Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การทำสวนไม้ผล _Final _17_10_2018

การทำสวนไม้ผล _Final _17_10_2018

Description: การทำสวนไม้ผล _Final _17_10_2018

Search

Read the Text Version

การใหป้ ๋ยุ ไมผ้ ล 89 จงึ สูญหายไปจากดินทกุ ปี โอกาสท่ีจะไดม้ าจากธรรมชาตเิ พ่อื ชดเชยส่วนทีน่ าํ ไปใชน้ ม้ี อี ย่คู ่อนข้างน้อยมาก ดังนั้นจงึ จาํ เป็นตอ้ งใส่คืนลงไปในดิน โดยหลกั ของแนวความคิดในการใส่ปยุ๋ สมัยใหมน่ น้ั เราใชห้ ลกั ที่ว่า ตน้ ไมน้ ําไปใช้เพื่อสรา้ งส่วนต่าง ๆ เทา่ ใด เราก็ใส่คืนลงไปในปรมิ าณท่ีเทา่ กัน จากหลกั การน้เี ราสามารถ คาํ นวณไดด้ ว้ ยปรมิ าณของผลติ ผลทไ่ี ดใ้ นแตล่ ะปี สว่ นต่าง ๆ ของตน้ ไมท้ ส่ี ูญเสยี ไป เชน่ ใบ กงิ่ ทีต่ ดั แต่ง ออกไป สว่ นทถ่ี ูกแมลงทําลาย และส่วนอน่ื ๆ อีก เชน่ กลีบดอก เกสร เมอื่ นําแตล่ ะส่วนทีใ่ หน้ ม้ี า วเิ คราะหเ์ พ่อื หาปริมาณของธาตุอาหารแต่ละชนดิ แล้วคาํ นวณออกมาเปน็ ปรมิ าณของสตู รป๋ยุ ทีจ่ ะต้องใช้ อาจเพ่ิมเผ่อื ไว้อีกประมาณ 20 % เพราะมกี ารสูญเสยี ไปบางสว่ นอย่างแนน่ อน เนอื่ งจากต้นไม้ผลมกี าร เจรญิ เติบโตมากขึ้น เม่อื ได้ปรมิ าณของปุ๋ยทแี่ นน่ อนแลว้ จึงใสใ่ หก้ บั ต้นไม้ผลตลอดช่วงของปี ในการให้ป๋ยุ ไมผ้ ล ซ่ึงกอ่ นอ่นื จะตอ้ งทราบเสียก่อนว่าดินทีใ่ ช้ปลกู ไมผ้ ลมธี าตุหรอื ขาด ธาตุใดบ้าง ดังนน้ั จงึ ควรจะนําตวั อยา่ งของดนิ ไปตรวจก่อนท่จี ะมีการปลกู ไมผ้ ล หากขาดธาตุชนิดใดแลว้ ก็ควรท่ีจะปรบั ปรุงให้เหมาะกับการเจรญิ เติบโตกับไมผ้ ลทจี่ ะปลูกต่อไป วธิ ีการตรวจสอบแร่ธาตุอาหาร ไมผ้ ล อาจมวี ิธกี ารตรวจสอบ ดังนี้ (สุเมษ, 2537) 1) ทดสอบโดยการวิเคราะห์ดนิ ถงึ ปรมิ าณธาตุอาหารตา่ ง ๆ ทม่ี ีอยู่ ในบางคร้ังธาตุ อาหารในดนิ มีครบ แตห่ ากวา่ สภาพความเป็นกรดเปน็ ด่าง (pH) ของดินมีมาก อาจทาํ ใหไ้ มผ้ ลไม่สามารถ นําธาตอุ าหารตา่ ง ๆ เหล่านน้ั ทีม่ อี ยอู่ ย่างเพียงพอไปใช้ประโยชนไ์ ด้ 2) ทดสอบโดยการนําสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื ไปวเิ คราะห์ เช่น ใบ นาํ้ ผลไม้ เถา กจ็ ะทราบ วา่ ในส่วนต่าง ๆ มีปรมิ าณมากนอ้ ยเทา่ ใด แต่หากจะให้ดตี ้องวิเคราะห์ดินตามข้อ 1 ควบคไู่ ปด้วย 3) การทดลองใสป่ ุ๋ยโดยทดลองใสป่ ุ๋ยสตู รตา่ ง ๆ และอตั ราต่าง ๆ ใหก้ ับสวนไม้ผล อยา่ งไรกต็ ามวิธนี ้อี าจมีข้อผิดพลาดมาก เพราะสภาพดินและสิ่งแวดล้อม มีความแตกตา่ งกันมากในแต่ละ สวน ดงั นัน้ ผลดไี ดจ้ ากการทดลองใส่ปุย๋ ในท่ีหนงึ่ อาจนาํ ไปใช้กบั อกี ทหี่ น่งึ ไม่ได้ 4) การสังเกตอาการของต้นไมผ้ ล อาการทีไ่ มผ้ ลแสดงออกมาในลักษณะตา่ ง ๆ อาจมี สสี ันผดิ ปกติ ยอดหงกิ งอ หรือแหง้ ตาย พชื แตล่ ะชนดิ อาจแสดงอาการขาดธาตุอาหารทแี่ ตกต่างกัน ออกไป แตห่ ากสงั เกตแลว้ จะพบว่าอาการของการขาดธาตอุ าหารชนิดต่าง ๆ จะแสดงแตกตา่ งกันออกไป หลกั ในการใหป้ ยุ๋ กบั ไม้ผล การใสป่ ยุ๋ ไม้ผลมีหลกั กว้าง ๆ ดงั นี้ คอื 1. ก่อนปลกู ไมผ้ ล หรอื ในช่วงเตรยี มดนิ ปลกู เตรยี มหลมุ ปลกู ชว่ งนจ้ี ะใชพ้ วกปุย๋ อินทรีย์จาํ นวนมาก ยิ่งดนิ ปลูกไมด่ ีกต็ อ้ งย่งิ ใช้มาก การใสป่ ยุ๋ อินทรยี ใ์ นชว่ งนี้จะทําไดง้ า่ ยกว่าหลงั จากท่ี ปลกู ไปแล้ว นอกจากใชผ้ สมดนิ ในหลุมปลกู เพือ่ เรง่ การเจรญิ เตบิ ของต้นในระยะแรก เชน่ ใช้ป๋ยุ ซุปเปอร์ ฟอสเฟต หรือกระดูกปน่ ผสมดนิ ในหลมุ ปลูก หรือใส่รองกน้ หลุมปลกู 2. หลังจากปลูกแล้วแตย่ ังไม่ใหผ้ ล ช่วงนีอ้ าจใช้ป๋ยุ สตู รที่มีสดั สว่ นของธาตุอาหาร ตา่ ง ๆ กนั เชน่ สูตร 15 – 15 – 15 เป็นต้น การใสป่ ยุ๋ ในช่วงน้ตี ้องการบํารงุ ต้นใหเ้ จริญเติบโตแขง็ แรง

90 การให้ปุ๋ยไมผ้ ล เท่าน้ัน ยังไมเ่ กี่ยวข้องกับการออกดอกออกผล อย่างไรก็ตามหากพบว่าดินขาดธาตุอาหารอยา่ งหนงึ่ อยา่ ง ใดกค็ วรใส่ปยุ๋ เพม่ิ เตมิ ให้ เชน่ ถ้าตน้ แสดงอาการแคระแกร็น ใบเหลอื ง ใบซดี ก็ใส่ปยุ๋ พวกไนโตรเจน เพม่ิ เตมิ 3. ชว่ งท่อี อกดอกออกผลแลว้ ไม้ผลมที งั้ พวกที่ออกดอกติดผลตลอดทัง้ ปี และท่ีออก ดอกตดิ ผลเป็นฤดู พวกออกดอกติดผลตลอดทั้งปีกจ็ ําเป็นต้องใชธ้ าตุอาหารตา่ ง ๆ ตลอดทัง้ ปี จึงต้อง ใส่ปุย๋ ใหบ้ อ่ ยคร้งั เช่น ปลี ะ 3 - 4 ครง้ั หรอื ใส่ป๋ยุ ทุก ๆ 2 - 3 เดือน เพ่ือบํารุงตน้ ให้สมบรู ณแ์ ข็งแรง ตลอดเวลา และบาํ รุงผลใหม้ ีคุณภาพดดี ว้ ย ส่วนพวกไม้ผลทีอ่ อกผลปลี ะครัง้ หรือพวกออกผลเป็นฤดกู าล ใส่ปยุ๋ ทําได้ ดงั นี้คอื 3.1 ระยะสร้างใบ หรอื ระยะการเจริญเติบโต ซง่ึ จะเรมิ่ ต้นหลงั จากทเ่ี กบ็ ผล หมดแลว้ ต้องบํารงุ ตน้ ด้วยการใส่ปยุ๋ และให้นํ้าอยา่ งเพียงพอ เพือ่ ให้ต้นแตกใบใหม่ ระยะนี้จึงต้องการ พวกธาตุไนโตรเจนสงู เป็นพเิ ศษ ปยุ๋ ทใ่ี ช้อาจเปน็ ปุ๋ยสูตรทว่ั ไปของไม้ผล คือ สูตรท่มี ีสดั ส่วน 1 : 1 : 1 แลว้ เพม่ิ เตมิ ป๋ยุ ไนโตรเจนอกี ต่างหาก รวมทัง้ การใส่ปยุ๋ คอกกต็ ้องทําในชว่ งน้ี ระยะสรา้ งใบแตกใบออ่ นนี้ นับวา่ เปน็ ระยะท่สี ําคัญมาก เพราะเปน็ ระยะท่ตี ้นไมผ้ ลจะสร้างอาหาร และสะสมอาหารไว้ในต้นเพอื่ การ ออกดอกในครัง้ ต่อไป ดงั นั้นจงึ ตอ้ งบํารุงต้นให้สมบูรณแ์ ขง็ แรงเตม็ ทโี่ ดยใหไ้ ด้รบั ธาตุอาหารอย่างเพียงพอ 3.2 ระยะสร้างดอกหลังจากท่ีใบใหมแ่ ก่ ตน้ ไม้ผลสร้างอาหารและสะสมอาหาร เพยี งพอแล้ว ก็จะเข้าสรู่ ะยะใหด้ อกใหผ้ ล ซ่งึ ช่วงน้ไี มผ้ ลต้องการธาตฟุ อสฟอรัสสูงกว่าปกติ ปุ๋ยทจ่ี ะใช้จึง ควรเป็นสูตรท่ีมีสัดสว่ นของฟอสฟอรัสสงู เช่น 1 : 2 : 1 หรอื ใชส้ ตู รธรรมดาแลว้ เพิ่มปุย๋ ฟอสฟอรัส ต่างหาก หรือใช้พวกป๋ยุ ทางใบชว่ ยเพราะปุ๋ยทางรากอาจไมเ่ พยี งพอหรือช้าเกนิ ไป และในไม้ผลหลายชนิด อาจตอ้ งช่วยด้วยปยุ๋ ทางใบหลายครัง้ เพอ่ื ใหก้ ารติดผลดยี ิง่ ขนึ้ 3.3 ระยะติดผลจนกระทั่งผลแก่ ในระยะท่เี พ่งิ ตดิ ผลใหม่ ๆ นน้ั จะต้องการธาตุ ไนโตรเจนมากกวา่ ปกติเล็กน้อย เพ่อื ช่วยการเจรญิ เตบิ โตของผล แต่ต้องระวงั อย่าใหไ้ นโตนเจนมากเกนิ ไป จะทาํ ให้ผลร่วงได้ ถา้ ดนิ มธี าตุไนโตรเจนเพียงพอแล้วกไ็ มต่ ้องใหเ้ พมิ่ เติมก็ได้ การใหป้ ๋ยุ ในชว่ งทตี่ ิดผลใหม่ ๆ น้พี วกป๋ยุ น้ําจะใช้ไดผ้ ลดี เพราะพืชดูดเอาไปใช้ได้อย่างรวดเรว็ ทาํ ใหต้ น้ ได้รับธาตอุ าหารเพียงพอ การตดิ ผลก็จะดี หลงั จากตดิ ผล ผลเจริญเตบิ โตไปจนกระท่ังผลแก่ จะเปน็ ระยะท่ีไมผ้ ลต้องการธาตุโปแตสเซยี ม เพ่อื ใหผ้ ลแก่เป็นปกติ ผลแกอ่ ย่างสมํ่าเสมอ และผลมคี ณุ ภาพดี ช่วงนจ้ี ึงควรใช้ปุ๋ยที่มธี าตโุ ปแตสเซยี มสงู เชน่ ปุ๋ยทม่ี ีสัดสว่ น 2 : 2 : 3 หรอื ใช้ปยุ๋ สตู รธรรมดาคือสัดส่วน 1 : 1 : 1 กอ่ น แล้ว เพม่ิ ป๋ยุ โปแตสเซยี ม อย่างเดยี วในตอนใกล้ ๆ จะแก่ (สุเมษ, 2537)

การให้ปุ๋ยไมผ้ ล 91 ประเภทและวิธกี ารให้ปุ๋ยไมผ้ ล การแบ่งประเภทของปุ๋ย โดยท่วั ไปได้แบ่งเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1. ปยุ๋ อินทรีย์ (organic fertilizer) ปยุ๋ อินทรียเ์ ป็นป๋ยุ ทไ่ี ด้มาจากสิ่งทีม่ ชี ีวิตทง้ั พืชและ สตั ว์ ซึ่งได้ผา่ นสภาพการแปรรปู หรือถกู หมกั หมดจนเน่าเป่อื ยหมดแล้ว และอยูใ่ นสภาพท่พี ชื สามารถจะ นําไปใชป้ ระโยชน์ได้ แหล่งทมี่ าของปุ๋ยอนิ ทรีย์ ได้มาหลายทางด้วยกนั คอื 1.1 จากการสลายตัวของซากพืชซากสตั ว์ โดยกิจกรรมของจุลินทรยี ์ 1.2 จากการสลายตวั ของชิ้นสว่ นของพชื ทีไ่ ถกลบลงไปในดิน หรอื ตอซังของพืช ท่เี หลอื จากการเกบ็ เกีย่ วผลผลิตแล้ว หรืออาจเป็นพชื ทปี่ ลูกข้นึ เพ่อื การไถกลบโดยเฉพาะ เชน่ ปุ๋ยพชื สด (green manure) 1.3 จากการสลายตวั ของปุ๋ยคอก (stable manure) ซง่ึ ประกอบดว้ ย ส่งิ ขับถ่ายของสัตว์ 1.4 จากการสลายตัวของปยุ๋ คอก หรือปุ๋ยหมักทใ่ี ส่ลงไปในดนิ เพอื่ จดุ ประสงค์ ในการปรบั ปรุงความอุดมสมบรู ณข์ องดิน 1.5 จากการสลายตวั ของปุ๋ยอินทรยี อ์ น่ื ๆ เช่น กระดกู ป่น (bone meal) กากเมล็ดฝ้าย (cotton seed meal) เป็นตน้ 1.6 จากเซลลข์ องจลุ นิ ทรียด์ ิน ซง่ึ อาจเปน็ จุลนิ ทรยี ์ยังมชี วี ิตอยู่หรอื ทต่ี ายแล้ว รวมท้งั สารประกอบอนิ ทรียท์ ี่จลุ ินทรียส์ งั เคราะห์ข้ึน ประโยชนข์ องปยุ๋ อนิ ทรีย์ 1. เป็นปุ๋ยทมี่ ธี าตุอาหารครบทุกอย่าง ตามท่ีต้นไมต้ อ้ งการ 2. มีคุณสมบัตชิ ว่ ยทาํ ใหด้ นิ ร่วน โปร่ง อากาศ และนา้ํ ซึมผ่านไดส้ ะดวก 3. ชว่ ยใหด้ นิ อ้มุ น้ําได้มาก 4. ช่วยใหด้ ินเหนียว รว่ นขน้ึ ทําให้ดินทรายจบั ตวั กนั ดีข้นึ 5. ชว่ ยใหป้ ุย๋ วทิ ยาศาสตร์ มีการสลายตัวเรว็ ขึน้ 6. เป็นอาหารของจลุ นิ ทรีย์ในดนิ ทําใหจ้ ลุ ินทรยี ์แขง็ แรงขยายพันธ์ไุ ดด้ ขี น้ึ 7. ใชไ้ ด้กบั ดินทุกชนดิ ไม่ว่าจะมี pH อย่างไร 8. ชว่ ยให้การซึมของนํา้ ซมึ ลงไปในดินไดล้ ึก เปน็ การเพิ่มธาตอุ าหารแก่รากอ่อนใน ระดบั ลกึ 9. มีราคาถูกกว่าป๋ยุ วิทยาศาสตรม์ าก

92 การใหป้ ุ๋ยไม้ผล 2. ปุย๋ เคมี (inorganic fertilizer) หมายถงึ ป๋ยุ ที่มอี งค์ประกอบทางเคมที ่เี ป็น อนนิ ทรียส์ ังเคราะห์ และตามพระราชบญั ญัตปิ ๋ยุ พ.ศ. 2518 ยังรวมถึงปุย๋ เชงิ เด่ยี ว ปุ๋ยเชงิ ผสม และปยุ๋ เชิงประกอบ ตลอดจนถงึ ปยุ๋ อินทรยี ท์ ่มี ีป๋ยุ เคมีผสมอยูด่ ้วย แต่ไมร่ วมถึงปูนขาว ดินมาร์ล ปนู ปลาสเตอร์ หรอื ยบิ ซัม ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่มจี ําหน่ายมอี ยู่ด้วยกนั 2 รปู แบบ ได้แก่ 2.1 ปยุ๋ เด่ียว หมายถงึ ปยุ๋ ทป่ี ระกอบด้วยธาตุอาหารทเี่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ พชื เพียงธาตุเดยี ว เช่น ปุย๋ ยเู รยี ซ่ึงมีธาตไุ นโตรเจน 44 - 46 % หรือ ปุ๋ยดับเบลิ้ ซูเปอรพ์ อสเฟต มธี าตุ ฟอสฟอรัส 43 - 49 % และปุ๋ยมิวส์เอทออฟโปแตส ซ่งึ มธี าตโุ ปแตสเซยี ม 50 - 60 % 2.2 ปยุ๋ ผสม หมายถึง ปุ๋ยทปี่ ระกอบด้วยแร่ธาตุอาหารตั้งแต่ 2 ชนิดเป็นต้นไป เชน่ ป๋ยุ 12 – 24 - 12 หมายถงึ ปุย๋ ท่ีมีธาตไุ นโตรเจน ฟอสฟอรสั และโปแตสเซียมในปริมาณ 12 , 24 , และ 12 % ตามลําดบั ป้ายท่ีบอกสตู รปุ๋ย จะบอกเปอรเ์ ซน็ ตข์ อง N, P และ K ถ้ารวมกันทง้ั หมดแล้วจะแบง่ ออกเป็น 4 พวก คอื 1. สตู รต่ํา คอื ปุ๋ยทร่ี วมเปอร์เซน็ ต์แลว้ ได้ตาํ่ กว่า 15 เช่น สตู ร 8 - 2 - 4 2. สูตรกลาง คือ ปยุ๋ ท่รี วมเปอรเ์ ซ็นตแ์ ลว้ ได้ 15 - 25 เช่น สูตร 4 -10 - 7 3. สตู รสงู คอื ปุ๋ยทรี่ วมเปอรเ์ ซ็นต์แลว้ ได้ 25 – 30 เช่น สตู ร 6 -12 - 12 4. สตู รเขม้ ข้นคือ เปน็ ปุย๋ ท่ีรวมแล้วมีเปอร์เซน็ ต์เกินกวา่ 30 เช่น สูตร 17 -10 -17 การคิดเปอรเ์ ซ็นต์ สูตรปยุ๋ จะคดิ เปอร์เซน็ ตโ์ ดยนํ้าหนัก เช่น ปยุ๋ ทม่ี ีเปอรเ์ ซน็ ตธ์ าตอุ าหาร รวม 34 ก็หมายถึงวา่ ในปุ๋ยหนกั 100 กก. จะมี N, P และ K รวมกนั ได้ 34 กก.ส่วนทเ่ี หลืออกี 66 กก. จะ เป็นสารท่ีไม่ทาํ ปฏกิ ิรยิ าทางเคมีตอ่ ธาตุอาหารเชน่ ทรายโคโลไมติคไลมส์ โตน จิบซมั่ เวอรม์ ิควิ ไลท์ เป็นตน้ สารทเ่ี ติมเต็ม 66 กก. เพ่อื ให้ครบ 100 กก.นัน้ เรยี กวา่ fertilizer filler (สเุ มษ, 2537) ฤดกู าลในการใหป้ ยุ๋ การใหป้ ยุ๋ ไมผ้ ลยดึ หลักงา่ ย ๆ ในชว่ งของการใหป้ ยุ๋ คอื 1. ระยะทีพ่ ืชสร้างใบ หมายถงึ ชว่ งตน้ ของฤดฝู น ระยะน้ไี มผ้ ลกาํ ลงั ถกู เก็บเกีย่ วไป ตน้ อยูใ่ นสภาพทรุดโทรม เมอื่ ได้รบั ฝนจะเรม่ิ แตกใบใหม่ และสร้างอาหารสะสมไว้สาํ หรบั การออกดอก ออกผล ปยุ๋ ทใี่ หใ้ นระยะนค้ี วรเปน็ ปุ๋ยท่ีมีแรธ่ าตุไนโตรเจนลงไปดว้ ย หรอื ระยะน้คี วรใส่ปุย๋ คอกลงไปดว้ ยก็ จะเปน็ ผลดีอย่างย่ิง 2. ระยะท่ีพชื ตอ้ งการสรา้ งดอก แรธ่ าตุท่ีทาํ หนา้ ท่เี กีย่ วข้องโดยตรงกับการออกดอก คอื ฟอสฟอรัส ดงั น้นั ป๋ยุ ที่ใหใ้ นระยะน้ีจึงควรให้ปุย๋ ท่ีมฟี อสฟอรัสสูง คอื อตั ราส่วน 1 : 2 : 1 หรอื ปยุ๋ ทางใบช่วยดว้ ย

การให้ปุย๋ ไมผ้ ล 93 3. ระยะทพ่ี ชื กําลังตดิ ผล ในระยะท่ีไมผ้ ลตดิ แรก ๆ จะตอ้ งการไนโตรเจนที่สงู แต่ ต่อมาการใช้ไนโตรเจนจะนอ้ ยลง จะตอ้ งการโปแตสเซยี มเพอ่ื เพิ่มคุณภาพของผลทั้งดา้ นคณุ ภาพและการ เก็บรักษา อัตราส่วนของปยุ๋ ทเ่ี หมาะสมคอื 2 : 2 : 3 วิธกี ารใหป้ ุ๋ยไมผ้ ล ในขณะใหป้ ุย๋ กบั ไม้ผล อาจใหไ้ ด้ 2 วธิ ี คือ 1.ปยุ๋ ทใี่ หใ้ นรูปปุย๋ เม็ด ปุย๋ ผง หรือปยุ๋ ผลึกโดยการใสล่ งไปในดิน (soil application) อาจ ใหก้ บั ไมผ้ ลได้ใน 3 ลกั ษณะ ได้แก่ 1.1 หว่านรอบ ๆ โคนตน้ ไมผ้ ล 1.2 ขุดรอ่ งรอบ ๆ โคนต้นใหพ้ อดีกับทรงพุ่มตน้ เอาปุ๋ยหว่านในรอ่ งแลว้ เอาดิน กลบ 1.3 ขดุ หลมุ เปน็ ระยะ ๆ โดยรอบทรงพ่มุ ต้นเอาปุย๋ ใส่แลว้ กลบ 2. ป๋ยุ ทีใ่ หใ้ นรูปของสารละลายแลว้ ฉีดใหท้ างใบ เพอื่ เรง่ การใหป้ ุ๋ยอยา่ งเร่งด่วนแกพ่ ชื เมอ่ื ตรวจพบว่าพืชขาดธาตุอาหารแล้วใหธ้ าตอุ าหารทางใบ เพอื่ เร่งการให้ปยุ๋ อย่างเรง่ ด่วนแกพ่ ืช 2.1 พวกปยุ๋ ไนโตรเจน ในเมืองไทยสว่ นใหญอ่ ยใู่ นรูปแอมโมเนียซัลเฟต ยเู รีย แคลเซยี มไซยาไนด์ แอมโมเนียมไนเตรท และแคลเซียมไนเตรท เป็นตน้ 2.2 พวกปุ๋ยฟอสฟอรสั มีหลายอย่างดว้ ยกันมอี ยู่ 2 ชนดิ ที่ละลายเป็นอาหารพชื ไดง้ า่ ยทส่ี ุด คือ 1) ซปุ เปอรฟ์ อสเฟส (CaH4 (PO4)2 CaSO4) (16 – 20 % P2 O5) 2) ดับเบลิ ซเู ปอร์ฟอสเฟต (43 – 49 % P2 O5) 2.3 ปยุ๋ พวกโปแตสเซียม เปน็ ปยุ๋ ละลายในนํ้าไดง้ า่ ย เป็นตัวการท่ที ําใหค้ ุณภาพ ของผลทางด้านรสชาตดิ ี มี 2 รปู คือ 1) โปแตสเซยี มซัลเฟต เหมาะสมกบั ไมผ้ ลทกุ ชนดิ 2) โปแตสเซียมคลอไรด์ ไมเ่ หมาะสมกับไมผ้ ลโดยเฉพาะ ทุเรียน และ สม้ ในทอ้ งตลาดปจั จบุ นั นี้ แม่ปยุ๋ ต่าง ๆ หาซอื้ ไดย้ าก สว่ นใหญ่จะมีปุย๋ สมบรู ณ์ คือ ปุ๋ยทมี่ ี ธาตุจําเปน็ ท้งั สามชนิด คอื N, P และ K สูตรตา่ ง ๆ ทง้ั สตู รตา่ํ สตู รกลาง สตู รสูง และ สูตรเขม้ ขน้ หาก พิจารณาความนิยมของชาวสวนจะเหน็ วา่ นิยมป๋ยุ สูตรสูงหรอื เขม้ ขน้ คอื สูตร 12 – 12 – 12, 5 – 15 – 15 และทน่ี ยิ มสูง คือ 17 – 17 – 17 ท้ังน้ีเปน็ การเอาอยา่ งกัน ว่าใครใชส้ ูตรอะไรแลว้ ไดผ้ ลมากและ คณุ ภาพสูงโดยไมไ่ ดค้ ํานงึ ถงึ ดินของตนว่าแตกตา่ งกับสวนน้ัน ๆ อยา่ งไรบา้ ง

94 การใหป้ ๋ยุ ไม้ผล การใสป่ ยุ๋ เคมกี บั ต้นไม้ผล แบ่งออกตามระยะการเจรญิ เติบโตของไมผ้ ล ดงั นี้ 1. ใสป่ ุ๋ยเคมใี นระยะท่ีตน้ ไม้ผลยงั ไมอ่ อกผล (vegetative duration) ในระยะแรกพืช จะเจรญิ เติบโตอย่างช้า ๆ และจะเร็วข้ึนเรอ่ื ย ๆ โดยเฉพาะในระยะทพี่ ืชเริม่ จะให้ดอกตดิ ผล ดังนน้ั การ ให้ป๋ยุ จงึ ตอ้ งให้ปรมิ าณตงั้ แตน่ ้อย แลว้ เพม่ิ ขนึ้ จนถงึ ระยะทพี่ ืชให้ดอก การใหป้ ุ๋ยขณะท่ตี น้ ไมอ้ ายุยงั น้อย อยู่ หรือตน้ ที่เกบ็ เกย่ี วผลไปแล้ว จะเป็นการใหป้ ๋ยุ เพอ่ื เร่งรากให้แขง็ แรง และทาํ ให้ตน้ ไมแ้ ตกกง่ิ ก้านเร็ว จึงต้องใหป้ ยุ๋ พวกฟอสฟอรสั เชน่ 5 – 10 – 5 , 12 – 24 – 12 หรอื 17 – 20 – 17 แลว้ คอ่ ยเพมิ่ พวกไนโตรเจนข้ึนเพ่ือช่วยการแตกใบ แต่ในระยะกอ่ นออกดอกควรลดไนโตรเจนลงบ้าง 2. ใส่ปยุ๋ เคมใี นระยะท่ตี น้ ไม้ผลตกผลแล้ว(reproductive duration)หลังจากตน้ ไม้ ออกดอกตดิ ผลดีแล้ว ควรใสป่ ุ๋ยทม่ี ีโปแตสเชียมสงู เชน่ 12 – 12 – 20 ซงึ่ จะทาํ ใหผ้ ลไมม้ ีคุณภาพสงู แต่ ถงึ อยา่ งไรก็ตาม การใส่ปุ๋ยในระยะแรก เม่อื ต้นไม้ผลออกดอกติดผล ควรจะใส่ปยุ๋ พวกโปแตสเซียม ฟอสเฟส ประมาณ 0.50 - 0.75 กก. ต่อต้น โดยแบง่ ใส่ แต่ถ้าตน้ ไมผ้ ลไมส่ มบูรณ์ดคี วรใสป่ ุ๋ยแอมโมเนียม ซลั เฟต 10 – 20 กก. ตอ่ ตน้ และเมื่อตน้ ไมผ้ ลมอี ายมุ ากขน้ึ ก็เพิ่มป๋ยุ ตามขนาดของต้นไม้ (สเุ มษ, 2537) ภาพท่ี 64 ปุย๋ อินทรีย์น้าํ เข้มขน้ ภาพที่ 65 ปุ๋ยอนิ ทรยี ์ ลักษณะการขาดธาตุอาหารของไมผ้ ล ไมผ้ ลเมอื่ ขาดธาตอุ าหารแล้วจะแสดงลกั ษณะอาการของการขาดธาตอุ อกมา ซ่ึงราย ละเอยี ดแสดงใน ตารางท่ี 2 (ชวนพศิ , 2544)

การใหป้ ๋ยุ ไมผ้ ล 95 ตางรางที่ 2 หน้าทสี่ ําคญั ของธาตุอาหารพชื และลกั ษณะอาการขาดธาตุอาหารของไม้ผล ช่อื ธาตุ หนา้ ทสี่ าํ คญั ทมี่ ีตอ่ พืช อาการของพชื ท่ขี าดธาตุ ไนโตรเจน เปน็ องคป์ ระกอบของกรดอะมโิ น โปรตนี โตชา้ ใบล่างมีสเี หลืองซีดทง้ั แผน่ ใบ คลอโรฟิลล์ กรดนิวคลอี ิก และเอนไซม์ ตอ่ มากลายเป็นสีนา้ํ ตาลแล้วร่วงหล่น ในพืช ส่งเสริมการเจริญเตบิ โตของยอด หลังจากนนั้ ใบบน ๆ กม็ ีสีเหลอื ง ออ่ น ใบ และกงิ่ ก้าน ฟอสฟอรัส ช่วยในการสังเคราะหโ์ ปรตีนและ ใบลา่ งเร่มิ มีสมี ว่ งตามแผ่นใบ ต่อมาใบ สารอนิ ทรยี ท์ ส่ี าํ คัญในพืช เปน็ สนี าํ้ ตาลและร่วงหล่น ลาํ ต้น เป็นองค์ประกอบของสารท่ที ําหน้าท่ี แกรน็ ไมผ่ ลดิ อก ออกผล ถ่ายทอดพลังงานในกระบวนการตา่ ง ๆ เชน่ การสงั เคราะหแ์ สงและการหายใจ โปแตสเซยี ม ชว่ ยสงั เคราะห์นาํ้ ตาล แปง้ และ โปรตีน ใบล่างมีอาการเหลืองแลว้ กลายเปน็ สี สง่ เสริมการเคลอื่ นย้ายของน้ําตาลจากใบ นาํ้ ตาลตามขอบใบแล้วลกุ ลามเขา้ มา ไปยงั ผล ชว่ ยให้ผลเจรญิ เตบิ โตเรว็ พชื เป็นหย่อม ๆ ตามแผน่ ใบ อาจพบว่า แขง็ แรง มคี วามต้านทานตอ่ โรคบางชนิด แผ่นใบโคง้ เล็กน้อยรากเจรญิ ช้า ลําตน้ อ่อนแอ แคลเซยี ม เปน็ องค์ประกอบในสารที่เชอ่ื มผนงั เซลล์ ใบที่เจริญใหม่ ๆ หงิก ตายอดไม่เจริญ ให้ติดกนั ช่วยในการแบง่ เซลล์ การผสม อาจมีจดุ ดาํ ที่เสน้ ใบ รากสนั้ ผลแตก เกสร การงอกของเมล็ด และช่วยให้ และมคี ณุ ภาพไม่ดี เอนไซมบ์ างชนิดทาํ งานไดด้ ี แมกนีเซยี ม เปน็ องค์ประกอบของคลอโรฟลี ล์ ช่วย ใบแก่จะเหลือง ยกเว้นเส้นใบ และใบ สังเคราะห์กรดอะมิโน วติ ามนิ ไขมัน รว่ งหลน่ เรว็ และนา้ํ ตาลทาํ ให้สภาพกรดด่างในเซลล์ พอเหมาะช่วยในการงอกของเมลด็ กาํ มะถนั เป็นองค์ประกอบของกรดอะมโิ น ใบท้งั บนและลา่ งมีสีเหลอื งซดี และ โปรตีน และวติ ามนิ ต้นออ่ นแอ โบรอน ชว่ ยในการออกดอกและการผสมเกสร มี ตายอดตายแล้วเร่ิมมีตาข้างแต่ตาขา้ ง บทบาทสําคญั ในการตดิ ผล และการ จะตายอีก ลําตน้ ไมค่ อ่ ยยืดตวั กิ่งและ เคลอ่ื นย้ายนาํ้ ตาลมาส่ผู ล การเคลอ่ื น ใบจึงชิดกัน ใบเลก็ หนา โค้งและ ย้ายของฮอรโ์ มน การใช้ประโยชนจ์ าก เปราะ ไนโตรเจน และการแบ่งเซลล์

96 การใหป้ ๋ยุ ไมผ้ ล ตางรางท่ี 2 (ตอ่ ) ทองแดง ช่วยในการสงั เคราะห์คลอโรฟลิ ล์ การ ตายอดชะงกั การเจริญเติบโตและ คลอรนี เหลก็ หายใจ การใช้โปรตีนและแป้ง กระต้นุ กลายเปน็ สีดาํ ใบออ่ นเหลือง พืชท้งั แมงกานสี โมลบิ ดินัม การทาํ งานของเอนไซม์ บางชนดิ ต้นชะงกั การเจรญิ เตบิ โต สังกะสี มบี ทบาทบางประการเกี่ยวกับฮอร์โมนใน พชื เห่ยี วงา่ ยใบสีซีด และบางสว่ นแห้ง พชื ตาย ชว่ ยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ มี ใบอ่อนมสี ขี าวซดี ในขณะท่ีใบแก่ยัง บทบาทสาํ คัญในการสงั เคราะหแ์ สงและ เขียวสด หายใจ ชว่ ยในการสงั เคราะห์แสงและการทํางาน ใบออ่ นมสี ีเหลอื งในขณะทเี่ สน้ ใบยงั ของเอนไซมบ์ างชนิด เขยี ว ต่อมาใบทม่ี อี าการดังกล่าวจะ เหี่ยวแล้วรว่ งหลน่ ชว่ ยให้พชื ใชไ้ นเตรตให้เปน็ ประโยชน์การ พชื มอี าการคล้ายขาดไนโตรเจน ใบมี สงั เคราะหโ์ ปรตนี ลักษณะโค้งคลา้ ยถ้วย ปรากฏจุด เหลือง ตามแผน่ ใบ ชว่ ยในการสงั เคราะหอ์ อกซิน (ฮอรโ์ มน ใบอ่อนมสี เี หลอื งซีด และปรากฏสขี าว พชื ชนิดหน่งึ ) คลอโรฟิลล์ และแป้ง ๆ ประปรายตามแผ่นใบ โดยเสน้ ใบยัง เขยี วรากสน้ั ไม่เจรญิ ตามปกติ สรุป ปุ๋ย หรือ อาหารพืช เป็นปัจจัยโดยตรงต่อการเร่งการเจริญเติบโตของไม้ผล แต่บ่อยครั้ง มักประสบปัญหาการขาดธาตุอาหารของไม้ผล จึงต้องมีวิธีตรวจสอบธาตุอาหารในไม้ผล หลายวิธี ได้แก่ การวิเคราะห์ดิน การนําส่วนของพืชไปวิเคราะห์ การทดลองใส่ปุ๋ย และการสังเกตอาการขาดธาตุอาหาร ของไม้ผล ซ่ึงปุ๋ยท่ีให้กับไม้ผลจะมี 2 ประเภท ได้แก่ ปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยอนินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมี และ ในการใช้ปุ๋ยกับไม้ผลก็มี 2 ลักษณะ ได้แก่ การให้ปุ๋ยในรูปปุ๋ยเมล็ด หรือปุ๋ยผง ปุ๋ยผลึก และการให้ปุ๋ยใน รูปของสารละลายท่ีฉีดให้ทางใบ ธาตุอาหารของพืชจะมีท้ังหมด 16 ธาตุ แบ่งออก เป็นธาตุที่พืช ต้องการมากได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม กํามะถัน คารบ์ อนไดออกไซด์ ออกซิเจน ไฮโดรเจน และธาตุทพ่ี ืชต้องการในปรมิ าณท่นี ้อยลงมา แตจ่ ะขาดไม่ได้

การตดั แตง่ กิ่งไมผ้ ล 97 ได้แก่ คลอรีน แมงกานีส โมลบิ ดินม่ั โบรอน เหล็ก ทองแดง สังกะสี และธาตุอาหารต่าง ๆ เมื่อไม้ผลขาด ก็จะแสดงอาการขาดธาตุอาหารทีแ่ ตกตา่ งกันออกไป 4.3 การตดั แตง่ กงิ่ ไม้ผล บทนาํ หลายท่านคงเข้าใจเก่ยี วกบั หนา้ ทขี่ องใบพืช คอื สร้างแป้ง และ นํา้ ตาล เพ่ือนาํ ไปใช้ใน กระบวนการเจริญเติบโตของพืช เม่ือประโยชนข์ องใบมอี ยา่ งนี้ ทําไมต้องมกี ารตัดแต่งกงิ่ ไม้ผล ก็เปน็ เร่อื ง ท่นี ่าสงสัย ซึ่งการตดั แต่งกงิ่ ในไมผ้ ล ประโยชนส์ ว่ นหนงึ่ อาจเปรยี บเทยี บไดก้ ับการถ่ายยาฆา่ พยาธใิ นสตั ว์ เลีย้ ง น่ันคือการตัดเอาใบท่ีไม่ทําประโยชน์ออกไป ซ่งึ ในบทน้จี ะกล่าวถึงความสาํ คญั และหลักในการตัด แตง่ กิง่ ไม้ผล ประเภทของการตัดแต่งกิง่ ไม้ผล ตลอดจนถงึ ระบบในการตัดแต่งก่ิงไม้ผล ซง่ึ การตดั แตง่ ก่ิง ถอื เป็นการกาํ หนดการแตกชอ่ ใบของไมผ้ ลในแตล่ ะชุดซงึ่ จะสง่ ผลถึงการออกดอก ติดผลในฤดกู าลถัดไป ความสาํ คญั และหลักการตัดแต่งกง่ิ ไมผ้ ล การตดั แต่งก่ิงไม้ผล นบั ว่าเปน็ เรือ่ งทส่ี ําคญั มาก ซึ่งในสมัยแรก ๆ กวา่ ท่ีจะทาํ การตัดแต่ง กง่ิ ไดส้ ําเร็จ ตอ้ งใชร้ ะยะเวลานานปีเพื่อพบกบั ความสาํ เร็จ เพราะต้องศึกษา สังเกต พินิจพิจารณาอยา่ ง ใกล้ชดิ และตอ้ งอาศยั ความชํานาญ ชาวสวนบางคนมีความเสียดายในการตัดกง่ิ เพราะเกรงวา่ จะเสยี ผล จากกิ่งทถี่ กู ตดั ออกไป ดังนน้ั ชาวสวนจงึ ควรศกึ ษาหาความรู้ในดา้ นน้กี อ่ นที่จะทาํ การตกแต่งกิ่ง การตัดแต่งนค้ี วรจะทาํ กับต้นไม้ทัว่ ๆ ไป โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กับไม้ผล และควรปฏิบัติ อย่างนอ้ ยปลี ะ 1 คร้งั ฤดทู ่ีเหมาะแก่การตดั แตง่ กงิ่ สําหรบั ตน้ ไม้จําพวกสลดั ใบนั้น คือ ฤดหู นาว เพราะใน ระยะนตี้ ้นไม้หยดุ พักการเจรญิ เติบโตช่ัวขณะ สว่ นตน้ ไม้ทไ่ี มส่ ลัดใบ อาจทําการตัดแต่งกิ่งไดท้ ุก ๆ เวลาใน ฤดใู ดฤดหู น่งึ กไ็ ด้ แต่ระยะที่เหมาะท่ีสุดก็คอื หลังจากเก็บผลแล้วจนถงึ เวลาทอ่ี อกดอกหรือฤดูแลง้ แต่วา่ การตัดแตง่ กง่ิ นน้ั มใิ ช่แตเ่ พียงจะตัดกง่ิ แตอ่ ย่างเดียวเท่าน้ันยังไม่พอจะต้องใสป่ ๋ยุ อกี การใสป่ ุ๋ยนี้จะต้องรีบ ทาํ พร้อม ๆ กนั กับเวลาทไ่ี ด้ตัดแต่งกิ่งนนั้ เพอ่ื เปน็ การเพ่ิมอาหารให้แก่ต้นไม้ อีกทงั้ เป็นการเสรมิ สรา้ ง ความเจริญเติบโตแข็งแรงแกต่ ้นไม้ด้วย (กวิศร,์ 2546) ก่อนอ่ืนมาทําความเขา้ ใจกบั คําศพั ทเ์ กีย่ วกับการตัดแตง่ กิง่ กนั ก่อน ซ่ึงประกอบ ดว้ ย 1. การจดั ทรงพุ่ม (training) เป็นการกระทาํ ต่อไมผ้ ล โดยการตดั ซึ่งการแต่ง หรอื การ จัดทรงพุ่มน้ี จะกระทาํ ในระยะ 2 – 3 ปแี รกทีไ่ ม้ผลยังมขี นาดเลก็ และยังมอี ายุน้อย เปน็ การแต่งเพือ่ จดั ทรงต้นไม้ผลชนดิ ตา่ งๆให้เปน็ ไปตามรูปทรงพุม่ ทเี่ หมาะสมกับโครงสร้างของพชื โดยมวี ัตถุประสงค์ เพ่อื จดั

98 การตดั แตง่ กง่ิ ไม้ผล โครงสรา้ งพืช ชว่ ยให้มผี ลทมี่ ีคุณภาพสูง ควบคุมทศิ ทางการเจริญเตบิ โตของก่ิง เพอ่ื กําหนดแผนการ ทาํ งาน และปฏิบัติในช่วง 2 – 3 ปีแรก 2. การตัดแตง่ ก่งิ (pruning) เป็นการกระทําต่อไมผ้ ล โดยวัตถุประสงค์ เพอ่ื ควบคุม ผลผลติ ไม่ให้ตดิ มากเกนิ ไป ซึง่ จะทําใหผ้ ลมขี นาดของและคุณภาพดีขน้ึ ชว่ ยใหต้ ดิ ผลไดท้ ุกปี เป็นการ กระจายส่วนของตาดอกไปใหอ้ ยทู่ ่วั ทุกส่วนของลาํ ตน้ เพ่ือป้องกันการออกดอกติดผลเฉพาะที่ใดทหี่ นึ่งของ ทรงพุ่ม (กวิศร,์ 2546) หลักการของการจัดทรงพุ่ม มดี ังนี้ 1. เพอื่ เตรียมโครงสร้างของพชื ใหแ้ ขง็ แรง มกี ิง่ ที่จะออกดอกอยู่รอบต้นและก่ิงก้านอยู่ ในสภาพท่ีจะรบั นาํ้ หนกั ได้ไมฉ่ กี หัก 2. เพ่อื พัฒนาใหม้ ีก่งิ ที่แขง็ แรงเป็นโครงสรา้ งจาํ นวนไมต่ ํา่ กว่า 2 – 3 ก่งิ และกง่ิ ที่ พัฒนาขน้ึ น้จี ะมีกิ่งสาขาแตกออกคลอบคลมุ ไปทกุ ทิศทาง 3. เพอ่ื กําจัดกิ่งกระโดง หรือกงิ่ ทไี่ มจ่ ําเปน็ ออก และเพ่อื เลย้ี งกงิ่ สาขาและกิ่งแขนงท่ี คดั เลือกไว้ให้เปน็ ไปตามรูปแบบการจดั ทรงพมุ่ ท่เี หมาะสม ในแตล่ ะชนิดพชื และพันธุ์ 4. กง่ิ สาขาใหญ่จะต้องจดั ใหอ้ ยู่ในแนวตั้ง 5. กิง่ สาขาแต่ละด้านจะต้องมีเพียงกงิ่ เดยี วไม่มกี ่ิงสาขาอ่ืนซอ้ น 6. การจดั ทรงพุ่มจะตอ้ งจดั ทาํ ตั้งแต่อยใู่ นเรือนเพาะชํา หรือหลงั จากปลูกแลว้ เล็กนอ้ ย การจดั ทรงพุ่ม (training) วตั ถปุ ระสงค์ 1) คํานึงถึงการจัดโครงสร้างของพชื และชว่ ยใหม้ ผี ลทม่ี คี ุณภาพสูง 2) ควบคุมทศิ ทางของการเจรญิ เติบโตของกิ่ง ลักษณะการจดั ทรงพุม่ ทีด่ ี 1) จดั ตําแหน่งกิง่ กา้ นสาขาไวอ้ ย่างมรี ะเบยี บ 2) เลือกเฉพาะกิง่ ก้านสาขาท่ีมมี มุ กวา้ งไวเ้ ท่านั้น 3) วางตําแหนง่ กง่ิ ให้แผก่ ระจายไปทุกทิศ 4) กง่ิ กา้ นสาขา ควรแผก่ ระจายให้ได้รับแสงแดดและลมทัว่ ทกุ ดา้ น 5) การจัดทรงพุม่ ไมค่ วรยืดเยอื้ และหยดุ ทาํ ทนั ทเี ม่อื เห็นวา่ โครงสร้างเจรญิ แขง็ แรงดี แลว้ (กวิศร,์ 2546)

การตดั แต่งก่งิ ไม้ผล 99 ภาพที่ 66 การจดั ทรงพมุ่ ลําไยแบบครึ่งวงกลม ภาพที่ 67 การจดั ทรงพ่มุ ลาํ ไยแบบเปิดกลางพ่มุ ภาพที่ 68 การจดั ทรงพมุ่ ลาํ ไยแบบทรงแบน หรือฝาชีหงาย

100 การตัดแตง่ กิ่งไมผ้ ล ภาพท่ี 69 การจัดทรงพมุ่ ลําไยแบบสี่เหลยี่ ม (พาวนิ , 2548) วิธกี ารจดั ทรงพ่มุ 1) ความสงู ของทรงพ่มุ ความสงู ของทรงพมุ่ ทดี่ ีควรจะมีขนาดกลาง และควรมลี าํ ตน้ สูงจากพน้ื ดินประมาณ 2 ½ - 3 ฟตุ กอ่ นทจี่ ะมีกง่ิ สาขาแยกออก 2) จํานวนกิง่ สาขาใหญ่ กงิ่ สาขาใหญ่ควรมปี ระมาณ 5 – 8 กงิ่ เปน็ ดีที่สดุ แต่ละ ตําแหนง่ ทกี่ ิง่ สาขาแยกออกจากลาํ ตน้ ต้องอยหู่ า่ งกนั ไมต่ ํ่ากว่า 1 ฟตุ วนไปรอบทรงพุ่มและกิ่งจะต้องไม่อยู่ ในทิศทางเดียวกัน หรือซอ้ นกนั การทีจ่ ะจดั ทรงพ่มุ ขนาดกลางได้จะต้องอาศัยหลกั การพิจารณาดงั ต่อไปนี้ คือ 1) ถ้าไมอ่ าจจะเลอื กกิง่ สาขาใหญ่ได้ หลังจากปลกู แลว้ ก็ควรทจ่ี ะรอจนกวา่ กงิ่ ใหม่จะ ออกมาพอเพียง ซ่ึงอาจจะใช้เวลานาน 3 – 4 ปี จงึ จะเริ่มดาํ เนินการได้ 2) ตดั ยอดต้นทีม่ ลี ําตน้ สงู ชะลดู ปราศจากก่งิ ก้านสาขา แต่ถา้ หลังจากตัดยอดออกแลว้ ยังมลี ําต้นขน้ึ สงู เหมอื นเดมิ ไมม่ กี ิง่ กา้ นสาขากจ็ ําเป็นจะต้องตดั อกี เพือ่ ให้ได้ก่งิ สาขาตามทตี่ ้องการ 3) กิง่ ทมี่ ีขนาดยาว มีกง่ิ แขนงขึ้นอยเู่ ล็กน้อย ควรตดั ทิง้ และบังคบั ใหแ้ ตกกงิ่ ใหม่ทดี่ ีกวา่ ข้นึ แทน 4) ไม่ใหม้ ีกิ่งไขวก้ นั ภายในต้น 5) ตัดกง่ิ กา้ นสาขาของตน้ แก่ทิง้ เพื่อสรา้ งทรงพุ่มใหม่ 6) ตัดกง่ิ และใบแตล่ ะตน้ รอบ ๆ ทรงพมุ่ ใหม้ ขี นาดเทา่ ๆ กนั

การตัดแต่งกิ่งไมผ้ ล 101 รูปแบบการจดั ทรงพุม่ การจดั ทรงพุ่มทกุ แบบมีวตั ถปุ ระสงค์ 4 ประการดว้ ยกัน คือ 1) เพือ่ ใหท้ รงพ่มุ มีความสงู ท่พี อเหมาะแก่การจัดการตา่ ง ๆ หรือเก็บผลการดแู ลโรค แมลง 2) เพือ่ ใหท้ รงพ่มุ มจี าํ นวนกงิ่ สาขาใหญท่ ีพ่ อเหมาะ มคี วามกว้างพอเหมาะ 3) เพอ่ื ป้องกนั การเนา่ ของลําตน้ และปอ้ งกันการเกิดกง่ิ กระโดง 1. การตัดแตง่ กงิ่ (pruning) วตั ถปุ ระสงค์ 1) เสรมิ สร้างความสามารถในการสรา้ งผลผลติ 2) รกั ษาความสมดลุ ระหวา่ งการเจริญเตบิ โตของส่วนก่งิ กับการผลติ ดอกและผล 3) ช่วยให้ไดผ้ ลผลิตสงู และมีคณุ ภาพ 4) ช่วยคงสภาพความแขง็ แรงของพืช เพื่อเตรียมสภาพการทเี่ หมาะในการเจริญ เติบโต และการออกดอกตดิ ผลได้ทกุ ปี 5) เพื่อตดั ก่ิงแขนงท่อี ่อนแอ และเป็นโรคออก 6) เพือ่ สร้างสว่ นตาดอก (fruiting wood) และเรง่ การออกดอก 7) เพ่ือช่วยใหก้ ารปฏิบตั งิ านด้านอนื่ ในสวนได้สะดวก ฉะนน้ั การตดั แต่งก่ิงท่ีดี จะต้องพิจารณาจากนิสัย การออกดอกตดิ ผลของพืชในแต่ละ ชนิดด้วย นิสัยการออกดอกและตดิ ผลของไม้ผล อาจแบ่งออกได้ 3 ประเภทดว้ ยกนั คอื 1) การออกดอกตดิ ผลตรงส่วนตายอด เชน่ มะม่วง ลาํ ไย ลน้ิ จี่ 2) การออกดอกติดผลตรงส่วนตาข้างของกง่ิ ในฤดู (current season’s shoot) เชน่ ฝรั่ง หรือ ของกิง่ ผ่านฤดู (past season’s shoot) เช่น ละมดุ 3) การออกดอกในทุกส่วนของลาํ ตน้ เช่น แอปเปลิ สาลี่ ขนุน โกโก้ มะไฟ ทุเรยี น มะยม ตะลงิ ปลิง มะปราง มะเฟือง

102 การตดั แตง่ กิ่งไม้ผล ลกั ษณะการตดั แต่งกง่ิ ท่ีดี 1) การตดั แต่งกงิ่ ไม่ควรจะเอาก่งิ ออกมากเกินไป เพราะจะทําใหต้ น้ ไมแ้ คระแกร็น นอกจากนีย้ งั จะทาํ ใหเ้ ร่งการแตกกงิ่ แตกหน่อ และชะลอการออกดอก 2) เอาสว่ นของพืชทไี่ มจ่ าํ เป็นออกใหห้ มด 3) ปลิดดอกและผลของพืชท่ีมอี ายยุ ังนอ้ ยอยู่ออก เพือ่ เร่งการเจริญเติบโตทางกงิ่ กา้ น ของพชื 4) หลกี เลี่ยงการตดั แต่งกิ่งสาขาขนาดใหญ่ ชนิดของไมผ้ ลทค่ี วรตดั แต่งกิ่ง ในพืชไมผ่ ลัดใบ หรอื พืชใบเขียวชอมุ่ มกั จะไม่มกี ารตดั แต่งกงิ่ จะกระทาํ แต่เพียงเอากิง่ กระโดงภายในทรงพุ่ม และกง่ิ ทเี่ จริญออกจากต้นตอออก ส่วนในไม้ผลผลดั ใบ เพื่อบงั คบั ให้ออกดอกติดผล เชน่ ไม้ผลเขตหนาวจําเป็นต้องมีการตัดแต่งคอ่ นข้างมาก เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลผลติ ท่ีมีคุณภาพดี ปกติแล้วไมผ้ ลที่จะตดั แต่งกง่ิ ได้ จะต้องมลี กั ษณะการพกั ตัวที่เดน่ ชดั คือมใี บรว่ งและไม่ แตกใบ กิ่งก้านสาขาชัว่ ระยะหนง่ึ ส่วนมากมักจะเป็นไม้ผลเขตหนาว และก่ึงเขตหนาว เช่น แอปเปลิ สาลี่ ท้อ องุ่น สว่ นไมผ้ ลเขตร้อนมกั จะมกี ารทง้ิ ใบ ไดแ้ ก่ นอ้ ยหนา่ ระบบการตัดแต่งก่งิ ไมผ้ ล การแต่ง หรือการจดั ทรงพมุ่ ไม้ผล มี 3 ระบบ ได้แก่ (กวิศร์, 2546) 1. แบบปิดแกนกลาง (central leader) แบบน้ีจะปล่อยให้พชื มลี ําตน้ ตัง้ ตรง มี แกนกลางเรม่ิ ตั้งแตพ่ น้ื จนถึงยอด โดยจะมกี ่งิ สาขาแตกออกจากลําตน้ ทีเ่ ป็นแกนกลางและตามกงิ่ สาขาก็ จะมกี ่งิ แขนงแผ่กระจายไปทกุ ทิศทาง ทําให้แกนกลางของทรงพมุ่ ปิดทึบ และทาํ ให้พชื มีทรงพุ่มสงู สาํ หรับ การออกดอกติดผลจะอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ยอดของทรงพุ่ม ส่วนกงิ่ ทางดา้ นลา่ งของทรงพมุ่ จะมรี ่มเงาของ กิง่ ดา้ นบนท่บี งั แสงแดดอยูท่ ําใหด้ า้ นล่างไม่ออกดอกติดผล รูปของทรงพุม่ แบบปดิ แกนกลาง จะมลี ักษณะ คล้ายรูปสามเหลย่ี ม คือมฐี านของสามเหลี่ยมคล้ายเป็นฐานของทรงพมุ่ และยอดสามเหลีย่ มคล้ายยอด ของทรงพุ่ม พชื ที่เหมาะแก่การจัดทรงพุ่มแบบน้ี ไดแ้ ก่ สาล่ี 2. แบบเปิดแกนกลาง (open center) แบบน้หี ลงั จากปลกู พชื จนลําต้นไดข้ นาดสงู ตาม มาตรฐานแล้ว ก็จะตดั ยอดท้ิง ซง่ึ จะกระทําภายในปที ีป่ ลกู หรือภายในหนง่ึ ปี เพือ่ เรง่ ให้มีกิ่งสาขาดา้ นขา้ ง แตกออกมา กง่ิ สาขานี้จะงอกออกจากจดุ ใกลเ้ คียงกนั และแผก่ ระจายออกรอบดา้ น ทําใหต้ รงแกนกลาง เปดิ ออก การออกดอกติดผลจะอยู่ในบรเิ วณรอบ ๆ ชายพมุ่ ทรงพ่มุ แบบนจ้ี ะได้รบั แสงแดดทกุ ๆ ก่งิ ทํา ใหก้ ารออกดอกติดผลเพ่ิมมากขึ้น สะดวกตอ่ การปฏบิ ตั ิดูแลรกั ษา เช่น การพ่นยาปราบศัตรพู ืช

การตดั แต่งกงิ่ ไมผ้ ล 103 การพ่นสารฮอรโ์ มน การแตง่ ผล และการเกบ็ เกยี่ ว รปู แบบของทรงพ่มุ แบบเปดิ แกนกลาง จะมลี ักษณะ ส่วนยอดของทรงพมุ่ คลา้ ยรูปสามเหลยี่ มท่ีฐานยกขนึ้ และส่วนฐานของทรงพุ่มคลา้ ยส่วนยอดของ สามเหลย่ี ม พชื ท่เี หมาะแกก่ ารจัดทรงพมุ่ แบบนี้ไดแ้ ก่ แอปเปิล ท้อ และ พลับบางพนั ธุ์ 3. แบบปิด – เปิดแกนกลาง (modified leader) แบบนีเ้ ป็นลกั ษณะการจดั ทรงพ่มุ ท่ี ผสมระหวา่ งแบบแรกและแบบทสี่ อง กล่าวคือ ในระยะแรกจะปลอ่ ยใหพ้ ืชมีลาํ ต้นเจริญเป็นแกนกลางเปน็ เวลา 4 หรือ 5 ปี เชน่ เดยี วกับแบบปิดแกนกลาง หลังจากน้ันกต็ ดั แบบนี้ทําใหม้ ีทรงพุม่ แข็งแรง มีก่ิงแผ่ กระจายปานกลาง และได้รับแสงแดดเตม็ ทที่ กุ ด้าน พืชทเ่ี หมาะแก่การจดั ทรงพมุ่ แบบน้ี ไดแ้ ก่ มะเดอื่ เทศ และแอปเปิลบางพันธุ์ ภาพท่ี 70 แสดงการจดั ทรงพุ่มของไม้ผลแบบต่าง ๆ ก. แบบปิดแกนกลาง ข. แบบเปิดแกนกลาง ค. แบบปดิ -เปิดแกนกลาง การตดั แต่งกงิ่ ไมผ้ ล มหี ลายระบบ ได้แก่ (กวิศร์, 2546) 1. การตัดก่งิ กระโดง และก่งิ แขนงบนตน้ ตอ (thinning out) คอื การตัดเอากง่ิ ทแ่ี ตก ออกในฤดฝู น กง่ิ ภายในพ่มุ หรอื ก่ิงท่ีแตกจากต้นตอออก 2. การเดด็ ยอด (pinch off or tipping) คอื การเอาใบและยอดอ่อนออกจากปลายก่ิง เพอ่ื ใหแ้ ตกก่ิงใหมพ่ ร้อมกบั ออกดอกและผลขน้ึ เช่น การเดด็ ยอดฝร่งั

104 การตดั แต่งกงิ่ ไม้ผล 3. การเดด็ ยอด (disbudding) คือการเอาตาดอกออกกอ่ นทีช่ ่อดอกจะพุ่งออกมา เพือ่ มใิ ห้พชื ออกดอกมากเกนิ ไป 4. การตัดยอด (heading back) คือการตดั เอาสว่ นยอดของทรงพุ่มออก เพ่ือใหแ้ ตกก่งิ ใหมท่ เ่ี ป็นกิง่ ในฤดขู ้นึ 5. การตดั เหลือตอ (dehorning pollarding) คือการตัดให้เหลอื เพยี งส่วนลาํ ตน้ และกง่ิ แก่ เพอ่ื บงั คับให้แตกก่ิงใหมอ่ อกพรอ้ มกบั ตาดอก เช่น การตัดแต่งองนุ่ 6. การตัดราก (root pruning) คอื การตดั รากฝอยและรากสาขาบางสว่ นออกพร้อมกับ งดการใหน้ าํ้ ระยะหนงึ่ จนกระทงั่ ใบร่วงหมดแล้วจึงให้นา้ํ และปุย๋ เมอื่ พืชไดร้ บั นาํ้ และ ปยุ๋ จะแตกใบใหม่ พรอ้ มกบั ออกดอก ตัวอย่างเชน่ การตดั รากฝรง่ั บังคับใหอ้ อกดอก 7. การปฏิบัตกิ ารพิเศษ (notching) ของมะเดื่อเทศ ขนนุ การใช้ลวดรัดกิง่ (girdling) ขององุ่น การโนม้ ก่ิง (bending) ของฝรงั่ การรมควัน (smuging) ของมะม่วง และการควบคมุ คณุ ภาพ ของผล เชน่ การเด็ดดอก (deblossoming) ของแอปเปลิ และการเดด็ ผล (defruiting) องุ่น เปน็ ตน้ เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการตัดแต่งก่งิ (สเุ มธ, 2537) 1. กรรไกรตดั แตง่ กง่ิ (pruning shear) โดยทัว่ ไปมักเป็นกรรไกรทม่ี ใี บมดี ด้านหนึง่ คม บางอีกดา้ นหน่ึงคมหนา ด้านบางทาํ หนา้ ทตี่ ัด ด้านหนาทําหนา้ ท่ียดึ กง่ิ ท่ตี ัด วธิ จี ับกรรไกรที่ถกู ตอ้ งถ้าถนัด มอื ขวา ควรถอื กรรไกรใหด้ า้ มของคมมีดทบ่ี างอยทู่ างนวิ้ ชีถ้ ึงนว้ิ กอ้ ย สว่ นดา้ มของคมหนาอยทู่ าง นิ้วหัวแม่มือ เวลาอ้าคมกรรไกร ใชน้ ิ้วทั้งส่ีจบั ด้ามคมมดี ดา้ มกรรไกร แล้วใชน้ ิ้วหวั แมม่ อื เปิดลอ็ คกจ็ ะอ้า กรรไกรได้ เมอ่ื ใช้เสร็จปดิ ลอ๊ คกท็ าํ อย่างเดยี วกัน ทลี่ ๊อคกรรไกรบางรนุ่ อาจทําให้ที่ปลายดา้ มกรรไกรปกติ เราใชก้ รรไกรตัดแต่งก่ิงทมี่ เี ส้นผ่าศนู ย์กลางไม่เกินคร่งึ น้วิ ถ้ากิ่งที่จะตัดมขี นาดใหญก่ ว่าครง่ึ นิว้ เรามักใช้ เล่ือยตัดแตง่ กิ่ง 2. เล่อื ยตัดแตง่ กิ่ง (pruning saw) ใชส้ ําหรบั ตัดแต่งกิง่ ที่มขี นาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางต้งั แต่ ครึง่ น้วิ ขนึ้ ไป เลอ่ื ยบางชนิดใชต้ ดั แต่งก่ิงท่ีมีขนาดใหญไ่ ดด้ ี เชน่ 4 – 10 นวิ้ ควรใช้เลื่อยคันธนู ถา้ กิ่ง ขนาด ½ - 4 นิ้ว ควรใชเ้ ลอื่ ยตดั แตง่ กิ่งเล็ก เลอ่ื ยตดั แตง่ ก่งิ มที ง้ั ชนิดฟันเลื่อยคมกดั เนอ้ื ไม้ เมื่อถอื เลอื่ ย เขา้ หาตวั และชนิดท่ีคมสองทาง ชนดิ คมสองทางใช้ไดด้ ีกว่าคมทางเดยี ว และปัจจุบนั เลอ่ื ยเลก็ ตัดแตง่ กิ่ง น้มี ชี นดิ ด้ามไม้ ดา้ มเหล็ก ดา้ มพลาสตกิ ชนดิ พบั เก็บใบเลือ่ ยได้ และท่พี บั เก็บใบเลอ่ื ยไม่ได้ ชนดิ ท่พี บั เก็บ ใบเลอ่ื ยไดท้ ีม่ ขี ายอยูป่ จั จุบันเป็นแบบท่ีเบากะทดั รัด เม่ือไมใ่ ช้สามารถพบั ใบทม่ี คี มเกบ็ ไว้ในกระเป๋า กางเกงได้ หรอื เม่อื ต้องการเปล่ียนใบเลอ่ื ยใหม่ก็มีจําหน่าย แต่ราคากแ็ พงกว่าร่นุ พบั คมใบเล่ือยไมไ่ ด้ ประมาณ 2 – 3 เท่า วิธีตัดแต่งก่ิงด้วยเลอ่ื ย การตัดกง่ิ เอน ๆ หรอื กง่ิ นอน เพื่อเป็นการป้องกันก่ิงท่ตี ัด ไม่ให้ มีรอยแผลใหญเ่ กินไปอนั เกิดจากก่ิงฉกี หกั หรอื นา้ํ หนกั ของกิง่ ท่ีถ่วงลง เราอาจตัดแตง่ กิง่ ให้หา่ งจาก ตําแหนง่ ทตี่ อ้ งการตดั ออกไปเลก็ นอ้ ย โดยเลอ่ื ยดา้ นลา่ งของกง่ิ เข้าไป 1/3 ของเส้นผา่ ศูนยก์ ลางของก่ิง

การตดั แตง่ กงิ่ ไม้ผล 105 ตอน แลว้ จงึ เลอ่ื ยดา้ นบนกงิ่ ให้กิ่งขาด แล้วจึงเลอื่ ยกิง่ ให้ชดิ บรเิ วณท่ีตอ้ งการรอยแผลทต่ี ดั ควรให้เรยี บและ เสมอเป็นหน้าเดียว 3. บนั ไดตดั แตง่ ก่งิ ไม้ บันไดท่ีมีขาต้งั สาํ หรับขึน้ ไปยนื ตดั แต่งกิ่งบริเวณปลายชายพุ่ม ซง่ึ เป็นกงิ่ เล็กไมส่ ามารถทานนํ้าหนักคนได้ อาจทําเปน็ น่งั ร้านไม้หรอื โลหะกไ็ ด้ วสั ดุทที่ ําควรมนี ํ้าหนกั เบา แข็งแรงทนทาน 4. ยารกั ษาแผล แผลทเ่ี กิดจากการตดั แตง่ อาจใชย้ ากนั ราผสมนาํ้ ข้น ๆ ทารอยแผล เพ่ือปอ้ งกนั เช้ือราทําลายและชว่ ยให้แผลปดิ สนทิ เร็ว นอกจากยากนั ราอาจใช้สีนาํ้ มัน สีพลาสตกิ ยางมะ ตอย ฟลน้ิ โคท๊ หรอื ปูนแดงกินกับหมากก็ได้ แตป่ นู แดงกินกบั หมากราคาถกู ดีท่ีสดุ ในตน้ ท่ตี ดั แตง่ ก่งิ เอา ก่งิ ใหญ่ ๆ ท่เี จริญทางสูงออก เพ่ือลดความสงู นั้นควรใชป้ นู ขาวผสมกบั แปง้ เปียกทาก่งิ โดยเฉพาะกิ่งทถ่ี ูก แสงแดดมาก เพอื่ ลดความรอ้ น (เพราะก่อนตัดยอดกิ่งท่ีอยู่ถัดลงมาได้รบั แสงแดดเพียงเล็กนอ้ ย แต่เมอ่ื ตัด ยอดกลางออกทําให้แสงแดดเผาไดโ้ ดยตรง) หลังจากตดั กงิ่ เสร็จตอ้ งรักษาบาดแผลมใิ ห้เชื้อโรคเขา้ ทาํ ลายทนั ที (กง่ิ ทม่ี เี ส้นผา่ ศนู ย์ กลางตัง้ แต่ ½ นว้ิ ขึ้นไป) โดยใชส้ ารเคมโี ดยเฉพาะยาป้องกนั เช้อื รา (สารประกอบทองแดง) สนี ํา้ มนั หรือ ปนู แดง ทาปิดบาดแผลเพื่อรักษาบาดแผลใหเ้ ช่อื มปดิ สนมิ ได้เรว็ ข้นึ แตถ่ า้ แผลยงั ไมป่ ระสานเกิดแผลแห้ง ลามเขา้ ไปให้ตดั ใหม่อกี คร้งั (ตัดให้ถึงเน้อื ไมท้ ่ียงั ไมต่ าย) ในตําแหนง่ ชดิ กับลาํ ต้น ตัดเสรจ็ แต่งบาดแผลให้ เรยี บเปน็ ปากฉลาม พรอ้ มกบั ฉดี พ่นด้วยสีให้ท่ัวเต็มบรเิ วณแผล ในการตัดแตง่ กง่ิ เพอ่ื ทอนกง่ิ ใหส้ ้นั โดยไมห่ วงั ให้เกิดกิ่งใหมน่ ัน้ ใหเ้ ขา้ หน้ากรรไกรหรือ เล่ือยชดิ ข้อ (ตา) ใหม้ ากท่ีสดุ เพือ่ มิใหต้ าแตกก่ิงใหม่ และไมว่ า่ จะตดั เพื่ออะไรกต็ าม ต้องใหร้ อยแผลเป็น ปากฉลามหันออกจากตา (ขอ้ ) เสมอ (อนชุ า, 2543) ปรมิ าณของก่ิงทีต่ ัดออก การตัดแตง่ ไม้ผลแต่ละชนดิ ผู้ตัดแต่งต้องคํานึงถึงปรมิ าณการตดั แต่งของก่ิงที่ตดั ออกโดย แบง่ คร่าว ๆ ได้ 3 วิธีการ ดงั นี้ 1. การตัดแตง่ ก่ิงอย่างเบาบาง (light pruning) วิธกี ารน้เี ป็นการตดั แตง่ เพียงเลก็ นอ้ ย ภายหลังทต่ี ้นไมผ้ ลไดร้ บั การจดั ทรงพุม่ ทีถ่ กู ต้องแลว้ ผตู้ ดั แตง่ มกั จะตดั เอากง่ิ ท่ีไมพ่ งึ ประสงค์ อาทเิ ชน่ ก่ิง แหง้ กิง่ ถกู โรคและแมลงทาํ ลายออก เปน็ ตน้ ถ้าตัดแต่งกงิ่ ออกมากเกินไปตน้ อาจโทรมได้ ตัวอยา่ งไมผ้ ล พวกน้ี เช่น สม้ ทุเรียน เงาะ ลาํ ไย ล้ินจี่ 2. การตดั แตง่ กิ่งปานกลาง (medium pruning) การตัดแต่งวิธนี ปี้ ริมาณของกงิ่ ที่ถกู ตัดออกจะมากกวา่ วธิ แี รก คอื นอกจากจะเอาก่งิ ท่ีไม่พึงประสงค์ออกแลว้ อาจจะตดั ยอดออกเพอ่ื ทาํ ลาย อทิ ธิพลของ auxins ซ่งึ ทาํ ให้เกดิ apical dorminance เชน่ ในกรณขี องมะนาวฝรงั่ (lemon) หรอื ตัดกงิ่ ออกใหห้ มดเพือ่ ให้ทรงตน้ โปรง่ อยู่เสมอ เชน่ กรณีของลําไย ลนิ้ จ่ี มะมว่ ง 3. การตัดแต่งกง่ิ อย่างหนัก (heavy pruning) ไม้ผลหลาย ๆ ชนิดตอ้ งการตดั แตง่ ท่ี หนักมาก เชน่ น้อยหนา่ จะตัดแตง่ จนโกรน๋ ไปทั้งตน้ หลงั จากท่ีตัดกง่ิ ที่ไม่พงึ ประสงคอ์ อกแลว้ จะทํา

106 การตดั แต่งกิง่ ไมผ้ ล การตัดแตง่ ก่งิ แขนงยอ่ ยที่มีเส้นผ่าศูนยก์ ลางของกิง่ เลก็ กว่า 4 มลิ ลเิ มตรออก ตดั ส่วนปลายยอดของทกุ ก่ิง ท่ีเหลือ แลว้ ทําการรูดใบทง้ิ ให้หมด ทงั้ นีเ้ พื่อเปน็ การบงั คับใหเ้ กิดดอกเกดิ ผล หรอื การตดั แตง่ พทุ ราก็ เชน่ เดียวกนั ตัดแตง่ ก่งิ ในปรมิ าณทมี่ าก ตดั แตง่ ก่งิ ในปรมิ าณทม่ี าก ท้งั นเ้ี พ่ือกระตุ้นใหเ้ กดิ ก่งิ ใหม่ขน้ึ ทํา ใหเ้ พมิ่ คณุ ภาพและปรมิ าณของผล ข้อความระวงั ในการตดั แตง่ ผู้ตัดแต่งต้นไม้ผลตอ้ งคํานึงเสมอวา่ ในการตดั แต่งแต่ละคร้งั หรือแตล่ ะก่ิงมโี อกาสเพียงคร้ังเดยี ว คิดให้ดีก่อนทีจ่ ะตัดเพราะตดั แลว้ ไม่สามารถทาํ ให้กลบั คนื ได้ (พาวนิ , 2548) ภาพท่ี 71 การตัดแตง่ ทรงพุ่มลาํ ไยอยา่ งหนัก (ทรงฝาชหี งาย) สรปุ การตัดแตง่ กิง่ ไม้ผล ถือว่าเปน็ กิจกรรมทตี่ ้องกระทาํ กบั ไมผ้ ลทมี่ คี วามสาํ คญั อันดบั ตน้ ๆ ซึง่ การตัดแตง่ กง่ิ ไมผ้ ล จะแบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะได้แก่ 1) การแต่ง หรือการจดั พุ่ม (training) เปน็ การ กระทาํ ในชว่ ง 2 – 3 ปีแรกกับไมผ้ ล เพ่อื กาํ หนดทศิ ทางการเจริญเตบิ โตของกงิ่ เปน็ หลัก หรอื เป็นการจัด โครงสร้างของไมผ้ ลนัน้ เอง 2) การตดั แต่งกิ่ง (pruning) จะกระทําในขณะทไ่ี ม้ผลใหผ้ ลผลติ แล้ว

การตัดแตง่ กง่ิ ไม้ผล 107 โดยเฉพาะจะกระทาํ ในขณะหลงั เกบ็ เกย่ี วผลผลติ เปน็ ส่วนใหญ่ จะมีผลในการเสริมสรา้ งความสามารถใน การผลิต และรูปแบบของการแต่งหรือการจัดทรงพุ่มจะประกอบดว้ ยการแต่งแบบเปิดแกนกลาง การแต่ง แบบปิดแกนกลาง และการแตง่ แบบปดิ – เปิดแกนกลาง ส่วนรปู แบบของการตดั แตง่ กิง่ ไมผ้ ล ประกอบดว้ ย การตดั กิ่งกระโดง การเด็ดยอด การเดด็ ตาดอก การตดั ยอด การตัดเหลอื ตอ การตดั ราก ตลอดจนถึงการปฏบิ ัตกิ ารพิเศษ เช่น การลอกเปลอื กการควน่ั กงิ่ การโนม้ ก่งิ เป็นต้น อปุ กรณท์ ใี่ ช้ในการ ตัดแต่งกง่ิ กป็ ระกอบด้วย กรรไกรตดั แต่งกง่ิ เลือ่ ยตัดกิ่ง บนั ได ยารกั ษาแผล ส่วนปริมาณของก่ิงทต่ี ัด ออกจะแบง่ ออกได้ 3 วธิ ี คอื การตดั แต่งกง่ิ อย่างเบา การตดั แตง่ กงิ่ ปานกลาง และ การตดั แต่งกง่ิ อย่าง หนัก 4.4 การจดั การดนิ ในสวนไมผ้ ล บทนํา ดังทเี่ คยกลา่ วมาแล้วก่อนหน้าน้เี กย่ี วกบั การทาํ สวนไมผ้ ลหากดนิ ไมด่ ี ก็มวี ิธีการ ปรบั ปรงุ แก้ไขให้ดขี ึ้นได้ ในบทนี้จะกล่าวถึงในส่วนของการจัดการดนิ โดยการปลกู พชื คลมุ ดิน ประโยชน์ที่ ได้รบั ตลอดจนวิธกี ารเลือกพชื ทจ่ี ะนาํ มาใชใ้ นการคลุมดนิ ซึ่งท้งั หมดนี้จะนาํ ไปสู่การคนื ความอดุ สมบูรณ์ ให้กบั พ้นื ดนิ ในสวน มีส่วนทําใหไ้ ม้ผลมกี ารเจรญิ เติบโตไดด้ ี ใหผ้ ลผลติ ทส่ี มบรู ณ์ และมีอายกุ ารใหผ้ ลผลิต ท่ยี าวนานตอ่ ไป ความสาํ คญั ของการปลูกพชื คลมุ ดนิ ในสวนไมผ้ ล ไม้ผลเป็นพชื ยืนตน้ อายุยาวนานหลายปี ในแต่ละปจี ะแตกใบ ผลิดอกออกผลคดิ เปน็ นาํ้ หนกั ของดอกผลจาํ นวนมาก ซึง่ การสรา้ งใบ ดอก ผลน้ี จําเป็นที่ตอ้ งใชแ้ รธ่ าตุ สารอาหารต่าง ๆ ที่มี ภายในดินไปในกระบวนการตา่ ง ๆ ในการเจรญิ เตบิ โตของพืช ซ่ึงหมายถงึ ว่า แรธ่ าตุ สารอาหาร ต่าง ๆ มี แตอ่ อกจากดนิ อยา่ งเดียว ไมม่ สี ว่ นที่กลบั เขา้ มา หรือกลบั มาสู่ดินในอตั ราสว่ นท่นี อ้ ยกว่าการออกจากดิน ซงึ่ นาํ ไปสูค่ วามเส่อื มโทรมของดิน ดงั นน้ั จึงตอ้ งมกี ารจัดการดนิ ภายในสวนไม้ผล ซ่งึ สามารถ กระทาํ ไดห้ ลายวิธี ได้แก่ การใชว้ สั ดุคลมุ ดนิ เช่น ฟาง แกลบ ข้กี บไสไม้ หรอื การไถดินขวางความลาดเท การสับดิน การไถพรวน การทาํ คนั ดินก้นั การชะล้าง การปลกู พชื สลับ เปน็ แถวขวางพื้นทล่ี าดเท แตว่ ธิ ที ี่ จะขอแนะนาํ วิธกี ารนีเ้ กษตรกรนยิ มปฏบิ ตั ิกนั จํานวนมาก ซึ่งได้แก่ การปลูกพืชคลุมดิน (cover crop) (สเุ มษ, 2537) การปลูกพชื คลมุ ดิน (cover crop) คือการปลูกพชื ท่ีมีลาํ ตน้ ออ่ นชนิดเดียวหรอื หลายชนิดปนกนั ให้เจริญเตบิ โตปกคลมุ ดนิ ตลอดทงั้ ปี หรือชว่ งระยะเวลากไ็ ด้ พืชเหลา่ น้จี ะทําการยึดหน้า ดินในขณะฝนตกหนกั ปอ้ งกันการพังทลายของดินหรอื อาจไถกลบลงไปในดิน ในขณะทส่ี ะสมอาหารสงู สุด

108 การจดั การดนิ ในสวนไม้ผล เพือ่ ใหก้ ลายเป็นปยุ๋ พชื สด (green manure) พืชที่จะนํามาปลกู เปน็ พืชคลุมดินควรเป็นพืชทปี่ ลกู งา่ ย เจรญิ เตบิ โตได้ดที ้งั ในดินดแี ละดินเลว โตเร็ว มกี งิ่ กา้ นสาขามาก มสี ่วนยอดออ่ นนมุ่ อวบนํ้า หรอื มนี าํ้ มาก สามารถขน้ึ ได้ดที งั้ ในทร่ี ่ม และกลางแดด ทนทานความแหง้ แล้งไดด้ ี ซ่ึงพชื สว่ นใหญ่ทจี่ ะนํามาใช้ปลกู คลุม ดินจะเป็นพืชตระกลู ถ่วั ซึง่ นอกจากจะคลมุ ดินได้แลว้ ยังสามารถตรงึ ไนโตรเจนจากในอากาศมาสะสมใน บรเิ วณรากได้อกี ซึง่ เปรียบเหมือนประโยชน์ 2 ตอ่ คอื ท้ังคลมุ ดนิ และเปน็ ปุ๋ย ซึ่งพืชเหลา่ นี้ ไดแ้ ก่ ถ่ัวลาย ถ่วั ผี ถ่ัวแดง ถวั่ นา ถว่ั ขอ ถั่วปินโต เป็นตน้ ประโยชน์ที่ไดร้ บั จากพชื คลมุ ดิน (สเุ มษ, 2537) การทําสวนไม้ผลเมื่อต้นไม้มขี นาดโตอายุต้ังแต่ 4 – 5 ปี ขนึ้ ไปแลว้ ไม่สามารถจะไถ พรวนไดบ้ ่อย ๆ เพราะการไถหรอื พรวนจะไปทําลายรากของไม้ผลทําให้ชะงักการเจริญเติบโตได้ การปลูก พชื คลุมดินจงึ มปี ระโยชน์มากโดย 1. เพมิ่ ธาตอุ าหารให้แก่ดนิ เมอื่ ใบหรือตน้ ของพืชคลุมดนิ เหล่านี้ ร่วงผุพงั บนพ้ืนดินใน ทีส่ ุดจะกลายเป็นฮิวมสั (humas) ซ่งึ จะเป็นอาหารของต้นไมต้ อ่ ไป นอกจากนี้ยงั ช่วยเรง่ ปฏกิ ิรยิ าเคมใี ห้ ธาตอุ าหารในดนิ เป็นประโยชนต์ ่อพืชเร็วขน้ึ 2. ชว่ ยใหโ้ ครงสร้างและสภาพของดนิ ดีข้นึ การทีด่ ินมพี ืชคลุมอยจู่ ะทําใหด้ นิ โปรง่ อากาศจะถ่ายเทได้สะดวกและเมด็ ดินอมุ้ นาํ้ ไดด้ ี ซึ่งจะเหมาะแก่การเติบโตของต้นไม้ 3. ป้องกนั การชะล้างพังทลายของดิน พชื คลุมดนิ จะสง่ รากลงไปในดินและยึดเม็ดดินไว้ ใบทหี่ นาทบึ จะลดความรนุ แรงของฝนหนักและน้าํ ทไ่ี หลแรง และลดความรอ้ นจากแสงแดดใหพ้ ้ืนดิน ไดม้ าก 4. ชว่ ยเก็บความชื้นในดิน การที่พืชคลมุ ได้คลุมผวิ ดนิ ไวจ้ ะลดการระเหยของนาํ้ และพชื คลุมจะชว่ ยดูดเอานํ้าท่จี ะไหลลงเบอ้ื งลา่ งไว้ แทนที่จะปลอ่ ยใหไ้ หลลงขา้ งลา่ งโดยเปล่าประโยชน์ 5. ชว่ ยกําจัดวัชพืช พืชคลุมสว่ นมากจะเลอ้ื ยและมใี บหนาแน่นจะช่วยป้องกันไมใ่ ห้ แสงแดดส่องไปถึงพ้ืนดนิ เมลด็ วัชพชื จงึ งอกยาก หรอื วัชพชื ทถ่ี ูกคลมุ มาก ๆ จะตาย เพราะไมม่ ีแสงพอใน การปรุงอาหาร 6. ชว่ ยให้แบคทีเรียในดินสร้างไนเตรทไดม้ ากขึน้ โดยเฉพาะพืชตระกูลถัว่ 7. เป็นการเพ่ิมรายไดแ้ กส่ วนเพราะมผี ลผลติ เพม่ิ ขน้ึ ขอ้ เสียของพืชคลุมดิน 1. พืชคลุมส่วนใหญเ่ ป็นไมเ้ ลอื้ ย หากปลอ่ ยทง้ิ ไวอ้ าจจะเลอ้ื ยคลุมไมผ้ ล จะทําให้ชะงกั การเจริญเตบิ โต ใบร่วงและอาจถึงตายได้ 2. เปน็ ท่ีสะสมของโรคและแมลง ตลอดจนสัตวร์ า้ ย เช่น งู และแมลงมีพิษตา่ ง ๆ 3. ในฤดูแลง้ ใบและเถาสว่ นใหญ่จะแหง้ เป็นเชอ้ื ไฟได้ดี

การจดั การดินในสวนไมผ้ ล 109 วิธกี ารเลอื กพชื คลมุ ดนิ การปลูกพืชคลุมดินในสวนไมผ้ ล ควรทาํ หลงั จากเตรียมดิน และวางผงั สวน ปกั หลัก ควร ปลกู เป็นหลมุ ห่างกนั ประมาณ 1 เมตร หว่าน 6 – 7 เมลด็ ตอ่ หลุม ควรใชป้ ลกู รวมกัน เช่น คาโลโปโก เนยี ม 5 ส่วน คตุ ซู 1 ส่วน ถวั่ ลาย 4 สว่ น หรอื ถัว่ ลาย 1 สว่ น เป็นตน้ หากไถพรวนพน้ื ท่ีอาจใชห้ วา่ น เมลด็ โดยใชเ้ มลด็ ประมาณ 2 กก. ต่อไร่ หลงั ปลกู ประมาณ 4 – 5 เดือน พืชคลมุ ดนิ บางชนิดเชน่ ถว่ั ลาย และถ่ัวผี จะทอดเถาเล้อื ยปกคลุมดินจนเกือบมองไมเ่ ห็นช่องว่าง หากมวี ัชพชื พวกหญ้าคา โขมงแขม โผล่ ขนึ้ มาให้ใชไ้ ม้กลม หรอื ถงั ขนาด 200 ลิตร กล้ิงทับให้ยอดของวชั พืชหักพับพืชคลุมดินจะคลมุ ทบั และ กาํ จัดวชั พชื ได้ดขี ้นึ ตวั อยา่ งของพืชคลมุ ทีใ่ ช้ในสวนไมผ้ ลทน่ี ยิ มกนั ไดแ้ ก่ 1) คุดซู (Kudzu : Pueraria spp.) พวกนเี้ ป็นตระกลู ใหญ่ แข็งแรงทนทานเจริญเรว็ เถาแข็งแรง และจบั พนื้ ดินไดแ้ นน่ หนา สว่ นทแี่ ตะกบั พื้นดนิ ท้ังข้อและปล้องจะมีรากงอกออกจึงเป็นพชื ที่ ปอ้ งกนั การพงั ทลายของดินไดเ้ ปน็ อย่างดี ระบบรากลกึ และแผก่ วา้ งจงึ มีอายยุ นื ชอบดินทค่ี อ่ นขา้ งเป็น กรด สามารถปรบั ตัวเข้ากับอากาศแห้งแลง้ และชุ่มช้นื ได้ดี ชอบดนิ คอ่ นข้างเปน็ ดนิ เหนยี วและระดบั นาํ้ ใต้ ดินสูง แตส่ ามารถอยู่ได้ในดินรว่ นปนทราย ควรปลกู ระหว่างฤดฝู น แชเ่ มล็ดที่จะหวา่ นในน้ํา 24 ชม. หรือ แชน่ ํา้ รอ้ น 30 นาที หว่านปรมิ าณ 2 กก. ตอ่ ไร่ จะขยายตวั คลุมดนิ ได้ทวั่ ถงึ ภายใน 3 – 4 เดอื น 2) คาโลโปโกเนยี ม (Calopogonium muconoides) เปน็ พืชคลุมดนิ ได้ดเี หมือนพวก คดุ ซู ลาํ ตน้ ยาว 3 – 10 ฟตุ ลําตน้ อมุ้ น้ํามีขนสีนาํ้ ตาลปกคลมุ ใบกวา้ ง 1 – 4 น้วิ และยาว 1 – 5 น้ิว มขี น ปกคลมุ ทง้ั สองด้าน มีเมลด็ 4 – 8 เมลด็ ต่อฝัก เหมาะแกส่ วนผลไม้ทกุ ชนดิ ใช้เมลด็ ประมาณ 1 กก. ต่อไร่ 3) ถว่ั ลาย (Butterfly pea : Centrocema pubescens. Benth) เป็นพชื ไมเ้ ลือ้ ย พวก perennial ปลูกไดใ้ นเขตรอ้ นและอบอุ่น สามารถเลอ้ื ยคลุมพชื อ่นื ไดด้ ี การเจรญิ เตบิ โตระยะแรก จะชา้ เมือ่ อายุได้ 18 เดือน จึงจะคลุมพืชอืน่ ไดด้ ีมาก สามารถปรับตวั เข้ากบั สภาพภูมิประเทศได้ดี และ นอกจากนี้ยงั ใช้เป็นอาหารสัตว์ไดด้ ว้ ย ควรปลกู ตน้ ฤดูฝนใชป้ ระมาณ 1 กก. ต่อ ไร่ ในสวนไม้ผลหาก ต้องการให้มพี ืชคลุมตลอดปีควรใชถ้ ่ัวลาย 2 ส่วน คดุ ซู 1 สว่ น ถ่วั เขียวเมลด็ ดาํ 5 สว่ น และ คาโลโปโก เนยี ม 15 ส่วน 4) ถ่ัวขอ (Velvet bean : Stizolobium spp.) พืชคลมุ ชนดิ น้ีมใี บใหญ่หนาเปน็ มนั ดอกมสี มี ่วงหรอื ขาว ฝกั มขี น เมล็ดดาํ โต ชอบอากาศค่อนขา้ งรอ้ น เปน็ พวกพืชฤดเู ดียวพนั ธุ์ Tropicalvelvet (S. aterium) ใชป้ ลูกเปน็ พชื คลมุ และตดั ทําเป็นอาหารสัตวไ์ ดก้ จ็ ะเจรญิ เติบโตข้นึ มาอีก 5) ถ่วั แดง ถ่วั นา หรอื ถ่วั ผี (Phaseolus calcaratus) จัดเปน็ พชื คลุมอกี พวกหนง่ึ ข้นึ เปน็ พุ่ม แล้วจะทอดยอดและเลื้อยพันกนั แนน่ หนามาก ใบและตน้ มักมีขนนยิ มปลกู ในสวนไมผ้ ล เปน็ พืช ฤดูเดียว 6) ถวั่ เขียวเมลด็ ดํา (Phaseolus mumgo) เปน็ พืชพวกพมุ่ เตย้ี แต่เมื่อเจรญิ มาก ๆ จะ ทอดยอดยาวคลมุ ดนิ ไดห้ นาแนน่ มาก เพราะใบโตกวา่ ถว่ั เขียวเมลด็ เลก็ สาํ หรบั ลําตน้ และใบมสี ีนํา้ ตาล

110 การจัดการดนิ ในสวนไม้ผล อ่อนปกคลมุ ทว่ั ไป เวลาออกดอกจะชขู ้ึนเหนือใบ ดอกสเี หลอื งเข้ม ในฤดูแล้งใบจะร่วง แตเ่ มอ่ื ได้รบั ความ ชุ่มช้ืนจะเจริญงอกงาม เปน็ พืชฤดูเดยี วชอบที่ ๆ มฝี นชุก อากาศร้อนและอบอนุ่ ก็อย่ไู ด้ 7) ถ่ัวปินโต (Arachis pintoi) เปน็ พชื พวกพุ่มเตี้ย เจริญเตบิ โตได้ดี ดอกสเี หลือง สวยงาม นยิ มใช้ปลกู คลุมดนิ และสามารถนาํ ไปใชใ้ นการปลูกเพอื่ จดั สวนหย่อมรมิ ทางไดเ้ ปน็ อย่างดี ขอ้ ควรระวงั ในการปลกู พชื คลุมดินในสวนไมผ้ ล กค็ อื ในฤดแู ลง้ ตอ้ งระวังการติดไฟ เพราะเถาและใบทีแ่ หง้ ทบั ถมกนั นน้ั เปน็ เชอ้ื ไฟไดอ้ ย่างดี หากเป็นไปได้ควรปลูกพืชคลุมหลาย ๆ ชนิดปน กัน และหากพอใหน้ ้ําชว่ ยไดใ้ นฤดแู ลง้ จะเป็นประโยชน์ในการปอ้ งกันไฟ หรือ อย่างน้อยกต็ ้องทําแนวกัน ไฟกนั ไวร้ อบสวนใหก้ ว้างประมาณ 3 – 5 เมตร สรปุ การจดั การดนิ ในสวนไมผ้ ลเปน็ การคืนความอดุ มสมบูรณ์ใหก้ บั ดนิ เน่อื งจากการถูกไม้ผล ดดู นําไปใช้ประโยชน์ ระยะเวลาผา่ นไปหากไมม่ กี ารคืนความสมบรู ณใ์ หก้ ับดนิ กจ็ ะทาํ ใหด้ นิ เกดิ การเส่อื ม โทรม แร่ธาตุอาหารนอ้ ยลง จนพชื ไม่สามารถนาํ ไปใช้ประโยชน์ได้ วิธกี ารปลกู พชื คลมุ ดนิ โดยพืชทีส่ ามารถ นํามาใชใ้ นการปลกู คลมุ ดินสว่ นใหญ่เปน็ พชื ตระกลู ถว่ั เน่ืองจากมีใบจํานวนมาก ยอดอ่อนนมุ่ อวบนํา้ เจรญิ เติบโตรวดเรว็ ทนแลง้ สามารถยึดเกาะดนิ ลดปัญหาการ พงั ทลายของดินไดด้ ี และนอกจากนย้ี ัง สามารถตรงึ ไนโตรเจนที่มใี นอากาศมาเกบ็ สะสมทปี่ มรากเมอื่ เนา่ เปื่อยผุพงั ก็จะปลด ปล่อยธาตไุ นโตรเจน กลับคนื สดู่ ิน เมอื่ ไถกลบลําต้น ใบ ย่อยสลายกจ็ ะกลายไปเป็นฮวิ มัส (humus) เป็นการเพิม่ ความอดุ ม สมบูรณใหก้ บั พ้ืนดินไดอ้ กี วิธีหนึง่ นอกจากน้ียังช่วยใหโ้ ครงสรา้ งของดินดขี น้ึ เปน็ การปอ้ งกันการพงั ทลาย ของดนิ อกี ทง้ั ยังชว่ ยเก็บความชน้ื ในดนิ เปน็ พืชทช่ี ว่ ยคลุมดนิ จนวชั พืชไม่สามารถเจรญิ เติบโตได้ และยัง เปน็ การเพิม่ รายได้ให้กบั สวนไม้ผล เพราะจะช่วยให้ผลผลติ เพมิ่ ข้ึน

การป้องกันกาํ จัดศตั รูไม้ผล 111 4.5 การป้องกนั กําจดั ศตั รไู มผ้ ล บทนาํ ศตั รูไม้ผลท่จี ะกล่าวรวมถึงตอ่ ไปน้ี ได้แก่ โรค แมลง และวชั พชื ซึง่ วิธีการป้องกันกาํ จัด ทงั้ 3 อย่างนี้ จะเปน็ ต้นทนุ ในการทําสวนไมผ้ ลท่ีเพมิ่ ขน้ึ แต่อยา่ งไรกต็ ามในการทาํ สวนสมยั ใหมจ่ ะมศี ัพท์ อกี คําหนง่ึ คอื คาํ วา่ IPM (Integrated Pest Management) หรอื การบรหิ ารจัดการศัตรูพืชดว้ ยวิธีการ ผสมผสาน และในบทนจี้ ะได้นาํ มากล่าวเพื่อการปอ้ งกันกําจดั ศัตรไู ม้ผล ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ การปอ้ งกนั กําจัดศัตรูพชื การปอ้ งกนั กาํ จดั ศตั รูพชื อาจทําใหห้ ลายวธิ รี วมกนั ได้แก่ (รว,ี 2528) การทําลายเศษ ซากพืช การทําลายเศษซากของพืชทเ่ี ป็นโรคหรือถกู แมลงรบกวนมาก ๆ รวมท้ัง การทําความสะอาด ภายในสวนดว้ ย ไมป่ ลอ่ ยใหว้ ัชพืชข้ึนรกรุงรัง อันอาจจะเป็นทีส่ ะสมของโรคและแมลงได้ ท้งั นี้ แมลงอาจ ใช้วัชพชื เหลา่ นีเ้ ปน็ ท่ีแพรพ่ นั ธไ์ุ ด้ กง่ิ ไม้ทเี่ ปน็ โรค เม่ือได้รับการตดั แต่งออกไปแลว้ ควรนาํ เอาไปเผาไฟ เพื่อกาํ จัดใหส้ ้นิ เช่น โรคแคงเกอรข์ องมะนาว และ กิ่งแหง้ ของสม้ เป็นตน้ 1. การปอ้ งกนั ดว้ ยวธิ กี ารปฏิบัติ วิธีการดงั กลา่ วน้ี อาจใชก้ ารจบั ด้วยมือ เช่น การใชไ้ ฟ ส่องจับผีเสอ้ื มวนหวาน ซง่ึ จะมาดูดน้าํ เลีย้ งของผลไม้พวกสม้ และลําไย หรอื การจุดไฟเพื่อล่อแมลง การใช้ กระดาษหอ่ ผล เช่น การหอ่ ช่อผลลน้ิ จี่ เพอ่ื ป้องกนั หนอนเจาะขว้ั การใช้สารเคมีเพอ่ื เปน็ เหยอื่ ลอ่ เช่น การใชส้ ารเมทธลิ ยจู ีนอล (methyl eugenol) ซ่ึงมกี ลน่ิ ที่แมลงวันทอง (แมลงวันผลไม)้ เพศผชู้ อบ โดยใช้ สารนใี้ ส่กบั ดักอาจผสมยาฆ่าแมลงกไ็ ด้ แลว้ ทาํ ลายเสยี เมือ่ แมลงพวกน้มี าเขา้ กบั ดกั ทว่ี างไว้ 2. การกาํ จัดเชอื้ ในดิน เชื้อโรค แมลง และพวกไสเ้ ดอื นฝอย ซ่ึงเปน็ ศัตรพู ืชอยู่หลาย ชนดิ ท่อี าศัยอยูใ่ นดิน เมอื่ ศตั รูพืชเหล่านีร้ ะบาด อาจใชส้ ารเคมีราดลงไปในดิน หรือการรมด้วยยา แต่การ รมด้วยยาจะใช้ไดเ้ ฉพาะในกรณีทไ่ี มม่ ีตน้ ไมท้ ป่ี ลกู ไวห้ รอื ตน้ ไม้ที่ปลูกไว้ ณ จุดนั้นตายไปแลว้ เทา่ น้นั หาก ไมก่ ําจัดให้หมดส้นิ แลว้ ศัตรพู ืชเหล่านนั้ อาจระบาดตอ่ ไปจนท่ัวท้ังสวนได้ 3. ควรปอ้ งกันโดยการใช้พันธ์ุต้านทาน ในกรณีเชน่ น้ี เม่ือเราทราบวา่ ในเขตใดมีศัตรพู ืช ระบาด เราสามารถป้องกันได้ โดยใช้พันธท์ุ ม่ี คี วามตา้ นทานต่อศตั รพู ชื ชนดิ นน้ั ๆ ท่ีไดผ้ า่ นการทดสอบ มาแล้วปลกู แทน เชน่ การใช้ต้นตอทุเรยี นนกสาํ หรับทเุ รยี นพันธ์ุทีจ่ ะใชป้ ลูกในพ้ืนทที่ มี่ ีโรคโคนเน่า และ รากเน่าของทุเรียนระบาด ซงึ่ ทุเรยี นพนั ธน์ุ ้ี มีความต้านทานต่อโรคดงั กล่าว เปน็ ตน้ 4. การปอ้ งกนั กําจดั ดว้ ยชีววิธี (biological control) เปน็ วธิ ีการท่คี ่อนข้างใหม่ และ นักวิชาการพยายามที่จะแนะนาํ ให้ใช้วิธีนใ้ี หม้ ากที่สดุ เน่อื งจากเปน็ วิธีการทไี่ ดผ้ ล และสามารถควบคุมให้

112 การป้องกนั กําจัดศตั รไู ม้ผล อยใู่ นสภาพคลา้ ยธรรมชาติได้มากทสี่ ดุ โดยอาจใชร้ ว่ มกับวธิ ีอ่นื ๆ วิธีน้ใี ช้สิ่งมีชวี ติ ดว้ ยกันเองเป็นหลกั ใน การกําจัดศัตรพู ชื เช่น การเล้ียงแมลงเตา่ ทอง เพื่อให้ใชก้ ินพวกเพลีย้ แป้ง และเพลย้ี หอย การใชพ้ ชื คลมุ ดินกําจัดวัชพืช เป็นตน้ 5. การฉีดพน่ ด้วยสารเคมี เป็นวธิ ที ี่ชาวสวนส่วนมากนิยมใชก้ นั อยู่ในปัจจบุ ัน เนือ่ งจาก สะดวกและรวดเร็ว แตว่ ิธนี ี้ไม่ใชว่ ธิ ที ี่ดที ีส่ ดุ เพราะในบางกรณกี ็ไม่สามารถใชอ้ ยา่ งได้ผล และสารเคมี นับวนั ราคายง่ิ สูงมากขน้ึ ตามลาํ ดับ สารเคมที ใ่ี ชใ้ นการกาํ จดั น้ี ต้องใช้ให้ถูกตอ้ งกับชนิดของศตั รูพชื ท่ีมา รบกวนต้นไม้ผลนน้ั ศตั รพู ชื ท่ีจะกล่าวถึงน้ีไดแ้ ก่ วัชพืช โรค และแมลง ซงึ่ จะเสนอในหัวข้อตอ่ ไปน้ี (อนชุ า, 2534) การป้องกนั กําจดั วัชพืช วชั พชื (weed) คือ พืชท่เี ราไม่ตอ้ งการ วัชพืชนับเป็นศตั รูที่รา้ ยแรงต่อพชื ทเ่ี ราปลูกมาก วัชพืชมลี ักษณะการเจริญเตบิ โตและพัฒนาการเหนอื กวา่ พชื ปลูกหลายอยา่ ง เชน่ เจรญิ เตบิ โตไดร้ วดเร็ว ทนทานตอ่ สภาพแวดล้อม และปรบั ตวั เข้ากบั สภาพแวดล้อมได้เร็วกวา่ และดกี ว่าพืชที่ปลกู มาก อีกทงั้ สามารถขยายพนั ธุไ์ ด้เรว็ กว่า จึงเขา้ แย่งอาหาร ตลอดจนเปน็ ส่อื ของโรคและแมลงดว้ ยการควบคมุ วชั พืช หมายถงึ การกระทําใด ๆ ทีเ่ ปน็ การปอ้ งกันการแพร่กระจาย หรือทาํ ลายเพือ่ ยับย้ังการลุกลามของวัชพืชใน สภาพการณอ์ ันหน่ึง โดยไมใ่ หเ้ ป็นการเสียหายกับพชื ปลกู แบ่งออกเปน็ วธิ ตี า่ ง ๆ ดงั นี้ (สุเมษ, 2537) 1. วธิ ปี อ้ งกนั (prevention control) หมายถงึ วธิ ีการใด ๆ ทีจ่ ะสกดั กนั้ เพ่อื ไม่ให้เมลด็ หรือ สว่ นที่ขยายพนั ธุ์ได้ของวัชพืชกระจายไปยังแหลง่ ต่าง ๆ รวมทั้งท่มี ีการออกกฎหมายเพ่ือป้องกนั กําจัดวัชพืชทร่ี ้ายแรงดว้ ย 2. วิธกี ารทาํ ให้ต้นวัชพชื ถูกทาํ ลายทางกายภาพ (physical control) เชน่ การตัด การ ไถพรวน การขดุ ออก การถาง หรอื ถกู รบกวนระบบรากโดยวิธีใด ๆ กต็ าม ส่วนมากมกั จะเกย่ี วขอ้ งกนั ใช้ เครอ่ื งมือทง้ั แรงคน และแรงสตั ว์ ตลอดจนเคร่อื งมอื ทุ่นแรงท่ีใช้เครื่องยนต์ชนิดตา่ ง ๆ 3. วธิ ีการจัดสภาพแวดลอ้ ม โดยการจัดสภาพแวดลอ้ มใหเ้ ป็นการลด หรอื การขจัด แกง่ แยง่ และป้องกันการแพร่กระจายพนั ธุ์ของวัชพชื เช่นอาศัยหลกั การแกง่ แยง่ ของวัชพืชใชห้ ลกั การ จดั การสวนทดี่ ี เชน่ การคดั เลอื กพันธุ์พชื การปลกู พชื หมุนเวียน การไถตากดินไว้เม่ือไมใ่ ช้ การปลูกพชื คลุมดนิ การจดั สภาพทไ่ี มเ่ หมาะสมตอ่ วัชพืชแต่เหมาะสาํ หรับพชื ปลูก เชน่ การทดน้าํ หรือ การระบายนํ้า ออก การใชว้ สั ดคุ ลุมดนิ เพอ่ื ป้องกันการงอก หรอื การเจรญิ ของวชั พืช 4. วธิ คี วบคมุ ทางชีววทิ ยา (biological control) เป็นการควบคุมโดยการใช้ศตั รู ทาง ธรรมชาติของวัชพชื ชนดิ นนั้ ๆ เชน่ โรค และ แมลง แต่การใชค้ วบคุมโดยวธิ ีนี้จําเป็นต้องจัดทาํ และ ดาํ เนนิ การโดยผ้มู ีความรู้

การปอ้ งกันกําจดั ศัตรไู ม้ผล 113 6. วิธกี ารใช้สารเคมี หรือสารกําจัดวชั พืช (chemical control) หมายถึงการใช้ สารเคมีชนดิ ใดกต็ ามเพ่ือทาํ ลายหรือยบั ย้ังการเจริญของวชั พืชขณะทย่ี ังเปน็ เมล็ดอยใู่ นดิน หรอื งอกขน้ึ มาแลว้ ก็ตามเปน็ วิธคี อ่ นข้างใหม่แตใ่ ชไ้ ดผ้ ลจรงิ จงั และนยิ มใชก้ ันทวั่ ไป (อนุชา, 2534) การป้องกนั กาํ จัดวัชพืช สามารถกระทาํ ได้หลายวิธี เชน่ 1. การกําจัดด้วยวิธีกล การกําจดั วชั พืชในแบบน้ี มอี ยหู่ ลายวิธแี ละเปน็ วิธที ใ่ี ชก้ ันอยู่ โดยท่วั ไปด้วย เช่น การดายหญา้ การถอน การไถพรวน เป็นต้น 2. การกําจดั ดว้ ยชีววิธี เช่น การใช้พืชคลมุ ดินปอ้ งกนั กาํ จดั วัชพืชที่ขึ้นอยู่ หรือการเลย้ี ง สตั ว์เพอื่ กินหญ้า เชน่ การเลีย้ งวัว หรือ หา่ น 3. การใชส้ ารเคมี เปน็ วธิ ีท่ีมีความสําคัญเพ่มิ มากขน้ึ ตามลําดับ เนื่องจากใช้ได้งา่ ยและ สะดวก ในปจั จุบันมสี ารเคมที ี่ใชใ้ นการกําจดั วัชพืชหลายชนิดดว้ ยกนั มักเรียกกันในชอ่ื วา่ “ยาฆ่าหญา้ ” สารเคมีเหลา่ น้ี อาจแบง่ ได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ 3.1 สารเคมปี ระเภทสมั ผัส สารเคมีประเภทน้ีเมอื่ ฉดี พ่นไปถูกส่วนของพชื แลว้ จะเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเฉพาะกบั ส่วนของพชื ทถ่ี ูกยาเทา่ นน้ั ไมส่ ามารถเคลื่อนย้ายไปยงั ส่วนอนื่ ๆ ของลาํ ต้น ได้ เช่น พาราควอท 3.2 สารเคมีประเภทดดู ซึม สารเคมพี วกนีเ้ ม่อื ฉีดพน่ ไปถูกส่วนของใบหรือได้ สมั ผสั กบั ส่วนใบหรอื รากแล้ว สามารถที่จะเคลอ่ื นยา้ ยไปยังส่วนอื่น ๆ ได้ ซึ่งจะทาํ อนั ตรายต่อกลุ่มเซลล์ พืชนัน้ ๆ เช่น สารพวก ท,ู โฟ - ดี (2, 4 - D) ท,ู ทู - ดี หรือ ดาลาปอน (2, 2 - D or Dalapon) เป็นตน้ 3.3 สารเคมอี บดิน เป็นการกําจัดวัชพืชในแปลงกอ่ นปลกู สว่ นใหญม่ กั ใช้ใน แปลงขนาดเลก็ หรอื แปลงเพาะต้นกลา้ มากกว่าจะใช้กบั แปลงปลูกขนาดใหญ่ เพราะเปน็ การส้ินเปลือง มาก สารพวกน้ีมกั มีคณุ สมบตั ริ ะเหยได้ และไมต่ กค้างอยูใ่ นดนิ นาน (อนุชา, 2534) วธิ กี ารใช้สารเคมกี าํ จัดวัชพชื สามารถแบง่ ออกได้ 3 แบบ ดงั นี้ 1. การให้สารเคมขี ณะเมลด็ วัชพืชยังงอกอยใู่ นดิน (pre-emergence) 2. การใหส้ ารเคมกี อ่ นปลกู พชื (pre-planting) 3. การใหส้ ารเคมหี ลกั จากวชั พชื โผล่เหนอื ดินแลว้ (post-emergence)

114 การปอ้ งกันกําจัดศตั รูไม้ผล การทําลายวัชพืชของสารเคมี สามารถทาํ ลายไดห้ ลายทาง แบง่ เป็นข้อ ๆ ดังนี้ 1. เปน็ พษิ ต่อเซลลว์ ัชพชื โดยตรง 2. ทาํ ใหก้ ารหายใจผดิ ปกติ 3. ทาํ ใหก้ ระบวนการสังเคราะหแ์ สงหยดุ ชะงกั 4. ทาํ ให้การแบง่ เซลลผ์ ิดปกติ 5. ทําให้โปรตนี ภายในเซลล์ตกตะกอน 6. ทําใหเ้ ซลลเ์ กิดพลาสโมไลซสี (plasmolysis) 7. ทาํ ให้ pH ในวัชพืชเปลี่ยนแปลง ปัจจยั ทีม่ ีผลต่อการใชส้ ารเคมกี าํ จัดวชั พืช (วิจติ ร, 2511) การใชย้ ากําจัดวัชพืชนน้ั มปี ัจจัยหลายอยา่ งที่มผี ลตอ่ การออกฤทธ์ิ ของตวั สารเคมี ตลอดจนปริมาณและการเลอื กทาํ ลายของสารด้วย ในสภาพแวดลอ้ มอันหนึ่งอาจต้องใชส้ ารเคมมี ากกว่า อีกอันหน่ึงได้ แมว้ ่าจะกําจัดวชั พชื ชนิดเดยี วกนั ฉะนน้ั ในทางปฏิบตั มิ ีปจั จยั ตา่ ง ๆ ทีค่ วรพิจารณา ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ดิน ชนดิ ของดินตลอดจนโครงสรา้ งและสภาพของดนิ จะมีผลกระทบต่อ ประสิทธิภาพในการทาํ ลายของสารเคมี ทั้งน้ีเพราะสารเคมที ่ใี ห้ลงไปในดินจะเกาะอยกู่ บั อนภุ าคดนิ ประมาณ 97 เปอรเ์ ซน็ ต์ และ อยใู่ นสารละลายดินประมาณ 3 เปอรเ์ ซ็นต์ ดินต่างประเภทกันจะมี ความสามารถในการดูดซับ (absorption) สารเคมีได้ต่างกนั และปรมิ าณสารเคมที ใ่ี หล้ งไปนน้ั จะมากหรือ นอ้ ยแลว้ แตช่ นดิ ดิน เชน่ ดินเหนยี วตอ้ งการปรมิ าณสารเคมมี ากกวา่ ดนิ ทราย ดินเหนยี วทม่ี ีอนิ ทรยี วัตถสุ งู จะดูดซมึ สารเคมีได้นานกว่าดนิ ทราย เป็นตน้ 2. ความช้นื ในดนิ ความชืน้ ในดนิ ไดม้ าจากการชลประทานและนาํ้ ฝน สารเคมี บางอยา่ งต้องการน้ําในปรมิ าณเพียงพอถึงจะใหผ้ ลในการกาํ จดั ดี เช่น CDEC, simazine และ diruron เป็นต้น แตน่ ้ําในการชลประทานหรือน้าํ ฝนจะชะล้าง หรือ ทาํ ใหส้ ารเคมีไหลซมึ สู่เบอ้ื งล่าง อนั อาจทาํ ใหก้ ารกําจัดวัชพชื บริเวณผวิ ดินไม่ได้ผล 3. อุณหภูมิและความชน้ื ในอากาศ อุณหภูมแิ ละความชื้นในอากาศจะมีผลตอ่ การดดู ซมึ และการเคล่ือนยา้ ยของสารเคมใี นพืช นอกจากนี้ยงั เก่ียวขอ้ งกับการสลายตัวของสารเคมีโดย จลุ นิ ทรยี ใ์ นดนิ ด้วย ปกติจลุ นิ ทรียเ์ จรญิ ได้ดใี นอุณหภูมิ 75 – 90 O F และอุณหภูมทิ ี่พอเหมาะในการใช้ สารเคมจี ะตกประมาณ 80 – 90 O F ถ้าอณุ หภมู ิสูงเกินไปสารกําจัดวชั พืชบางชนิดจะระเหยได้ นอกจากน้ีแสงสวา่ งจากดวงอาทิตยจ์ ะชว่ ยในการแตกสลายของโมเลกลุ ของสารไดเ้ ช่นกัน 4. กระแสลม ลมอาจจะพัดเอาสารเคมีเลยออกไปจากบริเวณที่เราต้องการ ทําให้การ กําจดั วชั พืชไมไ่ ด้ผล นอกจากนล้ี มอาจพัดเอาสารเคมีไปโดนพชื ท่ีเราปลูกได้ ทาํ ใหเ้ พิ่มอนั ตรายใหก้ ับพชื ที่

การปอ้ งกันกาํ จดั ศัตรไู มผ้ ล 115 เราปลูก ฉะนนั้ การฉดี สารเคมคี วรเลอื กฉีดขณะทล่ี มไมแ่ รง เชน่ ตอนเช้าก่อนพระอาทติ ยข์ น้ึ อย่างไรกด็ ี การแกก้ ารกระจายของยาโดยลม เราอาจทาํ ได้โดยวางหวั ฉดี ใหต้ ่ําลง และลดความดันของเครอ่ื งฉดี ให้ นอ้ ยลง เพอื่ ใหห้ ยดสารละลายทีพ่ น่ ออกไปมขี นาดโตข้นึ นอกจากทก่ี ล่าวแลว้ ลมทาํ ใหส้ ารเคมรี ะเหยเร็ว ขน้ึ การปอ้ งกันและกําจดั โรคของไมผ้ ล โรคพืช มีความหมายค่อนขา้ งกว้างมากสาํ หรบั คําน้ี โดยทวั่ ไปหมายถงึ อาการผิดปกตทิ ่ี เกดิ ทีพ่ ืชแสดงออกหรอื ตน้ พืชทเี่ ราปลูกไว้นน้ั ได้รับอนั ตราย อาจเกดิ เนอ่ื งมาจากเช้ือรา แบคทีเรยี ไวรสั ไส้เดือนฝอย กาฝาก ฯลฯ (รวี, 2528) 1. โรคพืชทเี่ กิดจากเช้ือรา พบเปน็ สาเหตุใหญ่ของโรคทงั้ หมด เชน่ โรครานํา้ คา้ ง ราแป้ง ราดาํ ผลเน่า เปน็ ตน้ 2. โรคพชื ทีเ่ กดิ จากเชือ้ แบคทีเรยี พบน้อยชนดิ แตก่ เ็ ป็นปัญหาในด้านการป้องกันกาํ จดั เนอ่ื งจาก ยาทใี่ ชใ้ นการกําจดั ให้ไดผ้ ลดมี กั เป็นสารจาํ พวกยาปฏชิ ีวนะส่วนใหญ่ และมีราคาคอ่ นขา้ งสูง เช่น โรคแคงเกอรข์ องมะนาว เปน็ ต้น 3. โรคท่ีเกิดจากเช้อื ไวรัส และ มายโคพลาสม่า (mycoplasma) จัดเปน็ โรคท่ีนบั วนั จะ ทวีความสําคัญมากขึ้นตามลาํ ดับ การกําจัดด้วยวธิ ีการรกั ษา เกอื บจะเป็นไปไมไ่ ด้ จงึ ควรใช้วธิ ีการป้องกัน จะไดผ้ ลดีกว่า ซ่งึ เชอื้ บางชนิดอาจแพรร่ ะบาดได้ด้วยแมลงทเ่ี ป็นพาหนะ เช่น เพล้ยี ไก่แจ้ เปน็ ตวั การแพร่ เชอ้ื มายโคพสาลม่า โรคกรีนน่งิ หรือ โรคใบแก้วของสม้ เขยี วหวาน หรอื อาจตดิ ไปกบั กิ่งพันธุท์ ่ีเปน็ โรคอยู่ แล้ว เช่น โรคพ่มุ ไม้กวาดของลาํ ไย (โรคกระหรลี่ ําไย) บางชนิดอาจตดิ ไปกับเคร่ืองมอื เครอื่ งใชก้ ไ็ ด้ 4. โรคที่เกดิ จากไส้เดือนฝอย (nematode) ไส้เดือนฝอย เปน็ สตั วท์ ่มี ีขนาดเล็กคลา้ ย พยาธติ ัวกลม มกั ก่อใหเ้ กิดอาการผิดปกติต่อส่วนรากของตน้ ไม้ เกือบทง้ั หมด อาจเปน็ แผล หรอื เปน็ ปม ทาํ ใหก้ ารเคล่อื นย้ายอาหารในต้นไมผ้ ลสะดดุ ชะงัก ถงึ แมว้ ่า รายงานการระบาดของโรคพชื ท่ีเกดิ ไส้เดือน ฝอยในไม้ผลของประเทศไทยจะยังอยใู่ นระดบั ไมร่ ุนแรงมากนัก แตก่ ไ็ ม่ควรไวว้ างใจ เพราะถา้ หากเกดิ การ ระบาดขนึ้ มาแลว้ จะเกดิ ปัญหาในด้านการกําจดั มากทีเดยี ว 5. โรคท่เี กดิ จากพชื ชัน้ สงู พืชชนั้ สูงหลายชนดิ ไม่มีระบบรากของตนเอง จาํ ตอ้ งอาศัย อาหารจากตน้ ไม้อืน่ ๆ มาเปน็ วัตถดุ บิ ในการสร้างอาหาร โดยทพี่ ชื พวกน้ี สร้างอวัยวะคล้ายรากฝงั ลงใน เน้ือเยือ่ ของต้นไม้แทน ทําใหต้ น้ ไม้ที่มพี ชื เหลา่ น้ีขนึ้ อย่ใู นสภาพทท่ี รดุ โทรม จําตอ้ งกําจดั ออกในหมดสิ้น พชื เหลา่ นี้ ไดแ้ ก่ กาฝาก ฝอยทอง เป็นต้น 6. โรคทีเ่ กดิ จากอาการผิดปกตทิ างสรรี ะ (physiological disorder) อาการของโรค ดงั กล่าว ไมม่ สี ิง่ แปลกปลอมของสง่ิ มชี ีวิตเข้าไปกอ่ ให้เกดิ โรค แต่เกดิ ขน้ึ เน่อื งจากความผดิ ปกตบิ างอย่าง เชน่ ความไม่สมดลุ ของธาตอุ าหาร อาการขาดธาตุอาหาร อาการที่พชื ได้รบั สารที่เป็นพิษ เป็นต้น

116 การป้องกนั กาํ จัดศัตรูไมผ้ ล เช้ือโรคทเี่ ขา้ ทําลายพืชจะเข้าทาํ ลายไดห้ ลายวิธี เชน่ 1. ทําลายเซลล์พืช โดยสารพษิ ท่ีปลดปลอ่ ยออกมาจากเชอื้ โรค 2. เป็นตวั ไปปิดกั้นทําใหเ้ กดิ การอุดตันเสน้ ทางลาํ เลียงน้ํา และอาหารในตน้ พชื 3. เชอื้ โรคบางชนิดดดู ซบั องคป์ ระกอบภายในเซลลไ์ ปใชป้ ระโยชน์ 4. เชื้อโรคบางชนิดเจริญเติบโตบริเวณภายนอกแผ่ปกคลุมไปปิดก้ันการแลกเปล่ียน คาร์บอนไดออกไซด์ และ ออกซเิ จน ระหวา่ งภายในและภายนอกใบ และปดิ กน้ั การรบั แสงของใบ 5. ควบคุมกิจกรรมทางพนั ธุกรรมของพืช ตารางท่ี 3 แสดงตวั อยา่ งโรคพืชท่เี กดิ จากเชอ้ื ชนดิ ต่าง ๆ (รว,ี 2528) เชื้อโรค Common name เกิดจากเชอื้ สาเหตจุ ากเชอื้ รา Panama disease Fusarium oxysporum โรคตายพราย Sigatoka Cercospora musae, โรคใบจดุ ของกลว้ ย Cubense zimm Leaf spot Alternaria sp. โรคราขององุ่น (ใบจุด) Powdery mildew Oidium sp. โรคราแปง้ ขององุ่น Pink disease Corticium samonicolor bark Sbr. โรคราของสม้ เขียวหวาน Stem rot Sclerotium roffsii Sacc. โคนเน่าของสม้ Scab Elsinoe fawcettii สเคป็ ของส้ม Anthracnose Colletrotrichum gloeosporioides มะมว่ ง Leaf blight Rhizoctinia sp. ทเุ รยี น Thread blight Corticium sp. เงาะ Sooty mold (ราดาํ ) Moliola ortocarpi . Yates. ขนุน สาเหตุเกดิ จากเชือ้ แบคทเี รยี Canker Xanthomonas citri สาเหตเุ กดิ จากสาหรา่ ย - Cephaleuros viresc Kune. สาเหตเุ กดิ จากไสเ้ ดอื นฝอย Root knot nematode Meloidogyne sp.

การป้องกนั กําจัดศัตรูไมผ้ ล 117 สาํ หรบั การป้องกนั และกําจดั โรคพชื (plant diseases control) เพอื่ ลดความรุนแรง ของโรค และทํากบั พชื เปน็ จํานวนมาก เพอื่ ให้ไดผ้ ลดี ควรใชห้ ลาย ๆ วธิ ีรวมกัน เชน่ การปรบั ปรงุ สิ่งแวดล้อม การใช้พันธุ์ตา้ นทาน และการใช้สารเคมี กอ่ นจะมกี ารปอ้ งกันกาํ จัดจะตอ้ งมีการวินิจฉัย และพยากรณค์ วามรา้ ยแรงทเ่ี กดิ จากโรค การวางแผนการปอ้ งกันกําจัดทีด่ จี ะต้องอาศยั หลกั ฐานและ ความร้เู กี่ยวกบั ลกั ษณะของเชอ้ื โรค และ ความเจริญของพชื ที่ปลูก สภาพแวดลอ้ มท่ีปลกู พืช ตลอดจน ความรใู้ นการป้องกนั กาํ จัดซ่ึงสามารถใช้ไดใ้ นสภาพสง่ิ แวดลอ้ มนนั้ ๆ วธิ ีปอ้ งกันโรคอีกวิธีหน่ึง คือ การใช้พนั ธุ์ท่ีมีความต้านทานเป็นตน้ ตอ (stock) แลว้ ติดตา หรือทาบก่ิง หรือเสยี บยอด การกําจดั โรคพชื โดยใชส้ ารเคมี 1. สารเคมพี วก Halogented hydrocarbons ยาพวกนเี้ มื่อฉดี ลงดินจะเปลีย่ นสภาพ เป็นแก๊สพิษแผก่ ระจายไประหวา่ งเม็ดดิน ได้แก่ ยา D.D mixture, Ethylene dibromide, Chloropicrin , Methyl bromide and Nemagon 2. สารพวก Carbamate nematocides เป็นพวกสารอินทรยี ์ ไดแ้ ก่ Temik, Lannate , Carbofuran 3. พวกสารฆา่ ไสเ้ ดอื นฝอยทีเ่ ป็นสารอินทรยี ์ฟอสฟอรัส (Organic phosphorus nematocides) แตม่ โี ทษอยา่ งแรงตอ่ มนษุ ย์ ไดแ้ ก่ Mocap , Distston, Diazenon, Zinophos, Thimet 4. พวก Sodium silinate มฤี ทธดิ์ ดู ซมึ ใชส้ ารละลายนํา้ ราดโคนต้นไม้ หา้ มใชก้ ับพชื กนิ ใบ ใชก้ ับพวก ไมด้ อกไม้ประดับ นอกจากน้มี ยี า Mylone ใช้คลมุ ดนิ หรือละลายน้ําราด (อนุชา, 2534) ภาพที่ 72 โรคผลลายผลแตกของลาํ ไย ภาพที่ 73 โรคราดําของลําไย

118 การปอ้ งกันกาํ จัดศตั รูไม้ผล การป้องกันกําจัดแมลงศตั รไู มผ้ ล แมลงศตั รพู ืช เปน็ แมลงกลุ่มเล็ก ๆ ซ่ึงคาดว่าจะไม่เกนิ 10,000 ชนดิ หรอื ไม่เกนิ 2 % ของแมลงทัว่ โลก (Vanlenteren,1993 อา้ งโดย ธวัชชัย, 2538) วธิ กี ารทําลายพชื ของแมลงสามารถแบง่ ออกไดด้ ังน้ี 1. ประเภทปากกัด (chewing type) 2. ประเภทปากดูด (piercing and sucking type) 3. ประเภทวางไข่ แลว้ ฟกั เป็นตัวหนอน ลักษณะการทาํ ลายพืชของแมลง 1. กดั กินส่วนต่าง ๆ ของพชื เชน่ กัดกนิ ลาํ ต้น เปลือก และผล ไดแ้ ก่ พวกหนอน ดว้ ง ต๊กั แตน 2. ดูดกนิ นํา้ เลยี้ งจาก ใบ ตา ตน้ และผล ได้แก่ พวกมวน เพลีย้ ต่าง ๆ แมลงบางชนิด 3. เจาะเปลือก ต้น กง่ิ ผล เมลด็ หรอื ใตผ้ ิวใบ ไดแ้ ก่ หนอน ด้วงแรด ดว้ งงวง 4. ทําใหเ้ กิดปมุ่ ปมตามจดุ ต่าง ๆ ทแ่ี มลงอาศัยอยู่ 5. กัดกินราก หรอื ส่วนทีอ่ ยู่ใต้ เช่น ปลวก มดนํา้ นอง 6. วางไข่ หรอื ทํารงั ในที่ต่าง ๆ เชน่ มดแดง 7. แพร่เชอ้ื โรค สว่ นใหญ่เป็นผลจากการดูดกินน้าํ เลย้ี งของแมลงจาํ พวกปากดดู 8. แมลงจาํ พวกทท่ี าํ ลายผลิตผลทเ่ี ก็บในยงุ้ ฉาง เชน่ ตัวมอด วิธปี อ้ งกนั กําจัด วธิ ปี อ้ งกันกําจัดแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. การปอ้ งกนั กําจัดด้วยวิธปี ฏบิ ัติ (applied control) 1.1 วธิ กี ล (mechanical control) - เก็บหรือจับดว้ ยมอื หรือ ใช้เครื่องมืองา่ ย ๆ ชว่ ย เช่น สวงิ แผงสานทา นํา้ มนั เหนยี ว - ทําลายสว่ นทแ่ี มลงมาอาศยั - เกบ็ ไขข่ องแมลงทําลาย - ใชแ้ สงสว่างดกั จับแมลงกลางคืน

การป้องกันกําจดั ศัตรไู ม้ผล 119 - ขุดหลุมพรางรอบ ๆ พน้ื ท่ี ให้แมลงหรือหนอนในลักษณะที่ระบาดอยอู่ ย่าง รนุ แรงตกลงไป แลว้ ทําลายเสีย - ไขนา้ํ เข้า หรือออกในพนื้ ทน่ี ั้น ๆ - โดยการหอ่ หมุ้ หรือปกคลุมพชื ด้วยกระดาษหรือผ้า 1.2 วธิ ีเขตกรรม (cultural control or agricultural control) เปน็ วธิ ีท่ีเหมาะสม อย่างยงิ่ สาํ หรับชาวสวน เพราะเป็นวิธีป้องกนั และบํารงุ พันธ์ุพืชไปพรอ้ มกัน ได้แก่ การเตรยี มดิน การ ปราบวัชพืช การพรวนดิน การใสป่ ๋ยุ การรดนํา้ การกําจดั แมลงศตั รพู ชื โดยการปลูกพืชหมนุ เวยี น การ ทําลายวชั พืชท่ีเปน็ ที่อยูอ่ าศัยของแมลง การเลอื กพนั ธ์ุพชื ท่เี หมาะสม การบํารุงพชื และการตัดแต่งก่งิ ซ่ึง เหมาะอย่างยง่ิ สาํ หรบั ไม้ผล โดยเฉพาะต้นไม้ทีแ่ มลงทาํ ลายกิง่ กา้ นมาก ควรตัดแตง่ เสียเพอ่ื ให้แตกใหม่ หรอื อาจตัดแต่งทัง้ กง่ิ ท้งั ตน้ เพือ่ ใหโ้ ปรง่ 1.3 วิธกี าํ จดั ทางชีวภาพ (biological control) หมายถึง การใชแ้ มลงหรอื สัตว์ บางชนดิ หรือเชอ้ื โรคต่าง ๆ ชว่ ยในการกาํ จัดแมลงศัตรพู ชื แมลง ไดแ้ ก่ พวกแมลงหา้ํ และแมลงเบียฬ เช่น เตา่ ลาย หรือ เต่าจดุ เป็นตัวห้ําของเพล้ยี หอย การใช้เชอื้ ไวรสั ทําลายหนอนคบื กะหล่าํ ปลี เปน็ ตน้ 1.4 วธิ คี วบคมุ โดยกฎหมาย หมายถึง การใชก้ ฎหมายในการป้องกนั ระบาดของ ศตั รูพืช ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมการนําพชื เขา้ ประเทศ และกําหนดบรเิ วณที่มศี ัตรพู ืชระบาดเพอื่ ปอ้ งกนั การลุกลาม เรยี กวา่ “พระราชบัญญัตกิ ักกันพชื พ.ศ. 2506” 1.5 วิธีควบคุมโดยเคมีภณั ฑ์ (chemical control) หมายถึง การลดจาํ นวนหรอื ปอ้ งกนั แมลงศัตรูพืชทําลายพืชโดยใช้สารเคมที ่ีเปน็ พิษต่อแมลง แลว้ ยังรวมถงึ การลอ่ แมลงเขา้ มาหาเหยือ่ พษิ หรอื ไล่แมลงให้ออกไปให้พน้ บรเิ วณท่ีเราตอ้ งการ สารเคมที ใี่ ช้อยู่ในปัจจุบันนมี้ จี าํ นวนมาก แตล่ ะชนดิ มีคณุ สมบัตแิ ละประสิทธภิ าพในการกําจัดแมลงต่างๆ กัน เชน่ ดดี ที ี ดีลครนิ กาํ มะถนั หรอื ยาจาํ พวก ระเหยเป็นแก็ส เชน่ ไซยาโนแก็ส เมทธิลโบรไมด์ เป็นต้น ซึง่ สารเคมหี ลายชนิด กระทรวงเกษตรและ สหกรณไ์ ด้ประกาศให้เลกิ ใชแ้ ล้วตง้ั แต่ พ.ศ. 2539 เปน็ ต้นมา (ธวัชชยั , 2538) 2. การป้องกันกาํ จัดโดยวธิ ีธรรมชาติ (natural control) หมายถงึ ธรรมชาติไมเ่ ก้อื กูล ใหศ้ ัตรูพืชเกิดขึน้ หรือยับยง้ั การระบาด เช่น มีแมลงเบียฬ แมลงห้ํา หรอื โรคของแมลงควบคุมแมลงดว้ ย กนั เอง หรือลักษณะลมฟ้าอากาศภูมิประเทศไมอ่ าํ นวยต่อการเจรญิ เตบิ โต ขยายพันธ์ขุ องแมลง ในบทนคี้ ือการป้องกนั กําจัดศัตรพู ชื ไม้ผล ซงึ่ จะประกอบด้วยวชั พชื โรคพืช และแมลง ซ่ึงในวิธกี ารปอ้ งกนั กําจัดอยู่หลายวิธี ได้แก่ การทาํ ลาย เศษซากพชื การใชพ้ นั ธ์ุตา้ นทานการป้องกนั ดว้ ย ชวี วิธี และการใช้สารเคมี ในการกําจดั ซง่ึ ได้กล่าวมาแลว้ ในบทนาํ อยา่ งไรกแ็ ล้วแต่เกษตรส่วนใหญ่ จะ เลือกใช้วธิ ีการใชส้ ารเคมีเปน็ อนั อับแรก หรอื อันดบั ต้น ๆ จงึ ทาํ ให้เกดิ ปัญหาตา่ ง ๆ มากมาย ดงั น้นั ใน การใชส้ ารเคมกี ําจดั ศตั รพู ืช จึงมหี ลกั การใช้ดงั ตอ่ ไปน้ี (รว,ี 2528) 1. ใช้สารเคมีใหถ้ กู ชนดิ ตามวตั ถุประสงค์ เนอ่ื งจาก สารเคมีนน้ั มดี ้วยกันอยูห่ ลาย ประเภท การทเ่ี ราจะใชส้ ารเคมีจงึ ควรทจี่ ะตอ้ งให้ตรงกับวัตถปุ ระสงคท์ เี่ ราตอ้ งกาํ จดั ซึ่งลักษณะดังกลา่ วนี้

120 การปอ้ งกันกําจัดศัตรูไม้ผล ไดเ้ คยพบเหน็ อยู่เสมอ เชน่ การใช้ยากาํ จดั แมลงไปฉดี พน่ เพ่ือกาํ จดั โรคทเ่ี กิดข้ึน ซึ่งเป็นการไมถ่ กู ต้องและ สิน้ เปลอื งโดยเปล่าประโยชน์ เหตทุ เี่ ป็นเชน่ นี้ อาจเปน็ เพราะผู้ใชไ้ ม่ทราบหรอื ไมเ่ ขา้ ใจประเภทของ สารเคมีท่ีควรใช้ ว่าสารชนิดใดชนิดหนงึ่ ย่อมมขี อบเขตของการใชไ้ ด้เฉพาะ ไม่สามารถใช้ไดใ้ นรูปแบบท่ี เรยี กวา่ ครอบจกั รวาลได้ 2. ใชใ้ ห้ถูกต้องกบั ระยะเวลาท่เี หมาะสม ในลกั ษณะเช่นนี้ ผใู้ ช้ควรทราบวา่ ช่วงระยะใด เปน็ ชว่ งทเี่ หมาะสมที่สดุ หรอื ระยะเวลาใดเม่อื ใชย้ าแล้วใหป้ ระสิทธผิ ลสงู สดุ เช่น การระบาดของผเี สอื้ หนอนชอนใบสม้ นัน้ มักเกดิ ในชว่ งระยะที่ตน้ สม้ เรม่ิ ผลใิ บออ่ น ดังนัน้ ช่วงระยะนี้ จึงเปน็ ช่วงท่เี หมาะสม ท่สี ดุ ในการท่จี ะกาํ จดั แมลงศตั รชู นิดนี้ หากพน้ ช่วงระยะเวลาดงั กลา่ วไปแล้ว ก็จะได้ผลน้อย หรอื ชา้ เกินไป เพราะตัวหนอนไดเ้ จาะไชเข้าไปในสว่ นของใบแลว้ หรือ การใช้ยาพวกปฏิชีวนะต้องใชใ้ นช่วงระยะ ตอนเย็น หากใช้ในช่วงตอนเชา้ แลว้ ตวั ยาจะเสอ่ื มสลายไปอยา่ งรวดเร็ว เนอื่ งจากความรอ้ นจากแสงแดด เปน็ ต้น 3. ให้คํานงึ ถึงความปลอดภัยของผใู้ ช้ ดังทไ่ี ด้กล่าวไวแ้ ล้ววา่ สารเคมีทุกชนดิ ยอ่ มเป็น พิษตอ่ ผใู้ ชไ้ ด้เสมอ จึงไมค่ วรประมาทในสง่ิ เหล่านี้ เนือ่ งจาก บางชนิดมีอนั ตรายสงู มาก แม้ได้รับเขา้ สู่ รา่ งกายในปรมิ าณเพยี งเลก็ นอ้ ยกอ็ าจถึงแก่ชีวติ ได้ ดังน้นั ผูใ้ ช้ตอ้ งใครค่ รวญใหม้ าก คอื ใหห้ ลีกเล่ยี งจาก การสมั ผสั ของร่างกายกับยาโดยตรง ควรใสถ่ งุ มอื ยาง สวมหน้ากาก และ ปกปดิ ร่างกายใหม้ ดิ ชดิ ในขณะท่ี ทําการฉดี พน่ ควรหลีกเล่ยี งละอองยา โดยให้ยืนอยู่ในทศิ ทางเหนือของลมและสวมหน้ากาก เพอ่ื ปอ้ งกนั การสูดเอาละอองยาขณะหายใจได้ ภายหลงั การฉดี พน่ ยาทกุ ครั้ง ให้รีบอาบน้าํ ทาํ ความสะอาดร่างกาย ในทันที 4. ให้คาํ นงึ ถงึ พิษตกคา้ งของสารเคมี ในการฉดี พน่ สารเคมี ควรจะตอ้ งศึกษาถึงอายุ หรอื พษิ ตกค้างของสารเคมนี น้ั ๆ วา่ มอี ายอุ ยไู่ ด้นานเทา่ ไร สารเคมบี างชนดิ สลายตัวไดร้ วดเร็วภายใน 2 – 3 วนั บางชนิดอาจอยู่ได้ 7 วัน หรือ 15 วนั หรอื 1 เดอื นกไ็ ด้ ซ่งึ ผู้ใชค้ วรจะตอ้ งคาํ นึงถึง โดยเฉพาะ ในช่วงระยะเวลากอ่ นเกบ็ เกย่ี ว เพื่อไมใ่ ห้สารเคมี น้ัน มพี ษิ ตกคา้ งถึงผบู้ ริโภค 5. ใหค้ าํ นึงถึงความเป็นพิษของสารเคมี สารเคมีพวกทใ่ี ช้ในการกาํ จดั แมลงโดยทว่ั ไป แล้ว เปน็ พวกท่มี ีอนั ตรายสงู มาก ส่วนพวกกาํ จดั เชื้อรามพี ษิ ต่ําทส่ี ดุ แต่กม็ ไิ ด้หมายความวา่ ไม่ไดเ้ ปน็ อันตรายเลย แมแ้ ต่ในบรรดาท่ใี ชก้ าํ จดั แมลงก็มีความเป็นพิษระดับต่าง ๆ กนั (ธวัชชยั , 2538) ปญั หาทางดา้ นการปอ้ งกนั กําจัดศัตรพู ืช สําหรบั ในปจั จบุ นั โดยเฉพาะในเรือ่ งการใช้ สารเคมี น้นั นับวันจะกอ่ ให้เกดิ ปญั หาลกู โซ่ติดตามมาตลอด ทัง้ น้ี เพราะ การใช้ในลักษณะท่ไี ม่คอ่ ย ถกู ต้อง เช่น ชว่ งระยะเวลาท่ีต้นไม้ผลมีดอก นั้น เปน็ ระยะท่หี ้ามใชส้ ารเคมใี ด ๆ ทาํ การฉดี พ่นโดยเดด็ ขาด หากจะใช้ต้องกอ่ นช่วงระยะนี้ หรอื เมอ่ื ดอกบานตดิ ผลไปเรยี บร้อยแลว้ แตก่ ็ยงั พบอยเู่ สมอวา่ ชาวสวนได้ ทําการฉดี พ่นยาฆา่ แมลงในระยะน้ี ซงึ่ จะเป็นอันตรายอยา่ งยิง่ ต่อแมลงท่จี ะมาชว่ ยผสมเกสร เมอ่ื ไม่มี แมลงมาชว่ ยผสมเกสรแล้วทาํ ให้การติดผลตํ่า แม้วา่ จะสามารถกําจัดแมลงทีม่ าทาํ ลายดอก หรือ ชอ่ ดอก ไดก้ ต็ าม แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาแมลงมาชว่ ยผสมเกสรได้ นอกจากนี้ สภาพแวดลอ้ มทถี่ ูกทาํ ลายไปทําให้ ความสมดุลแหง่ ธรรมชาตสิ ญู เสยี ไป เชน่ การโคน่ ทาํ ลายปา่ แมลงทอี่ าศยั ตน้ ไม้ในปา่ เปน็ อาหารน้ัน เม่ือ ปา่ ถูกทําลาย

การป้องกนั กําจดั ศตั รไู มผ้ ล 121 กต็ ้องมาหาอาหารจากพชื ปลกู เป็นการ ทดแทน สตั ว์ทีเ่ ปน็ ประโยชน์อกี จํานวนมากท่ถี ูกมนษุ ยท์ ําลายโดย รเู้ ท่าไม่ถงึ การณ์ ซง่ึ สตั ว์เหลา่ น้ี ช่วยกินแมลงอื่นเป็นอาหาร ทําใหค้ วามสมดุลของธรรมชาติคงอยู่ แตเ่ มอ่ื ไมม่ ีสตั ว์เหลา่ น้ี แมลงจึงเหลอื อยใู่ นปริมาณที่มากขนึ้ สตั ว์เหล่าน้ี ไดแ้ ก่ นกทกี่ นิ แมลงหลายชนิด ต๊ักแตน ตาํ ขา้ ว ก้ิงก่า แย้ งู ทไ่ี มม่ ีพิษหลายชนิดดว้ ยกัน ดังนั้น ในการป้องกันกําจดั ศัตรูพชื ปจั จุบันจาํ เป็นต้องใช้วิธีการผสมผสาน หรือบูรณาการ หรอื ท่ีเรียกวา่ Integrated Pest Management (IPM) หมายถึง มกี ารผสมผสานระหวา่ งป้องกันกาํ จัด วัชพืชในสวนไม้ผล การปอ้ งกนั โรค และแมลง ทมี่ ีความสมั พันธ์กนั นน้ั หมายถึง มีการวางโปรแกรม ใน การป้องกนั ศตั รูพชื ทง้ั 3 อย่าง วา่ แตล่ ะอย่างแตล่ ะชนิดจะระบาดช่วงใดของปี อาจจะนํามาเขียนลงใน ปฏิทินในรอบปี เมื่อนําลงไปเขียน ทั้ง 3 อยา่ ง แลว้ กว็ างแผนในการป้องกนั อย่างเปน็ ระบบ เพ่ือเพิ่ม ประสทิ ธิภาพการป้องกนั กาํ จัดให้สงู ขน้ึ ตลอดจนลดการใชส้ ารเคมี หาวิธีใชส้ ารสกัดจากธรรมชาตมิ า ทดแทนสารเคมี ใชว้ ิธีทางชีววิธีเพ่ิมมากข้ึน ตลอดจนมกี ารดูแลรกั ษา แมลงศตั รูธรรมชาติ และสภาพ นเิ วศวิทยาสง่ิ แวดล้อมใหด้ ที สี่ ดุ ซงึ่ จะนําไปส่กู ารทาํ สวนไม้ผลทย่ี ่งั ยืนต่อไป (อนุชา, 2534) ภาพท่ี 74 เพล้ียหอยสีนา้ํ ตาล ภาพท่ี 75 เพล้ยี กระโดดแฟลติดสีเขียว ภาพที่ 76 เพล้ียกระโดดแฟลติดสขี าว ภาพที่ 77 เพล้ยี แป้งและราดํา

122 มาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ : GAP ไมผ้ ล ภาพท่ี 78 เพลีย้ หอย ภาพที่ 79 เพลย้ี หอยหลงั เตา่ 4.6 ระบบจัดการคุณภาพ : GAP ของไมผ้ ล รัฐบาลได้ประกาศในปี 2547 เปน็ ปแี ห่งความปลอดภยั ทางอาหาร หรือ Food Safety และผลกั ดนั ใหป้ ระเทศไทยเป็นครวั ของโลกที่ผลติ อาหารมคี ุณภาพตรงตามมาตรฐานสากล เพือ่ ใหเ้ ปน็ ไป ตามนโยบายของรฐั บาลในสว่ นของกรมวชิ าการเกษตรเป็นหนว่ ยงานที่รบั ผิดชอบด้านพืช ไดด้ ําเนินงาน ภายใต้ยทุ ธศาสตรค์ วามปลอดภยั ทางดา้ นอาหารพืช เปน็ 4 ดา้ น คอื ด้านปจั จยั การผลติ และวตั ถุดิบ ด้าน การผลติ ระดับแปลงเกษตรกร (farm) ด้านโรงงาน และ ด้านผลผลติ ตามทีก่ ระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กาํ หนดการรบั รองแปลงผลิตของเกษตรกร เป็นการสร้างมาตรฐานและคณุ ภาพผลผลิตของเกษตรกร โดยการตรวจสอบอยา่ งน้อย 8 ปัจจยั คือ แหลง่ นํ้า พนื้ ท่ีปลกู การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร การ รกั ษาคณุ ภาพขนย้ายผลผลติ และการบันทกึ ผล เมื่อเกษตรกรปฏิบัตคิ รบทัง้ 8 ปจั จัย ข้างต้นแล้วจะไดร้ ับ หนังสือรับรองแหล่งผลติ พชื ตามระบบการจัดการคณุ ภาพพืช “เกษตรดีท่เี หมาะสม (GAP)” ภายใต้ สญั ลกั ษณ์ “Q” ต่อไป (ไชยวฒั น์, 2548) ระบบการจัดการคุณภาพ (GAP) ของผลไม้ไม่ใช่สตู รในการแกป้ ญั หาในการปฏิบัตใิ ห้ได้ คุณภาพ และไม่ไดเ้ ป็นตวั กําหนดให้ได้รับความสาํ เร็จเสมอไป โดยมผี ้เู ขา้ ใจผิดว่าจะทําใหข้ ายได้กาํ ไรสูง การปฏบิ ตั ทิ างการเกษตรทเี่ หมาะสมจงึ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ตวั กําหนดราคาแตเ่ ป็นตวั กาํ หนดใหไ้ ดผ้ ลิตผลท่มี ีคุณภาพ ปราศจากโรคและแมลง ดังน้นั การปฏบิ ัติจึงขน้ึ อยกู่ บั ชาวสวนผลไม้ ผแู้ นะนํา ผตู้ รวจสอบ ทป่ี รกึ ษา และตวั เกษตรกร ซึง่ การปฏบิ ตั ิน้นั ตอ้ งปฏิบัตใิ ห้ได้ 100 % จึงจะประสบผลสําเร็จในการทาํ การเกษตรที่ดี ทเี่ หมาะสม เพือ่ ใหไ้ ดผ้ ลไมท้ ี่มคี ุณภาพตรงตามมาตรฐาน ปลอดภัยต่อผ้บู ริโภค ไม่กอ่ ให้เกดิ มลพษิ ตอ่ ส่ิงแวดล้อม สามารถตรวจสอบแหล่งผลิตและเกษตรกรสามารถนาํ ไปปฏบิ ัติได้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการจด ทะเบยี นรบั รองแปลงผลติ ของเกษตรกร เพอ่ื สรา้ งมาตรฐานและสร้างคุณภพผลผลติ ของเกษตรกร ให้ สามารถแข่งขนั ในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศได้

มาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ : GAP ไมผ้ ล 123 มาตรฐานระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล (ไชยวฒั น,์ 2548) 1. ขอบเขต (Scope) 1.1 มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล เปน็ เครือ่ งมือสาํ หรบั ใชใ้ นการ ปรบั ปรุงมาตรฐานการผลิตพชื และสาํ หรบั การตรวจสอบรบั รองกระบวนการผลติ พชื ที่ระบุรายละเอียด ข้อกําหนดดา้ นการจดั การกระบวนการผลติ ที่จําเปน็ สําหรับปฏิบัติท่ดี ที างการผลิตพืชทกุ ชนดิ เพื่อใหไ้ ด้ ผลติ ผลที่ปลอดภยั ปลอดจากศตั รูพชื และมีคณุ ภาพเป็นทพ่ี ึงพอใจของผบู้ ริโภค 1.2 ขอ้ กาํ หนดที่ระบใุ นระบบการจดั การคุณภาพ : GAP ไมผ้ ล เป็นขอ้ กาํ หนดขน้ั ต่ําที่ สนบั สนุนใหเ้ กษตรกร ดําเนินการจัดการกระบวนการผลติ ที่ม่งุ ส่กู ารเพมิ่ ความเช่อื มัน่ ใหแ้ กค่ คู่ ้า ในเร่อื ง ความปลอดภัย การปลอดจากศตั รูพชื และคณุ ภาพตามทค่ี คู่ า้ ตอ้ งการ รวมท้งั ชว่ ยแกไ้ ขปญั หาและ ข้อบกพร่องที่ต้นตอของปญั หาการผลิตและสนบั สนุนการดาํ เนินการตามระบบการสอบกลบั (Traceability System) 1.3 มาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ : GAP ไม้ผล ใหค้ วามสําคญั และสนับสนนุ การ ดาํ เนนิ การป้องกนั กาํ จดั ศัตรูพืชแบบบูรณาการ (Integrated Pest management; IPM) และการจัดการ ผลิตพืชแบบบรู ณาการ (Integrated Crop Management; ICM) 1.4 การใช้หลักการวเิ คราะหอ์ ันตรายและการควบคุมจุดวิกฤต (HACCP : Hazard Analysis and Critical Control Point) 1.5 นาํ ระบบการประกนั คุณภาพ (Quality Assurance) มาใชใ้ นการวางแผนคุณภาพ (quality plan) การจดั การกระบวนการผลติ และการจัดระบบเอกสาร เพ่ือใหเ้ กดิ ในการธาํ รงรักษา ระบบ และมกี ารปรับปรงุ อย่างต่อเนื่อง 1.6 ดาํ เนินการตามกฎระเบียบของประเทศไทยและประเทศคคู่ า้ ในการป้องกัน และ แกไ้ ขปัญหาด้านความปลอดภัย ตลอดห่วงโซ่อาหาร และการปลอดจากศตั รูพืชสาํ คญั 1.7 เกษตรกรที่เข้าสูร่ ะบบ จะตอ้ งแสดงให้เหน็ ถึง ความสามารถในการผลติ ไดต้ าม ขอ้ กําหนด ข้นั ตา่ํ ของระบบ และความสามารถเพอื่ คงระดบั สนิ คา้ ทผ่ี ลติ ทัง้ ในด้านคณุ ภาพ ความ ปลอดภยั และ/หรือ ปลอดจากศตั รูพืช ตามขอ้ กาํ หนดและตามความตอ้ งการของคู่ค้า 2. นยิ าม 2.1 การปฏิบตั ิทดี่ ที างการผลิตพชื (Good Agricultural Practice; GAP) หมายถึง แนวทางการปฏิบตั ิในไรน่ า เพ่ือผลิตสนิ คา้ ปลอดภัย ปลอดศตั รูพชื และคุณภาพถกู ใจผ้บู รโิ ภค เนน้ วธิ กี าร ควบคุมและปอ้ งกนั การเกิดปญั หาในกระบวนการผลติ

124 มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 2.2 การวิเคราะหอ์ นั ตราย และ การควบคุมจุดวกิ ฤตในกระบวนการผลิต (Hazard Analysis and Critical Control Point; HACCP) หมายถงึ ระบบควบคมุ คณุ ภาพท่เี น้นการวเิ คราะห์ อันตราย และควบคมุ จุดวกิ ฤตในกระบวนการผลิตโดยตระหนกั ถงึ อันตรายจากจุลนิ ทรีย์เคมี และสงิ่ แปลกปลอมตา่ ง ๆ ทสี่ ามารถเกดิ ขน้ึ ในขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ของการผลิต และส่งผลให้เกดิ หรือความเสยี่ งต่อ คณุ ภาพ การเน่าเสยี และการปนเป้อื นส่งิ อันตราย และความสามารถในการกาํ จัดใหห้ มดไปหรอื ควบคุมให้ อยูใ่ นระดับที่ยอมรับได้ 2.3 การประกนั คุณภาพ (Quality Assurance; QA) หมายถึง วธิ ีการบรหิ ารจัดการเพ่ือ เปน็ หลกั ประกัน หรอื สร้างความมน่ั ใจว่ากระบวนการหรือการดําเนินการ จะทําให้ได้ผลลัพธ์ท่มี ีคณุ ภาพ ตรงตามที่กําหนด หรอื หมายถงึ กิจกรรมหรอื การปฏิบัติใด ๆ ท่ถี า้ ได้ดาํ เนินการตามระบบและแผนท่วี าง ไว้ จะทําให้เกดิ ความมั่นใจ หรอื รบั ประกันวา่ จะไดผ้ ลงานที่มคี ุณภาพตรงตามคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ ภายใตส้ ภาพแวดล้อม และปจั จัยในกระบวนการผลติ ทีม่ กี ารควบคุมอย่างถกู ต้องและเปน็ ระบบ 3. ข้อกําหนดระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP พชื เพ่ือใหส้ ามารถรักษาระดับความเชอ่ื ม่นั ของคคู่ า้ และ ผู้บรโิ ภค และแสดงถงึ ความสามารถในการธํารงรักษาระบบการจัดการคุณภาพ : GAP พืช และมีการปรบั ปรุงอย่างต่อเนื่องใน ด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และ หรอื ปลอดจากศตั รูพืช เกษตรกรผ้เู ขา้ สู่ระบบต้องดําเนนิ การจัดทําแผน คุณภาพ ประกอบดว้ ย การกําหนดนโยบายคุณภาพ วัตถปุ ระสงค์คณุ ภาพ ขอบเขตการปฏิบตั ิงาน และ จดั ทําแผนควบคุมการผลิต ทรี่ ะบถุ ึงขนั้ ตอนการปฏิบตั ิงาน อันตรายที่อาจเกิดข้ึน มาตรการควบคมุ จุดท่ี ต้องควบคุมและตรวจสอบ คา่ ควบคุม การเฝา้ ระวงั และวิธกี ารควบคุม ปอ้ งกนั และแกไ้ ข รวมทัง้ ปฏิบตั ิ ตามข้อกําหนด 8 ประการ ไดแ้ ก่ แหล่งน้าํ พืน้ ทีป่ ลกู การใชว้ ตั ถุอนั ตรายทางการเกษตร การเก็บรกั ษา และการขนยา้ ยผลผลิตภายในแปลง การบนั ทกึ ข้อมูล การผลติ ใหป้ ลอดภยั จากศัตรูพชื การจดั การ กระบวนการผลติ เพอื่ ให้ได้ผลผลิตคณุ ภาพ การเก็บเกยี่ วและการปฏิบัติหลังการเก็บเกีย่ ว ซ่ึงจะต้อง ดาํ เนนิ การให้เปน็ ไปตามขอ้ กาํ หนด กฎเกณฑ์ และ วธิ กี ารตรวจประเมนิ ซึง่ สามารถปรับใช้ในการตรวจ รบั รองกระบวนการผลติ พชื ทกุ ชนดิ และสามารถจําแนกการใหก้ ารรบั รองออกเปน็ 3 ระดับ ไดแ้ ก่ การ จดั การกระบวนการผลิตทีไ่ ดผ้ ลติ ผลปลอดภัย การจัดกระบวนการผลิตท่ไี ด้ผลิตผลปลอดภยั และ ปลอด จากศตั รูพชื และการจัดการกระบวนการผลิตทไ่ี ดผ้ ลติ ผลปลอดภยั ปลอดจากศัตรูพืช และ คุณภาพเป็นที่ พอใจของผูบ้ ริโภค โดยการตรวจรบั รองระบบการจัดการคุณภาพ : GAP พืช ต้องอยู่ภายใตเ้ งอื่ นไข และ ข้อกําหนดของกรมวชิ าการเกษตรกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์

มาตรฐานระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 125 หลักเกณฑ์และเง่อื นไขการขอรบั รองฟาร์มตามระบบการจดั การคุณภาพ : GAP พชื (ไชยวัฒน์, 2548) 1. คุณสมบัตขิ องเกษตรกร 1.1 ต้องเปน็ เจ้าของ หรือผู้ถือสทิ ธใิ นการดาํ เนนิ การผลติ หรือเปน็ ผู้ได้รบั มอบหมายจาก เจ้าของ หรือ ผถู้ อื ครองสทิ ธใิ นการดําเนินการผลิต ใหด้ ําเนินการผลติ พืชท่รี ะบใุ นแบบคาํ ร้องขอใบรับรอง ฟารม์ ตามระบบการจดั การคุณภาพ : GAP พืช 1.2 มีสญั ชาตไิ ทย เป็นผู้ทมี่ ชี ่อื อยู่ในทะเบยี นราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวง มหาดไทย 1.3 เป็นผูท้ มี่ คี วามรู้ ความสามารถ และเข้าใจกระบวนการผลติ พืชทร่ี ะบุในแบบคําร้อง ของใบรบั รองฟาร์มตามระบบการจดั การคุณภาพ : GAP พืช 1.4 มคี วามสมคั รใจทจ่ี ะเข้ารว่ มโครงการเหน็ ดว้ ย โดยไมม่ ขี ้อขัดแยง้ กับนโยบาย คุณภาพ และวัตถปุ ระสงคค์ ุณภาพทีร่ ะบใุ นเอกสารระบบการจัดการคุณภาพ : GAP พชื ท่ขี อการรับรอง และปฏิบตั ติ ามคาํ แนะนาํ 1.5 ตอ้ งผ่านการอบรมหลกั สูตรระบบการจดั การคุณภาพ : GAP พืช ที่กรมวชิ าการ เกษตรกาํ หนด 2. คุณสมบตั ขิ องฟาร์มทีข่ อการรบั รอง ฟารม์ ท่จี ะขอการรับรอง ต้องมีคณุ สมบตั ิ ดังนี้ 2.1 ตอ้ งเป็นพ้ืนท่ีเหมาะสม ไม่มีวตั ถุอันตรายทจ่ี ะทําใหเ้ กิดการตกคา้ ง หรือปนเปื้อนใน ผลิตผล มนี ํา้ ใช้เพยี งพอ และนาํ้ ใช้ภายในฟารม์ ต้องได้จากแหลง่ ท่ีไมม่ ีสภาพแวดล้อม ซงึ่ ก่อใหเ้ กิดการ ปนเปอื้ น 2.2 เปน็ สวนเด่ยี ว หรอื ฟาร์มเด่ียว หมายถึง สวนหรอื ฟาร์มทม่ี ีการปลูกพืชชนดิ เดียว หรือ 2.3 เปน็ สวนแซม หรอื ฟาร์มแซม หมายถงึ สวนหรือฟารม์ ทม่ี ีการปลูกพืชตัง้ แต่ 2 ชนิด ขึ้นไป โดยมจี าํ นวนตน้ ชนิดใดชนดิ หนึง่ มากกว่ารอ้ ยละ 50 ของจาํ นวนตน้ ทั้งหมด และหากต้องการขอรับ รอง เกษตรกรตอ้ งมมี าตรการ หรอื ข้อปฏิบตั ิที่ยืนยันวา่ การจัดการใด ๆ กบั พชื อีกชนดิ หนงึ่ จะไม่มี ผลกระทบหรอื กอ่ ให้เกิดความเสยี หายตอ่ วิธีปฏบิ ัตติ ามระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP พืช ชนิดที่ขอ รบั รอง หรือ

126 มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 2.4 เป็นสวนผสม หรอื ฟารม์ ผสม หมายถึง สวนหรือฟารม์ ทม่ี ีการปลกู พชื หลายชนิดบน ที่ดนิ แปลงใดแปลงหนงึ่ รวมกนั โดยมจี าํ นวนตน้ ของพืชแต่ละชนิดตํา่ กว่ารอ้ ยละ 50 ของจํานวนตน้ ท้ังหมด ทป่ี ลกู ในแปลงและหากตอ้ งการขอรับรอง เกษตรกรตอ้ งมีมาตรการ หรือขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ่ยี ืนยันได้ว่า การ จัดการใด ๆ กับพชื ชนดิ ใดชนิดหน่งึ ในแปลงจะไมม่ ีผลกระทบ หรือ ก่อใหเ้ กิดความเสียหายต่อวธิ ีปฏิบตั ิ ตามระบบการจดั การคุณภาพ : GAP พชื ชนดิ ทขี่ อรบั รอง 2.5 เป็นพื้นทท่ี ี่มีเอกสารสิทธิถูกต้อง แปลงทจ่ี ะตรวจรับรองต้องมพี น้ื ที่ปลูกตดิ ต่อกนั ไม่ น้อยกว่า 3 ไร่ กรณีเปน็ ไมผ้ ล หรอื ไม้ยนื ต้น และไมน่ อ้ ยกวา่ 1 ไร่ กรณีเปน็ พืชฤดูเดยี ว หรอื หลายฤดู 2.6 เปน็ สวนทใ่ี หผ้ ลผลิตแลว้ 3. หนา้ ที่ความรบั ผิดชอบ 3.1 เกษตรกรต้องปฏบิ ัติตามและหม่ันปรบั ปรุงฟารม์ และ กระบวนการผลิตให้ ครบถว้ นตามระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP พืช 3.2 เกษตรกรต้องควบคมุ ดูแล และเอาใจใส่ตรวจสอบฟารม์ และกระบวนการผลิต ของตนเองให้อยใู่ นระบบการจดั การคุณภาพ : GAP พชื 3.3 กรณีการเปล่ียนแปลงเกดิ ข้นึ ภายในฟาร์ม เช่น การเปลยี่ นผู้ปฏบิ ัติงาน เปน็ ต้น เกษตรกรตอ้ งใหค้ วามสนใจงานในจุดนัน้ เปน็ กรณีพิเศษ หากไม่แนใ่ จว่าจะเป็นไปตามระบบให้นัดหมายท่ี ปรกึ ษา หรอื ผตู้ รวจรบั รองไปใหค้ าํ ปรกึ ษา หรอื ตรวจประเมินตอ่ ไป 4. ขน้ั ตอนการขอรับรองฟาร์มตามระบบการจัดการคุณภาพ : GAP พืช (ไชยวัฒน์, 2548) 4.1 สถานทย่ี ืน่ แบบคําร้องขอรับรองฟาร์ม 4.1.1 เกษตรกรที่มีภูมิลําเนาหรอื ฟาร์มในจงั หวดั เชยี งใหม่ เชียงราย นา่ น พะเยา แพร่ แม่ฮอ่ งสอน ลาํ พนู และ ลําปาง ขอรบั และยนื่ แบบคํารอ้ งขอรับรองฟารม์ ไดท้ ี่ สาํ นกั วิจัย และพฒั นาการเกษตร เขตที่ 1 ต.แม่เห๊ยี ะ อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม่ 50100 โทรศัพท์ 05026 1822-5 โทรสาร 0 5326 1826 ท่อี ยู่ ตู้ ปณ. 170 ปทฝ. มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ 50202 และหนว่ ยงานของกรมวิชาการ เกษตรในพืน้ ที่ ไดแ้ ก่ ศูนย์วจิ ัยขา้ ว ศนู ย์วจิ ัยพืชไร่ ศนู ยว์ จิ ยั พืชสวน ศนู ย์วจิ ยั หมอ่ นไหม และศูนยบ์ รกิ าร วิชาการดา้ นพืชและปจั จัยการผลติ ของทกุ จังหวัด 4.2 หลักฐานในการยืน่ แบบคาํ รอ้ งของรับรองฟาร์ม ได้แก่ สาํ เนาบตั รประจําตัว ประชาชนผู้รอ้ งขอ หรอื ผแู้ ทน 1 ฉบับ และสําเนาทะเบยี นบา้ น 1 ฉบบั 4.3 เกษตรกรกรอกแบบคําร้องให้ครบถ้วน และย่นื แบบคาํ รอ้ งตอ่ เจา้ หนา้ ที่ พรอ้ ม หลักฐาน

มาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ : GAP ไม้ผล 127 4.4 เจ้าหน้าทจ่ี ะรับแบบคาํ รอ้ งพร้อมหลกั ฐาน รวบรวม และส่งบัญชีรายชอ่ื เกษตรกรท่ีมี คณุ สมบัติครบให้คณะทป่ี รกึ ษา และคณะผตู้ รวจรบั รองในพื้นทีท่ ราบ เพอื่ วางแผนและกําหนดนัดหมาย การใหค้ าํ ปรึกษา และตรวจประเมนิ ต่อไป 4.5 เกษตรกรรบั ทราบกําหนดการใหค้ ําปรกึ ษา (ถา้ ม)ี และกําหนดการตรวจรบั รอง และ รอรับการใหค้ าํ ปรึกษา และการตรวจรับรอง ตัวอย่างคาํ แนะนําหลักการปฏบิ ตั ิตามระบบการผลิตลําไย (ไชยวฒั น์, 2548) 1. การจดั การสขุ ลกั ษณะสวน 1.1 จดั ทาํ ประวตั สิ วน และการใช้ประโยชน์ทด่ี นิ ในสวน 1.1.1 มกี ารจดั ทําขอ้ มูลประจาํ แปลง โดยรวมชื่อเจ้าของสวน ผู้ดูแลแปลง ทตี่ ั้ง แปลง แผนทภี่ ายในแปลง ชนดิ พชื และพันธ์ุท่ปี ลกู ประวัตกิ ารใช้ทดี่ ินย้อนหลงั อยา่ งน้อย 3 ปี และ รายละเอยี ดอ่ืน ๆ ตามแบบบนั ทึกขอ้ มูลประจาํ แปลง 1.1.2 ในกรณที ี่สถานทผ่ี ลิตอยูใ่ กล้ หรอื อยู่ในแหล่งอุตสาหกรรม หรอื พื้นทีท่ ่ีมี ความเสย่ี ง ควรมีการวิเคราะห์ดนิ เพื่อตรวจสอบคุณภาพดิน และการปนเปื้อนจากสง่ิ ท่เี ปน็ อนั ตรายอยา่ ง น้อย 1 ครัง้ ในระยะเริม่ ระบบการจดั การคุณภาพ : GAP ลาํ ไย โดยดําเนนิ การตามคาํ แนะนาํ ในเอกสาร สนับสนนุ วธิ ีเก็บตวั อยา่ งดนิ เพ่ือการวเิ คราะหบ์ ันทึกรายละเอยี ดการเก็บตวั อย่างดนิ ลงในแบบบันทึก รวมท้งั เกบ็ ใบแจ้งผลการวิเคราะห์ดนิ ไวเ้ ป็นหลกั ฐาน 1.2 แหล่งนํา้ และคณุ ภาพน้าํ 1.2.1 นํ้าทใี่ ชก้ ระบวนการผลิต และ นา้ํ ทใี่ ชห้ ลงั ผลิตผลหลังการเกบ็ เกย่ี ว ควร เปน็ น้ําท่มี คี ุณภาพเหมาะสมกับการใช้ในการเกษตร ต้องไมใ่ ชน้ ้ําเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือ กจิ กรรมอื่น ๆ ท่กี ่อให้เกิดการปนเปอ้ื นสงิ่ ทีเ่ ป็นอนั ตราย กรณจี ําเปน็ ตอ้ งใช้ ต้องมีหลักฐาน หรอื ข้อ พสิ จู นท์ ี่ชดั เจนวา่ นํา้ นน้ั ไดผ้ ่านการบําบัดน้ําเสยี มาแล้ว และสามารถนํามาใชใ้ นกระบวนการผลติ ได้ 1.2.2 ควรมีการเก็บตวั อยา่ งนํา้ อยา่ งน้อย 1 ครัง้ ในระยะเร่ิมระบบการจัดการ คณุ ภาพ GAP ลาํ ไย ตามคาํ แนะนาํ ในเอกสารการสนบั สนุนวิธกี ารเก็บตัวอย่างน้าํ เพือ่ การวเิ คราะห์ ส่ง ห้องปฏบิ ตั กิ ารท่เี ชอ่ื ถอื ได้ เพ่ือวิเคราะหก์ ารปนเปอ้ื น เนือ่ งจาก สารเคมี แร่ธาตุ บันทกึ รายละเอยี ดการ เก็บตัวอย่างนํ้าลงในแบบบนั ทกึ รวมทัง้ เกบ็ ใบแจ้งผลการวเิ คราะห์นํ้าไวเ้ ป็นหลกั ฐาน 1.2.3 แหล่งนาํ้ สาํ หรบั การเกษตรไมค่ วรเป็นแหลง่ นา้ํ ท่ีเกดิ ขน้ึ เน่อื งจากการ ทําลายส่งิ แวดล้อม

128 มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไม้ผล 1.3 การเกบ็ รกั ษาสารเคมที างการเกษตร 1.3.1 จัดเกบ็ สารเคมชี นิดต่าง ๆ ท่ใี ช้ในกระบวนการผลิตในสถานท่มี ดิ ชิด ปลอดภยั ปอ้ งกนั แดดและฝนได้ และมอี ากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก 1.3.2 แยกสถานท่ีเก็บสารเคมไี มใ่ ห้อยใู่ กลท้ พี่ กั อาศยั และสถานท่ีประกอบ อาหาร ไมอ่ ยใู่ นบริเวณต้นนํา้ หรอื บริเวณทม่ี แี ม่น้าํ ไหลผ่าน เพื่อปอ้ งกนั สารเคมีปนเปอื้ นในแหล่งนํ้า 1.3.3 สารเคมแี ต่ละชนดิ ต้องจัดเกบ็ ในภาชนะปดิ มิดชิด สารเคมที ่เี ปิดใชแ้ ลว้ หา้ มถ่ายออกจากภาชนะบรรจุเดมิ ใหป้ ิดป้ายแสดงชดั เจน และแยกเกบ็ เป็นหมวดหมู่ ไม่ปะปนกนั ระหว่าง ปุย๋ สารควบคมุ การเจริญเตบิ โตพชื สารเคมีปอ้ งกนั กาํ จดั โรค สารเคมปี ้องกนั กําจัดแมลง สารเคมปี ้องกัน กําจัดวัชพชื และอาหารเสริมต่าง ๆ 1.3.4 โรงเกบ็ สารเคมตี อ้ งมีเครอื่ งมอื และวัสดุปอ้ งกนั อุบัติเหตอุ ยา่ งครบถว้ น เช่น น้าํ ยาล้างตา น้าํ สะอาด ทราย และอุปกรณด์ บั เพลงิ เปน็ ตน้ 1.4 การใช้สารเคมีทางการเกษตรอยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม 1.4.1 หา้ มใชส้ ารเคมที ีไ่ ม่ไดข้ ึน้ ทะเบียนวัตถอุ นั ตรายตาม พระราชบัญญตั ิ วตั ถุ อนั ตราย พ.ศ. 2535 ตามเอกสารสนับสนนุ รายช่ือวัตถอุ นั ตรายหา้ มใชใ้ นการเกษตร และต้องใชส้ ารเคมที ี่ สอดคลอ้ งกับรายการสารเคมที ปี่ ระเทศคู่คา้ อนญุ าตใหใ้ ช้ 1.4.2 อา่ นฉลากคาํ แนะนํา เพ่ือใหท้ ราบคุณสมบตั แิ ละวธิ ีการใช้สารปอ้ งกนั กาํ จดั ศตั รพู ืชก่อนปฏบิ ัติงานทุกคร้ัง 1.4.3 ผปู้ ระกอบการ และ แรงงานทีป่ ฏิบตั ิงานด้านการปอ้ งกนั กาํ จัดศัตรูพืช ควรรจู้ กั ศตั รูพชื ชนิดและอตั ราการใช้สารเคมีป้องกันกําจดั ศตั รูพชื การเลือกใช้เครื่องพน่ และอปุ กรณ์ หัวฉีด รวมทั้ง วิธกี ารพ่นสารเคมที ่ีถกู ตอ้ ง โดยตอ้ งตรวจสอบเคร่อื งพ่นสารใหอ้ ยูใ่ นสภาพพรอ้ มท่จี ะใชง้ าน ตลอดเวลา เพ่อื ปอ้ งกนั สารพษิ เป้ือนเส้ือผ้าและรา่ งกายของผพู้ น่ ต้องสวมเสือ้ ผา้ อุปกรณ์ปอ้ งกนั สารพิษ ไดแ้ ก่ หน้ากาก หรอื ผา้ ปดิ จมกู ถงุ มอื หมวก และ รองเทา้ เพอื่ ป้องกันอนั ตรายจากสารพิษ 1.4.4 เตรียมสารปอ้ งกนั กาํ จัดศัตรพู ชื และใช้ใหห้ มดในคราวเดยี ว ไมค่ วรเหลอื ติดค้างในถังพ่น 1.4.5 ปดิ ฝาภาชนะบรรจุสารปอ้ งกนั กาํ จัดศตั รูพชื ใหส้ นทิ เมอื่ เลกิ ใช้ และเก็บ ในสถานท่เี กบ็ สารเคมี 1.4.6 เม่อื ใชส้ ารป้องกันกําจัดศตั รพู ชื หมดแล้ว ใหล้ า้ งภาชนะบรรจุ สารเคมีดว้ ยนา้ํ 2 – 3 คร้ังแล้วเทลงในถังพ่นสารเคมี ปรบั ปรมิ าณนาํ้ ตามความเข้มขน้ ทก่ี ําหนด กอ่ น นําไปใช้พ่นป้องกนั กาํ จัดศัตรูพืช 1.4.7 ควรพ่นสารปอ้ งกนั กําจัดศตั รูพชื ในช่วงเชา้ หรือเย็น ขณะลมสงบ หลกี เล่ียง การพน่ ในเวลาแดดจดั หรอื ลมแรม และ ขณะปฏิบตั ิงานผพู้ น่ ตอ้ งอยเู่ หนือลมตลอดเวลา

มาตรฐานระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 129 1.4.8 หลงั การพน่ สารปอ้ งกนั กาํ จัดศัตรูพชื ทุกคร้ัง ผพู้ ่นต้องอาบนา้ํ สระผม และ เปลีย่ นเสอื้ ผ้าทนั ที เสือ้ ผา้ ทีใ่ สข่ ณะพน่ สารตอ้ งซกั ให้สะอาดทกุ คร้ัง 1.4.9 ต้องหยดุ ใชส้ ารป้องกันกําจัดศตั รพู ืช กอ่ นการเก็บเก่ียวตามทีร่ ะบไุ วใ้ น ฉลากกํากับการใช้สารปอ้ งกนั กําจดั ศัตรูพชื แต่ละชนิด 1.4.10 ใหป้ ฏบิ ัตติ ามแผนควบคุมการผลติ 1.5 ความสะอาดปลอดภยั และ การกําจัดของเสีย และ วสั ดเุ หลือใช้ 1.5.1 ภาชนะบรรจุสารเคมที ่ใี ชห้ มด และ ล้างสารเคมอี อกหมดแลว้ ตาม คําแนะนํา ตอ้ งไม่นํากลับมาใชอ้ กี และตอ้ งทาํ ใหช้ ํารุด เพอื่ ป้องกันการนํากลบั มาใชแ้ ลว้ นาํ ไปทงิ้ ใน สถานที่จดั ไวส้ าํ หรับท้ิงภาชนะบรรจุสารเคมโี ดยเฉพาะ หรอื ทําลายโดยการฝงั ดนิ ห่างจากแหลง่ นา้ํ และ ใหม้ คี วามลกึ มากพอที่สตั วไ์ ม่สามารถคุย้ ขนึ้ มาได้ หา้ มเผาทําลาย 1.5.2 กิง่ พืชที่มโี รคเข้าทําลายตอ้ งเผาทาํ ลายนอกแปลง 1.5.3 เศษพชื หรอื ก่ิงท่ีตัดแต่งจากตน้ และไมม่ ีโรคเข้าทําลาย สามารถนาํ มาทาํ เปน็ ปยุ๋ หมักหรอื ปุ๋ยพชื สดได้ 1.5.4 จาํ แนก และแยกประเภทของขยะใหช้ ดั เจน เชน่ กระดาษ กลอ่ งกระดาษ พลาสตกิ แก้ว นา้ํ มนั สารเคมี และเศษซากพืช เป็นตน้ รวมทั้งควรมีถงั ขยะวางใหเ้ ป็นระเบียบ หรอื ระบุ จดุ ทิ้งขยะใหช้ ดั เจน 2. การจัดการเครอื่ งมือและอุปกรณ์การเกษตร 2.1 การจดั ทาํ รายการและการจดั เกบ็ เครอื่ งมือและอปุ กรณ์ 2.1.1 มีอุปกรณก์ ารเกษตรเหมาะสมและเพยี งพอตอ่ การปฏิบตั งิ าน 2.1.2 สถานทเ่ี กบ็ รักษาอุปกรณ์ และเครอื่ งมือการเกษตร ควรเปน็ สัดสว่ น ปลอดภยั ง่ายต่อการนาํ ไปใช้งาน มปี า้ ยแสดงไว้ชัดเจน พร้อมทง้ั จดั ทาํ รายการ และแผนการบาํ รุงรักษา เครื่องมอื / อปุ กรณ์การเกษตรทุกช้นิ ลงในแบบบันทึก 2.2 การตรวจสภาพ และการซ่อมบาํ รุง 2.2.1 มกี ารตรวจเครือ่ งมอื และ อุปกรณ์การเกษตร เช่น เครอ่ื งพ่นสาร ปอ้ งกันกาํ จดั ศัตรพู ืช อุปกรณก์ ารเกบ็ เก่ียว ก่อนนาํ ออกไปใช้งาน และตอ้ งทาํ ความสะอาดทุกครงั้ หลงั ใช้ งานเสรจ็ แลว้ 2.2.2 มีการตรวจซอ่ มบาํ รงุ รักษาเคร่ืองมือและอุปกรณก์ ารเกษตร ตามแผนการ บํารงุ รกั ษาทก่ี ําหนดไว้ พร้อมทั้งลงบันทกึ ผลการตรวจซอ่ มทกุ ครัง้ ลงในแบบบนั ทึก

130 มาตรฐานระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 2.2.3 เคร่อื งมอื อุปกรณ์ และภาชนะท่ใี ชใ้ นการบรรจุ และขนส่งผลติ ผล ตอ้ งมี การทาํ ความสะอาดทุกครงั้ กอ่ นการใช้งาน และ เคร่ืองมอื ใช้งานเสรจ็ แล้วต้องทําความสะอาดก่อนนาํ ไป เก็บ 2.2.4 กรณที มี ีความจําเปน็ ต้องใช้เครื่องมือ และ อปุ กรณท์ ่ีตอ้ งอาศัยความ เท่ียงตรงในการปฏิบัตงิ าน ต้องมีการตรวจสอบความเท่ยี งตรงอย่างสมํา่ เสมอ หากพบวา่ มคี วามคลาด เคลื่อนตอ้ งดาํ เนินการปรบั ปรงุ ซอ่ มแซม หรือ เปล่ยี นใหม่ เพื่อใหอ้ ปุ กรณ์ดงั กลา่ วมีประสิทธภิ าพตาม มาตรฐานเม่ือนาํ มาใช้งาน 3. การจัดการปจั จยั การผลิต 3.1 การจดั ทาํ รายการปัจจยั การผลิตและแหล่งทีม่ า จัดทาํ รายการและรายละเอยี ดเฉพาะของปัจจยั การผลิตทสี่ าํ คญั ได้แก่ พันธ์ุ ปุ๋ย สารเคมปี ้องกนั กาํ จัดศัตรูพชื ทใ่ี ชใ้ นการปฏิบตั ิการผลติ พรอ้ มท้ัง จัดทาํ บญั ชี รายการ ปริมาณ วัน เดอื น ปี ที่จัดซอื้ จัดหาลงในแบบบันทึก 3.2 การตรวจสอบคุณสมบัตขิ องปัจจัยการผลิตทีส่ าํ คญั ปัจจยั การผลติ ทส่ี าํ คัญ ที่ไมส่ ามารถตรวจสอบแหล่งทม่ี าได้ หรอื ไม่นา่ เช่ือถือ ต้องสง่ ปจั จยั การผลิตนน้ั ไปยังหนว่ ยงาน หรือ ห้องปฏิบตั ิการทีเ่ ช่ือถือไดเ้ พ่อื ตรวจวิเคราะห์ บนั ทึก รายละเอยี ดการเกบ็ ตัวอย่างปัจจยั การผลติ ลงในแบบบนั ทึกรวม ทั้งเก็บใบแจ้งผลการวเิ คราะหไ์ วเ้ ป็น หลักฐาน 4. การปฏบิ ตั ิและการควบคุมการผลิต 4.1 การจดั การในกระบวนการผลิต การจัดการในกระบวนการผลติ จะมรี ะเบยี นปฏบิ ตั ิของแตล่ ะประเด็นตามความ เหมาะสมในแต่ละพืช การปฏิบตั ิต้องดําเนินการตามระเบียบปฏิบัตติ ่าง ๆ ในแตล่ ะพืช 4.2 ข้อพึงปฏบิ ัติในการเก็บเก่ยี วและการปฏบิ ัตหิ ลังการเกบ็ เก่ียว 4.2.1 ควรใชเ้ คร่ืองมอื หรอื วิธกี ารเฉพาะ ใหส้ อดคล้องกบั ธรรมชาติของแตล่ ะ พชื เพอื่ ป้องกันการชอกชํ้าของผลติ ผล เน่ืองจาก การเกบ็ เก่ยี ว 4.2.2 ตอ้ งมีวัสดปุ รู องพน้ื ในบริเวณพกั ผลิตผลท่เี กบ็ เกย่ี วในสวน เพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเป้ือนของจุลินทรีย์ สงิ่ ปฏกิ ลู เศษดนิ และสิง่ สกปรก หรือสิ่งทเี่ ปน็ อันตรายอื่น ๆ จากพน้ื ดนิ 4.2.3 ภาชนะท่ใี ช้ในการบรรจุและการขนสง่ ผลติ ผล ต้องแยกต่างจากภาชนะท่ี ใช้ในการขนยา้ ยหรือขนส่งสารเคมี หรือ ปยุ๋ เพื่อปอ้ งกนั การปนเป้อื นสารเคมที างการเกษตร และ จลุ นิ ทรยี ์ที่เป็นอนั ตรายตอ่ การบรโิ ภค และความเสียหายของผลติ ผล

มาตรฐานระบบการจดั การคุณภาพ : GAP ไม้ผล 131 4.2.4 ในกรณีทไ่ี มส่ ามารถแยกภาชนะบรรจผุ ลิตผล และ ภาชนะขนย้าย สารเคมีหรือปยุ๋ ได้ ตอ้ งทําความสะอาดจนแน่ใจวา่ ไม่มกี ารปนเปื้อนดังกล่าว 4.2.5 ภาชนะท่ีใชใ้ นการบรรจขุ ัน้ ตน้ เพ่ือการขนถ่ายภายในสวนไปยังพนื้ ทค่ี ดั แยกบรรจุ ต้องเหมาะสมมีรปู แบบภาชนะ มีวสั ดุกรภุ ายในภาชนะเพ่ือป้องกันการกระแทกเสียดสี 4.2.6 การจดั วางผลิตผลในบรเิ วณพักผลิตผลทีเ่ กบ็ เกย่ี วในสวน ตอ้ งเหมาะสม กบั ธรรมชาติของแต่ละพืช เพ่อื ปอ้ งกันคราบเปอ้ื นจากนํ้ายางในผล หรือ รอยแผลทเี่ กิดจากการขดู ขดี หรอื กระแทกกนั ระหวา่ งผล รวมทั้งปญั หา การเสื่อมสภาพของผลติ ผลอันเน่ืองจากความรอ้ น และ แสงแดด 4.2.7 การเคลอื่ นย้ายผลิตผลภายในสวน ควรปฏบิ ตั ดิ ้วยความระมดั ระวงั 4.3 การควบคมุ การคละปนของผลติ ผลดอ้ ยคณุ ภาพ 4.3.1 มกี ระบวนการคัดแยกใหไ้ ดผ้ ลิตผลทมี่ ีคุณภาพและไดม้ าตรฐานเป็นทพ่ี งึ พอใจของคคู่ า้ และผู้บรโิ ภค 4.3.2 ตอ้ งมีพนื้ ทีก่ ารจดั วางแยกผลติ ผลทด่ี อ้ ยคุณภาพเป็นสดั ส่วน 4.3.3 มแี ผนการใชป้ ระโยชน์จากผลิตผลท่ดี ้อยคณุ ภาพอย่างชัดเจน 4.4 การบง่ ชแี้ ละการสอบกลบั (traceability) 4.4.1 มีการบนั ทกึ การปฏบิ ตั งิ าน ตามแบบบันทกึ 4.4.2 มกี ารควบคมุ เอกสาร 5. การบนั ทกึ และการควบคมุ เอกสาร 5.1 เอกสารทใี่ ชใ้ นการปฏิบตั ิงานสวน ได้แก่ 5.1.1 นโยบายคณุ ภาพของสวน 5.1.2 วัตถุประสงค์คณุ ภาพของสวน 5.1.3 ขอบเขตการปฏิบัตงิ านตามขอ้ กําหนดของระบบการจดั การคุณภาพ 5.1.4 แผนควบคุมการผลติ เฉพาะพืช 5.1.5 ระเบยี บปฏบิ ัติต่าง ๆ ในการปฏิบัตงิ านสวน 5.1.6 วิธีการปฏบิ ัติต่าง ๆ ตามระเบียบปฏบิ ัติ 5.1.7 แบบบันทึกการปฏิบัตงิ านสวน 5.1.8 เอกสารสนบั สนุน 5.1.9 หลกั ฐานการฝึกอบรม การจัดซื้อ จดั หาปัจจยั การผลติ (ถ้าม)ี

132 มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 5.1.10 หลกั ฐานการตรวจวเิ คราะห์ ดิน นา้ํ ปัจจยั การผลิต และสารตกคา้ งใน ผลติ ผลที่สวนได้มกี ารดาํ เนินการ เพอื่ ให้บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์คณุ ภาพ ตามความจาํ เปน็ 5.1.11 เอกสารอืน่ ๆ ทจี่ าํ เปน็ ในการดาํ เนนิ การเพื่อบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ คณุ ภาพ รวมถึงขอ้ สญั ญาในการจดั ซื้อผลผลิตกับคคู่ า้ 5.1.12 จัดทาํ รายการเอกสารและบนั ทึกทีอ่ ยใู่ นครอบครอง ลงในแบบบนั ทกึ 5.2 เอกสารหรอื แบบบันทกึ ต้องจัดทําใหเ้ ปน็ ปัจจุบันสําหรบั การผลติ ในฤดูกาลนัน้ ๆ รวมทัง้ ต้องมกี ารบนั ทกึ ให้ครบถ้วน และลงช่ือผูป้ ฏบิ ัติงานทุกครัง้ ทมี่ ีการบนั ทกึ ขอ้ มูล 5.3 ในกรณที ม่ี ีแปลงผลิตมากกวา่ 1 แปลง ต้องแยกบนั ทกึ ข้อมูลเป็นรายแปลง 6. การจัดเก็บและควบคุมเอกสาร 6.1 ใหม้ กี ารจดั เกบ็ เอกสารเปน็ หมวดหมู่ แยกเป็นฤดกู ารผลิตแตล่ ะฤดกู าล เพือ่ สะดวก ต่อการตรวจสอบ และการนาํ มาใช้ 6.2 เก็บรักษาแบบบันทึกการปฏิบตั งิ าน และเอกสารท่สี าํ คญั ที่เก่ยี วขอ้ งกับการ ปฏิบัติงานไว้เป็นอย่างดอี ย่างนอ้ ย 3 ปี ของการผลติ ตดิ ต่อกัน หรอื ตามท่ผี ปู้ ระกอบการ หรือคคู่ ้าตอ้ งการ เพือ่ ให้สามารถตรวจสอบยอ้ นหลงั ได้ 6.3 ในกรณที ่มี กี ารแกไ้ ขเปลีย่ นแปลงเอกสารมาตรฐานระเบยี บปฏบิ ัติ หรอื ระเบยี บ ปฏบิ ตั แิ ละเอกสารอ่นื ท่ีเกีย่ วขอ้ ง ผูป้ ระกอบการต้องบนั ทึกการแกไ้ ขลงในแบบบนั ทกึ การควบคุมเอกสาร 7. การจดั การเพ่อื ให้ไดผ้ ลทม่ี ขี นาดใหญ่ และ สม่ําเสมอในช่อ 7.1 เตรยี มความสมบรู ณ์ตน้ หลังการเกบ็ เก่ียว 7.1.1 การใสป่ ยุ๋ หลังเก็บเกยี่ ว ประเมนิ ความสมบรู ณต์ ้น หลงั จากเกบ็ เกีย่ ว ผลผลิต และเมื่อแตกใบอ่อนแล้ว เมอื่ พบตน้ ลาํ ไยแตกใบออ่ นน้อยกว่า 50% ของจํานวนยอดทั้งต้น หรือ แตกใบออ่ นมากกว่า 50 % ของจํานวนยอดทงั้ ต้น แตม่ คี วามยาวของยอดใหม่สั้นกว่า 30 เซนติเมตร หรอื มีใบประกอบนอ้ ยกว่า 5 ใบ ใสป่ ุ๋ยเคมสี ตู ร 15-15-15 + 46-0-0 สดั สว่ น 1 :1 อตั รา 2 กโิ ลกรมั ตอ่ ต้น โดยวธิ ีหว่านใต้ทรงพุม่ เพือ่ เสรมิ ความสมบูรณต์ ้น และเร่มิ หวา่ นป๋ยุ เคมสี ตู ร 0-46-0 + 0-0-60 สดั สว่ น 1 :1 อตั รา 2 - 3 กโิ ลกรมั ตอ่ ต้น 1 เดือน หลังจากแตกใบออ่ นชุดสุดท้าย เพ่ือให้ลําไยพักตัวและพร้อมตอ่ การออกดอก เมือ่ ใบชดุ สดุ ท้ายมอี ายุมากกว่า 60 วัน และอุณหภมู สิ งู กวา่ 25 ํC หรอื มีฝนหลงฤดู ควรพ่น ปยุ๋ ทางใบสูตร 0-52-34 อตั รา 150 กรมั ตอ่ นํ้า 20 ลิตร ทกุ 7 วัน ไมน่ ้อยกวา่ 3 ครงั้ 7.1.2 ตดั แตง่ ก่งิ - ลําไยอายุ 4 – 5 ปี ใหผ้ ลผลติ แล้ว ควรตดั แต่งก่ิงภายหลงั เก็บเก่ียว ตดั ก่งิ กลางทรงพุ่มท่ีอยใู่ นแนวตงั้ เหลือตอกิ่ง เพ่อื เปดิ กลางทรงพ่มุ ให้ไดร้ ับแสงสว่างมากขนึ้ และเพือ่ ทาํ ลาย แหลง่ หลบซ่อนของหนอน ดักแด้ และผีเส้ือ

มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 133 - ลาํ ไยอายุ 5 – 10 ปี ตดั แตง่ กง่ิ ภายหลังเกบ็ เก่ียวเพื่อไม่ให้ทรงพุ่มชนกัน ตดั แต่งเช่นเดียวกับลําไยอายุ 4 – 5 ปี ตัดปลายกงิ่ ทั้งแนวนอน และ แนวตงั้ ให้มคี วามสูงเหลอื เพยี ง 3 เมตร เพือ่ สะดวกในการปฏบิ ัติงาน 7.1.3 การใหน้ ้ํา ในช่วงเตรียมความสมบรู ณต์ น้ หลังเก็บเกี่ยวนี้หากอยใู่ นฤดฝู น และ มฝี นท้ิงช่วงมากกว่า 7 วนั ควรใช้นํา้ ในอตั รา 60 % ของอตั ราการระเหยนํ้าจากถาดระเหยนํ้าชนิด A 7.1.4 การปอ้ งกนั กําจัดศัตรพู ชื - หนอนชอนใบ ไขม่ ขี นาดเลก็ มาก สคี รมี มองไมเ่ หน็ ด้วยตาเปล่า ตอ้ งใช้แว่นขยายพบไขบ่ นยอดออ่ นทีใ่ บยงั ไม่คลี่ หนอนมสี ีครีม เจาะเขา้ ทาํ ลายยอดอ่อน ใบออ่ น และเส้น กลางใบสว่ นทถ่ี ูกทําลายจะแห้งตาย หนอนโตเต็มที่ขนาดลาํ ตวั ยาว 1 เซนตเิ มตร เข้าดักแดใ้ นรังดักแดท้ ี่ ใบแก่ ตัวเตม็ วัยเป็นผีเสื้อขนาดเล็ก ลกั ษณะคล้ายกบั ผีเสื้อหนอนเจา้ ข้ัวผลมาก แต่มีขนาดเล็กกวา่ เคลือ่ นไหวรวดเร็ว ชอบหลบใต้ใบที่หนาทบึ เม่อื พบอาการยอดแห้ง หรอื ใบออ่ นถกู ทําลายมากกว่า 25 % ของใบอ่อนทั้งต้น ควรพน่ ด้วย คาร์บารลิ 85 % ดบั ลวิ พี อัตรา 60 กรัม ต่อนาํ้ 20 ลิตร - หนอนเจาะกิง่ เปน็ หนอนผเี สือ้ มีสแี ดงเข้ม เมื่อโตเตม็ ท่ี ขนาดลาํ ตัวยาว 3 – 5 เซนตเิ มตร หนอนเจาะเขา้ ทาํ ลายกงิ่ และลําต้น มขี ุยขห้ี นอนตามส่วนท่ีหนอนเจาะ ทาํ ลาย ทําใหก้ งิ่ แห้งและหักโคน่ เมือ่ สํารวจพบการทาํ ลาย ต้องตดั กิ่งแห้งที่มีหนอนเผาทําลาย และเมื่อ พบรูหนอนเจาะตามก่ิง และลาํ ต้น ใชส้ ารคลอรไ์ พริฟอส 40 % ซซี ี อตั รา 1 – 2 มิลลลิ ิตรต่อรู อดั เข้าในรู อัดแล้วอุดดว้ ยดนิ เหนยี ว - ไรสี่ขา มีขนาดเล็กมาก สชี มพเู รอ่ื ๆ ไม่สามารถมองเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ ดูดกนิ น้ําเลี้ยงบนยอดอ่อน ชอ่ ดอกและหลบซ่อนตามชน้ิ ส่วนทีถ่ ูกทําลาย สว่ นทถี่ ูกทาํ ลายจะแสดงอาการ แตกพุ่มฝอยเหมือนไม้กวาด หรอื คล้ายกับอาการของโรคพุ่มไมก้ วาด หรอื โรคกระหรี่ มกั พบทาํ ลายอยา่ ง รุนแรงในตน้ ทม่ี อี ายมุ าก ทําให้ต้นทรุดโทรม เมื่อสํารวจพบยอดมีอาการแตกพุม่ คลา้ ยไมก้ วาด ใหต้ ดั และ เผาทําลาย หากมีการทาํ ลายเปน็ บรเิ วณกวา้ ง พน่ ดว้ ยกํามะถนั ผง 80 % ดบั ลวิ พี อัตรา 40 กรัม หรือ สารอะมที ราซ อตั รา 40 มิลลลิ ิตรต่อนาํ้ 20 ลติ ร ทกุ สปั ดาห์ตดิ ตอ่ กัน 1 – 3 ครงั้ - โรครานา้ํ ฝน หรือ โรคผลเนา่ และ ใบไหม้ ทําลายใบอ่อน ทําให้ แผลไหม้สีน้าํ ตาลดาํ ขนาดและรูปรา่ งแผลไมช่ ัดเจน เม่ือพบอาการโรค เก็บผล และ ใบลําไยท่ีเปน็ โรคที่ รว่ งหล่นอยบู่ นพื้นดนิ ใต้ทรงพุ่มเผาทาํ ลายนอกแปลง แลว้ พน่ ดว้ ยสารเมตาแลกซลิ / แมนโคเซบ 72 % ดับลวิ พี อัตรา 30 กรัม ตอ่ นํ้า 20 ลิตร บรเิ วณผิวดินโคนตน้ ลําไย - โรคพุ่มไมก้ วาด เกิดจากเช้ือไฟโตพลาสมา หรอื มายโคพลาสมา ทาํ ให้ส่วนทเ่ี ปน็ ตาเกิดอาการแตกฝอย เปน็ มดั ไม้กวาด หากอาการรุนแรงจะทําใหต้ น้ ทรดุ โทรม เม่อื พบ อาการโรคต้องตัดแตง่ ก่ิงเปน็ โรคออก และเผาทาํ ลาย แลว้ พน่ ด้วยกาํ มะถันผล 80 % ดบั ลิวพี อัตรา 40 กรมั ตอ่ น้าํ 20 ลติ ร เพื่อป้องกนั กําจดั โรค และ พน่ สารอะมีทราซ 20 % อซี ี อัตรา 40 มลิ ลลิ ิตรต่อน้ํา 20 ลิตร เพ่ือป้องกันกําจดั โรค และ พน่ สารอะมีทราซ 20 % อีซี อตั รา 40 มิลลลิ ติ รตอ่ นาํ้ 20 ลติ ร หรือ กํามะถนั ผง เพ่อื ปอ้ งกนั ไรพาหะของโรค

134 มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไม้ผล 7.2 ควบคมุ ปรมิ าณดอกและผล 7.2.1 การชกั นําใหล้ ําไยออกดอก เมอื่ ตน้ ลําไยมีความสมบูรณ์มากกว่า 60 % หลงั การเก็บเกยี่ ว และ เตรยี มความพรอ้ มต้น มีใบสมบรู ณ์ และ แก่จัดแลว้ ปลอ่ ยใหต้ น้ ลาํ ไยกระทบ อณุ หภูมิตาํ่ กว่า 15 Cํ ต่อเนอ่ื งกนั มากกว่า 14 วนั เพื่อกระต้นุ การออกดอก หากพบการออกดอกน้อยกว่า 30 % ของจาํ นวนยอดทั้งต้น ต้องตัดแตง่ กงิ่ และชอ่ ดอกทงิ้ ไป เพ่ือกระต้นุ ใหแ้ ตกใบออ่ นใหม่ จากนน้ั รอ จนกระท่ังใบจงึ ชกั นาํ การออกดอกดว้ ยสารคลอเรต ทาํ ความสะอาดบริเวณโคนตน้ ให้สะอาดกอ่ นราดสาร ทางดิน โดยใช้อัตราสารคลอเรตทีม่ เี นื้อสารเขม้ ข้นไม่ต่าํ กว่า 95 % ดังน้ี - เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางทรงพ่มุ 4 – 5 เมตร อัตรา 100 – 200 กรมั ต่อวนั - เส้นผ่าศนู ยก์ ลางทรงพุ่ม 5 – 7 เมตร อัตรา 200- 400 กรมั ตอ่ ต้น - เส้นผ่าศูนยก์ ลางทรงพุ่มมากกว่า 7 เมตร อัตรา 500 กรมั ต่อต้น ผสมนํา้ 60 – 80 ลิตรต่อต้น ราดโคนต้นใหร้ อบเป็นวงแหวนกว้าง 0.5 – 1.0 เมตร หรอื ใชส้ ารคลอเรต อัตรา 40 กรมั ตอ่ น้าํ 20 ลติ ร พน่ ทางใบใหท้ ่วั ต้น เพือ่ กระตนุ้ การออกดอกของลําไย เม่ือ ลําต้นลาํ ไยออกดอกแล้วให้นา้ํ สมาํ่ เสมอในอตั รา 60 – 70 % ของอตั ราการระเหยน้าํ และดูแลป้องกนั กําจัดศัตรูพชื ท่ีทาํ ลายชอ่ ดอก ได้แก่ มวนลาํ ไย จะวางไข่บนช่อดอก หรอื ผลอ่อน กล่มุ ละ 14 ฟอง ตัว อ่อนและตวั เต็มวัยจะปลอ่ ยสารทม่ี กี ลน่ิ เหมน็ ฉนุ ออกมาทาํ ลายยอดอ่อน ช่อดอก และ ผลอ่อน เม่อื ได้รบั การกระทบกระเทือนทําใหย้ อดอ่อน หรอื ชอ่ ดอกแห้งใบออ่ น และ ผลอ่อนเปน็ แผลมจี ุดสดี าํ เทา เม่อื พบ ไข่ และ ตัวอ่อนที่อยรู่ วมกลุม่ กัน นาํ ไปทาํ ลาย หากพบไข่เปน็ จํานวนมากแต่ไมถ่ กู แตนเบยี นทาํ ลายใหพ้ ่น สาร แลมปด์ าไซฮาโลทริน 2.5 % อซี ี อตั รา 10 มลิ ลลิ ิตร หรอื สารคาร์บาริล 85 % ดับลวิ พี อัตรา 45 กรมั ต่อนา้ํ 20 ลิตร เพ่อื กาํ จัดตัวออ่ น 7.2.2 การจดั การเพอื่ ส่งเสรมิ การพฒั นาการของผล การใสป่ ุ๋ย เมอ่ื ดอกลาํ ไยเรม่ิ บาน ใส่ป๋ยุ เคมี สตู ร 15-15-15 + 0-0-60 สัดสว่ น 1:1:1 อตั รา 2-3 กโิ ลกรมั ต่อตน้ เพอ่ื สง่ เสริมการพัฒนาการของผล และพน่ ปุย๋ ทางใบสตู ร 46-0-0 อตั รา 30 กรัม ร่วมกบั ป๋ยุ สูตร 0-52-34 อตั รา 10 กรมั และ ปุ๋ยสูตร 13-0-46 อตั รา 60 กรัม ตอ่ น้าํ 20 ลิตร ทกุ 10 วัน จาํ นวน 10 ครัง้ เมอ่ื ผลมขี นาดเส้นผ่าศนู ยก์ ลาง 0.5 เซนตเิ มตร การใหน้ า้ํ ให้นา้ํ ในอตั รา 70 % ของอัตราการระเหยนา้ํ จากถาดระเหย ชนดิ A หรือ ใหน้ ้ําประมาณครงั้ ละ 250 - 350 ลิตรตอ่ ต้น สปั ดาหล์ ะ 2 ครัง้ เมือ่ ผลลาํ ไยมีอายุ 2 สปั ดาห์ หลงั ดอกบาน สาํ หรับตน้ ลําไยทีม่ เี สน้ ผ่าศูนยก์ ลางทรงพมุ่ 7 เมตร การตดั แตง่ ชอ่ ผล ในกรณที ีต่ น้ ลําไยออกดอกมาก และ ตดิ ผลมากกวา่ 80 ผลตอ่ ช่อ หรอื มจี าํ นวนชอ่ ผลมากกวา่ 70 % ของจาํ นวนยอดทงั้ หมดบนต้น ควรตดั แตง่ ผลออก จากช่อผลประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวช่อผล หรือ ใหเ้ หลอื จํานวนผลตอ่ ช่อไม่เกนิ 80 ผล เมื่อผลมี อายุประมาณ 1 เดอื น หลังจากดอกบาน หรือ ผลมขี นาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 เซนตเิ มตร

มาตรฐานระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP ไมผ้ ล 135 8. การจดั การเพอ่ื ให้ได้ผลผลติ ลาํ ไยทป่ี ลอดจากศัตรพู ืช 8.1 ใช้สารเคมี ชนิด อตั รา และเวลาตามรายละเอยี ด ในวธิ ีการแก้ปญั หาในแผน ควบคุมการผลติ ลาํ ไย 8.2 ตอ้ งใชส้ ารเคมที ถ่ี กู ตอ้ งตามกฎหมาย มเี ลขทะเบียนวัตถุอนั ตราย และมีคาํ แนะนํา บนฉลากใหใ้ ชก้ ับพชื นัน้ ๆ 8.3 ตอ้ งไม่ใชส้ ารเคมีทรี่ ะบใุ นทะเบยี นวตั ถอุ ันตรายท่ีหา้ มใช้ (รายช่อื วตั ถอุ ันตราย ที่ หา้ มใชท้ างการเกษตร ไมไ่ ดข้ น้ึ ทะเบยี นตามพระราชบัญญัตวิ ัตถอุ นั ตราย พ.ศ. 2535) และท่ีระบุใน รายการสารเคมที ีป่ ระเทศคูค่ า้ หา้ มใช้ ตอ้ งหยดุ ใช้สารเคมี กอ่ นการเก็บเกี่ยวตามเวลาที่ระบใุ นวิธีการ แก้ปญั หาในแผนควบคุมการผลติ ลาํ ไย 9. การจดั การเพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลผลติ ลาํ ไยทีป่ ลอดจากศตั รูพชื 9.1 สํารวจการเข้าทาํ ลายของเพล้ยี หอย เพลี้ยแปง้ หนอนเจาะขว้ั ลิน้ จี่ ผเี สอื้ มวนหวาน และ โรครานา้ํ ฝน หรือ โรคผลเนา่ 9.1.1 สํารวจการเข้าทําลายของเพล้ยี หอย เพลยี้ แป้ง หนอนเจาะข้ัวลิน้ จี่ ทุก 7 วนั ตัง้ แต่อายุผล 2 สปั ดาห์ หลังดอกบาน จนถึง 15 วัน กอ่ นเกบ็ เกย่ี ว โดยสุ่มนับต้นละ 10 ช่อ จาํ นวน 10 % ของจํานวนตน้ แต่ไมเ่ กิน 20 ตน้ ตอ่ แปลง และผเี สือ้ มวนหวาน ทุก 7 วนั ช่วงผลแก่ใกล้เกบ็ เก่ยี ว และสาํ รวจโรคราน้ําฝน หรอื โรคผลเน่า ทกุ 7 วัน เม่ืออายุผล 4 สปั ดาห์ หลงั ดอกบาน จนถึง 30 วัน กอ่ นเกบ็ เกย่ี ว เพือ่ ประเมนิ จํานวน และ / หรือ ความเสยี หายระดับเศรษฐกจิ ดงั น้ี - เพล้ยี หอย และเพลย้ี แป้ง ความเสีย่ งระดับเศรษฐกิจ พบตัวเต็มวัยมากกวา่ 10 ตัว ตอ่ ชอ่ ผล - หนอนเจาะขว้ั ลน้ิ จ่ี ความเสยี่ งระดับเศรษฐกจิ พบไขห่ นอนมากกวา่ 1 ฟองต่อผล - ผีเสอื้ มวนหวาน ความเสยี่ งระดบั เศรษฐกิจ พบผลถกู ทาํ ลาย 1 ผล - โรครานาํ้ ฝน หรือโรคผลเน่า ความเส่ยี งระดับเศรษฐกจิ พบอาการโรค 1 ชอ่ ผล 9.2 ปอ้ งกันกาํ จดั ศตั รูลําไยในระยะการพฒั นาของผล เมอ่ื สํารวจพบความเสียหายระดบั เศรษฐกจิ ในขอ้ 9.1.1 ตัดสนิ ใจเลือกใช้วธิ กี ารปอ้ งกันกําจัดให้ไดผ้ ล 9.2.1 เพล้ยี หอย และเพล้ยี แปง้ พน่ ดว้ ยปโิ ตรเลยี มออยล์ 83.9 % อีซี อตั รา 40 - 60 มิลลลิ ิตร ตอ่ นํา้ 20 ลิตร พน่ เปน็ จดุ เฉพาะบรเิ วณกลุม่ ทสี่ าํ รวจพบ 9.2.2 หนอนเจาะข้วั ผลล้ินจ่ี พ่นดว้ ย สารคาร์บาริล 85 % ดับลวิ พี อัตรา 40 กรมั ตอ่ นํา้ 20 ลิตร และควรหยดุ การพน่ สารเคมี 7 วนั ก่อนเกบ็ เกี่ยว หรือสารคลอรไ์ พริฟอส / ไซเพอร์

136 มาตรฐานระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP ไม้ผล เมทริน 50 % / 5 % อีซี อตั รา 30 มลิ ลลิ ิตรตอ่ นาํ้ 20 ลติ ร และควรหยดุ การพน่ สารเคมี 14 วันกอ่ นเก็บ เกยี่ ว 9.2.3 ผเี สือ้ มวนหวาน ใชเ้ น้ือสบั ปะรดสุกตดั เปน็ ชิน้ จุ่มสารคาร์บาริล 85 % ดบั ลวิ พี อัตรา 30 กรัมต่อนํ้า 20 ลติ ร นาน 1 นาที เปน็ เหยอ่ื พิษไปแขวนไวใ้ นสวนเปน็ ระยะ ๆ หา่ งกัน 20 เมตร ขณะผลใกล้สุกแก่ หรอื ใชส้ วิงโฉบจบั ตวั ผีเสื้อในเวลากลางคืนแลว้ ทาํ ลาย 9.2.4 โรครานาํ้ ฝน หรือ โรคผลเนา่ พน่ ดว้ ยสารเมตาแลกซลิ 25 % ดบั ลวิ พี อัตรา 30 กรมั ตอ่ นํ้า 20 ลิตร หรอื สารเมตาแลกซิล / แมนโคเซบ 72 % ดับลิวพี อตั รา 50 กรัม ตอ่ นํา้ 20 ลิตร ใหท้ ว่ั ต้น 1-2 ครั้ง และหยดุ ใชส้ ารเคมี 14 วันก่อนเก็บเกี่ยว 9.3 ตรวจสอบผลการปอ้ งกนั กาํ จัด ผลผลิตลําไยตอ้ งไม่เสียหาย หรอื เสียหายนอ้ ย มากจากการเข้าทําลายของศตั รลู ําไย และตอ้ ง ไมพ่ บศัตรลู าํ ไยที่มีชีวิตอยบู่ นผล หรือ ช่อผลลาํ ไยหลงั จาก เกบ็ เกีย่ วจากต้นแลว้ ถา้ พบต้องคัดแยกไว้ต่างหาก 10. การเกบ็ เกย่ี วและการปฏบิ ัติหลงั การเก็บเกย่ี วในสวน 10.1 วิธกี ารเกบ็ เกีย่ ว 10.1.1 เก็บเกย่ี วดว้ ยความระมัดระวัง โดยใชก้ รรไกรคม และ สะอาดตดั ชอ่ ผล จากต้น ควรตดั ให้มใี บแรกตดิ ชอ่ ผล ไปดว้ ย 10.1.2 รวบรวมชอ่ ผลลําไยทเี่ ก็บเกยี่ วแลว้ ใสต่ ะกรา้ พลาสตกิ หรอื เขง่ ไม้ไผท่ ่ี กรุภายในดว้ ยกระดาษ หรอื กระสอบป๋ยุ ที่สะอาด หรือ มฟี องน้าํ รองกน้ ตะกรา้ หรอื เข่ง เพ่อื ปอ้ งกันมิ ให้ผลกระทบกระแทกซํ้า จากนัน้ ขนยา้ ยไปยงั โรงเรือนภายในสวน หรอื ในท่รี ่ม 10.2 การปฏิบตั ิหลงั การเก็บเกย่ี ว 10.2.1 ขนยา้ ยผลติ ผลลําไยจากบรเิ วณท่ีเกบ็ เก่ียวไปยังโรงเรอื น ภายในสวน ด้วยความระมดั ระวงั ทนั ทที ่เี กบ็ เก่ยี วเสรจ็ 10.2.2 ตดั แตง่ ช่อลาํ ไยให้ก้านชอ่ มีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร และตัด ผลท่มี ขี นาดเล็กหรอื ใหญเ่ กนิ กว่าขนาดผลเฉล่ยี ในชอ่ นนั้ ออก เพอ่ื ใหผ้ ลภายในชอ่ มีขนาดสมา่ํ เสมอ โดย ยอมใหม้ ผี ลทม่ี ขี นาดเล็กหรอื ใหญเ่ กินกวา่ ขนาดผลเฉล่ียในชอ่ ปนไดไ้ ม่เกนิ 20 % ของจํานวนผลในชอ่ กรณีตอ้ งการจําหนา่ ยเปน็ ลาํ ไยชอ่ และ แตง่ ขวั้ ผลใหม้ กี า้ นตดิ อย่ไู มย่ าวกวา่ 5 มิลลเิ มตร และยอมให้มีผล ขนาดเลก็ หรือใหญ่เกินกวา่ ขนาดผลเฉล่ยี ในตะกรา้ ปนได้ไมเ่ กนิ 10 % ของจํานวนผล กรณีตอ้ งการ จาํ หน่ายเปน็ ผลเดี่ยว 10.2.3 คดั แยกหรือชอ่ ผลทเ่ี สยี หายจากการเก็บเกีย่ ว หรือ มตี าํ หนิจากโรคและ แมลงแยกไว้ และนําไปใชป้ ระโยชน์ตามคําแนะนํา หรอื แผนท่กี ําหนดไว้ 10.2.4 เรียงชอ่ ผลในตะกรา้ พลาสตกิ หรอื กล่องกระดาษลกู ฟกู ทีม่ แี ผน่ ฟองน้าํ สบู่อยูใ่ ห้ไดน้ ้าํ หนักสุทธิ 10 กิโลกรมั ต่อตะกรา้ หรือต่อกล่อง แลว้ ปิดทบั ดว้ ยแผน่ ฟองนํา้ ก่อนปิดฝาตะกร้า หรือฝากลอ่ ง

มาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ : GAP ไมผ้ ล 137 11. การขนส่งผลติ ผลไปยังจดุ รวบรวมสนิ คา้ 11.1 บรรจุผลติ ผลลาํ ไยในพาหนะท่ีใชข้ นสง่ ดว้ ยความระมัดระวัง แลว้ ขนส่งไปยงั จุด รวบรวมสนิ คา้ ทันทีท่ีเกบ็ เกี่ยวและปฏิบตั หิ ลังเก็บเก่ยี วในสวนเสร็จเรยี บร้อยแล้ว 12. การควบคมุ การคละปนของผลติ ผลที่ไมไ่ ด้ขนาด 12.1 ตรวจสอบการคละปนของผลติ ผลที่ไมไ่ ดข้ นาด 12.1.1 ตรวจสอบและสงั เกตช่อผลลาํ ไยทีเ่ ก็บเกีย่ ว และ ตดั แต่งชอ่ ผลแลว้ พบว่า ยงั คงมีผลทมี่ ขี นาดเล็ก หรอื ใหญก่ วา่ ขนาดผลเฉลี่ยภายในชอ่ ต้องตัดผลนั้นออก หรือ พบวา่ ชอ่ ผล ในภาชนะบรรจุมีขนาดไมส่ มา่ํ เสมอให้คัดช่อผลทม่ี ขี นาดไม่สมาํ่ เสมอออก 12.1.2 เรยี งชอ่ ผลที่ผา่ นการตรวจสอบการคละปนแลว้ ในภาชนะบรรจุ หรอื เรยี งภาชนะบรรจทุ ผี่ ่านการตรวจสอบการคละปนแลว้ ใหเ้ ป็นระเบียบบนแท่นรองรับสนิ ค้า หรือ บนวัสดุ สะอาดสําหรับปรู องพนื้ เพอ่ื ป้องกนั การปนเป้ือน 12.2 ตรวจสอบการคละปนและคดั แยกผลิตผลลําไยทม่ี ีศัตรทู ําลาย 12.2.1 ตรวจสอบและตัดผลลาํ ไยท่ีมีศัตรทู าํ ลายท้ิงไป หรือ คัดแยกช่อผลลาํ ไย ท่ีมีศตั รูเขา้ ทําลายแยกไว้ต่างหาก แล้วนาํ ไปจดั การตามคําแนะนํา หรอื ใช้ประโยชน์ตามแผนท่กี ําหนดไว้ ระบบการจัดการคณุ ภาพ : GAP พชื กับการส่งออกลําไย (ไชยวัฒน์, 2548) จากการท่ปี ระเทศไทยไดเ้ จราจาเปดิ เสรี กบั ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตัง้ แตว่ ันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นตน้ มา มผี ลใหผ้ ลผลติ ดา้ นการเกษตร ไดแ้ ก่ ผัก ผลไมส้ ด ทสี่ ง่ ออกไปยงั ประเทศ สาธารณรฐั ประชาชนจนี เพมิ่ สูงขึ้น แตใ่ นขณะเดยี วกนั กม็ ีการเพ่มิ ความเขม้ งวดในการตรวจผัก ผลไม้สดท่ี นําเข้า โดยเฉพาะศัตรพู ืชและสารพิษตกคา้ ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แก้ปญั หาและ เจราจาปัญหา การห้ามนาํ เข้าผลไม้สด ข้อจาํ กัดการนําเขา้ มะม่วง ทเุ รยี น และ ลาํ ไย จนประเทศสาธารณรัฐประชาชน จีน ไดผ้ ่อนปรนขอ้ กําจัด มีผลให้กระทรวงเกษตรและสหกรณข์ องประเทศไทย และกระทรวงควบคมุ คุณภาพ และตรวจสอบกักกันโรคพชื ของประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี (AQSIQ) ไดล้ งนามในพธิ ีการ วา่ ด้วย ขอ้ กาํ หนด้านกักกนั โรคและการตรวจสอบสําหรับสนิ ค้าผลไม้เมอื งร้อน ที่สง่ ออกจากประเทศไทย ไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และสนิ ค้าผลไม้ส่งออก จากประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจีน มายงั ประเทศไทย เมือ่ วันที่ 29 ตลุ าคม 2547 และมผี ลบงั คบั ใช้ 6 เดอื น ภายหลังจากท่มี กี ารลงนาม ซ่งึ ได้ กําหนดชนดิ ของผลไม้ ของประเทศไทย ทสี่ ่งออกไปยงั ประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี 5 ชนดิ ได้แก่ ลาํ ไย ล้ินจ่ี มงั คุด ทุเรียน มะมว่ ง และผลไมจ้ ากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สง่ มายงั ประเทศไทย ได้แก่ แอปเปิล สาลี่ พชื สกลุ ส้ม อง่นุ พุทรา โดยมสี าระสาํ คญั ของขอ้ กําหนดในพธิ ีสาร สรปุ ไดด้ ังน้ี

138 มาตรฐานระบบการจดั การคุณภาพ : GAP ไมผ้ ล 1. ผลไมต้ ้องมาจากสวน และโรงบรรจหุ บี ห่อ ที่ได้จดทะเบียนกับกรมวชิ าการเกษตร และหน่วยงาน AQSIQ สามารถขอดูรายชือ่ ทะเบยี นสวนและโรงบรรจุหบี หอ่ เพอ่ื ตรวจสอบยอ้ นกลบั กรณีผลไมส้ ง่ ออกไมเ่ ปน็ ไปข้อกาํ หนด 2. ผลไมส้ ่งออกตอ้ งปราศจากดนิ กง่ิ ใบและศัตรพู ืชควบคมุ กรณตี รวจพบสนิ ค้าท่ีถกู ทาํ ลายหรือส่งกลบั หรอื กาํ จดั ศตั รพู ืชโดยเจา้ ของ หรือ ผสู้ ่งออกเปน็ ผู้รบั ผดิ ชอบค่าใช้จ่ายท้ังหมด 3. สารพษิ ตกค้างในผลไม้สง่ ออก ตอ้ งไมเ่ กินคา่ มาตรฐานทปี่ ระเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน หรอื CODEX กาํ หนด กรณตี รวจพบสารเคมตี กคา้ งเกินคา่ ที่กาํ หนดสินคา้ จะถกู สง่ กลบั หรือ สง่ ตอ่ ไปจดุ หมายอนื่ หรอื ทําลายโดยผลไมจ้ ากสวน โรงงานบรรจหุ ีบห่อหรือผู้สง่ ออกจะถูกระงบั การ สง่ ออกชวั่ คราว 4. ภาชนะบรรจตุ อ้ งสะอาดและมฉี ลากระบุ ซ่งึ บริษทั สง่ ออก ชนดิ ผลไม้ หมายเลข ทะเบียนสวนหมายเลขทะเบยี นโรงงานบรรจุหีบหอ่ วันบรรจุ และวนั สง่ ออก จากสาระสําคัญของข้อกาํ หนดในพิธีสาร ฯ ที่มคี วามเขม้ งวดดา้ นการตรวจสอบสารพิษ ตากค้างในลําไยส่งออก จงึ ขอให้เกษตรกรพึงระมดั ระวัง ในการใชส้ ารเคมีป้องกันกาํ จัดศตั รูพืชในลําไย โดยงดการใชส้ ารเคมตี อ้ งหา้ ม ได้แก่ สารเมทามิโดฟอส พาราไธออนเมทธลิ และ เอนโดซัลแฟน และงด ใชส้ ารเคมอี น่ื ๆ ในแปลงลําไย 20 วนั กอ่ นการเกบ็ เกีย่ วผลผลิต เพื่อ หลกี เล่ยี งปญั หาการตรวจพบ สารพิษตากค้างเกนิ ค่ามาตรฐานท่ีประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจีนกาํ หนด และเป็นการสรา้ งมาตรฐาน คณุ ภาพการผลติ ลําไยส่งออกของประเทศไทยให้เปน็ ไปตามมาตรฐานสากล และเปน็ ที่ยอมรบั ของท่ัวโลก การจดทะเบียนเกษตรกรในโครงการระบบจดั การคณุ ภาพ : GAP ลาํ ไย เปน็ การรับรองแปลงผลิตของ เกษตรกร เพอื่ สรา้ งมาตรฐาน และ สรา้ งคุณภาพผลผลติ ของเกษตรกร โดยเกษตรกรทสี่ มคั รเขา้ เปน็ สมาชิกโครงการ ฯ จะได้รบั การสนับสนุนทางวิชาการ และ ไดร้ ับบรกิ ารสมุ่ ตรวจสอบสารพษิ ตกค้างใน ผลผลิตลําไย โดยไมเ่ สยี ค่าใชจ้ ่ายถ้าหากสง่ ไป และ โรงคัดบรรจุทีซ่ อ้ื ผลผลติ จากสวน GAP จะมีการสุ่ม ตรวจเพยี ง 10 % เท่านน้ั (แต่หากซ้ือจากผูท้ ีไ่ ม่ไดเ้ ปน็ สมาชิกจะมกี ารสมุ่ ตรวจ 100 %) ทําใหช้ ่วยลด ตน้ ทนุ ในการสง่ ออก (ไชยวฒั น์, 2548) สรุป การปอ้ งกันกําจดั ศัตรไู ม้ผล เปน็ ตัวแปรที่สาํ คญั ต่อต้นทุนในการผลิตไมผ้ ลของเกษตรกร หากสามารถนาํ การบรหิ ารจัดการศตั รพู ชื แบบผสมผสาน (IPM) มาใชใ้ นการปอ้ งกนั กําจัดแล้ว ผลผลิตที่ ได้รับกจ็ ะมคี ุณภาพ ปลอดภัยจากสารพษิ ลดตน้ ทุนในการผลติ ตลอดจนรักษาสภาพนเิ วศวิทยาและ สงิ่ แวดลอ้ ม จะส่งผลถงึ ความยง่ั ยืนในการประกอบอาชีพการทาํ สวนไม้ผลของเกษตรกร ต่อไป การป้องกัน กําจดั ศตั รูพชื อาจทาํ ไดห้ ลายวิธไี ด้แก่ การทาํ ลายเศษซากพชื การป้องกนั ดว้ ยวิธีการปฏิบัติ การกาํ จัดเชอื้ ในดนิ การใช้พนั ธ์ตุ ้านทาน การป้องกนั กําจัดดว้ ยชีววธิ ี และการใช้สารเคมีในการปอ้ งกันกาํ จัด ไม่ว่าจะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook