หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวทิ ย์ 211 ชน้ั ตัวชี้วัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง ม.2 1. วิเคราะหป์ จั จัยทีม่ ีผลต่อการลงทนุ และ ความหมายและความสาคัญของการลงทุนและ การออมต่อระบบเศรษฐกจิ การออม การบรหิ ารจดั การเงนิ ออมและการลงทุน ภาค ครวั เรือน ปจั จยั ของการลงทุนและการออมคือ อัตรา ดอกเบ้ยี รวมทั้งปัจจยั อื่น ๆ เช่น ค่าของเงิน เทคโนโลยี การคาดเดาเก่ยี วกับอนาคต ปัญหาของการลงทุนและการออมในสงั คมไทย 2. อธิบายปัจจยั การผลติ สนิ ค้าและบริการ ความหมาย ความสาคัญ และหลักการผลิตสินค้า และปัจจัยทมี่ ีอิทธิพลต่อการผลติ สินค้า และบรกิ ารอย่างมีประสทิ ธภิ าพ สารวจการผลติ สนิ คา้ ในท้องถน่ิ ว่ามีการผลติ และบริการ อะไรบ้าง ใชว้ ธิ ีการผลติ อยา่ งไร มปี ญั หาด้าน ใดบ้าง มกี ารนาเทคโนโลยอี ะไรมาใช้ทม่ี ผี ลตอ่ การ ผลิตสินคา้ และบริการ นาหลักการผลติ มาวเิ คราะห์การผลติ สินค้าและ บริการในท้องถิ่นทง้ั ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม และ สิ่งแวดล้อม 3. เสนอแนวทางการพฒั นาการผลติ ใน หลกั การและเป้าหมายปรัชญาของเศรษฐกจิ ท้องถ่นิ ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พอเพยี ง สารวจและวิเคราะห์ปัญหาการผลติ สนิ ค้าและ บริการในท้องถน่ิ ประยุกตใ์ ชป้ รชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการ ผลติ สนิ ค้าและบริการในท้องถิ่น
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิ์พัฒนวทิ ย์ 212 ชนั้ ตวั ช้วี ัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง 4. อภิปรายแนวทางการคมุ้ ครองสิทธิของ การรกั ษาและค้มุ ครองสทิ ธปิ ระโยชนข์ อง ผบู้ รโิ ภค ตนเองในฐานะผบู้ ริโภค กฎหมายคุม้ ครองสทิ ธิผุ้บริโภคและหนว่ ยงานที่ เกีย่ วข้อง การดาเนินกจิ กรรมพิทกั ษ์สทิ ธิและผลประโยชน์ ตามกฎหมายในฐานะผบู้ รโิ ภค แนวทางการปกป้องสิทธิของผ้บู รโิ ภค ม.3 1. อธบิ ายกลไกราคาในระบบเศรษฐกจิ ความหมายและประเภทของตลาด ความหมายและตวั อย่างของอปุ สงคแ์ ละอปุ ทาน ความหมายและความสาคัญของกลไกราคาและ การกาหนดราคาในระบบเศรษฐกจิ หลกั การปรับและเปลีย่ นแปลงราคาสินคา้ และ บรกิ าร 2. มีส่วนร่วมในการแก้ไขปญั หาและ สารวจสภาพปัจจุบันปญั หาท้องถ่นิ ทัง้ ทางด้าน พฒั นาท้องถนิ่ ตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง สงั คม เศรษฐกจิ และส่งิ แวดล้อม วิเคราะห์ปัญหาของท้องถ่ินโดยใช้ปรัชญาของ 3. วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ งแนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพียงกับระบบสหกรณ์ เศรษฐกจิ พอเพียง แนวทางการแกไ้ ขและพัฒนาท้องถิ่นตามปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพียง แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี งกับการพัฒนาใน ระดบั ตา่ ง ๆ หลักการสาคัญของระบบสหกรณ์ ความสัมพนั ธ์ระหว่างแนวคดิ เศรษฐกิจพอเพียง กับหลกั การและระบบของสหกรณ์เพ่ือประยกุ ต์ใชใ้ น การพัฒนาเศรษฐกิจชมุ ชน
หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพิ์ ัฒนวิทย์ 213 ชัน้ ตัวชีว้ ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ม.4–ม.6 1. อภปิ รายการกาหนดราคาและคา่ จ้าง ระบบเศรษฐกิจของโลกในปัจจบุ นั ผลดีและ ในระบบเศรษฐกจิ ผลเสยี ของระบบเศรษฐกจิ แบบต่างๆ ตลาดและประเภทของตลาด ขอ้ ดแี ละ 2. ตระหนักถงึ ความสาคัญของปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงทมี่ ตี ่อเศรษฐกจิ ข้อเสียของตลาดประเภทต่าง ๆ สังคมของประเทศ การกาหนดราคาตามอุปสงค์ และอปุ ทาน การกาหนดราคาในเชิงกลยุทธ์ทีม่ ีในสงั คมไทย 3. ตระหนกั ถึงความสาคญั ของระบบ การกาหนดค่าจ้าง กฎหมายทีเ่ กยี่ วข้องและ สหกรณ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดบั อัตราคา่ จา้ งแรงงานในสังคมไทย ชุมชนและประเทศ บทบาทของรฐั ในการแทรกแซงราคา และการ ควบคุมราคาเพื่อการแจกจา่ ย และจัดสรรในทาง 4. วิเคราะหป์ ญั หาทางเศรษฐกจิ เศรษฐกจิ ในชมุ ชนและเสนอแนวทางแกไ้ ข การประยกุ ต์ใชเ้ ศรษฐกจิ พอเพียง ในการดาเนินชีวิตของตนเอง และครอบครัว การประยุกต์ใชเ้ ศรษฐกจิ พอเพยี งใน ภาค เกษตร อุตสาหกรรม การคา้ และบริการ ปัญหาการพฒั นาประเทศทผ่ี ่านมา โดยการศึกษา วเิ คราะห์แผนพฒั นาเศรษฐกิจ และสังคมฉบับที่ผ่าน มา การพัฒนาประเทศที่นาปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาใช้ ในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และ สังคมฉบบั ปจั จบุ ัน ววิ ฒั นาการของสหกรณ์ใน ประเทศไทย ความหมายความสาคญั และหลักการของระบบ สหกรณ์ ตัวอย่างและประเภทของสหกรณ์ในประเทศไทย ความสาคัญของระบบสหกรณ์ในการพฒั นา เศรษฐกจิ ในชมุ ชนและประเทศ ปัญหาทางเศรษฐกิจในชมุ ชน แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน ตัวอยา่ งของการรวมกลมุ่ ทปี่ ระสบความสาเร็จใน การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของชมุ ชน
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพิ์ ัฒนวทิ ย์ 214 สำระท่ี 3 เศรษฐศำสตร์ มำตรฐำน ส 3.2 เขา้ ใจระบบและสถาบนั ทางเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ความสัมพนั ธ์ทางเศรษฐกจิ และความ จาเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกจิ ในสังคมโลก ชน้ั ตวั ชี้วัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง ม.1 1. วิเคราะหบ์ ทบาทหนา้ ทแ่ี ละความ ความหมาย ประเภท และความสาคัญของสถาบนั การเงินทีม่ ีตอ่ ระบบเศรษฐกจิ แตกต่างของสถาบนั การเงินแตล่ ะประเภท และธนาคารกลาง บทบาทหนา้ ที่และความสาคัญของธนาคารกลาง การหารายได้ รายจา่ ย การออม การลงทนุ ซ่ึง แสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผู้ผลติ ผ้บู ริโภค และ สถาบนั การเงิน 2. ยกตวั อย่างที่สะท้อนใหเ้ ห็นการพง่ึ พา ยกตัวอยา่ งท่ีสะท้อนให้เห็นการพง่ึ พาอาศยั กัน อาศยั กัน และการแข่งขันกนั ทางเศรษฐกิจ และกัน การแข่งขนั กันทางเศรษฐกจิ ในประเทศ ในประเทศ ปญั หาเศรษฐกิจในชุมชน ประเทศ และเสนอแนว ทางแก้ไข 3. ระบุปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อการกาหนด อุป ความหมายและกฎอุปสงค์ อปุ ทาน ปัจจยั ท่มี ีอิทธิพลต่อการกาหนดอปุ สงค์และ สงค์และอปุ ทาน อุปทาน 4. อภิปรายผลของการมกี ฎหมายเก่ยี วกับ ความหมายและความสาคัญของทรพั ย์สินทาง ปัญญา ทรพั ย์สนิ ทางปัญญา กฎหมายทีเ่ ก่ียวกบั การคุ้มครองทรพั ย์สนิ ทาง ปญั ญาพอสงั เขป ตวั อยา่ งการละเมดิ แหง่ ทรัพยส์ ินทางปญั ญาแต่ละ ประเภท ม.2 1. อภปิ รายระบบเศรษฐกิจแบบตา่ งๆ ระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ 2. ยกตวั อยา่ งทสี่ ะท้อนใหเ้ ห็น หลักการและผลกระทบการพ่งึ พาอาศยั กัน และ การพง่ึ พาอาศยั กัน และการแขง่ ขันกนั การแขง่ ขนั กนั ทางเศรษฐกจิ ในภมู ภิ าคเอเชยี ทางเศรษฐกจิ ในภูมภิ าคเอเชีย 3. วิเคราะหก์ ารกระจายของทรัพยากร การกระจายของทรัพยากรในโลกทีส่ ่งผลต่อ ในโลกท่สี ่งผลตอ่ ความสัมพันธท์ าง ความสมั พันธท์ างเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เชน่ เศรษฐกจิ ระหว่างประเทศ นา้ มัน ป่าไม้ ทองคา ถ่านหิน แร่ เป็นต้น 4. วิเคราะห์การแขง่ ขนั ทางการคา้ การแขง่ ขันทางการคา้ ในประเทศและต่างประเทศ ในประเทศและตา่ งประเทศส่งผลต่อ คุณภาพสินค้า ปรมิ าณการผลิต และ ราคาสินคา้
หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิ์พฒั นวทิ ย์ 215 ช้นั ตัวช้วี ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง ม.3 1. อธบิ ายบทบาทหนา้ ท่ีของรัฐบาลใน บทบาทหน้าที่ของรัฐบาลในการพฒั นาประเทศใน ระบบเศรษฐกจิ ด้านตา่ ง ๆ บทบาทและกจิ กรรมทางเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่นการผลติ สินคา้ และบริการสาธารณะทเี่ อกชนไม่ ดาเนินการ เชน่ ไฟฟา้ ถนน โรงเรยี น บทบาทการเกบ็ ภาษีเพื่อพัฒนาประเทศ ของรัฐในระดับต่าง ๆ บทบาทการแทรกแซงราคาและ การควบคุมราคาเพือ่ การแจกจ่ายและการจดั สรร ในทางเศรษฐกิจ บทบาทอน่ื ของรฐั บาลในระบบเศรษฐกิจใน สังคมไทย 2. แสดงความคดิ เหน็ ต่อนโยบาย และ นโยบาย และกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ของรฐั บาล กิจกรรมทาง เศรษฐกิจของรฐั บาลทีม่ ตี อ่ บคุ คล กลุ่มคน และประเทศชาติ 3. อภปิ รายบทบาทความสาคัญของ บทบาทความสาคัญของการรวมกลุ่มทาง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ เศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ ลักษณะของการรวมกล่มุ ทางเศรษฐกิจ กลุม่ ทางเศรษฐกจิ ในภมู ภิ าคต่างๆ 4. อภิปรายผลกระทบท่ีเกดิ จากภาวะ ผลกระทบท่ีเกดิ จากภาวะเงินเฟ้อ เงินฝืด เงินเฟ้อ เงนิ ฝืด ความหมายสาเหตุและแนวทางแกไ้ ขภาวะเงนิ เฟ้อ เงนิ ฝดื 5. วิเคราะหผ์ ลเสยี จากการว่างงาน และ สภาพและสาเหตปุ ญั หาการว่างงาน แนวทางแกป้ ัญหา ผลกระทบจากปัญหาการวา่ งงาน แนวทางการแก้ไขปญั หาการวา่ งงาน 6. วิเคราะห์สาเหตุและวิธกี ารกีดกนั ทาง การคา้ และการลงทนุ ระหว่างประเทศ การคา้ ในการค้าระหวา่ งประเทศ สาเหตุและวธิ กี ารกดี กันทางการค้าในการค้า ระหว่างประเทศ
หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ 216 ช้ัน ตวั ช้วี ัด สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง ม.4-6 1. อธบิ ายบทบาทของรัฐบาลด้านนโยบาย บทบาทของนโยบายการเงนิ และการคลังของ การเงิน การคลังในการพฒั นาเศรษฐกจิ รฐั บาลในดา้ น ของประเทศ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกจิ การสรา้ งการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจ การรักษาดุลการคา้ ระหวา่ งประเทศ การแทรกแซงราคาและการควบคุม ราคา รายรับและรายจ่ายของรฐั ท่ีมีผลต่องบประมาณ หนี้สาธารณะ การพฒั นาทางเศรษฐกจิ และ คณุ ภาพชวี ิตของประชาชน นโยบายการเก็บภาษปี ระเภทต่าง ๆ และการใชจ้ ่ายของรัฐ แนวทางการแกป้ ัญหาการว่างงาน ความหมาย สาเหตุ และผลกระทบท่เี กิดจาก ภาวะทางเศรษฐกิจ เชน่ เงินเฟ้อ เงินฝืด ตวั ช้วี ัดความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น GDP , GNP รายได้เฉลยี่ ต่อบุคคล แนวทางการแก้ปัญหาของนโยบายการเงนิ การคลงั 2. วิเคราะห์ผลกระทบของการเปิดเสรี ววิ ฒั นาการของการเปดิ เสรที างเศรษฐกจิ ในยุค ทางเศรษฐกิจในยคุ โลกาภวิ ตั น์ที่มีผลตอ่ โลกาภิวตั นข์ องไทย สงั คมไทย ปจั จัยทางเศรษฐกจิ ทมี่ ีผลต่อการเปิดเสรที าง เศรษฐกจิ ของประเทศ ผลกระทบของการเปดิ เสรีทางเศรษฐกจิ ของ ประเทศทีม่ ีต่อภาคการเกษตร ภาคอตุ สาหกรรม ภาค การค้าและบรกิ าร การค้าและการลงทนุ ระหวา่ งประเทศ บทบาทขององค์กรระหว่างประเทศในเวทกี ารเงนิ โลกทีม่ ีผลกับประเทศไทย
หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ 217 ช้นั ตัวช้วี ัด สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง 3. วเิ คราะหผ์ ลดี ผลเสียของความร่วมมอื แนวคิดพืน้ ฐานที่เกยี่ วขอ้ งกับการคา้ ระหวา่ งประเทศ ทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศในรปู แบบ บทบาทขององค์การความรว่ มมือทางเศรษฐกจิ ที่ ตา่ ง ๆ สาคัญในภูมภิ าคตา่ ง ๆ ของโลก เชน่ WTO , NAFTA , EU , IMF , ADB , OPEC , FTA , APECในระดบั ตา่ ง ๆ เขตสเ่ี หล่ียมเศรษฐกิจ ปจั จัยตา่ ง ๆ ที่นาไปส่กู ารพง่ึ พา การแขง่ ขันการ ขดั แย้ง และการประสานประโยชน์ทางเศรษฐกจิ ตวั อย่างเหตุการณ์ทน่ี าไปสู่การพงึ พาทาง เศรษฐกิจ ผลกระทบจากการดาเนนิ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ระหวา่ งประเทศ ปัจจยั ตา่ ง ๆ ที่นาไปสกู่ ารพึ่งพาการแขง่ ขนั การ ขัดแยง้ และการประสารประโยชน์ทางเศรษฐกิจ วิธกี ารกดี กนั ทางการคา้ ในการคา้ ระหวา่ งประเทศ สำระท่ี 4 ประวัติศำสตร์ มำตรฐำน ส 4.1 เขา้ ใจความหมาย ความสาคญั ของเวลา และยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์ สามารถใช้ วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตรม์ าวเิ คราะห์เหตุการณต์ ่าง ๆ อยา่ งเป็นระบบ ช้นั ตวั ชีว้ ัด สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง ม.1 1. วิเคราะหค์ วามสาคัญของเวลาใน ตัวอย่างการใชเ้ วลา ช่วงเวลาและยุคสมยั การศึกษาประวัติศาสตร์ ทีป่ รากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย ความสาคญั ของเวลา และชว่ งเวลาสาหรบั การศึกษาประวตั ศิ าสตร์ ความสมั พนั ธ์และความสาคญั ของอดีตท่ีมี ตอ่ ปัจจุบันและอนาคต 2. เทียบศกั ราชตามระบบตา่ งๆท่ีใช้ศกึ ษา ทมี่ าของศกั ราชทปี่ รากฏในเอกสาร ประวตั ิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่ จ.ศ. / ม.ศ. /ร. ศ./ พ.ศ. / ค.ศ. และ ฮ.ศ. วธิ กี ารเทียบศักราชตา่ งๆ และตัวอย่าง การเทียบ ตัวอยา่ งการใชศ้ กั ราชต่าง ๆ ที่ปรากฏใน เอกสารประวัตศิ าสตร์ไทย
หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิ์พฒั นวทิ ย์ 218 ช้นั ตวั ชี้วดั สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง 3. นาวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์มาใชศ้ กึ ษา ความหมายและความสาคญั ของประวตั ศิ าสตร์ เหตกุ ารณท์ างประวตั ิศาสตร์ และวธิ กี ารทางประวัติศาสตร์ท่มี คี วาม สัมพนั ธ์เชือ่ มโยงกัน ตวั อยา่ งหลกั ฐานในการศึกษาประวัตศิ าสตร์ ไทยสมัยสุโขทยั ทั้งหลักฐานชน้ั ตน้ และ หลักฐานช้นั รอง ( เชือ่ มโยงกับ มฐ. ส 4.3) เชน่ ข้อความ ในศิลาจารกึ สมัยสโุ ขทัย เป็นต้น นาวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ไปใช้ศกึ ษา เร่ืองราวของประวัติศาสตร์ไทยที่มอี ยู่ใน ท้องถนิ่ ตนเองในสมยั ใดกไ็ ด้ (สมยั ก่อน ประวตั ศิ าสตร์ สมยั ก่อนสุโขทยั สมัยสโุ ขทัย สมัยอยธุ ยา สมยั ธนบรุ ี สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ) และเหตุการณส์ าคญั ใน สมยั สุโขทยั ม.2 1. ประเมินความนา่ เช่ือถือของหลักฐาน วธิ กี ารประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถือของ ทางประวัตศิ าสตรใ์ นลกั ษณะต่าง ๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในลักษณะ ต่าง ๆ อย่างง่าย ๆ เช่น การศึกษาภมู หิ ลงั ของ ผูท้ า หรอื ผู้เกี่ยวข้อง สาเหตุ ชว่ งระยะเวลา รูปลกั ษณ์ของหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ เปน็ ต้น ตัวอย่างการประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถือของ หลักฐานทางประวัติศาสตรไ์ ทยที่อยู่ ในทอ้ งถนิ่ ของตนเอง หรือหลักฐาน สมัยอยธุ ยา ( เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3 ) 2. วเิ คราะห์ความแตกต่างระหวา่ งความจรงิ ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ข้อมูลจากเอกสาร กบั ข้อเท็จจรงิ ของเหตุการณ์ทาง ตา่ ง ๆ ในสมัยอยุธยา และธนบุรี ประวตั ิศาสตร์ ( เช่อื มโยงกบั มฐ. ส 4.3 ) เชน่ ข้อความ 3. เหน็ ความสาคญั ของการตีความหลักฐาน บางตอน ในพระราชพงศาวดารอยุธยา / ทางประวตั ศิ าสตร์ทนี่ ่าเชือ่ ถือ จดหมายเหตชุ าวตา่ งชาติ
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพัฒนวทิ ย์ 219 ชั้น ตัวชี้วดั สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง ม.3 1. วิเคราะหเ์ รือ่ งราวเหตุการณส์ าคัญทาง ตวั อยา่ งการตคี วามข้อมูลจากหลักฐานที่ ประวตั ศิ าสตรไ์ ด้อยา่ งมเี หตผุ ลตามวธิ กี าร ทางประวตั ิศาสตร์ แสดงเหตกุ ารณส์ าคญั ในสมัยอยุธยาและ 2. ใช้วิธีการทางประวัตศิ าสตรใ์ นการศึกษา เร่อื งราวตา่ ง ๆ ทตี่ นสนใจ ธนบุรี ม.4 –ม. 6 1. ตระหนักถงึ ความสาคัญของเวลาและ การแยกแยะระหว่างข้อมูลกบั ความคิดเห็น ยคุ สมัยทางประวัตศิ าสตร์ท่ีแสดงถึงการ เปล่ียนแปลงของมนุษยชาติ รวมทัง้ ความจรงิ กับข้อเท็จจริงจากหลักฐาน 2. สรา้ งองค์ความรู้ใหม่ทางประวัตศิ าสตร์ ทางประวัตศิ าสตร์ โดยใชว้ ิธกี ารทางประวัติศาสตรอ์ ย่างเปน็ ระบบ ความสาคัญของการวิเคราะห์ข้อมลู และ การตคี วามทางประวตั ิศาสตร์ ขั้นตอนของวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ สาหรับการศกึ ษาเหตกุ ารณ์ทางประวตั ศิ าสตร์ท่ี เกิดขึ้นในท้องถ่นิ ตนเอง วเิ คราะหเ์ หตุการณ์สาคัญในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ โดยใช้วิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ นาวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตรม์ าใช้ใน การศกึ ษาเร่ืองราวทเ่ี กยี่ วข้องกับตนเอง ครอบครวั และทอ้ งถิ่นของตน เวลาและยุคสมัยทางประวัตศิ าสตรท์ ี่ ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยและ ประวัติศาสตรส์ ากล ตัวอย่างเวลาและยคุ สมัยทาง ประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษยท์ ม่ี ปี รากฏใน หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ (เชื่อมโยงกบั มฐ. ส 4.3) ความสาคญั ของเวลาและยุคสมัยทาง ประวตั ศิ าสตร์ ข้นั ตอนของวธิ กี ารทางประวัติศาสตร์ โดย นาเสนอตัวอย่างทลี ะขน้ั ตอนอยา่ งชดั เจน คณุ ค่าและประโยชนข์ องวธิ ีการทาง ประวตั ศิ าสตร์ที่มีตอ่ การศึกษาทาง ประวตั ศิ าสตร์ ผลการศกึ ษาหรอื โครงงานทาง ประวัติศาสตร์
หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ 220 สำระท่ี 4 ประวัตศิ ำสตร์ มำตรฐำน ส 4.2 เขา้ ใจพฒั นาการของมนุษยชาตจิ ากอดีตจนถงึ ปจั จุบนั ในด้านความสัมพันธแ์ ละ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณอ์ ยา่ งต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสาคญั และสามารถ วิเคราะหผ์ ลกระทบท่ีเกิดขึน้ ช้ัน ตวั ช้ีวดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง ม.1 1. อธิบายพัฒนาการทางสังคม เศรษฐกจิ และ ทต่ี งั้ และสภาพทางภมู ศิ าสตรข์ องประเทศ การเมืองของประเทศตา่ ง ๆ ในภมู ิภาคเอเชยี ต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ท่ีมผี ลตอ่ พัฒนาการทางดา้ นต่างๆ พฒั นาการทางสงั คม เศรษฐกจิ และ การเมืองของประเทศต่าง ๆ ในภมู ภิ าค เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ 2. ระบคุ วามสาคัญของแหล่งอารยธรรมใน ที่ตั้งและความสาคญั ของแหล่งอารยธรรม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เช่น แหล่งมรดกโลกในประเทศตา่ ง ๆของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ อทิ ธพิ ลของอารยธรรมโบราณในดินแดน ไทยท่ีมีต่อพฒั นาการของสังคมไทยใน ปจั จบุ ัน ม.2 1. อธิบายพัฒนาการทางสงั คม เศรษฐกิจ ทต่ี ้ังและสภาพทางภูมิศาสตรข์ องภูมิภาค และการเมอื งของภมู ภิ าคเอเชยี ต่างๆในทวีปเอเชยี (ยกเว้นเอเชียตะวนั ออก เฉยี งใต)้ ที่มีผลต่อพัฒนาการโดยสงั เขป พฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองของภูมภิ าคเอเชยี (ยกเวน้ เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้) ทต่ี ั้งและความสาคัญของแหล่งอารยธรรม 2. ระบุความสาคัญของแหลง่ อารยธรรม โบราณในภูมภิ าคเอเชีย เช่น แหล่งมรดก โลกในประเทศตา่ งๆ ในภมู ิภาคเอเชยี อิทธพิ ลของอารยธรรมโบราณท่มี ีต่อ ภมู ภิ าคเอเชียในปจั จุบัน
หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ัฒนวิทย์ 221 ชัน้ ตัวชีว้ ัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง ม.3 1. อธบิ ายพฒั นาการทางสงั คม เศรษฐกิจ ท่ีตัง้ และสภาพทางภมู ศิ าสตร์ของภูมิภาค และการเมืองของภูมภิ าคตา่ งๆ ในโลก ตา่ งๆของโลก (ยกเว้นเอเชีย) ทมี่ ผี ลต่อ โดยสังเขป พฒั นาการโดยสังเขป พัฒนาการทางสังคม เศรษฐกจิ และการเมือง 2. วิเคราะห์ผลของการเปลี่ยนแปลงท่ี ของภูมิภาคตา่ งๆของโลก (ยกเวน้ เอเชีย) นาไปส่คู วามร่วมมือ และความขัดแย้ง ใน ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 ตลอดจนความ โดยสังเขป พยายามในการขจัดปญั หาความขัดแย้ง อทิ ธิพลของอารยธรรมตะวนั ตกทมี่ ผี ลต่อ พัฒนาการและการเปลยี่ นแปลงของสังคมโลก ความร่วมมือและความขัดแย้งใน คริสตศ์ ตวรรษที่ 20 เชน่ สงครามโลกครัง้ ท่ี 1 ครงั้ ที่ 2 สงครามเยน็ องค์การความร่วมมือ ระหวา่ งประเทศ ม.4-ม.6 1.วเิ คราะห์อิทธิพลของอารยธรรรม อารยธรรมของโลกยุคโบราณ ไดแ้ ก่ อารย โบราณ และการตดิ ต่อระหว่างโลก ธรรมลุม่ แมน่ า้ ไทกรสี -ยูเฟรตีส ไนล์ ฮวงโห ตะวนั ออกกบั โลกตะวันตกที่มีผลตอ่ สินธุ และอารยธรรมกรีก-โรมัน พฒั นาการและการเปล่ียนแปลงของโลก การติดตอ่ ระหวา่ งโลกตะวนั ออกกับโลก 2. วเิ คราะห์เหตกุ ารณ์สาคัญต่างๆท่ีส่งผล ตะวันตก และอทิ ธิพลทางวัฒนธรรมท่มี ตี อ่ กนั ต่อการเปล่ยี นแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และกัน และการเมอื ง เขา้ สโู่ ลกสมยั ปัจจุบนั เหตุการณ์สาคัญต่างๆที่ส่งผลตอ่ การ เปลยี่ นแปลงของโลกในปจั จบุ ัน เชน่ ระบอบ ฟิวดสั การฟนื้ ฟู ศลิ ปวิทยาการสงครามครู เสด การสารวจทางทะเล การปฏิรปู ศาสนา การปฏวิ ัตทิ าง 3. วเิ คราะห์ผลกระทบของการขยาย วิทยาศาสตร์ การปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรม อทิ ธิพลของประเทศในยโุ รปไปยังทวีป จกั รวรรดนิ ยิ ม ลทั ธชิ าตินิยม เป็นตน้ อเมริกา แอฟรกิ าและเอเชยี ความร่วมมือ และความขัดแย้งของมนุษยชาติ ในโลก 4. วเิ คราะห์สถานการณ์ของโลกใน สถานการณส์ าคญั ของโลกในคริสตศ์ ตวรรษที่ คริสต์ศตวรรษท่ี 21 21 เชน่ - เหตกุ ารณ์ 11 กนั ยายน 2001 (Nine Eleven ) - การขาดแคลนทรัพยากร - การกอ่ การรา้ ย - ความขัดแย้งทางศาสนา ฯลฯ
หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ 222 สำระท่ี 4 ประวตั ิศำสตร์ มำตรฐำน ส 4.3 เขา้ ใจความเป็นมาของชาติไทย วฒั นธรรม ภมู ิปัญญาไทย มคี วามรกั ความภูมิใจและ ธารงความเป็นไทย ชัน้ ตวั ช้วี ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ม.1 1. อธิบายเรือ่ งราวทางประวัติศาสตร์ สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตรใ์ นดนิ แดนไทย สมยั กอ่ นสุโขทยั ในดนิ แดนไทย โดยสงั เขป โดยสังเขป รัฐโบราณในดินแดนไทย เชน่ ศรวี ิชยั ตามพร 2. วิเคราะหพ์ ัฒนาการของอาณาจักร ลิงค์ ทวารวดี เป็นต้น สโุ ขทยั ในด้านต่าง ๆ รัฐไทย ในดินแดนไทย เช่น ล้านนา นครศรธี รรมราช สพุ รรณภูมิ เปน็ ตน้ 3. วเิ คราะห์อทิ ธิพลของวัฒนธรรม และ การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย และ ปจั จัยที่ ภูมปิ ัญญาไทยสมัยสโุ ขทยั และสังคมไทย เก่ยี วขอ้ ง (ปจั จัยภายในและ ปัจจัยภายนอก ) พัฒนาการของอาณาจักรสโุ ขทัย ในด้าน ในปจั จบุ ัน การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ วัฒนธรรมสมยั สโุ ขทัย เชน่ ภาษาไทย วรรณกรรม ประเพณีสาคัญ ศลิ ปกรรมไทย ภูมิปญั ญาไทยในสมยั สโุ ขทัย เชน่ การชลประทาน เครื่องสงั คมโลก ความเสอื่ มของอาณาจักรสโุ ขทัย ม.2 1. วิเคราะห์พฒั นาการของอาณาจกั ร การสถาปนาอาณาจกั รอยธุ ยา อยธุ ยา และธนบรุ ใี นด้านตา่ งๆ ปจั จัยท่ีส่งผลต่อความเจรญิ รงุ่ เรืองของ 2. วเิ คราะหป์ ัจจัยท่สี ่งผลตอ่ ความมนั่ คง อาณาจักรอยธุ ยา และความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร พฒั นาการของอาณาจักรอยธุ ยาในดา้ น อยุธยา การเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกจิ และ 3. ระบภุ มู ิปัญญาและวัฒนธรรมไทย ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศ สมัยอยุธยาและธนบุรี และอิทธิพลของ การเสยี กรงุ ศรอี ยุธยาคร้ังที่ 1 และ การกู้ ภูมปิ ญั ญาดงั กล่าว ต่อการพัฒนาชาติ เอกราช ไทยในยุคตอ่ มา ภมู ิปญั ญาและวัฒนธรรมไทยสมยั อยธุ ยา เช่น การควบคมุ กาลงั คน และศิลปวฒั นธรรม การเสยี กรุงศรอี ยุธยาครั้งท่ี 2 การกู้ เอกราช และการสถาปนาอาณาจักรธนบรุ ี ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยสมยั ธนบรุ ี
หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวิทย์ 223 ช้ัน ตัวชว้ี ดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง วีรกรรมของบรรพบุรุษไทย ผลงาน ของบุคคลสาคญั ของไทยและต่างชาติ ทม่ี ีส่วนสรา้ งสรรค์ชาตไิ ทย ม.3 1. วิเคราะห์พฒั นาการของไทย การสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานขี อง สมัยรตั นโกสินทรใ์ นด้านต่างๆ ไทย 2. วเิ คราะหป์ จั จยั ท่ีสง่ ผลตอ่ ความมัน่ คง ปจั จยั ท่สี ่งผลต่อความมัน่ คงและ และความเจริญรุ่งเรอื งของไทยในสมัย ความเจริญร่งุ เรืองของไทยในสมยั รัตนโกสินทร์ รัตนโกสนิ ทร์ บทบาทของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยในราชวงศ์ 3.วเิ คราะห์ภูมปิ ญั ญาและวัฒนธรรม จกั รีในการสร้างสรรค์ความเจรญิ และความ ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ และอิทธพิ ลต่อ มน่ั คงของชาติ การพัฒนาชาติไทย พัฒนาการของไทยในสมัยรตั นโกสินทร์ 4.วิเคราะหบ์ ทบาทของไทยในสมยั ทางดา้ นการเมือง การปกครอง สงั คม ประชาธิปไตย เศรษฐกจิ และความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศ ตามชว่ งสมยั ตา่ งๆ เหตกุ ารณส์ าคญั สมยั รตั นโกสินทร์ที่มี ผลต่อการพัฒนาชาติไทย เชน่ การทา สนธสิ ัญญาเบาวร์ ิงในสมยั รชั กาลที่ 4 การ ปฏริ ูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 การเขา้ รว่ ม สงครามโลกครง้ั ท่ี 1 และคร้งั ที่ 2 โดยวเิ คราะห์ สาเหตุปจั จัย และผลของเหตุการณต์ า่ ง ๆ ภูมปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยในสมัย รตั นโกสนิ ทร์ บทบาทของไทยตงั้ แตเ่ ปลยี่ นแปลง การปกครองจนถงึ ปัจจุบนั ในสงั คมโลก ม.4 – ม.6 1.วิเคราะหป์ ระเดน็ สาคัญของ ประเดน็ สาคัญของประวตั ศิ าสตร์ไทย เชน่ ประวัตศิ าสตร์ไทย แนวคิดเก่ยี วกับความเป็นมาของชาตไิ ทย 2. วเิ คราะห์ความสาคัญของสถาบนั อาณาจักรโบราณในดนิ แดนไทย และอิทธพิ ล พระมหากษัตริย์ตอ่ ชาติไทย ทม่ี ตี ่อสังคมไทย ปจั จัยท่ีมีผลตอ่ การสถาปนา 3. วเิ คราะห์ปัจจัยทีส่ ่งเสริมความ อาณาจักรไทยในช่วงเวลาตา่ งๆ สาเหตุและ สรา้ งสรรค์ภมู ิปญั ญาไทย และ ผลของการปฏริ ูป ฯลฯ วัฒนธรรมไทย ซึ่งมผี ลตอ่ สงั คมไทยใน บทบาทของสถาบนั พระมหากษัตริย์ในการ พฒั นาชาติไทยในดา้ นตา่ งๆ เชน่ การป้องกนั ยคุ ปจั จุบัน 4. วเิ คราะห์ผลงานของบุคคลสาคัญทั้ง และรกั ษาเอกราชของชาติ การสรา้ งสรรค์ วฒั นธรรมไทย ชาวไทยและต่างประเทศ ท่มี ีสว่ น
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ 224 ช้ัน ตัวชว้ี ดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สร้างสรรคว์ ฒั นธรรมไทย และ อทิ ธพิ ลของวัฒนธรรมตะวนั ตก และตะวนั ออก ประวัติศาสตรไ์ ทย ท่มี ตี อ่ สงั คมไทย ผลงานของบุคคลสาคญั ทั้งชาวไทยและ ต่างประเทศ ทีม่ ีสว่ นสรา้ งสรรค์ วฒั นธรรมไทย และประวตั ิศาสตรไ์ ทย ปัจจยั ท่ีสง่ เสรมิ ความสรา้ งสรรค์ภูมปิ ัญญาไทย และวฒั นธรรมไทย ซ่ึงมผี ลต่อสังคมไทยในยคุ ปจั จบุ นั 5. วางแผนกาหนดแนวทางและการมี สภาพแวดลอ้ มทีม่ ผี ลต่อการสรา้ งสรรคภ์ ูมิ สว่ นรว่ มการอนรุ กั ษ์ภมู ิปัญญาไทยและ ปญั ญาและวฒั นธรรมไทย วฒั นธรรมไทย วิถชี ีวิตของคนไทยในสมัยต่างๆ การสืบทอดและเปล่ยี นแปลงของวัฒนธรรม ไทย แนวทางการอนรุ ักษ์ภมู ิปัญญาและวัฒนธรรม ไทยและการมสี ว่ นรว่ มในการอนรุ กั ษ์ วธิ ีการมสี ว่ นรว่ มอนุรักษภ์ มู ปิ ัญญาและ วัฒนธรรมไทย
หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ฒั นวิทย์ 225 สำระท่ี 5 ภมู ิศำสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสมั พนั ธข์ องสรรพสิง่ ซึง่ มีผลต่อกัน ใช้แผน ทแ่ี ละเครื่องมอื ทางภูมิศาสตร์ในการคน้ หา วเิ คราะห์ และสรุปข้อมูลตามกระบวนการทางภูมศิ าสตรล์ อด จนใช้ภมู สิ ารสนเทศอย่างมีประสทิ ธิภาพ ชัน้ ตัวช้ีวัด สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง ม.1 1. วเิ คราะห์ลักษณะทางกายภาพ ท่ตี ง้ั ขนาด และอาณาเขตของ ของทวปี เอเชีย ทวปี ออสเตรเลีย ทวปี เอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย และ และโอเชียเนีย โดยใช้เคร่อื งมือ ทาง โอเชยี เนยี ภมู ิศาสตร์สืบคน้ ข้อมลู การใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ เชน่ แผนที่ รปู ถา่ ยทางอากาศ ภาพจากดาวเทยี มในการสบื ค้น ลกั ษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลยี และโอเชยี เนีย 2. อธบิ ายพกิ ัดภมู ิศาสตร์ (ละติจูด พิกดั ภมู ิศาสตร์ (ละติจดู และลองจจิ ูด) และลองจจิ ดู ) เสน้ แบง่ เวลา และ เส้นแบ่งเวลา เปรียบเทียบวัน เวลาของโลก เปรยี บเทยี บวนั เวลาของโลก 3. วิเคราะหส์ าเหตุการเกิดภัยพิบัติ สาเหตุการเกิดภัยพบิ ัตแิ ละผลกระทบในทวีปเอเชีย และผลกระทบในทวีปเอเชีย ทวีป ทวีปออสเตรเลีย และโอเชยี เนีย ออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี ม.2 1. วิเคราะหล์ กั ษณะทางกายภาพ ทต่ี ้งั ขนาด และอาณาเขตของทวปี ยุโรป และทวปี ของทวีปยุโรป และทวปี แอฟริกา แอฟริกา โดยใชเ้ ครือ่ งมือทางภูมศิ าสตร์สบื คน้ การใชเ้ ครอื่ งมือทางภมู ิศาสตร์ ข้อมูล เช่น แผนท่ี รปู ถา่ ยทางอากาศ ภาพจากดาวเทยี มใน การสืบคน้ ลกั ษณะทางกายภาพของทวีปยุโรป และทวปี แอฟริกา 2. อธบิ ายมาตราส่วน ทิศ และ การแปลความหมาย มาตราส่วน ทศิ และสัญลกั ษณ์ สัญลักษณ์ ในแผนท่ี 3. วเิ คราะหส์ าเหตุการเกดิ ภัยพบิ ตั ิ สาเหตกุ ารเกดิ ภยั พิบัติและ และผลกระทบในทวปี ยโุ รป และ ผลกระทบในทวปี ยโุ รป และทวปี ทวีปแอฟรกิ า แอฟริกา
หลักสตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพัฒนวิทย์ 226 ชัน้ ตัวชวี้ ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ม.3 1. วิเคราะห์ลกั ษณะทางกายภาพ ท่ตี ง้ั ขนาด และอาณาเขตของทวปี อเมริกาเหนอื ของทวปี อเมริกาเหนือ และทวีป และทวปี อเมริกาใต้ ม.4 – ม.6 อเมริกาใต้ โดยเลือกใชแ้ ผนที่เฉพาะ การเลอื กใชแ้ ผนท่ีเฉพาะเรื่องและเครอื่ งมือทาง เร่อื งและเครือ่ งมือทางภูมิศาสตร์ ภมู ศิ าสตรส์ ืบคน้ ข้อมูล ลักษณะทางกายภาพของ สบื คน้ ขอ้ มลู ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้ 2. วเิ คราะห์สาเหตุการเกดิ ภยั พิบัตแิ ละ สาเหตกุ ารเกดิ ภยั พบิ ตั แิ ละผลกระทบในทวีป ผลกระทบในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาเหนือและทวปี อเมริกาใต้ และทวปี อเมริกาใต้ 1. วเิ คราะห์การเปลีย่ นแปลงทาง การเปล่ียนแปลงทางกายภาพ กายภาพในประเทศไทยและภูมิภาค (ประกอบด้วย 1. ธรณีภาค ตา่ งๆ ของโลก ซงึ่ ได้รับอิทธิพลจาก 2. บรรยากาศภาค 3. อุทกภาค4. ชวี ภาค) ของ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ พื้นทใ่ี นประเทศไทยและภมู ิภาคต่างๆ ของโลก ซึง่ ไดร้ ับอิทธพิ ลจากปัจจยั ทางภูมศิ าสตร์ 2. วิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพ การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพ ซ่งึ ทาใหเ้ กิดปัญหาและภยั พบิ ัติ ทส่ี ง่ ผลต่อภูมปิ ระเทศ ภมู ิอากาศ ทางธรรมชาติในประเทศไทยและ และทรัพยากรธรรมชาติ ภูมภิ าคต่างๆ ของโลก ปญั หาทางกายภาพและภัยพิบัติ 3. ใช้แผนที่และเคร่ืองมือทาง ทางธรรมชาติในประเทศ ภมู ิศาสตร์ในการคน้ หา วเิ คราะห์ และภูมิภาคต่างๆ ของโลก และสรุปข้อมูลตามกระบวนการ ทางภมู ิศาสตร์ และนาภมู สิ ารสนเทศ แผนที่และองค์ประกอบ มาใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั การอ่านแผนท่ีเฉพาะเร่ือง การแปลความหมายรปู ถ่ายทางอากาศ และภาพ จากดาวเทียม การนาภมู สิ ารสนเทศไปใช้ในชวี ติ ประจาวัน
หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิ์พัฒนวิทย์ 227 สำระที่ 5 ภูมศิ ำสตร์ มำตรฐำน ส 5.2 เข้าใจปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษย์กบั สิง่ แวดล้อมทางกายภาพทก่ี ่อใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรค์วถิ ี การดาเนินชีวิต มจี ิตสานึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และส่งิ แวดล้อมเพอ่ื การพฒั นาที่ยั่งยืน ชนั้ ตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง ทาเลทีต่ ้งั ของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสงั คม ม.1 1. สารวจและระบทุ าเลท่ตี ง้ั ของ เชน่ พืน้ ทีเ่ พาะปลกู และเลยี้ งสัตว์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม แหลง่ ประมง การกระจายของภาษาและศาสนาใน ในทวีปเอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย และ ทวีปเอเชีย ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนีย โอเชยี เนีย 2. วิเคราะหป์ ัจจยั ทางกายภาพและ ปจั จัยทางกายภาพและปัจจยั ทางสงั คมทส่ี ง่ ผล ปัจจยั ทางสงั คมทม่ี ีผลต่อทาเลท่ตี ้งั ตอ่ การเปล่ยี นแปลงโครงสรา้ งทาง ของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คม ประชากร สง่ิ แวดล้อม เศรษฐกิจสังคมและ ในทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลีย วัฒนธรรมในทวีปเอเชยี ทวีปออสเตรเลยี และโอ และโอเชียเนีย เชียเนยี 3. สบื คน้ อภิปรายประเดน็ ปัญหา ประเดน็ ปัญหาจากปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ ง จากปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งสง่ิ แวดล้อม สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพกับมนษุ ยท์ ี่เกิดขนึ้ ในทวีป ทางกายภาพกับมนุษย์ที่เกิดขึ้น เอเชียทวปี ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ในทวปี เอเชยี ทวีปออสเตรเลีย และโอเชยี เนีย 4. วิเคราะหแ์ นวทางการจัดการภัย แนวทางการจัดการภัยพิบัติและการจดั การ พิบตั ิและการจัดการทรัพยากรและ จัดการทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในทวปี เอเชยี สง่ิ แวดล้อมในทวีปเอเชยี ทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชยี เนีย ทีย่ ่งั ยืน ท่ีย่งั ยนื ม.2 1. สารวจและระบุทาเลทต่ี งั้ ของ ทาเลทตี่ งั้ ของกิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสังคม กจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสงั คม เชน่ พน้ื ทเ่ี พาะปลกู และเลยี้ งสัตว์ แหล่งประมง ในทวีปยโุ รป และทวีปแอฟรกิ า การกระจายของภาษา และศาสนาในทวปี ยุโรป 2. วเิ คราะห์ปัจจยั ทางกายภาพ และทวปี แอฟริกา และปจั จัยทางสงั คมท่ีมีผลต่อทาเล ท่ตี ง้ั ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ ปัจจัยทางกายภาพและปัจจัย สังคมในทวีปยุโรป และทวปี แอฟริกา ทางสังคมทส่ี ่งผลต่อการเปล่ียนแปลง โครงสร้างทางประชากร ส่งิ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม ในทวปี ยุโรป และทวีปแอฟริกา
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิ์พัฒนวิทย์ 228 ช้นั ตวั ชี้วดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง 3. สบื ค้น อภิปรายประเด็นปัญหา ประเดน็ ปญั หาจากปฏสิ มั พันธร์ ะหว่าง จากปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งสิง่ แวดล้อม สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพกับมนษุ ย์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในทวปี ทางกายภาพกับมนุษยท์ เ่ี กดิ ข้ึน ยุโรป และทวปี แอฟริกา ในทวีปยุโรป และทวีปแอฟริกา 4. วเิ คราะหแ์ นวทางการจดั การภัย แนวทางการจดั การภัยพบิ ตั ิและการจัดการ พิบตั ิและการจัดการทรัพยากรและ ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมในทวีปยุโรป และทวปี สงิ่ แวดล้อมในทวีปยโุ รป แอฟริกาทยี่ ่ังยืน และทวีปแอฟริกาทยี่ งั่ ยืน ม.3 1. สารวจและระบทุ าเลที่ต้ังของ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คมในทวปี ทาเลทต่ี ง้ั ของกิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสังคม อเมรกิ าเหนอื และทวปี อเมริกาใต้ เชน่ พ้นื ทเ่ี พาะปลกู และ เล้ียงสัตว์ แหล่งประมง การกระจายของภาษาและ ศาสนาในทวปี อเมริกาเหนือ และ ทวปี อเมรกิ าใต้ 2. วเิ คราะห์ปจั จยั ทางกายภาพและ ปจั จยั ทางกายภาพและปจั จัยทางสงั คมทส่ี ่งผล ปจั จยั ทางสังคมทีม่ ผี ลต่อทาเลทต่ี ง้ั ตอ่ การเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ ง ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ทางประชากร สงิ่ แวดลอ้ ม เศรษฐกิจ ในทวปี อเมริกาเหนือ และทวีป สังคมและวฒั นธรรมในทวีปอเมริกา อเมริกาใต้ เหนอื และทวีปอเมริกาใต้ 3. สบื คน้ อภิปรายประเด็นปัญหา ประเดน็ ปัญหาจากปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่าง จากปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งส่ิงแวดลอ้ ม สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพกับมนษุ ย์ท่ีเกิดขึ้นในทวปี ทางกายภาพกบั มนษุ ยท์ ่เี กดิ ข้ึน อเมริกาเหนอื และทวีปอเมริกาใต้ ในทวีปอเมริกาเหนือ และทวีป อเมริกาใต้ 4. วิเคราะหแ์ นวทางการจัดการ แนวทางการจดั การภัยพบิ ัติและการจดั การ ภยั พิบัติและการจัดการทรัพยากร ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อมในทวีปอเมรกิ าเหนือ และสิ่งแวดล้อมในทวีปอเมริกาเหนอื และทวปี อเมริกาใต้ท่ยี ่ังยนื และทวีปอเมรกิ าใต้ ทย่ี ั่งยืน 5. ระบุความร่วมมือระหว่างประเทศ ท่ี เป้าหมายการพัฒนาทยี่ งั่ ยืนของโลก มผี ลตอ่ การจัดการทรัพยากรและ ความร่วมมอื ระหวา่ งประเทศที่มีผลต่อการ สิ่งแวดล้อม จัดการทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม
หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิ์พฒั นวทิ ย์ 229 ช้นั ตัวชวี้ ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ม.4 –ม.6 1. วิเคราะหป์ ฏสิ มั พันธ์ระหวา่ ง สงิ่ แวดล้อมทางกายภาพกับกิจกรรมของ ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ แวดล้อมทางกายภาพกับ มนษุ ยใ์ นการสร้างสรรค์วิถี วถิ ีการดาเนนิ ชวี ิตภายใตก้ ระแสโลกาภิวตั น์ ไดแ้ ก่ การดาเนนิ ชวี ติ ของท้องถ่นิ ท้ังใน ประชากรและการตงั้ ถ่ินฐาน(การกระจายและ ประเทศไทยและภูมภิ าคตา่ งๆ การเปล่ียนแปลงประชากร ชมุ ชนเมืองและชนบท ของโลกและเห็นความสาคญั ของ สงิ่ แวดล้อมทีม่ ีผลต่อการดารงชีวิต และการกลายเปน็ เมือง ของมนุษย์ การกระจายตวั ของกิจกรรมทางเศรษฐกจิ 2. วิเคราะห์สถานการณ์ สาเหตุ และผลกระทบของการเปลยี่ นแปลง (เกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลติ การบริการ ด้านทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม และการท่องเทีย่ ว) ของประเทศไทยและภูมิภาคต่างๆ ของ โลก สถานการณ์การเปลยี่ นแปลงดา้ น ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มได้แก่ การ 3. ระบมุ าตรการป้องกันและแกไ้ ข ปัญหา กฎหมายและนโยบายดา้ น เปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศความเสือ่ มโทรมของ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม บทบาทขององค์การทเี่ ก่ยี วข้อง และ สง่ิ แวดล้อม ความหลากหลายทางชวี ภาพ และภยั การประสานความร่วมมือทงั้ ในประเทศ พบิ ัติ และระหว่างประเทศ สาเหตุ และผลกระทบของการเปลย่ี นแปลง ด้านทรพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อมของ 4. วิเคราะห์แนวทางและมีสว่ นร่วม ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทย และภูมิภาคตา่ งๆ ของโลก และสง่ิ แวดลอ้ มเพ่ือการพฒั นา การจัดการภยั พบิ ัติ ทย่ี ่ังยืน มาตรการป้องกนั และแก้ไขปัญหา ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มในประเทศ และระหว่างประเทศ ตามแนวทาง การพฒั นาทย่ี ง่ั ยนื ความมน่ั คงของมนุษย์ และ การบริโภคอย่างรับผิดชอบ กฎหมายและนโยบายดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มท้งั ในประเทศและระหว่าง ประเทศ บทบาทขององค์การ และการ ประสานความร่วมมือท้ังในประเทศ และระหวา่ งประเทศ แนวทางการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม การมสี ว่ นร่วมในการแกป้ ัญหาและการดาเนิน ชีวิตตามแนวทางการจดั การทรพั ยากรและ ส่ิงแวดลอ้ มเพ่ือการพฒั นาทีย่ ั่งยืน
หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ัฒนวิทย์ 230 อภธิ ำนศัพท์ กตัญญูกตเวที ผรู้ ้อู ปุ การะที่ทา่ นทาแล้วและตอบแทน แยกออกเปน็ ๒ ข้อ ๑. กตญั ญู รูค้ ุณทา่ น ๒. กตเวทีตอบแทนหรือสนองคุณท่าน ความกตญั ญูกตเวทีว่าโดยขอบเขต แยกได้ เป็น ๒ ระดบั คอื ๒.๑ กตัญญกู ตเวทีต่อบุคคลผู้มคี ุณความดีหรืออุปการะต่อตนเป็นสว่ นตัว ๒.๒ กตญั ญูกตเวทีต่อ บุคคลผู้ไดบ้ าเพญ็ คุณประโยชนห์ รอื มีคุณความดี เก้อื กลู แก่ส่วนร่วม (พ.ศ. หน้า ๒-๓) กตญั ญกู ตเวทตี ่ออำจำรย์ / โรงเรียน ในฐานะทีเ่ ป็นศิษย์ พึงแสดงความเคารพนบั ถืออาจารย์ ผู้ เปรยี บเสมือนทิศเบ้ืองขวา ดังน้ี ๑. ลกู ต้อนรับ แสดงความเคารพ ๒. เขา้ ไปหา เพื่อบารุง รับ ใช้ ปรึกษา ซกั ถาม รับคาแนะนา เปน็ ต้น ๓. ฟงั ด้วยดี ฟงั เป็น รู้จักฟงั ให้เกิดปัญญา ๔. ปรนนิบัติ ช่วยบรกิ าร ๕. เรยี นศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ เอาจรงิ เอาจงั ถือเป็นกิจสาคญั ดว้ ยดี กรรม การกระทา หมายถงึ การกระทาทป่ี ระกอบดว้ ยเจตนา คอื ทาด้วยความจงใจ ประกอบด้วยความ จงใจหรือจงใจทาดีกต็ าม ช่ัวกต็ าม เช่น ขดุ หลุมพรางดักคนหรือสตั วใ์ นตกลงไปตายเป็นกรรม แต่ขุดบ่อนา้ ไวก้ ินไวใ้ ช้ สตั วต์ กลงไปตายเองไมเ่ ปน็ กรรม (แตถ่ ้าร้อู ยวู่ า่ บ่อน้าท่ตี นขดุ ไว้อย่ใู นทีซ่ ึ่ง คนจะพลดั ตกไดง้ ่ายแล้วปล่อยปละละเลย มคี นตกลงไปก็ไมพ่ น้ กรรม) การกระทาท่ีดีเรียกวา่ “กรรมดี” ที่ชั่วเรียกวา่ “กรรมชั่ว” (พ.ศ. หนา้ ๔) กรรม ๒ กรรมจาแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมท่ีเป็นมูลเหตุมี ๒ คือ ๑. อกศุ ลกรรม กรรมทเ่ี ปน็ อกุศล กรรมชว่ั คอื เกิดจากอกุศลมูล ๒. กศุ ลกรรม กรรมทีเ่ ป็นกศุ ล กรรมดี คือกรรมทีเ่ กดิ จากกศุ ลมูล กรรม ๓ กรรมจาแนกตามทวารคือทางที่กรรมมี ๓ คอื ๓. กายกรรม การกระทาทางกาย ๒. วจีกรรม การกระทาทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทาทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจาแนกตามหลักเกณฑเ์ กย่ี วกับการใหผ้ ล มี ๑๒ อย่าง คอื หมวดท่ี ๑ ว่ำด้วยปำกกำล คือจาแนกตามเวลาท่ีให้ผล ได้แก่ ๑. ทิฏฐธิ รรมเวทนยี กรรม กรรมท่ี ให้ผลในปจั จุบนั คอื ในภพนี้ ๒. อุปัชชเวทนยี กรรม กรรมทใี่ หผ้ ลในภาพที่จะไปเกิด คือ ในภพหน้า ๓. อปราบปรเิ วทนียกรรม กรรมท่ีใหผ้ ลในภพต่อ ๆ ไป ๔. อโหสกิ รรม กรรมเลกิ ให้ผล หมวดที่ ๒ ว่ำโดยกจิ คือการใหผ้ ลตามหนา้ ที่ ได้แก่ ๕. ชนกกรรม กรรมแตง่ ให้เกดิ หรอื กรรมท่ี เป็นตวั นาไปเกิด ๖. อปุ ตั ถัมภกกรรม กรรมสนบั สนุน คือ เข้าสนบั สนุนหรอื ซา้ เติมต่อจากชนก กรรม ๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบคนั้ ผลแห่งชนกกรรม และอุปัตถมั ภกกรรมน้ันให้ แปรเปล่ียนทเุ ลาเบาลงหรือส้ันเข้า ๘. อปุ ฆาตกกรรม กรรมตดั รอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามท่ี เข้าตดั รอนให้ผลของกรรมสองอย่างนน้ั ขาดหรอื หยุดไปทเี ดียว .................................................................. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร การจัดสาระการเรยี นรพู้ ระพทุ ธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคม ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ รุ สภาลาดพร้าว ,ครง้ั ท่ี ๒ ๒๕๔๖ . *หมายเหตุ พ.ศ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์ ; พ.ธ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมาวลธรรม พมิ พ์ครั้งท่ี ๙ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย,๒๕๔๓. หมวดท่ี ๓ วำ่ โดยปำนทำนปรยิ ำย คือจาแนกตามลาดบั ความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙. ครกุ รรม กรรมหนัก ใหผ้ ลก่อน ๑๐. พหลุ กรรม หรอื อาจิณกรรม กรรทที่ ามากหรอื กรรมชินใหผ้ ล
หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิ์พฒั นวิทย์ 231 รองลงมา ๑๑. อาสนั นกรรม กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มสี องขอ้ กอ่ นก็จะให้ผลกอ่ น อืน่ ๑๒. กตัตตากรรม หรอื กตัตตาวาปนกรรม กรรมสกั วา่ ทา คือเจตนาอ่อน หรอื มิใช่ เจตนาอย่างนน้ั ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอืน่ จะให้ผล (พ.ศ. หน้า ๕) กรรมฐำน ทตี่ ้งั แห่งการงาน อารมณเ์ ป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ อุบายทางใจ วธิ ฝี ึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ สมถกรรมฐาน คือ อุบายสงบใจ วปิ สั สนากรรมฐาน อุบายเรอื งปัญญา (พ.ศ. หนา้ ๑๐) กลุ จริ ฏั ตธรรม ๔ ธรรมสาหรบั ดารงความม่ันคงของตระกูลให้ยั่งยืน เหตุท่ที าใหต้ ระกูลมงั่ คงั่ ต้งั อยู่ได้นาน (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) ๑. นฏั ฐคเวสนา คือ ของหายของหมด ร้จู ักหามาไว้ ๒. ชิณณปฏิสังขรณา คอื ของ เก่าของชารดุ รจู้ ักบูรณะซ่อมแซม ๓. ปริมติ ปานโภชนา คือ รจู้ ักประมาณในการกินการใช้ ๔. อธปิ จั จสลี วันตสถาปนา คอื ตั้งผู้มศี ลี ธรรมเปน็ พ่อบ้านแมเ่ รอื น (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) กุศล บุญ ความดี ฉลาด สงิ่ ที่ดี กรรมดี (พ.ศ. หน้า ๒๑) กุศลกรรม กรรมดี กรรมทีเ่ ป็นกศุ ล การกระทาทีด่ คี ือเกดิ จากกุศลมลู (พ.ศ. หน้า ๒๑) กุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งกรรมดี ทางทาดี กรรมดีอันเป็นทางนาไปสูส่ คุ ตมิ ี ๑๐ อยา่ งไดแ้ ก่ ก. กำยกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เวน้ จากการทาลายชีวติ ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาของท่ีเขามิไดใ้ ห้ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดใน กาม ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เวน้ จากพดู เท็จ ๕. ปิสุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสยี ด ๖. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี เวน้ จากพูดคาหยาบ ๗. สมั ผัปปลาปา เวรมณี เวน้ จากพดู เพอ้ เจ้อ ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภชิ ฌา ไมโ่ ลกคอยจ้องอยากไดข้ องเขา ๙. อพยาบาท ไม่คิดรา้ ย เบียดเบยี นเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กศุ ลมลู รากเหงา้ ของกุศล ต้นเหตุของกศุ ล ต้นเหตขุ องความดี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ) ๒. อโท สะ ไม่คดิ ประทุษรา้ ย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา) (พ.ศ. หน้า ๒๒) กุศลวิตก ความตรึกที่เป็นกศุ ล ความนึกคดิ ที่ดีงาม ๓ คือ ๑. เนกขมั มวติ ก ความตรกึ ปลอดจากกาม ๒. อพยาบาทวติ ก ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท ๓. อวิหสิ าวิตก ความตรึกปลอดจากการ เบยี ดเบียน (พ.ศ. หน้า ๒๒) โกศล ๓ ความฉลาด ความเช่ียวชาญ มี ๓ อย่าง ๑. อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ รอบรู้ทาง เจริญและเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล คือ ความฉลาดในความเสื่อม รอบรู้ทางเส่ือมและ เหตุของความเสอื่ ม ๓. อปุ ายโกศล คอื ความฉลาดในอุบาย รอบรวู้ ธิ แี ก้ไขเหตุการณ์และวธิ ที ่จี ะ ทาให้สาเรจ็ ทง้ั ในการปอ้ งกนั ความเสอ่ื มและในการสรา้ งความเจริญ (พ.ศ. หนา้ ๒๔)
หลักสตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ฒั นวทิ ย์ 232 ขันธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลาตวั หมวดหน่ึง ๆ ของรปู ธรรมและนามธรรมทงั้ หมดท่แี บ่งออกเปน็ ห้ากอง ได้แก่ รปู ขนั ธ์ คอื กองรปู เวทนาขันธ์ คอื กองเวทนา สญั ญาขนั ธ์ คือ กองสัญญา สงั ขารขนั ธ์ คือ กองสงั ขาร วญิ ญาณขนั ธ์ คือ กองวญิ ญาณ เรียกรวมวา่ เบญจขนั ธ์ (พ.ศ. หน้า ๒๖ - ๒๗) คำรวธรรม ๖ ธรรม คือ ความเคารพ การถอื เปน็ สงิ่ สาคญั ทจี่ ะพงึ ใสใ่ จและปฏบิ ตั ิดว้ ย ความเอ้ือเฟ้ือ หรือโดยความหนักแน่นจริงจังมี ๖ ประการ คือ ๑. สตั ถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรอื พุทธคารวตา ความเคารพในพระพทุ ธเจา้ ๒. ธัมมคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สงั ฆ คารวตา ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา ความเคารพในการศึกษา ๕. อัปปมาท คารวตา ความเคารพในความไมป่ ระมาท ๖. ปฏิสนั ถารคารวตา ความเคารพในการปฏสิ นั ถาร (พ.ธ. หน้า ๒๒๑) คหิ สิ ุข (กามโภคสี ุข ๔) สขุ ของคฤหสั ถ์ สขุ ของชาวบา้ น สุขที่ชาวบา้ นควรพยายามเข้าถงึ ให้ได้สม่าเสมอ สขุ อนั ชอบธรรมท่ผี คู้ รองเรอื นควรมี ๔ ประการ ๑. อัตถิสุข สขุ เกดิ จากความมีทรัพย์ ๒. โภคสุข สุขเกดิ จากการใช้จ่ายทรัพย์ ๓. อนณสุข สขุ เกิดจากความไม่เปน็ หนี้ ๔. อนวัชชสุข สุขเกิดจาก ความประพฤติไม่มีโทษ (ไมบ่ กพร่องเสียหายทัง้ ทางกาย วาจา และใจ) (พ.ธ. หน้า ๑๗๓) ฆรำวำสธรรม ๔ ธรรมสาหรบั ฆราวาส ธรรมสาหรบั การครองเรือน หลกั การครองชีวิตของคฤหสั ถ์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. สัจจะ คือ ความจรงิ ซ่ือตรง ซ่ือสตั ย์ จริงใจ พูดจรงิ ทาจรงิ ๒. ทมะ คือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสยั ปรับตัว รจู้ กั ควบคมุ จิตใจ ฝึกหัด ดัดนสิ ัย แก้ไขข้อบกพรอ่ ง ปรบั ปรงุ ตนใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ด้วยสตปิ ญั ญา ๓. ขันติ คือ ความอดทน ตง้ั หน้าทาหน้าทก่ี ารงาน ดว้ ยความขยันหมน่ั เพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หว่ันไหว มั่นในจุดหมาย ไม่ทอ้ ถอย ๔. จาคะ คือ เสียสละ สละกิเลส สละความสขุ สบาย และผลประโยชนส์ ่วนตนได้ ใจกวา้ ง พร้อมทจ่ี ะรบั ฟัง ความทกุ ข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผูอ้ ่ืน พร้อมท่จี ะรว่ มมือช่วยเหลอื เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไมค่ บั แคบเห็นแกต่ วั หรอื เอาแต่ใจตวั (พ.ธ. หน้า ๔๓) จิต ธรรมชาตทิ ่ีรอู้ ารมณ์ สภาพท่ีนึกคดิ ความคิด ใจ ตามหลกั ฝา่ ยอภธิ รรม จาแนกจิตเป็น ๘๙ แบง่ โดยชาติเปน็ อกศุ ลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ วปิ ากจิต ๓๖ และกิรยิ าจติ ๘ (พ.ศ. หนา้ ๔๓) เจตสิก ธรรมทปี่ ระกอบกบั จติ อาการหรือคุณสมบัติต่าง ๆ ของจติ เชน่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรทั ธา เมตตา สติ ปัญญาเป็นต้น มี ๕๒ อย่าง จดั เปน็ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสกิ ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ (พ.ศ. หนา้ ๔๙) ฉนั ทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยนิ ดี ความต้องการ ความรักใคร่ในสิ่งน้นั ๆ ๒. ความยนิ ยอม ความยอมใหท้ ี่ประชุมทากจิ นั้น ๆ ในเมื่อตนมิได้รว่ มอยู่ดว้ ย เป็นธรรมเนยี มของภกิ ษุทอ่ี ยู่ในวดั ซง่ึ มี สีมารวมกัน มสี ทิ ธทิ จ่ี ะเขา้ ประชุมทากจิ ของสงฆ์ เว้นแตภ่ ิกษนุ นั้ อาพาธ จะเข้าร่วมประชุมดว้ ย ไม่ได้ ก็มอบฉันทะคือ แสดงความยนิ ยอมให้สงฆ์ทากิจนน้ั ๆ ได้ (พ.ศ. หนา้ ๕๒) ฌำน การเพ่ง การเพ่งพินิจด้วยจติ ที่เป็นสมาธิแนว่ แน่ มี ๒ ประเภท คือ ๑. รูปฌาน ๒. อรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๖๐) ฌำนสมบตั ิ การบรรลุฌาน การเข้าฌาน (พุทธธรรม หน้า ๙๖๔) ดรุณธรรม ธรรมทีเ่ ป็นหนทางแห่งความสาเร็จ คือ ข้อปฏิบัตทิ เี่ ป็นดุจประตชู ัยอันเปิดออกไปส่คู วามสุข ความเจรญิ ก้าวหนา้ แห่งชวี ิต ๖ ประการ คือ ๑. อาโรคยะ คือ รักษาสขุ ภาพดี มิใหม้ ีโรคทงั้ จติ
หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ัฒนวทิ ย์ 233 และกาย ๒. ศีล คือ มีระเบียบวินัย ไม่ก่อเวรภัยแก่สังคม ๓. พุทธานุมัติ คือ ได้คนดเี ปน็ แบบอยา่ ง ศึกษาเยี่ยงนยิ มแบบอยา่ งของมหาบุรุษพทุ ธชน ๔. สุตะ คอื ต้งั เรียนรใู้ ห้จรงิ เลา่ เรยี น คน้ ควา้ ใหร้ ูเ้ ช่ยี วชาญใฝส่ ดับเหตกุ ารณใ์ ห้รู้เทา่ ทัน ๕. ธรรมานวุ ตั ิ คือ ทาแตส่ ิ่งท่ีถกู ต้องดีงาม ดารงมนั่ ในสุจริต ท้ังชวี ติ และงานดาเนนิ ตามธรรม ๖. อลนี ตา คอื มีความขยันหมน่ั เพียร มี กาลงั ใจแข็งกลา้ ไม่ท้อแท้เฉ่ือยชา เพียรก้าวหน้าเร่ือยไป (ธรรมนญู ชีวติ บทท่ี ๑๕ คนสืบ ตระกูล ข้อ ก. หนา้ ๕๕) หมำยเหตุ หลักธรรมข้อนเี้ รียกชื่ออกี ย่างหนึ่งวา่ “วัฒนมุข” ตรงคาบาลีวา่ “อัตถทวาร” ประตแู ห่ง ประโยชน์ ตัณหำ (๑) ความทะยานอยาก ความดนิ รน ความปรารถนา ความแส่หา มี ๓ คือ ๑. กามตัณหา ความ ทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันนา่ รักน่าใคร่ ๒. ภวตณั หา ความทะยานอยากในภพ อยาก เป็นนนั่ เป็นนี่ ๓. วภิ วตัณหา ความทะยานอยากในวภิ พ อยากไม่เปน็ น่ันไม่เปน็ น่ี อยากพรากพน้ ดับสูญ ไปเสีย ตนั หำ (๒) ธิดามารนางหน่ึงใน ๓ นาง ท่ีอาสาพระยามารผูเ้ ปน็ บดิ า เข้าไปประโลมพระพุทธเจา้ ด้วยอาการ ตา่ ง ๆ ในสมัยท่พี ระองคป์ ระทับอยู่ท่ตี น้ อชปาลนิโครธ ภายหลังตรสั ร้ใู หม่ ๆ (อกี ๒ นางคอื อรดี กับราคา) (พ.ศ. หนา้ ๗๒) ไตรลกั ษณ์ ลกั ษณะสาม คือ ความไมเ่ ทย่ี ง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใชต่ วั ตน ๑. อนจิ จตา (ความเป็น ของไม่เทีย่ ง) ๒. ทุกขตา (ความเปน็ ทกุ ข์) ๓. อนตั ตา (ความเป็นของไม่ใชต่ น) (พ.ศ. หนา้ ๑๐๔) ไตรสิกขำ สกิ ขาสาม ขอ้ ปฏิบัติทีต่ อ้ งศกึ ษา ๓ อย่าง คือ ๑. อธศิ ีลสกิ ขา หมายถึง สกิ ขา คือ ศีลอันย่ิง ๒. อธิจิตตสกิ ขา หมายถึง สิกขา คือ จิตอนั ยง่ิ ๓. อธิปัญญาสกิ ขา หมายถงึ สิกขา คือ ปญั ญา อันยงิ่ เรยี กกันง่าย ๆ วา่ ศลี สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หนา้ ๘๗) ทศพธิ รำชธรรม ๑๐ ธรรม สาหรับพระเจ้าแผ่นดิน คุณสมบตั ขิ องนักปกครองทดี่ ี สามารถปกครองแผน่ ดนิ โดยธรรม และยงั ประโยชน์สขุ ใหเ้ กดิ แก่ประชาชน จนเกิดความช่ืนชมยินดี มี ๑๐ ประการ คอื ๑. ทาน การใหท้ รพั ย์สนิ สงิ่ ของ ๒. ศีล ประพฤติดีงาม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซือ่ ตรง ๕. มทั ทวะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากเิ ลสตัณหา ไม่หมกมุ่นใน ความสขุ สาราญ ๗. อักโกธะความไม่กรวิ้ โกรธ ๘. อวิหิงสา ความไม่ข่มเหงเบยี ดเบยี น ๙. ขันติ ความอดทนเข้มแขง็ ไม่ท้อถอย ๑๐. อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๕๐) ทฏิ ธมั มิกัตถสังวตั ตนิกธรรม ๔ ธรรมที่เปน็ ไปเพื่อประโยชนใ์ นปจั จบุ นั คอื ประโยชนส์ ขุ สามญั ทม่ี องเห็น กนั ในชาตนิ ้ี ท่คี นทว่ั ไปปรารถนา เชน่ ทรพั ย์ ยศ เกยี รติ ไมตรี เป็นตน้ มี ๔ ประการ คือ ๑.อฏุ ฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมน่ั ๒. อารักขสัมปทา ถงึ พร้อมด้วยการรักษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมเี พ่ือนเปน็ คนดี ๔. สมชีวิตา การเลยี้ งชพี ตามสมควรแก่กาลังทรัพยท์ ี่ หาได้ (พ.ศ. หนา้ ๙๕) ทุกข์ ๑. สภาพท่ที นอยู่ไดย้ าก สภาพที่คงทนอยไู่ มไ่ ด้ เพราะถูกบีบคน้ั ด้วยความเกิดขนึ้ และดับสลาย เนือ่ งจากต้องไปตามเหตุปจั จยั ทไ่ี ม่ขน้ึ ต่อตวั มันเอง ๒. สภาพที่ทนได้ยาก ความร้สู กึ ไม่สบาย ได้แก่ ทกุ ขเวทนา (พ.ศ. หน้า ๙๙)
หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวิทย์ 234 ทุกรกริ ยิ ำ กริ ยิ าท่ที าได้ยาก การทาความเพียรอันยากท่ใี คร ๆ จะทาได้ เช่น การบาเพญ็ เพียรเพ่ือบรรลุ ธรรมวิเศษ ด้วยวธิ ที รมานตนต่าง ๆ เชน่ กล้ันลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปสั สาสะ (ลมหายใจออก) และอดอาหาร เป็นต้น (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) ทจุ ริต ๓ ความประพฤตไิ มด่ ี ประพฤติช่ัว ๓ ทาง ไดแ้ ก่ ๑. กายทุจริต ประพฤติชัว่ ทางกาย ๒. วจีทุจริต ประพฤติชว่ั ทางวาจา ๓. มโนทจุ รติ ประพฤติช่วั ทางใจ (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) เทวทตู ๔ ทูตของยมเทพ ส่ือแจ้งข่าวของมฤตยู สัญญาณท่ีเตอื นใหร้ ะลกึ ถึงคติธรรมดาของชวี ิต มีใหม้ คี วาม ประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ ๓ อยา่ งแรกเรยี กเทวทูต สว่ นสมณะเรียกรวม เปน็ เทวทูตไปดว้ ยโดยปรยิ ายเพราะมาในหมวดเดียวกนั แต่ในบาลที ่านเรยี กวา่ นิมติ ๔ ไม่ไดเ้ รยี ก เทวทตู (พ.ศ. หนา้ ๑๐๒) ธำตู ๔ ส่ิงทที่ รงภาวะของม้ันอยู่เองตามธรรมดาของเหตุปจจยั ไดแ้ ก่ ๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะที่แผ่ไป หรอื กนิ เนื้อท่ี เรยี กช่อื สามญั ว่า ธาตุเข้มแขง็ หรือธาตุดิน ๒. อาโปธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีเอบิ อาบ ดดู ซึม เรยี กสามญั ว่า ธาตุเหลว หรือธาตนุ ้า ๓. เตโชธาตุ หมายถึง สภาวะทที่ าให้ร้อน เรียกสามัญ ว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีทาให้เคล่ือนไหว เรียกสามัญว่า ธาตลุ ม (พ.ศ. หน้า ๑๑๓) นำม ธรรมท่ีรจู้ ักกันดว้ ยชื่อ กาหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจติ ใจ สง่ิ ที่ไมม่ ีรูปร่าง ไม่มีรูปแต่น้อมมาเป็น อารมณ์ของจิตได้ (พ.ศ. หน้า ๑๒๐) นิยำม ๕ กาหนดอนั แนน่ อน ความเป็นไปอนั มีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อตุ ุนิยาม (กฎธรรมชาติเกีย่ วกับอุณหภูมิ หรอื ปรากฏการณ์ธรรมชาติตา่ ง ๆ โดยเฉพาะ ดนิ น้า อากาศ และฤดูกาล อนั เปน็ สง่ิ แวดล้อมสาหรับมนุษย์) ๒. พชี นิยาม (กฎธรรมชาติเกีย่ วกับการสบื พนั ธุ์ มีพนั ธุกรรมเปน็ ต้น) ๓. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาตเิ กี่ยวกบั การทางานของจติ ) ๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกย่ี วกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการใหผ้ ลของการกระทา) ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกย่ี วกบั ความสัมพนั ธ์และอาการทเ่ี ปน็ เหตุ เป็นผลแกก่ นั แหง่ ส่ิงทง้ั หลาย (พ.ธ. หน้า ๑๙๔) นิวรณ์ ๕ สง่ิ ทกี่ ั้นจติ ไม่ให้ก้าวหนา้ ในคุณธรรม ธรรมท่ีก้ันจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมทที่ าจติ ให้ เศร้าหมองและทาปัญญาใหอ้ ่อนกาลัง ๑. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม ความต้องการกามคณุ ) ๒. พยาบาท (ความคิดร้าย ความขัดเคืองแคน้ ใจ) ๓. ถีนมิทธะ (ความหดหแู่ ละเซื่องซึม) ๔. อทุ ธจั จ กกุ กจุ จะ (คามฟุ้งซา่ นและรอ้ นใจ ความกระวนกระวายกลุม้ กงั วล) ๕. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) (พ.ธ. หน้า ๑๙๕) นิโรธ ความดับทุกข์ คือดบั ตัณหาไดส้ ้นิ เชงิ ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไม่มที ุกข์ทีจ่ ะเกิดขึ้นได้ หมายถึง พระนพิ พาน (พ.ศ. หน้า ๑๒๗) บำรมี คุณความดีท่ีบาเพ็ญอย่างยง่ิ ยวด เพื่อบรรลุจดุ หมายอันสงู ย่ิงมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปญั ญา วริ ิยะ ขันติ สจั จะ อธษิ ฐาน เมตตา อุเบกขา (พ.ศ. หน้า ๑๓๖) บญุ กิรยิ ำวตั ถุ ๓ ทต่ี ั้งแห่งการทาบญุ เร่ืองท่ีจัดเป็นการทาความดี หลักการทาความดี ทางความดมี ี ๓ ประการ คือ ๑. ทานมัย คือทาบญุ ด้วยการใหป้ นั สิ่งของ ๒. ศีลมยั คอื ทาบุญด้วยการรกั ษาศลี หรือประพฤติดีมีระเบยี บวนิ ยั ๓. ภาวนมยั คอื ทาบุญดว้ ยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจติ ใจ (พ.ธ. หน้า ๑๐๙)
หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ัฒนวิทย์ 235 บุญกิรยิ ำวัตถุ ๑๐ ท่ีต้งั แห่งการทาบญุ ทางความดี ๑. ทานมัย คอื ทาบญุ ด้วยการให้ปนั สงิ่ ของ ๒. สีลมัย คือ ทาบุญดว้ ยการรักษาศีล หรอื ประพฤตดิ ี ๓. ภาวนมยั คอื ทาบุญด้วยการเจริญภาวนา คอื ฝึกอบรมจิตใจ ๔. อปจายนมัย คอื ทบญุ ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ๕. เวยยาวจั จมัย คอื ทาบุญด้วยการช่วยขวนขวาย รบั ใช้ ๖. ปตั ติทานมัย คอื ทาบุญดว้ ยการเฉลี่ยส่วนแหง่ ความดี ใหแ้ ก่ผูอ้ ่นื ๗. ปัตตานุโมทนามัย คือ ทาบุญด้วยการยินดีในความดขี องผู้อืน่ ๘. ธมั มัสสวน มยั คอื ทาบุญด้วยการฟงั ธรรม ศกึ ษาหาความรู้ ๙. ธัมมเทสนามัย คือทาบุญดว้ ยการสง่ั สอนธรรม ใหค้ วามรู้ ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คือ ทาบุญด้วยการทาความเห็นใหต้ รง (พ.ธ. หน้า ๑๑๐) บพุ นมิ ิตของมัชฌมิ ำปฏิปทำ บพุ นิมิต แปลว่า ส่ิงที่เป็นเครื่องหมายหรือสิ่งบ่งบอกลว่ งหน้า พระพุทธองค์ ตรัสเปรียบเทียบวา่ กอ่ นท่ดี วงอาทิตยจ์ ะข้ึน ย่อมมีแสงเงนิ แสงทองปรากฏให้เหน็ ก่อนฉันใด กอ่ นที่อริยมรรคซ่งึ เปน็ ขอ้ ปฏิบตั ิสาคัญในพระพุทธศาสนาจะเกิดขนึ้ กม็ ธี รรมบางประการปรากฏ ขน้ึ ก่อน เหมือนแสงเงินแสงทองฉันนนั้ องคป์ ระกอบของธรรมดังกลา่ ว หรอื บุพนิมิตแห่ง มัชฌมิ าปฏปิ ทา ได้แก่ ๑. กัลป์ยาณมิตตตา ความมีกลั ยาณมติ ร ๒. สีลสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี มี วินยั มีความเป็นระเบยี บในชวี ิตของตนและในการอยรู่ ว่ มในสงั คม ๓. ฉนั ทสัมปทา ถึงพร้อมด้วย ฉนั ทะ พอใจใฝ่รักในปญั ญา สจั ธรรม ในจรยิ ธรรม ใฝ่รู้ในความจรงิ และใฝ่ทาความดี ๔. อัตต สัมปทา ความถึงพร้อมด้วยการท่จี ะฝกึ ฝน พฒั นาตนเอง เห็นความสาคญั ของการที่จะตอ้ งฝึกตน ๕. ทฏิ ฐสิ ปั ทา ความถงึ พร้อมดว้ ยทฏิ ฐิ ยึดถือ เชือ่ ถือในหลักการ และมคี วามเห็นความเข้าใจ พ้นื ฐานทมี่ องสิ่งท้ังหลายตามเหตปุ จั จัย ๖. อัปปมาทสัมปทา ถงึ พร้อมดว้ ยความไมป่ ระมาท มี ความกระตอื รือรน้ อยเู่ สมอ เหน็ คุณค่าของกาลเวลา เหน็ ความเปลย่ี นแปลงเป็นส่งิ กระต้นุ เตือนให้เรง่ รดั การคน้ หาให้เขาถึงความจรงิ หรือในการทาชวี ิตทดี่ ีงามให้สาเรจ็ ๗. โยนิโส มนสกิ าร รจู้ ดั คิดพิจารณา มองสิง่ ท้งั หลายให้ได้ความร้แู ละได้ประโยชน์ท่ีจะเอามาใช้พัฒนาตนเอง ยิ่ง ๆ ข้นึ ไป (แสงเงินแสงทองของชีวติ ที่ ดีงาม: พระธรรมปฎิ ก) (ป.อ. ปยุตฺโต) เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ท่ีควรประพฤติคูก่ นั ไปกบั การรักษาเบญจศลี ตามลาดับข้อ ดงั น้ี ๑. เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชวี ะ ๓. กามสังวร (สารวมในกาม) ๔. สจั จะ ๕. สตสิ มั ปชญั ญะ (พ.ศ. หน้า ๑๔๐ – ๑๔๑) เบญจศลี ศีล ๕ เวน้ ฆ่าสัตว์ เว้นลกั ทรัพย์ เวน้ ประพฤตผิ ิดในกาม เว้นพูดปด เว้นของเมา (พ.ศ. หน้า ๑๔๑) ปฐมเทศนำ เทศนาครั้งแรก หมายถึง ธัมมจักรกัปปวตั ตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวคั คียใ์ น วันขน้ึ ๑๕ คา่ เดือน ๘ หลงั จากวันตรัสรสู้ องเดือน ทีป่ ่าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี (พ.ศ. หน้า ๑๔๗) ปฏจิ จสมุปบำท สภาพอาศยั ปัจจยั เกิดข้ึน การทส่ี ิ่งท้ังหลายอาศยั กันจงึ มีขึ้น การทท่ี ุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศยั ปัจจัยต่อเน่ืองกนั มา (พ.ศ. หน้า ๑๔๓) ปริยัติ พุทธพจนอ์ ันจะพึงเล่าเรียน สิง่ ที่ควรเล่าเรียน การเลา่ เรียนพระธรรมวินยั (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปธำน ๔ ความเพยี ร ๔ อยา่ ง ได้แก่ ๑. สังวรปธาน คือ การเพียรระวังหรือเพยี รปิดก้ัน (ยับย้งั บาปอกุศลธรรม ท่ียงั ไม่เกดิ ไมใ่ ห้เกิดขึ้น) ๒. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลท่ีเกิดขึน้ แล้ว ๓. ภาวนาปธาน คือ เพียรเจริญ หรือทากุศลธรรมท่ียงั ไมเ่ กดิ ใหเ้ กิดขึ้น ๔. อนรุ ักขนาปธาน คอื เพียรรักษากุศลธรรมที่ เกดิ ขึน้ แลว้ ไมใ่ ห้เสอ่ื มไปและทาให้เพ่ิมไพบูลย์ (พ.ศ. หน้า ๑๔๙)
หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวิทย์ 236 ปปัญจธรรม ๓ กิเลสเคร่ืองเนิ่นชา้ กิเลสทเ่ี ปน็ ตัวการทาให้คิดปรงุ แต่งยึดเย้ือพสิ ดาร ทาให้เขาหา่ งออกไป จากความเป็นจริงง่าย ๆ เปิดเผย ก่อใหเ้ กิดปัญหาต่าง ๆ และขัดขวางไมใ่ ห้เข้าถึงความจรงิ หรอื ทา ให้ ไม่อาจแก้ปัญหาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา มี ๓ อยา่ ง คอื ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความปรารถนาทีจ่ ะบารงุ บาเรอ ปรนเปรอตน ความยากไดอ้ ยากเอา) ๒. ทิฏฐิ (ความคดิ เห็น ความ เชอื่ ถือ ลักธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ต่าง ๆ ทยี่ ดึ ถือไวโ้ ดยงมงายหรือโดยอาการเชดิ ชูว่าอย่างน้ีเท่าน้ันจริง อย่างอืน่ เท็จทั้งนัน้ เป็นต้น ทาให้ปดิ ตัวแคบ ไม่ยอมรับฟังใคร ตัดโอกาสที่จะเจริญปัญญา หรือคิด เตลดิ ไปขา้ งเดียว ตลอดจนเป็นเหตุแห่งการเบียดเบยี นบีบค้ันผู้อืน่ ท่ีไมถ่ ืออยา่ งตน ความยึดตดิ ใน ทฤษฎี ฯลฯ คอื ความคดิ เหน็ เป็นความจรงิ ) ๓. มานะ (ความถือตวั ความสาคัญตนวา่ เปน็ น่ันเปน็ น่ี ถือสูง ถือต่า ย่ิงใหญ่ เท่าเทียมหรือด้อยกวา่ ผอู้ น่ื ความอยากเด่นอยากยกชตู นให้ยง่ิ ใหญ่) (พ.ธ. หน้า ๑๑๑) ปฏเิ วธ เข้าใจตลอด แทงตลอด ตรัสรู้ รู้ทะลปุ รโุ ปร่ง ลุลว่ งด้วยการปฏิบตั ิ (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปฏเิ วธสทั ธรรม สทั ธรรม คือ ผลอนั จะพึงเข้าถึงหรือบรรลดุ ้วยการปฏบิ ตั ิได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หนา้ ๑๒๕) ปัญญำ ๓ ความรอบรู้ เข้าใจ รู้ซงึ้ มี ๓ อย่าง คือ ๑. สตุ มยปญั ญา (ปัญญาเกิดแตก่ ารสดับการเล่า เร่อื ง) ๒. จินตามนปัญญา (ปัญญาเกดิ แตก่ ารคดิ การพิจารณาหาเหตุผล) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปัญญาเกดิ แตก่ ารฝกึ อบรมลงมือปฏิบตั ิ) (พ.ธ. หนา้ ๑๑๓) ปญั ญำวุฒธิ รรม ธรรมเปน็ เครื่องเจริญปัญญา คุณธรรมท่ีก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งปัญญา ๑. สปั ปุริสสังเสวะ คบหาสัตบุรุษ เสวนาท่านผู้ทรง ๒. สัทธัมมสั สวนะ ฟังสัทธรรม เอาใจใส่ เล่าเรยี น หาความรู้จรงิ ๓. โยนิโสมนสิการ ทาในใจโดยแยบคาย คดิ หาเหตผุ ลโดยถูกวิธี ๔. ธัมมานุธัมม ปฏิบัติ ปฏิบตั ิธรรมถูกต้องตามหลัก คือ ให้สอดคล้องพอดี ขอบเขตความหมาย และวัตถุประสงคท์ ่ี สัมพนั ธ์กับธรรมข้ออืน่ ๆ นาสิ่งที่ได้เล่าเรียนและตริตรองเห็นแลว้ ไปใช้ปฏิบตั ิใหถ้ ูกต้องตามความมุ่ง หมายของสงิ่ นั้น ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๒ – ๑๖๓) ปำปณิกธรรม ๓ หลกั พ่อค้า องคค์ ุณของพ่อค้ามี ๓ อย่าง คอื ๑ จักขุมา ตาดี (รู้จักสนิ ค้า) ดูของเป็น สามารถคานวณราคา กะทนุ เกง็ กาไร แม่นยา ๒. วธิ ูโร จดั เจนธรุ กจิ (รแู้ หลง่ ซื้อขาย ร้คู วาม เคลื่อนไหวความต้องการของตลาด สามารถในการจัดซื้อจดั จาหนา่ ย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า) ๓. นิสสยสัมปนั โน พร้อมดว้ ยแหลง่ ทนุ อาศัย (เป็นท่ีเชื่อถือไวว้ างในในหมู่แหลง่ ทุนใหญ่ ๆ หาเงนิ มา ลงทุนหรือดาเนินกิจการโดยง่าย ๆ) (พ.ธ. หนา้ ๑๑๔) ผสั สะ หรือ สมั ผสั การถูกต้อง การกระทบ ความประจวบกันแหง่ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วญิ ญาณ มี ๖ คือ ๑. จักขสุ มั ผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รปู + จักขุ - วิญญาณ) ๒. โสต สมั ผัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสยี ง + โสตวิญญาณ) ๓. ฆานสมั ผัส (ความกระทบทางจมกู คือ จมูก + กล่ิน + ฆานวิญญาณ) ๔. ชวิ หาสัมผสั (ความกระทบทางล้นิ คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวญิ ญาณ) ๕. กายสมั ผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวญิ ญาณ) ๖. มโนสัมผสั (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) (พ.ธ. หน้า ๒๓๓) ผวู้ เิ ศษ หมายถึง ผู้สาเร็จ ผู้มีวิทยากร (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕) พระธรรม คาสั่งสอนของพระพทุ ธเจา้ ท้ังหลักความจริงและหลักความประพฤติ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓)
หลกั สตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ 237 พระอนุพุทธะ ผ้ตู รัสรู้ตาม คือ ตรัสรู้ดว้ ยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบตั ิตามท่ีพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ทรงสอน (พ.ศ. หน้า ๓๗๔) พระปจั เจกพุทธะ พระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ซึ่งตรัสรู้เฉพาะตัว มิไดส้ ั่งสอนผู้อน่ื (พ.ศ. หน้า ๑๖๒) พระพทุ ธคุณ ๙ คุณของพระพทุ ธเจา้ ๙ ประการ ได้แก่ อรห เป็นผ้ไู กลจากกิเลส ๒. สมมฺ าสมั พฺ ุทฺโธ เปน็ ผ้ตู รัสรูช้ อบได้โดยพระองค์เอง ๓. วิชฺชาจรณสมปฺ นโฺ น เป็นผถู้ งึ พร้อมดว้ ยวิชชาและ จรณะ ๔. สุคโต เปน็ ผเู้ สดจ็ ไปแล้วดว้ ยดี ๕. โลกวิทู เป็นผ้รู ู้โลกอยา่ งแจม่ แจง้ ๖. อนุตตฺ โร ปรุ ิสทมฺมสารถิ เป็นผู้สามารถฝึกบรุ ุษท่สี มควรฝึกได้อย่างไม่มีใครย่ิงกว่า ๗. สตฺถา เทวมนสุ สฺ าน เป็นครผู สู้ อนเทวดา และมนษุ ย์ท้งั หลาย ๘. พทุ ฺโธ เปน็ ผรู้ ู้ ผูต้ ืน่ ผเู้ บกิ บาน ๙. ภควา เป็นผ้มู ีโชค มคี วามเจรญิ จาแนก ธรรมสง่ั สอนสตั ว์ (พ.ศ. หน้า ๑๙๑) พระพทุ ธเจ้ำ ผตู้ รัสรูโ้ ดยชอบแล้วสอนผอู้ ่ืนให้รู้ตาม ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบดว้ ยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ ประพฤติชอบดว้ ยกาย วาจา ใจ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๓) พระภกิ ษุ ชายผูไ้ ด้อุปสมบทแลว้ ชายที่บวชเปน็ พระ พระผู้ชาย แปลตามรปู ศัพท์ว่า ผ้ขู อหรือผู้มองเหน็ ภยั ในสงั ขารหรอื ผทู้ าลายกิเลส ดูบรษิ ทั ๔ สหธรรมกิ บรรพชติ อุปสัมบนั ภิกษุสาวกรูปแรก ไดแ้ ก่ พระอัญญาโกณฑญั ญะ (พ.ศ. หน้า ๒๐๔) พระรัตนตรยั รตั นะ ๓ แก้วอนั ประเสริฐ หรือส่ิงล้าค่า ๓ ประการ หลักทเี่ คารพบชู าสูงสดุ ของ พุทธศาสนิกชน ๓ อยา่ ง คือ ๑ พระพุทธเจ้า (พระผู้ตรัสร้เู อง และสอนใหผ้ อู้ น่ื รู้ตาม) ๒.พระธรรม (คาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ ท้งั หลักความจริงและหลักความประพฤติ) ๓. พระสงฆ์ (หมสู่ าวกผู้ ปฏิบตั ิตามคาสงั่ สอนของพระพุทธเจ้า) (พ.ธ.หน้า ๑๑๖) พระสงฆ์ หมู่ชนท่ีฟังคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแลว้ ปฏบิ ัติชอบตามพระธรรมวินัย หมสู่ าวกของ พระพุทธเจา้ (พ.ศ. หน้า ๑๘๕) พระสัมมำสมั พุทธเจำ้ หมายถึง ทา่ นผูต้ รัสรู้เอง และสอนผู้อน่ื ให้รู้ตาม (พ.ศ. หน้า ๑๘๙) พระอนพุ ุทธะ หมายถึง ผู้ตรสั รตู้ าม คือ ตรสั รดู ว้ ยได้สดับเล่าเรียนและปฏบิ ัติตามทพ่ี ระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอน ได้แก่ พระอรหันต์สาวกท้ังหลาย (พ.ศ. หน้า ๓๗๔) พระอรยิ บุคคล หมายถงึ บุคคลผเู้ ปน็ อรยิ ะ ท่านผบู้ รรลุธรรมวิเศษ มโี สดาปตั ติผล เป็นต้น มี ๔ คือ ๑. พระโสดาบนั ๒. พระสกทาคามี (หรือสกิทาคามี) ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหันต์ แบ่งพสิ ดารเปน็ ๘ คือ พระผู้ต้งั อย่ใู นโสดาปตั ติมรรค และพระผูต้ ั้งอยู่ในโสดาปัตติผลคู่ ๑ พระผู้ตง้ั อยูใ่ นสกทาคามมิ รรค และพระผู้ต้ังอยู่ในสกทาคามีผลคู่ ๑ พระผู้ตง้ั อยใู่ นอนาคามิมรรค และพระผตู้ งั้ อยู่ในอนาคามิผลคู่ ๑ พระผตู้ ั้งอยู่ในอรหัตตมรรค และพระผ้ตู ัง้ อยู่ในอรหัตตผลคู่ ๑ (พ.ศ. หน้า ๓๘๖) พรำหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหน่งึ ใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณเ์ ป็น วรรณะนกั บวชและเปน็ เจ้าพิธี ถอื ตนว่าเปน็ วรรณะสงู สุด เกิดจากปากพระพรหม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕)
หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพฒั นวทิ ย์ 238 พละ ๔ กาลัง พละ ๔ คอื ธรรมอนั เปน็ พลังทาให้ดาเนนิ ชวี ติ ด้วยความมน่ั ใจ ไมต่ ้องหวาดหวนั่ ภัยตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ๑. ปัญญาพละ กาลงั คือปัญญา ๒. วริ ิยพละ กาลังคือความเพียร ๓. อนวัชชพละ กาลังคือ การกระทาท่ีไมม่ ีโทษ ๔. สังคหพละ กาลังการสังเคราะห์ คือ เกื้อกลู อย่รู ่วมกับผู้อื่นได้ดี (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พละ ๕ พละ กาลัง พละ ๕ คือ ธรรมอนั เป็นกาลัง ซง่ึ เป็นเครือ่ งเก้ือหนุนแก่อรยิ มรรค จัดอยู่ในจาพวก โพธิปกั ขิยธรรม มี ๕ คือ สทั ธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พทุ ธกิจ ๕ พระพทุ ธองค์ทรงบาเพ็ญพทุ ธกจิ ๕ ประการ คือ ๑. ปพุ พฺ ณฺเห ปิณฑฺ ปาตญจฺ ตอนเชา้ เสดจ็ ออกบิณฑบาต เพ่ือโปรดสตั ว์ โดยการสนทนาธรรมหรือการแสดงหลกั ธรรมใหเ้ ข้าใจ ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสน ตอนเยน็ แสดงธรรมแก่ประชาชนที่มาเฝ้าบริเวณทป่ี ระทบั ๓. ปโทเส ภิกฺขโุ อวาท ตอนค่า แสดงโอวาทแกพ่ ระสงฆ์ ๔. อฑฺฒรตเฺ ต เทวปญฺหน ตอนเที่ยงคืนทรงตอบปัญหาแก่พวก เทวดา ๕. ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพเฺ พ วโิ ลกน ตอนเชา้ มดื จวนสวา่ ง ทรงตรวจพิจารณาสัตว์ โลกวา่ ผใู้ ดมอี ุปนิสยั ทีจ่ ะบรรลธุ รรมได้ (พ.ศ. หน้า ๑๘๙ - ๑๙๐) พทุ ธคณุ คุณของพระพุทธเจ้า คือ ๑. ปญํ ญาคณุ (พระคุณ คือ ปญั ญา) ๒. วิสุทธิคุณ (พระคุณ คือ ความ บรสิ ุทธิ์) ๓. กรณุ าคณุ (พระคุณ คอื พระมหากรณุ า) (พ.ศ. หน้า ๑๙๑) ภพ โลกเป็นท่ีอยู่ของสตั ว์ ภาวะชวี ติ ของสตั ว์ มี ๓ คอื ๑. กามภพ ภพของผ้ยู งั เสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน ๓. อรปู ภพ ภพของผ้เู ข้าถึงอรปู ฌาน (พ.ศ. หน้า ๑๙๘) ภำวนำ ๔ การเจริญ การทาให้มขี น้ึ การฝึกอบรม การพัฒนา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. กายภาวนา ๒. สลี ภาวนา ๓. จิตตภาวนา ๔. ปญั ญาภาวนา (พ.ธ. หน้า ๘๑ – ๘๒) ภมู ิ ๓๑ ๑.พน้ื เพ พนื้ ชั้น ทดี่ ิน แผน่ ดิน ๒. ชั้นแห่งจิต ระดับจติ ใจ ระดับชวี ติ มี ๓๑ ภูมิ ได้แก่ อบายภมู ิ ๔ (ภูมิทปี่ ราศจากความเจรญิ ) - นริ ยะ (นรก) – ติรจั ฉานโยนิ (กาเนดิ ดิรัจฉาน) – ปิต ตวิ ิสยั (แดนเปรต) - อสรุ กาย (พวกอสรู ) กามสุคติภมู ิ ๗ (กามาวจรภมู ิท่ีเป็นสุคติ ภมู ิทเ่ี ป็น สคุ ติซึง่ ยังเกีย่ วข้องกับกาม) - มนุษย์ (ชาวมนษุ ย์) – จาตุมหาราชกิ า (สวรรคช์ ้นั ทีท่ า้ วมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดงึ ส์ (แดนแหง่ เทพ ๓๓ มีทา้ วสกั กะเป็นใหญ่) -ยามา (แดนแหง่ เทพผู้ ปราศจากความทกุ ข์) - ดุสิต (แดนแห่งผู้เอิบอิ่มดว้ ยสิรสิ มบัตขิ องตน) - นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผู้ยนิ ดีในการเนรมติ ) - ปรนิมมิตวสวัตตี (แดนแหง่ เทพผู้ยงั อานาจใหเ้ ป็นไปในสมบตั ทิ ่ผี ้อู ื่นนริ มิตให้) (พ.ธ. หน้า ๓๑๖-๓๑๗) โภคอำทิยะ ๕ ประโยชน์ท่ีควรถอื เอาจากโภคทรัพย์ ในการท่ีจะมหี รือเหตุผลในการทีจ่ ะมีหรอื ครอบครองโภค ทรัพย์ ๑. เลย้ี งตวั มารดา บิดา บุตร ภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เปน็ สขุ ๒. บารุงมติ ร สหายและรว่ มกจิ กรรมการงานให้เปน็ สุข ๓. ใชป้ ้องกนั ภยันตราย ๔. ทาพลี คือ ญาติพลี สงเคราะห์ ญาติ อติถิพลี ต้อนรับแขก ปุพพเปตพลี ทาบุญอุทิศใหผ้ ลู้ ว่ งลบั ราชพลี บารุงราชการ เสียภาษี เทว ตาพลี สกั การะบารุงสงิ่ ท่เี ชื่อถือ ๕. อปุ ถมั ภบ์ ารุงสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤตชิ อบ (พ.ธ. หนา้ ๒๐๒ -๒๐๓) มงคล สิ่งท่ที าให้มีโชคดตี ามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมทน่ี ามาซ่งึ ความสุข ความเจริญ มงคล ๓๘ ประการ หรอื เรียกเต็มว่า อุดมมงคล (มงคลอนั สงู สดุ ) ๓๘ ประการ (ดูรายละเอียดมงคล สูตร) (พ.ศ. หน้า ๒๑๑)
หลักสตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพฒั นวทิ ย์ 239 มิจฉำวณชิ ชำ ๕ การค้าขายทีผ่ ดิ ศีลธรรมไมช่ อบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สตั ถวณิชชา ค้าอาวุธ ๒. สตั ตวณิชชา คา้ มนษุ ย์ ๓. มังสวณชิ ชา เลี้ยงสตั ว์ไว้ขายเนื้อ ๔. มชั ชวณชิ ชา ค้าขายน้าเมา ๕. วสิ วณิชชา ค้าขายยาพิษ (พ.ศ. หนา้ ๒๓๓) มรรคมอี งค์ ๘ ข้อปฏบิ ัติให้ถงึ ความดับทุกข์ เรยี กเต็มว่า “อรยิ อฏั ฐังคิกมรรค” ไดแ้ ก่ ๑. สัมมาทฎิ ฐิ เห็นชอบ ๒. สัมมาสงั กัปปะ ดาริชอบ ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ๔. สมั มากมั มันตะ ทาการ ชอบ ๕. สมั มาอาชีวะ เล้ยี งชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๗.สมั มาสติ ระลกึ ชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ตงั้ จติ มน่ั ชอบ (พ.ศ. หนา้ ๒๑๕) มจิ ฉตั ตะ ๑๐ ภาวะทีผ่ ิด ความเป็นส่ิงที่ผดิ ได้แก่ ๑. มิจฉทิฏฐิ (เห็นผดิ ไดแ้ ก่ ความเหน็ ผิดจากคลองธรรม ตามหลักกุศลกรรมบถ และความเหน็ ท่ไี ม่นาไปสคู่ วามพ้นทกุ ข์) ๒. มิจฉาสังกัปปะ (ดาริผดิ ไดแ้ ก่ ความดาริท่ีเปน็ อกุศลท้ังหลาย ตรงขา้ มจากสัมมาสงั กัปปะ) ๓. มจิ ฉาวาจา (วาจาผดิ ได้แก่ วจี ทจุ ริต ๔) ๔. มิจฉากมั มนั ตะ (กระทาผิด ได้แก่ กายทจุ ริต ๓) ๕. มจิ ฉาอาชวี ะ (เลย้ี งชพี ผิด ได้แก่ เล้ียงชพี ในทางทุจรติ ) ๖. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผดิ ได้แก่ ความเพียรตรงข้ามกับ สมั มาวายามะ) ๗. มจิ ฉาสติ (ระลึกผิด ได้แก่ ความระลึกถึงเรื่องราวทล่ี ่วงแล้ว เชน่ ระลกึ ถึงการไดท้ รัพย์ การได้ยศ เป็นต้น ในทางอกุศล อนั จัดเป็นสติเทยี ม) เปน็ เหตุชักนาใจให้เกดิ กิเลส มีโลภะ มานะ อสสา มัจฉริยะ เปน็ ตน้ ๘. มจิ ฉาสมาธิ (ตั้งใจผดิ ไดแ้ ก่ ต้ังจิตเพ่งเลง็ จดจ่อ ปักใจแนว่ แน่ในกามราคะพยาบาท เป็นตน้ หรอื เจริญสมาธิแล้ว หลงเพลนิ ติดหมกมนุ่ ตลอดจน นาไปใชผ้ ดิ ทาง ไม่เปน็ ไปเพ่ือญาณทสั สนะ และความหลุดพน้ ) ๙. มิจฉาญาณ (รู้ผิด ได้แก่ ความ หลงผดิ ท่แี สดงออกในการคดิ อบุ ายทาความชวั่ และในการพิจารณาทบทวน ว่าความชัว่ นั้น ๆ ตน กระทาได้อยา่ งดีแล้ว เปน็ ตน้ ) ๑๐. มจิ ฉาวมิ ุตติ (พ้นผิด ได้แก่ ยงั ไม่ถึงวิมุตติ สาคญั วา่ ถึงวิมตุ ติ หรอื สาคญั ผิดในสิง่ ท่ีมิใช่วมิ ุตต)ิ (พ.ธ. หนา้ ๓๒๒) มิตรปฏริ ปู คนเทียมมิตร มิตรเทียม มิใช่มติ รแท้ มี ๔ พวก ได้แก่ ๑. คนปอกลอก มีลักษณะ ๔ คือ ๑.๑ คดิ เอาได้ฝ่ายเดียว ๑.๒ ยอมเสียแตน่ ้อย โดยหวังจะเอาใหม้ าก ๑.๓ ตวั เองมีภยั จึงมาทากิจของเพ่ือน ๑.๔ คบเพ่อื นเพราะ เหน็ แก่ประโยชน์ของตัว ๒. คนดแี ตพ่ ูด มลี กั ษณะ ๔ คือ ๒.๑ ดีแตย่ กเรือ่ งทีผ่ า่ นมาแลว้ มาปราศรัย ๒.๒ ดแี ต่ อา้ งสิ่งทยี่ งั มดี ี แต่อา้ งสิง่ ที่ยงั ไมม่ ีมาปราศรัย ๒.๓ สงเคราะห์ด้วยสิง่ ทไี่ ร้ประโยชน์ ๒.๔ เมอ่ื เพื่อนมกี ิจอ้างแตเ่ หตุขัดข้อง ๓. คนหัวประจบมีลักษณะ ๔ คือ ๓.๑ จะทาช่วั กค็ ลอ้ ยตาม ๓.๒ จะทาดีกค็ ล้อยตาม ๓.๓ ต่อหน้าสรรเสรญิ ๓.๔ ลบั หลงั นินทา ๔. คนชวนฉบิ หายมลี กั ษณะ ๔ ๔.๑ คอยเปน็ เพื่อนดม่ื น้าเมา ๔.๒ คอยเปน็ เพอ่ื นเท่ียว กลางคืน ๔.๓ คอยเป็นเพื่อนเท่ยี วดูการเล่น ๔.๔ คอยเป็นเพ่ือนไปเลน่ การพนนั (พ.ธ. หนา้ ๑๕๔ – ๑๕๕) มติ รนำ้ ใจ ๑. เพ่อื นมีทุกขพ์ ลอยทุกข์ด้วย ๒. เพ่อื นมีสขุ พลอยดีใจ ๓. เขาติเตยี นเพ่อื น ช่วยยับยั้ง แก้ไขให้ ๔. เขาสรรเสรญิ เพ่ือน ชว่ ยพดู เสรมิ สนับสนนุ (พ.ศ. หนา้ ๒๓๔)
หลักสตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิ์พฒั นวิทย์ 240 รูป ๑. สง่ิ ที่ตอ้ งสลายไปเพราะปจั จยั ตา่ ง ๆ อนั ขัดแยง้ ส่งิ ที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะอาการของมนั ส่วน รา่ งกาย จาแนกเปน็ ๒๘ คอื มหาภูตรูป หรอื ธาตุ ๔ และอุปาทายรปู ๒. อารมณ์ที่ร้ไู ด้ด้วยจักษุ สิง่ ที่ปรากฏแก่ตา ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรืออายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใชเ้ รยี กพระภกิ ษุ สามเณร เช่น ภกิ ษุรูปหน่งึ (พ.ศ. หน้า ๒๕๓) วฏั ฏะ ๓ หรอื ไตรวฎั ฎ์ การวนเวียน การเวยี นเกิด เวียนตาย การเวยี นว่ายตายเกิด ความเวียนเกิด หรือ วนเวียนด้วยอานาจกเิ ลส กรรม และวิบาก เชน่ กเิ ลสเกิดข้ึนแล้วใหท้ ากรรม เมื่อทากรรมแล้วยอ่ ม ได้ผลของกรรม เม่ือได้รบั ผลของกรรมแล้ว กิเลสก็เกดิ อกี แล้ว ทากรรมแล้วเสวยผลกรรม หมุนเวียนต่อไป (พ.ธ. หนา้ ๒๖๖) วำสนำ อาการกายวาจา ทเ่ี ป็นลกั ษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกเิ ลสบางอย่าง และไดส้ ่งั สมอบรมมา เป็นเวลานานจนเคยชนิ ตดิ เปน็ พื้นประจาตวั แม้จะละกเิ ลสนั้นไดแ้ ลว้ แต่ก็อาจจะละอาการกาย วาจาทเ่ี คยชนิ ไม่ได้ เช่น คาพูดติดปาก อาการเดินทีเ่ รว็ หรอื เดนิ ต้วมเตี้ยม เป็นต้น ท่านขยายความ วา่ วาสนา ที่เปน็ กศุ ลก็มี เปน็ อกศุ ลกม็ ี เป็นอัพยากฤต คือ เปน็ กลาง ๆ ไม่ดีไมช่ ัว่ ก็มี ท่เี ปน็ กุศล กบั อัพยากฤตน้นั ไม่ต้องละ แต่ท่ีเป็นอกศุ ลซึง่ ควรจะละน้ัน แบ่งเปน็ ๒ ส่วน คอื ส่วนทจ่ี ะเปน็ เหตุ ให้เข้าถงึ อบายกบั สว่ นท่เี ปน็ เหตุใหเ้ กิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ต่าง ๆ สว่ นแรก พระอรหนั ต์ทุกองค์ละได้ แตส่ ่วนหลงั พระพทุ ธเจ้าเทา่ นน้ั ละได้ พระอรหันต์อื่นละไมไ่ ด้ จึงมีคากล่าว วา่ พระพุทธเจ้าเทา่ น้นั ละกิเลสทง้ั หมดได้ พร้อมท้งั วาสนา; ในภาษาไทย คาว่าวาสนามคี วามหมาย เพยี้ นไป กลายเป็นอานาจบุญเกา่ หรือกุศลท่ที าให้ไดร้ ับลาภยศ (ไม่มีใน พ.ศ. ฉบับท่ีพมิ พ์เป็นเลม่ แตค่ ้นได้จากแผน่ ซดี ีรอม พ.ศ. ของสมาคมศิษย์เกา่ มหาจฬุ าฯ) วิตก ความตรึก ตริ กายยกจิตขน้ึ สอู่ ารมณ์ การคิด ความดาริ “ไทยใช้ว่าเป็นห่วงกงั วล” แบ่งออกเป็นกุศล วิตก ๓ และอกุศลวิตก ๓ (พ.ศ. หน้า ๒๗๓) วบิ ตั ิ ๔ ความบกพร่องแหง่ องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ซง่ึ ไมอ่ านวยแก่การทก่ี รรมดจี ะปรากฏผล แต่กลับเปิดชอ่ ง ใหก้ รรมชวั่ แสดงผล พูดสน้ั ๆ ว่าสว่ นประกอบบกพร่อง เปิดชอ่ งใหก้ รรมช่ัววบิ ตั มิ ี ๔ คือ ๑. คติ วิบตั ิ วิบตั แิ ห่งคติ หรอื คติเสยี คือเกิดอยใู่ นภพ ภูมิ ถนิ่ ประเทศ สภาพแวดลอ้ มท่ีไม่เหมาะ ไม่ เก้อื กลู ทางดาเนินชีวิต ถน่ิ ท่ีไปไม่อานวย ๒. อุปธิวิบตั ิ วิบัตแิ ห่งร่างกาย หรือ รปู กายเสยี เช่น รา่ งกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กิรยิ าท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชมตลอดจนสุขภาพที่ไมด่ ี เจบ็ ปว่ ย มีโรคมาก ๓. กาลวบิ ตั ิ วิบตั แิ หง่ กาลหรอื หรือกาลเสีย คือเกดิ อยใู่ นยุคสมยั ทีบ่ า้ นเมอื งมี ภัยพิบัติไม่สงบเรยี บรอ้ ย ผูป้ กครองไมด่ ี สงั คมเสอ่ื มจากศีลธรรม มากดว้ ยการเบยี ดเบยี น ยกย่อง คนช่ัว บบี คั้นคนดี ตลอดจนทาอะไรไม่ถูกาลเวลา ไม่ถูกจงั หวะ ๔. ปโยควิบตั ิ วิบตั ิแห่งการ ประกอบ หรอื กิจการเสยี เช่น ฝักใฝใ่ นกิจการหรือเรือ่ งราวทีผ่ ดิ ทาการไม่ตรงตามความถนดั ความสามารถ ใช้ความเพียร ไมถ่ ูกต้อง ทาการครงึ่ ๆ กลาง ๆ เปน็ ตน้ (พ.ธ. หน้า ๑๖๐- ๑๖๑) วปิ ัสสนำญำณ ๙ ญาณในวิปัสสนา ญาณทีน่ บั เข้าในวิปัสสนา เป็นความรทู้ ่ีทาให้เกดิ ความเหน็ แจง้ เข้าใจ สภาวะของสิง่ ทั้งหลายตามเป็นจรงิ ได้แก่ ๑. อุทยัพพยานุปสั สนาณาณ คือ ญาณอนั ตามเหน็ ความเกิดและดับของเบญจขันธ์ ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอนั ตามเห็นความสลาย เมอ่ื เกดิ ดบั ก็คานึงเด่นชดั ในส่วนดบั ของสังขารทงั้ หลาย ต้องแตกสลายท้ังหมด ๓. ภยตูปฏั ฐาน ญาณ คือ ณาณอนั มองเหน็ สังขาร ปรากฏเปน็ ของน่ากลัว ๔. อาทีนวานปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณ
หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ัฒนวิทย์ 241 อันคานึงเห็นโทษของสังขารท้ังหลาย ว่าเปน็ โทษบกพร่องเป็นทุกข์ ๕. นิพพิทานปุ สั สนาญาณ คือ ญาณอันคานงึ เหน็ ความหนา่ ยของสงั ขาร ไมเ่ พลินเพลิน ตดิ ใจ ๖. มญุ จิตกุ มั ยตาญาณ คือ ญาณอนั คานงึ ดว้ ย ใคร่พน้ ไปเสยี คือ หนา่ ยสงั ขารทงั้ หลาย ปรารถนาทีจ่ ะพน้ ไปเสีย ๗. ปฏิสงั ขานุปสั สนาญาณ คือ ญาณอนั คานึงพิจารณาหาทาง เม่อื ต้องการจะพ้นไปเสีย เพื่อมองหา อุบายจะปลดเปลื้องออกไป ๘. สงั ขารเุ ปกขาณาณ คอื ญาณอนั เปน็ ไปโดยความเป็นกลาง ตอ่ สงั ขาร คือ พิจารณาสงั ขารไม่ยินดยี นิ รา้ ยในสังขารทัง้ หลาย ๙. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนโุ ลมญาณ คือ ณาณอนั เป็นไปโดยอนุโลกแกก่ ารหยง่ั ร้อู ริยสจั แลว้ แลว้ มรรคญาณใหส้ าเรจ็ ความ เป็นอรยิ บุคคลต่อไป (พ.ศ. หนา้ ๒๗๖ – ๒๗๗) วิมุตติ ๕ ความหลุดพ้น ภาวะไรก้ ิเลส และไม่มีทุกข์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วิกขมั ภนวิมุตติ ดับโดยข่มไว้ คอื ดบั กิเลส ๒. ตทงั ควิมตุ ติ ดับกเิ ลสด้วยธรรมทีเ่ ป็นค่ปู รบั ธรรมทต่ี รงกันขา้ ม ๓. สมจุ เฉทวิมุตติ ดับดว้ ยตัดขาด ดบั กิเลสเสร็จสนิ้ เดด็ ขาด ๔. ปฏปิ ัสสทั ธวิ มิ ตุ ติ ดับดว้ ยสงบระงับ โดยอาศัย โลกตุ ตรมรรคดับกเิ ลส ๕. นสิ รณวมิ ตุ ติ ดบั ด้วยสงบระงบั คอื อาศยั โลกตุ ตรธรรมดบั กิเลส เด็ดขาดเสร็จสิน้ (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔) โลกบำลธรรม ธรรมคมุ้ ครองโลก ได้แก่ ปกครองควบคมุ ใจมนุษยไ์ ว้ให้อยูใ่ นความดี มิให้ละเมดิ ศีลธรรม และให้อยู่กนั ด้วยความเรยี บร้อยสงบสุข ไมเ่ ดอื ดร้อนสบั สนว่นุ วาย มี ๒ อยา่ งได้แก่ ๑. หิริ ความอายบาป ละอายใจตอ่ การทาความชวั่ ๒. โอตตปั ปะ ความกลวั บาปเกรงกลวั ตอ่ ความชั่ว และผลของกรรมชวั่ (พ.ศ. หน้า ๒๖๐) ฤำษี หมายถึง ผูแ้ สวงธรรม ได้แก่ นกั บวชนอกพระศาสนาซ่งึ อยู่ในป่า ชีไพร ผแู้ ต่งคัมภีร์พระเวท (พ.ศ. หน้า ๒๕๖) สติปฏั ฐำน ๔ ท่ีต้ังของสติ การตัง้ สตกิ าหนดพิจารณาสง่ิ ท้ังหลายใหร้ ู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามสง่ิ นนั้ ๆ มันเปน็ ของมันเอง มี ๔ ประการ คือ ๑. กายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน (การตง้ั สติกาหนดพจิ ารณากายให้รเู้ ห็นตามเป็นจรงิ วา่ เป็นแตเ่ พยี ง กาย ไม่ใชส่ ัตว์บคุ คล ตวั ตนเราเขา) ท่านจาแนกวธิ ีปฏิบตั ิไดห้ ลายอยา่ ง คือ อานาปานสติ กาหนดลมหายใจ ๑ อริ ยิ าบถ กาหนดร้ทู นั อริ ิยาบถ ๑) สัมปชญั ญะ สรา้ งสมั ปชญั ญะในการ กระทาความเคล่ือนไหวทุกอย่าง ๑) ปฏิกลู มนสิการ พจิ ารณาส่วนประกอบอนั ไม่สะอาดท้งั หลาย ท่ีประชมุ เข้าเปน็ ร่างกายนี้ ๑) ธาตมุ นสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตน โดยสกั ว่าเป็นธาตแุ ต่ละ อยา่ งๆ ๒. เวทนานุปัสสาสติปฏั ฐาน (การต้ังสตกิ าหนดพจิ ารณาเวทนาใหร้ ู้เห็นตามเปน็ จรงิ วา่ เปน็ แต่ เพยี งเวทนา ไมใ่ ชส่ ตั วบ์ คุ คลตวั ตนเราเขา) คือ มีสติรู้ชดั เวทนาอันเป็นสุขกด็ ี ทุกข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ทัง้ ทเ่ี ปน็ สามิสและเปน็ นริ ามิสตามทเี่ ปน็ ไปอยู่ขณะนั้น ๆ ๓. จติ ตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (การตั้งสติกาหนดพิจารณาจิต ใหร้ ู้เหน็ ตามเปน็ จรงิ ว่าเป็นแต่เพยี ง จติ ไมใ่ ชส่ ตั วบ์ ุคคลตวั ตนเราเขา) คือ มีสตริ ้ชู ัดจิตของตนท่ีมีราคะ ไม่มรี าคะ มีโทสะ ไม่มโี ทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศรา้ หมองหรอื ผอ่ งแผ้ว ฟุ้งซา่ นหรอื เป็นสมาธิ ฯลฯ อยา่ งไร ๆ ตามท่เี ปน็ ไป อยใู่ นขณะน้นั ๆ ๔. ธัมมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน (การตัง้ สตกิ าหนดพจิ ารณาธรรม ให้รู้เหน็ ตามเป็นจริงวา่ เปน็ แต่ เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตวั ตนของเรา) คือ มีสติรูช้ ดั ธรรมทั้งหลาย ไดแ้ ก่ นวิ รณ์ ๕ ขันธ์ ๕
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ฒั นวทิ ย์ 242 อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสจั ๔ ว่าคอื อะไร เป็นอย่างไร มใี นตนหรือไม่ เกดิ ขนึ้ เจรญิ บริบูรณแ์ ละดบั ได้อย่างไร เป็นตน้ ตามท่เี ป็นจริงของมนั อยา่ งนน้ั ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) สมณะ หมายถงึ ผู้สงบ หมายถึงนกั บวชท่วั ไป แต่ในพระพุทธศาสนา ทา่ นใหค้ วามหมายจาเพาะ หมายถงึ ผูร้ ะดบั บาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผู้ปฏบิ ัตเิ พ่อื ระงบั บาป ไดแ้ ก่ ผู้ปฏบิ ตั ธิ รรมเพือ่ เป็น พระอริยบุคคล (พ.ศ. หนา้ ๒๙๙) สมบัติ ๔ คือ ความเพยี บพร้อมสมบูรณแ์ หง่ องคป์ ระกอบต่าง ๆ ซึง่ ช่วยเสรมิ ส่งอานวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไมเ่ ปิดช่องให้กรรมชว่ั แสดงผล มี ๔ อยา่ ง คือ ๑. คตสิ มบัติ สมบัติแหง่ คติ ถึง พร้อมด้วยคติ หรือคติให้ คือ เกดิ อยูใ่ นภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศท่เี จริญ เหมาะหรือเกื้อกลู ตลอดจน ในระยะส้นั คือ ดาเนินชีวติ หรือไปในถ่นิ ที่อานวย ๒. อปุ ธิสมบัติ สมบตั ิแห่งรา่ งกาย ถงึ พร้อมด้วย ร่างกาย คือมีรูปรา่ งสวย รา่ งกายสงา่ งาม หนา้ ตาท่าทางดี น่ารัก น่านิยมเลื่อมใส สุขภาพดี แขง็ แรง ๓. กาลสมบตั ิ สมบัติแหง่ กาล ถงึ พร้อมดว้ ยกาลหรือกาลให้ คอื เกิดอยใู่ นสมัยทบ่ี า้ นเมืองมคี วาม สงบสขุ ผู้ปกครองดี ผคู้ นมีคุณธรรมยกยอ่ งคนดี ไมส่ ง่ เสริมคนชัว่ ตลอดจนในระยะเวลาสั้น คอื ทาอะไรถูกกาลเวลา ถกู จงั หวะ ๔. ปโยคสมบตั ิ สมบตั แิ หง่ การประกอบ ถึงพร้อมดว้ ยการ ประกอบกจิ หรอื กิจการให้ เช่น ทาเรอื่ งตรงกับท่เี ขาต้องการ ทากิจตรงกบั ความถนัด ความสามารถของตน ทาการถงึ ขนาดถกู หลกั ครบถว้ น ตามเกณฑ์หรอื เต็มอัตรา ไม่ใช่ทาคร่ึง ๆ กลาง ๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถกู เร่ืองกัน รจู้ กั จัดทา รู้จักดาเนินการ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๑ – ๑๖๒) สมำบตั ิ ภาวะสงบประณีตซง่ึ พงึ่ เขา้ ถึง; สมาบัตมิ หี ลายอย่าง เชน่ ณานสมบัติ ผลสมาบตั ิ อนปุ ุพพวหิ าร สมาบัติ (พ.ศ. หนา้ ๓๐๓) สติ ความระลกึ ได้ นึกได้ ความไมเ่ ผลอ การคมุ ใจได้กบั กิจ หรอื คุมจิตใจไวก้ บั สงิ่ ที่เกยี่ วข้อง จาการ ทีทาและคาพดู แมน้ านได้ (พ.ศ. หน้า ๓๒๗) สังฆคุณ ๙ คุณของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาคเปน็ ผ้ปู ฏิบัติดี ๒. เปน็ ผูป้ ฏบิ ตั ิตรง ๓. เป็นผู้ปฏบิ ัติถูกทาง ๔. เปน็ ผูป้ ฏิบัตสิ มควร ๕. เป็นผคู้ วรแกก่ ารคานับ คอื ควรกบั ของท่เี ขา นามาถวาย ๖. เป็นผคู้ วรแก่การตอนรับ ๗. เปน็ ผ้คู วรแก่ทักษิณา ควรแก่ของทาบุญ ๘. เปน็ ผู้ ควรแกก่ ารกระทาอัญชลี ควรแก่การกราบไหว้ ๙. เปน็ นาบญุ อันยอดเย่ียมของโลก เป็นแหลง่ ปลูกฝงั และเผยแพรค่ วามดีท่ียอดเยยี่ มของโลก(พ.ธ. หนา้ ๒๖๕-๒๖๖) สงั เวชนยี สถำน สถานทีต่ ัง้ แห่งความสงั เวช ทที่ ่ใี หเ้ กดิ ความสังเวช มี ๔ คอื ๑. ทพี่ ระพุทธเจ้าประสูติ คอื อุทยานลมุ พนิ ี ปจั จุบนั เรยี กลุมพินหี รอื รุมมินเด (Lumbini หรอื Rummindei) ๒. ท่พี ระพุทธเจ้า ตรสั รู้ คอื ควงโพธิ์ ที่ตาบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรอื Bodh – Gaya) ๓. ทีพ่ ระพุทธเจา้ แสดงปฐมเทศนา คือป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรยี กสารนาถ ๔. ท่ี พระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพาน คือที่สาลวโนทยาน เมืองกสุ นิ ารา หรือกุสนิ คร บดั นเ้ี รียกกาเซยี (Kasia หรอื Kusinagara) (พ.ศ. หนา้ ๓๑๗) สนั โดษ ความยินดี ความพอใจ ยนิ ดดี ้วยปัจจัย ๔ คอื ผ้านงุ่ หม่ อาหารที่นอนทน่ี ั่ง และยาตามมีตามได้ ยินดีของของตน การมีความสุข ความพอใจดว้ ยเคร่ืองเลีย้ งชีพทห่ี ามาได้ดว้ ยเพียรพยายามอนั ชอบธรรมของตน ไม่โลภ ไมร่ ิษยาใคร (พ.ศ. หน้า ๓๒๔) สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสนั โดษ ยนิ ดตี ามที่ได้ คือ ได้สิ่งใดมาดว้ ยความเพียรของตน ก็พอใจดว้ ยส่ิงนั้น ไมไ่ ดเ้ ดือดร้อนเพราะของท่ไี ม่ได้ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอ่ืนไม่ริษยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ คอื
หลักสตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวิทย์ 243 ยินดีตามกาลัง คือ พอใจเพยี งแค่พอแกก่ าลงั รา่ งกาย สุขภาพ และขอบเขตการใช้สอยของตน ของ ท่เี กินกาลังก็ไมห่ วงแหนเสียดายไม่เกบ็ ไว้ใหเ้ สยี เปลา่ หรอื ฝืนใชใ้ ห้เป็นโทษแก่ตน ๓. ยถาสารปุ ป สันโดษ ยินดตี ามสมควร คอื พอใจตามทส่ี มควร คอื พอใจตามท่สี มควรแกภ่ าวะฐานะแนวทาง ชีวติ และจุดหมายแห่งการบาเพ็ญกจิ ของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่องอนั เหมาะกบั สมณภาวะ หรอื ได้ของใช้ท่ีไมเ่ หมาะสมกบั ตนแต่จะมปี ระโยชน์แกผ่ อู้ นื่ ก็นาไปมอบให้แก่เขา เปน็ ต้น (พ.ศ. หนา้ ๓๒๔) สัทธรรม ๓ ธรรมอันดี ธรรมทีแ่ ท้ ธรรมของสตั บรุ ุษ หลักหรอื แกน่ ศาสนา มี ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ปริยตั ิสทั ธรรม (สทั ธรรมคือคาสง่ั สอนอันจะต้องเล่าเรียน ไดแ้ ก่ พุทธพจน)์ ๒. ปฏิบตั ิสัทธรรม (สทั ธรรมคอื สิ่งพงึ ปฏบิ ตั ิ ได้แก่ ไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปญั ญา) ๓. ปฏเิ วธสัทธรรม (สทั ธรรมคอื ผลอันจะพึงเขา้ ถงึ หรือบรรลดุ ้วยการปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ มรรค ผล และนพิ พาน (พ.ธ. หนา้ ๑๒๕) สัปปรุ ิสธรรม ๗ ธรรมของสตั บรุ ุษ ธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นสตั บุรุษ คุณสมบตั ิของคนดี ธรรมของผดู้ ี ๑. ธัมมัญญุตา คอื ความรจู้ ักเหตุ คอื ร้หู ลักความจริง ๒. อัตถญั ญตุ า คือ ความรจู้ ักผล คือรู้ ความ มุง่ หมาย ๓. อตั ตัญญตุ า คือ ความร้จู ักตน คือ รวู้ า่ เราน้นั ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กาลงั ความรู้ ความสามารถ ความถนดั และคุณธรรม เป็นต้น ๔. มตั ตัญญุตา คือ ความรจู้ ักประมาณ คอื ความพอดี ๕. กาลัญญุตา คือ ความรูจ้ ักกาล คือ รจู้ กั กาลเวลาอันเหมาะสม ๖. ปริสญั ญุตา คือ ความรูจ้ กั บรษิ ัทคือร้จู ักชมุ ชนและร้จู กั ทปี่ ระชมุ ๗. ปคุ คลัญญตุ า หรอื ปุคคลปโรปรัญญุตา คือ ความรูจ้ ักบุคคล คือความแตกตา่ งแห่งบุคคล (พ.ธ. หน้า ๒๔๔) สมั ปชัญญะ ความรตู้ วั ท่ัวพร้อม ความรตู้ ระหนัก ความรู้ชัดเข้าใจชัด ซ่งึ สิง่ นกึ ได้ มักมาคู่กับสติ (พ.ศ. หน้า ๒๔๔) สำรำณียธรรม ๖ ธรรมเปน็ ท่ตี งั้ แหง่ ความให้ระลกึ ถึง ธรรมเปน็ เหตใุ ห้ระลึกถงึ กัน หลกั การอย่รู ว่ มกนั เรยี กอีกอยา่ งวา่ “สาราณียธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มเี มตตากายกรรมทั้งตอ่ หน้าและลับหลัง ๒. เมตตาวจกี รรม มเี มตตาวจีกรรมท้ังต่อหนา้ และลับหลัง ๓. เมตตา มโนกรรม มเี มตตา มโนกรรมทง้ั ต่อหนา้ และลบั หลงั ๔. สาธารณโภคี แบง่ ปนั สงิ่ ของทไ่ี ด้มาไมห่ วง แหน ใช้ผเู้ ดยี ว ๕. สลี สามัญญตา มคี วามประพฤติรว่ มกนั ในข้อท่ีเปน็ หลกั การสาคัญที่จะนาไปสู่ความหลุดพน้ ส้นิ ทกุ ข์หรือขจัดปญั หา ๖.ทฏิ ฐสิ ามัญญตา มคี วามเหน็ ชอบดีงาม เช่นเดยี วกับหมู่คณะ (พ.ธ. หนา้ ๒๓๓-๒๓๕) สุข ๒ ความสบาย ความสาราญ มี ๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑. กายิกสุข สุขทางกาย ๒. เจตสกิ สุข สขุ ทางใจ อกี หมวดหน่งึ มี ๒ คือ ๑. สามสิ สขุ สุขอิงอามิส คือ อาศยั กามคณุ ๒. นิรามิสสุข สุขไม่อิงอามิส คอื อิงเนกขมั มะ (พ.ศ. หนา้ ๓๔๓) ศรทั ธำ ความเชือ่ ความเชื่อถอื ความเชื่อม่นั ในส่ิงทดี่ งี าม (พ.ศ. หน้า ๒๙๐) ศรทั ธำ ๔ ความเชือ่ ทป่ี ระกอบด้วยเหตผุ ล ๔ ประการคือ ๑. กมั มสัทธา (เช่ือกรรม เช่ือวา่ กรรมมีอยูจ่ รงิ คอื เช่อื วา่ เม่ือทาอะไรโดยมเี จตนา คอื จงใจทาท้ังที่รู้ ยอ่ มเปน็ กรรม คือ เปน็ ความช่วั ความดี มี ขึ้น ในตน เปน็ เหตุปัจจยั กอ่ ให้เกดิ ผลดีผลร้ายสืบเน่ืองตอ่ ไป การกระทาไม่ว่างเปล่า และ เชื่อว่าผลทตี่ อ้ งการจะสาเรจ็ ได้ดว้ ยการกระทา มใิ ช่ดว้ ยอ้อนวอนหรอื นอนคอยโชค เป็นต้น ๒. วิ ปากสัทธา (เชอ่ื วิบาก เช่ือผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมจี รงิ คอื เชือ่ วา่ กรรมที่สาเร็จต้องมีผล
หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ 244 และผลต้อง มีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี และผลช่ัวเกิดจากกรรมชั่ว ๓. กัมมัสสกตาสทั ธา (ความ เชอ่ื ท่สี ตั วม์ กี รรมเปน็ ของตน เช่ือวา่ แตล่ ะคนเปน็ เจ้าของจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบเสวยวบิ ากเป็นไปตาม กรรมของตน ๔. ตถาคตโพธิสทั ธา (เชือ่ ความตรสั รขู้ องพระพุทธเจ้า ม่ันใจในองค์พระตถาคตวา่ ทรงเปน็ พระสมั มาสัมพทุ ธะ ทรงพระคุณทงั้ ๙ ประการ ตรสั ธรรม บัญญตั วิ ินยั ไว้ดว้ ยดี ทรงเป็น ผ้นู าทางทแ่ี สดงให้เห็นว่ามนษุ ย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝกึ ตนด้วยดีกส็ ามารถเข้าถงึ ภมู ธิ รรมสงู สุด บรสิ ทุ ธิห์ ลดุ พน้ ได้ดงั ทีพ่ ระองค์ไดท้ รงบาเพ็ญไว้ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๔) สงเครำะห์ การช่วยเหลือ การเอ้อื เฟ้อื เกื้อกลู (พ.ศ. หน้า ๒๒๘) สังคหวตั ถุ ๔ เรอื่ งสงเคราะห์กนั คุณธรรมเปน็ เครือ่ งยึดเหน่ียวใจของผู้อ่ืนไว้ได้ หลักการสงเคราะห์ คือ ช่วยเหลือกันยึดเหนีย่ วใจกันไว้ และเปน็ เครือ่ งเกาะกมุ ประสานโลก ได้แก่ สงั คมแห่งหมู่สัตว์ไว้ ดจุ สลกั เกาะยึดรถท่ีกาลงั แลน่ ไปใหค้ งเป็นรถ และว่งิ แล่นไปไดม้ ี ๔ อยา่ งคอื ๑. ทาน การแบ่งปัน เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่กัน ๒. ปยิ วาจา พดู จานา่ รกั น่านยิ มนับถอื ๓. อัตถจรยิ า บาเพ็ญประโยชน์ ๔.สมานัตตนา ความมตี นเสมอ คือ ทาตัวให้เข้ากันได้ เชน่ ไมถ่ ือตวั รว่ มสขุ ร่วมทุกข์กัน เป็นตน้ (พ.ศ. หน้า ๓๑๐) สัมมัตตะ ความเป็นถูก ภาวะท่ีถูก มี ๑๐ อยา่ ง ๘ ข้อตน้ ตรงกบั องคม์ รรคทง้ั ๘ ข้อ เพ่ิม ๒ ข้อทา้ ย คือ ๙. สมั มาญาณ รชู้ อบได้แกผ่ ลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวมิ ตุ ติ พน้ ชอบได้แก่ อรหัตตผลวมิ ุตติ; เรียกอีกอย่าง อเสขธรรม ๑๐ (พ.ศ. หนา้ ๓๒๙) สจุ รติ ๓ ความประพฤติดี ประพฤติชอบตามคลองธรรม มี ๓ คือ ๑. กายสจุ ริต ประพฤตชิ อบทางกาย ๒. วจีสุจริต ประพฤตชิ อบทางวาจา ๓. มโนสจุ ริต ประพฤตชิ อบทางใจ (พ.ศ. หน้า ๓๔๕) หริ ิ ความละอายต่อการทาชั่ว (พ.ศ. หน้า ๓๕๕) อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกศุ ลกรรม ทางความชว่ั กรรมชั่วอันเปน็ ทางนาไปสคู่ วามเสือ่ ม ความทุกข์ หรอื ทคุ ติ ๑. ปาณาตบิ าต การทาชวี ติ ใหต้ กล่วง ๒. อทนิ นาทาน การถือเอาของท่ีเขามิไดใ้ ห้ โดย อาการขโมย ลักทรัพย์ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจาร ความประพฤติผิดทางกาม ๔. มุสาวาท การพูดเทจ็ ๕. ปิสุณวาจา วาจาสอ่ เสียด ๖. ผรุสวาจา วาจาหยาบ ๗. สมั ผัปปลาปะ พูดเพ้อเจอ้ ๘. อภชิ ฌา เพง่ เล็งอยากได้ของเขา ๙. พยาบาท คดิ รา้ ยผอู้ น่ื ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม (พ.ธ. หน้า ๒๗๙, ๓๐๙) อกศุ ลมูล ๓ รากเหงา้ ของอกุศล ต้นตอของความช่วั มี ๓ คอื ๑. โลภะ (ความอยากได)้ ๒. โทสะ (ความคิดประทุษร้าย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ (พ.ธ. หนา้ ๘๙) อคติ ๔ ฐานะอนั ไม่พึงถงึ ทางความประพฤติทผ่ี ดิ ความไม่เท่ียงธรรม ความลาเอยี ง มี ๔ อย่างคือ ๑. ฉนั ทาคติ (ลาเอยี งเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลาเอยี งเพราะชัง) ๓. โมหาคติ (ลาเอียงเพราะ หลง พลาดผดิ เพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลาเอียงเพราะกลัว) (พ.ธ. หน้า ๑๗๔) อนตั ตำ ไมใ่ ช่อัตตา ไมใ่ ช่ตัวตน (พ.ศ. หน้า ๓๖๖) อบำยมขุ ชอ่ งทางของความเสอื่ ม เหตุเคร่ืองฉิบหาย เหตุย่อยยบั แห่งโภคทรัพย์ ทางแห่งความพินาศ (พ.ศ. หน้า ๓๗๗) อบำยมุข ๔ ๑. อิตถธี ุตตะ (เปน็ นกั เลงหญิง นกั เทีย่ วผ้หู ญิง) ๒. สุราธตุ ตะ (เป็นนักเลงสุรา นักด่ืม) ๓. อักขธุตตะ (เปน็ นกั การพนัน) ๔. ปาปมิตตะ (คบคนชั่ว) (พ.ศ. หนา้ ๓๗๗)
หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ัฒนวิทย์ 245 อบำยมขุ ๖ ๑. ตดิ สุราและของมึนเมา ๑.๑ ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชดั ๆ ๑.๒ ก่อการทะเลาะววิ าท ๑.๓ เป็นบอ่ เกิดแหง่ โรค ๑.๔ เสยี เกยี รติ เสียชือ่ เสียง ๑.๕ ทาใหไ้ มร่ ู้อาย ๑.๖ ทอนกาลงั ปัญญา ๒. ชอบเที่ยวกลางคนื มีโทษ ๖ อย่างคือ ๒.๑ ช่ือวา่ ไม่รักษาตน ๒.๒ ช่อื ว่าไมร่ กั ษาลูกเมีย ๒.๓ ช่ือว่าไม่รักษาทรัพยส์ มบัติ ๒.๔ เป็นทรี่ ะแวงสงสัย ๒.๕ เป็นเป้าให้เขาใสค่ วามหรือข่าวลอื ๒.๖ เปน็ ท่ีมาของเรื่องเดือดร้อนเป็นอนั มาก ๓. ชอบเทีย่ วดกู ารละเลน่ มโี ทษ โดยการงานเสอ่ื ม เสียเพราะมีใจกังวลคอยคดิ จ้อง กับเสยี เวลาเมื่อไปดสู ิ่งน้ัน ๆ ท้ัง ๖ กรณี คอื ๓.๑ ราทไี่ หนไปท่ี นั่น ๓.๒ – ๓.๓ ขบั รอ้ ง ดนตรี เสภา เพลงเถดิ เทิงที่ไหนไปทีน่ ่นั ๔. ตดิ การพนนั มโี ทษ ๖ คอื ๔.๑ เมื่อชนะย่อมกอ่ เวร ๔.๒ เมื่อแพ้ก็เสยี ดายทรพั ย์ทีเ่ สียไป ๔.๓ ทรัพย์หมดไป ๆ เหน็ ชัด ๆ ๔.๔ เขา้ ที่ประชมุ เขาไมเ่ ชื่อถือถ้อยคา ๔.๕ เป็นที่หมนิ่ ประมาทของเพ่ือนฝูง ๔.๖ ไม่เป็นที่ พงึ ประสงคข์ องผู้ทจ่ี ะหาคู่ครองใหล้ กู ของเขา เพราะเหน็ ว่าจะเล้ียงลกู เมียไม่ได้ ๕. คบคนช่ัว มโี ทษโดยนาใหก้ ลายเปน็ คนชั่วอย่างที่ตนคบทงั้ ๖ ประเภท คือ ไดเ้ พื่อนท่ีจะนาใหก้ ลายเปน็ ๕.๑ นักการพนนั ๕.๒ นักเลงหญิง ๕.๓ นักเลงเหลา้ ๕.๔ นกั ลวงของปลอม ๕.๕ นัก หลอกลวง ๕.๖ นักเลงหวั ไม้ ๖. เกียจคร้านการงาน มโี ทษโดยทาให้ยกเหตุตา่ ง ๆ เปน็ ขอ้ อ้าง ผดิ เพีย้ น ไม่ทาการงานโภคะใหม่กไ็ ม่เกิด โภคะทมี่ ีอยู่ก็หมดสิน้ ไป คือ ให้อา้ งไปทัง้ ๖ กรณวี า่ ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนัก ร้อนนัก เย็นไปแล้ว ยังเช้านัก หิวนกั อ่ิมนกั แลว้ ไมท่ าการงาน (พ.ธ. หนา้ ๑๗๖ – ๑๗๘) อปริหำนิยธรรม ๗ ธรรมอนั ไมเ่ ป็นที่ต้ังแห่งความเส่อื ม เป็นไปเพ่ือความเจริญฝ่ายเดียวมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. หม่นั ประชมุ กนั เนอื งนิตย์ ๒. พร้อมเพรยี งกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชมุ พรอ้ มเพรยี งกันทากิจกรรมท่ีพึงทา ๓. ไม่บัญญัติส่ิงทีม่ ิได้บญั ญตั ิไว้ (อนั ขดั ต่อหลักการเดมิ ) ๔. ทา่ นเหลา่ ใดเปน็ ผใู้ หญ่ ควรเคารพนบั ถือท่านเหลา่ นั้น ๕. บรรดากุลสตรี กุลกมุ ารีทงั้ หลาย ใหอ้ ยู่ ดีโดยมิถูก ข่มเหง หรือฉดุ คร่า ขนื ใจ ๖. เคารพสักการบชู า เจดยี ห์ รืออนสุ าวรียป์ ระจาชาติ ๗. จัดใหค้ วามอารักขา ค้มุ ครอง ปอ้ งกันอันชอบธรรมแก่พระอรหนั ตท์ ั้งหลาย (รวมถงึ พระภิกษุ ผู้ ปฏิบัตดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบด้วย) (พ.ธ. หนา้ ๒๔๖ – ๒๔๗) อธปิ ไตย ๓ ความเป็นใหญ่ มี ๓ อย่าง คือ ๑. อัตตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญ่ ถอื ตนเปน็ ใหญ่ กระทา การด้วยปรารภตนเปน็ ประมาณ ๒. โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเป็นใหญ่ กระทา การด้วยปรารภนิยมของโลกเปน็ ประมาณ ๓. ธัมมาธปิ ไตย ความมธี รรมเปน็ ใหญ่ ถือธรรมเป็น ใหญ่, กระทาการด้วยปรารภความถูกต้อง เปน็ จรงิ สมควรตามธรรมเปน็ ประมาณ (พ.ธ. หนา้ ๑๒๗-๑๒๘) อริยสัจ ๔ ความจริงอนั ประเสรฐิ ความจริงของพระอริยะ ความจริงทท่ี าให้ผเู้ ข้าถึงกลายเป็นอรยิ ะมี ๔ คือ ๑. ทกุ ข์ (ความทุกข์ สภาพท่ีทนไดย้ าก สภาวะท่ีบีบคั้น ขัดแยง้ บกพร่อง ขาดแกน่ สารและความ เท่ียงแท้ ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง ไดแ้ ก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับส่ิงอนั ไม่เป็นท่ีรัก การพลัดพรากจากสิ่งทีร่ ัก ความปรารถนาไม่สมหวัง โดยยอ่ ว่า อปุ าทานขันธ์ ๕ เปน็ ทุกข์ ๒. ทกุ ขสมุทัย (เหตเุ กดิ แหง่ ทุกข์ สาเหตุใหท้ ุกขเ์ กิด ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วภิ วตัณหา) กาจัดอวชิ ชา สารอกตณั หา สิน้ แล้ว ไม่ถูกยอ้ ม ไม่ติดขดั หลุดพน้ สงบ ปลอด โปรง่ เป็นอิสระ คือ นิพพาน)
หลกั สตู รสังมศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์ิพฒั นวิทย์ 246 ๓. ทกุ ขนโิ รธ (ความดบั ทุกข์ ไดแ้ ก่ ภาวะทต่ี ัณหาดับสิ้นไป ภาวะทเ่ี ขา้ ถงึ เมื่อกาจดั อวชิ ชา สารอกตัณหาสิ้นแลว้ ไม่ถูกย้อม ไม่ตดิ ข้อง หลดุ พ้น สงบ เปน็ อิสระ คือ นพิ พาน) ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ปฏปิ ทาท่นี าไปสู่ความดบั แหง่ ทกุ ข์ ข้อปฏบิ ัติให้ถงึ ความดับทุกข์ ได้แก่ อริยอฏั ฐังคิกมรรค หรอื เรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า มัชฌิมปฏิปทา แปลวา่ ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ น้ี สรปุ ลงในไตรสิกขา คือ ศลี สมาธิ ปญั ญา) (พ.ธ. หนา้ ๑๘๑) อรยิ อัฏฐคิกมรรค ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘ (ศีล สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) อญั ญำณุเบกขำ เป็นอเุ บกขาฝา่ ยวบิ ตั ิ หมายถงึ ความไม่รเู้ รอื่ ง เฉยไม่รู้เรอื่ ง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หน้า ๑๒๖) อัตตำ ตัวตน อาตมัน ปุถุชนย่อมยึดม่นั มองเห็นขนั ธ์ ๕ อย่างใดอย่างหน่งึ หรอื ทั้งหมดเป็นอัตตา หรือ ยดึ ถือวา่ มีอัตตา เน่ืองด้วยขนั ธ์ (พ.ศ. หน้า ๓๙๘) อตั ถะ เรือ่ งราว ความหมาย ความม่งุ หมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดบั คอื ๑. ทิฏฐธิ มั มกิ ัตถะ ประโยชนใ์ น ชวี ติ นีห้ รอื ประโยชนใ์ นปัจจุบัน เปน็ ทม่ี ุง่ หมายกันในโลกนี้ ได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ รวมถึง การแสวงหาสงิ่ เหล่าน้ีมาโดยทางท่ชี อบธรรม ๒. สัมปรายิกตั ถะ ประโยชน์เบอ้ื งหนา้ หรอื ประโยชนท์ ีล่ ้าลึกกว่าที่จะมองเหน็ กันเฉพาะหน้า เปน็ จดุ หมายข้นั สูงขึ้นไป เป็นหลักประกันชวี ติ เม่ือละจากโลกน้ีไป ๓. ปรมัตถะ ประโยชน์สูงสดุ หรอื ประโยชน์ทเี่ ป็นสาระแทจ้ ริงของชีวิตเปน็ จุดหมายสูงสดุ หรือท่หี มายขนั้ สุดท้าย คอื พระนิพพาน อกี ประการหน่งึ หมายถึง ๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน ๒. ปรัตถะ ประโยชน์ผ้อู น่ื ๓. อภุ ยัตถะ ประโยชนท์ ง้ั สองฝ่าย (พ.ธ. หน้า ๑๓๑ – ๑๓๒) อำยตนะ ท่ตี ่อ เครอ่ื งติดต่อ แดนต่อความรู้ เคร่ืองรู้ และสิง่ ท่ีถูกรู้ เช่น ตาเป็นเครื่องรู้ รปู เปน็ ส่ิงท่ีรู้ หูเปน็ เคร่ืองรู้ เสียงเป็นสง่ ที่รู้ เปน็ ตน้ จดั เป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ๒. อายตนะภายนอก หมายถึง เครื่องต่อภายนอก สงิ่ ทีถ่ ูกรู้ มี ๖ คอื ๒.๑ รูป คอื รูป ๒.๒ สัท ทะ คือ เสียง ๒.๓ คนั ธะ คือ กลิ่น ๒.๔ รส คอื รส ๒.๕ โผฏฐพั พะ คือ ส่งิ ตอ้ งกาย ๒.๖ ธมั มะ หมายถึง ธรรมารมย์ คอื อารมณ์ทเี่ กดิ กบั ใจ หรือสง่ิ ที่ใจรู้ อารมณ์ ๖ กเ็ รียก (พ.ศ. หนา้ ๔๑๑) อำยตนะภำยใน เคร่ืองต่อภายใน เคร่ืองรบั รู้ มี ๖ คอื ๑. จกั ขุ คอื ตา ๒. โสตะ คอื หู ๓. ฆา นะ คอื จมูก ๔. ชิวหา คือ ลน้ิ ๕. กาย คอื กาย ๖. มโน คือ อนิ ทรีย์ ๖ ก็เรียก (พ.ศ.หนา้ ๔๑๑) อริยวัฑฒิ ๕ ความเจริญอย่างประเสรฐิ หลกั ความเจรญิ ของอารยชน มี ๕ คือ ๑. ศรทั ธา ความเชอ่ื ความม่ันใจในพระรตั นตรัย ในหลักแห่งความจริง ความดอี ันมเี หตผุ ล ๒.ศลี ความประพฤติดี มี วินยั เลย้ี งชพี สจุ ริต ๓. สตุ ะ การเล่าเรียน สดับฟงั ศกึ ษาหาความรู้ ๔. จาคะ การเผ่ือแผ่ เสยี สละ เออื้ เฟ้อื มนี ้าใจชว่ ยเหลอื ใจกวา้ ง พร้อมทจ่ี ะรับฟงั และร่วมมือ ไม่คับแคบ เอาแตต่ ัว ๕. ปญั ญา ความรอบรู้ รคู้ ิด รพู้ จิ ารณา เขา้ ใจเหตผุ ล รจู้ ักโลกและชีวิตตามความเปน็ จริง (พ.ธ. หน้า ๒๑๓) อทิ ธบิ ำท ๔ คุณเครื่องให้ถงึ ความสาเรจ็ คณุ ธรรมที่นาไปสคู่ วามสาเร็จแห่งผลที่ม่งุ หมาย มี ๔ ประการ คอื
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธ์ิพัฒนวทิ ย์ 247 ๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คือ ความตอ้ งการที่จะทาใฝใ่ จรักจะทาส่ิงน้นั อย่เู สมอแล้วปรารถนาจะทา ให้ได้ผลดยี ิง่ ๆ ขน้ึ ไป ๒. วริ ยิ ะ ความเพียร คือ ขยันหมน่ั ประกอบสิ่งนนั้ ด้วยความพยายาม เข้มแขง็ อดทน เอาธุระไม่ ท้อถอย ๓. จติ ตะ ความคดิ คือ ตัง้ จิตรับรูใ้ นสิ่งทท่ี าและทาสิ่งน้ันด้วยความคดิ เอาจติ ฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ ฟงุ้ ซา่ นเล่ือนลอย ๔. วิมังสา ความไตร่ตรอง หรือทดลอง คอื หมน่ั ใชป้ ญั ญาพจิ ารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหา เหตุผล และตรวจสอบข้อย่ิงหย่อนในสิง่ ท่ีทานน้ั มีการวางแผน วดั ผลคิดค้นวธิ แี ก้ไขปรับปรงุ ตวั อย่างเชน่ ผทู้ างานท่ัว ๆ ไปอาจจาสัน้ ๆ ว่า รักงาน สงู้ าน ใส่ใจงาน และทางานดว้ ยปัญญา เปน็ ตน้ (พ.ธ. หน้า ๑๘๖-๑๘๗) อุบำสกธรรม ๗ ธรรมทเ่ี ปน็ ไปเพ่ือความเจริญของอุบาสก ๑. ไม่ขาดการเยย่ี มเยอื นพบปะพระภกิ ษุ ๒. ไม่ละเลยการฟงั ธรรม ๓. ศึกษาในอธศิ ลี ๔. มคี วามเล่ือมใสอยา่ งมากในพระภกิ ษุทุกระดบั ๕. ไม่ฟงั ธรรมดว้ ยต้งั ใจจะคอยเพ่งโทษติเตยี น ๖. ไม่แสวงหาบญุ นอกหลักคาสอนใน พระพทุ ธศาสนา ๗. กระทาการสนบั สนนุ คือ ขวนขวายในการอุปถมั ภบ์ ารงุ พระพทุ ธศาสนา (พ.ธ. หน้า ๒๑๙ – ๒๒๐) อุบำสกธรรม ๕ สมบตั ิของอุบาสก ๕ คือ ๑. มีศรทั ธรา ๒. มีศลี บริสทุ ธ์ิ ๓. ไมถ่ ือมงคลตนื่ ขา่ ว เชอื่ กรรม ไมเ่ ชื่อมงคลคือมุ่งหวังผลจากการกระทา และการงานมิใช่จากโชคลาภ และสิง่ ทีต่ ื่นกันว่า ขลงั ศกั ด์ิสิทธ์ิ ๔. ไม่แสวงหาเขตบญุ นอกหลกั พระพุทธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอุปถัมภ์บารุง พระพุทธศาสนา (พ.ศ. หน้า ๓๐๐) อบุ ำสกธรรม ๗ ผูใ้ กล้ชิดพระศาสนาอยา่ งแท้จริง ควรตง้ั ตนอยใู่ นธรรมทีเ่ ปน็ ไปเพ่อื ความเจรญิ ของ อบุ าสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไมข่ าดการเย่ยี มเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไมล่ ะเลยการฟงั ธรรม ๓. ศึกษาในอธศิ ลี คอื ฝึกอบรมตนให้กา้ วหนา้ ในการปฏิบตั ิรักษาศลี ข้นั สงู ขน้ึ ไป ๔. พร่งั พรอ้ ม ดว้ ยความเลื่อมใส ในพระภิกษทุ ้ังหลายท้ังทีเ่ ป็นเถระ นวกะ และปูนกลาง ๕. ฟงั ธรรมโดยความ ตง้ั ใจ มิใช่ มาจับผิด ๖. ไม่แสวงหาทกั ขไิ ณยภายนอก หลักคาสอนนี้ คอื ไม่แสวงหาเขตบญุ นอก หลกั พระพทุ ธศาสนา ๗. กระทาความสนบั สนนุ ในพระพุทธศาสนานี้ คอื เอาใจใสท่ านุบารงุ และ ช่วยกิจกรรม (ธรรมนญู ชีวิต, หน้า ๗๐ – ๗๐) อเุ บกขำ มี ๒ ความหมายคือ ๑. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เองเอยี งด้วยชอบหรอื ชงั ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดยี นิ รา้ ย เมื่อใชป้ ัญญาพจิ ารณาเห็นผลอนั เกิดข้ึนโดยสมควรแก่เหตแุ ละรวู้ ่าพงึ ปฏิบตั ิต่อไป ตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุน้นั ๒. ความรู้สึกเฉย ๆ ไม่สขุ ไม่ทุกข์ เรียกเตม็ ว่าอเุ บกขาเวทนา (อทุกขมสุข) (พ.ศ. หน้า ๔๒๖ – ๔๒๗) อปุ ำทำน ๔ ความยึดม่ัน ความถอื มั่นดว้ ยอานาจกิเลส ความยดึ ติดอันเนอื่ งมาแต่ตัณหา ผูกพนั เอาตัวตน เปน็ ท่ีต้งั ๑. กามุปาทาน ความยดึ มน่ั ในกาม คือ รปู เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะที่น่าใคร่ น่าพอใจ ๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมัน่ ในทิฏฐหิ รอื ทฤษฎี คือ ความเหน็ ลัทธิ หรอื หลกั คาสอนตา่ ง ๆ ๓. สีลพั พตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลกั ความประพฤติ ข้อปฏบิ ตั ิ แบบแผน ระเบียบวิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพธิ ีต่าง ๆ กนั ไปอย่างงมงายหรอื โดยนยิ มว่าขลัง วา่
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ 248 ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ มไิ ดเ้ ปน็ ไปดว้ ยความรู้ ความเขา้ ใจตามหลักความสัมพันธ์แหง่ เหตุและผล ๔. อตั ตาวาทุ ปาทาน ความยึดม่นั ในวาทะวา่ ตัวตน คอื ความถอื หรือสาคัญ หมายอยู่ในภายในว่ามีตัวตน ทีจ่ ะ ได้ จะมี จะเป็น จะสูญสลาย ถูกบบี คัน้ ทาลายหรือเป็นเจ้าของ เปน็ นายบงั คบั บญั ชาส่ิงต่าง ๆ ไดไ้ ม่มองเหน็ สภาวะของสิ่งท้งั ปวง อันรวมทง้ั ตวั ตนวา่ เป็นแต่เพยี งสงิ่ ทีป่ ระชุมประกอบกนั เขา้ เป็นไปตามเหตุปจั จยั ทัง้ หลายทมี่ าสัมพันธก์ ันล้วน ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๘๗) อุปนสิ ยั ๔ ธรรมทพี่ ึ่งพิง หรือธรรมชว่ ยอุดหนุน ๑. สงฺขาเยก ปฏเิ สวติ พจิ ารณาแลว้ จึงใช้สอยปัจจยั ๔ คอื จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั เป็นตน้ ท่ีจาเป็นจะตอ้ งเก่ียวข้องและมีประโยชน์ ๒. สงฺขาเยก อธิวาเสติ พิจารณาแลว้ อดกลน้ั ไดแ้ ก่ อนฏิ ฐารมณ์ ต่าง ๆ มหี นาวร้อน และ ทุกขเวทนา เปน็ ต้น ๓. สงฺขาเยก ปริวชเฺ ชติ พิจารณาสิ่งท่เี ป็นโทษ ก่ออันตรายแกร่ า่ งกาย และ จิตใจแล้ว หลกี เว้น ๔. สงฺขาเยก ปฏิวโิ นเทติ พจิ ารณาส่งิ ท่ีเปน็ โทษ กอ่ อนั ตรายเกดิ ข้ึน แล้ว เชน่ อกศุ ลวิตก มกี ามวติ ก พยาบาทวติ ก และวิหิงสาวิตก และความชวั่ รา้ ยทั้งหลาย แล้วพิจารณาแกไ้ ข บาบัดหรือขจดั ใหส้ น้ิ ไป (พ.ธ. หน้า ๑๗๙) โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชว่ั (พ.ศ. หนา้ ๔๓๙) โอวำท คากลา่ วสอน คาแนะนา คาตักเตือน โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ คอื ๑. เวน้ จากทุจรติ คอื ประพฤติชัว่ ด้วยกาย วาจา ใจ (ไม่ทาช่วั ท้ังปวง) ๒.ประกอบสจุ รติ คือ ประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ (ทาแตค่ วามด)ี ๓. ทาใจของตนใหห้ มดจดจากเครื่องเศรา้ หมอง โลภ โกรธ หลง เป็น ต้น (ทาจิตของตนให้สะอาดบริสทุ ธิ)์ (พ.ศ. หนา้ ๔๔๐) สังคมศำสตร์ การศึกษาความสัมพนั ธข์ องมนุษย์ โดยใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษำ การเรยี นร้เู พื่อพฒั นาตนใหอ้ ยูร่ ว่ มในสงั คมได้อย่างมีคุณภาพ คุณธรรม(virtue) และจริยธรรรม(moral or morality or ethics) คุณธรรม หมายถึง สภาพคณุ งาม ความดี จรยิ ธรรมมีความหมายเช่นเดียวกบั ศลี ธรรม หมายถงึ ธรรมทเี่ ป็นข้อประพฤติกรรมปฏิบัติความ ประพฤติหรอื หน้าทท่ี ชี่ อบ ที่ควรปฏิบัติในการครองชวี ติ ดังนน้ั คุณธรรมจรยิ ธรรม จงึ หมายถงึ สภาพคุณงามความดีท่ปี ระพฤติปฏบิ ัตหิ รือหนา้ ท่ีทค่ี วรปฏบิ ตั ใิ นการครองชวี ิต หรอื คุณธรรมตาม กรอบจรยิ ธรรม ส่วนศลี ธรรมและจริยธรรม มคี วามหมายใกลเ้ คยี งกัน คณุ ธรรมจะมีความหมายที่ เน้นสภาพ ลักษณะ หรือคุณสมบัตทิ ี่แสดงออกถึงความดีงาม สว่ นจริยธรรม มคี วามหมายเนน้ ที่ ความประพฤตหิ รือการปฏิบตั ิทีด่ งี าม เป็นท่ยี อมรบั ของสังคม นกั วิชาการมกั ใชค้ าท้งั สองคานใ้ี น ความหมายนยั เดียวกนั และมักใชค้ าสองคาดงั กล่าวควบคู่กันไป เปน็ คาว่า คุณธรรมจริยธรรม ซ่ึงรวมความหมายของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม นัน่ คือมีความหมายเน้นท้ังสภาพ ลักษณะหรอื คุณสมบัติ และความประพฤติอนั ดีงาม เป็นทยี่ อมรับของสงั คม (โครงการเรง่ สรา้ งคุณลักษณะทดี่ ีของเดก็ และเยาวชนไทย ศนู ยค์ ณุ ธรรม หนา้ ๑๑ -๑๒) กำรเมือง ความรู้เกี่ยวกับความสมั พันธ์ระหว่างอานาจในการจัดระเบียบสังคมเพื่อประโยชน์และความ สงบสขุ ของสังคม มีความสัมพนั ธต์ ่อกนั โดยรวมท้ังหมดในสว่ นหน่ึงของชีวิตในพืน้ ท่ีหนึ่งทเ่ี กย่ี วข้อง กับอานาจ อานาจชอบธรรม หรืออทิ ธิพล และมีความสามารถในการดาเนนิ การได้ ข้อมูล สงิ่ ทไ่ี ดร้ บั รแู้ ละยงั ไม่มีการจัดประมวลใหเ้ ป็นระบบ เมือ่ จัดระบบแล้วเรียกวา่ สารสนเทศ ค่ำนิยม การกาหนดคุณค่าและพฒั นาจนเปน็ บุคลกิ ภาพประจาตัว
หลักสตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวทิ ย์ 249 คณุ ค่ำ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดเี ป็นคณุ ค่าของจรยิ ธรรม ความงามเปน็ คุณคา่ ทางสุนทรยี ศาสตร์ สิ่งทีต่ อบสนองความต้องการได้เปน็ สง่ิ ที่มคี ุณคา่ คุณคา่ เป็นสิ่ง เปลย่ี นแปลงได้ คุณค่าเปลยี่ นไปได้ตามเวลา และคุณคา่ มักเปลย่ี นแปลงไปตามวิวฒั นาการของ ความเจรญิ บทบำท การกระทาท่สี ังคมคาดหวงั ตามสถานภาพท่ีบคุ คลครองอยู่ หน้ำท่ี เป็นความรับผดิ ชอบทางศีลธรรมของปัจเจกชนซ่ึงสงั คมยอมรบั สถำนภำพ ตาแหน่งที่แต่ละคนครองอยู่ในสถานทหี่ นึ่ง ในช่วงเวลาหน่ึง บรรทัดฐำน ขอ้ ตกลงของสงั คมทีก่ าหนดให้สมาชิกประพฤติ ปฏิบตั ิ บางทีเรียกปทสั ถาน สามารถใช้ บรรทดั ฐานของสังคม (social norms) เป็นมาตรฐานความประพฤติในทางจริยธรรมได้ ซ่ึงแยก ออกเปน็ ก. วิถปี ระชา (folkways) ได้แก่ แบบแผนพฤติกรรมในชวี ิตประจาวนั ที่สังคมยอมรบั และ ไดป้ ระพฤตปิ ฏิบัติสืบต่อกนั มา มักเกย่ี วข้องกับเร่ืองการดาเนินชวี ิต และในสว่ นทเี่ กี่ยวข้องกับ จริยธรรมจะไมม่ ีกฎเกณฑ์เคร่งครดั แนน่ อนตายตัว ข. กฎศลี ธรรมหรือจารีต (mores) เปน็ มาตรฐานความประพฤตขิ องสังคมที่มีการกาหนด เกี่ยวกบั จรยิ ธรรมท่เี ข้มข้ึน ในกรณมี ีผ้ฝู ่าฝนื อาจมกี ารลงโทษ แม้วา่ ในบางครงั้ จะไม่มกี ารเขียนไว้ เปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรก็ตาม เชน่ การลวนลามสตรีในชนบท ตอ้ งลงโทษด้วยการเสียผี ค. กฎหมาย (law) เปน็ มาตรฐานความประพฤติทร่ี ฐั กาหนดให้สมาชิกของรฐั พึงปฏิบตั หิ รือ ละเว้นการปฏิบัติ และกาหนดวิธกี ารปฏบิ ัตกิ ารลงโทษสาหรับผ้ฝู า่ ฝืน สิทธิ ข้อเรียกร้องของปจั เจกชนซ่งึ สังคมยอมรบั สิทธิทำงศีลธรรม เป็นขอ้ เรยี กร้องทางศีลธรรมของปัจเจกชนซ่ึงสังคมยอมรบั ประเพณี เป็นความประพฤติของคนหม่หู น่งึ อยู่ในท่แี ห่งหนงึ่ ถือเป็นแบบแผนกันมาอย่างเดียวกันและ สบื กันมานาน ประเพณี คอื กจิ กรรมท่มี ีรปู แบบของชมุ ชนหรือสงั คมหน่งึ ท่ีจดั ขน้ึ มาดว้ ยจุดประสงคใ์ ด จุดประสงค์หน่ึง และกาหนดการจดั กจิ กรรมในชว่ งเวลาแนน่ อนสม่าเสมอ กจิ กรรทเี่ ป็นประเพณี อาจมองได้อีกประการหนึง่ วา่ เป็นแบบแผนการปฏิบัติของกลุม่ เฉพาะหรือทางศาสนา ปฏิญญำสำกลว่ำด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คือการ ประกาศเจตนารมณ์ ในการร่วมมือระหวา่ งประเทศท่ีมคี วามสาคัญในการวางกรอบเบื้องต้น เกี่ยวกบั สิทธิมนษุ ยชนและเป็นเอกสารหลักดา้ นสิทธิมนษุ ยชนฉบับแรก ซึ่งทป่ี ระชมุ สมชั ชาใหญ่ แหง่ สหประชาชาติ ใหก้ ารรับรองตามข้อมตทิ ี่ ๒๑๗ A (III) เมือ่ วนั ท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ โดย ประเทศไทยออกเสียงสนนั สนุน วฒั นธรรม และภมู ิปัญญำไทย เป็นการศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกับวัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาในเรื่องเกี่ยวกับ ความเปน็ มา ปัจจัยพืน้ ฐานและผลกระทบจากภายนอกที่มีอิทธพิ ลต่อการสร้างสรรค์วฒั นธรรม ไทย วฒั นธรรมท้องถ่นิ ภูมปิ ัญญาไทย รวมทั้งวฒั นธรรมและภูมิปัญญาของมนษุ ยชาตโิ ลก ความสาคญั และผลกระทบที่มีอิทธิพลตอ่ การดาเนินชวี ิตของคนไทยและมนุษยชาติ ต้ังแต่อดตี ถึง ปจั จบุ นั สัมมำชพี การประกอบอาชีพสจุ ริตและเหมาะสมในสังคม
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิ์พัฒนวิทย์ 250 ประสทิ ธิภำพ ความสามารถในการทางานจนสาเรจ็ หรอื ผลการกระทาที่ได้ผลออกมาดีกวา่ เดมิ รวมทงั้ การใชท้ รพั ยากรตา่ งๆ อย่างคุ้มค่า โดยไม่ใหเ้ กิดความสญู เปลา่ หรอื ความสญู เสีย ทรัพยาการตา่ งๆ พิจารณาได้จากเวลา แรงงาน วตั ถดุ ิบ เครือ่ งจักร ปริมาณและคุณภาพ ฯลฯ ประสทิ ธิผล ระดบั ความสาเร็จของวตั ถปุ ระสงค์ หรือ ผลสาเรจ็ ของงาน สนิ คำ้ หมายความว่าสิ่งของท่ีสามารถซ้ือขาย แลกเปลีย่ น หรอื โอนกันได้ ไม่วา่ จะเกิดโดยธรรมชาตหิ รือ เป็นผลติ ผลทางการเกษตร รวมตลอดถึงผลิตภัณฑท์ างหตั ถกรรมและอุตสาหกรรม ภูมปิ ัญญำ ส่วนหน่ึงของประเพณี หรอื เป็นกิจกรรมเฉพาะตัวก็ได้ เชน่ พิธีถวายสงั ฆทาน พิธบี วชนาค พิธีบวชลกู แกว้ พธิ ีขอฝน พิธีไหว้ครู พิธแี ตง่ งาน มนษุ ยชำติ การเกิดเปน็ มนุษยม์ าจาก มนุษย์ = ผู้มจี ติ ใจสูง กับชาติ = เกิด โดยปกติหมายถึง มนุษย์ท่ัว ๆ ไป มรรยำท พฤติกรรมที่สังคมกาหนดว่าควรประพฤตเิ ป็นวัฒนธรรม วัดจากความเหมาะสมและไม่ เหมาะสม ระบบ การนาสว่ นต่าง ๆ มาปรับเรียงต่อใหท้ างานประสานต่อเน่ืองกนั จนดูเป็นส่งิ เดียวกนั กระบวนกำร กรรมวธิ หี รือลาดบั การกระทาซ่ึงดาเนนิ การต่อเน่ืองกันไปจนสาเรจ็ ลง ณ ระดบั หนึง่ วเิ ครำะห์ การแยกแยะให้เหน็ คณุ ลกั ษณะของแต่ละองค์ประกอบ เศรษฐกจิ ความรูเ้ กี่ยวกับการกิน การอยู่ของมนษุ ย์ในสงั คม วา่ ด้วยทรัพยากรทมี่ จี ากัดการผลติ การกระจายผลผลติ และการบรโิ ภค สหกรณ์ แปลวา่ การทางานร่วมกัน การทางานรว่ มกันนี้ลกึ ซงึ้ มาก เพราะว่าต้องร่วมมอื กันในทุกดา้ น ท้ัง ในดา้ นงานที่ทาดว้ ยรา่ งกาย ทั้งในดา้ นงานท่ที าด้วยสมอง และงานการทีท่ าดว้ ยใจ ทกุ อย่างนี้ขาด ไม่ได้ต้องพร้อม (พระราชดารัสพระราชทานแก่ผนู้ าสหกรณ์การเกษตร สหกรณน์ ิคมและสหกรณ์ ประมงทัว่ ประเทศ ณ ศาลาดุสิตดาลยั ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทรพั ย์สินทำงปัญญำ หมายถึง ผลงานอนั เกดิ จากการประดิษฐ์คดิ ค้น หรือสร้างสรรค์ของมนษุ ย์ ซึง่ เนน้ ทีผ่ ลผลิตของสตปิ ญั ญาและความชานาญ โดยไมค่ านงึ ถึงชนดิ ของการสรา้ งสรรคห์ รอื วธิ ีในการ แสดงออก ทรัพยส์ ินทางปัญญา อาจเป็นสงิ่ ท่จี บั ต้องได้ เชน่ สินค้า ต่าง ๆ หรอื เป็นสงิ่ ท่ีจบั ตอ้ ง ไม่ได้ เชน่ บรกิ าร แนวความคดิ กรรมวิธีและทฤษฎตี ่าง ๆ เป็นตน้ ทรพั ย์สนิ ทางปัญญามี ๒ ประเภท ทรัพย์สนิ ทางอุตสาหกรรม (Industrial property) และลิขสทิ ธ์ิ (Copyright) ๑. ทรัพย์สนิ ทำงอุตสำหกรรม มสี ิทธบิ ัตร แบบผงั ภมู ขิ องวงจรรวม เครอื่ งหมายการคา้ ความลับทางการค้า ชอ่ื ทางการค้า ส่งิ บ่งชีท้ างภูมิศาสตร์ ส่งิ บง่ ชี้ทำงภูมิศำสตร์ หมายความว่า ช่ือ สัญลกั ษณ์ หรือส่งิ อนื่ ใดท่ีใชเ้ รียกหรอื ใช้แทนแหล่ง ภมู ิศาสตร์ และทสี ามารถบง่ บอกว่าสนิ คา้ ท่เี กิดจากแหลง่ ภูมศิ าสตร์นน้ั เป็น สนิ คา้ ที่มีคุณภาพ ช่อื เสยี ง หรอื คุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตรด์ ังกลา่ ว ๒. ลิขสิทธ์ิ คือ งานหรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรกี รรม งานภาพยนตร์ หรอื งานอืน่ ใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศิลปะ แผนกวิทยาศาสตร์ ลขิ สทิ ธ์ิยัง รวมท้งั สทิ ธขิ า้ งเคียง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเงือ่ นไขท่จี าเปน็ ที่ทาให้ส่งิ หนงึ่ เกิดขน้ึ ตามมา เรียกวา่ ผล เหตกุ ำรณ์ ปรากฏการณท์ ีเ่ กิดขึ้น
หลกั สตู รสงั มศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวทิ ย์ 251 อำนำจ ความสามารถในการบีบบังคับให้สงิ่ หนงึ่ (คนหน่ึง...) กระทาตามท่ีปรารถนา อทิ ธิพล อานาจบงั คับที่ก่อให้เกิดความสาเร็จในสิ่งใดส่งิ หน่งึ เอกลักษณ์ ลักษณะท่ีมีความเป็นหน่ึงเดียว ไม่มีทใี่ ดเหมือน ตำนำน เป็นเรอ่ื งเล่าต่อกันมาและถูกบันทึกขนึ้ ภายหลัง พงศำวดำร คือ การบันทึกเหตกุ ารณท์ เ่ี กิดขน้ึ ตามลาดับเวลา ซึง่ ส่วนใหญจ่ ะเป็นเรอ่ื งราวท่กี ับ พระมหากษัตริย์ และราชสานัก อดตี คือ เวลาทีล่ ่วงมาแล้ว ความสาคญั ของอดตี คือ อดีตจะครอบงาความคิดและความรู้ของเราอย่าง กวา้ งขวางลึกซ้ึง อดตี ท่เี ก่ยี วข้องกับกลุ่มคน/ความสาคัญที่มีต่อเหตกุ ารณแ์ ละกล่มุ คนจะถูกนามา เชื่อมโยงเขา้ ดว้ ยกนั นักประวตั ศิ ำสตร์ เปน็ ผู้บันทกึ เหตุการณท์ ี่เกดิ ข้ึน ผสู้ รา้ งประวัติศาสตรข์ ึน้ จากหลักฐานประเภทตา่ ง ๆ ตามจดุ มุง่ หมายและวิธีการคิด ซึ่งงานเขยี นอาจนาไปสู่การเป็นวชิ าประวัติศาสตรไ์ ดใ้ นท่ีสุด ควำมมุ่งหมำยในกำรเขยี นประวัตศิ ำสตร์ - นักประวตั ิศาสตร์รนุ่ เกา่ มุ่งสู่การรวมชาต/ิ รบั ใชก้ ารเมือง - นักประวัตศิ าสตรร์ นุ่ ใหม่ มงุ่ ท่จี ะหาความจริง (truth) จากอดีตและตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลักฐำนประเภท ตำ่ ง ๆ จะให้ข้อเท็จจรงิ บางประการ ซึง่ จะนาไปสู่ความจรงิ ในท่สี ดุ โดยมีวธิ กี ารแบ่ง ประเภทของหลกั ฐานหลายแบบ เชน่ หลักฐานสมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์และหลักฐานสมยั ประวตั ศิ าสตรแ์ บบหนงึ่ หลักฐานประเภทลายลกั ษณอ์ ักษรและหลกั ฐานท่ีไมใ่ ชล่ ายลักษณ์แบบ หน่ึง หรือหลักฐานชนั้ ตน้ และหลกั ฐานชั้นรอง (หรอื หลักฐานชนั้ ท่หี นึ่ง ช้นั ที่สอง ชั้นทส่ี าม) อีกแบบหนึ่ง หลกั ฐานทจี่ ะถกู ประเมนิ วา่ นา่ เชื่อถอื ท่สี ดุ คอื หลักฐานทเ่ี กดิ ร่วมสมยั หรือเกิดโดยผู้ ท่รี ู้เห็นเหตุการณ์น้ัน ๆ แต่กระนัน้ นกั ประวัตศิ าสตรก์ จ็ ะต้องวเิ คราะหท์ งั้ ภายในและภายนอกกอ่ น ดว้ ยเชน่ กนั เนอ่ื งจากผทู้ ี่อยู่ร่วมสมัยก็ย่อมมจี ดุ มุ่งหมายสว่ นตัวในการบนั ทึก ซ่งึ อาจทาให้เลอื ก บนั ทกึ เฉพาะเร่ืองบางเรอื่ งเท่านน้ั อคติ คือ ความลาเอยี ง ไม่ตรงตามความเปน็ จริง เปน็ ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ซ่ึงผู้ที่เปน็ นกั ประวัตศิ าสตร์จะต้องตระหนักและควบคุมให้ได้ ควำมเป็นกลำง คอื การมองดว้ ยปราศจากความรู้สึกอคติจะเกดิ ขนึ้ ไดห้ ากเข้าใจธรรมชาตขิ องหลักฐาน แต่ละประเภท เข้าใจปรชั ญาและวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ เขา้ ใจจดุ มงุ่ หมายของผู้เรียน ผ้บู นั ทกึ ประวัตศิ าสตร์ (นั่นคือ เขา้ ใจว่าบนั ทึกเพ่ืออะไร เพราะเหตุใด) ควำมจรงิ แท้ (real truth) คอื ความจรงิ ที่คงอยู่แนน่ อนนิรนั ดร์ เป็นจุดหมายสงู สดุ ทนี่ กั ประวตั ิศาสตร์ ม่งุ แสวงหาซึ่งจะต้องอาศยั ความเข้าใจและความจริงที่อยู่เบ้ืองหลังการเกิดพฤตกิ รรมและ เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ (ทม่ี นุษย์เป็นผู้สรา้ ง) ซ่งึ การแสวงหาความจริงแท้ ตอ้ งอาศยั ความสมบรู ณ์ของ หลกั ฐานและกระบวนการทางประวตั ศิ าสตร์ที่ละเอยี ด ถ่ีถว้ น กินเวลายาวนาน แต่น้ีคอื ภาระหนา้ ที่ ของนักประวตั ศิ าสตร์ ผู้สอนวิชำประวัติศำสตร์ คอื ผนู้ าความรู้ทางประวตั ศิ าสตร์มาพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ เจตคตแิ ละ ทักษะในการใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความจรงิ และความจรงิ แท้จะต้องศึกษา ผลงานของนักประวตั ิศาสตรแ์ ละเลอื กเน้ือหาประวัติศาสตร์ท่เี หมาะสมกบั วัยของผู้เรยี น โดยตอ้ ง เป็นไปตามจดุ ประสงค์ของหลักสูตรและสอดคล้องธรรมชาติของประวัติศาสตร์
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธิพ์ ฒั นวิทย์ 252 เวลำและยคุ สมัยทำงประวตั ิศำสตร์ เปน็ การศกึ ษาเร่ืองการนับเวลา และการแบง่ ช่วงเวลาตามระบบ ตา่ ง ๆ ท้ังแบบไทย สากล ศักราชทีส่ าคญั ๆ ในภูมภิ าคตา่ ง ๆ ของโลก และการแบ่งยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ ทั้งนเี้ พือ่ ใหผ้ ู้เรยี นมีทักษะพื้นฐานสาหรับการศกึ ษาหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ สามารถเข้าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตรท์ ีส่ ัมพนั ธก์ ับอดตี ปจั จุบัน และอนาคต ตระหนักถงึ ความสาคญั ในความต่อเน่ืองของเวลา อิทธิพลและความสาคญั ของเวลาท่มี ตี ่อวถิ ีการดาเนินชวี ติ ของมนุษย์ วิธีกำรทำงประวตั ศิ ำสตร์ หมายถึงกระบวนการในการแสวงหาข้อเทจ็ จริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดจากวิธี วจิ ัยเอกสารและหลักฐานประกอบอ่ืนๆ เพ่ือให้ไดม้ าซง่ึ องค์ความรู้ใหมท่ างประวตั ิศาสตร์บน พื้นฐานของความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล และการวเิ คราะหเ์ หตุการณต์ ่าง ๆ อย่างเปน็ ระบบ ประกอบด้วยข้นั ตอนต่อไปนี้ หน่งึ การกาหนดเป้าหมายหรือประเด็นคาถามท่ตี ้องการศึกษา แสวงหาคาตอบด้วยเหตุ และผล (ศึกษาอะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใด และเพราะเหตุใด) สอง การค้นหาและรวบรวมหลักฐานประเภทตา่ ง ๆ ทั้งท่ีเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร และไมเ่ ปน็ ลาย ลักษณ์อักษร ซ่งึ ได้แก่ วัตถโุ บราณ รอ่ งรอยถิ่นที่อยู่อาศัยหรือการดาเนินชวี ติ สำม การวเิ คราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบ การประเมนิ ความนา่ เช่อื ถือ การประเมินคุณค่าของ หลกั ฐาน) การตคี วามหลักฐานอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีความเป็นกลาง และปราศจากอคติ ส่ี การสรุปขอ้ เท็จจรงิ เพื่อตอบคาถาม ด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจริงจากหลกั ฐานอยา่ งเคร่งครัด โดยไม่ใช้ค่านิยมของตนเองไปตดั สนิ พฤติกรรมของคนในอดีต โดยพยายามเข้าใจความคดิ ของคน ในยคุ น้ันหรอื นาตัวเข้าไปอยใู่ นยคุ สมัยท่ตี นศึกษา หำ้ การนาเสนอเร่ืองที่ศึกษาและอธิบายได้อยา่ งสมเหตสุ มผล โดยใชภ้ าษาท่เี ข้าใจง่าย มคี วาม ต่อเนอื่ ง น่าสนใจ ตลอดจนมีการอา้ งอิงข้อเท็จจรงิ เพื่อให้ได้งานทางประวตั ศิ าสตรท์ ่ีมีคุณคา่ และ มคี วามหมาย พัฒนำกำรของมนุษยชำตจิ ำกอดตี ถงึ ปัจจุบนั เปน็ การศกึ ษาเร่ืองราวของสงั คม มนุษย์ในบรบิ ทของ เวลาและสถานที่ โดยท่วั ไปจะแยกเรอ่ื งศึกษาออกเป็นดา้ นต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกจิ สงั คม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ โดยกาหนดขอบเขต การศึกษาในกลุ่มสงั คม มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ในท้องถ่ิน/ประเทศ/ภูมภิ าค/โลก โดยมุ่งศึกษาว่า สงั คมนั้น ๆ ได้เปล่ยี นแปลงหรือพัฒนาตามลาดับเวลาได้อย่างไร เพราะเหตใุ ด จึงเกดิ ความ เปลยี่ นแปลงมปี ัจจัยใดบ้าง ทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และปัจจัยแวดล้อมทางสังคม ที่มผี ลต่อ พฒั นาการหรือการสรา้ งสรรค์วัฒนธรรม และผลกระทบของการสร้างสรรคข์ องมนุษย์ในดา้ นตา่ ง ๆ เป็นอย่างไร ทั้งนี้เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจอดีตของสงั คมมนุษย์ในมิติของเวลาและความต่อเนื่อง ภมู ิศำสตร์ เป็นคาที่มาจากภาษากรีก (Geography) หมายถึงการพรรณนาลักษณะของโลกเป็นศาสตร์ ทางพ้นื ท่ี เป็นความร้ทู ว่ี า่ ด้วยปฏิสัมพันธข์ องสง่ิ ต่าง ๆ ในขอบเขตหนึ่ง ลักษณะทำงกำยภำพ ของภูมิศำสตร์ หมายถึง ลกั ษณะท่มี องเห็นเป็นรูปร่าง รปู ทรง โดยสามารถ มองเห็นและวเิ คราะหไ์ ปถึงกระบวนการเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ ทีเ่ กิดข้นึ ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซง่ึ เก่ียวข้องกบั ลกั ษณะของธรณีสณั ฐานวทิ ยาภมู ิอากาศวิทยา ภูมิศาสตรด์ ิน ชวี ภมู ิศาสตร์พืช ภมู ศิ าสตร์สตั ว์ ภมู ศิ าสตรส์ ่ิงแวดลอ้ มต่าง ๆ เป็นตน้
หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทับโพธพิ์ ฒั นวิทย์ 253 ปฏิสัมพันธร์ ะหวำ่ งกนั หมายถึงวิธกี ารศึกษา หรือวธิ กี ารวิเคราะห์ พิจารณาสาหรับศาสตร์ทาง ภมู ศิ าสตร์ได้ใชส้ าหรับการศึกษาพิจารณา คิดวิเคราะห์ สังเคราะหถ์ ึงส่งิ ต่าง ๆ ทีม่ ีผลต่อกนั ระหว่างสงิ่ แวดล้อมกบั มนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ดว้ ยวธิ กี ารศึกษา พจิ ารณาถึง ความแตกตา่ ง ความเหมือนระหว่างพน้ื ทหี่ น่ึงๆ กบั อกี พ้ืนที่หน่งึ หรือระหวา่ งภูมภิ าคหนึ่งกบั ภูมิภาคหนงึ่ โดยพยายามอธิบายถึงความแตกต่าง ความเหมือน รปู แบบของภูมภิ าค และ พยายามขีดเส้นสมมุติ แบ่งภมู ภิ าคเพื่อพิจารณาวิเคราะห์ ดูสมั พนั ธภาพของภมู ิภาคเหลา่ น้ันวา่ เปน็ อย่างไร ภมู ศิ ำสตร์ คอื ภาพปฏสิ มั พันธข์ องธรรมชาติ มนุษย์ และวัฒนธรรม รูปแบบต่าง ๆ ถ้าพิจารณาเฉพาะปจั จยั ทางธรรมชาติ จะเป็นภมู ิศำสตร์กำยภำพ (Physical Geography) ถา้ พจิ ารณาเฉพาะปัจจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับมนษุ ย์ เช่น ประชากร วิถีชวี ิต ศาสนา ความเชื่อ การ เดินทาง การอพยพจะเปน็ ภมู ิศำสตร์มนุษย์ (Human Geography) ถ้าพจิ ารณาเฉพาะปจั จัยทเี่ ป็นสง่ิ ที่มนษุ ย์สรา้ งขึน้ เชน่ การต้งั ถิ่นฐาน การคมนามคม การคา้ การเมือง จะเปน็ ภูมิศำสตร์วัฒนธรรม (Cultural Geography) ภูมิอำกำศ คอื ภาพปฏิสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบอุตุนยิ มวิทยา รูปแบบต่าง ๆ เช่น ภูมิอากาศ แบบร้อน ชืน้ ภมู อิ ากาศแบบอบอนุ่ ชื้น ภูมอิ ากาศแบบร้อนแห้งแลง้ ฯลฯ ภมู ิประเทศ คอื ภาพปฏสิ ัมพันธข์ ององค์ประกอบแผน่ ดิน เชน่ หิน ดนิ ความต่างระดับ ทาให้เกดิ ภาพลกั ษณะรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ พ้ืนท่ีแบบภเู ขา พื้นท่ีระบบลาด เชงิ เขา พน้ื ทรี่ าบ พ้ืนท่ลี ุ่ม ฯลฯ ภูมิพฤกษ์ คือ ภาพปฏสิ มั พนั ธ์ของพชื พรรณ อากาศ ภูมปิ ระเทศ ดนิ สัตว์ป่า ในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ ป่า ดิบ ปา่ เต็งรงั ป่าเบญจพรรณ ป่าทุ่งหญ้า ฯลฯ ภูมิธรณี คอื ภาพปฏิสมั พันธข์ องแร่ หนิ โครงสรา้ งทางธรณี ทาให้เกิดรูปแบบทางธรณีชนดิ ต่าง ๆ เช่น ภูเขาแบบทบตัว ภเู ขาแบบยกตวั ทรี่ าบน้าทว่ มถงึ ชายฝ่ังแบบยบุ ตวั ฯลฯ ภูมปิ ฐพี คือ ภาพปฏิสัมพันธข์ องแร่ หิน ภมู ิประเทศลกั ษณะอากาศ พืชพรรณ ทาให้เกิดดนิ รปู แบบ ต่าง ๆ เช่น แดนดินดา มอดินแดง ดนิ ทรายจัด ดินกรด ดนิ เคม็ ดนิ พรุ ฯลฯ ภูมอิ ุทก คือ ภาพปฏสิ ัมพันธข์ องแผน่ ดนิ ภมู ิประเทศ ภูมิอากาศ ภมู ธิ รณี พชื พรรณ ทาให้เกิดรปู แบบ แหล่งน้าชนดิ ต่าง ๆ เช่น แมน่ ้า ลาคลอง หว้ ย หนอง บึง ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร น้าใตด้ นิ น้าบาดาล ฯลฯ ภูมดิ ำรำ คือ ภาพปฏสิ มั พันธข์ องดวงดาว กลมุ่ ดาว เวลา การเคลอ่ื นการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทาใหเ้ กดิ รปู แบบปรากฏการณต์ า่ ง ๆ เช่น การเกิดกลางวันกลางคืน ขา้ งข้ึน-ขา้ งแรม สุรยิ ุปราคา ตะวันอ้อมเหนือ ตะวันอ้อมใต้ ฯลฯ ภยั พบิ ตั ิ เหตกุ ารณ์ที่ก่อใหเ้ กิดความเสียหายและสูญเสยี อย่างรุนแรง เกดิ ขนึ้ จากภัยธรรมชาตแิ ละกระทา ของมนุษย์ จนชมุ ชนหรือสงั คมทเ่ี ผชิญปญั หาไม่อาจรับมือ เช่นดินถลม่ สึนามิ ไฟปา่ ฯลฯ แหล่งภูมิศำสตร์ หมายความวา่ พ้ืนที่ของประเทศ เขต ภูมิภาคและท้องถิ่น และใหห้ มายความรวมถึง ทะเล ทะเลสาบ แม่นา้ ลานา้ เกาะ ภเู ขา หรอื พ้ืนที่อนื่ ทานองเดยี วกนั ดว้ ย เทคนิคทำงภมู ศิ ำสตร์ หมายถึง แผนที่ แผนภูมิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจาก ดาวเทยี ม เทคโนโลยภี มู สิ ารสนเทศ ส่ือทีส่ ามารถคน้ ข้อมลู ทางภูมศิ าสตร์ได้
หลกั สตู รสงั มศกึ ษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ 254 มติ ทิ ำงพื้นท่ี หมายถงึ การวิเคราะห์ พจิ ารณาในเรื่องขององค์ประกอบทางภูมศิ าสตร์ที่เกย่ี วข้องกบั เวลา สถานท่ี ปัจจัยแวดลอ้ ม และการกระจายของพืน้ ที่ในรูปแบบตา่ ง ๆ ท้ังความกว้าง ยาว สงู ตามขอบเขตทกี่ าหนด หรือสมมุตพิ ้ืนทข่ี ึ้นมาพจิ ารณา กำรศึกษำรูปแบบทำงพนื้ ที่ หมายถึง การศึกษาเร่ืองราวเกยี่ วกับพ้นื ท่หี รือมติ ิทางพื้นที่ของ สังคม มนุษย์ ท่ตี ้ังถนิ่ ฐานอยู่ มีการใช้และกาหนดหนว่ ยเชิงพนื้ ที่ ท่ีชัดเจน มีการอาศัยเส้นท่ีเราสมมุตขิ ึ้น อาศัยหน่วยต่าง ๆ ข้นึ มากาหนดขอบเขต ซึ่งมอี งค์ประกอบลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ สงั คม วฒั นธรรม การเมือง และลกั ษณะทางพฒั นาการของมนุษยท์ เ่ี ด่นชดั สอดคล้องกันเป็น พ้นื ฐานในการศกึ ษา แสวงหาขอ้ มลู ภมู ศิ ำสตรก์ ำยภำพ หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับระบบธรรมชาติ ถึงความเป็นมา ความ เปลยี่ นแปลง และพฒั นาการไปตามยุคสมัย โดยมีขอบเขตที่กล่าวถงึ ลักษณะภูมปิ ระเทศ ลักษณะ ภูมิอากาศ ภูมิปฐพี (ดิน) ภูมอิ ากาศ (ลมฟา้ อากาศ บรรยากาศ) และภูมพิ ฤกษ์ (พชื พรรณ ป่าไม้ ธรรมชาต)ิ รวมทงั้ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมตามธรรมชาติ การเปลีย่ นแปลงของธรรมชาติทีม่ ผี ลตอ่ ชวี ิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ สิ่งแวดล้อม ส่งิ ท่อี ยู่รอบ ๆ สิ่งใดสงิ่ หนง่ึ และมอี ิทธพิ ลต่อสง่ิ น้นั อาทิ อากาศ น้า ดิน ต้นไม้ สตั ว์ ซ่ึง สามารถถูกทาลายได้โดยการขาดความระมดั ระวงั ส่งิ แวดล้อมทำงภำยภำพ หมายถึง ทุกส่ิงทุกอย่าง ยกเวน้ ตวั มนุษย์และผลงาน และมนษุ ย์ สง่ิ แวดล้อม ทางกายภาพ ไดแ้ ก่ ภมู อิ ากาศ ดิน พืชพรรณ สัตวป์ ่า ธรณีสัณฐาน (ภูเขาและทร่ี าบ) บรรยากาศ มหาสมุทร แร่ธาตุ และนา้ อนรุ ักษ์ การรักษา จดั การ ดูแลทรพั ยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม หรือการรักษาปอ้ งกันบางสงิ่ ไม่ให้ เปล่ยี นแปลง สญู หายหรอื ถูกทาลาย ภูมิศำสตร์มนุษย์ และส่ิงแวดลอ้ ม หมายถงึ ศาสตรท์ ่ศี ึกษาเรื่องราวเกยี่ วกับมนษุ ย์ วถิ ชี ีวิตและ ความเปน็ อยู่ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คม สงิ่ แวดลอ้ มด้านสังคมทง้ั ในเมืองและท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลงทางสงิ่ แวดลอ้ ม สาเหตแุ ละผลกระทบทม่ี ีตอ่ มนษุ ย์ ปัญหาและแนวทางแก้ปญั หา ทางสังคม กรอบทำงพน้ื ท่ี (Spatial Framework) หมายถึง การวางข้อกาหนดหรือขอบเขตของพน้ื ทใ่ี นการศึกษาเร่ืองใด เรื่องหนงึ่ หรือแบบรูปแบบกระจายของสงิ่ ตา่ ง ๆ บนผิวโลกสว่ นใดส่วนหนึง่ เพอ่ื ใหเ้ ราเข้าใจลักษณะ โลกของมนุษย์ดีข้ึน เชน่ การกาหนดใหม้ นุษย์ และวฒั นธรรมของมนุษย์ดีขึ้น เช่น การกาหนดใหม้ นุษย์ และวัฒนธรรมของมนุษย์กรอบพ้ืนท่ขี องโลกท่ีมีลักษณะเป็นภมู ิภาค ประเทศ จังหวัด เมือง ชมุ ชน ท้องถนิ่ ฯลฯ สาหรับการวิเคราะห์ หรอื ศกึ ษาองค์ประกอบใดองคป์ ระกอบหนง่ึ เฉพาะเรื่อง รูปแบบทำงพน้ื ท่ี (Spatial Form) หมายถึง ขอ้ เท็จจริง เคร่ืองมือ หรอื วธิ กี าร โดยเฉพาะกลมุ่ ของ ขอ้ มูลท่ีไดม้ า เปน็ ตน้ ว่า ความสัมพันธท์ างพนื้ ท่ีแบบรปู แบบของการกระจาย การกระทาระหวา่ ง กนั เครื่องมือท่ีใช้ ได้แก่ แผนที่ ภาพถ่าย ฯลฯ พ้นื ทีห่ รอื ระวำงที่(Space) หมายถงึ ขอบเขตทางพื้นที่ในการวิเคราะห์ทางภมู ิศาสตร์ เป็นการศกึ ษา พื้นทีใ่ นมิตติ ่าง ๆ ตามระวางที่ (Spatiak study) ทีก่ าหนดข้นึ มีขอบเขตชดั เจน อาจจะมีการ กาหนดเป็นเขตบริเวณ สถานท่ี นามิติของความกวา้ ง ความลึก ความสงู ความยาว รวมท้ังมิตทิ าง
หลักสตู รสังมศึกษา 2563 โรงเรยี นทบั โพธพ์ิ ฒั นวิทย์ 255 เวลา ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ ตามที่เรากาหนด ขอบเขตระหวา่ งที่ ด้วยเครื่องมือ เส้นสมมติและเทคนิค ทางภมู ศิ าสตร์ต่าง ๆ เช่น แผนท่ี ภาพถา่ ย ฯลฯ อาจจะจาแนกเป็นเขต ภมู ภิ าค ประเทศ จังหวดั เมือง ชมุ ชน ท้องถ่นิ ฯลฯ ที่เฉพาะเจาะจงไป มีการพิจารณา วเิ คราะหถ์ ึงการกระจายและ สมั พนั ธภาพของมนุษย์บนผวิ โลก และลักษณะทางพน้ื ท่ขี องการต้งั ถิ่นฐานของมนุษย์ และการท่ีใช้ ประโยชนจ์ ากพน้ื โลก สัมพนั ธ์จากถนิ่ ฐานของมนุษย์ และการทใ่ี ช้ประโยชนจ์ ากพืน้ โลก สมั พนั ธภาพระหว่างสังคมมนุษย์กับสงิ่ แวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งถือว่าเป็นสว่ นหนึง่ ในการศกึ ษา ความแตกตา่ งเชงิ พ้ืนที่ (Area difference) มติ ิสมั พันธเ์ ชงิ ทำเลทีต่ ั้ง หมายถึง การศกึ ษาความแตกต่างหรือความเหมอื นกนั ของสังคมมนุษย์ในแต่ ละสถานท่ี ในฐานะทค่ี วามแตกต่างและเหมือนกันน้นั อาจมีความเก่ยี วเนือ่ งกบั ความแตกต่างและ ความเหมือนกันในสง่ิ แวดล้อมทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ ทางสังคม ทางวัฒนธรรม ทางการเมือง และการศกึ ษาภูมิทัศน์ท่ีแตกต่างกนั ในเร่ืององคป์ ระกอบ ปัจจัย ตลอดจนแบบรปู การกระจายของ มนษุ ย์บนพน้ื โลก และการทมี่ นุษยใ์ ช้ประโยชน์จากพน้ื โลก เหตุไรมนุษยจ์ ึงใช้ประโยชนจ์ ากพ้นื โลก แตกตา่ งกันในสถานท่ีต่างกัน และในเวลาท่ีต่างกัน มผี ลกระทบอย่างไร ภำวะประชำกร รายละเอยี ดข้อเทจ็ จรงิ เก่ียวกบั ประชากรในเรอ่ื งสาคัญ 3 ดา้ น คือขนาดประชากร การกระจายตวั เชิงพนื้ ท่ี และองคป์ ระกอบของประชากร ขนำดของประชำกร จานวนประชากรท้งั หมดของเขตพืน้ ทหี่ นึ่งพื้นท่ี ณ เวลาที่กล่าวถงึ กำรกระจำยตัวเชิงพ้นื ท่ี การที่ประชากรกระจายตวั กันอยู่ในส่วนตา่ งๆ ของพื้นทีห่ นึ่งพ้ืนที่ ณ เวลาที่ กล่าวถึง องค์ประกอบของประชำกร ลกั ษณะตา่ ง ๆ ที่มสี ่วนผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงขนาดหรือจานวน ประชากร องค์ประกอบของประชากรเปน็ ดัชนอี ยา่ งหน่ึงทช่ี ้ีให้เหน็ ถงึ คุณภาพของประชากร องค์ประกอบประชากรทส่ี าคัญ ได้แก่ เพศ อายุ การศกึ ษา อาชีพ การสมรส กำรเปลี่ยนแปลงประชำกร องค์ประกอบสาคญั ทท่ี าให้เกิดกรเปลี่ยนแปลงประชากร คือ การเกิด การ ตาย และการย้ายถ่ิน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245