Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Description: 12

Search

Read the Text Version

นำ้� มนั ไพล ใชไ้ พลสดสกดั นำ้� มนั โดยวธิ กี ารกลนั่ แบบไอนำ้� หลงั จากเกบ็ หวั ไพลมาจากแปลง ไมค่ วรทง้ิ ไวน้ าน เพราะจะทำ� ใหป้ รมิ าณนำ�้ มนั หอมระเหยลดลงตามระยะเวลา ควรรบี สกดั นำ�้ มนั ไพล ภายใน 2 - 3 เดอื นหลงั จากเกบ็ มาจากแปลง อตั ราสว่ น ไพลสด : นำ้� มนั ไพล เทา่ กบั 1 ตนั : 8 - 10 ลติ ร 5.4 การเกบ็ รักษา นำ� ไพลทแ่ี หง้ สนทิ บรรจถุ งุ พลาสตกิ ใส 2 ชน้ั ปดิ ปากใหส้ นทิ เขยี นฉลากปดิ ถงุ ใหเ้ รยี บรอ้ ย นำ� มาเกบ็ ในหอ้ งทส่ี ะอาด เยน็ ไมอ่ บั ชนื้ อากาศถา่ ยเทไดด้ ี ปอ้ งกนั แสงแดดมากระทบ ดแู ลไมใ่ หม้ เี ชอ้ื รา หรือแมลงเขา้ ทำ� ลาย หากพบใหค้ ัดแยกออกและท�ำลายท้งิ ไพลแห้งทจี่ ัดเก็บไว้นานเกิน 3 เดือน ควรนำ� มาผง่ึ ในทรี่ ม่ หรอื อบใหมอ่ กี ครง้ั เพอื่ ไมใ่ หม้ คี วามชนื้ และแมลงรบกวน และไมค่ วรเกบ็ รกั ษาเกนิ 1 ปี เพราะจะท�ำให้นำ�้ มนั หอมระเหยในไพลลดลงถึง 25 เปอร์เซนต์ 6. ข้อมลู อื่นๆ ไพลมลี ำ� ตน้ ใตด้ นิ เรยี กวา่ เหงา้ มสี เี หลอื งและมกี ลนิ่ หอมเฉพาะตวั เหงา้ ไพลมนี ำ้� มนั หอมระเหย ประมาณ 0.8 เปอรเ์ ซนต์ ซงึ่ ประกอบดว้ ยสารสำ� คญั ทมี่ ฤี ทธติ์ า้ นการอกั เสบ และมฤี ทธต์ิ า้ นฮสี ตามนี แกภ้ มู แิ พ้ แพทยแ์ ผนไทยใชไ้ พลประกอบตำ� รบั ยาไทยเพอ่ื รกั ษาอาการฟกชำ�้ บวม เคลด็ ขดั ยอก ปวดทอ้ ง ลมจุกเสยี ด ทอ้ งเดนิ และบดิ ไพลใช้เป็นส่วนประกอบส�ำคัญในลูกประคบ และใช้นำ�้ มันหอมระเหย (Essential Oil) ในรูป Aromatherapy ส�ำหรบั ใชใ้ นสปา 97

ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลิตของไพล สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำ� กัด 1. สภาพภมู ิอากาศ - อุณหภูมทิ ่ีเหมาะสม 18 - 35 องศาเซลเซียส 1.1 อุณหภูมิ - ตอ้ งการแสงปานกลาง ปลูกได้ท้ังในทโี่ ลง่ แจง้ และท่รี ม่ แดดร�ำไร 1.2 ความเข้มของแสง 2. สภาพพน้ื ที่ - ไมม่ นี �ำ้ ท่วมขงั - ไมท่ นทานตอ่ สภาพนำ�้ ทว่ มขงั - ไมค่ วรปลกู ไพลซำ้� ในปถี ดั ไป ควรเวน้ พน้ื ทไ่ี ว้ 1 ปี เพอื่ ปอ้ งกนั การสะสมของเชอื้ โรค 3. สภาพดิน - หลกี เลยี่ งการปลกู ในดนิ ลกู รงั 3.1 ลักษณะของเน้ือดนิ - ดินเหนยี วปนทราย มีการระบายน�้ำดี - หลกี เลยี่ งการปลกู บนสภาพดนิ ชนื้ แฉะ 3.2 ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งของดนิ - คา่ ความเป็นกรดเปน็ ดา่ งของดิน (pH) 5.5 - 6.5 3.3 ปรมิ าณอนิ ทรียวัตถุ - ต้องการอนิ ทรยี วตั ถุสงู 4. สภาพน�ำ้ นำ�้ ทเ่ี หมาะกบั การเกษตร ตามมาตรฐานของกรมพฒั นาทดี่ นิ ควรมลี กั ษณะ - การปลกู ในพนื้ ทที่ ม่ี ปี รมิ าณนำ้� ฝนนอ้ ยหรอื ฝนทงิ้ ชว่ ง ดังนี้ ตอ้ งจดั เตรียมระบบการให้นำ้� หรือชลประทาน : มคี วามสะอาด ไมม่ สี ารอนิ ทรยี แ์ ละสารอนนิ ทรยี ท์ เี่ ปน็ พษิ ปนเปอ้ื น - ตน้ ออ่ นตอ้ งการนำ�้ อยา่ งสมำ�่ เสมอ หลงั จากไพลตงั้ ตวั ได้ : มคี า่ โลหะหนกั เชน่ สารหนู ไมเ่ กนิ 0.25 มลิ กิ รมั ตอ่ ลติ ร, แคดเมยี ม สามารถใหน้ ้�ำน้อยลง ไม่เกนิ 0.03 มลิ กิ รมั ตอ่ ลติ ร, ตะกัว่ ไมเ่ กนิ 0.1 มลิ ลิกรมั ต่อลิตร : มีค่าความเปน็ กรดเป็นด่าง อย่รู ะหวา่ ง 6.0 – 7.9 : มคี า่ อณุ หภมู ขิ องนำ�้ ไมเ่ กิน 40 องศาเซลเซียส : มคี า่ ความเคม็ ของนำ้� ไม่เกนิ 0.3 กรัมตอ่ ลติ ร : มีค่าปริมาณออกซิเจนละลายนำ้� ไม่ตำ่� กว่า 2 มลิ ลิกรัมตอ่ ลิตร

แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลติ และแหล่งสืบค้นข้อมลู เพมิ่ เติม แนวทางการเพ่ิมประสิทธภิ าพการผลิต 1. การคัดเลือกหัวพันธุ์ เป็นปัจจัยส�ำคัญท่ีมีผลต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตไพล โดยพจิ ารณาคัดเลอื กหวั พันธ์ุ ดงั น้ี 1.1 เปน็ พนั ธท์ุ ถ่ี กู ตอ้ งตรงตามความตอ้ งการปลกู เนอื่ งจากพนั ธไ์ุ พลมหี ลายชนดิ และมี ชอื่ เรยี กตามทอ้ งถ่นิ ทแี่ ตกตา่ งกนั พนั ธ์ไุ พลทน่ี ิยมปลกู เพอื่ ผลติ เชงิ การค้า ไดแ้ ก่ 1) พนั ธห์ุ ยวก เปน็ พนั ธท์ุ น่ี ยิ มปลกู ทว่ั ไป ใหป้ รมิ าณผลผลติ 7 - 8 ตนั ตอ่ ไร่ และใหป้ รมิ าณ น�้ำมัน 5 - 6 ลิตรต่อผลผลติ 1 ตัน 2) พนั ธพ์ุ นื้ เมอื ง เปน็ พนั ธท์ุ ใี่ หผ้ ลผลติ นอ้ ยกวา่ พนั ธห์ุ ยวก แตใ่ หป้ รมิ าณนำ้� มนั ไพลมากกวา่ พนั ธุห์ ยวก โดยให้ผลผลิต 4 - 5 ตนั ต่อไร่ และผลผลติ 1 ตนั ให้ปริมาณนำ�้ มัน 7 - 8 ลิตร 1.2 เลือกหัวพันธุ์ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี มีตาสมบูรณ์ มาจากแหล่งผลิตท่ีไม่มีโรคเหี่ยว ซึง่ เปน็ โรคท่ีส�ำคญั ของไพล 2. การทำ� แห้งไพล มขี อ้ ควรคำ� นึงในการปฏบิ ัติเพอ่ื ใหไ้ ด้วัตถุดบิ ไพลคุณภาพดี ดังนี้ 2.1 การตากผลผลติ ไพล ตอ้ งคลมุ ภาชนะดว้ ยผา้ ขาวบาง เพอ่ื ปอ้ งกนั ฝนุ่ ละออง สตั วเ์ ลย้ี ง และกันการปลวิ ของชนิ้ ส่วนไพล และวางภาชนะบนลานตากแบบยกพืน้ สูง 2.2 การเกบ็ รกั ษาวตั ถดุ ิบไพลในภาชนะที่สะอาด ปอ้ งกันความชื้นได้ โดยวางบนยกพื้น หรอื ช้ันวาง ในทมี่ ีอากาศถ่ายเทสะดวก ปลอดภัยจากการรบกวนของแมลงและสตั ว์ตา่ งๆ และน�ำ ออกตากแดด ทุก 3 เดอื น แหลง่ สบื ค้นข้อมลู เพิม่ เติม สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร. 2545. การผลติ สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศ. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. 99

ฟ้าทะลายโจร ขน้ั ตอนการปลูกและการดแู ลรกั ษาฟา้ ทะลายโจร การเตรียมการ 15 วนั 30 วนั 60 วนั 90 วนั 110 วัน 120 วัน 150 วัน การเตรียมดนิ การปลกู การก�ำจัดวชั พืช การใส่ป๋ยุ - ขดุ หรอื ไถพรวนใหด้ นิ รว่ น วธิ ปี ลูกอาจทำ� ได้ 3 วธิ ี - ถอนหรอื ใชเ้ ครอื่ งมอื ชว่ ย - หลงั ปลกู 60 วนั ใสป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ์ - หากวชั พชื มมี ากใหไ้ ถพรวน 1. วธิ หี วา่ น นำ� เมลด็ มาผสมทรายหยาบ ในการกำ� จดั ทกุ ครงึ่ เดอื น 125 กรมั ตอ่ ตน้ หรอื 300 - 400 2 ครงั้ คอื ไถเปดิ หนา้ ดนิ และ อัตรา 1 : 1-2 จนตน้ ฟา้ ทะลายโจรคลมุ กรมั ตอ่ 1 ตารางเมตร ตากดนิ ไว้ประมาณ 2 สปั ดาห์ 2. วิธโี รยเมลด็ เปน็ แถว ขดุ ร่องตนื้ ๆ แปลง - หลงั ปลกู 90 -110 วนั ใสป่ ยุ๋ แล้วจึงไถพรวนดินให้ร่วน เปน็ แถวยาว ระยะหา่ งระหวา่ งแถว อนิ ทรยี ์ 125 กรมั ตอ่ ตน้ หรอื ปรับปรุงดินด้วยปุย๋ อนิ ทรีย์ ประมาณ 40 เซนติเมตร โรยเมลด็ การให้นำ�้ 300 - 500 กรมั ตอ่ 1 ตารางเมตร - การปลกู โดยใชก้ ลา้ ใหเ้ พาะกลา้ กลบดินบางๆ - ถา้ แดดจดั ใหน้ ำ้� วนั ละ ในถาดเพาะกล้า หรือยกแปลง 3. วธิ เี พาะกลา้ ขดุ หลมุ กวา้ งประมาณ 2 ครงั้ เชา้ - เยน็ ถา้ แดด การเก็บเกีย่ ว เพาะกลา้ กว้าง 1 เมตร 15 เซนติเมตร ลกึ ประมาณ 8 - 12 ไม่จัด ให้น�้ำวันละครั้ง - เกบ็ เกยี่ วระยะเรมิ่ ออกดอก - ระยะดอกบาน 50% (อายปุ ระมาณ สูง 15 - 20 เซนตเิ มตร ใสป่ ุ๋ย เ ซนตเิ มตร เปน็ แถว ระยะหา่ งระหวา่ ง หลงั จาก 2 เดอื น ใหน้ ำ้� 110 - 150 วนั ) และไมค่ วรเกนิ ระยะดงั กลา่ ว เพอ่ื ใหม้ สี ารสำ� คญั สงู อินทรยี ร์ องพืน้ ½-1 กโิ ลกรัม ตน้ 20 - 30 เซนติเมตร และระหวา่ ง ตามความเหมาะสม - วธิ เี กบ็ เกยี่ ว ตดั ทงั้ ตน้ เหนอื ดนิ ประมาณ 5 - 10 เซนตเิ มตร เกบ็ โดยใช้ ตอ่ พื้นท่ี 1 ตารางเมตร แถว 40 เซนติเมตร กรรไกรหรอื เคยี วเกย่ี วทงั้ ตน้ ใหเ้ หลอื ตอสงู ประมาณ 5 - 10 เซนตเิ มตร อกี 60 - 90 วนั จะเกบ็ เกยี่ วไดอ้ กี ครง้ั การเตรยี มพันธุ์ - ขยายพันธด์ุ ว้ ยเมล็ด ศัตรูท่ีส�ำคัญและการปอ้ งกันก�ำจดั การปฏิบตั ิหลังการเกบ็ เกย่ี ว - ใช้เมล็ดจากฝักแก่จัด มีสี ไมพ่ บการระบาดของโรคและแมลงทที่ ำ� ความเสยี หายรนุ แรง -นำ� ไปคดั แยกสง่ิ ปนปลอม เชน่ วชั พชื ทปี่ ะปนมา และลา้ งนำ้� ใหส้ ะอาด น�้ำตาลแดง ลักษณะสมบูรณ์ โรคทพ่ี บบา้ ง ไดแ้ ก่ โรคโคนเนา่ และรากเนา่ จากเชอ้ื รา - ตดั เปน็ ทอ่ น ยาว 3 - 5 เซนตเิ มตร ผงึ่ ใหแ้ หง้ ปราศจากโรคและแมลง หากพบใหถ้ อนทำ� ลายทนั ที - ทำ� แหง้ โดยตากแดดบนลานตากยกพนื้ มวี สั ดรุ องรบั ทส่ี ะอาด หรอื ใชเ้ ครอื่ งอบแหง้ - ก่อนปลูกน�ำเมลด็ แชน่ ำ้� แบบลมรอ้ น ทอี่ ณุ หภมู ิ 50 องศาเซลเซยี ส ใน 8 ชวั่ โมงแรก และลดอณุ หภมู เิ หลอื ท่ีอุณหภมู หิ ้อง 6 - 12 ชัว่ โมง 40 - 45 องศาเซลเซยี ส อบตอ่ จนแหง้ สนทิ

เทคนคิ การปลูก และดแู ลรกั ษาฟา้ ทะลายโจร 1. การเตรียมการกอ่ นปลกู 1.1 การเตรียมดนิ 1) ขดุ หรือไถพรวนเพอื่ ให้ดนิ ร่วนซยุ 2) หากวชั พชื มไี มม่ ากใหท้ ำ� การไถพรวนครงั้ เดยี ว ถา้ มมี ากใหไ้ ถพรวน 2 ครงั้ คอื ไถดะเปดิ หนา้ ดนิ และตากดนิ ไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วจงึ ไถแปร ปรับปรุงดินด้วยป๋ยุ อนิ ทรยี ์ ปุย๋ คอก หรือป๋ยุ หมัก 1.2 การเตรียมพันธ์ุ 1) ขยายพนั ธ์ดุ ว้ ยเมลด็ ใช้เมล็ดจากฝกั แก่จัด เมล็ดต้องมสี นี ้�ำตาลแดง ลักษณะสมบรู ณ์ ปราศจากโรคและแมลง 2) เนอื่ งจากเมลด็ มเี ปลอื กแขง็ กอ่ นปลกู แชเ่ มลด็ ในนำ้� ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ้ ง ประมาณ 6 - 12 ชวั่ โมง เพอ่ื ให้น้�ำซมึ ผา่ นเมล็ดและเมล็ดสามารถงอกได้ 2. การปลูก ฟา้ ทะลายโจรสามารถปลูกไดห้ ลายวธิ ี ดงั นี้ 2.1 การปลกู แบบหวา่ น นำ� เมลด็ มาผสมทรายหยาบ อตั รา 1 : 1-2 ใชเ้ มลด็ 100 - 400 เมลด็ ตอ่ พื้นที่ 1 ตารางเมตร วธิ นี ้ีเกษตรกรนยิ มแต่มขี อ้ จำ� กัด คอื ทำ� ให้ส้ินเปลอื งเมล็ดพนั ธ์ุ ซึ่งมีราคาสงู 2.2 การปลกู แบบโรยเมลด็ เปน็ แถว ขดุ รอ่ งต้ืนๆ เป็นแถวยาว โรยเมล็ดและกลบดินบางๆ ระยะปลกู ระหวา่ งแถวประมาณ 40 เซนตเิ มตร ใชเ้ มลด็ ประมาณ 50 - 100 เมลด็ ตอ่ ความยาว 1 เมตร วิธีน้ีทำ� ใหส้ ามารถก�ำจดั วชั พืชซ่งึ เปน็ ปญั หาส�ำคัญไดส้ ะดวก 2.3 การปลกู โดยใชก้ ลา้ มีข้นั ตอนดังน้ี 1) เพาะกลา้ เพาะกล้าในถาดเพาะกลา้ หรือเตรยี มแปลงเพาะโดยยกแปลงกว้าง 1 เมตร สงู ประมาณ 15 - 20 เซนตเิ มตร ยอ่ ยดนิ ใหล้ ะเอยี ดใสป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ร์ องพน้ื ½ - 1 กโิ ลกรมั ตอ่ พน้ื ท่ี 1 ตารางเมตร 2) การเตรยี มหลมุ ปลกู ขดุ หลมุ กวา้ งประมาณ 15 เซนตเิ มตร ลกึ ประมาณ 8 - 12 เซนตเิ มตร เปน็ แถว ใหม้ รี ะยะปลกู ระหวา่ งตน้ 20 - 30 เซนตเิ มตร และระหวา่ งแถว 40 เซนตเิ มตร ใสป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ์ รองก้นหลุมประมาณ 125 กรัมตอ่ หลุม และคลกุ เคล้าใหเ้ ขา้ กบั ดนิ 3) ยา้ ยกลา้ ปลกู เมอื่ กลา้ มอี ายปุ ระมาณ 30 วนั กอ่ นยา้ ยกลา้ รดนำ้� แปลงใหช้ มุ่ แลว้ จงึ ใช้ ชอ้ นขุดหรือเสยี มแซะกลา้ ไปปลูกในหลุมทเ่ี ตรียมไว้ 1 ตน้ ตอ่ หลมุ หลงั ปลูกรดน�้ำทันที 101

3. การดูแลรกั ษา 3.1 การคลุมแปลง โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกเป็นที่โล่งแจ้ง ลมพัดแรงจัด แดดจัด ฝนตกชุก ควรคลมุ แปลงดว้ ยฟางหรอื ใบหญา้ คาบางๆ เพอื่ ลดการชะลา้ งของนำ้� ความชน้ื ทำ� ใหเ้ มลด็ งอกไดเ้ รว็ ขนึ้ 3.2 การปลกู ซอ่ ม หลงั จากปลกู แลว้ ประมาณ 7 - 15 วนั ถา้ พบวา่ ตน้ กลา้ ทปี่ ลกู ตายหรอื ไมง่ อก ควรปลูกซ่อมทันที 3.3 การถอนแยก หลกั จากปลกู แลว้ ประมาณ 30 - 45 วนั ถา้ พบวา่ ตน้ กลา้ ทข่ี น้ึ แนน่ มากเกนิ ไป ใหท้ ำ� การถอนแยกไปปลกู ในแปลงอน่ื 3.4 การใสป่ ๋ยุ 1) แบง่ ใสเ่ ป็นระยะ ดงั น้ี - อายุ 60 วนั ใหใ้ สป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ป์ ระมาณ 125 กรมั ตอ่ ตน้ หรอื 300 - 400 กรมั ตอ่ พน้ื ท่ี 1 ตารางเมตร - อายุ 90 - 110 วนั ใหใ้ สป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ์ 300 - 500 กรมั ตอ่ พนื้ ท่ี 1 ตารางเมตร 2) วิธีการใส่ป๋ยุ - แบบหวา่ น ตอ้ งหวา่ นใหก้ ระจายสมำ่� เสมอ หลงั หวา่ นแลว้ ตอ้ งรดนำ้� ทนั ที อยา่ ใหป้ ยุ๋ คา้ งทใ่ี บ - แบบโรยหรอื หวา่ นเปน็ แถว ตามแนวขนานระหวา่ งแถวปลกู หา่ งจากแถวปลกู ประมาณ 10 - 15 เซนตเิ มตร โดยขุดเป็นรอ่ ง ใส่ปุ๋ยพรวนดินกลบ เหมาะกับการปลูกแบบโรยเป็นแถว - แบบหยอดโคน ใสป่ ยุ๋ หา่ งจากโคนตน้ ประมาณ 10 เซนตเิ มตร โดยขดุ หลมุ ฝงั กลบดนิ หรอื โรยรอบๆ โคนต้นแล้วพรวนดนิ กลบกไ็ ด้ เหมาะกับการปลกู แบบมรี ะยะปลูก 3.3 การใหน้ ำ�้ ระยะ 30 - 60 วนั แรกหลงั จากปลกู ถา้ แดดจดั ควรใหน้ ำ�้ วนั ละ 2 ครง้ั เชา้ - เยน็ ถ้าแดดไมจ่ ัดควรใหน้ ้�ำวนั ละคร้ัง หลงั จากอายุ 60 วันไปแลว้ อาจให้น้�ำวันเว้นวนั ก็ได้ หรือใหต้ าม ความเหมาะสมตามสภาพพ้ืนที่และสภาพอากาศ 4. การป้องกนั และกำ� จัดศัตรูพชื 4.1 วัชพืช ควรก�ำจัดโดยการถอน โดยเฉพาะในระยะแรกปลูกถึง 2 เดือน ก�ำจัดวัชพืช ทุกครง่ึ เดอื นจนกระทงั่ ฟ้าทะลายโจรเจรญิ คลุมแปลง 4.2 โรค ไม่พบโรคที่ท�ำความเสียหายรุนแรง เพียงแต่ท�ำความเสียหายเล็กน้อย ได้แก่ โรคโคนเน่าและรากเน่าจากเช้ือรา หากพบให้ถอนท�ำลายทันที โรคแอนเทรคโนส พบตรงกลาง หรือปลายใบ หากพบให้ตัดสว่ นทเี่ ป็นโรคท้งิ 4.3 แมลง ไมพ่ บแมลงชนดิ ใดทีท่ ำ� ความเสยี หายรนุ แรง 102

5. การปฏบิ ตั ิก่อนและหลงั การเกบ็ เกยี่ ว - เกบ็ เกย่ี วในชว่ งทพ่ี ชื ออกดอกตงั้ แตเ่ รม่ิ ออกดอกจนถงึ ดอกบาน 50% ซงึ่ พชื จะมอี ายปุ ระมาณ 110 - 150 วนั เปน็ ชว่ งทมี่ สี ารสำ� คญั สงู โดยพบมากทีส่ ่วนยอดและใบ วธิ ีการเกบ็ เก่ยี วให้ตัดทั้งต้น ให้เหลือตอสูงประมาณ 5 - 10 เซนติเมตร เพ่ือให้เจริญให้ผลผลิตต่อไป ใช้เวลาประมาณ 2 - 3 เดอื นจึงสามารถเก็บเก่ียวได้อีกครั้ง - การปฏบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกย่ี ว นำ� ไปคดั แยกสง่ิ ปลอมปน เชน่ วชั พชื ทปี่ ะปนมา และลา้ งใหส้ ะอาด ตดั เปน็ ท่อนๆ ยาวประมาณ 3 - 5 เซนติเมตร ผง่ึ ให้แหง้ ท�ำแห้งโดย ตากแดดบนลานตากยกพืน้ มวี สั ดรุ องรบั ทส่ี ะอาด หรอื ใชเ้ ครอ่ื งอบแหง้ แบบลมรอ้ น ทอ่ี ณุ หภมู ิ 50 องศาเซลเซยี สใน 8 ชว่ั โมงแรก และลดอณุ หภูมเิ หลือ 40 - 45 องศาเซลเซยี ส อบตอ่ จนแหง้ สนิท 6. ขอ้ มูลอนื่ ๆ 6.1 สารสำ� คัญออกฤทธ์ิ มีสารส�ำคัญประเภท ไดเทอร์ฟีน แลคโตน (diterpene lactones) ได้แก่ แอนโดรการโฟไลด์ (andrographolide) มฤี ทธลิ์ ดไข้ และตา้ นอกั เสบ และ ดอี อกซี แอนโดรการโฟไลด์ (deoxyandrographolide) ซ่ึงมีฤทธยิ์ ับยงั้ เช้ือแบคทีเรยี ทีเ่ ป็นสาเหตขุ องท้องร่วง มาตรฐานของฟ้าทะลายโจรท่ีใช้ในการผลิตยาจะต้องมี andrographolide ไม่น้อยกว่า 6% โดยน้ำ� หนัก 103

6.2 สรรพคุณและการใช้ประโยชน์ สรรพคณุ - รักษาอาการไข้ ลำ� ไสอ้ กั เสบ ปอดอกั เสบ คอเจบ็ ทอนซลิ อกั เสบ หลอดลมอกั เสบ - รักษาอาการไข้ทวั่ ไป เช่น ไข้หวดั ไข้หวัดใหญ่ - อาการติดเช้อื ซ่งึ มีการปวดท้อง ทอ้ งเสยี บดิ และกระเพาะล�ำไสอ้ กั เสบ การใช้ประโยชน์ฟา้ ทะลายโจร กระทรวงสาธารณสขุ จดั ฟา้ ทะลายโจรอยใู่ นบญั ชยี าหลกั (สมนุ ไพร) นอกจากนยี้ งั มกี ารใชใ้ น ปศุสัตว์ โดยฟา้ ทะลายโจรใช้เปน็ สว่ นผสมในอาหารสกุ รและไก่ เพ่ือทดแทนการใช้ยาปฏชิ วี นะ 104

ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลติ ของฟา้ ทะลายโจร สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ขอ้ จ�ำกัด 1. สภาพภมู ิอากาศ - ร้อนชื้น อณุ หภูมปิ ระมาณ 25 - 30 องศาเซลเซียส 1.1 อุณหภมู ิ - เฉลยี่ 60 - 80% 1.2 ความช้นื สมั พทั ธ์ - รำ� ไร - ปลกู กลางแจง้ ไดด้ แี ตต่ อ้ งมนี ำ�้ พอเพยี ง 1.3 แสง - ต้องการนำ�้ เพียงพอตลอดฤดูปลกู - ถา้ ขาดนำ้� ผลผลติ และปรมิ าณสารสำ� คญั จะตำ่� 1.4 น้�ำ - แหลง่ ปลกู ตอ้ งไมม่ ลี มพดั แรง หรอื มกี ารทำ� แนวบงั ลมเพอื่ ปอ้ งกนั ตน้ หกั ลม้ 1.5 ลม 2. สภาพพื้นที่ - จากระดับน้�ำทะเลถึง 3,200 เมตร เหนือระดับน้ำ� ทะเล 2.1 ความสูง - มีความลาดเอียงของพ้นื ทน่ี อ้ ย ไมเ่ กิน 3% 2.2 ความลาดเท 3. สภาพดิน 3.1 ประเภทดิน - ดินร่วนซยุ - หลกี เลย่ี งดนิ เหนยี ว หรอื ดนิ ทรายจดั 3.2 อินทรยี วตั ถุ - มอี ินทรียวัตถไุ ม่นอ้ ยกว่า 3.5% 3.3 ความเปน็ กรด/ดา่ งของดนิ (pH) - 5.5 - 8 3.4 การระบายน�้ำ - ระบายนำ�้ ดี ไม่ท่วมขงั 4. สภาพน�้ำ - น�้ำทีใ่ ช้ในการเกษตร สะอาดไมม่ สี ารเคมีปนเปือ้ น

แนวทางการเพมิ่ ประสิทธภิ าพการผลติ และแหล่งสบื คน้ ข้อมูลเพิ่มเติม แนวทางการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิต 1. การเกบ็ เกย่ี วให้ได้สารสำ� คญั ออกฤทธิส์ ูงสุด - การเกบ็ ผลผลิตฟา้ ทะลายโจรแบบแยกส่วน ได้แก่ ตัดส่วนยอด 25 เซนติเมตร ในระยะ ออกดอก 25 - 75 % จะไดส้ ารสำ� คญั ออกฤทธสิ์ งู สดุ และตดั สว่ นทเ่ี หลอื เหนอื ดนิ หา่ งโคนตน้ 4 ขอ้ แยกผลผลติ จ�ำหน่ายตามคุณภาพ - เก็บเก่ียวถกู ระยะโดยเปน็ ระยะเร่มิ ออกดอกถงึ ออกดอก 50 % ที่ฟา้ ทะลายโจรมีใบมาก ใบฟา้ ทะลายโจรจะมปี รมิ าณสารสำ� คญั สงู กวา่ กง่ิ กา้ น และไมค่ วรนบั อายกุ ารเกบ็ เกย่ี ว (110 - 150 วนั ) เพยี งอยา่ งเดยี ว เนอ่ื งจากในแตล่ ะชว่ งการผลติ อายกุ ารออกดอกอาจจะแตกตา่ งกนั หากเกบ็ เกยี่ วชา้ ในระยะท่ีติดเมลด็ แลว้ ใบจะลดลงเหลือแต่กิ่งกา้ นทำ� ให้มปี รมิ าณสารส�ำคัญต�่ำ 2. การปลูกแบบเพาะกลา้ และกำ� หนดระยะปลกู เพ่อื ใหไ้ ดป้ ริมาณผลผลิตสงู สดุ - ปลูกช่วงฤดแู ล้ง ใหป้ ลกู ระยะ 30 x 40 เซนติเมตร หรือประมาณ 13,333 ตน้ ต่อไร่ - ปลกู ในช่วงฤดฝู น ให้ปลูกระยะ 30 x 60 เซนติเมตร หรือประมาณ 8,888 ต้นตอ่ ไร่ 3. การใหน้ ำ้� เพื่อใหผ้ ลผลติ และสารสำ� คัญสูงสดุ - การปลูกฟ้าทะลายโจร จ�ำเป็นต้องได้รับน�้ำปริมาณที่พอเพียงและสม่�ำเสมอต้ังแต่ปลูก ถึงเก็บเกีย่ ว แหลง่ สบื คน้ ข้อมูลเพิม่ เตมิ สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก, เอกสารคมู่ อื การปลกู สมุนไพรทเ่ี หมาะสม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์องคก์ ารสงเคราะหท์ หารผา่ นศึก. 2553. สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก, เอกสารคมู่ อื การปลกู พชื สมนุ ไพรเศรษฐกจิ . พมิ พค์ รงั้ ที่ 1. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั สง่ สนิ คา้ และพสั ดภุ ณั ฑ.์ 2548. สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมการแพทย,์ ไมร้ มิ รวั้ . พมิ พค์ รงั้ ที่ 1. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ ทหารผา่ นศึก. 2542. กองสง่ เสรมิ พชื สวน กรมสง่ เสรมิ การเกษตร, เอกสารคมู่ อื การปลกู สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศ ชดุ ที่ 1. พิมพค์ ร้ังท่ี 3. กรงุ เทพฯ : 2545. กรมวชิ าการเกษตร, รายงานผลงานโครงการวจิ ยั และพฒั นาดา้ นพชื และเทคโนโลยกี ารเกษตร. กรุงเทพฯ : 2550. 106

มะแวง้ เครอื ขนั้ ตอนการปลูกและการดูแลรักษามะแว้งเครอื การเตรยี มการ 60 วัน 90 วนั 150 วนั 210 วนั 240 วัน 270 วนั 300 วนั การเตรียมดนิ การปลูก การใหน้ ้�ำ การใสป่ ุ๋ย การกำ�จัดวัชพืช - ไถพรวนดนิ ใหร้ ว่ นซยุ - ขดุ หลุมขนาด - รดนำ้� ใหด้ นิ มี -ใช้ปุ๋ยคอกอัตรา 0.5 - ก�ำจัดวัชพืชโดย กำ� จดั เศษวชั พชื 15 x 15 x 15 เซนตเิ มตร ความชน้ื สมำ่� เสมอ กโิ ลกรมั ตอ่ ตน้ เมอ่ื ตดั ตน้ เฉพาะบรเิ วณโคนตน้ - ใสป่ ยุ๋ คอก พรวนดนิ อกี ครง้ั ระยะห่างระหว่างแถว หลงั การเกบ็ เกย่ี วรนุ่ แรก โดยการใชม้ อื ถอน คลกุ เคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั 1.5 x 1.5 เมตร เวน้ ทางเดนิ 50 เซนตเิ มตร ปลกู โดย การเตรยี มพนั ธ์ุ นำ� ตน้ กลา้ ที่เตรยี มไว้ การท�ำคา้ ง การเก็บเกย่ี ว - เกบ็ เมลด็ พนั ธจ์ุ ากผลแกจ่ ดั ลงหลมุ หรอื ปลกู ดว้ ยเมลด็ - เมอ่ื ตน้ มอี ายุ 60 - 90 วนั เกบ็ เกย่ี วเมอ่ื อายปุ ระมาณ 240 - 300 วนั โดยเกบ็ ในระยะทผี่ ล เปน็ สแี ดง โดยการหยอดเมล็ดลง ใหท้ ำ�คา้ ง โดยใชเ้ สาไมไ้ ผท่ ่ี เรม่ิ เปลยี่ นสเี ปน็ สสี ม้ เรอื่ ๆ เปน็ ระยะทผี่ ลแกแ่ ตย่ งั ไมส่ กุ และมี - แกะเมลด็ ออกลา้ งนำ�้ เมลด็ ในหลมุ ปลกู แลว้ กลบดนิ มเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1 นว้ิ มีการพักตัว ให้น�ำเมล็ดแช่ รดนำ�้ ใหช้ มุ่ หา่ งจากพนื้ ดนิ ยาว 2 เมตร และไมไ้ ผผ่ ่า ในน้ำ� อนุ่ อณุ หภมู ิ 50 องศา 75 เซนตเิ มตร และ 150 ซกี ผูกในแนวขวาง 2 แถว เซลเซยี ส เปน็ เวลานาน 5 นาที นำ� เมลด็ เพาะในถงุ ดำ� รดนำ้� เซนติเมตร สารสำ� คญั สงู ใหช้ มุ่ - ใชเ้ วลาเพาะกลา้ 45 - 60 วนั ศัตรทู ีส่ �ำคัญและการปอ้ งกันก�ำจดั การปฏิบัติหลงั การเกบ็ เกี่ยว แลว้ ยา้ ยลงแปลงปลกู ศตั รทู สี่ ำ� คญั คอื เพลย้ี ออ่ น เพลยี้ แปง้ ใหใ้ ช้ นำ� ผลผลติ ทเ่ี กบ็ ไดม้ าล้างนำ�้ ให้สะอาด ผ่งึ ใหห้ มาด เดด็ ข้วั ผลออก อบแห้งดว้ ย สารสะเดาฉดี พน่ ทกุ 3 - 5 วนั ทมี่ กี ารระบาด เครอื่ งอบแหง้ แบบอโุ มงค์ โดยใชอ้ ณุ หภมู กิ ารอบ 80 องศาเซลเซยี ส 2 ชวั่ โมงแรก 75 องศาเซลเซยี ส 2 ชัว่ โมงตอ่ มา และอณุ หภูมิ 60 องศาเซลเซยี ส อกี 2 ชัว่ โมง

เทคนิคการปลกู และดแู ลรกั ษามะแวง้ เครือ 1. การเตรียมการกอ่ นปลูก 1.1 การเตรยี มดนิ - ไถพรวนดนิ ใหร้ ว่ นซยุ กำ� จดั เศษวชั พชื และเศษไม้ ใสป่ ยุ๋ คอก พรวนดนิ อกี ครงั้ คลกุ เคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั 1.2 การเตรยี มพนั ธุ์ - เกบ็ เมลด็ จากผลแกจ่ ดั เปน็ สแี ดง อยา่ ตากทง้ิ ไวน้ าน แกะเมลด็ ออกลา้ งนำ�้ เมลด็ มกี ารพกั ตวั ให้น�ำเมล็ดแช่ในน�้ำอุน่ อณุ หภูมิ 50 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลานาน 5 นาที นำ� เมลด็ เพาะในถงุ ดำ� รดนำ�้ ใหช้ มุ่ ใช้เวลาเพาะกลา้ 45 - 60 วัน แล้วย้ายลงแปลงปลกู 2. การปลกู 2.1 วิธีปลกู - ขดุ หลุมขนาด 15 x 15 x 15 เซนติเมตร ปลูกโดยนำ� ตน้ กลา้ ท่ีเตรียมไวล้ งหลมุ กลบดนิ รดนำ�้ ให้ชุ่ม - ระยะปลูก 1.5 x 1.5 เมตร เว้นทางเดิน 50 เซนตเิ มตร 2.2 จำ� นวนตน้ ต่อไร่ 1,600 ตน้ ต่อไร่ 3. การดูแลรักษา 3.1 การใสป่ ยุ๋ - ใช้ป๋ยุ คอกอัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น เมือ่ ตดั ตน้ หลังการเกบ็ เกีย่ วรุน่ แรก 3.2 การให้นำ้� - รดนำ�้ ใหด้ ินมีความช้ืนสม�่ำเสมอ 3.3 การทำ� ค้าง - การท�ำค้างเพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ง่าย เมื่อต้นมีอายุ 60 - 90 วัน ให้ท�ำค้าง โดยใชเ้ สาไมไ้ ผท่ ่มี ีเสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 1 นว้ิ ยาว 2 เมตร และไมไ้ ผ่ผา่ ซกี ผกู ในแนวขวาง 2 แถว หา่ งจาก พน้ื ดิน 75 เซนตเิ มตร และ 150 เซนตเิ มตร คอยจดั เถาใหข้ ึน้ ค้าง 108

4. การป้องกันและก�ำจัดศัตรูพชื 4.1 แมลง : เพลย้ี ออ่ น เพลี้ยแปง้ - การปอ้ งกนั กำ� จดั : ใหใ้ ช้สารสะเดาฉดี พ่นทุก 3 - 5 วันท่มี กี ารระบาด 5. การปฏิบัตกิ ่อนและหลังการเกบ็ เกี่ยว 5.1 เกบ็ เกย่ี วเมอื่ อายปุ ระมาณ 240 - 300 วนั โดยเกบ็ ในระยะทผี่ ลเรมิ่ เปลยี่ นสเี ปน็ สสี ม้ เรอ่ื ๆ เปน็ ระยะทผ่ี ลแกแ่ ตย่ งั ไมส่ กุ (ผลแกจ่ ดั สกุ แดง) ควรสวมถงุ มอื ในการเกบ็ เกย่ี ว เนอ่ื งจากตน้ มะแวง้ เครอื มีหนามแหลมคม 5.2 นำ� ผลผลติ ทเี่ กบ็ ไดม้ าลา้ งนำ้� ใหส้ ะอาด ลวกนำ�้ รอ้ นเพอ่ื ใหส้ ผี ลไมด่ ำ� คลำ�้ ผง่ึ ใหห้ มาด และนำ� ไป ตากแดดใหแ้ หง้ สนทิ หรอื ทำ� แหง้ โดยการอบดว้ ยเครอ่ื งอบแหง้ โดยใชอ้ ณุ หภมู กิ ารอบ 80 องศาเซลเซยี ส 2 ชวั่ โมงแรก อณุ หภมู ิ 75 องศาเซลเซยี ส 2 ชวั่ โมงตอ่ มา และอณุ หภมู ิ 60 องศาเซลเซยี สอกี 2 ชวั่ โมง 5.3 หลังการเกบ็ เก่ียวผลผลิต ใหต้ ัดแตง่ กิ่งท่ีแห้งออก และใสป่ ุ๋ยคอก 6. ขอ้ มูลอ่นื ๆ 6.1 มะแวง้ เครอื ชอื่ วทิ ยาศาสตรว์ า่ Solanum trilobatum Linn. และ มะแวง้ ตน้ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ วา่ Solanum indicum Linn. ทงั้ 2 ตน้ นมี้ สี รรพคณุ คลา้ ยคลงึ กนั ใชแ้ ทนกนั ได้ ทต่ี า่ งกนั คอื มะแวง้ ตน้ เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1 เมตร มะแว้งเครือ เป็นไม้เลื้อย ล�ำต้นมีหนาม มะแว้งเครือนิยมใช้ ในผลิตภณั ฑ์ยาแกไ้ อแผนโบราณ 6.2 สารส�ำคัญ ผลมะแว้งมีวิตามินเอและมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์ชื่อ Solanine, Solnidine และสารทีท่ �ำใหผ้ ลมะแวง้ มคี วามขม คอื Tomatid 5-en-3-ol 6.3 สรรพคุณ: ผลสด แกไ้ อ ขับเสมหะ 6.4 การใช้ประโยชน์ มะแว้งเป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์ยาแก้ไอ ยาประสะมะแว้งเป็น ยาสามญั ประจำ� บ้านแผนโบราณ สำ� หรบั ใชแ้ กไ้ อ ขับเสมหะ 109

ข้อมูลสภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและให้ผลผลิตของมะแวง้ เครอื สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม 1. สภาพภมู ิอากาศ - อณุ หภมู ปิ ระมาณ 30 - 35 องศาเซลเซยี ส 1.1 อุณหภูมิ - ความชน้ื สมั พทั ธร์ ะหวา่ ง 60 - 80% 1.2 ความช้นื สมั พทั ธ์ - แดดจดั เตม็ วนั 1.3 แสง 2. สภาพพืน้ ท่ี 2.1 ความสูงจากระดบั น�้ำทะเล - มีความสูงจากระดบั น�้ำทะเล 400 - 1000 เมตร 3. สภาพดนิ - ดนิ รว่ นซุย 3.1 โครงสร้างดนิ - มีอนิ ทรียวัตถุไมน่ ้อยกวา่ 3.5% 3.2 อทิ รยี วัตถุ - ระบายนำ�้ ดี ไมท่ ่วมขัง 3.3 การระบายน�้ำ - นำ้� ทใ่ี ช้เปน็ น้�ำสะอาดไม่มสี ารเคมีปนเปอ้ื น 4. สภาพนำ้�

แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลติ และแหล่งสืบค้นข้อมูลเพม่ิ เตมิ แนวทางการเพม่ิ ประสิทธิภาพการผลิต การเก็บเกย่ี วเพ่อื ให้มีคณุ ภาพดี - เกบ็ เกย่ี วเมอ่ื ผลมลี กั ษณะแกแ่ ตย่ งั ไมส่ กุ ผวิ ผลเรม่ิ เปลย่ี นเปน็ สเี หลอื งอมสม้ จะใหส้ ารสำ� คญั สงู สดุ - ไมเ่ กบ็ ผลอ่อนหรอื แกส่ ุกแดงเกินไปซึ่งจะมสี ดี �ำคล้�ำเม่ือท�ำแหง้ และคุณภาพไม่ดี - การลวกนำ้� ร้อนจะทำ� ใหไ้ ดผ้ ลมะแว้งท่มี ีสสี ด การบำ� รงุ ต้นหลงั เกบ็ เก่ียว - หลงั จากเกบ็ เกยี่ วผลผลติ แลว้ ใหต้ ดั แตง่ ตน้ และใสป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ห์ รอื ปยุ๋ คอก เพอ่ื บำ� รงุ ตน้ ทกุ ครง้ั แหล่งสบื คน้ ข้อมูลเพม่ิ เตมิ สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก, เอกสารคมู่ อื การปลกู สมุนไพรทีเ่ หมาะสม. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งค์การสงเคราะหท์ หารผ่านศึก. 2553. สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก, เอกสารคมู่ อื การปลกู พชื สมนุ ไพรเศรษฐกจิ . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั สง่ สนิ คา้ และพสั ดภุ ณั ฑ.์ 2548. สถาบนั การแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์, ไมร้ ิมร้ัว. พิมพค์ ร้งั ที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พอ์ งคก์ าร สงเคราะหท์ หารผ่านศึก. 2542. ดสิ ทัต โรจนาลกั ษณ์, ปลูกยารักษาป่า (2). พิมพค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ที ควิ พี จ�ำกดั . 2555 กองส่งเสรมิ พชื สวน กรมส่งเสรมิ การเกษตร, เอกสารคมู่ อื การปลกู สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศ ชดุ ท่ี 1. พิมพค์ ร้ังที่ 3. กรุงเทพฯ : 2545. 111

วา่ นหางจระเข้ ข้ันตอนการปลูกและการดแู ลรกั ษาว่านหางจระเข้ การเตรียมการ 1 เดอื น 2 เดือน 3 เดอื น 4 เดือน 5 เดอื น 6 เดอื น การเตรียมดิน การปลูก การให้นำ้� การกำ�จดั วัชพืช การเก็บเกย่ี ว - ไถ พรวนดนิ แลว ยกรอ ง - ขุดหลุมลึกประมาณ 10 - 20 - ชว่ งเดอื นแรกใหน้ ำ�้ - ทกุ 15 - 20 วนั โดยการ - เกบ็ เกยี่ วใบไดห ลงั ปลกู 6 - 8 เดอื น สูง 50 - 60 เซนติเมตร เซนติเมตร ใส่ใบไม้แห้ง ปุ๋ยคอก ทกุ วนั หลังจากต้น ตดั และดายหญา้ - เกบ็ ใบลา งขนึ้ ไปโดยสงั เกตเนอ้ื วนุ กวา ง 1.30 เมตร ตามความยาว หรือปยุ๋ หมกั เลก็ นอ้ ย เสรจ็ แลว้ ให้ ตดิ ดินให้นำ้� น้อยลง - ไม่ควรใช้ยาฆ่าหญ้า ทโี่ คนใบดา นในเตม็ และลายทใี่ บ ของพนื้ ที่ ระยะหา งระหวา่ งรอ ง กลบดนิ บางๆ แลว้ กลบอกี ชนั้ ใหแ้ นน่ - ควรรดน้าํ แบบ หรอื ใชส้ ารเคมโี ดยเดด็ ขาด ลบหมดแลว ระวงั อยา ใหใ บวา นชาํ้ 50 เซนตเิ มตร พออยตู่ วั นำ� ตน้ วา่ นหางจระเขล้ งปลกู เป็นฝอยกระจาย จะท�ำให้ต้นว่านตายง่าย - เกบ็ เกย่ี วไดป ล ะ 8 ครงั้ - ระยะระหวา่ งตน และระหวา งแถว สมำ่� เสมอ และพอเพยี ง ไมเ่ ตบิ โตและสารพษิ สะสม การเตรยี มพนั ธุ์ 50 x 70 เซนติเมตร ในฤดูร้อนควรรดนาํ้ ตกคา้ งในใบวา่ นหางจระเข้ แยกหนอ ขนาดหนอ สงู ใหไหลตามร่องแปลง การใสป่ ุ๋ย ห้ามใหนํ้าโดยการ 10 - 15 เซนตเิ มตร - ใสปุยคอกเดือนละครัง้ อัตรา รดนาํ้ หรอื เทราดเดด็ ขาด 1 - 1.5 ตนั ต่อไรต่อปี - ปยุ๋ เคมี สตู ร 30 - 5 - 5 แบง่ ใส่ 2 เดอื น ตอ่ ครงั้ อัตรา 60 กิโลกรมั ต่อไรต่ อ่ ป ี ศัตรูท่ีส�ำคญั และการป้องกนั ก�ำจัด การปฏิบัตหิ ลังการเกบ็ เกี่ยว - โรคโคนเนา่ จากเชอ้ื รา ลดการใหน้ ้�ำปริมาณมาก อยา่ ให้นำ้� - ตัดใบตามทโี่ รงงานก�ำหนด ต้นละ 2-5 ใบต่อคร้งั ตามเกณฑ์การรบั ซือ้ วา่ นหางจระเข้ ท่วมขงั หรอื งดการปลูกซ้ำ� ในทีเ่ ดมิ หลายๆ ครง้ั เพอ่ื สง่ โรงงานอตุ สาหกรรม ใบตอ้ งมนี ำ�้ หนกั ตง้ั แต่ 0.5 กโิ ลกรมั มอี ายตุ งั้ แต่ 8 เดอื นถงึ 1 ปีข้ึนไป มีล�ำต้นอวบใหญ่ ใบกว้างตั้งแต่ 2 เซนติเมตร ขอบใบมีหนามแหลมสด ใบเขียวสด แน่น ไมช่ ้ำ� ไมม่ บี าดแผล หลังจากทตี่ ัดใบว่านหางจระเข้ นำ� ส่งโรงงานทนั ที

เทคนิคการปลกู และดแู ลรกั ษาว่านหางจระเข้ 1. การเตรยี มการกอ่ นปลูก 1.1 การเตรียมดิน ควรเปน็ ดนิ ปนทราย คลา้ ยดนิ ลกู รงั มคี วามโปรง่ ในดนิ พอสมควร พนื้ ทรี่ ะบายนำ�้ ไดด้ ี เปน็ ท่ี ท่ไี มม่ ีรม่ เงา ไถพลิกดนิ ตากแดดไว้ ประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วยกร่องสงู ประมาณ 50 - 60 เซนตเิ มตร กว้าง 1.30 เมตร ระยะหา่ งระหวา่ งแถว 50 เซนติเมตร 1.2 การเตรียมพนั ธ์ุ - พันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูกและใช้เพ่ือการแปรรูปทางอุตสาหกรรม คือพันธุ์ Aloe Barbadensis Mill. - การขยายพนั ธุว์ ่านหางจระเข้ สามารถทำ� ได้หลายวธิ ี เชน่ การแยกหน่อ การตัดเหง้า การปักช�ำยอด และการเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือ แต่วิธีท่ีเป็นท่ีนิยมและสะดวกที่สุด คือการขยายพันธุ์ ดว้ ยวธิ กี ารแยกหน่อ - ใช้หน่อของว่านหางจระเข้ จากต้นแม่ที่มีความสูงประมาณ 20 เซนติเมตร ใช้มีดตัด ออกจากต้นและวางไวใ้ นท่ีรม่ เยน็ 7 - 10 วนั จนกว่ารอยตดั แห้งไปโดยธรรมชาติ แลว้ จึงน�ำไปปลกู 2. การปลูก 2.1 วิธปี ลูก ขดุ หลมุ ลกึ ประมาณ 10 - 20 เซนติเมตร ใสใ่ บไม้แห้งหรอื ปยุ๋ คอกหรอื ป๋ยุ หมกั เล็กนอ้ ย นำ� ตน้ พนั ธล์ุ งปลกู กลบดนิ เสมอโคนตน้ เสรจ็ แลว้ ใหก้ ลบดนิ บางๆ แลว้ กลบอกี ชน้ั ใหแ้ นน่ พออยตู่ วั 2.2 ระยะปลกู ระยะระหวางตน และระยะระหวา งแถว 50 x 70 เซนตเิ มตร 2.3 จำ� นวนต้นต่อไร่ 4,000 – 5,000 ต้น 113

3. การดแู ลรกั ษา 3.1 การใส่ปุ๋ย การใหป้ ยุ๋ ปุ๋ยทใ่ี ช้กบั ตน้ ว่านหางจระเขค้ วรเป็นป๋ยุ คอกหรือปุย๋ หมกั สว่ นระยะการให้ปยุ๋ ใหพ้ จิ ารณาดจู ากความเจรญิ เตบิ โตของตน้ วา่ นหางจระเข้ อยา่ ใหป้ ยุ๋ มากเกนิ ไปตน้ วา่ นหางจระเข้ จะเนา่ ได้ ควรใสป่ ยุ๋ คอกเดอื นละครง้ั ปรมิ าณไรล่ ะ 1 - 1.5 ตนั ต่อป ี ปยุ๋ วทิ ยาศาสตร์ สตู ร 30 - 5 - 5 แบง่ ใส่ 2 เดอื นต่อครง้ั อตั รา 60 กโิ ลกรมั ตอ่ ไรต่ ่อปี 3.2 การใหน้ ำ�้ ฤดูฝนไม่จ�ำเปน็ ต้องรดนำ้� ถ้าฤดูแลง้ ควรรดวนั ละ 1 - 2 ครง้ั ให้ดนิ ชมุ่ ช้ืนอย่เู สมอ แตต่ อ้ ง ระวงั อยา่ รดจนดินแฉะเกนิ ไป ควรให้น�้ำแบบเป็นฝอยกระจาย สม�่ำเสมอและเพยี งพอ หา้ มใหน้ ้�ำ โดยวธิ รี ดหรอื เทราดอยา่ งเดด็ ขาด เนอ่ื งจากนำ้� จะเขา้ ไปขงั อยภู่ ายในบรเิ วณโคนกาบใบ เมอื่ ถกู แสงแดด เผารอ้ นจดั จะท�ำใหร้ ้อนลวกใบว่าน ใบจะเน่าและตน้ ตาย 4. การป้องกนั และกำ� จดั ศัตรพู ชื โรคโคนเนา่ เกิดจากเชื้อรา มีสาเหตุส�ำคัญมาจากปัญหาน�้ำท่วมขัง การให้น้�ำในปริมาณมาก หรอื การปลกู ซ้�ำในท่ีเดมิ หลายๆ ครั้ง ทำ� ให้เกดิ การสะสมของเช้ือโรค 5. การปฏิบัติกอ่ นและหลงั การเกบ็ เกย่ี ว 5.1 การเก็บเกี่ยว เริ่มปลูกประมาณเดือนกุมภาพันธุ์ – มีนาคม ใช้เวลาปลูกถึงเก็บเก่ียวครั้งแรกประมาณ 6 - 8 เดอื น จากนนั้ สามารถเกบ็ ผลผลติ ไดป ล ะ 8 ครง้ั ซงึ่ วา่ นหางจระเขส้ ว่ นใหญจ่ ะมอี ายกุ ารใหผ้ ลผลติ เฉล่ียประมาณ 4 - 5 ปี 5.2 วิธีเกบ็ เกีย่ ว ตดั ใบตามทโี่ รงงานกำ� หนด ตน้ ละ 2 - 5 ใบตอ่ ครงั้ เกบ็ ใบลา งขน้ึ ไปโดยสงั เกตเนอื้ วนุ ทโี่ คนใบ ดา นในเตม็ และลายทีใ่ บลบหมดแลว ระวังอยาใหใบวานช้ํา เกณฑ์การรับซ้ือว่านหางจระเข้เพ่ือส่งโรงงานอุตสาหกรรม ก�ำหนดท่ีน�้ำหนัก อายุ และ ลกั ษณะ คอื ใบวา่ นตอ้ งมีน�ำ้ หนกั ตงั้ แต่ 0.5 กิโลกรมั มอี ายุตัง้ แต่ 8 เดอื นถงึ 1 ปขี ้ึนไป มีล�ำต้น อวบใหญ่ ใบกวา้ งตงั้ แต่ 2 เซนตเิ มตร ขอบใบมหี นามแหลมสด ใบเขยี วสด แนน่ ไมช่ �้ำ ไมม่ บี าดแผล 5.3 การปฏิบัตหิ ลงั เกบ็ เกี่ยว โดยทัว่ ไปหลงั จากทีต่ ัดใบวา่ นหางจระเขแ้ ลว้ จะนำ� ส่งโรงงานทนั ที แต่ถา้ ยังไมส่ ง่ ใหน้ ำ� ใบ วา่ นหางจระเขม้ าตงั้ เฉยี งๆ จะสามารถเกบ็ ไดป้ ระมาณ 1 อาทติ ย์ และเมอื่ จะนำ� ไปสง่ โรงงานกใ็ หใ้ ชม้ ดี ตดั โคนและปลายของใบว่านหางจระเข้กอ่ นน�ำสง่ 114

6. ขอ้ มูลอ่นื ๆ 6.1 สารสำ� คญั ในวุ้นวา่ นหางจระเข้ ไดแ้ ก่ สารอโลคูติน และสารอะลอคตนิ เอ มฤี ทธใิ์ นการฆ่าเชอ้ื โรค และสลายพษิ ของเชื้อโรค สารอโลมิซนิ เปน็ สารทส่ี ามารถระงับการขยายตวั ของเชือ้ ไวรสั และโรคมะเรง็ ได้ สารโพลีแซคคาไรด์ ช่วยกระตุ้นการสมานแผลได้ สารบารบ์ าโลอิน มีฤทธใ์ิ นทางระงบั เชอ้ื วณั โรค ยางเหลืองในส่วนของเปลอื กใบ มีสาร สารแอนทราควโิ นน มฤี ทธใิ์ นการฆา่ เชอื้ โรค เปน็ ยาระบายออ่ นๆ ประกอบดว้ ยสารหลาย ชนดิ เชน่ อะโลอโี มดิน (Aloe-Emodin) มีฤทธิ์ยับยง้ั การเจรญิ ของเน้อื งอก, อะโลซิน (Aloesin) มี ฤทธิช์ ว่ ยสมานแผล, อะโลอิน (Aloin) มีฤทธ์ิในการฆ่าเช้ือโรคและเชอื้ รา เปน็ ต้น 6.2 การใช้ประโยชน์ น้�ำจากวนุ้ ใบรักษาแผลสดภายนอก นำ้� ร้อนลวก ไฟไหม้ ท�ำใหแ้ ผลเปน็ จางลง ดับพษิ รอ้ น ทาผวิ ปอ้ งกนั อาหารไหมจ้ ากแสงแดด ปจั จบุ นั ผลติ ภณั ฑจ์ ากวา่ นหางจระเขใ้ ชใ้ น อาหาร เครอ่ื งสำ� อาง อาหารเสรมิ สขุ ภาพ และเครื่องด่มื 115

ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตและใหผ้ ลผลิตของว่านหางจระเข้ สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จ�ำกดั 1. สภาพภมู อิ ากาศ - เจรญิ เตบิ โตไดด้ ที อี่ ณุ หภมู ิ ระหวา่ ง 30 – 35 องศาเซลเซยี ส 1.1 อณุ หภมู ิ - ความชนื้ สมั พทั ธ์ ระหวา่ ง 60 - 80 % 1.2 ความช้นื สัมพัทธ์ - ตอ้ งการแสงรำ� ไรถงึ ปานกลาง 1.3 ความตอ้ งการแสง - ปรมิ าณนำ�้ ฝนเฉลย่ี ไมต่ ำ�่ กวา่ 1,200 – 2,500 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี 1.4 ปรมิ าณน้�ำฝน 2. สภาพพ้นื ท่ี - เป็นพน้ื ทด่ี อน ไม่มนี ้ำ� ขัง หรือควบคมุ น�้ำไดด้ ี 3. สภาพดนิ - ดินทราย ดินร่วน ดนิ รว่ นปนทราย 3.1 โครงสร้างของดิน - เป็นดินทม่ี อี นิ ทรยี วัตถุอดุ มสมบรู ณ์ 3.2 ปริมาณอนิ ทรียวัตถุ - เปน็ ดนิ ทีม่ ีการระบายนํา้ ดี 3.3 ลกั ษณะของดิน 4. สภาพน้�ำ - มคี วามสะอาด ไมม่ สี ารอนิ ทรยี แ์ ละสารอนนิ ทรยี ท์ เี่ ปน็ พษิ ปนเปอ้ื น - การปลกู ในทที่ มี่ ปี รมิ าณนำ้� ฝนนอ้ ยหรอื ฝนทง้ิ ชว่ ง - มคี า่ โลหะหนกั เชน่ สารหนู ไมเ่ กนิ 0.25 มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลติ ร, แคดเมยี ม ตอ้ งจัดเตรยี มระบบการให้นำ�้ หรือชลประทาน ไม่เกนิ 0.03 มิลลกิ รัมตอ่ ลิตร, ตะกว่ั ไมเ่ กนิ 0.1 มลิ ลิกรัมตอ่ ลิตร

แนวทางการเพิ่มประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหลง่ สบื คน้ ข้อมูลเพิม่ เติม แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธิภาพการผลติ 1. ชว่ งเวลาเกบ็ เกย่ี วทเี่ หมาะสม คอื เวลาสายหรอื เยน็ ถา้ เกบ็ ชว่ งเชา้ จะมคี วามชนื้ คา้ งอยู่ ระหว่างบรรทกุ ใบวา่ นหางจระเขส้ ง่ โรงงานอาจจะทำ� ให้ใบเน่าได้ 2. สภาพพน้ื ทป่ี ลกู ตอ้ งมกี ารจดั การระบายนำ้� ดี สภาพนำ้� ขงั หรอื การใหป้ ยุ๋ มากเกนิ ไป ทำ� ให้ ใบและตน้ เนา่ ดนิ แขง็ ไมร่ ว่ น การขาดปยุ๋ หรอื ขาดการปรบั ปรงุ ดนิ จะทำ� ใหต้ น้ เจรญิ เตบิ โตชา้ และหากมแี สงมากเกนิ ไปใบจะเป็นสีน้�ำตาลอมแดง ไม่ไดค้ ุณภาพ 3. การไว้หน่อเพื่อท�ำพันธุ์ ไม่ควรเกิน 2 หน่อต่อต้น และให้ไว้หน่อท่ีอยู่ด้านตรงกันข้าม ไมค่ วรไวห้ นอ่ ที่อยู่ใกลก้ ัน การไวห้ นอ่ มากจะท�ำให้ตน้ แม่มกี ารเจริญเติบโตช้า แหล่งสืบคน้ ขอ้ มลู เพิม่ เตมิ สำ� นกั วจิ ยั เศรษฐกจิ การเกษตร. 2549. การศกึ ษาวจิ ยั เศรษฐกจิ สมนุ ไพรไทยกรณศี กึ ษา : วา่ นหางจระเข้ ฟ้าทะลายโจร ตะไคร้หอม และไพล. สำ� นักงานเศรษฐกิจการเกษตร. http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-4/no05/viti1.html http://www.pantown.com/board.php?id=33721&area=3&name=board33&topic=3&action=view http://smallkitchengarden.blogspot.com/2010/01/blog-post_18.html http://gotoknow.org/blog/tapee/407502 http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/herb_gar/herb3.pdf 117

สะเดา ข้นั ตอนการปลกู และการดูแลรักษาสะเดา การเตรยี มการ 1 เดอื น 2 - 59 เดอื น 60 เดือน การเตรยี มดนิ การปลกู การใส่ปุ๋ย การใหน้ ำ�้ - ไถพรวนใหด้ นิ รว่ น - ระยะปลกู 4 x 4 หรอื 6 x 6 เมตร - ในชว่ งตน้ ของฤดเู จรญิ เตบิ โต - หลงั ปลกู ตอ้ งใหน้ ำ้� อยา่ ง - หากวชั พชื ไมม่ าก - ขุดหลุมปลูกขนาด พรวนดินรอบๆ โคนต้น ตอ่ เนอื่ ง 1 - 2 เดอื น ขดุ หลมุ ปลกู ไดเ้ ลย 25 x 25 x 25 เซนติเมตร ใสป่ ยุ๋ เคมสี ตู ร 15 - 15 - 15 - หลงั จาก 2 เดอื นไปแลว้ - รองกน้ หลุมด้วยปุ๋ยคอก หรอื 20 - 20 - 20 ประมาณ ปลอ่ ยตามธรรมชาตอิ าศยั การเตรียมพนั ธุ์ 4 - 5 หลุมตอ่ ป๊บี และปุ๋ยเคมี 1 ช้อนชาตอ่ ต้น นำ้� ฝนเปน็ หลกั - การใชเ้ มลด็ และการปกั ชำ� ราก สูตร 15 - 15 - 15 อตั รา - ตดั รากทข่ี ดุ มาจากแมไ่ มเ้ ปน็ 1 ชอ้ นโต๊ะต่อหลุม การกำ�จัดวัชพชื การเก็บเกย่ี ว ทอ่ นๆ ยาวประมาณ 5 - 10 - ยา้ ยกล้าลงปลูก 1 ตน้ - ควรกำ� จดั วชั พชื ในระยะ - ควรเกบ็ ผลสะเดาทร่ี ว่ งหลน่ อยใู่ ตต้ น้ เซนตเิ มตร เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ต่อ 1 หลมุ แรกปลกู ถงึ 2 เดอื น หรอื เกบ็ ผลสกุ สเี หลอื งจากกง่ิ กไ็ ด้ ประมาณ 3 - 5 เซนตเิ มตร อยา่ ปลอ่ ยทง้ิ ผลสะเดาทรี่ ว่ งบนดนิ ชำ� ลงในแปลงเพาะ รดนำ้� ใหช้ มุ่ นานเกนิ ไป - โดยใชเ้ วลา 1 เดอื น จะแตกหนอ่ ใหม่ ใหย้ า้ ยชำ� ลงในถงุ พลาสตกิ ศตั รูที่ส�ำคญั และการปอ้ งกนั ก�ำจัด การปฏบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกีย่ ว - ในระยะกล้า พบโรคใบจุดสีน้�ำตาล ท�ำให้ใบสะเดาร่วง - นำ� มาตากแดดประมาณ 2 - 3 สปั ดาห์ จนเปลอื กสะเดา และตน้ กล้าจะตาย แห้งเปน็ สนี ้�ำตาล จึงนำ� มาผึ่งในร่มประมาณ 2 - 4 สปั ดาห์ - ไรสนมิ จะเขา้ ทำ� ลายสะเดาตง้ั แตร่ ะยะตน้ กลา้ จนถงึ ระยะ เพื่อใหเ้ มลด็ ในแห้งสนทิ ทใี่ หด้ อกตดิ ผล ทำ� ใหใ้ บหงกิ งอ แคระแกรน็ และรว่ ง อาการ - เก็บบรรจุในถุงตาข่ายพลาสติกหรือกระสอบป่าน (ยกเว้น จะเหน็ ดา้ นลา่ งของใบเปน็ รอยขดี สนี ำ้� ตาล ถา้ เปน็ มากควรใช้ กระสอบปยุ๋ ) ซงึ่ สามารถวางซอ้ นกนั ได้ โดยมแี ผน่ ไมว้ างขา้ งลา่ ง สารปยุ๋ ฆา่ ไร เพ่อื ปอ้ งกนั ความชื้นจากดิน

เทคนิคการปลูก และดแู ลรกั ษาสะเดา 1. การเตรยี มการกอ่ นปลกู 1.1 การเตรียมดนิ 1) ไถพรวนดนิ ก่อนเพ่ือป้องกนั วชั พชื 2) หากวชั พชื มไี ม่มาก ขุดหลมุ ปลกู ไดเ้ ลย 1.2 การเตรยี มพนั ธุ์ 1) โดยใชเ้ มลด็ และเมล็ดงอกปลกู ในพื้นทโี่ ดยตรง หรอื ปลูกดว้ ยกล้าช�ำในถงุ พลาสตกิ 2) การช�ำราก ตัดรากที่ขุดมาจากแม่ไม้เป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 5 - 10 เซนติเมตร ขนาดความโตเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 3 - 5 เซนตเิ มตร ชำ� ลงในแปลงเพาะ รดนำ้� ใหช้ มุ่ ประมาณ 1 เดอื น หน่อกจ็ ะแตกออกมา แลว้ ย้ายช�ำลงในถุงพลาสตกิ 2. การปลูก 2.1 วิธปี ลูก กรดี ถงุ พลาสตกิ ออกแลว้ วางตน้ กลา้ ลงในระดบั โคนตน้ ตำ่� กวา่ ผวิ ดนิ เลก็ นอ้ ยแลว้ กลบดนิ ใหแ้ นน่ รดนำ�้ ใหช้ ุม่ 2.2 การเตรยี มดนิ ขดุ หลุมกว้าง 25 x 25 x 25 เซนตเิ มตร รองก้นหลุมดว้ ยปุย๋ คอก 4 - 5 หลมุ ต่อปี๊บ ใส่ปยุ๋ สูตร 15 - 15 - 15 หลมุ ละ 1 ช้อนโตะ๊ กลบดนิ ช้ันหน้าลงแล้วคลกุ กบั ป๋ยุ คอกกน้ หลุม 2.3 ระยะปลกู 4 x 4 หรือ 6 x 6 เมตร 2.4 จำ� นวนต้นตอ่ ไร่ 100 หรอื 44 ต้นตอ่ ไร่ 3. การดูแลรักษา 3.1 การใส่ปุ๋ย ใสป่ ยุ๋ เคมสี ตู ร 15 - 15 - 15 หรอื 20 - 20 - 20 ประมาณ 1 ชอ้ นชาตอ่ ตน้ โดยการพรวนดนิ รอบๆ โคนตน้ แลว้ โรยปุ๋ยตามรอย ในชว่ งตน้ ของฤดูเจรญิ เติบโต 3.2 การให้นำ�้ ปลอ่ ยตามธรรมชาตอิ าศัยน้�ำฝนเป็นหลัก 119

4. การป้องกันและกำ� จัดศตั รพู ชื 4.1 วัชพืช : ควรก�ำจัดวัชพืชในระยะแรกปลกู ถึง 2 เดอื น 4.2 โรค : พบโรคท่ีสำ� คัญในระยะกล้า คอื โรคใบจดุ สีน�ำ้ ตาล ทำ� ให้ใบสะเดารว่ งและตน้ กลา้ จะตายในท่สี ุด 4.3 แมลง : ไรสนมิ จะเขา้ ทำ� ลายสะเดาตงั้ แตร่ ะยะตน้ กลา้ จนถงึ ระยะทใ่ี หด้ อกตดิ ผล ทำ� ใหใ้ บหงกิ งอ แคระแกรน็ และรว่ งในทสี่ ดุ ลกั ษณะการทำ� ลายคลา้ ยๆ กบั อาการของเพลยี้ ไฟ จะเหน็ ดา้ นลา่ งของใบ เปน็ รอยขดี สีนำ้� ตาล ถ้าเป็นมากควรใช้สารปุ๋ยฆา่ ไร 5. การปฏบิ ตั ิกอ่ นและหลงั การเก็บเก่ยี ว 5.1 เกบ็ เกยี่ วผลสะเดา ควรเกบ็ ผลสะเดาทรี่ ว่ งหลน่ อยใู่ ตต้ น้ หรอื เกบ็ ผลสกุ สเี หลอื งจากกง่ิ กไ็ ด้ อย่าปลอ่ ยทิง้ ผลสะเดาที่รว่ งบนดินนานเกินไป 5.2 การปฏบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกยี่ ว นำ� มาตากแดดประมาณ 2 - 3 สปั ดาห์ จนเปลอื กสะเดาแหง้ เปน็ สนี �ำ้ ตาล จึงน�ำมาผึ่งในร่มประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ เพ่ือใหเ้ มลด็ ใน (Kernel) แห้งสนิท เก็บบรรจุ ในถงุ ตาขา่ ยพลาสตกิ หรอื กระสอบปา่ น (ยกเวน้ กระสอบปยุ๋ ) ซงึ่ สามารถวางซอ้ นกนั ได้ โดยมแี ผน่ ไม้ วางขา้ งลา่ งเพอ่ื ปอ้ งกนั ความชนื้ จากดิน 6. ข้อมูลอื่นๆ 6.1 สารส�ำคัญ - มีบิทเทอร์ พลิ้นซิปเปิล (bitter principle) เปลือกต้นมีสารนิมบิน (nimbin), ดีแซคเซทิลนมิ บลิ (desacetylnimbin) - ในใบมเี คอรเซตนิ (quercetin) และสารพวก ลมิ โมนอยด์ (limonoid) ไดแ้ ก่ นิมโบไลด์ (nimbolide) สามารถฆา่ เชอ้ื มาเลเรยี ชนดิ ฟลั ซปิ ารม์ ซงึ่ เชอื้ สายพนั ธนุ์ ดี้ อื้ ตอ่ ยาคลอโรควนี ในหลอดทดลอง - ในเมลด็ มี อะซาดแิ รคตนิ (azadirachtin) ประมาณ 0.4 - 1 % และพวกควนิ โนน (quinone) 6.2 การใชป้ ระโยชน์ - ใชป้ อ้ งกนั และกำ� จดั เชอ้ื รา เชอ้ื แบคทเี รยี ไดด้ ี และยงั ปอ้ งกนั ขบั ไลแ่ มลงทกุ ๆ ชนดิ ไดผ้ ลดมี าก - น�ำเมล็ดแก่ประมาณ 1 กิโลกรมั มาบดและแช่น้ำ� 1 ปบี๊ หมักคา้ งคืน จงึ นำ� น้�ำหมัก มาใช้ฉดี ฆ่าแมลงไดห้ ลายชนดิ - นำ� ใบประมาณ 1 - 2 กโิ ลกรมั มาบดและแชน่ ำ้� 1 ปบ๊ี หมกั คา้ งคนื จงึ นำ� นำ�้ หมกั มาใชฉ้ ดี ไล่แมลงในแปลงปลูกผกั ได้ผลดี เนอื่ งจากใบสะเดามีกลนิ่ ฉุนรุนแรง 6.3 ขอ้ จ�ำกดั - สารสกัดสะเดาไม่สามารถฆา่ แมลงไดท้ กุ ชนิด โดยเฉพาะแมลงทอ่ี ยใู่ นตัวเต็มวยั - ในช่วงที่เกิดการระบาดของแมลงอย่างรุนแรง การใช้สารสกัดสะเดาเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถลดความเสยี หายได้ทนั ที 120

ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลิตของสะเดา สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ข้อจ�ำกัด 1. สภาพภมู ิอากาศ - รอ้ นชน้ื อณุ หภมู ปิ ระมาณ 25 - 30 องศาเซลเซยี ส 1.1 อณุ หภมู ิ - เฉลย่ี 60 - 80% 1.2 ความชน้ื สัมพัทธ์ - แดดจดั เตม็ วนั 1.3 แสง - ปรมิ าณนำ้� ฝนอยรู่ ะหวา่ ง 450 - 1,150 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี 1.4 นำ�้ 2. สภาพพื้นท่ี - มคี วามสูงระหว่าง 50 - 1500 เมตร เหนือระดบั น�ำ้ ทะเล 3. สภาพดนิ - ดนิ ทกุ ชนิด - ดนิ ทมี่ นี ำ�้ ขงั หรอื ในสภาพดนิ เคม็ หรอื เปน็ กรด - ดา่ งจดั 3.1 ประเภทดนิ 3.2 อินทรียวัตถุ - มอี ินทรยี วัตถุไม่นอ้ ยกว่า 3.5% 3.3 ความเปน็ กรด/ดา่ งของดนิ (pH) - 6.2 - 6.5 3.4 การระบายน�้ำ - ระบายน�้ำดี ไม่ทว่ มขงั 4. ธาตุอาหาร - อุดมสมบรู ณ์ 5. สภาพนำ�้ - ให้น้�ำตามสภาพแวดล้อม - น�้ำท่ีใช้เป็นนำ�้ สะอาดไมม่ ีสารเคมปี นเปอ้ื น

แนวทางการเพ่มิ ประสิทธิภาพการผลติ และแหลง่ สบื ค้นขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ แนวทางการเพ่มิ ประสิทธิภาพการผลิต 1. เทคนคิ ให้ความงอกของเมลด็ มอี ายุนานขึน้ ควรเพาะเมล็ดไม่เกิน 1 เดือนภายหลังท่ีเก็บเมล็ด การเก็บเมล็ดไว้ในที่เย็นจะท�ำให้ เปอรเ์ ซน็ ตค์ วามงอกลดลง แตม่ ผี รู้ ายงานวา่ ถา้ เกบ็ เมลด็ ทม่ี คี วามชนื้ ตำ่� กวา่ 8 เปอรเ์ ซน็ ตไ์ วใ้ นตแู้ ชแ่ ขง็ จะทำ� ให้ความงอกของเมล็ดมีอายยุ นื นานถึง 2 ปี 2. เทคนิคการช่วยใหส้ ะเดาติดดอกออกผลเรว็ ขนึ้ เนอื่ งการการปลกู สะเดาโดยใชเ้ มลด็ ตอ้ งใชเ้ วลานานไมต่ ำ่� กวา่ 5 ปี จงึ จะไดผ้ ล การตอนกง่ิ การทาบกง่ิ หรอื เสยี บยอด จะชว่ ยใหส้ ะเดาตดิ ดอกออกผลเรว็ ขนึ้ การชำ� รากจากตน้ สะเดาทม่ี อี ายมุ ากๆ เช่น 10 - 20 ปี ก็เป็นอีกวิธีหนึง่ ท่ที ำ� ใหก้ ารออกดอกตดิ ผลเรว็ ขึน้ 3. เทคนิคการใชป้ ระโยชนใ์ ห้ไดผ้ ลดี เนอ่ื งจากสารสกดั สะเดาไมอ่ อกฤทธใิ์ นการทำ� ใหแ้ มลงตายทนั ที ควรเรม่ิ พน่ กอ่ นทแี่ มลงจะระบาด คอื พ่นเพอ่ื ปอ้ งกันการท�ำลายของแมลงก่อน และทำ� การฉดี ตดิ ตอ่ กันเปน็ เวลา 3 - 4 ครงั้ โดยเว้น ระยะหา่ ง 5 - 7 วัน จากนั้นสามารถเวน้ ระยะพ่นหา่ งไปไดข้ ึน้ อยู่กับปรมิ าณแมลง แหลง่ สบื ค้นขอ้ มลู เพ่ิมเติม กองสง่ เสรมิ พชื สวน กรมสง่ เสรมิ การเกษตร, เอกสารคมู่ อื พชื สวนเศรษฐกจิ . พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกดั . 2543. กองแผนงานและวชิ าการ กรมวชิ าการเกษตร, พชื ฆา่ แมลงและพชื มพี ษิ บางชนดิ ในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำกัด. 2546. ขวญั ชยั สมบตั ศิ ริ .ิ 2542. หลกั การและวธิ กี ารใชส้ ะเดาปอ้ งกนั ก�ำจดั แมลงศตั รพู ชื . เอกสารเผยแพร่ ทางวชิ าการ ฉบบั ท่ี 1 โครงการเกษตรก้ชู าติ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. โชคชยั พรหมแพทย.์ 2545. คมู่ อื การปลกู ไมส้ ะเดาและการใชส้ ารสะกดั สะเดาปอ้ งกนั ก�ำจดั แมลง. พมิ พค์ รั้งท่ี 3. กรงุ เทพฯ : สำ� นักพิมพอ์ โกร คอมมวิ ก้า. ลาวลั ย์ จรี ะพงษ์ สถาบนั สง่ เสรมิ เกษตรชวี ภาพและโรงเรยี นเกษตรกร กรมสง่ เสรมิ การเกษตร การเตรยี ม และการใช้พืชสมนุ ไพรในการปอ้ งกนั และก�ำจดั ศตั รูพืช. 122

หางไหลแดง ข้นั ตอนการปลกู และการดแู ลรกั ษาหางไหลแดง การเตรียมการ 3 เดือน 6 เดือน 9 เดอื น 12 เดอื น 15 เดือน 18 เดือน 21 เดอื น 24 เดอื น 27 เดอื น การเตรียมดนิ การปลูก การใสป่ ๋ยุ การให้น้ำ� - ไถพรวนใหด้ นิ รว่ น - ระยะปลกู 1.5 x 1.5 เมตร - ทกุ 2 - 3 เดือน ใส่ป๋ยุ - หลงั ปลกู ตอ้ งใหน้ ำ�้ อยา่ ง - หากวชั พชื มมี ากใหไ้ ถพรวน - ขดุ หลมุ ปลกู ขนาด คอกรอบโคนต้น หรือใส่ ตอ่ เนอ่ื ง 1 - 2 เดอื น 2 ครงั้ คอื ไถเปดิ หนา้ ดนิ 30 x 30 x 30 เซนตเิ มตร ปุ๋ยเคมสี ตู ร 15 - 15 - 15 - ถา้ แดดจดั ใหน้ ำ้� วนั ละ 2 และตากดินไว้ประมาณ - รองกน้ หลมุ ดว้ ยปยุ๋ หมกั อตั รา 50 กิโลกรมั ต่อไร่ ครงั้ เชา้ - เยน็ ถา้ แดดไมจ่ ดั 2 สปั ดาห์ แลว้ จงึ ไถพรวนดนิ หรอื ปยุ๋ คอก ใหน้ ำ�้ วนั ละครงั้ ใหร้ ว่ น - ยา้ ยกลา้ ลงปลกู 1 ตน้ - หลงั จาก 2 เดอื นไปแลว้ - ถา้ เปน็ พน้ื ทต่ี ำ่� ควรทำ� การ ตอ่ 1 หลมุ ใหต้ ามความเหมาะสม การเกบ็ เกีย่ ว ยกรอ่ งเพอื่ ปอ้ งกนั นำ�้ ทว่ มขงั - เกบ็ เกย่ี วหลงั ปลกู 2 ปี ขนึ้ ไป ควร ขุดรากในช่วงฤดูแล้งเพ่ือให้มีสาร ส�ำคัญสงู การเตรยี มพนั ธ์ุ การก�ำ จดั วัชพืช - วธิ เี กบ็ เกยี่ ว ตดั เหลอื ตอเหนอื ดนิ - ขยายพันธุด์ ้วยการปักช�ำ - ถอนหรอื ใชเ้ ครอ่ื งมอื ชว่ ยในการกำ� จดั ประมาณ 5 - 10 เซนติเมตร - ตัดเถาที่แก่พอประมาณ มีสีน้�ำตาล ขนาด ทกุ ครงึ่ เดอื นจนตน้ หางไหลคลมุ แปลง - กอ่ นขดุ หางไหล 1 วนั ควรปลอ่ ยนำ�้ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 1 เซนตเิ มตร ใหม้ ขี อ้ เขา้ แปลง ทำ� ใหด้ นิ เปยี กจะขดุ ไดง้ า่ ย 3 - 4 ขอ้ ปกั ชำ� กง่ิ ทำ� มมุ 45 องศา ในถงุ พลาสตกิ - ใชค้ นหรอื รถแทรกเตอรข์ ดุ รากหางไหล วางใตห้ ลงั คาพรางแสง 50 % นำ� กงิ่ ช�ำยา้ ยลง ศัตรูท่ีส�ำคัญและการปอ้ งกันก�ำจัด แปลงปลูกได้ ปจั จบุ นั ยงั ไมพ่ บวา่ มโี รคและแมลงชนดิ ใด - โดยใชเ้ วลา 2 เดือนตั้งแตเ่ ร่ิมชำ� ทำ� ความเสียหายรุนแรง การปฏบิ ตั หิ ลังการเก็บเก่ยี ว หลงั จากขดุ รากขน้ึ มาแลว้ ควรลา้ งใหส้ ะอาด นำ� ไปแขวนหรอื ผง่ึ บนตะแกรงใหแ้ ห้งในทรี่ ม่ หา้ มผ่งึ กลางแดด

เทคนิคการปลูก และดูแลรักษาหางไหลแดง 1. การเตรยี มการก่อนปลกู 1.1 การเตรยี มดนิ 1) ไถพรวนเพื่อใหด้ นิ รว่ นซุย 2) หากวัชพืชมไี ม่มากใหท้ �ำการไถพรวนคร้ังเดยี ว ถ้ามมี ากให้ไถพรวน 2 คร้งั คือ ไถดะ เปิดหนา้ ดนิ และตากดนิ ไว้ประมาณ 2 สปั ดาห์ แล้วจึงไถแปร ปรับปรงุ ดนิ ดว้ ยปยุ๋ อินทรีย์ ป๋ยุ คอก หรือป๋ยุ หมกั 3) ถา้ เปน็ พน้ื ทีต่ ่�ำ ควรทำ� การยกรอ่ งเพอ่ื ปอ้ งกนั น�้ำท่วมขงั 1.2 การเตรยี มพันธ์ุ การปักช�ำ 1) เลอื กเถาทแี่ กพ่ อประมาณ คอื มสี นี ำ้� ตาล ขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 1 เซนตเิ มตร 2) ตัดทอ่ นพันธุเ์ ปน็ ทอ่ นๆ โดยแต่ละท่อนให้มีข้อ 3 - 4 ขอ้ 3) วัสดุเพาะช�ำประกอบดว้ ย ขี้เถ้าแกลบผสมกบั ดนิ อตั ราสว่ น 2 : 1 4) ปักช�ำก่งิ ท�ำมุม 45 องศา ในถงุ พลาสติก 5) วางถุงเพาะช�ำไวใ้ ต้หลังคาพรางแสง 50 เปอรเ์ ซ็นต์ ให้น้�ำเปน็ ระยะสม่�ำเสมอ 6) รากกง่ิ ชำ� จะงอกภายใน 3 สปั ดาห์ และสามารถนำ� กง่ิ ชำ� นยี้ า้ ยปลกู ลงแปลงไดภ้ ายใน 6 - 8 สัปดาห์ 2. การปลูก 2.1 วธิ ีปลกู นำ� ตน้ พนั ธท์ุ เ่ี ตรยี มไวล้ งปลกู เสรจ็ แลว้ กลบดนิ ทเี่ หลอื ลงในหลมุ กลบดนิ บรเิ วณโคนตน้ พอแนน่ รดนำ้� ใหช้ มุ่ 2.2 การเตรยี มดนิ ขุดหลมุ ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร รองกน้ หลมุ ดว้ ย ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ ประมาณครง่ึ กโิ ลกรมั ตอ่ หลมุ คลกุ เคลา้ ปยุ๋ ใหเ้ ขา้ กนั กบั ดนิ 2.3 ระยะปลกู ระยะห่างระหวา่ งต้นและแถว 1.5 x 1.5 เมตร 2.4 จำ� นวนตน้ ตอ่ ไร่ 400 - 800 ต้นต่อไร่ 124

3. การดแู ลรักษา 3.1 การใสป่ ุ๋ย ทกุ 2 - 3 เดอื น ใสป่ ยุ๋ คอกรอบโคนตน้ หรอื ใสป่ ยุ๋ เคมสี ตู ร 15 - 15 - 15 อตั รา 50 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ 3.2 การให้นำ�้ ระยะ 2 เดอื นแรกหลงั จากปลกู ถา้ แดดจดั ควรใหน้ ำ�้ วนั ละ 2 ครงั้ เชา้ - เยน็ ถา้ แดดไมจ่ ดั ควรใหน้ ำ�้ วันละคร้ัง หลังจากอายุ 2 เดือนไปแล้วให้ตามความเหมาะสมตามสภาพพ้ืนท่ีและสภาพอากาศ 4. การปอ้ งกันและก�ำจดั ศตั รูพืช 4.1 วัชพืช : ควรก�ำจัดโดยการถอน โดยเฉพาะในระยะแรกปลูกถึง 2 เดือน ก�ำจัดวัชพืช ทกุ 15 วัน จนกระทง่ั หางไหลเจรญิ คลมุ แปลง 4.2 โรค : ไมพ่ บโรคท่ีทำ� ความเสียหายรนุ แรง 4.3 แมลง : ไมพ่ บแมลงชนิดใดท่ที ำ� ความเสยี หายรนุ แรง 5. การปฏบิ ัติก่อนและหลงั การเกบ็ เก่ยี ว 5.1 เก็บเก่ยี วรากหางไหล หลังปลกู ได้ตง้ั แตอ่ ายุ 22 ถึง 27 เดอื น ควรขุดรากในช่วงฤดูแล้ง เพราะชว่ งนหี้ างไหลจะผลดั ใบและเปน็ ชว่ งทม่ี สี ารสำ� คญั สงู ถกู เกบ็ ไวใ้ นราก วธิ กี ารเกบ็ เกย่ี วใหต้ ดั ทงั้ ตน้ ใหเ้ หลอื ตอสงู ประมาณ 5 - 10 เซนตเิ มตร กอ่ นขดุ หางไหล 1 วนั ควรปลอ่ ยนำ้� เขา้ แปลงเพอื่ ทำ� ใหด้ นิ เปยี ก จะขดุ ไดง้ า่ ยกวา่ ดนิ แหง้ และสามารถขดุ รากไดเ้ กอื บทง้ั หมด จะใชค้ นขดุ หรอื ใชร้ ถแทรกเตอรข์ ดุ กไ็ ด้ 5.2 การปฏิบัติหลังการเก็บเก่ียว หลังจากขุดรากขึ้นมาแล้วควรล้างให้สะอาด น�ำไปแขวน หรือผงึ่ บนตะแกรงใหแ้ ห้งในทร่ี ่ม หา้ มผง่ึ กลางแดด 6. ข้อมลู อ่ืนๆ 6.1 สารสำ� คัญออกฤทธ์ิ รากของหางไหลจะมีสารชื่อ โรติโนน (rotenone) และดีกูลิน (deguelin) มีฤทธิ์ฆ่าแมลง มากท่ีสุด ส่วนสารอ่ืนๆ มีฤทธิ์น้อยมาก ได้แก่ ทิปโฟซิน (typhrosin) ทอกซิคารอล (toxicarol) อลิ ลปิ โทน (elliptone) ซมั มาโทล (sumatrol) และมาแลคโคล (malaccol) 6.2 การใช้ประโยชน์ ใช้เปน็ สารปอ้ งกนั กำ� จัดศตั รูพืช น�ำเอารากสด ½ - 1 กิโลกรมั หรอื รากแหง้ 250 กรมั ถึง ½ กิโลกรัม ทบุ และแช่ลงในน้�ำ 1 ปบ๊ี อย่างน้อย 12 ชว่ั โมง หลังจากนนั้ กรองเอารากออก จะไดน้ ้�ำสเี ขม้ นำ� นำ้� ทีไ่ ด้ฉดี พ่นในแปลงพืชผล โดยทำ� การฉีดพ่นทกุ ๆ 7 วนั ในช่วงเยน็ 6.3 ข้อจำ� กัด - ไม่ควรใชใ้ นแหลง่ น�้ำทม่ี ีสัตวน์ ำ�้ เชน่ ปลา อาศยั อยู่ - ไม่ควรใชร้ ่วมกับสารท่ีเปน็ ดา่ ง เชน่ ปนู ขาว เพราะจะทำ� ใหฤ้ ทธข์ิ องโรติโนนเสือ่ ม 125

ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตและให้ผลผลิตของหางไหลแดง สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม 1. สภาพภมู ิอากาศ - รอ้ นชนื้ อณุ หภมู ปิ ระมาณ 25 - 30 องศาเซลเซยี ส 1.1 อุณหภูมิ - เฉลย่ี 60 - 80% 1.2 ความชื้นสมั พัทธ์ - แดดจดั เตม็ วนั 1.3 แสง - ตอ้ งการนำ�้ เพยี งพอตลอดฤดปู ลกู 1.4 น�้ำ - แหลง่ ปลกู ตอ้ งไมม่ ลี มพดั แรง หรอื มกี ารทำ� แนวบงั ลมเพอ่ื ปอ้ งกนั 1.5 ลม ตน้ หกั ลม้ 2. สภาพพน้ื ท่ี - มคี วามลาดเอียงของพ้ืนท่นี ้อย ไมเ่ กนิ 3% 3. สภาพดนิ - ดินร่วนซุย 3.1 ประเภทดนิ 3.2 อินทรยี วตั ถุ - มอี นิ ทรียวตั ถุไมน่ อ้ ยกวา่ 3.5% 3.3 ความเปน็ กรด/ดา่ งของดนิ (pH) - 5.5 - 8 3.4 การระบายน�้ำ - ระบายนำ้� ดี ไม่ท่วมขัง 4. ธาตุอาหาร - อุดมสมบูรณ์ 5. สภาพน้�ำ - ใหน้ �้ำตามสภาพแวดลอ้ ม - น�ำ้ ท่ใี ช้เปน็ น้�ำสะอาดไม่มสี ารเคมีปนเปื้อน

แนวทางการเพิ่มประสทิ ธภิ าพการผลิต และแหล่งสืบคน้ ขอ้ มูลเพมิ่ เติม แนวทางการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ 1. เทคนิคการปลูกเพ่อื ใหส้ ามารถเกบ็ รากไดง้ ่าย ควรปลูกในภาชนะ เชน่ ถุงด�ำ หรอื บลอกซีเมนตข์ นาด 80 เซนติเมตร ใช้วสั ดโุ ปรง่ โดยใช้ ขเ้ี ถา้ แกลบ ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ และดนิ อตั รา 1 : 1 : 1 ซง่ึ เมอ่ื เกบ็ เกย่ี วทอ่ี ายุ 2 ปขี นึ้ ไปจะสามารถเกบ็ เกยี่ วไดง้ า่ ย และไดผ้ ลผลติ รากสงู เพราะเกบ็ เก่ยี วไดท้ ุกราก 2. เทคนคิ การเกบ็ เก่ียวใหไ้ ดส้ ารออกฤทธ์ิสูงสดุ เกบ็ ผลผลติ (ราก) หางไหล ในชว่ งอายุ 24 เดือน จะไดส้ ารโรตีโนนในรากสงู ที่สดุ 3. เทคนิคการเพิ่มปรมิ าณผลผลติ สงู สุด ปลูกหางไหลด้วยก่ิงช�ำในช่วงอายุ 2 ปี จะให้ผลผลิตแตกต่างกันไปในแต่ละท้องท่ีท่ีปลูก ข้ึนอยูก่ บั ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ คอื สามารถเก็บผลผลิตได้ต้งั แต่ 300 - 750 กโิ ลกรัมต่อไร่ 4. เทคนิคการใช้ประโยชนใ์ ห้ได้ผลดี ควรฉีดพ่นในเวลาเช้าหรอื เยน็ ทไ่ี มม่ ีแสงแดดจดั สารโรตโิ นน สลายตัวงา่ ยเมอ่ื ถกู แสงแดด หรอื ความรอ้ น 127

แหลง่ สืบค้นข้อมลู เพ่มิ เติม กองสง่ เสรมิ พชื สวน กรมสง่ เสรมิ การเกษตร, เอกสารคมู่ อื การปลกู พชื สมนุ ไพรและเครอื่ งเทศ. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. กรุงเทพฯ : 2542. กองแผนงานและวชิ าการ กรมวชิ าการเกษตร, พชื ฆา่ แมลงและพชื มพี ษิ บางชนดิ ในประเทศไทย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำ� กัด. 2546 สถาบนั วจิ ยั พชื สวน และสำ� นกั วจิ ยั พฒั นาเทคโนโลยชี วี ภาพ กรมวชิ าการเกษตร, เอกสารวชิ าการ ล�ำดบั ที่ 4 หางไหลแดง-โลต่ นิ๊ . พมิ พค์ รงั้ ที่ 1. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั . 2548. สำ� นกั วจิ ยั พฒั นาปจั จยั การผลติ ทางการเกษตร กรมวชิ าการเกษตร, เอกสารวชิ าการสารสกดั หางไหล เพื่อการควบคุมศตั รูพชื . พิมพค์ รัง้ ที่ 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์เจรญิ ผล. 2550 สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมสง่ เสรมิ การเกษตร, เอกสารสมนุ ไพรเพอ่ื การเกษตร. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกัด. 2546. 128

ภาคผนวก

ภาคผนวกท1 ่ี 1 สรุป องศาเซลเซยี ส 30 - 35ºc < 60% 0 - 900 < 2% 25 - 30ºc 60 - 80 % 500 - 700 < 3% 10 - 35ºc > 80% 0 - 800 3-50 º 22 - 33ºc 70 - 85 % 300 - 800 < 35 º 24 - 33ºc 60 - 100 % 0 - 1,500 - 20 - 35ºc 60 - 80 % 450 - 900 5-10 % 24 - 32ºc < 60% 0 - 1,000 - 25 - 40ºc 65 - 90 % 0 - 1,500 < 2% 22 - 30ºc - 500 - 1,500 - 25 - 30ºc - 0 - 2,500 - 20 - 35ºc 90 % 300 - 800 5-10 º 16 - 28ºc > 80 % 300 - 3,200 - 25 - 30ºc 60 - 80 % 300 - 800 - 25 - 40ºc 65 - 95 % 0 - 1,500 < 2% 18 - 35ºc - - - 25 - 30ºc 60 - 80 % 0 - 3,200 < 3% 30 - 35ºc 60 - 80 % 400 - 1,000 - 30 - 35ºc 60 - 80 % - - 25 - 30ºc 60 - 80 % 50 - 1,500 - 25 - 30ºc 60 - 80 % - < 3%

ภาคผนวกท่ี 2 การผลิตพชื สมนุ ไพรตามแนวทางเกษตรดีทีเ่ หมาะสม 1. พันธุ์พืชสมุนไพร 1.1 ช่ือพืชสมุนไพร เป็นเรื่องจ�ำเป็นท่ีต้องทราบชัดเจนและตรวจสอบให้ถูกต้องก่อนปลูก เนอ่ื งจากมผี ลตอ่ ประสทิ ธภิ าพความปลอดภยั ของผใู้ ช ้ ในการปลกู พชื สมนุ ไพรเกษตรกรควรตรวจสอบ ความถกู ตอ้ งของชอื่ ชอื่ ทอ้ งถน่ิ ใหถ้ กู ชนดิ ทจ่ี ะปลกู เนอ่ื งจากบางครงั้ มชี อื่ พอ้ งกนั แตเ่ ปน็ คนละชนดิ กนั เชน่ หญา้ ใตใ้ บและลกู ใตใ้ บ เปน็ ต้น 1.2 ชนดิ หรอื พนั ธ์ุ ทค่ี ดั เลอื กมาปลกู ควรเปน็ สายพนั ธท์ุ ดี่ ที ใ่ี หส้ ารออกฤทธส์ิ งู และเปน็ ทต่ี อ้ งการ ของผ้ซู อื้ 1.3 หลกี เลยี่ งการใชส้ ว่ นขยายพนั ธท์ุ มี่ กี ารปนเปอ้ื นของพชื สมนุ ไพรชนดิ อน่ื ๆ ระหวา่ งการผลติ นอกจากนี้ส่วนที่ใช้ท�ำพันธุ์ควรมีคุณภาพดี ปราศจากโรคและแมลง และเหมาะส�ำหรับท�ำพันธุ์ เชน่ เหงา้ แกรง่ เมล็ดหรอื ต้นพันธุส์ มบรู ณ์ 2. พื้นท่ปี ลกู สมนุ ไพร พนื้ ทป่ี ลกู ตอ้ งมสี ภาพแวดลอ้ ม แสง อณุ หภมู ิ ความชน้ื เหมาะสมกบั ชนดิ สมนุ ไพร เพราะผลผลติ สมนุ ไพรอาจมคี ณุ ภาพตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน เมอื่ ปลกู ในพนื้ ทตี่ า่ งกนั เนอื่ งจากอทิ ธพิ ลของสภาพแวดลอ้ ม 2.1 ควรหลกี เลย่ี งพนื้ ทท่ี มี่ คี วามเสย่ี งจากการปนเปอ้ื น อนั เนอ่ื งมาจากมลภาวะของดนิ อากาศ และน้�ำทเ่ี กิดจากสารเคมอี ันตราย 2.2 ควรประเมนิ ผลกระทบของการใชผ้ นื ดนิ ทผ่ี า่ นมาในอดตี ในพนื้ ทปี่ ลกู สมนุ ไพร ผลกระทบ จากแปลงขา้ งเคยี งทใ่ี ช้สารเคมีอันตราย 2.3 การผลติ วตั ถดุ บิ สมนุ ไพรเพอื่ เปน็ ยา ควรตรวจสอบดนิ และนำ�้ ทใ่ี ชใ้ นการปลกู เพอ่ื นำ� ผลมา ปรับปรุงดิน และป้องกันไม่ให้มีโลหะหนักปนเปื้อนในผลผลิต แหล่งน�้ำต้องมีคุณสมบัติ สะอาด ไมไ่ หลผา่ นแหล่งทีม่ กี ารปนเปื้อนของสารเคมี โลหะหนกั และเชือ้ โรค 3. การปรับปรงุ ดินและการใช้ป๋ยุ 3.1 การปลกู พชื สมนุ ไพรไมค่ วรใชส้ ารเคมี หรอื ใชเ้ พยี งทจ่ี ำ� เปน็ ดงั นน้ั การปรบั ปรงุ ดนิ ปลกู สมนุ ไพรใหม้ คี วามอดุ มสมบรู ณ์ มอี นิ ทรยี วตั ถสุ งู มหี นา้ ดนิ ลกึ ใกลเ้ คยี งกบั ระบบรากพชื เพอ่ื ประกนั การ เจรญิ เตบิ โตและคณุ ภาพของพชื สมนุ ไพรจงึ เปน็ สงิ่ ทจี่ �ำเปน็ มาก โดยการใชป้ ยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ คอกจากมลู สตั ว์ ทผ่ี า่ นการหมักอย่างทัว่ ถงึ สมบรู ณ์ ไถเตรยี มดินเพ่ือกำ� จัดวัชพืชและท�ำให้ดินร่วนซุย ตากดินอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 131

3.2 การใชป้ ยุ๋ เคมใี นการปลกู พชื สมนุ ไพร ควรใชใ้ นปรมิ าณจำ� กดั เพราะจะมผี ลกระทบตอ่ คณุ ภาพ ผลผลติ เชน่ การใหป้ ยุ๋ ไนโตรเจนมากไปการเจรญิ เตบิ โตจะเรว็ แตอ่ าจมผี ลใหป้ รมิ าณสารสำ� คญั ลดลง ปยุ๋ เคมคี วรใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของสมนุ ไพรแตล่ ะชนดิ และใชใ้ นระยะแรกของการเจรญิ เตบิ โต 4. การดูแลรกั ษา การดแู ลรกั ษามวี ธิ กี ารปฏบิ ตั ิตามพืชสมนุ ไพรแตล่ ะชนดิ 4.1 การพรางแสงในสมนุ ไพรหลายชนดิ ทต่ี อ้ งการรม่ เงาอาจใชต้ าขา่ ยพรางแสง เชน่ การพรางแสง ในปญั จขนั ธ์ หรอื วธิ ปี ลกู ตามธรรมชาตริ ว่ มกบั พชื อน่ื ทมี่ รี ม่ เงา เชน่ การปลกู บกุ อตุ สาหกรรม เปน็ ตน้ 4.2 การท�ำค้างแบบต่างๆ จ�ำเป็นส�ำหรับพืชเถาเลื้อย และท�ำให้ผลผลิตที่ได้รับสะอาด เช่น ปญั จขนั ธ์ วานลิ ลา เปน็ ตน้ เพอ่ื ใหผ้ ลผลติ ทไ่ี ดร้ บั สะอาด มดี นิ ตดิ ผลผลติ ไปนอ้ ยทส่ี ดุ ไมป่ นเปอ้ื นจลุ นิ ทรยี ์ ใชเ้ วลาในการลา้ งนอ้ ยลง ซง่ึ สมนุ ไพรบางชนดิ เชน่ ปญั จขนั ธ์ สารสำ� คญั ออกฤทธสิ์ ามารถสญู เสยี ไป ในกระบวนการล้าง 4.3 การกำ� จดั วชั พชื ทำ� อยา่ งสมำ่� เสมอ ปอ้ งกนั วชั พชื ปะปนกบั ผลผลติ และกำ� จดั วชั พชื โดยวธิ กี ล 5. การป้องกันและกำ� จัดศัตรพู ืช วตั ถดุ บิ พชื สมนุ ไพรเปน็ ตน้ นำ�้ ในการนำ� ไปใชป้ ระโยชนท์ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั ยาและสขุ ภาพ จำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ที่ ตอ้ งไมม่ กี ารปนเปอ้ื นจากสารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั ศตั รพู ชื เพอื่ ใหเ้ กดิ ความปลอดภยั แกผ่ บู้ รโิ ภคและสรา้ ง ความเชอ่ื ถือในผลติ ภัณฑ์ การปลูกพืชสมุนไพรจึงไมค่ วรใชส้ ารเคมีปอ้ งกนั กำ� จัดศตั รูพืช และมีวธิ ี การจัดการศตั รูพืชโดยใชห้ ลักการปอ้ งกนั ดังนี้ 5.1 ควรใชก้ ารจดั การศตั รพู ชื แบบผสมผสาน สารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั ศตั รพู ชื ควรจะใชใ้ หน้ อ้ ยทสี่ ดุ และใชเ้ ฉพาะเมอื่ ไมม่ ีมาตรการทางเลอื กอนื่ แล้ว 5.2 ใชแ้ นวทางการป้องกนั เพอ่ื ลดความเสียหายโดยเรมิ่ ต้ังแตก่ ารปลกู 5.3 ปรับพื้นที่แปลงปลูกให้มีความลาดเอียง เพ่ือให้มีการระบายน�้ำท่ีดี ไม่มีสภาพน้�ำขัง เป็นการปอ้ งกนั โรครากและโคนเน่า โดยเฉพาะในพชื สมุนไพรประเภทหัว เชน่ ขม้ินชนั 5.4 การใชป้ ูนปรับสภาพความเปน็ กรดของดนิ ไม่ให้เปน็ กรดทเี่ หมาะกับการเกดิ โรค 5.5 ใชต้ ้นพันธุ์ ก่ิงพันธ์ทุ ีแ่ ข็งแรงไม่มโี รค สามารถตรวจสอบทีม่ าได้ 5.6 การตดั แตง่ กง่ิ ใหโ้ ปรง่ เพอ่ื ลดความชนื้ และให้มอี ากาศถ่ายเทสะดวก 5.7 ทำ� ความสะอาดแปลง เกบ็ กงิ่ ใบบรเิ วณโคนตน้ ออกทำ� ลายนอกแปลง เพอ่ื ไมใ่ หเ้ ปน็ แหลง่ สะสมโรคและแมลง 5.8 การใชส้ ารชีวภณั ฑ์ตั้งแตเ่ ริม่ ปลกู รว่ มกบั อินทรยี วตั ถุตา่ งๆ เพือ่ เพิ่มปรมิ าณเชื้อจลุ นิ ทรีย์ ปฏปิ ักษใ์ นแปลงปลกู ใหม้ ากขน้ึ 5.9 ปลกู สมนุ ไพรทมี่ กี ลนิ่ ฉนุ และมฤี ทธใิ์ นการรบกวนแมลงแทรกอยดู่ ว้ ยในแปลงเพอ่ื ไลแ่ มลง เช่น ดาวเรือง ตะไคร้หอม กะเพรา เส้ยี นดอกมว่ ง เปน็ ตน้ 132

5.10 ใชว้ ธิ กี ลในการกำ� จดั ศตั รพู ชื เชน่ การใชก้ บั ดกั กาวเหนยี วสเี หลอื ง การใชก้ บั ดกั แสงไฟ 5.11 ลดการปลกู พชื สมนุ ไพรเชงิ เดยี่ ว จดั ระบบปลกู พชื สมนุ ไพรหลายชนดิ รว่ มกนั แบบผสมผสาน โดยวางแผนการผลิตตามอายุเก็บเกีย่ ว หรือปลกู รว่ มกับพืชหลักท่ีเหมาะสม 5.12 จัดระบบการผลิตแบบหมุนเวียน ไม่ปลูกซ�้ำที่เดิมหลายรุ่น โดยไม่เปลี่ยนชนิดพืช เพอื่ ตดั วงจรของศตั รูพืชและไม่ปรับปรงุ บ�ำรุงดิน 5.13 ใชส้ ารจากธรรมชาติ โดยใช้พืชสมนุ ไพรที่มฤี ทธติ์ ่อแมลงศัตรูพืชในการป้องกันศตั รูพืช เชน่ สะเดา หางไหล หนอนตายหยาก ฯลฯ ทง้ั น้ี ควรมีการปลูกพชื สมุนไพรปอ้ งกันก�ำจัดศตั รพู ชื เพอ่ื ใชใ้ นแปลงผลติ 6. การเก็บเก่ยี วพืชสมุนไพรทีเ่ หมาะสมและมสี ารสำ� คัญสงู การเกบ็ เกยี่ วพชื สมนุ ไพรเปน็ ขน้ั ตอนทม่ี คี วามสำ� คญั ยงิ่ ในกระบวนการผลติ พชื สมนุ ไพร เกษตรกร ตอ้ งทราบสว่ นของพชื ทจี่ ะนำ� มาใช้ เกบ็ เกยี่ วทอ่ี ายพุ ชื ฤดกู าล ชว่ งเวลาและวธิ กี ารเกบ็ เกย่ี วทถี่ กู ตอ้ ง มรี ายละเอียดดังนี้ 6.1 ต้องทราบส่วนของพืชที่เก็บเก่ียวที่ถูกต้อง ส่วนใดของพืชท่ีมีสารส�ำคัญออกฤทธ์ิสูง ท�ำให้วตั ถดุ บิ ทไ่ี ดม้ คี ณุ ภาพดแี ละผแู้ ปรรปู ตอ้ งการ สว่ นราก ตน้ ใบ ดอก ผล หรอื ทง้ั หา้ ตวั อยา่ งเชน่ ฟา้ ทะลายโจร มสี ารสำ� คญั ออกฤทธส์ิ งู ทส่ี ว่ นยอดและใบ ลำ� ตน้ และกา้ นจะมสี ารส�ำคญั ออกฤทธนิ์ อ้ ย เกษตรกรจงึ ควรเก็บเก่ยี วสว่ นใบหรือสว่ นยอดโดยตดั ตน้ เหนอื พน้ื ดิน 1 ฟตุ ในระยะที่ตน้ ยงั ไมแ่ ก่ หรืออายุประมาณ 3 เดือนคร่ึง ซึ่งจะมีใบมาก ไม่ควรเก็บเกี่ยวทั้งต้นเหนือดินในระยะต้นแก่ ซง่ึ จะมแี ตส่ ว่ นกา้ นและมสี ารส�ำคญั ต่�ำ 6.2 ตอ้ งทราบอายเุ กบ็ เกยี่ วทเ่ี หมาะสม หรอื ชว่ งเวลาเกบ็ เกย่ี วทเี่ หมาะสม เนอื่ งจากปรมิ าณสาร สำ� คญั ออกฤทธท์ิ ไี่ ดจ้ ากสว่ นตา่ งๆ ของพชื จะมมี ากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ตามระยะการเจรญิ เตบิ โตของพชื อายุเก็บเก่ียวที่เหมาะสมของพืชสมุนไพรแต่ละชนิดท่ีมีสารส�ำคัญออกฤทธิ์สูงจะทราบได้จาก งานศกึ ษาวิจัย ซง่ึ หากไมม่ งี านวิจยั ใหใ้ ช้องค์ความรูต้ ามภูมปิ ัญญาเปน็ เกณฑ์กำ� หนด 6.3 เกบ็ เกย่ี วในสภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสม สภาพแวดลอ้ มทคี่ วรหลกี เลย่ี ง ไดแ้ ก่ สภาพดนิ เปยี ก น้�ำค้าง ฝน หรอื อากาศมคี วามชน้ื สูง เนอื่ งจากระดับความชน้ื สงู จะเรง่ ใหเ้ กิดจลุ ินทรีย์ และเช้อื รา ในสมนุ ไพรที่เกบ็ เกย่ี ว 6.4 อปุ กรณก์ ารเกบ็ เกย่ี ว ภาชนะบรรจุ บรเิ วณทผ่ี ลผลติ สมั ผสั ตอ้ งสะอาด ปราศจากเศษดนิ ผงฝนุ่ โรค แมลง สารเคมี ฯลฯ เครอ่ื งมอื เหลา่ นค้ี วรเกบ็ ไวใ้ นทท่ี ไ่ี มม่ กี ารปนเปอ้ื นและแหง้ หรอื ในทที่ ี่ ปราศจากแมลง หนู นก และสัตวร์ งั ควานอื่นๆ และในท่ที ีป่ ศุสตั ว์หรือสัตวเ์ ลยี้ งเขา้ ไม่ถึง 6.5 วิธีการเกบ็ เกย่ี วขนึ้ กบั ชนดิ พืชสมุนไพร 6.6 เกบ็ เกย่ี วใหม้ ดี นิ ตดิ ผลผลติ นอ้ ยทส่ี ดุ หลกี เลย่ี งการสมั ผสั กบั ดนิ ใหม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะทำ� ได้ เพอื่ ลดปรมิ าณของจลุ นิ ทรยี ใ์ นวตั ถดุ บิ สมนุ ไพรทเี่ กบ็ เกยี่ ว ถา้ ตอ้ งใชส้ ว่ นทอี่ ยใู่ ตด้ นิ (เชน่ ราก) ควรเอาดนิ ทตี่ ดิ มาออกให้หมดหรือใหม้ ากที่สดุ ทันทที ่ีเกบ็ เกี่ยวขนึ้ มา 133

6.7 ระวงั ไมใ่ หม้ เี ศษวชั พชื ปะปนมาในระหวา่ งการเกบ็ เกยี่ ว ซงึ่ จะกลายเปน็ สงิ่ ปลอมปนในวตั ถดุ บิ สมนุ ไพรแห้ง ท�ำให้มคี ุณภาพต่ำ� ยากแก่การจ�ำแนกและไม่ปลอดภัยแกผ่ ู้ใช้ 6.8 การวางผลผลิตท่ีเกบ็ เกย่ี ว ต้องไมซ่ อ้ นหนาเกนิ ไป ควรวางบนยกพน้ื หา่ งจากพื้นดิน 6.9 วัตถุดิบสมุนไพรที่เก็บเก่ียวแล้วควรขนส่งทันทีในสภาพท่ีสะอาดและแห้ง โดยอาจบรรจุ ในตะกร้าท่ีสะอาด ถุงท่ีแห้ง หลีกเลี่ยงความเสียหายจากการกระทบกระแทกหรือการอัดแน่น ของวตั ถดุ บิ สมนุ ไพร เชน่ เนอ่ื งมาจากการบรรจเุ กนิ ขนาด หรอื การวางกระสอบหรอื ถงุ บรรจสุ มนุ ไพร ซ้อนกนั มากๆ ทอี่ าจท�ำใหเ้ กดิ การเนา่ เสยี หรอื การเส่อื มคุณภาพของสมนุ ไพรได้ 7. การปฏบิ ตั หิ ลงั การเก็บเกี่ยวและการทำ� แห้งพืชสมุนไพร ขอ้ นเ้ี ปน็ จดุ ออ่ นทมี่ กั จะไมเ่ ครง่ ครดั และเปน็ ทมี่ าของเชอ้ื จลุ นิ ทรยี ์ เชอ้ื รา ควรดำ� เนนิ การใหเ้ ปน็ ไป ตามมาตรฐานคณุ ภาพ หรือตามมาตรฐานของผู้ซื้อใหม้ ากทสี่ ดุ มกี ระบวนการดงั น้ี 7.1 การขนส่งจากแหล่งผลิตหลังการเก็บเก่ียวแล้วไปยังสถานที่แปรรูปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะ ทำ� ได้ เพอ่ื ป้องกันไมใ่ หเ้ กดิ การบดู เน่าจากเชื้อจุลนิ ทรยี ห์ รือเกดิ การเสือ่ มสลายดว้ ยความร้อน 7.2 การลดความร้อนจากแปลงปลูก โดยการแผ่ หรอื ผึ่งในร่ม บนยกพื้นหา่ งจากพน้ื ดนิ 7.3 การตรวจสอบและคดั แยกก่อนท่ีจะไปผา่ นกระบวนการแปรรูปขน้ั ตน้ โดย 1) คดั แยกส่ิงปลอมปน เช่น หนิ ดิน ทราย โดยเฉพาะสมุนไพรที่ใช้รากและหวั 2) คดั แยกสว่ นของพชื ทไ่ี มต่ อ้ งการ หรอื สมนุ ไพรอน่ื ทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั ปะปนมา ทำ� ใหส้ มนุ ไพร อาจไมม่ ีสรรพคณุ ทางยาหรอื ไมป่ ลอดภัยในการใช้ 3) คดั เลือกสว่ นทีเ่ น่าเสยี มีโรคและแมลง ออกจากสว่ นท่มี คี ุณภาพดี 7.4 การลา้ งท�ำความสะอาด 1) ช�ำระส่ิงสกปรกและสิ่งท่ีติดมากับผลผลิต เพ่ือป้องกันการเข้าท�ำลายของเช้ือจุลินทรีย์และแมลงศัตรู การล้างท�ำความสะอาดสมุนไพรบางชนิดอาจท�ำให้เสีย สารส�ำคัญบางอย่างท่ีสามารถละลายในน�้ำได้ดี จึงไม่ควร แชน่ ำ้� นาน ๆ 2) ท�ำให้แหง้ โดยเร็วที่สดุ 7.5 การตดั แตง่ ทจี่ ำ� เปน็ เชน่ ตดั รากฝอยในเหงา้ ขมนิ้ ชนั ปอกเปลือกกวาวเครือขาว เป็นต้น 7.6 การลดขนาด เชน่ หน่ั ฝานเปน็ ชนิ้ ตามความเหมาะ สมของพชื สมุนไพรแต่ละชนดิ 7.7 การรกั ษาสีโดยการลวกในสมนุ ไพรบางชนดิ เชน่ ผลมะแวง้ 7.8 การทำ� แหง้ สมนุ ไพร โดยทวั่ ไปการทำ� แหง้ จะใหม้ คี วามชนื้ เหลอื ประมาณรอ้ ยละ 10 - 12 พชื สมนุ ไพรสามารถท�ำใหแ้ หง้ ไดห้ ลายวิธที ี่เหมาะสมกับสมุนไพรแตล่ ะชนิด คอื 134

1) การผึ่งลม การผ่ึงในที่ร่มที่อากาศถ่ายเทดี (มีร่มเงาบังไม่ให้ได้รับแสงอาทิตย์โดยตรง) วางเป็น ชน้ั บางๆ บนแผงตากในหอ้ งหรอื ในอาคารทกี่ รมุ งุ้ ลวด หมนั่ คน หรอื กลบั บอ่ ยๆ เพอ่ื ใหอ้ ากาศถา่ ยเท ทว่ั ถงึ แผงตากควรจะอยหู่ า่ งจากพนื้ มากพอ และควรพยายามใหว้ ตั ถดุ บิ สมนุ ไพรแหง้ อยา่ งสม�่ำเสมอ เพอ่ื หลกี เลย่ี งการเกดิ เชอ้ื รา การผง่ึ ลมจะเปน็ วธิ ที ด่ี สี ำ� หรบั พชื สมนุ ไพรทใ่ี ชใ้ บหรอื ดอก และตอ้ งการ รกั ษาสขี องใบและดอกใหม้ ากทส่ี ุด ตัวอยา่ งสมนุ ไพรไดแ้ ก่ ดอกอญั ชัน 2) การตากแดด การตากแดดเปน็ วธิ กี ารทำ� แหง้ ทป่ี ระหยดั หากสถานทเ่ี หมาะสมหรอื ภาชนะทส่ี ะอาด แตจ่ ะปนเปอื้ นฝุน่ ละอองสิ่งสกปรกไดง้ า่ ย มีวิธกี ารจัดการดังนี้ - ตากแดดโดยตรงในฤดทู ่มี ีแสงแดดเหมาะสม - สถานท่ตี ้องสะอาดไม่มฝี นุ่ ละออง เชน่ ไม่ตากใตร้ าวสายไฟที่อาจเป็นที่เกาะของ นก หรือขา้ งถนนทม่ี ีฝนุ่ - มีภาชนะรองรับที่สะอาด หลีกเลี่ยงการท�ำแห้งโดยการวางบนพ้ืนดิน หรือพ้ืน ซเี มนต์ หรอื สงั กะสโี ดยตรง ควรมลี านตากยกพน้ื มวี สั ดรุ อง เชน่ ผนื ผา้ ใบหรอื ผา้ ชนดิ อนื่ ทเ่ี หมาะสม อากาศถา่ ยเทไดแ้ ละสามารถเก็บเพ่ือป้องกันความช้นื หรือฝนได้ หรือใชโ้ รงเรอื นตากแบบมหี ลงั คา โปร่งแสงทมี่ โี ครงสรา้ งท�ำจากวัสดใุ นทอ้ งถิน่ - การตากแดดตอ้ งตากให้แห้งสนทิ จริง 135

3) การอบแห้งโดยใชล้ มร้อน วธิ กี ารและอณุ หภมู ทิ ใี่ ชใ้ นการทำ� ใหแ้ หง้ อาจมผี ลกระทบตอ่ คณุ ภาพของวตั ถดุ บิ สมนุ ไพร ทไ่ี ด้ ใหค้ วบคมุ อุณหภมู ิ เพอ่ื หลีกเลีย่ งการสลายตัวของสารเคมีทเ่ี ป็นสารออกฤทธิ์ ใชอ้ ณุ หภมู ิต่ำ� และระยะเวลาการอบแหง้ นาน และควรรกั ษาอณุ หภมู ใิ หต้ ำ่� กวา่ 60 องศาเซลเซยี ส ในกรณที ใ่ี ชเ้ ชอื้ เพลงิ อนื่ ในการกอ่ ไฟ ควรหลกี เลย่ี งไม่ใหเ้ ชอ้ื เพลงิ หรือควันสมั ผัสกบั วัตถดุ บิ สมุนไพร เทคนคิ การท�ำแหง้ - เกลย่ี ใหแ้ ผบ่ างบนภาชนะ การซอ้ นทบั หนาจะทำ� ใหเ้ กดิ ความรอ้ น สมนุ ไพรจะมสี ดี ำ� คณุ ภาพลดลง - หม่นั กลบั สมนุ ไพรบ่อย ๆ เพอ่ื ใหแ้ หง้ สม่�ำเสมอ - วัสดุทมี่ ีการคัดหรือลดขนาด เชน่ การตดั ฝาน หัน่ ย่อยใหส้ มำ�่ เสมอ จะมีอตั รา การลดความช้ืนทีส่ มำ่� เสมอ จะทำ� ให้วัตถุดิบแห้งสม�่ำเสมอ 4) การเกบ็ รักษาสมนุ ไพรท่ีถกู วธิ ี หลงั จากสมุนไพรแห้งสนิทแลว้ - ตอ้ งเกบ็ ในถงุ หรอื ภาชนะปดิ สนทิ ปอ้ งกนั แสงได้ เชน่ ถงุ ดำ� ถงั มฝี าปดิ ถงุ พลาสตกิ ใสใ่ นปบ๊ี ห้ามใช้ถงุ ปุย๋ หรือถุงทีเ่ คยบรรจุสารเคมีอน่ื ๆ - เขยี นชอื่ สมนุ ไพรและวันทเ่ี ก็บ ตดิ ไว้ให้ชัดเจน - แยกเก็บแตล่ ะชนดิ เป็นสดั ส่วน - สมุนไพรทม่ี ีกล่นิ หอม หรอื มสี ารระเหยงา่ ย ตอ้ งบรรจุในภาชนะท่ีปิดสนทิ - ไม่เก็บสมุนไพรนานเกิน 2 ปี สารส�ำคัญอาจเกิดการเปล่ียนแปลงทางเคมีท�ำให้ คณุ สมบัติเปล่ยี นไป - โรงเกบ็ ตอ้ งสะอาด แหง้ อากาศถา่ ยเทไดด้ ี สามารถกนั แมลง และสตั วเ์ ลย้ี งไดม้ ดิ ชดิ 136

8. สุขลกั ษณะและความสะอาด สขุ ลกั ษณะและความสะอาด มหี ลกั การสำ� คญั คอื กระบวนการผลติ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ สขุ อนามยั ดงั น้ี 8.1 ควรรักษาแปลงสมนุ ไพรใหถ้ กู สขุ ลักษณะและสะอาดอยเู่ สมอ 8.2 กำ� จัดวชั พืช ไม่ใหเ้ ป็นแหล่งเพาะศัตรพู ชื ซ่ึงอาจติดไปกบั ผลผลิต 8.3 หลังการตัดแต่ง ควรน�ำเศษพืชไปทงิ้ นอกแปลง 8.4 หากจ�ำเป็นต้องใช้สารเคมี หลังการพ่นสารป้องกันก�ำจัดศัตรูพืช ต้องท�ำความสะอาด อุปกรณท์ ี่ใช้ เผากำ� จดั วสั ดเุ หลอื ใชแ้ ละกำ� จดั ภาชนะบรรจุให้ถกู วิธี 9. การบนั ทึกข้อมลู เกษตรกรควรมกี ารบันทกึ ข้อมลู ในการปฏิบัติข้นั ตอนตา่ งๆ เพื่อสามารถน�ำไปใช้ตรวจสอบวิธี การผลติ ใหไ้ ดม้ าตรฐาน หากมขี อ้ ผดิ พลาดหรอื บกพรอ่ งเกดิ ขนึ้ สามารถแกไ้ ข หรอื ปรบั ปรงุ วธิ กี ารผลติ ได้ทันที รายละเอยี ดควรบันทกึ ได้แก่ 9.1 บนั ทึกข้นั ตอนการผลิต เช่น การใส่ปุ๋ย ให้น�้ำ การป้องกนั กำ� จัดศตั รูพืช 9.2 บันทกึ วันปลกู วันออกดอก วันเก็บเก่ียว ฯลฯ เพอื่ ใชต้ รวจสอบคุณภาพ 9.3 บนั ทกึ วันเดอื นปี และวธิ กี ารปฏิบตั ิงานเพอ่ื ใชต้ รวจสอบและวางแผนแกป้ ญั หา 137

ทีป่ รึกษา นางพรรณพิมล ชญั ญานวุ ตั ร อธิบดีกรมสง่ เสรมิ การเกษตร นายนำ�ชัย พรหมมชี ัย รองอธิบดีกรมส่งเสรมิ การเกษตร นายวิทยา อธปิ อนันต์ รองอธิบดกี รมส่งเสริมการเกษตร นายสรุ พล จารพุ งศ์ รองอธบิ ดกี รมส่งเสริมการเกษตร นายพรชยั พีระบูล ผู้อำ�นวยการสำ�นักพฒั นาการถา่ ยทอดเทคโนโลยี นายสงกรานต์ ภักดีคง ผู้อำ�นวยการสำ�นักส่งเสริมและจัดการสนิ ค้าเกษตร นางอรสา ดสิ ถาพร ผู้เช่ียวชาญดา้ นสง่ เสรมิ และจัดการการผลิตไม้ดอกไมป้ ระดับ และพชื สมนุ ไพร สำ�นกั สง่ เสริมและจดั การสนิ ค้าเกษตร นางนดิ า สกั กทัตติยกุล ผูอ้ ำ�นวยการสว่ นสง่ เสรมิ และเผยแพร่ ประสานงาน นางสาวภัทรมาศ พานพุ่ม นักวชิ าการเกษตรชำ�นาญการ สำ�นักสง่ เสรมิ และจัดการสนิ คา้ เกษตร

เรียบเรียง จดั ทำ� กระเจ๊ยี บแดง ปรารถนา ไปเหนือ กระชายดำ� ปรารถนา ไปเหนือ กระวาน ภัสรา ชวประดิษฐ์ กวาวเครือ ประพศิ พรรณ อนพุ นั ธ์ กานพลู ภัสรา ชวประดิษฐ์ ขม้นิ ชัน ประพิศพรรณ อนพุ นั ธ์ คำ� ฝอย ภสั รา ชวประดิษฐ์ ดีปล ี ภัสรา ชวประดิษฐ์ ตะไคร้หอม รวสิ รา วสิ ุทธอิ์ าภรณ์ บวั บก รวสิ รา วสิ ุทธ์ิอาภรณ์ บกุ เนื้อทราย ประพิศพรรณ อนพุ นั ธ์ ปญั จขนั ธ์ ประพศิ พรรณ อนพุ นั ธ์ พยายอ ปรารถนา ไปเหนือ พริกไทย ภสั รา ชวประดิษฐ์ ไพล ประพิศพรรณ อนพุ นั ธ์ ฟา้ ทะลายโจร ปรารถนา ไปเหนือ มะแวง้ เครือ ปรารถนา ไปเหนอื ว่านหางจระเข ้ รวสิ รา วสิ ทุ ธอิ์ าภรณ์ สะเดา พรพิมล ศริ กิ าร หางไหล พรพมิ ล ศิริการ นางอมรทิพย์ ภิรมยบ์ ูรณ์ นางสาวอจั ฉรา สุขสมบูรณ์ นายพงษ์เพชร วงศโ์ สภา นางสาวอ�ำไพพงษ์ เกาะเทียน นางสาวรฐั ฐา ศรีญาณลกั ษณ์ กลุม่ สอ่ื สง่ เสริมการเกษตร ส่วนสง่ เสริมและเผยแพร่ ส�ำนกั พฒั นาการถา่ ยทอดเทคโนโลยี กรมสง่ เสรมิ การเกษตร

รายชื่อคณะทำ� งานจัดทำ� คมู่ ือการเพม่ิ ประสิทธิภาพการผลติ พืช 1. นางอรสา ดิสถาพร ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นสง่ เสรมิ และจัดการการผลิตพชื ผัก ประธานคณะทำ� งาน ไมด้ อกไม้ประดับและพืชสมนุ ไพร ส�ำนกั สง่ เสรมิ และจัดการสินคา้ เกษตร 2. นายมนู โปส้ มบรู ณ ์ ผอู้ ำ� นวยการสว่ นสง่ เสรมิ การผลติ ไมผ้ ล ไมย้ นื ตน้ และยางพารา คณะทำ� งาน ส�ำนักสง่ เสรมิ และจดั การสินค้าเกษตร 3. ดร.เศรษฐพงศ์ เลขะวฒั นะ ผอู้ ำ� นวยการสว่ นสง่ เสรมิ การผลติ ผกั ไมด้ อกไมป้ ระดบั คณะทำ� งาน และพืชสมุนไพร สำ� นักส่งเสริมและจดั การสนิ คา้ เกษตร 4. นางวิลาวลั ย์ วงษเ์ กษม ผอู้ �ำนวยการกลุ่มพชื เสน้ ใยและพชื หวั คณะท�ำงาน ส�ำนกั สง่ เสริมและจดั การสนิ ค้าเกษตร 5. นางสาวจริ าภา จอมไธสง ผอู้ �ำนวยการกลุม่ ส่งเสรมิ การผลติ ผกั คณะทำ� งาน ส�ำนักสง่ เสรมิ และจดั การสนิ ค้าเกษตร 6. นางศรีสดุ า เตชะสาน ผ้อู �ำนวยการกลุม่ ส่งเสริมการผลติ พืชน้�ำมันและพืชตระกลู ถั่ว คณะท�ำงาน ส�ำนักสง่ เสริมและจดั การสินคา้ เกษตร 7. นายธงชยั สทุ ธพิ งศเ์ กยี รต ์ิ หวั หนา้ ฝา่ ยพฒั นาการผลติ และควบคมุ ศตั รผู กั ผลไมเ้ พอ่ื การสง่ ออก คณะทำ� งาน ส�ำนกั พฒั นาคณุ ภาพสนิ ค้าเกษตร 8. นางสาวแสนสขุ รตั นผล ผอู้ ำ� นวยการกลุม่ งานเพาะเล้ียงเนือ้ เย่ือ คณะท�ำงาน ส�ำนกั พฒั นาคุณภาพสนิ ค้าเกษตร 9. นายจมุ พล ไทยสชุ าติ ผอู้ ำ� นวยการกลมุ่ งานสง่ เสรมิ และพฒั นาการบรกิ ารอารกั ขาพชื คณะท�ำงาน ส�ำนกั พฒั นาคณุ ภาพสนิ คา้ เกษตร 10. นางชัญญา ทิพานุกะ นักวิชาการเกษตรช�ำนาญการพิเศษ คณะทำ� งาน ส�ำนกั ส่งเสรมิ และจัดการสนิ ค้าเกษตร 11. นางสาวเพญ็ ระพี ทองอนิ ทร ์ นกั วชิ าการเกษตรช�ำนาญการพเิ ศษ คณะท�ำงาน ส�ำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร 12. นางภัสรา ชวประดิษฐ ์ นกั วิชาการเกษตรช�ำนาญการพิเศษ คณะทำ� งาน ส�ำนักสง่ เสริมและจดั การสนิ คา้ เกษตร 13. นายนเรศน์ รงั สิมนั ตศิริ หวั หน้าฝ่ายชา่ ง คณะท�ำงาน กองสง่ เสริมวิศวกรรมเกษตร 14. นางสาวภทั รมาศ พานพมุ่ นักวชิ าการเกษตรชำ� นาญการ เลขานกุ ารคณะทำ� งาน ส�ำนกั สง่ เสรมิ และจัดการสินค้าเกษตร 15. นางสาวสภุ ทั ธริ า โคตรศลิ ากลู นกั วชิ าการเกษตรปฏิบัติการ ผูช้ ่วยเลขานุการคณะทำ� งาน ส�ำนกั พฒั นาคุณภาพสนิ ค้าเกษตร 16. นายพงษเ์ พชร วงศโ์ สภา นักวชิ าการเผยแพร่ชำ� นาญการ ผู้ช่วยเลขานุการคณะท�ำงาน ส�ำนักพฒั นาการถา่ ยทอดเทคโนโลยี

บันทกึ : Note 141

บนั ทึก : Note 142


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook