คำ� นำ� การท�ำงานส่งเสริมการเกษตร เป็นการท�ำงานที่มุ่งปรับปรุงคุณภาพชีวิตและ ความเปน็ อยู่ของเกษตรกร โดยเจา้ หนา้ ท่ีส่งเสริมการเกษตร เป็นผู้น�ำความรู้และเทคโนโลยี ทีเ่ หมาะสม ถา่ ยทอดสูเ่ กษตรกรกลมุ่ เป้าหมาย ปี 2556 กรมสง่ เสรมิ การเกษตรไดจ้ ดั ทำ� “คมู่ อื ปฏบิ ตั งิ านเจา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การเกษตร” เพ่อื เปน็ องค์ความรใู้ หเ้ จ้าหนา้ ทส่ี ง่ เสรมิ การเกษตร ได้ใช้เปน็ แนวทางการปฏบิ ัตงิ านสง่ เสรมิ การเกษตรในพ้ืนท่ี โดยไดร้ วบรวมและเรยี บเรียงเนอ้ื หาตามหลกั วิชาการทีถ่ กู ต้อง สามารถ อา้ งองิ ได้ และถอดบทเรยี นจากหลกั ปฏบิ ตั จิ รงิ สามารถประยกุ ตใ์ ชก้ บั งานสง่ เสรมิ การเกษตร ในแต่ละพ้ืนที่ จ�ำนวน 24 รายการ แบ่งเป็นเนื้อหา ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พชื เศรษฐกิจ ด้านเคหกจิ เกษตรและการเพมิ่ มูลคา่ สินคา้ เกษตร และด้านเทคนคิ การทำ� งาน สง่ เสริมการเกษตร คมู่ อื ปฏบิ ตั งิ านเจา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การเกษตร เรอื่ ง “องคค์ วามรเู้ พมิ่ ประสทิ ธภิ าพการ ผลิต..สูก่ ารเป็น smart officer : ไมด้ อกไมป้ ระดับ” เล่มน้ปี ระกอบดว้ ยเนอื้ หาเกีย่ วกับ การปลกู และการดแู ลรกั ษาไมด้ อกไมป้ ระดบั ทสี่ ำ� คญั 17 ชนดิ ซงึ่ เจา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การเกษตร สามารถนำ� ไปปรบั ใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะการทำ� งานตามบทบาทและหนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบ และหวังใหเ้ กิดแนวคิด การพัฒนาทกั ษะในการทำ� งานสง่ เสริมการเกษตรเพอื่ ประโยชน์ของ เกษตรกรต่อไป กรมส่งเสริมการเกษตร ขอขอบคุณในความร่วมมืออย่างดียิ่งจากหน่วยงานและเจ้า หน้าท่ีท่ีเก่ียวข้อง ในการให้ข้อมูลและภาพประกอบส�ำหรับการจัดท�ำหนังสือเล่มนี้ และหากเจ้าหน้าท่ีส่งเสริมการเกษตร มีข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม ขอได้โปรดแจ้งมายัง กรมส่งเสริมการเกษตรให้ทราบด้วย ท้ังนี้ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงส�ำหรับการใช้งาน คร้ังตอ่ ไป (นางพรรณพมิ ล ชัญญานวุ ัตร) อธิบดกี รมส่งเสริมการเกษตร สงิ หาคม 2556
สารบญั เรื่อง หนา้ กลว้ ยไม้ตดั ดอกสกุลหวาย 1 กลว้ ยไม้ตัดดอกสกลุ มอคคารา 11 ดาวเรืองตดั ดอก 20 มะลิ 29 หน้าววั ตดั ดอก 38 เบญจมาศตดั ดอก 52 กหุ ลาบตดั ดอก 64 ปทุมมา 76 บัวหลวงตัดดอก 86 กวนอมิ 93 เฟ่ืองฟ้า 99 ธรรมรักษาตัดดอก 105 แกว้ กาญจนา 112 ฟิโลเดนดรอนตัดใบ 119 หมากผหู้ มากเมยี 124 โปร่งฟา้ ตัดใบ 128 เฟินใบมะขาม 134 ภาคผนวก ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โต 144 และให้ผลผลติ ของไมด้ อกไมป้ ระดับ รายชื่อผู้เรียบเรียง 146
บทนำ� ปัจจุบันประเทศไทยมีพ้ืนที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับประมาณ 64,421 ไร่ แบ่งเป็นไม้ดอก ประมาณ 45,988 ไร่ ไม้ประดับ 17,324 ไร่ และไม้ตดั ใบ 1,100 ไร่ ไมด้ อกทีม่ กี ารปลกู มากทสี่ ดุ คอื กลว้ ยไม้ตัดดอก ซึ่งมพี ้ืนทปี่ ลูก 18,058 ไร่ รองลงมาเป็นดาวเรอื ง มะลิ บวั กหุ ลาบ เบญจมาศ ปทมุ มาและหนา้ ววั แหลง่ ผลติ ไมด้ อกไมป้ ระดบั ของไทยกระจายอยใู่ นทกุ ภมู ภิ าค โดยชนดิ ไมด้ อกไม้ ประดบั ทป่ี ลกู จะแตกตา่ งกนั ตามสภาพภมู ปิ ระเทศและภมู อิ ากาศ เชน่ กลว้ ยไมป้ ลกู มากในจงั หวดั นครปฐม สมุทรสาคร นนทบรุ ี ราชบุรี ชลบุรี พระนครศรอี ยุธยาและกรงุ เทพมหานคร กุหลาบ และเบญจมาศซงึ่ เปน็ ไมด้ อกเมืองหนาวปลกู มากในจงั หวัดเชียงใหม่ เชียงราย และตาก บวั ปลูก มากในจังหวดั นครปฐม พระนครศรีอยธุ ยา นนทบรุ ี และนครสวรรค์ มะลแิ ละดาวเรืองปลกู มาก ในจังหวัดนครสวรรค์ นครปฐมไม้ประดับ ไม้ขุดล้อมปลูกมากในจังหวัดปราจีนบุรี นครนายก เชยี งใหม่ กำ� แพงเพชร ไมป้ ระดบั ชำ� ถงุ ปลกู มากในจังหวดั นครนายก ผลผลติ ไมด้ อกไมป้ ระดบั นอกจากใชบ้ รโิ ภคภายในประเทศแลว้ ยงั สามารถสง่ ออกไปจำ� หนา่ ย ตา่ งประเทศทำ� รายไดป้ ลี ะกวา่ 3,500 ลา้ นบาท โดยกลว้ ยไมต้ ดั ดอกสง่ ออกมากทสี่ ดุ มลู คา่ ประมาณ ปลี ะ 2,100 ลา้ นบาท ตน้ กลว้ ยไมส้ ง่ ออกปลี ะกวา่ 500 ลา้ นบาท ไมป้ ระดบั สง่ ออกปลี ะ 400 ลา้ นบาท โดยชนดิ ของไมป้ ระดบั ทส่ี ง่ ออกมาก ไดแ้ ก่ ลน้ิ มงั กร งาชา้ ง วาสนา ปาลม์ โฮยา่ หยก แกว้ กาญจนา ชวนชม ลัน่ ทม และไทร จากความส�ำคัญของไม้ดอกไม้ประดับ ในแง่เป็นพืชเศรษฐกิจท่ีให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง และมตี ลาดรองรบั ทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ จงึ ทำ� ใหไ้ ดร้ บั ความสนใจจากเกษตรกรจำ� นวนมาก ทจี่ ะปลกู เปน็ อาชพี แตใ่ นการผลติ ไมด้ อกไมป้ ระดบั ใหไ้ ดผ้ ลผลติ ทมี่ คี ณุ ภาพเปน็ ทตี่ อ้ งการของตลาด เกษตรกรจะต้องปลูกและดแู ลรกั ษาอย่างถูกตอ้ ง ประกอบกบั ไม้ดอกไมป้ ระดับแต่ละชนดิ มวี ิธีการ ปลกู และดแู ลรกั ษาทแี่ ตกตา่ งกนั เจา้ หนา้ ทส่ี ง่ เสรมิ การเกษตรซง่ึ มหี นา้ ทใี่ นการใหค้ ำ� ปรกึ ษาแนะนำ� แกเ่ กษตรกร จงึ ตอ้ งมีแหล่งศกึ ษาเรียนรใู้ นเร่อื งเหลา่ นี้ ดว้ ยเหตนุ ี้ กรมส่งเสรมิ การเกษตรจึงได้จดั ท�ำคูม่ ือปฏิบตั ิงานของเจา้ หน้าท่ี ฉบับน้ีขน้ึ เพื่อ ใหเ้ จา้ หนา้ ทสี่ ง่ เสรมิ การเกษตรไดศ้ กึ ษาและใชเ้ ปน็ คมู่ อื ในการทำ� งาน โดยคดั เลอื กไมด้ อกไมป้ ระดบั ชนดิ ทมี่ คี วามสำ� คญั และเกษตรกรใหค้ วามสนใจมาก จำ� นวน 17 ชนดิ ไดแ้ ก่ กลว้ ยไมต้ ดั ดอกสกลุ หวาย กลว้ ยไมต้ ดั ดอกสกลุ มอคคารา ดาวเรอื งตดั ดอก มะลิ หนา้ ววั ตดั ดอก เบญจมาศตดั ดอก กหุ ลาบตดั ดอก ปทุมมา บัวหลวง กวนอมิ เฟ่ืองฟา้ ธรรมรกั ษา แกว้ กาญจนา ฟิโลเดนดรอน หมากผ้หู มากเมีย โปรง่ ฟา้ และเฟนิ ใบมะขาม เนอื้ หาของแตล่ ะชนดิ ประกอบดว้ ย การปลกู และดแู ลรกั ษา สภาพแวดลอ้ ม ท่เี หมาะสม และเทคนคิ เฉพาะในการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิต กรมส่งเสริมการเกษตรหวงั เป็น อยา่ งยง่ิ วา่ คมู่ อื เลม่ นจี้ ะเปน็ อกี เครอื่ งมอื หนง่ึ ทสี่ ามารถเพม่ิ ความรแู้ ละสรา้ งความมนั่ ใจแกเ่ จา้ หนา้ ที่ ส่งเสรมิ การเกษตร เพ่อื สามารถใหค้ ำ� ปรกึ ษาแนะนำ� เกษตรกรให้ประสบความส�ำเร็จในอาชพี ปลูก เลย้ี งไม้ดอกไมป้ ระดบั และประเทศมีผลผลิตไม้ดอกไมป้ ระดับที่มีคุณภาพสงู ข้ึนเป็นท่ยี อมรับของ ตลาดโลกมากย่งิ ขน้ึ กลุ่มสง่ เสรมิ การผลิตไมด้ อกไมป้ ระดบั ส�ำนกั สง่ เสรมิ และจัดการสนิ คา้ เกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร
กลส้วยกไุลมห้ตวัดาดยอก ขัน้ ตอนการปลูกและการดแู ลรกั ษากลว้ ยไมต้ ดั ดอกสกุลหวาย การเตรียมการ เดอื น 1 เดอื น 4 เดือน 6 เดอื น 8 ปีที่ 2 ปที ี่ 3 ปีที่ 4 โรงเรอื น - สูง 4.5 เมตร ปลูก ปยุ๋ ระยะกอ่ นออกดอก เร่มิ ตดั ดอก ร้ือแปลง - พรางแสง 50 % ต้นแยกล�ำ ปลูกบนกาบ - สูตร 20-20-20 หรือ การใหน้ ำ�้ ปุย๋ ระยะออกดอก โตะ๊ ปลูก - กว้าง 1 เมตร มะพร้าวเรือใบ ระยะปลูก สูตร 21-21-21 2 ครง้ั - นำ�้ สะอาดวนั ละครง้ั ระหวา่ ง - สตู ร 20-20-20 หรอื สตู ร 21- - พ้นื โต๊ะขงึ ดว้ ย 25x25 ซม. หรอื กระบะกาบ สลบั สตู ร 30-10-10 หรอื เวลา 6.00–9.00 น. 21-21 สลับกับสูตร 15-30-15 สายโทรศัพท์ มะพร้าว กระบะละ 4 ต้น 30-20-10 อัตรา 250- - หากมีฝนตกควรงดให้น้�ำ หรือสูตร 13-40-13 อัตราไรล่ ะ ตน้ พนั ธุ์ - ตน้ เน้อื เย่ือ ให้แต่ละต้นห่างจากมุมเข้า 300 กรัมต่อน้�ำ 200 จนกวา่ เครอื่ งปลูกจะแห้ง 500 – 1000 กรมั ตอ่ นำ้� 200 ลติ ร อายุ 4 เดือน มาประมาณ 3 นิว้ ลิตรตอ่ ไร่ ทุก 7 วัน - ฤดูแล้งอาจใหน้ ำ�้ เพิม่ อีก 1 ตอ่ ไร่ ทุก 7 วัน - ตน้ แยกล�ำหน้า ครั้งในตอนบ่ายแต่ไม่ควรให้ และหลงั ต้นเนื้อเย่ือ ปลูกบนกาบ หลังเวลา 15.00 น. มะพร้าวเรือใบ ระยะปลูก 25x25 ซม. หรือปลูกบน เรม่ิ ตัดดอก ร้ือแปลง กระบะกาบมะพร้าวกระบะ ละ 4 ต้น ให้แต่ละต้นห่าง จากมมุ เขา้ มาประมาณ 3 นว้ิ ศัตรพู ืชทสี่ �ำคญั และการปอ้ งกันก�ำจดั การปฏบิ ัตหิ ลงั การเกบ็ เกี่ยว 1. โรคเน่าด�ำ ไม่ควรปลูกกลว้ ยไม้แน่นเกินไป และรดน�้ำกล้วยไมต้ อนใกลค้ �่ำ ถา้ พบโรคในระยะลกู กล้วยไม้ 1. หลงั ตดั รีบน�ำดอกมาแชน่ ำ้� ใหก้ ้านดอกแชอ่ ยู่ในนำ�้ สงู ให้แยกไปปลูกเลี้ยงตา่ งหาก แต่ถ้าเปน็ ต้นโตแลว้ ใหเ้ ผาท�ำลาย และใช้สารเคมีตามเอกสารแนะนำ� 2 – 3 นิ้ว นานทส่ี ุดกอ่ นสง่ จำ� หนา่ ย 2. โรคใบป้ืนเหลือง ใหเ้ ก็บรวบรวมใบท่ีเปน็ โรคไปเผาทำ� ลาย และใช้สารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� 2. ระหว่างรอผ้สู ่งออกมารับควรฉีดพรมน�้ำหรือใช้ผา้ 3. เพลีย้ ไฟ ตดิ ตง้ั กบั ดกั กาวเหนยี ว อัตรา 100 กบั ดักต่อไร่ เพ่ือพยากรณแ์ ละลดปริมาณตัวเต็มวัย ชุบน�้ำหมาดๆ ปดิ คลมุ ไว้ หากพบเพล้ียไฟเกินระดบั ท่ีก�ำหนด ใหใ้ ชส้ ารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� 3. ผึ่งดอกให้แหง้ กอ่ นขนส่งหรือบรรจุ 4. บ่วั กลว้ ยไม้ เก็บดอกท่ีถกู ท�ำลายน�ำไปเผาทง้ิ เพือ่ ก�ำจดั หนอนท่ีอย่ใู นดอก ไม่ควรปล่อยให้ดอกเน่า 4. จดุ พกั และรวบรวมช่อดอกกล้วยไมภ้ ายในแปลงตอ้ ง ร่วงหลน่ จากก้านดอก และใช้สารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� มภี าชนะทีส่ ะอาดรองรับ และสามารถปอ้ งกันผลกระทบ 5. หอยทาก เมือ่ ปลกู ตน้ ใหมห่ รอื เปลยี่ นเครอื่ งปลูกใหม่ ท�ำด้วยการอบหรือตากแห้งกาบมะพร้าวเสยี กอ่ น จากความร้อนและแสงแดด หรอื ชุบสารก�ำจัดหอยกอ่ นน�ำมาใช้ และใชส้ ารเคมตี ามเอกสารแนะนำ�
เทคนิคการปลูกและดแู ลรกั ษากลว้ ยไม้ตัดดอกสกุลหวาย 1.การเตรียมการกอ่ นปลกู 1.1 การเตรียมโรงเรือน 1) โรงเรอื น สงู 4.5 เมตร และพรางแสงด้วยตาข่ายสดี �ำ 40-50 % โดยขึง ตาข่ายพรางแสงหา่ งกนั ประมาณ 15 เซนติเมตร หรอื สงู ตำ่� เหลื่อมกนั 50 เซนตเิ มตร ทกุ ระยะ 20 – 25 เมตร เพ่อื ระบายอากาศใหถ้ ่ายเทดี 2) โต๊ะปลูก กวา้ ง 1 เมตร ยาว 20 – 25 เมตร สงู 70 เซนติเมตร ขาโต๊ะ เปน็ แทง่ คอนกรีตอัดแรง ขนาด 2 น้ิว x 2 น้ิว สงู 1 เมตร ฝังลกึ ลงในดนิ ลกึ 30 เซนติเมตร แตล่ ะเสาหา่ งกนั 1 เมตร พนื้ โต๊ะทำ� ด้วยสายโทรศพั ท์ตามความยาวของโตะ๊ จำ� นวน 10 แถว ลักษณะโรงเรอื นและโตะ๊ ปลูก 1.2 การเตรยี มพนั ธุ์ 1. ต้นพนั ธจ์ุ ากการเพาะเลยี้ งเน้อื เย่ือ 1.1 น�ำต้นพันธ์ออกจากขวดเพาะเล้ียง เน้อื เย่อื ผ่งึ ไว้ 7 – 10 วัน แล้วน�ำมาหมุ้ รากด้วย กาบมะพรา้ ว รดั ดว้ ยหนงั ยาง วางในโรงเรอื นทพ่ี ราง แสง 80% มพี ลาสตกิ กนั ฝน 1.2 รดนำ้� วนั ละครั้ง 2 สปั ดาหแ์ รก เรมิ่ ใหป้ ุ๋ยเมื่อต้นอายุประมาณ 2 - 3 เดือนขน้ึ ไป ใหป้ ุ๋ย สตู ร 30-10-10 อตั ราครงึ่ หนง่ึ หรือหน่งึ ในสข่ี องที่ ให้ปกติ เพอื่ น�ำไปปลกู ตดั ดอก 2. ต้นพันธุ์จากการแยกล�ำหน้าและ ล�ำหลงั 2.1 การตดั แยกลำ� ควรจมุ่ กรรไกรหรอื มดี ในนำ�้ ยาฆา่ เชือ้ โรคทกุ คร้ัง และทาปนู แดงท่รี อยตดั 2
2.2 นำ� ไปชำ� โดยวางนอนบนโตะ๊ ทป่ี พู น้ื ดว้ ยตาขา่ ยพรางแสง รดนำ�้ วนั ละครงั้ และอาจใหป้ ุย๋ สูตร 20-20-20 ทุก 7 วนั เพอื่ เร่งให้แตกหนอ่ เร็วข้นึ 2.3 หลงั จากชำ� ประมาณ 2 เดอื นหนอ่ ใหมจ่ ะมรี ากประมาณ 3 - 4 ราก พรอ้ มทีจ่ ะยา้ ยไปปลกู โดยต้องยา้ ยกอ่ นทรี่ ากจะยึดตดิ กบั ตาขา่ ยพรางแสง 2.การปลกู 2.1 วธิ ีปลูก 1) กาบมะพร้าวเรือใบ ระยะปลกู 25 x 25 เซนตเิ มตร แตล่ ะโตะ๊ ปลกู 4 แถว 2) กระบะกาบมะพร้าว เป็นสี่เหล่ียมขนาด 24 x 32 เซนติเมตร ปลูก บนกระบะละ 4 ตน้ ให้แต่ละตน้ ห่างจากมุมเข้ามาประมาณ 3 นวิ้ (ประมาณ 12,000 – 15,000 ตันตอ่ ไร่) โดยแตล่ ะต้นห่างจากมมุ เข้ามาประมาณ 3 นิว้ หนั หน่อลำ� หน้า ออกไปด้านมมุ ของกระบะ ต้นพนั ธจ์ุ ากการเพาะเลีย้ ง เนื้อเย่อื ปลูกบนกระบะ กาบมะพรา้ ว 3.การดแู ลรักษา 3.1 การใหน้ �้ำ มคี า่ ความเปน็ กรด - ด่าง (pH) ของนำ้� ระหว่าง 5.2 – 6.2 และค่าการน�ำไฟฟ้า (EC) ไม่เกิน 750 ไมโครโมห์ต่อเซนติเมตร และควรให้น้�ำวันละคร้ัง ระหว่างเวลา 6.00 – 9.00 น. หากมฝี นตกควรงดให้นำ้� จนกว่าเครอ่ื งปลกู จะแห้ง สว่ นในฤดแู ลง้ อาจ ให้น้�ำเพ่มิ อกี 1 ครง้ั ในตอนบา่ ย แตไ่ ม่ควรให้หลงั เวลา 15.00 น. เพือ่ ใหเ้ ครอ่ื งปลูก แหง้ กอ่ นค่ำ� 3.2 การให้ป๋ยุ ฉีดพ่นทางใบด้วยปุ๋ยเกล็ดหรือปุ๋ยที่ให้ทางระบบน้�ำ โดยควรให้ปุ๋ยท่ัวถึงทั้งต้น ราก และใบ ยกเว้นดอก การให้ปยุ๋ ควรใหป้ ุ๋ยในวันทีม่ แี สงแดด ดังน้ี - ระยะกอ่ นออกดอก ใชป้ ๋ยุ ทางใบสตู ร 20-20-20 หรอื สูตร 21-21-21 จ�ำนวน 2 ครั้ง สลับสูตร 30-10-10 หรือสูตร 30-20-10 อัตราไร่ละ 250 - 300 กรมั ตอ่ น�้ำ 200 ลิตร ทุก 7 วัน 3
- ระยะออกดอกถงึ ตดั ดอก ใชป้ ยุ๋ ทางใบสตู ร 20-20-20 หรอื สตู ร 21-21-21 สลบั สตู ร 15-30-15 หรอื สตู ร 13-40-13 อตั ราไรล่ ะ 500 – 1000 กรมั ตอ่ นำ�้ 200 ลติ ร ต่อไร่ ทกุ 7 วนั 4.ศัตรพู ืชที่ส�ำคัญ 4.1 โรค 1) โรคเน่าดำ� หรอื โรคยอดเน่า หรือโรคเน่า เขา้ ไส้ (Black rot) เกิดจากเชอื้ รา ระบาดมากในชว่ งฤดู ฝน การปอ้ งกนั กำ� จดั ไมค่ วรปลกู กลว้ ยไมแ้ นน่ เกนิ ไป และ ไมร่ ดนำ้� กลว้ ยไมต้ อนใกลค้ ำ่� ถา้ พบโรคในระยะลกู กลว้ ยไม้ ให้แยกไปปลูกเลี้ยงต่างหาก แต่ถ้าเป็นตอนต้นโตแล้วให้ เผาท�ำลาย และใชส้ ารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� 2) โรคใบปน้ื เหลอื ง (Yellow leaf spot) เกดิ จาก เช้ือรา ระบาดมากในช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว วิธีการ ป้องกันก�ำจัดเบ้ืองต้นให้เก็บรวบรวมใบที่เป็นโรคไปเผา ท�ำลาย และใชส้ ารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� 4.2 แมลง 1) เพล้ยี ไฟ หรอื เพลีย้ ไฟฝ้าย เป็นแมลงชนดิ หนึง่ ระบาดมากในชว่ งฤดูร้อนและฤดหู นาว หรืออากาศ แห้งแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน การป้องกันก�ำจัด ด้วยการตดิ ต้ังกบั ดักกาวเหนียว อัตรา 100 กับดกั ตอ่ ไร่ เพ่ือพยากรณ์และลดปริมาณตัวเต็มวัย หากพบเพล้ียไฟ เกินระดับที่ก�ำหนด ให้ใช้สารเคมีตามเอกสารแนะนำ� 2) บว่ั กลว้ ยไม้ เปน็ แมลงชนดิ หนงึ่ ระบาดรนุ แรง ในฤดฝู น ปอ้ งกนั กำ� จดั ดว้ ยการเกบ็ ดอกทถ่ี กู ทำ� ลายนำ� ไป เผาทง้ิ เพอื่ กำ� จดั หนอนทอี่ ยใู่ นดอก ไมค่ วรปลอ่ ยใหด้ อกเนา่ รว่ งหล่นจากก้านดอก และใช้สารเคมีตามเอกสารแนะน�ำ 4.3 สตั ว์ 1. หอยทาก ระบาดรนุ แรงในฤดฝู น การปอ้ งกนั กำ� จดั เมอ่ื ปลกู ตน้ ใหมห่ รอื เปลยี่ นเครอื่ งปลกู ใหม่ ทำ� การอบ หรอื ตากแหง้ กาบมะพรา้ วเสยี กอ่ น หรอื ชบุ สารกำ� จดั หอย กอ่ นน�ำมาใช้ และใชส้ ารเคมีตามเอกสารแนะนำ� ศัตรูพืชที่ส�ำ คญั 4
5.การปฏบิ ัตกิ อ่ นและหลงั การเก็บเกีย่ ว 5.1 การเกบ็ เกีย่ ว 1) มาตรฐานกลว้ ยไม้ตดั ดอกสกลุ หวาย มาตรฐานคุณภาพ (Specification) กล้วยไม้สกุลหวาย ตามประกาศ คณะกรรมการมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหารแห่งชาติ เรอื่ ง ก�ำหนดมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหารแหง่ ชาติ : กล้วยไม้ พ.ศ. 2552 ลกั ษณะ ชัน้ พิเศษ (Extra) ชนั้ หนง่ึ (I) ช้ันสอง (II) ชนั้ สาม (III) ไม่นอ้ ยกว่า 45 ไม่น้อยกวา่ 35 ไม่น้อยกวา่ 30 ความยาวช่อดอก (ซม.) ไม่น้อยกว่า 55 ไม่นอ้ ยกว่า 10 ไม่น้อยกว่า 8 ไม่นอ้ ยกว่า 6 จำ�นวนดอก/ชอ่ ไมน่ อ้ ยกว่า 12 ไมน่ ้อยกวา่ 6 ไม่น้อยกว่า 5 ไมน่ ้อยกว่า จำ�นวนดอกบาน/ช่อ ไมน่ ้อยกว่า 7 2) ระยะเวลาทเ่ี หมาะสม ควรตดั เมือ่ ดอกกลว้ ยไมบ้ านไมน่ ้อยกว่า 3 ใน 4 ของจ�ำนวนดอกทัง้ ชอ่ ในตอนเชา้ เวลา 05.00 – 09.00 น. เพราะอณุ หภมู ยิ ังไมส่ ูง แดดไมจ่ ัด และควรตัดดอกหลงั การให้ปยุ๋ 2 – 3 วนั 3) วธิ กี ารเกบ็ เกยี่ ว ควรใชก้ รรไกรหรอื มดี ทค่ี มและสะอาด ทำ� การฆา่ เชอ้ื โดย ชุบน้�ำยาฆา่ เชือ้ กอ่ นการตดั ดอก ตดั ก้านช่อดอกกลว้ ยไมใ้ หเ้ กอื บชดิ ล�ำต้นใหไ้ ดก้ ้านช่อท่ี ยาวท่ีสดุ และตัดใหเ้ ป็นมมุ เฉยี งเปน็ ปากฉลาม เพอ่ื เพม่ิ พ้ืนทีใ่ นการดดู น�้ำ และเพอ่ื ป้องกัน การระบาดของโรคจากตน้ หนง่ึ ไปสอู่ กี ตน้ หนง่ึ 5.2 การปฏิบัตหิ ลังการเก็บเก่ยี ว 1. หลงั จากตดั ดอกแลว้ ใหร้ บี นำ� ดอกกลว้ ยไมไ้ ปแชน่ ำ้� ใหก้ า้ นดอกแชอ่ ยใู่ นนำ้� สงู 2 – 3 นว้ิ โดยแชใ่ ห้นานท่สี ดุ ก่อนสง่ จำ� หนา่ ย เปลี่ยนน�้ำในถงั ทุกวัน และลา้ งทำ� ความ สะอาดถงั ดว้ ยน�้ำยาฆา่ เชอ้ื อยา่ งนอ้ ยสัปดาห์ละคร้งั 2. ผเู้ กบ็ เกยี่ วดอกกลว้ ยไมจ้ ะตอ้ งเกบ็ เกย่ี ว วางพกั และขนยา้ ยดว้ ยความระมดั ระวงั ไมใ่ หม้ ผี ลกระทบตอ่ คณุ ภาพชอ่ ดอกกลว้ ยไม้ โดยจดุ พกั และรวบรวมชอ่ ดอกกลว้ ยไมภ้ ายใน แปลงตอ้ งมภี าชนะทส่ี ะอาดรองรบั และสามารถปอ้ งกนั ผลกระทบจากความรอ้ นและแสงแดด 5
3. การคดั แยกชอ่ ดอกกลว้ ยไม้ - คัดแยกชอ่ ดอกกล้วยไมท้ ี่ไม่สมบรู ณอ์ อก เช่น ช่อดอกกลว้ ยไม้ท่ีมศี ัตรูพืช หรือมรี ่องรอยการทำ� ลายของศตั รพู ชื - คดั แยกชั้นคุณภาพชอ่ ดอกกล้วยไมต้ ามขนาด และมดั ก�ำ กำ� ละ 10 ชอ่ ยกเวน้ กล้วยไม้สกลุ หวายขนาดสั้นสดุ (มาตรฐานชนั้ สาม) มดั ก�ำละ 20 ช่อ 4. จุดพักและรวบรวมช่อดอกกล้วยไม้ระหว่างรอการขนส่ง บรรจุกล่องหรือ ภาชนะทส่ี ะอาด และมีการดแู ลรกั ษาช่อดอกกลว้ ยไม้อย่างระมดั ระวัง เช่น การเกบ็ รักษา ในทีอ่ ุณหภมู ติ �ำ่ ไม่โดนแสงแดดและใช้ผ้าขาวบางชุบน�ำ้ พอหมาด ๆ คลมุ ชอ่ ดอกกลว้ ยไม้ เพอ่ื รกั ษาความชน้ื ตลอดการขนสง่ ไปจนถงึ บรษิ ทั ผู้ส่งออก 6
ข้อมลู สภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและให้ผลผลิตของกล้วยไม้ตดั ดอก สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กัด 1. สภาพภมู ิอากาศ 1.1 อุณหภูมิ - กลางวัน 25 – 35 องศาเซลเซยี ส - อณุ หภมู ทิ ีส่ งู เกินไปมผี ลให้กลว้ ยไม้เจริญเติบโตไมด่ ีอ่อนแอต่อโรค ดอกเหี่ยวเร็ว และโรงเรือนตอ้ งสรา้ งสงู มากขน้ึ เพอ่ื ให้ระบายอากาศไดด้ ี 1.2 ความชื้นสัมพทั ธ์ 1.3 ความเข้มของแสง - กลางคนื ไมต่ ำ่ �กวา่ 18 องศาเซลเซยี ส - อณุ หภูมิทตี่ ำ่� เกนิ ไปมีผลทำ� ใหก้ ลว้ ยไมใ้ บเหลืองรว่ ง แตกหน่อนอ้ ย 1.4 ปรมิ าณกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ให้ดอกนอ้ ย และดอกบานไม่ทน 1.5 ความเร็วลม 1.6 ปรมิ าณนำ้ �ฝน - 50 – 60 เปอรเ์ ซ็นต์ - ความชน้ื สัมพนั ธท์ ่ีตำ�่ เกินไปมีผลทำ� ใหก้ ล้วยไมเ้ จรญิ เติบโตชา้ ถ้าสงู เกินไป 2. สภาพพ้นื ท่ี ท�ำใหก้ ล้วยไม้เจริญเตบิ โตไมด่ ีและเป็นโรคไดง้ ่าย 2.1 ลกั ษณะทัว่ ไป 2.2 ความลาดเอยี งของพื้นท่ี - 15,000 – 40,000 ลักซ์ - ความเข้มแสงน้อยเกนิ ไปทำ� ใหก้ ลว้ ยไม้มลี �ำลกู กลว้ ยทย่ี ืดยาว ใบเขียวเข้ม - 700 - 1,500 ส่วนในลา้ นส่วน ให้ดอกนอ้ ย ถา้ ความเข้มแสงมากเกินไปทำ� ใหก้ ล้วยไม้ใบไหม้ - มีลมพดั เพอ่ื ใหอ้ ากาศถ่ายเทแต่ตอ้ ง - การปลูกกล้วยไม้บริเวณที่มีลมแรงควรสร้างโรงเรือนท่ีแข็งแรง ขึงตาข่าย ไมแ่ รงจนเกินไป พรางแสงแบบตา่ งระดบั และปลูกต้นไมบ้ งั ลม - เฉลีย่ ไม่เกนิ 1,200 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี - ในฤดูที่ฝนตกชุก กล้ากล้วยไม้จะเจริญเติบโตทางล�ำต้นและแตกหน่อเร็ว แต่เกดิ โรคได้งา่ ย - เปน็ พื้นที่ราบ ไมม่ ปี ัญหานำ้ �ทว่ ม -การปลกู กลว้ ยไมใ้ นพ้ืนทสี่ งู ตอ้ งเลอื กทมี่ แี หลง่ น้ำ�เพยี งพอตลอดปี มีการถ่ายเทอากาศทดี่ ี คณุ ภาพน้ำ�ดแี ละอุณหภมู ไิ มต่ ำ่ �เกินไปในฤดูหนาว - ไม่เกนิ 5 เปอร์เซ็นต์ - หากเปน็ พื้นที่ลาดเอยี งมากควรมกี ารปรบั พ้ืนท่ีเปน็ ข้ันบันได เพ่อื สร้างโรงเรือนไมใ่ หม้ ีระดบั ท่แี ตกต่างกันมากเกนิ ไป 7
8 ข้อมลู สภาพแวดล้อมท่เี หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและให้ผลผลติ ของกลว้ ยไมต้ ดั ดอก (ต่อ) สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กดั 2.3 ความสูงจากระดบั นำ้ �ทะเล - 0 – 200 เมตร - น�้ำมีสภาพเป็นด่างหรือกรดมากเกนิ ไปจะทำ� ใหป้ ยุ๋ หรือสารเคมีละลาย 3. สภาพนำ้� - 5.2 – 6.2 ได้ไม่ดี จ�ำเป็นตอ้ งใช้กรดหรอื ด่างปรบั กอ่ นนำ� ไปใช้ 3.1 ความเปน็ กรด-ดา่ ง (pH) - สภาพน้ำ� ท่ีเป็นด่างมากเกินไปยงั มีผลใหร้ ากกุดกลว้ ยไม้ชงกั การเจรญิ - น้�ำที่มีค่าการน�ำไฟฟ้าสูงปรับลดลงได้ยาก จงึ เปน็ สิ่งส�ำคัญทีจ่ ะตอ้ ง 3.2 คา่ การน�ำไฟฟา้ (EC) - ไม่เกนิ 750 µ mhos/cm ตรวจสอบตง้ั แต่เลอื กพ้นื ที่ แตห่ ากสงู เพียงบางชว่ งสามารถปรบั การให้ปุ๋ย ในอัตราทตี่ �ำ่ ลงแตใ่ หบ้ ่อยครัง้ มากขน้ึ ได้ 3.3 ปรมิ าณโซเดยี ม (Na) - ไมเ่ กิน 3 meq/l 3.4 ปริมาณคลอไรด์ (Cl) - ไมเ่ กนิ 3 meq/l 3.5 ปรมิ าณซลั เฟต (SO4) -ไม่เกนิ 10 meq/l 3.6 ปรมิ าณไบคาร์โบเนต (HCO3) - ไม่เกิน 1.5 meq/l 3.7 เปอร์เซน็ ต์โซเดยี มท่ีละลายนำ้� ได้ - ไม่เกิน 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ (SSP) 3.8 โซเดยี มคาร์บอเนตหรือดา่ งท่เี หลอื - ไมเ่ กิน 1.25 meq/l (RSC) 3.9 อตั ราการดูดซบั โซเดียม (SAR) - ไมเ่ กนิ 2.0 4. ธาตอุ าหาร - N:P:K = 4:2:5
แนวทางการเพ่มิ ประสิทธภิ าพการผลติ และแหล่งสืบคน้ ขอ้ มูลเพิ่มเติม แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธิภาพการผลติ เพม่ิ ผลผลติ และลดตน้ ทนุ 1. การผสมปยุ๋ ใชเ้ อง ตามคำ� แนะนำ� ของกรมวชิ าการเกษตร ได้ให้เกษตรกรใช้ โปรแกรมการคำ� นวณปยุ๋ ในการผสมปยุ๋ สตู รตา่ ง ๆ ดว้ ยแมป่ ยุ๋ โดยใชผ้ ลจากการวเิ คราะห์ ค่าตอ้ งการธาตุอาหารของกล้วยไม้ ซึง่ มคี วามต้องการธาตอุ าหาร N:P:K ในอัตราส่วน 4:2:5 หรอื ในฤดฝู นใช้อตั ราส่วน 3:2:5 โปรแกรมการค�ำนวณปุ๋ยสามารถดาวนโ์ หลด ได้ที่ HYPERLINK “http://www.kehakaset.com”www.kehakaset.com หรือhttp:// as.doa.go.th/hort/new/new1.htm สามารถใช้ไดก้ ับกล้วยไมท้ กุ สกลุ ซ่ึงมปี ระโยชนต์ อ่ เกษตรกร ดังน้ี 1.1 ลดตน้ ทนุ การผลิต ประมาณ 40 – 60 เปอร์เซ็นต์ 1.2 เพ่ิมปริมาณผลผลติ ชอ่ ดอกสูงสดุ และผลผลติ ช่อดอกช้ันพิเศษ และชั้นหน่ึงของกล้วยไม้สกลุ หวายมากขึ้น 2. การสลบั กลมุ่ สารเคมี เปน็ วธิ กี ารปอ้ งกนั กำ� จดั โรคและแมลงอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยการแบง่ กลมุ่ ของสารปอ้ งกนั กำ� จดั แมลงตามกลไกการออกฤทธ์ิ สามารถแบง่ เปน็ 28 กลุ่ม ตามคำ� แนะน�ำของกรมวชิ าการเกษตร ทั้งน้ี การสลบั ยาปอ้ งกนั ก�ำจดั แมลงใหไ้ ด้ ผลอยา่ งแทจ้ รงิ จะตอ้ งสลบั ยาทอี่ ยคู่ นละกลมุ่ ตามกลไกการออกฤทธ์ิ และตอ้ งทราบวงจร ชวี ติ ของแมลงชนดิ นน้ั ดว้ ย จงึ ส่งผลใหผ้ ลผลติ ไม่เสียหาย และยงั ชว่ ยลดตน้ ทุนการผลิต ด้วยการใชส้ ารเคมีได้ถกู วธิ ีและถูกโรคและแมลงอกี ดว้ ย พฒั นาคุณภาพ มาตรฐาน 1. การผลติ กลว้ ยไมร้ ะบบ GAP เปน็ วิธกี ารปฏิบัติทางการเกษตรทีด่ ี เพ่อื ผลติ กลว้ ยไม้ทม่ี คี ุณภาพ ปราศจากโรคและแมลง และยงั เปน็ วธิ กี ารทีค่ �ำนึงถงึ ความปลอดภยั ของเกษตรกรในการใช้สารป้องกันก�ำจัดโรคและแมลง และสร้างการจัดการสวนอย่าง เป็นระบบ นอกจากน้ียังส่งเสริมให้มีการจดบันทึก เพ่ือการตรวจสอบย้อนกลับในส่ิงที่ ปฏิบตั ิ และเน้นเร่อื งการเกบ็ เกี่ยวช่อดอกตามชน้ั คณุ ภาพดว้ ย 9
แหล่งสบื คน้ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ กรมวชิ าการเกษตร. 2547. กลว้ ยไม้. กรุงเทพฯ. กรมวชิ าการเกษตร. 2550. ระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP กลว้ ยไมส้ �ำหรบั เกษตรกร. กรงุ เทพฯ. กรมสง่ เสริมการเกษตร. 2542. คมู่ ือการปฏิบตั ปิ ลกู เล้ยี งกล้วยไม.้ กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำกัด. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. 2554. การสลบั กลมุ่ สารเคมี เพอื่ เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการปอ้ งกนั ก�ำจัดแมลงศตั รูกล้วยไม.้ จดหมายข่าวเทคโนโลยีกลว้ ยไม้ ฉบับท่ี 1. กรงุ เทพฯ. กลว้ ยไม้. คน้ เมอื่ 9 มกราคม 2556, จาก http://clup-healthdee.blogspot.com/ 2012_01_01archive.html ทวพี งศ์ สวุ รรณโร. 2551. คมู่ อื นกั วชิ าการสง่ เสรมิ การเกษตร: กลว้ ยไมต้ ดั ดอกสกลุ หวาย. กรงุ เทพฯ. แมลงและไรศตั รทู สี่ ำ� คญั และการปอ้ งกนั กำ� จดั ของกลว้ ยไม.้ คน้ เมอ่ื 9 มกราคม 2556, จาก http://www.oknation.net/blog/0908506784/2012/11/27/entry-1 โรคใบปน้ิ เหลอื ง. คน้ เมอ่ื 9 มกราคม 2556, จาก http://naist_cpe.ku.ac.th/doae/disease_ kmfu.php?id=2 Leonhardt, k. and kelvin Sewake.1999. Growing Dendrobium Orchids in Hawaii. Production and Pest Management Guide. Hawaii College of Tropical Agriculture & Human Resources, University of Hawaii 10
กสลก้วลุ ยมไมอ้ตคดัคดารอาก ขัน้ ตอนการปลูกและการดูแลรกั ษากลว้ ยไมต้ ัดดอกสกลุ มอคคารา การเตรียมการ เดือน 1 เดือน 4 เดอื น 6 เดอื น 8 ปที ่ี 2 ปที ่ี 3 ปีท่ี 4 ปีที่ 7-10 การเตรยี มโรงเรอื น ปลกู เรมิ่ ตดั ดอก ร้อื แปลง โรงเรอื น - สงู 4.5 เมตร ต้นตัดยอด ปลูกบนตาข่าย ปยุ๋ ระยะออกดอก - พรางแสง 40 % พรางแสง ระยะปลกู พนั ธใ์ุ บ ปยุ๋ ระยะกอ่ นออกดอก การให้น้�ำ - สตู ร 20-20-20 หรือ สูตร โต๊ะปลกู - กว้าง 1 เมตร สนั้ 25 x 25 ซม. พนั ธใ์ุ บยาว - สตู ร 20-20-20 หรอื - นำ้� สะอาดวนั ละครงั้ ระหวา่ ง 21-21-21 สลับกับสูตร - ปลกู สงู จากพนื้ ดนิ 30 x 30 ซม. สูตร 21-21-21 2 คร้ัง เวลา 6.00 – 9.00 น. 16-21-27 หรือ สูตร 30 – 50 ซม. ปดู ว้ ย สลบั สตู ร 30-10-10 หรอื - หากมีฝนตกควรงดให้น้�ำ 15-30-15 อตั รา 500 – 1000 ตาขา่ ยพรางแสง ตน้ เนอ้ื เยือ่ ปลกู บนตาขา่ ย 30-20-10 อตั รา 250 - จนกว่าเครือ่ งปลกู จะแหง้ กรัมต่อน�้ำ 200 ลิตรต่อไร่ ต้นพันธ ุ์ - ต้นเนื้อเยือ่ พรางแสง ระยะปลกู พนั ธใ์ุ บ 300 กรมั ตอ่ นำ้� 200 ลติ ร - ฤดูแล้งอาจใหน้ ำ้� เพม่ิ อีก 1 ทุก 7 วนั อายุ 6 เดอื น สน้ั 25 x 25 ซม. พนั ธใ์ุ บยาว ตอ่ ไร่ ทกุ 7 วัน ครง้ั ในตอนบา่ ย แตไ่ มค่ วรให้ - ตน้ ตดั ยอด 30 x 30 ซม. หลงั เวลา 15.00 น. เรม่ิ ตัดดอก รือ้ แปลง ศตั รูทีส่ ำ� คญั และการปอ้ งกันก�ำจดั การปฏบิ ัติหลงั การเกบ็ เกย่ี ว 1. โรคเน่าดำ� ไมค่ วรปลกู กลว้ ยไมแ้ น่นเกินไป และรดนำ�้ กลว้ ยไมต้ อนใกลค้ ่�ำ ถา้ พบโรคในระยะลกู กล้วยไม้ 1. หลังตดั รบี น�ำดอกมาแช่นำ�้ ใหก้ า้ นดอกแชอ่ ยใู่ นนำ้� ใหแ้ ยกไปปลกู เลี้ยงตา่ งหาก แตถ่ ้าเปน็ ต้นโตแลว้ ใหเ้ ผาทำ� ลาย และใช้สารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� 2 – 3 นวิ้ นานทส่ี ุดก่อนส่งจำ� หนา่ ย 2. โรคใบปื้นเหลอื ง ใหเ้ ก็บรวบรวมใบทีเ่ ปน็ โรคไปเผาทำ� ลาย และใชส้ ารเคมีตามเอกสารแนะนำ� 2. ผงึ่ ดอกให้แหง้ กอ่ นขนสง่ หรอื บรรจุ 3. เพลีย้ ไฟ ตดิ ตั้งกับดักกาวเหนียว อตั รา 100 กับดักต่อไร่ เพื่อพยากรณ์และลดปริมาณตวั เตม็ วยั หากพบ 3. จุดพักและรวบรวมช่อดอกกล้วยไม้ภายในแปลงต้องมี เพลยี้ ไฟเกนิ ระดบั ทีก่ �ำหนด ให้ใช้สารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� ภาชนะท่ีสะอาดรองรับ และสามารถป้องกันผลกระทบจาก 4. บ่ัวกลว้ ยไม้ เก็บดอกทถ่ี ูกท�ำลายด้วยการเผาท้ิง เพ่ือกำ� จัดหนอนทอี่ ยู่ในดอก ไม่ควรปลอ่ ยใหด้ อกเนา่ ความร้อนและแสงแดด รว่ งหลน่ จากกา้ นดอก และใชส้ ารเคมีตามเอกสารแนะนำ� 4. ระหว่างรอผู้ส่งออกมารับควรฉีดพรมน้�ำหรือใช้ผ้าชุบน้�ำ 5. หอยทาก เมอ่ื นำ� ต้นใหมห่ รือเปลยี่ นเครื่องปลูกใหม่ด้วยการอบหรอื ตากแห้งกาบมะพรา้ วเสยี กอ่ น หมาดๆ ปดิ คลุมไว้ หรือชุบสารก�ำจดั หอยกอ่ นนำ� มาใช้ และใชส้ ารเคมตี ามเอกสารแนะนำ�
เทคนิคการปลูกและดแู ลรักษากลว้ ยไม้ตดั ดอกสกลุ มอคคารา 1. การเตรยี มการก่อนปลกู 1.1 การเตรียมโรงเรือน 1) โรงเรือน สูง 4.5 เมตร และพรางแสงดว้ ยตาขา่ ยสดี ำ� 40 - 50 % โดย ขงึ ตาขา่ ยพรางแสงหา่ งกนั ประมาณ 15 เซนตเิ มตร หรอื สงู ตำ�่ เหลอื่ มกนั 50 เซนตเิ มตร ทกุ ระยะ 20 – 25 เมตร เพอื่ ระบายอากาศให้ถ่ายเทดี 2) โต๊ะปลกู กวา้ ง 1 เมตร ยาว 20 – 25 เมตร สูง 30 - 50 เซนติเมตร ขาโต๊ะเป็นแทง่ คอนกรตี อัดแรง ขนาด 2 นวิ้ x 2 นว้ิ สูง 1 เมตร ฝังลกึ ลงในดินลกึ 30 เซนตเิ มตร แตล่ ะเสาหา่ งกนั 1 เมตร พน้ื โตะ๊ ทำ� ดว้ ยตาขา่ ยพรางแสง ตามความยาวของโตะ๊ ลกั ษณะโรงเรือนและโต๊ะปลูก 1.2 การเตรียมพันธ์ุ 1) ตน้ พนั ธุ์จากการเพาะเลย้ี งเนอื้ เยอ่ื - น�ำออกจากขวดเพาะเล้ยี งเน้ือเยื่อ ผึง่ ไว้ 7 – 10 วัน แลว้ นำ� มาใสใ่ น กระถางนว้ิ ทมี่ ีใยมะพร้าวม้วนเปน็ กอ้ น วางในเรอื นที่พรางแสง 80% มีพลาสตกิ กันฝน - รดนำ�้ วนั ละครง้ั 2 สปั ดาหแ์ รกไมต่ อ้ งใหป้ ยุ๋ เมอื่ ตน้ อายปุ ระมาณ 2 - 3 เดือนขนึ้ ไป ให้ป๋ยุ สตู ร 30-10-10 อัตราคร่งึ หนึง่ หรือหนงึ่ ในสี่ของทีใ่ ห้ปกติ เพ่อื นำ� ไป ปลกู ตดั ดอก 2) ต้นพนั ธุ์จากการตดั ยอด เลือกต้นท่ีปลอดโรค และมีราก สมบรู ณต์ ดิ มา 1 – 2 ราก ทาปนู แดงตรงรอยตดั ควรตดั ดอกที่ติดมากบั ยอดเดมิ ท้งิ ตน้ พนั ธุจ์ ากการตัดยอด 12
2. การปลกู 2.1 วิธีปลกู 1) ต้นเพาะเลี้ยงเนื้อเยอ่ื ปลกู บนตาข่ายพรางแสง พนั ธุ์ทม่ี ใี บส้นั ใช้ระยะปลูก 25 x 25 เซนติเมตร พันธ์ทุ ่มี ีใบยาวใชร้ ะยะปลูก 30 x 30 เซนติเมตร (ประมาณ 8,800 ต้นตอ่ ไร่) 2) ตน้ ตัดยอด - นำ� ตน้ ตดั ยอดมาผกู ตดิ กบั ไมก้ อ่ นแลว้ จงึ น�ำไปผกู ตดิ กบั เชอื กทข่ี งึ ตามความ ยาวของโต๊ะ - พันธท์ุ ี่มใี บส้ันใชร้ ะยะปลูก 25 x 25 เซนตเิ มตร พนั ธ์ุทม่ี ใี บยาวใชร้ ะยะ ปลกู 30 x 30 เซนติเมตร โดยปลกู บนกาบมะพรา้ วเรอื ใบ อาจวางตะแคงเพอ่ื ใหร้ ะบาย นำ�้ ดกี วา่ ปลกู สกลุ หวาย ระยะปลกู เชน่ เดยี วกบั ตน้ จากการเพาะเลย้ี งเนอื้ เยอ่ื หากเรมิ่ ปลกู ชว่ งหนา้ แลง้ ควรใช้ตาข่ายพรางแสง 50 % เพิ่มอีก 1 ชั้น เป็นเวลา 4 - 5 เดือน จนตน้ ตั้งตัวได้ ต้นพันธ์ุจากการเพาะเลย้ี งเน้ือเยื่อปลูกบนตาขา่ ยพรางแสง 3. การดแู ลรกั ษา 3.1 การใหน้ ำ้� ควรมคี ่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ระหวา่ ง 5.2 – 6.2 และคา่ การน�ำไฟฟา้ (EC) ไม่เกิน 750 ไมโครโมห์/ซม. และควรให้น�ำ้ วนั ละครง้ั ระหว่างเวลา 6.00 – 9.00 น. หากมฝี นตกควรงดใหน้ ำ้� จนกวา่ เครอื่ งปลกู จะแหง้ สว่ นในฤดแู ลง้ อาจใหน้ ำ้� เพมิ่ อกี 1 ครงั้ ในตอนบา่ ยแตไ่ มค่ วรใหห้ ลงั เวลา 15.00 น. เพอ่ื ใหเ้ ครอ่ื งปลกู แหง้ กอ่ นคำ่� 3.2 การให้ปุย๋ ดว้ ยปยุ๋ เกล็ดทใ่ี ช้ฉีดพ่นทางใบ หรอื ป๋ยุ ทใ่ี หท้ างระบบนำ้� โดยให้ป๋ยุ ท่วั ถงึ ทั้งต้น ราก และใบ ยกเวน้ ดอก การใหป้ ๋ยุ ควรให้ปยุ๋ ในวนั ทีม่ ีแสงแดด ดังน้ี 1) ระยะกอ่ นออกดอก ใชป้ ยุ๋ ทางใบสตู ร 20-20-20 หรอื สตู ร 21-21-21 สลบั สูตร 30-10-10 หรือสูตร 30-20-10 อัตรา 250 – 300 กรมั ตอ่ น�้ำ 200 ลติ รตอ่ ไร่ ทุก 7 วัน 2) ระยะออกดอกถงึ ตดั ดอก ใชป้ ยุ๋ ทางใบสตู ร 20-20-20 หรอื สตู ร 21-21-21 สลับสูตร 16-21-27 หรอื สตู ร 15-30-15 อตั รา 500 – 1000 กรัมตอ่ นำ�้ 200 ลิตรตอ่ ไร่ ทุก 7 วนั 13
4. ศัตรูพชื ทีส่ ำ� คัญ 4.1 โรค 1) โรคเนา่ ดำ� หรอื โรคยอดเนา่ หรอื โรคเนา่ เขา้ ไส้ (Black rot) เกดิ จากเชอื้ รา ระบาดมากในช่วงฤดูฝน การป้องกนั กำ� จดั ไม่ควรปลกู กลว้ ยไมแ้ น่นเกนิ ไป และรดน�้ำ กลว้ ยไมต้ อนใกลค้ ำ่� ถา้ พบโรคในระยะลกู กลว้ ยไม้ ใหแ้ ยกไปปลกู เลยี้ งตา่ งหาก แตถ่ า้ เปน็ ตน้ โตแลว้ ให้เผาทำ� ลาย และใชส้ ารเคมตี ามเอกสารแนะน�ำ 2) โรคใบปน้ื เหลือง (Yellow leaf spot) เกิดจากเชือ้ รา ระบาดมากในชว่ ง ฤดฝู นจนถงึ ฤดหู นาว การปอ้ งกนั กำ� จดั วธิ เี บอื้ งตน้ ใหเ้ กบ็ รวบรวมใบทเ่ี ปน็ โรคไปเผาท�ำลาย และใช้สารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� 4.2 แมลง 1) เพล้ยี ไฟ หรือ เพล้ยี ไฟฝา้ ย เปน็ แมลงชนดิ หน่ึง ระบาดมากในชว่ งฤดรู อ้ น และฤดูหนาว หรืออากาศแห้งแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ป้องกันก�ำจัดด้วยการ ติดตั้งกับดกั กาวเหนยี ว อัตรา 100 กบั ดักตอ่ ไร่ เพื่อพยากรณแ์ ละลดปริมาณตวั เต็มวยั หากพบเพล้ยี ไฟเกินระดับทีก่ ำ� หนด ให้ใชส้ ารเคมีตามเอกสารแนะน�ำ 2) บ่ัวกล้วยไม้ เปน็ แมลงชนดิ หน่ึง ระบาดรนุ แรงในฤดูฝน ป้องกันก�ำจดั ด้วย การเกบ็ ดอกทถ่ี กู ทำ� ลายดว้ ยการเผาทงิ้ เพอ่ื กำ� จดั หนอนทอี่ ยใู่ นดอก ไมค่ วรปลอ่ ยใหด้ อกเนา่ ร่วงหล่นจากกา้ นดอก และใช้สารเคมตี ามเอกสารแนะนำ� 4.3 สตั ว์ 1) หอยทาก เปน็ สตั ว์ชนิดหนง่ึ ระบาดรุนแรงในฤดูฝน การป้องกันก�ำจดั เมื่อ นำ� ตน้ ใหมห่ รอื เปลย่ี นเครอ่ื งปลกู ใหมด่ ว้ ยการอบหรอื ตากแหง้ กาบมะพรา้ วเสยี กอ่ น หรอื ชบุ สารกำ� จดั หอยก่อนนำ� มาใช้ และใช้สารเคมีตามเอกสารแนะนำ� 14 ศตั รูพชื ทสี่ �ำ คัญ
5. การปฏบิ ัตกิ ่อนและหลงั การเก็บเกีย่ ว 5.1 การเกบ็ เกี่ยว 1) มาตรฐานกลว้ ยไม้ตดั ดอกสกลุ มอคคารา ลกั ษณะ ชัน้ พเิ ศษ (Extra) ชนั้ หนงึ่ (I) ช้นั สอง (II) ความยาวชอ่ ดอก (ซม.) ไมน่ อ้ ยกว่า 60 ไม่น้อยกวา่ 40 ไม่นอ้ ยกว่า 30 จำ�นวนดอกบาน/ช่อ ไม่นอ้ ยกวา่ 4 ใน 5 ของดอกท้ังหมด 2) ระยะเวลาที่เหมาะสม ควรตดั เม่อื ดอกกลว้ ยไมบ้ านไมน่ ้อยกว่า 3 ใน 4 ของจ�ำนวนดอกทั้งช่อ ในตอนเช้าเวลา 05.00 – 09.00 น. เพราะอณุ หภูมิยงั ไม่สงู แดดไมจ่ ัด และควรตดั ดอกหลงั การให้ปยุ๋ 2 – 3 วนั 3) วิธีการเกบ็ เก่ยี ว ควรใช้กรรไกรหรอื มีดทคี่ มและสะอาด ตดั กา้ นชอ่ ดอก กล้วยไม้ให้เกือบชิดล�ำต้น ให้ได้ก้านช่อที่ยาวท่ีสุดและตัดให้เป็นมุมเฉียงเป็นปากฉลาม เพ่ือเพิ่มพ้ืนท่ีในการดูดน�้ำ และท�ำการฆ่าเช้ือโดยชุบน�้ำยาฆ่าเชื้อก่อนการตัดดอก เพ่ือ ป้องกนั การระบาดของโรคจากตน้ หน่ึงไปสูอ่ กี ตน้ หน่ึง 5.2 การปฏบิ ัติหลงั การเกบ็ เกยี่ ว 1) หลังจากตัดดอกแล้วให้รีบน�ำดอกกล้วยไม้ไปแช่น�้ำให้ก้านดอกแช่อยู่ในน�้ำ 2 – 3 น้ิว โดยแชใ่ หน้ านท่สี ุดกอ่ นส่งจำ� หน่าย เปลีย่ นน�้ำในถังทกุ วัน และล้างทำ� ความ สะอาดถังด้วยน้�ำยาฆา่ เช้ืออย่างน้อยสปั ดาห์ละคร้งั 2) ผู้เก็บเก่ียวดอกกล้วยไม้จะต้องเก็บเกี่ยว วางพัก และขนย้ายด้วยความ ระมัดระวังไม่ให้มีผลกระทบต่อคุณภาพช่อดอกกล้วยไม้ โดยจุดพักและรวบรวมช่อดอก กล้วยไม้ภายในแปลงต้องมีภาชนะที่สะอาดรองรับ และสามารถป้องกันผลกระทบจาก ความรอ้ นและแสงแดด 3) การคดั แยกชอ่ ดอกกล้วยไม้ - คดั แยกชอ่ ดอกกลว้ ยไมท้ ่ีไม่สมบูรณอ์ อก เชน่ ช่อดอกกล้วยไม้ที่มีศตั รพู ชื หรอื มรี ่องรอยการท�ำลายของศตั รูพืช - คดั แยกชั้นคณุ ภาพช่อดอกกล้วยไมต้ ามขนาด และมัดกำ� กำ� ละ 10 ช่อ 4) จดุ พกั ชอ่ ดอกกลว้ ยไมร้ ะหวา่ งรอการขนสง่ บรรจกุ ลอ่ งหรอื ภาชนะทสี่ ะอาด และมีการดแู ลรกั ษาชอ่ ดอกกล้วยไมอ้ ย่างระมัดระวงั เช่น การเกบ็ รักษาในที่อณุ หภูมิต่ำ� ไม่โดนแสงแดดและใช้ผา้ ขาวบางชุบน้�ำพอหมาดๆ คลุมชอ่ ดอกกล้วยไม้ ตลอดการขนสง่ ไปจนถึงบริษทั ผ้สู ง่ ออก 15
16 ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสมตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลิตของกล้วยไม้ สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ข้อจำ� กดั 1. สภาพภูมอิ ากาศ 1.1 อณุ หภูมิ - กลางวัน 25 – 35 องศาเซลเซยี ส - อณุ หภูมิทีส่ งู เกนิ ไปมีผลให้กล้วยไมเ้ จรญิ เติบโตไมด่ ีอ่อนแอตอ่ โรค - กลางคนื ไมต่ ำ�่ กว่า 18 องศาเซลเซียส ดอกเหีย่ วเรว็ และโรงเรือนตอ้ งสร้างสงู มากข้ึน เพอื่ ให้ระบายอากาศไดด้ ี 1.2 ความชืน้ สัมพทั ธ์ 1.3 ความเขม้ ของแสง - อณุ หภูมทิ ีต่ �่ำเกนิ ไปมผี ลทำ� ใหก้ ลว้ ยไม้ใบเหลอื งรว่ ง แตกหนอ่ น้อย 1.4 ปรมิ าณก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ใหด้ อกนอ้ ย และดอกบานไม่ทน 1.5 ความเรว็ ลม 1.6 ปริมาณน้�ำฝน - 50 – 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ - ความชืน้ สมั พนั ธ์ทต่ี �่ำเกนิ ไปมผี ลทำ� ใหก้ ลว้ ยไมเ้ จริญเติบโตชา้ 2. สภาพพ้ืนท่ี ถา้ สูงเกนิ ไปท�ำใหก้ ลว้ ยไม้เจริญเตบิ โตไมด่ ีและเป็นโรคได้ง่าย 2.1 ลกั ษณะทั่วไป 2.2 ความลาดเอยี งของพนื้ ที่ - 15,000 – 40,000 ลักซ์ - ความเขม้ แสงนอ้ ยเกนิ ไปทำ� ใหก้ ลว้ ยไมม้ ลี ำ� ลกู กลว้ ยทยี่ ดื ยาว ใบเขยี วเขม้ 2.3 ความสูงจากระดบั นำ�้ ทะเล ให้ดอกนอ้ ย ถ้าความเขม้ แสงมากเกนิ ไปทำ� ใหก้ ล้วยไมใ้ บไหม้ - 700 - 1,500 ส่วนในล้านส่วน - กล้วยไม้เป็นพืชท่ีทนต่อคาร์บอนไดออกไซด์ความเข้มข้นสูงมากกว่าพืช ส่วนใหญ่ - มลี มพดั เพอ่ื ใหอ้ ากาศถา่ ยเทแตล่ มไม่ - การปลูกกล้วยไม้บรเิ วณทม่ี ีลมแรงควรสร้างโรงเรอื นทแ่ี ขง็ แรง ขึงตาขา่ ย แรงจนเกนิ ไป พรางแสงแบบตา่ งระดบั และปลูกต้นไม้บงั ลม - เฉลยี่ ไม่เกนิ 1,200 มลิ ลิเมตรตอ่ ปี - ในฤดูที่ฝนตกซุก กลา้ กล้วยไม้จะเจริญเตบิ โตทางลำ� ต้นและแตกหนอ่ เร็ว แต่เกดิ โรคไดง้ ่าย - เป็นพื้นที่ราบ ไม่มีปัญหาน้�ำท่วม มี - การปลกู กลว้ ยไมใ้ นพน้ื ทส่ี งู ตอ้ งเลอื กทม่ี แี หลง่ นำ้� เพยี งพอตลอดปี คณุ ภาพ การถ่ายเทอากาศทีด่ ี น�้ำดีและอุณหภมู ิไม่ตำ่� เกินไปในฤดหู นาว - ไมเ่ กนิ 5 เปอร์เซน็ ต์ - หากเปน็ พนื้ ท่ีลาดเอียงมากควรมกี ารปรับพน้ื ที่เป็นข้ันบนั ได เพอ่ื สรา้ ง - 0 – 200 เมตร โรงเรอื นไม่ให้มีระดับท่ีแตกต่างกนั มากเกินไป
ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของกล้วยไม้ (ต่อ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ขอ้ จ�ำกดั 3. สภาพน้�ำ - 5.2 – 6.2 3.1 ความเปน็ กรด-ด่าง (pH) - น�้ำมีสภาพเปน็ ดา่ งหรือกรดมากเกนิ ไปจะทำ� ให้ปุย๋ หรอื สารเคมลี ะลายได้ ไมด่ ี จ�ำเปน็ ตอ้ งใชก้ รดหรือด่างปรับก่อนนำ� ไปใช้ 3.2 ค่าการนำ� ไฟฟา้ (EC) - ไม่เกนิ 750 µ mhos/cm - สภาพน�้ำทเ่ี ปน็ ดา่ งมากเกนิ ไปยังมีผลใหร้ ากกลว้ ยไมช้ งกั การเจริญ แสดงลกั ษณะกดุ - น�้ำทมี่ คี ่าการน�ำไฟฟ้าสูงปรับลดลงได้ยาก จงึ เปน็ สง่ิ ส�ำคญั ที่จะตอ้ งตรวจ สอบตง้ั แตเ่ ลอื กพนื้ ท่ี แตห่ ากสงู เพยี งบางชว่ งสามารถปรบั การใหป้ ยุ๋ ในอตั รา ทต่ี �่ำลงแต่ใหบ้ อ่ ยครั้งมากข้ึนได้ 3.3 ปริมาณโซเดยี ม (Na) - ไมเ่ กนิ 3 meq/l 3.4 ปรมิ าณคลอไรด์ (Cl) - ไม่เกนิ 3 meq/l 3.5 ปรมิ าณซัลเฟต (SO4) - ไม่เกิน 10 meq/l 3.6 ปริมาณไบคารโ์ บเนต (HCO3) - ไม่เกนิ 1.5 meq/l 3.7 เปอร์เซ็นต์โซเดียมท่ีละลายน้�ำได้ - ไมเ่ กิน 60 เปอร์เซ็นต์ (SSP) 3.8 โซเดยี มคารบ์ อเนตหรอื ดา่ งทเี่ หลอื - ไมเ่ กนิ 1.25 meq/l (RSC) 3.9 อตั ราการดูดซับโซเดยี ม (SAR) - ไมเ่ กิน 2.0 17 4. ธาตุอาหาร - N:P:K = 4 : 2 : 5 หรอื 3 : 2 : 5
แนวทางการเพม่ิ ประสิทธิภาพการผลติ และแหล่งสบื ค้นข้อมลู เพ่มิ เตมิ แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการผลติ เพ่ิมผลผลิต และลดต้นทนุ 1. การผสมปุ๋ยใช้เอง ตามค�ำแนะน�ำของกรมวิชาการเกษตร ได้ให้เกษตรกรใช้ โปรแกรมการคำ� นวณปยุ๋ ในการผสมปยุ๋ สตู รตา่ ง ๆ ดว้ ยแมป่ ยุ๋ โดยใชผ้ ลจากการวเิ คราะห์ คา่ ตอ้ งการธาตอุ าหารของกลว้ ยไม้ ซงึ่ มคี วามตอ้ งการธาตอุ าหาร N : P : K ในอตั ราสว่ น 4 : 2 : 5 หรือในฤดูฝนใชอ้ ตั ราส่วน 3 : 2 : 5 โปรแกรมการค�ำนวณปุ๋ยสามารถ ดาวน์โหลดได้ที่ HYPERLINK “http://www.kehakaset.com”www.kehakaset.com หรือhttp://as.doa.go.th/hort/new/new1.htm สามารถใช้ได้กับกล้วยไม้ทุกสกุล ซ่ึงมี ประโยชน์ตอ่ เกษตรกร ดงั น้ี 1.1 ลดต้นทนุ การผลิต 40 – 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ 1.2 เพมิ่ ปรมิ าณผลผลิตช่อดอกสูงสุด และผลผลติ ช่อดอกชนั้ พิเศษ และช้ันหนึง่ ของกล้วยไมส้ กุลหวายมากข้ึน 2. การสลบั กลมุ่ สารเคมี เปน็ วธิ กี ารปอ้ งกนั กำ� จดั โรคและแมลงอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยการแบง่ กลมุ่ ของสารปอ้ งกนั กำ� จดั แมลงตามกลไกการออกฤทธ์ิ สามารถแบง่ เปน็ 28 กลมุ่ ตามค�ำแนะน�ำของกรมวิชาการเกษตร ทั้งนี้ การสลับสารป้องกันก�ำจัดแมลงให้ได้ผล อย่างแท้จริง จะต้องสลับสารป้องกันก�ำจัดแมลงที่อยู่คนละกลุ่มตามกลไกการออกฤทธิ์ และตอ้ งทราบวงจรชวี ิตของแมลงชนดิ นนั้ ด้วย จงึ ส่งผลใหผ้ ลผลติ ไมเ่ สียหาย และยงั ช่วย ลดตน้ ทนุ การผลิต ดว้ ยการใช้สารเคมไี ดถ้ กู วิธีและถูกโรคและแมลงอีกด้วย พฒั นาคุณภาพ มาตรฐาน การผลติ กล้วยไม้ระบบ GAP เปน็ วิธกี ารปฏบิ ัติทางการเกษตรทีด่ ี เพื่อผลิตกล้วยไม้ ที่มีคุณภาพ ปราศจากโรคและแมลง และยังเป็นวิธีการท่ีค�ำนึงถึงความปลอดภัยของ เกษตรกรในการใช้สารป้องกันก�ำจัดโรคและแมลง และสร้างการจัดการสวนอย่างเป็น ระบบ นอกจากน้ยี ังสง่ เสริมให้มีการจดบนั ทกึ เพอื่ การตรวจสอบยอ้ นกลับในส่ิงที่ปฏิบตั ิ และเนน้ เร่ืองการเก็บเกี่ยวชอ่ ดอกตามช้ันคณุ ภาพดว้ ย 18
แหล่งสบื ค้นขอ้ มลู เพ่มิ เติม กรมวชิ าการเกษตร. 2547. กล้วยไม้. กรุงเทพฯ. กรมวชิ าการเกษตร. 2550. ระบบการจดั การคณุ ภาพ : GAP กลว้ ยไมส้ �ำหรบั เกษตรกร. กรุงเทพฯ. กรมส่งเสรมิ การเกษตร. 2542. คมู่ ือการปฏิบัติปลกู เลยี้ งกลว้ ยไม้. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำ� กัด. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. 2554. การสลบั กลมุ่ สารเคมี เพอื่ เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการปอ้ งกนั ก�ำจดั แมลงศตั รูกล้วยไม.้ จดหมายข่าวเทคโนโลยีกลว้ ยไม้ ฉบบั ท่ี 1. กรุงเทพฯ. กล้วยไม้. ค้นเมื่อ 9 มกราคม 2556, จาก http://clup-healthdee.blogspot.com/ 2012_01_01archive.html ทวพี งศ์ สวุ รรณโร. 2551. คมู่ อื นกั วชิ าการสง่ เสรมิ การเกษตร: กลว้ ยไมต้ ดั ดอกสกลุ หวาย. กรงุ เทพฯ. แมลงและไรศตั รทู ส่ี ำ� คญั และการปอ้ งกนั กำ� จดั ของกลว้ ยไม.้ คน้ เมอ่ื 9 มกราคม 2556, จาก http://www.oknation.net/blog/0908506784/2012/11/27/entry-1 โรคใบปิ้นเหลือง. ค้นเมื่อ 9 มกราคม 2556, จาก http://naist_cpe.ku.ac.th/doae/ disease_kmfu.php?id=2 Leonhardt, k. and kelvin Sewake.1999. Growing Dendrobium Orchids in Hawaii. Production and Pest Management Guide. Hawaii College of Tropical Agriculture & Human Resources, University of Hawaii 19
ดาวเรอื งตัดดอก ข้ันตอนการปลกู และการดแู ลรักษาดาวเรืองตัดดอก การเตรียมการ 10 วัน 20 วนั 30 วนั 40 วัน 50 วัน 60 วัน 70 วัน การเตรยี มดนิ การปลูก การใสป่ ๋ยุ การเดด็ ยอด การใหน้ ำ้� - ไถดะลึก 30 - 50 ซม. - ใหน้ ำ�้ แปลงลว่ งหนา้ 1 วนั - หลังย้ายปลกู 5 - 7 วัน - หลังปลกู 7-10 - ชว่ งยา้ ยปลกู ประมาณ - ในสภาพดินกรด หว่านปนู ขาว - ระยะปลูก 30 - 40 x ใสป่ ยุ๋ สตู ร 15-0-0 หรอื 46-0-0 วัน เดด็ ยอดโดย 7 วัน ใหน้ ำ้� วนั ละ หรือโดโลไมท์ อัตรา 300 - 500 30 - 40 ซม. 1 แปลงปลกู อตั รา 1 กก./น้�ำ 100 ลิตร ปลดิ ยอดใหญ่ 2 ครั้ง เชา้ -เย็น กก./ไร่ และปยุ๋ คอกปยุ๋ หมกั อตั รา 3 แถว 2 ครั้ง หา่ งกัน 7 - 10 วัน ตรงกลางทง้ิ เพอ่ื - ชว่ งเจรญิ เตบิ โต ใหน้ ำ�้ 300 - 500 กก./ไร่ แลว้ ไถพรวน - ขุดหลมุ ลกึ 4 -5 ซม. - อายุ 20 - 25 วัน ใส่ปยุ๋ สูตร ใหม้ กี ารแตกก่งิ ประมาณ 7 วัน/คร้งั ดินให้ละเอยี ด - ปลกู ตน้ กลา้ อายุ 12 - 20 15-15-15 หรอื 13-13-21 แขนงขา้ ง ขนึ้ กบั สภาพ แวดลอ้ ม - ยกแปลงสูง 0.5 ม.กวา้ ง 1.0 - วนั (หรอื มใี บจรงิ 4 - 6 ใบ) อัตรา 35-50 กก./ไร่ - ช่วงเกบ็ เก่ยี ว ให้นำ้� 1.2 ม. ระยะระหวา่ งแปลง 0.8 ม. หลุมละ 1 ตน้ - อายุ 35 และ 45 วัน ใสป่ ุย๋ กอ่ นตัดดอก 2 วนั การเกบ็ เกี่ยว หว่านปุ๋ยสตู ร 15-15-15 อัตรา - กลบดิน สตู ร 12-24-12 อตั รา 35 - 50 และหลงั จากนนั้ ใหน้ ำ�้ - อายเุ กบ็ เกี่ยว 55 -70 วัน 25 - 30 กก./ไร่ หรอื สตู ร 0-46-0 - รดน�้ำทันทีหลังปลูก กก./ไร่ ทกุ ๆ 2 วัน ขนึ้ กับ หลงั ปลกู ขึ้นกับพนั ธุ์ อตั รา 35 - 50 กก./ไร่ คลกุ เคลา้ - จำ� นวนต้น 8,700 ตน้ /ไร่ - ก�ำจัดวัชพืชกอ่ นใสป่ ยุ๋ สภาพแวดลอ้ ม - ตัดดอกท่ีบาน 80 - 90 % เกล่ียปรบั หน้าแปลงใหเ้ รยี บ แลว้ โรยป๋ยุ พรอ้ มกลบโคน (กลีบดอกชน้ั ในตรงกลาง การเตรียมพันธุ์ ดอกเปน็ สเี ขียวประมาณ - เพาะเมลด็ พันธใ์ุ นตะกรา้ เพาะ ศัตรูพชื ทสี่ �ำคญั และการป้องกนั กำ� จดั เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 0.5 - หรอื ถาดเพาะขนาด 200 หลมุ - โรคเหี่ยวจากเชือ้ รา ใหถ้ อนต้นท่เี ปน็ โรคเผาทำ� ลายท้ิง และใช้สารเคมตี ามคำ� แนะน�ำ 1 ซม.) ทำ� หลมุ ลกึ 0.5 ซม. หยอดเมลด็ - เพลยี้ ไฟ ใชส้ ารเคมีตามคำ� แนะนำ� - ตัดดอกใหม้ กี ้านดอกยาว 1 เมลด็ /หลุม แลว้ กลบ พน่ สาร - หนอนผีเสอื้ กลางคืน ใชส้ ารเคมีตามคำ� แนะน�ำ 5 -10 ซม. เคมีป้องกันก�ำจดั เช้ือรา วางไว้ - หลงั เก็บเกยี่ วครง้ั แรกแล้ว ใตต้ าขา่ ยพรางแสง 70-80% ใน การปฎบิ ตั ิหลงั การเกบ็ เกีย่ ว เกบ็ ตอ่ ได้อีก 30 - 45 วัน ช่วง 2 - 3 วันแรก - น�ำดอกไปผ่ึงลมหรือใชพ้ ดั ลมเป่าใหแ้ หง้ อยา่ ตากแดด - รดน้�ำวนั ละ 2 ครง้ั ช่วง 2 - 3 - คัดแยกดอกตามเกรดท่กี �ำหนด เช่น ใหญ่ กลาง เลก็ แล้วใส่ถุงพลาสตกิ ท่เี จาะรู วันแรก แล้วมัดปากถุงให้แนน่
เทคนคิ การปลกู และดูแลรักษาดาวเรืองตัดดอก 1. การเตรียมการก่อนปลกู 1.1 การเตรียมดิน 1) ไถดะลกึ ประมาณ 30 - 50 เซนตเิ มตร ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ 2) ในสภาพดนิ กรด หวา่ นปูนขาวหรือโดโลไมท์ อตั รา 300 - 500 กิโลกรัม ต่อไร่ และปยุ๋ คอกปุ๋ยหมกั อตั รา 300 - 500 กิโลกรัม/ไร่ แล้วไถพรวนดินใหล้ ะเอียด 3) ยกแปลง สงู 0.50 เมตร กวา้ ง 1.0-1.2 เมตร ระยะระหวา่ งแปลง 0.8 เมตร หว่านปุย๋ สตู ร 15-15-15 อัตรา 25-30 กก./ไร่ หรอื 0-46-0 อัตรา 35-50 กก./ไร่ คลกุ เคล้าแลว้ เกลี่ยปรบั หนา้ แปลงใหเ้ รียบ 1.2 การเตรียมพันธ์ุ 1) ใชด้ าวเรอื งพนั ธล์ุ กู ผสมทเ่ี หมาะสำ� หรบั การตดั ดอก ซงึ่ เรยี กทวั่ ไปวา่ ดาวเรอื ง อเมรกิ นั หรอื ดาวเรอื งอาฟรกิ นั ซง่ึ ดอกมขี นาดใหญ่ ลกั ษณะกลม มกี ลบี ดอกซอ้ นกนั แนน่ 2) น�ำเมล็ดพนั ธ์ุดาวเรอื งมาเพาะในตะกรา้ เพาะ กล่องโฟมหรือถาดเพาะขนาด 200 หลมุ วสั ดเุ พาะชำ� อาจใชพ้ ที มอส หรอื ขยุ มะพร้าวผสมทราย อตั ราส่วน 3 :1 หรือ ขยุ มะพร้าว ทราย ข้ีเถ้าแกลบ ปยุ๋ คอก ในอตั ราสว่ น 1:1:1:1 ผสมนำ�้ ให้ชุ่ม ทดสอบ ด้วยการบีบวสั ดุเพาะให้มีนำ้� ซมึ ออกมาตามงา่ มนิ้วพอประมาณ 3) ทำ� หลมุ หรือรอ่ งลกึ 0.5 เซนติเมตร แตล่ ะรอ่ งห่างกนั 5 เซนตเิ มตร วาง เมล็ด 1 เมลด็ /หลมุ และกลบเมล็ดด้วยวสั ดุเพาะ พน่ สารเคมปี ้องกันกำ� จัดเชือ้ รา วาง ไวใ้ ต้ตาขา่ ยพรางแสง 70 - 80 % รดน�ำ้ วนั ละ 2 ครงั้ เช้า-บ่าย ในช่วง 2 - 3 วันแรก ต่อเม่อื เหน็ ใบเลีย้ งคูแ่ รก พรางแสง 25 - 50% และรดน�้ำวันละ 1 ครัง้ หรอื ตามความ จ�ำเป็น โดยให้มีความชน้ื สลับแหง้ เมื่อต้นกล้าแข้งแรงใบจรงิ คแู่ รกเรมิ่ พฒั นา แล้วจงึ ให้ ได้รบั แสงแดดเต็มที่ 2. การปลกู 2.1 วิธีปลูก ก่อนย้ายกล้าลงแปลงปลูกควรให้น�้ำ แปลงลว่ งหนา้ 1 วนั ตน้ กล้ามใี บจรงิ 4 - 6 ใบ หรอื อายุ 12 - 20 วัน ย้ายต้นกลา้ ในช่วงเยน็ ใหว้ สั ดุเพาะชำ� ตดิ ตน้ กลา้ มาดว้ ย ขดุ หลมุ ลกึ 4 - 5 เซนตเิ มตร ปลกู หลมุ ละ 1 ตน้ ใหต้ น้ ตง้ั ตรง โคนตน้ อยรู่ ะดบั ปากหลมุ และกลบดนิ หากไม่ได้หวา่ นปยุ๋ ตอนเตรียมแปลงปลกู ใหร้ องกน้ หลุม ต้นกล้ามใี บจริง 4 ใบ ด้วยปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟตหรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา พร้อมย้ายปลกู หลุมละ 1 ช้อนชา แลว้ เกล่ยี ดินกลบปุ๋ยเพ่อื ปอ้ งกันไมใ่ ห้ รากดาวเรืองสัมผัสป๋ยุ โดยตรง 21
2.2 ระยะปลูก 30 - 40 X 30 - 40 เซนติเมตร แปลงปลกู กวา้ ง 1 - 1.2 เมตร ปลกู ได้ 3 แถวตอ่ แปลง 2.3 จ�ำนวนต้นตอ่ ไร่ ประมาณ 8,700 ตน้ ตอ่ ไร่ 3. การดแู ลรกั ษา 3.1 การใสป่ ๋ยุ 1) หลังยา้ ยปลูก 5 - 7 วนั ใหป้ ยุ๋ สูตร 15-0-0 อตั รา 1 กิโลกรมั ตอ่ น�ำ้ 100 ลิตร (ฤดฝู น) หรือ ปุย๋ ยูเรยี สตู ร 46-0-0 อตั รา 1 กโิ ลกรัมต่อน้�ำ 100 ลิตร (ฤดูหนาว) รดไปบนดนิ บรเิ วณโคนต้น โดยใหป้ ๋ยุ ตดิ ต่อกนั 2 ครั้ง โดยคร้งั ที่ 1 และ 2 หา่ งกัน 7-10 วนั 2) ระยะกลบโคนต้น เมื่อดาวเรืองมีอายุ 20 - 25 วัน หรือหลังจากให้ปุ๋ย ครงั้ ที่ 2 ประมาณ 5 - 10 วัน ใสป่ ุ๋ยสตู ร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อตั รา 35 - 50 กโิ ลกรมั ต่อไร่ และเมือ่ ดาวเรอื งมอี ายุ 35 และ 45 วัน ใส่ปยุ๋ สตู ร 12-24-12 อตั รา 35 - 50 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ โรยปยุ๋ รอบทรงพมุ่ พรอ้ มกบั พรวนดนิ กลบโคนตน้ และกำ� จดั วชั พชื 3.2 การให้น้�ำ 1) ช่วงย้ายปลกู ประมาณ 7 วัน ใหน้ �ำ้ วันละ 2 คร้ัง เช้า - เยน็ จนฟนื้ ตวั 2) ช่วงการเจริญเติบโต ใหน้ ำ้� ประมาณ 7 วันตอ่ ครัง้ ขนึ้ กับสภาพแวดลอ้ ม 3) ชว่ งเกบ็ เกยี่ ว ควรใหน้ ำ�้ กอ่ นตดั ดอก 2 วนั จะไดด้ อกใหญไ่ มเ่ หยี่ วงา่ ย ระหวา่ ง ตัดดอกให้น้�ำทุก ๆ 2 วนั ขึ้นกับสภาพแวดล้อม 4. ศตั รพู ชื ทส่ี ำ� คญั 4.1 โรค ท่ีส�ำคัญได้แก่ โรคเห่ียวจากเช้ือรา มักเกิดกับดาวเรืองท่ีโตเต็มที่ ดอกกำ� ลงั จะบาน การปอ้ งกันก�ำจัดโดยถอนต้นทีเ่ ปน็ โรคเผาทำ� ลายท้ิง และใช้สารเคมี ตามคำ� แนะนำ� 4.2 แมลง 1) เพลี้ยไฟ ระบาดมากในช่วงฤดูร้อน การป้องกันก�ำจัดโดยใช้สารเคมีตาม คำ� แนะนำ� 2) หนอนผีเสื้อกลางคนื เขา้ ท�ำลายในขณะทีด่ อกเร่ิมบาน การปอ้ งกนั ก�ำจัด โดยใช้สารเคมตี ามคำ� แนะนำ� 22
5. การปฏิบัตกิ อ่ นและหลังการเก็บเก่ยี ว 5.1 การเก็บเก่ียว อายุเก็บเก่ียว 55 - 75 วัน ข้ึนกับพันธุ์ โดยตัดดอกท่ีบาน 80 - 90 % (กลบี ดอกชนั้ ในตรงกลางดอกเปน็ สเี ขยี ว เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 0.5 - 1 ซม) โดยใช้กรรไกรตดั ดอกให้ติดกา้ นดอกยาวประมาณ 5 - 10 เซนติเมตร เพ่อื ใหม้ อี ายุการ เก็บรักษาได้นานขึ้น และหลังเก็บดอกครั้งแรกแล้วยังเก็บเกี่ยวดอกต่อได้อีกประมาณ 30 - 45 วัน ดอกดาวเรอื งทีพ่ รอ้ มเก็บเกี่ยว ดอกบาน 80 - 90 % ใช้กรรไกรตดั ดอกใหต้ ดิ กา้ นดอกยาว 5 - 10 เซนตเิ มตร. ตดั ก้านดอกยาวประมาณ 5 - 10 เซนตเิ มตร. 5.2 การปฏิบตั ิหลังการเก็บเกยี่ ว นำ� ดอกไปผงึ่ ลมใหแ้ หง้ หรอื ถา้ มคี วามชนื้ ในอากาศสงู ใชพ้ ดั ลมเปา่ อยา่ ตากแดด และคัดแยกดอกตามเกรดทกี่ �ำหนด สว่ นใหญ่แยกเปน็ ขนาดใหญ่ กลาง เล็ก แล้วใส่ถุง พลาสติกทเี่ จาะรู มดั ปากถุงใหแ้ นน่ แลว้ เตรยี มส่งจำ� หน่าย น�ำดอกไปผึ่งลมหรือใชพ้ ดั ลมเปา่ ดอกขนาดใหญ่ กลาง เลก็ แล้วคดั แยกขนาด 23
24 ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตและใหผ้ ลผลติ ของดาวเรืองตดั ดอก สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กดั 1. สภาพภมู ิอากาศ 1.1 อุณหภูมทิ เ่ี หมาะสมต่อการงอกของเมลด็ - 22 - 27 องศาเซลเซยี ส 1.2 อณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสมในการสง่ เสรมิ การออกดอก - กลางวัน 14.5 - 28.6 องศาเซลเซยี ส กลางคืน - อุณหภูมชิ ่วงกลางวนั สูง 26.2 - 36.4 องศาเซลเซยี ส 15.5 - 18.3 องศาเซลเซยี ส จะยับยัง้ การเกดิ ตาดอก 1.3 แสงแดด - อยา่ งน้อย 8 ชัว่ โมงต่อวนั - เปน็ พืชวนั สัน้ ค่า critical day length เทา่ กับ 12.5 -13.0 ชั่วโมง ดงั นั้นตอ้ งได้รบั แสงน้อยกว่า critical day length จึงจะออกดอก ในช่วงวันยาวระหว่างเดอื นเมษายน- สงิ หาคม จะออกดอกชา้ กวา่ การปลกู ในชว่ งวนั สนั้ ระหวา่ ง เดอื นตุลาคม - กมุ ภาพนั ธ์ และคณุ ภาพดอกในช่วงวนั สนั้ จะดีกว่าวันยาว 1.4 คาร์บอนไดออกไซด์ - การเพมิ่ คาร์บอนไดออกไซด์ 800 - 1,000 ppm ช่วย ส่งเสรมิ การเจรญิ เตบิ โตให้มากขึ้นซ่งึ ควรเพม่ิ อุณหภมู ิ ในชว่ งกลางวนั 1.11 - 1.66 องศาเซลเซยี ส รว่ มดว้ ย จึงจะได้ผลดี 1.5 ความเข้มของแสง - ความเข้มของแสงเพิม่ เตมิ ที่สง่ เสริมการเจริญเติบโต - ความเข้มของแสงน้อยท�ำให้จ�ำนวนดอกต่อต้นลด 450 - 700 แรงเทยี น (foot-candle:fc.) ลง ดงั นนั้ การปลกู ในฤดฝู นซง่ึ เปน็ ชว่ งวนั ยาว และมคี วามเขม้ 1.6 ความชื้นสัมพทั ธ์ (RH) - 50 – 80 % ของแสงน้อย ทำ� ให้จำ� นวนดอกตอ่ ต้นน้อยลง 2. สภาพพื้นท่ี - 0 - 200 เมตร เหนอื ระดบั นำ้� ทะเล - ในช่วงฤดฝู นน้ำ� ทว่ มขงั จะท�ำให้เกิดโรคไดง้ า่ ย 2.1 ความสงู เหนือระดบั นำ�้ ทะเล ไม่เกิน 0 - 2% 2.2 ความลาดเอียงของพน้ื ท่ี
ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลิตของดาวเรืองตัดดอก (ต่อ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำ�กดั 3. สภาพดนิ 3.1 ลกั ษณะดนิ ดนิ รว่ นถงึ ดนิ รว่ นปนทรายแปง้ แตท่ เี่ หมาะสมทส่ี ดุ คอื - ในดินท่มี กี ารระบายนา้ํ ไมด่ ี หรอื การปลูกในสภาพทีม่ ี ดนิ รว่ นปนทรายทอ่ี ดุ มสมบรู ณ์ หนา้ ดนิ ลกึ มกี ารอมุ้ นำ�้ ความชืน้ สงู เกนิ ไป จะทำ� ใหเ้ กดิ โรคดอกไหมไ้ ด้ง่าย 3.2 ค่าความเป็นกรด-ดา่ งของดิน (pH) และระบายน�้ำไดด้ ี ท�ำใหด้ อกเปน็ สีนํ้าตาลจนไมส่ ามารถเก็บเกีย่ วได้ 4. ธาตุอาหาร และเปน็ สาเหตุท�ำใหเ้ กิดโรคเน่า 4.1 ค่าเฉล่ยี ความตอ้ งการธาตุอาหารต่อตน้ 6.2 - 7.5 - ดินดา่ งและดนิ เป็นกรดไมเ่ หมาะสมส�ำหรับการปลกู จากค่าวิเคราะหใ์ บ ธาตุอาหารหลัก - ถ้าไม่ไดร้ บั ธาตอุ าหาร N จะทำ�ใหน้ ำ้ �หนกั แหง้ ของพชื 5. สภาพน�ำ้ N 5.5% P 0.67% K 2.19% ลดลง 5.1 ปรมิ าณ (คิดเป็นอัตราสว่ น N:P:K = 3 :0.5 :1) - ถ้าอณุ หภมู ดิ ินต่ำ�กว่า 22.22 องศาเซลเซยี ส ไมค่ วรใช้ 5.2 ค่าการนำ� ไฟฟา้ (EC) ธาตอุ าหารรอง ปยุ๋ ไนโตรเจนในรูปแอมโมเนยี ม Ca 2.74% Mg 1.56% S 0.88% จุลธาตอุ าหาร Fe 454 ppm Mn 385 ppm B 39 ppm Cu 143 ppm Zn 235 ppm Mo 0.60 ppm มีน�้ำเพยี งพอตลอดฤดูกาลปลกู ถ้าค่า EC สงู จะทำ�ให้การเจริญเตบิ โตและคณุ ภาพดอก ไมเ่ กิน 1.5 มลิ ลโิ มห์ตอ่ เซนติเมตร (mmhos/cm) ไม่ดี 25
แนวทางการเพม่ิ ประสิทธภิ าพการผลิต และแหล่งสืบค้นขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลติ การปฏิบัตเิ พื่อเพม่ิ ปริมาณผลผลติ การเดด็ ยอด หลังยา้ ยปลกู 7 - 10 วนั หรอื ดาวเรอื งอายุ 23 - 25 วนั มใี บจริงประมาณ 4 คู่ และส่วนยอดทีป่ ระกอบด้วยใบเลก็ ๆ อกี 1 -2 คู่ ตอ้ งปลิดยอด ใหญต่ รงกลางทิ้งเพอ่ื ให้แตกกิ่งข้าง ประมาณ 8 - 10 ก่งิ ทำ� ใหด้ าวเรอื งแตกพ่มุ และ ดอกมีขนาดใหญ่ โดยเม่ือเดด็ ออกแล้ว ส่วนที่ติดอยกู่ ับต้นจะมีรอยบุม๋ ลึกลงไป ใช้มอื รวบสว่ นโคนของยอดดาวเรอื งทจี่ ะเอาออกใหแ้ น่น แลว้ เหนยี่ วลงด้านขา้ งใหห้ ลุดติดมอื ออกมา ส่วนยอดทีถ่ กู เดด็ ออก สว่ นทตี่ ดิ อย่กู บั ต้นจะมรี อยบุ๋มลกึ ลงไป 26
การปฏบิ ตั ิเพอ่ื เพ่ิมคณุ ภาพผลผลติ 1. การแต่งดอกข้าง หากต้องการดาวเรืองดอกใหญ่ หลังจากเด็ดยอดแล้ว ประมาณ 15 - 20 วนั ดาวเรอื งจะมีกงิ่ ข้างต้นละ 8 -10 ก่งิ ตามท่ีกำ� หนด แตล่ ะกิ่ง จะมีดอกยอด 1 ดอก ในขณะที่ดอกยอดมีขนาดเทา่ เมล็ดขา้ วโพด ทกุ งา่ มใบของแต่ละ กง่ิ จะแตกเปน็ ยอดออ่ น ซงึ่ จะเจรญิ ตอ่ ไปเปน็ ตมุ่ ดอกในภายหลงั จำ� เปน็ ตอ้ งปลดิ ยอดออ่ น เหลา่ นอี้ อกใหห้ มดกอ่ นทจี่ ะเจรญิ เปน็ ดอกตอ่ ไป คงเหลอื ไวเ้ ฉพาะดอกยอดเพยี งดอกเดยี ว ตอ่ หนง่ึ กง่ิ หรอื 8 - 10 ดอกตอ่ ต้น แต่ในปจั จบุ นั เกษตรกรส่วนใหญ่จำ� หนา่ ยดอกดาว เรอื งเพอื่ รอ้ ยมาลยั จงึ ไมต่ อ้ งการดอกใหญม่ าก แตต่ อ้ งการจำ� นวนดอกตอ่ ตน้ มากและได้ ราคาจากการจำ� หนา่ ยตอ่ ดอก จึงมักไม่แตง่ ดอกขา้ ง 2. การกลบโคนตน้ ควรกลบหลงั ยา้ ยปลกู 20 -25 วนั โดยกำ� จดั วชั พชื โรยปยุ๋ และกลบโคนต้นให้สงู ชิดกบั ข้อใบคู่แรก (ขอ้ ใบคลู่ า่ งสดุ ) จะทำ� ใหร้ ะบบรากพัฒนาและแผ่ ขยายมากขึน้ สง่ ผลใหต้ น้ เจรญิ เตบิ โต ทรงพุ่มแผข่ ยายไดด้ ี ลำ� ต้นสูงขึ้น และประคอง ทรงต้นไม่ให้หกั ลม้ ง่าย ดาวเรืองอายุ 20-25 วนั ก�ำจดั วชั พืช โรยปุ๋ย และกลบโคนต้นใหส้ งู ชดิ กับ ขอ้ ใบคแู่ รก (ข้อใบคลู่ ่างสดุ ) การปลกู ในพ้ืนท่เี ดิม การปลกู ดาวเรอื งซำ้� ในพน้ื ทเี่ ดมิ ใน 1 ปี ควรปลกู 2 ครงั้ ตอ้ งมชี ว่ งพกั ดนิ ประมาณ 3 -4 เดอื น โดยอาจปลกู ถั่ว หรือพืชปยุ๋ สด แลว้ ไถกลบเพอื่ บ�ำรุงดนิ และตากดินให้แห้ง เพ่อื ก�ำจัดโรคที่สะสมอยใู่ นดิน 27
แหล่งสบื ค้นขอ้ มูลเพ่มิ เติม สมั ฤทธิ์ เฟอ่ื งจันทร.์ 2538. ดาวเรอื ง ใน แร่ธาตอุ าหารพืชสวน. ภาควชิ าพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . 572 - 576. โอฬาร พิทกั ษ์ และคณะ. 2537. คูม่ ือการผลติ ไมต้ ัดดอก. กองสง่ เสรมิ พชื สวน กรมส่งเสรมิ การเกษตร. 116 -124 น. เอกพงษ์ หนูพลบั . 2553. การจัดการการผลติ ดาวเรือง. ใน เอกสารการสอนชดุ วิชา หนว่ ยท่ี 8 -15 การจดั การการผลติ ไมด้ อกไมป้ ระดบั เชงิ ธรุ กจิ . สาขาวชิ าสง่ เสรมิ การเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. Harry A. Mills and J. Benton Jones, Jr. 1996. Plant Analysis Handbook II. MicroMacro Publishing, Inc. 195. http://www.marigoldasia.com/th/plant2.php http://www.thongchaloem.com/content-เทคนิคการปลกู ดาวเรอื งตดั ดอก-4-1213-18663-1.html http://nenfe.nfe.go.th/elearning/courses/64/sec3_0.html http://www.ag.auburn.edu/hort/landscape/Marigold.htm 28
มะลิ ขนั้ ตอนการปลกู และการดแู ลรกั ษามะลิ การเตรียมการ เดือน 1 เดือน 2 เดอื น 3 เดือน 4 ปีที่ 1 ปที ี่ 2 ปีท่ี 4-10 การเตรยี มดนิ การปลูก การใส่ปุ๋ย การให้นำ�้ การตัดแต่งก่งิ - ไถดะ 1 ครงั้ ตากดนิ ไว้ 1 - 2 สปั ดาห์ - ขุดหลุมขนาด - หลงั ปลกู 1 เดอื น - ช่วงย้ายปลูก - หลงั ปลูก 1 -2 ปี - ในสภาพดินเป็นกรด หว่านปนู ขาว 50 x 50 x 50 ซม. ใสป่ ยุ๋ สตู ร 15-15- ประมาณ 7 วัน - ตดั แต่งปีละ 2 -3 คร้งั ประมาณ 200 - 300 กก./ไร่ แล้วไถ - ผสมดินที่ขุด:ปุ๋ย 15 หรอื 16-16-16 รดนำ�้ วนั ละ 1 - 2 พรวน อินทรีย์: ใบไม้ผุ อตั รา 50 กรมั /ตน้ ครงั้ เชา้ - เย็น - ที่ลุ่มยกแปลงปลูกกว้าง 8 เมตร 1:1:1 เติมปุ๋ยเคมี และใสท่ กุ 1 เดอื น - ช่วงการเจริญ สูง 0.6 เมตร รอ่ งน�ำ้ กวา้ ง 1 เมตร 15-15-15 และ 0-46- - พ่นปุ๋ยทางใบ เติบโตประมาณ การเตรยี มพันธุ์ 0 อัตรา 80-100 รว่ มดว้ ย สตู ร 30- 7 วัน/คร้งั ขนึ้ กบั - กง่ิ กง่ึ แกก่ ง่ึ ออ่ นมขี อ้ อยา่ งนอ้ ย 3 ขอ้ กรัม/หลุม ใส่คืนลง 30-15 , 17-34-17 สภาพแวดลอ้ ม - ช�ำกิ่งในกระบะเพาะ ที่ใส่ ทราย : หลมุ ทงิ้ ไว้ 7 -10 วนั - ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ขเี้ ถา้ แกลบ 1:1 คลมุ พลาสตกิ ใหม้ ดิ ชดิ จึงปลกู ปีละ 2 ครั้ง เริม่ เก็บเกี่ยว - ย้ายก่ิงพันธุ์ที่ออกรากไปปลูกใน - ระยะปลกู 0.70 x - กำ� จดั วชั พชื กอ่ น การเกบ็ เกยี่ ว ถงุ ดำ� ขนาด 2 x 3 นว้ิ ทใี่ สด่ นิ :ขยุ มะพรา้ ว 0.90 - 1 x 1 ม. ใส่ปุย๋ - เริ่มเกบ็ ดอกอายุต้งั แต่ 3 เดอื น เกบ็ ไดถ้ ึง 10 ปี หรอื แกลบเผา : ปุ๋ยคอก 3:1:1 - จำ� นวนตน้ 800 – - เก็บดอกตูม สีขาวนวล ใช้มอื เดด็ ตรงก้านดอกใต้กลีบเล้ียง - เลย้ี ง 1 เดอื น แลว้ ยา้ ยปลกู ลงแปลง 1,200 ตน้ /ไร่ - ฤดรู อ้ นและฤดฝู น เกบ็ ตง้ั แต่เช้าจนถึงไม่เกินเวลา 13.00 น. ฤดูหนาว เกบ็ ต้งั แตเ่ วลา 12.00 - 17.00 น. ศตั รพู ชื ที่ส�ำคัญ การปฎบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกย่ี ว - โรครากเนา่ จากเชือ้ รา เก็บตน้ เปน็ โรคไปเผาทำ� ลาย ปรบั ปรุงดินด้วยปนู ขาว - เกบ็ แล้วใหร้ ีบน�ำดอกมาเข้าร่มและแชด่ อกในนำ้� เยน็ หรือ - โรคแอนแทรคโนสจากเชือ้ รา ใช้สารเคมีป้องกนั กำ� จัดตามคำ� แนะนำ� น้�ำผสมน�้ำแขง็ เกล็ด แลว้ สะเด็ดนำ�้ ออก บรรจใุ นถงุ รดั ปากถงุ ใหแ้ นน่ - หนอนเจาะดอก เกบ็ เศษพืชบริเวณโคนตน้ เผาทำ� ลาย ตดั แต่งทรงพมุ่ ให้โปรง่ - ในการขนสง่ ใสก่ ลอ่ งโฟมที่พนื้ กล่องใสน่ ำ้� แข็งเกล็ดและปูกระดาษทับ ใช้สารประเภทแบคทเี รยี เชน่ เดลฟิน วางถงุ มะลิเปน็ ชัน้ ๆ สลับกบั น้�ำแขง็ และกระดาษคน่ั ทกุ ขน้ั - เพลยี้ ไฟ ใช้สารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั ตามคำ� แนะน�ำ
เทคนิคการปลูกและดูแลรกั ษามะลิ 1. การเตรยี มการก่อนปลูก 1.1 การเตรยี มดนิ 1) พ้ืนท่ดี อน ไถดะ 1 ครง้ั ตากดนิ ไว้ 1-2 สปั ดาห์ ในสภาพดนิ เป็นกรด หว่านปนู ขาวอตั ราตามค่าวิเคราะห์ (ประมาณ 200 -300 กิโลกรัมตอ่ ไร)่ แล้วไถพรวน 2) พ้นื ทล่ี ่มุ ดนิ เหนยี ว ขุดดนิ เป็นร่องน้ำ� กวา้ ง 1 เมตร ยกแปลงปลกู คล้าย หลงั เตา่ กว้าง 8 เมตร สงู ประมาณ 0.6 เมตร 1.2 การเตรยี มพนั ธุ์ โดยวิธกี ารช�ำ 1) เลอื กกิ่งพันธุ์ก่งึ แก่ก่งึ อ่อน ตัดใหม้ คี วามยาว 4 -6 นว้ิ หรือมีขอ้ อย่างน้อย 3 ขอ้ ปลดิ ใบล่างออกใหเ้ หลอื ใบค่บู นสดุ 1 คู่ ตดั ใบออกใหเ้ หลอื ½ ใบ 2) ถา้ ตอ้ งการเรง่ ใหร้ ากงอกเรว็ จมุ่ กง่ิ พนั ธใ์ุ นฮอรโ์ มน IBA (Indole Butyric Acid) และ NAA (Naphthalene Acetic Acid) อตั ราสว่ น 1:1 โดยจุม่ โคนกงิ่ ลกึ 1 - 2 ข้อ นาน 1 -2 นาที 3) น�ำก่งิ พันธ์ปุ กั ชำ� ลงในกระบะเพาะท่ใี สว่ ัสดเุ พาะชำ� (ทรายผสมข้เี ถา้ แกลบ อตั ราส่วน 1:1) ทร่ี ดน�้ำไว้ชมุ่ ปักเรียงเปน็ แถว ระยะห่างระหว่างแถวและกง่ิ 2 x 2 น้ิว รดน�้ำและสารกนั รา 4) คลุมดว้ ยพลาสตกิ ให้มดิ ชิด หรือวางกระบะเพาะในถงุ พลาสติกขนาดใหญ่ มดั ปากถงุ ใหแ้ นน่ และนำ� ไปวางไว้ในท่รี ่ม กิง่ พนั ธ์จุ ะออกรากภายใน 3 สปั ดาห์ 5) ยา้ ยกง่ิ ท่อี อกรากแลว้ ปลูกลงในถุงพลาสตกิ ดำ� ขนาด 2 x 3 น้ิว ใส่ดิน ขุยมะพร้าวหรอื แกลบเผา และปุ๋ยคอก อัตราสว่ น 3:1:1 จนต้นแขง็ แรงดี ประมาณ 1 เดือน จงึ น�ำออกปลกู ในแปลงท่ีเตรียมไว้ สวนมะลิในที่ลมุ่ ต้องยกแปลงปลูกและขุดร่องน�้ำ 30
2. การปลกู 2.1 วธิ ีปลกู ขุดหลุมปลกู ขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ผสมดนิ ท่ีขุดข้ึนมากบั ปุ๋ย อนิ ทรีย์และใบไมผ้ ุ ในอัตราส่วน 1:1:1 พรอ้ ม เติมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 และ 0-46-0 อตั ราอย่างละ 80 -100 กรมั ต่อหลุม แลว้ ใส่ สวนมะลใิ นทดี่ อน กลบั ลงในหลุมใหม่ ทงิ้ ไว้ 7 - 10 วัน จึงนำ� กงิ่ ช�ำมะลิทีส่ มบูรณแ์ ข็งแรงลงปลกู ในหลุม หลมุ ละ 1 ต้น 2.2 ระยะปลูก 0.60 -0.70 x 0.80 -0.90 -1.0 x 1.0 เมตร 2.3 จำ� นวนตน้ ตอ่ ไร่ ประมาณ 800 -1200 ตน้ ต่อไร่ 3. การดูแลรักษา 3.1 การใสป่ ุ๋ย หลังปลูก 1 เดอื น ใส่ปยุ๋ สตู ร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อตั รา 50 กรมั ตอ่ ตน้ หลงั จากนน้ั ใสเ่ ดอื นละครง้ั อตั ราเพม่ิ ขน้ึ ตามอายหุ รอื ขนาดทรงพมุ่ โดยใส่รอบทรงพุม่ หรือเป็นแนวยาวระหว่างแถว แล้วรดน้�ำตาม อาจฉดี พ่นปุ๋ยทางใบ ร่วมดว้ ย เช่น สตู ร 30-30-15, 17-34-17 เป็นต้น จะชว่ ยใหก้ ารเจริญเตบิ โตดขี ึ้น และ ควรใส่ปุ๋ยอินทรยี ์ อตั ราปีละ 0.8 -1.0 กิโลกรมั ต่อต้น ใสป่ ีละ 2 ครง้ั เพอื่ ชว่ ยปรับปรุง โครงสรา้ งดนิ ให้ร่วนซุย 3.2 การใหน้ ำ้� 1) ชว่ งยา้ ยปลกู 7 วนั ควรรดนำ้� วนั ละ 1 - 2 ครงั้ เช้า -เยน็ 2) ชว่ งการเจรญิ เตบิ โต ให้นำ้� ประมาณ 7 วนั ตอ่ ครั้ง ขึน้ กับสภาพแวดลอ้ ม 3.3 การกำ� จัดวชั พืช ควรกระทำ� ก่อนใส่ป๋ยุ โดย ถอนหรือดายหญ้าระหว่างต้นและแถว ระวังอย่าให้โดน รากของตน้ มะลิ หรือใชส้ ารเคมีตามค�ำแนะนำ� ฉดี ตาม การตดั แต่งมะลิรปู ส่ีเหลยี่ มทรงสงู รอ่ งปลกู โดยไม่ควรให้โดนต้นมะลิ 3.4 การตัดแตง่ กิ่ง หลังจากปลกู มะลิ 1 - 2 ปี ขึ้นไป ควรตดั แตง่ กิง่ ปีละ 2 -3 ครัง้ เพ่อื กระตนุ้ ให้มะลแิ ตกยอดออ่ น จะทำ� ให้ผลผลติ เพมิ่ มากขึน้ โดยตดั แตง่ อย่าง บางเบา (Light Pruning) ตดั กง่ิ แห้ง ก่งิ ในทรงพุ่มหรอื กง่ิ กระโดง กิ่งเลอื้ ย กง่ิ ทโ่ี รคและ แมลงทำ� ลาย ให้เหลือก่งิ สมบูรณไ์ ว้กับลำ� ตน้ ใหม้ าก แต่เมื่อมะลิอายมุ ากข้ึน 2 ปี ขน้ึ ไป ตน้ อาจทรุดโทรม อาจตัดแต่งแบบท่ีเหลอื กงิ่ ไว้กบั ตน้ ส้นั (Hard Pruning) โดยตัดแต่งกิ่ง ใหเ้ หลือไวก้ ับต้นเพยี ง 3 -4 กง่ิ ให้แต่ละกง่ิ มคี วามยาวประมาณ 30 - 45 เซนตเิ มตร 31
4. ศตั รพู ชื ทสี่ �ำคัญ 4.1 โรค 1) โรครากเนา่ จากเชอ้ื รา มักระบาดในสภาพดินเปน็ กรด และพ้ืนท่ีทีป่ ลกู ซำ้� เปน็ เวลานาน การปอ้ งกนั กำ� จดั เมื่อพบต้นเป็นโรคใหข้ ดุ ออกน�ำไปเผาไฟทำ� ลาย รวมทง้ั เผาดินในหลมุ ปลูกด้วย แล้วปรบั ปรุงดนิ ปลกู ดว้ ยปูนขาว 2) โรคแอนแทรคโนสจากเช้ือรา แพร่ระบาดโดยปลิวไปกับลมหรือถูกฝน ชะล้าง การปอ้ งกันกำ� จัด ใช้สารเคมปี ้องกนั กำ� จดั เชือ้ ราตามค�ำแนะนำ� 3) โรครากปมจากไสเ้ ดอื นฝอย พบเฉพาะในบางพน้ื ที่ การปอ้ งกนั กำ� จดั ขดุ ตน้ ท่ี เปน็ โรคนำ� ไปเผาไฟท�ำลาย ปลูกมะลิหมุนเวียนสลับกบั พืชชนดิ อ่ืน และใส่ปยุ๋ อนิ ทรียใ์ ห้ มากขึน้ 4.2 แมลง 1) หนอนเจาะดอก ระบาดมากในฤดฝู นถึงฤดูหนาว การปอ้ งกนั กำ� จดั โดย - เก็บเศษพชื ท่ีหลน่ บริเวณโคนต้นเผาทำ� ลาย - ตดั แต่งทรงพุ่มให้โปรง่ - ใช้สารประเภทแบคทีเรยี เชน่ เดลฟนิ ฉดี พน่ หากใชส้ ารเคมีให้ใช้ตาม คำ� แนะน�ำ - การใชก้ ับดกั แสงไฟ โดยใชห้ ลอดไฟนอี อน หรือหลอดไฟแสงสีฟา้ 2) หนอนกินใบ ระบาดในฤดูฝน การปอ้ งกันก�ำจัด โดยเก็บหนอนหรอื ดกั แด้ ท�ำลาย ใช้สารเคมีปอ้ งกนั กำ� จัดแมลงประเภทดูดซมึ ตามคำ� แนะน�ำ 3) หนอนเจาะล�ำต้น การป้องกันก�ำจัด ขุดต้นท่ีถูกท�ำลายน�ำไปเผาไฟท้ิง และทำ� ลายตวั หนอน 4) เพลี้ยไฟ การปอ้ งกันกำ� จัด ฉีดพ่นดว้ ยสารเคมตี ามค�ำแนะนำ� 32
5. การปฏิบตั ิก่อนและหลังการเก็บเกย่ี ว 5.1 การเกบ็ เกย่ี ว ตน้ มะลทิ ป่ี ลกู ใหมจ่ ะเรมิ่ ใหด้ อกตงั้ แตอ่ ายุ 3 เดอื นแตป่ รมิ าณ ยงั น้อย และเกบ็ เกยี่ วไปได้ถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กบั การดแู ลรักษา เกบ็ เกย่ี วดอกตูมทีเ่ จริญ เตบิ โตเต็มท่พี รอ้ มท่ีจะบาน มีสีขาวนวล ใช้มือเดด็ ตรงกา้ นดอกใต้กลีบเลยี้ ง ฤดรู ้อนและ ฤดฝู น เกบ็ ตง้ั แตเ่ ชา้ จนถงึ ไมเ่ กนิ เวลา 13.00 น. ฤดหู นาว เกบ็ ตงั้ แตเ่ วลา 12.00 - 17.00 น. 5.2 การปฏิบัติหลังการเก็บเก่ียว เม่ือเก็บแล้วให้รีบน�ำดอกมาเข้าร่มและ แชด่ อกในนำ้� เยน็ หรอื นำ�้ ผสมนำ�้ แขง็ เกลด็ ใชม้ อื ซาวในนำ้� จนรสู้ กึ วา่ ดอกมะลมิ ลี กั ษณะสด และแขง็ จงึ น�ำขน้ึ แลว้ สะเดด็ น�้ำออก บรรจใุ นถงุ พลาสตกิ โดยรดี เอาอากาศออกจากถงุ ให้ มากที่สุด บดิ เกลยี วปากถุงใหส้ นิทแนบกับดอกมะลิ เมอ่ื บรรจไุ ด้หลายถงุ แลว้ น�ำไปบรรจุ ในกลอ่ งโฟมทพี่ น้ื กลอ่ งปพู ลาสตกิ สขี าวขนุ่ ใสน่ ำ�้ แขง็ เกลด็ ตบนำ้� แขง็ ใหเ้ รยี บ วางเรยี งถงุ บรรจุมะลิสลบั กบั ชนั้ นำ�้ แขง็ จนเต็มกลอ่ ง ก่อนปดิ กล่องใหบ้ รรจนุ ้�ำแข็งเกลด็ ไว้ชั้นบนสุด ปิดฝากล่องให้สนิทและปิดรอบขอบปากกล่องให้แน่นด้วยเทปกาว จะท�ำให้สามารถเก็บ รกั ษาดอกสดในระหวา่ งการขนส่งข้ามคืนได้โดยดอกไม่บาน ผลผลติ มะลิทีพ่ รอ้ มเก็บเกยี่ วสขี าวนวล การเกบ็ เก่ียวมะลิ 33
34 ขอ้ มลู สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและใหผ้ ลผลิตของมะลิ สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำ�กัด 1. สภาพภมู ิอากาศ 1.1 แสงแดด - ต้องการแสงแดดเตม็ ทใ่ี นการเจริญเตบิ โต หรอื มรี ่มเงาได้บา้ ง 1.2 ความเข้มของแสง - 4,000 - 8,000 แรงเทยี น (foot-candles:fc.) เพ่อื สง่ เสรมิ การออกดอก 1.3 อณุ หภมู ิ - เฉลย่ี ประมาณ 30 องศาเซลเซยี ส - พืน้ ทอ่ี ณุ หภมู ติ ่ากวา่ 15.55 องศาเซลเซียส ไม่ควรปลกู 1.4 ปริมาณน้�ำฝน - กระจายทง้ั ปี 800 -1,000 mm 1.5 ความชน้ื สมั พทั ธ์ - 50 - 80% 2. สภาพพ้ืนที่ 2.1 ความสงู เหนือระดบั น้�ำทะเล - 0 - 200 เมตร - หากเป็นท่ีลมุ่ ควรยกร่องไมใ่ ห้นำ้� ท่วมขงั หากถา้ นำ�้ ขัง 2.2 ความลาดเอียงของพ้นื ที่ - ไม่เกิน 2% ในแปลงนานจะทำ� ใหต้ น้ มะลแิ คระแกรน็ ใบเหลืองตายได้ 3. สภาพดนิ - ดนิ ร่วนปนทรายจนถงึ ดนิ เหนียว แต่ทีเ่ หมาะสมทีส่ ุดคือ ดนิ 3.1 ลกั ษณะดนิ รว่ นปนทรายทอ่ี ุดมสมบรู ณ์ ระบายน้�ำดี - 6.5 - 7.5 3.2 คา่ ความเปน็ กรด-ดา่ ง (pH) - N-P-K 56 - 48 - 56 กก./ไร่ 4. ธาตอุ าหาร คิดเป็นอัตราสว่ น N-P-K 1:1:1 5. สภาพนำ�้ - มนี ำ�้ เพียงพอตลอดปี - ถา้ คา่ EC สงู จะท�ำใหก้ ารเจรญิ เตบิ โตและคุณภาพดอกไม่ 5.1 ปริมาณ -6–7 ดี 5.2 ค่าความเปน็ กรด-ดา่ ง (pH) - ไมเ่ กนิ 1.5 มิลลิโมห์ต่อเซนติเมตร (mmhos/cm) 5.3 คา่ การน�ำไฟฟ้า (EC)
แนวทางการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิต และแหล่งสบื คน้ ขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธิภาพการผลติ การเพิม่ ผลผลิตและคณุ ภาพดอก การผลติ มะลมิ คี วามจำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ทตี่ อ้ งควบคมุ ใหอ้ อกดอกในชว่ งทตี่ ลาดตอ้ งการสงู จึงต้องมีวิธีการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ และสอดคล้องกับการพัฒนาของต้นมะลิ โดยมี ขั้นตอนการปฏิบัติ ดงั นี้ 1. การกระตนุ้ การผลิตตา โดยด�ำเนนิ การวิธีใดวธิ ีหน่ึง ดังนี้ 1.1 การงดการใหน้ ำ�้ มกั กระทำ� ในฤดูแลง้ หลังจากงดใหน้ ำ้� 5-7 วัน มะลิ จะผลติ า แตกยอดออ่ น 1.2 การตัดแตง่ ก่งิ ก�ำจดั วชั พชื ใสป่ ุ๋ย และใหน้ ำ้� ตัดแต่งกง่ิ รปู ทรงส่ีเหลีย่ ม ด้านเท่า หรือสีเ่ หลี่ยมทรงสงู กำ� จดั วชั พชื ใส่ปุ๋ยและรดนำ้� ตามทันทีหลงั ตดั แตง่ กิง่ โดย ใสป่ ยุ๋ คอก และปยุ๋ เคมีทางดินสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ในอตั รา 50-120 กรมั ตอ่ ต้น แล้วรดน้�ำตามทนั ที 2. การสง่ เสรมิ ใหต้ าดอกผลอิ อกมาพรอ้ มกนั เปน็ ชดุ ควรฉดี พน่ สารโพแทสเซยี ม ไนเตรท เข้มข้น 2.5 เปอรเ์ ซ็นต์ (สาร 500 กรมั ต่อน�้ำ 20 ลติ ร) ในวนั ตัดแตง่ กง่ิ สารดงั กล่าวเป็นท้ังปุ๋ยและสารทำ� ลายการพักตวั ของตา สามารถกระต้นุ ให้มะลิผลติ าได้ 80-90 เปอรเ์ ซ็นต์ และใชพ้ ่นแทนป๋ยุ ทางใบไดท้ กุ 20 - 40 วัน (ทุก ½ ถงึ 1 รอบ ของการผลติ ดอก) หรือหากใช้ปุ๋ยทางใบให้ใชป้ ุ๋ยสตู รธาตอุ าหารตวั กลางสงู เชน่ สูตร 15-30-15, 17-34-17 พน่ 3 คร้งั ทกุ 10 วัน 5-7 วัน กระต้นุ การผลติ - งดใหน้ ้�ำหรอื ตดั แต่งก่ิง กำ� จัดวชั พืช และฉีดพ่นสารโพแทสเซยี มไนเตรท 12-14 วนั - ใส่ปุ๋ยและใหน้ �้ำ 20 -21วนั ตาผลิ - พน่ สารคลอมีควอทคลอไรด์ หรอื เมพคิ วอทคลอไรด์ (หลงั ตัดแต่งกง่ิ 10 วัน) แตกชอ่ ดอก - ฉดี พ่นป๋ยุ ทางใบ ทกุ 10 วัน เกบ็ เกีย่ วดอก แผนภูมิ แสดงขั้นตอนและวิธีการเพิ่มผลผลิตและคณุ ภาพดอก 35
3. การพฒั นาการเกดิ ดอกและคุณภาพดอก โดยพ่นสารชะลอการเจริญเติบโต ของมะลิ ไดแ้ ก่ สารคลอมคี วอทคลอไรด์ (CCC : ไซโคเซล) อตั รา 10 มลิ ลิลติ ร ต่อน�้ำ 20 ลิตร หรอื สารเมพิควอทคลอไรด์ อัตรา 0.175 มิลลิลิตร ต่อน้�ำ 20 ลิตร หลงั วนั ตัดแตง่ กิง่ 10 วนั มะลจิ ะสะสมอาหารในต้นมากขน้ึ หลังฉีดพน่ และท�ำให้เพ่ิมนำ�้ หนกั ดอกไดถ้ งึ 17.4 เปอรเ์ ซ็นต์ การเพิ่มผลผลติ ดอกในชว่ งฤดูหนาว ฤดหู นาวผลผลติ จะออกนอ้ ยมาก ดอกมขี นาดเลก็ และสนั้ แตต่ ลาดมคี วามตอ้ งการสงู ทำ� ให้ราคาช่วงนสี้ งู มาก การผลติ มะลใิ นฤดหู นาวใหไ้ ด้ผลผลติ สงู และคณุ ภาพดี จงึ เป็น สง่ิ ที่เกษตรกรตอ้ งการมากทีส่ ุด โดยด�ำเนินการ ดังนี้ 1. การตัดแตง่ กงิ่ อยา่ งบางเบา กระท�ำทนั ทหี ลงั เก็บเก่ยี วดอกชดุ สุดทา้ ยของ ฤดูฝน กอ่ นระยะเวลาท่จี ะผลิตดอกในฤดหู นาวประมาณ 2 - 3 เดอื น ประมาณเดือน กันยายน - ตุลาคม โดยตัดแต่งปลายก่ิงออก และหากพบก่ิงกระโดงหรือก่ิงท่ีเป็นโรค ใหต้ ดั ออก การตดั แตง่ ครง้ั นจี้ ะทำ� ใหต้ าบนกง่ิ มะลผิ ลแิ ละเกดิ เปน็ ยอดออ่ น ใบออ่ นจำ� นวน มากภายใน 10 - 20 วนั เมื่อยอดออ่ นเจรญิ เติบโต มีความยาว 10 - 20 เซนตเิ มตร ควรทำ� การตดั แตง่ ก่ิงเอาเฉพาะยอดออกอกี คร้งั เพื่อใหก้ ิ่งมีการแตกแขนงเพิ่มข้นึ เปน็ ก่ิง แขนงยอ่ ย ซ่ึงจะให้ช่อดอกในเวลาอันรวดเร็วและได้จ�ำนวนมากยงิ่ ขึ้น ระยะนี้ควรมีการ ดูแลปอ้ งกนั ก�ำจัดศตั รูพชื ใหด้ ดี ้วย 2. การใสป่ ุย๋ ปฏิบัติในช่วงเวลาเดียวกับการตัดแตง่ กง่ิ โดยใสป่ ุ๋ยคอก และปยุ๋ เคมีสูตร 15-15-15 สลับกบั สตู ร 12-24-12 ในอัตรา 50 กรมั ตอ่ ต้น ทกุ 2 สปั ดาห์ 3. การพ่นสารเร่งดอก โดยใช้ ไธโอยูเรยี 1 เปอร์เซ็นต์ (200 กรัมผสมน้�ำ 20 ลิตร) พน่ 1 ครัง้ หลงั การตัดแต่งกิ่งทนั ที สารนจี้ ะท�ำให้ใบเหลอื งและรว่ งเพิม่ ขนึ้ หรอื พน่ สารโพแทสเซยี มไนเตรทเขม้ ขน้ 2.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ (สาร 500 กรมั ตอ่ นำ�้ 20 ลติ ร) ทดแทนไธโอยเู รยี ได้ และไมท่ ำ� ใหใ้ บรว่ ง ทำ� ลายการพกั ตวั และท�ำใหอ้ อกดอกได้ 70 - 90 เปอรเ์ ซน็ ต์ สารเรง่ การออกดอกเหล่านีใ้ ชพ้ น่ โดยมีการใสป่ ยุ๋ ไดต้ ามปกติ 4. การให้น้�ำอย่างสม่�ำเสมอ มีความส�ำคัญย่ิง ตั้งแต่หลังการเก็บเกี่ยวดอก ปลายฤดูฝนถงึ สน้ิ สดุ การเก็บเก่ียวดอกปลายฤดูหนาวชดุ สุดท้ายหมด ถา้ ขาดน้�ำในชว่ งนี้ มะลิจะใหด้ อกลดน้อยลงอยา่ งมาก 5. การใชว้ ัสดุคลุมดนิ ประเภทอนิ ทรยี วตั ถุต่าง ๆ เช่น ฟางข้าว เศษหญ้า เปลือกถว่ั ลิสง หรอื ใช้แผ่นพลาสตกิ สดี ำ� คลุมแปลง เพ่ือรกั ษาอณุ หภูมขิ องดิน เน่ืองจาก ชว่ งฤดหู นาวอณุ หภมู ติ ่ำ� รากมะลมิ กี ารเจริญเตบิ โตและดูดน้�ำและธาตอุ าหารลดลง 36
แหลง่ สืบคน้ ข้อมูลเพิ่มเติม ธวชั ชยั น่มิ ก่ิงรัตน์. 2546. สถานการณก์ ารผลติ การตลาดและเทคโนโลยีการผลติ มะลินอกฤด.ู เอกสารประกอบการฝกึ อบรมหลกั สตู ร “การผลติ มะลนิ อกฤด”ู วนั ที่ 8 สงิ หาคม 2546 ณ อาคารฝกึ อบรมศนู ยส์ ง่ เสรมิ และพฒั นาอาชพี การเกษตร ศนู ยส์ ง่ เสรมิ และพฒั นา อาชพี การเกษตร จงั หวดั นครราชสีมา (พชื สวน). ธวชั ชัย นิ่มกงิ่ รตั น.์ 2552 ค�ำแนะน�ำการปลกู มะลิลา. ศูนยว์ จิ ัยพชื สวนศรีสะเกษ สำ� นกั วจิ ยั และพฒั นาการเกษตร เขตท่ี 4 กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ ทรงวฒุ ิ เพช็ รประดบั . มปป. การปลกู มะล.ิ เอกสารแนะนำ� ท่ี 44. ฝา่ ยสง่ เสรมิ การเกษตร สำ� นักวิจยั และส่งเสริมวชิ าการเกษตร สถาบนั เทคโนโลยีการเกษตรแมโ่ จ้ เชียงใหม่. เศรษฐพงศ์ เลขะวัฒนะ ทวีพงศ์ สวุ รรณโร และอัญชลี พัดมีเทศ. 2541. เอกสารแนะนำ� ท่ี 91. การปลูกมะลิ. กองสง่ เสรมิ พืชสวน กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. โอฬาร พทิ กั ษ์ และคณะ. 2537. คมู่ อื การผลิตไมต้ ัดดอก. กองส่งเสริมพืชสวน กรมส่งเสริมการเกษตร. 116-124 น. www.inseda.org/Additional%20material/CD%20.../42.../Jasmine-341.doc 37
หนา้ วัวตดั ดอก ขน้ั ตอนการปลกู และการดูแลรกั ษาหนา้ วัวตัดดอก การเตรียมการ 1 เดือน 4 เดือน 8 เดือน 12 เดอื น 16 เดอื น 18 เดอื น 6 ปี การเตรยี มแปลงปลกู การปลูก ให้ผลผลิต 50% ให้ผลผลิต100% การร้อื แปลง/การลม้ ตน้ - โรงเรอื นสงู 3 - 5 เมตร พรางแสง 70 - 80% 1. จัดวางต้นพันธุ์ให้ราก การใส่ปุย๋ การใหน้ �้ำ - หลงั จากปลกู 5 – 6 ปี ต้นหนา้ วัวเริ่มสูง - แปลงกว้าง 1.20 เมตร ยกขอบสูง 30 ซม. กระจายโดยรอบ ระวังอย่า - ใสป่ ยุ๋ สตู รเสมอ 15 -15-15 - ใชน้ ำ้� สะอาด pH 5.5 – 6.5 เก้งก้าง ให้ผลผลิตต่�ำ ใช้วิธีร้ือแปลงเพื่อ ท�ำแปลงเป็นสันนูนคล้ายหลังเต่าหรือรูปตัว ใหร้ ากหกั แลว้ ใสว่ สั ดปุ ลกู ให้ หรือ 16-16-16 โรยรอบ - ให้น้�ำแบบสปริงเกอร์วนั ปลูกใหม่หรือใช้วิธีการล้มต้น เพื่อให้เกิด วี (V) ปพู ้ืนด้วยพลาสติก เสมอจดุ เจรญิ บรเิ วณโคนตน้ ชายพมุ่ อตั รา 20 กรมั ตอ่ ตน้ ละ 2 ครง้ั ๆ ละ 10-15 นาที การเจริญเติบโตทางยอดใหม่อกี ครัง้ - ใสว่ สั ดปุ ลูกสูง 20 - 30 ซม. 2. ปลกู ในกระถาง ใชก้ ระถาง เดอื นละครั้ง - ปริมาณน้�ำที่ให้ 3 – 5 การตดั แตง่ การเตรียมพนั ธ์ุ ขนาด 8 นว้ิ - ฉีดพ่นด้วยปุ๋ยเกล็ดสูตร ลิตร/ตร.ม./วนั เม่อื หน้าวัวอายุ 1 ปี ข้ึนไป ควรมีการ - ใชต้ น้ พนั ธจ์ุ ากการเพาะเลย้ี งเนอื้ เยอ่ื ขนาด 3. ปลกู ในแปลง ระยะปลูก 15-30-15 หรือ 16-21-27 1. การตดั แต่งหนอ่ ใหเ้ หลอื หน่อทส่ี มบรู ณ์แขง็ แรง 10 – 15 ซม. (อายุ 4 เดอื น) 30 x 30 ซม. ปลกู ได้ 10,000 อัตรา 20-40 กรมั ต่อนำ้� 20 ทสี่ ดุ ไว้ คอื ยอดหลกั ทปี่ ลกู ครงั้ แรก กบั ยอดแตกใหม่ - อนบุ าลต้นพันธุใ์ นกระถาง 4 นิว้ นาน 4 – 11,000 ตน้ ตอ่ ไร่ หรอื 6 - 7 ลิตร ทุก 15 วัน ท่แี ข็งแรง (ควรมี 2 ยอด/ตน้ ) เดอื น ได้ต้นสงู 20 – 25 ซม. จงึ ยา้ ยปลกู ต้นตอ่ ตารางเมตร 2. การตัดแต่งใบ ควรตัดแตง่ ทุกเดือน ใหเ้ หลือใบไว้ บนตน้ เปน็ ใบแกป่ ระมาณ 2 - 3 ใบ และใบออ่ น 1 ใบ ศัตรพู ชื ทส่ี ำ� คัญและการป้องกันกำ� จดั การเกบ็ เก่ียว 1. โรคใบไหม้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ระบาดมากในสภาพท่ีมีอุณหภูมิสูง ความชื้นสูง เป็นโรคที่รักษา - หลังจากปลกู ประมาณ 8 เดือน เร่มิ เกบ็ เกี่ยวได้ ใหผ้ ลผลิต 100% เมอ่ื หน้าววั อายุ ได้ยาก การป้องกันก�ำจัด โดยการใช้พันธุ์ปลอดโรค คนงานและเครื่องมือท่ีใช้ต้องสะอาดอยู่ในสภาพ 1 ปี เก็บเกี่ยวได้จนถึงอายุ 5 - 6 ปี ปลอดเชอื้ อย่เู สมอ และตอ้ งป้องกันไมใ่ ห้แพร่กระจายไปแปลงอ่ืน - ระยะเกบ็ เกย่ี วทเี่ หมาะสมพจิ ารณาจากกา้ นคอดอกแขง็ ไมอ่ อ่ นงอ จานรองดอกบาน 2. โรคเนา่ ด�ำหรอื โรคใบแหง้ เกดิ จากเชือ้ รา ระบาดมากในฤดูฝน การปอ้ งกนั ก�ำจัด ปรบั สภาพโรงเรอื น เตม็ ท่ี สสี นั สดใส และสขี องปลีเปลี่ยนไป หรอื ปลดี อกบาน (จากโคนไปยังปลายปลี) อยา่ ใหช้ นื้ แฉะ ให้อากาศถา่ ยเทสะดวก เก็บสว่ นท่ีเป็นโรคเผาทำ� ลาย ประมาณ 2 ใน 3 ของปลี 3. โรคแอนแทรคโนส เกดิ จากเชื้อรา ระบาดมากในสภาพท่มี อี ุณหภูมสิ งู ความชืน้ สูง การปอ้ งกันก�ำจัด การปฎิบตั หิ ลังการเกบ็ เกยี่ ว ปลกู หน้าวัวพนั ธ์ตุ า้ นทานโรค เกบ็ สว่ นที่เปน็ โรคเผาทำ� ลาย 1. เมอื่ ตัดดอกจากต้นแลว้ ให้รบี น�ำก้านดอกแช่ในนำ�้ สะอาดทันที 4. เพลยี้ ไฟ ระบาดได้ทุกฤดใู นช่วงท่อี ุณหภมู ิสงู และความชน้ื ตำ่� การป้องกันก�ำจัด ใชก้ ับดักกาวเหนยี ว 2. การท�ำความสะอาด ล้างดอกหน้าวัวดว้ ยน�้ำสะอาด หรอื ใช้สารเคมฉี ีดพ่นตามค�ำแนะน�ำ 3. การคดั เกรด วัดความกวา้ งของจานรองดอก และความยาวของกา้ นดอก 5. แมลงกลุม่ ผีเสอ้ื ได้แก่ หนอนกระทู้ หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกระทผู้ กั การปอ้ งกันก�ำจดั โดยวธิ กี ล 4. การเก็บรักษา อณุ หภูมใิ นการเก็บรกั ษาควรอยูร่ ะหวา่ ง 18 – 20 องศาเซลเซียส โดยการเกบ็ กลุ่มไขแ่ ละหนอนท้งิ หรอื ใช้เช้อื จลุ ินทรีย์
เทคนคิ การปลูกและดแู ลรกั ษาหนา้ ววั ตัดดอก 1. การเตรยี มการก่อนปลูก 1.1 การเตรียมโรงเรือน ธรรมชาติของหน้าวัวต้องการสภาพแวดล้อมท่ีมีความชื้นสูง มีแสงแดดร�ำไร และมีการถ่ายเทอากาศดี ไมช่ อบลมโกรก โรงเรือนควรมคี วามสงู 3 – 5 เมตร หลังคา มงุ ดว้ ยตาขา่ ยพรางแสงแดด 70 – 80 % โรงเรอื นอาจคลมุ ดว้ ยพลาสตกิ ใสเพอื่ ปอ้ งกนั ฝน ภายใต้หลังคาตาข่ายพรางแสงจะท�ำให้อุณหภูมิภายในโรงเรือนต่�ำกว่าคลุมพลาสติกไว้ ด้านบนตาข่ายพรางแสง แตก่ ารทำ� ความสะอาดเมื่อเกดิ ตะไคร่น�้ำหรือสงิ่ สกปรกจะค่อน ข้างยากกว่า การมงุ ดว้ ยพลาสตกิ จะชว่ ยใหส้ ามารถทำ� งานได้ตลอดเวลาและช่วยปอ้ งกัน โรคใบไหมแ้ ละโรคท่ีเกิดจากฝนเปน็ ตวั ทำ� ให้แพร่กระจาย 1.2 การเตรยี มแปลงปลกู การปลูกหน้าวัวตดั ดอกสามารถท�ำได้ทั้งการปลกู ลงแปลงหรือปลูกในกระถาง ส�ำหรับการปลูกลงแปลงก็มีหลายลักษณะ เช่น แปลงปลูกแบบติดพ้ืนดิน และแบบ โตะ๊ ปลูกซ่งึ ค่าใช้จ่ายคอ่ นขา้ งสูง โดยทว่ั ไปนิยมทำ� แปลงปลกู แบบติดพ้นื ดิน 1) แปลงกว้างประมาณ 1.2 เมตร ยกขอบสูง 30 เซนตเิ มตร อาจยกขอบ โดยใช้อิฐบล็อกหรือลวดกรงไก่หรือตาข่ายพลาสติกหรือตาข่ายพรางแสง เว้นทางเดิน ประมาณ 80 เซนตเิ มตร 2) แปลงปลกู แบบติดพนื้ ดิน จดั ท�ำได้ 2 ลกั ษณะ คอื - ยกแปลงปลกู ใหเ้ ปน็ สันนูนคลา้ ยหลังเตา่ ปรบั พน้ื ใหเ้ รยี บด้วยทรายก่อนปูดว้ ยพลาสติก - ทำ� แปลงปลกู รปู ตวั วี (V) จากนนั้ ปพู ลาสตกิ และวางทอ่ รพู รนุ ระบายนำ้� ไวต้ รงกลาง โดยใหล้ าดเอยี ง เพอื่ รบั น้�ำออกไปนอกแปลง 3) ใสว่ สั ดปุ ลกู สงู ประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร แปลงปลูกสนั นนู คลา้ ยหลงั เตา่ แปลงรูปตัววี (V) โต๊ะปลูก 39
1.3 การเตรียมวัสดุปลูก วสั ดปุ ลกู หนา้ ววั ควรมลี กั ษณะโปรง่ ปราศจากเชอ้ื โรค หางา่ ย ราคาถกู ระบาย นำ้� ดี ไม่ขังแฉะแต่เก็บความชน้ื ได้ดี สามารถยดึ รากและล�ำต้นไมใ่ ห้ล้มเม่ือต้นโตข้ึน ไม่มี สารทเี่ ปน็ พษิ ตอ่ พชื ไมเ่ นา่ ยบุ หรอื ยอ่ ยสลายงา่ ย วสั ดปุ ลกู ทน่ี ยิ มใชป้ ลกู หนา้ ววั เชน่ กาบ มะพร้าว ถ่านไม้ ถ่านซังข้าวโพด อิฐมอญทุบ ถ่านกะลาปาล์ม โอเอซิส พีทมอส และหนิ ภเู ขาไฟ เปน็ ตน้ คา่ ความเปน็ กรด - ดา่ ง ของวสั ดปุ ลกู ควรอยรู่ ะหวา่ ง 5.5 – 6.2 ตวั อยา่ งวัสดปุ ลูก 1.4 การเตรยี มพนั ธุ์ 1) การปลูกหน้าวัวเป็นการค้าในปัจจุบันนิยมใช้ต้นพันธุ์จากการเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือ เน่อื งจากจะมีความแขง็ แรง เตบิ โตสม่�ำเสมอ และปลอดโรค โดยเกษตรกรมักจะส่งั ซ้ือ ตน้ พนั ธม์ุ าจากตา่ งประเทศ ขนาดความสงู ของตน้ ประมาณ 10 – 15 เซนตเิ มตร (4 เดอื น) 2) อนบุ าลตน้ พนั ธใ์ุ นกระถาง 4 นว้ิ เปน็ เวลาประมาณ 4 เดอื น จะไดต้ น้ พนั ธข์ุ นาด สงู ประมาณ 20 – 25 เซนติเมตร ซ่ึงสามารถย้ายปลกู ลงแปลงได้ 3) พนั ธห์ุ นา้ ววั ทส่ี ามารถเจรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นประเทศไทย เชน่ ทรอปปคิ อล อะโครโพลสิ มิโดริ เชยี รพ์ ติ ตาเช่ คาสิโน แองเจลิ โรซา่ แซนเต้ เปน็ ตน้ ตน้ พันธข์ุ นาด ตน้ พนั ธ์ุขนาด ต้นพันธ์ขุ นาด ตน้ พนั ธขุ์ นาด 2-3 (0 เดือน) 10-15 ซม. 20-25 ซม. 30-40 ซม. (4 เดอื น) (12 เดอื น) ต้นพันธุ์หน้าววั ท่ีน�ำเข้าจากตา่ งประเทศในระยะต่างๆ ของบรษิ ัท Anthura ประเทศเนเธอแลนด์ 40
2. การปลกู เม่อื อนบุ าลตน้ พันธห์ุ น้าววั ได้ระยะเวลาและขนาดตน้ ที่เหมาะสม (ขนาด 20 - 25 เซนตเิ มตร) ท�ำการยา้ ยปลกู โดยอาจปลูกในกระถางขนาดใหญ่ข้ึนหรอื ปลกู ลงแปลง 2.1 วธิ ปี ลกู จดั วางตน้ พนั ธใ์ุ หร้ ากกระจายโดยรอบ ระวงั อยา่ ใหร้ ากหกั แลว้ ใสว่ สั ดปุ ลกู ใหเ้ สมอจดุ เจรญิ บรเิ วณ โคนตน้ อยา่ ใสว่ ัสดปุ ลกู ทว่ มจดุ เจริญเพราะอาจทำ� ให้ต้น เนา่ ตายได้ หากใสว่ สั ดปุ ลกู ตำ่� กว่าจุดเจริญมาก ตน้ จะล้ม งา่ ยและไมส่ มบรู ณ์ 1) ปลูกในกระถาง ใชก้ ระถางขนาด 8 น้วิ สำ� หรบั ตน้ พนั ธท์ุ มี่ ขี นาด 20 -25 เซนตเิ มตร และกระถาง ขนาด 11-12 นว้ิ สำ� หรบั ต้นพนั ธ์ทุ มี่ ีขนาด 30 - 40 ต�ำแหน่งจดุ เจรญิ ของหน้าวัว เซนติเมตร โดยใส่วัสดปุ ลูกประมาณ 1 ใน 3 ของความ สูงของกระถาง ไม่ควรวางกระถางให้ห่างกันมากเกินไป เพราะจะท�ำให้สภาพแวดล้อมรอบต้นพืชไม่เหมาะสม ใบ ล่างๆ จะเหลือง ควรวางในระยะท่ปี ลายพุม่ ใบชนกันแต่ ไมต่ อ้ งซอ้ นกนั เมอื่ ตน้ โตขนึ้ ใหข้ ยบั กระถางออกระยะหา่ ง ใบชนกันเหมือนเดิม การปลูกหน้าววั ในกระถาง 2) การปลูกในแปลง ปลูก 4 แถว สลับ ฟนั ปลา ระยะปลกู 30 x 30 เซนตเิ มตร ปลกู ไดป้ ระมาณ 10,000 - 11,000 ต้นตอ่ ไร่ หรือประมาณ 6 - 7 ต้น ตอ่ ตารางเมตร หลงั ปลกู ควรเตมิ วสั ดปุ ลกู หากพบวา่ วสั ดุ ปลูกยบุ ตัว แตอ่ ย่าใหก้ ลบยอด 3. การดูแลรกั ษา การปลูกหนา้ วัวในแปลง 3.1 การใส่ปยุ๋ 1) กรณที ป่ี ลกู ลงแปลง ควรใหป้ ยุ๋ เมด็ สตู รเสมอ เชน่ 15 -15-15 หรอื 16-16-16 โรยรอบชายพุ่มอัตรา 20 กรัมต่อต้น เดือนละคร้ัง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าสูตรเสมอ 13-13-13 หรอื 16-18-12 อัตรา 0.6 กิโลกรมั ตอ่ 100 ตารางเมตร ทกุ 3 เดอื น และฉีดพน่ ดว้ ยป๋ยุ เกลด็ สูตร 15-30-15 หรือ 16-21-27 อัตรา 20 - 40 กรัม ต่อน้�ำ 20 ลติ ร ฉดี พน่ ทกุ 15 วัน 2) กรณีปลกู ลงกระถาง ใส่ปยุ๋ เม็ดสูตรเสมอกระถางละ 20 กรัม เดือนละคร้งั หรือใส่ปุ๋ยละลายช้ากระถางละ 20 กรัม ทุก 3 เดือน และฉีดพ่นด้วยปุ๋ยเกล็ด เหมือนการปลกู ลงแปลง 41
3) หากสามารถใหป้ ยุ๋ ทางระบบนำ้� (fertigation) ได้ จะเปน็ วธิ ที ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ มากท่ีสุด เนอื่ งจากใบหน้าวัวมชี ้ันของแว๊กส์ท่หี นา การใหป้ ยุ๋ ทางใบทำ� ใหห้ นา้ ววั ดดู ซึม ปยุ๋ ได้ไม่ดเี ทา่ ที่ควร 3.2 การใหน้ �้ำ ปรมิ าณนำ้� ทใ่ี หห้ นา้ ววั จะขนึ้ อยูก่ บั ชนิดของวัสดุปลกู ฤดกู าล และอายขุ องตน้ หนา้ ววั ปกตจิ ะใหน้ ำ�้ วนั ละ 2 ครง้ั ชว่ งอากาศแหง้ แลง้ อาจใหว้ นั ละ 3 ครงั้ โดยแตล่ ะครง้ั ใหน้ าน 10-15 นาที โดยเฉลย่ี อตั ราการใหน้ ำ�้ แบบสปรงิ เกอรจ์ ะให้ 3 ลติ ร ตอ่ ตารางเมตรตอ่ วนั สว่ นการใหน้ ำ�้ แบบหยดจะให้ 2 ลิตรต่อตารางเมตรต่อวนั น้�ำทีใ่ ช้ รดหนา้ ววั ควรเปน็ นำ�้ ท่สี ะอาด มคี ุณภาพดี มีคา่ ความเปน็ กรด - ดา่ ง (pH) ระหว่าง 5.5 – 6.5 ค่าการนำ� ไฟฟา้ (EC) ไมค่ วรเกิน 0.5 3.3 การตัดแตง่ เม่ือต้นหน้าววั เจรญิ เติบโตไประยะหนึง่ อายุ 1 ปี ขน้ึ ไป และ เมื่อใบเริม่ ซ้อนทบั กัน หรือมกี ารแตกหน่อใหม่ จงึ ควรเริ่มตัดแตง่ ตน้ หน้าวัวเพือ่ เป็นการ เพ่ิมผลผลิตและสะดวกในการจัดการ การตัดแตง่ ทำ� ได้ 2 แบบ คือ 1) การตดั แตง่ หนอ่ เมอ่ื หนา้ ววั มกี ารแตกหนอ่ ใหมข่ น้ึ มา หากทงิ้ หนอ่ ไวม้ าก เกนิ ไปกอจะแนน่ ทำ� ใหต้ น้ และดอกไมส่ มบรู ณแ์ ละเลก็ ลง เนอ่ื งจากการแยง่ อาหารกนั ควร พิจารณาเก็บหนอ่ ใหม่ท่ีแข็งแรงไว้ ให้ 1 ต้น มเี พียง 2 ยอดเท่าน้ัน หรอื ใหม้ ีจำ� นวน ยอดตอ่ พนื้ ทใี่ นโรงเรอื นประมาณ 15 ยอดตอ่ ตารางเมตร และควรเดด็ ยอดสว่ นเกนิ ตงั้ แต่ ยังออ่ นเพอ่ื ให้กระทบกระเทอื นต้นน้อยทส่ี ุด 2) การตดั แตง่ ใบ เมือ่ หน้าวัวเจริญเตบิ โตได้ระยะหนงึ่ จนใบของตน้ ข้างเคียง ชนกันแล้ว ควรตดั ใบให้เหลอื ไวก้ บั ต้น เปน็ ใบแก่ประมาณ 2 - 3 ใบ และใบอ่อน 1 ใบ เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศท่ีดี ป้องกันการระบาดของโรคและช่วยไม่ให้ต้นล้มหรืองอ ไมค่ วรตดั ใบครัง้ ละมากๆ ในต้นเดียวกันเพราะจะทำ� ให้ต้นชะงกั การเจรญิ เตบิ โต และไม่ ควรตัดใบทมี่ ดี อกกำ� ลังเจรญิ อย่เู พราะจะทำ� ให้อาหารไปเลี้ยงดอกลดลง 3.4 การขึงเชอื ก เพอ่ื รกั ษาพนื้ ทที่ างเดนิ ใหก้ วา้ งเพยี งพอและไมใ่ ห้ ต้นล้มออกมานอกแปลง ต้องขึงเชือกรอบๆ แปลงปลูก เพ่อื ปอ้ งกนั ความเสยี หายจากการเดินผา่ นทางเดนิ โดยขงึ เชือกรอบแปลงปลูกข้างละ 2 เส้น หรือระหว่างแถว ต้นหนา้ วัว เพ่ือไมใ่ ห้มีปญั หาในการเกบ็ เก่ยี วดอก 3.5 การร้ือแปลง การขงึ เชอื กแปลงหนา้ ววั การรอ้ื แปลงและปลกู ใหม่ จะขน้ึ อยกู่ บั ขนาดของ ต้นหน้าววั และสภาพการระบาดของโรคและแมลง อาจรื้อ แปลงทกุ 5 –6 ปี หรอื ใชว้ ธิ กี ารลม้ ตน้ ทอ่ี ายปุ ระมาณ 6 ปี หรือตน้ ทเ่ี ก้งก้าง ใหเ้ อนลงในแนวราบไปทิศทางเดยี วกัน เมอื่ สว่ นยอดตง้ั ขนึ้ จะมรี ากใหมง่ อกออกมาและเตบิ โตตอ่ เนอื่ ง สามารถใหผ้ ลผลิตตอ่ ไปได้อีกอยา่ งน้อย 3 – 4 ปี การล้มตน้ 42
4. ศัตรพู ชื ท่ีสำ� คญั การปอ้ งกนั กำ� จัดศัตรูหนา้ ววั ให้ได้ผลดี ต้องใชว้ ิธีการทเี่ หมาะสมหลายๆ วิธีรว่ มกัน โดยเฉพาะหน้าวัวต้องเน้นการจัดการต้นพืชให้แข็งแรง โดยใช้วิธีการเขตกรรรมที่ดี หลกี เลย่ี งสภาพแวดลอ้ มไมเ่ หมาะสม สำ� รวจศตั รพู ชื เปน็ ประจ�ำสมำ่� เสมอ หากพบหนา้ ววั เป็นโรคใหน้ �ำส่วนทเ่ี ป็นโรคออกจากแปลงไปเผาท�ำลายทิง้ และฉดี พน่ สารปอ้ งกนั ก�ำจัด ศตั รูพืช ศัตรหู น้าววั ท่สี ำ� คญั ไดแ้ ก่ 4.1 โรค 1) โรคใบไหม้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ระบาดมากในสภาพท่ีมีอุณหภูมิสูง ความชนื้ สงู ฝนหรอื การใหน้ ำ�้ ถกู ใบอาจทำ� ใหใ้ บเปน็ แผล และทำ� ใหเ้ ชอ้ื แบคทเี รยี เขา้ ทำ� ลาย ไดง้ า่ ย การปอ้ งกนั กำ� จดั เปน็ โรคทก่ี ำ� จดั ไดย้ ากเพราะเชอื้ กระจายอยใู่ นตน้ พชื และระบาด ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ วธิ ปี อ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ เชอื้ นี้ คอื การใชพ้ นั ธป์ุ ลอดโรค คนงานและเครอ่ื งมอื ทใี่ ชต้ อ้ งสะอาดและอยใู่ นสภาพปลอดเชอ้ื อยเู่ สมอ เมอื่ เปน็ โรคนแี้ ลว้ ควรมมี าตรการปอ้ งกนั ไม่ให้เชือ้ โรคน้ีกระจายไปแปลงอืน่ ๆ 2) โรคเนา่ ดำ� หรอื โรคใบแหง้ เกดิ จากเชอื้ รา ระบาดมากในฤดฝู น ในโรงเรอื น ทม่ี ีความช้ืนสูง มกี ารระบายน�้ำและอากาศไม่ดี การป้องกันก�ำจัด ปรับสภาพโรงเรือน อย่าใหช้ นื้ แฉะ ให้อากาศถา่ ยเทสะดวก ตดั แต่งใบให้แสงแดดส่องถึง ตัดแต่งส่วนท่ีเป็น โรคเผาท�ำลาย และฉดี พน่ ดว้ ยสารปอ้ งกันกำ� จัดเชือ้ รา 3) โรคแอนแทรคโนส เกิดจากเชื้อรา ระบาดมากในสภาพท่ีมีอุณหภูมิสูง ความชนื้ สูง การปอ้ งกนั กำ� จดั ปลกู หน้าวัวพันธุ์ตา้ นทานโรค แยกตน้ ทเี่ ป็นโรคออกจาก โรงเรือน หากพบปริมาณไม่มากให้เก็บเผาท�ำลาย และฉีดพ่นด้วยสารป้องกันก�ำจัดเช้ือรา เป็นระยะๆ 4.2 แมลงและสัตวศ์ ตั รู 1) เพลีย้ ไฟ ระบาดได้ทุกฤดูในช่วงที่อณุ หภมู ิสงู และความชนื้ ตำ�่ การป้องกัน ก�ำจัด ใชก้ บั ดกั กาวเหนียว หรอื ใชส้ ารเคมฉี ีดพ่นตามคำ� แนะนำ� 2) แมลงกล่มุ ผเี สอื้ ได้แก่ หนอนกระทู้ หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกระทผู้ ัก ซงึ่ ตวั เตม็ วัยจะเป็นผเี สือ้ กลางคนื ไขต่ ามใบพืช จะทำ� ลายหนา้ ววั ในระยะตวั หนอน กัดกิน ใบและดอกทำ� ให้เปน็ รขู นาดใหญ่ การป้องกันก�ำจดั โดยวิธกี ล โดยการเกบ็ กลุ่มไขแ่ ละ หนอนทง้ิ หรือใชเ้ ชอ้ื จลุ ินทรีย์ เช่น ไวรัส เอน็ พวี ี หรอื เชอื้ แบคทีเรีย (Bt) 3) ไส้เดือนฝอย แพร่กระจายโดยต้นพันธุ์ที่มีไส้เดือนฝอยอยู่ เคร่ืองมือและ อปุ กรณใ์ นการปฏบิ ตั ิงาน การป้องกันก�ำจดั ใช้ต้นพันธุ์ท่ปี ราศจากไสเ้ ดือนฝอย และใช้ สารเคมีหว่านบนเคร่อื งปลูก 4) หอยทาก ระบาดมากในฤดฝู น และสภาพท่รี ม่ เยน็ มคี วามชนื้ สูง การ ปอ้ งกนั กำ� จดั ใชป้ นู ขาวโรยกน้ กระถาง จบั หอยทากทำ� ลาย และใชส้ ารเคมกี ำ� จดั หอยทาก 43
5. การปฏิบัติกอ่ นและหลังการเก็บเกย่ี ว 5.1 การเก็บเก่ียว 1) ชว่ งเวลาการตดั ปกติจะตัดสปั ดาหล์ ะ 1 - 2 คร้ัง สามารถตดั ไดต้ ลอด ทงั้ วนั แตพ่ นั ธส์ุ ขี าวไมค่ วรตดั ตอนเชา้ เนอื่ งจากตอนเชา้ ดอกไมจ้ ะมคี วามเตง่ และสดมาก แต่ชอกช้�ำไดง้ า่ ย โดยเฉพาะพนั ธุ์สีขาวจะเหน็ รอ่ งรอยขีดข่วนไดง้ า่ ย 2) ระยะเหมาะสมในการตัดดอก พิจารณาจากความแข็งของก้านคอดอก ไมอ่ ่อนงอ จานรองดอกบานเตม็ ที่ สสี นั สดใส และสขี องปลีเปลี่ยนไป หรอื ปลดี อกบาน (จากโคนไปยงั ปลายปลี) ประมาณ 2 ใน 3 ของปลี 3) อปุ กรณแ์ ละวิธีการเก็บเกยี่ ว การตัดดอกควรใชม้ ีดที่คมและสะอาด เมือ่ ตดั ดอกจากตน้ แลว้ ใหร้ บี นำ� กา้ นดอกแชใ่ นนำ้� สะอาดทนั ที เพอ่ื ใหห้ นา้ ววั ดดู นำ้� อยา่ งตอ่ เนอื่ ง ควรจมุ่ มดี ดว้ ยนำ้� ยาฆา่ เชอ้ื เชน่ นำ�้ ยาคลอรอ็ กซห์ รอื ไฮเตอร์ ความเขม้ ขน้ 50% ประมาณ 5 วินาที ในระหว่างการตดั โดยจุม่ ใหบ้ อ่ ยท่ีสุดเท่าท่จี ะทำ� ได้ และหากเป็นไปไดม้ ดี ท่ใี ช้ ตดั ดอกควรแยกแตล่ ะแปลง เพ่ือปอ้ งกันไมใ่ ห้มีการตดิ เช้อื ขา้ มแปลง 5.2`การปฏิบตั หิ ลังการเกบ็ เกี่ยว 1) การท�ำความสะอาด ลา้ งดอกหนา้ วัวด้วยน�้ำสะอาด โดยใชฟ้ องน้�ำนม่ิ ๆ เช็ด เบาๆ ดว้ ยความระมัดระวัง เพื่อปอ้ งกันการท�ำให้ดอกมตี �ำหนิ 2) การคดั เกรด วดั ความกวา้ งของจานรองดอก และความยาวของกา้ นดอกเปน็ หลกั 3) การเกบ็ รกั ษา อณุ หภมู ใิ นการเกบ็ รกั ษาควรอยรู่ ะหวา่ ง 18 – 20 องศาเซลเซยี ส 4) การบรรจุและการขนส่ง ในการขนส่งระยะใกล้ๆ ควรคัดขนาดดอกมัด กำ� รวมกนั สวมถงุ พลาสตกิ ทจี่ านรองดอก โดยเจาะรใู หป้ ลแี ทงออก เพอ่ื ไมใ่ หจ้ านรองดอก มโี อกาสเสยี ดสีกนั แลว้ แชใ่ นถังพลาสตกิ บรรจุนำ้� สะอาดเพื่อขนส่งต่อไป หากขนส่งระยะ ไกลโดยบรรจุหนา้ วัวในกลอ่ ง และระหว่างการขนสง่ ไม่ควรใหอ้ ณุ หภูมิต่�ำกวา่ 10 องศา เซลเซียส เกนิ 1 วัน ไมเ่ ชน่ นั้นจะท�ำใหด้ อกหน้าวัวเสียหายจากความเยน็ ได้ 44
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152