Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Description: 12

Search

Read the Text Version

ค�ำ นำ� การทำ� งานสง่ เสรมิ การเกษตร เปน็ การทำ� งานทม่ี งุ่ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพชวี ติ และความเปน็ อยู่ ของเกษตรกร โดยเจา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การเกษตร เปน็ ผนู้ ำ� ความรแู้ ละเทคโนโลยที เ่ี หมาะสม ถา่ ยทอดสู่ เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย ปี 2556 กรมส่งเสริมการเกษตรไดจ้ ดั ท�ำ “ ค่มู อื ปฏิบตั งิ านเจา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสริมการเกษตร” เพอ่ื เปน็ องคค์ วามรใู้ หเ้ จา้ หนา้ ทส่ี ง่ เสรมิ การเกษตร ไดใ้ ชเ้ ปน็ แนวทางการปฏบิ ตั งิ านสง่ เสรมิ การเกษตร ในพื้นที่ โดยได้รวบรวมและเรียบเรียงเน้ือหาตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง สามารถอ้างอิงได้ และถอดบทเรยี นจากหลกั ปฏบิ ตั ิจริง สามารถประยกุ ต์ใช้กบั งานสง่ เสริมการเกษตรในแต่ละพ้ืนท ี่ จำ� นวน 24 รายการ แบง่ เปน็ เนอ้ื หา ดา้ นการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ พชื เศรษฐกจิ ดา้ นเคหกจิ เกษตร และการเพิม่ มลู ค่าสินคา้ เกษตร และด้านเทคนิคการทำ� งานสง่ เสริมการเกษตร คมู่ อื ปฏบิ ตั งิ านเจา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การเกษตร เรอื่ ง “องคค์ วามรเู้ พม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ .. สู่การเป็น smart officer : สมุนไพรและเคร่ืองเทศ” เล่มนี้ประกอบด้วยเน้ือหาเก่ียวกับ การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ สมนุ ไพรและเครอื่ งเทศชนดิ ตา่ งๆ ทส่ี ำ� คญั ซง่ึ เจา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การเกษตร สามารถน�ำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะการท�ำงานตามบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบ และหวงั ใหเ้ กดิ แนวคดิ การพฒั นาทกั ษะในการทำ� งานสง่ เสรมิ การเกษตรเพอื่ ประโยชนข์ องเกษตรกร ตอ่ ไป กรมสง่ เสรมิ การเกษตร ขอขอบคณุ ในความรว่ มมอื อยา่ งดยี ง่ิ จากหนว่ ยงานและเจา้ หนา้ ท่ี ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ในการใหข้ ้อมลู และภาพประกอบส�ำหรบั การจดั ท�ำหนงั สอื เล่มนี้ และหากเจา้ หน้าท่ี สง่ เสรมิ การเกษตร มขี อ้ เสนอแนะเพมิ่ เตมิ ขอไดโ้ ปรดแจง้ มายงั กรมสง่ เสรมิ การเกษตรใหท้ ราบดว้ ย ทง้ั นี้ เพอื่ ประโยชนใ์ นการปรับปรุงสำ� หรบั การใชง้ านครัง้ ตอ่ ไป (นางพรรณพิมล ชัญญานวุ ัตร) อธบิ ดกี รมส่งเสริมการเกษตร สิงหาคม 2556

สารบัญ หนา้ บทน�ำ 2 กระเจย๊ี บแดง 3 กระชายด�ำ 8 กระวาน 13 กวาวเครือขาว 18 กานพลู 27 ขมิน้ ชัน 34 ค�ำ ฝอย 43 ดีปล ี 48 บวั บก 53 ตะไครห้ อม 58 บกุ เนอ้ื ทราย 63 ปัญจขนั ธ ์ 71 พญายอ 79 พรกิ ไทย 84 ไพล 93 ฟ้าทะลายโจร 100 มะแว้งเครอื 107 วา่ นหางจระเข้ 112 สะเดา 118 หางไหล 123 ภาคผนวกท่ี 1 129 สรุปข้อมูลสภาพแวดล้อมท่เี หมาะสม ตอ่ การเจริญเตบิ โตและใหผ้ ลผลิตของสมนุ ไพร ภาคผนวกท ่ี 2 การผลิตพืชสมนุ ไพรตามแนวทางเกษตรดที เ่ี หมาะสม 131

บทน�ำ การพัฒนาสมุนไพรไทย เป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่ในประเทศ ผนวกกับภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเป็นหลักส�ำคัญ ประเทศไทยมีศักยภาพการผลิตพืชสมุนไพร โดยที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น มีสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต ของพชื สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศหลายชนดิ ซงึ่ สามารถขนึ้ ไดต้ ามธรรมชาติ สามารถเพาะปลกู และขยายพนั ธ์ุ มีชนิดของสมุนไพรที่มีความหลากหลายนับพันชนิด และมีภูมิปัญญาไทยในการใช้พืชสมุนไพร มาชา้ นาน บรรพบรุ ษุ ไทยไดน้ ำ� พชื สมนุ ไพรมาใชอ้ ยใู่ นตำ� รบั ยาตา่ งๆ มากมาย พชื สมนุ ไพรหลายชนดิ ท่ีมีความต้องการวัตถุดิบท่ีชัดเจน มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการปลูก มีการส่งเสริม และการศกึ ษาวจิ ยั เพอ่ื การพฒั นาการปลกู จงึ มกี ารปลกู เปน็ การคา้ และสามารถสรา้ งรายไดแ้ กเ่ กษตรกร จากฐานข้อมลู ทะเบยี นเกษตรกร (ทบก.) ปี 2555 ของกรมสง่ เสรมิ การเกษตร พนื้ ทป่ี ลูกสมนุ ไพร รวม 45,340 ไร่ มชี นดิ พชื สมุนไพรทีเ่ กษตรกรข้ึนทะเบียนปลูก 55 ชนิด มีจ�ำนวนครวั เรอื นท่ปี ลกู พืชสมุนไพร 11,673 ครวั เรือน แหลง่ ผลติ กระจายทั่วประเทศ พชื สมนุ ไพรทม่ี ีเน้อื ที่การปลูกมาก ได้แก่ กระวาน กฤษณา ขมิน้ ชนั ตะไครห้ อม บวั บก พริกไทย ไพล และว่านหางจระเข้ เปน็ ต้น ประเทศไทยมกี ารสง่ ออกพชื สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศไปตา่ งประเทศทงั้ ในรปู วตั ถดุ บิ แหง้ และบด สารสกดั หยาบ และผลติ ภัณฑ์ ชนดิ สมุนไพรท่ีส่งออก ไดแ้ ก่ ขม้นิ ชนั รากชะเอม ขงิ หมากสด และหมากแหง้ เปน็ ตน้ สว่ นเครอื่ งเทศทสี่ ง่ ออก ไดแ้ ก่ พรกิ ไทย พรกิ แหง้ เปน็ ตน้ นอกจากนก้ี ารสง่ ออก สมนุ ไพร ยงั แฝงอยใู่ นสินค้าอีกหลายประเภทท่ีมีมูลค่าสูง เช่น สินค้าเคร่ืองส�ำอาง เครื่องดื่ม เครอื่ งปรงุ รส อาหาร ธรุ กจิ ภตั ตาคาร รา้ นคา้ การนวด และสปา เปน็ ตน้ แมป้ ระเทศไทยจะสง่ ออก พชื สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศหลายชนดิ แตข่ ณะเดยี วกนั กม็ คี วามตอ้ งการนำ� เขา้ สมนุ ไพรและเครอื่ งเทศ มาใชเ้ ปน็ จำ� นวนมากในแตล่ ะปี ชนดิ ของสมุนไพร ที่น�ำเขา้ ไดแ้ ก่ ชะเอมเทศ รากโสม พรรณไม้ และส่วนของพรรณไม้ท่ีใช้ท�ำยา เป็นต้น ส่วนชนิดเครื่องเทศ ที่น�ำเข้า ได้แก่ อบเชย โป๊ยกั๊ก ลูกจันทน์เทศ เป็นต้น ส่วนใหญ่น�ำเข้าในรูปวัตถุดิบเพอื่ นำ� มาใชใ้ นการปรงุ ยา ทง้ั ระดบั พนื้ บา้ น และอตุ สาหกรรมดงั ไดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ โดยมปี ระเทศผสู้ ง่ ออกทส่ี ำ� คญั คอื สาธารณรฐั ประชาชนจนี อนิ เดยี พม่า อนิ โดนีเซีย และสหรัฐอเมรกิ า เปน็ ต้น ปจั จบุ นั มกี ารนำ� พชื สมนุ ไพรมาใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งกวา้ งขวาง ลกั ษณะของการใชจ้ ากวตั ถดุ บิ สมนุ ไพรสด หรือแหง้ เปน็ สารสกดั มากข้นึ โดยมกี ารศึกษาวิจยั และการใช้เทคโนโลยีใหม่ วตั ถุดบิ พืชสมนุ ไพรไดถ้ กู นำ� มาใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมตา่ งๆ ทหี่ ลากหลาย ไดแ้ ก่ ยาคน และยาสตั ว์ อาหารเสรมิ เครอ่ื งส�ำอาง การป้องกันก�ำจดั ศัตรูพชื เปน็ ต้น ในฐานะตน้ นำ้� การส่งเสรมิ การผลติ พชื สมนุ ไพร ใหไ้ ดม้ าตรฐานเปน็ ทยี่ อมรบั จงึ เปน็ สง่ิ สำ� คญั ในการพฒั นาสมนุ ไพรของประเทศไทย ใหส้ ามารถเก้ือกูลสขุ ภาพของคนไทยทง้ั ประเทศ

กระเจยี๊ บแดง ขนั้ ตอนการปลกู และการดูแลรักษากระเจย๊ี บแดง การเตรยี มการ 15 วัน 30 วัน 40 วนั 60 วนั 90 วัน 120 วัน 150 วนั การเตรยี มดิน การปลูก การให้น้ำ� การใสป่ ยุ๋ การก�ำ จดั วชั พืช - ไถดะเพื่อเปดิ หน้าดิน - พรวนดินบรเิ วณที ่ - ระยะ 30 - 60 วนั - ใชป้ ๋ยุ คอกหรือ - คลมุ ดนิ หลงั ปลกู - ตากดนิ 1 สัปดาห์ จะปลูกใหร้ ว่ น ควรใหน้ ำ�้ สมำ�่ เสมอ ปุ๋ยอนิ ทรีย์ ช่วงท่ี - ขดุ ทำ�ลายหวั ใตด้ นิ - ไถแปร เกลยี่ ดิน - ขดุ หลมุ ปลกู หลงั จากนน้ั จะทน เริม่ เจริญเติบโต ของวชั พชื โดยพรวน ให้เรียบเสมอกัน - ระยะหา่ งระหวา่ งตน้ ตอ่ ความแหง้ แลง้ ไดด้ ี อายุ 10 - 15 วนั ถากดนิ หรอื ถอนวชั พชื - ใชป้ ยุ๋ คอก ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ 1 เมตร ระหวา่ งแถว และ อายุ 40 - 50 วนั ตามความเหมาะสม หรอื ปยุ๋ หมักอัตรา 1 - 1.5 เมตร - ระวงั อยา่ ใหป้ ยุ๋ ทม่ี ี การเกบ็ เกยี่ ว 0.5 - 1 ตันต่อไร่ - หยอดเมลด็ หลมุ ละ ไนโตรเจนมากเกนิ ไป - เกบ็ สว่ นดอกกระเจย๊ี บแดง 3 - 5 เมล็ด - เฉพาะดอกท่แี ก่ การเตรยี มพันธุ์ - ใชก้ รรไกรหรอื มดี ตดั ใสใ่ น - ใชเ้ มล็ดขยายพนั ธ์ุ ภาชนะทส่ี ะอาดและมวี สั ดรุ อง - นำ� เมลด็ ไปแชน่ ำ�้ คดั เมลด็ ลอยทง้ิ เกบ็ ไว้ ศตั รูทสี่ �ำคญั และการปอ้ งกันก�ำจัด การปฏบิ ัติหลังการเก็บเกยี่ ว เฉพาะเมลด็ จม นำ� ขนึ้ ผง่ึ ศตั รทู ส่ี ำ� คญั คอื หนอนกระทหู้ อม หนอนเจาะสมอฝา้ ย เพลย้ี ไฟ นำ� ดอกกระเจย๊ี บแดงไปแทงเมลด็ ออก โดยใชเ้ หลก็ กระทงุ้ แทง ลมจนแหง้ แลว้ นำ� ไปปลกู เพลย้ี ออ่ น เพลย้ี จกั จน่ั ฝา้ ย ใชเ้ ชอ้ื BT (Bacillus thuringiensis) บรเิ วณขวั้ ใหเ้ มลด็ หลดุ ออกจากกระเปาะหมุ้ เมลด็ สว่ นทเ่ี หลอื ในอตั รา 60 - 80 กรมั ตอ่ นำ�้ 20 ลติ ร หรอื ใชส้ ารธรรมชาติ เชน่ เปน็ กลบี เลยี้ งหรอื กลบี ดอก นำ� ไปตากแดดนาน 4 - 7 วนั จนแหง้ สนทิ เมลด็ สะเดาพน่ ในอัตรา 1 กโิ ลกรัมตอ่ นำ�้ 20 ลติ ร หรือพ่น ควรตากบนชนั้ สงู จากพน้ื ดนิ ประมาณ 60 - 70 เซนตเิ มตร และ ดว้ ยสารเคมตี ามคำ� แนะนำ� และอาจปลอ่ ยแมลงศตั รธู รรมชาติ คลมุ ดว้ ยผา้ ขาวบางเพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเปอ้ื นของฝนุ่ ละอองตา่ งๆ ของแมลงศัตรูพืช เช่น แมลงช้างปีกใส และดว้ งเตา่ ตัวหำ�้ และน�ำกระเจ๊ียบแดงท่ีแห้งสนิทแล้วมาบรรจุถุงพลาสติกใส และปดิ ปากใหส้ นทิ นำ� เขา้ จดั เกบ็ ในหอ้ งทส่ี ะอาด เยน็ ไมอ่ บั ชน้ื

เทคนิคการปลกู และดแู ลรักษากระเจ๊ยี บแดง 1. การเตรยี มการกอ่ นปลกู 1.1 การเตรียมดิน ไถดะเพอ่ื เปดิ หนา้ ดนิ หลงั จากนน้ั 1 สปั ดาหใ์ หไ้ ถแปร เกลย่ี ดนิ ใหเ้ รยี บเสมอกนั ใชป้ ยุ๋ คอก หรอื ปุ๋ยอินทรยี ์ 0.5 - 1 ตนั ตอ่ ไร่พร้อมการพรวนดิน 1.2 การเตรยี มพนั ธุ์ - พันธ์ซุ ดู าน และพันธกุ์ ลีบยาวของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - หากเกษตรกรเก็บเมลด็ พันธุเ์ อง ให้คดั เลือกต้นพนั ธุ์ท่ีมกี ลีบดอกสแี ดงเข้ม กลบี เลย้ี งหนา - ใชเ้ มลด็ ขยายพนั ธ์ุ โดยนำ� เมลด็ ไปแชน่ ำ้� คดั เมลด็ ลอยทง้ิ เกบ็ ไวเ้ ฉพาะเมลด็ จม นำ� ขน้ึ ผงึ่ ลม จนแหง้ แลว้ น�ำไปปลกู 2. การปลูก 2.1 วิธีปลูก หยอดเมลด็ หลมุ ละ 3-5 เมลด็ ฤดปู ลกู เดอื นพฤษภาคม-มถิ นุ ายนเปน็ อยา่ งชา้ เนอ่ื งจากเปน็ พชื ไวตอ่ ชว่ งแสง จะออกดอกเมอ่ื วนั สนั้ คอื เรมิ่ ออกดอกในเดอื นตลุ าคม ซงึ่ จะมอี ายปุ ระมาณ 120 วนั และจะสามารถเกบ็ เก่ยี วได้ในเดอื นมกราคม 2.2 การเตรยี มดิน พรวนดนิ บรเิ วณทจี่ ะปลกู ใหร้ ว่ น ถา้ ดนิ ดอี ยแู่ ลว้ ไมต่ อ้ งใสป่ ยุ๋ แต่ถ้าจำ� เป็นใหใ้ สป่ ยุ๋ คอกได้แตไ่ ม่มากนกั 2.3 ระยะปลูก ระยะหา่ งระหวา่ งต้น 1 เมตร ระหว่างแถว 1-1.5 เมตร 2.4 จ�ำนวนตน้ ต่อไร่ ประมาณ 400 ต้น 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสป่ ุย๋ ใสป่ ยุ๋ คอก หรอื ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ ในชว่ งทเ่ี รม่ิ เจรญิ เตบิ โต อายุ 10-15 วนั และ 40-50 วนั ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ ง ใช้ปุ๋ยทีม่ ีไนโตรเจนสงู เพราะถา้ มากเกนิ ไป จะทำ� ใหใ้ บและฝกั โตเร็วเกนิ ไป เป็นโรคง่าย 3.2 การใหน้ �้ำ ระยะ 30 - 60 วนั ควรใหน้ ้ำ� สมำ�่ เสมอ หลังจากนน้ั จะทนต่อความแหง้ แล้งได้ดี 4

4. การป้องกนั และก�ำจัดศัตรพู ชื 4.1 วชั พชื : ไมพ่ บวชั พชื ใดทำ� ความเสยี หายรนุ แรง หากพบใหก้ ำ� จดั โดยใชก้ ารถอนหรอื ใชเ้ ครอ่ื งมอื ชว่ ย 4.2 โรค : โรคใบจดุ โรคฝกั จดุ หรอื ฝกั ลาย โรคแอนแทรคโนส หากพบ ใหก้ ำ� จดั โดยใชเ้ ชอื้ บาซลิ ลสั ซับทลี สิ (Bacillus substilis หรือ บีเอส) พน่ ในอตั รา 30-50 กรมั ตอ่ นำ้� 20 ลติ ร 4.3 แมลง : หนอนกระทหู้ อม หนอนเจาะสมอฝา้ ย เพลย้ี ไฟ เพลย้ี ออ่ น เพลยี้ จกั จน่ั ฝา้ ย หาก พบ ใหก้ ำ� จดั โดย ใชเ้ ชอื้ BT (Bacillus thuringiensis) ในอตั รา 60-80 กรมั ตอ่ นำ�้ 20 ลติ ร หรอื ใชส้ าร ธรรมชาติ เชน่ เมลด็ สะเดาพน่ ในอตั รา 1 กโิ ลกรมั ตอ่ นำ�้ 20 ลติ ร และอาจปลอ่ ยแมลงศตั รธู รรมชาตขิ อง แมลงศตั รพู ชื เชน่ แมลงชา้ งปกี ใส และดว้ งเต่าตัวหำ�้ 5. การปฏิบัตกิ ่อนและหลังการเก็บเก่ียว - เร่มิ เกบ็ เก่ียวในเดอื นพฤศจกิ ายน - ธนั วาคม สามารถเก็บเกยี่ วได้ 2 แบบ คอื เกบ็ เฉพาะ ดอกกระเจยี๊ บแดง โดยใชก้ รรไกรหรอื มดี ตดั เฉพาะดอกทแี่ ก่ แลว้ ใสใ่ นภาชนะทมี่ วี สั ดรุ อง หรอื เกบ็ เกย่ี ว ท้ังต้น โดยใชเ้ คียวเกยี่ วก่ิงที่มดี อกบรเิ วณโคนกิ่ง - หลงั เกบ็ เกยี่ วนำ� ดอกกระเจยี๊ บแดงไปแทงเมลด็ ออก โดยใชเ้ หลก็ กระทงุ้ แทงบรเิ วณขวั้ ใหเ้ มลด็ หลดุ ออกจากระเปาะหมุ้ เมลด็ สว่ นทเ่ี หลอื เปน็ กลบี เลย้ี งหรอื กลบี ดอกของกระเจย๊ี บแดง นำ� กลบี ดอก ไปตากแดดนาน 4 - 7 วนั จนแหง้ สนทิ การตาก ควรตากบนชนั้ สงู จากพน้ื ดนิ ประมาณ 60 - 70 เซนตเิ มตร และคลมุ ดว้ ยผา้ ขาวบางเพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเปอ้ื นของฝนุ่ ละอองตา่ งๆ และนำ� กระเจยี๊ บแดงทแ่ี หง้ สนทิ แลว้ มาบรรจุถงุ พลาสติกใส และปิดปากให้สนิท นำ� เขา้ จัดเก็บในหอ้ งท่ีสะอาด เย็น ไมอ่ ับช้นื 6. ขอ้ มูลอ่ืนๆ 6.1 สารสำ� คญั ใบกลบี เลย้ี งและใบประดบั มสี ารสแี ดงจำ� พวก แอนโธไซยานนิ (Anthocyanin) จงึ ทำ� ใหม้ สี มี ว่ งแดง เชน่ สาร ไซยานดิ นิ (Cyanidin) เดลพนิ ดิ นิ (Delphinidin) และมกี รดอนิ ทรยี ห์ ลายชนดิ เชน่ กรดแอสคอบกิ (Ascorbic acid, วิตามินซ)ี กรดซติ รกิ (Citric acid) กรดมาลกิ (Malic acid) และกรดทาทารกิ (Tartaric acid) กรดเหลา่ น้ี ทำ� ใหฝ้ กั กระเจย๊ี บมรี สเปรย้ี วและยงั มพี บวติ ามนิ เอ Pectin และแรธ่ าตอุ นื่ ๆ ได้แก่ แคลเซียมในปริมาณสูง ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เป็นต้น ใบและยอดออ่ นมวี ติ ามนิ เอ แคลเซยี ม และฟอสฟอรสั ในปรมิ าณสงู 6.2 สรรพคุณ ลดความดันโลหิตสูง แก้อาการขัดเบา ขบั ปสั สาวะ แก้นว่ิ เปน็ ยากัดเสมหะ 6.3 การใชป้ ระโยชน์ เปน็ พชื สง่ ออกไปจำ� หนา่ ยตา่ งประเทศ โดยนำ� ไปใชเ้ ปน็ สว่ นผสมสำ� คญั สำ� หรบั herbal tea และใชใ้ นอตุ สาหกรรมอาหาร ไดแ้ ก่ เยลลี่ แยม ไอศกรมี ซอส ไวน์ นำ้� หวาน เปน็ ตน้ ผลติ ภัณฑ์ชาชงเคร่ืองด่มื และอตุ สาหกรรมสีผสมอาหาร 5

ข้อมลู สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตและให้ผลผลิตของกระเจี๊ยบแดง สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม 1.สภาพภูมิอากาศ - ประมาณ 30-35 องศาเซลเซยี ส 1.1 อณุ หภูมิ - เปน็ พชื วนั สน้ั ตอ้ งการแสง 13 ชว่ั โมงในชว่ งการเจรญิ เตบิ โต 4-5 เดอื น 1.2 แสง เพ่ือป้องกนั การออกดอก และออกดอกท่ี ชว่ งแสง 11 ชวั่ โมง - ตอ้ งการแดดจดั เต็มวัน 1.3 ความชืน้ สมั พัทธ์ - ความชน้ื สมั พทั ธ์ ต่�ำกวา่ 60 เปอร์เซน็ ต์ 1.4 ปริมาณน�้ำฝน - 1,500-2,000 มลิ ลเิ มตร และสามารถทนแลง้ ไดด้ ี 2. สภาพพ้ืนที่ - ไมเ่ กนิ 2 เปอรเ์ ซนต์ เพอ่ื ให้ระบายน�้ำดี 2.1 ความลาดเท - ระดับน้ำ� ทะเล ถึง 900 เมตรเหนอื ระดับนำ้� ทะเล 2.2 ความสูงของพื้นที ่ - ดินทุกชนดิ แตท่ เ่ี หมาะเป็นพิเศษคอื ดินเนนิ เขา ดนิ สีแดง 3.สภาพดิน - 4.5 - 8 3.1 ลกั ษณะดิน 3.2 ความเป็นกรด/ดา่ งของดนิ (pH) 4. สภาพนำ้� - นำ�้ ท่เี หมาะสมในการเกษตร สะอาดไม่มสี ารเคมปี นเป้อื น

แนวทางการเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิต และแหลง่ สืบคน้ ขอ้ มูลเพ่ิมเติม แนวทางการเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการผลติ 1. การจัดการการผลติ ท่เี หมาะสม โดย - ก�ำหนดช่วงเวลาปลูกท่ีเหมาะสม เน่ืองจากเป็นพืชวันส้ัน หากปลูกล่าช้า ต้นกระเจี๊ยบ จะออกดอกโดยยงั มกี ารเจริญเติบโตไม่เต็มท่ี ดอกเล็กไม่สมบูรณ์ - ปลกู โดยวธิ หี ยอดหลมุ และใชร้ ะยะปลกู ทถี่ กู ตอ้ ง ไมค่ วรใชว้ ธิ หี วา่ น เพอื่ ใหต้ น้ กระเจย๊ี บแดง สามารถแตกกง่ิ แขนง และใหผ้ ลผลติ สงู การปลกู ถ่ี แนน่ จะไมม่ กี ารแตกกงิ่ กา้ น ทำ� ใหไ้ ดจ้ ำ� นวนดอก น้อยกว่ามาก - เกบ็ เมลด็ พนั ธด์ุ ี โดยคดั เลอื กตน้ ทมี่ คี ณุ ภาพดี เนอ้ื หนาสแี ดงเขม้ ดอกขนาดใหญ่ แตกแขนง ดี สำ� หรับเก็บเมลด็ ทำ� พันธุ์ - ไม่เกบ็ เก่ียวทั้งตน้ ควรเก็บเกี่ยวเฉพาะดอกกระเจ๊ียบแดงท่แี กจ่ ดั เหลือดอกอ่อนและเล็ก ให้เจรญิ เติบโตตอ่ ไปแลว้ จึงเก็บเกี่ยวอีกครัง้ 2. การให้สารอาหารเสริมเพ่ือเพิ่มปริมาณผลผลิต ได้แก่ ให้ปุ๋ยน้�ำชีวภาพหรือจุลินทรีย์ 1 - 2 เดอื นตอ่ ครง้ั หรอื การใหม้ ลู คา้ งคาว 1 - 2 กำ� มอื ตอ่ เดอื น โดยละลายนำ�้ รดโคนตน้ จะชว่ ยใหด้ อก ดกและสเี ข้มข้ึน แหล่งสืบค้นขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก, เอกสารคมู่ อื การปลกู สมนุ ไพรที่เหมาะสม. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์องคก์ ารสงเคราะหท์ หารผา่ นศึก. 2553 สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก, เอกสารคมู่ อื การปลูกพืชสมุนไพรเศรษฐกิจ. พิมพ์ครั้งท่ี 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้า และพัสดุภณั ฑ.์ 2548 สถาบันการแพทยแ์ ผนไทย กรมการแพทย์, ไมร้ ิมรัว้ . พมิ พค์ รง้ั ที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การ สงเคราะหท์ หารผา่ นศึก. 2542 ดสิ ทตั โรจนาลกั ษณ,์ ปลกู ยารกั ษาป่า (2). พิมพ์คร้ังที่ 2. กรงุ เทพฯ : บริษทั ที คิว พี จ�ำกดั . 2555 กองสง่ เสรมิ พชื สวน กรมสง่ เสรมิ การเกษตร, เอกสารคมู่ อื การปลกู สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศ ชดุ ท่ี 1. พิมพค์ รัง้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ : 2545. http://www.worldagroforestrycentre.org/sea/products/afdbases/af/asp/SpeciesInfo.asp?SpID=17931 7

กระชายดำ� ขั้นตอนการปลูกและการดแู ลรักษากระชายดำ� การเตรยี มการ 60 วนั 90 วนั 150 วัน 210 วัน 240 วนั 270 วนั 300 วนั การเตรยี มดิน การปลูก การให้น�ำ้ การใส่ปยุ๋ การกำ�จัดวชั พืช - ใสป่ นู ขาวเพอ่ื ปรบั สภาพดนิ - ขดุ หลมุ ลกึ ประมาณ ใหร้ ดนำ้� พอชมุ่ แตไ่ มแ่ ฉะ ใชป้ ยุ๋ ชวี ภาพฉดี พน่ กำ� จดั วชั พชื พรอ้ ม 200 - 400 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ 10 - 15 เซนติเมตร และอยา่ ใหน้ ำ�้ ขัง พรอ้ มกบั การกำ� จดั พรวนดนิ ไถกลบทิง้ ไว้ 10 - 15 วัน แลว้ นำ� หวั พนั ธล์ุ งปลกู ตามความเหมาะสม วชั พชื และพรวนดนิ - ไถพรวน 2 ครง้ั ตากดนิ ไว้ ประมาณ 2 - 3 แง่ง ของสภาพแวดล้อม เมอ่ื มใี บ 2-3 ใบ 3 สปั ดาห์ กลบดินใหแ้ นน่ - ใหป้ ยุ๋ อกี ครง้ั เมอื่ - ยกแปลงกวา้ ง 1.50 เมตร รดน�้ำให้ช่มุ กระชายดำ� เรม่ิ ออกดอก การเก็บเกย่ี ว สงู ประมาณ 25 เซนตเิ มตร - ระยะปลกู 25 X 30 - ไมค่ วรใชป้ ยุ๋ เคมี เกบ็ เกย่ี วเมอื่ อายุ 240 – 360 ใชป้ ยุ๋ คอกมลู ไกผ่ สมแกลบ เซนตเิ มตร พนื้ ท่ี 1 ไร่ วนั สงั เกตจากใบและลำ� ตน้ รองพ้ืน ใช้หัวพนั ธ์ปุ ระมาณ จะเรม่ิ เหย่ี วแหง้ และหลดุ ออก 200 - 250 กิโลกรมั จากตน้ โดยใชจ้ อบหรอื เสยี ม การเตรยี มพนั ธ์ุ ขดุ หวั กระชายดำ� ขนึ้ มา - ใชห้ วั ขนาดเลก็ หรอื แบง่ หวั กระชายดำ� ออกมาเปน็ แงง่ ๆ ศัตรทู ส่ี �ำคญั และการป้องกนั กำ� จัด การปฏบิ ัติหลงั การเก็บเกีย่ ว - กอ่ นนำ� ไปปลกู ควรทา - วชั พชื : ไมพ่ บวา่ มวี ชั พชื ใดทำ� ใหเ้ กดิ ความเสยี หายรนุ แรง หากพบ เคาะดนิ ใหห้ ลดุ ออกจากหวั จากนนั้ ตดั ราก และนำ� ไปลา้ งนำ�้ รอยแผลของแงง่ ทถี่ กู หกั ใหถ้ อนทำ� ลาย ใหส้ ะอาด ผง่ึ ลมใหแ้ หง้ นำ� มาทำ� แหง้ โดยหนั่ เปน็ ชน้ิ บางๆ ออกมาดว้ ยปนู กนิ หมาก - โรค: โรคเหยี่ วหรือโรคหัวเน่า หากพบ ใชท้ ่อนพนั ธุท์ ี่ปลอดจากโรค น�ำไปตากแดด หรืออบให้แห้ง ด้วยเคร่ืองอบ อุณหภูมิ หรอื จมุ่ ในนำ�้ ยากนั เชอ้ื รา ไมป่ ลกู ซำ�้ ทเี่ ดมิ ปลกู หมนุ เวยี นทกุ ปดี ว้ ยพชื ตระกลู ถว่ั หรอื พชื หมนุ เวยี น 55 องศาเซลเซยี ส นำ� ไปบรรจถุ งุ พลาสตกิ ใส 2 ชน้ั ปดิ ปาก - ผง่ึ ในทร่ี ม่ จนหมาดหรอื แหง้ อนื่ ๆ ในแหลง่ ทม่ี กี ารระบาดของโรค ใหอ้ บดนิ ฆา่ เชอ้ื ในดนิ โดยใชย้ เู รยี ใหส้ นทิ นำ� เขา้ เกบ็ ในหอ้ งทสี่ ะอาด ไมอ่ บั ชน้ื มอี ากาศถา่ ยเทดี และปนู ขาว อตั รา 80 :100 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ โรยและคลกุ เคลา้ ดนิ ในแปลงปลกู แลว้ ใชพ้ ลาสตกิ สีดำ� คลมุ แปลงอบดินไว้เปน็ เวลา 3 สัปดาหก์ อ่ นปลกู - ศตั ร:ู หนอนเจาะลำ� ตน้ หากพบ ใหเ้ กบ็ สว่ นทถ่ี กู ทำ� ลายเผาทง้ิ ภายนอกแปลง

เทคนิคการปลกู และดูแลรกั ษากระชายดำ� 1. การเตรยี มการก่อนปลูก 1.1 การเตรียมดนิ ใสป่ นู ขาวเพอ่ื ปรบั สภาพดนิ 200 - 400 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ไถกลบทง้ิ ไว้ 10 - 15 วนั ไถพรวน 2 ครง้ั ตากดนิ ไว้ 3 สัปดาห์ 1.2 การเตรียมพันธ์ุ - พันธุ์กระชายด�ำจ�ำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือสายพันธุ์ใบแดง มีเนื้อในเหง้าสีเข้ม และสายพนั ธใ์ุ บเขยี ว มเี นอ้ื ในเหงา้ สจี าง กรมวชิ าการเกษตรไดข้ น้ึ ทะเบยี นกระชายดำ� ไว้ 2 พนั ธ์ุ ไดแ้ ก่ พนั ธภ์ุ เู รอื 10 (สายพนั ธใ์ุ บแดง) และภเู รอื 12 (สายพนั ธใ์ุ บเขยี ว) สายพนั ธภ์ุ เู รอื 10 เปน็ พนั ธท์ุ เ่ี กษตรกร นิยมปลูกมากท่ีสดุ และมคี ุณภาพดี - ใช้หวั แกจ่ ดั อายุ 11 - 12 เดอื น เกบ็ รกั ษาในหอ้ งเยน็ 1 - 3 เดือน 2. การปลกู 2.1 วธิ ปี ลูก - ยกแปลงกวา้ ง 1.50 เมตร สงู ประมาณ 25 เซนตเิ มตร ขดุ หลมุ ลกึ ประมาณ 10 - 15 เซนตเิ มตร แล้วนำ� หัวพันธล์ุ งปลูกประมาณ 2 - 3 หัวตอ่ หลมุ กลบดนิ ใหแ้ นน่ รดน้ำ� ให้ชมุ่ - หวั กระชายดำ� จะมหี ลายแงง่ ใหห้ กั ออกมาเปน็ แงง่ ๆ กอ่ นนำ� ไปปลกู ควรทารอยแผลของแงง่ ทถ่ี กู หกั ออกมาดว้ ยปนู กนิ หมาก หรอื จมุ่ ในนำ�้ ยากนั เชอื้ รา แลว้ ผงึ่ ในทรี่ ม่ จนหมาดหรอื แหง้ แลว้ จงึ นำ� ไปปลกู 2.2 ระยะปลกู - ระยะหา่ งระหวา่ งตน้ 30 x 30 เซนตเิ มตร ใชห้ วั พนั ธป์ุ ระมาณ 200 - 250 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ 3. การดแู ลรักษา 3.1 การใส่ปุ๋ย ใชป้ ยุ๋ คอกมลู ไกผ่ สมแกลบรองพน้ื หรอื ใชป้ ยุ๋ ชวี ภาพฉดี พน่ พรอ้ มกบั การกำ� จดั วชั พชื และ พรวนดนิ เมอื่ มใี บ 2 - 3 ใบ และใหอ้ กี ครง้ั เมอ่ื กระชายดำ� เรม่ิ ออกดอก ไมค่ วรใชป้ ยุ๋ เคมกี บั กระชายดำ� 3.2 การให้น�้ำ ให้รดน้�ำพอชุ่มแต่ไม่แฉะ และอย่าให้นำ�้ ขัง 9

4. การป้องกนั และก�ำจัดศัตรพู ชื 4.1 วชั พืช ไมพ่ บว่ามีวัชพชื ใดทำ� ใหเ้ กิดความเสียหายรุนแรง หากพบให้ถอนทำ� ลาย 4.2 โรค โรคเหี่ยวหรอื โรคหัวเน่า เกดิ จากเชื้อแบคทเี รยี Ralstonia solanacearum จะทำ� ให้ตน้ มีอาการใบเหลอื ง ต้นเหย่ี ว และหัวเนา่ ในทส่ี ุด - การปอ้ งกันก�ำจัด : หากพบโรคใหถ้ อนเกบ็ ส่วนทเ่ี ป็นโรคเผาท้ิงท�ำลายนอกแปลงปลูก การปอ้ งกนั โรค ใช้ทอ่ นพันธทุ์ ีป่ ลอดจากโรค ไม่ปลกู ซำ้� ทเ่ี ดิม ปลกู หมุนเวียนทกุ ปดี ้วยพชื ตระกูลถว่ั หรอื พชื หมนุ เวยี นอนื่ ๆ ในแหลง่ ทมี่ กี ารระบาดของโรค ใหอ้ บดนิ ฆา่ เชอื้ ในดนิ โดยใชย้ เู รยี และปนู ขาว อัตรา 80 - 100 กิโลกรัมต่อไร่ โรยและคลกุ เคล้าดินในแปลงปลกู แลว้ ใชพ้ ลาสติกสดี �ำคลมุ แปลง อบดนิ ไว้เป็นเวลา 3 สัปดาห์กอ่ นปลูก 4.3 แมลงศตั รู : หนอนเจาะลำ� ตน้ การปอ้ งกนั กำ� จดั : ใหใ้ ชว้ ธิ กี ล 5. การปฏบิ ตั ิก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว 5.1 เกบ็ เกย่ี วเมอ่ื อายุ 240 – 360 วนั สงั เกตจากใบและลำ� ตน้ จะเรม่ิ เหย่ี วแหง้ และหลดุ ออกจากตน้ โดยใชจ้ อบหรือเสยี มขดุ หัวกระชายด�ำขึน้ มา 5.2 เคาะดนิ ใหห้ ลดุ ออกจากหวั จากนนั้ ตดั รากและนำ� ไปลา้ งนำ�้ ใหส้ ะอาด ผง่ึ ลมใหแ้ หง้ นำ� มาทำ� แหง้ โดยหน่ั เปน็ ชน้ิ บางๆ นำ� ไปตากแดด หรอื อบใหแ้ หง้ โดยใชเ้ ครอื่ งอบ ดว้ ยอณุ หภมู ิ 55 องศาเซลเซยี ส นำ� ไปบรรจถุ งุ พลาสตกิ ใส 2 ชน้ั ปดิ ปากถงุ ใหส้ นทิ นำ� เขา้ เกบ็ ในหอ้ งที่ สะอาด ไมอ่ บั ชืน้ มีอากาศถ่ายเทดี 6. ข้อมลู อื่นๆ 6.1 สารส�ำคัญ สารที่พบในกระชายด�ำได้แก่ Borrneol, Sylvestrene, สาร 5,7-dimethoxyflavone, สาร Flavonoids 9 ชนดิ 6.2 สรรพคณุ มีฤทธิ์ต้านการอกั เสบและตา้ นเช้ือจลุ นิ ทรยี ์ บำ� รงุ หวั ใจและโรคลมทกุ ชนดิ แกอ้ าการปวดทอ้ ง จกุ เสยี ด ทอ้ งเดนิ ขับปสั สาวะ เป็นยาอายุวัฒนะ บ�ำรุงกำ� ลงั การศึกษาวจิ ัยพบว่า กระชายดำ� มฤี ทธทิ์ างชวี ภาพทน่ี า่ สนใจและแสดงถงึ ศกั ยภาพทจ่ี ะ สามารถนำ� ไปพฒั นาเปน็ ผลติ ภณั ฑเ์ พอ่ื สขุ ภาพ รวมถงึ ยา อาหาร และเคร่อื งสำ� อางได้ โดยองค์ประกอบของฤทธิ์ทางชวี ภาพ เชน่ ฤทธต์ิ า้ นเชอ้ื จลุ ชพี ตา้ นการอกั เสบ ตา้ นอนมุ ลู อสิ ระ และขยายหลอดเลอื ด 6.3 การใชป้ ระโยชน์ ปจั จบุ นั ผลผลติ จากกระชายดำ� มจี ำ� หนา่ ย ในทอ้ งตลาดในรูปหัวสด หัวแห้ง และผลิตภณั ฑอ์ ่นื ๆ เช่น ชาชง ลูกอม ไวน์กระชายดำ� แคปซลู กระชายดำ� 10

ข้อมลู สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและใหผ้ ลผลติ ของกระชายดำ� สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ขอ้ จำ� กัด 1.สภาพภูมอิ ากาศ - อากาศรอ้ นชื้น อุณหภมู ิประมาณ 25 - 30 องศาเซลเซียส พนื้ ทร่ี ะบายนำ้� ไมด่ เี ปน็ ปจั จยั 1.1 อุณหภมู ิ - ความชื้นสมั พทั ธ์เฉลี่ย 60 - 80 เปอร์เซ็นต์ ส�ำคัญที่ท�ำให้เกิดโรคเห่ียว 1.2 ความช้นื สมั พัทธ์ - แสงแดดร�ำไรตลอดวัน หรือโรคหัวเน่าจากเชื้อ 1.3 แสง - พ้ืนท่สี งู จากระดบั น้�ำทะเลประมาณ 500 - 700 เมตรขน้ึ ไป แบคทีเรยี - มคี วามลาดเอยี งของพื้นที่ ไม่เกิน 3 เปอรเ์ ซน็ ต์ 2. สภาพพ้นื ที่ - ดนิ รว่ นปนทราย 2.1 ความสงู จากระดบั น้�ำทะเล - มอี นิ ทรยี วัตถไุ ม่นอ้ ยกวา่ 3.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ 2.2 ความลาดเอยี ง - ระบายน�้ำดี ไมท่ ่วมขัง 3.สภาพดนิ 3.1 ประเภทของดนิ 3.2 อนิ ทรยี วัตถุ 3.3 การระบายน้ำ� 4. สภาพนำ้� - แหลง่ น�ำ้ ทีเ่ หมาะสมกับการเกษตร สะอาดไม่มสี ารเคมปี นเปื้อน

แนวทางการเพิ่มประสิทธภิ าพการผลิต และแหล่งสบื ค้นขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ แนวทางการเพมิ่ ประสิทธภิ าพการผลติ การจัดการผลิตเพอื่ ใหม้ สี ารส�ำคญั สงู 1. การเลือกพ้ืนท่ีปลูกกระชายด�ำ ในพื้นท่ีสูงกว่าระดับน�้ำทะเลมากกว่า 500 เมตร ไม่ปลูกกระชายดำ� ในพ้ืนที่ตำ่� 2. การพรางแสง ใชต้ าขา่ ยพรางแสง 60% และใชว้ สั ดคุ ลมุ แปลง จะทำ� ใหไ้ ดผ้ ลผลติ กระชายดำ� ทม่ี คี ณุ ภาพดี โดยมีปรมิ าณสารสำ� คัญเพม่ิ ขน้ึ 3. เก็บเกี่ยวให้ตรงตามช่วงอายุการเก็บเกี่ยว คือ ประมาณ 8-9 เดือน เพราะการเก็บเกี่ยว กอ่ นกำ� หนดจะมีผลต่อคุณภาพของหวั กระชายด�ำโดยตรง 4. การคัดเลือกพันธุ์ ควรเลือกพันธุ์ท่ีมีเน้ือในเหง้าสีเข้ม เพราะจะให้สารออกฤทธิ์ดีกว่าพันธุ์ ที่เน้อื ในเหง้าสอี ่อน แหลง่ สบื ค้นข้อมลู เพิ่มเตมิ สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก, เอกสารคมู่ อื การปลกู สมนุ ไพรทเี่ หมาะสม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะหท์ หารผ่านศกึ . 2553 สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, เอกสารคู่มือ การปลูกพืชสมุนไพรเศรษฐกิจ. พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้า และพสั ดภุ ัณฑ.์ 2548 http://it.doa.go.th/vichakan/news.php?newsid=22 12

กระวาน ข้ันตอนการปลูกและการดแู ลรักษากระวาน 2 - 3 ปเี ป็นตน้ ไป การเตรยี มการ 1 ปี การเตรียมดิน การปลกู การให้นำ้� การใสป่ ุ๋ย การกำ�จดั วัชพชื - เลอื กพ้ืนทปี่ ลกู รว่ มใน - ขดุ หลมุ ลึก ให้นำ้� สม่�ำเสมอ - ใชป้ ยุ๋ อนิ ทรยี ห์ รอื ปยุ๋ คอก - กำ� จดั วัชพชื เลก็ นอ้ ย สวนผลไมห้ รอื สวนยางพารา 30 เซนตเิ มตร อย่าให้ขาดนำ้� ปยุ๋ หมักเกา่ ปรมิ าณ ไม่ต้องท�ำให้เตยี นโลง่ ทกี่ รดี แลว้ ทม่ี รี ม่ เงา อดุ มดว้ ย - ระยะปลกู 3 - 5 กโิ ลกรมั ตอ่ กอ - ตดั ใบแกท่ แี่ หง้ และ อินทรยี ว์ ตั ถุ ความหนา 2.5 x 2.5 เมตร - ช่วงตน้ และปลายฤดูฝน ลำ� ต้นทแี่ ห้งตาย หรือ ของหน้าดนิ ไมต่ ่�ำกวา่ - ปลูกต้นฤดฝู น ไมส่ มบรู ณอ์ อกใหห้ มด 10 เซนติเมตร ดินร่วนปน (มิ.ย. - ก.ค.) การเก็บเกีย่ ว ทรายระบายนำ�้ ดี - เลือกเก็บผลแก่ โดยผล - เตรียมพ้นื ท่ีเพยี งเลก็ นอ้ ย ส่วนลา่ งของชอ่ ดอกจะเร่มิ พอทจ่ี ะใชเ้ หงา้ กระวานลงปลกู สกุ กอ่ นไปหาปลายช่อ - การเกบ็ ทัง้ ช่อควรเกบ็ เม่อื มีผลแก่ 3 ใน 4 ของช่อ การเตรียมพนั ธ์ุ - เลอื กกอแมท่ มี่ อี ายุ 18 เดอื นถงึ 2 ปี - แยกเหงา้ ที่มีหนอ่ ตดิ จากกอ กระวานกอเดมิ เลอื กตน้ ทแ่ี ขง็ แรง ศตั รูท่ีส�ำคัญและการป้องกันกำ� จดั การปฏบิ ตั ิหลงั การเก็บเกย่ี ว มีหนอ่ ตดิ มาดว้ ย 2 - 3 หนอ่ สตั วจ์ �ำพวกหนู กระรอก กระแต แทะกินผล ผลกระวานทำ� ใหแ้ หง้ โดยการตากแดดในภาชนะทส่ี ะอาด 5 - 7 แดด มีความสงู ประมาณ 1 - 2 ฟุต อตั ราแหง้ คอื ผลกระวานสด 3 กโิ ลกรมั จะไดผ้ ลกระวานแหง้ 1 กโิ ลกรมั

เทคนิคการปลูก และดแู ลรกั ษากระวาน 1. การเตรียมการกอ่ นปลูก 1.1 การเตรียมดนิ เลือกพน้ื ทีป่ ลกู กระวานในสภาพลกั ษณะธรรมชาติทกี่ ระวานจะขนึ้ ภายใต้รม่ ไมใ้ หญท่ ่ีรม่ ตลอดเวลา มีแสงแดดถึงพื้นดินบ้างเล็กน้อย ที่มีระดับความสูง ลาดเอียงเล็กน้อย อุณหภูมิต่�ำ มคี วามชนื้ สงู และสมำ่� เสมอ ดนิ มอี นิ ทรยี ว์ ตั ถสุ งู มใี บไมท้ บั ถม (ฮวิ มสั ) ไดแ้ ก่ การปลกู รว่ มในสวนผลไม้ หรอื สวนยางพาราท่กี รีดแลว้ เตรยี มพ้นื ที่เพยี งเลก็ นอ้ ยพอท่จี ะใชเ้ หงา้ กระวานลงปลกู 1.2 การเตรยี มพันธุ์ มี 2 วธิ ี คือ 1) ขยายพนั ธโ์ุ ดยใชเ้ หงา้ แยกเหงา้ จากกอแมท่ ม่ี อี ายุ 18 เดอื นถงึ 2 ปี เหงา้ ทแี่ ยกออกมา ควรมหี น่อตดิ มาด้วย 2 - 3 หน่อ มีความสงู ประมาณ 1 - 2 ฟุต ไม่ควรตัดยอดออก เพราะจะทำ� ให้ เปอร์เซ็นต์การตายสูง ถ้าต้องการปลูกจ�ำนวนไม่มากนัก การแยกหน่อเป็นวิธีท่ีง่ายและสะดวก แต่ต้นพนั ธุ์จากการแยกหน่อจากแปลง ไม่ควรหา่ งไกลการขนสง่ ไปแปลงปลูก 2) ขยายพนั ธด์ุ ว้ ยเมลด็ ไมน่ ยิ มเพราะเจรญิ เตบิ โตชา้ กวา่ แตห่ ากวา่ ตอ้ งการปลกู ในพนื้ ทม่ี าก การเพาะเมลด็ จะทำ� ใหไ้ ดจ้ ำ� นวนตน้ กลา้ กระวานในปรมิ าณมากในเวลาอนั สนั้ เพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ ใช้ขยายพ้ืนที่ปลูก กระวานท่ีสมบูรณ์ดีจะมีเมล็ดจ�ำนวนมาก กระวานติดผลเป็นช่อ ช่อหน่ึงๆ มปี ระมาณ 10 - 20 ผล รปู ทรงกลม มเี มลด็ 9 - 18 เมลด็ ตอ่ ผล เมลด็ แกเ่ ตม็ ทมี่ สี ดี ำ� มเี ยอ่ื หมุ้ บางๆ การเพาะเมล็ดโดยน�ำไปเพาะในท่ที ม่ี ีความชน้ื สมำ่� เสมอ 2. การปลูก 2.1 วิธีปลูก ขุดดินเป็นหลุมลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกคลุกลงหลุมก่อนปลูก วางหน่อพันธุก์ ระวานในหลุมปลูกในลกั ษณะตัง้ ตรง ฝังหน่อลึกประมาณ 3 - 4 นิ้ว กลบดนิ กดโคน ใหแ้ น่น รดนำ้� ให้ชุ่มช้นื 2.2 ระยะปลูก ระยะระหว่างกอ 2.5 x 2.5 เมตร ไมน่ ิยมปลกู ชดิ มาก ต้องเว้นทว่ี ่างไวใ้ ห้หนอ่ ได้ขยายเพม่ิ ขึ้นทุกปี 2.3 จ�ำนวนต้น ประมาณ 100 กอต่อไร่ 14

3. การดูแลรักษา 3.1 การใสป่ ุ๋ย หลีกเล่ียงการใชป้ ยุ๋ เคมี ใสป่ ุ๋ยคอกเก่าปีละ 2 ครง้ั ชว่ งตน้ และปลายฝน กอละ 3 - 5 กโิ ลกรัม 3.2 การให้น�้ำ ใหน้ ้�ำให้มีความชุ่มช้ืนอย่เู สมอ โดยเฉพาะในช่วงแล้ง 3.3 การดแู ลรกั ษาท่ีตอ้ งท�ำประจ�ำ คอื ตัดใบแกท่ ่แี ห้งและล�ำตน้ ทแี่ หง้ ตายหรือไม่สมบูรณ์ ออกให้หมด เพือ่ สะดวกในการเก็บเก่ียว 4. การป้องกันและก�ำจัดศัตรพู ชื 4.1 ศัตรพู ชื กระวานเป็นพืชท่ีมีศตั รูน้อย ศตั รูพชื ที่พบ ไดแ้ ก่ สตั ว์จำ� พวก หนู กระรอก กระแต กัดกินผลในช่วงใกลเ้ ก็บเกยี่ ว นอกจากนอ้ี าจมใี บไหม้ เนือ่ งจากไดร้ บั แสงมากเกินไป 4.2 ก�ำจัดวัชพชื ควรทำ� เลก็ น้อย ไม่ต้องทำ� ให้เตยี นโล่ง 5. การปฏิบตั กิ อ่ นและหลงั การเกบ็ เกี่ยว กระวานปที ่ี 3 จะเรมิ่ ทะยอยออกดอกตลอดปี ชว่ งทอี่ อกดอกมากคอื เดอื นเมษายนถงึ กรกฏาคม หลังออกดอก 4 - 5 เดือนจะเร่มิ สกุ แก่ โดยเมล็ดสว่ นล่างของช่อดอกจะเริม่ สกุ กอ่ นไปหาปลายชอ่ 5.1 การเกบ็ เกยี่ ว ควรเลอื กเกบ็ หากไมส่ ามารถเลอื กเกบ็ ได้ การเกบ็ ทง้ั ชอ่ ควรเกบ็ เมอื่ มผี ลแก่ 3 ใน 4 ของชอ่ ระยะแรกจะใหผ้ ลผลิตตำ่� อายุ 5 ปขี ้นึ ไป ผลผลติ จะเพมิ่ ขึ้น 5.2 การปฎบิ ตั ิหลังการเกบ็ เก่ยี ว ผลกระวานทำ� ใหแ้ หง้ โดยการตากแดดในภาชนะทสี่ ะอาด 5 - 7 แดด หรอื การอบดว้ ยเครอ่ื งอบแหง้ แบบลมรอ้ น โดยใชอ้ ณุ หภมู ติ ำ�่ และระยะเวลานาน อตั ราแหง้ คอื ผลกระวานสด 3 กโิ ลกรัม จะได้ผลกระวานแหง้ 1 กโิ ลกรัม 6. ข้อมลู อ่นื ๆ 6.1 กระวานไทย ( Amomum Krervanh Pierre) มผี ลกลม พบมีการกระจายตัวอยใู่ นประเทศ แถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ นยิ มใชใ้ นอตุ สาหกรรมยาแผนโบราณ สำ� หรบั กระวานเทศ (Elettaria cardamomum L. Maton) มีผลรี มถี ิน่ กำ� เนดิ อยู่ที่ประเทศอนิ เดยี นิยมใช้เปน็ เครอ่ื งเทศ 6.2 การใชป้ ระโยชน์ กระวานใชผ้ ลสกุ ทมี่ เี มลด็ จำ� นวนมากขา้ งใน ผลกระวานมกี ลน่ิ หอมฉนุ คลา้ ยการบรู รสเผด็ มสี รรพคณุ รกั ษาอาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ ขว่ ยขบั ลม ใชม้ ากในตำ� รบั ยาแผนโบราณ ใช้เป็นเคร่ืองเทศแต่งกล่ินอาหาร หน่ออ่อนนิยมใช้เป็นอาหาร และใช้ไล่แมลงโดยตัดต้นแก่ทิ้งไว้ จะมกี ลนิ่ ท่ีไลแ่ มลงได้ 15

ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมต่อการเจริญเตบิ โตและใหผ้ ลผลิตของกระวาน สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จ�ำกดั 1. สภาพภูมิอากาศ - ความชืน้ สมั พัทธส์ งู และสม่�ำเสมอ จงึ ออกดอกและติดเมล็ด ต้องการสภาพแวดล้อมที่ 1.1 ความช้ืนสัมพทั ธ์ - อากาศเย็น ช่มุ ชนื้ สมำ่� เสมอ จำ� กดั ในการเจรญิ เตบิ โต หาก 1.2 อุณหภูมิ - มีรม่ เงาไม้ใหญป่ กคลมุ ไม้พนื้ ลา่ งท้ังปี ต้องการแสง 30 - 50 % สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม 1.3 แสง - ไมเ่ ป็นทโ่ี ล่ง ท่ีมีลมแรง จะไมอ่ อกดอก หรอื ไมต่ ดิ ผล 1.4 ลม - ปรมิ าณนำ�้ ฝน 3,000 - 3,500 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี และมกี ารกระจายตวั ตลอดปี 1.5 ปรมิ าณน�ำ้ ฝน 2. สภาพพ้นื ที่ -ความลาดเท 3 - 50 องศา บรเิ วณไหล่เขา 2.1 ความลาดเทของพื้นท่ี -ความสงู จากระดบั นำ�้ ทะเลปานกลาง ต้งั แตร่ ะดับน�้ำทะเลถึง 800 เมตร 2.2 ความสงู ของพ้นื ที่ เหนอื ระดบั นำ้� ทะเล 3. สภาพดิน - ดนิ อดุ มสมบูรณ์ - กระวานไม่ทนดนิ เคม็ 3.1 ประเภทดนิ - มอี นิ ทรยี ์วตั ถสุ ูง มใี บไม้เนา่ ผสุ ะสมทบั ถมกนั อยู่ (humus) 3.2 อินทรยี วัตถุ - มกี ารระบายนำ้� ดี 3.3 การระบายน�้ำ 4. สภาพน�้ำ - นำ้� ที่เหมาะสมใชใ้ นการเกษตร - สะอาด ไมอ่ ยใู่ กลแ้ หลง่ ทม่ี คี วามเสย่ี งในการปนเปอ้ื นสารเคมี หรอื โลหะหนกั

แนวทางการเพม่ิ ประสิทธภิ าพการผลิต และแหลง่ สบื คน้ ข้อมูลเพม่ิ เตมิ แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการผลติ 1. การเลอื กพน้ื ทปี่ ลกู ทเี่ หมาะสมในการปลกู กระวาน เปน็ สง่ิ สำ� คญั มาก เนอื่ งจากกระวานมนี เิ วศน์ ทจ่ี ำ� กดั ตอ้ งการความชน้ื สมั พทั ธส์ งู ตอ้ งไมก่ ระทบแลง้ ในชว่ งระยะเวลานาน ดนิ ตอ้ งอดุ มสมบรู ณม์ าก แสงและรม่ เงาตอ้ งเหมาะสม กระวานจงึ จะออกดอกและตดิ เมลด็ 2. การเกบ็ เกยี่ วกระวานอยา่ งถกู วธิ ี โดยทะยอยเกบ็ ผลกระวานทส่ี กุ จากลา่ งของชอ่ ไปหาบน เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลกระวานทแ่ี กจ่ ดั และมคี ณุ ภาพดี แหล่งสืบคน้ ข้อมลู เพ่ิมเตมิ เฉลมิ เกยี รติ โภคาวฒั นา ภสั รา ชวประดษิ ฐ์ และปราณี บญุ ปาน. 2545. คมู่ อื พชื สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศ ชดุ ที่ 4 เครอ่ื งเทศ. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร ณรงค ์ โทณานนท.์ 2538. กระวาน. โรงพมิ พ์ T.P Print Co.Ltd,, กรงุ เทพฯ C.C. de Guzman and J.S. Siemomsma. 1999. Plant Resources of South East Asia,Spices. PROSEA,Bogor Indonesia. https://sites.google.com/site/spgsubcitizen/kar-pluk-smunphir-ni-swn-phl-mi http://siweb.dss.go.th/qa/search/search_description.asp?QA_ID=427 17

กวาวเครอื ขาว ข้ันตอนการปลูกและการดูแลรกั ษากวาวเครือขาว การเตรยี มการ 2 เดอื น 4 เดอื น 6 เดอื น 8 เดอื น 10 เดอื น 12 เดือน 14 เดือน 16 เดือน 18 เดือน 20 เดอื น 22 เดือน 24เดอื น การเตรยี มดนิ การปลูก การใส่ปุย๋ การใหน้ ้�ำ การกำ�จดั วัชพืช - ไถ ตากดนิ ทงิ้ ไว้ 1 เดอื น - ใชร้ ะยะปลกู -ใสป่ ยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ คอก - หลงั จากปลกู ตอ้ งใหน้ ำ้� 3 – 4 คร้ังต่อปี - เกบ็ เศษวชั พชื หวา่ นปนู ขาว 1.5 x 1.5 เมตร ครงั้ ละ 10 กโิ ลกรมั ตอ่ ตน้ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง 1 – 2 เดอื น ในขณะทว่ี ัชพืชยังเล็ก - ขดุ หลมุ ปลกู ขนาด บริเวณรอบทรงพุ่ม - อายผุ า่ น 3 เดอื นไปแลว้ - ไถพรวน 1 – 2 ครง้ั 50 x 50 x 50 ซม - ใส่ปยุ๋ 2 ครั้งต่อปี ให้นำ้� เป็นครงั้ คราว การเก็บเกยี่ ว - ยกรอ่ ง (ยกเวน้ พนื้ ทลี่ าดชนั ) - ย้ายกลา้ 1 ต้น วาง ครง้ั ที่ 1 หลงั ปลกู 3 เดอื น ตามสภาพแวดล้อม - เกบ็ เก่ียวหลังปลกู 2 ปี ข้ึนไป ในช่วงก่อนออกดอก - รองกน้ หลมุ ดว้ ยปยุ๋ หมกั ท่ีกน้ หลุม ลึก 10 ซม ครง้ั ที่ 2 เมอื่ เรมิ่ ออกดอก - วธิ ีให้นำ้� เปน็ ฝอย หรอื ปยุ๋ คอก อตั รา 10 กโิ ลกรมั เหนอื ผวิ ดนิ รอบโคนตน้ - ขุดหัวกวาวเครือด้วยความระมัดระวัง ไมใ่ ห้ผวิ เปลอื ก เกดิ รอยแผลหรอื ช�้ำ ตัดแยกหัวออกจากเหง้าหรอื ล�ำตน้ การเตรยี มพนั ธ์ุ - เกบ็ เกย่ี วหวั กวาวเครอื ทม่ี นี ำ้� หนกั ตง้ั แต่ 2 กโิ ลกรมั ขนึ้ ไป - การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด : ตัดส่วนปลายเมล็ด เพาะในกระบะ และมขี นาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางต้งั แต่ 15 - 25 เซนติเมตร เม่ือกลา้ อายุ 1 เดอื น ย้ายลงถงุ ชำ� วางไวใ้ ต้หลงั คาพรางแสง 50 % เมื่อกลา้ อายุ 2 เดือน ย้ายลงแปลงปลูก - การปกั ชำ� : ตดั เถายาว 4 – 5 นว้ิ ใหม้ ี 1 ใบ 1 ตา ปกั ชำ� ในถงุ วางไว้ ใตห้ ลงั คาพรางแสง 50 % เมอื่ แทงยอดยาว 12 นวิ้ ยา้ ยลงแปลงปลกู การปฏิบัตหิ ลงั การเกบ็ เกย่ี ว - นำ� หวั กวาวเครอื เข้าทีร่ ่มทนั ที ไม่ควรวางบนพนื้ ดนิ โดยไมม่ วี ัสดรุ องรบั - นำ� หวั ทมี่ รี อยแตกหรอื มบี าดแผลมาแปรรปู กอ่ น หวั ทไี่ มม่ บี าดแผลใหแ้ ปรรปู ภายใน 3 วนั ศตั รูทส่ี �ำคัญและการป้องกันก�ำจัด - ล้างหัวกวาวเครือให้สะอาด ผ่ึงให้สะเด็ดน้�ำ ปอกเปลือก ห่ันเป็นชิ้นบางๆ ยาว 3 ซม. - โรคเหยี่ ว ปอ้ งกนั กำ� จดั โดยปรบั ดนิ ดว้ ยปนู ขาวและปยุ๋ อนิ ทรยี ์ ถอนตน้ ทเี่ ปน็ โรค เกลี่ยให้สมำ่� เสมอในถาด เผาทำ� ลาย เมอ่ื เริ่มมโี รคระบาดในแปลง ใชน้ ำ้� ปนู ใสรดให้ทว่ั - นำ� เขา้ ตู้อบ อณุ หภมู ิ 55 องศาเซลเซียส อบจนแห้งสนิท หรือนำ� ไปตากแดด นาน 3 วัน - ไม่พบแมลงชนิดใดท�ำความเสียหายรนุ แรง - กวาวเครอื ขาวแหง้ เกบ็ ในถุงพลาสติกใส ผนกึ ใหแ้ น่น และเกบ็ ในทสี่ ะอาด - หนอน หอยทาก และตนุ่ ปอ้ งกนั กำ� จดั โดยเกบ็ เศษใบพชื ทำ� ลาย และตดิ กบั ดกั กาวเหนยี วสเี หลืองตลอดฤดปู ลกู

เทคนคิ การปลกู และดูแลรักษากวาวเครือขาว 1. การเตรยี มการกอ่ นปลูก 1.1 การเตรียมดนิ - ไถ ตากดนิ ทิ้งไว้ประมาณ 1 เดอื น เก็บเศษวัชพืชออกจากแปลง - หวา่ นปูนขาว และไถพรวนอกี 1 – 2 คร้ัง - พื้นที่ดอน ยกร่อง สงู 30 – 50 เซนติเมตร ระหว่างแปลงมี ร่องระบายนำ้� - พื้นทล่ี าดชัน ไมต่ ้องยกร่อง แตม่ ีรอ่ งระบายนำ�้ - พนื้ ทร่ี าบหรอื พนื้ ทล่ี มุ่ ยกรอ่ งใหส้ งู กวา่ นำ้� อยา่ งนอ้ ย 1.2 เมตร ระหวา่ งแปลงมรี อ่ งระบายนำ้� คอยระวงั อยา่ ใหน้ ำ้� ทว่ มขงั แปลงปลกู เกนิ 3 วนั - รองกน้ หลมุ ปลกู ดว้ ยปยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ คอกทย่ี อ่ ยสลายสมบรู ณ์ แลว้ อัตรา 10 กโิ ลกรมั ตอ่ หลมุ คลกุ เคลา้ กับดนิ 1.2 การเตรยี มพนั ธุ์ 1) การขยายพนั ธด์ุ ว้ ยเมลด็ มโี อกาสไดต้ น้ ทม่ี คี วามแปรปรวน ทางพนั ธกุ รรมมาก เนอื่ งจากกวาวเครอื ขาวเปน็ พชื ผสมตวั เอง และผสม ข้ามตน้ ได้ - ใชม้ ดี คม ตดั สว่ นปลายเมลด็ ระวงั ไมใ่ หส้ ว่ นเนอ้ื ในเมลด็ แตกหรอื ขาด - น�ำไปเพาะในกระบะเพาะท่มี ีวัสดเุ พาะบรรจอุ ยู่ รดน�ำ้ ให้ชุ่ม แต่อย่าให้แฉะ - เมอ่ื กลา้ มอี ายไุ ด้ 1 เดอื น ยา้ ยลงถงุ ชำ� ทมี่ วี สั ดเุ พาะชำ� ประกอบด้วยดนิ พรุ ร้อยละ 50 ขยุ มะพรา้ ว ร้อยละ 20 ขเ้ี ถ้าแกลบ ร้อยละ 20 และปุย๋ คอก รอ้ ยละ 10 - วางถุงเพาะช�ำไวภ้ ายใต้หลังคาพรางแสง 50 เปอรเ์ ซนต์ หากเป็นพืน้ ซเี มนต์ ต้องหา วัสดรุ องถุงเพาะชำ� และยา้ ยต้นกลา้ ลงแปลงปลูก เมือ่ ตน้ กล้ามอี ายุ 2 เดอื น 2) การปักช�ำ - ตดั เถาทป่ี ระกอบดว้ ยใบ 1 ใบ ตา 1 ตา และลำ� ตน้ ยาว 4 – 5 นว้ิ ปกั ชำ� ลงในแปลงเพาะ ชำ� หรือถงุ ชำ� 19

- วสั ดเุ พาะช�ำประกอบดว้ ย ขเ้ี ถา้ แกลบ รอ้ ยละ 50 ขยุ มะพรา้ ว รอ้ ยละ 20 ทรายหยาบ รอ้ ยละ 20 และป๋ยุ คอกทีห่ มักสมบูรณแ์ ล้ว ร้อยละ 10 - ใหน้ �ำ้ เปน็ ระยะ สมำ่� เสมอ ใชเ้ วลาปกั ชำ� 3 – 4 สปั ดาห์ - กรณปี กั ชำ� ในแปลง เมอ่ื กงิ่ ปกั ชำ� ออกรากใหย้ า้ ยลงถงุ ชำ� และใหน้ ำ�้ เปน็ ระยะตอ่ ไปอกี 7 วนั - วางถุงเพาะช�ำไวภ้ ายใตห้ ลังคาพรางแสง 50 เปอรเ์ ซนต์ - เมอ่ื กวาวเครอื ขาวแทงยอดยาวประมาณ 12 นวิ้ จงึ ทำ� การยา้ ยลงแปลงปลกู โดยใช้ เวลาประมาณ 2 เดอื น ตัง้ แตเ่ รมิ่ ตัดช�ำ 2. การปลูก 2.1 วิธีปลกู 1) ขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 เซนตเิ มตร 2) ยา้ ยกล้าวางที่ก้นหลุมให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร หลุมละ 1 ตน้ กลบดนิ ทเี่ หลอื ลง ในหลมุ กดดินบริเวณโคนต้นพอแน่น รดน้�ำใหช้ ุม่ 2.2 ระยะปลูก ระยะห่างระหวา่ งแถวและต้น ไมน่ ้อยกวา่ 1.5 x 1.5 เมตร 2.3 จ�ำนวนต้นต่อไร่ 400 ตน้ ต่อไร่ 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใส่ปุ๋ย ใสป่ ยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ คอก ครง้ั ละ 10 กโิ ลกรมั ตอ่ ตน้ โดยให้ 2 ครง้ั ตอ่ ปี บรเิ วณรอบทรงพมุ่ แลว้ พรวนดินกลบ คร้ังท่ี 1 หลังปลกู 3 เดอื น ครงั้ ท่ี 2 เมอื่ เรม่ิ ออกดอก 3.2 การให้น�้ำ ให้น้�ำเป็นฝอยเหนือผิวดิน รอบโคนต้น ปริมาณน้�ำที่ให้ สังเกตจากดินในแปลงเปียกช้ืน จึงหยุดให้ และหลังจากปลูกใหม่ๆ ต้องรดน้�ำเป็นระยะๆ ติดต่อกันอย่างน้อย 1 – 2 เดือน (ถา้ เรม่ิ ปลกู ในฤดแู ล้ง) จนกว่าจะเลอ้ื ยพันค้างได้ เมื่อตน้ กวาวเครอื ขาวอายผุ ่าน 3 เดือนไปแล้ว ใหน้ ำ้� เปน็ ครงั้ คราว 20

4. การปอ้ งกันและก�ำจดั ศตั รูพชื 4.1 วชั พชื กำ� จดั ดว้ ยแรงงานในขณะทวี่ ชั พชื ยงั เลก็ และกอ่ นออกดอก ควรกำ� จดั วชั พชื 3 – 4 ครง้ั ตอ่ ปี 4.2 โรค โรคเหย่ี ว ทเี่ กดิ จากเชอ้ื รา ระบาดเมอื่ ความชนื้ ในดนิ สงู เขา้ ทำ� ลายตน้ กลา้ ทมี่ แี ผลบรเิ วณโคนตน้ หรอื ตน้ หักพับทีร่ ะดบั ผวิ ดนิ ทำ� ใหต้ ้นมอี าการเหี่ยวเฉาตาย การป้องกันกำ� จดั - ปรับดนิ ดว้ ยปนู ขาวและปุ๋ยอนิ ทรีย์ - ถอนต้นท่เี ปน็ โรค เผาทำ� ลาย - เม่ือเรม่ิ มีโรคระบาดในแปลง ใช้น�้ำปูนใสรดใหท้ ัว่ 4.3 แมลง ไมพ่ บแมลงชนิดใดท�ำความเสยี หายรุนแรง 4.4 สตั วศ์ ัตรพู ชื หนอน หอยทาก และตุน่ เป็นศตั รูของกวาวเครือในธรรมชาติ การปอ้ งกนั กำ� จดั เกบ็ เศษใบพชื ทำ� ลาย เพอื่ กำ� จดั หนอนและดกั แด้ และตดิ กบั ดกั กาวเหนยี ว สเี หลือง ตลอดฤดปู ลูกเพอ่ื การพยากรณ์ และลดปรมิ าณตัวเตม็ วยั 5. การปฏบิ ัตกิ อ่ นและหลังการเก็บเกย่ี ว 5.1 ระยะเกบ็ เก่ยี วทเี่ หมาะสม เกบ็ เกยี่ วหวั หลงั ปลกู 2 ปี ขนึ้ ไป ในชว่ งกอ่ นออกดอก 5.2 วิธกี ารเก็บเกย่ี ว ขดุ หวั กวาวเครอื ดว้ ยความระมดั ระวงั ไมใ่ หผ้ วิ เปลอื ก เกดิ รอยแผลหรอื ชำ�้ ตดั แยกหวั ออกจากเหงา้ หรอื ลำ� ตน้ เกบ็ เกยี่ ว หวั กวาวเครือทีม่ นี ำ้� หนกั ตั้งแต่ 2 กิโลกรมั ขึ้นไป และมขี นาด เส้นผ่านศนู ยก์ ลางตั้งแต่ 15 – 25 เซนติเมตร 5.3 การเกบ็ รกั ษาผลผลติ 1) หลงั เกบ็ เกยี่ ว น�ำหวั กวาวเครอื ขาวเขา้ ทรี่ ม่ ทนั ที และ ไม่ควรวางบนพ้นื ดนิ โดยไม่มีวัสดุรองรบั 2) สถานที่วางผลผลิตเพ่ือการท�ำแห้ง หรือเก็บรักษา ผลผลติ จะตอ้ งมอี ากาศถา่ ยเทดี ปลอดภยั ตอ่ การเขา้ ทำ� ลายของ แมลงศตั รพู ชื และอยหู่ า่ งจากสงิ่ ปฏกิ ลู เพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเปอ้ื น เชอ้ื โรค 21

3) หวั กวาวเครือขาวท่มี ีรอยแตกหรอื มีบาดแผล ให้นำ� มาท�ำแหง้ กอ่ น หัวทไี่ ม่มีบาดแผล ใหน้ ำ� มาท�ำแหง้ ภายหลัง ภายในเวลาไมเ่ กนิ 3 วัน 4) หากตอ้ งการเกบ็ หวั กวาวเครอื ขาวไวเ้ ป็นเวลานานหลายปี ใหน้ �ำหัวทไี่ ม่มบี าดแผลฝงั ไว้ในกองทรายชื้นๆ 5.4 การท�ำแหง้ 1) ลา้ งหวั กวาวเครือขาวใหส้ ะอาด ผึ่งใหส้ ะเดด็ นำ�้ ปอกเปลือก หั่นหรือตัดเป็นช้นิ บางๆ ยาวประมาณ 3 เซนตเิ มตร เกล่ียใหส้ ม่�ำเสมอในถาด 2) นำ� เขา้ ตอู้ บ อณุ หภมู ิ 55 องศาเซลเซยี ส อบจนแหง้ สนทิ หรอื นำ� ไปตากแดด นาน 3 วนั 3) อตั ราการทำ� แห้ง หวั กวาวเครือสด : กวาวเครือแห้ง เทา่ กบั 10 : 1 4) การบรรจแุ ละการเก็บรกั ษากวาวเครอื ขาวแหง้ โดยเกบ็ ในถงุ พลาสตกิ ใส ผนกึ ให้แน่น และเก็บในทสี่ ะอาด 6. ข้อมลู อื่นๆ 6.1 สารสำ� คญั และสรรพคณุ กวาวเครอื ขาวมสี ารออกฤทธคิ์ ลา้ ยฮอรโ์ มนเอสโตรเจนในเพศหญงิ (Phytoestrogens) ไดแ้ ก่ ไมโรเอสทรอล (Miroestrol) และ ดีออกซีไมโรเอสทรอล (Deoxymiroestrol) จงึ ใชร้ กั ษาอาการรอ้ นวบู วาบ เหงอ่ื ออกกลางคนื ในสตรวี ยั ใกลห้ มดและหมดประจำ� เดอื น (hormone replacement therapy) 6.2 การใช้ประโยชน์ ภมู ปิ ญั ญาดงั้ เดมิ ใชห้ วั กวาวเครอื เปน็ ยาอายวุ ฒั นะ ใชไ้ ดท้ งั้ ชายหญงิ ในผู้สูงอายุ ช่วยเสริมหน้าอก เพ่ิมเส้นผม แก้โรคตาฟาง ต้อกระจก ท�ำให้ความจ�ำดี มีพลัง การนำ� กวาวเครอื ขาวมาพฒั นาเปน็ ผลติ ภณั ฑ์ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งสำ� อางบำ� รงุ ผวิ เครอื่ งสำ� อางบำ� รงุ ทรวงอก เครอ่ื งสำ� อางทเ่ี ปน็ anti – aging เซรม่ั บำ� รงุ ผม สบู่ แปง้ ฝนุ่ และผลติ ภณั ฑเ์ สรมิ อาหาร เปน็ ตน้ และมี การนำ� ไปใชเ้ ปน็ ส่วนผสมในอาหารไก่และสกุ ร 22

ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตและให้ผลผลิตของกวาวเครือขาว สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม 1.สภาพภมู ิอากาศ - อุณหภูมิทีเ่ หมาะสมระหวา่ ง 22 - 33 องศาเซลเซียส 1.1 อณุ หภูมิ - 70 – 85 เปอรเ์ ซน็ ต์ 1.2 ความชื้นสมั พทั ธ์ - ต้องการแสงมาก 1.3 ความเขม้ ของแสง - ดินรว่ นท่ีมีอินทรยี วัตถุสูง มกี ารระบายน้ำ� ดี 2. สภาพพืน้ ท่ี - มีความเป็นกรดเปน็ ด่างของดนิ (pH) 5.1 – 6.5 - มคี า่ การน�ำไฟฟ้า (EC) ตัง้ แต่ 0 - 2 dS/m 2.1 ความลาดเอียงของพื้นที่ - มปี ริมาณอนิ ทรียวัตถุไม่นอ้ ยกวา่ 3 เปอรเ์ ซนต ์ - ดินร่วนปนทราย 2.2 ความสูงจากระดับน้�ำทะเล - มีอนิ ทรียวตั ถไุ มน่ ้อยกวา่ 3.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ - ระบายน้�ำดี ไมท่ ่วมขงั 3.สภาพดิน - ฟอสฟอรัสทีเ่ ป็นประโยชน์ ตง้ั แต่ 10 – 25 มิลลกิ รมั ตอ่ กโิ ลกรมั 3.1 ลกั ษณะของเนือ้ ดนิ - โพแทสเซยี มทีเ่ ปน็ ประโยชน์ ตั้งแต่ 90 – 120 มลิ ลกิ รัมต่อกโิ ลกรมั 3.2 ความเปน็ กรดเป็นดา่ งของดนิ - แคลเซียม ไมน่ ้อยกว่า 1,200 มลิ ลกิ รัมตอ่ กิโลกรัม 3.3 การน�ำไฟฟ้าของดิน - แมกนเี ซียม ตง้ั แต่ 120 – 360 มลิ ลิกรมั ต่อกิโลกรัม 3.4 ปรมิ าณอินทรียวตั ถุ 4. ธาตอุ าหาร

ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตและใหผ้ ลผลติ ของกวาวเครอื ขาว (ตอ่ ) สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม 5. สภาพน้�ำ น้�ำทเี่ หมาะสมกบั การเกษตร ตามมาตรฐานของกรมพัฒนาทด่ี ิน ควรมีลกั ษณะดงั น้ี : มคี วามสะอาด ไมม่ สี ารอนิ ทรยี แ์ ละสารอนนิ ทรยี ท์ เี่ ปน็ พษิ ปนเปอ้ื น : มคี า่ โลหะหนกั เชน่ สารหนู ไมเ่ กนิ 0.25 มลิ กิ รมั ตอ่ ลติ ร , แคดเมยี ม ไมเ่ กนิ 0.03 มลิ กิ รมั ตอ่ ลติ ร , ตะกวั่ ไมเ่ กนิ 0.1 มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลติ ร : มีคา่ ความเปน็ กรดเปน็ ด่าง อยู่ระหว่าง 6.0 – 7.9 : มีคา่ อณุ หภมู ิของน้�ำไมเ่ กิน 40 องศาเซลเซยี ส : มคี ่าความเคม็ ของน�้ำไม่เกนิ 0.3 กรมั ต่อลิตร : มีค่าปรมิ าณออกซิเจนละลายน้�ำ ไม่ต่ำ� กวา่ 2 มิลลิกรมั ต่อลิตร

แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหล่งสืบคน้ ขอ้ มลู เพิม่ เตมิ แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 1. การเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการขยายพนั ธุ์ การขยายพนั ธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศ โดยการแบง่ หวั ตอ่ ตน้ ตามวธิ กี ารขยายพนั ธแ์ุ บบตอ่ รากเลย้ี งกงิ่ (nursed root grafting) เปน็ วธิ กี ารขยายพนั ธท์ุ ใี่ ชร้ ะยะเวลาในการเตรยี มตน้ พนั ธเ์ุ รว็ ทส่ี ดุ เมอื่ เทยี บกบั การปกั ชำ� และการเพาะเมลด็ เปน็ การนำ� หวั กวาวเครอื ขนาดเลก็ มาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ สามารถใชใ้ น การตอ่ ตน้ ขา้ มสายพนั ธไ์ุ ด้ และชว่ ยลดปญั หาดา้ นความแปรปรวนทางพนั ธกุ รรม เนอ่ื งจากกวาวเครอื ขาว เปน็ พืชผสมตัวเองและผสมขา้ มตน้ ได้ การแบง่ หวั ต่อตน้ มีวิธีการดังน ้ี 1.1 นำ� หวั ขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางไม่เกนิ 4 นิว้ ผา่ แบ่งออกเป็น 2 ซกี โดยให้หัวแต่ละซกี มีท่อน้�ำและท่ออาหารตดิ ไปด้วย บากทอ่ น้�ำและทอ่ อาหารออกตามแนวยาว 1.2 นำ� ตน้ พนั ธท์ุ อี่ ยใู่ นระยะพกั ตวั มาตดั เปน็ ทอ่ นๆ แตล่ ะทอ่ นมตี า 1 ตา บากสว่ นลา่ งของทอ่ น ด้านตรงขา้ มกบั ตา ใหส้ อดรบั กับรอยบากทอ่ น�้ำและทอ่ อาหารของหัว 1.3 เสยี บตน้ เขา้ กบั หวั พนั ทบั ใหแ้ นน่ ดว้ ยเทปพลาสตกิ ใส จมุ่ นำ้� ยาเรง่ ราก นำ� ไปชำ� ในทรายชน้ื 1.4 เม่ือส่วนของต้นแตกยอดและส่วนของหัวแตกราก ซ่ึงใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ จงึ ย้ายลงถุงช�ำ จากน้ันอีก 3 สัปดาห์ จึงย้ายปลูก 2. การเพิ่มประสิทธิภาพการดแู ลรักษาและการเกบ็ เกี่ยวผลผลติ การทำ� คา้ ง ชว่ ยใหก้ ารดแู ลรกั ษาและการเกบ็ เกย่ี วหวั กวาวเครอื ขาวทำ� ไดส้ ะดวก ไมย่ งุ่ ยาก และรวดเร็วขึน้ ดังน้ี 2.1 ทำ� คา้ งสงู จากพืน้ ดินอย่างน้อย 2 เมตร เม่ือตน้ กวาวเครือขาวเรมิ่ แตกยอด 2.2 ใชส้ ว่ นโคนไม้รวกเป็นเสาไมค้ ้าง และใชเ้ สาคอนกรีตแทรก คำ้� ยันระหว่างเสาไมร้ วก 2.3 ใชต้ าขา่ ยพรางแสงทำ� เปน็ เชอื กหรอื ใชเ้ ชอื กไนลอ่ น ขงึ ดา้ นบนของไมร้ วกและเสาคอนกรตี 3. การเพม่ิ ประสิทธิภาพการใช้พ้นื ทีก่ ารเกษตร การปลกู กวาวเครอื ขาวรว่ มกบั ไมย้ นื ตน้ ในกระบวนการเกษตร เชน่ ไผ่ สกั ปอสา และไมผ้ ลอนื่ ๆ โดยปลูกหา่ งจากต้นท่ใี ชเ้ ป็นคา้ งธรรมชาติ 30 – 50 เซนติเมตร 25

แหลง่ สืบค้นข้อมลู เพมิ่ เติม สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย. 2550. แนวทางเกษตรดที เี่ หมาะสมส�ำหรบั กวาวเครอื ขาว กรมพฒั นา การแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสขุ สำ� นกั คมุ้ ครองภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทยและสมนุ ไพร. 2553. ขอ้ มลู วชิ าการ “กวาวเครอื ” เอกสารขอ้ มลู วชิ าการจากการศกึ ษาวจิ ยั เพอ่ื เผยแพรป่ ระชาสมั พนั ธ์ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทย และการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข สำ� นกั วจิ ยั เศรษฐกจิ การเกษตร. 2552. เศรษฐกจิ สมนุ ไพรไทย ปี 2550 กรณศี กึ ษา: กระเจยี๊ บแดง ดอกค�ำฝอย และกวาวเครอื ขาว สำ� นกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 26

กานพลู ขั้นตอนการปลกู และการดแู ลรกั ษากานพลู 4 ปี 5 ปขี ึ้นไป การเตรยี มการ 1 ปี 2 ปี 3 ปี การเตรยี มดนิ การปลกู การใส่ปุ๋ย การให้น�้ำ การกำ�จัดวัชพืช - ขดุ หลมุ ปลกู ขนาดประมาณ - กลา้ กานพลทู แี่ ขง็ แรง - อายุ 4 เดอื น ใสป่ ยุ๋ คอก ให้น้�ำในระยะแรกท่ีมี ก�ำจัดวัชพืชในแปลง 50 x 50 x 50 เซนตเิ มตร ปลกู ในหลมุ ทเี่ ตรยี มไว้ หรอื ปยุ๋ หมกั 1 ปบ๊ี การปลูก ในหนา้ แล้ง ปลกู ทกุ ๆ 4 เดอื น โดย ตากดนิ ไวป้ ระมาณ 1 สปั ดาห์ - ทำ� ไมค้ ำ้� เพอื่ ปอ้ งกนั - อายุ 2 ปี ขนึ้ ไป หรอื ชว่ งทฝ่ี นทง้ิ ชว่ ง การถากหรอื ใชเ้ ครอื่ ง - ใสป่ ยุ๋ คอก 5 กโิ ลกรมั ตอ่ หลมุ ลมพดั ใสป่ ยุ๋ คอกหรอื ปยุ๋ หมกั ตดั หญา้ ผสมคลุกเคล้ากับดินรอง - พรางแสงรม่ เงาดว้ ย 3 ปบ๊ี ตอ่ ตน้ รว่ มกบั ปยุ๋ ทก่ี น้ หลมุ ใบมะพรา้ วหรอื วสั ดอุ น่ื สตู ร 15-15-15 จำ� นวน การเกบ็ เกย่ี ว ในระยะแรกทปี่ ลกู ใหม่ 1 - 2.5 กโิ ลกรมั ตอ่ ตน้ - เกบ็ เกยี่ วดอกตมู ทแี่ กจ่ ดั แตย่ งั ไมบ่ านเทา่ นน้ั การเตรยี มพนั ธุ์ - ระยะปลกู ระหวา่ ง แบง่ ใส่ ปลี ะ 2 ครง้ั - ระยะเกบ็ เกย่ี วทมี่ สี ารสำ� คญั สงู คอื เมอื่ ดอกเรม่ิ เปลย่ี นจากเขยี วเปน็ แดง มสี ชี มพเู รอื่ ๆ - น�ำเมลด็ กานพลูแช่นำ�้ ตน้ และระหวา่ งแถว - ใชก้ รรไกรหรอื มดี คมๆ ตดั ทลี ะดอก 3 ช่ัวโมง แลว้ ลอกเอา 8 x 8 เมตร - อยา่ ใหก้ ง่ิ ไดร้ บั ความกระทบกระเทอื น เนอ้ื ห้มุ เมลด็ ออก - จำ� นวนตน้ ตอ่ ไร่ 25 ตน้ - นำ� ไปเพาะในกระบะทราย การปฏิบตั หิ ลังการเกบ็ เก่ยี ว ในเรอื นเพาะชำ� รดนำ�้ ศตั รทู ่ีส�ำคญั และการป้องกนั ก�ำจดั วธิ กี ารทำ� แหง้ โดยการตากแหง้ หรอื อบแหง้ จนเหลอื ความชน้ื ทเี่ หมาะสมแกก่ าร เชา้ เยน็ พอชนื้ เพลย้ี หอยกานพลู เขา้ ทำ� ลายกานพลโู ดยการดดู เกบ็ รกั ษา ซงึ่ โดยทวั่ ไปควรมคี วามชน้ื ไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 12 การตากแดด ควรตากใน - หลงั จากเพาะเมลด็ ได้ กนิ นำ�้ เลย้ี งทกี่ ง่ิ โดยเฉพาะยอดและชอ่ ดอก ซงึ่ มผี ล ภาชนะโปรง่ สะอาด มลี านตากยกจากพนื้ มหี ลงั คาพลาสตกิ คลมุ เพอื่ ปอ้ งกนั การ 2 สปั ดาห์ ตน้ กานพลงู อกสงู ท�ำให้ผลผลิตและคุณภาพของกานพลูลดลง เจอื ปนของฝนุ่ ผง ดอกกานพลเู มอ่ื แหง้ แลว้ จะเปลย่ี นจากสแี ดงเปน็ สนี ำ�้ ตาลปนแดง ประมาณ 5 – 7 เซนตเิ มตร การปอ้ งกนั กำ� จดั ใชศ้ ตั รธู รรมชาติ คอื แมลงเบยี น การอบแห้งหรือตากแดดควรระวังไม่ให้ดอกแห้งเร็วเกินไป เพราะจะท�ำให้ดอก ย้ายลงช�ำในถุงพลาสติกที่ Metophycus bearuensis มลี กั ษณะเหย่ี วยน่ และเปราะหกั งา่ ย อตั ราการทำ� แหง้ ดอกสด 3 กโิ ลกรมั ไดด้ อกแหง้ บรรจดุ นิ ผสม (ดนิ : แกลบ 1 กโิ ลกรมั : ปยุ๋ คอก ในอตั รา 3 : 2 : 1) - ตน้ กานพลสู งู ประมาณ 50 เซนติเมตรอายุ 1 ปี ย้ายลงแปลงปลกู

เทคนิคการปลกู และดูแลรักษากานพลู 1. การเตรยี มการก่อนปลกู 1.1 การเตรียมดิน ควรทำ� กอ่ นฤดฝู น ขดุ หลมุ ปลกู ขนาดประมาณ 50 x 50 x 50 เซนตเิ มตร ตากดนิ ไวป้ ระมาณ 1 สปั ดาห์ เพอื่ กำ� จดั โรคและแมลงบางสว่ นทต่ี ดิ อยใู่ นดนิ นำ� หญา้ แหง้ มารองกน้ หลมุ เพอ่ื ชว่ ยระบายนำ�้ ใสป่ ยุ๋ คอก 5 กโิ ลกรมั ตอ่ หลมุ ผสมคลกุ เคลา้ กบั ดนิ รองทกี่ น้ หลมุ การเตรยี มหลมุ ควรเตรยี มล่วงหน้า กอ่ นปลูก 2 - 4 สัปดาห์ 1.2 การเตรยี มพันธุ์ กานพลสู ามารถขยายพนั ธไ์ุ ดห้ ลายวธิ ี เชน่ การเพาะเมลด็ การตอน การทาบกงิ่ หรอื การชำ� กง่ิ ออ่ น แตว่ ธิ ที น่ี ยิ มกนั มากทส่ี ดุ คอื วธิ กี ารเพาะเมลด็ เนอื่ งจากจะทำ� ใหไ้ ดก้ านพลทู มี่ รี ะบบรากแขง็ แรง เมลด็ กานพลจู ะมกี ารสญู เสยี ความงอกไดเ้ รว็ มาก เมลด็ ทไ่ี ดจ้ ากผลทเ่ี กบ็ เกยี่ วใหมๆ่ จะมคี วามงอก ประมาณร้อยละ 90 หลังจากน้ันความงอกจะลดลงอย่างรวดเร็ว การเพาะเมล็ดจึงควรท�ำทันที โดยมวี ธิ กี ารปฏิบตั ิ ดังน้ี 1) เลอื กเมลด็ พนั ธก์ุ านพลจู ากตน้ ทมี่ ผี ลผลติ สงู ทรงพมุ่ สวย เลอื กเกบ็ ผลสกุ สดี �ำสมบรู ณ์ ไมม่ แี มลงเขา้ ทำ� ลาย โดยเลอื กเกบ็ เฉพาะผลทอ่ี ยบู่ นตน้ เทา่ นนั้ ไมค่ วรนำ� เมลด็ ทห่ี ลน่ ใตต้ น้ เหยี่ วแหง้ แล้วมาเพาะ 2) นำ� เมลด็ กานพลดู งั กลา่ วไปแชน่ ำ้� นานประมาณ 3 ชวั่ โมง แลว้ ลอกเอาเนอื้ หมุ้ เมลด็ ออก 3) นำ� ไปเพาะในกระบะทราย รดน�ำ้ เช้า เย็นพอช้นื และควรเพาะในเรือนเพาะช�ำ 4) เมล็ดกานพลูจะงอกหลังจากเพาะเมล็ดได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ต้นกานพลูงอกสูง ประมาณ 5 – 7 เซนตเิ มตร จงึ ควรทำ� การยา้ ยลงชำ� ในถงุ พลาสตกิ ทบ่ี รรจดุ นิ ผสม (ดนิ : แกลบ : ปยุ๋ คอก ในอัตรา 3 : 2 : 1) 5) ใชเ้ วลาประมาณ 12 เดือน ตน้ กานพลูจะสงู ประมาณ 50 เซนตเิ มตร จึงท�ำการย้ายลง แปลงปลูก แต่ก่อนที่จะน�ำต้นกล้ากานพลูไปปลูก ต้องหมั่นเอาต้นกล้ากานพลูออกรับแดดบ้าง เปน็ ครัง้ คราว เพือ่ ใหต้ น้ กลา้ แข็งแรง และทนทานตอ่ สภาพแวดลอ้ มดขี ึ้น 28

2. การปลูก 2.1 วิธีปลกู นำ� กลา้ กานพลทู แ่ี ขง็ แรงมาปลกู ในหลมุ ทเ่ี ตรยี มไว้ ควรทำ� ไมค้ ำ�้ เพอื่ ปอ้ งกนั ลมพดั จากนน้ั หาใบมะพรา้ วหรอื วสั ดอุ น่ื มาใหร้ ม่ เงาในระยะแรกทป่ี ลกู ใหม่ เพอื่ ลดความแรงของแสงแดด อาจปลกู รว่ มกบั พชื ชนดิ อนื่ เชน่ หมาก จนั ทนเ์ ทศ เพอ่ื ชว่ ยพรางแสงใหร้ ม่ เงา เพราะทโี่ ลง่ แจง้ กง่ิ กานพลู จะแหง้ งา่ ย จนอายุ 3 ปี จงึ ไม่ต้องมีพชื บงั ร่มเงา 2.2 ระยะปลูก ระหว่างตน้ และระหว่างแถว 8 x 8 เมตร 2.3 จ�ำนวนตน้ ต่อไร่ อัตราการใช้พันธุ์ 25 ตน้ ต่อไร่ 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การให้ปุ๋ย หลังจากปลูกได้ประมาณ 4 เดือน ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตราต้นละ ½ - 1 ปบี๊ เมอ่ื ตน้ กานพลโู ตมากขึ้น การใสป่ ยุ๋ กจ็ ะเพม่ิ ขนึ้ ดว้ ย ต้นกานพลมู ีอายุได้ 2 ปี หลังจาก ปลูกลงแปลงจะเรมิ่ มที รงพมุ่ และความสงู ประมาณ 1 เมตร ในชว่ งนค้ี วรใสป่ ยุ๋ คอกรว่ มกบั ปยุ๋ สตู ร 15 – 15 – 15 อย่างน้อยปลี ะ 2 คร้ัง โดยใชป้ ุ๋ยคอก 1 – 3 ปีบ๊ ต่อตน้ ส่วนปุ๋ยสตู ร 15 – 15 – 15 ควรใสป่ ระมาณ 1 – 2.5 กิโลกรัมต่อตน้ โดยแบง่ ใสป่ ีละ 2 - 3 คร้ัง 3.2 การใหน้ �้ำ ควรมีการใหน้ ้�ำในระยะแรกท่มี ีการปลกู ในหนา้ แลง้ หรอื ชว่ งทีฝ่ นท้งิ ชว่ ง 3.3 การท�ำร่มเงา ในช่วงระยะเร่ิมปลูก โดยใช้ทางมะพร้าวเพ่ือช่วยลดความแรงของแดด และลดการคายน�้ำของพชื หรอื การปลกู พืชร่วม เช่น กล้วย และตัดทิง้ เม่อื กานพลูอายุ 3 ปี 3.4 การตดั แตง่ โดยทว่ั ไปจะไมม่ กี ารตดั แตง่ ทรงพมุ่ ยกเวน้ ในกรณที ม่ี กี ง่ิ กระโดงเกดิ ขนึ้ ตอ้ งตดั ทง้ิ เพอ่ื ให้ลำ� ตน้ มตี น้ หลักเพยี งตน้ เดียว จะทำ� ใหท้ รงพุ่มแผก่ ระจายไดด้ ีและใหผ้ ลผลติ สงู 4. การปอ้ งกนั และก�ำจัดศตั รูพืช 4.1 วัชพชื กำ� จัดวัชพืชในแปลงปลกู ทุกๆ 4 เดอื น โดยการถากหรอื ใชเ้ ครอื่ งตัดหญา้ 4.2 แมลง เพลี้ยหอยกานพลู เข้าท�ำลายกานพลูโดยการดูดกินน�้ำเล้ียงที่ก่ิงโดยเฉพาะยอด และชอ่ ดอก ซึ่งมีผลทำ� ใหผ้ ลผลิตและคณุ ภาพของกานพลูลดลง การปอ้ งกันกำ� จดั ใช้ศตั รูธรรมชาติ คือ แมลงเบียน Metophycus bearuensis 5. การปฏิบัตกิ ่อนและหลงั การเก็บเกย่ี ว กานพลูจะเร่มิ ให้ผลผลิตตัง้ แต่อายุ 5-6 ปีข้นึ ไป และจะให้ผลผลติ สงู สุดเมื่อประมาณ 15-20 ปี และจะคงใหผ้ ลผลติ ถงึ 60 ปี กานพลจู ะใหด้ อกในเดอื นสงิ หาคมถงึ กนั ยายน และจะโตเตม็ ทเ่ี กบ็ เกย่ี วได้ 29

ราวเดอื นธนั วาคม ถงึ มกราคม ใชเ้ วลาตงั้ แตอ่ อกดอกถงึ เกบ็ เกยี่ วดอกตมู เปน็ เวลาประมาณ 4 – 5 เดอื น และหากปล่อยให้ดอกเจรญิ เปน็ ผล ผลจะสกุ ประมาณเดอื นพฤษภาคม 5.1 การเกบ็ เกยี่ ว ใหเ้ กบ็ เกยี่ วดอกตมู ระยะเกบ็ เกย่ี วทเี่ หมาะสม คอื เมอ่ื ดอกเรม่ิ เปลย่ี นจากเขยี ว เปน็ แดง มสี ชี มพเู รอ่ื ๆ ดอกตมู เกนิ ไปหรอื บานจะมคี ณุ ภาพไมด่ ี สรรพคณุ ทางยาลดลงมาก กานพลู ออกดอกทปี่ ลายกง่ิ เปน็ ชอ่ แตล่ ะชอ่ มดี อก 3 - 20 ดอก และดอกแกไ่ มพ่ รอ้ มกนั ใชก้ รรไกรหรอื มดี คมๆ ตดั ทลี ะดอก เลอื กเกบ็ เฉพาะดอกตมู ทโี่ ตเตม็ ทแ่ี ลว้ กอ่ นทจี่ ะบาน การเกบ็ อยา่ ใหก้ งิ่ ไดร้ บั ความกระทบกระเทอื น หากกง่ิ ไดร้ บั ความบอบชำ�้ จะทำ� ใหก้ านพลอู อกดอกนอ้ ย หรอื ไมอ่ อกดอกเลยในปตี อ่ ไป ควรใชพ้ ะอง หรอื บนั ไดเกบ็ ดอกกานพลู เพอื่ หลกี เลย่ี งการโนม้ กง่ิ แรง ผลผลติ กานพลสู ดเฉลย่ี ตน้ ละ 6 - 10 กโิ ลกรมั ตอ่ ปี หรือประมาณ 150 - 250 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ และจะเพ่ิมมากข้ึนกว่านเ้ี มอ่ื มอี ายมุ ากขึน้ 5.2 วธิ กี ารปฏบิ ตั ิการหลังการเกบ็ เกีย่ ว การปฏบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกยี่ วพชื เครอื่ งเทศทเี่ หมาะสม เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ มากเพอื่ รกั ษาคณุ ภาพ ของสี กลนิ่ ของเครอื่ งเทศใหค้ งอยเู่ มื่อน�ำไปใช้ และมีสารส�ำคัญออกฤทธท์ิ างสมนุ ไพร 1) การทำ� ความสะอาด และคัดแยกผลผลิตทไี่ ดม้ าตรฐาน 2) เดด็ ดอกกานพลอู อกจากกา้ น แยกดอกตมู และก้าน 3) คัดแยกดอกบานทีป่ ะปนมาออก 4) คดั แยกส่ิงปลอมปน เช่น ดิน ทราย ส่วนของพชื ท่ีปะปน 5) คัดแยกส่วนท่ีเน่าเสยี มโี รคแมลงออกจากส่วนท่มี ีคณุ ภาพดี 6) หากมีสิ่งสกปรกตดิ มา ควรลา้ งทำ� ความสะอาด ช�ำระสง่ิ สกปรกและสิง่ ท่ีตดิ มากบั พืช ขณะทำ� การเกบ็ เก่ียวออกให้หมด ผง่ึ ให้แห้งและน�ำไปทำ� แห้งโดยเร็ว 7) การทำ� ใหแ้ หง้ เครอื่ งเทศสว่ นใหญแ่ ลว้ จะใชใ้ นรปู แหง้ ซงึ่ จะตอ้ งทำ� ใหแ้ หง้ สนทิ ปราศจาก เชอื้ รา โดยทยี่ งั รกั ษาคณุ ภาพของสี และกลนิ่ ใหม้ ากทส่ี ดุ วธิ กี ารทำ� แหง้ โดยการตากแหง้ หรอื อบแหง้ จนเหลอื ความชน้ื ทเี่ หมาะสมแกก่ ารเกบ็ รกั ษา ซง่ึ โดยทว่ั ไปควรมคี วามชน้ื ไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 12 การตากแดด ควรตากในภาชนะโปรง่ สะอาด มลี านตากยกจากพน้ื มหี ลงั คาพลาสตกิ คลมุ เพอื่ ปอ้ งกนั การเจอื ปน ของฝนุ่ ผง ดอกกานพลเู มอื่ แหง้ แลว้ จะเปลย่ี นจากสแี ดงเปน็ สนี ำ้� ตาลปนแดง การอบแหง้ หรอื ตากแดด ควรระวังไม่ให้ดอกแห้งเร็วเกินไป เพราะจะท�ำให้ดอกมีลักษณะเห่ียวย่น และเปราะหักง่าย อัตราการทำ� แห้ง ดอกสด 3 กิโลกรมั ได้ดอกแหง้ 1 กโิ ลกรมั (1 กโิ ลกรมั ดอกแหง้ เทา่ กับ 8,000 ดอก) 8) การเกบ็ รกั ษา ควรเกบ็ ในทสี่ ะอาด เยน็ ไมอ่ บั ชนื้ มอี ากาศถา่ ยเทไดด้ หี รอื เกบ็ ในหอ้ งเยน็ เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น ถุงพลาสติก ถุงฟลอยด์ โดยท่ัวไปไม่ควรเก็บนานเกินกว่า 1 ปี เพราะจะสูญเสยี กล่นิ สี ท่ีตอ้ งการไป 30

6. ข้อมูลอืน่ ๆ 6.1 สารสำ� คญั และสรรพคุณ ดอกกานพลูเป็นแหล่งน้�ำมันกานพลูที่ดีที่สุด มีน้�ำมันอยู่ถึงร้อยละ 16 - 17 ก้านดอก และใบกม็ นี ำ้� มนั เหมอื นกนั แตม่ ปี รมิ าณนอ้ ย นำ้� มนั กานพลเู ปน็ นำ้� มนั ระเหยงา่ ย มอี งคป์ ระกอบหลกั เปน็ สารยจู นี อล ( Eugenol ) มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม กำ� หนดใหน้ ำ้� มนั ดอกกานพลมู ยี จู นี อล ไมต่ ำ่� กวา่ รอ้ ยละ 75 สรรพคณุ ทางยามฤี ทธเิ์ ปน็ ยาชาเฉพาะที่ ขบั ลม และฆา่ เชอื้ โรค ภมู ปิ ญั ญาพน้ื บา้ น ใช้กานพลูอมแกป้ วดฟนั 6.2 การใชป้ ระโยชน์ ตลาดตา่ งประเทศมกี ารซอ้ื ขายกานพลทู ง้ั ดอกกานพลู กา้ นดอกกานพลู นำ้� มนั ใบกานพลู กล่ันด้วยไอน้�ำจากต้น กิ่ง ใบ น้�ำมันกานพลู น้�ำมันก้านดอกกานพลู และน้�ำมันโอริโอเรซินของ กานพลู สกดั จากดอกหรอื ใบกานพลู การนำ� เขา้ กานพลขู องโลกคดิ เปน็ รอ้ ยละ 3 ของการนำ� เขา้ เครอ่ื ง เทศของโลก โดยอินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกส�ำคัญ รองลงมาได้แก่ มาดากัสกา แทนซาเนยี โคโมรอส เคนยา และจนี ตลาดในประเทศ คณุ ภาพกานพลทู ตี่ อ้ งการคอื ดอกตมู สนี ำ�้ ตาลแดง ความยาว 2 – 2.3 เซนตเิ มตร ไมด่ ำ� กลนิ่ หอมแรง รสเผด็ ดอกไมเ่ หย่ี วยน่ ไมเ่ ปราะหรอื แตกหกั งา่ ย ไมม่ กี ลน่ิ อบั การซอื้ ขายกานพลู ยงั ไมม่ กี ารจดั ชนั้ คณุ ภาพ แตแ่ ยกเปน็ ชนดิ กา้ นดอก และดอกแหง้ ตลาดรบั ซอื้ หลกั ไดแ้ ก่ รา้ นขายยา แผนโบราณ รา้ นขายส่งสมนุ ไพรตลาดจักรวรรดิ ตลาดทรงวาด และโรงงานแปรรปู เคร่ืองเทศ นำ�้ มนั กานพลใู ชใ้ นอตุ สาหกรรมสบแู่ ละเครอื่ งสำ� อางผชู้ าย นำ�้ หอม ซอสราคาแพง ของดอง ของแช่อมิ่ ผลติ ภณั ฑเ์ นื้อ น�้ำยาฆา่ เชื้อโรค ผสมในยาสีฟัน น�้ำยาฆ่าเช้ือท่ีบาดแผลและทนั ตกรรม ในอตุ สาหกรรมยาแผนโบราณกานพลเู ปน็ สมนุ ไพรทใ่ี ชม้ าก กานพลเู ปน็ สว่ นผสมของยาประจำ� บา้ นหลายชนดิ เช่น ยาหอมแกล้ ม บำ� รงุ หวั ใจ ฯลฯ 31

ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตและใหผ้ ลผลติ ของกานพลู สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ข้อจำ� กัด 1. สภาพภมู อิ ากาศ - ร้อนช้นื อุณหภมู ิประมาณ 24 - 33 องศาเซลเซยี ส - ไมแ่ ลง้ จนมผี ลกระทบตอ่ ตน้ - ความช้ืนสมั พทั ธส์ ูง 60 - 100 เปอร์เซน็ ต์ - เจรญิ เติบโตไมด่ ใี นที่โล่ง 1.1 อุณหภูมิ - 1,500 - 2,500 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี สม่�ำเสมอตลอดปี 1.2 ความชนื้ - ตอ้ งการร่มเงาช่วงอายุ 1 - 3 ปี และแสงเต็มทใี่ นระยะออกดอก กลางแจ้ง 1.3 ปรมิ าณนำ้� ฝน - ไม่ชอบลมแรง - ไม่ทนลมแรงโดยเฉพาะต้น 1.4 แสง 1.5 ลม ทีป่ ลูกระยะแรก 2. สภาพพนื้ ท่ี - จากระดับนำ้� ทะเลถงึ ความสงู ประมาณ 1,500 เมตร - พน้ื ทส่ี งู มากจะไมเ่ จรญิ เตบิ โต 2.1 ความสงู จากระดับนำ้� ทะเล - เล็กนอ้ ย - ไม่ชอบนำ้� ขังแฉะ 2.2 ความลาดเท - ดนิ รว่ นปนทราย ตอ้ งระบายนำ้ �ดี และมหี นา้ ดนิ ลกึ มาก พน้ื ทบ่ี รเิ วณ -หากการระบายน้�ำไม่ดี 3. สภาพดนิ เชิงเขา บรเิ วณชายฝง่ั ทะเล จะท�ำให้ต้นกานพลูสลัดใบ 3.1 ลักษณะดิน - อนิ ทรียวตั ถสุ ูง และชะงกั การเจริญเติบโต - 5.5 – 6.5 3.2 ปรมิ าณอินทรียวัตถุ - น้ำ� ท่ีเหมาะสมในการเกษตร 3.3 ความเปน็ กรดด่างของดิน (pH) 4. สภาพน้ำ�

แนวทางการเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิต และแหลง่ สบื คน้ ข้อมลู เพิม่ เติม แนวทางการเพ่มิ ประสิทธภิ าพการผลติ การจดั การการผลติ ทม่ี คี ณุ ภาพ ดังน้ี 1. เลือกดนิ ปลกู กานพลทู รี่ ะบายนำ้� ดแี ละหนา้ ดนิ ลกึ 2. ใหน้ ้�ำในระยะท่ีฝนทิ้งช่วง อยา่ ให้ขาดนำ้� 3. เก็บเก่ียวท่ีถูกต้อง คือระยะดอกตูม หากกลีบดอกบานจะไม่ได้คุณภาพและราคาต�่ำ เลอื กเก็บเฉพาะดอกตมู ท่ีเจริญเตบิ โตเต็มท่แี ลว้ ก่อนบาน มสี ีชมพเู ร่ือๆ เท่านน้ั 4. การอบแหง้ หรอื ตากแดดควรระวงั ไมใ่ หด้ อกแหง้ เรว็ เกนิ ไป เพราะจะทำ� ใหด้ อกมลี กั ษณะเหยี่ วยน่ และเปราะหักง่าย ไมไ่ ดค้ ณุ ภาพ แหล่งสบื ค้นข้อมูลเพม่ิ เตมิ สำ� นักมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์อตุ สาหกรรม. 2540. มาตรฐานผลิตภัณฑอ์ ุตสาหกรรมน�้ำมนั ดอกกานพลู กระทรวงอตุ สาหกรรม (สำ� เนา) เสริมศกั ด์ิ รกั ธรรม. มปป. กานพลู (Cloves). สถาบนั วจิ ยั พืชสวน กรมวชิ าการเกษตร. (ส�ำเนา) http://it.doa.go.th/vichakan/news.php?newsid=23 33

ขมิ้นชัน ขัน้ ตอนการปลกู และการดแู ลรกั ษาขมนิ้ ช้น การเตรยี มการ 30 วัน 60 วนั 90 วนั 120 วนั 150 วนั 180 วัน 210 วัน 240 วัน 270 วัน การเตรยี มดนิ การปลกู การให้ปุ๋ย การให้นำ�้ การกำ�จดั วชั พืช - ไถพรวนดิน ตากดินไว้ - ขุดหลมุ ปลกู ลึก - ใสป่ ยุ๋ 2 ครง้ั หลงั ปลกู - ระยะแรก ใหน้ ำ�้ อยา่ ง - ถอนหรอื ใชจ้ อบดาย 1 – 2 สัปดาห์ 10 – 15 เซนตเิ มตร 1 เดอื น และหลงั ปลูก สม่�ำเสมอจนกว่าพืชจะ พรวนดนิ และกลบ - เก็บเศษไม้ ซากวัชพืช - รองกน้ หลมุ ปลกู ดว้ ย 3 เดือน ต้ังตัวได้ โคนต้น กรวด และหนิ ปยุ๋ คอก 200 - 300 กรมั - ใชป้ ยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ ชวี ภาพ - ใหน้ ำ�้ นอ้ ยลงในระยะ - กำ� จดั วชั พืช 3 ครัง้ - ใส่ปุ๋ยคอก 4 ตันต่อไร่ - วางหัวพันธุ์ในหลุม โรยเปน็ แถวขา้ งตน้ หวั เรม่ิ แก่ เมือ่ ขม้ินชนั เรม่ิ งอก - หากพ้ืนท่ีปลูกเป็นที่ลุ่ม ปลกู กลบดนิ หนา หา่ งจากโคนต้น 8 – 15 - งดใหน้ ำ�้ ในระยะเกบ็ เกยี่ ว หลงั ปลูก 3 เดือน และ ยกรอ่ งแปลงกวา้ ง 1 – 2 เมตร 5 - 10 เซนติเมตร เซนติเมตร 6 เดือน สงู 15 – 25 เซนตเิ มตร ระยะ - ระยะปลกู ระหวา่ งรอ่ ง 50 – 80 เซนตเิ มตร 35 - 50 เซนตเิ มตร การเก็บเกย่ี ว - เกบ็ ในช่วงฤดูแลง้ เม่อื ขมิ้นชนั มีอายุ 9 – 11 เดอื นข้ึนไป การเตรียมพนั ธุ์ - ให้นำ้� ดนิ พอชืน้ ทง้ิ ไว้ 1 สัปดาห์ เก็บเก่ียวโดยใชจ้ อบขุด ตดั แยกส่วนเหนอื ดินและเหงา้ - หวั แม่ นำ�้ หนกั 15 – 50 กรมั มตี า 2 - 3 ตา ใช้ 1 หวั ตอ่ หลมุ ศตั รทู ี่สำ� คญั และการป้องกนั กำ� จัด การปฏบิ ตั หิ ลังการเกบ็ เก่ียว - แงง่ นำ้� หนกั 10 กรมั มตี า – โรคเหี่ยว ป้องกันก�ำจัดโดยใช้หัวพันธุ์ท่ีปลอด - ลา้ งนำ้� ขัดผวิ ใหส้ ะอาด ตัดแตง่ เอารากและสว่ นทีเ่ สียของหัวทิ้ง ผ่ึงใหส้ ะเดด็ น�้ำ 2 - 3 ตา ใช้ 2 - 3 แงง่ ตอ่ หลมุ โรค การปลกู พชื หมุนเวยี น เช่น ขา้ ว ข้าวโพด การ - ห่นั ขมิน้ ชนั หนา 1 - 2 มิลลิเมตร เกลยี่ ใหบ้ างบนถาด ตากแดด 3 วัน และอบ - ใช้ใบพลู เปลา้ น้อย และ ขดุ ตน้ ที่เปน็ โรคเผาทำ� ลาย และโรยปูนขาวบริเวณ ท่อี ุณหภมู ิ 60 องศาเซลเซยี ส นาน 3 ชว่ั โมง ตน้ ตะไครห้ อม บดแหง้ อตั รา หลมุ ปลกู ที่ขดุ - ขม้ินชนั แหง้ นำ� มาบดเปน็ ผงโดยการต�ำหรอื ดว้ ยเครือ่ งบด 10,000 ppm คลกุ กบั หวั พนั ธ์ุ - เพลีย้ แปง้ ป้องกันก�ำจดั โดยใชแ้ มลงชา้ งปีกใส - ขมน้ิ ชนั สดน�ำมากลน่ั นำ้� มนั โดยวธิ ีการกลัน่ ด้วยน้�ำและไอนำ้� ทอ่ี ณุ หภูมิ 150 - 200 ก่อนปลูก อตั รา 200 – 500 ตัวต่อไร่ และฉีดพ่นดว้ ยสาร องศาเซลเซยี ส นาน 8 - 10 ชั่วโมง สะเดา - ขม้นิ ชนั แหง้ บรรจใุ นภาชนะทส่ี ะอาด แหง้ ปดิ ใหส้ นิท เกบ็ ไว้บนชั้นวาง ในที่อากาศ ถา่ ยเทไดส้ ะดวก นำ� ออกมาผึ่งในทร่ี ม่ ทกุ 3 - 4 เดอื น

เทคนคิ การปลกู และดแู ลรักษาขมนิ้ ชัน 1. การเตรยี มการก่อนปลูก 1.1 การเตรียมดิน 1) ไถพรวนดินให้ร่วนซยุ อยา่ งน้อย 1 ครงั้ หากเป็นพน้ื ท่ีท่ีหน้าดนิ แขง็ หรือเป็นดนิ เกา่ ควรไถพรวนไม่น้อยกว่า 2 คร้งั 2) ตากดนิ ไว้ 1 – 2 สัปดาห์ เพอ่ื ท�ำลายไขแ่ มลงและเช้อื โรคในดนิ 3) เก็บเศษไม้ ซากวัชพชื กรวด และหนิ ออกจากแปลง 4) ใสป่ ยุ๋ คอกทย่ี อ่ ยสลายดแี ลว้ อตั รา 4 ตนั ตอ่ ไร่ หากดนิ เปน็ กรด ควรใสป่ นู ขาวเพอ่ื ปรบั คา่ ความเปน็ กรดเปน็ ด่างของดนิ 5) หากพน้ื ทป่ี ลกู มสี ภาพเปน็ ทลี่ มุ่ หรอื ทรี่ าบตำ�่ มกี ารระบายนำ้� ไมด่ ี ควรยกรอ่ งแปลงกวา้ ง 1 – 2 เมตร สงู 15 – 25 เซนตเิ มตร ความยาวตามความเหมาะสมของสภาพพนื้ ที่ ระยะระหวา่ งรอ่ ง 50 – 80 เซนตเิ มตร 1.2 การเตรยี มพันธ์ุ 1) การเกบ็ รกั ษาหวั พนั ธ์ุ โดยวางผง่ึ ไวใ้ นทร่ี ม่ แหง้ สะอาด ปราศจากโรค แมลง และสตั วต์ า่ งๆ มารบกวน มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรอื ฝังเหง้าพันธุ์ในทรายหยาบทีส่ ะอาด เยน็ ในทรี่ ม่ 2) การจัดเตรียมหวั พันธ์ุ - การปลกู โดยใชห้ ัวแม่ น้�ำหนกั ประมาณ 15 – 50 กรมั ใช้ 1 หวั ต่อหลุม หากหัวพนั ธุ์ มขี นาดใหญ่มาก ให้ตดั เป็นท่อนๆ มีตาติดอยไู่ ม่น้อยกว่า 2 ตา - การปลูกโดยใช้แง่ง น�้ำหนกั ประมาณ 10 กรมั และมีตา 2 - 3 ตาตอ่ แง่ง โดยใช้ 2 - 3 แงง่ ต่อหลมุ - ใชใ้ บพลู เปล้านอ้ ย และตน้ ตะไครห้ อม บดแหง้ อัตรา 10,000 ppm คลุกกับหวั พนั ธุ์ ก่อนปลกู 35

2. การปลูก 2.1 วิธปี ลกู 1) ขดุ หลมุ ปลกู ลกึ 10 – 15 เซนตเิ มตร และรองกน้ หลมุ ปลกู ดว้ ยปยุ๋ คอก หลมุ ละ 200 - 300 กรมั 2) วางหวั พนั ธใ์ุ นหลมุ ปลกู กลบดนิ หนา 5-10 เซนตเิ มตร หรอื นำ� หวั พนั ธไ์ุ ปเพาะกอ่ นนำ� ไปปลกู โดยนำ� ไปผงึ่ ในทรี่ ม่ คลมุ ดว้ ยปยุ๋ คอกทยี่ อ่ ยสลายแลว้ นานประมาณ 30 วนั หวั พนั ธจ์ุ ะแตกหนอ่ ขนึ้ มา จึงนำ� ไปปลกู ในแปลง 2.2 ระยะปลูก ก�ำหนดระยะปลูก 35 × 50 เซนติเมตร การปลูกในสภาพยกร่องใช้ระยะห่างระหว่างแถว 45 - 75 เซนตเิ มตร และระหวา่ งตน้ 25 - 50 เซนตเิ มตร หากปลกู ขมน้ิ ชนั เปน็ พชื แซม ใชร้ ะยะหา่ งระหวา่ งตน้ 30 เซนตเิ มตร 2.3 จ�ำนวนต้นต่อไร่ หวั พนั ธ์ปุ ระมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่ 3. การดแู ลรกั ษา 3.1 การใส่ป๋ยุ 1) หากดนิ มีความอุดมสมบรู ณ์ ไม่จำ� เปน็ ตอ้ งใสป่ ุย๋ เพิ่มเติมในปแี รก 2) หากปลกู ขม้นิ ชนั 2 ปี ใส่ปุ๋ยคอก 300 – 500 กรัมต่อหลุม หลงั จากดายหญ้าในฤดูฝน โดยใส่รอบโคนตน้ 3) กรณที ดี่ นิ ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ ใสป่ ยุ๋ หมกั หรอื ปยุ๋ ชวี ภาพ โรยเปน็ แถวขา้ งตน้ หา่ งจาก โคนต้น 8 – 15 เซนตเิ มตร ใส่ 2 ครง้ั ครัง้ แรกหลงั ปลูก 1 เดือน และครัง้ ท่ีสอง หลงั ปลูก 3 เดือน 3.2 การใหน้ ้�ำ ระยะแรกควรรดน้�ำอย่างสม่�ำเสมอจนกว่าพืชจะต้ังตัวได้ และให้น้�ำน้อยลงในระยะหัวเริ่มแก่ และงดให้นำ�้ ในระยะเก็บเกย่ี ว หากมนี ำ้� ทว่ มขัง ให้ระบายนำ�้ ออกทนั ที 4. การปอ้ งกันและก�ำจัดศตั รพู ชื 4.1 วัชพืช ก�ำจัดโดยการถอนหรือใช้จอบดายออก พรวนดิน และกลบโคนต้นเพื่อให้เหง้า เจริญเติบโตดี 36

1) ปีที่ 1 กำ� จัดวชั พืช 3 ครั้ง ครั้งท่ี 1 เมอ่ื ขม้นิ ชนั เร่มิ งอก ยาวประมาณ 5 - 10 เซนตเิ มตร ครงั้ ท่ี 2 หลงั การปลกู 3 เดือน ครง้ั ท่ี 3 ชว่ งฤดูแลง้ 2) ปีที่ 2 กำ� จดั วชั พืช 2 คร้งั ครง้ั ท่ี 1 ชว่ งฤดแู ล้ง ครั้งที่ 2 ชว่ งฤดฝู น 4.2 โรค โรคเหย่ี ว ทเี่ กดิ จากเชอ้ื แบคทเี รยี ทำ� ใหต้ น้ มอี าการใบเหลอื ง ตน้ เหยี่ ว หวั เนา่ และมเี มอื ก สีขาวขน้ ซึมออกมาตรงรอยแผล การป้องกันก�ำจดั - พนื้ ทป่ี ลกู มกี ารระบายนำ�้ ด ี ไมเ่ คยปลกู ขมน้ิ ชนั ทเ่ี ปน็ โรค หรอื พชื ทเี่ ปน็ พชื อาศยั ของโรคมากอ่ น - หากเคยปลกู พชื ทเี่ ปน็ พชื อาศยั ของโรค ควรกำ� จดั วชั พชื ไถพรวน และผงึ่ ดนิ ใหแ้ หง้ กอ่ น ปลกู อย่างน้อย 1 เดอื น - หากแหลง่ ปลกู เคยมกี ารระบาดของโรค ควรปลกู พชื หมนุ เวยี น เชน่ ขา้ ว ขา้ วโพด เปน็ เวลา 3 ปี แลว้ จงึ กลบั มาปลกู ขมน้ิ ชนั ใหม่ หรอื จดั การดนิ โดยใชป้ ยุ๋ ยเู รยี และปนู เผา อตั รา 70 : 800 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ - ใช้หวั พันธุท์ ี่ปลอดโรค โดยคดั เลือกมาจากแหลง่ ทีไ่ มเ่ คยมกี ารระบาดของโรคมาก่อน - การเกบ็ เก่ียวผลผลิตอย่าให้เกดิ บาดแผล แยกผลผลติ ทีเ่ ปน็ โรคนำ� ไปเผาทำ� ลาย - ถอนตน้ ท่ีเป็นโรคเผาทำ� ลาย และขุดดินบริเวณนน้ั ผง่ึ แดด และโรยปนู ขาว 4.3 แมลง เพลยี้ แปง้ (Mealy bug) โดยตวั ออ่ นจะดดู นำ้� เลย้ี ง เขา้ ทำ� ลายตามรากและแงง่ ในระดบั ผวิ ดนิ ท�ำให้บริเวณท่ถี ูกท�ำลายจะเหน็ เป็นผงแปง้ เกาะตดิ อยู่ การปอ้ งกนั กำ� จดั - ใชแ้ มลงชา้ งปีกใส อัตรา 200 – 500 ตัวตอ่ ไร่ - ฉดี พ่นด้วยสารสะเดา 5. การปฏบิ ัติกอ่ นและหลงั การเก็บเกย่ี ว 5.1 ระยะเก็บเก่ยี วทเ่ี หมาะสม เก็บในช่วงฤดแู ล้ง เมื่อขมิน้ ชันมีอายุ 9 – 11 เดอื นข้ึนไป โดยจะสงั เกตเหน็ ล�ำต้นเหนอื ดิน แสดงอาการเห่ียวแห้งสนิท หลีกเลี่ยงการเก็บในระยะที่ขมิ้นชันเร่ิมแตกหน่อ เพราะจะท�ำให้มี สาร curcumin ตำ�่ หากตอ้ งการขมน้ิ ชนั สำ� หรบั ใชใ้ นการผลติ นำ้� มนั จะเกบ็ เกย่ี วขมน้ิ ชนั เมอ่ื อายุ 2 ปี โดยจะเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแลง้ ของปีถัดไป 37

5.2 วิธกี ารเกบ็ เกี่ยว ใหน้ ำ�้ ดนิ พอชน้ื ทงิ้ ไว้ 1 สปั ดาห์ แลว้ จงึ ทำ� การเกบ็ เกย่ี ว โดยใชจ้ อบขดุ หรอื ถอนขน้ึ มาทงั้ กอ ตัดแยกส่วนเหนือดินและเหง้าออก ระวงั อย่าให้ผลผลติ เกดิ บาดแผล เพ่ือปอ้ งกันการเขา้ ท�ำลาย ของเชอ้ื โรค และไม่ควรเก็บเกีย่ วในช่วงทม่ี ีฝน เพอ่ื ป้องกันโรคเชอ้ื รา 5.3 การแปรรูปหลงั การเกบ็ เกย่ี ว 1) การทำ� ความสะอาด ลา้ งเอาดนิ ออก ใชม้ อื หรอื แปรงขดั ผวิ ขมนิ้ ชนั ใหส้ ะอาด ตดั แตง่ เอาราก และสว่ นทเี่ สียของหวั ทิง้ ผึง่ ในตะกรา้ หรอื เขง่ ใหส้ ะเดด็ นำ�้ 2) การทำ� แหง้ ขมนิ้ ชนั ทงั้ หวั โดยตม้ หรอื นง่ึ เหงา้ สด นาน 1 - 2 ชว่ั โมง ตากแดด 6 - 8 วนั หรอื เปา่ ลมรอ้ น 65 - 70 องศาเซลเซยี ส ใหม้ คี วามชน้ื คงเหลอื เพยี ง 8 - 10 เปอรเ์ ซนต์ ทำ� ความสะอาดเหงา้ ปอกเปลอื กหรอื ขัดผิวภายนอกของเหงา้ อัตราสว่ นขม้ินสด : ขม้ินแห้ง เท่ากับ 4 : 1 3) การทำ� ขมนิ้ ชนั แหง้ แบบชน้ิ โดยหนั่ หรอื ฝานขมนิ้ ชนั ดว้ ยมดี หรอื เครอื่ งหน่ั หนาประมาณ 1 - 2 มลิ ลเิ มตร เกลย่ี ใหบ้ างบนถาดหรอื ตะแกรง นำ� ไปอบโดยใชเ้ ครอื่ งอบแหง้ แบบอโุ มงค์ ทอ่ี ณุ หภมู ิ 60 องศาเซลเซยี ส เปน็ เวลา 8 - 12 ชว่ั โมง หรอื นำ� ไปตากแดด 3 วนั และอบทอ่ี ณุ หภมู ิ 60 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลา 3 ช่ัวโมง อตั ราการท�ำแห้ง ขม้นิ สด : ขมิน้ แห้ง เทา่ กับ 8 : 1 4) การท�ำขม้ินชันผง โดยน�ำขมิ้นชันที่แห้งสนิทมาบดให้เป็นผงด้วยเคร่ืองบดท่ีสะอาด หรือด้วยการต�ำแลว้ ร่อนเอาเฉพาะผงขม้นิ ขมนิ้ แหง้ 1 กโิ ลกรัม จะได้ขมิน้ ผง 0.8 กิโลกรมั 5) การกลน่ั นำ้� มนั หอมระเหยขมนิ้ ชนั โดยหนั่ ขมนิ้ ชนั เปน็ ชน้ิ บางๆ ใสล่ งในหมอ้ กลน่ั ใชว้ ธิ ี การกลน่ั ดว้ ยนำ้� และไอนำ้� (water and steam distillation) ทีอ่ ณุ หภมู ิ 150 - 200 องศาเซลเซยี ส นาน 8 - 10 ชว่ั โมง อตั ราการกลน่ั นำ�้ มนั หอมระเหย ขมน้ิ สด 1,000 กโิ ลกรมั ไดน้ ำ้� มนั ขมนิ้ ชนั 2 กโิ ลกรมั 38

5.4 การบรรจแุ ละการเกบ็ รกั ษา 1) บรรจุขมน้ิ ชนั ทแ่ี หง้ แล้วในภาชนะทีส่ ะอาด แหง้ และปิดให้สนทิ 2) เกบ็ ในที่แหง้ สะอาด อากาศถา่ ยเทได้สะดวก 3) ไม่ควรวางวตั ถุดบิ ขมิน้ ชันให้สมั ผัสกับพ้ืนโดยตรง ควรเกบ็ ไวบ้ นชนั้ วางหรือยกพืน้ 4) นำ� วตั ถุดิบขมิ้นชันออกมาผ่ึงในทร่ี ่ม ทกุ 3 - 4 เดือน 5) ไมค่ วรเกบ็ วตั ถดุ บิ ขมน้ิ ชนั ไวน้ าน เนอื่ งจากปรมิ าณนำ�้ มนั หอมระเหยจะลดลงประมาณ 25% เม่อื เก็บไว้นาน 2 ปี 6. ข้อมูลอื่นๆ 6.1 สารสำ� คญั ในขมนิ้ ชนั คอื เคอรค์ มู นิ อยดแ์ ละนำ�้ มนั หอมระเหย ขมน้ิ ชนั ทด่ี ตี อ้ งมปี รมิ าณเคอรค์ มู นิ อยด์ คำ� นวณเปน็ เคอรค์ มู นิ ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 5 โดยนำ้� หนกั และนำ�้ มนั หอมระเหยไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 6 โดยปรมิ าตรตอ่ นำ้� หนกั ตามมาตรฐานของตำ� รบั ยาสมนุ ไพรไทย หรอื ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 3 และรอ้ ยละ 4 ตามมาตรฐานขององค์การอนามยั โลก 6.2 การใชป้ ระโยชน์ ภมู ปิ ญั ญาไทยใชข้ มนิ้ ชนั ในการรกั ษาพษิ แมลงสตั วก์ ดั ตอ่ ย บรรเทาอาการ จกุ เสยี ด แนน่ เฟอ้ การบำ� รงุ ผวิ พรรณ และใชใ้ นการปรงุ แตง่ กลนิ่ และรสอาหาร การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์ จากขม้นิ ชนั ไดแ้ ก่ ยา เชน่ ลดกรด รกั ษาแผล ลดอาการอกั เสบ อาหารเสรมิ สขุ ภาพ เครอื่ งสำ� อาง เชน่ ครมี บำ� รงุ ผวิ สบู่ ผลติ ภณั ฑส์ ปา Aroma Therapy และลูกประคบ ยาทากนั ยุง สว่ นผสมใน อาหารสตั ว์ ผลิตภัณฑ์ส�ำหรบั สตั วเ์ ลย้ี ง และผลติ ภณั ฑป์ ้องกนั กำ� จดั ศัตรูพชื เปน็ ต้น 39

ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตและให้ผลผลติ ของขมิน้ ชนั สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จ�ำกดั 1. สภาพภมู ิอากาศ - เจริญเตบิ โตไดด้ ีท่อี ณุ หภูมิระหว่าง 20 – 35 องศาเซลเซียส - ขม้ินชนั ตอ้ งการอณุ หภูมิท่แี ตกตา่ งกนั ในแตล่ ะ 1.1 อุณหภูมิ - ต้องการอากาศรอ้ นช้ืน ความชน้ื สัมพัทธ์ 60 – 80 เปอรเ์ ซน็ ต์ ช่วงพัฒนาการของพืช - เจรญิ เตบิ โตไดท้ ้ังในที่โล่งแจ้งหรอื มีแสงรำ� ไร ต้องการแสงแดด 1.2 ความช้นื สัมพัทธ์ : ชว่ งการงอกเป็นต้นออ่ น ต้องการอณุ หภูมิ 1.3 ความเข้มของแสง 30 – 35 องศาเซลเซียส : ชว่ งการแตกกอ ตอ้ งการอณุ หภมู ิ 25 – 30 องศาเซลเซยี ส : ชว่ งการเริม่ สร้างหัว (เหง้า) ตอ้ งการอุณหภมู ิ 20 – 25 องศาเซลเซยี ส : ชว่ งการแตกแขนง (แง่ง) ตอ้ งการอุณหภูมิ 18 – 20 องศาเซลเซยี ส - การปลกู ขมน้ิ ชนั ในทที่ มี่ แี สงแดดจดั จะไดผ้ ลผลติ มากกวา่ การปลกู ในทร่ี ม่ รำ� ไร ควรหลกี เลย่ี งทรี่ ม่ จดั เน่อื งจากมีผลตอ่ การพัฒนาเหง้า 2. สภาพพืน้ ที่ 2.1 ความสงู จากระดับนำ้� ทะเล - ปลกู ไดด้ ีท่ีระดบั ความสูง 450 – 900 เมตร เหนอื ระดบั นำ�้ ทะเล - ขมนิ้ ชนั ไมท่ นทานตอ่ สภาพนำ�้ ทว่ มขงั 2.2 ความลาดเท - เปน็ พน้ื ทรี่ าบ / พน้ื ทที่ ม่ี คี วามลาดเอยี งในระดบั 5 – 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ - ไมค่ วรปลกู ในพน้ื ทเ่ี ดมิ ตดิ ตอ่ กนั เกนิ 2 – 3 ปี - ไมม่ นี �้ำท่วมขัง ควรเวน้ พน้ื ทไ่ี ว้ 1 ปี เพอื่ ปอ้ งกนั การสะสมของเชอ้ื โรค

ขอ้ มูลสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและให้ผลผลิตของขมนิ้ ชนั (ตอ่ ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจ�ำกัด 3. สภาพดิน - ดินรว่ นหรอื ดินร่วนปนทราย ท่มี กี ารระบายน้ำ�ดี - ดนิ เหนยี วหรอื ดนิ ลกู รงั ไมเ่ หมาะกบั การเจรญิ เตบิ โต และการพัฒนาของเหงา้ ขมิน้ ชัน 3.1 ลกั ษณะของเนอ้ื ดนิ - ดนิ เปน็ ดา่ งจดั ไมเ่ หมาะกบั การเจรญิ เตบิ โตของขมนิ้ ชนั - ดนิ ทม่ี สี ภาพเปน็ กรด เออ้ื ใหเ้ กดิ โรคเนา่ ของเหงา้ 3.2 ความลกึ ของหน้าดนิ - หน้าดินท่ีเหมาะสมลกึ 30 เซนตเิ มตรและมีความร่วนซยุ และรากจากเชอ้ื แบคทีเรยี 3.3 ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งของดนิ - มีคา่ ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งของดนิ (pH) 5 -7 (pH) 3.4 การน�ำไฟฟ้าของดิน - ค่าการนำ�ไฟฟา้ ของดนิ (EC) เท่ากบั 2 dS/m 3.5 ปรมิ าณอินทรยี วัตถุ - มีคา่ ความเขม้ ข้นของอนิ ทรียวตั ถมุ ากกว่า 2 เปอรเ์ ซ็นต์ 4. ธาตอุ าหาร - ค่าฟอสฟอรสั ท่ีเป็นประโยชน์ มากกวา่ 15 ppm - ขมน้ิ ชนั ตอ้ งการโพแตสเซยี มในระยะการเจรญิ เตบิ โต 5. สภาพนำ้� - ค่าโพแตสเซยี มทล่ี ะลายน�้ำได้ มากกว่า 100 ppm ของต้นอ่อน แตกกอ และแตกเหงา้ - ปริมาณนำ้� ฝนท่เี หมาะสม 1,000 – 2,000 มิลลเิ มตรต่อปี - การปลกู ในทท่ี ม่ี ปี รมิ าณนำ�้ ฝนนอ้ ยหรอื ฝนทง้ิ ชว่ ง และมีการกระจายของฝนสมำ่� เสมอในชว่ งเวลา 100 – 120 วนั ตอ้ งจดั เตรยี มระบบการใหน้ ำ�้ หรอื ชลประทาน - ปลกู ขมน้ิ ชนั ในชว่ งตน้ ฤดฝู น เพอื่ ใหม้ รี ะยะเวลาการรบั นำ้� ฝนอยา่ งนอ้ ย - ขมนิ้ ชนั ตอ้ งการนำ้� แตกตา่ งกนั ในแตล่ ะชว่ งพฒั นาการ 4 – 5 เดอื น ของพืช - น้�ำที่เหมาะสมกับการเกษตร ตามมาตรฐานของกรมพัฒนาที่ดิน : ในระยะแรกของการเจรญิ เตบิ โต ใหน้ ำ้� อยา่ งสมำ�่ เสมอ ควรมลี กั ษณะดังน้ี ซง่ึ จะมผี ลตอ่ การงอกของเหงา้ และการเจรญิ เตบิ โตของ : มคี วามสะอาด ไมม่ สี ารอนิ ทรยี แ์ ละสารอนนิ ทรยี ท์ เี่ ปน็ พษิ ปนเปอ้ื น ตน้ ออ่ น : มคี า่ โลหะหนกั เชน่ สารหนู ไมเ่ กนิ 0.25 มลิ กิ รมั ตอ่ ลติ ร, แคดเมยี ม : ในระยะหวั เรมิ่ แก่ ความตอ้ งการนำ้� นอ้ ยลง ไม่เกิน 0.03 มลิ กิ รมั ตอ่ ลติ ร , ตะก่วั ไม่เกิน 0.1 มิลลกิ รมั ต่อลิตร : ในระยะเกบ็ เกยี่ ว ไมต่ อ้ งการนำ�้ เลย : มคี า่ ความเป็นกรดเปน็ ดา่ ง อยู่ระหว่าง 6.0 – 7.9 : มีค่าอณุ หภมู ขิ องนำ้� ไมเ่ กนิ 40 องศาเซลเซยี ส : มีค่าความเคม็ ของนำ�้ ไมเ่ กนิ 0.3 กรัมตอ่ ลิตร : มีค่าปริมาณออกซิเจนละลายนำ�้ ไม่ตำ�่ กวา่ 2 มลิ ลกิ รมั ต่อลิตร

แนวทางการเพม่ิ ประสิทธิภาพการผลติ และแหลง่ สืบคน้ ข้อมลู เพิ่มเติม แนวทางการเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ 1. การคัดเลือกหัวพันธุ์ เป็นปัจจัยส�ำคัญท่ีมีผลต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตขมิ้นชัน โดยเฉพาะการลดความสูญเสียอันเน่ืองมาจากโรคเหี่ยว ซึ่งเป็นปัญหาส�ำคัญในการผลิตขมิ้นชัน โดยพจิ ารณาคดั เลือกหวั พันธุ์ ดังนี้ 1.1 พนั ธท์ุ ใี่ หผ้ ลผลติ สงู ทนทานตอ่ โรค และมปี รมิ าณสารสำ� คญั สงู โดยมปี รมิ าณเคอรค์ มู นิ อยด์ ไมต่ ำ�่ กว่า 5 เปอร์เซ็นต์ และนำ้� มันหอมระเหยไมต่ ำ่� กวา่ 6 เปอร์เซ็นต์ ตามมาตรฐานของตำ� รับยา สมุนไพรไทย 1.2 หวั พนั ธท์ุ มี่ อี ายไุ มน่ อ้ ยกวา่ 8 – 9 เดอื น สมบรู ณ์ มคี วามแกรง่ ไมเ่ ลก็ ลบี ปราศจากโรค และแมลงเขา้ ทำ� ลาย และมตี ามากกวา่ 2 - 5 ตาขนึ้ ไป 2. การทำ� แห้งขม้นิ ชัน มขี อ้ ควรคำ� นงึ ในการปฏิบตั เิ พอื่ ให้ไดว้ ตั ถดุ ิบขม้ินชนั คณุ ภาพดี ดงั น้ี 2.1 การตากผลผลติ ขมน้ิ ชนั ตอ้ งคลมุ ภาชนะดว้ ยผา้ ขาวบาง เพอื่ ปอ้ งกนั ฝนุ่ ละออง สตั วเ์ ลยี้ ง และกนั การปลิวของช้นิ สว่ นขม้ินชนั และวางภาชนะบนลานตากแบบยกพนื้ สงู 2.2 การเกบ็ รกั ษาวตั ถดุ บิ ขมนิ้ ชนั ในภาชนะทส่ี ะอาด ปอ้ งกนั ความชนื้ ได้ โดยวางบนยกพนื้ หรือชนั้ วาง ในที่มอี ากาศถา่ ยเทสะดวก ปลอดภัยจากการรบกวนของแมลงและสัตว์ตา่ งๆ และน�ำ ออกตากแดด ทุก 3 – 4 เดือน แหลง่ สบื คน้ ขอ้ มูลเพิ่มเตมิ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. 2545. การผลติ สมนุ ไพรและเครอ่ื งเทศ. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกดั . __________________. 2551. ขมน้ิ ชนั . คมู่ อื นกั วชิ าการสง่ เสรมิ การเกษตร. กรงุ เทพฯ : ฝา่ ยโรงพมิ พ์ ส�ำนักพฒั นาการถา่ ยทอดเทคโนโลยี. 42

ค�ำ ฝอย การเตรยี มการ ข้ันตอนการปลูกและการดูแลรกั ษาคำ�ฝอย 90 วัน 30 วนั 60 วนั การเตรยี มดนิ การปลูก การให้นำ�้ การใสป่ ยุ๋ การเก็บเก่ยี ว - ไถพรวนดนิ อยา่ งนอ้ ย - ปลกู แบบหวา่ น หรอื - ปลูกในช่วงปลายฤดู - ใหป้ ยุ๋ สตู ร 15-15-15 - สว่ นทใี่ ชป้ ระโยชน์เปน็ สมุนไพรคือ กลีบดอก 1 ครง้ั ไถดินให้ลึก โรยแถว ฝนจะมคี วามชนื้ พอเพยี ง จำ� นวน 3 ครงั้ - เกบ็ เกย่ี วทุกวนั โดยใช้มอื เก็บดอกทบ่ี าน – ยกรอ่ งแปลงและปรบั ระดบั - แบบหวา่ นใชเ้ มลด็ พนั ธ์ุ ใหต้ ้นเจริญเตบิ โต ตลอดฤดูปลกู - ระยะเหมาะสมคือหลังจากดอกบาน สังเกตกลบี ดอกมีสี พน้ื ที่ ไม่ให้น้�ำขัง 2.0-2.5 กิโลกรัมต่อไร่ - ปลกู ในชว่ งแลง้ ใหน้ ำ�้ แดงเข้มหรอื สสี ้ม แกสรด้านลา่ งตกลงเล็กนอ้ ย - ตากดิน 15 วัน - แบบโรยแถวใช้ระยะ วนั เวน้ วัน การกำ�จัดวชั พชื - ไม่เกบ็ เก่ยี วดอกท่ีเหีย่ ว เพราะเมือ่ แหง้ จะมีสีด�ำคล�ำ้ หา่ งระหวา่ งแถว 30-50 -ระวังไม่ให้นำ�้ ขังแฉะ - ใชแ้ รงงานคนถาก ถอน การเตรียมพนั ธุ์ เซนติเมตร ระหว่างต้น จะเกิดโรคไดง้ า่ ย หรอื ใชร้ ถไถพรวน - ขยายพนั ธ์ุด้วยเมลด็ 20 เซนตเิ มตร จำ� นวน 1 - เหมาะสมปลกู ในปลายฤดฝู น ตน้ ตอ่ หลมุ หรือฤดูแลง้ ที่ดนิ มคี วามช้นื พอควร (ตลุ าคม-กมุ ภาพนั ธ)์ ศัตรทู ่สี ำ� คญั และการปอ้ งกนั กำ� จดั การปฏบิ ัตหิ ลงั การเกบ็ เก่ียว ศัตรูท่ีส�ำคัญคือโรครากเน่าจากเช้ือรา ระบาดรุนแรงเมื่อมี ตากแดดในภาชนะทีส่ ะอาด ยกพ้ืน มีผา้ ขาวบางคลมุ จนแห้งสนิท ความชนื้ มากหรอื ใหน้ ำ�้ มากเกนิ ไป ควรเลอื กพน้ื ทป่ี ลกู ระบายนำ้� ดี

เทคนิคการปลูก และดแู ลรักษาคำ� ฝอย 1. การเตรียมการก่อนปลกู 1.1 การเตรียมดนิ ไถดนิ 1-2 ครงั้ ไถให้ลึกจนถงึ ชั้นดินลา่ ง เพราะค�ำฝอยมรี ะบบรากแกว้ ลึก การไถลึกจะ ช่วยใหพ้ ืชเจรญิ เตบิ โตไดด้ ี กอ่ นปลกู ให้ใสป่ ุ๋ยคอกรองก้นหลุม อตั รา 125 กรัมตอ่ หลมุ 1.2 การเตรยี มพันธ์ุ - ขยายพนั ธ์ุดว้ ยเมล็ด - เกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์เอง เมล็ดค�ำฝอยจะสุกแก่หลังดอกบานหมดทั้งต้น ประมาณ 35 - 40 วนั ซงึ่ ชอ่ ดอกเปลย่ี นเปน็ สนี ำ�้ ตาล ตดั ตน้ แลว้ นำ� มาใชเ้ ครอ่ื งสกี ระเทาะเมลด็ ออก เมลด็ คำ� ฝอยมอี ายกุ ารงอกสน้ั เปอรเ์ ซน็ ตก์ ารงอกลดลงหากเกบ็ ไวน้ าน ควรเกบ็ รกั ษาเมลด็ พนั ธใ์ุ นตเู้ ยน็ 2. การปลกู 2.1 ปลกู ในปลายฤดฝู น หรอื ฤดแู ลง้ ทดี่ นิ มคี วามชน้ื พอควร (ตลุ าคม-กมุ ภาพนั ธ)์ เปน็ ระยะท่ี เหมาะสมเพราะคำ� ฝอยเปน็ พชื ทนแลง้ ได้ดี และไมช่ อบสภาพความช้นื สงู จะเกิดโรครากเนา่ ได้ง่าย 2.2 วิธีปลูก 1) มี 2 วธิ ี การปลกู แบบหวา่ นและการปลกู เปน็ แถว หลงั ปลกู ใหน้ ำ้� สมำ�่ เสมอประมาณ 15 วนั เมล็ดจะเร่ิมงอก ค�ำฝอยจะมีการเจริญเติบโตในระยะกล้าจะค่อนข้างช้า ต้นอ่อนจะเป็นระยะพุ่มแจ้ หรือ rosette stage ต้นจะเจริญแตกก่งิ อย่างรวดเร็วหลังอายุ 50 - 60 วัน 2) ระยะปลูก ปลูกเป็นแถวใช้ระยะปลูกระหว่างแถว 30 - 50 เซนติเมตร ระหว่างต้น 20 เซนติเมตร 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใส่ปยุ๋ เม่อื อายุประมาณ 180 วนั ใสป่ ุ๋ยคอก และพรวนดินทกุ 1 เดือน 3.2 การใหน้ ำ้� ระยะ 30 - 60 วนั ควรรดนำ�้ ทกุ วนั เมอ่ื อายุ 60 วนั ขน้ึ ไปแลว้ อาจใหน้ ำ�้ วนั เวน้ วนั ชว่ งหนา้ ฝน อาจไมต่ อ้ งรดนำ้� 44

4. การป้องกันและก�ำจัดศตั รูพืช 4.1 วชั พืช ใช้แรงงานคนก�ำจดั ประมาณ 2 คร้ัง 4.2 แมลง หนอนกัดกนิ ใบ (Spodoptera litura) ท�ำลายทุกระยะการเจริญเติบโต 4.3 โรค โรครากเนา่ จากเชอ้ื รา ระบาดรนุ แรงเมอ่ื มคี วามชนื้ มากหรอื ใหน้ ำ�้ มากเกนิ ไป ควรเลอื ก พืน้ ท่ปี ลูกระบายนำ้� ดี และเลอื กฤดกู าลปลกู ท่เี หมาะสม 5. การปฏบิ ตั ิกอ่ นและหลงั การเก็บเก่ยี ว สว่ นทน่ี �ำมาใชป้ ระโยชน์ คอื กลบี ดอก และเมลด็ 5.1 การเก็บเก่ียวกลีบดอก เก็บเก่ียวทุกวัน โดยใช้มือเก็บดอกที่บาน ระยะเหมาะสมคือ หลงั จากดอกบาน สงั เกตกลบี ดอกมสี แี ดงเขม้ หรอื สสี ม้ เกสรดา้ นลา่ งตกลงเลก็ นอ้ ย ไมเ่ กบ็ เกย่ี ว ดอกทเี่ หย่ี ว เพราะเมื่อแห้งจะมีสีด�ำคล�้ำ การท�ำแห้งโดยการตากแดดในภาชนะที่สะอาด ยกพ้ืน มีผ้าขาวบางคลมุ จนแหง้ สนิท 5.2 การเกบ็ เกยี่ วเมลด็ เมลด็ าคำ� ฝอยสกุ แกโ่ ดยไมแ่ ตกรว่ งจากชอ่ โดยจะสกุ แกห่ ลงั จากดอกบาน เกอื บหมดทง้ั ตน้ ประมาณ 35 - 40 วัน สงั เกตจากบบี ช่อดอก เมล็ดจะออกมาง่าย และชอ่ ดอก เปลี่ยนเป็นสีน้�ำตาลกระเทาะเมล็ดแล้วท�ำความสะอาดเก็บรักษาในถุงผ้าหรือถัง เมล็ดค�ำฝอย น�ำมาสกดั น้�ำมันท่ีมคี ณุ ภาพดีสำ� หรบั การบริโภค 6. ขอ้ มูลอน่ื ๆ 6.1 สารสำ� คัญ กลีบดอกมีสารส�ำคัญคือ แซฟฟลาวเวอร์เยลโลว์ (Safflower yellow) เป็นสารสีเหลือง สว่ นทเ่ี ปน็ สารสแี ดงคอื คารท์ ามนิ (Carthamin) ซงึ่ จดั เปน็ สารกลมุ่ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) นอกจากน้ี ยังประกอบด้วย โปรตีน เบตาแคโรทนี วติ ามนิ อี เมลด็ ประกอบดว้ ยกรดไขมนั ชนดิ ไม่อิม่ ตัวหลายชนิด เช่น กรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) กรดไลโนลิก (Linolic acid) และกรดโอเลอิก (Oleic acid) 6.2 การนำ� มาใช้ประโยชน์ กลบี ดอกคำ� ฝอยใชเ้ ปน็ ชาสมนุ ไพร มคี ณุ สมบตั ใิ นการลดคลอเรสเตอรอลในเลอื ด ใชส้ สี ม้ ของกลบี ดอกในการทำ� อาหารและยอ้ มผา้ ใชเ้ ปน็ ยาขบั ระดู บำ� รงุ ประสาท บำ� รงุ หวั ใจ บำ� รงุ โลหติ ขบั เหงอ่ื ขับของเสียออกจากรา่ งกาย ลดไขมันในเส้นเลอื ด ลดความดันโลหติ น้�ำมันจากเมล็ดคำ� ฝอยมีคุณภาพดี เนอื่ งจากมกี รดไขมนั ไม่อ่มิ ตวั สงู ประมาณ 72 - 85 เปอร์เซน็ ต์ ดสี ำ� หรับสขุ ภาพผู้บริโภค กากเมลด็ มโี ปรตีนสงู ใช้ทำ� อาหารสัตว์หรือท�ำป๋ยุ 45

ข้อมูลสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมต่อการเจริญเตบิ โตและใหผ้ ลผลติ ของค�ำฝอย สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจ�ำกัด 1. สภาพภูมิอากาศ - เป็นพชื เขตหนาวอบอ่นุ ชอบอากาศแห้ง 1.1 อณุ หภมู ิ - อณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสมในการออกดอก 24 - 32 องศาเซลเซยี ส ซงึ่ จะใหผ้ ลผลติ สงู 1.2 ความช้นื สมั พัทธ์ สามารถทนอณุ หภูมิสงู ไดถ้ ึง 43 องศาเซลเซยี ส 1.3 แสง - ความชน้ื สมั พทั ธ์ตำ่� ระดับความชืน้ สูงกวา่ นจ้ี ะทำ� ให้เกิดโรค 1.4 ปริมาณน้�ำฝน - เปน็ พืชไม่ไวต่อชว่ งแสง ชว่ งแสง 12 ชั่วโมงตอ่ วนั จะให้ผลผลิตสงู - ถา้ มชี ว่ งแสงสน้ั จะมผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตในระยะแรก (ระยะลำ� ตน้ เปน็ พมุ่ แจ้ หรือ rosetle stage) ท�ำใหร้ ะยะนีย้ าวนานขึน้ - 800 – 1,000 มิลลิเมตร 2. สภาพพื้นที่ 2.1 ความสงู จากระดับนำ�้ ทะเล - จากระดับน�้ำทะเล ถงึ สงู กวา่ ระดบั น�ำ้ ทะเลไมเ่ กิน 1,000 เมตร 3. สภาพดนิ - ดินรว่ นปนทราย - ดินเป็นกรดจะเร่งการระบาดของโรคเนา่ 3.1 โครงสร้างดิน - มีอินทรยี วตั ถุไม่น้อยกว่า 3.5% 3.2 อนิ ทรียวัตถุ - คา่ ความเปน็ กรดด่างของดนิ (pH) 5 - 8 3.3 ความเป็นกรด-ดา่ งของดิน - ระบายนำ�้ ดี ไม่ท่วมขัง 3.4 การระบายน�้ำ - เปน็ พชื ท่ีทนดินเคม็ ไดด้ ี 3.5 ความเคม็ ของดนิ 4. ธาตอุ าหาร - ไนโตรเจน 3 - 5 กิโลกรัมตอ่ ไร่ ช่วยใหอ้ อกดอกยาวนาน - ฟอสฟอรสั ปรมิ าณปานกลาง 2 - 4 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ชว่ ยการเจรญิ ในระยะกลา้ - โปแตสเซียม ต้องการใช้เฉพาะในพ้ืนทีข่ าดโปแตสเซียมเท่านนั้ 5. สภาพนำ้� - น�ำ้ ท่ีใช้เป็นนำ�้ สะอาดไม่มสี ารเคมีปนเป้ือน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook