Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Culture2-2016

Culture2-2016

Description: Culture2-2016

Search

Read the Text Version

วารสารราย ๓ เดอื น ปที ี่ ฉบบั ท่ี ๒ / เมษายน - มถิ นุ ายน ๒๕๕๙ / ISBN 0857-3727

ภาพบอกเล่า อภนิ นั ท์ บวั หภกั ดี เรอื่ งและภาพ ประดาแมเ่ ฒา่ สาวหนมุ่ ชาวลอ้ื บา้ นศรดี อนชยั นาำ ดอกฝา้ ยทช่ี ว่ ยเกบ็ กนั มาแตเ่ ชา้ ตรู่ เดนิ ทางไปยงั วดั กลางหมบู่ า้ นเพอ่ื งานจลุ กฐนิ ทช่ี าวบา้ นตา่ งลงแรงรว่ มใจกนั ปน่ั ฝา้ ยทอผา้ ถวายเปน็ พทุ ธบชู า หมบู่ ้านศรดี อนชัย อำาเภอเชยี งของ จงั หวดั เชียงราย

ดุจหยาดฝนจากฟ้า •เจ้าของ กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม ภาพพระเสโทท่ีหล่ังรินในขณะทรงงานกลางพื้นที่ทุรกันดาร เป็นหนึ่งในภาพจ�า ของเหล่าพสกนิกรชาวไทย ท่ีมีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตลอด •บรรณาธิการ ระยะเวลา ๗๐ ปแี ห่งการครองราชย์ พระองค์ได้เสดจ็ พระราชด�าเนนิ ไปทว่ั ผนื แผ่นดนิ ไทย นางพิมพ์รวี วฒั นวรางกูร เป็นด่ังหยาดฝนที่น�าความร่มเย็น ความผาสุกมาสู่ปวงประชา เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ อธิบดกี รมส่งเสริมวฒั นธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั เนือ่ งในโอกาสทรงครองสริ ริ าชสมบตั ิครบ ๗๐ ปี วารสาร วัฒนธรรม ฉบับดุจหยาดฝนจากฟ้า ขอพาผู้อ่านเดินทางไปในพื้นท่ีโครงการหลวง •ผชู้ ว่ ยบรรณาธิการ จากภูเขาหัวโล้นได้ถูกพลิกฟื้นให้กลายเป็นท่ีเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจมากมาย ชุบชีวิต นายมานสั ทารตั น์ใจ ความเป็นอยู่ของชาวเขาบนดอยให้มีคุณภาพที่ดีข้ึน ด้วยพระเมตตาและสายพระเนตร อันยาวไกลของพระองค์ โครงการหลวงได้เป็นต้นแบบในการพัฒนาประเทศที่ท�าให้ • รองอธบิ ดีกรมส่งเสรมิ วัฒนธรรม ประชาชนชาวไทยได้อยู่ดีมีสุข ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระองค์ ดังพระปฐม นางสุนันทา มติ รงาม บรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพ่ือประโยชน์สุขแห่งมหาชน รองอธบิ ดกี รมส่งเสรมิ วัฒนธรรม ชาวสยาม” เมือ่ วนั ท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ •กองบรรณาธกิ าร นอกเหนือจากการอุทิศพระวรกายในการพัฒนาประเทศแล้ว พระบาทสมเด็จ- นางกลุ ยา เรอื นทองดี พระเจ้าอยู่หัวทรงมีความสนพระทยั และมีความเป็นเลศิ ในศิลปะหลายสาขา กรมส่งเสริม วัฒนธรรมจึงได้จัดสร้างอาคารหออัครศิลปินเฉลิมพระเกียรติขึ้น เพื่อเป็นสถานที่ ••••••• เลขานุการกรม จัดแสดงผลงานด้านศิลปะและวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของพระองค์ ส่วนจะมีความ นางสาวเยาวนศิ เต็งไตรรตั น์ น่าสนใจอย่างไร พลิกอ่านได้ที่คอลัมน์นิทัศน์วัฒนธรรม และภายในเล่มยังคงน�าผู้อ่าน นางสาวกิ่งทอง มหาพรไพศาล ไปพบเร่อื งราวทางวฒั นธรรมทหี่ ลากหลาย อ่านสนุกได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน นายชุมศกั ดิ์ หรั่งฉายา นายมณฑล ย่ิงยวด พิมพ์รวี วัฒนวรางกูร นางสาวธนพร สงิ ห์นวล นายศาตนนั ท์ จันทร์วิบูลย์ [ ท่านที่ประสงค์น�าข้อเขียนหรือบทความใดๆ ในวารสารวัฒนธรรมไปเผยแพร่ กรุณาติดต่อประสานกับ นายเอกสทิ ธ์ิ กนกผกา กองบรรณาธิการหรือนักเขียนท่านนั้นๆ โดยตรง ข้อเขียนหรือบทความใดๆ ท่ีตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร วัฒนธรรมฉบับน้ี เป็นความคิดเห็นเฉพาะตัวของผู้เขียน คณะผู้จัดท�าไม่จ�าเป็นต้องเห็นด้วยและไม่มี •ฝา่ ยกฎหมาย ข้อผูกพันกับการส่งเสริมวัฒนธรรมแต่อย่างใด หากท่านมีความประสงค์จะส่งข่าวกิจกรรมเกี่ยวกับงาน นางสาวสดใส จ�าเนยี รกุล ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ รวมทงั้ ท่านที่ต้องการให้ข้อเสนอแนะ หรอื ส่งข่าวสารเพ่อื การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ กรุณาส่งถึง กองบรรณาธิการวารสารวัฒนธรรม กลุ่มประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม •ฝา่ ยจัดพิมพ์ เลขที่ ๑๘ ถนนเทยี มรว่ มมติ ร เขตหว้ ยขวาง กรงุ เทพ ๑๐๓๑๐ โทรศพั ท์ ๐ ๒๒๔๗ ๐๐๒๘ ตอ่ ๑๒๐๘-๙ นางปนัดดา น้อยฉายา Facebook : วารสารวัฒนธรรม กรมส่งเสรมิ วัฒนธรรม Website : culture.go.th] •ผจู้ ดั ทาำ บรษิ ทั บุญศิรกิ ารพิมพ์ จ�ากัด •พิมพท์ ี่ โรงพมิ พส์ า� นกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ วารสารวัฒนธรรม จดั พมิ พ์เพอ่ื เผยแพร่ห้ามจา� หน่าย 1เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

เปิดอ่าน IฉวเSมาบBษรบัNสาทาย0ร่ีน๒8ร5า-7ยม-3๓ถิ 7นุ 2เดา7ยอื นน ๒๕๕๙ วนั ใหม่ เรอ่ื ง ปกิณกะ ๔ ๑๑๑๒๑

มทราดงวกัฒภมูนปิธรญั รญมา ๑๘

4

เรือ่ งจากปก มณกี าล เรอื่ ง ยอด เนตรสวุ รรณ ภาพ ดจุ หยาดฝนจากฟ้า กวา่ ครง่ึ ศตวรรษทผ่ี า่ นมา ยงั มกี ษตั รยิ ห์ นมุ่ พระองคห์ นงึ่ ทรงเปน็ นกั เดนิ ทาง เสน้ ทางการเดนิ ทางของพระองคห์ ากเทยี บเปน็ ระยะทางแลว้ นา่ จะ ยาวไกลจนมอิ าจประมาณได้ หากการเดนิ ทางของผคู้ นทว่ั ไปหมายถงึ ความสขุ ความสนกุ สบายสว่ นตวั แตเ่ สน้ ทางการเดนิ ทางของพระองคห์ มายถงึ ความลา� บาก ตรากตรา� ความเหนอ่ื ยยาก เพราะการเดนิ ทางของพระองค์ หมายถงึ การทรงงาน 5เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

ย้อนหลังไปเม่ือปี ๒๕๐๐ เศษ รอยพระบาทของกษัตริย์หนุ่มพระองค์หน่ึงเสด็จย่�าไป ๑ แปลงสวนไมด้ อก พืชสวนสวยสดสู่อนาคต บนภูดอยลูกแล้วลูกเล่าในพ้ืนที่ภาคเหนือ พระเมตตาที่แผ่ไพศาลของพระองค์ประดุจสายฝน ที่สดใสของชาวไทยภูเขา ชุ่มเย็น ช่วยฟื้นชีวิตท่ีเหมือนจะไร้ค่า ไร้ความหมายของชาวเขาบนดงดอยให้มีลมหายใจแห่ง ๒ ดอกกระดาษ หรือ ความหวังอย่างน่าอศั จรรย์ ดอกบานไมร่ ู้โรยฝร่งั ดอกไม้เมืองหนาวท่งี ดงาม ไร่ฝิ่นสดุ ลูกหลู ูกตาค่อยหายไป กลายเป็นพืชผกั ไม้ผลเมอื งหนาว ภูขาหวั โล้นทถ่ี กู ตดั ฟัน ทา� ไร่เลื่อนลอยค่อยฟื้นสภาพกลายเป็นผืนป่าสเี ขียวขจี แหล่งน้�าล�าธารท่เี คยแห้งขอดกลับกลาย ไม่รจู้ กั โรยรา อีกหน่ึงสิ่งทท่ี าำ ให้ เป็นแม่นา�้ ลา� ธารอนั อุดมสมบูรณ์ เกษตรกรชาวเขามีรายได้ ๓ จากสภาพผนื แผ่นดนิ ในขนุ เขา เหนืออ่นื ใด ความสขุ อันย่ังยืนทีม่ าพร้อมกบั การพฒั นาทเ่ี ป็นระบบได้เกดิ ข้นึ ที่แห้งแลง้ ถูกพลิกฟนื้ คืนชวี า บ้านน�้ารู ตา� บลเมอื งคอง อ�าเภอเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ เป็นพน้ื ทสี่ งู ราว ๑,๓๐๐ เมตร กลบั กลายเป็นดั่งแดนสวรรค์ จากระดับน�้าทะเล อีกฟากของสันเขาที่มองเห็นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเชียงใหม่กับ ของพรรณพฤกษา แมฮ่ อ่ งสอน หมบู่ า้ นแหง่ นอ้ี ยใู่ นพนื้ ทร่ี บั ผดิ ชอบของหนว่ ยจดั การตน้ นา�้ ดอยสามหมนื่ เปน็ พนื้ ทห่ี นง่ึ ที่เปล่ียนสภาพจากภูเขาหัวโล้นในวันวาน กลายเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ หลังจากการเสด็จ พระราชด�าเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ พระราชวงศ์ เมือ่ ร่วม ๔๐ ปีก่อน ๑๒ 6

๓ เส้นทางสายประวตั ศิ าสตร์มปี ้ายเลก็ ๆ ปักไว้เพอื่ ให้ผ้คู น ตนได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร่วมกับพ่อหลวง ไดร้ �าลกึ ถงึ อดตี ในครง้ั นนั้ ทกี่ ษตั รยิ ห์ น่มุ พระองคห์ นง่ึ ทรงเสดจ็ ฯ ซา่ ซา่ เลา่ ยป่ี า๋ ผู้นา� หมู่บ้านท่ปี ัจจุบนั เสียชวี ติ ไปแล้ว พ่อหลวง ด้วยพระบาทไปตามเส้นทางเล็กๆ ในผืนป่า ขณะน้ันยังไม่มี ซา่ ซา่ ทลู ถงึ ความเดอื ดรอ้ นของชาวบา้ นใหพ้ ระองคท์ รงทราบวา่ การตัดถนน พระองค์ทรงสวมรองเท้าผ้าใบ และทรงพระดา� เนิน ทีน่ ่ไี ม่ค่อยมีน�้ากนิ น้�าใช้ ทา� ให้มปี ัญหาในการเพาะปลกู ด้วยจังหวะก้าวที่สม่�าเสมอ รวดเรว็ จนเจ้าหน้าท่ตี ามเกอื บแทบ ไมท่ นั บางครง้ั ทรงพระด�าเนนิ เปน็ ระยะทางไกลกวา่ ๗ กโิ ลเมตร “ในหลวงตรัสว่านอกจากพ้ืนท่ีส�าหรับปลูกข้าวไร่และ โดยไม่มีทีท่าจะว่าจะทรงเหนด็ เหนอ่ื ยแต่อย่างใด พชื ผลแล้ว ให้ชาวบ้านรักษาป่าไว้ครึ่งหนง่ึ ห้วยน�้ารูนีน้ �้าไหลดี หากชาวบ้านถางป่า น�้าจะหมดไป นีค่ อื การทีใ่ นหลวงทรงสอน “เจ้าหน้าที่อยู่ท่ีไหน ในหลวงและพระราชินีเสด็จให้ ให้ชาวบ้านรกั ษาป่าและนา�้ ” เจ้าหน้าท่ีป่าไม้คนเดิมบอกเล่า ก�าลังใจหมด เพราะทรงรู้ว่าเจ้าหน้าท่ีท�างานแทนพระองค์” สามารถ สมุ โนจติ ราภรณ์ เจา้ หนา้ ทปี่ า่ ไม้ ทเ่ี คยทา� งานในพน้ื ท่ี ตะกายเล่าว่าตนเป็นผู้น�าด้านการเกษตรของชุมชนท่ี ดอยสามหมนื่ บอกเล่า เขา้ รว่ มอบรมดา้ นการเกษตรรว่ มกบั ผนู้ า� การเกษตรของชนเผา่ ตา่ งๆ ที่ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมเกษตรท่ีสูงขุนช่างเค่ียน เชียงใหม่ กับ ตะกาย หรือ ส่าย เล่าย่าง หัวหน้ากลุ่มเกษตรกร ทมี งานของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ทา� ใหไ้ ดร้ บั บ้านน�้ารู วัย ๗๐ กว่า ย้อนความหลังเม่ือร่วม ๔๐ ปีก่อนว่า ความรเู้ รอื่ งการปลกู พชื ผกั ไมผ้ ลเมอื งหนาวหลายชนดิ ทางศนู ยฯ์ 7เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

ยงั เนน้ การใหค้ วามรเู้ รอ่ื งการปลกู กาแฟเปน็ หลกั ขณะทพ่ี ระองค์ พระเมตตาของพระองค์เปรียบเสมือนสายฝนอันชุ่มเย็น เสดจ็ ฯ ตนกา� ลังเพาะกล้ากาแฟเพื่อให้ชาวบ้านน�าไปปลกู ใหก้ บั ผคู้ นทน่ี ี่ การพฒั นาตา่ งๆ เรมิ่ หลง่ั ไหลเขา้ มา มกี ารตดั ถนน การฟื้นฟูป่าต้นนา�้ ฯลฯ “ในหลวงบอกวา่ ใหช้ ว่ ยเหลอื ชาวบา้ นดๆี ” เปน็ คา� พดู ซอ่ื ๆ ง่ายๆ แต่ได้ความหมายครบครันทีเ่ จ้าตัวยงั จา� ได้ สามารถ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ท่ีเคยท�างานอยู่ในพ้ืนท่ีดอย สามหม่ืนเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน “เมื่อก่อนพวกเราล�าบากมาก บางวันได้กินสองมื้อ แนวทางต่างๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเขาไว้ให้ โดยให้ บางวันกินแค่ม้ือเดียว ข้าวไม่พอกินก็ต้องเอาข้าวโพดที่ปลูกไว้ เจา้ หนา้ ทรี่ บั ฟงั เสยี งความเดอื ดรอ้ นของชาวบา้ น มกี ารอบรมผนู้ �า มาป่นกิน หลังจากในหลวงมาเยี่ยม ชีวิตชาวบ้านดีข้ึนมาก การเกษตรเพอ่ื เปน็ ตวั หลกั ในการใหค้ วามร้กู บั ชาวบา้ นในแตล่ ะ เราได้มขี ้าวกินอิ่ม” ๑ 8

๑-๒ เมอ่ื คนกับปา่ พ่งึ พงิ ดูแลกัน และกัน ตามแนวพระราชดาำ ร ิ ของในหลวง ความชุ่มช้ืนกลบั คืน มาสู่ขนุ เขาความอุดมสมบูรณ์ ในดนิ ส่สู สี นั พรรณไม้ ๓ เดือนสบิ สองจะเห็นแปลง สตรอวเ์ บอรร์ อี อกลูกสแี ดง ลดหลน่ั เปน็ ขน้ั บนั ไดตามไหลด่ อย ในบรเิ วณโครงการหลวงอา่ งขาง ๒ ๓ พนื้ ที่ จากเดมิ ทพ่ี น้ื ทบ่ี รเิ วณดอยสามหมนื่ เคยเปน็ พน้ื ทป่ี ลกู ฝน่ิ ตอ่ มาเมอ่ื โครงการปลกู พชื ทดแทน และการฟน้ื ฟปู า่ ตามแนวพระราชด�ารไิ ดผ้ ล เมอ่ื ปา่ ฟน้ื คนื ชวี ติ น้�าในลา� หว้ ยทเ่ี คยแลง้ กบ็ รบิ รู ณข์ นึ้ พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างเข่ือนกักเก็บน�้าท่ีดอยสามหม่ืน มีกรมชลประทาน สนับสนุนงบประมาณ ท�าให้ชาวบ้านในพื้นท่ีดอยสามหม่ืนได้มีน้�าใช้ในการเกษตรอย่างท่ัวถึง ตามแนวทางทใ่ี นหลวงพระราชทานมาใหก้ บั หนว่ ยงานปา่ ไม้ ทรงวางแผนอนรุ กั ษด์ นิ และนา้� มกี าร วางแผนการใชท้ ด่ี นิ ตา่ งๆ โดยแบง่ เปน็ พนื้ ทป่ี า่ สวนไมผ้ ล และเปน็ ทน่ี าดา้ นลา่ ง ปา่ ท�าหนา้ ทอ่ี มุ้ นา�้ เมื่อใบไม้ร่วงมาก็กลายเป็นปุ๋ย เวลาฝนตกมา นา้� ก็ไหลเข้าแปลงเกษตร จากแปลงเกษตรลงสู่ พน้ื ทน่ี า ทา� ให้เกดิ การหมนุ เวยี นธาตอุ าหาร การเกษตรท่ีน่จี ึงเป็นเกษตรธรรมชาติ ไม่ต้องพึง่ พา ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ มธี นาคารขา้ วทพี่ ระองคท์ รงตงั้ ไวใ้ ห้ รวมถงึ ธนาคารปยุ๋ ธนาคารไก่ และธนาคารเมลด็ พนั ธ์ุ “หมบู่ า้ นสามหมนื่ ตอนนน้ั มอี ยรู่ าว ๘๐ หลงั คาเรอื น เราจดั ทท่ี า� กนิ ใหช้ าวบา้ นเกอื บ ๑,๔๐๐ ไร่ ในหลวงเคยตรัสไว้ว่าตรงไหนเป็นที่ลาดชันก็ให้ปลูกป่า ส่วนท่ีไม่ลาดชันมากก็ให้เป็นที่ท�ากิน 9เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

เป็นสวนไม้ผล ให้เน้นปลูกพชื กนิ ได้ โดยเฉพาะข้าว อย่างน้อยให้ชาวบ้านได้มีข้าวกิน เรายัง ๑-๒ ผกั และผลไม้ในโครงการหลวง กนั ท่ีเอาไว้เป็นทท่ี �ากินของชุมชนประมาณ ๕,๘๐๐ ไร่ พยายามให้เขาปลูกพืชยืนต้น ปลกู ไม้ อา่ งขาง งอกงาม อวบอ่มิ แสดง ๓-๔ อย่าง ตามแนวทางพระราชด�าริของในหลวง คือต้นไม้อนุรักษ์ต้นน้�า เป็นไม้กินได้ ใหเ้ ห็นถึงคุณภาพทีด่ ี เพราะสิ่งท่ี ไม้ใช้สอยได้ ก่อสร้างบ้านเรือนได้ และไม้สมุนไพร” พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ทรงประทาน พระองค์ทรงมีพระราชด�ารัสว่าเจ้าหน้าท่ีป่าไม้ต้องอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า อนุรักษ์สัตว์ป่า รวมถึงคนที่อาศัยอยู่ในป่าด้วย ในส่วนของงบส่งเสริมพืชเศรษฐกิจท่ีนา� มาปลูกทดแทนฝิ่น ๓ เมลด็ กาแฟ ผลผลติ จากเกษตรทส่ี งู มี ป.ป.ส. เป็นหนึ่งในหน่วยงานทส่ี นบั สนุนมาแต่เริ่มตั้งสา� นกั งานใหม่ๆ เม่ือเกือบ ๔๐ ปีก่อน อันทำารายไดเ้ ปน็ กอบเปน็ กำา แก่ชาวไทยภเู ขาให้มชี ีวิต จากเดิมท่ีบริเวณดอยสามหมน่ื เป็นแหล่งใหญ่ในการปลูกฝิ่น มกี ารปลูกกนั สงู สุดปีละ ๑๕,๐๐๐ ไร่ ยามดอกฝิ่นบานก็สะพรั่งไปท้ังเทือกเขา และยังเป็นโรงงานเคี่ยวเฮโรอีน เม่ือ ความเป็นอยดู่ ียิง่ ขนึ้ พ้ืนท่ีได้รับการพัฒนาขึ้น ป่าท่ีเคยเป็นเขาหัวโล้นก็ค่อยฟื้นมาราว ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ชาวบ้าน มีอาชีพและคณุ ภาพชวี ติ ท่ดี ขี ึน้ ๑ “ผมตามเสดจ็ ในหลวงหลายครงั้ พระองคท์ รงมพี ระราชด�ารใิ นเรอื่ งปจั จยั ๔ ของชาวบา้ น ตลอด เพราะตอนแรกถนนยงั ไมม่ ี ในหลวงทรงคดิ เรอ่ื งการใหช้ าวบา้ นพง่ึ พาตวั เอง ใหช้ าวบา้ น มกี นิ มใี ช้ ในหลวงเคยตรสั ถามวา่ มคี นตดิ ฝน่ิ กคี่ น ใหป้ ลกู ในหมบู่ า้ นไวใ้ หค้ นทตี่ ดิ ใชไ้ ป สว่ นใหญ่ เปน็ พวกคนแก่ อยา่ ไปปลกู ทอ่ี นื่ พวกชาวเขากนิ ฝ่ินเปน็ ยาด้วย บางทเี ราไปฟันฝิ่นทงิ้ หมดเลย เขาต้องไปหาจากทอี่ ื่นมา พระองค์ไม่ได้ให้ไปบงั คับ แต่ให้ใช้วธิ ีการทีค่ ่อยเป็นค่อยไป “ในหลวงตรสั วา่ ถา้ เราจะชว่ ยเขา ตอ้ งทา� ใหเ้ ขาเหน็ กอ่ น ใหเ้ ขามรี ายไดก้ อ่ น ในพระราช- หฤทัยของพระองค์มีแต่ความเมตตา ทรงมองว่าชีวิตมนุษย์ส�าคัญที่สุด ทรงเห็นว่ามนุษย์ สามารถพฒั นาได้ ท�าไม่ดีก็ท�าให้กลับตวั เป็นคนดีได้ พระองค์ทรงให้โอกาสคนเสมอ” วนั นชี้ าวบ้านนา�้ รไู ดก้ นิ อาหารครบสามมอ้ื ไม่ต้องกนิ ข้าวโพดปน่ ประทงั ชวี ติ ในยามหวิ พระองค์ท�าให้พวกเขาได้รู้ว่าความอยู่ดีกินดีไม่ใช่เพียงคา� พูดสวยหรู แต่ยังเป็นส่ิงที่พวกเขา สามารถสมั ผัสจับต้องได้ในชวี ติ ความเป็นจริง ................................................................ การเสด็จพระราชด�าเนินมาถึงของกษัตริย์หนุ่มพระองค์หนึ่งเมื่อร่วม ๔๐ ปีก่อน ท่ีบ้านทุ่งจ๊อ ต�าบลป่าแป๋ อ�าเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นา� ความเปล่ียนแปลงครั้งใหญ่ ในชีวติ มาสู่ชาวเขาท่นี ีห่ ลายสิบครอบครวั บนเส้นทางขรุขระ เต็มด้วยหลุมบ่อจนเกินจะเรียกว่าเป็นถนนได้ ผืนป่าสีเขียวชอุ่ม ชุ่มช้ืน เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าปรากฏขึ้นในสายตา หมู่บ้านเล็กๆ บนดอยจ�านวน ๔๐ กว่าหลังคาเรือน มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงท่ีห่มคลุมด้วย หมอกฝน ส่งผลให้อากาศเย็นยะเยียบ ด้วยความสูงเหนือกว่าระดับน้�าทะเล ๑,๑๐๐ เมตร ท�าให้แม้แต่ในหน้าร้อน อากาศท่ีนี่ก็ยังหนาวเย็นตลอดปี พื้นท่ีน้ีเป็นเขตติดต่อกับอุทยาน แห่งชาติห้วยน้�าดัง ในอดีตเม่ือหลายสิบปีก่อน พื้นท่ีทุ่งจ๊อเคยเป็นไร่ฝิ่นของชาวเขา ปัจจุบันพ้ืนท่ีทุ่งจ๊อ มี ๓ หมู่บ้าน คือบ้านลุ่ม บ้านกลาง และบ้านบน มีชาวเขาหลายเผ่า เช่น ลีซอ ม้ง กะเหร่ียง ๑ มเู ซอ อาข่า และจีนฮ่ออาศัยอยู่ราว ๔๐ กว่าหลังคาเรือน 10

๒ ๓๒ 11เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

๑๒ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พรอ้ มดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศ์ “ฉนั อยใู่ นบา้ นทใ่ี นหลวงสรา้ งให้ รสู้ กึ สบายใจ ครอบครวั เคยเสด็จมาที่น่ีหลายครั้งเม่ือ ๔๐ กว่าปีก่อน ทรงส่งเสริมให้ เราอยู่กนั อย่างมีความสุข ลูกๆ ทกุ คนกเ็ ตบิ โตมาในบ้านหลงั น้ี ชาวเขาปลูกป่า อนุรักษ์ป่าไม้ สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติให้ ฝนฟ้าตกลงมาก็นอนหลับสบาย บ้านใหม่ยังกันหนาวได้ด้วย ยงั่ ยนื และทรงมอบหมายใหก้ รมปา่ ไมค้ วบคมุ การกอ่ สรา้ งบา้ น ฉันซาบซ้ึงในน�้าใจของในหลวงท่ีสุด” ป้าเมียดิมะ สินจ้าง เพอ่ื จดั สรรพระราชทานให้แก่ชาวเขาเผ่าลซี อซง่ึ อย่มู าแตด่ งั้ เดมิ เพอ่ื นบา้ นของอาแมะมา หญงิ ชาวเขาเผา่ ลซี อ รา่ งผอม ผวิ คล้�า ในหมู่บ้านประมาณ ๒๐ กว่าหลังคาเรือน โดยพระราชทาน วยั กว่า ๕๐ บอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจ พระราชทรพั ย์ส่วนพระองค์ และจดั สร้างในปี ๒๕๑๙ ทกุ วนั นแ้ี มล้ กู สาวจะสรา้ งบา้ นใหมใ่ หอ้ ยู่ แตเ่ ธอยงั คงรกั ษา บา้ นชน้ั เดยี ว หลงั คามงุ กระเบอื้ ง กอ่ ดว้ ยอฐิ และปนู พนื้ เปน็ บา้ นหลงั เดมิ ไวไ้ มย่ อมรอื้ ทงิ้ เพราะเปน็ บา้ นทเ่ี ตอื นความทรงจ�า ดนิ แขง็ ปลกู สรา้ งอยา่ งงา่ ยๆ มคี รวั ไฟอยกู่ ลางบา้ น อนั เปน็ บา้ น ให้เธอระลึกถงึ พระเมตตาคณุ ของพระองค์อยู่เสมอ พระราชทานในครงั้ นน้ั ยงั คงหลงเหลอื อยรู่ าว ๔-๕ หลงั ไม่เพยี ง เปน็ ความอบอนุ่ มนั่ คงแขง็ แรงแทนทบี่ า้ นหลงั เดมิ ทม่ี งุ ดว้ ยหญา้ คา “ในหลวงดที ส่ี ดุ ทา่ นมเี มตตากบั ชาวเขา ทกุ วนั นพี้ ระองค์ หากยังหมายถึงความม่ันคงทางจิตใจของผู้อยู่อาศัยท่ีได้อาศัย ยังอยู่ในใจลุงตลอด ลุงไม่เคยลืมส่ิงที่พระองค์ประทานความ พระเมตตาคุณของ “พอ่ หลวง” ช่วยชบุ ชชู ีวิตใหม่ให้กับตน ช่วยเหลือมาให้เรา ในหลวงได้เสด็จมาดูบ้านหลังจากท่ีสร้าง เสรจ็ แลว้ ทา่ นตรสั กบั พวกเราทเ่ี ขา้ เฝา้ วา่ สรา้ งบา้ นใหอ้ ยแู่ ลว้ นะ “ยามหน้าฝน บ่อยครัง้ ทฝี่ นตกจกั้ ๆ ร่วั ทะลหุ ลังคาบ้าน ให้ปลกู ดอกไม้เมอื งหนาว เช่น ดอกกระดาษ (สแตตสิ ) เพราะ ต้องย้ายไปอยู่มุมบ้านท่ีฝนไม่สาด หญ้าคายังเป็นเชื้อไฟใน ปลกู งา่ ยและดแู ลงา่ ย” ลงุ อาเบะ๊ ศรหี ม่ี วยั ๕๐ กวา่ ชายกลางคน หน้าแล้ง ท�าให้ต้องนอนสะดุ้งอยู่บ่อยๆ” อาแมะมา ศรีหม่ี ผวิ ขาว รา่ งสนั ทดั พดู ผา่ นลา่ มทเี่ ปน็ ลกู หลานของบา้ นนที้ ไ่ี ปเปน็ ชาวเขาเผ่าลีซอคนหน่งึ บอกเล่า ทนายอยู่ในเมืองเชียงใหม่ 12

๑-๒ ชาวลีซอ บ้านบวก ทงุ่ จ๊อ ทุกวนั นล้ี ุงยังคล้องเหรยี ญเงินรูปในหลวงไว้ติดตวั เสมอ ครง้ั ท่พี ระองค์เสดจ็ มา มตี วั แทน อวดเหรยี ญประจำาตัวชาวเขา จากอา� เภอมามอบเหรยี ญนใ้ี หก้ บั ชาวบา้ นคนละเหรยี ญ หลงั จากเคยมาสา� รวจจา� นวนประชากรที่ บนดอยกอ่ นหนา้ น้ี เหรยี ญนเ้ี ปน็ เหรยี ญทรี่ ะลกึ ส�าหรบั ชาวเขา ทกุ เหรยี ญมหี มายเลขก�ากบั ผไู้ ดร้ บั ของบรรพบุรษุ ซ่ึงตกทอดมา สามารถนา� ไปยืนยนั กบั ทางอา� เภอได้ในภายหลงั เพื่อยื่นขอทา� บัตรประชาชน ทา� ให้พวกตนได้มี ให้เก็บรักษาและตดิ กาย สทิ ธใิ์ นความเปน็ คนไทยโดยสมบรู ณ์ ขณะทป่ี า้ เมยี ดมิ ะและชาวบา้ นบางรายยงั คงเกบ็ เหรยี ญเงนิ น้ี ดา้ นหนา้ เปน็ พระบรมฉายาลกั ษณ์ ไว้บนหง้ิ บชู าในบ้าน เหรยี ญเงนิ เลก็ ๆ นเี้ ป็นของมคี ่า มคี วามหมายตอ่ จติ ใจทชี่ าวบา้ นถอื ว่าไดร้ บั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว พระราชทานจากพระองค์ ผ่านตวั แทนของทางอ�าเภอ ดา้ นหลังคือเลขประจำาตัว ๓ ในบ้านพระราชทานแกช่ าวลีซอ “เมอื่ กอ่ นชาวบา้ นปลกู ฝน่ิ ขา้ วไร่ ขา้ วโพด ผกั หญา้ กป็ ลกู กนิ เองในไรฝ่ น่ิ แตพ่ อรวู้ า่ การปลกู ฝน่ิ บา้ นบวก ทุ่งจ๊อ ครวั ไฟอยูบ่ นพื้น เปน็ สงิ่ ผดิ กฎหมาย เรากก็ ลวั ๆ กลา้ ๆ พอมโี ครงการหลวงเขา้ มา มอี าชพี อน่ื มาทดแทน มเี จา้ หนา้ ที่ กลางบา้ นอย่างนตี้ ามวัฒนธรรม เกษตรมาแนะนา� และสง่ เสรมิ ใหป้ ลกู ผกั ไมด้ อก ไมผ้ ลเมอื งหนาว โดยเฉพาะกาแฟ แตเ่ ดมิ ชาวบา้ น ครัวเรือนของชาวเขาเผ่าลซี อ ไม่ค่อยมองเหน็ คุณค่า ตอนน้ีเราปลกู กาแฟกนั เป็นพืชหลัก รายได้ก็เข้ามาต่อเนอ่ื ง รู้สึกสบายใจ หลังจากโครงการหลวงสิ้นสุดลง ก็มีป่าไม้มาดูแลแทนจนทุกวันน้ี” อาแมะมาบอกเล่าผ่านล่าม คนเดมิ ไม่เพียงให้ชีวิตใหม่ให้ได้กินอ่ิม หากลีซอบ้านลุ่มแห่งทุ่งจ๊อยังได้นอนอุ่นกาย อุ่นใจ ใต้หลงั คาบ้านอย่างเป็นสุขใต้ร่มพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง ................................................................ ๓ 13เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

๑ “น้ำ�พระทัยของพระบ�ทสมเด็จ- พระเจ้�อยหู่ วั ปกคุ้มทวั่ ท้งั แผน่ ฟ�้ ” ขอ้ ความตอนหนง่ึ ของกลอนมงคล ที่ติดอยู่หน้าบ้าน ถา่ ยทอดความ รสู้ กึ ของชาวเขาทม่ี ีต่อพระองค์ ๒-๔ บา้ นพระราชทานแก่ชาวลีซอเมือ่ หลายสิบปีก่อน หลายหลงั ยังคงอยู่ ให้หลายครอบครัวอาศัยร่วม ในชุมชน บ้านบวก ทุง่ จ๊อ ๑ ๓ ๒ ๔ 14

ด้วยพระปรีชาญาณอันรอบคอบ ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล และเข้าใจธรรมชาติ ของความเป็นจรงิ ว่าการเปลี่ยนแปลงมิอาจเกดิ ขนึ้ ได้ในช่ัวข้ามคืน หากต้องค่อยเป็นค่อยไปและ ต้องใช้เวลาในการปรับเปล่ียนอย่างเป็นล�าดับข้ันตอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นถึง ความสา� คญั ของงานวจิ ยั ซง่ึ เปน็ รากฐานของการพฒั นาบนทส่ี งู ในปี ๒๕๑๒ ไดพ้ ระราชทานทรพั ย์ ส่วนพระองค์จ�านวน ๒ แสนบาท ก่อตั้งศูนย์เพื่อท�าการวิจัยพืชผลท่ีน่าจะปลูกได้บนพ้ืนท่ีสูง โดยได้พระราชทานแนวทางว่าพืชไม้ผลเมืองหนาวที่วิจัยได้ผลแล้วเท่าน้ัน จึงจะน�าไปส่งเสริม ให้ชาวเขาได้ปลกู ในพ้นื ท่ี เพอ่ื ชาวบ้านจะได้เชือ่ มั่น วางใจได้ ศูนย์แห่งนีเ้ ป็นทีร่ ู้จกั กนั ในนาม “สวนสองแสน” และถือเป็นทีม่ าของโครงการหลวง “ในหลวงทรงมีรับส่ังว่าอะไรท่ีไม่รู้ เราต้องศึกษาวิจัย งานวิจัยเป็นงานส�าคัญท่ีจะเป็น ฐานพัฒนาความรู้ เราสามารถน�างานวิจัย งานวิชาการไปใช้ได้ ดังนั้นสวนสองแสนที่ในหลวง พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ซ้ือที่มาจากม้ง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ส�าคัญมากในเร่ืองการศึกษา วิจัยบนดอย” ศาสตราจารย์ ดร. พงษศ์ กั ดิ์ องั กสทิ ธิ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้บุกเบกิ งานวจิ ยั ด้านการเกษตรบนพน้ื ทส่ี ูง บอกเล่า “พชื ผกั ชนดิ ไหนถา้ ทดลองทส่ี ถานแี มแ่ ลว้ ไดผ้ ลดี เราถงึ จะสง่ เสรมิ ในสว่ นพนื้ ทส่ี งู นอกจาก ทดลองในสถานแี ลว้ เราจะคน้ หาชาวเขาทเี่ ปน็ ผนู้ า� การเปลย่ี นแปลงทก่ี า้ วหนา้ ใหเ้ จา้ หนา้ ทแ่ี นะนา� ว่าเอาพืชชนิดนี้ไปลองปลูกดูไหม เราสร้างความเช่ือมั่นข้ันแรกให้เขา ชาวเขาคนไหนท่ีเห็นด้วย ก็ให้เขาเอาพชื ทเ่ี ขาสนใจไปลงในพน้ื ทข่ี องเขา เราก็ท�างานควบคู่กันไปอย่างน้ี สักพักหนงึ่ พชื ผล เร่ิมโต เริ่มเก็บเก่ียวผลประโยชน์ได้ ทุกหมู่บ้านจะมีผู้น�าการเปล่ียนแปลง ชาวเขาก็จะมาดูงาน ในแปลงทดลอง หรือในแปลงของเพื่อนบ้านเอง พอเขาเห็นว่าได้ผลดีก็เอาไปปลูกต่อ” ณรงค์ สวุ รรณเปย่ี ม อดตี รองเลขาธกิ าร ป.ป.ส. ผวู้ างยทุ ธศาสตรก์ ารลดพนื้ ทป่ี ลกู ฝน่ิ เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพ ชวี ิตชาวเขาบนพื้นทีส่ งู บอกเล่าถงึ การท�างานในก้าวบกุ เบิก เจา้ ตวั ยงั บอกดว้ ยวา่ พชื ยนื ตน้ ทพ่ี สิ จู นแ์ ลว้ วา่ ปลกู ไดบ้ นดอยเกอื บทกุ แหง่ คอื กาแฟ โดยเฉพาะ ทดี่ อยสามหม่นื นายเก๊า ลีซอ ได้นา� ไปปลูกในสวนของตน พืน้ ท่ี ๑-๒ ไร่ ได้ผลดี ทา� ให้เพ่อื นบ้าน ในพื้นท่ีพากันสนใจปลกู ตาม ................................................................ “เราตอ้ งพฒั นาคน เขามปี ญั หาเดอื ดรอ้ นอะไร เราตอ้ งดแู ล” พระราชดา� รสั ของในหลวงทรี่ บั สงั่ กบั ตน ครง้ั เปน็ หวั หนา้ สถานที ดลองพชื ขนุ วาง อนิ ทนนท์ จงั หวดั เชยี งใหม่ เมอ่ื เดอื นมกราคม ๒๕๒๑ เปน็ สง่ิ ที่ วนั ชยั พรหมโชติ เจา้ หนา้ ทโ่ี ครงการฯ รนุ่ บกุ เบกิ ผทู้ า� งานในพน้ื ทด่ี อยสงู ยงั จดจา� ใสเ่ กลา้ ฯ ไมเ่ คยลมื “ในหลวงทรงมพี ระเมตตาตอ่ คนทงั้ โลก ปญั หายาเสพตดิ กระทบไปถงึ ผคู้ นทว่ั โลก ผลรา้ ยตรงนี้ ไมใ่ ชแ่ คใ่ นประเทศไทย ถา้ ไมม่ ใี นหลวง ชาวบา้ นชาวเขาจะไมม่ อี าชพี ในหลวงทรงมองการณไ์ กล พระองคม์ องขา้ มชอ็ ตไปลว่ งหนา้ กอ่ นแลว้ ในเรอื่ งการเปลยี่ นความคดิ คน ทา� ใหเ้ ขาเกดิ ความยง่ั ยนื และความรู้ทจ่ี ะพัฒนาต่อ” วนั ชยั มองเหน็ ความเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชว่ ง ๒๐-๓๐ กวา่ ปี วา่ การสง่ เสรมิ การปลกู กาแฟ บนดอย ท�าให้คนมงี านทา� เพ่มิ ข้นึ ไม่น่าเชือ่ ว่าในวันนแ้ี ม้แต่ตามปั๊มนา�้ มันต่างๆ ก็ยังมีร้านกาแฟ 15เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

สารพดั ยห่ี อ้ ในซเู ปอรม์ ารเ์ กต็ กม็ ผี กั สลดั หลายชนดิ รวมถงึ ไมผ้ ลเมอื งหนาวอนื่ ๆ ทส่ี ามารถปลกู ไดเ้ อง ๑ เด็กๆ ชาวเขาเผ่าดารอัง้ บนดอย โดยไมต่ อ้ งน�าเขา้ จากตา่ งประเทศ ใครจะเชอื่ วา่ ถงึ วนั นช้ี าวเขาลงจากดอยมาขายดอกไม้ เดินรวมกลุ่มกันไปโรงเรียน ในตลาดทีเ่ ชยี งใหม่ ในฐานะเจ้าหน้าที่เล็กๆ ผู้ร่วมบกุ เบิกงานบนพ้ืนทส่ี ูงด้วยคนหนึง่ ตนเองรู้สกึ อย่างมคี วามสขุ ท่ามกลาง ภมู ใิ จในการเตบิ โตและความสา� เรจ็ ในครง้ั นี้ แตส่ งิ่ หนงึ่ ซงึ่ เจา้ ตวั ตระหนกั อยา่ งลกึ ซงึ้ คอื การพฒั นาเหลา่ น้ี จะประสบความสา� เรจ็ มาถงึ วนั ไม่ได้ หากไม่มีพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ท่ที รงเป็นผู้นา� ทาง ธรรมชาติและชวี ิตทส่ี ดใส ในโครงการหลวงอา่ งขาง จากกาแฟพนั ธอ์ุ าราบกิ าตน้ แรกทผ่ี า่ นการวจิ ยั ทดลองจากสถานแี มท่ ข่ี นุ ชา่ งเคย่ี นทช่ี าวเขา ๒ ใตร้ ม่ พระบารมีและภาพ เผา่ กะเหรย่ี งน�ามาปลกู ทบี่ า้ นหนองหล่ม พน้ื ทด่ี อยอนิ ทนนท์ ในต�าบลบ้านหลวง อา� เภอจอมทอง ท่ตี ้องมีอยทู่ กุ บา้ น จงั หวดั เชยี งใหม่ ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ ทอดพระเนตรครงั้ เสดจ็ เยย่ี มราษฎรในพนื้ ที่ ในปี ๒๕๑๗ ผา่ นมาถงึ วนั น้ี ๔๐ กวา่ ปี กาแฟไดร้ บั การคดั เลอื กใหเ้ ปน็ ๑ ในพชื เศรษฐกจิ ทที่ �ารายได้ ให้กับชาวเขาบนพื้นท่ีสูงในวันวานแทนการปลูกฝิ่น กลายเป็น “พระเอก” ท่ีมากอบกู้ชีวิต ความเปน็ อยขู่ องชาวเขา กลายเปน็ ทรี่ จู้ กั นยิ มไปทวั่ ประเทศและทว่ั โลก กาแฟไทยจากบนดอยสงู ยงั สง่ ไปขายยงั ตลาดตา่ งประเทศ เปน็ การเดนิ ทางไกลทยี่ าวนาน เตม็ ดว้ ยความทรงจา� ทนี่ า่ ภาคภมู ใิ จ “กาแฟต้นเดียวก็เป็นก้าวแรกที่ส�าคัญ” พระราชด�ารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันเสด็จท่ีบ้านหนองหล่ม ยังเป็นส่ิงที่ศาสตราจารย์ ดร. พงษ์ศักดิ์ อังกะสิทธิ์ จดจ�าได้ขึ้นใจ จนเท่าทกุ วนั น้ี ๑ 16

โครงการหลวงของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ๒ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง “แต่ก่อนเราปลูกฝิ่นเพราะจ�าเป็น ปลูกข้าวไร่ไว้กิน ครองราชย์ พระองค์ทรงงานเพ่ือประชาชนทั่วแผ่นดิน แม้ต้อง เสด็จพระราชด�าเนินไปในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลอย่างบนดอยสูง ปลูกข้าวโพดไว้เล้ียงสัตว์ ปลูกฝิ่นไว้ขาย เอาเงินมาซ้ือเสื้อผ้า ของภาคเหนอื ยงั มพี ระราชดา� รสั ทพ่ี ระองคพ์ ระราชทานไว้ เมอื่ วนั ที่ ปลกู ฝน่ิ ไมร่ วย ปลกู กาแฟรวยกวา่ กาแฟไดผ้ ลดี รายไดด้ ที ส่ี ดุ ดกี วา่ ๑๐ มกราคม ๒๕๑๗ มคี วามวา่ ฝิ่นหลายเท่า” ลงุ เบโนะ หรือช่อื ใหม่ตามบัตรประชาชนไทยว่า บรรพต ครี คี ามสขุ อดตี พอ่ หลวงวยั ๗๐ กวา่ แหง่ บ้านดอยชา้ ง “เรอื่ งทจี่ ะชว่ ยชาวเขาและโครงการชาวเขานนั้ มปี ระโยชนโ์ ดยตรง ต�าบลวาวี อ�าเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย แหล่งปลูกกาแฟ กบั ชาวเขา เพอ่ื จะสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ใหช้ าวเขามคี วามเปน็ อยดู่ ขี นึ้ มชี อ่ื บอกเลา่ ดว้ ยนา�้ เสยี งและแววตาทส่ี ะทอ้ นถงึ ความภาคภมู ใิ จ สามารถทจ่ี ะเพาะปลกู สง่ิ ทเี่ ปน็ ประโยชนแ์ ละเปน็ รายไดข้ องเขาเอง ลกู ๆ ของพอ่ หลวงเกอื บทกุ คนจบการศกึ ษาในระดบั ปรญิ ญาตรี ทมี่ โี ครงการนี้ จดุ ประสงคอ์ ยา่ งหนงึ่ คอื มนษุ ยธรรม หมายถงึ ใหผ้ ทู้ ี่ มีบางคนท่ีจบปริญญาโท มหี น้าท่กี ารงาน มอี นาคตท่ีดกี เ็ พราะ อยใู่ นถนิ่ ทรุ กนั ดาร สามารถทจี่ ะมคี วามรแู้ ละพยงุ ตวั มคี วามเจรญิ “กาแฟ” ทีป่ ลูกอยู่ในไร่ ก้าวหน้าได้ อีกอย่างหนึ่งก็เป็นเรื่องช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่า ควรจะชว่ ยเพราะเปน็ ปญั หาใหญค่ อื ปญั หาเรอื่ งยาเสพตดิ ถา้ สามารถ “ในหลวงรับสั่งว่าเป็นส่ิงดีที่เราหาทางเลือกหนทาง ชว่ ยชาวเขาปลกู พชื ทเี่ ปน็ ประโยชนบ์ า้ งเขาจะเลกิ ปลกู พชื ยาเสพตดิ การพัฒนาให้ชาวเขา เพราะเขายากจน เขาก็ต้องดิ้นรนท�ามา คือ ฝิ่น ท�าให้นโยบายการระงับการปราบปรามการปลูกฝิ่นและ หาเลย้ี งชพี ถงึ เขาอาจจะท�าไมถ่ กู ตอ้ ง เรากต็ อ้ งบอกวา่ สงิ่ ทค่ี วร การคา้ ฝน่ิ ไดผ้ ลดี อนั เปน็ ผลอยา่ งหนงึ่ ผลอกี อยา่ งหนง่ึ ซงึ่ สา� คญั มาก ทถี่ ูกต้องเป็นอย่างไร ในหลวงทรงเป็นสดุ ยอดของความเมตตา กค็ อื ชาวเขา ตามทรี่ เู้ ปน็ ผทู้ า� การเพาะปลกู โดยวธิ ไี มถ่ กู ตอ้ ง ถา้ พวกเรา ทรงเป็นผู้ให้แนวทางการริเรม่ิ ในการทา� งานเพอื่ พฒั นาคณุ ภาพ ทกุ คนไปชว่ ยชาวเขา กเ็ ทา่ กบั เราชว่ ยบา้ นเมอื งใหม้ คี วามดี ความอยดู่ ี ชวี ติ ผู้คนจริงๆ” เป็นคา� พดู ของอาจารย์พงษ์ศักดิ์ ผู้ทา� งานด้าน กนิ ดี และปลอดภยั ไดอ้ กี ทว่ั ประเทศ เพราะถา้ สามารถทา� โครงการน้ี การวิจัยเกษตรในพื้นท่ีสูง โดยเฉพาะการวิจัยพันธุ์กาแฟจน ได้ส�าเร็จ ให้เขาอยู่เป็นหลักแหล่ง สามารถที่จะมีความอยู่ดีกินดี ประสบความสา� เรจ็ เปน็ พชื เศรษฐกจิ สา� คญั บนพนื้ ทสี่ งู ในปจั จบุ นั พอสมควร และสนบั สนนุ นโยบายทจี่ ะรกั ษาปา่ ไม้ รกั ษาดนิ ใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ไป ประโยชนอ์ นั นจี้ ะยงั่ ยนื มาก” เปน็ พระเมตตาดจุ สายฝนจากฟา้ อนั ชมุ่ เยน็ เพอ่ื ดบั ทกุ ข์ แกข่ า้ ราษฎรโดยแท้ “โครงการชาวเขา” ในพระราชดา� รสั เปน็ โครงการสว่ นพระองค์ เรม่ิ ตน้ ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๑๒ มชี อื่ เรยี กในระยะแรกวา่ “โครงการหลวง พระบรมราชานเุ คราะหช์ าวเขา” โครงการนป้ี ระสบความสา� เรจ็ ตาม พระราชดา� รสั อยา่ งตอ่ เนอ่ื งจากความรว่ มมอื ขององคก์ รและหนว่ ยงาน มากมายทงั้ ภาครฐั และภาคเอกชน ทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๑ โครงการหลวงไดเ้ รมิ่ ดา� เนนิ การพฒั นาเปน็ พน้ื ท่ี โดย ตงั้ เปน็ โครงการหลวงเพอ่ื พฒั นาในหมบู่ า้ นตา่ งๆ การดา� เนนิ งานอาศยั ทนุ จากพระราชทรพั ยพ์ ระราชทาน และงบประมาณสนบั สนนุ จาก มติ รประเทศ เชน่ กระทรวงเกษตรสหรฐั อเมรกิ า และไตห้ วนั เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั โครงการหลวงไดใ้ หก้ ารสง่ เสรมิ และพฒั นาในพน้ื ทช่ี มุ ชน ชาวเขาซงึ่ ตงั้ อยบู่ นพน้ื ทส่ี งู เรยี กวา่ ศนู ยพ์ ฒั นาโครงการหลวง มจี า� นวน ๓๘ แหง่ แตล่ ะศนู ยฯ์ ครอบคลมุ พน้ื ทแี่ หง่ ละ ๕-๒๐ หมบู่ า้ น ในพนื้ ที่ ๕ จงั หวดั ภาคเหนอื ตอนบน ไดแ้ ก่ เชยี งใหม่ เชยี งราย แมฮ่ อ่ งสอน ลา� พนู และพะเยา มปี ระชากรชาวเขาเผา่ ตา่ งๆ ๑๓ เผา่ และชาวไทย ทอ่ี ยอู่ าศยั บนพน้ื ทภ่ี เู ขาไดร้ บั ประโยชน์ รวม ๓๗,๕๖๑ ครวั เรอื น จา� นวนประชากร ๑๗๒,๓๐๙ คน ความงดงามของนานาพรรณไมเ้ มอื งหนาวปกคลมุ พนื้ ดนิ ทเ่ี คย ทุรกันดารและไร่ฝิ่น แผ่นดินท่ีเคยยากล�าบากของชาวไทยภูเขา กลับกลายเป็นบริเวณท่ีประชาชนชาวเขาพื้นถ่ินมีความสุขกับวิถี เกษตรกรอยา่ งพอเพยี งยง่ั ยนื เปน็ แผน่ ดนิ ทงี่ ดงามดว้ ยธรรมชาตแิ ละ พชื พรรณ และเปน็ ความสขุ ของประชาชนทงั้ ประเทศ รวมทง้ั เกอื้ กลู เผอ่ื แผค่ นทงั้ โลกคอื นา�้ พระทยั จากในหลวง เรยี บเรยี งจากแหลง่ ขอ้ มลู มลู นธิ โิ ครงการหลวง http://www.royalprojectthailand.com

บันเทงิ ศิลป์ ยอด เนตรสวุ รรณ เรอ่ื ง กองบรรณาธกิ าร ภาพ เกถลดิ อเทงงิ ยระาเวรงิไสทนยกุ “โห่...ฮี้...โห่...ฮิ้ว” เสียงเอ้ือน ร้องลากยาวอย่างพร้อมเพรียงดังก้องใน หมขู่ บวนมาแตไ่ กล ตามดว้ ยเนอื้ รอ้ งสนกุ “เอ้า มาละเหวย เอ๋ยมาละวา มาแต่ ของเขา ของเรากไ็ มม่ า...ฉะนเี้ จา้ ทรามวยั เหตุไฉนยังไม่เห็นมา” ผคู้ นทง้ั ขบวนรว่ ม โหร่ อ้ งสดุ เสยี ง สอดประสานกบั ทว่ งทา� นอง ของกลองยาวทอ่ี วดฝไี มล้ ายมอื รวั ลวดลาย เร้าใจ แทรกเสียงฉ่ิง ฉับ กรับ ฆ้อง สนกุ สนานรา่ เรงิ เปน็ ภาพทย่ี งั พบเหน็ ได้ และรู้จักกันดีว่าน่ีคือ ขบวนแห่ขันหมาก เถดิ เทงิ กลองยาว 18

19เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

ขบวนกลองยาวในงานเทศกาลประเพณี มีสาวงามฟอ้ นร�าน�าขบวนอยา่ งสวยงาม หลายคนคงมีโอกาสได้เข้าร่วมขบวนแห่ที่มีวงกลองยาว รปู แบบกลองของแต่ละกลุ่มชนมหี ลากหลายรูปทรง ท้ัง น�าอย่างสนุกสนานเช่นนี้ในงานอ่ืนๆ โดยเฉพาะตามเทศกาล ขนาดใหญ-่ เลก็ ทรงแบน ทรงกลม ทรงสนั้ หรอื ทรงยาว ตวั กลอง งานบญุ ตา่ งๆ ระหวา่ งปี เชน่ ประเพณแี หเ่ ทยี นเขา้ พรรษา เทศกาล อาจทา� ดว้ ยวสั ดทุ แี่ ตกตา่ งอยา่ งเชน่ ไมห้ รอื โลหะ แตท่ เ่ี หมอื นกนั ทอดกฐิน ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ แม้กระท่ัง คอื หนา้ กลองทมี่ กั จะทา� ดว้ ยหนงั สตั วข์ งึ ตงึ เปน็ สว่ นใหญ่ นกั ดนตรี งานมงคลอย่างข้ึนบ้านใหม่ แห่นาคบวชพระและโกนผมไฟ ผู้เล่นบรรเลงจะตีทหี่ นังหน้ากลองด้วยน้วิ ฝ่ามือ หรอื ไม้ตีกลอง จะให้รื่นเริงเต็มท่ีก็ต้องมีขบวนเถิดเทิงกลองยาวน�าไปอย่าง เร้าใจไม่หยดุ คนไทยเล่นดนตรีตีกลองร้องร�ามาแต่โบราณ ดังปรากฏ หลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามค�าแหงหลักท่ี ๑ ด้านท่ี ๒ กลองจัดเป็นเคร่ืองดนตรีไทยประเภทเคร่ืองตีที่ให้ บรรทัดท่ี ๑๘-๒๐ กล่าวถึงกลองไว้ว่า “ดํบงคํกลอง ด้วย จังหวะน�ากับวงดนตรีบรรเลงไพเราะและวงดนตรีส�าหรับ เสยี งพาทย์ เสยี งพณิ เสยี งเลอ้ื น เสยี งขบั ใครจกั มกั เลน่ เลน่ เต้นร�า กลองยังถูกใช้ในหน้าที่อ่ืนๆ นอกเหนือไปจากใช้เป็น ใครจกั มกั หวั หวั ใครจกั มกั เลอื้ น เลอื้ น” และในวรรณคดไี ตรภมู ิ เครื่องดนตรี ด้วยเสียงทุ้มทึบ กึกก้อง ดังหนักแน่น ในอดีต พระร่วง พระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไท กล่าวถึง จึงเป็นตัวส่งสัญญานบอกก�าหนดการวันเวลา หรือส่ังให้ กลองไวว้ า่ “ถดั นนั้ ยงั มคี นธพั ผู้ ๑ ชอื่ วา่ สมุ ธมั มาตกี ลองใหญ่ กองทหารกล้าเดินทัพออกสู่สนามรบ ร้องทุกข์หรือส่งเสียง ใบ ๑ ชอ่ื สรุ นั ธะ สะพายเหนอื บา่ ซา้ ย ๑ แลตี ยงั มกี ลองใหญ่ ถึงส่ิงศกั ดส์ิ ิทธ์ิ ทงั้ หลายได้ ๖๘๐,๐๐๐ อนั ๆ เปน็ เพอ่ื นกลองนน้ั ” 20

กลองยาวภาคกลาง กลองเป็นเคร่ืองดนตรีส�าคัญและโดดเด่นในวงดนตรี หัวกลองยาวตกแต่งด้วยผ้าสีสดใสตัดเย็บเป็นระบาย ของวัฒนธรรมแต่ละชนชาติ ซึ่งกลองประเภทหนึ่งที่ชาวไทย และเป็นกระโปรงคลุมให้สวยงาม มีสายสะพายโยงท่อนหัว คุ้นเคยกนั ดี คือ กลองยาว และทา้ ยตวั กลองเอาไว้สา� หรบั คล้องบา่ เพอื่ สะดวกในการเดนิ ตี กลองยาวมีหลายขนาดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้เล่น กลองยาวเปน็ กลองหนา้ เดยี ว รปู รา่ งทรงยาว ดา้ นลา่ งกลงึ และที่ส�าคัญต้องมีการแต่งเพ่ิมเติมก่อนการใช้งานทุกครั้งด้วย เป็นรูปคล้ายปากแตร ตัวกลองท�าจากไม้ท่อนใหญ่ นิยมใช้ “จา่ กลอง” ไม้ขนุนเพราะมีเนื้อแข็งพอประมาณและไม่หนักมากนัก กลึง ท่อนไม้ส่วนบนหรือหัวกลองให้มีลักษณะป่องกลมเป็นกระพุ้ง จ่ากลอง คือข้าวเหนียวบดผสมกับข้ีเถ้าหรือบางสูตร ขงึ หน้ากลองด้วยหนังวัว นยิ มใช้หนังววั น้อยหรอื วัวรุ่นๆ ทยี่ ังมี เป็นกล้วยตากอบนา�้ ผ้ึงบด ปั้นแปะไว้กลางหนังหน้ากลองเป็น ความบางและนุ่ม ดงึ หนังหน้ากลองให้ตึงด้วยเชอื ก ส่วนกลาง พ้ืนท่ีกลมเล็กอยู่กึ่งกลาง ซึ่งจ่ากลองนี้ติดเพื่อปรับระดับเสียง ของกลองถูกกลึงให้คอดแคบลงโค้งเว้าลักษณะคล้ายเอวเพ่ือ ปรับโทนเสียงของกลองให้ได้ตามต้องการรวมทั้งปรับเพื่อการ รดี เสยี งจากภายในและเขา้ กบั ลา� ตวั สว่ นเอวของผสู้ ะพาย สว่ นลา่ ง เข้าร่วมวงดนตรีท่ีมีกลองจ�านวนมาก ที่ส�าคัญคือท�าให้เสียง หรือส่วนท้ายหรือตีนกลึงขยายผายบานออกอย่างปากแตร กลองไพเราะกังวานย่ิงข้ึน และเม่ือเลิกเล่นเลิกวงแล้วจะขูด หรือดอกล�าโพงให้ขยายเสียงและเป็นตีนต้ัง ส่วนภายในตลอด จา่ กลองออก ใชผ้ า้ ชบุ นา�้ ทา� ความสะอาดใหค้ ราบเหนยี วหมดไป ตวั กลองถูกกลึงกลวงเป็นโพรงตามรปู ทรวดทรงภายนอก ก่อนน�ากลองไปเก็บรกั ษา 21เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

กระบวนการผลดิ กลองยาวจากไมข้ นนุ ของชาวหมบู่ า้ นตลาด อ�าเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม หน่งึ ในแหล่งผลติ กลองยาวอนั มชี ่อื เสยี ง เถดิ เทงิ กลองยาว ประกอบด้วย กลองร�ำ คือผู้ตีกลอง และรา่ ยรา� อวดลลี าไปพรอ้ มกนั กลองยนื คอื มอื กลองทเ่ี นน้ การ ให้จังหวะนา� คนตเี ครื่องให้จงั หวะประกอบ เช่น ฉิง่ ฉาบ กรบั และฆ้อง ผู้ร่วมขบวนแต่งกายอย่างไทยพื้นถ่ิน เช่น ผู้ชายใส่ กางเกงกระบอกคร่ึงแข้ง มีผ้าขาวม้าคาดเอว สวมเส้ือคอกลม หรือม่อฮ่อม ผู้หญงิ นุ่งผ้าซิน่ พาดผ้าสไบทบั เส้อื ปล่อยผมและ ทัดดอกไม้ ทุกคนร้องเพลงประสานกับเสียงกลองอย่างชวน สนกุ สนาน สา� เนยี งเสยี งของการตกี ลองยาวทนี่ ยิ มใชบ้ รรเลงกนั เปน็ หลกั มักจะประกอบด้วย ๔ เสียงดังน้ี “ปะ๊ ” เปน็ เสยี งทไี่ ดจ้ ากการใชฝ้ า่ มอื ตลอดจนถงึ ปลายนวิ้ ตีลงบนหนังหน้ากลอง ตีลงตรงขอบมุมแล้วกดมือแนบหนัง หน้ากลอง “เพิ่ง” ได้จากการตีโดยน้ิวมือท้ังส่ีแนบชิดติดกัน ตีลง บรเิ วณขอบถงึ ใจกลางหนงั หน้ากลอง “บ่อม” ใช้ก�าปั้นหรือก�ามือตีลงตรงใจกลางหนังหน้า กลองหรือที่เรียก จ่ากลอง ตีแล้วยกมือออกทันทีจะท�าให้เสียง ก้องกังวาน “ต๊ิก” เป็นเสียงสอดแทรกเพื่อความไพเราะและยังเป็น การนา� จังหวะการบรรเลงร่วม ด้วยการตตี ่อเน่ือง “ตกิ๊ ติ๊ก ต๊กิ ” ใช้น้ิวมือขวาตีลงที่ขอบหนังหน้ากลอง ส่วนนิ้วมือซ้ายจะแนบ หน้ากลองเอาไว้ 22

23เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

กลองกน้ ยาว กลองยาวไทยใหญ่ 24

กลองยาวไทยพนื้ บา้ นในภาคเหนอื และอสี าน กลองยาวพบแทบทุกภูมิภาคของไทย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ภาคกลางยังเรยี กกลองยาวอีกชอ่ื หน่งึ ว่า “เถิดเทิง” ในภาคเหนือ ชาวไทยใหญ่ เรียก “กลองก้นยาว” หรือ “กลองปูเจ่” ชาวไทยลื้อเรียก “กลองตีนช้าง” และยังมีช่ือเรียกอื่นๆ ในภาษาเหนืออีก เช่น “อุเจ่” “อู่เจ่” “ปุ๊ดเจ่” หรือ “ปั๊ดเจ่” เป็นต้น ส�าหรับชาวอีสานเรียกกลองยาวพื้นบ้านแบบของพวกเขาว่า “กลองหาง” หรอื “กลองแอว” กลองยาวของภาคเหนือมีขนาดใหญ่และยาวกว่า คือมีขนาดยาวถึง ๑๘๐ เซนติเมตร นบั ว่าสงู กว่าความสูงของผู้ชายโดยเฉลยี่ และหน้ากลองกว้าง ๓๐ เซนตเิ มตร ส่วนกลองยาวแบบถิ่นอีสาน หากไม่สังเกตก็อาจไม่เห็นความแตกต่าง ตรงท่ีหัวกลองยาวมีทรวดทรงยาวกว่า แต่หางกลองจนถึงปากแตรส้ันกว่า ส่วนหนังหน้ากลองนิยมใช้ด้านทีม่ ขี นข้ึนหน้ากลอง กลองยาวอสี านยงั แบ่งย่อย เป็น ๓ ประเภทตามลักษณะเสียง คือ เสียงใหญ่ เสียงกลาง และเสียงเล็ก ซง่ึ มีขนาดของกลองต่างกันตามล�าดับด้วย ถึงวันนี้วงกลองยาวยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยทุกภูมิภาค มีการพัฒนารูปแบบ การละเล่นไปตามยคุ สมยั เช่น มเี ครอื่ งขยายเสียง เครื่องดนตรปี ระกอบมากข้นึ ตลอดจน เพลงที่น�ามาใช้ หรือรูปแบบการแสดง เป็นต้น ท้ังยังมีการก่อตั้งคณะกลองยาวข้ึน มากมายทั่วประเทศ รับงานในโอกาสต่างๆ ท้ังงานมงคล งานเทศกาล หรือวันพิเศษ ของผวู้ า่ จา้ ง อาทิ งานแตง่ งาน งานขน้ึ บา้ นใหม่ งานบวชนาค โดยมกี ารจดั ชดุ เลก็ ชดุ กลาง ชดุ ใหญ่ตามจา� นวนของกลอง คอื กลองยาวไม่เกนิ ๕ ลูกนบั เป็นชดุ เล็ก กลองยาวไม่เกิน ๒๐ ลกู นับเป็นชุดกลาง และกลองยาวเกินกว่า ๒๐ ลูกนบั เป็นชดุ ใหญ่ ในการตีกลอง ผู้เล่นไม่เพยี งใช้นิว้ มือ หรือท้งั สองมือ แต่ยงั ใช้ทง้ั ก�าปั้น ท้งั หัวโหม่ง เข่าและศอก แถมด้วยลลี าการหมนุ ตัว โยกย้ายส่ายสะโพก เอนกายคว่�าหน้า หงายหลงั กระโดด วาดลีลาให้เข้าจังหวะ เพ่ือความสนุกสนานเร้าใจ นี่เป็นรูปแบบเฉพาะของ “กลองยาวไทย เถิดเทิงระเริงสนุก” หากเป็นขบวนแห่ขันหมากก็มักปิดท้ายด้วย เสียงร้องเพลงท่อนน้ี “ใครมมี ะกรดู มาแลกมะนาว ใครมมี ะกรดู มาแลกมะนาว ใครมลี กู สาว มาแลก ลกู เขย เอาวะเอาเหวย ลกู เขยกลองยาว ตะละลา้ หยุ ฮา...” หนังสืออา้ งอิง จารึกสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖. พญาลิไท กองพระญาลิไทย. ไตรภมู ิพระร่วง. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพฯ : ส�านักพิมพ์บรรณาคาร, ๒๕๔๓. 25เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

ชน้ั เชงิ ช่าง ฐากรู โกมารกลุ ณ นคร เรอื่ ง ยอด เนตรสวุ รรณ ภาพ ดวโง คไฟกมศลราลทังคธา้ า่�านคนื นยเ่ี าปง็ กลางคืนค�่ำและอำกำศเยียบเย็น เหนือข้ึนไปบน ผืนฟ้ำมืดมิดแห่งแดนดินล้ำนนำ ภำพบำงภำพอำจสะท้อน ถงึ แรงศรทั ธำทปี่ รำกฏเปน็ ควำมงดงำม แรงศรัทธำท่ีปะปนอยู่ในดวงไฟระยิบระยับวิบวำวอยู่ กลำงอำกำศ ขณะท่ีตำมบ้ำนเรือนและวัดวำอำรำมก็เช่นกัน ท่ีแสง พรบิ พรำ่ งจำกโคมไฟหลำกรปู ทรงตำ่ งประดบั ประดำเสำเรอื น และนำนำสถำนทใ่ี หเ้ ตม็ ไปดว้ ยภำพอนั มเี อกลกั ษณ์ ภำพแห่งโคมล้ำนนำในคืนเพ็ญเดือนสอง หรือท่ีผู้คน แถบถน่ิ ภำคเหนอื เรยี กขำนกนั มำเนนิ่ นำนวำ่ ชว่ งเทศกำลยเ่ี ปง็ ห้วงเวลำแห่งควำมศรัทธำอันเรียบง่ำยและเก่ำแก่ ตกทอดมำจำกปู่ย่ำตำทวด และเติบต่อไปท่ำมกลำงโลกใบ ปจั จบุ นั ทเี่ คลอื่ นหมนุ เป็นภำพของผู้คน งำนหัตถกรรม รวมไปถึงศรัทธำ อันยิ่งใหญ่ต่อพระพุทธศำสนำท่ีฉำยภำพอ่อนช้อยตรึงตรำ ในคนื เดอื นเพญ็ .................................................................................. จากรุ่นสู่รุ่น โคมล้านนาคอื งานหัตถกรรมพื้นบ้านทยี่ งั ได้รับการสบื สานมาจนถึงปจั จบุ นั ด้วยความเชื่อในอดีต ท่วี า่ แสงสว่างจากโคมจะชว่ ยสอ่ งทางการดำาเนินชวี ิต ไปส่คู วามรุ่งเรือง (สายัณห์ ชนื่ อดุ มสวัสด์ิ ภาพ) 26

27เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

๑ 28

๒ ๑-๒ ชาวลา้ นนาในอดีตมักประดิษฐโ์ คมเพือ่ จุดประดับในเทศกาลย่ีเป็ง เพื่อสกั การะบชู าพระพทุ ธเจ้าในคนื วนั เพญ็ เดือนสิบสอง ปัจจุบนั นิยมทำาโคมถวายพระที่วัดเพื่อเป็นพุทธบูชา นอกจากนัน้ โคมล้านนายังถูกนำาไปใช้ตกแต่งเพื่อความสวยงาม เช่น ตกแต่งโรงแรม รีสอร์ต สถานที่ราชการ ฯลฯ ย้อนกลับไปในห้วงประวัติศาสตร์ แผ่นดินทาง โคมล้านนาเก่ียวพันอยู่กับการใช้จุดหรือประดับเพ่ือ ตอนเหนือของเมืองไทยหรือดินแดนล้านนาผูกพัน เป็นพุทธบูชา โดยเฉพาะใน “เทศกาลย่ีเป็ง” หรือช่วง กับพระพุทธศาสนามาเนิ่นนาน หลายสิ่งตกทอดเป็น ข้ึน ๑๕ คา�่ เดอื น ๑๒ ราวปลายฝนต้นหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ ภาพศรัทธาในหลากมิติ กล่าวเฉพาะโคมล้านนา ผเู้ ฒา่ ผแู้ กท่ เี่ ครง่ ในธรรมจะไปปฏบิ ตั ธิ รรมนงุ่ ขาวหม่ ขาวทวี่ ดั งานหัตถกรรมแสนงดงามท่ีเปี่ยมไปทั้งความประณีตใน อนั เป็นธรรมเนียมโบราณของคนล้านนา เชิงศิลปวัฒนธรรม และความเก่าแก่เช่อื มโยงไปในหน้า ประวตั ศิ าสตร์ ห้วงยามแห่งย่ีเป็งนี่เอง ท่ีสล่าหรือช่างอันมีฝีมือจะ ประดิษฐ์โคมรูปแบบต่างๆ เพ่ือเตรียมใช้รองรับการจุดผาง จากหลักฐานบนผืนผ้าพระบฏที่กรมศิลปากร ประทีปเพื่อประดับประดาวัดวาอารามและตามบ้านเรือน ค้นพบ ณ วัดดอกเงิน จังหวัดเชียงใหม่ ผ้าพระบฏ ถวายบูชาพระพุทธเจ้าเพ่ือความเป็นสิริมงคลของตนและ ดังกล่าวมีอายุราว ๕๐๐ ปี ย้อนไปถึงสมัยพระเจ้า ชุมชน ตามพระธาตุเจดีย์ พระวิหาร หรือจุดส�าคัญต่างๆ ติโลกราช ปรากฏเป็นภาพโคมท่ีใช้ในประเพณี ในแต่ละหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยโคมล้านนาหลายรูปแบบ ทางศาสนา ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงการมีอยู่ของ สะท้อนให้เห็นเชิงช่างและการสร้างสรรค์ของสล่ามา โคมล้านนามาแต่ด้ังเดมิ รุ่นต่อรุ่น 29เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

หลักฐานต่างๆ ท้ังในภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังหรือ ๑ ภาพถ่ายบอกเล่าถึงโคมโบราณของล้านนาว่าต้องเป็น “โคม โคมลอย ถือเป็นโคมท่ีผู้คนท่ัวไปรู้จักโคมล้านนา ไมไ้ ผเ่ ฮยี ะ” โดยใช้ไผ่ปล้องยาวท่ีข้ึนเฉพาะในภาคเหนือหรือ แดนดินของล้านนาเท่าน้ันมาหักแล้วข้ึนเป็นโครงของตัวโคม อย่างแพร่หลายท่ีสุด นับเป็นการละเล่นท่ีเคียงข้างวัฒนธรรม จากนั้นจงึ ขนึ้ ด้วยกระดาษสาหรือฝ้ายทีท่ อมือโดยสล่าพ้ืนเมือง ลา้ นนาในคนื เดอื นย่ี ทงั้ ทางวดั ทใี่ ชเ้ ปน็ พทุ ธบชู า หรอื ส�าหรบั คน เป็นทง้ั ตวั โคม ฐานโคม และหูโคม ประดับประดาด้วยลวดลาย ท่วั ไป จากแต่เดิมท่ีผู้คนใช้บูชาแก่เจ้าผู้ให้ก�าเนดิ ท่เี รียกกันว่า ฉลุกระดาษด้วยกรรไกร และลึกลงไปในแต่ละลายประดับโคม “พอ่ เกดิ แมเ่ กดิ ” ถือเป็นการต่ออายุ สะเดาะเคราะห์ และเพ่ือ ล้วนเต็มไปด้วยความหมายในเชิงมงคลเพื่อเป็นพุทธบูชาหรือ ความเปน็ สริ มิ งคล โคมลอยกา้ วขา้ มสปู่ จั จบุ นั ทใี่ ชเ้ ปน็ การละเลน่ ใช้บชู าบคุ คลอนั เป็นทีเ่ คารพ เพอ่ื ความงดงาม รูปทรงของโคมลอยมีหลากหลาย ไม่แน่นอน รแูป๒ตล่โดกู ยฟสัก่วลนูกใหแญตง่มทักรจงะกถรอะดบแอบกบรมังมาจดากกรธะรตรม๊ิบชขา้าตวิรอบตัว เช่น โคมลา้ นนาแบง่ ครา่ วๆ เปน็ ๒ แบบ คอื แบบสา� หรบั พทุ ธบชู า หรือประดับศาสนสถานโดยเฉพาะ มีทั้งโคมแขวน โคมถือ โคมผดั ทเ่ี ปน็ โคมหมนุ ได้ มเี รอื่ งราว และอกี แบบคอื ทเ่ี ปน็ โคมลอย คือจดุ แล้วปล่อยลอยขึน้ ไปในอากาศ กล่าวสา� หรบั โคมทใี่ ช้เป็น พทุ ธบชู าและใชใ้ นชว่ งเทศกาลยเ่ี ปง็ ความงดงามของโคมลา้ นนา โบราณแยกย่อยออกไปตามโคมแต่ละชนดิ เช่น โคมถอื หรือทนี่ ิยมเรียกว่าโคมหกู ระต่ายจากรูปทรงของ ใบโคม ทา� ดว้ ยกระดาษหลากสี ทงั้ กระดาษสาและกระดาษแกว้ โคมถือมักถูกใช้ในค่�าคืนย่ีเป็ง ชาวบ้านจะถือโคมเดินขบวน จดุ ไฟสวา่ งไสวไปทว่ี ดั จากนน้ั จะวางประดบั ไวร้ อบๆ โบสถ์หรอื น�าเข้าไปบชู าองค์พระประธาน โคมแขวน เปน็ โคมบชู าทหี่ ลากหลายไปดว้ ยทรงและรปู แบบ แยกย่อยเป็นโคมดาว โคมตะกร้า โคมพระอาทิตย์ โคมต้อง หอ้ ยพู่ และทค่ี นุ้ ตามากทส่ี ดุ คอื โคมรงั มดสม้ หรอื โคมธรรมจกั ร ทมี่ รี ปู ทรงถอดแบบมาจากรงั มดส้ม (มดแดง) มีลักษณะเป็นรปู แปดเหลย่ี มลอยตวั คลา้ ยธรรมจกั รอนั หมายถงึ ความแจง้ ในธรรม ประดบั ดว้ ยกระดาษแกว้ หลากสี และลวดลายอยา่ งลายกา๋ กอก (ลายประจ�ายาม) ลายดวงตะวัน ตรงกลางเป็นช่องสา� หรับให้ อากาศถ่ายเทเข้าและเป็นท่ใี ส่ผางประทปี เพอ่ื จุดไฟ โคมผดั เปน็ โคมทหี่ มนุ หรอื “ผดั ” ไดต้ ามภาษาพนื้ เมอื ง และเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์และประณีตของสล่าโบราณ ซง่ึ เขยี นลายอนั ละเอยี ดออ่ นประดบั ลงบนกระดาษสี มกั เลา่ เรอื่ ง เป็นรูปภาพชีวิตอย่างคนไถนา คนหาบน�้า หาบฟาง ชนไก่ หรือปีนักษัตรท้ัง ๑๒ ราศี เมื่อโคมผัดถูกจุดไฟข้ึนภายในและ ส่องสว่าง รวมถึงหมุนไปรอบๆ รูปลายต่างๆ บนลวดลายของ ตัวโคมจะตกสะท้อนเป็นเงาที่พื้นผนัง บอกเล่าเรื่องราวทาง วัฒนธรรมอันหลากหลายผ่านลวดลายงดงาม 30

๒ ๓ ๕ ๑ โคมแขวนประดบั ในพุทธสถาน (สมสงา่ ยาบ้านแปง้ ภาพ) ๒-๕ ขน้ั ตอนตา่ งๆ ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยการสรา้ งสรรคแ์ ละประณตี ในการประดษิ ฐโ์ คม ๔ 31เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

๑ 32

โคมล้านนาแตกยอดเติบโตมาสู่ปัจจุบัน มีการปรับเปล่ียน รูปแบบ รปู ทรง ลวดลาย และการตกแต่ง จากทีใ่ ช้เพียงในพธิ ีการ ทางศาสนาและงานบุญ ช่างฝีมือได้ส่งต่อทักษะในงานหัตถกรรม ที่เต็มไปด้วยความงดงามสู่งานโคมหลากหลายชนิด มีการพัฒนา ต่อยอด ผสมผสานโคมของต่างชาติอย่างโคมญ่ีปุ่นเข้ามาให้เกิด ความหลากหลาย โคมล้านนาถูกประยุกต์สู่การเป็นของตกแต่ง บ้านเรือนรีสอร์ต รวมถึงเป็นสินค้าท่ีระลึกท่ีสืบทอดภูมิปัญญา มายาวนาน กลุ่มผู้สืบทอดงานโคมล้านนาให้เป็นรปู ร่าง เป็นแหล่ง ผลิตใหญ่อยู่ท่ีบ้านเมืองสาตรและบ้านสันทรายดอนจั่น พ่อครู พ่อเฒ่าแม่เฒ่าของหมู่บ้านเลก็ ๆ ที่ตง้ั อยู่ท่ามกลางความเรยี บง่าย ทางทิศตะวนั ออกเฉยี งใต้ของเชียงใหม่ยังคงต่อยอดงานฝีมือเช่นน้ี สู่ลูกหลาน .................................................................................... จากงานฝมี อื ทถ่ี า่ ยทอดวฒั นธรรมและประวตั ศิ าสตรข์ อง ผคู้ นพน้ื ถนิ่ ลา้ นนา เปน็ ภาพศรทั ธาอนั เชอ่ื มรอ้ ยอยกู่ บั พระพทุ ธ- ศาสนา ซง่ึ ไมเ่ พยี งสรา้ งเอกลกั ษณใ์ หเ้ ทศกาลยเี่ ปง็ ของคนลา้ นนา เตม็ ไปดว้ ยความละเอยี ดงดงาม ทวา่ ยงั ฉายภาพของความคดิ ความเชอื่ และแรงศรทั ธาของ ผคู้ นทใ่ี ชช้ วี ติ หลอมรวมอยใู่ นนน้ั ผา่ นโคมไฟและลวดลายเกา่ แก่ บนแผน่ กระดาษทส่ี อ่ งฉายในยามคา่� คนื ๒ 33๑-๒ โคมธรรมจักรถกู นำามาแขวนประดับเรียงรายเพิ่มเสน่หใ์ ห้กบั การท่องเทยี่ วเชิงวัฒนธรรม ในงานเทศกาลโคมทเี่ มอื งเชียงใหม่ (สายณั ห์ ชืน่ อุดมสวสั ด์ิ ภาพ) เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

พมขอากงรคกะววราา่ มโถศรกักเมนารฏี กรรม ๑ 34

สืบสาวเล่าเรอื่ ง ฉมาร์ กปี รชี า เรอ่ื ง กองบรรณาธกิ าร ภาพ ๒ ๑ ภาพจติ รกรรมฝาผนังโบสถ์วรรณกรรมพ้นื บ้านเรอ่ื งพระรถเมรี ท่ีวดั เกาะพญาเจง่ อา� เภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบรุ ี ๒ แสตมปเ์ รื่องเล่า พระรถเมรี สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความนยิ มในวรรณกรรม พ้นื บา้ นเร่อื งนี้ของสงั คมไทยเป็นอย่างดี ถา้ ถามวา่ เสนห่ ท์ ท่ี า� ใหเ้ รอ่ื งเรอื่ งหนง่ึ จบั หวั ใจ คนอยไู่ ดน้ าน คอื อะไร เหลา่ กวี นกั เขยี น นกั แตง่ เรอ่ื ง ท้ังหลายรู้ความลับน้ีมานานหลายพันปีแล้ว กระทั่ง นักปรัชญากรีกยังต้องเขียนถึงทฤษฎีความงามของ โศกนาฏกรรม ในวรรณกรรมพนื้ บา้ นไทย ตา� นานรกั กนิ ใจแบบ พระเอกนางเอกต้องตายจาก หรือพลัดพรากกัน กวา่ จะสมหวงั ไดต้ อ้ งขา้ มภพขา้ มชาตมิ ามอี ยไู่ มน่ อ้ ย คหู่ นง่ึ คอื พระรถกบั นางเมรี คนรนุ่ ใหมอ่ าจไมค่ อ่ ยคนุ้ แตถ่ า้ คน้ หาคา� นดี้ ว้ ยกเู กลิ พบถงึ ๑๔๗,๐๐๐ รายการ นับว่าไม่น้อย มีทั้งการ์ตูน นิทาน ละครทีวี หรือจะ ดเู ปน็ ยทู ปู กม็ ี 35เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

๑ ไตรภาคว่าด้วยภพชาติต่อไปที่คราวนี้พระเอกต้องเป็นฝ่าย ตามหานางเอกตามค�าทน่ี างเมรีอธิษฐานไว้ ถงึ ไมค่ นุ้ กบั พระรถ แตค่ งคนุ้ กบั นางเมรี ดว้ ยเพราะส�านวน “เมรขี เ้ี มา” หากพดู ขนึ้ มาหลายคนคงพยกั หนา้ วา่ รจู้ กั อาจไมร่ ทู้ ม่ี า สา� หรบั เรอื่ งของพระรถกบั นางเมรี ซง่ึ บางทเ่ี รยี กเรอื่ งนว้ี า่ ทไ่ี ป หรอื เขา้ ใจความหมายของสา� นวนลกึ ซงึ้ แตก่ ใ็ ชเ้ ปรยี บเปรย นางสิบสอง ตามงานวิจัยของคุณนันทพร พวงแก้ว ที่ได้ กนั เสมอเมือ่ เห็นหญงิ สาวเมามายไร้สตหิ รอื แสดงตัวเป็นนกั ดื่ม รวบรวมเพ่ือเปรียบเทียบเรื่องพระรถเมรีฉบับต่างๆ ค้นพบว่า ผู้จัดเจน เธอก็จะได้ฉายา เมรขี ี้เมา ทั่วประเทศไทยมีเร่ืองพระรถเมรีหรือนางสิบสองอยู่ถึง ๑๘ ส�านวน ซ่ึงมีโครงเร่ืองคล้ายกัน ต่างกันไปในรายละเอียด เหตุที่นางเมรีกลายเป็นขี้เมาเป็นเร่ืองราวท่ีน�าไปสู่จุด และชอื่ ตวั ละครอ่นื ๆ ถอดรหัสเล่าง่ายได้ดงั นวี้ ่า แตกหักของเร่ือง แต่ก่อนไปถึงจุดนั้นต้องย้อนไปดูก่อนว่าใคร เป็นใคร เรือ่ งพระรถเมรมี เี รอื่ งทเี่ ก่ยี วข้องหรอื สืบเนื่องต่อกนั อยู่ * พอ่ แมย่ ากจนเขญ็ ใจพาลกู สาว ๑๒ คนไปปลอ่ ยปา่ เปรียบเหมือนหนังไตรภาค เร่ิมแรกที่เร่ือง “นางสบิ สอง” ซึ่ง บางส�านวนว่าเป็นเศรษฐพี รหมจรรย์และนางพรหมณี (ส�านวน เป็นเร่ืองราวของแม่และป้าๆ ของพระรถ เรียกว่ากว่าพระเอก นายบุศย์) หรือช่ือเศรษฐีนนท์ไม่มีลูก จึงไปขอลูกจากเทวดา จะมชี วี ติ รอดเตบิ โตมาเปน็ หนมุ่ ไดก้ ล็ า� บากใชเ่ ลน่ มาถงึ ภาคสอง (ส�านวน ส.เล้ยี งถนอม) เรอ่ื งรกั ระหวา่ งตนเองกบั นางเอกใชจ่ ะสมหวงั เพราะตอ้ งกลบั ไป ช่วยแม่กับป้าก่อน จึงต้องมอมเหล้าเพ่ือหนี แถมขโมยของ * นางยกั ษม์ าพบ จงึ นา� ไปเลยี้ งจนโต นางยกั ษก์ ม็ หี ลายชอ่ื ด้วย นางเอกถึงเป็นยักษ์ก็รักจริง ไม่โกรธซ้�ากลับตามมาง้อ เช่น สารตรา กงั รี พระเอกแสนใจแขง็ หน้าทกี่ บั ความกตญั ญตู อ้ งมาก่อน นางเอก จึงตรอมใจตาย เรื่องพระสุธน มโนราห์ จึงเกิดตามมาเป็น * พอสาวสบิ สองนางรคู้ วามจรงิ วา่ เปน็ ยกั ษ์ จงึ คดิ หนี * หนไี ปแตง่ งานกบั พระราชา ไดเ้ ปน็ มเหสที ง้ั สบิ สององค์ 36

๒๓ ๑ จติ รกรรมบนผนงั บานแผละในโบสถว์ ัดสทุ ัศน ์ เล่าเร่อื งตอนพระรถเสนข่มี า้ วิเศษเหาะหนีออกจากเมอื งยักษข์ องนางเมร ี เพือ่ เอายาวิเศษไปรักษาป้าและแม่ ๒ ภาพพระรถเสนหนีนางเมรีไปขณะท่นี างก�าลังเมาหลบั (ภาพจากสมุดภาพโบราณของวดั สวุ รรณภมู ิ) ๓ พระรถเสนโปรยยาวเิ ศษเป็นมหาสมุทรขวางหน้านางเมร ี (ภาพจากสมุดภาพโบราณของวัดสุวรรณภูมิ) * นางยกั ษต์ ามไปแกแ้ คน้ แปลงเปน็ สาวสวยหลอกให้ พระรถเลยกระอกั เลอื ดตาย ตอนจบนแ้ี ตกตา่ งกนั ไปทง้ั วธิ ที นี่ าง พระราชารกั ยักษ์ตาย หรอื บ้างก็จบแค่เมรตี าย บ้างก็ไปจบทพ่ี ระรถกลบั ไป ไม่เจอเมรี กต็ ายตาม * นางยกั ษค์ วกั ลกู ตานางทง้ั สบิ สองแลว้ เอาไปขงั ไว้ * ทง้ั สบิ สองนางมลี กู คลอดลกู แลว้ ตอ้ งฆา่ ลกู ตวั เอง นอกจากหลายส�านวนแล้ว การน�าเสนอเร่ืองยังมีหลาย กนิ เพราะหวิ รปู แบบ สมยั ก่อนทกี่ ารรบั ร้วู รรณกรรมพน้ื บ้านสว่ นใหญม่ าจาก * นางสบิ สองคนสดุ ทอ้ งไมย่ อมฆา่ แอบเลย้ี งลกู จนโต การเล่าสู่กันฟัง เรียกว่าเป็นนิทานมุขปาฐะ ซึ่งวัฒนธรรมการ คอื พระรถ หรือพระรถเสน บางที่เรยี ก รททิเสน เล่าเรอ่ื งลักษณะนีอ้ ยู่คู่กับคนไทยทกุ ที่ จากรปู แบบเล่าสู่กนั ฟัง * นางยกั ษร์ ู้ หลอกพระรถใหไ้ ปเมอื งยกั ษ์ ฝากสารลบั เปน็ มขุ ปาฐะ จงึ เรม่ิ ปรากฏเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร เรอื่ งพระรถเมรี ใหน้ างเมรี (ลกู สาว) ฆา่ พระรถ หรอื นางสบิ สองน้ี คณุ นา�้ มนต์ อยอู่ นิ ทร์ นกั วจิ ยั อกี ทา่ นคน้ พบวา่ * มีคนช่วยแปลงสารลับให้เป็นสารรัก นางเมรีจึง มตี น้ ฉบบั ตวั เขยี นถงึ ๒๑ เลม่ สมดุ ไทย มที งั้ กลอนอา่ น และกาพย์ แตง่ งานกบั พระรถ ทเี่ ป็นบทละครรา� มีต้นฉบับตัวเขียนอกี ๕ ส�านวน แล้วยงั แปลง * พระรถมอมเหลา้ นางเมรี หลอกถามความลบั เอา เป็นการแสดงอ่ืนๆ อีก ทั้งบทมโหรี บทโนรา บทลิเก นับว่า ดวงตาและของวเิ ศษกลบั มาชว่ ยแมแ่ ละปา้ เป็นเรือ่ งที่ได้รบั ความนยิ มคู่กบั คนไทยจริงๆ เช่น บทมโหรีเรอ่ื ง * นางเมรตี ามมา พระรถไมย่ อมกลบั นางเมรเี ลยตรอมใจ พระรถเสนทส่ี มเดจ็ กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพ ทรงสนั นษิ ฐานไวว้ า่ ตาย บ้างก็ว่าหัวใจแตกตาย น่าจะเป็นบทมโหรีคร้ังอยุธยา แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน หรือใน * สบิ สองนางไดต้ าคนื อยดู่ มี คี วามสขุ นางยกั ษเ์ หน็ การแสดงชดุ “ลเิ กสบิ สองภาษา” ตอนที่เล่น “เขา้ เมอื งตลงุ ” 37เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

หลากหลายรูปแบบเร่ืองเลา่ พระรถเมรี ซ่ึงถกู ผลติ ซ�้าอยา่ งต่อเนื่องสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความนิยมในวรรณกรรมพ้นื บ้านเรื่องนี้ของสงั คมไทยเป็นอยา่ งดี จะว่าเปน็ ชาตรเี ลน่ เรอื่ งพระรถเมรี ตอนเมรพี าพระรถไปชมสวน ปี ๒๕๒๔ ก็มเี รือ่ งพระรถเมรี ก�ากบั โดย เนรมิต ได้ดาราคู่ขวญั แล้วถูกมอมเหล้า พระรถหนีไป ยคุ น้ัน คอื ทูน หิรัญทรัพย์ กบั สพุ รรษา เน่ืองภริ มย์ มาแสดง ผ่านมาอีกกว่า ๒๐ ปี ในปี ๒๕๕๐ มีการ์ตูนเร่ืองนางสิบสอง ก่อนที่จะมีการพิมพ์เป็นหนังสือยังพบ “คา่ วธรรมเรอื่ ง ของบริษัทไรท์บิยอร์น ปีถัดมาบริษัทเดียวกันนี้ก็สร้าง พระรถ พระรถ-เมร”ี ๑ จารเม่อื จ.ศ. ๑๒๓๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐) เมอ่ื เริ่มมี เมรี และค่ายหนงั จีเอ็มตนู กน็ �าเรื่องนางสิบสองมาท�าแต่เฉพาะ ระบบการพมิ พใ์ นโรงพมิ พก์ พ็ บหลายสา� นวนทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากทส่ี ดุ ตอนผจญภยั นางยกั ษ์สารตรา ในปี ๒๕๕๑ ตามทม่ี ผี ู้วจิ ัยค้นคว้าเปรยี บเทยี บว่าน่าจะเป็น พระรถ ส�านวน นายบุศย์ พิมพ์ท่ีโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่ง วรรณกรรมเรื่องน้ีอยู่คู่กับคนไทยมาตลอดทุกยุคสมัย ส�านวนนี้ไปจบลงที่หลังพระรถรักษาดวงตาให้แม่และป้าแล้ว ในอีกแง่มุมหน่ึงเร่ืองพระรถเมรียังผูกพันกับคนไทยในมิติของ จงึ กลบั ไปหานางเมรี ครา�่ ครวญจนตายตามนางไป ทเ่ี กา่ กวา่ นน้ั ประวตั ศิ าสตรช์ มุ ชนดว้ ย เชน่ อ�าเภอพนสั นคิ ม จงั หวดั ชลบรุ ี ซง่ึ น่าจะเป็นของหลวงศรอี มรญาณทรี่ วมรวมเรียบเรียงพมิ พ์เมอื่ ปี ได้ชื่อว่าเป็นเมอื งพระรถ มสี ถานทท่ี เี่ ช่อื กันว่าเป็นตามเรือ่ งราว ๒๔๗๖ ในชอื่ นทิ านรอ้ ยแกว้ เรอ่ื งพระรถเสน ทเี่ ปน็ กลอนอา่ นกม็ ี เลา่ กนั วา่ บดิ าพระรถอยบู่ า้ นหนองบวั มารดาอยบู่ า้ นหมอนนาง พระรถเมรกี ลอนสภุ าพ ของ ส.เลย้ี งถนอม พมิ พป์ ี ๒๕๑๒ แลว้ ยงั เพราะมี “หมอนนางสบิ สอง” ลักษณะเป็นศิลารูปร่างคล้าย พบวา่ มี “บายศรพี ระรถ (เครอ่ื งเล่นมหาราช)” และ “แหลฤ่ ๅษี หมอนสิบสองก้อน ปัจจุบันเหลือก้อนเดียว ส่วนหลังโบสถ์ แปลงสาร (เครอื่ งเลน่ มหาพน)” ในหนงั สอื ประชมุ แหลเ่ ครอ่ื งเลน่ วดั เนนิ หลงั เตา่ มเี ลา่ กนั วา่ เลอื ดของนางยกั ษไ์ หลมาท่วมบรเิ วณ มหาชาติ ของนายหรดี เรอื งฤทธ์ิ พิมพ์ปี ๒๕๐๑ นจี้ ึงเรยี กว่า “บา้ นโคกดนิ แดง” เป็นต้น โศกนาฏกรรมมกั งดงามตรงึ ใจและเปน็ แรงบนั ดาลใจชน้ั ดี หากมองในมิติด้านจิตวิญญาณความเชื่อจะเห็นว่าการ ให้กวีสร้างสรรค์ผลงาน ดงั เช่นตอนท่ีพระรถกลับมาหานางเมรี เช่ือมโยงเรื่องพระรถเมรีไปสู่เรื่องพระสุธน มโนราห์น้ันสะท้อน อกี ครงั้ แลว้ พบวา่ นางตายแลว้ กวนี า� มาแตง่ เปน็ กา� สรวลพระรถ ถงึ คตเิ รอื่ งกฎแหง่ กรรมและภพชาตทิ นี่ างเมรอี ธษิ ฐานวา่ “ชาตนิ ้ี โดย วิทยา ชูพันธ์ ตีพมิ พ์เม่ือปี ๒๕๒๔ เป็นบทคร�่าครวญของ น้องตามพี่ไป ชาติหน้าขอให้พี่ตามน้องบ้าง” พระสุธนเลย พระรถทต่ี ้องทงิ้ นางเมรมี าเพราะความกตญั ญู อาลยั อาวรณว์ า่ จะตายตามและขอให้เกิดชาตใิ หม่ได้อยู่ด้วยกนั ๑“ค่าว” หมายถึง ค�าประพันธ์ที่ร้อยสัมผัสคล้องจองกัน มีหลายประเภท เร่ืองที่ปรากฏในเทศนาธรรมหรือใช้ในการแต่งเร่ืองแบบจักรๆ วงศ์ๆ เพ่ืออ่าน ความนยิ มวรรณกรรมเรอ่ื งนยี้ งั นา� ไปสรา้ งเปน็ ภาพยนตร์ สู่กันฟัง เรียกว่า “ค่าวธรรม” ค่าวจึงเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าทางด้านภาษา เม่ือปี ๒๕๑๗ เร่ืองนางสิบสอง นางเอกคือ เยาวเรศ นิศากร ของล้านนา 38

แนวก้อนหนิ เรียงรายซงึ่ ถกู ผกู โยงเข้ากบั วรรณกรรมพระรถเมรีวา่ เปน็ หมอนนางสบิ สอง ทีอ่ �าเภอพนสั นิคม จังหวดั ชลบรุ ี 39เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

๒ ๑ รปู เคารพพระรถเสนบริเวณพระธาตเุ มอื งพระรถ ที่อา� เภอพนัสนคิ ม จังหวดั ชลบรุ ี ๒ ถา�้ นางสิบสอง อกี หนึง่ สถานที่ซึง่ ผูกโยงกบั วรรณกรรมพระรถเมรี ๑ ทอ่ี า� เภอพนัสนคิ ม จังหวัดชลบุรี ต้องตามมโนราห์อยู่นานกว่าจะได้ครองรักกัน บางส�านวนยัง ท่นี ่าสนุกไปกว่านั้น คือ มีการศกึ ษาเปรียบเทียบหาเร่อื ง เพ่ิมเติมว่านางสิบสองแต่เดิมชอบควักตาปลาเล่น ถึงได้มาถูก แบบของพระรถเมรี จึงได้พบว่ามีเร่ืองเล่าน้ีอยู่ในนิทานลังกา นางยกั ษ์ควักตาในชาติน้ี นทิ านไทยใหญ่ นทิ านของกมั พชู า หรอื แมแ้ ตน่ ทิ านลาวกม็ ี ซงึ่ หา นอกจากน้ีความผูกพันระหว่างวัฒนธรรมกับศาสนายัง อ่านได้ในรายละเอียดวิทยานิพนธ์ของคุณนันทพร ที่น่าท่ึงว่า ทา� ให้พบเรอ่ื งเล่านใ้ี นรปู แบบของชาดกด้วย ชอื่ วา่ รถเสนชาดก ชว่ ยเปดิ โลกทศั นเ์ กย่ี วกบั นทิ านพน้ื บา้ นไดก้ วา้ งขวางยง่ิ และทา� ให้ และหากคิดตามที่คุณธนิต อยู่โพธิ์ วิพากษ์ถึงแหล่งก�าเนิด ค้นพบเสน่ห์อีกอย่างของวรรณกรรมพ้ืนบ้านที่ไม่ใช่เพียงแง่มุม วรรณกรรมไทยว่า “นิทานพื้นเมือง และชาดกเร่ืองต่างๆ ของโศกนาฏกรรมหรอื ความสามารถเชงิ นพิ นธข์ องผแู้ ตง่ แตเ่ ปน็ โดยเฉพาะ คอื จ�าพวกท่ีเรยี กว่าปัญญาสชาดก ซ่ึงเป็นเสมอื น ประจกั ษพ์ ยานของการสง่ ตอ่ สบื เนอ่ื งของวฒั นธรรมทหี่ ลากหลาย เสน้ โลหติ ทแ่ี ลน่ ไปทวั่ สรรพางคแ์ หง่ วรรณคดไี ทยของเรา” ดงั นนั้ แต่เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างกลมกลืน บางคนจึงกล่าวว่าเรื่องพระรถเมรี อาจมาจาก รถเสนชาดก อนั เป็นชาดก ๑ ใน ๒๑ เรอื่ งของปัญญาสชาดก อา้ งองิ ขณะท่ี ดร. ก่ิงแก้ว อัตถากร นักวิชาการคนแรกๆ ที่ ศึกษาเรื่องนิทานพ้ืนบ้าน เขียนบทความชื่อ “แง่คิดจากนิทาน ก่ิงแก้ว อัตถากร. คติชนวิทยา. กรุงเทพฯ. ๒๕๑๙. เปรยี บเทยี บ แบบเรอื่ งนางสบิ สอง” ไว้เกอื บ ๓๐ ปีก่อน กลบั ให้ ประคอง นมิ มานเหมนิ ท์. นิทานพน้ื บา้ นการศึกษา. กรุงเทพฯ: โครงการ ข้อสังเกตว่านิทานนางสิบสองน่าจะมีก�าเนิดย้อนไปไกลถึงใน อินเดยี โดยเฉพาะในอนิ เดียตอนเหนอื แถบแคชเมยี ร์ เบงกอล แพรห่ ลายผลงานวชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั . เพราะพบเร่ืองเล่าแบบเร่ืองเดียวกันถึง ๑๒ ส�านวน ซ่ึงไม่น่า ๒๕๔๕. แปลกใจ เพราะวัฒนธรรมไทยหลายอย่างรวมถึงศาสนาพุทธ นา�้ มนต์ อยอู่ นิ ทร.์ พฒั นาการของนทิ านจกั รๆ วงศๆ์ สภู่ าพยนตรไ์ ทยแนว ๑ ต่างกร็ ับอิทธิพลจากอนิ เดีย แฟนตาซใี นสังคมไทย. นครปฐม : หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน). ๒๕๕๖. นนั ทพร พวงแกว้ . การศกึ ษาเชงิ เปรยี บเทยี บเรอื่ งพระรถเมรี ฉบบั ตา่ งๆ. (วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ ภาควชิ าภาษาไทย บณั ฑติ วทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๑๗. 40

สใชงน้ กา้� อรยา่านงรตูค้ ป์า่ ใีรว่หมมรัก่วษถิ าีไปทระยเพณี รนิ สายนรนิา้� มสอายบนคา�้วสาบืมรทกั อดคควณุามคกา่ ตพญั ทุ ญธศู ตาสอ่ นคารอบครวั รนิ สายนา�้ แทนไมตรอี นั ดงี าม ๒รว่ มสบื สานคณุ คา่ ประเพณวี ถิ ไี ทย กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม

กีฬา การละเลน่ สุทัศน์ ร่งุ ฯ เร่อื งและภาพ ตงั้ เต การละเลน่ พน้ื บา้ นของไทยสว่ นใหญช่ ว่ ยใหเ้ ดก็ ๆ มรี า่ งกาย แขง็ แรง แมจ้ ะมรี อยฟกชา�้ ดา� เขยี วหรอื หกลม้ หวั เขา่ ถลอกบา้ งกต็ าม ขณะทเี่ ดก็ ในยคุ ดจิ ทิ ลั ไมค่ อ่ ยมโี อกาสออกไปวง่ิ เลน่ สนกุ ๆ เหมอื นคน รุ่นพ่อรุ่นแม่ เพราะโลกแห่งความหรรษาส่วนใหญ่ของเด็กสมัยนี้ ไดย้ า้ ยเขา้ ไปอยโู่ ลกเสมอื นภายในหนา้ จอสเ่ี หลย่ี มเสยี แลว้ โอกาส ทเ่ี ดก็ จะไดย้ ดื เสน้ กบั การละเลน่ แบบไทยๆ กบั เพอ่ื นๆ จงึ มเี ฉพาะ ตอนอยใู่ นสถาบนั การศกึ ษาเทา่ นน้ั เอง มกี ารละเลน่ ดง้ั เดมิ ชนดิ หนงึ่ ทใี่ หท้ ง้ั ความสนกุ สนานและชว่ ย ฝกึ ทกั ษะหลายดา้ น แตเ่ ปน็ ทน่ี ยิ มในหมเู่ ดก็ ผหู้ ญงิ มากกวา่ เดก็ ผชู้ าย การละเลน่ ทวี่ า่ น้ี คอื “ตง้ั เต” ซงึ่ อาจมชี อ่ื เรยี กอน่ื แตกตา่ งกนั ไปตาม พนื้ ถนิ่ อาทิ กงิ กอ่ งแกว้ , ซกิ าแดะ๊ , ตาตบุ๊ , ตากระโดด (ในภาคเหนอื ตอนลา่ ง) หรอื ตาตกั๊ อเี ตงิ่ (ในภาคอสี าน) แตห่ ลกั การเลน่ ไมแ่ ตกตา่ ง กนั มากนกั คอื มกี ารโยนเบย้ี แลว้ กระโดดขาเดยี วขา้ มชอ่ ง

การละเล่นต้ังเตในสถานศกึ ษาวนั น้ีอาจมีการปรับเปล่ียนรูปแบบไปบ้าง แตก่ ย็ งั คงไว้ซ่งึ ความเป็นตากระโดด ที่ให้ทงั้ ความสนกุ สนานและเสรมิ สุขพลานามัยให้แก่เยาชนไดเ้ ป็นอยา่ งดี 43เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

44ขนั้ ตอนการโยนเบ้ยี ช่วยฝกึ ความแม่นยา� ทางสายตา และการกะระยะให้เด็กๆ ไดด้ ว้ ย

วธิ กี ารเล่น เดก็ ๆ รสู้ กึ สนกุ สนานเวลาไดเ้ คลอ่ื นไหว สา� หรบั เดก็ เลก็ การเรยี นรทู้ จี่ ะกระโดด ด้วยขาขา้ งเดียวนับเปน็ อกี ความหรรษาที่ช่วยเสรมิ ทักษะได้อย่างมากมาย ๑. เริ่มจากตีเส้นตาราง ลักษณะตารางมาตรฐานเป็น รูปส่ีเหลย่ี มผนื ผ้า ขนาดกว้างประมาณ ๑ เมตร ยาวประมาณ โยนเบี้ยต่อให้ตกในบ้าน ๓ แล้วเล่นต่อด้วยวิธีการเดิม ๒ เมตร ขดี เส้นแบ่งตามความกว้างออกเป็น ๕ ส่วนเท่าๆ กนั คือกระโดดข้ามบ้านที่เบ้ียตก จากน้ันให้กระโดดย้อนกลับมา แล้วขีดเส้นแบ่งครงึ่ ตรงส่วนที่ ๓ และส่วนท่ี ๕ ส่วนด้านบนสดุ เก็บเบี้ย แล้วกระโดดให้พ้นนอกกรอบไปยังจุดเร่ิมต้น ของตารางให้ขีดเส้นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม นิยมเรียกว่า หวั กะโหลก เมื่อเล่นไปถึงบ้าน ๘ หรือบ้านบนสุด ให้กลับหลังหัน แล้วกระโดดสองขาเข้าไปในบ้าน ๖+๗ แล้วก้มตวั ลง พยายาม ตารางต้ังเตแบบไทยเดิมมีทั้งหมด ๘ ช่อง เรียกแต่ละ ใช้มือลอดระหว่างขาเพ่ือเก็บเบ้ียในหัวกะโหลก แล้วกระโดด ช่องว่า บ้าน ดงั นนั้ บ้าน ๑ จึงอยู่ในส่วนที่ ๑, บ้าน ๒ อยู่ใน ย้อนกลบั ออกมาตามจังหวะเดมิ ส่วนที่ ๒, บ้าน ๓+๔ อยู่ในส่วนที่ ๓, บ้าน ๕ อยู่ในส่วนท่ี ๔, บ้าน ๖+๗ อยู่ในส่วนท่ี ๕ และบ้าน ๘ อยู่ในหวั กะโหลก ผทู้ เี่ ลน่ จนครบทกุ ชอ่ งจะไดบ้ า้ นหนงึ่ หลงั โดยจะกากบาท แสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ ใครจะมาเหยยี บบ้านนี้ไม่ได้ ๒. เร่มิ เล่นโดยการโยนเบย้ี หรอื วัตถุอะไรกไ็ ด้ท่ีมีน�้าหนกั ไม่กล้ิง หรือเด้งกระดอนง่าย หากมีผู้เล่นหลายคนต้องมีการ ๔. การตัดสินว่าใครท�าผิดกติกาหรือให้ใครเป็นผู้ชนะ เป่าย้ิงฉุบหรือโอน้อยออกกันก่อนว่าใครจะได้สิทธ์ิเล่นเป็น พิจารณาต้ังแต่ขั้นตอนการโยนเบี้ยว่าโยนครบทั้ง ๘ ช่อง คนแรกและคนต่อๆ ไป โดยไม่ออกนอกกรอบและไม่ตกทบั เส้น ๓. โยนเบ้ียให้ตกในเขตบ้าน ๑ จากนั้นให้กระโดดข้าม บ้าน ๑ ไปยืนขาเดียวอยู่ในช่อง ๒ - กระโดดสองขาให้คร่อม เส้นแบ่งระหว่างบ้าน ๓+๔ (พักขา) - กระโดดไปยืนขาเดียวต่อ ในบ้าน ๕ - กระโดดสองขาให้ยืนคร่อมเส้นแบ่งระหว่าง บ้าน ๖+๗ - กระโดดหมุนตัวกลับหรือกลับหลังหัน - กระโดด ขาเดียวไปลงบ้าน ๕ - กระโดดสองขากลับไปยืนคร่อมเส้น แบ่งบ้าน ๓+๔ - กระโดดขาเดียวลงบ้าน ๒ แล้วพยายาม ก้มตัวลงเก็บเบี้ยที่โยนไว้ในช่องแรกโดยยังเขย่งขาข้างหน่ึงไว้ - แล้วกระโดดข้ามบ้าน ๑ ให้ออกไปอยู่นอกกรอบส่เี หลย่ี ม เริม่ โยนเบ้ียต่อลงไปในบ้าน ๒ - กระโดดขาเดยี วลงบ้าน ๑ - กระโดดข้ามบ้าน ๒ ไปยืนคร่อมเส้นแบ่งบ้าน ๓+๔ - กระโดดไปยืนขาเดียวในบ้าน ๕ อีก - กระโดดสองขาให้ ยืนคร่อมเส้นแบ่งระหว่างบ้าน ๖+๗ แล้วหมุนตัวกลับ - กระโดดตามเดิมเพ่ือกลับไปเก็บเบ้ียในบ้านที่ ๒ แล้วกระโดด ข้ามบ้าน ๒ ไปยืนขาเดียวในบ้าน ๑ แล้วกระโดดให้พ้นออก นอกกรอบ 45เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

การเล่นตง้ั เตช่วยสรา้ งมิตรภาพ รู้จักเคารพกติกา และการอดทนรอคอย

การกระโดดต้องลงให้ตรงช่องอย่างเป็นล�าดับ จน คณุ ประโยชน์จากการเลน่ ต้งั เต สามารถเก็บเบี้ยได้และกระโดดออกนอกกรอบได้ส�าเร็จใน แต่ละครงั้ โดยไม่ข้ามขั้น ล้ม เหยยี บทับเส้น ยื่นแขนย่นื ขา การเล่นต้ังเตช่วยเสริมทักษะด้านต่างๆ ให้เด็กอย่าง ออกนอก หรือเหยียบบ้านของคนอืน่ อย่างเดด็ ขาด มากมาย ดังจะเห็นข้อดดี งั ต่อไปนี้ หากท�าผิดกติกาต้องหยุดเล่น เพ่ือให้คนอื่นเข้ามา พัฒนาการที่ได้จากการกระโดด เด็กมักจะรู้สึกเริงร่า เล่นต่อ และถ้าใครสามารถเล่นได้ครบทุกช่องจนจบเกม เวลาได้เคล่ือนไหว อยากท�าซ�้าแล้วซ้�าอีกด้วยความสนุก ได้ก่อน คนน้นั คือผู้ชนะ การเล่นตั้งเตช่วยให้เด็กได้กระโดดข้ามช่องซ้�าแล้วซ้�าอีก โดยไม่เบื่อ ส�าหรับเด็กเล็กการกระโดดขาเดียวเป็นหนึ่งใน กระบวนการเรียนรู้การเคล่ือนไหวของร่างกายที่ซับซ้อนข้ึน เพราะเป็นการเคล่ือนไหวร่างกายเพียงคร่ึงเดียว ขณะที่อีก ครึ่งส่วนท่ีอยู่เฉยๆ เรียกเป็นศัพท์ทางวิชาการว่า homolateral movement ส่งผลดีต่อพัฒนาการเด็ก เป็นจุดเร่ิมเรียนรู้การ ทรงตัวท่ีวันหน่ึงข้างหน้าอาจพัฒนาไปสู่ทักษะการใช้สมอง ซกี ซ้าย/ขวา จดั การกบั ความคดิ สร้างสรรค์ ความมเี หตผุ ล และ การควบคมุ ตนเองได้ในท่ีสุด บทเรยี นจากการระมดั ระวงั ไมใ่ หเ้ หยยี บโดนเสน้ เกมตง้ั เต ชว่ ยสอนใหเ้ ดก็ รจู้ กั ยอมรบั กตกิ า และเรยี นรกู้ ารควบคมุ รา่ งกาย ตนเองไมใ่ หท้ า� ผดิ กฎในทกุ จงั หวะของการเคลอ่ื นไหวในเกม ไมว่ า่ จะตอนเขย่งเท้า กระโดด หยดุ ก้มตวั เกบ็ เบยี้ หรอื กลับหลังหัน กระโดดเขย่งๆ ด้วยขาเดียวช่วยฝึกการทรงตัว เด็กต้อง เขยง่ ขาขา้ งเดยี วบอ่ ยๆ แตก่ ไ็ มล่ �าบากเทา่ กบั ตอนกม้ หรอื คอ้ มตวั ลงขณะยืนขาเดียว แล้วพยายามเอ้ือมจนสุดปลายนิ้วเพ่ือ เกบ็ เบยี้ ใหไ้ ด้ ขน้ั ตอนนตี้ อ้ งใชส้ มาธแิ ละพละก�าลงั ในการทรงตวั นบั ว่าเป็นการออกก�าลงั กายที่ดีคล้ายกบั การทา� โยคะ สอนให้รู้จักหยุดและเริ่มอย่างเป็นจังหวะ ถ้าเล่นซ�้า บอ่ ยๆ เดก็ จะเรม่ิ เรยี นรวู้ ธิ เี คลอื่ นไหวรา่ งกายไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ มากย่ิงข้นึ ซึง่ ต้องอาศัยระบบความจ�าในสมองช่วยด้วย เด็กที่ เล่นตั้งเตจึงมักท่องจ�าแต่ละต�าแหน่งในใจระหว่างก้าวกระโดด ผา่ นชอ่ งตา่ งๆ อยา่ งแมน่ ย�า และตอ้ งใชท้ กั ษะในการขยบั รา่ งกาย อย่างเป็นจังหวะเพ่ือให้จบเกมได้รวดเรว็ กว่าใครๆ การเรียนรู้กฎกติกาในกรอบ ทกุ วันน้ีเรามักจะสอนเด็กๆ ให้รู้จัก “คดิ นอกกรอบ” เพ่ือเปิดโลกความคิดสร้างสรรค์หรือ เสาะหาหนทางแก้ปัญหาใหม่ๆ แต่ก่อนจะไปถึงจุดน้ัน กรอบ ตารางต้ังเตจะช่วยฝึกให้เด็กมีทักษะพื้นฐานในการตระหนักรู้ 47เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙

เชงิ พนื้ ทว่ี า่ จะตอ้ งจดั การตวั เองใหอ้ ยใู่ นชอ่ งตารางตง้ั เตไดอ้ ยา่ งไร กฎต่างๆ ในเกมสอนให้เดก็ ระมดั ระวังความผิดพลาด โดยไม่ผิดกติกา ทั้งยังได้รู้จักมองอย่างเป็นระบบ เห็นถึง และพยายามพัฒนาตนเองเพ่อื ไปสชู่ ยั ชนะใหไ้ ดใ้ นทส่ี ุด ความเกยี่ วพันกนั อย่างแยกไม่ออกของช่องว่างอื่นๆ ทปี่ ระกอบ เข้ากันเป็นต้ังเต แสดงท่ีท้องสนามหลวง ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ และ กีฬา พื้นเมือง ของกรมพลศึกษา กระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๘๐ ฝึกความแม่นย�าในการกะระยะ การโยนเบ้ียฝึกให้เด็ก ก็ไม่พบว่ามีการกล่าวถึงการละเล่นกระโดดขาเดียวข้ามช่อง เรียนรู้ทักษะการคาดคะเนเป้าหมายด้วยสายตา พร้อมกับ ตารางเช่นน้ี ค�านวณระดับความแรงที่พอเหมาะในการโยนเบี้ยให้ไปตก ยังช่องเป้าหมาย ทั้งยังได้ฝึกสมองด้วย เม่ือได้เล่นเกมต่อไป อย่างไรก็ตามพบว่ายังมีอีกหลายชาติที่นิยมการละเล่น เรื่อยๆ ระยะการโยนจะเว้นห่างออกไปอีก ซึ่งช่วยให้เด็กได้ ท่ีคล้ายคลึงกับการละเล่นต้ังเตของไทย หากแต่มีช่ือเรียกและ ฝึกการโยนท่ที ้าทายความสามารถยง่ิ ขน้ึ รปู แบบการขดี เสน้ ตารางแตกตา่ งไป อาทิ tengteng ในมาเลเซยี , kiki ในฟิลิปปินส์, pon ในคิวบา, Stapu ในอินเดีย, Seksek การเล่นแบบสลับตาสอนให้เด็กรู้จักเข้าสังคม การเล่น ในตรุ ก,ี klasy ในโปแลนด,์ campana ในอติ าล,ี avioncito ในเมก็ ซโิ ก, ต้ังเตช่วยพัฒนาทักษะการคบเพื่อนได้ด้วย เพราะเป็นเกม escargot ในฝร่ังเศส, Potsy ในสหรัฐอเมริกา และ Hopscotch ท่ีมีกติกาไม่ซับซ้อนจึงสามารถสร้างมิตรภาพกับเพ่ือนใหม่ๆ ในองั กฤษ ซงึ่ เปน็ การเรยี กเกมกระโดดขา้ มชอ่ งกนั อยา่ งแพรห่ ลาย ท่ีเข้ามาร่วมเล่นด้วย และเนื่องจากการกระโดดให้ครบช่องใช้ ในระดบั สากล เวลาพอสมควรหากมีผู้เล่นหลายคน เด็กจะได้ฝึกความอดทน รอคิว เปิดโอกาสให้ได้ศึกษาวิธีการเล่นของเพ่ือนๆ เพ่ือนา� มา ทม่ี าของเกมชนดิ นสี้ นั นษิ ฐานวา่ ยอ้ นไปถงึ สมยั อาณาจกั ร พฒั นาการเล่นของตนเอง โรมัน ทหารโรมันในชุดพร้อมรบตีเส้นตารางคล้ายต้ังเต แต่มีขนาดใหญ่ยาวนับ ๑๐๐ ฟุต เพ่ือใช้ฝึกความอดทน พัฒนาตนเองได้ไม่ว่าแพ้หรือชนะ เด็กๆ มักจะเล่นให้ดี ทส่ี ดุ ไมม่ ใี ครอยากทา� ผดิ กตกิ าแลว้ ออกไปนงั่ ดเู พอื่ นๆ เลน่ ดงั นนั้ เดก็ จงึ เรยี นรู้ทจี่ ะเล่นให้ดีขึน้ โดยธรรมชาติ หากเล่นแพ้ เด็กจะ เริ่มหาหนทางปรบั ปรุงการเล่นของตัวเองให้ดยี งิ่ ขนึ้ ที่มาของการเลน่ ตง้ั เต ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเด็กไทยรู้จักเล่นต้ังเตมา ต้ังแต่ยุคสมัยใด แม้ในหนังสือที่รวบรวมการละเล่นไทยเก่าแก่ ของไทยอย่าง วิธีการเล่นกีฬาพ้ืนเมืองตามประเพณีนิยม 48


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook