้ีด้วย แต่ภายหลงั เม่ือการคมนาคมทาง ถนนสะดวกมากขนึ้ ผู้คนกเ็ ปลี่ยนไปนิยมเดินทางโดยรถยนต์ และรถโดยสาร ทาให้เรือเมล์ และตลาดแพ ในยา่ นนี้หมดไป เหลือไวเ้ พียงชุมชนรมิ นา้ ทเี่ งียบสงบ ด้ำนกำรเกษตรกรรม ในอดีตคนในชุมชนประกอบอาชีพในการทานาปี คือทานาปีละ ๑ คร้ัง โดยใช้วัวหรือควายเป็นกาลังในการไถนาพอถึงเดือนมิถุนายน ชาวนาจะหว่านข้าวทิ้งไว้รอจนกว่าฝนตก จากนนั้ ข้าว จะเร่มิ งอกและเจรญิ เตบิ โต เม่อื เข้าสเู่ ดอื นตลุ าคมขา้ วจึงเรมิ่ ออกรวง การทานาจะมพี ิธีกรรมท่ที ากันต้ังแต่บรรพบรุ ุษสบื ทอดกันมา คือ พิธีรบั ขวัญข้าว เม่ือข้าวเรมิ่ ตั้ง ท้อง จะมีผู้หญิงเป็นคนทาพิธีใหโ้ ดยมอี ุปกรณ์ในการทาพิธกี รรม คือ ขนมต้มแดง ขนมตม้ ขาว ของเปรย้ี ว หวี แป้ง น้าหอม ใส่เฉวียง และชะลอม นามาบูชาพระแม่โพสพใน ท้องทุ่งนา จากน้ันจะมีการทาพิธีเชิญ แม่โพสพเข้าบ้าน หลังจาก ข้าวออกรวงพร้อมเก็บเกี่ยว จะมีการลงแขกเกี่ยวข้าวกันซ่ึงคนในชุมชนจะ รวมตวั มาชว่ ยกนั ลงแขกเกี่ยวข้าวและเมื่อเกี่ยวขา้ วเสร็จแล้วจะตากแห้งไวท้ ่นี ากอ่ น ชาวนาจะเตรียมลานเก็บข้าว โดยใช้วัว ควาย หลายๆตัวเดินย่าลานให้แน่นและเรียบก่อน จากนัน้ จะนามลู วัวหรือมลู ควาย มาผสมน้าแล้วใชม้ ือทามลู วัวมลู ควายกบั พนื้ ลานดินทเ่ี ตรียมไว้ จากน้นั รอ ใหแ้ ห้งจงึ จะสามารถใช้ลานข้าวได้

๑๐๘ เมื่อนาข้าวมาไว้ที่บ้าน จะมีพิธีกรรมท่ีทาสืบทอดกันมา คือ การทาขวัญลานข้าว เพ่ือเป็นการ รบั ขวัญข้าว เน่ืองจากคนในท้องถิ่นมีความเชื่อเกี่ยวกับการเก็บเก่ียวข้าวว่าตอนท่ีนาเคียวไปเกี่ยวข้าวมา ข้าวจะมอี าการตกใจ จงึ ต้องมีการรับขวัญและเรยี กขวัญกลับมา ในอดีตจะมีการนวดข้าว โดยใช้ควายนวด เม่ือได้ข้าวเปลือกท่ีเป็นเม็ดๆ จะนามาเก็บไว้ใต้ถุน บา้ น บางบ้านจะทายุ้งใสข่ า้ วบางบา้ นฐานะไมด่ ีก็จะสานเสวียนซงึ่ ทาจากไม้ไผ่มาสานขดั ไปขัดมา เปน็ แผ่น สี่เหล่ียมขนาดใหญ่แล้วมาม้วนเป็นวงกลมนาข้าวเปลือกมาใส่ไว้ข้างใน เพื่อกันสัตว์ไม่ให้มากินขา้ วเปลือก จากน้ันเอาข้าวมาฝัดเอาเปลือกออกให้เหลอื แต่เมล็ดสีขาว และนามาหุงกนิ บางส่วนเก็บไว้ทาเมล็ดพันธุ์ ต่อไป ด้ำนกำรค้ำขำย ในอดีตชุมชนเจ้าเจ็ดตั้งอยู่ในย่านตลาดน้าเจ้าเจ็ด ดังน้ัน จึงคนในท้องถิ่นจึง สามารถพายเรือไปซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนสินค้าท่ีต้องการได้อย่างสะดวก แต่ถ้าต้องการซ้ือเสือผ้า หรือ อปุ กรณ์ต่าง ๆ เฉพาะเวลามีงานอุปสมบท งานมงคลสมรส และงานฌาปนกิจ จะต้องพายเรือไปซ้ือของท่ี ตลาดบ้านแพน ซงึ่ เปน็ ย่านการค้าแหล่งใหญ่ และต้ังอยู่ไมใ่ กลจ้ ากตาบลเจ้าเสด็จ แม้ในปัจจุบันไม่มีตลาด น้าเจา้ เจ็ดแล้วก็ตาม แต่ชาวเจ้าเสดจ็ ยังนยิ มไปซอ้ื ของทีต่ ลาดบ้านแพนอยเู่ ชน่ เดิม ดำ้ นกำรศึกษำ การศึกษาของผคู้ นร่นุ ปู่-ยา่ มกั จะเรยี นหนังสอื ถงึ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๔ ตามวัด ต่าง ๆ ในท้องถิ่น อาทิ วัดเจ้าเจ็ดนอก และเจ้าเจ็ดใน ส่วนคนในรุ่นพ่อ-แม่นั้น เรียนหนังสือถึงระดับ ประถมศึกษาปีที่ ๗ ท่ีโรงเรยี นวัดเจ้าเจด็ นอก และโรงเรียนวดั เจ้าเจ็ดใน จากน้ันจะไปศึกษาตอ่ ในระดับช้ัน มศ.๓ ทีโ่ รงเรียนเสนาประสทิ ธ์ิ ในตัวเมอื งเสนา สาหรับการศกึ ษาในปัจจุบนั นักเรียนท่ีศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษามกั จะศึกษาที่โรงเรียนวัด เจา้ เจด็ นอก และโรงเรยี นวดั เจ้าเจด็ ใน โรงเรยี นราษฎร์บารงุ ศิลป์ โรงเรยี นจนี โรงเรียนประสาทศลิ ป์ หรือ ชื่อโรงเรียนเซนต์จอห์นปับติสต์ในปัจจุบัน สาหรับการเรียนระดับ ช้ันมัธยมศึกษาชาวบ้านจะนิยมเข้า ศึกษาท่ีโรงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรียนผดุงวิทยา โรงเรียนเซนจอห์นปับติส และระดับช้ันอุดมศึกษา มักจะเดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยาและมหาวทิ ยาลยั อนื่ ๆ ในกรุงเทพมหานคร ๗.๔ ประเพณที ้องถิน่ ประเพณีการเล่นตรุษสงกรานต์ คนในชุมชนนิยมไปเล่นน้ากันท่ีลานวดั เจ้าเจด็ นอกและลานวัด เจา้ เจ็ดในหรอื เลน่ ในลานของชุมชนใกลๆ้ ซ่ึงเป็นประเพณดี ้ังเดมิ เป็นโอกาสให้คนหนุม่ สาวมาเจอกนั บ้าง กพ็ บรกั กัน และมีการละเลน่ พนื้ บา้ น เชน่ การเลน่ รรี ขี ้าวสาร มอญซ่อนผา้ เป็นต้น ถ้าบ้านไหนมีงานมงคลสมรส งานอุปสมบท คนในชุมชนจะช่วยกนั ทาอาหารและขนมเล้ียงแขก ในงาน เช่น คนรุ่นหนุ่มสาวก็จะไปช่วยโขลกขนมจีน บ้างก็ทาขนมหวาน แต่ในปัจจบุ ันไมม่ ีการช่วยงานใน ลักษณะน้แี ล้ว

๑๐๙ ส่วนงานฌาปนกิจศพในอดีตนั้น คนในทอ้ งถ่นิ มักจะเคลื่อนย้ายศพไปทางนา้ เพื่อนาไปประกอบ พิธีฌาปนกิจท่ีกองฟอน ณ วัดเจ้าเจ็ดใน โดยการเดินทางทางเรือ เม่ือผ่านหน้าบ้านใคร ชาวบ้านก็จะ บริจาคฟืนกันคนละมัดสองมดั เปน็ การมีสว่ นรว่ มในพิธีฌาปนกิจ ๗.๕ ควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งผูค้ นกับธรรมชำติ ในสมัยท่ีอาเภอเสนายังไม่มกี ารคมนาคมทางบก และการประปาที่สะดวกดังเช่นในปัจจุบัน คน ในชุมชนจะมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าในทุก ๆ ด้าน พร้อมด้วยความเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ที่มีต่อ ผอู้ ื่นในสังคมอีกด้วย เช่น การใช้น้าเพ่ือการอุปโภค บริโภคในพ้ืนท่ีที่ห่างไกลจากแม่น้าลาคลองนั้น ตาม ท้องทุ่งจะมีบ่อน้าท่ีสามารถใช้ในการดม่ื กิน และใช้อปุ โภคได้ แมว้ ่าบ่อน้านั้นจะต้ังอยู่ในพื้นท่ีสว่ นบุคคลก็ ตาม แต่เจา้ ของผู้ครอบครองทดี่ ินก็จะแบ่งปันเพือ่ ให้ใช้เปน็ สาธารณะประโยชนด์ ว้ ย โดยมีการเรยี กขานชื่อ บอ่ น้า ตามช่ือเจา้ ของท่ีดินดว้ ย เชน่ บ่อตาพัฒน์ เป็นบ่อน้าของชุมชนตั้งอยบู่ รเิ วณท่ีนาของ “นายพฒั น์” คนในชุมชนใช้น้าในบอ่ เพ่ือ อุปโภค บริโภค และใช้เลี้ยงวัวเล้ียงควาย นอกจากน้ีที่บริเวณบ้าน “ลุงบัว” ก็มีบ่อน้าลักษณะน้ี เชน่ เดียวกนั คนในละแวกใกล้ๆ บา้ น มักจะมาขอตกั นา้ ไปดื่มกิน และไปใช้อปุ โภคอยู่เป็นประจา ๗.๖ ควำมเช่ือ และส่ิงยดึ เหนี่ยวทำงจิตใจ ศำลเจ้ำ ศำลผี ในย่านตาบลเจ้าเสด็จมีศาลพ่อปู่ที่คนในชุมชนเคารพและศรัทธา เวลามีการ เกณฑ์ทหาร ชาวบ้านจะมาบนบานศาลกล่าวท่ศี าลพอ่ ปู่ จะมกี ารนาดอกไม้ธปู เทียนมาบอกเล่าเพอ่ื ให้รอด พน้ จากการเกณฑ์ทหาร นอกจากน้ยี ังมีศาลพ่อปู่ ทห่ี มู่ ๒ เป็นศาลทีค่ นในชมุ ชนเคารพนับถือ และเปน็ ยดึ เหนีย่ วทางด้าน จติ ใจ ชาวบา้ นมักไปขอพรเพ่อื ใหป้ ระสบความสาเร็จตามทข่ี อ และเม่ือถึงคราวบวชบุตร-หลาน ชาวบ้านก็ จะนาบุตร-หลานมาขอขมาพ่อปู่ บอกเล่าพ่อปู่ให้ทราบ เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบเนื่องมาของคนใน ท้องถน่ิ นี้ วัด ในเขตการปกครองของตาบลเจ้าเสด็จมีวัดกลางคลองวัฒนาราม ตั้งอยู่หมู่ท่ี ๑ ตาบลเจ้า เสด็จ แต่คนในตาบลเจ้าเสด็จส่วนใหญ่นิยมไปทาบุญที่วัดเจ้าเจ็ดนอก ตาบลเจ้าเจ็ด ซี่งอยู่ตรงข้ามฝ่ัง คลองเจ้าเจ็ด- บางย่ีหน โดยมีสะพานไม้สูงเป็นทางสัญจรในการเดินไปวัดของคนในย่านนี้ ในขณะที่ชาว ตาบลเจ้าเจด็ นยิ มไปทาบญุ ทวี่ ัดเจ้าเจด็ ในซ่ึงทงั้ สองวัดนม้ี ีอาณาเขตติดกนั ภายในวัดเจ้าเจ็ดนอก มีพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ เป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิที่ชาวเจ้าเสด็จ รวมถึงชาวตาบลเจ้าเจ็ดเคารพนับถือมีหลวงพ่อรอด (พระครูวิหารโสภณ) อดีตเจ้าอาวาส หลวงพ่อสุบิน (พระครูเขมา ภิรัตน์) อดีตเจ้าอาวาส หลวงพ่อสะอ้ืน (พระครูพจนาภิรัตน์) อดีตเจ้าอาวาส เป็นบุคคลที่ ชาวบ้านใหก้ ารเคารพนับถอื โบสถ์คริสต์ ในอดีตมีชาวญวนอพยพมาจากอยุธยา มาต้ังถ่ินฐานในตาบลเจ้าเสด็จ มีการ ประกอบอาชีพด้วยการเล้ียงหมู ทาปูนปั้น แกะสลักตกแต่งทาต่อเรือ เปน็ ตน้ ตอ่ มาได้ซอ้ื ท่ีดินในตาบลเจ้า

๑๑๐ เสดจ็ และตั้งหม่บู ้านญวนข้ึน โดยมสี ถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคอื วดั นักบุญยวงเปน็ ที่ประกอบพิธี ทางศาสนา และสักการะของผู้ที่นบั ถือศาสนาคริสต์ ๗.๗ ควำมเปล่ยี นแปลงของท้องถิน่ คนในชุมชนเจา้ เสด็จไดส้ ะท้อนความเปลี่ยนแปลงของท้องถิน่ ไว้ดังนี้ คือ ในด้านสังคมนั้น คนใน ชมุ ชนมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อกัน มกี ารช่วยเหลอื เอื้อเฟื้อเผอื่ แผ่ มีความสามัคคีปรองดองกันมากกว่าใน ปัจจุบนั สาหรับการเลือกคู่ครองของหนุ่มสาวนัน้ ทางฝา่ ยพ่อแม่จะเป็นผู้จัดหาคู่ครองใหล้ ูก โดยท่ีลูกจะ ไม่เคยเห็นหน้าตากันมาก่อน จากนั้นหนุ่มสาวจึงตกลงแต่งงานกันและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่ใน ปจั จุบนั การเลือกคคู่ รอง เปน็ เรื่องของลูกที่จะเลอื กหาคกู่ ันเองพอ่ แม่ไมไ่ ด้เปน็ คนจดั หาให้เหมอื นในอดตี ในด้านการเกษตรกรรมนัน้ ในอดตี ใช้ควายเปน็ กาลงั ในการไถนา และใช้กาลังคนในชุมชนในการ เก่ยี วขา้ ว แตใ่ นปัจจุบันมีรถเกี่ยวข้าว บ้างต้องว่าจา้ งผอู้ น่ื เก่ยี วข้าว ส่วนในดา้ นการคา้ ขาย สมยั กอ่ นแม่ค้า จะพายเรือขายผัก ขายผลไม้ และอาหารต่าง ๆ ไปตามคลองเจ้าเจ็ด ปัจจุบันผู้คนในชุมชนมีฐานะดีขึ้น บ้างมีรถจักรยาน รถจักรยานยนต์ บ้างมีรถยนต์ในการเดินทางสัญจร ทาให้สามารถไปซื้อ-ขายสินค้าใน ตลาดบา้ นแพนทต่ี วั เมอื งเสนาได้สะดวกขน้ึ การเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ในอดีตต้องเดินทางกันด้วยเรือโดยสาร ซ่ึงใช้เวลาค่อนข้างนาน เชน่ คร่งึ วัน หรอื หน่งึ วันเต็ม กวา่ จะถึงจุดหมายปลายทาง แตป่ ัจจุบนั มถี นนหนทางสะดวกสบาย จงึ ชว่ ย ประหยดั เวลาการเดนิ ทางได้เป็นอนั มาก

๑๑๑ ๘.ตำบลบ้ำนแถว ๘.๑ อำณำเขต และภมู ิประเทศ อำณำเขต ตาบลบ้านแถวตั้งอยู่ทางตอนกลางของอาเภอค่อนไปทางทิศตะวันตกมีอาณาเขต ติดต่อกับตาบลแก้วฟ้า ของอาเภอบางซ้าย ส่วนทางด้านทิศเหนือติดต่อกับตาบลเจ้าเสด็จ ด้านทิศ ตะวนั ออกตดิ ตอ่ กบั ตาบลเจ้าเจ็ด และด้านทศิ ใต้มีพ้ืนทตี่ ดิ ต่อกับตาบลดอนทองและตาบล ชายนา ทศิ เหนอื มีพื้นที่ติดต่อกบั ตาบลเจา้ เสด็จ อาเภอเสนา ทิศใต้ มีพ้นื ท่ตี ิดต่อกับ ตาบลดอนทอง และตาบลชายนา อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ออก มพี นื้ ทต่ี ดิ ตอ่ กับ ตาบลเจา้ เจด็ อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ตก มีพืน้ ที่ติดต่อกบั ตาบลแก้วฟ้า อาเภอบางซา้ ย แผนท่ี ๑๗ แผนท่ีแสดงอาณาเขตตาบลบ้านแถว ท่ีมา: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๑๒ แผนท่ี ๑๘ สภาพทางภูมศิ าสตร์ย่านตาบลบ้านแถว ท่มี า: สถาบนั อยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภูมิประเทศ พื้นที่ของตาบลบ้านแถวส่วนใหญ่ เป็นท่ีดินท่ีใช้ประโยชน์ในการทานา มีแหล่ง ชมุ ชนอาศัยอยู่มากในย่านริมคลองเจ้าเจด็ -บางย่หี นทางตอนเหนือของตาบลเท่านั้น ส่วนพ้ืนท่อี ่ืน ๆ ของ ตาบลมบี ้านเรอื นกระจายตัวอยอู่ ยา่ งเบาบาง ตามแนวลาคลองท่ีใช้ในการส่งนา้ เพ่อื การเกษตร คลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน เป็นลาน้าสาคัญของพื้นที่ ในอดีตเป็นเส้นทางการคมนาคมท่ีสาคัญ ระหว่างจังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ และมีคลองสาขาท่ีแยกลงมาจากคลองเจ้า เจ็ด-บางย่ีหนอีกหลายสาย ได้แก่ คลองหนองบัว คลองสาน และคลองหนองลาเจียก คลองสาขาเหล่าน้ี เป็นคลองชลประทาน ท่ีระบายน้าจากทางตอนเหนือลงมาใช้ในพ้ืนที่เกษตรกรรมของตาบลนี้ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๖๓ เป็นเส้นทางคมนาคมทางบกที่สาคัญระหว่างจังหวัด สุพรรณบุรแี ละจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา ซึง่ ตัดผา่ นพื้นท่ีตาบลบ้านแถว โดยมีถนนย่อย ๆ ตัดซอยเขา้ มา ในพ้ืนที่ควบขนานไปกับคลองสาขาต่าง ๆ ท่ีแยกมาจากคลองเจ้าเจ็ด-บางย่ีหน เพื่อทาหน้าที่เป็นเส้นทาง คมนาคมทางบก แทนการคมนาคมทางเรอื ทเ่ี คยสญั จรอยใู่ นคลองท้ังหลายเหลา่ น้นั

๑๑๓ เขตกำรปกครอง ในปจั จุบันตาบลบ้านแถวมหี มูบ่ า้ นทง้ั หมด ๗ หม่บู ้าน ดงั ตอ่ ไปน้ี หมู่ ๑ บา้ นสาลี หมู่ ๕ บ้านหวั ถนนหรอื ศาลาเหลอื ง หมู่ ๒ บา้ นแถว หมู่ ๖ บ้านโรงสงู หมู่ ๓ บ้านคลองหนองบวั หมู่ ๗ บา้ นหนองลาเจียก หมู่ ๔ บา้ นศาลาแดง หรือ บา้ นกลาง ๘.๒ ประวัตศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถนิ่ เร่ืองเล่ำเก่ียวกับที่มำของช่ือท้องถ่ิน จากการเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถ่ินของตาบลบ้าน แถว คนในท้องถ่นิ มคี วามรับรูเ้ กี่ยวกบั ท่ีมาของช่อื ทอ้ งถ่นิ อย่หู ลายชอ่ื อาทิ นายวีสวสั ด์ิ เทยี นบูชา อายุ ๕๗ ปี ได้เล่าว่า สมัยกอ่ นหมู่บ้านน้ีมีช่ือวา่ “หมู่บ้านกลาง” ซง่ึ อาจ เป็นเพราะหมู่บ้านมีลาคลองล้อมรอบบ้านเรือน หมู่บ้านจึงเสมือนอยู่ในเกาะกลางน้า แต่ต่อมาเกิดเพลิง ไหม้ ชาวบ้าน จึงเปล่ยี นชอ่ื เป็น “หมบู่ า้ นใหม”่ แทน นางสาลี ชมวชิ า อายุ ๖๖ ปี ใหข้ อ้ มูลว่า เดมิ ท้องถิ่นนี้จะใชช้ ่ือวา่ “บ้านใหม่-หัวถนน” แต่ตอ่ มา ไดม้ ีการเปลี่ยนช่ือเป็นบ้านแถว คงเป็นเพราะลกั ษณะการกอ่ สร้างบ้านเรอื น ที่ตัง้ เรียงรายเปน็ แถวอยู่ชาย คลอง นายบุญยงั กติ โอสถ อายุ ๗๑ ปี ใหข้ ้อมูลในลักษณะใกล้เคียงกันว่า “เดมิ จะชอ่ื หวั ถนนแต่ต่อมา เปล่ียนเป็นบา้ นใหม่ ปจั จุบันเปน็ บ้านแถว” จากชุดข้อมูลดังกล่าว ทาให้ทราบว่า ตาบลบ้านแถว เดิมมีชื่อเรียกท่ียังไม่แน่นอนอยู่หลายชื่อ และมีการเปลย่ี นช่ือไปตามลาดบั ตั้งแต่ชื่อ บ้านกลาง บา้ นหัวถนน บ้านใหม่ แต่ในทา้ ยสุด ไดม้ กี ารเปล่ียน ชือ่ เป็นตาบลบ้านแถวเช่นในปัจจบุ นั ควำมทรงจำของท้องถิน่ ผ้คู นในท้องถิ่นตาบลบ้านแถว ต่างมคี วามทรงจาที่เกยี่ วกับเหตุการณ์ท่ี สาคัญแห่งคลองเจ้าเจ็ด คือเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลท่ี ๙) พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาทอดผ้าพระกฐินที่วัดเจ้าเจ็ดในและวัดเจ้าเจ็ดนอก เม่ือวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๕ ซ่ึงถึงแม้ว่า เหตุการณ์สาคญั คร้งั น้ี มิได้เกิดข้ึนในเขตตาบลบ้านแถว แต่ก็สะท้อนว่า ชาวตาบลบ้านแถวทอ่ี ยู่ถัดไปจากวดั เจ้าเจ็ดไปตามลาคลองนั้น ได้รับรู้ และมีความทรงจารว่ มกันกับผู้คน ในยา่ นคลองสายนี้ นอกจากนี้ ชาวตาบลบ้านแถวยังมีความทรงจาเกี่ยวกับเหตุการณ์อุทกภัยคร้ังใหญ่ และเพลิง ไหม้ท่ีเกิดขนึ้ บ่อยครั้งในชุมชน เน่ืองจากในท้องถิ่นซง่ึ ประกอบอาชีพทานา มักจะมีฟางข้าวเป็นเชื้อเพลิง ดงั นน้ั บางคนเวลาจะออกจากบ้าน ตอ้ งนาทรัพย์สนิ มีค่าติดตวั ไปด้วยเสมอ

๑๑๔ ๘.๓ วถิ ีชวี ิต และควำมสมั พันธท์ ำงสงั คม ดำ้ นอำชีพ ชาวบ้านแถวมีวิถชี ีวติ แบบสังคมเกษตรกรรม ทานา สบื ทอดมาจากบรรพบุรุษมาช้า นาน นายบุญมา ทรัพย์วิเชียร หรือ “ตามา” เล่าวา่ ในอดีตต้องต่ืนไปทานาตั้งแต่เช้ามืด พอตกเย็นจึงจะ กลับบ้าน โดยจะเริ่มต้นการทานาในช่วงเดือนมกราคม-เดือนเมษายน ส่วนช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม หรือชว่ งที่วา่ งเวน้ จากการทานา ก็จะหาผัก หาปลามาไว้รับประทานในครัวเรือน เป็นวิถีชีวิตทั่วไปของคน ในยา่ นอาเภอเสนา (บญุ มา ทรพั ย์วิเชยี ร, ๒๕๖๑, ๑๑ กรกฎาคม) นายวีสวัสด์ิ เทียนบูชา หรือ “ผู้ใหญ่วี” เล่าว่าในอดีต ชาวบ้านแถวจะมีอาชีพทานาเกือบทุก หลังคาเรือน ปัจจุบันจะทานาปีละ ๒ ครั้ง คือ ช่วงแรกจะทาช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ช่วงท่ีสอง พฤษภาคม-ตุลาคม และถา้ ว่างจากการทานากจ็ ะใชเ้ วลาว่างในการหาเล้ียงชีพด้านอ่ืน เช่น ลงข่าย หาปลา เลีย้ งไส้เดือน และขายมลู ไส้เดอื นเป็นอาชีพเสรมิ แต่ดว้ ยความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและสงั คม ทาให้ บางครอบครวั ต้องขายท่ีนา ซึง่ เป็นมรดกตกทอดใหแ้ ก่นายทนุ ทาโรงงานอตุ สาหกรรม นางสมพิส ธริ าวาส หรือ น้าสมพิส เล่าว่า ในสมยั ก่อนจะทานาปี คือทานาได้ปีละ ๑ ครั้ง โดยใช้ ควายไถนา เม่ือถึงเดือนหก (เดือนไทย) ก็จะหว่านข้าวท้ิงไว้ รอจนกว่าฝนจะตกข้าวก็จะงอก และ เจรญิ เติบโตพอเขา้ เดือนสิบ ข้าวกเ็ ริ่มออกรวง และเมื่อเรมิ่ เข้าหนา้ น้า ข้าวก็จะโตตามนา้ เรยี กวา่ “ขา้ วนา ปี” และเม่ือว่างจากการทานา ก็จะเปล่ียนมาหากุ้งหาปลาไว้รับประทานในครัวเรือน แต่ถ้าได้กุ้ง ปลา จานวนมาก ก็จะนามาขายเป็นรายได้เสริม ซ่ึงในอดีตธรรมชาตอิ ุดมสมบูรณ์ทาให้สามารถหากงุ้ หาปลาได้ เป็นจานวนมาก นอกจากนนี้ ้าสมพิสยงั เล่าว่า ชาวตาบลบ้านแถวยังมกี ารทาพลอยกนั ทกุ บ้าน แต่พอราคา พลอยตกต่าลง ชาวบา้ นจงึ หันมาทางานในโรงงานอตุ สาหกรรมกนั มากขนึ้ นายบุญยัง กติ โอสถ หรือ ลุงยงั เลา่ วา่ ท่ีบ้านมีการทานาสบื ทอดมาจากรุน่ ปู่ และรุ่นพ่อ และใน รุ่นปัจจุบันก็ยังทานาอยู่ โดยเล่าว่าสมัยก่อนชาวนาจะทานาปี เมื่อทานาเสร็จแล้วก็จะมีเวลาว่าง เพื่อ ประกอบอาชพี เสริมดา้ นอ่นื แตใ่ นปจั จุบันต้องไปทุกวัน เนอื่ งจากเปน็ นาปรัง แตจ่ ะมีเวลาวา่ งเม่อื เก็บเก่ยี ว เสร็จสน้ิ แล้ว ดำ้ นเศรษฐกิจ ตาบลบ้านแถว มคี ลองเจ้าเจ็ด-บางย่ีหน ซึ่งเป็นคลองทีส่ าคญั ไหลผ่านพืน้ ท่ีของ ตาบล ทาให้ย่านน้ี สามารถเดินทางติดต่อคา้ ขายกับพ้ืนที่อ่ืน ๆ ได้อย่างสะดวก คือ นอกจากจะมีร้านค้า เลก็ ๆ ในย่านชุมชนแล้ว ยังสามารถเดินทางไปค้าขายท่ีตลาดแพย่านเกาะสหกรณ์ในย่านตาบลเจ้าเจ็ดได้ เน่ืองจากบริเวณตลาดแพ เป็นพ้ืนท่ีรอยต่อของท้ังตาบลเจ้าเจ็ด ตาบลเจ้าเสด็จ และตาบลบ้านแถว ผู้คน จงึ สามารถไปมาหาสู่กนั ไดอ้ ยา่ งท่วั ถึง นอกจากตลาดแพซึ่งมีข้าวของนานาชนิดขายแลว้ ยังมีแม่ค้ามาพายเรือมาขายของ ขายอาหาร ตามบ้านเรือนที่อยู่รมิ คลองอกี ด้วย และหากต้องการสินค้าท่ไี ม่มขี ายในย่านน้ี ชาวตาบลบ้านแถวก็มักจะ ไปหาซ้ือท่ีตลาดบ้านแพน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของอาเภอเสนา โดยพายเรือลัดเลาะไปตามคลองหลังวดั เจ้า เจ็ดใน เปน็ ระยะทางประมาณ ๕ กโิ ลเมตร

๑๑๕ ด้ำนกำรศึกษำ สมัยก่อน คนรุ่นปู่ย่าเรียนหนังสือถึงระดับประถม ๔ เป็นการศึกษาช้ันสูงสุด เรียนที่ศาลาใหญ่วัดเจ้าเจ็ดใน ส่วนรุ่นพ่อแม่นั้น เริ่มมีการศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเจ้าเจ็ดใน โรงเรียน บ้านแถววิทยาคาร บา้ งเรียนทีโ่ รงเรยี นประสาทศลิ ป์(โรงเรียนเซนต์จอหน์ บัปลิสในปจั จุบนั ) สาหรับลูกหลายชาวตาบลบ้านแถวในปัจจุบัน ไปเข้ารับการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาท่ี โรงเรียนบ้านแถววิทยาคาร โรงเรียนเซนต์จอห์นบัปติส โรงเรียนวัดเจ้าเจ็ดใน และโรงเรียนมัธยมผดุง สาหรับระดับมัธยมจะเข้ารับการศกึ ษาท่ีโรงเรียนเสนา “เสนาประสิทธิ์” โรงเรียนมัธยมผดุงและวิทยาลัย การอาชีพเสนา จากนั้นมาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และ มหาวทิ ยาลยั อืน่ ๆ ในกรงุ เทพฯ ๘.๔ ภมู ปิ ญั ญำท้องถนิ่ ด้ำนกำรรักษำโรค ในช่วงเวลาที่การคมนาคม และการบริการ ด้านสาธารณสุขของรัฐยังไม่ สะดวกและไม่ทั่วถึงน้ัน จะมีหมอที่มีความรู้เรื่องการรักษาโรคอยู่ประจาในแต่ละท้องถ่ิน เช่นในละแวก ตาบลบ้านแถว ก็มีหมอโบราณ หรอื หมอพ้นื บา้ น หมอกวาดยา ซึ่งเป็นที่รจู้ กั ของคนในท้องถิ่น เชน่ หมอช้ วน หมอเกล้ียง หมอเช่ือม หมอเถ้ียง ตาคม และปู่กุล เกิดเรณู และหมอพ้ืนบ้านซ่ึงมีชื่อเสียงในด้านการ รักษาอาการไฟลามทุ่งได้ มีช่อื ว่า หมอบญุ มา เมื่อการสาธารณสุขของรัฐสามารถอานวยความสะดวกใหแ้ ก่ ผู้คนได้ทั่วถึงมากข้ึน คนท้องถิ่นที่ค่อยๆ หันเหจากวิธีการรักษาแบบโบราณ มารักษาแพทย์แผนปัจจุบัน แทน ทาให้ไม่มผี สู้ ืบทอดภูมิปัญญาการรักษาโรคแผนโบราณต่อไป ด้ำนกำรเจียระไนพลอย ย่านคลองเจ้าเจ็ดจะมีการทาพลอยอยู่หลายตาบล ท้ังตาบลเจ้าเจ็ด ตาบลเจ้าเสด็จ และตาบลบ้านแถว โดยผู้ชานาญด้านการเจียระไนพลอยในตาบลบ้านแถวนั้น คนใน ทอ้ งถิ่นจะยกไว้ นายดี ธาระยาน เป็นผูช้ านาญในดา้ นนี้ ดำ้ นกำรจักสำน ในท้องถ่ินบ้านแถว จะมผี ลติ ภัณฑ์จาก เครื่องจักสาน เช่น ฝาชี และของชาร่วย ผูท้ ่ีมคี วามเช่ยี วชาญในดา้ นนี้ได้แก่ ตากลง้ิ ตาเย็น บญุ มี นายผล ทรัพยว์ เิ ชียร ลุงบัว และตาบัว ๘.๕ ประเพณที ้องถนิ่ กำรแหพ่ ระพทุ ธเกสร ตาบลบ้านแถว เปน็ ชุมชนทตี่ ้ังอยู่ในย่านคลองเจ้าเจ็ด ซ่ึงคนในยา่ นคลอง นี้ ทั้งตาบลเจ้าเจ็ด ตาบลเจ้าเสด็จ และตาบลบ้านแถว จะมีประเพณี และวัฒนธรรมร่วมกัน โดยไม่ได้ แบ่งแยกผ้คู นออกเป็นเขตการปกครอง ชาวบ้านแถว ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีการแห่พระพุทธเกสรว่า คนในตาบลจะนาเรือหายเข้า รว่ มขบวนแห่ครง้ั นี้ จานวนกว่า ๕๐ ลา โดยจะมีการแห่จากตาบลบ้านแถวหมู่ที่ ๕ ผา่ นวดั เจา้ เจ็ดใน และ วัดเจ้าเจ็ดนอก ไปจนถึงวัดกระโดงทอง ซึ่งนอกเหนือจากการแห่เรือพายแล้ว ยังมีการประกวดเรือ ประเภทสวยงาม ประเภทความคิด ประเภทขบขัน และมีการมอบรางวัลให้แก่เรือที่ชนะการประกวดอีก ด้วย เปน็ งานประจาปีของชาวบา้ นในยา่ นคลองเจา้ เจ็ดที่ปฏบิ ัติสืบเนื่องมาจนถึงปัจจบุ นั

๑๑๖ ภาพประกอบ ๓๙ การแหพ่ ระพุทธเกสร ทมี่ า: นางอัจฉรา รงุ่ อรุณ ครู กศน. ตาบลบ้านแถว ภาพประกอบ ๔๐ การแหพ่ ระพุทธเกสร ทม่ี า: นางอจั ฉรา รงุ่ อรณุ ครู กศน. ตาบลบ้านแถว

๑๑๗ ภาพประกอบ ๔๑ การประกวดแข่งเรอื ท่ีมา: นางอจั ฉรา รุ่งอรณุ ครู กศน. ตาบลบา้ นแถว ภาพประกอบ ๔๒ ประกวดเรอื งานแห่พระพุทธเกสร ที่มา: นางอัจฉรา รงุ่ อรุณ ครู กศน. ตาบลบ้านแถว

๑๑๘ ๑.๖ ควำมเชอื่ และส่ิงยดึ เหนี่ยวทำงจติ ใจ ชาวตาบลบ้านแถวให้ความนับถอื หลวงพ่อยม้ิ วัดเจ้าเจ็ดในโดยจะสักการบูชาเครอ่ื งรางของซ่ึง เรียกกันว่า “งบน้าอ้อย” เป็นพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม ช่วยให้ทามาค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีคนรกั ใคร่ และแคล้วคลาดจากเหตภุ ัยอันตรายต่าง ๆ ปอ้ งกนั เขี้ยวงา คุณไสยต่าง ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี รวมไปถึงทางด้าน คงกระพันชาตรี เนอ่ื งจากคนสมยั ก่อนเล่าวา่ ชาวบ้านเคยนาพระงบน้าออ้ ย ของหลวงปู่ย้ิม อาราธนาและ นาเอาไปทดลองใส่ปากปลาช่อน แลว้ เอามีดฟนั แต่ไมเ่ ข้า จึงถือเป็นของดี ทีเ่ คารพศรัทธาของประชาชนใน อาเภอเสนา และในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยาตลอดจนจังหวดั ใกล้เคียง เช่น สพุ รรณบุรี และอ่างทอง ภาพประกอบ ๔๓ พระงบนา้ ออ้ ยของหลวงปยู่ ิ้ม วดั เจา้ เจ็ดใน ที่มา: นางอจั ฉรา รุ่งอรณุ ครู กศน.ตาบลบ้านแถว ศำลพ่อป่ดู ำ-ทำบุญกลำงบำ้ น ชาวบ้านแถว มีความเชื่อว่าพอ่ ป่ดู าเป็นผู้ปกปักคุ้มครองหมู่บา้ น ดังน้นั จึงมีการทาบญุ กลางบา้ น โดยชาวบ้านแตล่ ะบ้านจะนาขา้ วหมอ้ แกงหม้อ มาทาบุญร่วมกนั ภาพประกอบ ๔๔ ศาลพ่อปู่ดา ทีโ่ รงเรยี นบา้ นแถววทิ ยาคาร ที่มา: นางอัจฉรา รุ่งอรณุ ครู กศน.ตาบลบ้านแถว

๑๑๙ ศำลแม่โพสพ คนในตาบลบ้านแถวส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทานา คนในท้องถ่ินนี้จึงนับถือแม่ โพสพ ซ่ึงเป็นเทพแหง่ ข้าว และสร้างศาลไว้เป็นสถานท่สี ักการบูชา และในทุกปีชาวบา้ นแถวก็จะมีพิธีบชู า แมโ่ พสพซึ่งปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษคอื ชว่ งท่ีข้าวเริม่ ตง้ั ท้องจะมีพิธีรับขวัญข้าว ซง่ึ จะให้ผ้หู ญิงท่ี อยู่ในบ้านเป็นคนทาพิธี โดยจะหาขนม ของเปรี้ยว ของหวาน หวี แป้ง น้าหอม ใส่เฉวียง และชะลอม นามาบูชาพระแมโ่ พสพ ภาพประกอบ ๔๕ ศาลแมโ่ พสพ ที่มา: นางอจั ฉรา รุ่งอรุณ ครู กศน.ตาบลบ้านแถว วัดนักบุญยวง บปั ตสิ ตำ (เจ้ำเจ็ด) ในย่านตาบลบ้านแถวมี ศาสนสถานของชาวคริสต์ ต้ังอยู่ใน พืน้ ท่ี คือ วัดนักบุญยวง บัปติสตา เป็นชาวญวนทอ่ี พยพมาจากสามเสน มาทามาหากินเปน็ ชาวประมงอยู่ ในย่านนี้ ต่อมาได้มีการสร้างวัดหลังแรกข้ึนท่ีคลองเจ้าเจ็ด เม่ือปี พ.ศ.๒๔๑๗ และต้ังช่ือวัดว่า วัดนักบุญ ยวงบปั ตสิ ตา ๑.๗ ควำมเปลี่ยนแปลงของตำบลบำ้ นแถว ความเปล่ียนแปลงของตาบลบ้านแถวในทัศนะของนายบุญมา ทรัพย์วิเชียร อายุ ๘๐ ปี ชาว ตาบลบ้านแถว คือความเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากในสมัยก่อนแม้ว่าจะมีความลาบากในการ ดารงชีวิตไม่สะดวกสบายเหมือนในสมยั น้ี แตก่ ็สามารถดารงชพี อยไู่ ด้ เนือ่ งจากข้าวของกไ็ ม่แพงมไิ ด้ใช้จา่ ย

๑๒๐ อะไรสิ้นเปลืองนัก อยู่แบบพอเพียง แต่ว่าในปัจจุบันข้าวของมีราคาสูงข้ึน ทาให้การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ค่อนข้างยากลาบาก นายวีสวัสดิ์ เทียนบูชา อายุ ๕๗ ปี ประธานกองทุนชุมชนศาลาแดง อดีตผู้ใหญ่บ้านท่ีคนให้ ท้องถ่ินยังเรียกว่า “ผู้ใหญ่วี” มองความเปลี่ยนแปลงในแง่ของการปกครองท้องถ่ินคือ สมัยก่อนเป็น สขุ าภิบาลตาบลเจา้ เจ็ด ตอ่ มาไดย้ กฐานะจากสขุ าภบิ าล เป็นเทศบาลตาบลเจ้าเจด็ ส่งผลให้ไม่มกี านันและ ผู้ใหญบ่ า้ น นางสาลี ชมวิชา อายุ ๖๖ ปี ถ่ายทอดความเปลย่ี นแปลงในด้านของการเดนิ ทางในคลองเจา้ เจ็ด ว่า จากสมัยก่อนผู้คนนิยมเดินทางโดยเรือ ซึ่งจะมีเรือด่วน เรือเขียว เรือแดง แต่ปัจจุบันใช้รถยนต์และ รถจกั รยานยนต์แทน นายบุญยงั กิตโอสถ อายุ ๗๑ ปี เลา่ วา่ ในอดีตที่ยงั ไม่มีความเจรญิ น้นั การเดินทางไปมาหาสู่กัน ยังไม่สะดวก มีเพียงเรือเขียว เรือแดง ซึง่ จะออกเรือคนละเวลา ผู้คนนิยมโดยสาร และบรรทกุ สินคา้ พวก หมู ปลา ในการเดินทาง แต่ในปัจจบุ ัน มกี ารพฒั นาจากทางราชการ ทาให้ท้องถ่ินมีความสะดวกมากขนึ้ มี รถ มีถนน น้าประปา และไฟฟ้าใช้ ๙.ตำบลเจ้ำเจด็ ตาบลเจ้าเจ็ดเป็นชุมชนริมน้าขนาดใหญ่ของอาเภอเสนา คลาคล่าไปดว้ ยเรือและเรือนแพริมน้า เน่ืองจากมีคลองสาคัญไหลผ่าน คือ คลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน ที่ใช้เดินทางไปตลาดบ้านแพน ซึ่งนับเป็น ศนู ย์กลางทางการค้าสาคัญของตัวอาเภอเสนา นอกจากน้ีตาบลเจ้าเจ็ดยังมีชื่อเสียงเก่ียวกับพุทธานุภาพ ของวัตถุมงคลและพระพุทธเกสร ที่ชาวบ้านในชุมชนและผู้คนต่างพื้นท่ีให้ความเคารพนับถือทาให้ตาบล เจา้ เจ็ดเปน็ ทร่ี ู้จกั มากข้ึน ๙.๑ อำณำเขต และภมู ิประเทศ อำณำเขต ตาบลเจ้าเจ็ดตั้งอยู่ตอนกลางของอาเภอเสนา โดยทางดา้ นทิศเหนอื มีอาณาเขตติดต่อ กบั ตาบลเจ้าเสด็จ ด้านทิศใต้จรดตาบลชายนา ส่วนทางด้านทิศตะวันออกติดตอ่ กบั ตาบลเสนา และตาบล สามกอโดยมีอาณาเขตใกล้เคียงกับตาบลมารวชิ ัยและตาบลบา้ นหลวงทางดา้ น ทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ และ ทางดา้ นทศิ ตะวันตกมีพืน้ ท่ีตดิ ตอ่ กับตาบลบา้ นแถว ทิศเหนอื มีพื้นทตี่ ิดต่อกบั ตาบลเจ้าเสด็จ อาเภอเสนา ทิศใต้ มพี น้ื ทตี่ ดิ ต่อกับ ตาบลชายนา อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ออก มพี ื้นที่ติดตอ่ กบั ตาบลเสนา และตาบลสามกอ อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ตก มพี น้ื ทีต่ ิดต่อกับ ตาบลบ้านแถว อาเภอเสนา

๑๒๑ แผนที่ ๑๙ แผนท่ีแสดงอาณาเขตตาบลเจา้ เจด็ ทีม่ า: สถาบนั อยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภมู ิประเทศ ตาบลเจ้าเจ็ดมีลักษณะเป็นที่ราบลมุ่ น้าท่วมถึง มีคลองเจ้าเจ็ด-บางยห่ี น เป็นคลอง สาคัญ เชื่อมต่อการคมนาคมระหว่าง อาเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี กับอาเภอเสนา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา และยังเปน็ คลองสายหลกั ทาหน้าทชี่ ลประทาน สง่ น้าเข้าสู่คลองสาขาต่าง ๆ เพื่อการ เพาะปลูก เชน่ คลองเจา้ เจ็ด-บางยีห่ น คลองสาน คลองหนองบัว และคลองสะแก พื้นท่ีส่วนใหญ่ของตาบลเจ้าเจ็ดเป็นพ้ืนท่ีเกษตรกรรม โดยมีย่านชุมชนด้ังเดิมตั้งอยู่ทางทิศ ตะวนั ตกเฉยี งเหนือของตาบลตามแนว คลองเจ้าเจ็ด-บางย่ีหน ซึ่งเป็นเสน้ ทางคมนาคมหลักในอดีตมีตลาด แพย่านเจา้ เจ็ดเป็นศูนย์กลางการค้าในย่านน้ี มีวดั เจ้าเจ็ดในและวัดเจ้าเจด็ นอกเป็นศูนย์กลางทางศาสนา ของผู้คนท่ีอาศัยอยู่สองฝั่งคลอง ทั้งคนในตาบลเจ้าเจ็ด ตาบลเจ้าเสด็จ และตาบลบ้านแถว จึงมีประเพณี และตานานท้องถน่ิ ร่วมกัน

๑๒๒ แผนที่ ๒๐ สภาพทางภมู ิศาสตรย์ า่ นตาบลเจ้าเจด็ ทีม่ า: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑ เขตกำรปกครอง ชุมชนเจา้ เจด็ เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ประกอบด้วย ๗ หมูบ่ า้ น ไดแ้ ก่ ๑.หมู่บ้านวัดกลางคลอง หรือบ้านบ่อหัก มีวัดกลางคลอง ซ่ึงมีหลวงพ่อโป หลวงพ่อแพ เป็นท่ี เคารพนับถอื ของคนในยา่ นนี้ ปัจจุบนั นี้ก็คอื ชมุ ชนหนา้ โรงพยาบาลเสนาและบ้านโรงเลือ่ ยจกั รเจ้าเจ็ด ๒.หมบู่ า้ นหน้าโรงพยาบาลเสนา ๓.หมู่บา้ นขนอน และบา้ นหน้าโรงเล่ือยจกั รบริเวณโรงเรยี นวดั เจา้ เจ็ดใน โรงเรยี นวดั เจา้ เจด็ นอก ๔.หมู่บ้านสหกรณ์เจ้าเจ็ด ในอดีตเป็นลานเก็บข้าวของชาวนา และมีตลาดน้าเจ้าเจ็ด ซ่ึงเป็น ตลาดการคา้ ที่สาคัญของคนในยา่ นนี้ ๕.หมูบ่ า้ นปลายนา ในอดีตเปน็ ทา่ ข้ึนของววั ควายท่ีจะเดินทางไปยังทงุ่ ใหญ่ ๖.หมบู่ า้ นหนา้ ศาล อยู่บริเวณเทศบาลตาบลเจ้าเจด็ ในปัจจบุ นั ๗.หมบู่ า้ นวัดชายนา หรือทีช่ าวบา้ นเรียกอีกชอ่ื หนงึ่ ว่า บา้ นทา่ เกวียน

๑๒๓ ๙.๒ ประวัตศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถิ่น ย่านชุมชนริมคลองเจ้าเจ็ด-บางย่ีหน มีตานานกล่าวอธิบายความเป็นมาของชื่อย่านเจ้าเจ็ดอยู่ หลายสานวน ซึ่งคนในท้องถ่นิ ได้เลา่ ไวด้ งั น้ี ตำนำนเจ้ำเจ็ดพระองค์ พระครูปลัดอนงค์ เจ้าอาวาสวัดเจ้าเจ็ดใน ได้ให้ข้อมูลเก่ียวกับตานาน ทม่ี าของช่อื ตาบลเจ้าเจ็ดว่า แต่เดมิ บริเวณตาบลเจ้าเจด็ เปน็ พ้ืนทร่ี าบลุ่มมาแตโ่ บราณ มตี น้ ไม้ใหญ่ขน้ึ เป็น ป่า มีสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย มาอาศัยอยู่มาก ได้มีคนเล่าขานกันว่า สมัยเสียกรุงศรี อยุธยา ได้มีเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน เสด็จล้ีภัยสงครามมา ๗ พระองค์ และได้มาสร้างปูชนียสถานไว้ ๑ แห่ง คาดวา่ จะเป็นท่มี าของการสรา้ งวดั เจา้ เจด็ ใน สมัยก่อนชาวบ้านเรียกวัดเจ้าเจ็ดว่า “วัดเจ้า”ต่อมาได้มีการสร้างวัดขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง ตั้งอยู่ บรเิ วณใกล้กนั จงึ เรียกกันวา่ จงึ เรียกวดั เจ้าเจด็ ใน ส่วนอกี วดั หนึง่ เรยี กว่าวดั เจ้าเจด็ นอก นายเกษม ปุ่นอุดม อายุ ๖๒ ปี ครูบานาญโรงเรียนวัดเจ้าเจด็ นอก ได้เล่าเรือ่ งราวตานานเจ้าเจ็ด พระองค์ในลักษณะใกล้เคียงกัน แต่เป็นข้อมูลที่ได้ถ่ายทอดมาจากการแสดงลิเกคณะ ป. บันเทิงศิลป์ ท่ี แสดงอยบู่ ริเวณสนามโรงเรียนวัดเจ้าเจ็ดนอก เนื้อหาการแสดงดาเนินเรื่องว่ามกี ษัตรยิ เ์ ชอื้ สายเจา้ แผ่นดิน ลีภ้ ัยมา ๗ พระองค์ เม่ือคราวสู้รบกบั พม่าจากเมอื งสุพรรณบุรี เม่ือกรฑี าทพั มาพกั ประทับท่บี ริเวณลานวัด เจ้าเจ็ดใน/เจ้าเจ็ดนอก ซ่ึงสมัยน้ันเป็นป่าไผ่ มีสัตว์ร้ายชุกชุมมาก ทาให้กษัตริย์ทั้ง ๗ พระองค์ ทรง ประชวรโรคห่า โรคไขม้ าเลเรีย ถงึ สวรรคต หมดทกุ พระองค์ สถานทแ่ี ห่งน้จี งึ ไดน้ ามว่า “เจา้ เจ็ด” ตำนำนศำลเจำ้ ๗ หลัง นายเกษม ปุ่นอุดม ครูบานาญ ให้ข้อมูลว่า ครูใหญ่ม้วน ปุ่นอุดม อดีต ครูใหญ่เรียนบ้านแถววิทยาคาร เล่าว่าคุณยายผึ้งอายุ ๑๐๒ ปี เล่าให้ฟังอีกทอดหน่ึงว่า ในสมัยก่อนมีศาล เจ้า ๗ หลัง ตั้งอยู่บริเวณ หมู่ ๒ หน้าวัดเจ้าเจ็ดนอกและวัดเจ้าเจ็ดใน เมื่อแม่ค้าท่ีโดยสารมากับเรือโยง บรรทุกสินค้าที่จูงกันมาเป็นแถวยาว พอถึงศาลเจ้าตาปู่ทั้งเจ็ดหลงั ก็สาดน้าหัวเรอื เพ่ือให้เป็นสริ ิมงคล ให้ สามารถขายของได้ดี จนหมดลาเรือท่ีซื้อจากตลาดบา้ นแพน จึงเปน็ ท่ีมาของชอื่ ตาบลเจา้ เจด็ ตำนำนเจ้ำของสิ่งสำคัญ ๗ สิ่ง นายเกษม ปุ่นอุดม เล่าว่าครูแฉล้ม เกิดนาวี ผู้บริหารโรงเรียน วัดเจ้าเจ็ดใน ได้ผูกโยงความหมายของช่ือตาบลเจ้าเจ็ดไว้ว่า เป็นท้องถิ่นมีส่ิงดี ๆ ๗ อย่าง เช่น คนดีมี ศีลธรรม นาดปี ลูกข้าวเจรญิ งอกงามในน้าอุดมสมบูรณไ์ ปดว้ ยอาหาร ปลาดี เศรษฐกิจดี มีพระศักด์ิสิทธวิ์ ัด เจ้าเจ็ดนอก วัดเจา้ เจ็ดในเป็นที่ยึดเหน่ียวจิตใจคนและสุดท้ายมีวิถีไทยวัฒนธรรมสายน้า มีก๋วยเต๋ียวเลื่อง ชื่อ ตำนำนบ้ำนขนอน พระครูปลัดอนงค์ เลา่ ความเป็นมาของช่ือหมู่บา้ นบ้านขนอน ซึ่งเป็นชุมชน ริมน้าทอี่ ยใู่ นละแวกวัดเจา้ เจ็ด ว่าเดมิ น้นั หน้าวัดเจ้าเจ็ดในเป็นท่าเรือ ท่มี ีผคู้ นสญั จรไปมาตลอดเวลา เม่ือ ชาวบ้านนาเรือมาจอดที่ท่าหน้าวัดเจ้าเจ็ดใน ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยเก็บเงินค่าเรือ จึงถือเป็นด่านเก็บภาษี ชาวบ้านจึงเรียกขานย่านนว้ี ่า “บา้ นขนอน” โดยเจา้ หน้าที่เรยี กเก็บคา่ ด่านภาษีเป็นเรือลาละ๑ บาท หรือ ๒ บาท

๑๒๔ พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวเสด็จประพำสตำบลเจ้ำเจ็ด จากการสารวจข้อมูล ด้านประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่นของชาวตาบลเจ้าเจด็ ปรากฏว่าชาวเจ้าเจ็ดหลายคน มคี วามรับร้ถู งึ เรื่องราวการ เสดจ็ ประพาสตาบลเจ้าเจด็ ของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว (รัชกาลท่ี ๕) โดยอยู่ในรูปของ เรือ่ งราวทเี่ ลา่ สืบต่อกนั มาจากรนุ่ สรู่ ุ่น และมีข้อมลู ทสี่ อดคล้อง ใกลเ้ คียงกัน เชน่ นายไสว ม่ังมี อายุ ๘๕ เล่าว่าเคยได้ยิน เร่ืองเล่าสู่กันฟังว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอย่หู ัวทรงเสร็จมาคงุ้ น้ายา่ นเจา้ เจด็ ในเวลาโพล้เพล้ ใกล้ค่ามืด ตอ่ มาชาวบ้านถึงเรยี กคงุ้ น้านี้วา่ “คงุ้ ไอ้ เพล”้ นายวิรัช เกตุโกมุท อายุ ๗๖ ปี ที่ปรึกษานายกเทศบาลตาบลเจ้าเจ็ด เล่าว่า บิดาของตน ได้ รบั คาบอกเล่าจากปู่ว่า สมัยก่อนมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว เสด็จมายังประตูน้าเจ้าเจ็ด บางย่ีหน และได้มาต้งั พลับพลาท่ีประทบั อยู่ที่คุ้งไอ้เพล้ โดยสามารถระบุท่ตี ้งั ปัจจบุ ันได้วา่ เป็นบริเวณบา้ น หมู่ ๒ ของตาบลเจา้ เจด็ นายสวัสด์ิ กองพิทักษ์ อายุ ๗๙ เล่าว่า “ยายหอม” เคยเล่าให้ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดาเนินมาประพาสต้นตามคลองเจ้าเจ็ด เม่ือถึงเวลาใกล้ค่า ก็ทรง ประทับ ณ ทุ่งไอ้เพล้ และได้มีการสร้างพลับพลาที่ประทับ ณ ฝั่งวัดเจ้าเจ็ด ซึ่งในปัจจุบันสถานท่ีสร้าง พลับพลาดังกลา่ ว อยูใ่ นบริเวณทดี่ นิ ของนายสวัสด์ิ ท่ีมาซอ้ื ทด่ี ินแปลงดังกลา่ วไว้สาหรบั ทาเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ภาพประกอบ ๔๖ พระบรมรปู พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ตั้งไว้เปน็ อนสุ รณ์อยู่ในบา้ นของนายสวสั ด์ิ กองพิทักษ์ ที่มา: นางมะลิ สิงหช์ ัย กศน.ตาบลเจ้าเจ็ด

๑๒๕ พระบำทสมเด็จพระปรมินทรมหำภมู ิพลอดลุ ยเดช เสดจ็ ทอดพระกฐินตน้ ชาวเจ้าเจ็ด มีความรับร้ถู ึงการเสดจ็ ทอดพระกฐนิ ต้นของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ พลอดลุ ยเดช (รัชกาลท่ี ๙) เม่ือวันท่ี ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นอย่างดี เน่ืองจากเปน็ ความทรงจาที่ สาคัญของท้องถ่ิน โดยรายละเอียดต่าง ๆ ได้มีการเลา่ กนั สืบมาจากบุคคลรุ่นบิดา-มารดา เน่ืองจากคนใน รนุ่ ปัจจบุ ัน แมค้ นจะเกิดทันในชว่ งเวลาดังกลา่ ว แต่กย็ งั อายนุ ้อยยงั ไม่รคู้ วามเท่าใด พระครูปลัดอนงค์ เจ้าอาวาสวัดเจ้าเจด็ ใน ได้ให้ขอ้ มูลจากการรับรู้ที่แม้ว่าท่านจะเกิดเม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซ่ึงเป็นช่วงเวลาภายหลงั จากการเสดจ็ พระราชดาเนิน ๒ ปี ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลท่ี ๙) ทรงทอดพระกฐินต้น(หลวง) เสด็จทางชลมารค โดยเรือด่วนขาวสองช้ัน โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จในครั้งนั้นดว้ ย สร้างเจา้ เจ็ดได้ก่อสร้างพลับพลาใจสมานเป็นท่ีประทับ และมีชาวบ้านย่านคลองเจ้าเจ็ดหลายตาบล มารับเสด็จตามน้าคลองเจ้าเจ็ด (อนงค์ สมุ ังคโล, พระครูปลัด , ๒๕๖๑, ๒๑ กรกฎาคม) นายเกษม ปุ่นอุดม ข้าราชการครูบานาญ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นอกจากชาวคลองเจ้าเจ็ด จะ ได้มารับเสด็จตามริมคลองเจ้าเจ็ดแล้ว ยังมีพ่อเพลง แม่เพลง มาร้องเพลงเรืออีแซว หน้าพระที่น่ัง พลับพลาใจสมาน โดยหนึ่งในพ่อเพลงคนสาคัญแห่งย่านเจ้าเจ็ดคือ ผู้ใหญ่ยอด ส่วนแม่เพลงน้ัน มาจาก ตาบลบ้านหลวง (เกษม ป่นุ อดุ ม, ๒๕๖๑, ๒ กรกฎาคม) นายวิรัช เกตุโกมทุ อายุ ๗๖ หรือ “ผอ.วิรัช” อดีตผอู้ านวยการโรงเรียนวดั เจ้าเจ็ดใน เล่าวา่ คุณ พอ่ ของทา่ นเปน็ ครูใหญ่ประจาโรงเรยี นวดั เจ้าเจ็ดใน ได้มีโอกาสรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์ ให้ข้อมูลว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ทรงเป็นผ้ตู ้ังช่ือว่า พลับพลาท่ีประทับในการเสด็จพระ ราชดาเนินครั้งน้ันวา่ “พลบั พลาใจสมาน” (วริ ชั เกตโุ กมุท, ๒๕๖๑, ๒ กรกฎาคม)

๑๒๖ ภาพประกอบ ๔๗ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช เสดจ็ ทอดพระกฐนิ ต้น ณ วดั เจ้าเจ็ดใน วัดเจ้าเจ็ดนอก ที่มา: นางมะลิ สิงหช์ ัย กศน.ตาบลเจ้าเจ็ด

๑๒๗ ๙.๓ วิถีชวี ิต และควำมสัมพนั ธ์ทำงสังคม กำรทำนำ นายไสว มงั่ มี อายุ ๘๕ เลา่ ถึงวิถีชวี ิตการทานาสมัยก่อนว่า ในแตล่ ะวันเขาจะตื่นนอน ตั้งแต่เช้า เพ่ือออกหาผักหาปลาให้แม่บ้านทากับข้าว เม่ือเสร็จแล้วจึงออกไปทานา หว่านข้าวบ้าง เก็บ ถอนถางหญ้าในนาบ้าง พอตกเย็นก็กลับบ้าน โดยมีลูกๆ คอยหุงขา้ ว และทากบั ขา้ วเตรียมไว้ เม่อื อาบน้า ชาระล้างรา่ งกายเสร็จแล้ว กร็ ่วมกันรับประทานอาหารเยน็ พร้อมกัน (ไสว มั่งม,ี ๒๕๖๑, ๑ กรกฎาคม) ในอดตี การทานาทต่ี าบลเจ้าเจ็ดเป็นนาปี คือ จะทานาเพยี งปีละ ๑ คร้ัง ดงั นน้ั ในห้วงเวลา ๑ ปี ชาวนากจ็ ะดาเนินงานตง้ั แต่เตรียมไถ่หว่าน ในเดอื น ๕ เดือน ๖ จนกระทั่งถงึ การเก็บขา้ วเข้ายุ้งฉาง โดยมี รายละเอียดดงั น้ี เดือน ๕ เดือน ๖ ทาการเตรยี มดนิ และไถหว่านขา้ ว เดอื น ๗ เดอื น ๘ ดแู ลนา ถอนถางหญ้าในนา เดอื น ๙ เดือน ๑๐ ดแู ลนา เดอื น ๑๑ เดอื น ๑๒ ขา้ วออกรวง ชาวนากจ็ ะมกี ารรบั ขวัญแมโ่ พสพ เดอื น ๑ เดือน ๒ เป็นเวลาเก็บเกี่ยวข้าว เกี่ยวแล้วขนข้าวเข้าลานนวดเสร็จแล้ว ต้องไป ช่วยนาคนอื่นท่ีเขามาช่วยเราเก็บเก่ียว ท่ีเรียกว่าการลงแขกเก่ียวข้าว โดยเจา้ ของนาก็จะมีการเลีย้ งอาหารคนทม่ี าช่วยเก็บเกย่ี ว เดอื น ๓ เดือน ๔ นวดเมล็ดข้าวออกจากซงั เกบ็ พันธุข์ ้าวไว้ทารุน่ ต่อไปทาคะเนตเพ่ือจะ ไดใ้ ช้มดั แลว้ รุน่ ต่อไปทาบญุ แม่โพสพเข้ายุ้งฉาง นายสวัสด์ิ กองพิทักษ์ อายุ ๗๙ ได้เล่าวิถีการทานาในอดีตโดยเร่ิมจากการไถโดยจะใช้ วัวหรือ ควายไถดะทิ้งไวก้ ่อน เม่ือถงึ เดือนหก(เดือนไทย) ชาวนาจะหว่านขา้ วท้ิงไว้ รอจนกว่าฝนจะตกข้าวกจ็ ะงอก และเจรญิ เติบโต พอเขา้ เดือนสบิ ขา้ วกเ็ รมิ่ ออกรวงพอเรมิ่ เขา้ หนา้ น้า เรยี กว่าขา้ วนาปี หรือขา้ วไวแสง พิธีกรรมที่ทากันตง้ั แต่บรรพบรุ ุษสืบทอดกันมาคือ เม่ือขา้ วเร่ิม ตั้งท้อง จะมีพิธีรับขวญั ข้าว โดย จะให้ผู้หญิงท่ีอยู่ในบ้านเป็นคนทาพิธี จะหาขนม ของเปรี้ยว ของหวาน หวี แป้ง น้าหอม ใส่เฉวียง และ ชะลอม นามาบูชาพระแมโ่ พสพ หลังจากขา้ วออกรวงและพร้อมท่ีจะเก็บเก่ียว สมยั ก่อนใช้เคียวในการเก่ยี วข้าว จะมีการลงแขก เก่ยี วขา้ ว พอถงึ นาใครจะเกย่ี วกจ็ ะบอกเพ่ือนบ้านมาช่วยกัน แต่ก่อนจะเก่ยี วข้าว จะต้องทาคะเนตเตรียม ไว้ก่อน และการทาคะเนต คือจะเก่ียวต้นข้าวที่มีขนาดความยาว มากองรวมกันไว้ แล้วแยกมาประมาณ ๓-๔ ต้น ใช้มือจับแบ่งเป็นแถบซ้ายและแถบขวา จากน้ันหันปลายต้นข้าวชนกัน แล้วพันให้เป็นเกลียว แล้วทาเปน็ วงกลมไว้จะทาแบบน้ีเก็บไวใ้ ช้ในการมดั ขา้ วในนามาไวท้ ่ีลาน สมยั ก่อนเก่ียวข้าวเสร็จแล้วจะตากแหง้ ไว้ทนี่ าก่อน พอขา้ วแห้งจะนาคะเนตที่เตรยี มไวม้ ดั ใหเ้ ป็น ฟ่อนใหญ่ๆ จากนั้นจะใช้คันหลาวซ่ึงมีสองปลาย และแหลม แทงฟ่อนข้าวข้างละ ๑ ฟอ้ น และหาบมาเก็บ ไว้ท่ีบ้าน โดยจะเริ่มหาบข้าวเข้าบ้านช่วงเช้า เม่ือหาบมาถงึ ในบ้านถึงจะนามาพะไว้ที่บ้าน การวางพะจะ วางให้ปลายรวงไปในทางเดียวกัน แล้ววางซ้อนขึ้นไปโดยให้ฐานมีขนาดใหญ่ และวางซ้อนให้ยอดชันไป

๑๒๘ เรอ่ื ย ลักษณะคลา้ ยสามเหลย่ี ม เพ่ือเวลาฝนตกน้าจะไดไ้ หลลง ไม่เปยี กไปในกองข้าวซ่ึงเปน็ ภูมิปัญญาของ คนสมยั กอ่ นมีมานานต้ังแตบ่ รรพบุรุษ กอ่ นท่ีจะนาข้าวมาพะไว้ที่บา้ น จะมีการเตรียมลานเก็บข้าว โดยใช้พ้ืนท่ีบรเิ วณในบา้ นท่มี ีขนาด กว้างพอสมควร แล้วเกล่ียดินให้เสมอและกดทับให้แน่น จากนั้นจะนาขว้ี ัว หรือข้ีควาย มาผสมน้าแล้วใช้ มือทาขีว้ วั กบั พื้นดนิ ทเี่ ตรียมไว้ รอให้แหง้ จึงจะสามารถใช้ลานขา้ ว เพื่อใหล้ านขา้ วเลียบ เม่ือนาขา้ วมาพะไวท้ ี่บา้ นจะมีพิธีกรรมที่ทาสบื ทอดกันมาคอื การทาขวญั ที่ลานข้าว เพ่ือเป็นการ รับขวัญข้าว มีความเชื่อกันมาว่าข้าวที่อยู่กับต้นเวลาเอาเคียวไปตัดเขามา เขาจะตกใจ จึงต้องมีการ รบั ขวัญและเรียกขวัญกลับมา ผู้ทาพิธีก็จะเตรียมขนมต้มแดง ต้มขาว มาทาพิธีและพูดสิ่งท่ีเป็นสิริมงคล กับตนเองและครอบครัว และขอให้ทามาค้าข้ึน เม่ือทาพิธีเสร็จจึงจะนาข้าวมานวดในลานตากข้าวที่ได้ เตรยี มไว้ สมัยกอ่ นลานตากขา้ วก็จะใช้ร่วมกนั ในหมูบ่ า้ น ดำ้ นเศรษฐกิจ ในอดีต ริมคลองยา่ นเจ้าเจ็ด จะคลาคล่าไปด้วยเรือนแพ ผูกเรียงรายอยู่เต็มสอง ฝ่งั คลอง ผคู้ นก็จะพายเรือไปซื้อของกนิ ของใช้ตามแพ หรือบรเิ วณริมคลองท่มี ีร้านค้าขายของต่าง ๆ โดยมี การค้าขายทางน้าต้ังแต่เช้าถึงมืด เพราะลาคลองเจ้าเจ็ดเป็นทางคมนาคมเดินเรือและสินค้าจากจังหวัด สุพรรณบุรีมาบ้านแพน นอกจากนี้ยังมี เรือพาย เรือไอ นาสินค้าต่าง ๆ มาขายตามลาคลองด้วย แต่ถ้า ตอ้ งการซ้อื สนิ ค้าที่ในท้องถ่นิ ไม่มีขาย เช่น ข้าวของเคร่ืองใช้ในงานบวช งานแต่ง หรือสินค้าจาพวกเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์เคร่ืองมือการเกษตร เคร่อื งจักรกลต่าง ๆ กจ็ ะพายเรือไปซื้อของท่ีตลาดบ้านแพน ซ่ึงตอ่ มาเริม่ มีทางเกวียน มีทางเดินเป็นทอ้ งร่อง ชาวเจ้าเจด็ กจ็ ะสามารถเดินเท้าไปซ้อื ของทจ่ี าเป็นทตี่ ลาด บ้านแพนได้ (ไสว ม่ังม,ี ๒๕๖๑, ๑ กรกฎาคม) ในปัจจุบันการค้าขายทางน้า และเรือนแพท่ีเปิดร้านขายของต่าง ๆ ได้หมดไป หลังจากการเข้า มาของรถยนต์ และถนนหนทาง ท่ีมาทาหน้าที่แทนเรอื และการคมนาคมทางน้า ตลาดคา้ ขายของชาวเจ้า เจ็ดในปัจจุบัน ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นตลาดท่ีอยู่บนบกแทน ได้แก่ ตลาดนัดเทศบาลตาบลเจ้าเจ็ด ตลาด ประชารัฐ ตลาดนัดโรงพยาบาลเสนา และตลาดบ้านแพนในตัวเมืองเสนาท่ีมีสินค้า และการบริการทุก ประเภท ซ่ึงแม้จะมีระยะห่างจากชุมชนเจ้าเจ็ดก็ตาม แต่ก็สามารถเดินทางสะดวกโดยรถยนต์ และ รถจกั รยานยนต์ ดำ้ นกำรศึกษำ ชาวเจ้าเจ็ดรุ่นกอ่ น ๆ เรียนหนงั สือท่ีวัดเจ้าเจด็ ใน และวัดเจ้าเจ็ดนอก โดยมีพระ ทาหนา้ ทเี่ ป็นผู้สอน ดงั น้ัน ผชู้ ายจึงมีโอกาสเข้าถงึ การศกึ ษาโดยมาเปน็ ลกู ศิษย์พระ ในเวลาตอ่ มาเรม่ิ มคี รู มาสอนจงึ ทาให้ผ้หู ญงิ เร่มิ มีโอกาสได้ศกึ ษาเล่าเรยี นเช่นเดียวกบั ผชู้ าย จากนน้ั ก็จะมาศึกษาตอ่ ระดับมัธยม จนถึง มศ.๓ ท่ีโรงเรียนประจาอาเภอ เช่น โรงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรยี นมัธยมผดุง และโรงเรียนราษฎร์ บารุงศิลป์ เป็นต้น และมาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ที่โรงเรียนประจาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บาง คนก็ไปเรยี นทก่ี รงุ เทพฯ โดยอาศัยพักแรมตามวัดต่าง ๆ สาหรับการศึกษาของลูกหลานชาวเจ้าเจ็ดในปัจจุบันนั้น นิยมไปเรียนประถมศึกษาที่โรงเรียน เทศบาลวัดเจ้าเจ็ดนอก และโรงเรียนขยายโอกาสในตาบล โรงเรียนวัดเจ้าเจ็ดใน โรงเรียนเอกชน และ

๑๒๙ โรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ ในอาเภอเสนา ส่วนระดับเรียนมัธยมศึกษาได้แก่ โรงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรียนผดุงวิทยา และโรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ในอาเภอเสนา และมักศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรอี ยธุ ยา และมหาวทิ ยาลัยอื่น ๆ ในกรงุ เทพมหานคร ภาพประกอบ ๔๘ โรงเรียนวดั เจา้ เจ็ดใน ทม่ี า: นางมะลิ สงิ หช์ ยั กศน.ตาบลเจ้าเจด็ ๙.๔ ภูมิปัญญำทอ้ งถ่นิ ภมู ปิ ญั ญำด้ำนกำรรกั ษำโรค ในช่วงที่การแพทยส์ มยั ใหม่ ยังไม่แพรห่ ลาย หรือยงั ไม่ท่วั ถงึ กจ็ ะมี ผรู้ ู้ ผู้มีความสามารถในด้านการรักษาโรคชนิดต่าง ๆ อยู่ประจาท้องถิ่น ซึ่งคนในพื้นที่จะทราบว่าเมื่อป่วย ได้รับบาดเจ็บ หรือต้องการรับการช่วยเหลือทางการแพทย์ชนิดใด จะต้องไปตาม หรือไปหาหมอใน ทอ้ งถิน่ คนใด สาหรบั ในยา่ นเจา้ เจ็ด ก็เคยมภี ูมิปัญญาดา้ นการรักษาโรคหลายแขนง อาทิ หมอแผนโบราณ มชี ่อื รู้จักกันในทอ้ งถน่ิ ว่า “ตาบวั ” เปน็ หมอรกั ษาโรคกระดกู หมอรักษาโรคท่ัวไปไดแ้ ก่ หมอแพ หมอคา สาหรบั หมอตาแย ทีม่ ชี ่ือเสียงในอดตี มีชื่อว่า “นางม้วน” และมผี มู้ วี ิชาความรู้ในการรกั ษาผถู้ กู งู พิษกัด โดยการพ่นดับพิษงู ประกอบไปด้วย ปู่เอียด ลุงเล่า ลุงแรม แม้ในปัจจุบันท่านผู้มีความรู้ทาง การแพทย์โบราณเหล่าน้ี จะไม่มีบทบาทในการรักษาโรคต่าง ๆ แล้วเน่ืองจากความสะดวกในการเข้าถึง สถานพยาบาลของชาวเจา้ เจ็ด แต่ชอ่ื และฝมี ือ ความร้ดู ้านการรักษาโรคก็ยงั คงปรากฏเป็นตานานเล่าขาน ของทอ้ งถน่ิ ต่อไป

๑๓๐ ภูมิปัญญำด้ำนพิธกี รรม ประกอบดว้ ย หมอทาขวัญ ชื่อหมอรี และหมอบวชนาคหมอเจยี ม อยู่ หมู่ ๗ ตาบลเจา้ เจด็ ภมู ปิ ัญญำด้ำนกำรดนตรี ในท้องถิ่นตาบลเจ้าเจ็ด มภี ูมิปัญญาด้านการดนตรหี ลายประเภท เช่น การเล่นเพลงเรือ การต่อเรือ เพลงเก่ียวข้าว วงดนตรีไทย แตรวง ซึ่งรายละเอียดของภูมิปัญญาและการ ดารงอยู่ ท่ไี ด้จากการเก็บข้อมูลภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นย่านเจา้ เจ็ด ดังนี้ การเล่นเพลงเรอื ผู้ใหญ่ยอด เป็นผ้รู ู้ แต่ในปัจจุบนั ถงึ แก่กรรมแล้ว และไม่มีผ้ใู ดสืบทอด แต่ได้มี การนาเพลงเรือมาใช้ในสถานศึกษาในทอ้ งถ่ินบ้างเท่าน้ัน เพลงเก่ียวข้ำว มีผู้ใหญ่ยอดเป็นผู้รู้เดียวกัน ในปัจจุบันยังพอมีครูอาจารย์ตามสถานศึกษาสืบ ทอดอยู่บ้างเพยี งเลก็ นอ้ ย วงดนตรไี ทย ปีพาทย์บ้านครูชมุ ครลู ัดดา คาแดง แตรวง สุชินโชว์ อยู่ทางฝ่ังตาบลเจ้าเสด็จ ตรงข้ามฝ่ังคลองกับวัดเจ้าเจ็ด แต่เดิมนั้นมีการไล่ เสียงด้วยปากเปล่า แต่ในปัจจุบันมีการใช้ตัวโน๊ตแทน ทาให้เสียงทานอง ในการเล่นเพลงดีขึ้น และใน ปัจจุบัน แตรวงยังคงเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ไดร้ ับความนิยมอยู่ เน่ืองจากเป็นสิ่งท่ีนิยมใชใ้ นงานแห่นาค และในงานรนื่ เรงิ ตา่ ง ๆ เจียระไนพลอย ชาวเจ้าเจ็ดหลายครอบครัว ประกอบอาชพี เจียระไนพลอยเป็นอาชีพเสรมิ แต่ บางครอบครวั กม็ ีการทาเป็นอาชีพหลกั โดยบางครอบครัวสบื ทอดวชิ าความรูใ้ นการเจียระไนพลอยจากรุ่น สรู่ ุน่ โดยรับพลอยมาจาก “พอ่ ค้าเดนิ พลอย” ทจ่ี ะนาพลอยมาส่งและเป็นผู้กาหนดรูปแบบท่ตี ้องการ การเจียระไนพลอยของตาบลเจ้าเจ็ดได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนขยายไปสู่ตาบลอื่น ๆ กลายเป็นอาชีพหนึ่งของผู้คนในย่านนี้ แต่ด้วยการแข่งขันทางธุรกิจสงู ทาให้พลอยลดนอ้ ยลง กระท่ังช่าง ทาพลอยต้องไปหาอาชีพอื่นแทน ในปัจจุบันจึงเหลือช่างทาพลอยอยู่เพียงไม่กี่ราย (ไสว มั่งมี, ๒๕๖๑, ๑ กรกฎาคม) กำรต่อเรือ-บูชำเรอื นายสวัสด์ิ กองพิทักษ์ อายุ ๗๙ ช่างต่อเรือแห่งย่านเจ้าเจด็ เป็นผู้สามารถ ต่อเรอื ได้ทุกชนดิ ได้เลา่ ว่า ในอดตี น้ันจะต่อเรือลาเล็กท่ีนยิ มใช้สญั จรในลาคลองเจ้าเจ็ด แต่เมื่อความนยิ ม การเดินทางโดยเรือลดน้อยลง จึงผันมารับงานต่อเรือขนาดใหญ่ เช่น เรือด่วนสาหรับนานักท่องเที่ยวซ่ึง เป็นแขกของโรงแรมต่าง ๆ เท่ียวชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้า และในบางครง้ั ก็ทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้เร่ือง การต่อเรือแบบจาลองให้ความรแู้ ก่นกั เรียน นักศึกษาทส่ี นใจ ช่างต่อเรือจะมีพิธีไหว้ครูประจาปี ในช่วงเดือนหกข้างขึ้น ซ่ึงตรงกับช่วงประมาณเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน เมื่อจะมีการนาเรือลงจากคาน กจ็ ะมีการทาพิธีบวงสรวงเทพดา เจ้าที่เจ้าทาง และ แม่ยา่ นางเรือ

๑๓๑ ภาพประกอบ ๔๙ พธิ ีบชู าเรือ ทม่ี า: สวัสด์ิ กองพิทกั ษ,์ ๒๕๖๑, ๑๙ มิถนุ ายน. ๙.๕ ประเพณีทอ้ งถน่ิ ในรอบระยะเวลา ๑ ปี ชาวตาบลเจ้าเจด็ มีประเพณีทที่ าในช่วงเดอื นตา่ ง ๆ ดังนี้ เดอื นมกราคม เทศกาลปีใหม่ เดือนกุมภาพนั ธ์ /มีนาคม ทาบุญกลางหมู่บ้าน ทาบญุ ศาลเจ้า ซึ่งเป็นประเพณีท้องถน่ิ ท่ีมีมาช้า นาน ชาวบา้ นจะนัดกันมารว่ มทาบญุ โดยแตล่ ะคนจะจดั เตรียมอาหารคาว หวานมาทุกคน เดือนเมษายน ต้นปีเดือน ๕ ตรษุ /สงกรานต์ ทีว่ ัดเจ้าเจด็ ในจัดกิจกรรมทาบุญต้ังแต่วันท่ี ๑๓- ๑๕ เมษายน ประชาชนจะทาบญุ ช่วงเช้า และช่วงบา่ ยจะมพี ิธีสรงนา้ พระ เดอื นพฤษภาคม บวชนาค/แตง่ งาน เดือนกรกฎาคม บวชนาค แห่เทียนจาพรรษา เดอื นสิงหาคม เขา้ พรรษา เดอื นกนั ยายน ทอดผา้ ปา่ เดือนตลุ าคม แห่เรือพระพุทธเกสร มีพิธีช่วงเช้าจะนัดประชาชนมาอันเชิญ พระพุทธรูปหลวงพ่อพุทธเกสรในพระปางประทับเรือแห่ มีขบวนเรอื ตบแต่งสวยงามแห่ไปวัดกระโดงทอง ไปเยือนพระพุทธเกสรองค์พ่ีและแห่กลับมาวัดเจ้าเจ็ดในขบวนแห่เม่ือมาถึงพลับพลาในสมานประชาชน ถวายความเคารพพรอ้ มกนั ทกุ คน เดือนพฤศจิกายน ลอยกระทง

๑๓๒ เดือนธนั วาคม ส่งทา้ ยปเี กา่ ตอ้ นรับปีใหม่ ประเพณีแห่หลวงพ่อพุทธเกสรจำกวัดเจ้ำเจ็ดในไปวัดกระโดงทอง ในอาเภอเสนามีหลวงพ่อ พุทธเกสร ๒ องค์ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดเจ้าเจ็ดใน องค์หน่ึง ชาวบ้านเรียกกันว่าเป็นองค์พ่ี และ ประดิษฐานอยทู่ ี่วดั กระโดงทอง อกี องค์หน่ึง เรียกกนั ว่าเป็นองคน์ ้อง ทุก ๆ ปีจะมีพธิ ีแห่พระพุทธเกสรไป มาหาส่กู นั ระหวา่ งองค์พที่ ่วี ดั เจา้ เจ็ดใน และองคน์ ้องท่ีวดั กระโดงทอง สาหรับการแก่พระพุทธเกสรที่วัดเจ้าเจ็ดจะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ทางองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ินตาบลเจ้าเจ็ดได้ให้มีพิธีแห่เรือพระพุทธเกสรเป็นประจาปี ข้ึน ๙ ค่า เดือน ๙ เพ่ือ ราลกึ นึกถึงครัง้ ทเ่ี จ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ร.๙ ร.๑๐ ทรงมาทอดพระกฐนิ ต้น ที่วดั เจ้าเจ็ดนอก-วดั เจ้าเจด็ ใน เม่ือ วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๕ ดังนั้น ชาวบ้านทุกตาบลในเขตเทศบาลตาบลเจ้าเจ็ดบริเวณใกล้เคียงจะ มาร่วมแห่เรอื โดยแตง่ เรอื เป็นบุพชาตสิ วยงาม เมื่อมาถึงหน้าพลับพลาใจสมานก็จะมีพิธีถวายบังคมหน้าท่ี ประทับ ทางเทศบาลกจ็ ัดรางวัลเรือสวยงาม เรือคิดสร้างสรรค์ เรือทุกลาที่ร่วมกิจกรรมมอบเงินสนับสนุน เพ่ือจะไดบ้ ารุงรักษาเรือตอ่ ไปทุกปีเพื่อเกดิ ความสามัคคี เปน็ ประเพณีสืบทอดกันมาทุกปีประชาชนมารว่ ม กิจกรรมมากกวา่ ๕๐๐ คน แตใ่ นปจั จบุ ัน ได้มีการปรับเปลี่ยนวธิ กี ารแห่พระพทุ ธเกสร จากแห่ทางเรอื มา สกู่ ารแหท่ างบก ตามความสะดวกในวิถีชีวิตของคนรุ่นใหมท่ ่ใี ช้รถยนต์ในการเดนิ ทางเป็นหลัก ภาพประกอบ ๕๐ พระพุทธเกสร วดั เจา้ เจ็ดใน ทีม่ า: นางมะลิ สงิ หช์ ัย กศน.ตาบลเจ้าเจด็

๑๓๓ กำรละเล่น นายไสว ม่ังมี เล่าบรรยากาศของการแห่เรือพระพุทธเกสรในอดีตว่า มีการละเล่น อยา่ งหน่ึงเกดิ ขน้ึ ระหว่างการแห่พระพุทธเกสร คือ ระหวา่ งทางท่เี รือพระพทุ ธเกสรผา่ นไป ชาวบ้านกจ็ ะมี การละเล่นชิงเรือพระพุทธเกสร เมื่อเรือผ่านคุ้งบ้านไหน ชาวบ้านก็จะทาทีมาแย่งเรือ พระพุทธเกสร ถ้า สามารถแย่งได้ กจ็ ะต้องมีการนาเงินมาถ่ายคืน (ไสว ม่ังม,ี ๒๕๖๑, ๑ กรกฎาคม). นอกจากน้ี ในช่วงการทาบุญเนื่องใน วันตรุษ วันสารท วันสงกรานต์ ชาวเจ้าเจ็ดก็จะมี การละเล่นแบบโบราณ เช่น โยนลูกช่วง มอญซ่อนผ้า อ่ีจับ หมากเก็บ หมากหลุม โดยหนุ่มสาวก็จะมา รวมตัวกันตามงานวดั และท่บี ้านฝ่ายหญิงก็จะทาขา้ วตม้ เลยี้ งคนท่มี าเล่นสงกรานต์และมีการราวง เชยี รร์ า วง รอ้ งราทาเพลงกัน ผอ.วริ ัชเลา่ จากความทรงจาวา่ มีการเล่นประเพณสี ารทเดอื นสิบ คอื จะมีคนลงเรือเพื่อไปขอทาน กระยาสารทเพียงลาพัง โดยจะมีกลองโทนหน่ึงใบ และร้องขอกระยาสารทตามบ้านเรือนริมน้า ซ่ึงสมัยน้ี ไม่มกี ารละเลน่ ในลักษณะนีแ้ ลว้ (วริ ัช เกตุโกมทุ , ๒๕๖๑, ๒ กรกฎาคม) ๙.๖ ควำมเชื่อ และส่งิ ยึดเหนีย่ วทำงจิตใจ ภาพประกอบ ๕๑ ท่าน้าหน้าวัดเจ้าเจ็ดใน ทีม่ า: นางมะลิ สิงห์ชยั กศน.ตาบลเจ้าเจด็

๑๓๔ ศำลเจ้ำศำลผี มศี าลพ่อใหญ่เป็นนายพลทหาร สร้างไว้เป็นท่ีนับถือศรทั ธาของคนในชุมชน ศำลเจ้ำเจ้ำเจ็ด เป็นศาลเจ้าจีนท่ีคนจีนในย่านเจ้าเจ็ดนับถือ ในแต่ละปีจะมีงานประจาปี เรยี กว่า งานจนี ทาบุญจีน ซง่ึ คนไทยที่อาศยั อยู่ตามคลองเจา้ เจ็ด กม็ ักจะไปร่วมพิธีกับชาวจีนเป็นประจา ทกุ ปี เนื่องจากมกี ารแสดงงว้ิ และงานร่นื เรงิ ตา่ ง ๆ ศำลพอ่ ปู่ ตง้ั อยู่หมู่ท่ี ๕ ตาบลเจ้าเจด็ ชว่ ยพิทกั ษ์รักษาท่ีดิน และเป็นที่ยึดเหน่ียวจิตใจของผคู้ น ในชมุ ชน บางคนมากราบไหวส้ กั การะเพ่อื เป็นสิริมงคลกบั ตนเองกอ่ นไปเกณฑ์ทหาร ศำลตำปู่ ต้ังอยู่หมู่ท่ี ๗ ตาบลเจ้าเจ็ด ในท้องถน่ิ เจ้าเจ็ด จะมีพิธกี รรมนานาคท่ีจะอุปสมบทเป็น พระ มาขอขมาแกศ่ าลตาปเู่ ป็นธรรมเนยี มของทอ้ งถนิ่ . ภาพประกอบ ๕๒ ศาลพ่อปู่ หมู่ ๕ ท่มี า: นางมะลิ สงิ หช์ ัย กศน.ตาบลเจ้าเจ็ด

๑๓๕ ภาพประกอบ ๕๓ ศาลตาปู่ หมู่ ๗ ทม่ี า: นางมะลิ สงิ ห์ชัย กศน.ตาบลเจ้าเจด็ ๙.๗ ควำมเปลย่ี นแปลงของทอ้ งถน่ิ พระครปู ลัดอนงคเ์ ลา่ ถึงความเปลยี่ นแปลงของตาบลเจา้ เจด็ ในหอ้ งเวลาทีผ่ า่ นมาว่า “สมัยก่อนอุดมสมบูรณ์ในน้ามีปลาในนามีข้าว ทาไร่ทานา ทาปีละ ๑ คร้ัง ทานาดา แบบนาปี ช่วงเขา้ พรรษามาทาบุญชาวบา้ นจะเดินทางโดยใชเ้ รือพาย แจวเรือมาด เรือกาปนั่ เรือไอ เรือโยงเปน็ หลัก ในการค้าขายทางน้า ประชาชนจะมาทาบญุ ในวนั สาคัญของพระพุทธศาสนาเยอะเต็มศาลาเก่า ต่อมาได้มี การสร้างศาลาใหม่ขึ้น ประชาชนจะมาการเดินทางไปกรุงเทพต้องนั่งเรือบริษัทบริเวณแพกิมฮัง ออกหก โมงเย็นไปถึงท่าเตียน ตีห้าเพื่อนาผัก ผลไม้ไปขายที่ท่าจอดเรือท่าเตียน ถ้ามีน้อยก็พายเรือไปขายเองท่ี ตลาดบา้ นแพนหรอื อาเภอเสนา (ปัจจบุ ัน) การเปล่ียนแปลงครั้งใหญ่ ปัจจุบันมีการทานาปรังทาปีละ ๓ ครั้ง การทานายากขึ้นเพราะมี ปัญหาเรื่องน้าใช้เงินเยอะวัสดุอุปกรณ์ในการทานาแพง ประชาชนไม่มีการช่วยเหลือกัน (ลงแขก) สมยั กอ่ นประชาชนทาอาชพี เสริมทา (เจยี ระไน)พลอยกนั ทกุ บา้ น” นายเกษม ปนุ่ อุดม สะทอ้ นความเปลี่ยนแปลงของท้องถ่นิ ไว้อย่างนา่ สนใจ ดงั น้ี “สมัยก่อนการเดินทางใชเ้ รือพาย แจวเรือมาด เรือกาปั่น เรือไอ เรือโยงเป็นหลักในการค้าขาย ทางน้า ถ้าไปกรุงเทพตอ้ งนั่งเรือบริษัทบรเิ วณแพกิมฮงั ออกหกโมงเย็นไปถึงท่าเตียนตีหา้ เพ่ือนาผัก ผลไม้ ไปขายท่ที า่ จอดเรอื ท่าเตียน ถา้ มีน้อยกพ็ ายเรอื ไปขายเองที่ตลาดบา้ นแพนหรือ อาเภอเสนา การเปลี่ยนแปลงของท้องถ่ิน ขึ้นอยู่กับการปกครองสมัยเดิมมีผู้ใหญ่บ้าน/กานัน เปลี่ยนแปลง สุขาภิบาลเจ้าเจ็ดมีสมาชิก บริหารบ้านเมือง โดยมีกานันเป็นกรรมการ กรรมการสุขา มีประธาน สุขา นายอาเภอเปน็ ประธานโดยตาแหน่ง

๑๓๖ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีถนนในการคมนาคม ลาคลองใสสะอาด ปราศจากผักตบชวา ยุคมี เทศบาลตาบลเจ้าเจ็ด มีนายกเทศมนตรีตาบลเจ้าเจด็ เป็นผู้นา และสมาชกิ กรรมการสขุ าภิบาล ๑๒ ท่าน ปัจจุบันมีการพัฒนา ส่ิงแวดล้อมโครงสร้างพื้นฐานเป็นถนนคอนกรีต ทุกชุมชน สภาพความเป็นอยู่ก็ เปล่ียนแปลงไป” นายวิรัช เกตุโกมุท ได้ความเปล่ียนแปลงของท้องถิ่นว่า “เดิมการคมนาคม ของชุมชนเจ้าเจ็ด อาศัยทางน้าเพราะไมม่ ีถนนหนทางท่ีสะดวก จึงใช้เรอื ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เชน่ ตลาดบ้าน แพน อยุธยาหรือกรุงเทพ วิถีชีวิตอยู่กับพื้นน้ามีช่วงหน้าแล้งพอที่จะใช้เดินเท้าลัดทุ่งนามายังตลาดบ้าน แพนได้บ้าง มาสมัยนี้เกิดความเจริญมาเส้นทางคมนาคมทางบกจึงเปล่ียนการเดินทางมาเป็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถโดยสารประจาทางตามความสะดวกแต่และครอบครัวการคมนาคมทางน้าหายไปลา คลองเป็นทรี่ ะบายส่งนา้ ใหใ้ นการเกษตรและระบายน้าชว่ งน้าเหนอื ไหลหลาก” นายสวสั ด์ิ กองพิทกั ษ์ เลา่ ถึงความเปลี่ยนแปลงของท้องถ่ินไว้ ดังนี้ “สมัยก่อนลาคลองเจา้ เจด็ มี ผ้คู นใช้เรือเดินทางยังมากมายมีทั้งเรอื โดยสาร เรือไอ เรอื แดงเดินทางเข้ากรุงเทพมีเรือสองตอนว่ิงรับส่ง ระหว่างหมู่บา้ นชมุ ชนใกลเ้ คียง บ้านเรอื นแพกป็ ลูกกันอยรู่ มิ สองฝั่งคลองการค้าขายทางนา้ มีตลอดผู้คนจะ ลงเรือไปซื้อของมากินมาใช้ การเปล่ียนแปลงความเจริญเข้ามามีการทาถนนเข้ามีในชุมชนมารถว่ิงผ่าน เดนิ ทางไดร้ วดเร็วขน้ึ ทางสัญจรทางน้าค่อยลดหายลงไป ตามการพฒั นาบา้ นเมอื ง” ๑๐.ตำบลเสนำ ตาบลเสนา เป็นตาบลขนาดเล็กแต่มีความสาคัญต่อตัวอาเภอเสนา เน่ืองจากตาบลเสนาเป็น พื้นที่ศูนย์กลางการคมนาคมและศูนย์กลางการค้าของอาเภอเสนา ตั้งอยู่ท่ีชุมชนบ้านแพน ถูกเรียกว่า “ทา่ เรือบ้านแพน” หรือ “ตลาดบา้ นแพน” นับเป็นพืน้ ท่ที ี่แสดงความเป็นวิถขี องชุมชนริมน้าในช่วงทผี่ คู้ น ยงั คงใช้เรอื ในการเดนิ ทาง ตลาดบ้านแพน หรือ ท่าเรือบ้านแพน จะเต็มไปด้วยเรือนแพท่ีเปิดร้านค้าขาย อยู่สองฝั่งแม่น้าน้อยเพื่อขายสินค้าประเภทต่าง ๆ ให้กับผู้คนที่เดินทางมาท่ีตลาดบ้านแพนหรือผู้คนที่ ตอ้ งการแวะพกั การเดินทางท่ที า่ เรือบ้านแพน ๑๐.๑ อำณำเขต และภูมปิ ระเทศ อำณำเขต ตาบลเสนา เปน็ ตาบลที่มีพ้ืนท่ีขนาดเล็กกว่าตาบลอ่ืน ๆ ต้ังอย่ตู อนกลางของอาเภอ เสนา มีพน้ื ทกี่ ารปกครองติดตอ่ กับหลายตาบลของอาเภอ ได้แก่ ทางด้านทศิ เหนอื ติดตอ่ กับตาบลเจา้ เสด็จ ตาบลรางจรเข้ ตาบลบ้านโพธ์ิ ด้านทิศใต้ ติดต่อกับตาบลสามกอ ทิศตะวันออกติดต่อกับตาบลบ้านแพน และทางดา้ นทศิ ตะวนั ตกติดต่อกับตาบลเจา้ เสด็จ

๑๓๗ ทศิ เหนอื มพี ืน้ ทต่ี ิดต่อกับ ตาบลเจ้าเสด็จ ตาบลรางจรเข้ และตาบล บา้ นโพธิ์ อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มีพื้นที่ติดตอ่ กบั ตาบลสามกอ อาเภอเสนา ทิศตะวันออก มีพน้ื ท่ตี ิดตอ่ กบั ตาบลบา้ นแพน อาเภอเสนา ทิศตะวนั ตก มพี ื้นท่ตี ดิ ตอ่ กบั ตาบลเจา้ เสด็จ อาเภอเสนา แผนท่ี ๒๑ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตตาบลเสนา ท่ีมา: สถาบนั อยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ สภำพทำงภูมิศำสตร์ พ้ืนที่ของตาบลเสนา มีลักษณะเปน็ ที่ราบลุ่มท่ีมีลาน้าสาคญั หลายสายไหล มาบรรจบกันประกอบด้วย แม่น้านอ้ ย จากทางทิศเหนือ คลองเจา้ เจ็ด-บางยี่หนจากทางทิศตะวนั ตก และ คลองขนมจีนด้านทิศใต้ ทาให้ตาบลเสนาเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางเรือในอดีต มีท่าเรือสาคัญคือ ทา่ เรอื บ้านแพน ท่ีสามารถเดินทางไปยงั ท้องที่ตา่ ง ๆ ไดส้ ะดวก ทง้ั อาเภอผกั ไห่ จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา และจังหวัดอ่างทองทางตอนเหนือ อาเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสุพรรณบุรี ทางด้านทิศตะวันตก และทางด้านทิศใต้สามารถเดินทางไปสู่อาเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จงั หวัดปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร นอกจากจะเป็นทา่ เรอื สาคญั ในย่านน้ีแล้ว ยงั เป็นศนู ยก์ ลางการค้าทส่ี าคัญอีกด้วย คอื ตลาดบ้าน แพน ซ่ึงในยุคท่ีการเดินทางทางน้ายังได้รับความนิยม ตลาดบ้านแพนจะเต็มไปด้วยเรือนแพท่ีเปิดร้านค้า ขายอยู่สองฝั่งแม่น้าน้อย หน้าที่ว่าการอาเภอเสนา ภายหลังเมื่อการคมนาคมทางบกได้รับความนิยม

๑๓๘ แทนที่การคมนาคมทางน้า ย่านตาบลเสนา ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมอยู่ จนกลายมาเป็น ท่าเรอื ท่ีสาคัญของยา่ นนีแ้ ทน แผนที่ ๒๒ สภาพทางภูมศิ าสตรต์ าบลเสนา ท่มี า: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑ ๑๐.๒ ประวตั ศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถ่ิน ตำนำนชอื่ ตำบลเสนำ ตาบลเสนา เดมิ เรยี กกันวา่ “บา้ นแพน” บา้ งกเ็ รียกว่า “ชมุ ชนหวั ประตู” คงเป็นเพราะอยู่ใกล้ประตูระบายน้าเจ้าเจ็ด และมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า สาเหตุที่เปล่ียนช่ือจากบ้านแพน เป็นตาบลเสนา เน่ืองจาก ในสมัยก่อนมีเจ้าเมืองเสด็จมาจากเมืองหลวง ซ่ึงอาจผูกโยงกับตานานเจ้าเจ็ด พระองค์ เสดจ็ มาล้ีภยั ท่ีตาบลเจ้าเจ็ดก็เป็นได้ ซ่ึงในขณะนั้น มีผู้ตามเสด็จเป็นจานวนมาก มที ้ังเหล่าเสนา อามาตย์ และขนุ หลวงต่าง ๆ จึงกลายเป็นท่ีมาของชอ่ื ตาบลต่าง ๆ ในย่านคลองเจา้ เจ็ด ได้แก่ ตาบลเสนา ตาบลเจา้ เจด็ และตาบลเจ้าเสด็จ ตำนำนศำลเจ้ำพ่อร่มขำว ปัจจุบันศาลเจ้าพ่อร่มขาว ต้ังอยู่ที่ริมแม่น้าน้อยเขตเทศบาลเมือง เสนา ในอดีตเคยมีผู้เล่ากนั มาว่าเม่ือถงึ ฤดูน้าหลากบริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อ จะมีสภาพเป็นน้าวนไหลเชี่ยว ถ้าฝูงวัวควายของชาวบ้านว่ายผ่านเข้ามาด้านหน้าศาล ไม่ว่าจานวนมากหรือน้อยเท่าใด ก็จะพากันหาย เข้าไปในศาลน้นั และในบางครั้งก็จะมผี ู้คนในชุมชนพบเหน็ จระเขต้ ัวใหญ่ออกมาจากศาลเจา้ พ่อรม่ ขาวจน

๑๓๙ เป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ ของศาลเจ้าพ่อร่มขาว ผู้ใดต้องการให้เจ้าพ่อช่วยเหลือ ก็จะมาจุดธูปบอก กล่าวขอความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่มักจะให้เจ้าพ่อช่วยเกี่ยวกับอุบัติเหตุ ทางเรือ เช่น เรือติดตอไม้ เรือ ขนส่งสนิ ค้าเกดิ ตดิ ขัด เม่อื จดุ ธปู ขอกบั เจ้าพ่อ รม่ ขาว ก็จะประสบความสาเรจ็ ศำลเจ้ำพ่อหวั ประตู เดิมทีต่ ้ังศาลเจ้าพ่อหัวประตู เป็นท่ีดนิ ว่างเปล่า เมอื่ ถงึ หนา้ นา้ กไ็ ด้มีกอไผ่ ลอยตามน้ามาหยดุ อยู่ ณ ท่ดี ินดังกลา่ ว พอน้าลดระดับลง กอไผ่น้ันก็งอกเติบโตขึ้น และเมือ่ ถึงฤดูน้าท่วม ในปีต่อไป กอไผ่ก็ยังคงอยู่จนกระท่ังมีจอมปลวกเกิดข้ึน และขยายรังใหญ่ขึน้ อยู่คกู่ ับกอไผ่นั้น จนกระท่ัง ครั้งหนง่ึ มีคนถีบรถสามลอ้ รับจ้างในตลาดมาจอดนอนพกั ใต้ ต้นไผ่ แล้วหันปลายเทา้ เข้าไปทางจอมปลวก ในกอไผ่นน้ั พอรู้ตัวตน่ื ข้ึนมาก็เห็นร่างผ้ชู ายสงู ใหญ่ไม่มหี ัว ยืนหันมาทางคนขับสามลอ้ จนเป็นท่เี ล่า ต่อ ๆ กันมา กระท่ังมผี ู้ตั้งศาลเจ้าให้เป็นท่เี คารพนับถือของชาวชุมชนหวั ประตูจนถึงปัจจุบัน ผู้ใดตอ้ งการขอส่ิง ใด ก็จะมาบนบานและแก้บนกันด้วยเหล้า หัวหมู เป็ด ไก่ ตามกาลังทรัพย์ บ้างก็มีการจุดประทัดถวาย กัญชาหรอื บนด้วยละคร (สมใจ เฉิดฉาย, ๒๕๖๑, ๙ กรกฎาคม) เร่ืองเล่ำเกี่ยวกับน้ำท่วม ปีพ.ศ.๒๕๕๔ นางสาววฒั นา โคตรแสงออ่ น อายุ ๕๑ ปี หรือ ป้าแอ๊ด ได้เล่าเหตุการณ์ในความทรงจาเก่ียวกับน้าท่วมใน ปีพ.ศ.๒๕๕๔ ไว้ว่าเป็นปีท่ีน้าท่วมหนักที่สุด แม้จะ ยากลาบาก แต่ก็ยังได้เห็นความช่วยเหลือของท้ังคนในท้องถ่ินเอง และความช่วยเหลือจากทางราชการ ความวา่ “โดยปกติชมุ ชนหัวประตู กจ็ ะโดนน้าท่วมอยู่ทกุ ปี แตป่ ีน้ี ปริมาณน้ามากและ ท่วมอย่างรวดเร็ว จนทางท้องถิ่นต้องประกาศขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นท่ีให้ ออกมาชว่ ยกันกรอกทรายบริเวณหน้าเทศบาล ภาพคนที่มาชว่ ยต้ังแต่เชา้ สาย บา่ ย เย็น จนค่า ทาให้รู้สึกประทับใจ แม้นา้ ท่ีท่วมจะอยู่กบั เราเปน็ เวลาหลายเดือนก็ตาม และยังมี กลุ่มคนท่ีคอยทาอาหารแยก ๓ ม้ือ อย่าง กศน.อาเภอเสนา มีทหารที่มาขนกระสอบ ทรายไปเรียงตามรอยรั่วของเขื่อนริมแม่น้าน้อย ทุกคนออกมาช่วยส่วนรวม ทาให้ลืม ความทกุ ข์ไปเลยในตอนนั้น”

๑๔๐ ภาพประกอบ ๕๔ เหตุการณ์นา้ ท่วม ตลาดบา้ นแพน พ.ศ. ๒๕๕๔ ทม่ี า: นางสาวปิยธดิ า ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา ๑๐.๓ วถิ ชี วี ิต และควำมสัมพนั ธ์ทำงสงั คม ตาบลเสนา แม้มีขนาดเล็กกว่าตาบลอ่ืน ๆ เนื่องจากไม่มีพื้นที่สาหรับทาการเกษตร แต่ก็เป็น ศูนย์กลางทางการค้าและการคมนาคม ดังน้ันวิถีชีวิตของผู้คนในย่านนี้ส่วนใหญ่มักจะประกอบอาชีพ คา้ ขายในตลาด ในสมัยก่อนท่ีการคมนาคมทางน้ายังได้รับความนิยม ตลาดบ้านแพน ตาบลเสนาเป็นศูนย์กลาง การคมนาคมขนส่งทางน้า เน่ืองจากทางตอนเหนือ จะมีเรือด่วนล่องลงมาจากตลาดลาดชะโด อาเภอผัก ไห่ มาตามแม่น้านอ้ ยมาแวะพักที่ตลาดบ้านแพน และทางด้านตะวันตก ก็จะมีเรอื ด่วน เรือเมล์เขียวและ เรอื เมลแ์ ดง ออกเดินทางจากตาบลบางยี่หน จังหวัดสุพรรณบุรี มาตามคลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน มาแวะพัก ท่ีตลาดบ้านแพนแลว้ เดินทางต่อเน่ืองลงมาตามลาน้านอ้ ย และเข้าสูแ่ ม่น้าเจ้าพระยา ทล่ี านเท อาเภอบาง ไทร ม่งุ หนา้ สทู่ า่ เตียนในกรุงเทพมหานคร ตาบลเสนาในอดีตจึงเต็มไปด้วยเรือนแพร้านค้าจานวนมาก โดยเฉพาะบริเวณหน้าท่ีว่าการ อาเภอเสนา มีการค้าขายส่ิงของที่จาเป็นต่อการดารงชีพ เช่น อาหาร เสื้อผ้าเคร่ืองแต่งกาย คนขายข้าว แกงบางราย เน้นขายอาหารให้ลูกค้าที่เปน็ ชาวเรือโดยเฉพาะ เนื่องจากในแต่ละวันต้องมีคนพายเรือผ่าน เข้าออกท่ีหัวประตู (ประตูน้าเจ้าเจ็ด) อยู่ตลอดเวลา บ้างประกอบอาชีพค้าขายตามลาน้า เช่น รับจ้าง ขนส่งข้าวตามโรงสี แต่เม่ือการคมนาคมทางน้าได้รับความนิยมลดน้อยลง จากความสะดวกในการใช้

๑๔๑ รถยนตแ์ ละถนน ส่งผลถงึ จานวนของแพคา้ ขายริมนา้ ก็ลดนอ้ ยลงไปจนสนิ้ และรปู แบบการค้าขาย และวิถี การดารงชีพกเ็ ปล่ยี นมาคา้ ทางบนบกในตลาดบา้ นแพนดังเช่นในปจั จบุ ันแทน ภาพประกอบ ๕๕ ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณตลาดบ้านแพน พ.ศ.๒๕๑๖ ทีม่ า: กรมแผนท่ีทหาร, ๒๕๑๖ ด้ำนกำรศึกษำ ในอดีต คนรุ่นก่อน ๆ เล่าว่าสมัยเป็นเด็ก ต้องไปเรียนหนังสือที่บ้านของตาเซ็ง แต่บางคนก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ในขณะที่คนรุ่นพ่อแม่ได้เข้ารับการศึกษาที่วัดบ้านแพน ในตาบลสามกอ สาหรับในปัจจุบัน นักเรียนมีโอกาสทางการศึกษามากขึ้น นิยมไปเรียนหนังสือตามโรงเรียนท่ีมีอยู่ใน ท้องถิ่น ซ่ึงตาบลเสนา อยู่ในย่านศูนย์กลางทางการศึกษาของอาเภอเสนาอยู่แล้ว จึงสามารถเดินทางไป ศกึ ษาเล่าเรยี นได้สะดวก เช่น โรงเรยี นเสนา\"เสนาประสิทธ์ิ\" โรงเรียนประสาทวิทย์และโรงเรยี นผดงุ อาชีวะ เสนา เปน็ ตน้ ด้ำนกำรค้ำขำย ภายในตาบลเสนา มีตลาดบ้านแพน ที่ถือได้ว่าเป็นตลาดใหญ่ ท่ีสาคัญของ อาเภอเสนา มรี า้ นค้าขายข้าวของเคร่ืองใชท้ จ่ี าเป็นอย่างครบครนั และมีตลาดสดเชา้ เยน็ ทีส่ ามารถไปหา ซือ้ ของสดมาทาอาหารได้อย่างสะดวก แต่ถ้าหากต้องการสินค้าบางชนิดท่ีไม่มีวางขายในตลาดบ้านแพน ชาวบ้านกม็ ักจะส่ังของไปกบั เรือ ซึง่ เขา้ ไปตลาดท่าเตยี นทกี่ รุงเทพฯ ทุกเช้า แลว้ คอยเวลาให้เรือนาของมา สง่ ในรอบการเดินเรือตอ่ ไป ๑๐.๔ ภูมปิ ญั ญำท้องถน่ิ ดำ้ นกำรรักษำโรค ตาบลเสนา เป็นย่านศูนยก์ ลางทางการค้าและการปกครองของอาเภอเสนา ดงั นั้น ในตลาดเกา่ ๆ เชน่ ตลาดบ้านแพน มกั จะมรี า้ นขายยาโบราณ ทมี่ ีเภสชั กรที่มคี วามรอู้ ยใู่ นตลาดดว้ ย

๑๔๒ ซงึ่ การรักษาโรคแผนโบราณ จะมกี ารใช้ยาสมนุ ไพรนานาชนิด ซึ่งในปัจจบุ ัน แมก้ ารแพทยแ์ ผนปัจจุบันจะ เจริญก้าวหน้า และเข้าถึงผู้คนได้มากแล้ว แต่ก็ยังมีผู้ที่นิยมการรักษาโรคด้วยสมุนไพรอยู่บ้าง เช่น การ นวดประคบสมนุ ไพร การตม้ สมนุ ไพรกนิ เป็นยา นางอณัญญา บุญช่วยชีพ อายุ ๖๓ ปี อาชีพ นวดแผนไทย ก็เป็นหน่ึงในผู้ทาน้าหมักจาก สมุนไพร ซ่ึงก็ยงั มีผนู้ าไปใช้ดม่ื รักษาโรค แต่เน่อื งจากผู้คนนยิ มทานยาแผนปจั จุบัน ทาใหค้ วามต้องการยา สมุนไพรมีจานวนลดนอ้ ยลง จึงมีแนวโน้มว่าภูมิปัญญาด้านการรักษาโรคแบบโบราณนก้ี าลังจะลดน้อยลง และอาจจะหมดส้ินไป ตามความนิยมของผู้คนในร่นุ ปัจจุบนั ข้ันตอนการนวดประคบแผนไทย เร่ิมจากผู้นวดเตรียมลูกประคบโดยนาไปนึ่งในหม้อน่ึง ซึ่งลูก ประคบมี ๒ ชนิดคอื ลูกประคบสด และลูกประคบแหง้ ผู้เปน็ หมอนวดจะทาการนวดให้เส้นคลายตัวก่อน แล้วจงึ นาลูกประคบท่ีผ่านการน่ึงห่อด้วยผ้าขาวหลาย ๆ ชั้นเพ่ือลดความร้อน แลว้ นาบบนตวั ผูม้ านวด ซึ่ง ในอดีตการนวดประคบจะใช้ใบพลับพลึงย่างไฟห่อ แต่ปัจจุบันหายากและไมส่ ะดวกจึงใช้ผ้าขาวบางแทน ในปัจจบุ นั ภูมิปญั ญาการนวดประคบนัน้ มีแนวโนม้ ลดลง เน่ืองจาก คนนวด รุ่นหลังๆ ไม่นยิ มนวดประคบ แต่จะนวดแผนไทยเพียงอย่างเดียว กำรทำทองรูปพรรณ ขั้นตอนการทาทองคารูปพรรณ เร่ิมจากการนาทองคาแท่งมารีดเป็นซ่ี เล็กๆ ตามลวดลายและขนาดที่ลูกค้าส่ัง ในระหว่างท่ีรีดก็ต้องนาทองเผาเป็นระยะ ๆ เพ่ือให้ทองอ่อนตัว แล้วค่อยมารีดใหม่ ไมเ่ ชน่ น้นั ทองจะแขง็ ตวั และรีดยากขึ้น พอรีดทองจนเปน็ เส้นเล็ก ๆ หลากหลายเบอร์ หรอื ว่าหลายขนาด ก็จะนามาตดั ทาหว่ งต่อเป็นเส้นๆ ตามส่ัง ขั้นตอนต่อมา คือการขึ้นรปู สลักลาย ซ่งึ ช่างทาทองจะต้องมีทักษะและความชานาญเป็นพเิ ศษ โดยระหว่างการข้นึ รปู ก็จะต้องมีการช่งั นา้ หนักทองกันตลอดเวลา ขนั้ ตอนท่ีสาม คือการนาช้ินงานชน้ิ เล็ก ๆ มารอ้ ยเช่ือมประสานให้เป็นทองเส้นเดียวกัน โดยใช้ น้ายาประสานซ่ึงทามาจากทองคาท่ีมีความเข้มข้นน้อยกว่า และน้าหนักของน้ายาประสาน ก็ต้องมีการ จากดั ปริมาณ มิให้เกนิ ร้อยละ ๓ ของนา้ หนักทองดว้ ย ขนั้ ตอนสุดท้ายคือ การวัดขนาดและการต้มสี เพื่อให้ทองคามีความแวววาว สวยงาม คล้ายกับ ขั้นตอนการขัดเงาในทองคาแท่ง โดนนาไปต้มกับดินประสิว แล้วล้างด้วยน้ากรด แล้วก็ขัดให้เงางาม จากน้นั จึงสง่ ไป ตตี ราท่ยี ่านเยาวราช ในกรงุ เทพมหานคร และนากลับมาขายในรา้ นทองบา้ นแพน การทาทองรูปพรรณของตาบลเสนาในปัจจุบัน แตกต่างจากในอดีตคือ จากที่ทาในครัวเรือน ส่วนในปัจจุบันมีการส่งไปทาในโรงงาน อย่างไรก็ตาม ในท้องถ่ินยังมีการทาทองกระจายอยู่ในหลาย ครอบครัว แตท่ วา่ ภูมิปญั ญาการทาทองในทอ้ งถิ่นมแี นวโน้มจะหมดไป เน่ืองจากรุ่นลูก หลาน ของชา่ งทา ทอง ไม่ค่อยสืบทอด จึงต้องจ้างลูกจ้างที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เช่น บางบ้านจาต้องจ้างชาวพม่ามาเป็น ลกู จ้างในการทาทอง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook