Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานผลการใช้นวัตกรรม วิจัยนายวีรเดช มะแพทย์

รายงานผลการใช้นวัตกรรม วิจัยนายวีรเดช มะแพทย์

Published by weeradech.mapaet, 2020-06-28 04:31:51

Description: รายงานผลการใช้นวัตกรรม วิจัยนายวีรเดช มะแพทย์

Keywords: งานวิจัยสังคม

Search

Read the Text Version

รายงานการใช้นวตั กรรมการจดั การเรียนรูท้ ี่เสนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 51 เขมรฐั โตไทยะ (2540 : 13-41) ไดเ้ สนอรายละเอียดของแผนการจัดการเรยี นรู้ ไวด้ ังน้ี 1) สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอดหรอื สรปุ เน้ือหาของสาระสาคญั หรือความคดิ รวบยอด หมายถึง ความคิดความเขา้ ใจของบุคคลเกีย่ วกบั วตั ถสุ ิ่งของ เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ โดยสรุปเป็นแก่นสาร หรอื เน้อื หาท่สี าคญั เพื่อให้เปน็ แนวทางหรือจุดเนน้ ของเร่ืองทเ่ี รียน ดังนัน้ การเขยี นสาระสาคัญ ควรเขียนเป็นข้อความสั้น ๆ ใหส้ รปุ เน้อื หาอ่านแลว้ เข้าใจ 2) จดุ ประสงค์การเรียนรู้ หมายถงึ สง่ิ ท่มี ุ่งหวังให้เกดิ ขนึ้ ในตัวผูเ้ รียนเป็นคณุ ลักษณะ ทพ่ี ึงประสงค์ของผเู้ รยี น 3) เน้ือหา หมายถึง มวลประสบการณ์ทีจ่ ดั ให้ผู้เรยี นมี 2 ลักษณะ คือ เน้อื หาหลัก และเน้ือหาย่อยหรือเนอื้ หาโดยละเอยี ดกาหนดขึน้ โดยศึกษาเอกสารตา่ ง ๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง และตอ้ งคานงึ ถึง ความยากง่ายของเน้ือหา ความสัมพันธข์ องเนื้อหา ระดบั ผูเ้ รียน และเวลาเรียน 4) กจิ กรรมการเรียนการสอน หมายถงึ พฤติกรรมระหวา่ งครกู บั นักเรียนจดั ขนึ้ เพ่อื ให้ นกั เรยี นเกดิ ความรู้และไดร้ ับประสบการณ์ตามความคาดหมายของการสอน การจัดกจิ กรรมควรคานึง ถึง หลกั การทสี่ าคัญ คอื การให้ผู้เรยี นเป็นผกู้ ระทา และปฏิบัติไดเ้ หน็ ผลของการกระทาเปน็ ประสบ การณ์ตรง ผชู้ ว่ ยทาหน้าท่ีช่วยเหลือและดาเนนิ กจิ กรรมให้เปน็ ไปตามจุดมงุ่ หมาย มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ (1) ข้นั นาหรอื การนาเข้าสู่บทเรียน เป็นกิจกรรมทบทวนความรูเ้ ดิม เรา้ ความสนใจเข้าสู่ การเรยี นในบทเรียนใหม่ (2) ขัน้ สอน เป็นกิจกรรมท่ีกาหนดไว้เพ่ือสนองจุดประสงค์ของแผนการจัด การเรียนรู้ (3) ขั้นสรุปหรอื การสรุป เปน็ การสรุปบทเรยี นเพิ่มพูนประสบการณ์แกผ่ ้เู รียน 5) ทักษะกระบวนการทีน่ กั เรียนได้ฝึกกระบวนการเรียนการเรยี นการสอน สรปุ ได้ เปน็ 11 กระบวนการ คือ (1) ทกั ษะกระบวนการ 9 ประการ เปน็ ทักษะกระบวนการท่ีรวบรวมวิธสี อน ต่าง ๆ เขา้ ด้วยกนั การสอนไมจ่ าเปน็ ต้องเรียงตามลาดับขั้น (2) กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด ใช้สอนคานยิ ามศัพทแ์ ละแนวคิด (3) กระบวนการสรา้ งความตระหนกั เป็นกระบวนการขนั้ หน่ึงของทกั ษะกระบวนการ 9 ประการ เพ่ือให้ผเู้ รยี นรบั รู้ เหน็ ความจาเป็น และความสาคัญของปญั หา (4) กระบวนการปฏบิ ตั ิ ให้ผเู้ รยี นได้ลงมือสัมผสั กับปัญหาดว้ ยตนเอง (5) กระบวนการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ เปน็ กระบวนการทางปัญญา (6) กระบวนการแกป้ ัญหา เป็นกระบวนการหาคาตอบหรือปัญหา (7) กระบวนการกลุ่ม ฝกึ ให้ผูเ้ รียนมีทักษะในการทางานร่วมกนั (8) กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ประกอบดว้ ย การสอนทักษะการคดิ คานวณ และการสอนทกั ษะการแก้ปญั หาโจทย์ (9) กระบวนการสร้างเจตคติ เป็นการสรา้ งความร้สู กึ พงึ พอใจ ชืน่ ชมต่อส่งิ ใด สงิ่ หนงึ่

รายงานการใช้นวตั กรรมการจัดการเรยี นรทู้ ่เี สนอขอรบั รางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 52 (10) กระบวนการสรา้ งคา่ นยิ ม เป็นการฝกึ และปลูกฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม เพือ่ ใหผ้ ู้เรียน สามารถวิเคราะห์แยกแยะการกระทาทด่ี ีหรอื ไม่ดีได้ (11) กระบวนการเรยี นร้คู วามเขา้ ใจ 6) สือ่ การเรยี นการสอน หมายถึง วสั ดอุ ุปกรณ์หรือวิธกี ารตา่ ง ๆ ท่ีใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรยี นการสอนใหบ้ รรลตุ ามจุดประสงคท์ ตี่ ั้งไว้ ส่อื การเรยี นการสอนมีความสาคัญใน การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ดงั น้ี (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรยี นในเร่อื งทจี่ ะเรียน (2) ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรโู้ ดยการสงั เกตและปฏิบตั ิจริง (3) ให้ประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรมแก่นกั เรียน (4) ช่วยใหน้ กั เรยี นไดเ้ รยี นร้ไู ด้เรว็ ข้ึน (5) สร้างบรรยากาศที่ดใี นการเรียนการสอน (6) สร้างสภาพการณท์ ีเปิดกว้างตอ่ การเรยี นรู้ 7) การวดั ผลและประเมินผล หมายถงึ การตรวจสอบหลังจากเรียนไปแลว้ ว่านกั เรยี น มีการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมดังท่ีคาดหวงั หรือไม่ เนอื่ งจากการประเมนิ ผลเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ของการเรยี นการสอน ครูผู้สอนจงึ ตอ้ งมีการประเมินเปน็ ระยะ โดยมจี ุดมุ่งหมายเพื่อปรบั ปรงุ การเรยี นการ สอนและวิธกี ารสอน เพอ่ื ตัดสินผลการเรยี น เพ่อื พัฒนาพฤติกรรมของผเู้ รียน แผนการจัด การเรยี นรูท้ ่ีดตี ้องบอกวธิ ีการวดั ผล เช่น การสงั เกต การสมั ภาษณ์ การทดสอบ และเครือ่ งมอื ใน การวัดผลประเมนิ ผลมหี ลายชนิด เชน่ แบบทดสอบ แบบสังเกต เป็นต้น 8) ภาคผนวก การเขยี นภาคผนวกเปน็ การจดั ทาในสว่ นท่เี พ่มิ เติมให้แผนการจดั การเรียนรูแ้ ตล่ ะแผนมคี วามสมบรู ณ์ และชว่ ยอานวยความสะดวกแก่ผูส้ อน ไดแ้ ก่ รายละเอียด เนอื้ หาหรอื ใบความรู้ วิธดี าเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ รปู ภาพ บตั รคา ข้อสอบ แผนภูมิ แผนที่ ใบงาน รายช่อื เอกสารอ้างองิ เพลง เปน็ ต้น ดงั น้ัน ครูผ้สู อนรูด้ วี ่าสง่ิ ทค่ี วรเพ่มิ คืออะไร มากหรือน้อยเพยี งใดให้เหมาะสม ทส่ี ดุ 9) ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ปัญหาและข้อเสนอแนะหลงั การใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ เปน็ การสรปุ ผลจากการใช้แผนแตล่ ะแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยบันทึกข้อมูล สภาพ ความเป็นจริงทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ผู้สอน พฤติกรรมของนักเรียน กิจกรรมสอ่ื การเรียน เครอื่ งมือวัด และประเมนิ ผล รวมทงั้ ระยะเวลาจัดกจิ กรรมแต่ละอยา่ ง แนวทางการบันทกึ ผลการใชแ้ ผนมี 2 ลกั ษณะ คอื เขียนเปน็ ความเรียง เขียนเปน็ ข้อ ๆ เกี่ยวกับปญั หาและอุปสรรค พร้อมท้ังสงิ่ ที่ ควรเพม่ิ เติม แก้ไข เพื่อใชเ้ ป็นแนวทางการเขียนปญั หาและข้อเสนอแนะ การประเมินแผนการจัดการเรยี นรู้ การประเมินแผนการจดั การเรียนรู้ เป็นกระบวนการสาคัญในการปรบั ปรุงแผน และพฒั นาการสอน ดังท่ี เขมรฐั โตไทยะ (2540 : 43) เสนอวา่ การปรบั ปรงุ และพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรู้ เปน็ ลักษณะการเพิม่ หรือลดบางสว่ น เชน่ 1) จดุ ประสงค์ ควรเขียนให้สามารถวดั พฤตกิ รรมได้ 2) การประเมนิ ผลครอบคลุมทั้ง 3 ดา้ น คอื ความรู้ ทักษะ และคุณธรรม จริยธรรม

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนรูท้ ่ีเสนอขอรบั รางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 53 3) การเขียนกจิ กรรมการเรยี นการสอน ยึดนกั เรยี นเป็นศูนยก์ ลาง เนน้ กระบวนการให้ นักเรียนได้ฝึกปฏบิ ัติมากท่สี ุด 4) สื่อการเรียนการสอน ทาใหผ้ ู้เรียนมีความเข้าใจมากยิ่งข้ึน วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 170-171) กล่าวถึงการประเมินแผนการจดั การเรียนรู้ ไวว้ ่า เมือ่ จดั ทาแผนการจัดการเรยี นรู้เรียบรอ้ ยแลว้ ควรมกี ารประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ เพือ่ ตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม ครอบคลมุ เพอื่ การปรับปรงุ แก้ไขแผนการจดั การเรียนรู้ ให้เหมาะสมย่ิงขน้ึ อาจดาเนินการได้ 3 ระยะ คือ 1) การประเมนิ แผนการจัดการเรยี นรกู้ อ่ นนาไปใช้ เป็นการตรวจสอบวา่ เป็นแผนการจัดการ เรียนรทู้ ่ีเนน้ ผ้เู รียนเปน็ ศูนย์กลางหรอื ไม่ มีขอ้ บกพร่องอย่างไร 2) ประเมินแผนการสอนระหวา่ งการนาไปใช้ เป็นการตรวจสอบการปฏบิ ตั ติ ามแผนการ จดั การเรียนรู้ โดยการสงั เกตและบันทึกปญั หา 3) การประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เมอื่ ส้นิ สุดการใช้ เปน็ การประเมินว่าแผนการจัดการ เรยี นรนู้ ั้นบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์ทต่ี ้งั ไวห้ รือไม่ การปรบั ปรงุ และพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เขมรฐั โตไทยะ (2540 : 42) กล่าวถงึ การปรับปรงุ และพัฒนาแผนการจัดการเรยี นรู้ ไว้วา่ มลี าดับขนั้ ตอน ดังนี้ 1) ครูผู้สอนจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยได้รบั ความเห็นชอบจากผมู้ ีประสบการณ์ ซึ่งอาจประกอบดว้ ย ศึกษานิเทศก์ ครผู ู้มปี ระสบการณ์ เป็นตน้ 2) ทดลองใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้ 3) ทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นทั้งกอ่ นและหลงั แผนการจัดการเรียนรู้ 4) รวบรวมข้อมูลจาก ขอ้ 2) และ ขอ้ 3) มาวเิ คราะห์หาประสิทธภิ าพของแผน 5) จดั ทารายงานผลการสรา้ งและพฒั นาแผนการจดั การเรียนรู้ 6) จัดพมิ พเ์ ผยแพร่ และรับฟังความคิดเห็น เสนอแนะผใู้ ช้ใหพ้ ฒั นาต่อไป สรปุ ได้ว่า การปรบั ปรงุ และพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรู้ คอื การจดั ทาแผนการจัด การเรียนรแู้ ล้วนาแผนไปทดลองใชแ้ ละเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวเิ คราะห์คุณภาพและประสิทธภิ าพ ของแผนการจดั การเรียนรู้ แลว้ จงึ ทาการปรับปรุง และพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้ เอกสารประกอบการเรยี น ความหมายของเอกสารประกอบการเรยี น เอกสารประกอบการเรียน เป็นคาทเี่ รยี กใหม่ซึ่งเดมิ ใช้เรยี กว่า เอกสารประกอบการสอน ท้ังน้ี เพ่ือให้สอดคล้องกบั กระบวนการจดั การเรียนการสอนตามการปฏริ ปู การศึกษาท่เี น้นผู้เรียน เปน็ สาคัญ กล่าวคอื เปน็ เอกสารที่นกั เรยี นใช้เรียนมิใชค่ รูใชส้ อน ซึง่ นยิ มเรยี กว่า เอกสารประกอบ การเรียน ซง่ึ มีความเหมาะสมกวา่ คาว่า เอกสารประกอบการสอน และมผี ้ใู หค้ วามหมายของเอกสาร ดงั กล่าวไว้ ดังนี้ สวุ ิทย์ มูลคา และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 41) เอกสารประกอบการเรียน คือ เอกสารท่จี ัดทาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนของครูหรือประกอบการเรยี นของนักเรยี นในวชิ าใด วชิ าหนึ่ง ควรมหี ัวเรื่อง จดุ ประสงค์ เนื้อหาสาระและกิจกรรม เพือ่ จะสง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นได้ เกิดการเรยี นรูต้ ามหลักสูตรกาหนด

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรยี นรทู้ ีเ่ สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 54 รุจริ า บุญมี (2552 : Online) เอกสารประกอบการเรยี น หมายถึง ส่อื การเรยี น การสอนท่ีครูผู้สอนผลิตให้สอดคลอ้ งกับหลกั สตู ร ท่ีพฒั นาขึน้ เพ่ือให้ผ้เู รียนใชป้ ระกอบการเรียน หรือศกึ ษาค้นควา้ เปน็ สอื่ ท่ีครูผสู้ อนผลิตไว้บรกิ ารแกผ่ ู้เรยี นหรือใหย้ มื เรียน เฉลิมศกั ดิ์ นามเชียงใต้ (2552 : Online) ได้ให้ความหมายของเอกสารประกอบการเรยี นหรือ เอกสารคาสอน คือ เอกสารทค่ี รจู ดั ทาข้ึนเพื่อใหผ้ เู้ รียนนาไปประกอบการเรียนการสอนตามหลักสูตร เอกสาร ประกอบการสอนเป็นส่วนสาคัญท่สี ุดของการจัดการเรยี นการสอน การเนือ้ หาสาระของรายวชิ ามาเรียงลาดบั อย่างต่อเนอ่ื ง พร้อมกับเพิ่มเตมิ สิ่งใหม่ ๆ เขา้ ไป เพือ่ ให้เหมาะสมกบั การทคี่ รูหรือผูฝ้ ึกอบรมจะนาไปใช้ ประดับ มาฉาย (2546 : 27) กลา่ วว่าเอกสารประกอบการสอน หมายถงึ เอกสาร ที่ครูผูส้ อนรวบรวมจัดทาข้ึน เน้ือหามคี วามเหมาะสมกบั ผ้เู รยี น เพื่อให้ผู้เรียนไดศ้ ึกษาค้นคว้าประกอบการ เรียนรู้ โดยมีวัตถปุ ระสงค์ ดงั น้ี จากความหมายของเอกสารประกอบการเรียนขา้ งต้น สรุปได้ว่า เอกสารประกอบ การเรียน คอื ส่ือการเรยี นการสอนชนิดหนงึ่ ที่เจาะจงเฉพาะที่ผ้สู อนนามาใชป้ ระกอบการเรยี น การสอนวิชาใดวิชาหน่งึ ทม่ี ีเนื้อหาครอบคลุมครบถ้วนตามรายละเอยี ดที่กาหนดไวใ้ นหลักสูตร เอกสาร ประกอบการเรียนจะเปน็ ตวั กลางทใ่ี ชใ้ นกระบวนการเรยี นการสอนหรอื เป็นแหล่งความรู้ทชี่ ว่ ยให้ผูเ้ รียนบรรลุ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมตามความต้องการต่อไป สว่ นประกอบของเอกสารประกอบการเรยี น สุวทิ ย์ มูลคา และสุนนั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 41-42) กล่าวว่า เอกสารประกอบ การเรียนไม่ มีรูปแบบทจ่ี าเพาะเจาะจง ทั้งนีข้ น้ึ อยู่กบั ดุลยพนิ จิ ของผูผ้ ลิตทีจ่ ะคานึงถึงลักษณะการนา ไปใช้ และกลุ่ม ผ้เู รยี นเป็นสาคญั เพือ่ ความเหมาะสมและเป็นรูปแบบในแนวเดียวกนั จงึ ได้เสนอแนะส่วนประกอบของ เอกสารประกอบการสอนไว้ ดงั น้ี 1) สว่ นนา ควรมีสว่ นประกอบ ดงั น้ี (1) ปกนอก (2) ปกใน (3) คานา (4) สารบญั (5) คาชีแ้ จง หรอื คาแนะนาในการใช้ (6) จุดประสงคห์ ลกั 2) ส่วนเนื้อหา อาจแบ่งเป็นเร่อื งยอ่ ยหรือเป็นตอนตามลักษณะของเน้ือหา ควรมสี ่วนประกอบ ดงั นี้ (1) ช่อื บทหรอื ช่ือหนว่ ยหรอื ชื่อเร่ือง (2) หัวขอ้ เรอื่ งย่อย (3) จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ (4) กิจกรรมหลัก (5) เน้อื หาโดยละเอียดหรอื ใบความรู้ (6) กิจกรรมฝกึ ปฏิบตั หิ รือแบบฝึกหรือใบงาน

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรยี นรู้ทเ่ี สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 55 (7) บทสรปุ (ถา้ มี) 3) ส่วนอ้างอิง อาจอยู่ส่วนท้ายของเนื้อหาในแต่ละตอนหรืออยู่ทา้ ยเลม่ เอกสาร ควรมสี ว่ นประกอบ ดงั นี้ (1) เอกสารอ้างอิงประจาบทหรือบรรณานุกรม (2) ภาคผนวก (ถ้ามี) เชน่ เฉลยแบบฝกึ ปฏบิ ัติ จากสว่ นประกอบของเอกสารประกอบการเรยี นขา้ งตน้ สรุปได้ว่า เอกสารประกอบ การเรียน ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 สว่ น คอื สว่ นนา สว่ นเน้ือหา และสว่ นอ้างองิ จงึ จะถือวา่ เป็นเอกสารประกอบการเรียนท่ีสมบูรณ์ ข้อควรพจิ ารณาในการผลิตเอกสารประกอบการเรียน สุวิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 42-44) กอ่ นท่ีจะเขียนเอกสารประกอบการ เรียน ผูเ้ ขยี นควรจะทราบถึงเทคนิคการเขยี นและข้อพจิ ารณาบางประการ ดงั นี้ 1) กลุ่มเป้าหมาย ควรพิจารณาถงึ กลุ่มเปา้ หมายในด้านจติ วิทยา วฒุ ิภาวะ และวัยของผู้เรยี นเปน็ สาคัญเพราะ ผู้เรยี นในแต่ละระดบั ยอ่ มมีความตอ้ งการแตกตา่ งกนั ท้งั ในด้านเน้อื หา การใช้ภาษา ภาพประกอบ และ ขนาดตัวอักษรทีใ่ ช้ในเอกสารประกอบการเรียน 2) การกาหนดเนื้อหา การกาหนดเนื้อหา ต้องมีความถกู ต้องและเหมาะสม ความถกู ต้อง ไดแ้ ก่ การมเี น้อื หาสาระ ตามท่หี ลกั สตู รกาหนด มีความเทย่ี งตรงของขอ้ มลู ทนี่ าเสนอ มีความชดั เจนทันสมยั เปน็ ปัจจุบัน ไม่กากวมสับสน หรอื เบี่ยงเบนข้อเทจ็ จริง ส่วนความเหมาะสม ได้แก่ ความยากง่าย ของเนื้อหาสาระ โดยพิจารณาถึงในด้านวัยวฒุ ิ ประสบการณ์และพน้ื ฐานของผเู้ รียนเปน็ สาคญั 3) การเรียบเรียงถอ้ ยคา การเรียบเรยี งถ้อยคา เป็นเทคนคิ สาคัญในการนาเสนอเนอื้ หา ควรคานงึ ถงึ (1) รปู แบบควรเขียนให้สัน้ กะทัดรดั แต่ไดใ้ จความ ไม่มีคาขยายท่ที าใหเ้ ยน่ิ เยือ้ โดยไมจ่ าเป็น (2) การเว้นวรรคตอน ควรฝึกใหเ้ ป็นนสิ ัยเพราะการเขยี นโดยไม่เวน้ วรรคตอน หรือเว้นวรรคตอนผดิ ที่ อาจจะทาให้ผิดความหมายและเกิดความเสียหายต่อผ้เู รียนได้ (3) การยอ่ หนา้ ควรยอ่ หน้าเมื่อเปลยี่ นประเด็นของเนื้อหาหรอื เพื่อต้องการดึงดดู ความ สนใจของผเู้ รียน โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมเปน็ สาคัญ 4) การใช้ภาษา การใชภ้ าษา ควรเขียนให้อา่ นงา่ ย และเขา้ ใจได้อยา่ งรวดเรว็ คานงึ ถึงเน้ือหา และกล่มุ เป้าหมายในการทีจ่ ะสอื่ สารได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ควรหลกี เลี่ยงการใช้คาซ้าซากและเล่นคาจน ผ้เู รยี นสับสน 5) เทคนิคการนาเสนอ เทคนิคในการนาเสนอ ตอ้ งมีความน่าสนใจ เรา้ ใจ ชวนใหต้ ดิ ตาม ใครร่ ู้ ใครศ่ ึกษาต่อไป ไม่ บรรจคุ วามรแู้ ละข้อมูลท่อี ัดแนน่ จนเกินไป ควรมกี ารสรา้ งบรรยากาศของความเป็นกันเองระหว่างผู้เขยี นกบั

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนรทู้ ่ีเสนอขอรับรางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 56 ผเู้ รียน เปน็ การสือ่ สารระหว่างผ้สู ่งสารกบั ผรู้ ับสารในเชงิ การพดู คุยเสมือนตัวหนงั สือมวี ญิ ญาณ การใช้ ภาพประกอบการนาเสนอกเ็ ป็นเทคนิคหนึ่งจะช่วยเร้าความสนใจหรือเพม่ิ ความเข้าใจในเนือ้ หาทเ่ี ปน็ นามธรรม ใหช้ ดั เจนย่งิ ขึน้ ควรใช้ภาษาท่สี อดคล้องกับเนื้อหา มขี นาดพอเหมาะ และมคี วามชัดเจน มเี ทคนิคการใชค้ าถามนาท่ีกระตนุ้ ความคดิ ของผู้เรยี น เพื่อนาไปส่กู ารคน้ หาคาตอบใน เนอ้ื หาจะทาใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจสิง่ ทตี่ นกาลังศึกษามากข้นึ การมีกิจกรรม แบบฝึกหัด แบบประเมนิ หรือแบบทดสอบล้วนเปน็ ส่ิงจาเปน็ ทจี่ ะช่วยให้การใช้เอกสารประกอบการเรียนบรรลุจุดประสงค์ ได้เปน็ อย่างดี จากข้อควรพิจารณาในการผลิตเอกสารประกอบการเรยี นข้างตน้ สรปุ ได้วา่ การผลติ เอกสาร ประกอบการเรียน ควรพิจารณากลมุ่ เป้าหมายในดา้ นจติ วิทยา วุฒภิ าวะ และวยั ของผู้เรยี น พิจารณาการ กาหนดเน้ือหาในด้านความถูกต้องและเหมาะสม ชัดเจน ทนั สมยั และมคี วามยากงา่ ยพอเหมาะ พจิ ารณา การเรยี บเรยี งถ้อยคาในดา้ นรูปแบบ การเว้นวรรคตอน และการย่อหน้า และพิจารณาการใช้ภาษาในด้านการหลีกเลีย่ งคาซ้าซาก และการเลน่ คา ข้นั ตอนการผลิตเอกสารประกอบการเรียน สุวทิ ย์ มลู คา และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550 : 41-42) กลา่ ววา่ ข้ันตอนการผลิตเอกสาร ประกอบการเรียนเหมอื นกับนวัตกรรมทั่ว ๆ ไป ซึง่ มขี น้ั ตอน ดงั น้ี 1) วิเคราะหป์ ญั หาและสาเหตุจากการเรยี นการสอน ซ่ึงอาจได้มาจาก (1) การสังเกตปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนขณะทาการสอน (2) การบนั ทกึ ปญั หาและข้อมลู ระหวา่ งสอน (3) การศกึ ษาและวิเคราะห์ผลการเรียนของผ้เู รียน 2) ศึกษารายละเอียดในหลักสูตรสถานศึกษา เพอ่ื วเิ คราะหเ์ น้ือหาสาระ และผลการเรยี นรู้ที่คาดหวงั หรอื จดุ ประสงคแ์ ละกจิ กรรมท่เี ป็นปญั หา 3) เลือกเน้ือหาทเ่ี หมาะสมแบง่ เป็นบทเป็นตอนหรอื เป็นเรื่อง เพือ่ แกป้ ัญหาทพี่ บ 4) ศึกษารูปแบบของการเขียนเอกสารประกอบการเรียน และกาหนดส่วนประกอบภายในของ เอกสารประกอบการเรยี น 5) ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมลู เพอ่ื นามากาหนดเป็นจดุ ประสงค์ เนื้อหา วิธีการและสอ่ื ประกอบเอกสารในแตล่ ะบทหรอื แตล่ ะตอน 6) เขียนเนอ้ื หาในแตล่ ะตอน รวมทง้ั ภาพประกอบแผนภมู ิ และข้อทดสอบให้สอดคลอ้ งกับ จุดประสงคท์ ี่กาหนดไว้ 7) สง่ ใหผ้ ้เู ชี่ยวชาญตรวจสอบ 8) นาไปทดลองใชใ้ นห้องเรียน และเกบ็ บันทึกผลการใช้ 9) นาผลทไ่ี ดม้ าใช้พิจารณาเพอ่ื ปรับปรงุ แก้ไขส่วนทบ่ี กพร่อง (อาจทดลองใชม้ ากกวา่ 1 ครั้ง เพ่ือปรับปรงุ เอกสารประกอบการสอนนน้ั ให้สมบรู ณ์และมีคณุ ภาพมากทส่ี ุด) 10) นาไปใชจ้ รงิ เพือ่ แก้ปญั หาท่ีพบจาก ขอ้ 1)

รายงานการใช้นวตั กรรมการจดั การเรียนร้ทู ีเ่ สนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 57 จากขนั้ ตอนการผลิตเอกสารประกอบการเรยี นขา้ งตน้ สรุปได้ว่า การผลิตเอกสารประกอบ การเรยี น ควรวิเคราะห์ปญั หาและสาเหตุจากการเรยี นการสอน ศกึ ษารายละเอียดในหลักสูตรสถานศึกษา เลอื กเนื้อหาทเี่ หมาะสมไปจนกระท่ังนาไปใช้จรงิ เพื่อแกป้ ัญหาทพี่ บ แนวการเขยี นเอกสารประกอบการเรียน สุวิทย์ มูลคา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 45-46) ไดน้ าเสนอแนวการเขยี นเน้ือหาใน สว่ นประกอบต่าง ๆ ของเอกสารประกอบการเรยี น พอสรุป ได้ดงั น้ี 1) ปกนอก ควรบอกประเภทของนวัตกรรมคือเอกสารประกอบการเรยี นแล้วตามด้วยวิชา ช้นั และชื่อเร่ืองตามลาดับ อาจมีภาพประกอบเพ่ือเพิม่ ความสนใจไดต้ ามความเหมาะสม 2) ปกใน มีสาระการเรยี นรูเ้ ชน่ เดียวกับปกนอก 3) คานา ควรประกอบด้วย - วตั ถปุ ระสงค์ในการจัดทา (ทาไมจงึ ทา) - มสี ว่ นประกอบก่ีตอนกเี่ ร่อื ง อะไรบ้าง ควรเขียนสัน้ ๆ เพื่อสรปุ ความ - มีประโยชน์แก่ใครบ้าง - ขอบคุณผทู้ ี่ใหค้ วามชว่ ยเหลอื สนบั สนุน 4) สารบญั เปน็ การแสดงโครงสรา้ งของสาระการเรียนรแู้ ต่ละตอนวา่ อย่หู นา้ ใด 5) คาชแี้ จง เป็นการบอกกล่าวให้ผสู้ อนและผู้เรยี น ได้เตรียมการก่อนนาเอกสารประกอบการ เรยี นไปใช้ รวมทัง้ การเสนอแนะขน้ั ตอนการนาเอกสารประกอบการเรยี นรู้ไปใช้ และแสดงถึงความต่อเนื่องของเอกสารทจ่ี ะต้องสมั พันธ์หรือเชอ่ื มโยงกบั การเรยี นการสอนโดยท่วั ไปอย่างไร 6) ชอ่ื บทหรือช่ือเรือ่ ง ควรตง้ั ช่อื เรื่องใหค้ รอบคลมุ สาระการเรยี นรทู้ ้ังหมดในชดุ นั้น 7) หัวข้อเรื่องยอ่ ย เปน็ หวั ข้อสาระการเรียนรูท้ ีจ่ ะเรยี นโดยเรียงลาดับก่อน-หลงั ตามสาระการเรียนรทู้ ี่จะสอนในเรือ่ งนั้น 8) ผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวัง ให้เขียนเป็นผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวงั เชงิ พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั สาระการเรยี นรู้และกจิ กรรม สามารถวัดผลประเมนิ ผลได้อย่างครอบคลุมและชดั เจน 9) กจิ กรรมหลัก จะบอกถงึ กิจกรรมทีจ่ ะใหผ้ เู้ รียนปฏิบตั ติ ามลาดบั ก่อนหลัง เพ่ือเป็นการวางแผนการเรียนหรือเตรยี มส่ืออื่น ๆ ท่จี าเปน็ ต้องใช้ไวล้ ว่ งหนา้ 10) บทสรุป จะเปน็ การสรุปสาระการเรยี นรู้ในลักษณะแนวคิดหลัก เพ่ือประมวลความรู้ ความคิดของผู้เรยี นให้ชัดเจนยง่ิ ข้ึน ควรเขียนให้กะทดั รัดและครอบคลุมสาระการเรยี นรู้ ในตอนน้นั ๆ จากแนวการเขยี นแอกสารประกอบการเรยี นขา้ งต้น สรปุ ได้วา่ แนวการเขยี นเนื้อหา ของเอกสารประกอบการเรยี น ประกอบดว้ ย ปกใน คานา สารบญั คาชีแ้ จง ชอ่ื บทหรอื ชอ่ื เรื่อง หัวข้อเร่อื ง ยอ่ ย ผลการเรยี นร้ทู ่คี าดหวงั กิจกรรมหลกั และบทสรุป ประโยชนข์ องเอกสารประกอบการเรยี น สนุ ันทา สนุ ทรประเสรฐิ (2547 : 4-5) กล่าวไว้ ดังนี้ 1) ใช้ควบค่กู บั แผนการสอน กลา่ วคอื ในการใชแ้ ผนการสอนสว่ นกจิ กรรมการเรยี น

รายงานการใช้นวตั กรรมการจัดการเรียนร้ทู ่เี สนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 58 การสอนไดก้ าหนดให้นกั เรียนศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสารประกอบการเรียนในบทและหนา้ ตา่ ง ๆ ตามท่ีกาหนด ในแต่ละแผนการสอน นกั เรียนสามารถศึกษาค้นคว้ารายละเอยี ด และศกึ ษาเพม่ิ เติมให้เข้าใจมากยงิ่ ขนึ้ หลังจากเสรจ็ สิน้ การเรียนการสอนภายในคาบเรียนได้อย่างสะดวก 2) เน้อื หาตรงตามจดุ ประสงค์ นกั เรยี นอ่านและเขา้ ใจได้อย่างชัดเจน 3) มภี าพประกอบสอดคลอ้ งกับเน้อื หา เปน็ การดึงดูดความสนใจของนักเรยี น และชว่ ยทาใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเนอื้ หาได้ง่ายและชดั เจนยงิ่ ข้นึ 4) ช่วยผูส้ อนในการถ่ายทอดเนือ้ หาสาระ ซง่ึ ในบางคร้งั เน้ือหามีรายละเอยี ดมาก ไมส่ ามารถสอนได้ทนั เวลา นกั เรียนสามารถศกึ ษาเพิ่มเติมไดด้ ้วยตนเองนอกเวลาไดเ้ ป็นอย่างดี จากประโยชนข์ องเอกสารประกอบการเรยี นข้างต้น สรปุ ได้วา่ เอกสารประกอบการเรียน เป็นสื่อที่มปี ระโยชน์ สามารถใชค้ วบคูก่ ับแผนการสอน มเี นอ้ื หาทีต่ รงกบั จดุ ประสงค์ มีภาพประกอบสวยงาม ดงึ ดดู ความสนใจ และนกั เรยี นสามารถศึกษาเพมิ่ เติมได้ดว้ ยตนเองนอกเวลา จงึ ชว่ ยครูผสู้ อนในการถ่ายทอด เนอ้ื หาสาระไดเ้ ป็นอยา่ งดี จากที่กล่าวมาทงั้ หมดเกย่ี วกับเอกสารประกอบการเรียน ผศู้ ึกษาคน้ คว้าสามารถสรุปได้ว่า เอกสารประกอบการเรียน เป็นสื่อการเรียนการสอนซง่ึ ครูและนกั เรียนใชเ้ ปน็ แนวทางในการเรยี น ตามเนอ้ื หาสาระ และกจิ กรรมการเรียนรขู้ องรายวิชาที่กาหนด โดยมีจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นรายปีหรอื ราย ภาคตามจุดมุง่ หมายของหลักสูตร ซึง่ ครผู ้สู อนอาจจะสรา้ งเอกสารประกอบการเรียนขึ้นมาเอง เพราะหลักสูตรสถานศึกษาของแตล่ ะแหง่ ไมเ่ หมือนกนั ไม่มีหนงั สอื หรือเอกสารจาหน่ายท่ตี รงกบั ความต้องการของหลักสตู ร จึงสร้างเอกสารประกอบการเรียนขึน้ มาเอง โดยยึดหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา ขนั้ พื้นฐาน พ.ศ. 2551 เปน็ สาคญั ประสิทธิภาพของสือ่ การเรียนการสอน ในการจดั การเรยี นการสอนสื่อทุกประเภทที่จะนามาประกอบการเรียนจาเป็นอย่างยิ่ง ท่จี ะต้องมีการหาประสิทธิภาพ เพราะในการผลิต ระบบการดาเนนิ งานทุกประเภทจาเป็นต้องมี การตรวจสอบระบบ เพ่ือเปน็ การประกันวา่ จะมปี ระสิทธิภาพจรงิ ตามที่มงุ่ หวงั การหาประสทิ ธภิ าพ มีความจาเปน็ ดว้ ยเหตุผลหลายประการ ดังน้ี 1) สาหรับหน่วยงานผลิตส่อื การสอนเปน็ การประกันคุณภาพของสอ่ื การสอนว่า อยู่ในช้ันสงู เหมาะสมท่ีจะลงทุนผลติ ออกมาเป็นจานวนมาก หากไม่มีการหาประสิทธภิ าพเสยี ก่อนแลว้ เมอ่ื ผลิตออกมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ไม่ดีกจ็ ะต้องทาใหม่เป็นการส้นิ เปลอื งทงั้ เวลา แรงงาน และเงินทอง 2) สาหรบั ผ้ใู ชส้ อ่ื การสอน สื่อการสอนจะทาหน้าที่สอน โดยชว่ ยสร้างสภาพการเรยี นรใู้ ห้ ผูเ้ รียนเปล่ียนพฤติกรรมตามทีม่ งุ่ หวัง บางครงั้ ต้องชว่ ยครูสอน บางครัง้ ตอ้ งสอนแทนครู ดงั นัน้ ก่อนนาส่ือ การสอนไปใช้ ครูจึงควรม่ันใจว่า สื่อการสอนนนั้ มปี ระสิทธิภาพในการช่วยให้เดก็ เกดิ การเรียนรู้จริง การหาประสิทธิภาพตามลาดับข้ันจะช่วยให้เราใช้สอ่ื การสอนท่ีมคี ุณคา่ ทางการสอนจริง ตามเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ 3) สาหรบั ผู้ผลติ สื่อการสอน การทดสอบประสทิ ธภิ าพจะทาให้ผูผ้ ลติ มนั่ ใจได้ว่า เน้ือหาสาระ ท่ีบรรจุลงในสื่อการสอนเหมาะสม ง่ายต่อการเข้าใจ อนั จะช่วยให้ผผู้ ลิตมคี วามชานาญสูงข้ึน เปน็ การ ประหยดั แรงสมอง แรงงาน เวลา และเงินทองในการเตรยี มตน้ แบบ

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจดั การเรยี นรู้ที่เสนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 59 การหาประสทิ ธภิ าพของส่ือการเรยี นการสอน เผชญิ กจิ ระการ (2544 : 46-1) ไดอ้ ธิบายวา่ การหาประสิทธภิ าพของสื่อการเรยี นการสอนใด ๆ มี กระบวนการสาคญั อยู่ 2 ข้ันตอน คอื ขนั้ ตอนการหาประสทิ ธิภาพตามวธิ ีการหาประสทิ ธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) และข้นั ตอนการหาประสทิ ธิภาพตามวิธกี ารหาประสิทธิภาพ เชิงประจกั ษ์ (Empirical Approach) ทง้ั สองวิธนี ้ีตอ้ งทาควบคู่กันไปจงึ จะม่ันใจได้ว่าส่ือหรือเทคโนโลยีการ เรยี นการสอนทีผ่ ่านกระบวนการหาประสิทธภิ าพจะเปน็ ที่ยอมรับได้ ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ 1) วธิ กี ารหาประสิทธภิ าพเชงิ เหตผุ ล (Rational Approach) กระบวนการนี้ เป็นการหาประสิทธภิ าพโดยใชห้ ลักของความรู้ และเหตผุ ลในการตัดสนิ คุณค่าของสื่อการเรียนการสอน โดย อาศยั ผเู้ ชี่ยวชาญ (Panel of Experts) เป็นผู้พจิ ารณาตัดสินคุณคา่ เปน็ การหาคา่ ความเที่ยงตรงเชงิ เน้ือหา (Content Validity) และความเหมาะสมในด้านความถูกตอ้ งของการนาไปใช้ (Useability) นาผลจากการ ประเมนิ ของผูเ้ ชยี่ วชาญแต่ละคนมาหาประสทิ ธภิ าพ โดยใช้สตู ร ดังน้ี CVR  2Ne  1 N เม่อื CVR แทน ประสิทธิภาพเชงิ เหตผุ ล (Rational Approach) Ne แทน จานวนผเู้ ช่ยี วชาญทยี่ อมรบั (Number of Panelists Who Had Agreement) N แทน จานวนผเู้ ชยี่ วชาญท้งั หมด (Total Number of Panelists) ผู้เชย่ี วชาญจะประเมนิ ส่ือการเรียนการสอนตามแบบประเมินทีส่ ร้างขน้ึ ในลักษณะ ของแบบสอบถามชนิดมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) (นิยมใชม้ าตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดบั ) นาคา่ เฉลีย่ ที่ไดจ้ ากแบบประเมนิ ของผเู้ ชี่ยวชาญแต่ละคนไปหาค่าในสูตร สาหรบั ค่าเฉลยี่ ของผ้เู ชยี่ วชาญท่ยี อมรบั จะต้องอยู่ในระดบั มากขน้ึ ไป คือ ค่าเฉล่ียตัง้ แต่ 3.50–5.00 ค่าท่คี านวณไดต้ ้องสูง กวา่ คา่ ท่ีปรากฏในตารางตามจานวนจะตอ้ งปรบั ปรุงแก้ไขสื่อและนาไปให้ผู้เช่ยี วชาญพจิ ารณาใหม่ 2) วธิ ีการหาประสิทธภิ าพเชิงประจกั ษ์ (Empirical Approach) วธิ ีการนี้จะนาส่อื ไปทดลองใช้กับกล่มุ นักเรียนเปา้ หมาย การหาประสิทธิภาพของส่ือ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) บทเรยี นโปรแกรม ชุดการสอน แผนการเรียนรู้ แบบฝึกเสริมทกั ษะ เป็นต้น ส่วนมากใชว้ ิธีการหาประสิทธิภาพด้วยวธิ ีน้ี การหาประสทิ ธภิ าพส่วนใหญ่ จะพจิ ารณาจากเปอร์เซ็นต์การทาแบบฝกึ หดั หรือกระบวนการเรียนหรือแบบทดสอบย่อย โดยแสดงเปน็ คา่ ตัวเลข 2 ตวั เชน่ E1/E2 = 80/80, E1/E2 = 90/90 เป็นตน้ เกณฑ์การหาประสิทธภิ าพ (E1/E2 ) มีความหมายแตกต่างกันหลายลักษณะ ในท่นี ี้ จะยกตวั อย่าง E1/E2 = 80/80 ดังน้ี

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรยี นรทู้ ีเ่ สนอขอรบั รางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 60 (1) เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 1 ตวั เลข 80 ตวั แรก (E1) คือ นักเรียนท้งั หมดทา แบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบย่อยได้คะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละ 80 ถอื เป็นประสทิ ธภิ าพ ของกระบวนการ สว่ นตวั เลข 80 ตวั หลงั (E2 ) คือ นักเรียนท้งั หมดที่ทาแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) ได้คะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 80 ถือเปน็ ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ สว่ นการหาค่า E1 และ E2 ใช้สตู ร ดงั น้ี X   N E1   A  100 เมอ่ื E1 แทน ประสทิ ธิภาพดา้ นกระบวนการ X แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรยี น A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรียน N แทน จานวนนักเรยี นทเ่ี ปน็ กลุ่มตวั อย่าง Y   N E2   B  100 เมอ่ื E2 แทน ประสทิ ธภิ าพดา้ นผลลพั ธ์  Y แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน N แทน จานวนนกั เรยี นทีเ่ ป็นกลุ่มตัวอย่าง (2) เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 2 ตวั เลข 80 ตวั แรก (E1) คอื จานวนนักเรยี น รอ้ ยละ 80 ทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ไดค้ ะแนน รอ้ ยละ 80 ทกุ คน สว่ นตวั เลข 80 ตัวหลัง (E2 ) คือ นักเรยี นทั้งหมดทาแบบทดสอบหลังเรียนครงั้ นน้ั ได้คะแนนเฉล่ีย รอ้ ยละ 80 เช่น มนี ักเรียน 40 คน รอ้ ยละ 80 ของนักเรียนทัง้ หมด คอื 32 คน แตล่ ะคน ได้คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนถึง ร้อยละ 80 คือ E1 ส่วน 80 ตัวหลัง E2 คือ ผลการทดสอบหลัง เรยี นของนักเรยี นทั้งหมด 40 คน ได้คะแนนเฉลี่ย รอ้ ยละ 80

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจดั การเรียนรทู้ ่เี สนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 61 (3) เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 3 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คอื จานวนนักเรยี น ทงั้ หมดทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ไดค้ ะแนน รอ้ ยละ 80 ตวั เลข 80 ตวั หลัง (E2 ) คอื คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ 80 ทน่ี ักเรยี นทาเพิ่มขึ้นจากแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) โดยเทยี บคะแนนท่ที าไดก้ ่อนการเรียน (Pre–test) ยกตวั อย่าง ตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2 ) ดงั น้ี สมมุตนิ ักเรียน ทั้งหมดทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ได้คะแนนเฉลี่ย รอ้ ยละ 10 แสดงวา่ แตกต่างจากคะแนนเตม็ (ร้อยละ 100) เท่ากับ 90 ถ้านักเรียนทงั้ หมดทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post–test) ไดค้ ะแนนเฉลย่ี ร้อยละ 85 แสดงว่า ความแตกตา่ งของ 2 ครงั้ น้ี (ก่อนเรียนกับหลังเรยี น) เท่ากบั 85–10 = 75 ดงั น้นั คา่ E1 = 75 100 = 83.33 % ถอื วา่ สูงกวา่ เกณฑท์ ่กี าหนดไว้ 90 (E2 = 80) (4) เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 3 ตวั เลข 80 ตัวแรก (E1 ) คอื นักเรยี นทัง้ หมดทีท่ า แบบทดสอบหลังเรยี นไดค้ ะแนนเฉลีย่ ร้อยละ 80 สว่ นตวั เลข 80 ตัวหลัง (E2 ) หมายถึง นกั เรียนทัง้ หมด ทาแบบทดสอบหลงั เรียนแต่ละข้อถูกมีจานวน ร้อยละ 80 ถา้ นกั เรยี น ทาข้อสอบข้อใดถกู มจี านวนนกั เรียนไม่ถงึ ร้อยละ 80 แสดงว่า ส่ือไม่มีประสิทธภิ าพและช้ีใหเ้ หน็ วา่ จุดประสงค์ที่ตรงกับข้อน้ันมีความบกพร่อง สรปุ ได้ว่า เกณฑ์การหาประสิทธภิ าพของสื่อการเรียนการสอนจะนิยมต้ังเป็นตัวเลข 3 ลกั ษณะ คือ 80/80, 85/85 และ 90/90 ทง้ั น้ีขนึ้ อยู่กับธรรมชาติของวิชา และเนื้อหาท่นี ามาสร้างสื่อ น้ัน ถ้าเปน็ วิชาท่คี ่อนขา้ งยากก็อาจตง้ั เกณฑ์ไว้ 80/80 หรือ 85/85 สาหรับวชิ าที่มีเน้ือหาง่ายก็อาจตง้ั เกณฑ์ ไว้ที่ 90/90 เป็นต้น นอกจากนี้ยงั ตัง้ เกณฑเ์ ป็นคา่ ความคลาดเคลอื่ นไว้ เท่ากบั รอ้ ยละ 2.5 น้นั คอื ถ้าตง้ั เกณฑ์ไว้ท่ี 90/90 เม่อื คานวณแล้วคา่ ท่ถี ือว่าใชไ้ ด้ คือ 87.5/87.5 หรือ 87.5/90 เป็นตน้ ประสทิ ธภิ าพของสอ่ื การเรียนการสอน จะมาจากผลลพั ธข์ องการคานวณหา E1 และ E2 เปน็ ตัวเลขตวั แรกและตวั หลงั ตามลาดบั ถา้ ตวั เลขเขา้ ใกล้ 100 มากเท่าไรยิ่งถือวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพมากขึ้น เปน็ เกณฑ์ท่ีใช้พิจารณาการรับรองประสทิ ธภิ าพของส่อื การเรยี นการสอน ดชั นีประสิทธผิ ลของส่อื การเรียนการสอน ดชั นีประสิทธิผล (Effectiveness Index) หมายถึง ตวั เลขที่แสดงถงึ ความกา้ วหน้า ในการเรยี นของนักเรยี น โดยการเทยี บคะแนนท่ีเพ่ิมข้นึ จากการประเมนิ พัฒนาการกอ่ นการจัด ประสบการณ์ได้จากการประเมนิ หลงั การจัดประสบการณ์ และคะแนนเต็มหรือคะแนนสูงสดุ กับคะแนนท่ีได้จากการประเมินพฒั นาการก่อนจดั ประสบการณเ์ มือ่ มีการประเมินสื่อการสอน ที่ได้ผลติ ขน้ึ มา เรามักจะดถู งึ ประสทิ ธิผลทางดา้ นการสอนและการวดั ประเมินผลทางสื่อน้นั ตามปกติแล้วจะเป็นการประเมินความแตกต่างของคา่ คะแนนใน 2 ลกั ษณะ คือ ความแตกต่าง ของคะแนนการประเมินพัฒนาการดา้ นสติปัญญา และการประเมนิ พฒั นาการด้านสตปิ ัญญา หรือเปน็ การประเมนิ พัฒนาการ ระหวา่ งกล่มุ ทดลอง และกล่มุ ควบคุม ในทางปฏบิ ตั สิ ่วนมาก

รายงานการใช้นวตั กรรมการจัดการเรียนรูท้ ่ีเสนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 62 จะเนน้ ทีผ่ ลความแตกตา่ งท่ีแทจ้ ริงมากกวา่ ผลของความแตกต่างทางสถติ ิ แต่บางกรณเี ปรียบเทยี บ เพยี ง 2 ลักษณะก็อาจจะยังไมเ่ พียงพอ เช่น ในกรณีของการทดลองใช้สอ่ื ในการเรยี นการสอน ครง้ั หนงึ่ ปรากฏวา่ กล่มุ ที่ 1 การทดสอบก่อนเรยี นได้คะแนน 18 % การทดสอบหลังเรยี น ได้คะแนน 67 % และกลุ่มที่ 2 การทดสอบกอ่ นเรียนได้คะแนน 27 % การทดสอบหลงั เรยี น ได้คะแนน 74 % เมอ่ื ทาผลการวเิ คราะห์ทางสถติ ิ ปรากฏวา่ คะแนนทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทัง้ 2 กลุ่ม แต่เมือ่ เปรยี บเทียบคะแนนการทดสอบหลังเรยี นระหว่าง กลมุ่ ที่ 2 ปรากฏว่า ไม่มีความแตกต่างกนั ซ่ึงไมส่ ามารถระบไุ ดว้ ่าเกิดข้นึ เพราะส่ิงทดลอง (Treatment) นั้น หรือไม่ เน่ืองจากการทดสอบท้ัง 2 กรณี มคี ะแนนพนื้ ฐาน (คะแนนทดสอบ กอ่ นเรียน) แตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลถึงคะแนนการทดสอบหลงั เรียนทจ่ี ะเพ่ิมข้นึ สูงสุดของแตล่ ะกรณี เผชิญ กิจระการ (2545 : 1-6) ได้อธิบายว่าดัชนปี ระสิทธิผล (Effectiveness Index) คือ ค่า ความแตกต่างของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและคะแนนการทดสอบหลงั เรยี น เป็นการทดสอบความ แตกตา่ งเกยี่ วกับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ดัชนปี ระสทิ ธิผล คานวณได้ จากการหาความแตกต่างของการทดสอบก่อนเรยี นและการทดสอบหลังเรยี นด้วยคะแนนพืน้ ฐานและคะแนนที่ สามารถทาไดส้ งู สดุ ดัชนีประสทิ ธผิ ล จะเปน็ ตวั บ่งช้ีถึงขอบเขตและประสิทธภิ าพสงู สดุ ของส่ือหรือการสอน เวบบ์ (Webb. 1963 : unpaged ; อ้างในเผชญิ กิจระการ. 2545 : 1) ได้เปรียบเทียบความ แตกต่างของคะแนน โดยใช้วิธกี าร 3 แบบ ซ่ึงเพิม่ เติมจากดชั นีประสิทธิผลของ Hovland โดย Webb ให้ ความสนใจคา่ เฉลย่ี ร้อยละของคะแนน ซึ่งเรียกว่า Conventional โดยจะคานวณจาก ค่าคะแนนรอ้ ยละของ กลุ่มควบคุมลบออกจากคะแนนรอ้ ยละของกลุ่มทดลองแล้วจงึ หารด้วย รอ้ ยละของกลุ่มควบคุม ผลทไี่ ดจ้ ะแสดงถงึ ร้อยละที่เพิ่มขน้ึ (หรือทดลอง) เปรยี บเทยี บกับคะแนน ของกลุ่มควบคุม ดัชนีประสิทธิผล มีรปู แบบการหาคา่ ดังนี้ ดัชนปี ระสิทธผิ ล  ผลรวมของคะแนนหลังเรียนของทุกคน -ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนของทุกคน ( จานวนนกั เรียน คะแนนเต็ม) -ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนของทุกคน จานวนเศษสว่ นของ E.I. จะเปน็ เศษที่ได้จากการวัดระหว่างการทดสอบก่อนเรียน (P1) และการทดสอบหลงั เรียน (P2 ) ซง่ึ คะแนนทั้ง 2 ประเภทนี้จะแสดงถึง คา่ รอ้ ยละของคะแนนรวม สงู สดุ ที่ทาได้ (100 %) ตัวหารของดชั นี คือ ความแตกตา่ งระหว่างการทดสอบก่อนเรยี น (P1 ) และคะแนนสูงสุดทีน่ ักเรยี นสามารถทาได้ ตอ่ มา Webb ไดป้ รับปรงุ รปู แบบของการแสดงค่า ดัชนีประสิทธผิ ลใหม่ โดยการคูณดว้ ย 100 เพ่ือใหค้ ่าที่ออกมาเปน็ ร้อยละซง่ึ ช่วยใหด้ หู รือตีค่า ให้สะดวกขึ้น ดัชนีประสทิ ธิผล สามารถนามาประยุกต์ใชเ้ พื่อประเมินผลส่ือ โดยรวมถงึ การวัดคา่ เจตคติ ความตัง้ ใจของผเู้ รียน โดยนาคะแนนท่ีไดจ้ ากการทดสอบมาแปลงใหเ้ ป็นรอ้ ยละหาค่าคะแนนสูงสดุ ทเ่ี ป็นไปได้ จากน้ันนานักเรยี นเขา้ รับการทดลอง เสรจ็ แล้วทาการทดสอบหลงั เรยี นแล้วนาคะแนน ท่ีไดม้ าหาค่าดัชนปี ระสทิ ธผิ ล โดยนาคะแนนก่อนเรยี นไปลบออกจากคะแนนหลังเรยี นได้เทา่ ไรนามาหารดว้ ย ค่าท่ไี ด้จากการทดสอบก่อนเรียนสงู สดุ ท่ผี ูเ้ รียนจะสามารถทาไดล้ บดว้ ยคะแนนทดสอบ

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรยี นรู้ท่เี สนอขอรบั รางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 63 กอ่ นเรยี น โดยทาให้อยูใ่ นรูปร้อยละ คา่ ดชั นีประสทิ ธผิ ลจะมีคา่ อยู่ระหว่าง -1.00 ถงึ 1.00 หากคา่ ดัชนีประสทิ ธิผลเป็น 0 แสดงวา่ คะแนนไม่มีการเปลี่ยนแปลง คอื ได้คะแนนเทา่ เดมิ แตถ่ ้าคะแนนทดสอบก่อนเรียน เทา่ กบั 0 และคะแนนทดสอบหลังเรียนนอ้ ยกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน คา่ ที่ไดอ้ อกมาจะมีคา่ เป็นลบ เชน่ P1 = 73 %, P2 = 45 %, คา่ E.I. = -0.38 สภาพของการเรียนเพือ่ รอบรู้ ซ่งึ นกั เรียนแตล่ ะคนจะต้องเรยี นให้ถึงเกณฑ์ทีก่ าหนดไว้ ดชั นีประสิทธิผล สามารถนามาดัดแปลงเพอ่ื อา้ งอิงเกณฑ์ด้วยคา่ ของเกณฑส์ ูงสุดท่ีสามารถเป็นไปได้ ซึ่งในกรณีน้ี ค่าดชั นปี ระสทิ ธิผล อาจจะมีค่าไดถ้ ึง 1.00 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน “ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน” ตรงกบั คาวา่ “Achievement” แปลวา่ ไดร้ บั หรอื ผลสาเรจ็ โดยมีนกั การศึกษาได้ให้ความหมายและคาจากดั ความของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ไวด้ ังน้ี กดู๊ (Good. 1973 : 7 ; อา้ งในนพิ นธ์ สินพนู . 2545 : 18) ผลสัมฤทธ์ิ คือ การทาใหส้ าเร็จ (Accomphlish) หรือประสิทธิภาพทางด้านการกระทาในทักษะที่กาหนดใหห้ รือในด้านความรู้ สว่ นผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน หมายถงึ ความสามารถในการเข้าถงึ ความรู้ (Knowledge Attained) การพฒั นาทกั ษะในการ เรียนโดยอาศยั ความพยายามจานวนหนึ่ง และแสดงออกในรปู ความสาเรจ็ ซ่ึงสามารถสังเกตและวัดได้ด้วยเคร่อื งมือทางจิตวทิ ยาหรือแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนทั่วไป ทศิ นา แขมมณี (2548 : 10) กลา่ ววา่ ผลสมั ฤทธ์ิ คอื การทาให้สาเร็จ ส่วน ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง การเข้าถงึ ความรู้ มีการพฒั นาทักษะในด้านการเรียน ซึ่งอาจดูไดจ้ าก ผลการเรยี นท่ีได้จากการทดสอบ จากข้อความข้างตน้ จงึ สรปุ ได้วา่ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถของ บุคคล ซงึ่ เป็นผลจากการเรยี นรู้ในเนื้อหาวชิ าทส่ี อบ จดุ มุง่ หมายของการวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2539 : 29-30) กลา่ วว่าการวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน มจี ดุ ม่งุ หมาย เพ่อื เปน็ การตรวจสอบความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบคุ คลว่า เรียนแลว้ รู้อะไรบา้ ง และมีความสามารถด้านใด มากน้อยเทา่ ใด เชน่ พฤติกรรมการจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมินค่ามากน้อยอยใู่ นระดบั ใด ลกั ษณะของการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เป็นการตรวจสอบพฤตกิ รรมของผเู้ รยี นในดา้ นพุทธิพสิ ัย ซึง่ เป็นการวัด 2 องค์ประกอบ ตามจดุ ม่งุ หมายและลักษณะของวชิ าท่เี รยี น ดงั น้ี 1) การวัดด้านการปฏบิ ัติ เป็นการตรวจสอบความรู้ ความสามารถทางการปฏิบตั ิ โดยให้ผเู้ รยี นได้ลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ใหเ้ ห็นเปน็ ผลงานปรากฏออกมาให้ทาการสังเกตและวดั ได้ เชน่ วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การช่าง เปน็ ต้น การวัดแบบนี้จึงตอ้ งใช้ข้อสอบภาคปฏิบตั ิ (Perfor mance test) ซึ่งการประเมนิ ผลจะพจิ ารณาทีก่ ารปฏบิ ัติ (Procedure) และผลงานทปี่ ฏบิ ัติ

รายงานการใช้นวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้ทีเ่ สนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 64 2) การวดั ในดา้ นเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความรู้ ความสามารถเกย่ี วกับเน้อื หาวชิ า (Content) รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านตา่ ง ๆ อันเปน็ ผลมาจากการเรยี นการสอน มีวิธี การสอบได้ 2 ลักษณะ คอื (1) การสอบปากเปลา่ (Oral Test) การสอบแบบนีจ้ ะทาเป็นรายบุคคล ซ่งึ เป็น การสอบที่ต้องการดูผลเฉพาะอย่าง เช่น การสอบอา่ นฟงั เสยี ง การสอบสมั ภาษณ์ ซึ่งตอ้ งการดู การใช้ถ้อยคาในการตอบคาถามรวมทัง้ การแสดงความคดิ เห็น และบุคลกิ ภาพตา่ ง ๆ เชน่ การสอบปรญิ ญา นพิ นธ์ ซ่ึงต้องการวัดความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองทที่ าตลอดจนแงม่ มุ ตา่ ง ๆ การสอบปากเปลา่ สามารถสอบวดั ไดล้ ะเอียดลึกซึ้ง และคาถามก็สามารถเปล่ียนแปลงหรอื เพิ่มเติมได้ตามต้องการ (2) การสอบแบบใหเ้ ขียนตอบ (Paper-Pencil Test or Written Test) เป็นการสอบวดั ที่ให้ผู้สอบเขียนเปน็ ตัวหนงั สือตอบ ซ่ึงมรี ูปแบบการตอบอยู่ 2 แบบ คือ - แบบไมจ่ ากัดคาตอบ (Free Response Type) ได้แก่ การสอบวดั ทใี่ ชข้ ้อสอบอตั นยั หรือความเรยี ง (Essay Test) - แบบจากดั คาถาม (Fixed Response Type) เป็นการสอบท่ีกาหนดขอบเขตของ คาถามทจี่ ะให้คาตอบหรือกาหนดคาตอบมาให้เลือก การวดั ผลสมั ฤทธดิ์ ้านเนอ้ื หาโดยการเขยี นตอบน้ัน เป็นท่ีนิยมแพรห่ ลายในโรงเรียน ซงึ่ มี เครือ่ งมอื ที่ใช้สอบวดั เรียกวา่ วัดสอบสัมฤทธิห์ รือแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน (Achievement test) ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน บญุ ชม ศรสี ะอาด (2546 : 122) ใหน้ ิยามวา่ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เป็นแบบทดสอบที่ใชว้ ดั ผลการเรียนรู้ในเนือ้ หา และจุดประสงค์ในรายวิชาต่าง ๆ ท่ีเรยี นในโรงเรยี นและ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ เป็นเครอื่ งมือหลักของการวดั ผล สมนกึ ภทั ทิยธนี (2546 : 73-82) ให้นิยามว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ แบบทดสอบทีว่ ดั สมรรถภาพทางสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรยี นได้รบั การเรียนรู้ผ่านมาแลว้ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น แบ่งได้ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบที่ครูสร้างขนึ้ และแบบทดสอบมาตรฐาน จากข้อความข้างตน้ สรุปไดว้ า่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น หมายถึง แบบทดสอบที่ วดั ความรู้ ความสามารถของบคุ คล ซ่ึงเปน็ ผลจากการเรียนรู้ในเนือ้ หาวชิ าทสี่ อบ การบวนการสรา้ งแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วัญญา วศิ าลาภรณ์ (2553 : 11-12) ไดใ้ ห้หลกั เกณฑเ์ บื้องต้นในการสรา้ งแบบทดสอบ วัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนว่า ควรจะพจิ ารณาหลักเกณฑเ์ บ้อื งต้น ดงั ต่อไปน้ี 1) วดั ให้ตรงกบั วัตถปุ ระสงค์ การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ควรจะวัดตาม จุดมุ่งหมายทุกอย่างของการสอนและจะต้องม่นั ใจวา่ ไดว้ ัดสิง่ ที่ต้องการจะวดั ได้จริง ในปจั จุบัน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ได้กาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ในทุกรายวชิ า ดังนน้ั จึงจาเปน็ ต้องวดั ให้ตรง และใหค้ รบตามจุดประสงค์

รายงานการใช้นวตั กรรมการจัดการเรียนรทู้ เี่ สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 65 2) การวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เปน็ การวัดความเจรญิ งอกงามของการเรียน การเปลี่ยนแปลง และความก้าวหน้าไปส่จู ดุ มงุ่ หมายที่วางไว้ ดนั นนั้ ครคู วรจะทราบว่า กอ่ นเรยี น นกั เรยี นมี ความรู้ ความสามารถอยา่ งไร เม่ือเรยี นเสรจ็ แลว้ มคี วามสามารถแตกตา่ งไปจากเดิมหรือไม่ วธิ ที ี่อาจช่วยได้ คอื การทดสอบก่อนเรียนและการทดสอบหลงั เรยี น 3) การวดั ผลเปน็ การวดั ทางอ้อม เปน็ การยากทจ่ี ะใช้ข้อสอบแบบเขยี นตอบวัดพฤตกิ รรมตรง ๆ ของบุคคลได้ สิง่ ทว่ี ัดได้ คือ การตอบสนองของข้อสอบ ดงั นน้ั การเปลีย่ นแปลง จุดมงุ่ หมายให้เป็น พฤติกรรมท่จี ะสอบวดั จะต้องทาอย่างรอบครอบ และถกู ต้อง 4) การวดั ผลการศึกษา เปน็ การวัดไมส่ มบรู ณ์ เปน็ การยากทจี่ ะวดั ทุกส่งิ ทุกอย่าง ทส่ี อนได้ในเวลาจากดั ส่ิงทีส่ อบได้ วัดได้เพียงตวั แทนพฤติกรรมทงั้ หมดเท่าน้นั ดงั นน้ั จึงตอ้ งม่ันใจวา่ ส่งิ ท่ี สอบวัดน้ันเปน็ ตวั แทนท่ีแท้จริง 5) การวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน นน้ั ไม่ใชว่ ดั เพยี งเพ่ือจะตัดเกรดเทา่ น้ัน การวัดผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี น ยงั เปน็ เครือ่ งช่วยในการพฒั นาการสอนของครู เป็นเครื่องชว่ ยในการเรียน ของนักเรยี น ดงั น้นั การสอบปลายภาคคร้ังเดยี วจึงไมพ่ อที่จะวัดกระบวนการเจรญิ งอกงาม ของนักเรียนได้ 6) ในการให้การศึกษาทสี่ มบูรณน์ ้ัน สิ่งสาคัญไม่ได้อยทู่ ี่การทดสอบแต่เพยี งอยา่ งเดียว กระบวนการสอนของครูกเ็ ป็นสว่ นสาคญั อย่างยิ่ง 7) การวดั ผลการศึกษา มีความผดิ พลาดของท่ีช่ังละเอยี ด ทฤษฎีการวดั ผลเชือ่ ว่า คะแนนที่ สอบได้ = คะแนนจริง + ความผดิ พลาดในการวัด 8) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ควรจะเนน้ ความสามารถในการใช้ความรู้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ หรอื การนาความรไู้ ปใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ ๆ 9) ควรคานงึ ถึงขดี จากัดของเครื่องมือท่ีใชใ้ นการวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เคร่อื งมือ ที่ใช้โดยมาก คือ ขอ้ สอบ ขีดจากัดของข้อสอบ ได้แก่ การเลือกตวั แทนของเน้อื หาเพื่อมาเขยี นข้อสอบ ความเชอ่ื ไดช้ องคะแนน และการตีความหมายของคะแนน เปน็ ตน้ 10) ควรจะใช้ชนิดของแบบทดสอบหรือข้อความใหส้ อดคล้องกับเนื้อหาวชิ าท่จี ะสอบ และ จดุ ประสงคท์ จี่ ะสอบวดั 11) ในสภาพแวดลอ้ มทตี่ ่างกัน คะแนนท่ีสอบได้อาจแตกต่างกนั ดงั น้ัน ในการวัด ผลการศึกษาจะต้องจดั ส่งิ แวดล้อมให้พอเหมาะ 12) ให้ข้อสอบมีความเหมาะสมกบั นักเรยี นในด้านต่าง ๆ เชน่ มีความยากง่ายพอเหมาะ มี ระดับความยากง่ายของภาษาทใี่ ชใ้ ห้พอเหมาะ มีเวลาสอบนานพอท่ีนักเรียนสว่ นใหญ่ จะทาข้อสอบไดเ้ สรจ็ บญุ ชม ศรสี ะอาด (2545 : 56-58) ได้กลา่ วถึงวธิ ีการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน โดยดาเนินการตามขนั้ ตอน ตอ่ ไปน้ี 1) วเิ คราะหจ์ ดุ ประสงค์ เนอื้ หาวชิ า และทาตารางกาหนดลักษณะข้อสอบ ขนั้ แรกสดุ ตอ้ งทาการวิเคราะหว์ ่า วิชาหรอื หวั ขอ้ ทจ่ี ะสรา้ งข้อสอบวดั ผลนมี้ ีจุดประสงค์การสอนหรือจดุ ประสงค์การ เรียนร้อู ะไรบ้าง ทาการวิเคราะห์เนือ้ หาวชิ าว่า มีโครงสรา้ งอยา่ งไร จดั เขยี นหวั ขอ้ ใหญ่ หัวขอ้ ยอ่ ยทุกหัวข้อ

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรยี นรู้ทเี่ สนอขอรับรางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 66 พจิ ารณาความเกีย่ วโยง ความสัมพันธ์ระหวา่ งเนื้อหาเหล่านัน้ จากนั้นก็จัดทาตารางกาหนดลกั ษณะข้อสอบที่ เรยี กว่า ตารางวเิ คราะห์หลกั สตู ร ตารางน้มี ี 2 มิติ คอื ดา้ นเน้ือหากับสมรรถภาพทตี่ ้องการวัด เขียน หวั ข้อเน้อื หาท่ีเปน็ หัวข้อเรอ่ื งใหญ่ ๆ ตามหลกั สตู รวิชาน้ัน ๆ ลงไปใน แต่ละแถวของตารางตามลาดับ สว่ นดา้ นบนจะเป็นสมรรถภาพซึง่ ไดจ้ ากการวเิ คราะห์จุดประสงค์ และในการทาตารางกาหนดลักษณะของข้อสอบน้ัน ขนั้ แรกสดุ พจิ ารณาวา่ จะออกขอ้ สอบท้ังหมดกีข่ ้อ เขยี นจานวนขอ้ ลงในช่องรวมชอ่ งสุดทา้ ย จากนั้นพิจารณาว่า หวั ขอ้ เร่อื งใดสาคญั มากน้อย เขยี นลาดบั ความสาคัญลงไป แลว้ กาหนดจานวนข้อสอบท่ีจะวดั ในแต่ละหวั ขอ้ ตามอันดับความสาคัญ จากนนั้ กาหนด จานวนขอ้ ในแต่ละชอ่ ง จานวนขอ้ สอบท่จี ะวัดในแต่ละช่องข้นึ อยู่กบั วา่ เรอื่ งนน้ั ต้องการใหเ้ กิดสมรรถภาพใน ด้านใดมากน้อยกว่ากัน 2) กาหนดแบบของขอ้ คาถามและศึกษาวิธีการเขยี นข้อสอบ ทาการพิจารณา และตัดสินใจว่า จะใชค้ าถามรูปแบบใด ศกึ ษาวิธีการเขียนขอ้ สอบ หลักการเขยี นคาถาม สมรรถภาพตา่ ง ๆ ศึกษาเทคโนโลยใี นการเขยี นข้อสอบเพื่อนามาใชเ้ ป็นหลกั ในการเขยี นข้อสอบ 3) เขียนข้อสอบ โดยใช้ตารางกาหนดลกั ษณะของข้อสอบท่ีจัดทาไว้ใน ข้อที่ 1) เป็นกรอบ ซึง่ จะทาให้สามารถออกข้อสอบวดั ไดค้ รอบคลุมทุกหวั ข้อเนื้อหาและทุกสมรรถภาพ สว่ นรูปแบบและเทคนิคในการเขียนขอ้ สอบยดึ ตามทศี่ ึกษาใน ข้อที่ 2) 4) ตรวจทานข้อสอบ นาข้อสอบทีไ่ ด้เขยี นไวใ้ น ข้อท่ี 3) มาพิจารณาทบทวน อกี ครั้งหนงึ่ โดยพิจารณาวา่ ถูกต้องตามตารางกาหนดลักษณะขอ้ สอบหรือไม่ ภาษาท่ีใช้เขยี น มคี วามชัดเจน เขา้ ใจง่าย เหมาะสมดีแลว้ หรือไม่ ตัวถูก ตัวลวงเหมาะสมกบั หลกั เกณฑห์ รอื ไม่ หลังพิจารณาข้อบกพร่องแลว้ นาเอาข้อวิจารณ์นนั้ มาพจิ ารณาปรบั ปรงุ แก้ไขให้เหมาะสมยง่ิ ขึ้น 5) พิมพแ์ บบทดสอบฉบับทดลอง นาขอ้ สอบทัง้ หมดมาพิมพเ์ ป็นแบบทดสอบ โดยพิมพ์คาช้ีแจงหรอื คาอธบิ ายวธิ กี ารทาแบบทดสอบไว้ที่ปกของแบบทดสอบอย่างละเอียดและชัดเจน จดั พมิ พ์รูปแบบให้เหมาะสม 6) ทดลองใช้ เพอื่ วิเคราะห์คุณภาพและปรบั ปรงุ นาแบบทดสอบไปทดลองกบั กลุ่มที่ คล้ายกันกับกลมุ่ ตวั อย่างทจี่ ะสอบจริงซง่ึ ไดเ้ รยี นในวชิ าเนือ้ หาทจ่ี ะสอบแลว้ นาผลการสอบมาตรวจ ให้คะแนน ทาการวเิ คราะหค์ ุณภาพ คัดเลือกเอาข้อท่ีมีคุณภาพเข้าเกณฑต์ ามจานวนท่ีตอ้ งการ ถา้ ข้อทเี่ ขา้ เกณฑม์ ีจานวนมากกว่าทต่ี ้องการก็ตัดข้อทีม่ ีเน้ือหามากกวา่ ท่ตี ้องการ ซง่ึ เป็นข้อสอบทีม่ ีอานาจ จาแนกตา่ สุดออกตามลาดับ นาเอาผลการสอบทคี่ ิดเฉพาะขอ้ สอบเข้าเกณฑ์เหล่านัน้ มาคานวณหาคา่ ความ เชอื่ มัน่ 7) พมิ พ์แบบทดสอบฉบบั จริง นาข้อสอบทม่ี ีอานาจจาแนกและระดับความยากเขา้ เกณฑต์ าม จานวนทีต่ อ้ งการใน ข้อท่ี 6) มาพมิ พเ์ ป็นแบบทดสอบฉบับท่จี ะใช้จริง ซึง่ จะตอ้ งมี คาชี้แจงวธิ ที าดว้ ย และในการพมิ พน์ อกจากใชร้ ูปแบบท่เี หมาะสมแล้ว ควรคานงึ ถึงความประณีต ความ ถกู ต้อง ซึง่ จะต้องตรวจทานใหด้ ี สมนกึ ภัททิยธนี (2546 : 97) ไดเ้ สนอวิธีการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ไว้ว่า 1) ครูผสู้ อนควรทาความเขา้ ใจข้อสอบแตล่ ะชนิด และทกุ ครั้งที่จะออกข้อสอบชนดิ ใด ควร คานึงถึงหลักการออกข้อสอบชนดิ นนั้ ๆ ด้วย

รายงานการใช้นวตั กรรมการจดั การเรียนรทู้ ่ีเสนอขอรบั รางวัล โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 67 2) ขอ้ สอบชนิดใดก็ตามหากมคี ณุ สมบัติเป็นไปตามคุณลกั ษณะของแบบทดสอบที่มหี ลาย ประการก็เป็นข้อสอบทด่ี มี ากเท่านนั้ 3) ปัจจบุ นั นักเรยี นมจี านวนมาก การพมิ พแ์ ละการตรวจข้อสอบสามารถใช้เคร่ืองจักรกลแทน การตรวจด้วยคน จงึ ควรใชข้ ้อสอบแบบเลอื กตอบ 4) โดยท่ัวไปในการสอบแตล่ ะครัง้ น่าจะใชข้ ้อสอบเพียง 2 ชนดิ ก็มปี ระสทิ ธิภาพเพยี งพอ แล้ว ไดแ้ ก่ ขอ้ สอบอัตนยั หรือความเรยี งกับข้อสอบแบบเลือกตอบ ส่วนขอ้ สอบชนดิ อื่น ๆ นา่ จะใชเ้ ปน็ เพียง แบบฝกึ หดั หรอื อาจจะใช้งานทดสอบย่อย เพื่อยว่ั ยุ จูงใจใหน้ ักเรยี นสนใจในวชิ า ท่กี าลังสอนและสามารถพฒั นาให้เปน็ ข้อสอบ 2 ชนดิ น้ี กล่าวคือ (1) ถา้ เปน็ แบบข้อสอบกาถูก - กาผดิ ควรพัฒนาใหเ้ ป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ (2) ถ้าเป็นข้อสอบแบบจับคู่ ควรพฒั นาใหเ้ ป็นข้อสอบแบบเลอื กตอบชนดิ ตัวเลอื กคงท่ี (3) ถา้ เป็นข้อสอบแบบเติมคาหรือตอบสัน้ ๆ ควรพฒั นาให้เปน็ ขอ้ สอบ แบบเลอื กตอบ (ถา้ ใหต้ อบสัน้ ๆ) หรือแบบอัตนัย (ถ้าให้ตอบยาว ๆ) จากข้อความดงั กล่าวข้างตน้ จึงสรุปไดว้ า่ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ควร จะสรา้ งตามลาดบั ขัน้ ตอน เรม่ิ จากการวเิ คราะหจ์ ุดประสงค์ เนื้อหาวิชา ทาตารางวเิ คราะห์ข้อสอบที่กาหนด รปู แบบของข้อคาถาม ศึกษาวิธีการเขยี นขอ้ สอบ ตรวจทาน พิมพแ์ บบทดสอบ ฉบบั ทดลอง ทดลองใช้ วเิ คราะห์คณุ ภาพ และปรับปรุงแล้วพิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง คณุ ลักษณะท่ีดีของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น ชวาล แพรัตนกุล (2550. 123 : 136) กลา่ ววา่ แบบทดสอบทด่ี ี ควรมลี กั ษณะ 10 ประการ ดังน้ี 1) ตอ้ งเทีย่ งตรง (Validity) หมายถงึ คณุ สมบัตทิ ี่จะทาใหผ้ ใู้ ชบ้ รรลจุ ดุ ประสงค์ เป็นแบบทดสอบทีม่ ีความเทีย่ งตรงสูง คือ แบบทดสอบที่สามารถทาหน้าทว่ี ัดสิ่งทเ่ี ราต้องการวัดได้อย่าง ถูกต้องตามความมุ่งหมาย 2) ต้องยุตธิ รรม (Fair) คอื โจทย์คาถามทง้ั หลายไม่มชี ่องทางแนะให้เด็กเดาคาตอบได้ ไม่เปิด โอกาสให้เด็กทเ่ี กยี จคร้านท่จี ะดูตาราแตส่ อบได้ดี 3) ต้องถามลกึ (Searching) วัดความลึกซงึ้ ของวิทยาการตามแนวดิ่งมากกว่าทจี่ ะ วดั ตามแนวกวา้ งว่า รมู้ ากน้อยเพียงใด 4) ต้องยั่วยุ (Exemplary) คาถามมลี ักษณะทา้ ทาย ชกั ชวนให้คิด สอบแล้วมี ความอยากรู้มาก - น้อยเพียงใด 5) ต้องจาเพาะเจาะจง (Definite) เด็กอ่านคาถามแลว้ ตอ้ งเข้าใจแจ่มแจ้งวา่ ครถู าม ถงึ อะไรหรือให้คดิ อะไร ไม่ถามคลุมเครือ 6) ต้องเปน็ ปรนยั (Objectivity) หมายถึง คุณสมบตั ิ 3 ประการ คือ (1) ต้องแจ่มชัดในความหมายของคาถาม (2) แจ่มชัดในวิธีการตรวจหรอื มาตรฐานการให้คะแนน

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรยี นรู้ท่ีเสนอขอรบั รางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 68 (3) แจ่มชดั ในการแปรความหมายของคะแนน 7) ต้องมีประสทิ ธิภาพ (Efficiency) คอื สามารถให้คะแนนทเี่ ทีย่ งตรง และเชือ่ ถือ ไดม้ ากที่สุดภายในเวลา แรงงาน และเงินนอ้ ยท่ีสดุ 8) ตอ้ งยากพอเหมาะสม (Difficulty) 9) ต้องมอี านาจจาแนก (Discrimination) คือ สามารถแยกเด็กออกเปน็ ประเภท ๆ ไดท้ กุ ระดับ ตงั้ แตอ่ ่อนสุดจนถึงเกง่ สุด 10) ตอ้ งเช่ือมัน่ ได้ (Reliability) คอื ข้อสอบนั้นสามารถให้คะแนนได้คงที่ แนน่ อน และไม่แปรผนั นอกจากน้ี สมนกึ ภัททยิ ธนี (2546 : 67) ยังได้กล่าวอีกวา่ แบบทดสอบจะมีคุณภาพเพียงใดตอ้ งมี ลกั ษณะท่ีดี 10 ประการ ดงั นี้ 1) ความเทยี่ งตรง 2) ความเช่ือม่นั 3) ความยตุ ิธรรม 4) ความลกึ ของคาถาม 5) ความยว่ั ยุ 6) ความจาเพาะเจาะจง 7) ความเป็นปรนยั 8) ประสทิ ธิภาพ 9) อานาจจาแนก 10) ความยาก สรุปไดว้ ่า แบบทดสอบทดี่ ีต้องมีลกั ษณะสาคัญ คือ ต้องเทย่ี งตรง ยตุ ิธรรม ถามลึก คาถามย่วั ยุ ตอ้ งจาเพาะเจาะจง เป็นปรนัย มปี ระสิทธิภาพ ยากง่ายพอเหมาะ มีอานาจจาแนก และตอ้ งเชื่อมัน่ ไดจ้ ึงจะเปน็ แบบทดสอบท่ีดีมีมาตรฐาน และใชว้ ดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนได้ตรงตาม จุดประสงคข์ องผ้วู ัดไดอ้ ยา่ งแท้จรงิ ความพงึ พอใจ ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ เป็นคาท่ีมีความหมายหลากหลาย ซึ่งได้จากแนวคิดของแตล่ ะทัศนะตาม กรอบความคดิ และความเช่ือที่แต่ละบุคคลยึดถือ มีนกั วิชาการได้ให้ความหมายความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ มอรส์ (Moss. 1988 ; อา้ งในสงั คม ไชยสงเมือง. 2547 : 43) ใหค้ วามหมายของความ พงึ พอใจไวว้ า่ ความพึงพอใจ หมายถึง ทกุ สง่ิ ทุกอย่างทสี่ ามารถลดความเครยี ดของผู้ท่ีทางานให้ ลดน้อยลง ถ้าเกดิ ความเครียดมากจะทาให้เกดิ ความไม่พอใจในการทางาน และความเครยี ดน้ีมผี ลจากความ ตอ้ งการของมนษุ ย์ เมอ่ื มนษุ ยม์ คี วามต้องการมากจะเกิดปฏิกริ ยิ าเรียกรอ้ งหาวิธีตอบสนอง ความเครยี ดก็จะ ลดน้อยลง

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจดั การเรียนรูท้ ่ีเสนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 69 สเตราส์ และเซเลส (Stout and Seres. 1996 ; อ้างในสังคม ไชยสงเมือง. 2547 : 43) ได้ใหค้ วามเห็นว่าความพึงพอใจ เป็นความรสู้ กึ พอใจในงานท่ีทา เต็มใจท่จี ะปฏิบัตงิ านน้ันใหส้ าเร็จตาม วัตถปุ ระสงค์ กู๊ด (Good. 1973 ; อา้ งในสังคม ไชยสงเมือง. 2547 : 43) กลา่ วว่าความพงึ พอใจ หมายถึง สภาพ หรือระดับความพึงพอใจที่เป็นผลมาจากความสนใจ และเจตคตขิ องบุคคลท่มี ีต่องาน ชยั สมพล ชาวประเสริฐ (2547 : 18) ใหค้ วามหมายของความพงึ พอใจ (customer satisfaction) ไว้ วา่ หมายถงึ การที่ลูกค้าได้รับการบรกิ ารที่สามารถตอบสนองความต้องการ จากความหมายของความพงึ พอใจทมี่ ีผู้ให้ความหมายไว้ขา้ งตน้ ผศู้ กึ ษาคน้ ควา้ พอจะ สรปุ ได้วา่ ความพงึ พอใจ หมายถึง ความร้สู กึ นึกคิดที่ดีของบคุ คลที่มีตอ่ การทางานหรือการปฏบิ ัติกิจกรรม เป็นความรสู้ กึ ในเชิงบวก รู้สึกพอใจ ชอบใจในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมนั้น ๆ ทฤษฎีทเ่ี กีย่ วข้องการสร้างความพึงพอใจ สก๊อต (Scott. 1967 ; อ้างในสังคม ไชยสงเมอื ง. 2547 : 44) ไดเ้ สนอความคิดในเรือ่ ง การจงู ใจใหเ้ กิดความพึงพอใจตอ่ การทางานทจี่ ะใหผ้ ลในเชิงปฏิบัติ มลี กั ษณะ ดังนี้ 1) งานควรมีส่วนสมั พันธก์ ับความปรารถนาส่วนตวั และมีความหมายสาหรบั ผูท้ างานน้ันตอ้ ง มกี ารวางแผน และวดั ความสาเร็จได้ โดยใช้ระบบการทางานและการควบคมุ ที่มปี ระสทิ ธภิ าพ 2) เพื่อใหไ้ ด้ผลในการสรา้ งสิ่งจงู ใจภายในเปา้ หมายของงาน จะตอ้ งมลี กั ษณะ ดงั น้ี (1) คนทางานมีสว่ นในการต้ังเปา้ หมาย (2) ผู้ปฏิบัติไดร้ ับทราบผลสาเร็จในการทางานโดยตรง (3) งานน้ันสามารถทาใหส้ าเรจ็ ได้ เม่ือนาแนวคิดนีม้ าประยุกต์ใช้กบั การจัดการเรยี นรู้ นักเรียนมสี ่วนเลอื กเรียนตาม ความสนใจ และมโี อกาสรว่ มกนั ตง้ั จุดประสงคห์ รือความมุ่งหมายในการทากิจกรรม ได้เลือกวธิ ีแสวงหา ความรดู้ ว้ ยวธิ ที ีผ่ เู้ รยี นถนัด และสามารถคน้ หาคาตอบได้ แคทซ์ (Kates. 2010 ; อ้างในอรพนิ จิรวฒั นศริ ิ. 2547) ได้กล่าวถงึ ทฤษฎกี ารใชป้ ระโยชนแ์ ละ ความพึงพอใจจากส่ือว่า เป็นทฤษฏที ี่ให้ความสาคญั กบั ผบู้ รโิ ภค (Consumer) หรือผู้รับสาร (Receiver) โดยผู้รับสารจะอยูใ่ นฐานะเปน็ ผู้กระทาการเลอื กใช้สอื่ (Active Selector of Media Communication) ซึง่ นบั ไดว้ า่ เป็นมมุ มองทีแ่ ตกต่างไปจากทฤษฎีเดิมท่ีไม่ให้ความสาคัญ กบั ผ้รู ับสาร เพราะแต่เดมิ ผรู้ ับสารถกู มองว่าเป็นผถู้ ูกกระทา ดงั น้นั สมมตุ ฐิ านของทฤษฎีการใชป้ ระโยชน์ และความพึงพอใจในการส่ือสาร ผสู้ ่งสารจงึ ไมอ่ าจคาดหมายความสัมพนั ธ์ระหว่างขา่ วสารกบั ประสิทธผิ ลของ การส่อื สาร เพราะทา่ มกลางความสัมพันธ์ของตวั แปรทั้งสอง มปี จั จัยดา้ นการใชส้ อื่ ของผรู้ บั สารเข้ามาเป็นตัว แปรแทรกซ้อนของกระบวนการสอ่ื สาร แคทซ์ (Kates) ได้ทาการศึกษาและอธิบาย เรอื่ ง การใชป้ ระโยชน์ และการไดร้ บั ความพงึ พอใจจากส่ือ รายละเอียด ดังแสดงในภาพประกอบ 4

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรียนรทู้ ี่เสนอขอรับรางวัล โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 70 สภาวะทาง ความคาดหวัง เปดิ รับสอ่ื มวลชน ส่อื หรือแหล่ง จติ ใจและสงั คม จากส่ือมวลชนหรอื ข่าวสาร รูปแบบตา่ ง ๆ แหล่งข่าวสารอนื่ ๆ (ซ่งึ ก่อใหเ้ กดิ ) (อันก่อให้เกิดผล) การไดร้ บั ความพึงพอใจ ผลอื่น ๆ ทตี่ ามมา ตามทต่ี ้องการ (ทีไ่ มไ่ ดม้ ุ่งหวังได้) ตามทีต่ ้องการ ภาพประกอบ 4 การใชป้ ระโยชน์และการได้รับความพึงพอใจจากสื่อ ท่มี า : อรพิน จิรวัฒนศิริ. 2547 ทั้งนี้ ปจั จยั ทเ่ี ข้ามาเกย่ี วข้องกบั ผรู้ ับสารซงึ่ แคทซ์ (Kates) ใหค้ วามสนใจ คอื สภาพ ทางสังคม และลกั ษณะทางจิตวทิ ยาของผ้รู บั สาร (The Social and Psychological Origins) และความต้องการ และความคาดหวังในการใชส้ ื่อของผู้รบั สาร (Need, Expectation of the Mass Media) สองปัจจัยจะนาไปสู่พฤติกรรมการเปิดรบั ของผูร้ บั สารท่ีแตกต่างกนั อนั เป็นผลมาจาก ความพงึ พอใจทแ่ี ตกต่างกนั และเนื่องจากทฤษฎใี ห้ความสนใจกับบทบาทของผ้รู บั สารวา่ เปน็ ผ้เู ลือกใชส้ ือ่ ไดม้ ีการศกึ ษาถงึ ปจั จัยต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกบั ผู้รบั สาร (เช่น รายได้, การศึกษา) โดยทงั้ สองปจั จยั น้ไี ด้รับพจิ ารณาวา่ นามาซง่ึ เวลาว่างในการเปดิ รบั สอื่ (Free Time of Media Use) ขณะเดยี วกนั สภาวะทางสงั คม และจติ ใจที่ตา่ งกนั ก่อให้มนษุ ย์มีความต้องการแตกต่างกนั ไปดว้ ย ความตอ้ งการท่ีแตกต่างกนั นี้ทาให้แต่ละคนคาดคะเนสอื่ แตล่ ะประเภทเพ่อื สนองตอบความพึงพอใจ ไดแ้ ตกต่างกันไปด้วย เฮอร์เบริ์ก (Herberg. 1959 ; อ้างในสังคม ไชยสงเมือง. 2547 : 45-46) ไดท้ าการศึกษาค้นควา้ ทฤษฎที ีเ่ ป็นมลู เดิมท่ีทาใหเ้ กิดความพึงพอใจ เรียกว่า The Motivation Hygiene Theory ทฤษฎีน้ี ได้ กล่าวถงึ ปจั จยั ทที่ าให้เกดิ ความพงึ พอใจในการทางาน 2 ปัจจยั คอื 1) ปจั จยั กระตนุ้ (Motivation Fact) เป็นปัจจัยทีเ่ กยี่ วกบั การทางาน ซึ่งมี ผลก่อให้เกิดความพงึ พอใจในการทางาน 2) ปจั จัยคา้ จุน (Hygiene Factors) เป็นปจั จัยท่ีเกี่ยวกับสิง่ แวดล้อมในการทางาน และมีหน้าท่ีทาให้บุคคลเกิดความพงึ พอใจในการทางาน ในการดาเนินการจัดการเรียนรู้ความพึงพอใจเป็นสงิ่ สาคัญที่จะกระตนุ้ ให้ผู้ทางานที่ไดร้ ับมอบหมายหรือต้องการปฏิบัตใิ ห้บรรลผุ ลตามวตั ถุประสงค์ ครผู ู้สอนซงึ่ ใน สภาพปัจจุบนั เป็นเพยี งผู้อานวยความสะดวกหรอื ใหค้ าแนะนา ปรึกษาถึงความพงึ พอใจในการเรียนรู้ การทา ให้ผเู้ รียนเกดิ ความพึงพอใจในการเรียนร้หู รอื การปฏบิ ตั ิงาน ชุลทซ์ และชุลท์ (Schultz & Schult. 1998 : 237 ; อ้างในปราณี รามสูต. 2548 : 213) ได้กล่าวถึง ทฤษฎีและการศึกษา เรื่อง การจูงใจไว้อยา่ งน่าสนใจวา่ นักจติ วิทยาองคก์ รม่งุ ศึกษาเรื่องน้ีกนั อยา่ งแพร่หลาย

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรยี นร้ทู ่เี สนอขอรบั รางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 71 ดว้ ยเหตุผลสาคัญ 2 ประการ คือ เพอ่ื พฒั นาประสทิ ธิภาพของงาน และเพื่อช่วยผูป้ ฏบิ ตั ิงาน ไดใ้ ช้เวลา 40-45 ปี ของชีวติ การทางานอาชีพไดด้ าเนนิ อาชีพดว้ ยความสขุ ความพอใจ ซงึ่ ทฤษฎกี ารจูงใจในการ ทางานอาชพี แบง่ ได้เป็น 2 กลุ่ม ดงั นี้ กลุ่มที่ 1 ทฤษฎีการจงู ใจในการทางานทเี่ น้นงาน และความพอใจงานของผปู้ ฏบิ ัติ (content theories) ซึง่ จะเป็นทฤษฎปี ระเภททีม่ งุ่ ให้ผู้ปฏบิ ตั ิเห็นความสาคัญของงาน ความทา้ ทาย ของงาน โอกาสเจริญกา้ วหน้าของงาน และความรับผดิ ชอบงานของผ้ปู ฏิบตั ิ ตวั อย่างทฤษฎีในกล่มุ นี้ เชน่ ทฤษฎีลาดับขัน้ ความต้องการของมาสโลว์, ทฤษฎี อ.ี อาร์.จี ของแอลเดอร์เฟอร์, ทฤษฎแี รงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธิ์ ของแมคเคลล์แลนด์, ทฤษฎีสองปจั จัยของเฮอรซ์ เบอรก์ , ทฤษฎีลักษณะงาน ของแฮคแมนและโอลฮัม เป็นตน้ ซง่ึ ทฤษฎีเหล่านจ้ี ะเน้นอธบิ ายเกย่ี วข้องกบั ความต้องการเฉพาะอยา่ งที่ กระตุ้นเรา้ การกระทาของบคุ คล กล่มุ ท่ี 2 ทฤษฎกี ารจูงใจในการทางานทเ่ี น้นกระบวนการในการทางาน (process theories) ซ่ึงจะเปน็ ทฤษฎีทีเ่ น้นกระบวนการใช้เหตุใชผ้ ล ใชค้ วามคิดในการตัดสินใจ และการ เลือกแนวทางปฏบิ ัติงาน ตัวอยา่ งทฤษฎใี นกลุ่มน้ี เช่น ทฤษฎีความคาดหวังของวรมู , ทฤษฎี ความเสมอภาคของอดมั ส์, ทฤษฎีต้ังเป้าหมายของลอค และทฤษฎกี ารเสรมิ แรงของสกินเนอร์ เป็นต้น ซ่ึงทฤษฎเี หลา่ นีจ้ ะเน้นอธิบายกระบวนการทางความคดิ และปัญญา เพ่ือสร้างกลยุทธ์จูงใจ ในการทางาน จากแนวคิดทฤษฎเี กีย่ วกบั ความพึงพอใจทก่ี ล่าวมาขา้ งต้น พอสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ ในการจดั การเรียนรู้กบั ผลการเรยี นรจู้ ะมีความสัมพนั ธก์ นั ในทางบวกได้ ขึ้นอยู่กบั กิจกรรมที่ผเู้ รยี น ไดป้ ฏิบตั ิ ทาให้ผเู้ รยี นได้รบั การตอบสนองความต้องการดา้ นร่างกาย และจติ ใจ ซึ่งความสาเร็จจะ เกิดมากน้อยเพียงใด น้นั คือ ส่งิ ทค่ี รผู ้สู อนจะต้องคานึงถึง หากตอ้ งการความสาเร็จมากกค็ วรจดั องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ในการเสริมสร้างความพึงพอใจในการเรยี นรู้ให้กับผ้เู รียนใหด้ ี งานวิจยั ที่เกย่ี วขอ้ ง ในการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียนในคร้งั น้ี ผูศ้ ึกษาค้นควา้ ได้ศึกษางานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง เพ่ือยืนยนั ความนา่ เชอ่ื ถือวา่ เอกสารประกอบการเรยี น สามารถพัฒนาผเู้ รยี นได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ สอดคล้องกบั งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง ดงั ตอ่ ไปนี้ งานวิจยั ในประเทศ พงษ์ศกั ด์ิ ปัญญาดี (2550 : บทคดั ยอ่ ) ไดส้ รา้ งเอกสารประกอบการเรียน วิชาพระพุทธ ศาสนา สาหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 เร่ือง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา กลุ่มตัวอยา่ งไดแ้ ก่ นกั เรยี นชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรียนเมืองแพร่ สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาแพร่ เขต 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2549 จานวน 40 คน ผลการวิจยั พบวา่ เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าพระพทุ ธศาสนา สาหรบั นกั เรียน ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 เรือ่ ง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรยี นรทู้ ่เี สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 72 ทกุ ชดุ โดยภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมาก เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าพระพทุ ธศาสนา สาหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 เร่ือง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มปี ระสิทธิภาพ เท่ากับ 81.68/76.15 และนกั เรียนมีความพึงพอใจทไ่ี ดร้ ับการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วิชาพระพุทธศาสนา สาหรับ นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 เรือ่ ง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา อยู่ในระดบั มาก สาคร พงษ์พุก (2550 : บทคัดยอ่ ) ไดศ้ ึกษาผลการใช้เอกสารประกอบการเรยี น กลุ่มสาระ การ เรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระพระพุทธศาสนา ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 กลุม่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียนทาขุมเงนิ วทิ ยาคาร อาเภอแมท่ า จังหวัดลาพนู ปีการศึกษา 2550 จานวน 30 คน ผลการศึกษา พบว่า ประสทิ ธภิ าพของเอกสารประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คม ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 เท่ากบั 84.99/93.77 สูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 ทต่ี ้ังไว้ จิราภรณ์ บญุ เจอื (2551 : บทคัดยอ่ ) ไดพ้ ฒั นาเอกสารประกอบการเรยี น เรอื่ ง การดาเนนิ ชีวิต ตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง สาหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 กลุ่มตวั อย่างท่ใี ช้ในการวิจัยครัง้ นี้ เป็น นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นชุมชนบา้ นหนองยาว สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 จานวน 33 คน ผลการวจิ ยั พบว่า เอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง การดาเนนิ ชวี ติ ตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง สาหรบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 มปี ระสิทธภิ าพ เท่ากับ 88.56/86.06 ผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี น กลุม่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เรอ่ื ง การดาเนินชวี ติ ตามแนวทาง เศรษฐกจิ พอเพยี งของนักเรียนชนั้ มัธยม ศึกษาปีท่ี 3 หลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เร่อื ง การ ดาเนินชวี ิตตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง สาหรับนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 สงู กว่ากอ่ นเรยี นอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .01 ซ่อนกลนิ่ เพยี รกสิกรรม (2551 : บทคดั ย่อ) ได้พฒั นาเอกสารประกอบการเรยี น วชิ า ประวัติศาสตร์ เร่อื ง อาณาจกั รสโุ ขทัย สาหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นกั เรยี น ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนไตรราษฎร์อปุ ถัมภ์ สานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษานครสวรรค์ เขต 2 ผลการวิจัย พบวา่ เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวตั ิศาสตร์ เรื่อง อาณาจักรสุโขทยั สาหรบั นักเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 มีประสทิ ธภิ าพ เทา่ กบั 82.30/81.00 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 เอกสารประกอบการ เรียน วิชาประวัติศาสตร์ เร่ือง อาณาจักรสุโขทยั สาหรับนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 มีคา่ ดชั นี ประสทิ ธิผล เท่ากบั 0.60 ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน วิชาประวตั ิศาสตร์ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ที่ ไดร้ บั การสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วิชาประวัติศาสตร์ เรือ่ ง อาณาจักรสุโขทยั สาหรับนกั เรยี น ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 และนักเรยี นชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ไดร้ ับการสอนโดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวตั ศิ าสตร์ เรอื่ ง อาณาจักร สโุ ขทยั สาหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มคี วามคงทนในการเรยี นรู้อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05 หอง ลนั ไธสง (2551 : บทคดั ย่อ) ไดพ้ ัฒนาเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระ การเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม เร่ือง หลักธรรม สาหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปีท่ี 6 กลุ่มตัวอย่างในการวจิ ัยคร้งั น้ี คอื นกั เรยี นทกี่ าลงั ศึกษาในระดับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรียนรทู้ ่เี สนอขอรับรางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 73 ปกี ารศกึ ษา 2551 โรงเรียนบ้านหนองไฮ กลุ่มเครือขา่ ยโพนทองหนองไฮ สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษา อานาจเจรญิ จานวน 32 คน ผลการวิจัย พบว่า เอกสารประกอบการเรียน กลุม่ สาระการเรยี นร้สู งั คม ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่ือง หลกั ธรรม สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธภิ าพ เทา่ กับ 87.02/84.53 นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 ท่ไี ด้รับการสอนโดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรอื่ ง หลักธรรม สาหรบั นกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 มคี ะแนนเฉลี่ยของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งนัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .01 จฬุ ารัตน์ ณ พิกลุ (2552 : บทคัดยอ่ ) ไดใ้ ช้เอกสารประกอบการเรยี น การปลกู ฝงั คุณธรรมตาม ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง กล่มุ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลแม่ฟา้ หลวง สานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษา เชยี งราย เขต 3 จานวน 30 คน ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2551 ผลการวิจยั พบวา่ ผลการประเมิน เอกสารประกอบการเรยี น การปลกู ฝงั คุณธรรมตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง กลุ่มสาระการเรียนร้สู ังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 จากผเู้ ชย่ี วชาญ ในภาพรวมมีความเหมาะสมมากท่ีสดุ เอกสารประกอบการเรยี น การปลูกฝังคุณธรรมตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู งั คม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ทุกชุด มปี ระสิทธิภาพสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ท่ีกาหนดไว้ การวดั คณุ ธรรม ดว้ ยแบบทดสอบวดั คุณธรรม พบว่า ผลการทดสอบหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น และผลการ ประเมินคุณธรรมนกั เรียน พบวา่ ภาพรวมนกั เรียนมคี ุณธรรมอยู่ในระดบั มาก กมลวรรณ สมยั สมภพ (2553 : บทคัดย่อ) ไดร้ ายงานการใช้เอกสารประกอบการเรียน วชิ าสังคมศกึ ษาและวฒั นธรรม ส33101 (สาระท่ี 5 ภมู ิศาสตร์) เรื่อง ทวีปอเมริกาใต้ ช้ันมัธยม ศกึ ษาปีที่ 3 กลมุ่ ตวั อย่าง คือ นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นเทศบาล 4 (วัดมหาธาตุวรวิหาร) จังหวดั ราชบุรี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2553 จานวน 30 คน ผลการวจิ ัย พบว่า เอกสารประกอบการเรยี น วิชาสงั คม ศึกษาและวฒั นธรรม ส33101 (สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์) เรื่อง ทวปี อเมริกาใต้ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 มี ประสิทธภิ าพ เทา่ กับ 82.71/83.10 คะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี นชนั้ มัธยม ศกึ ษาปีท่ี 3 ท่ี เรยี นดว้ ยเอกสารประกอบการเรยี น วิชาสงั คมศกึ ษาและวัฒนธรรม ส33101 (สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์) เรอ่ื ง ทวีปอเมรกิ าใต้ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 และ นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 มคี วามพึงพอใจต่อการเรยี นดว้ ยเอกสารประกอบการเรยี น วิชาสังคมศึกษา และวัฒนธรรม ส33101 (สาระท่ี 5 ภมู ิศาสตร์) เรื่อง ทวีปอเมรกิ าใต้ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในระดับมาก ที่สดุ ค่าเฉล่ยี เทา่ กับ 4.54 สภุ าภรณ์ ไพนาค (2553 : บทคัดยอ่ ) ไดร้ ายงานการใช้เอกสารประกอบการเรยี น สาระภมู ศิ าสตร์ เร่อื ง ภูมศิ าสตร์ทวีปเอเชีย ออสเตรเลยี และโอเชียเนีย สาหรับนักเรยี นชัน้ มัธยม ศึกษาปีท่ี 1 กล่มุ ตัวอย่าง คือ นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นบวั แก้วเกษร อาเภอเมอื ง จังหวัด ปทมุ ธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จานวน 45 คน ผลการวิจยั พบวา่ เอกสารประกอบการเรยี น สาระภูมิศาสตร์ เรอื่ ง ภมู ิศาสตรท์ วปี เอเชีย ออสเตรเลียและโอเชยี เนีย สาหรับนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 มปี ระสิทธภิ าพ เท่ากับ 83.52/84.14 คะแนนสอบหลังเรยี นโดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น สาระ ภูมิศาสตร์ เร่ือง ภมู ศิ าสตร์ทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย สาหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนรทู้ ่เี สนอขอรับรางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 74 ของนักเรียนสงู กว่าก่อนเรยี นอย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่ี ระดบั .05 และนักเรยี นทเี่ รียนด้วยเอกสาร ประกอบการเรยี น สาระภูมิศาสตร์ เร่ือง ภมู ิศาสตร์ทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย สาหรับนักเรียน ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดับมาก งานวจิ ัยตา่ งประเทศ แนสเซรี (Nasseri. 1986 : 894 A) ไดศ้ ึกษาผลของกจิ กรรมการเรียนการสอนการปฏบิ ตั ิการเคมี ของนักเรียนมธั ยมศึกษารัฐแคนซสั ดว้ ยผลการใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือพฒั นา นกั เรียนด้านความเขา้ ใจ มโนทัศนพ์ ้ืนฐาน และพัฒนาการทางสติปญั ญา พบวา่ นักเรียนมีเจตคติในระดับดี ต่อรปู แบบของวัฏจักรการเรียนรู้ ทอมคีวคิ ซ์ (Tomkiewicz. 1988 : 1724 A) ศกึ ษาการใชผ้ ลการใช้เอกสารประกอบการเรียน วชิ า ชีววิทยา นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย พบว่า นกั เรียนให้ความสนใจ ตอบสนอง เข้าใจ และเกิด ความคิดรวบยอดด้วยตนเอง แปลความหมายกิจกรรมไดด้ ้วยตนเองและมีความเช่ือมั่น มากข้นึ จากการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ดังกล่าวขา้ งต้นจะเหน็ ว่า เอกสารประกอบการเรียน สามารถ นาไปใช้ในการพฒั นาความรู้ ความเข้าใจได้หลายลักษณะ ท้งั ในการเสรมิ เขา้ ไปในสว่ นท่ียงั ไมส่ มบูรณ์จากการ จดั การเรยี นรซู้ ่ึงดาเนินการตามปกติโดยครูผสู้ อน และยังใช้เปน็ แหลง่ เรียนรดู้ ว้ ยตนเองในกรณีท่ีมิได้มีการ จัดการเรยี นรจู้ ากครูผสู้ อน ซ่ึงเป็นส่งิ ทค่ี รูผูส้ อนควรได้มีการพฒั นาและผลติ ข้ึนมาใช้ประกอบการสอน เพอื่ ประโยชน์ในการพัฒนาให้ผเู้ รยี นประสบความสาเรจ็ ในการศึกษาทุกระดับชน้ั และทุกวิชา อกี ท้ังสามารถใช้ สอนแทนการจัดการเรยี นรปู้ กตไิ ด้ เปน็ การประหยัดเวลา ชว่ ยผอ่ นแรง ชว่ ยให้ผู้เรียนรจู้ กั รบั ผิดชอบ รจู้ กั แสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง ช่วยลดชอ่ งวา่ งระหว่างความสามารถและความแตกต่างระหวา่ งบุคคล จึงควร สนับสนนุ และใหค้ วามสนใจการจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เพราะการเรยี นรทู้ ี่ดที สี่ ดุ คอื การเรียนรดู้ ว้ ยการปฏิบตั ิตามความสามารถ ความพอใจ และความถนัด ดังน้นั ครผู ู้สอนจงึ ต้องสนองตอบ ดว้ ยการจัดการเรยี นร้ดู ้วยวิธกี ารที่หลากหลาย โดยผ้เู รยี นสามารถเลอื กวธิ กี ารเรยี นทตี่ นชอบและถนัดท่จี ะ ปฏิบตั ดิ ้วยตวั ของผ้เู รียนเอง ผู้ศึกษาค้นควา้ ในฐานะครผู ู้สอน กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและ วฒั นธรรม ไดเ้ ห็นความสาคัญของส่ือการเรียนการสอนดังกลา่ ว จึงไดส้ รา้ งและพัฒนาเอกสารประกอบการ เรียน วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เรือ่ ง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคัญ ในการสรา้ งสรรคช์ าตไิ ทย ขึ้นเพ่ือใช้ในการประกอบการจัดการเรียนรู้ พรอ้ มทง้ั ไดม้ ีการปรบั ปรุงและพัฒนา เอกสารประกอบการเรยี นท่ผี ลิตขน้ึ เองให้มีประสิทธิภาพ สามารถนาไปใช้กบั นกั เรียน ทว่ั ไปได้

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรยี นร้ทู ่เี สนอขอรบั รางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 75 บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการศึกษาคน้ คว้า รายงานการพฒั นาเอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าตไิ ทย ในคร้งั น้ี ผ้ศู กึ ษาค้นคว้ามีวิธดี าเนนิ การศกึ ษาค้นควา้ ตามลาดบั ขัน้ ตอน ดังตอ่ ไปน้ี 1. กลมุ่ เปา้ หมาย 2. เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาค้นควา้ 3. การสรา้ งและการหาคุณภาพเคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า 4. แบบแผนการทดลอง 5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 6. การจัดกระทาข้อมูลและการวเิ คราะหข์ ้อมลู 7. สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กลมุ่ เปา้ หมาย กลมุ่ เปา้ หมายทีใ่ ช้ในการศึกษาคน้ ควา้ ในครัง้ น้ี ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียน ที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2560 โรงเรียนทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ จังหวดั สุรนิ ทร์ สังกัดสานักงาน เขตพืน้ ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จานวน 27 คน ซึง่ ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการการศึกษาค้นคว้า เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษาคน้ ควา้ ในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. เอกสารประกอบการเรยี น วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ชัน้ มธั ยมศึกษา ปที ี่ 2 เรือ่ ง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสร้างสรรคช์ าติไทย จานวน 8 เล่ม ประกอบด้วย 1.1 เอกสารประกอบการเรยี น วิชาประวตั ิศาสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย เล่มที่ 1 สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี 1 (อทู่ อง) 1.2 เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เรอ่ื ง ประวตั แิ ละผลงานของบคุ คลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาติไทย เล่มท่ี 2 สมเดจ็ พระบรม ไตรโลกนาถ 1.3 เอกสารประกอบการเรียน วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วิชา ส22163 ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เรือ่ ง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย เลม่ ท่ี 3 สมเด็จ

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรียนรูท้ ่ีเสนอขอรบั รางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 76 พระสรุ ิโยทยั 1.4 เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เรอื่ ง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาติไทย เลม่ ท่ี 4 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช 1.5 เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 เร่ือง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย เลม่ ที่ 5 สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช 1.6 เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 เรอ่ื ง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาติไทย เลม่ ท่ี 6 สมเด็จ พระเพทราชา 1.7 เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวตั ิศาสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เรอ่ื ง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคญั ในการสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย เลม่ ที่ 7 สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช 1.8 เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัติศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เร่อื ง ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย เลม่ ท่ี 8 สมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริยศ์ ึก (ทองดว้ ง) 2. แผนการจัดการเรยี นรู้ วชิ าประวตั ิศาสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2 เรอื่ ง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรค์ชาติไทย จานวน 18 แผน 3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เรอ่ื ง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย ประกอบด้วย 3.1 แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เรอ่ื ง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคญั ในการสรา้ งสรรค์ชาติไทย ซ่ึงเปน็ แบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวนเลม่ ละ 10 ข้อ 3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เรื่อง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย ซึง่ เป็น แบบปรนัย ชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 30 ข้อ 4. แบบวดั ความพึงพอใจของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ทม่ี ีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เรอื่ ง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย จานวน 20 ข้อ

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนร้ทู ี่เสนอขอรบั รางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 77 การสรา้ งและการหาคุณภาพของเครื่องมือท่ใี ชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า 1. เอกสารประกอบการเรียน วิชาประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เรื่อง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย ผู้ศกึ ษาคน้ คว้าดาเนิน การสรา้ งและหาคณุ ภาพ ตามชั้นตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1 ศกึ ษาวิธกี าร หลักการ ทฤษฎี และเทคนคิ การสร้างเอกสารประกอบการเรยี น การหา คณุ ภาพ และประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรยี นจากเอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 1.2 ศกึ ษาข้อมลู ในเอกสารเก่ียวกับการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น การสร้างสื่อนวัตกรรม การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแหล่งเรยี นรู้ต่าง ๆ 1.3 ศกึ ษาหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชว่ งชน้ั ที่ 2 กลมุ่ สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เพ่ือศึกษาหาขอบเขตเนื้อหา ความรู้พน้ื ฐานทีต่ ้อง นามาใช้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ ความคดิ รวบยอด และกิจกรรมการเรยี นรู้ 1.4 วิเคราะห์เนอ้ื หา สาระสาคญั จุดประสงค์การเรยี นรู้ และเวลาเรยี นของวชิ า ประวตั ิศาสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 เร่อื ง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคัญ ในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย ซ่งึ มเี นอ้ื หาทั้งหมด 8 เล่ม รายละเอยี ด ดังแสดงในตาราง 3 ตาราง 3 วิเคราะหเ์ น้ือหา สาระสาคญั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ และเวลาเรียนของวชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 เรือ่ ง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าตไิ ทย เล่มท่ี เร่ือง สาระสาคญั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เวลา (ชั่วโมง) 1 สมเด็จพระรามาธบิ ดี 1. ประวัติสมเดจ็ พระรามา 1. อธบิ ายพระราชประวตั ิ 2 ท่ี 1 (อทู่ อง) ธบิ ดีท่ี 1 (อู่ทอง) 2. วีรกรรมของสมเดจ็ พระรามา ของสมเด็จพระรามาธบิ ดี ธิบดที ่ี 1 (อ่ทู อง)ท่ีมีส่วนสรา้ ง สรรคช์ าตไิ ทย ที่ 1 (อทู่ อง)ได้ 2. สรปุ วีรกรรมของสมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ 1 (อู่ทอง) ทีม่ ีส่วนในการสร้างสรรค์ ชาตไิ ทยได้ 2 สมเด็จพระบรม 1. ประวตั ิสมเด็จพระบรม 1. อธบิ ายพระราชประวตั ิ 2 ไตรโลกนาถ ไตรโลกนาถ 2. วีรกรรมของสมเดจ็ พระบรม ของสมเด็จพระบรมไตรโลก ไตรโลกนาถที่มสี ว่ นสร้างสรรค์ นาถได้ ชาติไทย 2. สรุปวีรกรรมของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทีม่ สี ว่ น ในการสร้างสรรค์ ชาติไทยได้

รายงานการใช้นวตั กรรมการจดั การเรยี นรู้ท่เี สนอขอรับรางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 78 ตาราง 3 (ต่อ) เล่มท่ี เรือ่ ง สาระสาคญั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เวลา (ชวั่ โมง) 3 สมเด็จพระสรุ ิโยทัย 1. ประวตั ิสมเดจ็ พระสรุ ิโยทัย 1. อธิบายพระราชประวตั ิ 2 2. วีรกรรมของสมเดจ็ พระ ของสมเด็จพระสุริโยทัยได้ สรุ ิโยทยั ท่ีมสี ่วนสร้างสรรคช์ าติไทย 2. สรปุ วรี กรรมของสมเด็จ พระสรุ ิโยทยั ท่ีมสี ว่ นในการ สรา้ งสรรคช์ าติไทยได้ 4 สมเดจ็ พระนเรศวร 1. ประวตั ิสมเดจ็ พระนเรศวร 1. อธบิ ายพระราชประวตั ิ 2 มหาราช มหาราช ของสมเด็จพระนเรศวร 2. วีรกรรมของสมเดจ็ มหาราชได้ พระนเรศวรมหาราชท่ีมีสว่ น 2. สรปุ วีรกรรมของสมเดจ็ สรา้ งสรรค์ชาติไทย พระนเรศวรมหาราชท่มี สี ว่ น ในการสร้างสรรค์ชาติไทยได้ 5 สมเดจ็ พระนารายณ์ 1. ประวัติสมเดจ็ พระนารายณ์ 1. อธิบายพระราชประวัติ 2 มหาราช มหาราช ของสมเดจ็ พระนารายณ์ 2. วีรกรรมของสมเด็จพระ มหาราชได้ นารายณ์มหาราชทีม่ สี ่วน 2. สรปุ วีรกรรมของสมเด็จ สรา้ งสรรคช์ าติไทย พระนารายณ์มหาราชท่ีมี ส่วนในการสร้างสรรค์ชาติ ไทยได้ 6 สมเดจ็ พระเพทราชา 1. ประวตั ิสมเดจ็ พระเพทราชา 1. อธบิ ายพระราชประวตั ิ 2 2. วรี กรรมของสมเด็จพระเพท ของสมเดจ็ พระเพทราชาได้ ราชาที่มีส่วนสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย 2. สรปุ วีรกรรมของสมเดจ็ พระเพทราชาท่ีมสี ว่ นในการ สร้างสรรคช์ าตไิ ทยได้ 7 สมเดจ็ พระเจ้า 1. ประวตั ิสมเด็จพระเจ้า 1. อธบิ ายพระราชประวัติ 2 ตากสนิ มหาราช ตากสินมหาราช ของสมเด็จพระเจ้าตากสิน 2. วีรกรรมของสมเดจ็ พระเจ้า มหาราชได้ ตากสินมหาราชที่มสี ่วนสร้างสรรค์ 2. สรุปวรี กรรมของสมเดจ็ ชาตไิ ทย พระเจ้าตากสนิ มหาราชที่มี สว่ นในการสรา้ งสรรคช์ าติ ไทยได้

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรยี นรู้ทเ่ี สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 79 ตาราง 3 (ตอ่ ) เลม่ ที่ เร่อื ง สาระสาคัญ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เวลา (ช่ัวโมง) 8 สมเดจ็ เจา้ พระยา 1. ประวตั สิ มเดจ็ เจา้ พระยา 1. อธิบายพระราชประวัติ 2 มหากษตั ริย์ศึก มหากษัตรยิ ์ศกึ (ทองดว้ ง) (ทองด้วง) ของสมเด็จเจ้าพระยา 2. วรี กรรมของสมเด็จเจา้ พระยา มหากษตั ริย์ศึก (ทองดว้ ง) ได้ มหากษัตรยิ ์ศึก 2. สรปุ วรี กรรมของสมเด็จ (ทองดว้ ง) ทมี่ ีสว่ นสรา้ งสรรค์ ชาติไทย เจ้าพระยามหากษัตริยศ์ ึก (ทองดว้ ง) ท่ีมีสว่ นในการ สรา้ งสรรค์ ชาตไิ ทยได้ 1.5 ออกแบบเอกสารประกอบการเรียน โดยนาเน้อื หาท่ีไดว้ ิเคราะหแ์ ลว้ นามาเขยี น ผังงาน (Flowchart) และออกแบบบตั รเร่ือง (Storyboard) แลว้ เสนอต่อผูเ้ ช่ียวชาญดา้ นสือ่ การเรียน การสอน ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความเหมาะสม และแก้ไขปรบั ปรงุ ตามคาแนะของผู้เชย่ี วชาญ ผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 5 ท่าน ประกอบดว้ ย 1.5.1 นายสภุ พ ไชยทอง ตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ วทิ ยฐานะศึกษานิเทศก์ ชานาญการพเิ ศษ สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาสุรินทร์ เขต 2 1.5.2 นายดนัย คาผยุ ตาแหน่ง ศึกษานเิ ทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์ ชานาญการพิเศษ สงั กัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 1.5.3 นางรุ่งทิพย์ สายแสงจันทร์ ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะครชู านาญการพเิ ศษ สาขาวชิ าสังคมศึกษา โรงเรยี นประสาทวิทยาคาร อาเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ท่ี การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 33 1.5.4 นางโฉมยง พรมโส ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะครูชานาญการพิเศษ สาขาวิชาคณติ ศาสตร์ โรงเรียนทบั โพธิ์พัฒนวิทย์ อาเภอรตั นบรุ ี จังหวัดสรุ ินทร์ สังกัดสานักงาน เขตพนื้ ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 1.5.5 นางพัชรนนั ท์ แพงยา ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะครูชานาญการพิเศษ สาขาวชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี โรงเรียนทับโพธิพ์ ฒั นวทื ย์ อาเภอรตั นบรุ ี จังหวดั สรุ นิ ทร์ สังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 1.6 สร้างเอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 เร่อื ง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสร้างสรรคช์ าติไทย จานวน 8 เล่ม ซ่งึ มีองคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1.6.1 ปกหนา้ 1.6.2 ปกใน

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจัดการเรยี นรูท้ ี่เสนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 80 1.6.3 คานา 1.6.4 สารบัญ 1.6.5 คาช้แี จงการใช้เอกสารประกอบการเรยี นสาหรับครู 1.6.6 คาชี้แจงการใชเ้ อกสารประกอบการเรยี นสาหรบั นักเรียน 1.6.7 สาระการเรยี นรู้ 1.6.8 ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวงั 1.6.9 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.6.10 แบบทดสอบก่อนเรียน 1.6.11 เนอ้ื หา จดั ลาดบั ความสาคัญจากง่ายไปยาก มคี วามเหมาะสมกับเวลาเรยี น และ ความสามารถของนักเรยี น 1.6.12 เอกสารประกอบการเรยี นในแต่ละเลม่ ต้องเน้นให้นักเรียนได้ฝึกปฏบิ ัติ หรือมแี บบฝึกเพิ่มเติมเพ่ือเปน็ การทบทวน และส่งเสริมให้นกั เรยี นไดเ้ กิดการเรียนรตู้ ามจดุ ประสงค์ ทีก่ าหนดไว้ พรอ้ มเฉลยและคาอธบิ าย 1.6.13 แบบทดสอบหลังเรียน 1.6.14 บรรณานุกรม/บุคลานุกรม 1.6.15 เฉลยแบบฝึก 1.6.16 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นหลงั เรียน 1.7 นาเอกสารประกอบการเรียนเสนอต่อผ้เู ช่ยี วชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเหมาะสมของเนอื้ หา และการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน แล้วนาไปปรบั ปรุงแกไ้ ข ตามคาแนะนาของผเู้ ชย่ี วชาญ 1.8 ผลการประเมินของผู้เชย่ี วชาญที่มตี ่อเอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เร่อื ง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทย พบว่า จุดประสงค์การเรียนรู้กบั เนอื้ หามีความสัมพนั ธ์กัน ผู้เช่ยี วชาญไดใ้ ห้ข้อเสนอแนะว่า เนื้อหาบางเร่อื งท่ี ไม่ชัดเจนให้ปรับปรงุ แกไ้ ขเพือ่ ใหเ้ กดิ กิจกรรมการเรียนการสอนที่มปี ระสทิ ธภิ าพ และใหต้ รวจสอบความ ถูกต้องดา้ นภาษาและตวั เลข แลว้ นาข้อบกพร่องมาแก้ไขตามคาแนะนา ของผเู้ ช่ยี วชาญ 1.9 นาเอกสารประกอบการเรียนทป่ี รับปรงุ ตามข้อเสนอแนะและคาแนะนา ของผูเ้ ชี่ยวชาญมาวิเคราะหห์ าคา่ เฉล่ยี ความเหมาะสมของเอกสารประกอบการเรียน โดยใชเ้ กณฑ์ การใหค้ ะแนนของลิเคอรท์ (Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ดงั นี้ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2546 : 160-162) เหมาะสมมากท่สี ุด มคี า่ เทา่ กับ 4.51 – 5.00 คะแนน เหมาะสมมาก มคี ่าเทา่ กับ 3.51 – 4.50 คะแนน เหมาะสมปานกลาง มีคา่ เท่ากบั 2.51 – 3.50 คะแนน

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจัดการเรยี นรู้ท่ีเสนอขอรบั รางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 81 เหมาะสมน้อย มคี ่าเท่ากับ 1.51 – 2.50 คะแนน เหมาะสมน้อยทส่ี ดุ มคี า่ เทา่ กับ 1.00 – 1.50 คะแนน จากการประเมินความเหมาะสมของเอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัติศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เร่ือง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย โดยผูเ้ ชยี่ วชาญ พบว่า มคี วามเหมาะสมอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ ทั้งโดยรวม รายด้าน และรายข้อ ผลปรากฏ ดงั แสดงในตาราง 4 ตาราง 4 ผลการประเมินความเหมาะสมของเอกสารประกอบการเรยี น วิชาประวตั ศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เรอ่ื ง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการ สรา้ งสรรคช์ าตไิ ทย โดยผ้เู ชี่ยวชาญ จานวน 5 ท่าน ขอ้ รายการประเมนิ ผลการพิจารณา X S.D. แปลผล ด้านรปู เล่ม 1. ขนาดของเล่มเหมาะสมกับวยั ของผ้เู รยี น 4.60 0.55 มากที่สดุ 2. ออกแบบสวยงามดึงดูดความสนใจ 4.80 0.45 มากที่สุด 3. การใช้ภาพประกอบการเรียนรู้ถกู ต้องเหมาะสม 4.80 0.45 มากที่สุด 4. ปก และการเขา้ เล่มแข็งแรง 5.00 0.00 มากที่สดุ 5. สว่ นประกอบของหนังสือครบถว้ น 5.00 0.00 มากที่สุด เฉลย่ี 4.84 0.16 มากทสี่ ดุ ดา้ นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 4.80 0.45 มากทส่ี ุด 6. สอดคลอ้ งกบั เนื้อหา 7. กาหนดได้ครอบคลุมเน้ือหาสาระ 5.00 0.00 มากทส่ี ุด 8. ระบุพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้อยา่ งชดั เจน 5.00 0.00 มากที่สดุ 9. ภาษาทีใ่ ชม้ คี วามชัดเจนเข้าใจง่าย 4.80 0.45 มากท่ีสดุ เฉลี่ย 4.90 0.11 มากทส่ี ดุ ดา้ นเนือ้ หาสาระการเรียนรู้ 4.80 0.45 มากทส่ี ุด 10. เนอ้ื หาสาระครอบคลมุ ครบถ้วน 11. มคี วามยากงา่ ยพอเหมาะแกว่ ัยผ้เู รยี น 4.80 0.45 มากทส่ี ดุ 12. มปี ระโยชน์สามารถนาไปปรับใชป้ ระกอบอาชีพได้ 5.00 0.00 มากทีส่ ดุ 13. ส่งเสรมิ ทกั ษะ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 5.00 0.00 มากทส่ี ุด เฉล่ยี 4.90 0.11 มากทส่ี ุด

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจดั การเรยี นร้ทู เ่ี สนอขอรับรางวัล โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 82 ตาราง 4 (ต่อ) ข้อ รายการประเมนิ ผลการพจิ ารณา X S.D. แปลผล ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 14. เร้าความสนใจผเู้ รยี นเรียนร้ตู ามความถนัด 4.60 0.55 มากทีส่ ดุ และความสนใจ 5.00 0.00 มากท่ีสดุ 15. ผ้เู รียนศึกษาไดด้ ว้ ยตนเอง 5.00 0.00 มากทส่ี ุด 16. เน้นทักษะการฝึกปฏิบัตเิ ป็นลาดับข้ันตอน 5.00 0.00 มากทีส่ ุด 17. ทกั ษะฝกึ ปฏิบัติได้จริง 4.90 0.20 มากที่สดุ เฉลีย่ 5.00 0.00 มากที่สดุ 5.00 0.00 มากทส่ี ุด ด้านการวดั และประเมนิ ผล 4.80 0.45 มากทสี่ ดุ 18. สอดคล้องกบั เน้ือหาสาระทเี่ รียน 4.93 0.11 มากทส่ี ดุ 19. วัดได้ครอบคลุมเน้ือหาและจุดประสงค์การเรยี นรู้ 4.89 0.03 มากที่สุด 20. แบบวดั มคี วามยากงา่ ยเหมาะกบั วัยผ้เู รยี น เฉลีย่ รวมเฉล่ยี 1.10 นาเอกสารประกอบการเรียนทีผ่ ่านการตรวจสอบและปรับปรุง แกไ้ ขตามคาแนะนาของ ผเู้ ชย่ี วชาญแล้วไปทดลองใช้ (Try-out) กบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2559 โรงเรียนทบั โพธิ์พฒั นวทิ ย์ จังหวัดสรุ ินทร์ สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 จานวน 36 คน ท่ียงั ไมเ่ คยเรยี นในเนื้อหาวิชานม้ี าก่อนและไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีขน้ั ตอนในการทดลองใช้ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.10.1 การทดลองแบบหนึ่งตอ่ หนง่ึ (One to One Testing) ใช้กลมุ่ ทดลอง คือ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนทบั โพธ์ิพัฒนวทิ ย์ จงั หวดั สุรินทร์ สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 จานวน 3 คน ซ่ึงได้มาจากการ สุม่ อย่างง่าย (Simple Random Sampling) คือ เรยี งลาดับคะแนนผลสัมฤทธิท์ างการเรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม จากมากไปหาน้อย แลว้ แบ่งกลมุ่ ทดลองเป็น 3 กล่มุ เทา่ ๆ กัน ตามลาดบั ได้กลมุ่ ทม่ี ีผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนการเรยี นสงู ปานกลาง และต่า แล้วเลอื กมา กลมุ่ ละ 1 คน ผลการทดลอง พบวา่ เน้ือหาในเอกสารประกอบการเรยี นมจี านวนมากเกินไปทาใหน้ ักเรียน เรยี นไมท่ นั เวลา และการใช้ภาษายังไมช่ ัดเจน ผูศ้ กึ ษาค้นควา้ จงึ ดาเนนิ การแก้ไข แล้วนาไปทดลองแบบกลุ่ม เล็กตอ่ ไป

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจัดการเรยี นรทู้ เี่ สนอขอรบั รางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 83 1.10.2 การทดลองแบบกลุ่มเลก็ (Small Group Testing) ใชก้ ลุ่มทดลอง คอื นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2559 โรงเรียนทบั โพธิพ์ ฒั นวิทย์ จงั หวัดสรุ ินทร์ สงั กดั สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 33 จานวน 9 คน ซึ่งได้มาจากการ สมุ่ อย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยการจับฉลาก จากระดบั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ของกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนในภาคเรียนที่ผา่ นมา โดยแบ่งกลุม่ ทดลองออกเปน็ 3 กล่มุ คอื สูง ปานกลาง และต่า แล้วเลอื กมากลมุ่ ละ 3 คน ขอ้ บกพร่อง ท่ีพบ คือ ตวั หนังสอื ในเอกสารประกอบการเรียน เล่มท่ี 4 และเลม่ ที่ 5 ไมช่ ัดเจน และตัวเล็ก ผศู้ ึกษาคน้ ควา้ ได้นามาปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้มีความสมบรู ณ์ โดยการเปลี่ยนสีตัวหนังสอื และเพิ่มขนาดของตัวหนงั สือใหใ้ หญข่ นึ้ 1.10.3 การทดลองแบบกลุ่มใหญ่ โดยใชก้ ลุ่มทดลอง คือ นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษา ปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2559 โรงเรยี นทบั โพธ์พิ ัฒนวทิ ย์ จงั หวัดสุรินทร์ สังกดั สานักงานเขต พนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 33 จานวน 24 คน ท่ไี ม่เคยเรยี นเนื้อหารายวิชานี้ มาก่อน ผลการทดลอง พบว่า คอื สที ี่ใช้ในการตกแต่งเอกสารประกอบการเรียนเขม้ เกินไป ผู้ศกึ ษาค้นควา้ ได้ปรบั ปรุงแก้ไขใหม้ ีความสมบรู ณ์ โดยการเปล่ยี นสีเอกสารประกอบการเรียนไมใ่ ห้เข้มเกนิ ไป ดูแล้วสบายตา แล้วนาไปทดลองจริงกับกลมุ่ เปา้ หมายต่อไป 1.11 นาเอกสารประกอบการเรยี นทป่ี รบั ปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองจรงิ กบั กล่มุ เป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2560 โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ัฒนวทิ ย์ จงั หวัด สรุ นิ ทร์ สังกดั สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 33 จานวน 27 คน ตามกาหนดเวลาต่อไป 2. แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชนั้ มธั ยมศกึ ษา ปที ่ี 2 เรอ่ื ง ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าตไิ ทย ผศู้ กึ ษาค้นควา้ ดาเนินการ สร้างตามลาดับขน้ั ตอน ดังต่อไปน้ี 2.1 ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 โดยละเอียด เพ่อื ให้ทราบหลักการ จุดหมาย โครงสรา้ ง สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้ สอ่ื การเรยี นรู้ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551) 2.2 ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เกย่ี วกับความสาคัญ ธรรมชาติวชิ า ลกั ษณะเฉพาะ วิสัยทศั น์ คณุ ภาพของผูเ้ รียน สาระ และมาตรฐานการเรยี นรชู้ ่วงชน้ั กระบวนการเรยี นรู้ การวดั และประเมินผล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551) 2.3 ศึกษาคมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน กล่มุ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 1-107) 2.4 ศกึ ษาหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เกยี่ วกบั กาหนดกรอบทิศทาง และแนวทางการจดั กิจกรรม การเรียนการสอนให้เป็นแนวทางเดยี วกนั (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 19) 2.5 ศึกษาสาระ และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้นั กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชว่ งช้นั ที่ 2 สาระท่ี 4 ประวัตศิ าสตร์

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรียนรทู้ เ่ี สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 84 มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเปน็ มาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมปิ ญั ญาไทย มีความรักความภมู ิใจและธารงความเป็นไทย 2.6 วิเคราะห์เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ช่วงชน้ั เพือ่ ใหเ้ หน็ ภาพ ของสาระการเรยี นร้สู าคญั (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551) 2.7 ศึกษาวิธีการเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ เพื่อให้ได้แนวทางในการจดั ทาแผนการจดั การ เรียนรู้ โดยศึกษารปู แบบ องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ ศึกษาวิธกี ารเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน ศึกษาการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เอกสาร หนงั สือ ตารา และงานวิจัยที่ เกี่ยวขอ้ งกับการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นร้โู ดยใช้เอกสารประกอบการเรยี น เพ่อื เป็นแนวทางและตัวอย่างในการจัดกิจกรรม (วัฒนาพร ระงับทกุ ข์. 2542 : 80) 2.8 เขยี นแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วิชา ส23102 ชนั้ มัธยม ศกึ ษาปีท่ี 3 เรือ่ ง การสร้างสรรค์ภมู ปิ ัญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยรตั นโกสนิ ทร์ ซ่ึงมีสว่ นประกอบ ดังน้ี (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 111-112) 2.8.1 สาระสาคัญ 2.8.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ปลายทาง 2.8.3 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้นาทาง 2.8.4 สาระการเรียนรู้ 2.8.5 กระบวนการจัดการเรียนรู้ 2.8.6 ส่ือและแหล่งเรยี นรู้ 2.8.7 กระบวนการวดั และประเมินผล 2.9 เขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยยดึ ขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน แบบบูรณาการ และการสอนทีเ่ นน้ การฝกึ ทักษะปฏิบัติในแต่ละขนั้ ตอน กาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน เตรียมสือ่ การเรียนรู้ และเครื่องมือการวดั และประเมินผล ให้สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 18 แผน 2.10 นาแผนการจัดการเรยี นรู้ที่สรา้ งขน้ึ เสนอผู้เชยี่ วชาญดา้ นการเขยี นแผนการ จัดการเรียนรู้ เพอื่ พิจารณาตรวจสอบและเสนอแนะท้ังดา้ นเนอ้ื หา ขน้ั ตอน และกระบวนการ ในการจดั กจิ กรรม โดยกาหนดเกณฑ์ในการพจิ ารณา คอื ความชดั เจนถกู ต้องของจุดประสงค์ การเรยี นรู้ ความสมบรู ณ์ และความสอดคลอ้ งระหว่างจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ สาระสาคัญ เนื้อหาสาระ คุณธรรม จริยธรรมในการจัดการเรยี นการสอน กระบวนการจัดการเรียนการสอน/การจัดกิจกรรมการเรยี น การสอน กระบวนการวัดผลประเมินผล สื่ออปุ กรณแ์ ละแหล่งเรยี นรู้ ตลอดจน ความเหมาะสมดา้ นการใชภ้ าษา โดยจัดทาเป็นแบบสอบถาม จานวน 5 ด้าน คอื ด้านจุดประสงค์การ เรียนรู้ ดา้ นเน้ือหาสาระ ด้านการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ด้านสอ่ื การเรียนรู้ และด้าน การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ให้ผเู้ ช่ยี วชาญชุดเดิม ในข้อ 1.5 (1.5.1-1.5.5) จานวน 5 ทา่ น เพือ่ ตรวจสอบความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน ของลิเคอร์ท (Likert) (บุญชม ศรสี ะอาด. 2545 : 103) และเกณฑก์ ารประเมนิ เป็นแบบมาตราสว่ นประมาณ ค่า แบ่งเปน็ 5 ระดบั ดงั นี้ ระดบั 5 หมายถึง มีความเหมาะสมอยใู่ นระดับมากทีส่ ุด

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจดั การเรียนรทู้ ่เี สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 85 ระดับ 4 หมายถึง มคี วามเหมาะสมอยูใ่ นระดับมาก ระดับ 3 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั ปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั น้อย ระดับ 1 หมายถงึ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยท่ีสุด แลว้ นาแผนการจดั การเรียนรู้ทผ่ี ่านการพิจารณาจากผู้เชย่ี วชาญมาตรวจใหค้ ะแนน และหาค่าเฉล่ีย โดยใชเ้ กณฑ์การประเมินของลเิ คอรท์ (Likert) (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 103) ดังนี้ ค่าเฉลีย่ 4.51 – 5.00 หมายถึง มคี วามเหมาะสมอยูใ่ นระดบั มากทสี่ ุด ค่าเฉล่ีย 3.51 – 4.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก คา่ เฉล่ยี 2.51 – 3.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั ปานกลาง ค่าเฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับนอ้ ย คา่ เฉลยี่ 1.00 – 1.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดับนอ้ ยที่สดุ ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้ วิชาประวตั ิศาสตร์ รหัสวชิ า ส 22163 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เรื่อง ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย โดย ผู้เชีย่ วชาญ พบวา่ มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดับมากทสี่ ดุ ท้ังโดยรวม รายดา้ น และรายข้อ ผลปรากฏ ดงั แสดงในตาราง 5 ตาราง 5 ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรู้ วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เรอื่ ง ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการ สรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย โดยผู้เชยี่ วชาญ จานวน 5 ท่าน รายการ ผลการพจิ ารณา X S.D. แปลผล ดา้ นจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. ถูกต้องตามหลักการเขียน 4.80 0.44 มากท่สี ดุ 2. สอดคล้องกับเน้ือหา 5.00 0.00 มากทส่ี ดุ 3. ครอบคลุมพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ 5.00 0.00 มากท่ีสุด (ความร/ู้ ทักษะ/เจตคติ) 4. ระดับพฤติกรรมทก่ี าหนดเหมาะสมกับเวลา 5.00 0.00 มากที่สดุ 5. ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัยของผเู้ รยี น 5.00 0.00 มากทส่ี ดุ เฉล่ีย 4.96 0.08 มากทส่ี ุด ด้านเนือ้ หา 5.00 0.00 มากทสี่ ุด 6. ถูกต้องตามหลักวชิ าการ

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจัดการเรยี นรู้ทีเ่ สนอขอรับรางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 86 ตาราง 5 (ต่อ) รายการ ผลการพิจารณา X S.D. แปลผล ดา้ นเน้อื หา (ตอ่ ) 7. ครบถ้วน เพียงพอที่จะเป็นพ้นื ฐานในการ 4.80 0.44 มากที่สดุ สร้างความรูใ้ หมห่ รือพฤติกรรมหรอื ทักษะ ทตี่ ้องการ 8. สอดคล้องกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 5.00 0.00 มากที่สุด 9. เหมาะสมกบั วยั ของผู้เรียน 5.00 0.00 มากที่สดุ 10. กาหนดเนื้อหาเหมาะสมกบั เวลาเรียน 4.80 0.44 มากทส่ี ุด 11. มคี วามชดั เจน เขา้ ใจง่าย และน่าสนใจ 5.00 0.00 มากที่สุด เฉลี่ย 4.93 0.14 มากที่สดุ ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน 12. สอดคลอ้ งกบั เนื้อหา 5.00 0.00 มากที่สดุ 13. สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 5.00 0.00 มากท่สี ุด 14. เรยี งลาดับกจิ กรรมได้เหมาะสม 5.00 0.00 มากทส่ี ดุ 15. ผู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในการจัดกจิ กรรม 4.80 0.44 มากที่สดุ 16. เหมาะสมกบั วัยของผ้เู รียน 5.00 0.00 มากท่สี ดุ 17. เหมาะสมกบั เวลาทจ่ี ัดการเรยี นการสอน 5.00 0.00 มากทส่ี ุด เฉล่ยี 4.96 0.07 มากที่สุด ด้านสื่อการเรยี นรู้ 18. สนองตอ่ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 5.00 0.00 มากทส่ี ุด 19. สอดคล้องกับเนื้อหาและกจิ กรรมการเรยี นรู้ 5.00 0.00 มากที่สดุ 20. นักเรยี นมีสว่ นร่วมในการใช้สอ่ื 5.00 0.00 มากทส่ี ุด 21. เหมาะสมกับวัยผู้เรียน สภาพแวดลอ้ ม 4.80 0.44 มากทส่ี ดุ หอ้ งเรียน และบรรยากาศในการเรยี นรู้ 22. ช่วยประหยัดเวลาในการจดั กจิ กรรม 4.80 0.44 มากทส่ี ุด การเรียนการสอน เฉล่ยี 4.92 0.17 มากที่สุด ด้านการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 23. สอดคลอ้ งกับพฤติกรรท่ีกาหนดใน 5.00 0.00 มากที่สดุ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 24. วธิ วี ัดและเคร่ืองมือวัดสอดคล้องกับเนื้อหา 5.00 0.00 มากทสี่ ดุ และธรรมชาติของวิชา

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรยี นรทู้ ่ีเสนอขอรบั รางวัล โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 87 ตาราง 5 (ต่อ) รายการ ผลการพิจารณา X S.D. แปลผล ดา้ นการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ (ต่อ) 25. วิธวี ัดและเครอ่ื งมือวัดสอดคล้องกบั ข้ันตอน 5.00 0.00 มากทีส่ ุด และกระบวนการเรยี นรใู้ นกิจกรรม การเรียนการสอน 4.60 0.54 มากที่สุด 26. ส่งเสรมิ การวดั ดา้ นความรู้ และเจตคติ 4.90 0.13 มากทส่ี ุด เฉลย่ี 4.93 0.12 มากทส่ี ดุ รวมเฉลย่ี 2.11 นาแผนการจัดการเรยี นรทู้ จ่ี ดั ทาขน้ึ ให้ผู้เชยี่ วชาญประเมนิ ความสอดคล้อง ขององคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรูเ้ พ่ือหาคา่ ความเชอื่ มน่ั (IOC) ระหวา่ งจุดประสงค์ การเรยี นรู้ สาระสาคญั เนอ้ื หาสาระ คุณธรรม-จริยธรรมในการจดั การเรยี นการสอน กระบวนการ จดั การเรียนการสอน/การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กระบวนการวดั ผลประเมินผล สือ่ อปุ กรณ์ และแหลง่ เรยี นรู้ ตลอดจนความเหมาะสมด้านการใช้ภาษา จากผูเ้ ชย่ี วชาญชุดเดมิ ในขอ้ 1.5 (1.5.1–1.5.5) จานวน 5 ทา่ น โดยมเี กณฑ์การให้คะแนน ดงั น้ี ให้ คะแนน +1 เม่ือ แนใ่ จวา่ แผนการจัดการเรยี นร้มู ีความสอดคล้อง ให้ คะแนน 0 เม่อื ไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้อง ให้ คะแนน -1 เมือ่ แน่ใจวา่ แผนการจัดการเรยี นรู้ไมม่ ีความสอดคล้อง 2.12 นาแผนการจัดการเรียนร้ทู ่ผี เู้ ชี่ยวชาญประเมินวเิ คราะห์หาประสิทธิภาพ โดยการ ประเมนิ ค่าดชั นีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรยี นรู้ สาระสาคญั เนอื้ หาสาระ คณุ ธรรม-จริยธรรม ในการจดั การเรยี นการสอน กระบวนการจดั การเรียนการสอน/การจัดกิจกรรมการเรียน การสอน กระบวนการวัดผลประเมินผล สื่ออปุ กรณ์ และแหลง่ เรยี นรู้ ตลอดจนความเหมาะสม ด้านการใช้ภาษา โดยใชว้ ิธกี ารหาค่า IOC (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 64-65) เพ่ือหาผลรวมคะแนนของ แผนการจดั การเรียนรูแ้ ตล่ ะแผน และไดน้ าผลจากการประเมนิ ของผเู้ ชยี่ วชาญ ท้งั 5 ท่าน มาหาค่าเฉล่ียเพ่ือดดู ัชนีความสอดคลอ้ ง การหาคา่ เฉลยี่ เพ่ือดูดชั นีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรยี นรู้ วชิ าประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เรือ่ ง ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าตไิ ทย พบวา่ มคี า่ IOC เทา่ กบั 1.00 ทุกแผน ผลปรากฏ ดงั แสดงในตาราง 6

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรยี นร้ทู ่เี สนอขอรบั รางวัล โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 88 ตาราง 6 ประสทิ ธิภาพของแผนการจดั การเรียนรู้ วชิ าประวัติศาสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เรือ่ ง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าตไิ ทย โดยผ้เู ชี่ยวชาญ จานวน 5 ทา่ น แผนการ สอดคลอ้ ง ไมส่ อดคล้อง ไม่แน่ใจ เฉลี่ย แปลผล จัดการเรียนรู้ ผ้เู ชีย่ วชาญ ผูเ้ ช่ยี วชาญ ผ้เู ชย่ี วชาญ 1 12345 12345 12345 1 มีความ แผนการจดั 11111 ----- ----- 1 สอดคล้อง การเรยี นรทู้ ่ี 1 11111 ----- ----- 1 มคี วาม แผนการจัด 11111 ----- ----- 1 สอดคลอ้ ง การเรียนรู้ที่ 2 1 มคี วาม แผนการจัด 11111 ----- ----- 1 สอดคลอ้ ง การเรียนรู้ท่ี 3 1 11111 ----- ----- 1 มีความ แผนการจัด 1 สอดคล้อง การเรยี นรู้ที่ 4 11111 ----- ----- 1 1 มคี วาม แผนการจดั 11111 ----- ----- 1 สอดคล้อง การเรียนรทู้ ่ี 5 1 11111 ----- ----- มีความ แผนการจดั สอดคลอ้ ง การเรียนรทู้ ่ี 6 11111 ----- ----- มีความ แผนการจดั 11111 ----- ----- สอดคล้อง การเรยี นรู้ที่ 7 11111 ----- ----- มีความ แผนการจัด สอดคลอ้ ง การเรียนรู้ท่ี 8 11111 ----- ----- มคี วาม แผนการจัด 11111 ----- ----- สอดคล้อง การเรยี นรู้ท่ี 9 11111 ----- ----- มีความ แผนการจดั สอดคลอ้ ง การเรียนรทู้ ่ี 10 มคี วาม แผนการจดั สอดคล้อง การเรยี นรทู้ ี่ 11 มีความ แผนการจัด สอดคล้อง การเรยี นรู้ที่ 12 มคี วาม แผนการจดั สอดคล้อง การเรยี นรู้ที่ 13 มีความ แผนการจัด สอดคล้อง การเรยี นรทู้ ่ี 14

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรียนรทู้ ่เี สนอขอรับรางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 89 ตาราง 6 (ต่อ) แผนการ สอดคลอ้ ง ไมส่ อดคล้อง ไมแ่ น่ใจ จดั การเรยี นรู้ ผเู้ ชย่ี วชาญ ผเู้ ชยี่ วชาญ ผู้เช่ียวชาญ เฉล่ีย แปลผล แผนการจัด การเรยี นรทู้ ี่ 15 123451234512345 มีความ สอดคลอ้ ง แผนการจดั 11111- - - - - - - - - - 1 มคี วาม การเรยี นรู้ที่ 16 สอดคล้อง 11111- - - - - - - - - - 1 มีความ แผนการจดั สอดคลอ้ ง การเรียนรทู้ ี่ 17 11111- - - - - - - - - - 1 มคี วาม สอดคล้อง แผนการจดั 11111- - - - - - - - - - 1 การเรยี นรู้ที่ 18 2.13 นาแผนการจดั การเรียนรเู้ สนอตอ่ ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น เพอื่ ขอความเห็นชอบ ในการทดลองใช้ 2.14 นาแผนการจดั การเรยี นร้ใู ช้ควบคู่กับเอกสารประกอบการเรยี นไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จานวน 36 คน ทไี่ ม่เคยเรยี นเนอื้ หา รายวิชานม้ี าก่อน เพ่ือหาค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรู้ ผลการทดลองใช้ พบว่า เวลาทใ่ี ชใ้ น บางแผนการจัดการเรียนร้นู ั้นใชเ้ วลามากเกินไป ผศู้ ึกษาค้นคว้าคน้ ควา้ ได้นามาปรับปรงุ แก้ไขอีกครงั้ หนง่ึ 2.15 นาแผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ีปรบั ปรงุ หลังการทดลองใช้มาจดั พมิ พเ์ ป็นฉบบั สมบูรณ์ แลว้ นาไปทดลองจรงิ กับกลุ่มเปา้ หมาย ไดแ้ ก่ นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพฒั นวทิ ย์ จังหวดั สุรินทร์ สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จานวน 27 คน ตามกาหนดเวลาต่อไป 3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส23102 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เรอื่ ง การสร้างสรรคภ์ มู ปิ ัญญาและวฒั นธรรมไทยสมยั รัตนโกสนิ ทร์ ผศู้ กึ ษาคน้ คว้า ดาเนนิ การสรา้ งตามข้ันตอน ดังต่อไปนี้ 3.1 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 เรือ่ ง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาติไทย ซ่งึ เป็นแบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวนเลม่ ละ 10 ข้อ ผู้ศึกษาค้นคว้าดาเนินการสรา้ ง ดังต่อไปนี้

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรียนรทู้ ี่เสนอขอรับรางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 90 3.1.1 ศกึ ษาหลกั สูตร เนอื้ หาสาระการเรยี นรู้ และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วชิ า ประวตั ศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 เร่ือง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 3.1.2 ศึกษาเทคนคิ วธิ เี ขยี นแบบทดสอบ การสร้างแบบทดถามทด่ี ี และวธิ กี าร วิเคราะหแ์ บบทดสอบจากหนังสือวดั ผลการศึกษาของสมนึก ภทั ทิยธนี (2546 : 77-154) และจากหนงั สอื การ วจิ ยั เบือ้ งต้น (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 66) 3.1.3 วเิ คราะห์ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสาระการเรียนร้กู บั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วิชา ส22163 ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคัญใน การสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย เพอ่ื เปน็ แนวทางในการสร้างแบบทดสอบ 3.1.4 สร้างแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน วิชาประวตั ิศาสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย รายละเอียด ดังแสดงในตาราง 7 ตาราง 7 จานวนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เรื่อง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าตไิ ทย ของแตล่ ะเล่ม เลม่ ที/่ เร่อื ง จานวนขอ้ สอบ ข้อ ตอ้ งการ เล่มที่ 1 เรอื่ ง สมเด็จพระรามาธิบดที ี่ 1 (อู่ทอง) 15 10 เล่มท่ี 2 เร่อื ง สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ เลม่ ที่ 3 เรอื่ ง สมเด็จพระสุรโิ ยทัย 15 10 เลม่ ท่ี 4 เรื่อง สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช 15 10 เล่มที่ 5 เรอ่ื ง สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช 15 10 เล่มที่ 6 เรือ่ ง สมเด็จพระเพทราชา เลม่ ท่ี 7 เรือ่ ง สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช 15 10 เลม่ ที่ 8 เร่ือง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองดว้ ง) 15 10 15 10 15 10 3.1.5 นาแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียนทผี่ ศู้ ึกษาคน้ คว้าค้นคว้าสรา้ งขน้ึ เสนอต่อผเู้ ชี่ยวชาญชดุ เดิม ในข้อ 1.5 (1.5.1–1.5.5) จานวน 5 ทา่ น เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ครอบคลุมจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ความชดั เจนของคาถาม ความเหมาะสมกบั ผู้เรียน เวลา และให้ ผ้เู ชยี่ วชาญประเมนิ ความสอดคลอ้ งระหว่างเนอื้ หากับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ โดยใช้สูตร IOC ซ่ึงมเี กณฑ์การ ใหค้ ะแนน ดงั น้ี (สมนกึ ภัททิยธน.ี 2546 : 212-221) ให้ + 1 เมือ่ แน่ใจวา่ ขอ้ สอบขอ้ นัน้ วัดตามจุดประสงค์การเรยี นรู้ทร่ี ะบไุ วจ้ ริง ให้ 0 เมอ่ื ไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อสอบข้อนั้นวดั ตามจดุ ประสงค์การเรยี นร้ทู รี่ ะบไุ ว้

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรยี นรทู้ ีเ่ สนอขอรบั รางวัล โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 91 ให้ - 1 เมอ่ื แน่ใจวา่ ขอ้ สอบข้อน้ันไม่วัดตามจุดประสงค์การเรยี นรทู้ ่ีระบุไว้ 3.1.6 นาผลการประเมินโดยผเู้ ชย่ี วชาญมาคานวณหาคา่ IOC พบว่า แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน มคี า่ IOC เท่ากบั 1.00 ทกุ ข้อ แสดงวา่ แบบทดสอบก่อนและหลัง เรียน วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหสั วิชา ส23102 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เรือ่ ง การสรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญา และวฒั นธรรมไทยสมยั รัตนโกสินทร์ อยู่ในเกณฑ์ความเที่ยงตรงของเนอื้ หาทีใ่ ชไ้ ด้ทุกข้อนาแบบทดสอบที่ ไดร้ ับการปรบั ปรุงมาพิมพ์ เพื่อนาไปทดลองใช้ 3.1.7 นาแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียนทปี่ รับปรุงแกไ้ ขแลว้ ไปทดลองใช้ (Try-out) กบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 โรงเรยี นทบั โพธิ์ พัฒนวทิ ย์ จงั หวัดสุรนิ ทร์ สงั กัดสานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 33 จานวน 36 คน แล้ว นาแบบทดสอบมาตรวจให้คะแนน โดยใช้เกณฑ์ตอบถูก ให้ขอ้ ละ 1 คะแนน ตอบผดิ หรอื ไม่ตอบหรือตอบมากกวา่ 1 คาตอบ ให้ 0 คะแนน 3.1.8 นาผลการทดสอบมาวเิ คราะห์หาความยาก (P) และหาคา่ อานาจจาแนก รายข้อ (B) โดยใช้วิธขี องเบรนแนน (Brennan) (ชวลติ ชกู าแพง. 2550 : 61-62) แลว้ คัดเลือกขอ้ สอบท่ีมี คุณภาพตามเกณฑ์ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ไว้ จานวนเลม่ ละ 10 ข้อ 3.1.9 นาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนทเ่ี ลือกไวม้ าหาค่าความเช่อื มน่ั ของแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชนั้ มัธยมศึกษา ปีที่ 2 เรือ่ ง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย ท้ังฉบบั โดยใช้วิธี ของ Lovett (สมนึก ภัททยิ ธนี. 2546 : 230) ผลปรากฏ ดังแสดงในตาราง 8 ตาราง 8 แสดงค่าความยาก (P), คา่ อานาจจาแนก (B) และคา่ ความเชอื่ ม่นั ของแบบทดสอบ ก่อนเรยี นและหลังเรยี น วิชาประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 เร่ือง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าตไิ ทย เล่มท่ี หาคา่ ความยาก (P) คา่ อานาจจาแนก (B) ความเชื่อม่นั 1 0.50 – 0.80 0.56 – 0.89 0.81 2 0.60 – 0.80 0.56 – 0.89 0.81 3 0.50 – 0.80 0.56 – 0.89 0.80 4 0.70 – 0.90 0.78 – 1.00 0.93 5 0.70 – 0.90 0.78 – 1.00 0.91 6 0.50 – 0.80 0.56 – 0.89 0.80 7 0.60 – 0.80 0.56 – 0.89 0.81 8 0.70 – 0.90 0.78 – 1.00 0.91 3.1.10 พมิ พ์แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียนเปน็ ฉบับสมบูรณแ์ ล้วนาไป ทดลองจรงิ กบั กลมุ่ เป้าหมาย ไดแ้ ก่ นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2560

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรยี นร้ทู ่เี สนอขอรับรางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 92 โรงเรียนทับโพธ์ิพัฒนวิทย์ จงั หวัดสุรนิ ทร์ สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 จานวน 27 คน ตามกาหนดเวลาต่อไป 3.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหสั วิชา ส22163 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เรือ่ ง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ ชาตไิ ทย ซ่ึงเป็นแบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 30 ข้อ ผู้ศึกษาค้นคว้าดาเนินการสร้าง ตามขัน้ ตอน ดังต่อไปนี้ 3.2.1 ศึกษาหลักสตู ร เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 เร่ือง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคญั ใน การสรา้ งสรรค์ชาติไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 3.2.2 ศกึ ษาเทคนคิ วิธีเขียนแบบทดสอบ การสร้างแบบทดสอบที่ดี และวิธีการ วิเคราะหแ์ บบทดสอบจากหนังสอื วัดผลการศกึ ษาของสมนึก ภทั ทยิ ธนี (2546 : 77-154) และจากหนังสอื การ วิจัยเบอื้ งต้น (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 66) 3.2.3 วเิ คราะห์ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสาระการเรียนรกู้ บั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2 เรอื่ ง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคัญใน การสรา้ งสรรค์ชาติไทย เพ่อื เปน็ แนวทางในการสร้างแบบทดสอบ 3.2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เร่อื ง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าตไิ ทย เป็น แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 60 ข้อ 3.2.5 นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นทผี่ ศู้ ึกษาคน้ คว้าสรา้ งข้ึนเสนอตอ่ ผ้เู ชี่ยวชาญชดุ เดมิ ในขอ้ 1.5 (1.5.1–1.5.5) จานวน 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกตอ้ ง ครอบคลมุ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ความชดั เจนของคาถาม ความเหมาะสมกบั ผ้เู รยี น เวลา และประเมิน ความสอดคล้องระหว่างเน้ือหากับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้สตู ร IOC ซ่ึงมเี กณฑ์การให้คะแนน ดังน้ี (สมนกึ ภทั ทยิ ธน.ี 2546 : 212-221) ให้ + 1 เม่อื แน่ใจว่าขอ้ สอบขอ้ น้ันวดั ตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ท่รี ะบไุ ว้จรงิ ให้ 0 เม่อื ไมแ่ น่ใจว่าข้อสอบข้อน้ันวดั ตามจดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ีร่ ะบไุ ว้ ให้ - 1 เมือ่ แน่ใจว่าขอ้ สอบขอ้ น้นั ไม่วัดตามจุดประสงค์การเรียนร้ทู ีร่ ะบุไว้ 3.2.6 นาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นทผี่ า่ นการประเมนิ จากผู้เชีย่ วชาญ มาคานวณหาค่า IOC ปรากฏว่า มคี ่า IOC เทา่ กับ 1.00 ทกุ ข้อ แสดงวา่ แบบทดสอบวดั ผล สัมฤทธิ์ ทางการเรยี น วิชาประวตั ศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เรอื่ ง ประวัติ และผลงานของบคุ คลสาคัญในการสรา้ งสรรค์ชาติไทย อยู่ในเกณฑค์ วามเที่ยงตรงของเน้ือหาทีใ่ ชไ้ ด้ ทุกข้อ พมิ พ์แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นเพ่ือนาไปทดลองใช้ 3.2.7 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทป่ี รบั ปรุงแกไ้ ขแล้วไปทดลองใช้ (Try- out) กบั นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2559 โรงเรยี นโพธ์ิ พัฒนวิทย์ จงั หวัดสรุ ินทร์ สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 33 จานวน 36 คน แลว้ นาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนมาตรวจใหค้ ะแนนโดยใช้เกณฑ์ตอบถูก ให้ข้อละ 1 คะแนน ตอบผดิ หรอื ไม่ตอบหรอื ตอบมากกวา่ 1 คาตอบ ให้ 0 คะแนน

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรียนรทู้ ่ีเสนอขอรบั รางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 93 3.2.8 นาผลการทดสอบมาวิเคราะหห์ าความยาก (P) และคา่ อานาจจาแนกรายข้อ (B) โดยใช้วธิ ีของเบรนแนน (Brennan) (ชวลิต ชกู าแพง. 2550 : 61-62) แล้วคดั เลือกขอ้ สอบทม่ี ีคณุ ภาพ ตามเกณฑค์ รอบคลุมจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ไว้ จานวน 30 ข้อ โดยมคี า่ ความยาก (P) ต้ังแต่ 0.27-0.67 และมคี า่ อานาจจาแนก (B) ต้ังแต่ 0.41-0.79 3.2.9 นาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนที่เลือกไวม้ าหาค่าความเชอ่ื ม่นั ทั้งฉบบั โดยใช้วธิ ขี อง Lovett (สมนกึ ภทั ทิยธนี. 2546 : 230) พบวา่ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการ เรยี น วิชาประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เรอ่ื ง ประวัติและผลงานของบุคคล สาคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย มีค่าความเช่ือม่ันทั้งฉบบั เทา่ กบั 0.94 3.2.10 พมิ พ์แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเปน็ ฉบับสมบรู ณแ์ ลว้ นาไป ทดลองจริงกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2560 โรงเรียนโพธิพ์ ฒั นวิทย์ จังหวดั สรุ นิ ทร์ สังกดั สานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 33 จานวน 27 คน ตามกาหนดเวลาต่อไป 4. แบบวัดความพึงพอใจของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ทม่ี ีต่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วิชาประวตั ศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 เรอื่ ง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคัญในการสร้างสรรคช์ าตไิ ทย ผูศ้ กึ ษาคน้ คว้ามีขน้ั ตอน ในการดาเนนิ การสรา้ ง ดังตอ่ ไปน้ี 4.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้องกับความพึงพอใจ เพอ่ื เปน็ แนวทางใน การสรา้ งแบบวดั ความพงึ พอใจ 4.2 สร้างแบบวัดความพึงพอใจเป็นแบบสอบถามท่ีใชม้ าตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลเิ คิร์ท (Likert) มี 5 ระดับ ม่งุ วดั ความพึงพอใจของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ทมี่ ตี ่อการจัดการเรยี นร้โู ดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น วิชาประวตั ศิ าสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เร่ือง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสรา้ งสรรคช์ าตไิ ทย จานวน 25 ขอ้ โดยมีระดับคะแนน ดังนี้ เห็นดว้ ยอยา่ งยิง่ ให้ 5 คะแนน เห็นดว้ ย ให้ 4 คะแนน ไมแ่ นใ่ จ ให้ 3 คะแนน ไม่เหน็ ดว้ ย ให้ 2 คะแนน ไม่เหน็ ดว้ ยอย่างยง่ิ ให้ 1 คะแนน 4.3 นาแบบวดั ความพงึ พอใจเสนอผู้เชี่ยวชาญชดุ เดิม ในขอ้ 1.5 (1.5.1-1.5.5) จานวน 5 ท่าน เพ่ือพจิ ารณาความถูกต้องเหมาะสมของการใชภ้ าษา และประเมนิ ความสอดคล้องระหวา่ ง ข้อคาถามแตล่ ะขอ้ ซ่ึงมีเกณฑก์ ารให้คะแนน ดงั น้ี (สมนึก ภทั ทิยธน.ี 2546 : 212-221) +1 เมือ่ แนใ่ จวา่ ข้อความนน้ั สอดคล้องกับพฤติกรรมช้วี ัดความพึงพอใจของนกั เรียน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ทม่ี ตี อ่ การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เรอ่ื ง ประวัติ และผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย

รายงานการใช้นวตั กรรมการจดั การเรยี นร้ทู เ่ี สนอขอรับรางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพเิ ศษ 94 0 เมอ่ื ไม่แนใ่ จว่าข้อความนั้นสอดคลอ้ งกบั พฤติกรรมชี้วัดความพงึ พอใจ ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ทมี่ ตี ่อการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้เอกสาร ประกอบการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ชนั้ มัธยมศึกษา ปที ี่ 2 เรอ่ื ง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย -1 เมื่อแนใ่ จวา่ ข้อความนัน้ ไมส่ อดคล้องกบั พฤติกรรมช้ีวดั ความพึงพอใจ ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2 ทมี่ ตี อ่ การจดั การเรียนร้โู ดยใชเ้ อกสาร ประกอบการเรียน วิชาประวัติศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ช้นั มธั ยมศึกษา ปีท่ี 2 เรอ่ื ง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย 4.4 นาแบบวัดความพึงพอใจมาปรบั ปรุงแก้ไขตามที่ผู้เชีย่ วชาญเสนอแนะ แลว้ นาไป ทดลองใช้ (Try-out) กับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2559 โรงเรยี น โพธพ์ิ ฒั นวิทย์ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ สังกดั สานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จานวน 36 คน 4.5 นาข้อมลู ท่ีได้มาวิเคราะห์หาค่าอานาจจาแนก t-test (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 161) แลว้ คดั เลอื กแบบวดั ความพึงพอใจไว้ จานวน 20 ขอ้ 4.6 นาแบบวัดความพึงพอใจที่มคี ณุ ภาพตามเกณฑ์ จานวน 20 ขอ้ มาหาคา่ ความเชื่อมัน่ ท้ังฉบับ โดยใชส้ ูตรสมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา (-Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) (สมบัติ ท้ายเรอื คา. 2551 : 94) พบวา่ คา่ ความเช่ือม่นั ของแบบวดั ความพึงพอใจของนกั เรยี นมธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ทีม่ ตี อ่ การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วิชาประวตั ิศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 เรือ่ ง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย ทง้ั ฉบบั เทา่ กบั 0.93 4.7 จดั พมิ พ์แบบวดั ความพงึ พอใจแลว้ นาไปทดลองจริงกบั กล่มุ เปา้ หมาย ไดแ้ ก่ นกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2560 โรงเรียนโพธิพ์ ัฒนวิทย์ จงั หวดั สุรนิ ทร์ สงั กัด สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 จานวน 27 คน ตามกาหนดเวลาตอ่ ไป แบบแผนการทดลอง การศกึ ษาคน้ ควา้ ในครง้ั นี้เปน็ การศกึ ษาคน้ คว้าก่งึ ทดลองแบบ One Group Pre-test Design (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. 2538 : 249) รายละเอยี ด ดังแสดงในตาราง 9 ตาราง 9 แบบแผนการทดลอง กลมุ่ สอบก่อน Treatment สอบหลงั ทดลอง T1 X T2

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนรูท้ ่เี สนอขอรับรางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 95 สญั ลักษณ์ท่ีใช้ T1 แทน การทดสอบก่อนการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้เอกสารประกอบการเรียน X T2 แทน การจดั การเรยี นร้โู ดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น แทน การทดสอบหลังการจัดการเรียนร้โู ดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น การเก็บรวบรวมข้อมลู การศกึ ษาคน้ ควา้ ในครง้ั นี้ ผู้ศึกษาค้นคว้าดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ตามขัน้ ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรยี น (Pre-test) กบั นกั เรยี นกลุม่ เปา้ หมาย โดยใชแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน วชิ าประวัติศาสตร์ รหัสวชิ า ส22163 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 เรื่อง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย จานวน 30 ขอ้ ในวนั ท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 2. ดาเนินการจัดการเรยี นรู้ตามแผนการจดั การเรยี นรู้ วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 เร่ือง ประวัตแิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย ควบคู่ กบั เอกสารประกอบการเรยี น วิชาประวัติศาสตร์ รหัสวิชา ส22163 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 เรอื่ ง ประวัติ และผลงานของบุคคลสาคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย จานวน 8 เลม่ ใช้เวลาใน การจดั การเรยี นรู้ จานวน 16 ชว่ั โมง ต้งั แตว่ นั ท่ี 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ถงึ วันท่ี 11 กนั ยายน พ.ศ. 2560 รายละเอยี ด ดังแสดงในตาราง 10 ตาราง 10 แสดงการจัดการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ อกสารประกอบการเรียน วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 เร่ือง ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคัญใน การสร้างสรรคช์ าติไทย ทีใ่ ช้การทดลองครัง้ ละ 1 ชวั่ โมง ครัง้ ที่ วัน เดือน ปี เนอื้ หาท่ที ดลอง 1 22 พฤษภาคม 2560 ทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นกอ่ นเรยี น 2 29 พฤษภาคม 2560 3 5 มิถุนายน 2560 สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี 1 (อทู่ อง) 4 12 มิถุนายน 2560 สมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี 1 (อทู่ อง) 5 19 มิถุนายน 2560 6 26 มถิ นุ ายน 2560 สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ 7 3 กรกฎาคม 2560 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ 8 10 กรกฎาคม 2560 9 17 กรกฎาคม 2560 สมเดจ็ พระสุริโยทัย 10 24 กรกฎาคม 2560 สมเดจ็ พระสรุ โิ ยทยั 11 31 กรกฎาคม 2560 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช สมเด็จพระนารายณม์ หาราช

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรียนรู้ที่เสนอขอรับรางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพิเศษ 96 ตาราง 10 (ตอ่ ) วนั เดอื น ปี เน้ือหาที่ทดลอง 7 สงิ หาคม 2560 สมเดจ็ พระเพทราชา คร้งั ที่ 14 สิงหาคม 2560 สมเด็จพระเพทราชา 12 21 สงิ หาคม 2560 สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช 13 28 สิงหาคม 2560 สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช 14 4 กันยายน 2560 สมเด็จเจา้ พระยามหากษัตรยิ ์ศกึ (ทองด้วง) 15 11 กนั ยายน 2560 สมเด็จเจ้าพระยามหากษตั ริย์ศกึ (ทองดว้ ง) 16 18 กนั ยายน 2560 ทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั เรียน 17 18 ก่อนดาเนินการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้เอกสารประกอบการเรยี นในแตล่ ะเล่ม ใหน้ ักเรียน ทาแบบทดสอบก่อนเรียน จานวนเล่มละ 10 ข้อ เพื่อตรวจสอบความรู้เดิมของผู้เรยี นในเร่ืองนั้น ๆ ก่อน แลว้ จึงดาเนนิ การจดั การเรียนรูต้ ามแผนการจดั การเรียนรู้ วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เร่ือง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย เมอ่ื จบ เน้อื หาในแตล่ ะเลม่ ใหน้ ักเรยี นทดสอบหลังเรยี น จานวนเลม่ ละ 10 ขอ้ ซง่ึ เป็นแบบทดสอบ ฉบับเดียวกนั กับที่ใช้ในการทดสอบก่อนเรียน ทาเช่นนี้จนครบทั้ง 8 เล่ม 3. ทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรียน (Post-test) เมอ่ื ส้ินสดุ การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้ เอกสารประกอบการเรียน วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เรอื่ ง ประวัติและผลงานของบคุ คลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย ครบท้งั 8 เล่ม โดยใช้แบบทดสอบ วดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน วิชาประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เรอื่ ง ประวตั แิ ละ ผลงานของบุคคลสาคัญในการสร้างสรรค์ชาติไทย จานวน 30 ขอ้ ซึ่งเปน็ แบบทดสอบฉบับเดียวกันกบั ที่ใช้ ในการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) ในวนั ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560 4. นาแบบวัดความพึงพอใจของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วิชาประวัตศิ าสตร์ รหสั วชิ า ส22163 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เร่ือง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคัญในการสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย ให้กลมุ่ เป้าหมายแสดง ความคิดเห็น ในวันที่ 18 กนั ยายน พ.ศ. 2560 การจัดกระทาข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมลู 1. การจดั กระทาขอ้ มูล ผูศ้ กึ ษาค้นควา้ ดาเนินการจัดกระทาข้อมูล ดังน้ี

รายงานการใช้นวตั กรรมการจัดการเรยี นรูท้ ี่เสนอขอรบั รางวลั โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 97 1.1 แบบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ดาเนนิ การตรวจให้คะแนน ดงั น้ี 1.1.1 ตอบถกู ได้ 1 คะแนน 1.1.2 ตอบผดิ ไมต่ อบหรอื ตอบมากกว่า 1 ข้อ ได้ 0 คะแนน 1.2 แบบวดั ความพงึ พอใจของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ที่มตี อ่ การจัดการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหสั วิชา ส23102 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 เร่ือง การสร้างสรรค์ภมู ิปญั ญาและวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ดาเนินการตรวจใหค้ ะแนน ดงั น้ี มากทสี่ ดุ ให้ 5 คะแนน มาก ให้ 4 คะแนน ปานกลาง ให้ 3 คะแนน นอ้ ย ให้ 2 คะแนน น้อยทสี่ ดุ ให้ 1 คะแนน 1.3 นาคะแนนท่ีไดจ้ ากการวัดมาหาค่าเฉลย่ี ( X ) โดยกาหนดเกณฑ์ ดงั นี้ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2545 : 103) ค่าเฉลีย่ ระดบั ความพึงพอใจ 4.51 – 5.00 มากท่สี ุด 3.51 – 4.50 มาก 2.51 – 3.50 ปานกลาง 1.51 – 2.50 น้อย 1.00 – 1.50 นอ้ ยที่สดุ 2. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ในการศึกษาค้นคว้าในคร้งั นี้ ผศู้ ึกษาคน้ ควา้ ดาเนินการวเิ คราะห์ข้อมูล ดังน้ี 2.1 คานวณหาค่าสถิติพนื้ ฐานของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนและแบบวัดความพึง พอใจ ได้แก่ ร้อยละ (Percentage), คา่ เฉล่ีย ( X ) และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2.2 วิเคราะหห์ าประสทิ ธภิ าพของเอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวัติศาสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 เรือ่ ง ประวตั ิและผลงานของบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย ตามเกณฑ์ 80/80 โดยวิธกี ารหาคา่ E1/E2 2.3 วิเคราะหห์ าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรยี น วชิ าประวัตศิ าสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เรื่อง ประวัติและผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าตไิ ทย โดย วิธีการหาคา่ E.I. 2.4 วิเคราะห์เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลังของนักเรียน ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ท่ีจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้เอกสารประกอบการเรยี น วิชาประวตั ิศาสตร์ รหัสวชิ า

รายงานการใช้นวัตกรรมการจดั การเรยี นรทู้ ่เี สนอขอรับรางวัล โดยนายวรี เดช มะแพทย์ ครชู านาญการพิเศษ 98 ส22163 ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 เรือ่ ง ประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย โดย วิธกี ารหาค่า t-test (Dependent Samples) 2.5 ศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ท่ีมตี อ่ การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ เอกสารประกอบการเรียน วชิ าประวตั ศิ าสตร์ รหัสวิชา ส23102 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 เร่ือง การสรา้ งสรรค์ภมู ิปญั ญาและวฒั นธรรมไทยสมัยรตั นโกสนิ ทร์ สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 1. สถิตพิ ้ืนฐาน ได้แก่ 1.1 ค่าเฉล่ีย (Mean) โดยใช้สตู ร ดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 106) X  X N เมอื่ X แทน คะแนนเฉลีย่ X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จานวนนกั เรียนในกล่มุ เปา้ หมาย 1.2 คา่ รอ้ ยละ (Percentage) โดยใชส้ ตู ร ดงั น้ี (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 104) P  f 100 N เมอ่ื P แทน ค่ารอ้ ยละ f แทน คา่ ความถ่ีของข้อมลู N แทน จานวนนกั เรียนในกลุ่มเป้าหมาย 1.3 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใชส้ ูตร ดงั น้ี (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 104) S.D.  N X2   X2 NN 1 เม่ือ S.D. แทน คา่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน X แทน ผลรวมท้ังหมดของคะแนน  X2 แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนนยกกาลงั สองทงั้ หมด N แทน จานวนขอ้ มลู ในกลมุ่ น้นั

รายงานการใชน้ วัตกรรมการจดั การเรียนรทู้ เ่ี สนอขอรับรางวลั โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 99 2. สถติ ิทใ่ี ช้ในการหาคณุ ภาพเครื่องมอื 2.1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาประวัติศาสตร์ รหัสวิชา ส22163 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เร่ือง ประวตั แิ ละผลงานของบุคคลสาคัญในการสรา้ งสรรคช์ าติไทย 2.1.1 หาความเทีย่ งตรงเชงิ เนื้อหา (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น โดยหาคา่ ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ระหวา่ งจดุ ประสงค์กับ ข้อสอบทีใ่ ชว้ ัด โดยใชส้ ตู ร ดงั น้ี (สมนกึ ภทั ทิยธนี. 2546 : 219-221) IOC  R N เม่ือ IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องหรือระหว่างขอ้ สอบกบั จดุ ประสงค์ R แทน คะแนนความคดิ เห็นของผ้เู ช่ยี วชาญ N แทน จานวนผู้เช่ยี วชาญท้ังหมด 2.1.2 วิเคราะหห์ าค่าความยากของข้อสอบแบบองิ เกณฑ์ โดยใช้สูตร ดังนี้ (ชวลิต ชกู าแพง. 2550 : 64-65) P  R N เม่ือ P แทน คา่ ความยากของข้อสอบ R แทน จานวนผู้ตอบถูกทั้งหมด N แทน จานวนผ้เู ขา้ สอบทง้ั หมด 2.1.3 วเิ คราะห์หาค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยวธิ กี ารหาคา่ ดัชนีบี (B-Index) ตามวธิ ีของเบรนแนน (Brennan) โดยใช้สูตร ดงั นี้ (สมนกึ ภัททยิ ธน.ี 2546 : 214) B  U  L N1 N2 เม่อื R แทน คา่ อานาจจาแนกของขอ้ สอบ N1 แทน จานวนคนรอบรู้ (หรอื สอบผา่ นเกณฑ์) N2 แทน จานวนคนไม่รอบรู้ (หรอื สอบไมผ่ ่านเกณฑ์) U แทน จานวนคนรอบรู้ (หรือสอบผ่านเกณฑ์) ตอบถูก

รายงานการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรียนรู้ที่เสนอขอรับรางวัล โดยนายวีรเดช มะแพทย์ ครูชานาญการพเิ ศษ 100 L แทน จานวนคนไม่รอบรู้ (หรอื สอบไม่ผา่ นเกณฑ์) ตอบไมถ่ ูก 2.1.4 วิเคราะห์หาคา่ ความเชื่อม่นั (Reliability) ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการ เรียน โดยใชว้ ิธีของโลเวท (Lovett) โดยใช้สตู ร ดงั น้ี (สมนึก ภทั ทิยธน.ี 2546 : 230) kXi  kXi2 k  1 Xi  C 2  r เม่อื r แทน ความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบ k แทน จานวนขอ้ สอบของแบบทดสอบท้ังฉบับ  Xi แทน ผลรวมของคะแนนสอบของแต่ละคน C แทน คะแนนจดุ ตัด 2.2 แบบวดั ความพึงพอใจของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ทีม่ ตี อ่ การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ เอกสารประกอบการเรยี น วิชาประวตั ศิ าสตร์ รหสั วิชา ส22163 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 เรอื่ ง ประวัตแิ ละผลงานของบคุ คลสาคัญในการสรา้ งสรรค์ชาติไทย 2.2.1 หาความเทย่ี งตรงของแบบวดั ความพึงพอใจด้านความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา และความเที่ยงตรงเชงิ โครงสรา้ ง โดยวิธกี ารหาคา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง โดยใช้สตู รเดยี วกันกบั การ หาคา่ IOC ดังน้ี (ชวลติ ชูกาแพง. 2550 : 61-62) IOC  R N เม่อื IOC แทน Index Of Consistency R แทน ผลรวมความคดิ เห็นของผูเ้ ชยี่ วชาญ N แทน จานวนผู้เชีย่ วชาญ 2.2.2 หาค่าอานาจจาแนกของแบบวัดความพึงพอใจเปน็ รายขอ้ โดยวิธีการ หาค่าสมั ประสิทธ์สิ หสัมพนั ธร์ ะหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item total Correlation) โดยใช้ สตู รสหสมั พันธอ์ ยา่ งงา่ ยของเพยี ร์สนั ดงั น้ี (ชวลติ ชกู าแพง. 2550 : 59-62)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook