Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัยเสนาฉบับสมบูรณ์

งานวิจัยเสนาฉบับสมบูรณ์

Published by somchaipoonudom, 2020-04-28 01:22:32

Description: วิจัยเสนา ๐๑๑ ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

๑๔๓ ๑๐.๕ ประเพณีทอ้ งถน่ิ กำรแห่หลวงพ่อพระพุทธเกสร แม้ว่าหลวงพ่อพระพุทธเกสร จะเป็นพระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิ ประจาตาบลบ้านโพธ์ิ แต่ประเพณีแห่หลวงพ่อพระพุทธเกสรไปยังวัดเจ้าเจ็ดใน ตาบลเจ้าเจ็ด เป็น ประเพณที ี่สาคัญของอาเภอเสนา ซึ่งตาบลเสนาน้ันมีอาณาเขตติดต่อกับตาบลบ้านโพธ์ิ และไม่ไกลจากวัด กระโดงทอง จงึ มีส่วนรว่ มในประเพณีนี้อยเู่ สมอ การแห่พระพุทธเกสรวัดกระโดงทอง ไปยงั วดั เจ้าเจ็ดใน ซ่ึงทง้ั สองวัดน้ถี ือว่าเป็นวัดพี่วัดนอ้ งกัน น้ัน ผู้ประกอบพิธีจะอัญเชิญพระพุทธเกสร ลงเรือและล่องไปตามแม่น้าน้อย ผ่านตาบลรางจรเข้ ตาบล บ้านโพธ์ิ มายังตาบลเสนา ผ่านประตนู ้าเจ้าเจ็ด ไปตาบลเจา้ เสดจ็ ตาบลเจ้าเจด็ และนาองค์พระพทุ ธเกสร ข้ึนท่าน้าวัดเจ้าเจ็ดใน นาไปประดิษฐานในโบสถ์วัดเจ้าเจ็ดใน ก่อนที่จะมีการแห่พระพุทธเกสรกลับมา ประดษิ ฐานทว่ี ดั กระโดงทองดงั เดมิ ประเพณนี ี้ ถือเปน็ ประเพณีท่สี าคญั ท่ียดึ ถือปฏิบตั สิ บื มาร่วมกนั ของชาวอาเภอเสนา เพยี งแตใ่ น ปี พ.ศ.๒๕๖๐ ได้มีการเปล่ียนแปลงวิธีการแห่พระพุทธเกสร จากเดิมท่ีแห่มาทางเรือ ก็เปล่ียนมาแห่ทาง รถยนตแ์ ทน โดยจดุ เรมิ่ ตน้ ยังคงเปน็ ท่ีวัดกระโดงทองและส้ินสดุ ที่วดั เจา้ เจ็ดในดงั เดิม ๑๐.๖ ควำมเชือ่ และสงิ่ ยึดเหน่ยี วทำงจติ ใจ เจ้ำพ่อร่มขำว ตัง้ อยู่รมิ แมน่ ้าน้อย ผ้คู นในท้องถิ่นให้ความเคารพนับถอื อย่างมาก โดยเช่ือว่าเจ้า พ่อร่มขาว สามารถช่วยเหลือเร่ืองราวต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะ เหตุการณ์เกย่ี วกบั อุบัติเหตุ เรอื แพ ตลอดจน เรื่องคดคี วาม เร่อื งอยากให้ลูกหลานได้บวช เร่ืองการเกณฑท์ หาร ชาวบ้านกจ็ ะมาบนบานและแก้บนด้วย เหลา้ ขาว การจดุ ประทัดถวายกญั ชาหรือ บนดว้ ยลิเก วัดสำหรับชำวพุทธ ในเขตตาบลเสนาไม่มีวัดประจาอยู่ในตาบล ซ่ึงชาวตาบลเสนานิยมไป ทาบุญและร่วมทากิจกรรมตามประเพณีที่วัดกระโดงทองซ่ึงต้ังอยู่ในเขตการปกครองของตาบลบ้านโพธ์ิ บางสว่ นนิยมไปทาบุญท่ีวัดสามกอ ในตาบลสามกอ ศำสนสถำนในศำสนำอ่ืน ในตาบลเสนา มี โบสถ์คริสตัง อยู่ในโรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ ชาว คริสตท์ ีอ่ ยูใ่ นท้องที่ต่าง ๆ ในยา่ นตวั อาเภอเสนา จะมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาท่ีโบสถแ์ หง่ นี้ ส่วนผู้ที่ นับถอื อสิ ลาม จะตอ้ งเดินทางไปมัสยิดในตาบลใกล้เคยี งเพ่อื ประกอบพธิ ีกรรม เนอื่ งจากในตาบลเสนาไม่มี มัสยดิ ในการประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา

๑๔๔ ๑๑.ตำบลสำมกอ ตาบลสามกอ เป็นพื้นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ มีเส้นทางคมนาคมสาคญั ตัดผ่านคือถนนเส้นอยุธยา- สุพรรณบุรี ทั้งยังอยู่ห่างจากตาบลเสนาเพียง ๑ กิโลเมตร จึงทาให้ตาบลสามกอมีความเจริญไปด้วย นอกจากน้ีตาบล สามกอมีวัดและพระพุทธรูปศักด์ิสิทธิ์ประจาตาบล คือ วัดสามกอ(ปัจจุบันคือ วัดโพธิ์ ลงั กา)และพระพุทธชินราชจาลอง ซึ่งพระบาทสมเด็จปรมินทร์ ฯ(รัชกาลที่ ๙ ) มาเป็นประธานในพิธี จึง ทาให้เป็นทเี่ คารพนับถอื ของคนในชมุ ชนและบรเิ วณใกลเ้ คียง ๑๑.๑ อำณำเขต และภมู ิประเทศ อำณำเขต ตาบลสามกอ เป็นตาบลท่ีต้ังอยู่ทางตอนกลางของอาเภอเสนา โดยมีอาณาเขตด้าน ทิศเหนือติดต่อกับตาบลเสนาทางด้านทิศใต้ติดต่อกับตาบลบ้านหลวง ทางด้านทิศตะวันออกติดต่อกับ ตาบลบางนมโคและตาบลบา้ นแพน ทางด้านทศิ ตะวนั ตก ตดิ ต่อกบั ตาบลเจ้าเจ็ดและมีอาณาเขตใกล้เคยี ง กับตาบลมารวิชยั และตาบลชายนาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศเหนอื มีพน้ื ท่ตี ดิ ต่อกับ ตาบลเสนา อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มพี น้ื ท่ีตดิ ต่อกบั ตาบลบ้านหลวง อาเภอเสนา ทิศตะวนั ออก มพี ื้นทีต่ ดิ ต่อกบั ตาบลบางนมโค อาเภอเสนา ทิศตะวนั ตก มีพืน้ ท่ตี ดิ ตอ่ กบั ตาบลเจ้าเจด็ อาเภอเสนา แผนที่ ๒๓ แผนที่แสดงอาณาเขตสามกอ ทม่ี า: สถาบันอยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๔๕ ภูมิประเทศ พื้นท่ีบริเวณตาบลสามกอมีลักษณะเป็นท่ีราบลุ่ม แม้จะอยู่ติดกับศูนย์กลางความ เจริญของอาเภอ คือ ตาบลเสนา แต่พ้ืนที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นทุ่งนากว้าง สภาพดินเป็นดินเหนียวและ บางส่วนเป็นดินทราย มีแหลง่ นา้ ตามธรรมชาตไิ หลผา่ นหลายสาย ไดแ้ กค่ ลองขนมจีน ซง่ึ เป็นคลองสาขาท่ี แยกจากแม่นา้ น้อยท่ไี หลผา่ นมาทางตอนบนของอาเภอเสนา และยงั มคี ลองสายยอ่ ยอืน่ ๆ ในทอ้ งถิ่น เช่น คลองลาว ลารางเลก็ ๆ ช่ือลารางกระทอง ซึ่งมเี รื่องเล่าว่า มีชาวบ้านไปขุดได้ทอง เลยเรียกขานว่า ลาราง กระทอง บริเวณตาบลสามกอ เป็นพื้นที่ท่ีมีน้าท่วมเป็นปกติเม่ือเข้าสู่ฤดูน้าหลากของทุกปี แต่สามารถ กระจายเข้าทุ่งนาได้ ชาวบ้านในสมัยก่อนดารงชีวติ สอดคล้องกับธรรมชาตดิ ้วยการสรา้ งบา้ นใต้ถนุ สูง แต่ ตอ่ มาเมือ่ มีความเจรญิ เข้ามา เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากบ้านใต้ถุนสูงไปสูบ่ ้านแบบสมัยใหม่ เริม่ มีการถม ดินทั้งของบ้านเรอื น และของวัด มีการตดั ถนนหนทางหลายสาย จนปดิ ก้ันทางน้า และเม่ือถึงเวลาน้าท่วม นา้ จึงไม่มีท่ีให้นาระบายออกไปได้ จึงเกดิ ปญั หานา้ ทว่ ม สร้างความเดอื ดร้อนและผคู้ นในพื้นทีน่ ้ี แผนที่ ๒๔สภาพทางภูมิศาสตรต์ าบลสามกอ ทีม่ า: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๔๖ ๑๑.๒ ประวัติศำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถ่ิน ตำนำนนำมสำมกอ สันนิษฐานว่า ชื่อตาบลสามกอ มาจากช่ือ วัดสามกอ โดยวัดนี้เดิมชื่อว่า “วัดฉ้อกามา” ตั้งอยู่ริมถนนปากน้าคลองขนมจีน ต่อมาลาน้าตื้นเขิน จึงย้ายวัดถอยห่างจากบริเวณริม คลอง ประมาณ ๓ เส้นเศษ (ปจั จบุ ันเป็นประตูระบายน้าของกรมชลประทาน) เม่อื สร้างวัดเสร็จเรียบรอ้ ย แล้ว จึงขดุ ลารางเลก็ ๆ ให้เรอื สามารถเขา้ ออกไปยังแม่นา้ น้อยซึ่งเป็นแม่นา้ ใหญ่ได้ สว่ นทางดา้ นทิศใต้ของ วัดได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ริมคลองต้นหน่ึง ซึ่งเล่ากันมาวา่ ต้นโพธิต์ ้นน้ีนามาจากประเทศศรีลังกา ดังนั้น ต่อมา ทางวัดจึงไดเ้ ปล่ยี นชอ่ื วดั เปน็ “วัดโพธิล์ ังกา” ในเวลาต่อมาผู้ปกครองวัด พิจารณาเห็นความลาบากในการใช้น้าบริโภค และลาบากในการนา เรอื เข้าออกวดั เพราะเป็นรางเล็ก ในบางคราวก็นา้ แห้ง ท่านเจ้าอาวาสพร้อมท้ังทายกและทายิกา จงึ ย้าย วัดไปก่อสร้างใหม่ใกล้แม่น้าน้อย (ลาน้าด้านหน้าวัดในปัจจุบันคือลาแม่น้าน้อย ต่อมากระแสน้าเปล่ียน ทศิ ทาง ทางนา้ จงึ อบั และตนื้ เขิน ทางน้าใหมไ่ หลผ่านหน้าวัดบา้ นแพน ซงึ่ เดิมเปน็ ลารางเลก็ ๆ) การย้ายวดั ในครั้งนี้ห่างจากท่ีเดิมประมาณ ๓ เส้นเศษ (ประมาณ ๑๒๐ เมตร) รวมการกอ่ สร้าง วัดแห่งนีท้ ั้งหมด ๓ ครง้ั จึงเรียกว่า “วัดสามก่อ” นานไปจงึ กร่อนจากสามก่อเป็นสามกอ หมู่บ้านจึงมีช่ือ ว่า “สามกอ” และกใ็ ช้ชือ่ ตาบลวา่ สามกอด้วย ตาบลสามกอยังมีความทรงจาของท้องถิ่นท่ีแตกต่างกันออกไปอีก ดังเร่ืองของนายธีรวัจน์ เกตุ ซื่อสตั ย์ ที่ได้ถา่ ยทอดว่า ตาบลสามกอ เรียกอีกอย่างว่า “บ้านคลองโพธ์ิ” เพราะสมัยก่อนเล่าขานกันวา่ มี ต้นโพธ์ิ ตน้ ใหญ่ ๑ ต้น ท่ีเมอื่ ตอ้ งการตัดต้นโพธ์ิต้นน้ีอย่างไร ต้นโพธิ์ก็แตกขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ และต้นโพธ์ิ ก็มีลูกปลิวไปตกในบริเวณนั้น และแตกเป็นต้นขึ้นมาเต็มพื้นที่มาตลอด ชาวบ้านก็เรียกกันว่า หมู่บ้าน คลองโพธ์ิ เน่อื งจากมตี ้นโพธิ์ขึน้ มากมาย เรื่องพระพุทธชินรำชจำลอง นายบุญส่ง สุภีชะวี ข้าราชการบานาญ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ พระพุทธชินราช ว่า ที่วัดสามกอ ตาบลสามกอ มีพระพุทธชินราชจาลอง ซ่ึงถือกันว่าเป็นองค์ท่ี ๓ ของ ประเทศไทย โดยได้รับการจัดสร้างจากบูรพาจารย์ของจังหวัดพิษณุโลก ซ่ึงเป็นกลุ่ม ท่ีหล่อพระพุทธชิน ราชองค์ท่ี ๑ มาเป็นประธานในพิธีหล่อ ต่อมาอดีตทา่ นเจ้าอาวาสวัดสามกอ ชื่อพระครรู ัตนากร ท่านเป็น รองเจา้ คณะอาเภอเสนา เป็นผู้ท่ีมีญาติอยูใ่ นวัง ช่ือหม่อมเจ้าประเสริฐศรี อิศรางกูล ท่านอดีต เจ้าอาวาส ได้ติดต่อหม่อมเจ้าว่าอยากจะทูลเชิญเสด็จมาเป็นประธานในพิธีหล่อพรพุทธชินราช ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๖ มาทางชลมารค พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวรัชกาลท่ี ๙ พระองค์เสด็จมาเรือ ใหญ่พร้อมทั้งเช้ือพระวงศ์หลายพระองค์ ประทับเรอื พระที่นัง่ เล็กปากคลองเข้ามาในวัด ทรงพระสหุ ร่าย ปิดทอง เสด็จและเข้าไปท่ีวิหาร อุโบสถ และวิหารพระพุทธชินราช วัดสามกอน้ัน ถือว่าได้รับพระมหา กรณุ าธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ หลายครัง้ จนเป็นความทรงจาท่ีมคี ณุ คา่ ของ ชาว ตาบาลสามกอจนถงึ ปัจจบุ นั ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการเสดจ็ พระราชดาเนนิ มาท่วี ดั สามกอ รวม ๓ ครั้ง ดงั นี้

๑๔๗ คร้ังท่ี ๑ เสด็จพระราชดาเนิน เม่ือวนั ท่ี ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ทรงพระสุหร่าย พระพุทธ ชินราช ทรงปดิ ทองเสด็จนมัสการหลวงพ่อโต เสด็จไปนมัสการพระประธานในอโุ บสถต่อจากน้ันทรงเสด็จ ใหพ้ สกนิกรเขา้ เฝ้าอย่างใกล้ชิด คร้ังที่ ๒ เสด็จพระราชดาเนิน เม่ือวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ทรงประทับท่ีวิหารท้ังสอง เสด็จพระราชดาเนินทอดพระเนตรอุตสาหกรรมในครอบครัวซ่ึงประชาชนจัด เสด็จเยี่ยมพสกนิกร ทรง พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์บารุงวดั เม่ือวนั ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี ๙ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานบนหน้าบัน อโุ บสถ คร้ังที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระ เจา้ ลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลกั ษณ์ อัครราชกุมารี เสดจ็ ฯ ทรงเปิดหน้าบัน ภ.ป.ร และยกช่อฟ้าอุโบสถ พรอ้ มท้ังทรงเปิดสวนหย่อม-ทรงปลูกต้นพกิ ุล เม่ือวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๕.๐๐ น. ภาพประกอบท่ี ๕๕ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรฯ (รชั กาลท่ี ๙) เสดจ็ พระราชดาเนนิ หลอ่ พระพุทธชนิ ราช ณ.ตาบลสามกอ วนั ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๖ ทม่ี า : นางสาวปยิ ธิดา ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา

๑๔๘ ภาพประกอบท่ี ๕๖ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรฯ (รชั กาลท่ี ๙) เสด็จพระราชดาเนนิ หล่อพระพทุ ธชินราช ณ.ตาบลสามกอ วนั ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๖ ทีม่ า : นางสาวปิยธิดา ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา วัดบ้ำนแพน นอกจากเรื่องราวของวัดสามกอแล้ว ในตาบลสามกอ ยังมีเร่ืองราวของวัดบ้าน แพนที่ต้ังอยทู่ างตอนเหนือของตาบล ซึ่งแสดง ให้เห็นถึงความทรงจาอันเก่ียวข้องกับพระราชวงศ์ที่ได้เข้า มาพ้ืนที่ ดังท่ีพระครูวินัยธรย่ิงยศ อุตตมปญโญ ได้เล่าถึงประวัติวัดบ้านแพนไว้ว่า เคยมีเจ้านายหลาย พระองคไ์ ด้เสด็จมาประทบั แรมท่ีวดั นี้ เช่น สมเด็จพระนางเจ้าฯในรัชกาลท่ี ๕ รัชกาลท่ี ๖ กเ็ คยมาประทับ แรม ในคร้ังที่พระองค์จะเสด็จ หัวเมืองทางเหนือ เม่ือผ่านเข้ามาทางอาเภอเสนาจึงเสด็จประทับแรมท่ี บรเิ วณวัดนี้ นอกจากนี้ ในสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณ วโลรส สมเด็จพระสังฆราช เจ้าเคยเสด็จตรวจการพระสงฆ์หัวเมืองทางเหนือ พระองค์ยังได้เสด็จมาตรวจการพระสงฆ์ท่ีวัดบ้านแพน ดว้ ย ความผูกพันระหว่างวัดบ้านแพนและพระราชวงศ์ ยังคงดาเนินถึงปัจจุบัน ดังท่ีเม่ือตอนที่สร้าง ศูนย์เด็กเล็กวัดบ้านแพน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ได้เสด็จฯมา เปน็ ประธานวางศิลาฤกษ์ และเมื่อประมาณเดือนมิถนุ ายน ปพี .ศ. ๒๕๖๑ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า สิริภาจฑุ าภรณ์ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ มากราบนมัสการ หลวงพอ่ เจ้าอาวาสวัดบ้านแพนด้วย

๑๔๙ ภาพประกอบท่ี ๕๗ พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าโสมสวลฯี เสดจ็ เปน็ ประธานวางศิลาฤกษ์วดั บา้ นแพน เม่อื ปีพ.ศ. ๒๕๖๑ ที่มา : นางสาวปยิ ธิดา ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา ๑๑.๓ วิถีชวี ิต และควำมสัมพนั ธ์ทำงสังคม ดว้ ยลกั ษณะท้องทข่ี องตาบลสามกอมลี กั ษณะเป็นทีร่ าบกว้าง และมีลาคลองซ่งึ แตกสาขามาจาก แม่น้านอ้ ยไหลผ่านวิถีชีวิตของชาวบ้านจึงอยู่กับการทานา ปลกู ผัก จับปลา เป็นหลัก ข้อมูลจากผ้ใู หญ่วร หรอื นายธรี วัจน์ เกตุซื่อสตั ย์ได้กล่าววา่ ปกตใิ น ๑ ปจี ะทานาปลี ะ ๒ ครงั้ คร้ังละประมาณ ๔ เดือน โดยจะ เรม่ิ หว่านข้าวตอนปลายเดอื นธันวาคม และเรม่ิ เก็บเกีย่ วเมื่อเดือนเมษายน หลังจากการเก็บเกย่ี วข้าวแล้ว เกษตรกรจะเว้นพักดินสักคร่ึงเดือน แล้วทานารอบสอง เมื่อว่างเว้นจาการทานาแล้ว ชาวบ้านจึงออก รับจ้างทั่วไป เช่น รับเหมาทางานก่อสร้าง เป็นช่างฝีมือต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เม่ือความเจริญเข้ามา เช่น ถนน ประตูน้า ส่ิงเหล่าน้ีได้ส่งผลให้ธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวบ้านเปล่ียนไป ดังท่ีนายคาพล สมวณา หรือ ช่างโก๊ะ ได้กล่าวว่า “เม่ือมีถนนหนทางท่ีมีลักษณะเป็นคอนกรีต และมีความเจริญเข้ามา ผัก ปลา ตา่ ง ๆก็หากินได้น้อยลง น้าในลาคลองก็ไมป่ กติ ทาให้ไม่สามารถลงเบ็ด ลงข่าย หาปลากินได้เหมือนอย่าง สมัยกอ่ น” ด้ำนเศรษฐกิจ ตาบลสามกอน้ัน มีลักษณะทางกายภาพที่มีคลองขนมจีนไหลผ่านทางด้าน ตะวันออก นอกจากน้ันก็มลี าคลองสายยอ่ ย และลารางเลก็ ๆ เท่านนั้ ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจไมไ่ ด้เอ้อื ต่อ การตงั้ เขตการคา้ ขนาดใหญ่เท่าที่ควร ชา่ งโกะ๊ หรอื นายคาพล สมวณา ไดใ้ ห้ขอ้ มูลกบั นางนิชานันท์ ธรรม พร ครู กศน. ผู้รวบรวมข้อมูลว่า สมัยก่อนร้านค้าต่าง ๆ จะเป็นแพอยู่ริมน้า ดังเช่นในหมู่บ้านท่ีอยู่ (หมบู่ ้านคลองลาว หมู่ ๖) ก็จะมอี ยู่ ๒-๓ รา้ นค้า

๑๕๐ อย่างไรก็ตาม ต้ังแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันพบว่า ตาบลสามกอมีข้อได้เปรียบอยู่ประการหน่ึงคือ ที่ตั้งของตาบลน้ันใกล้กับตาบลเสนาและ ตาบลบ้านแพนซ่ึงเป็นศูนย์กลางการค้าของอาเภอเสนา คอ่ นข้างมาก โดยเฉพาะตลาดบ้านแพนน้ัน อยู่ห่างจากตอนเหนือของตาบลสามกอในระยะ ๑ กิโลเมตร เท่าน้ัน ทาให้ตลาดบ้านแพน ท่ีอยู่ในตาบลบ้านแพน เป็นสถานท่ีหลักท่ีชาวตาบลสามกอเดินทางไป จับจ่ายซ้อื สินคา้ ทใ่ี ช้ในชีวติ ประจาวันทว่ั ไป ท้ังข้าวปลาอาหาร และสง่ิ ของอปุ โภค หากสินค้าบางอยา่ งไม่มี ชาวตาบลก็จะเดินทางไปซ้ือท่ีตลาดเจ้าพรหม ในตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาแทน ในตาบลสามกอยังมี การค้าในลักษณะอ่ืน ๆ เช่น ตลาดนดั วัดสามกอ ร้านค้าชุมชนในหมู่บ้าน และอาเภอเสนายังมีห้างร้านท่ี ทนั สมยั อยา่ ง บิก๊ ซี โลตัส ซึ่งเปน็ แหล่งการค้าที่อานวยความสะดวกให้กับชาวตาบลสามกออกี ด้วย ดำ้ นกำรศึกษำ จากการรวบรวมข้อมูลของนางนิชานันท์ ธรรมพร ครูกศน.ตาบลสามกอ พบว่า ในอดีตนัน้ คนรุ่นปู่-ย่า ในตาบลสามกอ มักจะศกึ ษาเลา่ เรียนในวัดใกล้บ้าน ส่วนในรุ่นของพ่อแม่ นอกจาก โรงเรยี นวัดใกลบ้ ้านแล้ว ยังมีโรงเรียนทีไ่ ด้ให้การศึกษา เช่น โรงเรยี นวัดสุธาโภชน์ โรงเรยี นจรสั วทิ ยาคาร เป็นต้น ส่วนการศึกษาเล่าเรียนของชาวตาบลสามกอในปัจจุบันนั้น เด็กนักเรียนในช้ันประถมศึกษามัก เรียนท่ีโรงเรียนวัดสามกอ โรงเรียนวัดบ้านแพน และโรงเรียนผดุง นอกจากน้ียังเข้าโรงเรียนเอกชน โรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ ในอาเภอเสนา ส่วนในชั้นมัธยมศึกษา จะเข้าเรียนใน โรงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรียนผดุง โรงเรียนราษฎร์บารุงศลิ ป์ และโรงเรียนครสิ เตียน โรงเรียนจีน ในอาเภอเสนาและในตัวเมอื ง อยุธยา สว่ นการเรียนในชั้นอุดมศึกษา นักศึกษาจะเข้าเรียนที่วทิ ยาลยั การอาชีพเสนา วิทยาลัยเทคโนโลยี ผดุง มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนครศรอี ยุธยา และสถานศึกษาอื่น ๆ ในกรงุ เทพมหานคร ๑๑.๔ ภูมิปญั ญำท้องถ่ิน ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตาบลสามกอคอ่ นข้างมีความหลากหลาย เช่นการจักสาน การทาบ้านทรง ไทย การเจียระไนพลอย อย่างไรก็ตาม พระครูวินัยธรย่งิ ยศ อตุ ตมปญโญ แห่งวดั บา้ นแพน ไดใ้ ห้ข้อมูลว่า ภูมิปัญญาในตาบลสามกอท่ีน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ การแกะพิมพ์พระ ป๊ัมแบบโบราณ การทาผง การ ผสมเน้ือพระ การออกแบบ การแกะอักขระเลขยันต์ ซ่ึงเป็นความสามารถของ นายชโนทัย เนตรสุนทร ช่างทาพระที่ใช้มีดโกน และแกะหนิ แกะพิมพ์พระโดยการแกะพิมพ์จากหิน ซึ่งปัจจบุ ันเป็นงานฝีมือที่หา ยากและมรี ายละเอียดมาก ตอ้ งใชฝ้ ีมือและภูมิปัญญา ในปัจจุบันพบว่ายังมีผู้ใหค้ วามสนใจมาเข้าคิววา่ จ้าง แกะพิมพ์พระอยไู่ ม่ขาด หากแต่ในอนาคต แนวโน้มในการดารงอยู่ของภมู ิปัญญาชนิดน้ีคอ่ นข้างสุ่มเสี่ยงที่ จะสญู หาย โดยมสี าเหตุจากวิธที าที่ทายาก ผู้ทาตอ้ งมีใจรักตอ้ งมีความอดทนในการทางานสูง อาจไม่เปน็ ท่ี สนใจของคนรุ่นใหม่ ทาให้ภูมิปัญญาการแกะพิมพ์พระจากหินอาจหมดลงแค่คนท่ีทาอยู่รุ่นนี้เท่านั้น จึง เป็นเรื่องที่น่าสนใจวา่ ทาอย่างไรภมู ปิ ญั ญานี้จึงจะมีผูส้ ืบทอดให้คงอย่คู ู่ตาบลสามกอต่อไป

๑๕๑ ๑๑.๕ ประเพณีท้องถ่นิ ประเพณีต่าง ๆ ในตาบลสามกอ อาจไม่มลี ักษณะจาเพาะอันเปน็ ประเพณีท้องถิ่นนกั โดยมากจะ อ้างองิ กบั ประเพณีหลักในสังคมไทย เชน่ ประเพณีสงกรานต์ ซง่ึ จะจัดข้ึนในเดอื นเมษายนของทกุ ปี อยา่ งไร ก็ตาม ยังมีประเพณีอันเน่ืองมาจากวิถีเกษตรกรรมของคนในท้องท่ีในอดีต ดังท่ีนายวันชัย จุลศรี อาชีพ เกษตรกรได้กล่าวว่า ในตาบลสามกอน้ัน เคยมีประเพณีการแห่นางแมว ซ่ึงเป็นประเพณีขอฝนของ เกษตรกรไทย กิจกรรมในประเพณีจะดาเนินขึ้นเม่ือใกล้ถึงฤดูการเพาะปลูก แต่มีภาวะฝนแล้ง ส่งผลให้ ขาดแคลนนา้ มาหล่อเล้ยี งพชื พรรณทางการเกษตร ชาวบ้านจะนานางแมวมาแห่เพ่อื ขอฝน และเช่อื ว่าการ ทาพิธีจะทาให้ฝนตกลงมา ช่วยให้ชาวไร่ชาวนาทาการเกษตรได้ ปัจจุบันไม่พบว่าตาบลสามกอยังมี ประเพณแี หน่ างแมวปรากฏอยู่ ๑๒.ตำบลบำงนมโค ตาบลบางนมโค ถกู สนั นิษฐานว่าเป็นท่ีตง้ั ของชุมชนโบราณมาต้ังแตส่ มยั กรงุ ศรอี ยุธยาตอนปลาย ชาวบ้านจะต้ังถน่ิ ฐานอย่รู ิมแมน่ ้าน้อยและคลองขนมจีนชาวบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเลีย้ งวัวควาย ในอดีตชุมชนแห่งน้ีมคี วามเจริญรุ่งเรืองมาก เนอ่ื งจากชุมชนบางนมโคมีสะพานเช่ือมต่อกันระหวา่ งฝ่ังบาง นมโคกับตลาดสาคลี เรียกว่า “สะพานย่านยาว” ซ่ึงใชข้ ้ามฝง่ั ไปตลาดสาคลี (ท่าเกวียน) ทน่ี ับเป็นตลาดที่ มคี วามเจรญิ ทาใหต้ าบลบางนมโคมคี วามเจริญไปด้วย นอกจากความเจริญทางเศรษฐกิจและชุมชนแล้วตาบลบางนมโคยังมีส่ิงศักดิ์สิทธิ์ท่ีมีชื่อเสียง ประจาตาบล คือ พระหลวงพ่อปาน ซ่ึงเป็นท่ีเคารพนับถือของคนในชุมชนและยังเชื่อว่ามีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์มากจึงมีจัดการทาวัตถุมงคลเพื่อให้กลุ่มพุทธศาสนิกชนและผู้ท่ีเคารพนับถือเช่าบู ชาจนมี ชือ่ เสียงโดง่ ดงั เป็นที่รจู้ ักในวงกวา้ ง ๑๒.๑ อำณำเขต และภูมิประเทศ อำณำเขต พ้นื ที่ของตาบลบางนมโค มีลักษณะคล้ายกับส่ีเหล่ียมผืนผ้า ทอดยาวในแนวเหนือใต้ โดยอาณาเขตทางด้านทิศเหนือ มีพื้นที่ติดต่อกับตาบลบ้านแพน ทางทิศใต้มีพื้นที่ติดต่อกับตาบลสามตุ่ม ทางด้านทิศตะวันออกมีพื้นท่ีติดต่อกับตาบลบางยี่โท และ ตาบลช่างเหล็ก อาเภอบางไทร จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ทางด้านทศิ ตะวนั ตกมีพืน้ ท่ีติดต่อกับตาบลสามกอ และตาบลบ้านหลวง ระยะทางจาก อาเภอเสนาไปตาบลบางนมโคประมาณ ๔ กิโลเมตร และการเดนิ ทางเพื่อเขา้ ตัวจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา มรี ะยะทางประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ทิศเหนอื มีพ้นื ที่ติดตอ่ กบั ตาบลบา้ นแพน อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มพี ้นื ที่ตดิ ตอ่ กบั ตาบลสามตุม่ อาเภอเสนา ทิศตะวนั ออก มพี ืน้ ทต่ี ิดตอ่ กบั ตาบลบางยโ่ี ท และ ตาบลช่างเหล็ก อาเภอบางไทร ทศิ ตะวันตก มพี นื้ ทต่ี ดิ ตอ่ กับ ตาบลสามกอ และตาบลบ้านหลวง อาเภอเสนา

๑๕๒ แผนท่ี ๒๕ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตบางนมโค ทมี่ า: สถาบนั อยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๕๓ แผนท่ี ๒๖ สภาพทางภมู ศิ าสตรต์ าบลบางนมโค ทม่ี า: สถาบันอยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภมู ิประเทศ พืน้ ที่ตาบลบางนมโค เป็นที่ราบล่มุ และมพี ้ืนท่นี ้าทว่ มทกุ ปี โดยมแี ม่น้านอ้ ยไหลผา่ น เป็นแนวเขตตาบลทางด้านทิศเหนือ และมีคลองขนมจีนเป็นคลองสาขาไหลลงมาเป็นแนวเขตตาบลด้าน ทิศตะวันตก ทาหน้าท่ีชลประทานน้าเพื่อการเกษตร ในพ้ืนที่ทางตอนใต้ของอาเภอเสนา ประกอบด้วย ตาบลสามกอ ตาบลบางนมโค ตาบลบา้ นหลวง และตาบลสามตุ่ม พ้ืนที่ส่วนใหญ่ของตาบล ในปัจจุบันยังคงเป็นพ้ืนที่เกษตรกรรมเช่นเดียวกับตาบลอ่ืน ๆ ของ อาเภอเสนา แต่ก็นับว่ามีพื้นท่ีของชุมชนเมืองน้ันคอ่ นข้างหนาแน่นตั้งแต่รมิ แม่น้าน้อยตามการต้งั ถ่ินฐาน ด้งั เดิมของชุมชนรมิ นา้ ในอดีต และขยายลงมาทางด้านทิศใต้ คลอบคลุมทางสองฟากฝ่ังทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๓๒๖๓ ซ่ึงเป็นถนนสายสาคัญระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากน้ียังมีโรงงานอุตสาหกรรมหลาย ๆ แห่ง ตั้งอยู่ในตาบล ซ่ึงมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเข้าแทนท่ี พ้นื ท่ที างการเกษตรของตาบลบางนมโค

๑๕๔ ประวัตคิ วามเปน็ มาตาบลบางนมโค ในอดีตตาบลบางนมโคเป็นชุมชนโบราณ เป็นหมู่บ้านที่มีพม่ามาตั้งค่ายพักแถบลุ่มแม่น้าน้อย และชาวบ้านจะต้ังถ่นิ ฐานอยู่ริมแม่น้าน้อย และคลองขนมจีนมีการเลี้ยงวัวกันมากจึงช่ือว่า “บางนมโค” ตอ่ มาในรชั กาลที่ ๔ ผลของการทาสนธสิ ัญญาเบาว์ริง ทาให้มีการเปิดพ้ืนที่การทานาเพิ่มมากข้นึ และมคี น ตา่ งถิน่ อพยพมาจบั จองทีร่ มิ แม่นา้ ลาคลอง จนเกดิ เป็นหมู่บ้านเรยี งขนานกนั ไปจนถงึ ปัจจุบัน ๑๒.๒ ประวัตศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถน่ิ ตำนำน ตาบลบางนมโค มีหมู่บ้านโบราณอยู่ ๒ แห่ง คือ“บ้านเก่า”(หมู่ ๘ ในปัจจุบัน) และ “บา้ นเกาะกลาง” (หมู่ ๑๐ ในปัจจุบัน) ซ่ึง ๒ หมู่บา้ นนี้ เปน็ ชุมชนแรกๆท่ีมาอาศัยอยู่ ในอดีตชุมชนแหง่ นี้ มีความเจริญรุง่ เรืองมาก ฝั่งสาคลี จะเปน็ ตลาดสาคลี มตี ลาดรา้ นค้า เพิงไม้เป็นจานวนมาก และมีสะพาน เชือ่ มต่อกันระหว่างฝ่งั บางนมโคกับตลาดสาคลี เรยี กว่า “สะพานย่านยาว” ซึง่ ใครจะไปซื้อของที่ตลาดสา คลี จะต้องข้ามสะพานย่านยาวน้ีไป ตลาดสาคลมี ีความเจริญมาก มีโรงสีข้าว มีโรงฝ่ิน โรงยา โรงลเิ ก โรง ละคร และมบี า้ นพกั ตารวจ คนในชุมชนเรียกชื่อ ตลาดสาคลวี ่า “ท่าเกวียน” ผคู้ นแถวคสู้ ลอด อาเภอลาด บวั หลวงกจ็ ะมาซ้ือของทที่ ่าเกวียน ควำมทรงจำของท้องถ่ิน ในอดีตก่อนจะมีการสร้างวัดต่าง ๆ น้ัน คนในชุมชนจะนับถือ ผีสาง นางไม้ เทวดา ศาลตายาย จนกระท่ังปลายกรุงศรีอยุธยา เร่ิมมีการสร้างวัดข้ึน ต่อมาประมาณสมัยการ ปกครองของ รัชกาลที่ ๔ เร่ิมมกี ารทาสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศทลี่ ่าอาณานคิ ม ประเทศไทยต้องผลิต ข้าวส่งไปยังประเทศอาณานิคม เริ่มมีคนตา่ งถิ่นอพยพเข้ามาในตาบลบางนมโคเพื่อเปิดพ้ืนทใี่ นการทานา ปี พ.ศ.๒๕๐๔ แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑ รัฐบาลกู้เงนิ ธนาคารโลกมากอ่ สรา้ งพนัง ก้ันนา้ และสรา้ งประตูระบายน้า เพือ่ ให้ประชาชนทานาปลี ะ ๒ คร้ัง จากนาปี เป็นนาปรัง ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระราชวงศ์ เสด็จมาทอดกฐินทาง ชลมารค ท่ีวัดบางนมโค จากน้ันปี พ.ศ.๒๕๓๐ เริม่ มีโรงงานอุตสาหกรรมเขา้ มาในตาบลบางนมโค จนถึง ปัจจุบันน้ี เปน็ โรงงานเครื่องมอื แพทย์ และสวนอุตสาหกรรมบ้านแพน ๑๒.๓ วถิ ชี ีวิต และควำมสัมพันธ์ทำงสังคม ในอดีตคนในชมุ ชนมีวถิ ชี ีวิตท่เี รียบง่าย มีความสัมพนั ธ์กับธรรมชาติ ทุ่งนา แมน่ า้ เปน็ สงั คมของ การเก้ือกลู กัน ช่วยเหลอื ซ่งึ กนั และกัน โดยไมห่ วงั ส่งิ ตอบแทน ปัจจุบันน้ี เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้า ทาให้มีส่ิงอานวยความสะดวกต่าง ๆ จนวิถีชีวิต ดั้งเดิมเปลี่ยนไปจากในอดีตมาก สังคมแห่งการเก้ือกูลแบ่งปัน ความสามัคคีได้เลือนหายไป คนในชุมชน ปรับเปล่ียนแนวทางวถิ ีชวี ติ ตามแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงของในหลวงรัชกาลท่ี ๙ นามา ปรบั ใช้ในชวี ติ ประจาวันมากขน้ึ ดำ้ นกำรค้ำขำย ในอดีตจะมีการคา้ ขายกันในหมู่บ้าน ซงึ่ จะขายของใช้ในครัวเรอื น เม่อื ต้องการ ซื้อของใช้เพอื่ อุปโภคบรโิ ภคทใ่ี นชมุ ชนไม่มีขาย จะเดนิ ทางไปซอ้ื ของท่ีตลาดบ้านแพน ปัจจุบนั การซื้อของ

๑๕๕ ต่าง ๆ คนในชุมชนนิยมเดินทางมาซ้ือของในตัวเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่ีห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัสอยธุ ยา ตลาดเจา้ พรหม และตลาดหัวรอ ด้ำนกำรศึกษำ ในอดีตคนในชุมชนศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดสุธาโภชน์ ครู สอนคนแรกท่ีสอนชื่อครูหวัน เวียงวัง และวัดบางนมโค โดยมีครูแคล้วเป็นครูสอน และได้ศึกษาต่อใน ระดับช้ันมัธยมศึกษาท่ีโรงเรียนสาคลี และโรงเรียนเสนาประสิทธ์ิ ในระดับชั้นอุดมศึกษาศึกษาต่อท่ี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบันนักเรียนนิยมไปเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบางนมโค โรงเรียนประสา ทวทิ ย์ โรงเรยี นราษฎร์บารุงศิลป์ ต่อมาได้ศกึ ษาตอ่ ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาท่ีโรงเรียนเสนาประสิทธิ์โรงเรยี น ราษฎร์บารุงศิลป์ และผู้ปกครองที่มีฐานะส่วนใหญ่จะส่งลูกเรียนในตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย และโรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ และได้ศึกษาต่อในระดับช้ันอุดมศึกษาท่ี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา และ อื่น ๆ ในกรงุ เทพมหานคร ภาพประกอบที่ ๕๘ ภาพถา่ ยเก่าโรงเรียนวดั สุทธาโภชน์ ที่มา : นางสาวปิยธดิ า ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา ด้ำนกำรเดินทำง ในอดีตการเดินทางไปสถานทตี่ า่ ง ๆ จะมีการเดินทางโดยทางเรือ และการเดิน เท้าเปล่า และต้องออกเดินทางต้ังแต่เช้ามืด เดินเท้าลัดไปตามทุ่งต่าง ๆ และการเดินทางด้วยเรือจะเป็น เรอื สองช้นั ถ้าเดินทางไปกรงุ เทพมหานคร จะใช้เวลาในการเดนิ ทางทง้ั หมดประมาณ ๗-๘ ชั่วโมง โดยเรือ จะไปจอดทท่ี ่าเรือท่าเตยี น

๑๕๖ ปัจจุบันนิยมเดินทางไปสถานท่ีต่าง ๆ ด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถจักรยานยนต์ และรถโดยสาร ประจาทาง การขึ้นรถโดยสารเพ่ือเข้าตัวจังหวัดอยุธยา หรือเข้ากรุงเทพมหานคร สามารถข้ึนได้ท่ีบริการ ขนส่ง ทางบกอาเภอเสนา ๑๒.๔ ภูมปิ ญั ญำท้องถ่นิ ภมู ปิ ัญญำกำรทำขนมไทย เม่ือมงี านมงคลต่างในชุมชน เช่น งานมงคลสมรส และงานอุปสมบท คนในชุมชนมีภูมปิ ัญญาไทยในการทาขนมไทยซ่ึงสบื ทอดมาจากบรรพบุรษุ ในอดีตจะใช้วัสดุอุปกรณ์จาก ธรรมชาติในการทา ปัจจุบันพัฒนามาใช้วัสดุและบรรจุภัณฑ์ที่มนุษย์สร้างข้ึน เช่น กล่องพลาสติก ถ้วย พลาสติก และภมู ปิ ัญญานย้ี ังคงสืบทอดใหก้ ับรุ่นลกู หลานตอ่ ไป ภูมปิ ัญญำกำรทำเรอื จ๋วิ ในอดตี การทาเรือจ๋ิวจะใช้ไมเ้ น้ือแข้ง แต่ในปจั จุบนั ใช้ไมอ้ ดั ปัจจุบนั ภูมิ ปญั ญาการทาเรอื จิ๋วยังได้รับความนิยมจากนักสะสมเรือ เพ่ือซื้อไปประดับตกแต่งบ้าน ภูมิปัญญาการทา เรือจว๋ิ มีแนวโน้มในการดารงอยตู่ ่อไป เพราะปัจจุบันมีการอนรุ ักษด์ า้ นการทาเรือจิว๋ เพิม่ มากขึ้น ภาพประกอบท่ี ๕๘ เรอื จิ๋ว ภูมปิ ัญญาชาวบ้านตาบลบางนมโค อาเภอเสนา จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ทีม่ า : นางสาวปิยธิดา ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา ภูมปิ ัญญำกำรร้องเพลงพื้นบ้ำน ภมู ิปัญญาการรอ้ งเพลงพ้นื บ้าน มีการจัดตั้งชมรมอนรุ ักษ์เพลง พ้ืนบ้านข้นึ โดยมี ดร.สวาท พลายแก้ว เปน็ ผู้ฝกึ สอน ปจั จบุ นั ถึงแก่กรรมแล้ว เหลือเพยี งแต่ผู้ที่สนใจนามา ร้องเล่นในโอกาสต่าง ๆ โดยเพลงท่ีร้องเล่นกันจะมีเพลง เรือ เพลงเก่ียวข้าว และ แตรวง ภูมิปัญญาน้ีมี

๑๕๗ ความเปลี่ยนแปลงจากอดีต เช่น แตรวง ภูมิปัญญาดั้งเดิมจะใช้ต่อเพลงด้วยปากเปล่า แต่ปัจจุบันใช้โน้ต แทน และมีการนาเคร่อื งเล่นไฟฟา้ มาร่วมดว้ ย จึงทาให้มีมาตรฐานของเสียงดนตรีมากขึ้น ภูมิปัญญาการ เลน่ เพลงพืน้ บ้านยงั ไดร้ บั ความนิยมจนถึงปจั จุบัน เพราะเป็นสิ่งทีส่ บื ทอดมารุ่นสรู่ ่นุ ๑๒.๕ ประเพณที อ้ งถิ่น กำรทำบุญลำนข้ำว ก่อนที่จะเกบ็ เกย่ี วข้าวเสรจ็ นนั้ ชาวนาจะตอ้ งเหลือขา้ วไว้ประมาณ ๓-๕ วา เรียกวา่ “ขา้ วเทวดา ”เพื่อให้นก หนู หรอื แมลงต่าง ๆ มากนิ จะไดไ้ ม่มารบกวนขา้ วที่เราเก็บเก่ยี ว เมอ่ื ทา การเก็บเก่ียวข้าวเสร็จแล้ว ตอนขนข้าวเข้าบ้านด้วยเกวียนเท่ียวสุดท้ายของการขนข้าวน้ัน ชาวบ้านจะ นาเอารวงขา้ วมาผูกเป็นห่นุ รูปพระแม่โพสพผูกติดกับธง แล้วปักไว้บนเกวยี น โดยมวี ิธกี ารรบั ขวัญข้าวเข้า บ้านโดยมีการเตรยี มของไหว้ เช่น ขนมต้มแดง ขนมตม้ ขาว และกล้วยหวงี าม โดยมีผู้สูงอายุเป็นผ้เู ชิญพระ แม่โพสพ ในขณะทีเ่ ชิญแม่โพสพนั้นผู้ชายท้ังหมดห้ามไปอยู่ด้านหลงั ให้ไปอยูด่ ้านหน้า เพราะกลัวว่าพระ แม่โพสพจะอาย ไม่ยอมมารับขวัญข้าว และเม่ือข้าวมาถึงลานที่บ้านก็จะนามากองรวมๆกันไว้ และจะ นิมนตพ์ ระมาทาบญุ เอาฤกษเ์ อาชัยกอ่ นท่ีจะขายข้าว ประเพณตี มี ะพร้ำว ประเพณตี ีมะพรา้ วจดั ขึ้นที่ศาลพระแม่ หมู่ท่ี ๔ ตาบลบางนมโค ประเพณีตี มะพร้าวจะเป็นการละเล่นแบบหนึง่ ที่คนทรงเจ้าจะโยนมะพร้าวให้ผู้ร่วมพธิ ีตี และตใี ห้โดนลูกมะพรา้ ว ถ้า ใครตไี ม่โดนลกู มะพรา้ วจะเป็นฝ่ายแพ้ โดยจะต้องให้คนทรงเจ้าขีห่ ลัง ๑๒.๖ ควำมเชือ่ และสง่ิ ยดึ เหนี่ยวทำงจติ ใจ ศำลพระแม่ เป็นศาลท่ีคนในชุมชนตั้งแต่บรรพบุรุษนับถือจนถึงปัจจุบัน มีความเชื่อว่า คนที่ แต่งงานแล้ว จะต้องเอาขนั หมากไปขึ้นโรงทศี่ าลพระแม่ โดยจะตอ้ งนาลูกไม้ บายศรี ขนมตม้ แดง ขนมต้ม ขาว และกลว้ ยหวงี ามไปไหว้ เช่อื กันวา่ จะทาใหอ้ ยู่เย็นเป็นสุข ค้าขายร่ารวย ศาลพระแม่น้ีจะมีการจัดงาน ประเพณีตีมะพร้าว ในปีท่ีมีเดือน ๘ สองหน (๔ ปี จัด ๑ คร้ัง) ซ่ึงประเพณีตีมะพร้าวน้ีจะเป็นคล้ายๆ การละเล่นแบบหน่ึงที่คนทรงเจ้าจะโยนมะพร้าวให้ผู้ร่วมพิธีตีให้โดนลูกมะพร้าว ถ้าใครตีไม่โดนลูก มะพร้าวจะเป็นฝ่ายแพ้ โดยจะต้องให้คนทรงเจ้าขี่หลัง ส่วนบ้านไหนท่ีนับถือศาลพระแม่จะห้ามไม่ให้ซื้อ ของเล่นและตุ๊กตาให้ลูกหลานเล่น ถ้าจะซ้ือให้ลูกหลานเลน่ กจ็ ะต้องซอ้ื เป็นคู่หรือซื้อไปไว้ท่ีศาลพระแม่ ๑ ตวั เพราะเช่ือกนั วา่ ลูกหลานใครเล่นตุก๊ ตาจะทาใหเ้ จบ็ ปว่ ย วัดบำงนมโค ต้ังอยู่ริมน้า เรยี กวา่ แม่น้าน้อย ซ่ึงแยกจากแมน่ ้าเจ้าพระยา ห่างจากอาเภอเสนา ประมาณ ๒ กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ตาบลบางนมโค หมู่ท่ี ๒ อาเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การสร้างวัดบางนมโค มหี ลักฐานทไ่ี ม่แน่ชัดว่าสรา้ งข้นึ ในสมยั ใด แต่คนเก่าแก่ในชุมชนเลา่ กันว่า สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยธุ ยาตอนปลาย เพราะเปน็ วัดที่เกา่ แก่มีซากปรักหกั พังอยู่ตรงโคก ทเ่ี รียกว่าวหิ าร ในปัจจุบันน้ี สมัยกรุงศรีอยุธยาถูกพม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาประมาณ พ.ศ.๒๓๑๐ พม่าได้เผาเมือง หลวง และทหารพมา่ ได้มาต้ังค่ายอยทู่ ่ีสกี ุก อาเภอบางบาล ซ่ึงห่างจากวดั บางนมโคประมาณ ๒ กิโลเมตร

๑๕๘ จากนั้นกองทัพพม่าได้ต้อนคนและวัวควายในทางแถบน้ีไป ซึ่งคนในชุมชนเก่าแก่จึงเรียกว่า บางนมโค และต้ังชอ่ื วัดวา่ วดั บางนมโค วัดบางนมโคมีสิ่งศักดิ์สิทธ์ิที่คนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงที่ให้ความเคารพนับถือ เป็นที่ยึด เหนีย่ วจิตใจ เนอ่ื งจากมอี ิทธฤิ ทธป์ิ าฏหิ ารยิ ์มาก นั่นคือ หลวงพ่อปาน ซึง่ เป็นพระเกจิอาจารย์ของวัดบาง นมโค หลวงพ่อปาน โสนันโท เดิมคือเจ้าอาวาสรูปที่ ๓ ของวัดบางนมโค (ปี พ.ศ.๒๔๗๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๐) จากคาบอกเลา่ ของนายสมศกั ด์ิ อรุณโชติ เลา่ เก่ียวกบั หลวงพอ่ ปานว่า “นายรืน่ อรุณโชติ (บิดาของตน) เกิดท่ีจังหวดั สุพรรณบุรี ที่หมู่บ้านลาดน้าขาว อาเภอบางปลา มา้ จังหวัดสุพรรณบุรี มารดาของนายร่ืน เสียชีวิตตั้งแต่นายรนื่ ยงั เด็ก นายร่นื ก็ได้บอกแก่หลวงพ่อปานว่า บิดาของตนจึงเอามาฝากเลี้ยงไว้ที่วัดสาคลี หลวงพ่อปานได้พานายรน่ื มาอยู่รับใช้หลวงพ่อปานที่วัดบาง นมโค ด้วยความท่ีหลวงพ่อปานท่านเป็นพระหมอรักษาโรคท่ัวไป มีคนมารักษาโรคจานวนมากทุกวัน หลวงพ่อปานจึงต้องสร้างสถานที่เพ่ือรองรับคนป่วยที่มารับการรักษา เช่น ผีเข้าสิง โดนกระทาด้วยวิชา อาคมตา่ ง ๆ ทา่ นก็รกั ษาทกุ อยา่ งดว้ ยยาใบมะกา จากนั้นเกิดเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ข้ึน ด้วยทางบ้านท่ีอยู่วัดลาดน้าขาว พี่น้องของนายหร่า มาตามหาและบอกให้ไปรับที่นา ๑๑๕ ไร่ เป็นอันทาให้เช่ือว่าหลวงพ่อปานน้ันทาให้เกิดปาฏิหาริย์แก่ ครอบครัวตน” (สมศักด์ิ อรุณโชติ, ๒๕๖๑, ๒๕ มถิ นุ ายน) วัดบางนมโคมีวัตถุมงคลทส่ี ร้างขนึ้ มาเพ่อื ให้บคุ คลทวั่ ไปได้สักกาบชู า ได้แก่ ๑.พระหลวงพ่อปาน พิมพ์ทรงไก่ ซึ่งมีความเชอื่ ว่า จะทาให้ประสบความสาเร็จด้านการค้าขาย และเมตตามหานยิ ม ๒.พระหลวงพ่อปาน พิมพ์ทรงครุฑ ซ่ึงมีความเช่ือว่า จะทาให้มีอานาจราชศักด์ิ เหมาะสาหรับ ข้าราชการชัน้ ผู้ใหญ่ หรอื นกั บริหารระดบั สงู ๓.พระหลวงพ่อปาน พิมพ์ทรงหนุมาน ซ่ึงมีความเช่ือว่า จะทาให้แคล้วคลาด คงกระพัน เหมาะ กับข้าราชการ ตารวจ ทหาร ๔.พระหลวงพ่อปาน พิมพ์ทรงเม่น ซึ่งมีความเช่ือว่า เหมาะกับคนที่ประกอบอาชีพการทา เกษตรกรรม ทาสวน ทานา หรือนกั ค้าท่ีดนิ ๕.พระหลวงพอ่ ปาน พมิ พท์ รงปลา ซ่ึงมีความเชอื่ ว่าจะคา้ ขายทางน้าไดป้ ระสบความสาเร็จ ๖.พระหลวงพ่อปาน พิมพ์ทรงนก ซ่ึงมีความเชื่อว่าจะส่งเสริมความสาเร็จให้ผู้มีอาชีพด้านการ สอ่ื สาร นักพดู นกั แสดง นกั กฎหมาย นกั การทตู และพอ่ ค้าท่ีจาเป็นต้องเดนิ ทางคา้ ขายเป็นประจา

๑๕๙ ภาพประกอบที่ ๕๙ วตั ถมุ งคลประเภทผ้ายนั ต์หลวงพอ่ ปาน ทม่ี า : นางสาวปยิ ธดิ า ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา วัดสุธำโภชน์ วัดสุธาโภชน์ ตั้งอยู่เลขที่ ๓๘ บ้านขนมจีน หมทู่ ่ี ๖ ตาบลบางนมโค อาเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินต้ังวัดเนื้อที่ ๒๐ ไร่ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือยาว ๖ เส้น ๒ วา ติดต่อกับคลองขวาง ทิศใต้ ๘ วา ติดตอ่ กับทดี่ ินของนายอาภรณ์ ทิศ ตะวนั ออกยาว ๖ เส้น ๔ วา ตดิ ต่อกบั คลองขวาง ทิศตะวันตกยาว ๖ เสน้ ๕ วา ตดิ ตอ่ กบั คลองขนมจีน พ้ืนที่ต้ังวัดเป็นที่ราบลุ่มอยู่ริมคลองขวางและคลองขนมจีน มีป่าไผ่ล้อมรอบ อาคารเสนาสนะ ตา่ ง ๆ มี อโุ บสถ วหิ าร ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ กุฎีสงฆ์ และอนื่ ๆ สาหรบั ปชู นยี วตั ถุมีพระประธาน ในอุโบสถ ปางมารวชิ ัย สร้างเมื่อพ.ศ.๒๔๗๐ โดยมีหลวงพ่อปานวัดบางนมโคเปน็ ประธานในการกอ่ สร้าง และ พระพทุ ธรปู ปางปา่ เลไลยก์ประดิษฐานอยูใ่ นวิหาร สร้างโดยพระอดลุ ธรรมเวที (หลวงพ่อไวย์) วัดสุธาโภชน์ สร้างข้ึนเป็นวัดนับตั้งแต่สมัยอยุธยาประมาณ ปี พ.ศ.๒๒๐๐ โดยมีลูกคหบดีคน หน่งึ อยู่ที่คลองขนมจีนมีนามวา่ “ทอง” ได้เปน็ เจ้าจอมในสมยั อยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานว่ารชั กาลใด ได้มา สร้างวดั นีข้ ้ึนแลว้ เรยี กวา่ “วดั จอมทอง” ต่อมาถงึ ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ ข้าศึกรุกรานทาใหผ้ ู้ตอ้ งอพยพหนกี ารถูก ข่มเหง วดั จอมทองกข็ าดการบารงุ จนกลายสภาพเปน็ วดั ร้างไป ขา้ ศกึ ไดใ้ ช้สถานท่ีวดั เปน็ ที่เล้ียงช้าง คนใน ชมุ ชนจึงเรียกบริเวณวัดร้างวา่ “วดั โคกช้าง” เมือ่ บ้านเมอื งเจรญิ มากข้ึน จึงไดม้ ีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้น และเรียกวา่ “วัดขนมจีน” ตามชื่อบา้ นตาบลขณะนัน้ ปพี .ศ.๒๔๘๓ ได้เปลีย่ นนามวดั เปน็ “วดั สุธาโภชน์” แปลว่าของกินอันเป็นทิพย์หรือสะอาด หมายถึงขนมจีนนั่นเอง วัดสุธาโภชน์นับว่าเป็นวัดท่ีได้รับ

๑๖๐ พระราชทานวิสุงคามสีมา นับตั้งแต่ประมาณ ปีพ.ศ.๒๒๑๐ เกี่ยวกับการศึกษาทางวัดได้เปิดสอนพระ ปรยิ ตั ธิ รรมตง้ั แต่ ปพี .ศ.๒๔๘๐ และมโี รงเรียนประถมศึกษาตัง้ อยูท่ ่วี ดั น้ี ภาพประกอบที่ ๖๐ หลวงพอ่ ไวย์ วดั สุทธาโภชน์ อาเภอเสนา ท่มี า : นางสาวปยิ ธดิ า ทานาค ครู กศน.ตาบลเสนา ๑๒.๗ ควำมเปลย่ี นแปลงของทอ้ งถ่ิน ในอดตี การเดินทางจะใช้เรอื เป็นหลักและการเดินเท้าผา่ นทุง่ นาตา่ ง ๆ และการซอื้ ขายสนิ ค้ากจ็ ะ ซ้อื ขายผา่ นทางเรือ ปจั จบุ ันได้มีการพัฒนาและมคี วามเจริญกา้ วหน้าทางเทคโนโลยมี ากข้ึน ทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ท่ีเห็นเปน็ รูปธรรม คือ การสรา้ งถนน ทาใหก้ ารเดนิ ทางท่ีสะดวกสบายมากขน้ึ และมีโรงงาน อตุ สาหกรรม คอื โรงงานเคร่ืองมอื แพทย์และสวนอุตสาหกรรมบา้ นแพน

๑๖๑ ๑๓.ตำบลดอนทอง ตาบลดอนทอง เป็นตาบลท่ีต้ังอยู่ทางตอนใต้ของอาเภอเสนา มีพ้ืนท่ีติดกับอาเภออ่ืน ๆ ท้ัง อาเภอบางซ้ายและอาเภอลาดบัวหลวง ในอดีตตาบลดอนทองเปน็ ส่วนหน่ึงของตาบลชายนา อาเภอเสนา จงั หวัดพระนครศรีอยุธยาภายหลังจึงได้แยกตัวออกมาภายใต้การปกครองขององค์การบริหารส่วนตาบล ดอนทอง เนื่องจากเป็นพน้ื ทช่ี นบทและห่างไกลจากหมูบ่ า้ นอน่ื ทาให้ปกครองไดย้ าก ท่ีมาของชื่อดอนทอง มาจากพืน้ ท่ีบรเิ วณน้ีเป็นพืน้ ทีด่ อน และต้องการต้ังชอ่ื ใหเ้ ป็นสริ มิ งคลกบั ตาบลใหม่ แตต่ าบลดอนทองก็ยัง จดั เป็นพ้ืนที่หา่ งไกลอยู่เชน่ เดมิ ๑๓.๑ อำณำเขต และภูมปิ ระเทศ อำณำเขต ตาบลดอนทองทางด้านทิศเหนือ มีพื้นที่ติดต่อกับตาบลเจ้าเจ็ด ทางทิศใต้มีพ้ืนที่ ติดต่อกับตาบลลาดบัวหลวง อาเภอลาดบัวหลวง จังหวดั พระนครศรีอยุธยา ทางดา้ นทิศตะวันออกมพี ื้นที่ ติดต่อกับตาบลชายนา ทางด้านทิศตะวันตกมีพ้ืนที่ติดต่อกับตาบลเทพมงคล อาเภอบางซ้าย จังหวัด พระนครศรอี ยุธยา ระยะทางจากอาเภอเสนาไปตาบลบ้านโพธิ์ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร การเดินทางเพื่อ เข้าตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีระยะทาง ๓๘ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๓๒๖๓ (ถนนสาย อยธุ ยา – สุพรรณบุรี) ทศิ เหนือ มีพ้ืนท่ตี ดิ ต่อกับ ตาบลเจา้ เจ็ด อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มพี นื้ ทตี่ ดิ ต่อกับ ลาดบัวหลวง อาเภอลาดบัวหลวง ทศิ ตะวนั ออก มีพนื้ ท่ตี ดิ ต่อกับ ตาบลชายนา อาเภอเสนา ทิศตะวันตก มีพื้นทต่ี ดิ ต่อกบั ตาบลเทพมงคล อาเภอบางซ้าย

๑๖๒ แผนที่ ๒๗ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตตาบลดอนทอง ท่ีมา: สถาบันอยุธยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภมู ิประเทศ ภูมิประเทศของตาบลดอนทองมีสภาพพื้นที่เป็นท่ีราบลมุ่ มีทุ่งนากวา้ งใหญ่ ลักษณะ ของดินเป็นดินเหนียว มีคลองสายหลัก คือ คลองกุ่ม คลองหนองลาเจียก และคลองเสือเต้น ท่ีใช้สาหรับ สง่ น้าให้เกษตรกรในการประกอบอาชีพการเกษตร แต่เมอ่ื ถึงฤดูน้าหลากประมาณเดอื นกันยายนถึงเดือน ธันวาคม จะมีระดับน้าสูงกว่าปกติและท่วมขังอยู่ระยะหน่ึงโดยประชาชนส่วนใหญ่จะปลูกบ้านใกล้กับ บรเิ วณริมคลอง เขตกำรปกครอง ตาบลดอนทอง ได้มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๗ หมู่บ้าน ประกอบดว้ ย หม่ทู ี่ ๑ บา้ นรางหมาตาย หมทู่ ี่ ๔ บา้ นจรเข้ไล่ หมทู่ ่ี ๒ บา้ นดอนทอง หม่ทู ี่ ๕ บ้านไผ่ล้อม หมทู่ ี่ ๓ บา้ นหนองหญ้าคา หม่ทู ี่ ๗ บา้ นหนองลาเจยี ก

๑๖๓ แผนท่ี ๒๘ สภาพทางภมู ิศาสตร์ยา่ นตาบลดอนทอง ท่ีมา: สถาบันอยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ๑๓.๒ ประวตั ศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของท้องถิ่น ท่ีมำของช่ือตำบลดอนทอง ในอดีตตาบลดอนทองเป็นหมู่บ้านหน่ึงของตาบลชายนา อาเภอเสนา จังหวัดพระนครศรอี ยุธยาภายหลังได้แยกตัวออกมาภายใต้การปกครองขององค์การบริหาร สว่ นตาบลดอนทอง เน่ืองจากเป็นพื้นที่ชนบทและหา่ งไกลจากหมู่บา้ นอื่น ทาให้ปกครองได้ยาก ท่ีมาของ ชื่อดอนทอง มาจากพื้นที่บริเวณน้เี ป็นพ้ืนที่ดอน และตอ้ งการตั้งช่อื ใหเ้ ป็นสริ ิมงคลกบั ตาบลใหม่ แตต่ าบล ดอนทองกย็ ังเปน็ พ้ืนทห่ี า่ งไกลอยู่เชน่ เดมิ ตำนำนของตำบลดอนทอง มตี านานเล่าขานกนั ต่อมาว่า พ้ืนที่ในอดีตของตาบลดอนทอง เป็น พน้ื ที่ป่ารกร้าง และมจี รเขอ้ าศัยอยู่เป็นจานวนมาก เมือ่ คนในชุมชนออกหาปลาจะโดนจระเข้ไล่กัด บ้างก็ โดนกัดจนเสยี ชวี ติ คนในชมุ ชนจงึ ช่วยกันถางป่าและเผา เพื่อไล่ฝูงจระเข้ไมใ่ ห้ไล่กัดชาวบา้ น และต้องการ ใช้พน้ื ท่แี หง่ นี้สรา้ งเป็นวัดจรเขไ้ ล่

๑๖๔ ตำนำนบ้ำนรำงหมำตำย เป็นเรอื่ งเล่าของหมู่ ๑ ตาบลดอนทอง คนในชุมชนจะเรยี กชมุ ชนน้วี ่า “บา้ นรางหมาตาย” ทีม่ าของชื่อชุมชน คือ เดิมเปน็ ลารางที่คนในบรเิ วณน้ีอาศัยเป็นใช้น้าเพ่ืออุปโภคและ บริโภค แต่มีช่วงหน่ึงที่เกิดน้าท่วม สุนัขท่ีชาวบ้านเลี้ยงไว้ก็ทยอยตายและลอยน้ากันเต็มลาราง ไหลไป รวมกันที่สุดลารางนี้ คนในชมุ ชนจึงเรยี กชมุ ชนนว้ี า่ “บา้ นรางหมาตาย” ตำนำนเกยี่ วกับหลวงพ่อศำสดำ เป็นพระที่คนในชุมชนนบั ถือ เพราะเป็นพระทล่ี อยนา้ มาตดิ อยู่ ทีท่ ่าน้าวัดจรเข้ไล่แห่งนี้ ชาวบ้านจึงร่วมกันทาพิธีอัญเชิญหลวงพ่อศาสดาข้ึนมาประดิษฐานไว้ที่วัดแห่งนี้ คนในชุมชนนี้เลื่อมใสและศรัทธาก็พากันมากราบไหว้ บางคนก็มีมาบนบานศาลกล่าว เมื่อคาขอต่าง ๆ ประสบความสาเรจ็ จึงได้มาทาพธิ ีแก้บน เช่น ถวายไข่ต้ม เป็นตน้ ควำมทรงจำของท้องถนิ่ ในอดตี คนในชุมชน มีการเล้ยี งช้าง เลย้ี งวัว เลี้ยงควาย คนในชุมชนจะ ทานาปี และใชน้ า้ อุปโภคและบรโิ ภคกันในแมน่ า้ ลาคลอง คนในชมุ ชนมีอุปนิสยั เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ มีน้าใจ ไม่ มีรถเก่ียวขา้ ว ไม่มีรถไถ หรือเทคโนโลยีที่ทนั สมยั การทานาในแต่ละครั้งคนในชมุ ชนก็จะช่วยกนั หว่านข้าว ชว่ ยกนั เก่ยี วหรอื ท่เี รียกกนั ว่าการลงแขก แต่ปจั จุบนั นีไ้ ม่มีการลงแขก หรอื ชว่ ยกนั ทานาให้เหน็ แลว้ ๑๓.๓ วิถชี วี ิต และควำมสัมพนั ธท์ ำงสังคม ด้ำนอำชีพ ในอดีตคนชุมชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยใช้ควาย และ คนทางาน การเกย่ี วขา้ วในนา ใช้วิธีการลงแขกเก่ียว มกี ารร่วมแรงกันทาจากมีญาตพิ น่ี ้อง เพ่ือนบ้าน โดย ไม่มีการคดิ ค่าแรง ทาให้คนในชุมชนเกิดความรักและความสามคั คีปรองดองกัน คนในชุมชนมีวิถีชวี ิตการ กนิ อยู่แบบเรียบง่าย อาหารที่รับประทานจะหาไดจ้ ากท้องถนิ่ ชว่ งเช้า เวลา ๐๖.๐๐ น.จะมพี ระบิณฑบาต ทุกวนั คนในชมุ ชนจะใสบ่ าตรทกุ เชา้ ทกุ วนั พระจะไปทาบุญทวี่ ดั ช่วงเข้าพรรษาจะมีการถอื ศีล ปัจจุบันอาชีพหลักยังคงทาการเกษตรกรอยเู่ ชน่ เดมิ เนอ่ื งจากสภาพภมู ิประเทศเหมาะกับการทา นา แต่มีการปรับเปล่ียนวิธีการตามการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี เช่น การใช้รถเก่ียวขา้ ว รถไถนา เป็น ตน้ นอกจากน้คี นรนุ่ หลังนยิ มประกอบอาชีพข้าราชการ และ พนักงานบริษัท ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับทางศาสนามากข้ึน โดยพระภิกษุสงฆ์ต้องเรียนรู้การใช้ คอมพิวเตอร์ในการพิมพ์งานด้วยตนเองสาหรับรายงานข้อมูลต่าง ๆ ทท่ี างกรมพระพทุ ธศาสนาตอ้ งการ ดำ้ นกำรค้ำขำย ในการซื้อของอุปโภคบริโภคนั้นคนในชุมชนจะเดินทางไปซื้อของท่ีตลาดบ้าน แพน หรือตลาดลาดบัวหลวง เพราะในตาบลดอนทองไมม่ ีตลาดให้ซื้อของใช้ โดยระยะทางในการไปตลาด บ้านแพนและตลาดลาดบัวหลวงจะต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ ๓๕ นาที จากตาบลดอนทองไป ตลาดบ้านแพน โดยมีระยะทาง ๒๑ กิโลเมตร จากตาบลดอนทองไปท่ีตลาดลาดบังหลวง มีระยะทาง ๒๓ กโิ ลเมตร

๑๖๕ ด้ำนกำรศึกษำ ในอดีตคนในชุมชนมีการศึกษาระดับสูงสุดในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ท่ี โรงเรียนใหม่หนองคต ตาบลวังพัฒนา อาเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พอเรียนจบช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ จากนน้ั จะกลับไปชว่ ยพอ่ แมป่ ระกอบอาชพี ทานาเปน็ ส่วนใหญ่ กำรเดินทำง ในอดีตการเดินทางเพื่อไปสถานที่ต่าง ๆ ตอ้ งใช้เรอื เปน็ พาหนะ ถ้าตอ้ งเดินทางเข้า ตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้องใช้เรือยนต์ซ่ึงต้องใช้เวลาประมาณคร่ึงวันในการเดินทาง ถ้าไปสถานท่ี ใกลๆ้ ตอ้ งใชว้ ิธกี ารเดนิ เทา้ ลดั ทงุ่ ไปสถานท่ีต่าง ๆ ปัจจุบันการเดินทางมีรถยนต์ในการใช้เป็นพาหนะ แต่ถ้าบ้านใดไม่มีรถยนต์ส่วนตัวในการ เดินทางไปติดต่อธุระที่อาเภอหรือไปโรงพยาบาล ใช้ใช้เวลาในการรอรถโดยเป็นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เพราะเปน็ พื้นทหี่ ่างไกลจากตวั อาเภอเสนาพอสมควร ๑๓.๔ ภูมิปัญญำท้องถน่ิ ภูมิปัญญำกำรสำนลอบดักปลำ ลอบเป็นเคร่ืองมือจับปลา เน่ืองจากภูมิประเทศท่ีตาบลดอน ทองเป็นพน้ื ที่ราบลุ่ม และมลี าคลองหล่อเลย้ี งชีวิตของคนในชมุ ชน การหาปลาจึงเป็นอาชีพอีกอาชีพหน่ึง ของคนในชมุ ชนตาบลดอนทอง นายวิเชียร ป้อมทอง ซ่ึงเป็นคนในชุมชนตาบลดอนทอง เล่าว่า การสานลอบดักปลา เป็นการ สานด้วยการไม้ไผ่ผ่าซีก นามาเหลาข้ึนโครงและตอกตะปูยึดและมัดด้วยด้ายสีเขียว ลอบดักปลาจะมี ๒ ประเภท คือ ลอบยนื และลอบนอน ลอบยนื คือ ลอบทรงกลมสูง มกี ารเหลาไมเ้ ปน็ แทง่ คล้ายตะเกียบ และทาซหี่ า่ งกันพอสมควร ไม้ สว่ นนี้เรยี กวา่ “งา” มไี วเ้ พ่ือเปน็ ชอ่ งทางให้ปลาเขา้ ลอบนอน คือ ลอบทรงสี่เหลี่ยม จะใช้ไม้ผ่าซีก ตอกและยึดให้ได้ตามทรงที่ต้องการ โดยมีการ เหลาไมเ้ ป็นแท่งคล้ายตะเกียบ เพือ่ มาทาเป็นงา เหมือนกบั ลอบยืน ภูมิปญั ญำกำรสำนพัด ตาบลดอนทอง มภี ูมิปัญญาท้องถ่ินหลายประเภท จากการนาวัสดุที่พบ ในชมุ ชนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น การสานพดั ตอก นางทุเรียน ป้องทอง ผู้มีความเช่ียวชาญใน เร่ืองของการสานพัดด้วยตอก เล่าวา่ “การสานพัด คือ การนาไม้ไผ่มาผา่ ซีกและเหลาให้บางจากนั้นนามา สานเป็นลายขัดตามที่ออกแบบไว้ หรือนาไปย้อมสีและออกแบบสานให้เป็นลายและสีสันท่ีสวยงาม และ นางทเุ รยี น ปอ้ มทอง ไดร้ ับเชญิ เปน็ วิทยากรเร่ืองการสานพดั ด้วยตอกอย่างตอ่ เน่ือง” ภูมิปัญญำในกำรทำน้ำพริก นางวิลาภรณ์ พานิช มีความเช่ียวชาญในการทาน้าพริกเผาสูตร ดง้ั เดมิ ภายใตช้ อื่ ผลติ ภัณฑ์ “คุณนายลนิ้ จ่ี” เลา่ ว่า นา้ พรกลิ้นจ่ี เป็นสูตรนา้ พรกิ ที่สบื ทอดกนั มาจากบรรพ บุรุษมาถึงปัจจุบันในสูตรการทาน้าพริก จะมีส่วนผสมต่าง ๆ ซ่ึงนางวิลาภรณ์ พานิช จะลงมือทาด้วย ตนเองทกุ ขั้นตอนโดยใช้วธิ กี ารทานา้ พริกแบบดัง้ เดมิ ภูมิปัญญำในกำรทำขนมไทย ในชมชนตาบลดอนทองมีภูมิปัญญาในการทาขนมไทย มีสูตร ดั้งเดิมที่ได้มีการปรุงสีเพิ่มเติม โดยใช้สีของธรรมชาติในท้องถ่ินเพื่อทาขนม เน่ืองจากวัฒนธรรมของคน

๑๖๖ อยุธยาจะนิยมมอบขนมไทยเป็นของฝากให้กับแขกที่มาร่วมงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส งาน อปุ สมบท หรอื งานเทศกาลต่าง ๆ ภูมิปัญญำในกำรรักษำโรค ในตาบลดอนทองมีภูมิปัญญาการรักษาโรค โดยในชุมชนจะ มี ผเู้ ชี่ยวชาญและท่ีมีความรู้ในการใช้สมุนไพร ซ่ึงคนในชุมชนเรียกว่าหมอยาสมุนไพร นางจินตนา กิจไพร สาน หมอยาสมนุ ไพรประจาชุมชนดอนทอง มีความเชี่ยวชาญทางด้านพืชสมุนไพรท่ีนามาทายารักษาโรค จะมี สมุนไพร พืช ผัก และผลไม้ที่ถูกนามาใช้เป็นยาและส่ิงบารุงร่างกายมานานนับพันปี โดยการรักษา โรคน้ันจะมีการรับประทานสมนุ ไพรแบบสด และ การนามาต้มรับประทานแบบยาแผนโบราณ บางชนิดก็ ใช้ทาหรือพอกเพือ่ รักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคงูสวัด ผ้ปู ่วยถกู สนุ ขั กดั เป็นตน้ ภูมิปัญญำในกำรทอเส่ือกก การทอเสื่อกก นับเป็นภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นท่ีนาต้นกกมา แปรสภาพให้เป็นเส้น ย้อมสี แล้วสานทอให้เป็นแผ่นผืน เพื่อนามาใช้ในการ ปูรองน่ังหรือนอน เพื่อใช้ใน ครัวเรอื น และจาหน่ายบางส่วน ภูมิปัญญำกำรสำนตะกร้ำจำกทำงมะพร้ำว นางวันเพ็ญ เอกธรรม ซึ่งได้รับการถ่ายทอดภูมิ ปัญญาการจักสานและรู้จักประดิษฐ์จากสิ่งของใกล้ตัวจากธรรมชาติ โดยการนาทางมะพร้าวมาสานเป็น ตะกร้าหรือกระเช้าใสข่ องเพ่ือใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั และ จัดจาหนา่ ยให้กับผู้ที่สนใจ ๑๓.๕ ประเพณีทอ้ งถนิ่ ในอดตี เมื่อถงึ เทศกาลสาคญั เชน่ วนั สงกรานต์ จะมีการสรงนา้ พระ รดนา้ ดาหัวและขอพรผใู้ หญ่ ที่นับถือกันในชุมชน และมีการละเลน่ พื้นบ้าน เช่น มอญซ่อนผ้า, ตี่จับ, ไม้ห่ึง, ม้าก้านกล้วย ฯลฯ ซ่ึงเป็น การละเล่นพื้นบ้านของไทย ท่ีเด็กรนุ่ เก่าก่อนนิยมเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่ในปจั จุบันนี้ไม่มีการละเล่น แบบน้ีให้เห็นแล้ว เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยี ที่มีของเล่นสมัยใหม่เกิดขึ้นเด็กรุ่นใหม่จึงไม่รู้จัก การละเลน่ พืน้ บ้านของไทย ในประเพณีการบวชนาค จะต้องมีการนานาคข่ีม้า เรียกว่าม้าทรง เพราะเช่ือกันว่าเป็นการ จาลองการบวชแบบพระพุทธเจ้า ท่ีตอนพระองค์ออกบวชพระองค์ก็ทรงขี่ม้าออกไปจากพระราชวัง ชาว บ้ าน จึ ง มี คว ามเชื่ อ ใน ก าร บ ว ช แบ บ ขี่ม้ าท ร ง น าค ไป บ ว ชที่ วั ด เพื่ อ จ ะ ไ ด้ เข้ าถึง พ ร ะ พุ ท ธ เจ้ าแ ล ะ พระพุทธศาสนา ๑๓.๖ ควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงผคู้ นกบั ธรรมชำติ คนในชุมชนตาบลดอนทองใช้คลองหนองบัวซึ่งเป็นคลองที่มาจากตาบลเจ้าเจ็ด เพื่อทา การเกษตรและอาศยั เกบ็ ผกั หาปลามาต้ังแต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั ในอดตี คนในชมุ ชนมคี วามผกู พนั กับสายน้า มาก เนอ่ื งจากต้องใช้น้าในแม่นา้ ลาคลองทุกวัน ใช้ในการทาการเกษตร หลังจากทานาเสร็จจะมากระโดด ทคี่ ลองเล่นกันอย่างสนุกสนาน ใช้นา้ ในการซักผ้า อาบน้าในคลองพร้อมกับควายท่ีตนเลยี้ งและยงั นา้ ในลา คลองเพ่ือการบริโภคอีกด้วย แตใ่ นปัจจุบันเม่ือมกี ารพัฒนาระบบคมนาคมทาให้ผู้คนหันไปใช้การเดินทาง โดยรถยนตว์ ิถชี วี ิตทผี่ ูกพันกบั นา้ จึงลดลง

๑๖๗ ๑๓.๗ ควำมเชือ่ และส่ิงยึดเหนีย่ วทำงจิตใจ คนในชมุ ชนนับถือและศรัทธา วดั จรเข้ไล่ ต้งั อยู่บรเิ วณพื้นที่หม่ทู ี่ ๒ ตาบลดอนทอง และ วดั ใหม่ หนองคต ตาบลวงั พฒั นา อาเภอบางซ้าย จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันไดข้ ึ้นทะเบียนย้ายจากตาบล วงั พัฒนา เป็นตาบลเทพมงคล อาเภอบางซ้าย วัดใหม่หนองคตเป็นวัดท่ีหลวงพ่อเนตรลงทุนลงแรงสร้าง วัดด้วยตัวท่านเอง โดยใช้เนื้อที่ของตัวเองในการสร้าง และท่านยังเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดใหม่ หนองคตด้วย โดยวัดใหมห่ นองคต มีวัตถุมงคล และเครื่องราง เชน่ พระเครื่อง , ตะกรดุ , ผ้ายนั ต์ เพ่ือให้ ประชาชนได้เช่าวัตถุมงคลเพ่ือนาไปสักการบูชา ในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา จะมีการไปทาบุญตัก บาตร หลังจากทาบุญกจ็ ะแลกอาหารกัน ทาเปน็ แกงสารวมแลว้ แบ่งกัน ๑๓.๘ ควำมเปลี่ยนแปลงของท้องถ่ิน วิถีชีวิตของคนในชุมชนเปล่ียนไป ในอดีตเมอ่ื ถึงฤดูกาล การทานา คนในชุมชนจะมาช่วยกันหว่านข้าว ลงแขกข้าว จูงควายเพ่ือไปไถนา เวลาว่างจะหาปลาลา คลองเพื่อนามารับประทานและแบ่งปันเพ่ือนบ้าน ในปัจจุบันวิถีชีวิตเหล่าน้ีไม่มีใครทาแล้ว เน่ืองจากมี เทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้ความสะดวกมากข้ึน มีรถเกยี่ วข้าว มีเครื่องฉีดยา หรอื บางคนจะมีการว่าจ้างให้คน ทาแทน ในอดีตเมอื่ ถึงวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา คนในชุมชนจะพายเรอื มาทาบุญและจอดเรือกนั เต็ม ทา่ นา้ วัด แต่ปจั จุบันนี้การคมนาคมทางบกสะดวกมาขึ้น เรือจึงไม่เป็นท่ีนิยมในการเดินทางมาทาบญุ ท่ีวัด อีก ๑๔.ตำบลชำยนำ ๑๔.๑ อำณำเขต และภูมิประเทศ ตาบลชายนา เป็น ตาบลท่ีตง้ั อย่ทู างตอนใตข้ องอาเภอเสนา ด้านทิศเหนือมพี ื้นที่ติดต่อกับตาบล เจ้าเจ็ด และตาบลบ้านแถว ทางด้าน ทิศตะวันออกมีอาณาเขตติดต่อกับตาบลมารวิชัย ด้านทิศใต้ติดต่อ กับตาบลลาดบัวหลวง อาเภอลาดบัวหลวง และทางด้านทศิ ตะวันตกมีพื้นท่ีติดต่อกบั ตาบลบ้านแถว และ ตาบลดอนทอง อาเภอเสนา ทิศเหนอื มีพ้ืนท่ีติดตอ่ กับ ตาบลเจ้าเจด็ และตาบลบ้านแถว อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มพี ื้นทต่ี ิดตอ่ กับ ตาบลลาดบัวหลวง อาเภอลาดบวั หลวง ทศิ ตะวันออก มีพ้ืนทต่ี ดิ ตอ่ กับ ตาบลมารวิชยั อาเภอเสนา ทศิ ตะวันตก มีพ้ืนทต่ี ิดต่อกับ ตาบลบ้านแถว และตาบลดอนทอง อาเภอเสนา

๑๖๘ แผนที่ ๒๙ แผนทีแ่ สดงอาณาเขตตาบลชายนา ทีม่ า: สถาบนั อยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภูมิประเทศ ตาบลชายนาตง้ั อยู่ทางตอนใต้ของอาเภอเสนาที่มีพ้นื ทตี่ ิดกบั อาเภอลาดบวั หลวง พื้นท่มี ีลกั ษณะ เป็นท้องทุ้งกว้างสมกับช่ือตาบล พื้นท่ีส่วนใหญ่ใช้ในการทาเกษตรกรรมคือการทานาเป็นหลัก โดยมีลา คลองธรรมชาติและลารางท่ีเกิดจากการขุดอยู่ภายในพ้ืนท่ีประชาชน ประชาชนส่วนมากต้ังบ้านเรือนริม คลองสวน ดังเช่นคลองคลองสาน ท่ีเช่ือมโยงมาจากคลองเจ้าเจ็ด บางย่ีหน ไหลผ่านตาบลไปทะลุออก คลองบัวหวนั่ อาเภอลาดบัวหลวง นอกจากน้ี นางสายรุ้ง กรวยทอง ครู กศน.ตาบลชายนาได้รวบรวมข้อมูลว่า ในแต่ละหมู่ของ ตาบลชายนาน้ัน จะมีลารางใช้สอยในพื้นท่ี เช่นในหมู่ ๑ มีลารางเจ้าแปดซึ่งมีความกว้าง ๖ ศอก ถ้าขุด คลองจะมีความกวา้ ง ๘ วา ข้ึนไป หมู่ที่ ๔ และหมู่ที่ ๕ มีลารางหมาตาย ซ่ึงเกิดจากการใชแ้ รงงานขดุ ข้ึน ในสมยั ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ดารงตาแหน่งนายกรฐั มนตรี จึงมชี ื่อเรยี กกันวา่ คลองคึกฤทธ์ิ โดยลาราง หมาตายตัดมาจากคลองหนองลาเจียก-จรเข้ไล่ ใช้อุปโภคและบริโภค ส่วนมากยังการขุดบ่อน้าไว้ใช้เอง

๑๖๙ สว่ นในหมู่ ๖ มีลารางชื่อลารางมือด้วนซึง่ ขุดข้ึนใน พ.ศ.๒๕๐๘ โดยขุดต่อจากทดกนั น้าคลองขุด ผู้คนจึง เรียกหมู่ ๖ วา่ บา้ นตน้ คลอง เพราะเรยี กตามทดก้นั น้า และเป็นหมู่แรกทอ่ี ยู่เหนอื ต้นนา้ ในตาบลชายนา แผนท่ี ๓๐ สภาพทางภมู ศิ าสตร์ตาบลชายนา ทม่ี า: สถาบนั อยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ นอกจากนี้ ตาบลชายนามีทั้งหมด ๗ หมู่บ้านท่ีแบ่งตามเขตปกครอง หมู่บ้านแต่ละหมู่ แตกต่าง กนั ตามช่อื เรียกดงั นี้ หมู่ ๑ บ้านเจา้ แปด หมู่ ๕ บา้ นวังตอง หมู่ ๒ บา้ นคลองขุด หมู่ ๖ บ้านต้นคลอง หมู่ ๓ บา้ นปิ่นแก้ว หมู่ ๗ บา้ นไชยภูมพิ ฒั นา หมู่ ๔ บา้ นดอนโพธ์ิ

๑๗๐ ๑๔.๒ ประวตั ศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของทอ้ งถิ่น ทมี่ ำของตำบลชำยนำ นายทับทิม แสงอ่อน ผู้ใหญ่บ้านประจาบ้านชายนา หมู่ท่ี ๖ได้ให้ข้อมูล เก่ียวกับความเป็นมาของตาบลชายนาว่า เดิมตาบลชายนามีพื้นท่ีรวมกับตาบลเจา้ เจ็ด แต่เนือ่ งจากระยะ ทางไกลจากที่ ต้ังตาบล ส่งผลให้การเดินทางไม่สะดวก การปกครองไม่ท่ัวถึง ทางการจงึ แยกตาบลเจ้าเจ็ด บางส่วนให้เป็นตาบลชายนา ประกอบด้วยหมู่บ้าน ๖ หมู่ และสาเหตุท่ีเรียกตาบลชายนาเน่ืองจากพ้ืนที่ ส่วนใหญ่เปน็ ท่ีนา ประขาชนสว่ นใหญ่ประกอบอาชพี ทานา และสว่ นมากนิยมตงั้ บ้านเรอื นริมคลองสวน นอกจากนี้ นายกสุเมธ ศรีอักขรินทร์ ยังได้เสริมข้อมูลว่า เมอื่ ในอดีตคนทว่ั ไปจะเรียกตาบลชาย นาว่าคลองขุด เน่ืองมาจากในอดีตเป็นคลองแบบธรรมชาติ ต่อมากรมชลประทานนารถเข้ามาขุดคลอง และชาวบา้ นสว่ นใหญ่มกั ปลูกบ้านเรอื นรมิ คลอง จึงเรยี กกนั วา่ คลองขุด เป็นตน้ หมู่บ้ำนมุสลิมหมู่ ๖ ในตาบลชายนาน้ัน มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งคือหมู่ ๖ ท่ีประชาชนส่วนใหญ่นับ ถือศาสนาอิสลามเกือบท้ังพื้นท่ี โดยผู้ใหญ่บ้าน นายนะวาท ไกรพันธุ์ ได้เล่าว่า ในสมัยก่อนมีชาวมุสลิม อพยพมาจากบ้านหาดทราย ตาบลกบเจา (อาเภอบางบาล) มาทานาขา้ วที่หมู่ ๒ ตาบลชายนา ในชว่ งแรก จะเดินทางแบบไป-กลับ คือหน้าทานาก็มาทานา พอทานาเสร็จก็กลับไปอยู่ท่ีบ้านหาดทราย ต่อมาจึงได้ เขา้ มาสร้างบ้าน ๒-๓ หลงั และขยายตัวมากข้ึนตั้งแต่ปพี .ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ตอ่ มา นายยี่มสั ไกรพันธุ์ บิดาของผู้ใหญ่นะวาท ซึ่งเป็นบุคคลทชี่ าวมุสลิมให้ความเคารพนบั ถือ ทงั้ ยังเป็นผนู้ าทางศาสนา ได้ไปพดู คุยกบั กานัล เสวก ธาราชีพ ในสมัยน้ัน โดยขอใหแ้ ยกหมู่บ้านจากหมู่ ๒ เนื่องจากจานวนประชากรมากข้นึ ตั้งแตน่ ั้นมาจงึ แบ่งเน้ือทีก่ ารปกครองเปน็ หมู่ ๒ และหมู่ ๖ ในหมู่ ๖ จึง มีชาวมสุ ลิมและชาวพุทธอยรู่ วมกันสาเหตุจากการแบ่งเน้ือท่ีในการปกครอง โดยหมู่ ๖ จะมีมัสยิด ๓ แห่ง คอื - มัสยดิ ฮาซานยี ะห์ มีโต๊ะอหิ ม่าม สมาน ไตรพันธ์ุ เป็นผู้นาศาสนา - มสั ยดิ กอดรี ียะห์ มโี ต๊ะอิหม่าม นะวาท ไกรพันธุ์ เปน็ ผู้นาศาสนา - มสั ยดิ นูรู้ลริดวาน มีโตะ๊ อหิ ม่าม มซู า สินรตั นะ เปน็ ผนู้ าศาสนา ชาวมุสลิมจะมีพิธีกรรมในมัสยิดที่ใกล้แสะสะดวกกับการเดินทาง ส่วนชาวพุทธในตาบล บางส่วนจะไปทาบุญท่วี ัดไชยภูมิ ชาวพทุ ธและชาวมุสลิมสามารถอยูร่ ว่ มกนั ไดใ้ นสังคมแบบผสมผสาน วัดในตำบลชำยนำ วัดทีอ่ ยู่ในตาบลชายนามีจานวนหน่ึงทม่ี ีเรื่องเลา่ และความเป็นมาอันเป็นที่ จดจาในท้องถิน่ โดยนายสารดิ ทรงไตรย์ อดตี ผ้ใู หญ่บา้ น หมู่ ๑ ตาบลชายนา ได้ให้ข้อมูลดังน้ี วดั ไชยภูมิ ตั้งอยูใ่ นหมู่ ๒ มีเร่ืองเล่ากันมาว่า พื้นที่ดังกล่าวเคยมีทหารยกกองทัพมาต้ังฐานทัพ เพราะเห็นว่ามีชัยภูมิที่ดีในการตั้งฐานทัพ ต่อมาจึงให้ได้ชื่อว่าวัดไชยภูมิ มีหลวงพ่อพุทธนิมิตร เป็นท่ี สักการะผู้คนมาบนบานสานกลา่ ว เมื่อสมหวงั กจ็ ะถวายพลุโดยเชอ่ื วา่ ทา่ นชอบเสียงดัง วัดแก้วสุวรรณ ต้ังอยู่ในหมู่ ๓ มีหลวงพ่อพุทธราพึงเป็นทส่ี ักการะนับถอื ของชาวบ้าน ชาวบ้าน เลา่ ว่า ในอดตี มีคณะเชดิ สิงโตมาเลน่ แล้วไม่มากราบไหว้ พอเดินทางกลบั เกดิ มเี หตุไมล้ ้มทบั คนในคณะ ไม่

๑๗๑ สามารถยกออกได้ และมีร่างหน่ึงพูดข้ึนมาว่าต้องไปขอขมาหลวงพ่อพุทธราพึงก่อน เม่ือคณะสิงโตไปขอ ขมาแลว้ ผู้ประสบเหตุกล็ ุกเดินไดต้ ามปกติ ความศักด์ิสิทธ์ขิ องหลวงพ่อจงึ เปน็ ที่เลือ่ งลือ คนที่เข้ามาขอพร เม่ือสมหวังจะนาพวงมาลัยดอกดาวเรืองไปถวาย วัดแก้วสุวรรณเคยจาลองรปู หลวงพ่อพทุ ธราพึงออกมา ให้คนเชา่ ไปบชู า นอกจากนี้ ชาวตาบลชายนา (หมู่ ๑) ยังติดตอ่ สัมพันธ์กับวดั เจ้าแปดทรงไตรยท์ ่ีตั้งอยู่ตาบลมาร วิชยั ด้วย เนอื่ งจากมพี ื้นทต่ี ิดกันแม้จะมีลาคลองกั้นกลางระหว่างหมู่ ๑ กบั วัดเจ้าแปดทรงไตรย์ และมีการ แบ่งแย่งพืน้ ทีป่ กครองที่ส่งผลให้วดั ตง้ั อยูใ่ นตาบลมารวิชัย แต่ชาวบ้านหมู่ ๑ ตาบลชายนา กจ็ ะไปทาบุญท่ี วัดน้ี วัดเจ้ำแปดทรงไตรย์ เป็นวัดที่มีส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ คือ หลวงพ่อเพชร ท่ีคนให้ความนับถือเป็นอย่าง มาก ชาวบา้ นได้นมิ นต์หลวงพ่อเพชรมาจากวดั บ้านแพน เนอื่ งจากพ่ึงสรา้ งวดั ขึ้นมาใหมจ่ ึงไม่มีพระประจา วดั ตอ่ มา วัดเจ้าแปดทรงไตรย์จงึ ไดก้ ลายเป็นวัดที่ชาวตาบลมารวิชัยและตาบล ชายนาให้ความเคารพนับ ถือตั้งแต่บดั น้ันเปน็ ต้นมา ๑๔.๓ วถิ ีชีวิต และควำมสัมพนั ธ์ทำงสงั คม ดำ้ นอำชพี นับตั้งแต่อดีต ชาวตาบลชายนามีวถิ ีชีวิตผกู พันอยู่กบั การทาเกษตรกรรมคือการทา นา เป็นหลัก โดยนางสายรุ้ง กรวยทอง ครู กศน.ตาบลชายนา ได้รวบรวมข้อมูลเรื่องการทานาของชาว ตาบลชายนา ดงั น้ี ในอดีต ประชาชนจะประกอบอาชีพทานาปี ปีละ ๑ ครั้ง เร่ิมไถดะโดยใช้วัวหรือควาย พอถึง เดือนหก (เดือนไทย) จะหวา่ นข้าว ทิ้งไว้ รอจนกวา่ ฝนจะตกข้าวก็จะงอก และเจรญิ เตบิ โต พอเขา้ เดือนสิบ ข้าวก็เริ่มออกรวง นายกเล่าว่าถึงจะหว่านข้าวไว้นานแค่ไหน หากไม่ถึงฤดูข้าวก็จะไม่เติบโต พอเริ่มเข้า หนา้ น้าขา้ วก็จะเริ่มออกรวง จงึ เรียกว่าขา้ วนาปีหรอื ขา้ วไวแสง พธิ ีกรรมทที่ ากันต้ังแต่บรรพบุรุษสืบทอดกันมาคอื เม่ือข้าวเร่ิมตั้งท้องกจ็ ะมีพิธรี ับขวญั ขา้ ว โดย จะให้ผหู้ ญงิ เปน็ คนทาพิธี จะหาขนม ของเปรีย้ ว หวี แปง้ น้าหอม ใสเ่ ฉวียงและชะลอม นามาบชู าพระแม่ โพสพ หลังจากข้าวออกรวงและพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ในอดีตใช้เคียวในการเกี่ยวข้าว จะมีการลงแขก เก่ียวขา้ ว พอถงึ นาใครจะเกย่ี วก็จะบอกเพ่ือนบ้านมาช่วยกนั แต่กอ่ นจะเกีย่ วขา้ วจะต้องทาคะเนต (เชือก) เตรยี มไว้ก่อน การมัดคะเนต คอื จะเกี่ยวตน้ ขา้ วท่มี ีขนาดยาว มากองรวมกนั ไว้ แล้วแยกมาประมาณ ๓-๔ ต้น ใช้มือจับแบง่ เป็นแถบซา้ ยและแถบขวา จากนั้นหันปลายต้นข้าวชนกัน แล้วพนั ให้เป็นเกลียว แล้วทา เป็นวงกลมไว้ เมอ่ื เกยี่ วข้าวเสรจ็ แล้วจะตากแหง้ ไวท้ ี่นาก่อน พอข้าวแหง้ จะนา คะเนตที่ (เชือก) เตรียมไว้มัดให้ เป็นฟ่อนใหญ่ ๆ จากน้ันจะใช้คันหลาวซึ่งมีสองปลายและแหลม แทงฟ้อนข้าวขา้ งละ ๑ ฟ่อนแล้วหาบมา เก็บไว้ที่บ้าน โดยจะเร่ิมหาบข้าวเข้าบ้านช่วงเช้า พอสายหน่อยก็จะเลิกหาบ เม่ือหาบมาถึงในบ้านถึงจะ

๑๗๒ นามาพะไว้ท่ีบ้าน การวางพะจะวางให้ปลายรวงไปในทางเดียวกัน แล้ววางซ้อนข้ึนไปโดยให้ฐานมีขนาด ใหญ่ และวางซอ้ นให้ยอดชันไปเร่ือย ลักษณะคลา้ ยสามเหล่ียม เพ่อื เวลาฝนตกน้าจะได้ไหลลง ไม่เปียกไป ในกองขา้ ว กอ่ นที่จะนาขา้ วมาพักไวท้ ่ีบ้าน จะมีการเตรยี มลานเก็บข้าว โดยใช้พ้นื ท่ีบริเวณในบ้านที่มีขนาด กว้างพอสมควร แล้วเกลยี่ ดินให้เสมอและกดทับให้แน่น จากนั้นจะนามูลววั หรอื ควาย มาผสมน้าแลว้ ใช้ มือทามูลววั กบั พื้นดนิ ทีเ่ ตรียมไว้รอใหแ้ ห้ง จงึ จะสามารถใชล้ านข้าวได้ เมือ่ นาขา้ วมาพะไว้ที่บา้ นจะมีพิธีกรรมที่ทาสบื ทอดกันมาคือการทาขวัญทล่ี านข้าว เพ่ือเป็นการ รับขวัญข้าว มีความเชื่อกันมาว่าข้าวที่อยู่กับต้นเวลาเอาเคียวไปตัดข้าวมา ข้าวจะตกใจ จึงต้องมีการ รบั ขวญั และเรียกขวัญกลับมา ผู้ทาพิธีก็จะเตรียมขนมต้มแดง ต้มขาว มาทาพิธีและพูดสิ่งท่ีเป็นสิริมงคล กบั ตนเองและครอบครวั และขอให้ทามาค้าขน้ึ เม่ือทาพิธีเสร็จจงึ จะนาขา้ วมานวดได้ การนวดข้าวสมัยก่อนจะใช้ควายนวด โดยวิธีนาข้าวมาตัดคะเนตออก แล้วนามาวางเรียงไว้ใน ลาน ใช้ควายเดินย่า จนข้าวหลดุ ออกจากรวง จากนั้นจะใชค้ นั ฉาย ซ่ึงเป็นด้ามไมย้ าวประมาณ ๑-๒ เมตร ปลายคนั ฉายจะมีเหล็กกลมปลายงอคลา้ ยเคียว แต่ไมแ่ หลมมาก ไว้สางฟางขา้ วออก เม่ือสางฟางขา้ วออก หมดแลว้ จะนาข้าวมาใส่สีฝัด เพื่อนาขา้ วทลี่ ีบออก เหลือแต่ข้าวเปลือกท่ีเป็นเมด็ ๆ สมัยกอ่ นระหว่างนวด ข้าว หรือเกีย่ วข้าวจะมกี ารร้องราทาเพลงเพือ่ เป็นการคลายความเหน่อื ยด้วย เม่ือได้ข้าวเปลือกท่ีเป็นเม็ด ๆ แล้วจะนามาเก็บไว้ใต้ถุนบ้าน บางบ้านจะทายุ้งใส่ข้าว บางบ้าน ฐานะไม่ดีกจ็ ะสานเสวียนซึ่งทาจากไมไ้ ผ่มาสานขัดไปขัดมา เป็นแผ่นส่เี หลย่ี มขนาดใหญ่ แล้วมาม้วนเป็น วงกลมนาข้าวเปลือกมาใส่ไว้ข้างใน เพ่ือกันสัตว์ที่จะมากินข้าวเปลือก ข้าวเปลือกที่เก็บไว้จะนามาตาให้ เปลือกกะเทาะ แล้วนามาฝดั เอาเปลือกออกให้เหลือแตเ่ มล็ดสีขาวเพื่อนามาไว้หงุ กิน และบางสว่ นก็จะเอา ออกไปขาย บางส่วนเกบ็ ไวท้ าเมลด็ พนั ธต์ุ ่อไป ส่วนวิถีชีวิตในปัจจุบันน้ัน เปล่ียนไปตามกระแส การทาเกษตรกรรมและอาชีพต่าง ๆ อาศัย เทคโนโลยีและเคร่ืองทุนแรงต่าง ๆ มากมาย จนวิถีชีวิตในอดีตเปล่ียนไป ความร่วมมือและการช่วยเหลือ แบ่งปันจางหายไป การประกอบอาชีพส่วนใหญ่เน้นใช้เคร่ืองทุ่นแรงและเครื่องจักรกลมาใช้ในการ ประกอบอาชีพ ถือเป็นปัจจยั สาคัญในการดาเนินชีวิต วิถีชาวบ้านในอดีตจงึ ค่อย ๆ เลือนหายไป กำรเดินทำง นางสาล่ี การสมทรัพย์ ได้เล่าถึงการเดินทางในอดีตของชาวตาบลชายนาว่า สมัยก่อนคนรุ่นปูย่ ่าตายาย หากถึงหน้าแล้งจะนิยมเดนิ ทางไปที่ต่าง ๆ โดยการเดินเท้าเปล่า ไม่มีรองเท้า ใส่ โดยใช้วธิ ีเดินลดั ตดั ตรงขึ้นไปทโ่ี รงเรียนเสนาประสทิ ธิ์ และตัดเข้าตลาดบ้านแพน ถา้ จะไปอยุธยาจะข้ึน เรือบริษัท ซ่ึงเป็นเรือเมล์สายบ้านแพน-อยุธยา หรือบ้านแพน-กรุงเทพฯ และมีการเปล่ียนแปลงเป็นเรือ ด่วนในระยะต่อมา อย่างไรก็ตามถ้าเป็นหน้าน้า ผู้คนจะนิยมไปเรือแจว เรือพาย เรือท่อ ต่อมาเป็นเรือ เครื่อง ในปัจจุบันการคมนาคมมีการพัฒนามากข้ึนชาวบ้าจึงเดินทางไปท่ีต่าง ๆ ด้วยรถส่วนตัวหรือรถ โดยสารประจาทางแทนการใชเ้ รือในอดีตนั่นเอง

๑๗๓ ด้ำนเศรษฐกจิ แหลง่ การค้าของชาวตาบลชายนาในอดตี มีศนู ย์กลางการคา้ ขายอยู่ที่ตลาดคลอง ขุด ตลาดป่นิ แก้ว ที่ตงั้ อยใู่ นตาบลชายนา ภายในลาคลองก็มเี รือขายของวิง่ ค้าขายอยู่ นอกจากนยี้ งั มีตลาด ท่าเกวียน ซ่ึงเป็นที่แลกเปล่ียนสินค้า ที่ชาวบ้านจะนาข้าวเปลือกไปแลกกับส่ิงของต่าง ๆ ถ้าสินค้าที่ ต้องการไม่มีขายในตลาดท้องถิ่น ชาวตาบลจึงจะเดินเท้าไปซื้อของท่ีจาเป็นที่ตลาดบ้านแพน ต่อมาใช้ เกวียนมาจอดท่ที า่ เกวียน และมาลงเรือตอ่ เรยี กวา่ เรือแท็กซี่ มลี กั ษณะคลา้ ยเรือโยง มีหวั เหมอื นเรอื กาป่ัน สามารถบรรทุกได้ประมาณ ๒๐ คน แล้วจึงมาต่อเรืออีกคร้ังที่ประตูน้าเจ้าเจ็ด และเดินต่อไปตลาดบ้าน แพนและท่ีอื่น ๆ ส่วนในปัจจุบัน ในตาบลชายนามีตลาดนัดวัดไชยภูมิและร้านค้าชุมชนในหมู่บ้าน เป็นแหล่ง จับจ่ายซื้อหาสินค้าท่ัวไป สว่ นที่ตลาดบ้านแพน ชาวบ้านจะเดินทางไปหาสินค้าเฉพาะเวลามีงานสาคัญๆ เชน่ งานบวช งานแต่ง และไปท่ีตลาดเจา้ พรหม หรอื ไปที่กรงุ เทพฯเปน็ บางคร้ัง ดำ้ นกำรศึกษำ การศึกษาของชาวตาบลชายนาในสมัยก่อน โดยนางสายรุ้ง กรวยทอง ครู กศน. ตาบลชายนา พบวา่ คนรุ่น ปยู่ า่ ตายาย ในทอ้ งถิ่นมกั เรยี นหนงั สือตามศาลาวัดต่าง ๆ เชน่ ศาลาวัดเจ้าแปด ทรงไตรย์ ศาลาวัดไชยภูมิ ศาลาวดั ป่ินแก้ว ศาลาวดั อู่สาเภา โดยเรยี นถงึ ระดับชน้ั ป.๔ เปน็ ชั้นสูงสุด ส่วน คนรุ่นพ่อแม่ มักเรียนหนังสือชนั้ ประถมตามศาลาวัดต่าง ๆเช่นเดียวกนั หากคนมีโอกาสเรียนมัธยม จะมี ถึงระดับช้นั มศ. ๓ ท่สี ามารถเขา้ เรียนที่โรงเรียนเสนาประสิทธิ์ และโรงเรยี นอนื่ ๆ ในอาเภอเสนา และเข้า เรียนระดบั ชั้นอุดมศกึ ษาต่อท่ีกรุงเทพฯ แต่จะพักอาศัยตามวัด เพื่อเปน็ การประหยดั ค่าใช้จา่ ย สว่ นในปจั จบุ ัน นักเรียนในตาบลชายนา นิยมเรียนชั้นประถมศกึ ษา ท่โี รงเรียนรัฐบาล โรงเรียน ขยายโอกาสในตาบล โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ ในอาเภอเสนา และเข้าเรียนชั้น มัธยมที่ โรงเรยี นเสนาประสิทธิ์ โรงเรยี นผดุง โรงเรียนเซนจอร์นบัปติส ในอาเภอเสนา หากเป็นชาวมุสลิม ก็จะเข้าเรียนชั้นประถมและมัธยมท่ีอิสลามศรีอยุธยา (อสอ) ที่มีการสอนเพื่อผู้ท่ีนับถือศาสนาอิสลาม ตอ่ มาจงึ เขา้ เรียนระดบั อดุ มศึกษาท่ีมหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยุธยา และมหาวทิ ยาลยั อื่น ๆ ในกรุง เททมหานคร ๑๔.๔ ภูมปิ ัญญำท้องถิน่ ตาบลชายนาจะมีความสัมพันธ์เก่ียวกับวิถีชีวิตของผู้คน ตั้งแต่การเกิด เช่นภูมิปัญญาการทา คลอด ทาขวญั เด็ก ภมู ิปญั ญาหมอแผนโบราณ เปน็ ตน้ และยังมีภมู ิปญั ญาด้านอน่ื ๆ อีก ดงั น้ี ภมู ิปัญญำกำรทำคลอด มีหมอตาแยเป็นบุคคลสาคัญ เพราะในสมยั ก่อนไม่มีโรงพยาบาล ไม่มี สขุ ศาลา เวลาคนจะคลอดลูกก็จะไปตามหมอตาแยมาชว่ ยในการคลอด หมอตาแยท่ีมชี ื่อเสียงในอดีตแถบ ตาบลชายนามีช่อื ว่า ยายฮวย พรหมชยั ยายเปล้ือง (ไม่ทราบนามสกุล) ซงึ่ ไดเ้ สียชีวิตไปแล้วและไม่มีผูส้ ืบ ทอดภมู ิปัญญาดงั กล่าว ภูมิปัญญำหมอแผนโบรำณ หมอโบราณ เป็นผู้ที่รักษาอาการเจ็บป่วยด้วยสมุนไพรพ้ืนบ้าน หมอโบราณที่มชี ่ือเสยี งในอดีตแถบตาบลชายนามีช่ือว่าหมอจอย หมอมาก การสมทรัพย์

๑๗๔ ภูมปิ ัญญำกำรรับขวัญข้ำว มีบคุ คลทที่ าคอื ป้ามะลิ โดยจะทาห่นุ ด้วยฟางข้าว เวลารับขวญั พระ แมโ่ พสพ จะทาเสอื้ ผ้าใสใ่ ห้หุ่นอยา่ งสวยงาม และหมอทาขวัญ ได้แก่ หมอธรี ะเดช โพธทิ์ อง นอกจากนี้ยังมีภูมิปัญญาด้านการทาเคร่ืองดนตรี คือการทาฆ้องวง โดยมีนายสัมฤทธ์ิ กรีโชติ และนายวนิ ยั บญุ สนุน่ เปน็ ผู้สืบทอดการทาฆอ้ งวงมาจากบรรพบรุ ษุ ๑๔.๕ ประเพณที ้องถ่ิน ในตาบลชายนา มีทั้งลักษณะท่ีอิงกับประเพณีหลักในสังคมไทย เช่น การทาบุญเนื่องในวันตรุษ วนั สารท วันสงกรานต์ เทศกาลสงฆ์น้าพระ ประเพณีงานบวช งานแต่ง การโกนจุด โกนแกะ โกนโกะ๊ วัน ลอยกระทง อย่างไรก็ตาม ในระดับท้องถิ่นของตาบลชายนา จะมีธรรมเนียมปฏิบตั ิเวลามีงานประเพณีท่ี น่าสนใจ ดงั ท่ีนายทับทมิ แสงอ่อน และนางสาลี่ การสมทรัพย์ ได้เลา่ ว่า หนมุ่ สาวในอดีตจะนัดพบกันตาม เทศกาลต่าง ๆ โดยมีวิธีนัดกันโดยจะใช้กระจกผกู ปลายไม้ และส่องให้แสงสะท้อนเพอื่ ให้หนุ่มสาวรู้ว่าบา้ น นีจ้ ะมกี ารละเล่นในเทศกาลต่าง ๆ หรือขน้ึ ธงไว้หน้าบา้ นเพอื่ นัดหนุ่มสาวมาเจอกัน เช่นการทาบญุ เนื่องใน วนั ตรุษจีน วันสารท วันสงกรานต์ จะใช้วิธียกธงนัดหมายว่าวันนี้จะมีงานให้หนุ่มสาวเตรียมตัวมาเล่นกัน การยกธง จะเปล่ียนบ้านไปเรอ่ื ย ๆ นับเป็นธรรมเนียมด้งั เดิมทีเ่ ปน็ การประกาศให้รูว้ ่าท่ใี ดจะมกี ารจัดงาน หรือการละเล่น นอกจากน้ี ทีต่ าบลชายนายังมปี ระเพณีที่นา่ สนใจอ่นื ๆ เช่น งานประจาปหี ลวงพอ่ พทุ ธราพึง จะ มกี ารละเล่น เช่น ว่ิงวัว แต่ใช้แมห่ ม้ายว่ิงแทน แขง่ ขันข่จี ักรยาน ลูกช่วง มอญซ่อนผ้า ตีก้น (วธิ ีเลน่ คอื น่ัง เป็น ๒ แถว ชาย-หญิง ชายจะตีหญิง หญิงจะตีชาย เมื่อตไี ด้กจ็ ะวงิ่ ไล่กัน) ว่งิ เปรี้ยว สถานท่ีเล่นจะเป็นที่ วัด บ้านฝา่ ยหญิง หรอื ตามใตต้ น้ ไม้ใหญ่ วิธนี ัดก็จะใชธ้ งปักไว้ให้ร้วู า่ สถานทน่ี ้ีจะมกี ารละเลน่ หลังจากงานประเพณีต่าง ๆ แล้ว จะมีการสมโภชมีลิเก ละคร โขน หนังกลางแปลง หรือหนัง ตะลุง แล้วแตค่ นจัดจะหาได้ สมัยก่อนในงานจะใชแ้ สงสวา่ งจากตะเกียงพายุ ไมม่ เี ครื่องเสยี ง นอกจากประเพณีไทยตามสมัยนิยมท่ีจัดกันโดยท่ัวไปในตาบลชายนาแล้ว ยังมีประเพณีอัน เนื่องมาจากหลักศาสนาอ่นื ๆ ท่ีมีอยู่ในหมู่บ้านภายในตาบล เช่นพิธกี รรมของหมู่ ๖ ซึง่ มีชาวมุสลิมซ่ึงนับ ถือศาสนาอิสลามอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ โดยนายนะวาท ไกรพันธ์ุ ผู้ใหญ่บ้าน ได้ให้ข้อมูลว่า ในหมู่ ๖ มี ประเพณีของชาวมุสลมิ ท่ีสาคญั เช่น พิธีถอื ศีลอด จะใช้เวลา ๑ เดือน การปฏิบัติคือไม่มีการรับประทานอาหารช่วงกลางวัน และเร่ิม รับประทานอาหารไดห้ ลงั พระอาทติ ย์ตกทั้งคืน กิจกรรมวันออกบวช (ลย) ลย ย่อมาจากอารลี อยอ คือวันรื่นเริง หรือวันออกบวช โดยจะมีพิธี ทาบุญ ละหมาด เลีย้ งอาหาร เย่ียมเยือนญาติพีน่ ้องในชุมชน แจกข้าวสารผ้ยู ากไร้ เพื่อทดแทนส่ิงที่เราได้ พลาดพลงั้ ไปในขณะคอื ศลี อด วันทีหัจยี จะมีพิธีน้ีหลังเลิกจากถือศีลอด ๓ เดือน วันทาหัจยีถือเป็นวันบวช ท่ีต้องใส่ชุดขาว ประมาณ ๑๐ วัน จะไปบวชท่ีนครเมกกะ ประเทศอาหรับ ถ้าชาวมุสลิมคนไหนมีความพร้อมในเร่ือง

๑๗๕ การเงินก็จะเดินทางไปบวช ผู้ทีผ่ ่านพิธีจะถือวา่ เป็นสิรมิ งคลกับตนเองในชีวติ ได้ไปสัก ๑ ครั้ง ถือเป็นกฎ ขอ้ ที่ ๕ ของชาวมสุ ลิม ผทู้ ผ่ี า่ นการบวชแล้วจะเรียกว่า ยี่ นาหน้า วันออกหัจยี คือวันออกบวช จะมีกิจกรรมวันละหมาด เลี้ยงอาหาร เชือดวัวบุญ นาเน้ือวัวมา แจกกันหมู่บา้ นทกุ ครัวเรอื น แต่ละบ้านท่มี ีความพรอ้ มจะใหว้ ัวมาทาบญุ ปหี นึ่งจะฆ่าววั อายุประมาณ ๔-๕ ปี เรยี กว่าววั ส่วนบุญ ทีเ่ ชอื่ ว่าสตั วท์ เ่ี ชือดเปน็ พาหนะเข้าสสู่ รวงสรรค์ พิธีกวนข้าวทิพย์ หลังจากทาพิธอี อกหัจยี (เรียกอกี อย่างวา่ กวนสุรอ) ทุกวันท่ี ๑๐ เดือนอาหรับ ของทุกปีจะทาพิธีกวนข้าวทิพย์ ของท่ีนามากวน เช่น ถั่วแดง ไก่ ข้าว ฝักทอง มัน น้ากะทิ น้าตาล ฯลฯ เล่ากันต่อมาว่า การกวนข้าวทิพย์มีขึน้ เพราะสมัยองค์ศาสนาองค์ท่ี ๒ ของโลก เกิดน้าท่วมโลก ผู้คนต้อง ขนข้าวของ สัตว์เลี้ยง และส่ิงของที่ขนได้ข้ึนเรือล่องลอยไปเร่ือย ๆ พอถึงวันท่ี ๑๐ องค์ศาสดาให้นา อาหาร สิงสาราสตั ว์ ถ่วั งา นามากวนใสก่ ระทะรวมกนั เพ่อื เปน็ อาหารประทงั ชวี ิต อีก ๒ เดือนต่อจากพิธีกวนข้าวทิพย์ ในวันที่ ๑๒ ของเดือนอาหรับ จะเป็นวันคล้ายวันประสูติ ของศาสดา ทกุ บา้ นจะมีพิธสี วด และทาบญุ ประเพณีต่าง ๆ ทกี่ ลา่ วมาของตาบลชายนา ซึ่งมที ง้ั ประเพณไี ทยท้องถน่ิ และประเพณีตามหลัก ศาสนาอิสลาม ไดส้ ะท้อนภาพความหลากหลายและความกลมกลืนในวถิ ีชีวติ ของชาวตาบลชายนา แม้ใน ปัจจุบันประเพณีต่าง ๆ อาจมีการปรับเปล่ียนธรรมเนียมไปตามการเปล่ียนแปลงทางสังคมอยู่บ้าง แต่ ประเพณีในตาบลชายนา ถือเป็นประเพณีท้องถ่ินท่ีมีชีวิตชีวา มีความเป็นเอกลักษณ์ และสามารถเชื่อม ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคนในตาบลไดอ้ ยา่ งดีย่งิ ๑๔.๖ ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งผู้คนกบั ส่ิงเหนอื ธรรมชำติ นอกจากวดั วาอารามต่าง ๆ ยงั มีสถานท่ีศกั ด์ิสทิ ธิใ์ นพ้นื ท่ี ทชี่ าวบา้ นตาบลชายนาให้ความเคารพ นบั ถือ และเปน็ ทีพ่ ึ่งทางจติ ใจเมือ่ เกดิ เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ดงั เช่น ศำลเจ้ำพ่อทุ่งแค ศาลเจ้าพ่อทุ่งแค เป็นศาลที่ชาวบ้านหมู่ ๑ ให้ความนับถือต้ังแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน นายสาริด ทรงไตรย์ เล่าว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีชาวบ้านคนหน่ึง ไปขายของท่ีกรุงเทพฯ โดยขายในเรอื แลว้ เกิดสงครามโลก มีเคร่ืองบนิ ทิ้งลกู ระเบิดลงมา ชาวบา้ นคนนั้นอธิฐานถึงเจ้าพ่อทุ่งแคให้ ช่วย ขณะนั้นเชือกป่านที่ผูกเรือกับท่าน้าขาด เรือถอยหลัง ลูกระเบิดท่ีทิ้งลงมาโดยเฉียดหัวเรือ ทาให้ ชาวบ้านคนนั้นปลอดภัย จึงนับถือเจ้าพ่อทุ่งแคมาก ใครมีเร่อื งทุกข์รอ้ นอะไรก็จะบอกและบนบานต่อเจ้า พ่อทุ่งแค เขาก็จะได้รับความชว่ ยเหลอื โดยเฉพาะคนที่จะเกณฑ์ทหาร ถ้ามาบนไว้ จะไม่เคยจบั ได้ใบแดง คนที่มาบนเล่าวา่ ถ้าไปเกณฑ์ทหาร ให้กล้ันใจแล้วเอามือล้วงไปที่ไหจะมีกระดาษปลิวมาติดท่ีมือเอง แล้ว ผลกจ็ ะได้ใบดา ฉะนัน้ ผคู้ นทง้ั อดตี และปจั จุบนั จึงใหค้ วามนบั ถือเจา้ พอ่ ท่งุ แคมาก

๑๗๖ ภาพประกอบ ๖๑ ศาลเจ้าพ่อทุ่งแค ท่มี า: นางสายร้งุ กรวยทอง ครู กศน.ตาบลชายนา ตำละหุ่งหรือตำเจ้ำทุ่ง นางสาล่ี การสมทรัพย์ ผู้สูงอายุในหมู่ ๗ ได้ให้ข้อมูลว่า คนในอดีตถึง ปัจจุบันในตาบลชายนา จะนับถือตาละทุ่งหรือบางคนจะเรยี กว่าตาเจ้าทุ่ง ท่ีเชอื่ กันว่า เป็นเจ้าของทุ่งนา เจา้ ของท่ี บางคนเชื่อวา่ ตาเจา้ ทงุ่ คือปูห่ น่อนนั่ เอง ความเชอื่ เก่ียวกับตาเจา้ ทุ่ง มีอยู่วา่ เวลาของหาย ไม่ว่า จะเป็นเงินทอง สิ่งของ สัตว์เล้ียงหาย ชาวบ้านก็จะไปบนบานตาเจ้าทุ่ง และจะได้ของนั้นกลับมา ถ้าใคร พดู ไม่ดี หรือแสดงความไม่นับถือ ก็จะเจอปรากฏการณใ์ ห้เปน็ ไปตา่ ง ๆ นานา แมข่ องยายสาล่ีเล่าวา่ มีคน ไม่เชอ่ื ถอื ออกไปหาปลา หาสายบัว ตอนไปน้าเตม็ ทุ่ง มีสายบวั ผักบงุ้ อยเู่ ต็มทอ้ งนา แต่ขากลับเรือเกยตื้น ไม่สามารถพายกลับได้ และอีกเหตุการณ์หนึ่งคือ มีชาวบ้านออกไปทานา ขากลับหาบ้านไม่เจอทั้ง ๆ ที่จาได้ว่าบ้านอยู่ ตรงนี้ จึงขอตาเจ้าทุ่งให้เปิดทางให้ ก็เห็นบ้านต้ังอยู่ แม่เล่าว่าเคยสร้อยคอร่วงหาย ในคูน้าซ่ึงมีใบมะม่วง ร่วงเต็มคู พอต้ังจิตนึกถึงตาเจ้าทุ่งหรือปู่หน่อ ก็สามารถหาสร้อยคอเจอ สิง่ ท่ีชาวบ้านนามาแก้บนจะเป็น เหลา้ ขาว นอกจากน้ียงั มีตน้ สะแก เป็นไม้ใหญ่ทีช่ าวบ้านเว้นไวต้ อนถางป่า มีอยู่ ๓ จุด เพราะเป็นท่ีเคารพ เพราะเชือ่ กันวา่ เป็นทผ่ี กู ชา้ งของตาเจา้ ทุ่งหรอื ป่หู นอ่ จงึ ไมม่ ีใครกลา้ ไปตัดกิง่ ตน้ สะแกออก นอกจากน้ี ในหมู่ ๒ กม็ ีสถานท่ีศักดส์ิ ิทธ์ิที่คนในอดีตจะให้ความนบั ถือ คือศาลเจ้าพ่อสาเภา โดย มีเรื่องเล่าว่าเม่ือคร้ังท่ีกรมชลประทานมาขุดคลอง เม่ือเรือขุดขุดมาถึงบ้านยายแอ๊ด เรือขุดเกิดดับทา อยา่ งไรกไ็ ม่ตดิ จงึ ขออธิฐานวา่ ถา้ เรือติดและสามารถขดุ คลองตอ่ ไปได้จะต้งั ศาลขน้ึ ให้ เมือ่ เรือติด ชาวบา้ น จงึ สรา้ งศาลใหต้ ามท่ีบอกกล่าว

๑๗๗ ส่วนในหมู่ ๕ จะนับถือศาลเจ้าพ่อทุ่งใหญ่ มีร่างทรง และมีเจ้าพ่อแก่นจันทรจ์ ะอยใู่ นต้นกระทุ่ม มีความเชอ่ื กนั วา่ กิง่ กระท่มุ ใครจะมาตดั ก่งิ หรอื หักกิง่ กระท่มุ จะมีอนั เป็นไป เป็นอมั พฤกษ์ อัมพาต ๑๔.๗ ควำมเปล่ียนแปลงของทอ้ งถ่นิ นายสุเมธ ศรีอักขรนิ ทร์ ได้เล่าว่า สมัยก่อนชาวตาบลชายนามีวิถีชีวิตอยู่กบั ธรรมชาติ มีการทา มาหากินท่พี ึ่งทางนา้ เปน็ หลัก ไม่ว่าจะเป็นการประกอบการชีพหลัก คือการทานาปี หรือบางคนจะเรยี กว่า ตดิ ปากวา่ การปลูกขา้ วฟางลอย หรือข้าวข้ึนน้า ต้องอาศัยน้าในการทาการเกษตร พอถึงหนา้ น้ากอ็ าศยั หา ปหู าปลาเลยี้ งชีพ การเดินทางนอกจากใช้การเดินแล้ว ต่อมาเม่ือมีการขุดคลอง กม็ ีการใช้เรอื ยาง เรือหาง เรอื สองตอน ในการเดินทางไปมาหาสู่และสัญจรไปในกิจการตา่ ง ๆ ในเรื่องการสาธารณูปโภค สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้าประปาใช้ ชาวบ้านจะใช้ตะเกียงเพื่อเป็น แสงสว่าง น้าก็จะใช้น้าในลาคลองสาหรับอาบ ถ้าจะใช้ดื่มกินก็จะตักใส่โอ่งแล้วเอาสารส้มแกว่งให้น้า ตกตะกอน พอน้าใสกเ็ อามาดื่มกนิ หรอื ประกอบอาหาร การปลูกบ้านสมัยกอ่ นจะปลกู บา้ นใต้ถุนสูงและโปร่ง เน่อื งจากแต่ละปจี ะมนี ้าทว่ มตามธรรมชาติ ที่ต้องใต้ถุนโปร่งก็เพราะต้องไว้ใช้เก็บของเวลาน้าท่วม ซึ่งน้าจะท่วมตามฤดูกาล โดยจะท่วมตั้งแต่เดือน ๑๐-๑๒ ซึ่ง ๓ เดือนน้ี น้าจะท่วมมากที่สุด นอกจากน้ัน การปลูกบ้านสมัยก่อนจะมีนอกชาน เอาให้ให้ สมาชิกในบ้านไดร้ ว่ มพูดคยุ และมีกิจกรรมร่วมกนั ภายใต้แสงเดือนดาว ในอดีตจะอยู่กันแบบเศรษฐกิจพอเพียง มีการทานาเพ่ือไว้บริโภคเอง บางส่วนไว้ขาย และ บางส่วนไว้เพาะปลูกในฤดูต่อไป หน้าน้าก็จะออกหาปลา หากุ้ง ซ่ึงทุกบ้านจะมีเรือทาด้วยไม้สัก แต่ละ บา้ นจะมีเรอื ๑-๒ ลา พอหน้าน้าก็จะใช้เรือทอดแห หาปลากนิ ผกั กอ็ าศยั เก็บจากท่ีขนึ้ ตามธรรมชาติ เช่น ผกั บงุ้ สายบัว เปน็ ต้น ปัจจุบัน พ้ืนที่มีความเจริญด้านคมนาคม เปลี่ยนแปลงจากการเดินทางจะใช้เดินเท้าด้วยเท้า เปล่า โดยยังไม่มีรองเท้าใส่ บ้างก็ใช้เกวียนโดยมีรถลาก ต่อมาใช้เรือในการเดินทาง อาศัยลารางที่ลาราง บางสายก็เป็นลาคลอง ทาใหก้ ารสัญจรเริ่มใช้ทางเรือแทนการเดินมากขึ้น ซึ่งเรือจะมที ้ังพาย เรอื สองตอน และเรือหางยาว และต่อมาเม่ือมีถนนจึงใช้การคมนาคมทางรถเป็นหลัก วิถีชีวิตต่าง ๆ เปลี่ยนไปตาม กระแสความเจริญ ในสมัยก่อนผู้คนมีความเอ้ืออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยสังเกตจากมีการลงแขก เกย่ี วข้าว มีการแบง่ ปนั กัน ไมว่ ่าจะเป็นเรือ่ งการอาหารการกนิ การใช้แรงงานชว่ ยกันทางานจนสาเร็จ แต่ การประกอบอาชีพส่วนใหญ่ในปัจจุบันเน้นใช้เครื่องจักรกลมาใช้ในการประกอบอาชีพ เน่ืองมาจาก วิวัฒนาการและความเจริญของเทคโนโลยีการทาเกษตรกรรม งานต่าง ๆ ก็มีการใช้เคร่ืองทุนแรงต่าง ๆ มากขึ้นจนวิถีชีวิตในอดีตเปล่ียนไปความรว่ มไม้ร่วมมือ การช่วยเหลือแบ่งปัน จางหายไป และกลายเป็น ปจั จยั สาคัญในการดาเนนิ ชวี ิต

๑๗๘ ๑๕.ตำบลบ้ำนหลวง ตาบลบ้านหลวง ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของตาบลมารวิชัย เป็นตาบลขนาดเล็ก ค่อนไปทาง ตอนใตข้ องอาเภอเสนา มคี ลองนา้ ไหลผ่าน คอื คลองขนมจนี คลองอ้ายมา และคลองลาว ซึ่งชาวบา้ นเช่ือ วา่ แต่เดิมพ้ืนที่คลองอ้ายมาและคลองลาวน้ันเคยเป็นทางผ่านของกลุ่มคนลาวที่มาค้าวัวค้าควาย จึงเป็น ที่มาของชอ่ื คลองแห่งน้ี ๑๕.๑ อำณำเขต และภมู ปิ ระเทศ อำณำเขต ตาบลบ้านหลวง เป็นตาบลทตี่ ั้งอยู่ทางตอนกลางคอ่ นมาทางใต้ของอาเภอเสนา ดา้ น ทศิ เหนือมีพน้ื ทต่ี ดิ ต่อกับตาบลสามกอ ทางดา้ นทิศตะวันออกมีอาณาเขตตดิ ต่อกับตาบลบางนมโค ด้านทิศ ใตต้ ดิ ต่อกับตาบลสามตุ่ม และทางดา้ นทศิ ตะวันตกมีพนื้ ท่ีติดตอ่ กับตาบลมารวิชยั ทิศเหนือ มพี ื้นที่ติดต่อกบั ตาบลสามกอ อาเภอเสนา ทศิ ใต้ มพี ้ืนทตี่ ดิ ต่อกับ ตาบลสามตมุ่ อาเภอเสนา ทิศตะวันออก มีพ้ืนทตี่ ดิ ต่อกับ ตาบลบางนมโค อาเภอเสนา ทศิ ตะวนั ตก มีพน้ื ท่ีติดต่อกับ ตาบลมารวิชยั อาเภอเสนา แผนท่ี ๓๑แผนที่แสดงอาณาเขตตาบลบ้านหลวง ท่ีมา: สถาบันอยุธยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๗๙ ภมู ิประเทศ พื้นที่บรเิ วณตาบลบ้านหลวง มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม พื้นทสี่ ่วนใหญ่ยงั คงเป็นทุ่งนา กว้าง มีแหลง่ น้าตามธรรมชาติไหลผ่าน คือคลองขนมจนี ซ่ึงเป็นลาคลองสาขาท่ีแยกจากแม่น้าน้อยท่ไี หล ผา่ นมาทางตอนบนของอาเภอเสนาผ่านเข้าตาบลต่าง ๆ โดยกล่าวกันว่า ช่ือ คลองขนมจีน อาจมีท่ีมาจาก ลักษณะคลองซ่ึงมีลักษณะคดเค้ียว มีหลายซอกซอยเหมือนกับขนมจีน หรืออีกด้านหนึ่ง มาจาก บรรยากาศในสมัยกอ่ นทเ่ี วลามีงานบุญ ผู้คนจะทาขนมจนี กันเกือบทั้งหมู่บ้าน นอกจากน้ียังมคี ลองอ่ืน ๆ ท่ีเรียกกันในทอ้ งถิน่ เชน่ คลองอ้ายมา หมู่ที่ ๓ และ คลองลาว หมทู่ ่ี ๑ เปน็ ตน้ แผนท่ี ๓๒ สภาพทางภูมิศาสตร์ตาบลบ้านหลวง ทม่ี า: สถาบันอยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑ ๑๕.๒ ประวตั ศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของทอ้ งถนิ่ ควำมเป็นมำของตำบลบำ้ นหลวง ชุมชนบ้านหลวงหรือตาบลบ้านหลวงนนั้ นายประกิต พลาย แก้ว ปราชญ์ชาวบ้าน ได้ถ่ายทอดเรื่องนี้วา่ บ้านหลวง มีชือ่ เดิมชอื่ บ้านนาหลวง ซงึ่ ตอนแรกเป็นหมบู่ ้าน หนึ่งที่อยู่ในตาบลมารวิชัยในหมู่ที่ ๘ จนกระท่ังเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒ มีพ้ืนท่ีท่ีได้แยกจากตาบลมารวิชัยเป็น สองตาบล โดยเรียกตาบลท่ีแยกใหม่ฝา่ ยหน่ึงวา่ “ตาบลบ้านหลวง” ตามชอ่ื หมบู่ ้านเดิม ซึ่งมาจากการท่ี ปู่ ย่า ตา ทวด ในสมัยก่อนนัง่ ล้อมวงคุยกัน เพื่อคิดชอ่ื ท่ีจะตั้งตาบลข้ึนใหม่ และในสมยั ก่อนแผ่นดินนี้เป็นที่ ของหลวงมาเป็นรอ้ ย ๆ ปี จนต่อมาพระมหากษัตริย์ได้มอบให้สานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม

๑๘๐ โดยได้จัดแบ่งสรรแบ่งส่วนให้กับเกษตรกรเพื่อใช้ทานาในสมัยนั้น ตาบลบ้านหลวงจึงอาจมีท่ีมาจากเร่ือง ดังกลา่ วรว่ มด้วย ศำลำขำว หลังจากมีการแยกพื้นที่การปกครองออกจากตาบล มารวิชัย ได้ส่งผลให้ตาบลบ้าน หลวงน้ัน ไม่มีวัดอยู่ในตาบล ชาวบ้านต้องไปวัดที่อยู่แนวตะเข็บรอยต่อของตาบลต่าง ๆ คือ วัดมารวิชัย วัดสุธาโภชน์ และวัดโคกจุฬา เป็นท่ีไปพบปะทาบุญของชาวตาบลบ้านหลวง โดยส่วนมากชาวตาบลจะไป ทาบุญทีว่ ัดมารวิชัย นอกจากวัดแล้ว ตาบลบ้านหลวงมีสถานท่ีศักด์สิ ิทธ์ิอนั เป็นท่ีนับถือของชาวตาบล คือ ศาลาขาว ซง่ึ ตง้ั อยู่ในพน้ื ทีข่ องหมู่ ๑ โดยนายชอบ รักษา ได้ใหข้ ้อมลู วา่ ศาลาขาวมีท่ีมาจากในสมัยอดีตมี การสร้างศาลาไว้เพื่อให้คนท่ีเดินผ่านไปมาได้แวะพักก่อนท่จี ะเดินทางต่อ ต่อมาได้ประดิษฐานพระหลวง พ่อขาวเป็นที่ยึดเหนย่ี วจติ ใจของชาวบา้ น และยังได้ใช้ศาลาขาวเป็นท่ีประชุมหมู่บา้ น โดยจะมีการทาบุญ ทอดผ้าปา่ ในทกุ ๆ ปี เพ่อื เป็นการปรบั ปรงุ ซ่อมแซมศาลาขาว มาจนถึงปัจจุบัน ภาพประกอบ ๖๒ ศาลาขาวในอดีต ท่มี า : นายชอบ รกั ษา เกษตรกร, ประธานสวัสดิการชุมชน

๑๘๑ ภาพประกอบ ๖๓ การประชุมชาวบา้ นภายในศาลาขาวในอดีต ทีม่ า : นายชอบ รกั ษา เกษตรกร, ประธานสวสั ดิการชุมชน คลองอ้ำยม้ำ นายประกิต พลายแก้ว ปราชญ์ชาวบ้าน ได้ให้ข้อมูลว่า คลองอ้ายม้า ซ่งึ เปน็ แหล่ง น้าในบริเวณหมู่ ๓ นั้น มีที่มาจากเรื่องเล่าในสมัยก่อน กล่าวถึงคนขายควายที่จูงควายมาจากเมือง กาญจนบุรี เม่ือผ่านมาทางบ้านหลวงจึงแวะพักที่โคกจฬุ าก่อนเดินทางต่อ ซ่ึงทางที่เดินต่อจากโคกจุฬามี ลักษณะเปน็ ท้องรอ่ ง จนเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ เข้า ได้กลายเป็นรอ่ งขนาดใหญ่ เมือ่ ฝนตกและเข้าหน้าน้า ร่องน้ันจึงกลายเป็นคลอง คนขายควายทเ่ี ดินทางผ่านนนั้ จะขี่มา้ เพ่ือไล่ฝงู ควาย คนในสมัยน้นั เรียกกันว่า อ้ายมา (ภาษาอีสาน) เส้นทางร่องน้าที่กลายเป็นคลองจึงเรียกเพ้ียนต่อมาว่า คลองอ้ายม้า มาจนถึง ปัจจุบัน คลองลำว นายชอบ รักษา ได้ให้ข้อมูลว่า คลองลาวในหมู่ที่ ๑ น้ัน มีตานานคลา้ ยคลึงกับเร่ือง ของคลองอ้ายมา้ เป็นอย่างมาก ในเรือ่ งราวท่ีในสมัยก่อน คนขายควายจูงควายมาขาย ผ่านบา้ นหลวงและ แวะพักที่โคกจุฬา (หมู่ ๖ ในปัจจุบัน) ก่อนเดินทางต่อไป ซึ่งทางท่ีเดินต่อจากโคกจุฬามีลักษณะเป็น ทอ้ งรอ่ ง จนนาน ๆ เข้ากลายเปน็ ร่องขนาดใหญ่ เมื่อฝนตกถงึ หน้านา้ จงึ กลายเปน็ คลอง คนในสมัยน้ันจึง เรยี กคลองลาว เนอ่ื งจากคนขายควายส่วนใหญ่จะเป็นชาวอีสาน มาจนถึงปัจจบุ ัน ๑๕.๓ วิถีชวี ิตและควำมสัมพนั ธ์ทำงสังคม แม้ในปจั จุบัน ชาวตาบลบา้ นหลวงจะประกอบอาชีพอย่างหลากหลาย เช่น ข้าราชการครู อาชีพ เล้ยี งกบ เพาะพันธุ์กบ ทาแตรวง ทางานโรงงาน ฯลฯ แตอ่ ย่างไรกต็ าม วิถีชีวิตทั่วไปในอดีตของชาวตาบล

๑๘๒ บ้านหลวง ก็มีความผูกพันกับการเกษตรคือการทานาเป็นหลัก และมีบรรยากาศที่น่าจดจา ดังที่นาย ประกิต พลายแก้ว ได้ให้ข้อมูลว่า การทานาในสมัยก่อน ชาวบ้านต่างมีความ เอ้ืออาทร ช่วยเหลือเกื้อกูล กัน หลังจากข้าวออกรวงและถึงฤดูการเก็บเกี่ยว ก็จะมีการรวมตวั กันลงแขกเกี่ยวข้าว จากนั้นจึงนวดขา้ ว โดยใช้ควายเดินย่า กระบวนการทั้งหมดนี้สาเร็จลงได้โดยที่ไม่มีใครคิดค่าจ้างเป็นเงินตรา หากแต่ใช้ แรงงานมาช่วยกัน ซึง่ รวมไปถึงเวลาจัดงานประเพณีต่าง ๆ ส่วนการเดินทางนั้น เมื่อก่อนนั้นการเดินทางต้องใช้เรือพาย รถโดยสาร การเดินเท้า ถ้าจะ เดินทางไปหาผู้นาชุมชน ต้องเดินทางท้ังวันเนื่องจากอยู่ไกล เพราะส่วนมากผู้นาชุมชนจะอยู่ในส่วนของ ตาบลมารวิชัย ส่วนในสมัยปัจจุบันท่ีมีการเปล่ียนแปลงเข้ามา มีถนนใช้อย่างม่ันคง การเดินทางจึง สะดวกสบายมากขึ้น คนในตาบลจงึ นิยมเดินทางดว้ ยรถยนต์ เช่น รถโดยสารประจาทาง รถจักรยานยนต์ รับจ้าง รถยนต์ส่วนตัว รถจักรยานยนต์ส่วนตัว จักรยาน ซ่ึงถือเป็นวิถีชีวิตท่ีเปลี่ยนแปลงตามการพัฒนา ของปัจจุบนั ดำ้ นเศรษฐกิจ ตาบลบ้านหลวง เป็นตาบลเล็ก ๆ ท่ีอย่รู ะหว่างตาบลใหญ่อนื่ ๆ ภายในตาบลจึง ไม่มีศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่เด่นชัด แต่ในบริเวณใกล้ๆน้ัน มีศูนย์กลางการค้าและเป็นที่จับจ่ายใช้สอย หลักของชาวตาบลบา้ นหลวงมาต้ังแต่อดีต คอื ตลาดบ้านแพน ซึ่งเป็นท่ีซ้ือหากับข้าว อุปกรณก์ ารเกษตร เครอ่ื งมอื ประกอบอาชีพตา่ ง ๆ ในปัจจบุ นั ชาวตาบลมที างเลือกในการแสวงหาสินค้ามากขึ้น เพราะมีตลาดเพมิ่ ข้นึ อกี หลายแห่ง เช่นตลาดนัดหนา้ โรงงานรองเท้าแพน ตลาดประชารัฐ ร้านค้าชุมชนในหมู่บ้าน รวมทั้งยังมีการเดินทางไป โลตัสเสนา และศูนย์การค้าท่ีอยู่ไกลออกไปอย่าง เช่น โลตัสสุพรรณบุรี อีกด้วย ส่วนในตัวเมืองอยุธยา เป็นที่ซอ้ื หาสนิ ค้าบางอย่างท่ีตลาดบ้านแพนไมม่ ี ดำ้ นกำรศกึ ษำ การศกึ ษาของชาวตาบลบ้านหลวงในอดีตน้นั จะมศี นู ยก์ ลางอยู่ท่วี ัดเปน็ หลกั ใน สมัยก่อนจะเป็นสถานที่หลักของคนในชุมชนในการเป็นแหล่งปฏิสัมพันธ์กันเน่ืองในประเพณีทางศาสนา เปน็ ที่ประชมุ สาคัญในหม่บู ้าน และยังเป็นท่ีอบรมให้การศึกษากับเดก็ ในพ้ืนท่ี โดยในอดีตคนรุ่นปู่-ย่า ของ ชาวตาบลบา้ นหลวงนั้น มกั จะเรยี นหนงั สือชัน้ ประถมศึกษาตามวัดต่าง ๆ ในลักษณะการนั่งเรยี นในศาลา เช่น ศาลาวัดมารวิชัย ศาลาวัดสุธาโภชน์ และมักเรียนจนถึงชั้นมัธยม แต่ไม่ได้เข้าเรียนต่อใน ระดับอุดมศึกษา ส่วนคนในรุ่นพ่อ-แม่น้ัน จะเรียนชั้นประถมศึกษาตามศาลาวัดข้างต้นเช่นกัน แต่ในช้ัน มัธยมศึกษา จะได้ขยับขยายไปเรียนที่สถานศึกษาอ่ืน ๆ ที่เกิดข้ึนในสมัยต่อมา เช่น โรงเรียนสาคลี โรงเรียนเสนา“เสนาประสิทธ์ิ” ที่อยใู่ นอาเภอเสนาเช่นกัน สว่ นชนั้ อุดมศึกษา มักไม่คอ่ ยไดศ้ ึกษาต่อ หาก จะมีเป็นส่วนน้อย ก็จะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนฝึกหัดครูพระนครศรีอยุธยา ท่ีได้รับการยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนครศรอี ยธุ ยาในภายหลงั ส่วนการศึกษาเล่าเรียนของชาวตาบลบ้านหลวงในปัจจุบันนั้น เด็กนักเรียนในชั้นประถมศึกษา มักเรยี นท่ีโรงเรยี นจรสั วิทยาคาร โรงเรียนจุฬาราษฎว์ ิทยา และโรงเรยี นวัดมารวิชยั ส่วนในชั้นมัธยมศกึ ษา จะเข้าเรียนในโรงเรียนสาคลี โรงเรียนเสนาประสิทธ์ิ “เสนาประสิทธ์ิ” รวมทั้งโรงเรียนประจาจังหวัด

๑๘๓ พระนครศรีอยุธยาอ่ืน ๆ เช่น โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย โรงเรียน จอมสุรางศ์อุปถัมภ์ เป็นต้น ระดับอุดมศึกษา นักเรียนจะเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ ในจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา เปน็ ต้น ๑๕.๔ ภูมิปัญญำทอ้ งถ่นิ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตาบลบ้านหลวงลักษณะที่โดดเด่นทางดนตรี เช่น การเลน่ เพลงเรือ เพลง เกยี่ วข้าว แตรวง ฯลฯ โดยผู้นาการเล่นเพลงเรอื คือ ดร.สวาท พลายแก้ว (ปัจจุบันถงึ แก่กรรมแล้ว) และมี ปา้ ถวิล (น้องสาว ดร.สวาท พลายแก้ว) เป็นผู้สืบทอด โดยนามาร้องเล่นตามงาน วาระต่าง ๆ และยังพอผู้ ทส่ี นใจสืบทอดโดยนามาใชส้ อนในสถานศกึ ษาตามโอกาส นอกจากการเล่นเพลงเรือแลว้ ในตาบลบ้านหลวงยงั มกี ารเล่นแตรวง ซึ่งมเี ยอะมากในตาบลและ มีการสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีผู้สืบทอดคนสาคัญคือนางทองสุข อินสงค์ หรือป้าจุก ปราชญ์ชาวบ้าน ดา้ นแตรวง กลองยาว ซง่ึ ปา้ จุกเป็นบตุ รของพ่อบาง จินดาวงษ์ ผเู้ ริม่ ทาแตรวงเป็นวงแรกและมีความพิเศษ คอื เป็นแตรวงท่ีเลน่ ด้วยผู้หญิงเกือบทั้งหมด จึงทาให้แตรวง ส.จินดาวงษ์ มชี ื่อเสียงเป็นที่รู้จกั โดยลักษณะ ของแตรวงสมัยด้ังเดิมใช้การต่อเพลงด้วยปากเปล่า แต่ปัจจุบันใชโ้ น้ตแทน และมีการนาเคร่ืองเล่นไฟฟ้า มาร่วมด้วย จงึ ทาให้แตรวงมมี าตรฐานมากขึ้น ๑๕.๕ ประเพณที อ้ งถ่ิน ประเพณีต่าง ๆในตาบลบ้านหลวง ไม่มีลักษณะจาเพาะอันเป็นประเพณีทอ้ งถิ่นนัก โดยมากจะ อ้างอิงกับประเพณีหลกั ในสังคมไทย เช่นเดือนเมษายน ซึ่งมีประเพณีตรุษ/สงกรานต์ จะมีการสรงนา้ พระ และสรงน้าขอพรผู้ใหญ่ในชุมชนเป็นประจาในทุก ๆปี เดือนกรกฎาคมมีพิธีแห่เทียนจาพรรษา เดือน สงิ หาคมมีประเพณีเข้าพรรษา เดือนกันยายน มีประเพณีทอดผ้าป่า และเดอื นพฤศจิกายนมีประเพณีลอย กระทง และมีประเพณีในท้องถนิ่ ท่ีทาสืบตอ่ กันมา คือการทาบุญศาลาขาว จากการที่ตาบลบ้านหลวงไม่ มวี ัดในชุมชน ศาลาขาวจึงเปน็ ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชน จึงมีการทาบุญท่ีศาลาขาวเพื่อความเป็น สริ ิมงคล

๑๘๔ ภาพประกอบ ๕๖ การทาบุญภายในศาลาขาวในอดตี ทม่ี า : นายชอบ รักษา เกษตรกร, ประธานสวัสดิการชุมชน ๑๖.ตำบลมำรวิชัย ตาบลมารวิชยั เปน็ ตาบลหลักขนาดใหญ่ ทางตอนใต้ของอาเภอเสนา ตาบลมารวชิ ยั เป็นตาบลที่ ค่อนข้างมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ มีคลองไหลผ่านหลายสาย มีคลองสายสาคัญ คือ คลองอู่ ตะเภา ซ่ึงเป็นคลองสายหลกั ที่ใช้ในการคมนาคมไปยังตาบลใกล้เคียงและสถานท่ีต่าง ๆ นอกจากนี้ตาบล มารวิชัยยังมีวัดเจ้าแปดทรงไตรย์ เป็นสถานที่ศกั ดิ์สิทธิป์ ระจาตาบล ซงึ่ เป็นที่ยึดเหน่ียวจิตใจและสถานท่ี สาคญั ในการจัดประเพณี พิธีกรรมท้องถน่ิ ๑๖.๑ อำณำเขต และภมู ิประเทศ ตาบลมารวิชัย เปน็ ตาบลท่ตี ง้ั อยูท่ างตอนใตข้ องอาเภอเสนา ดา้ นทศิ เหนือมีพื้นทต่ี ดิ ต่อกบั ตาบล เจ้าเจ็ด และตาบลบ้านหลวง ทางด้านทิศตะวันออกมีอาณาเขตติดต่อกบั ตาบลบา้ นหลวง และตาบลสาม ตุ่ม ดา้ นทิศใต้ตดิ ต่อกบั อาเภอลาดบวั หลวง และทางดา้ นทิศตะวันตกมพี ื้นทต่ี ดิ ต่อกบั ตาบลชายนา ทศิ เหนือ มพี น้ื ทตี่ ดิ ตอ่ กบั ตาบลเจ้าเจ็ด และตาบลบ้านหลวง ทศิ ใต้ มีพน้ื ท่ีตดิ ต่อกบั ตาบลคูส้ ลอด อาเภอลาดบวั หลวง ทศิ ตะวันออก มพี นื้ ทตี่ ิดตอ่ กบั ตาบลบา้ นหลวง ตาบลสามตุ่ม อาเภอเสนา ทิศตะวนั ตก มีพน้ื ที่ตดิ ต่อกบั ตาบลชายนา อาเภอเสนา

๑๘๕ แผนท่ี ๓๓ แผนท่แี สดงอาณาเขตตาบลมารวชิ ัย ทีม่ า: สถาบนั อยธุ ยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑

๑๘๖ แผนที่ ๓๔ สภาพทางภมู ศิ าสตรต์ าบลมารวิชยั ทีม่ า: สถาบนั อยธุ ยาศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑ ภูมิประเทศ พื้นท่ีส่วนใหญ่ของบริเวณตาบลมารวิชัย มีลักษณะเป็นทุ่งนากว้างอยู่ทางตอนใต้ ของอาเภอเสนา ซ่ึงมีพื้นท่ีติดกับอาเภอลาดบัวหลวง แต่ละหมู่บ้านการปกครองของตาบลมารวิชัยน้ันมี คลองไหลผา่ น ท้ังที่เกิดตามธรรมชาตแิ ละการขดุ ขนึ้ เพ่อื ใช้ประโยชน์ โดยหมู่ที่ ๒ มคี ลองเจา้ แปด หมู่ท่ี ๓ มีคลองดอนลาน ซง่ึ นายเฉลิม สภุ าพเกตุ ซง่ึ เปน็ ผูท้ าหน้าที่รังวัดเขตก่อนการขุดคลอง คลองนี้เปน็ คลองที่ ตอ่ มาจากคลองอู่ตะเภา คลองอู่ตะเภา เป็นคลองสาคญั ของตาบลมารวชิ ัยท่ีในการสัญจรไปมา เป็นเสน้ ทางคมนาคมและ การคา้ ขาย ทั้งยังใช้ในการอุปโภคบริโภค ลาคลองน้ียงั มีลารางแยกไปบา้ นดอนลาน บ้านคลองตาดดว้ งซ่ึง เป็นทางลัดไปยังวัดอู่ตะเภา ส่วนในหมู่ท่ี ๕ มีคลองช่ือว่า คลองชมศาล ท่ีเกิดข้ึนมานานแล้ว ท่ีชาวบ้าน

๑๘๗ สันนิษฐานว่าคงจะเคยมีศาลเจ้าอยู่ในบริเวณนี้จึงเรียกช่ือว่าคลองชมศาล และคลองเงินผัน ท่ีเกิดจาก รัฐบาลจา้ งคนมาขุด มลี ารางตายอด ยายเจยี น ลารางปิน่ แก้วเป็นตน้ ในตาบลมารวิชัยน้ี มีเพียงหมู่ที่ ๑ เท่าน้ัน ที่ไม่มีลาคลองมีเพียงแต่ลารางสายเล็ก ๆ เท่าน้ัน อย่างไรกต็ าม ในสมัยก่อน บริเวณดังกล่าวจะมีบอ่ น้าของชุมชน ตง้ั อยู่บริเวณท่ีนาของกานันตรุษ กิจกายี (อดีตกานันตาบลมารวิชยั ) เป็นบอ่ น้าที่ชาวบ้านใช้ตกั มากิน มาดม่ื ส่วนใหญ่คนมกั มาหาบน้าไปกิน ไปด่ืม ไปใช้ที่บ้านของตนเอง รวมท้ังใช้อาบ ใช้ซักผ้า เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงวัว เล้ียงควาย ตาบลมารวิชัยจึงนับว่ามี ความอุดมสมบรู ณข์ องแหล่งน้าเปน็ อยา่ งดี ๑๖.๒ ประวตั ศิ ำสตร์ ตำนำน และควำมทรงจำของทอ้ งถิ่น ตาบลมารวชิ ัยมีความเกีย่ วข้องกับการแบ่งเขตการปกครองเปน็ สาคัญ ตามที่กานันตรษุ กิจกายี (อดีตกานันตาบลมารวิชัย) ได้ให้ข้อมูลว่า ในอดีตทีตาบลบางนมโค ตาบลบ้านหลวง และตาบลมารวิชัย รวมกันเป็นตาบลเดียว คือ ตาบลมารวิชัย ประกอบด้วยหมู่บ้าน ๑๐ หมู่บ้าน แต่เนื่องจากตาบลมีพ้ืนท่ี กว้างมาก และมีประชากรจานวนมากตอ่ มาจึงแบ่งแยกการปกครองออกมาเป็นตาบลมารวิชยั เหลอื เพียง ๔ หมู่บ้าน จึงทาให้มีชื่อมารวิชัยอยู่ในตาบลต่าง ๆ ที่แยกออกไป เช่น วัดมารวิชัย ซึ่งมีท่ีตั้งอยู่ในอาเภอ บางนมโคในปจั จุบัน ๑๖.๓ ควำมเชื่อ และส่งิ ยดึ เหนย่ี วทำงจติ ใจ วัดเจ้ำแปด วัดเจ้าแปดตั้งอยู่ทางตอนบนของตาบลมารวิชัย ผู้ใหญ่สาเริง ชานาญศิลป์ ได้ให้ ขอ้ มูลว่า วัดเจา้ แปดหรอื วัดเจา้ แปดทรงไตรย์ มีเคยเป็นทางผา่ นทพั ท่ียกขบวนทพั ผ่านมาทางตาบลเจ้าเจ็ด ตาบลเจา้ เสดจ็ และแวะผา่ นมาในบริเวณนีต้ อนทยี่ งั ไมม่ ีชอ่ื เรยี ก ผนู้ าทัพสมยั นน้ั เห็นวา่ เม่ือได้เดินทัพผา่ น ทางเจ้าเจ็ดแล้ว ต่อมาได้เดินทางถงึ ท่ีแห่งนซ้ี ึ่งยังไม่มชี ่ือเรยี ก จึงได้เรียกวา่ เจ้าแปด หรือบ้านเจ้าแปด มา จนถึงทกุ วันน้ี นายประยุทธ ตรีพืช มัคนายกวัดเจ้าแปดทรงไตรย์ ยังได้ให้ข้อมูลเพ่ิมเติมว่า วัดเจ้าแปดฯ มี หลวงพ่อเพชร เป็นที่เคารพนับถือและสักการะของชาวบ้าน เพราะมีการสร้างวัดเจ้าแปดทรงไตรย์ข้ึนมา ใหม่ แตไ่ มม่ หี ลวงพ่อประจาวัด จงึ นิมนต์หลวงพ่อเพชรจากวดั บา้ นแพนมาประดษิ ฐาน นอกจากนี้ บริเวณด้านฝั่งตรงข้ามวัดเจ้าแปดทรงไตรย์ ยงั มศี าลเจ้าพ่อใหญ่ ส่ิงศกั ดิ์สทิ ธอ์ิ ันเป็น ทเี่ คารพนับถือ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน ส่ิงที่ชาวบ้าน มักไปขอพรแล้วประสบความสาเร็จ คือ ขอใหฝ้ นตกตามฤดูกาล ทาให้ทกุ ๆ ปีนาข้าวไม่ขาดน้า และมักมีผู้คนไปขอพรเร่อื งไมก่ ารเกณฑท์ หาร สว่ นใหญ่เม่อื ขอพรแล้วตอ้ งกลบั มาแก้บน เพราะพรทีข่ อไปน้ันมกั สมความปรารถนา เรื่องราวการปรากฏนามเจ้าแปดดังกล่าวถือเป็นตานานท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงการสอดคล้อง กับชื่อบ้านนามเมืองของตาบลเจ้าเจ็ด และตาบลเจ้าเสด็จ ซึ่งต้ังอยู่บริเวณตอนเหนือของตาบลมารวิชัย อยา่ งใกลช้ ดิ โดยทไ่ี มอ่ ิงการปกครองแบบแบง่ เขตดงั ในปัจจบุ นั

๑๘๘ ตานานและความทรงจาของท้องถ่ินอื่น ๆ ภายในตาบลมารวิชัย เช่น ความเป็นมาของวัดอู่ ตะเภาในหมู่ที่ ๔ ดังท่ีนายประยุทธ ตรีพืช มัคนายกวัดเจ้าแปดทรงไตรย์ เล่าว่า สมัยก่อนทว่ี ัดอู่ตะเภา มี ช้นิ สว่ นของเรอื สาเภาโผล่ขึน้ มา โดยมีโครงเรอื ส่วนที่เป็นกระดูกงูโผลพ่ ้นน้า จงึ เรยี กชื่อ ตามซากโครงเรือ สาเภาทีพ่ บว่า “วัดอู่ตะเภา” ต่อมาในยุคปัจจุบัน ทา่ นเจ้าอาวาสวดั อู่ตะเภา มคี วามเห็นว่าชื่ออู่ตะเภาน้ัน ฟงั ดไู ม่ไพเราะ จงึ ขอให้เปลี่ยนชือ่ เสยี ใหมใ่ ห้คล้องจองกับโครงเรอื ที่พบครัง้ แรก เรียกวา่ “วดั อู่สาเภา” นอกจากน้ีบ้านตลาดป่ินแก้ว ในตาบลมารวิชัย ยังมีเร่ืองเล่าความทรงจาอ่ืน ๆ โดยกานัน ประเสริฐ ตรีสินธ์ุ อดตี กานันตาบลมารวิชัย หมู่ท่ี ๕ ได้เลา่ วา่ เดมิ ทพี น้ื ทีแ่ ห่งนเ้ี รยี กว่า บ้านงัวนอน เพราะ เคยเป็นที่พักของพ่อค้า (ขี่ม้าคุมขบวน) ท่ีนาวัวมาขาย ครั้งหน่ึงๆพ่อค้าเดินทางมาพร้อมวัว ประมาณ ๒๐๐ ตัวเพ่ือเร่ขายให้กับชาวบ้านที่สนใจอยากจะซอ้ื ไว้ เมือ่ เดนิ ทางไปเร่อื ย ๆ ถงึ ตรงหมู่บา้ นนี้ กเ็ ป็นเวลา มืดพอดี พ่อค้าจึงหยุดพกั คา้ งคืนท่ีนี่เป็นประจา เม่ือถึงเช้าก็ออกเดินทางต่อไป ประชาชนจึงเรียกบริเวณน้ี ว่า “บ้านงัวนอน” ต่อมาได้ตั้งชอ่ื ใหม่ว่า “บ้านตลาดปิ่นแก้ว” ซึ่งเป็นการเรียกหมู่บ้านตามช่ือของตลาด ขนาดใหญ่ทอี่ ยใู่ กล้หมู่บ้านและใช้เรียกมาจนถึงปัจจุบนั ๑๖.๔ วถิ ชี ีวิต และควำมสัมพันธท์ ำงสงั คม ดำ้ นอำชีพ พื้นท่ีตาบลมารวิชัยมีลักษณะเป็นท่ีราบกว้าง มีลาคลองธรรมชาติและคลองขุดคอย หลอ่ เล้ียง วิถชี วี ิตของชาวบา้ นในอดีตจึงอิงอยู่กบั การทานา โดยผู้ใหญ่นายสาเรงิ ชานาญศิลป์ ไดถ้ า่ ยทอด ว่า การทานาปีมีการทาสืบทอดกันมาเปน็ เวลานานทานาปีละ ๑ คร้ัง ชาวบ้านจะมีพิธีกรรมที่ทากนั ต้ังแต่ บรรพบุรุษสืบต่อกันมาคือ เม่ือข้าวเร่ิมต้ังท้อง จะมีพิธีรับขวัญข้าว โดยจะให้ผู้หญิงเป็นคนทาพิธี จะหา ขนมต้มแดง ตม้ ขาว ของเปร้ยี ว หวี แปง้ นา้ หอม ใสเ่ ฉวียง และชะลอม นามาบชู า พระแม่โพสพในทอ้ งทุ่ง นา จากนน้ั จะมีการทาพิธเี ชญิ แมโ่ พสพเขา้ บ้าน หลงั จากข้าวออกรวงและพร้อมท่ีจะเกบ็ เกย่ี ว ก็มกี ารลงแขกเก่ียวขา้ ว เมื่อถึงนาใครทถ่ี งึ เวลาเก็บ เก่ยี วกจ็ ะบอกเพ่ือนบา้ นมาช่วยกัน เม่ือเกีย่ วขา้ วเสรจ็ แลว้ จะนาฟอ่ นขา้ วนั้นตากแห้งไวท้ นี่ าก่อน ก่อนท่ีจะนาข้าวมาไว้ท่บี ้าน จะมีการเตรยี มลานเก็บข้าว โดยใช้วัว ควาย หลายๆตัวเดินย่าลาน ให้แน่นและเรียบก่อน จากน้ันจะนามูลวัวหรือมูลควาย มาผสมน้าแล้วใช้มือทามูลวัวมูลควายกับพื้นลาน ดนิ ที่เตรยี มไว้ จากนน้ั รอให้แห้ง จึงจะสามารถใช้ลานขา้ วได้ เมื่อนาข้าวมาไว้ที่บ้าน จะมีพิธีกรรมท่ีทาสืบทอดกันมา คือการทาขวัญลานข้าว เพื่อเป็นการ รับขวัญข้าว มีความเช่ือกันมาว่าข้าวที่อยู่กับต้นเวลาเอาเคียวไปตัดเขามา ข้าวจะตกใจ จึงต้องมีการ รบั ขวัญและเรียกขวัญกลับมา ผทู้ าพธิ ีกจ็ ะเตรยี มขนมต้มแดง ต้มขาว ขนมลูกโยน ขนมปลากริม มาทาพิธี และพูดส่ิงท่ีเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว และขอให้ทามาค้าข้ึน เม่ือทาพิธีเสร็จจึงจะนาข้าวมา นวดได้ การนวดข้าวสมยั ก่อน จะนิยมใช้ควายนวดข้าว โดยวธิ ีนาฟ่อนข้าวมาวางเรียงไว้ในลาน ใช้ควาย เดนิ ยา่ จนขา้ วหลุดออกจากรวง จากนนั้ จะใช้คนั ฉาย ซ่ึงเป็นด้ามไม้ยาวประมาณ ๑-๒ เมตร ไวส้ งฟางข้าว

๑๘๙ ออก เมอื่ สงฟางขา้ วออกหมดแล้วจะนาข้าวมาใสส่ ฝี ัด เพ่ือนาข้าวท่ลี บี ออก เหลือแต่ข้าวเปลอื กท่ีเปน็ เม็ดๆ บอ่ ยคร้ังในระหว่างนวดข้าว หรอื เกีย่ วข้าวจะมกี ารรอ้ งราเพลงเก่ยี วข้าว เพอื่ เปน็ การคลายเหนอื่ ยด้วย ข้าวเปลอื กที่เป็นเม็ดๆ แล้วจะนามาเก็บไว้ใตถ้ ุนบ้าน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกบ้านใต้ถุนสูง บางบ้านจะทายุ้งฉางไว้ใส่ข้าว บางบ้านฐานะไม่ดีก็จะสานเสวียนซึ่งทาจากไม้ไผ่มาสานขัดไปขัดมา เป็น แผงสี่เหล่ียมขนาดใหญ่ แล้วมาม้วนเป็นวงกลม แล้วนาข้าวเปลือกมาใส่ไว้ข้างใน เพ่ือกันสัตว์ไม่ให้มากิน ข้าวเปลือก บ้างเก็บข้าวเปลือกไว้ขาย เวลาจะนาข้าวเปลือกมากินจะเอาข้าวเปลือกไปตาให้เปลือก กะเทาะ แล้วนามาฝดั เอาเปลือกออกให้เหลือแตเ่ มลด็ สีขาว และนามาหุงกนิ บางส่วนเก็บเมล็ดข้าวเปลอื ก ไวท้ าเมลด็ พันธ์ุต่อไป เม่ือการเก็บเก่ียวเสร็จส้ินในช่วงหลังน้าลดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นชาวบ้านก็จะ ว่างงานและหันไปทากิจกรรมอื่น ๆ โดยคนส่วนใหญ่จะออกหาปลา เด็ดผักบุ้ง ช้อนกุ้ง เพ่ือไว้บริโภค ทา ปลาร้า ทากะปิ ชาวบ้านบางคนท่ีมีเวลาก็ปลูกผักสวนครัวในบ้าน ดูแลรดน้าผัก ทานา ใส่ปุ๋ย เลี้ยงลูก เลยี้ งหลาน เปน็ ต้น การเดินทาง ผู้ใหข้ ้อมูลของตาบลมารวิชัยไดเ้ ลา่ วา่ สมัยก่อนการเดนิ ทางจะใช้วิธีเดนิ ทางด้วยเท้า เปล่า โดยที่ยังไม่มีรองเท้าใส่ต่อมาเมื่อมี ลาคลอง เรียกว่าคลองเจ้าแปด คลองนี้จะเช่ือมโยงมาติดต่อกับ คลองเจ้าเจ็ดบางย่หี น และทะลุออกไปคลองบัวหวั่น อาเภอลาดบัวหลวง ก็จะหันมาใชเ้ รือในการเดินทาง ซึง่ เรือจะมีเรือพายเป็นส่วนมาก ส่วนใครจะเดินทางไปตลาดบ้านแพนบ้าง ก็จะใช้วธิ ีการเดินทางโดยการ เดินเทา้ ไปยงั ตลาดบา้ นแพน บา้ งกน็ ่ังเรือแท็กซ่ีไป โดยเรือจะวิง่ วันละ ๒ รอบ ได้แก่ รอบเช้าและรอบเย็น ผทู้ ่ีต้องการน่ังเรือแท็กซี่ กต็ ้องเดินเท้าไปข้ึนเรือทีบ่ ้านคลองขดุ ตาบลชายนา สว่ นใครจะไปกรุงเทพฯหรือ ไปอยธุ ยา กต็ ้องไปข้ึนเรือทตี่ ลาดบ้านแพน และน่งั เรือเขยี ว หรือเรอื บริษทั เพื่อเดินทางตอ่ ไป ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาด้านการคมนาคมแล้ว ก็จะเดินทางโดยรถยนต์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ โดยใช้พาหนะตามแต่ความสะดวกของบคุ คล ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคล นายเฉลิม สุภาเกตุ หรือลุงเหลิม บ้านดอนลาน ได้ถ่ายทอด เร่อื งราวความสัมพันธ์ของชาวตาบลมารวิชยั ในอดีตวา่ มีความเอ้ืออาทร ช่วยเหลอื เกื้อกูลกัน โดยสังเกต จากเม่ือมีการลงแขกเกี่ยวข้าวในฤดูเก็บเก่ียว มีการแบ่งปันกันเรื่องอาหารการกิน ประชาชนมี ความสัมพันธ์อนั ดีต่อกัน ช่วยเหลือและแบ่งปัน มีหลักการเคารพผอู้ าวโุ สกวา่ และเชอื่ ฟังพอ่ แมเ่ ป็นสาคญั นอกจากน้ี ยังมีเรื่องเล่าเก่ียวกับวธิ ีการตดิ ต่อสมั พันธก์ ันระหวา่ งคนต่างหมูบ่ ้าน ในอดีตทยี่ ังไม่มี เทคโนโลยีเข้ามา การติดต่อไปมาไมส่ ะดวกอย่างปจั จุบนั ชาวบ้านจึงใช้สญั ลักษณ์ในการสื่อสารเป็นกระจก สอ่ งแสงหากนั เช่น พออกี ฝัง่ เห็นแสงส่องมา บ่งบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ที่บ้านอู่ตะเภาอยากคุยด้วย ตนเอง อยูบ่ า้ นดอนลานก็เลยส่องกระจกสะท้อนแสงกลับไปในทิศทางบา้ นอูต่ ะเภาเพ่ือเป็นการโตต้ อบกัน จากน้ัน ค่อยเดินทางไปหากันคุยธุระต่าง ๆ นับว่าเป็นวิธีท่ีน่าสนใจในเร่ืองของการติดต่อกันของคนในอดีตท่ีไม่ ปรากฏใหเ้ หน็ แล้วในปจั จุบัน

๑๙๐ ดำ้ นเศรษฐกิจ ในอดีต ศูนย์กลางการค้าขายของชาวตาบลมารวชิ ยั ไม่ปรากฏเดน่ ชดั แต่ยงั พอมี แหล่งซ้ือหาซ่ึงเอ้ือต่อผู้ท่ีอยู่อาศัยโดยรอบได้มาจับจ่ายใช้สอย เช่น ตลาดปิ่นแก้ว ท่ีตั้งอยู่ในหมู่ท่ี ๕ ซ่ึง ชาวบา้ นจะไปหาซอื้ ของกินของใชท้ ี่ตลาดแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมี ตลาดคลองขุด ที่ต้ังอยู่ต่างตาบล คือ ตาบลชายนา และหากตลาดเหล่านี้ไม่มี สนิ ค้าที่ตอ้ งการ ชาวบ้านก็จะเดินเท้าไปซ้อื ทีต่ ลาดบา้ นแพน หรืออกี วิธีหน่ึงคือเดนิ ทางโดยนัง่ เรือแท็กซไี่ ป ซ้ือของที่ตลาดบ้านแพน (ต้องเดินเท้าไปขึ้นเรือท่ีบ้านคลองขุด ตาบลชายนา) ซ่ึงการเดินทางแต่ละ ประเภทกแ็ ตกตา่ งกันออกไปตามระยะทางหม่บู ้านกับแหลง่ การคา้ ในปัจจุบันพบว่า หมู่บ้านต่าง ๆ ภายในตาบลมารวิชัย ได้มีการต้ังร้านค้าของชาในหมู่บ้านมาก ข้ึน อย่างไรก็ตาม ถ้าของใช้แถวร้านค้าใกล้บ้านไม่มี ชาวบ้านก็จะเดินทางไปซื้อหาสินค้า โดยวิธีข่ีรถจัก ยานยนต์ หรือรถยนต์ไปซ้ือท่ีตลาดบ้านป่ินแก้วบ้าง หรือที่ตลาดบ้านแพนบ้าง แลว้ แต่ความสะดวก ส่วน ตลาดเจ้าพรหม หวั รอ ในตัวเมืองอยุธยา ก็เป็นอีกแหล่งการคา้ สาคัญที่ชาวตาบลมารวิชัยไดเ้ ดินทางไปซื้อ หาสนิ ค้า หากของทต่ี อ้ งการนัน้ ไม่มีในท้องถิ่น ด้ำนกำรศึกษำ พบว่าในสมัยก่อน คนรุ่นปยู่ ่าตายายมักจะไปเรียนโรงเรียนวัด ซ่ึงเปดิ การศึกษา หลักๆอยู่สองท่ีคือวัดเจ้าแปด (วัดเจา้ แปดทรงไตรย์) และวัดอ่ตู ะเภา โดยใชว้ ิธีเดินลัดทุ่งไปเรียนเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะจบแค่ชน้ั ป.๔ ซง่ึ เป็นชนั้ สงู สดุ ในสมัยน้ัน เมอ่ื การศึกษาจะมีการขยายจนถึงชั้น มศ.๓ จากนั้น ผ้เู รยี นจะเดนิ ทางไปเรียนทโี่ รงเรยี นเสนาประสทิ ธ์ิ เพ่อื ศึกษาใหจ้ บชัน้ มธั ยมศึกษาตอนปลายตอ่ ไป ในปัจจุบันน้ัน ชาวบ้านตาบลมารวิชัยนั้นมักส่งบุตรหลานเข้าเรียนชั้นประถมศึกษามักศึกษาท่ี โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนขยายโอกาสในตาบลและโรงเรียนเอกชนอื่น ๆ เช่น โรงเรียนราษฎร์บารุงศิลป์ โรงเรียนจีน โรงเรยี นประสาทศลิ ป์ หรอื โรงเรียนเซนตจ์ อห์น ปบั ติสต์ ส่วนการศึกษาช้นั มัธยม นักเรียนจะ เข้าศึกษาต่อท่ีโรงเรียนเสนาประสิทธิ์ โรงเรียนผดุงวิทยา โรงเรียนเซนจอห์น ปับติส ในเขตอาเภอเสนา และเข้าเรียนในช้ันอุดมศึกษาท่ีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาหรือมหาวิทยาลัยอ่ืน ๆ ใน กรุงเทพมหานคร ๑๖.๕ ภูมปิ ญั ญำท้องถิ่น ภมู ิปัญญาท้องถิ่นในตาบลมารวชิ ัยมีลักษณะค่อนข้างหลากหลาย เช่น ภูมิปัญญาด้านกลองยาว ซึ่งปัจจุบันไม่มีผู้สืบทอด แต่ยังมีชาวบ้านหมู่ ๓ ตาบลมารวิชัยยังคงสืบทอดภูมิปัญญาด้านกลองยาวอยู่ เช่น บา้ นลงุ เฉลมิ สุภาเกตุ ภูมปิ ัญญาด้านเพลงเรอื เพลงอีแซว ในอดตี นายหลา่ นางพลอย กิจโชคดี (เสยี ชีวิตไปแล้ว) เป็น ผทู้ ่มี ีภมู ิปญั ญาดา้ นรอ้ งเพลงเรือ เพลงฉอ่ ย เพลงอแี ซว เพลงเกีย่ วขา้ ว ปจั จุบนั ไม่มีผสู้ บื ทอด ภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนโบราณท่ีในสมัยก่อนไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีสุขศาลา เม่ือคนจะ คลอดลูกก็จะไปตามหมอตาแยมาชว่ ยในการคลอด กรณีถ้าชาวบา้ นเจ็บป่วยหนัก ต้องเดินทางไปรักษาที่ สุขศาลา ซ่ึงตั้งอยู่ท่ี ตลาดบ้านแพน อาเภอเสนา อย่างไรก็ตาม ในอดีตหมอแผนโบราณท่ีเป็นหมอด้าน

๑๙๑ ยากวาดเด็กสมุนไพรทเี่ ป็นท่รี ู้จักคอื นายกนุ กอ่ เกิด โดยปัจจุบันมีนางมะลิ ก่อเกดิ เปน็ ผู้สบื ทอดภูมปิ ญั ญา ดา้ นยากวาดเด็กสมนุ ไพรต่อมา ภมู ปิ ัญญาด้านหมอดิน ทมี่ ีชอื่ เสยี งคอื นายสมพศิ เกตุการณ์ เป็นผู้สืบทอด (ปัจจบุ ันยังมีชวี ติ อย่)ู นอกจากนี้ ยังมีภมู ิปญั ญาทน่ี ่าสนใจเพิ่มเติม ดังทนี่ ายนายเฉลิม สุภาเกตุ ได้ให้ข้อมูลไว้วา่ มีภูมิ ปัญญาวิธีการเก็บรักษาเอกสารให้ได้นาน ๆแบบด้ังเดิม โดยนิยมนาเอกสารใส่กระบอกไม้ไผ่แห้ง ๆ และ สอดใส่เอกสารไว้ในนั้น ๑๖.๖ ประเพณที อ้ งถ่ิน ประเพณีท้องถ่ินตาบลมารวิชัย มีประเพณีตามแบบประเพณีไทยเช่น การเล่นตรุษ สงกรานต์ โดยชาวบ้านสว่ นใหญม่ ักรวมตวั ไปเลน่ กนั ตามสถานทอี่ ันเป็นสัญลักษณ์หรือจุดศูนยร์ วมในหมู่บ้านของตน เช่นชาวหมู่๑ หมู่๒ และ หมู่๓ มักไปเล่นกันที่ลานวัดเจ้าแปด (วัดเจ้าแปดทรงไตรย์) นอกจากน้ันก็มี บริเวณหน้า อบต.มารวิชัย และจุดสัญลักษณ์อันเป็นท่ีรู้จักของชาวบ้านในท้องที่ เช่น ท่ีตรงแยกดงตาล บ้านตาพร ยายคล่ี เป็นต้น โดยการเล่นตรุษสงกรานตน์ ้ี มปี ระเพณีดง้ั เดิมท่ีเปน็ การประกาศให้รู้วา่ ท่ีใดจะ มีการจัดเล่น โดยใช้การขึ้นธงเป็นสัญลักษณ์ เพ่ือเป็นการเปิดโอกาสทาให้หนุ่มสาวมาเจอกัน พบรักกัน โดยให้สังเกตว่าเมื่อมีธงแดงข้ึนท่ีใด น่ันหมายความว่ามีการละเล่นตรุษ สงกรานต์ท่ีนั่น และมักนัดหมาย เดินเท้าไปเที่ยวกัน การละเล่นท่ีมีในงานส่วนมากเป็นการละเล่นพ้ืนบ้าน เช่น การเล่นรีรีข้าวสาร มอญ ซ่อนผา้ อเี่ ตย้ (การเล่นโดยใชเ้ สียงอี่ ถา้ หมดอดึ ใจ แล้วกลับมาแดนตนเองไม่ทัน ก็จะกลายเปน็ ลกู นอ้ งของ ฝา่ ยตรงข้าม) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีประเพณีอันเน่ืองมาจากวิถีเกษตรกรรม ดังท่ีผู้ใหญ่สาเริง ชานาญศิลป์ ได้ให้ ข้อมูลว่า ยังมีประเพณีเก่าๆอีกอย่างคือ การแห่นางหมานางแมว ซึ่งเกษตรกรทาเพื่อขอให้ฝนตก โดยมี วิธีการคือนาแมวใส่กรงไว้ และมีคนหามหัวหามท้ายแห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน มีชาวบ้านเดินร้องเพลงตาม ขบวนกันไปเรอ่ื ย ๆ เพอ่ื หวงั ให้มีฝนตกลงมาชว่ ยในการทาเกษตรกรรม ๑๗.ตำบลสำมตุ่ม ตาบลสามตุ่ม เป็นตาบลที่ต้ังอยู่ทางตอนใต้ของอาเภอเสนา เป็นท่ีรู้จักกันในนามว่า “ชุมชนสาคลี” หากแต่เดมิ มีช่ือว่า ชุมชนสามัคคี เน่อื งจากคนในชุมชน มีความรกั ใคร่ สามคั คเี ปน็ นา้ หน่ึง อันเดยี วกัน มชี ว่ ยเหลือเอื้อเฟอื้ เผอ่ื แผก่ นั คนในชุมชนนบั ถอื กันเปน็ ญาติพนี่ ้องกันทกุ ครัวเรอื น จงึ ได้ช่ือว่า เป็นชุมชนทีส่ ามคั คี ต่อมาเรียกเพี้ยนไปจึงช่ือสาคลที และเปน็ สว่ นหน่งึ ของพืน้ ท่ีปกครองของตาบลสามตุ่ม ในเวลาตอ่ มา

๑๙๒ ๑๗.๑ อำณำเขต และภูมิประเทศ อาณาเขต ตาบลสามตุ่มทางด้านทิศเหนือ มพี น้ื ทตี่ ดิ ต่อกับตาบลบางนมโค ทางทศิ ใตม้ พี ื้นทต่ี ิดต่อกับตาบล คสู้ ลอด อาเภอลาดบัวหลวง จังหวดั พระนครศรีอยุธยา ทางดา้ นทิศตะวันออกมีพนื้ ที่ติดต่อกับตาบลตาบล ชา่ งเหลก็ อาบางไทร จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ทางด้านทิศตะวนั ตกมีพืน้ ท่ีติดต่อกับตาบลตาบลมารวิชัย ระยะทางจากอาเภอเสนาไปตาบลบ้านกระทุ่มประมาณ ๑๘ กิโลเมตร การเดินทางเพื่อเข้าตัวจังหวัด พระนครศรอี ยุธยา มรี ะยะทาง ๓๔ กิโลเมตร ทิศเหนอื มพี ้ืนท่ีติดต่อกบั ตาบลบางนมโค และตาบลบ้านหลวง อาเภอเสนา ทิศใต้ มพี ้นื ที่ตดิ ต่อกับ ตาบลคสู้ ลอด อาเภอลาดบวั หลวง ทิศตะวันออก มีพ้นื ทต่ี ิดต่อกบั ตาบลชา่ งเหลก็ อาเภอบางไทร ทิศตะวนั ตก มีพืน้ ทีต่ ดิ ต่อกับ ตาบลมารวชิ ัย อาเภอเสนา แผนท่ี ๓๕ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตตาบลสามตมุ่ ท่ีมา: สถาบนั อยุธยาศกึ ษา พ.ศ.๒๕๖๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook