Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 91c41de8997b8006552dee9af24bf014

91c41de8997b8006552dee9af24bf014

Description: 91c41de8997b8006552dee9af24bf014

Search

Read the Text Version

1 การเพมิ่ คุณภาพเนื้อปลาเศรษฐกจิ ของกลมุ่ เกษตรกรประมงอาเภอสารภี (การเพาะเลีย้ งปลาหมอไทย) การเพาะพนั ธุป์ ลาหมอไทย ให้ไดผ้ ลดีและมีประสิทธภิ าพ ตอ้ งได้รบั การเอาใจใส่ และปฏิบตั ใิ นด้านตา่ งๆ ดงั นี้ 1. การเพาะพนั ธุป์ ลาหมอไทย ณ ฐานเรยี นรดู้ า้ นการประมงของ เกษตรกร อ. สารภี จ. เชียงใหม่ (ภาพที่ 1) เพศเมยี เพศผู้ ภาพท่ี 1 การเพาะพันธปุ์ ลาหมอไทยในบ่อซเี มนต์ ณ ฐานเรยี นรดู้ ้านการประมงของเกษตรกร อ. สารภี จ. เชยี งใหม่

2 1.1 การเลีย้ งพ่อ-แม่พนั ธุ์ปลาหมอไทย (Climbing perch) จากการเล้ียงพ่อ-แม่พันธุ์ในบ่อซีเมนต์กลม ระดับน้า ประมาณ 1 ฟุต น้าพ่อ-แม่พันธ์ุปลาน้าหนัก 1-2 ขีด อายุประมาณ 5-6 เดือนขึ้นไป อัตราปล่อย 20-30 ตัว/ตารางเมตร การแยกเพศ เล้ียง ให้อาหารปลาผสมสาหร่ายอาร์โธรสไปร่า (สไปรูลิน่า) ผง 3 กิโลกรมั ต่ออาหารปลา 100 กิโลกรัม หรอื สาหรา่ ยนสด 30 กิโลกรัม ต่ออาหารปลา 100 กิโลกรัม อัตราให้อาหาร โดยอาหารปลาผสม สาหร่าย 5 กิโลกรัม ต่อน้าหนักปลา 100 กิโลกรัมต่อวัน ท้าให้ พ่อ-แม่พันธ์ุปลาหมอไทยมีการเจริญพันธุ์ดี แม่ปลามีไข่ดกและ พ่อปลามีน้าเช้ือดี (Promya, 2008) (ภาพที่ 2) ภาพที่ 2 การเล้ยี งพ่อ-แม่พันธุ์ปลาหมอไทยในบอ่ ซเี มนต์กลม และการดูงานของผบู้ รหิ ารมหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้

3 1.2 การคัดเลือกพ่อแม่ปลาหมอไทยจากบ่อเพื่อทาการ เพาะขยายพนั ธ์ุ คัดเลือกปลาเพศเมียท้องอูมเป่ง ช่องเพศอูมสีแดง และเพศผู้ท่ีสมบูรณ์เพศ โดยบีบท้องเบา ๆ ว่ามีน้าเช้ือสีขาวไหล ออกมา อัตราส่วนเพศเมีย:เพศผู้ เท่ากับ 2:1 ไข่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 0.7 มิลลิเมตร เป็นไข่ลอย สีเหลืองใส ความดกไข่ 20,000–100,000 ฟอง ฤดูวางไข่ประมาณ เมษายน – กันยายน ของทุกปี (ภาพที่ 3) เมีย ผู้ ภาพที่ 3 การคัดเลือกพอ่ แม่ปลาหมอไทย และไข่ปลาหมอไทย 1.3 วิธีการเพาะพนั ธ์ปุ ลาหมอไทย และอุปกรณ์ (ภาพที่ 4) เริ่มจากชั่งน้าหนักและบันทึก ค้านวณฮอร์โมนและน้า กลั่น มีวิธีการค้านวณ ดังน้ี ฮอร์โมนสังเคราะห์ซุพรีแฟค (ต้องท้า การเจือจางฮอร์โมนให้มีความเข้มข้น 1,000 ไมโครกรัม ปริมาตร 10 ซีซี ก่อน) คา้ นวณจากปริมาตรซุพรีแฟคทีต่ ้องใช้ (ซซี )ี =(น้าหนัก ปลารวม (กิโลกรัม)*ความเข้มข้นของซุพรีแฟค 15-20 ไมไครกรัม)

4 /100 ผสมกบั ยาเสรมิ ฤทธ์ิ (โมทเี ลยี ม)(1 เมด็ มีตัวยา 10 มลิ ลิกรัม) ก้าหนดให้ใช้ 5-10 มิลลิกรัม/ปลา 1 กิโลกรัม น้ากล่ันค้านวณจาก ปริมาตรน้ากล่ัน (ซีซี)=น้าหนักปลารวม (กิโลกรัม)-ปริมาตรซุพรี แฟค (ซีซี) บดยา ผสมน้ากล่ัน และฮอร์โมน น้าไปฉีดปลา (กรมประมง, 2541) (ภาพที่ 5) ภาพที่ 4 อปุ กรณเ์ พาะพนั ธ์ปุ ลา และการช่ังน้าหนกั ปลา ภาพที่ 5 การเตรยี มฮอรโ์ มน และการฉีดฮอรโ์ มน พอ่ -แม่พนั ธุป์ ลาปลาหมอไทย

5 1.4 การผสมพันธ์ุปลาหมอไทยในภาชนะ หลังจากการฉีดฮอร์โมนน้าพ่อแม่ปลา ปล่อยลง ในภาชนะโดยใส่พ่อแม่ปลาในตะกร้าท่ีมีรูขนาดพ่อแม่ปลารอดออก ไม่ได้ น้าตะกร้ามาตั้งไว้ในบ่อซีเมนต์กลมใช้หินถ่วงไว้ตรงกลาง ตะกรา้ ไมใ่ ห้ตะกร้าลอยน้า (ภาพที่ 6) ประมาณ 6-9 ช่วั โมง แม่ปลา วางไข่ ไขป่ ลาหมอไทยเป็นไข่ลอยและไขจ่ ะลอยลอดรูตะกล้าออกไป ภายในบ่อซีเมนต์ หลังจากนั้นน้าตะกล้าท่ีมีพ่อแม่ปลาออกจากบ่อ ซีเมนต์ และไขป่ ลาทีไ่ ดร้ บั การผสม มสี นี ้าตาล หลงั จากท่ีตวั อ่อนฟัก ออกจากไข่ มีถุงไข่แดงติดที่ท้อง ประมาณ 3 วัน ถุงไข่แดงยุบ กิน อาหารไดว้ ันที่ 4 เปน็ ตน้ ไป น้าไปอนบุ าลต่อไป ภาพท่ี 6 การผสมพันธ์ุปลาหมอไทยในภาชนะ และการเพาะไรแดง

6 2. การอนบุ าลและเลย้ี งปลา หลังจากถุงไข่แดงติดตัวยุบให้ไข่แดงต้มสุก 2-3 คร้ัง/วัน และให้ไรแดงเป็นอาหาร ลูกปลาอายุ 10-14 วนั นา้ ไปอนุบาลในบ่อ ซีเมนต์อัตราการปล่อย 3,000-5,000 ตัว/ตารางเมตร หรือบ่อดิน ขนาด 200-800 ตารางเมตร เติมน้า สูง 50 เซนติเมตร เตรียมน้า เขียวและปล่อยไรแดงลงไปในบ่อดิน 1-2 วัน ปล่อยลูกปลา และให้ อาหารส้าเร็จรปู เสริม จนลกู ปลาอายไุ ด้ 1 เดือน ขนาดเท่าใบมะขาม น้าไปเล้ียงด้วยอาหารส้าเร็จรูปผสมอาร์โธรสไปร่าสด 20% หรือผง 2% (อาร์โธรสไปร่าสด 10 กิโลกรัม ตากแห้งได้ 1 กิโลกรัม) ปลาโต ไว (ภาพท่ี 7) ภาพท่ี 7 การอนุบาลลกู ปลาด้วยไรแดง และการเลี้ยงปลาหมอไทย โดยอาหารผสมสาหร่าย

7 3. เกษตรกรได้รบั องคค์ วามรู้ การสรา้ งผลติ ภัณฑป์ ลาหมอไทย จา้ หน่ายในชุมชน และตลาดท่ัวไป (ภาพที่ 8) ภาพที่ 8 การอบรมการแปรรูปปลาหมอไทยของกลมุ่ เกษตรกร โดยทีมคณาจารย์คณะเทคโนโลยีการประมงฯ มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ และกรมประมง และไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ปลาหมอเผาเกลอื จา้ หนา่ ยในชมุ ชนได้

8 4. การเพมิ่ คณุ ภาพเน้ือปลาหมอไทย มีโปรตนี สงู โดยน้าหนักแห้ง ดังนี้ โปรตีนโดยน้าหนักแห้งในเนื้อปลาหมอไทยของเกษตรกร ท่ีเล้ียงด้วยอาหารปลาทั่วไปผสมสาหร่ายอาร์โธรสไปร่าสด 20% มีค่าเท่ากับ 22.73 % มากกว่าปลาหมอไทยของเกษตรกรที่เล้ียง ด้วยอาหารปลาท่ัวไปผสมแหนเป็ดเล็กสด 50% มีค่าโปรตีนเท่ากับ 18.50 % และการผลิตปลาหมอไทยแบบทั่วไปของเกษตรกรท่ีเล้ียง ด้วยอาหารทวั่ ไปมคี ่าโปรตนี เทา่ กบั 18.67 % (ภาพท่ี 9) ภาพท่ี 9 โปรตีนในเนือ้ ปลาหมอไทย ตลอดระยะเวลาการเล้ียง 5 เดือน

9 5. ระยะเวลาในการเลยี้ งปลาหมอไทยลดลงอยา่ งนอ้ ย 15 วนั ระยะเวลาในการเลี้ยงปลาหมอไทย ของเกษตรกร ในระยะเวลา 4 เดือน ให้ได้ขนาด 8-9 ตัว/กิโลกรัม เป็นขนาดท่ีใช้ ท้าเป็นปลาหมอเผาเกลือท้ังตัว จากการวิจัยปลาหมอไทยที่เลี้ยง ด้วยอาหารปลาทั่วไปผสมสาหร่ายอาร์โธรสไปร่าสด 20-30% มีน้าหนักเฉลี่ยต่อตัว เท่ากับ 135 กรัม/ตัว มีค่าน้าหนักเฉลี่ยตอ่ ตวั มากกว่าการผลิตปลาหมอไทยแบบท่ัวไปของเกษตรกรท่ีเลี้ยงด้วย อาหารท่ัวไปมีค่าเท่ากับ 113.17 กรัม/ตัว และปลาหมอไทยที่เลี้ยง ด้วยอาหารปลาท่ัวไปผสมแหนเป็ดสด 50% มีค่าเท่ากับ 94.03 กรัม/ตวั (ภาพที่ 10) ภาพที่ 10 นา้ หนกั ตวั เฉลย่ี ของปลาหมอไทย ตลอดระยะเวลาการเลี้ยง 4 เดือน

10 6. ต้นทุนการผลิตปลาหมอไทยของกลุ่มเกษตรกรประมง ลดลง อย่างนอ้ ย 10 % ต้นทุนการผลิตปลาหมอไทยของกลุ่มเกษตรกรประมง ที่เล้ียง ด้วยอาหารปลาท่ัวไปผสมแหนเป็ดเล็กสด 50% มีต้นทุนการผลิต เท่ากับ 27.60 บาท/กิโลกรัม ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าการผลิตปลาหมอ ไทยท่ัวไปของเกษตรกรท่ีเลี้ยงด้วยอาหารท่ัวไปมีต้นทุนการผลิต เท่ากับ 37.78 บาท/กิโลกรัม (ภาพท่ี 11) (เป้าหมายของโครงการ ลดลงอย่างน้อย 10 %) และการเลี้ยงปลาหมอไทยของกลุ่ม เกษตรกรประมง ที่เลี้ยงด้วยอาหารปลาทั่วไปผสมสาหร่าย อาร์โธรสไปร่าสด 20% มีต้นทุนการผลิตเท่ากับ 33.87 บาท/ กโิ ลกรัม ซ่ึงมตี น้ ทุนถกู กวา่ การผลิตปลาหมอไทยทว่ั ไปของเกษตรกร ท่ีเล้ียงด้วยอาหารทั่วไปมีต้นทุนการผลิตเท่ากับ 37.78 บาท/ กโิ ลกรัม จะเหน็ ได้ว่าจากการท้าโครงการลดลงประมาณ 11.54 %)

11 ภาพท่ี 11 ตน้ ทนุ การการผลิตปลาหมอไทย ตลอดระยะเวลาการเลย้ี ง 5 เดอื น

12 เอกสารอา้ งองิ กรมประมง. 2541. การเพาะเล้ยี งปลาหมอไทย. เอกสารเผยแพร, กรมประมง. 14 หนา Promya J. 2008. Assessment of immunity stimulating capacity and Meat, Egg qualities of hybrid Tuptim Tilapia ND56 (Oreochromis sp.) fed on raw Spirulina. PhD Thesis, Department of Biology,Faculty of Science, Chiang Mai University.

13 แหล่งทนุ อุดหนนุ ได้รับทุนอุดหนุนการท้ากิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุน การวิจัย โครงการ “Research for Community”ทุนอุดหนุนการ วิจัย ประจ้าปีงบประมาณ 2559 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับ สา้ นกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ (วช.) คณะผจู้ ัดทาคมู่ อื ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. จงกล พรมยะ อาจารย์ ดร.อานุภาพ วรรณคนาพล นาย สุฤทธิ์ สมบูรณช์ ัย นาย เทพพิทกั ษ์ บุญทา

คูม่ ือ การปลูกผักสวนครวั Vegetable Gardening Guide ไดร้ ับทนุ อุดหนนุ การทากจิ กรรมส่งเสริมและสนบั สนนุ การวจิ ยั โครงการ “Research for Community”ทนุ อดุ หนนุ การวิจยั ประจาปงี บประมาณ 2559 มหาวิทยาลัยแมโ่ จ้ รว่ มกับ สานกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ (วช.)

ก หน้า ก สารบญั ข ค (List of content) 1 4 เรือ่ ง 9 สารบญั เร่ือง 12 สารบัญตาราง 21 สารบัญภาพ การเลือกพ้ืนทีป่ ลกู ผักสวนครวั 26 ฤดกู าลทเ่ี หมาะสมตอ่ การปลูกพืชผักแต่ละชนิด 27 การเพาะกลา้ ผกั 27 การผลิตปุ๋ยน้าชวี ภาพจากเศษพชื การผลิตขยายเชอ้ื ราเขียว“ไตรโคเดอรม์ า” ในขา้ วเปลือก เอกสารอา้ งองิ แหล่งทนุ อุดหนุน คณะผจู้ ดั ทา้ คมู่ อื องค์ความรู้

ข สารบญั ตาราง (List of Tables) ตารางท่ี หนา้ 1 แสดงฤดกู าลทเ่ี หมาะสมต่อการปลกู พชื ผัก 6 สวนครวั

ค สารบญั ภาพ (List of Illustrations) ภาพท่ี หนา้ 1 ตน้ กล้าผักท่สี ามารถย้ายลงแปลงปลกู ได้ 9 2 การเพาะเมลด็ ลงในกระบะทราย 10 3 การเพาะกลา้ ผักในสภาพแปลงเพาะ 11 4 การเตรียมพืชผักและผลไม้สาหรบั ทาฮอร์โมน 15 ผลไม้ 5 การผสมเชือ้ EM และกากนา้ ตาล 16 6 การเตรียมส่วนผสมในถังหมกั 17 7 การหมักและการบรรจขุ วด 18 8 การหมักเศษผักรอบท่ี 2 19 9 ขัน้ ตอนการขยายเชื้อสดไตรโคเดอรม์ าใน 23 ขา้ วเปลอื ก

1 การปลกู ผกั สวนครวั ผักสวนครัว หมายถึง พืชท่ีปลูกเพื่อใช้ในการปรุงเป็น อาหาร ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการนามาประกอบอาหารได้ มี 4 ประเภท ดงั นี้ 1. ใช้ผลเป็นอาหาร เช่น แตงกวา มะเขือเทศ พริก มะเขือ เปราะ ถว่ั ฝกั ยาว ถัว่ แขก ถ่ัวพู 2. ใช้ใบและลาต้นเป็นอาหาร เช่น ผักกาดขาว ตาลึง ผักคะน้า สะระแหน่ ผักบุ้ง ผักไผ่ ผักชี ผักชีฝร่ัง กะเพรา แมงลัก โหระพา เปน็ ต้น 3. ใช้ดอกเป็นอาหาร เช่น กะหล่าดอก ดอกแค บร็อคโคลี่ ดอกขจร เปน็ ตน้ 4. ใช้หัวหรือรากที่อยู่ใต้ดินเป็นอาหาร เช่น หอมหัวใหญ่ แครอท กระเทียม ขงิ ผักกาดหัว กระชาย ขม้ิน เป็นตน้ 1. การเลือกพืน้ ท่ีปลูกพชื ผกั สวนครวั นับว่าเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็น เพราะเป็นการลงมือปฏิบัติ จริงอาศัยการศึกษารู้จัก และเข้าใจธรรมชาติของพืชผักสวนครัวที่ ปลกู อยา่ งแท้จรงิ เพอ่ื ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ในการปลูกพชื ผักสวนครัว ซ่ึงควรพิจารณาจากสิ่งตอ่ ไปน้ี

2 สภาพพืน้ ทป่ี ลกู 1. สถานที่ปลูก การปลูกพืชผักสวนครัว จาเป็นต้องมีดิน หรือวัสดุท่ียึดเกาะ เพ่ือเป็นแหล่งน้า-อาหารใช้ในการเจริญเติบโต พื้นท่ีจะมากหรอื นอ้ ยขน้ึ อยู่กับชนดิ ของพืชผกั ที่ปลกู คือ 1.พื้นที่ปลูก ควรปลูกในบริเวณบ้าน อาจเป็นพื้น นา้ หรือพน้ื ดนิ กไ็ ด้ 2. ไม่มีพ้ืนที่ปลูก พืชผักสวนครัวสามารถปลูกใน ภาชนะท่ีใส่ดินปลูกเหมือนกับปลูกไม้ประดับ หรือในภาชนะแขวน เปน็ พชื ผกั สวนครัวลอยฟา้ กไ็ ด้ 2. ขนาดของพ้ืนที่ปลูก ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ปลูกเสริม รายได้เล็กๆ น้อยๆ พื้นที่ก็ไม่มากนัก ขนาดแปลงกว้าง 1 เมตร ยาว 4 เมตร ก็เพียงพอ หรอื ปลกู ไว้บริโภคในครวั เรือน 3. ลักษณะเนื้อดิน การปลูกพืชผักสวนครัวจะประสบ ผลสาเร็จ หรือไม่ดินต้องมีความสมบูรณ์ มีการระบายน้า-อากาศดี มอี ินทรยี วตั ถุ ซึ่งจะทาให้พชื ผกั สวนครวั เจริญเตบิ โตเร็ว ลงทนุ น้อย ลกั ษณะดินทมี่ คี วามสมบูรณ์ 3.1 มีความร่วนซุย เม่ือเปียกน้าจะไม่แฉะเหนียว เกนิ ไป หรือเมื่อแหง้ ไมจ่ ับตวั เปน็ ก้อน 3.2 สีของดินต้องคล้า แสดงถึงความสมบูรณ์ของ อนิ ทรียวัตถุและการเกบ็ น้าไดด้ ี

3 3.3 ไม่มีเม็ดดินทรายมากเกินไป เพราะมีปริมาณ ธาตุอาหารน้อย ไม่อุ้มน้า และมีการชะล้างธาตอุ าหารดินสงู 4. สภาพแหล่งน้า ถือว่าเป็นปัจจัยที่สาคัญที่สุดต่อการ เจรญิ เติบโต เพราะพืชผักสวนครัวตอ้ งการนา้ มาก 1. น้าฝน เป็นแหล่งที่เกิดตามธรรมชาติที่สาคัญ ที่สุด เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง แม่น้า สระน้า แหล่งน้าดังกล่าวจะ มีแร่ธาตุอาหารของพืชที่ถูกชะล้างพัดพามา ซ่ึงมีประโยชน์มากกว่า น้าฝนท่ตี กใสพ่ ้นื ที่ปลกู โดยตรง 2. น้าบาดาล เป็นแหล่งน้าที่นามาใช้ประโยชน์ ค่อนข้างน้อย เพราะมีปริมาณเกลือและต้องลงทุนสูง ไม่สะดวก สิ้นเปลอื งแรงงาน 3. น้าประปา เป็นแหล่งน้าท่ีได้รับความนิยมกับ การปลูกผักสวนครัว เพราะสะดวก งา่ ยตอ่ การปฏบิ ัติดแู ลรกั ษา 5. สภาพภูมิอากาศ ต้องเหมาะสมกับชนิดของพืชผักสวน ครัวท่ีปลูก เพราะพืชผักสวนครัวแต่ละชนิด ต้องการภูมิอากาศที่ แตกต่างกัน บางชนิดชอบอากาศหนาวเย็น บางชนิดเจริญได้ทุก สภาพอากาศ แต่โดยส่วนใหญ่พชื ผกั สวนครวั เกือบทุกชนดิ เจริญได้ดี ต่อสภาพภมู ิอากาศบา้ นเรา

4 องคป์ ระกอบของสภาพภูมอิ ากาศ 1. อุณหภูมิ เป็นปัจจัยสาคัญต่อการเจริญเติบโต ของผักสวนครัว เพื่อให้ง่ายต่อการปลูก การดูแลรักษา ฉะน้ันควร เลอื กพชื ผักทีเ่ หมาะสมกบั สภาพภูมอิ ากาศทอ้ งถ่ิน 2. ความชื้น คือ ไอนา้ ท่ีลอยในช้ันบรรยากาศ พชื ผกั สวนครวั ต้องการความช้ืนสงู ดังนน้ั การให้นา้ ยอ่ มมผี ลตอ่ ปรมิ าณไอน้าในแปลงปลกู หรือภาชนะปลกู เพราะความช่มุ ชนื้ มีผล ตอ่ การเจริญเติบโต 6.ปรมิ าณแสง พ้ืนท่ีปลูกพืชผักสวนครัว ปริมาณแสงท่ีได้รับมีผลต่อการ เจรญิ เติบโตของพืชผักท่ปี ลูก คือ - พนื้ ทีท่ ไ่ี ม่ได้รบั แสงแดดตลอดทงั้ วัน พืชทปี่ ลูกควรเป็นพืช ทีเ่ จรญิ เติบโตในทมี่ ีรม่ เงาได้ เช่น สะระแหน่ โหระพา กะเพรา ขิง ข่า ตะไคร้ ฯลฯ - พื้นที่ท่ีได้รับแสงแดดตลอดท้ังวัน พ้ืนที่ปลูกควรเป็นพืชท่ี เจริญเติบโตได้ในท่ีมีแสงปกติ เช่น พืชตระกูลผักกาด คะน้า ถ่วั ฝักยาว พริก ผกั บ้งุ ฯลฯ 2. ฤดูกาลทเี่ หมาะสมต่อการปลูกพืชผักแตล่ ะชนิด ฤดูฝน เร่ิมตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ตุลาคม ปริมาณน้าฝนมาก ช่วงแสงแต่ละวันยาว ความช้ืนใน

5 อากาศสูง พืชผักที่เหมาะสมกับฤดูนี้ ได้แก่ ผักบุ้ง ผักคะน้า ถั่วฝกั ยาว บวบ มะเขือ ฯลฯ ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ความชื้น ในอากาศต่า ช่วงแสงแต่ละวันส้ัน ลมพัดแรง พืชผักที่เหมาะปลูก ในช่วงฤดูหนาว ได้แก่ กะหล่าปลี ผักกาดต่างๆ ผักชี มะระ ฤดูร้อน เร่ิมต้ังแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฤดูน้ีมีฝนตก ประปราย ช่วงแสงแตล่ ะวนั ยาว อากาศร้อน ความช้นื ในอากาศปาน กลาง พืชผักท่ีเหมาะสมปลูกในฤดูนี้ได้แก่ ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือ ตา่ งๆ พริกต่างๆ ฟกั ทอง บวบ ฯลฯ

6 ตารางที่ 1 แสดงฤดกู าลทีเ่ หมาะสมตอ่ การปลูกพชื ผักสว ชนดิ ช่วงเดือ พืชผักสวนครวั ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ ผกั กาดขาว คะน้า กะหล่าปลี กะหลา่ ดอก ผกั กาดเขยี ว กวางตุ้ง แตงกวา ถว่ั ฝักยาว มะระจีน

6 วนครัว อนทเ่ี หมาะสมต่อการปลูก พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.

7 ชนดิ ช่วงเดือ พชื ผักสวนครัว ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ ผักบุง้ จนี ผกั กระเฉด พรกิ ขห้ี นู มะเขือ ฟักเขียว (แฟง) โหระพา กะเพรา แมงลัก ผักชี ชะอม

7 อนทีเ่ หมาะสมต่อการปลกู พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.

8 ชนดิ ชว่ งเดือ พชื ผกั สวนครัว ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ กระถิน ตาลงึ มะนาว มะกรูด ขิง ขา่ ตะไคร้ กระชาย หมายเหตุ : ปลกู ได้ ปลูกไดด้

8 อนท่ีเหมาะสมต่อการปลูก พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ดี

9 3. การเพาะกลา้ ผกั การเพาะกลา้ สามารถทาได้ 3 วธิ ี คือ 1. การเพาะกล้าในภาชนะหรอื กระบะเพาะ เช่น ลังไม้ กระทง กระบะพลาสติก ถ้วยกระดาษ ถาดเพาะหรืออื่นๆ ท่ีมีขนาดพอเหมาะ น้าหนักเบา ไม่ผุง่าย หาง่าย และราคาถูกสาหรับวัสดุเพาะขึ้นอยู่กับชนิดของพืชผักอาจใช้ดิน อย่างเดียว ดินผสมปุ๋ยหมัก (1:1) ดินผสมปุ๋ยคอก (3:1) ทราย ผสมขุยมะพร้าว (1:1) ทรายผสมขุยมะพร้าวและปุ๋ยคอก(1:1:1) หรือวัสดผุ สมอื่นๆ ลงในภาชนะหรอื ถาดเพาะ รดนา้ แล้วหยอดเมล็ด ลงตามหลุมแล้วเกลี่ยวัสดุเพาะกล้ากลบเมล็ด รดน้าวันละ 2 คร้ัง/ วัน อย่าให้แฉะ อายุกล้าที่เหมาะสม 25-30 วัน สามารถย้ายกล้าลง แปลงปลูกไดต้ อ่ ไป (ภาพที่ 1) ภาพท่ี 1 แสดงตน้ กลา้ ผกั ที่สามารถยา้ ยลงแปลงปลกู ได้

10 2. การเพาะเมล็ดลงในกระบะทราย เตรียมกระบะพลาสติกหรือไม้ ขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร สูง 10 เซนติเมตร ที่มีรูระบายน้า ด้านลา่ งแลว้ รองด้วยกระดาษหนงั สือพมิ พ์หน่ึงชนั้ ใส่ทราย (ทรายที่ ใชใ้ นการก่อสร้าง) มีความหนาประมาณ 2-3 นว้ิ รดน้าใหช้ มุ่ ทารอ่ ง ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ให้หา่ งกันแถวละ 5 เซนติเมตร โรยเมล็ด ลงไปและการโรยเมล็ดลงในร่องไม่ควรโรยให้แน่นเกินไป จากน้ัน กลบร่อง เมล็ดท่ีใช้ควรคลุกด้วยยาพวกเมทาแลกซิล หรือแค็ปแทน รดน้าให้ชุ่มหมั่นดูแลอย่าให้ทรายแห้ง หลังจากหยอดเมล็ดได้ 7-10 วัน ต้นกล้าจะมีใบเลี้ยง 2 ใบ สามารถย้ายลงปลูกในถุงดินหรือ กระบะกลา้ ตอ่ ไป (ภาพท่ี 2) ภาพท่ี 2 แสดงการเพาะเมลด็ ลงในกระบะทราย

11 3. การเพาะกลา้ ในแปลงเพาะ ใช้กับเมล็ดพันธ์ุผักท่ีหาง่าย ราคาถูก และสามารถ เพาะได้เป็นจานวนมากวิธีการคือเตรียมแปลงกล้าขนาดกว้าง 1 เมตร ความยาวแล้วแต่พ้ืนที่ ปรับหน้าดินให้ละเอียด คลุกเคล้าด้วย ปุ๋ยคอก เพื่อให้ดินร่วนซุย จากน้ันทาการหว่านเมล็ดลงในแปลง เพาะให้ท่ัวและสม่าเสมอกัน ควรคลุกเมล็ดยาพวกเมทาแลกซิล หรือแค็ปแทน หลังหว่านเมล็ดเสร็จใช้แกลบโรยหรือใช้ฟางข้าว กลบ และควรทาหลังคาเพ่ือป้องกันฝนตก การดูแลต้นกล้า ควรรด น้าอย่าให้ขาด กาจัดวัชพืชโดยการถอนหญ้าฉีดพ่นยาเมื่อมีแมลง และศตั รูรบกวน เมอ่ื ต้นกลา้ อายุ 25-30 วัน สามารถยา้ ยปลูกลงใน แปลงปลูกได้ (ภาพท่ี 3) ภาพที่ 3 แสดงการเพาะกล้าผกั ในสภาพแปลงเพาะ

12 การเลอื กทีแ่ ละการเตรียมแปลงเพาะ 1. เลอื กบริเวณทดี่ ินมคี วามอุดมสมบูรณส์ ูง อยใู่ กล้ท่ีพกั 2. ไมเ่ ป็นแหลง่ สะสมโรคและแมลง 3. ทาการกาจัดวัชพชื ออกให้หมด และปรบั ดินให้เรยี บ 4. การเตรยี มดนิ ควรขุดดนิ ตากไว้ 7-10 วัน และเตรียมดนิ ใหล้ ะเอยี ดกอ่ นเพาะหรอื หว่านเมลด็ 5. วางแนวแปลงเพาะให้อยู่แนวทิศเหนือ-ใต้ เพ่ือให้ได้รับ แสงตลอดวนั 6. หลังเพาะหรือหว่านเมล็ด ควรนาดินละเอียดหว่านทับ อีกครัง้ และรดนา้ ใหช้ มุ่ 4.การผลิตป๋ยุ น้าชีวภาพจากเศษพืช 1.การผลิตนา้ สกดั ชวี ภาพ (เศษพชื และผลไม้) วัสดุอุปกรณ์ 1. ถังพลาสติกที่มีฝาปิดสนิท 2. กากน้าตาล 3. พชื ผัก ผลไมอ้ วบน้า 4. ของหนกั เชน่ อิฐบลอ็ ก หรอื ก้อนหนิ 5. สารเร่งการยอ่ ยสลาย (พด.2) หรือจลุ นิ ทรยี ์อนื่ ๆ วธิ ีทา้ 1. นาพชื ผกั ผลไม้มาสบั ใหเ้ ป็นชน้ิ เล็กๆ ผสมกบั กากน้าตาล ในภาชานะท่เี ตรียมไวใ้ นอัตราพืช 3

13 กโิ ลกรมั /กากนา้ ตาล 1 กโิ ลกรัม 2. นาของหนกั วางทับบนพชื ทีห่ มกั ปดิ ฝาถงั ให้สนิท ประมาณ 7-10 วัน 3. จะมีของเหลวสนี ้าตาลไหลออกมา คือ นา้ สกดั ชีวภาพ กรอกใส่ขวด ปดิ ฝาใหส้ นิทเก็บไวใ้ นท่รี ่ม 4. กากทีเ่ หลือจากการหมักสามารถนาไปฝังเปน็ ปยุ๋ บริเวณ ทรงพุม่ ของตน้ ไมไ้ ด้ วธิ ีใช้ ฉดี พน่ อตั รา 1 : 500-1,000 ราดโคนต้น อัตรา 1 : 200-500 หมายเหตุ : ควรใชข้ ณะท่ีมอี ากาศเยน็ 2. การผลติ นา้ หมักชวี ภาพ (สตู รปลาหมัก) วัสดุอปุ กรณ์ 1. ถงั หมักท่ีมฝี าปิดสนิท 2. กากน้าตาล 30 กิโลกรมั 3. ปลาสด 40 กโิ ลกรัม 4. น้าสะอาด 100 ลิตร 5. สารเร่งการย่อยสลาย (สาร พด.2 หรือจลุ ินทรีย์อ่นื ๆ) วิธที ้า 1. นากากนา้ ตาล 30 กโิ ลกรมั ผสมนา้ 100 ลติ ร ใสน่ า้ ใน ถงั พลาสติกขนาดบรรจุ 200 ลิตร คนให้เข้ากัน เติมสารเรง่ การยอ่ ย สลาย (จุลนิ ทรีย)์ 10 ลิตร (1 ซอง ผสมน้า 10 ลิตร คนให้เขา้ กนั ท้งิ

14 ไว้ 20 นาที) 2. นาปลาสด 40 กิโลกรัม ลา้ งให้สะอาด เทลงถังพลาสตกิ ทีเ่ ตรียมไว้ 3. คนใหเ้ ข้ากนั อีกคร้ังปดิ ฝาใหส้ นทิ หมักทิ้งไว้ 5-7 วนั (จะเกิดปฏิกริ ยิ า มแี รงดันอากาศ มฟี องลอยบนผิวน้า มลี กั ษณะสี น้าตาลอ่อนถึงแก)่ คลายฝาออกเลก็ น้อย ขบวนการยอ่ ยสลายอยู่ในช่วง 15-20 วันหลังจากหมกั ปลา ลักษณะของนา้ สกัดชวี ภาพที่ใช้ได้ต้องไม่มีเศษปลาหลงเหลืออยู่ และลกั ษณะน้ามสี นี ้าตาลเข้มมฝี ้าหรอื ใยสขี าวลอยบนผิวน้า มกี ล่ิน หอม เก็บไว้ในทร่ี ่มอากาศถ่ายเทสะดวก วิธีใช้ ราดโคน อตั รา 1 : 50-10 3. ฮอรโ์ มนผลไม้ ใชก้ ับพชื ผักสวนครวั อุปกรณ์ 1. กากนา้ ตาล 250 ซซี ี 2. หัวเช้อื จลุ นิ ทรีย์ EM 250 ซซี ี 3. นา้ ประปา 10 ลติ ร (รองใส่ถงั ทง้ิ ไว้ใหค้ ลอรนี ละเหย ด้วย) 4. ถงั มฝี าปิด 5. ตะกรา้ พลาสตกิ ขนาดต้องใสล่ งในถงั ได้

15 6. ผลไมต้ า่ งๆ คือ กลว้ ยน้าว้า 2 กิโลกรมั ฟักทอง 2 กิโลกรัม มะละกอสกุ 2 กิโลกรัม (ในท่นี ี้ใชส้ บั ปะรดแทน) วธิ ีท้า 1. หั่นพืชผัก, ผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ โดยไม่ต้องล้างน้าก่อน และไม่ต้องปอกเปลือก โดยใช้กล้วยน้าว้า หวีครึ่ง, สับปะรด 1 หัว, ฟกั ทอง 2 กโิ ลกรัม (หน่ั ทกุ อยา่ งรวมกนั ไมต่ ้องแยกชนดิ ) (ภาพที่ 4) ภาพท่ี 4 แสดงการเตรียมพืชผักและผลไม้สาหรับทาฮอรโ์ มนผลไม้

16 2. เทหวั เช้ือ EM และ กากน้าตาล อตั รา 250 ซีซี (ประมาณ 1 ถ้วยขนมหวาน) เทหัวเช้ือ EM และ กากน้าตาลใส่ในพืชผักท่ีห่ัน ไว้ แล้วคลุกเคลา้ ให้เข้ากัน (ภาพท่ี 5) ภาพที่ 5 แสดงการผสมเช้อื EM และกากนา้ ตาล 3. เทใส่ลงตะกร้าท่ีเป็นรู แล้วใส่ลงถัง เติมน้าท่ีเตรียมไว้ ตามลงไป (หากเป็นน้าประปาให้แช่น้าทิ้งไว้ก่อน 1 คืน เนื่องจาก น้าประปามีคลอรนี ทีฆ่ ่าเช้อื จะทาใหจ้ ุลินทรียต์ ายได)้ (ภาพท่ี 6)

17 ภาพท่ี 6 แสดงการเตรยี มส่วนผสมในถงั หมัก 4. ปิดฝาทิ้งไว้ในที่ร่ม อย่าให้โดนแดด ใช้เวลาหมัก 7-10 วัน เม่ือหมักได้ 5 วัน ยังไม่ถึงกาหนด แยกกากออกกรองด้วย กระชอนหมักต่ออีก 2 วัน เม่ือหมักครบ 7 วัน เปิดดูมีฝ้าขาว ลอยหน้าช้อนเอาฝ้าขาวออกแล้วบรรจุใส่ขวดปิดฝาให้มิดชิด (ภาพที่ 7)

18 ภาพท่ี 7 แสดงการหมักและการบรรจขุ วด 5. เศษพืชผักท่ีถูกแยกเอาน้าออกแล้วยังสามารถนา เชื้อจุลินทรีย์ และกากน้าตาลมาเติมและหมักต่ออีกสักรอบ หมัก รอบที่สองใช้เวลาประมาณ 4 วัน เม่ือครบกาหนดให้แยกกากแยก น้า เก็บใส่ภาชนะไว้ใช้ต่อไป ส่วนกากให้นาไปผสมดินใส่โคนต้นไม้ ได้ (ภาพที่ 8)

19 ภาพท่ี 8 แสดงการหมักเศษผักรอบท่ี 2 วธิ ีใช้ ใชน้ ้าหมกั 4-5 ช้อนโต๊ะตอ่ น้า 10 ลิตร ฉีดพน่ หรือรดพชื ผกั , ผลไมห้ รือตน้ ไม้อ่ืนๆ ได้

20 การผลติ ปุ๋ยหมักแหง้ ทดแทนการใชป้ ุ๋ยเคมี วัสดอุ ุปกรณ์ 1. มูลสตั ว์ 1 ปีบ 2. แกลบดา 1 ปีบ 3. ราละเอยี ด 1 กิโลกรัม 4. เศษพืชหรอื วัสดุท่หี าไดง้ ่ายในท้องถิ่น เช่น แกลบ กาก อ้อย ขเ้ี ลื่อย เลือกถว่ั ลสิ ง เปลอื กถวั่ เขียว ขยุ มะพร้าว ฯลฯ อย่าง ใดอย่างหน่ึง 1 ปีบ 5. นา้ สกดั ชวี ภาพ 2 ชอ้ นแกง 6. กากน้าตาล 2 ช้อนแกง 7. น้าประมาณ 10 ลติ ร (ปรับลดหรอื เพมิ่ ไดต้ ามความ เหมาะสม) วธิ ีทา้ 1. นาวสั ดุตา่ งๆ มาผสมคลุกเคลา้ กัน 2. นาส่วนผสมของนา้ สกดั ชวี ภาพกบั น้าตาลราดบนกอง วัสดุป๋ยุ หมกั คลกุ ใหเ้ ข้ากนั ให้ปุ๋ยหมักไดร้ บั ความชนื้ พอหมาดๆ อยา่ ใหแ้ ห้งหรอื ช้ืนเกินไป (ใช้มือกาดู) 3. เกล่ยี กองปุย๋ หมกั บนพ้ืนซีเมนต์หนาประมาณ 1-2 คบื คลมุ ดว้ ยกระสอบป่านท้ิงไว้ 7 วัน ตรวจดูความร้อนในวันท่ี 2-3 ถ้า

21 รอ้ นมากตอ้ งเอากระสอบท่ีคลุมออกแลว้ หลบั กองป๋ยุ เพ่อื ระบาย ความรอ้ นปยุ๋ หมักชีวภาพท่ีดีจะมีกลิ่นหอม มใี ยสีขาวของเชอ้ื รา เกาะกันเปน็ ก้อนกลม วธิ ใี ช้ : ควรใช้ต้งั แตข่ ้นั ตอนการเตรยี มดนิ โดยผสมคลุกเคล้าดนิ ใน แปลงกอ่ น และควรหมักดนิ ท้ิงไวป้ ระมาณ 7 วนั ก่อนจงึ เร่ิมลงมอื ปลูกพืช อตั ราการใช้ พชื ผัก 1 กิโลกรมั /ตารางเมตร ไม้ยืนต้น พชื สวน 3-5 กโิ ลกรัม/ตน้ หมายเหตุ : ในการใช้ปุย๋ หมกั แหง้ อินทรียช์ ีวภาพใหไ้ ดผ้ ลดนี นั้ หลังจากการหวา่ นหรอื คลกุ ผสมป๋ยุ หมักกับดนิ แลว้ ควรคลุมดนิ ด้วยฟาง เศษหญ้า หรือเศษใบไม้แห้ง จากนนั้ ใชป้ ยุ๋ หมักชวี ภาพรดราดโคนในอตั ราสว่ น 1 : 50 - 100 จะช่วยใหด้ ินร่วนซุย เร่งการแตกราก ของพชื ได้ การผลิตขยายเชื้อราเขียว“ไตรโคเดอร์มา” ในข้าวเปลอื ก เชื้อราไตรโคเดอร์มาเป็นศัตรู (ปฏิปักษ์) ต่อเชื้อราสาเหตุ โรคพืชหลายชนิด โดยวิธีการเบียดเบียน หรือเป็น ปรสิต (เข้าไป เจริญเติบโตและใช้อาหารภายในเส้นใยของเช้ือโรค) และแข่งขัน หรือแย่งใช้อาหารที่เชื้อโรคต้องการ นอกจากน้ีเช้ือราไตรโคเดอร์ มายังสามารถผลิตสารปฏิชีวนะและสารพิษ ตลอดจนน้าย่อยหรือ เอนไซม์ สาหรบั ช่วยย่อยสลายผนงั เสน้ ใยเชือ้ ราสาเหตุโรคพืช ดังนน้ั

22 จึงสามารถนาเชื้อราไตรโคเดอร์มา มาใช้ควบคุมโรคพืชที่มีสาเหตุ จากเชอื้ ราได้อยา่ งกวา้ งขวาง วิธกี ารขยายเชื้อราไตรโคเดอร์มา หัวเชอื้ ราไตรโคเดอร์มา 1 ขวด 20 กรัม ผลิตเชอ้ื สดได้ 15- 20 กิโลกรัม ต้มข้าวเปลือกจนกระท่ังเปลือกข้าว ปริออกเห็นเน้ือ ข้าวเมื่อสุกรินน้าออกให้หมดเพื่อไล่ความชื้น จากนั้น ตักข้าวเปลอื ก ประมาณ 2 ทัพพีใส่ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 8*12 นิ้ว หรือ ประมาณถุงละ 250 กรัม รอให้ข้าวอุ่นจนเกือบเย็น จึงใส่เช้ือเหยาะ หัวเชือ้ 1-2 ครัง้ ลงในถงุ ขา้ วท่ีอ่นุ จนเกือบเยน็ บริเวณ ทสี่ ะอาดและ ลมสงบเพ่ือลดการปนเปื้อน ใช้ยางรดั ปากถุงใหแ้ นน่ แล้วเขยา่ ให้เช้ือ กระจายทั่วถุง จากน้ัน ใช้เข็มแทง 20-30 รู กระจายข้าวในถุง ไม่ วางซ้อนกนั ดึงกลางถงุ ไม่ให้พลาสตกิ แนบข้าว

23 ภาพท่ี 9 แสดงขนั้ ตอนการขยายเชื้อสดไตรโคเดอรม์ าในข้าวเปลอื ก

24 วธิ ีใช้เชอ้ื ราไตรโคเดอร์มาชนิดสด เชอื้ ราชนิดสดท่ีเจรญิ เตม็ ทจี่ ะสร้างสปอรส์ ีเขียวเข้มหลังบ่ม 5-7 วัน ควรนาไปใช้ทันที หรือเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้นาน 1 เดือน 1. ใชส้ ้าหรับคลุกเมลด็ ตักเช้ือสด 10 กรัม (1 ช้อนแกง)/เมล็ด 1 กิโลกรัม ใส่ลงใน ถุงพลาสติกเติมน้าสะอาดเล็กน้อยใส่เมล็ดแล้วเขย่าให้สปอร์สีเขียว เกาะติดเมล็ดอย่างทั่วถึงแล้วนาเมล็ดไปปลูกหรือผึ่งให้แห้งก่อน นาไปปลูกกไ็ ด้ 2. แชเ่ มลด็ พืช พน่ รดลงดิน ใช้เช้ือราสดผสมน้า อัตรา 1 กิโลกรัม/น้า 200-400 ลิตร (ผสมสารจับใบหรือน้ายาล้างจาน 25-50 ซีซี)ใช้น้าสปอร์ในการแช่ เมล็ด ท่อนพันธุ์ แง่ง เหง้า หน่อ ก่ิงตอน ฯลฯ (12-24 ชั่วโมง) หรือ ใชพ้ ่นตน้ พชื รด ราดลงดินโคนต้น/ใตท้ รงพ่มุ กรณีพืชผักท่ีปลูกในระบบไฮโดรโพนิกส์ (NFT,DFT,DRFT) ใช้เชื้อราสดผสมน้าอัตรา 1 กก./สารละลายธาตุอาหาร 2,000 ลิตร เติมเชื้อราใส่ในระบบปลูกทุก 5-7 วัน หรือทุกคร้ังท่ีเปลี่ยน สารละลายธาตุอาหาร

25 3. ผสมกับปุ๋ยหมักวัสดเุ พาะเหด็ เก่า ผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มาชนดิ สด 1 กิโลกรัม กบั ปยุ๋ อินทรีย์ ผ่านการหมักอย่างสมบูรณ์แล้ว 100 กโิ ลกรมั แล้วนาไปใช้ วิธกี ารใช้ - หว่านบริเวณใต้ทรงพุ่มรอบชายพุ่ม หรือบริเวณโคนต้น อัตรา 50-100 กรัม/ตารางเมตร โดยเฉพาะช่วงเหลังเก็บเกี่ยว ผลผลิต - ใช้รองก้นหลุม (10-20 กรัม / หลุม) หรือคลุกเล้ากับดิน ในหลุมปลูก (0.5-1 กิโลกรัม/หลุม) ก่อนนาต้นพันธุ์หรือกิ่งตอน ลง ปลกู ถา้ หลมุ ใหญ่อาจใชป้ ริมาณเพม่ิ ขึน้ - ใช้ผสมดินหรือวัสดุเพาะกล้าด้วยอัตราเชื้อสดผสมปุ๋ย 1 ลิตร ต่อวัสดุปลูก 4 ลิตร เพ่ือลดและป้องกันการเกิดเช้ือราเช่น โรค โคนเน่า โรครากเน่า โรคแอนแทรคโนส ฯลฯ เป็นตน้

26 เอกสารอา้ งองิ กรมสง่ เสริมการเกษตร. 2545. การปลกู ผักปลอดภัยจากสารพิษ. กองสง่ เสรมิ พืชสวน. 122 หนา้ จิระเดช แจ่มสว่าง. 2546. การควบคมุ โรคพชื และแมลงศัตรพู ืช. (ระบบออนไลน์). แหล่งท่ีมา http://www.pmco5.doae.go.th/pdf. (วนั ท่ี 25 พฤศจิกายน 2559) พวงทพิ ย์ บุญช่วย. 2560. รวมเรื่องพชื ผัก. ศนู ย์เทคโนโลยี สารสนเทศ และการส่ือสาร. กรมส่งเสรมิ การเกษตร.

27 แหล่งทุนอดุ หนุน ได้รับทุนอุดหนุนการทากิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุน การวิจัย โครงการ “Research for Community”ทุนอุดหนุนการ วิจัย ประจาปีงบประมาณ 2559 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับ สานกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ (วช.) คณะผู้จัดทา้ คมู่ อื ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ฉันทนา วชิ รตั น์ อาจารย์ ดร.สุเทพ วชั รเวชศฤงคาร อาจารย์ทวีป เสนคาวงศ์

คูม่ ือ เทคนคิ การผลติ ลาไยคุณภาพ ไดร้ บั ทนุ อดุ หนุนการทากจิ กรรมส่งเสรมิ และสนบั สนนุ การวจิ ัย โครงการ “Research for Community”ทุนอุดหนนุ การวจิ ยั ประจาปงี บประมาณ 2559 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ รว่ มกับ สานกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ (วช.)

ก สารบญั (List of content) หนา้ ก เรอ่ื ง ข สารบัญเรอ่ื ง ค สารบญั ตาราง 1 สารบัญภาพ 2 การเพิ่มประสทิ ธภิ าพการผลิตลาไยคุณภาพ 9 13 1. เทคนิคการตดั แต่งกิ่งลาไย 18 2. การตัดแต่งช่อผลลาไย 3. การจัดการปยุ๋ ลาไย 23 4. การใช้สารโพแทสเซียมคลอเรตเพื่อผลิตลาไย 26 นอกฤดู 26 เอกสารอ้างอิง แหล่งทุนอุดหนุน คณะผ้จู ัดทาคูม่ อื องค์ความรู้

ข สารบัญตาราง ตารางท่ี (List of Tables) หนา้ 1 10 นำ้ หนกั ผล เกรดผล และรำยไดต้ อ่ ตน้ ของ 2 ตน้ ล้ำไยทีไ่ ว้จ้ำนวนผลต่อช่อผลต่ำงกนั 15 แสดงปรมิ ำณปยุ๋ ท่ีควรให้แกล่ ้ำไยในแต่ละ 3 ครงั ของกำรแตกใบ (กรมั ต่อต้น) 15 แสดงปริมำณปุ๋ยที่ควรให้แก่ล้ำไยในระยะ 4 ติดผลถึงเก็บเกีย่ ว 21 ข้อแนะน้ำกำรใช้สำรโพแทสเซียมคลอเรต 5 กบั ต้นลำ้ ไยทีม่ ีขนำดทรงพุม่ ต่ำง ๆ 22 ชว่ งเวลำทีใ่ หส้ ำรโพแทสเซยี มคลอเรตและ ช่วงเวลำท่เี ก็บเกย่ี วผลผลิตให้ตรงกบั เทศกำลตำ่ งๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook