82 ภาพท่ี 3.66 ภาพแสดงการแบ่งพื้นที่การแสดง B ทมี่ า : กฤษรา วริศราภูริชา, 2552 จากภาพการกาหนดตาแหน่งบนเวทีในการแสดงระบาต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วตามลักษณะของ เวทีที่มีรูปแบบของโรงละครแบบโพรซีเนียม ซึ่งเป็นเวทีท่ีมีพื้นที่ทรงสี่เหล่ียม และมีการแบ่งพ้ืนท่ี บนเวที โดยอาศัยระยะระหว่างของดูกับผู้แสดงในการกาหนด ลักษณะในการใช้เวทีของระบานั้น มีการกาหนดจุดบนเวทีในแต่ละส่วนมีความสาคัญต่างกัน เช่น ในทางระบาน้ัน กาหนดให้ตัวเอกอยู่ ตรงกลางเวที ตัวรองอยู่ล้อมรอบตัวเอก ตัวเอกส่วนใหญ่มีการใช้พ้ืนที่ท่ีหลากหลาย เคล่ือนไหวไปมา ท่ัวเวที ในขณะที่ตัวรองเคลื่อนไหวบนจุดต่างๆ ของเวทีน้อยกว่า การใช้รูปแบบเวทีทรงสี่เหล่ียมน้ี ยังคงเปน็ แบบแผนทใี่ ช้ในปจั จบุ ัน แมว้ ่าพื้นทีแ่ สดงจะไม่จากดั อยเู่ ฉพาะโรงละคร การกาหนดตาแหน่ง ตา่ งๆบนพ้ืนที่เวทอี ่ืนๆ กย็ ังคงมสี ดั สว่ นการใชร้ ูปแบบส่เี หลยี่ มเชน่ กัน จงึ อาจกลา่ วได้ว่า ความสัมพันธ์ ของพื้นที่แสดงกับนักแสดง และลักษณะการแสดง ในการแสดงนาฏศิลป์สร้างสรรค์มักใช้พื้นที่แสดง ลักษณะเดียวคือ เวทีเห็นได้ 3 ด้าน ด้านหลังจะเป็นม่าน หรือฉากหลัง มีการเข้า-ออกของผู้แสดง ได้ 3 ด้าน คือ ด้านข้างขวา ด้านข้างซ้าย และด้านหน้า จุดบนเวทีกาหนดมีการแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหน้าใกล้ผู้ชม ส่วนกลางเวที และส่วนหลังไกลผู้ชม แต่ละส่วนของเวทีแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ด้านขวา ตรงกลาง และดา้ นซา้ ย 3. การใช้พน้ื ที่ และการแปรแถว ลักษณะการใช้พื้นท่ีในการแสดงสามารถทาได้หลายวิธี เป็นการกาหนดทิศทาง การเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ได้แก่การเคลื่อนไหวไปด้านข้าง และจากบนลงล่างของเวที หรือเคล่อื นตัดกันในลกั ษณะเป็นเสน้ ตรง
83
84 ตารางที่ 3.1 การเคล่ือนไหวลกั ษณะเสน้ ตรงและเสน้ โคง้ ท่ีมา : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 จากภาพการใช้พ้ืนท่ีและการแปรแถวในระบานั้น มักมีการใช้ในลักษณะการเคลื่อนท่ีเป็น เส้นตรงหลากหลายแนว และการเคลื่อนท่ีในลักษณะโค้ง ในการออกแบบการใช้พ้ืนที่ของนาฏศิลป์ สร้างสรรค์ ในนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ นาฏศิลป์พื้นเมือง ส่วนใหญ่นิยมการเคล่ือนท่ีในลักษณะ เส้นตรงแนวนอน แนวด่ิง แนวเฉียง สามเหลี่ยมปากผนัง การเข้ากลุ่มในรูปทรงวงกลม การแปรแถว สับหว่าง ซิกแซก วนเป็นเลขแปดแนวนอน ซ่ึงเป็นลักษณะท่ีพบได้ในนาฏศิลป์ไทยแบบมาตรฐาน และการแปรแถวหรือการใช้พื้นท่ีนั้นเป็นการแปรแถวเพ่ือความสวยงาม เพื่อให้เกิดมิติในระบาที่ หลากหลาย แตไ่ ม่มคี วามหมายแฝงในการสอื่ ของการเคลื่อนไหว ส่วนนาฏศิลป์ประยุกต์ ส่ิงที่แตกต่าง กันในการใช้พ้ืนท่ี มกั พบว่าจะพยายามใชพ้ ื้นท่ีหลายลักษณะ เช่น แบ่งกลุ่มหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นมี การเคลื่อนที่ไปคนละทิศ และหลายรูปแบบ ในจังหวะเดียวกัน และพบว่า มักมีความหมายในการใช้ พื้นที่ เช่น ผู้แสดงรวมกลุ่มกัน 5 คน ในลักษณะแสดงความเป็นหนึ่งเดียว ส่วนผู้แสดงอีก 2 คน แยกตัวและพยายามหลีกหนีไปคนละทิศ แสดงท่าทางต่างกัน สื่อให้เห็นถึงการแตกแยก การเป็น ตวั เอง ความเชือ่ ม่ัน ดังน้ัน การใชพ้ ้ืนทีบ่ นเวที จึงมคี วามสาคัญตอ่ การนาไปใชใ้ นหลายลักษณะ ทั้งนี้ ผู้สร้างสรรค์ ควรกาหนดการเคล่อื นไหวจาก แนวคิด รปู แบบการเคลือ่ นไหว และการสอ่ื ความหมาย
85 เพลง ดนตรี รูปแบบของวงดนตรีเป็นสิ่งที่จาเป็นต่อผู้สร้างสรรค์ผลงาน ในการเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสม ในงานสร้างสรรค์สามารถเลือกใช้ได้อย่างหลากหลาย แต่รูปแบบผลงานบางประเภทจากัดการใช้ เฉพาะ เช่น นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ (มาตรฐาน) กาหนดให้ใช้เฉพาะเคร่ืองดนตรีไทยป่ีพาทย์ เคร่ืองห้า หรือเครื่องคู่เท่าน้ัน ดังน้ันหากผู้สร้างสรรค์ไม่คานึงถึงข้อกาหนด จะทาให้การนาไปใช้ ผดิ พลาดได้ ดังจะไดก้ ล่าวถึงประเภทของวงดนตรที พ่ี บในการสร้างสรรคผ์ ลงานนาฏศิลป์ ดังนี้ 1. วงดนตรไี ทย 2. วงดนตรพี น้ื บ้าน 3. วงดนตรีสากล 1. วงดนตรีไทย วงดนตรีไทยในปัจจุบันมีการจัดรูปแบบและมีระเบียบแบบแผน ซึ่งมีวงดนตรีไทยแบบ มาตรฐานอยู่ 3 ประเภทคือ วงเครื่องสาย วงปพ่ี าทย์ และวงมโหรี (เฉลมิ ศกั ด์ิ พกิ ลุ ศรี, 2542: 67-80) 1.1 วงเครื่องสาย วงเครอ่ื งสายเป็นวงดนตรีทป่ี ระกอบดว้ ยเคร่ืองดนตรปี ระเภทเครื่องสายเป็นหลักและ มีเคร่ืองดนตรีประเภทเครื่องเป่าเป็นส่วนประกอบ เคร่ืองดนตรีประเภทเคร่ืองหนังใช้โทนรามะนา บรรเลงจังหวะหน้าทับและมีฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ร่วมบรรเลงประกอบจังหวะ วงเคร่ืองสายเหมาะ สาหรับการบรรเลงในอาคาร นิยมบรรเลงในงานมงคล เช่น พิธีมงคลสมรสและงานเล้ียงสังสรรค์ เป็นต้น วงเครื่องสายแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ วงเครื่องสายไทย วงเครื่องสายผสม และ วงเคร่อื งสายปชี่ วา วงเครอ่ื งสายไทย 1. วงเครื่องสายไทยวงเล็ก ประกอบด้วย เครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องสายและ เครือ่ งเปา่ อยา่ งละหน่ึงเครอื่ ง คือ จะเข้ ซอดว้ ง ซออู้ จะเข้ ขลุย่ โทน รามะนา ฉง่ิ ฉาบ กรบั โหม่ง 2. วงเครื่องสายไทยเคร่ืองคู่ ประกอบด้วย เคร่ืองดนตรีที่อยู่ในวงเครื่องสายเล็ก เป็นหลัก โดยเพ่ิมจานวนของเคร่ืองดนตรีประเภททาทานองจากเคร่ืองมือละหน่ึงเป็นสองหรือคู่ คือ จะเข้ 2 ตัว ซอด้วง 2 คัน ซออู้ 2 คัน ขลุ่ย 2 เลา ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบ 1 คู่ กรับ 1 คู่ โหม่ง 1 ใบ โทน- รามะนา 1 คู่
86 วงเคร่อื งสายผสม วงเครื่องสายผสม เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเคร่ืองดนตรีที่สังกัดในวงเคร่ืองสาย ทุกประเภท เพียงแต่นาเอาเคร่ืองดนตรีที่อยู่นอกเหนือจากวงเครื่องสายไทยมาผสม เช่น ไวโอลิน ออร์แกน ขิม และแคน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เครื่องดนตรีที่นามาผสมนั้นต้องคานึงถึงคุณลักษณะ ของเสียงว่ามีความกลมกลืนมากน้อยเพียงใด เม่ือนามารวมกันแล้วเรียกชื่อตามเครื่องดนตรีท่ีนา มาผสม วงเครอ่ื งสายปี่ชวา เป็นวงดนตรีท่ีประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงเคร่ืองสายไทยเป็นหลัก โดยนาปี่ชวามา บรรเลงแทนขลุ่ยเพยี งออ คงเหลือไว้แตเ่ พียงขลยุ่ หลีบซ่ึงมีเสยี งสงู 1.2 วงป่พี าทย์ วงปีพ่ าทย์เปน็ รูปแบบของการประสมวงดนตรขี องเครือ่ งดนตรีในกลุ่มเครื่องเป่า และ เคร่ืองดนตรีในกลุ่มเคร่ืองตี ใช้ในงานพิธี งานบุญ และประกอบการแสดงต่างๆ เช่น โขน ละคร ลิเก ประกอบด้วย 1. วงปีพ่ าทยไ์ ม้แขง็ ใช้บรรเลงในงานพระราชพิธีและพิธีกรรมของประชาชน ตลอดจนใช้บรรเลง ประกอบการแสดง โขน หนังใหญ่ ละครนอก ละครใน หนุ่ กระบอก เป็นตน้ วงป่ีพาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วย ปี่ใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด ฉง่ิ วงปี่พาทย์เคร่ืองคู่ ประกอบด้วย ป่ีใน ป่ีนอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆอ้ งวงเลก็ ตะโพน กลองทัด ฉง่ิ ฉาบเลก็ ฉาบใหญ่ กรบั โหม่ง วงป่ีพาทย์เครื่องใหญ่ ประกอบด้วย ป่ีใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาด เหลก็ ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆอ้ งวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบเลก็ ฉาบใหญ่ กรับ โหม่ง 2. วงปพ่ี าทยเ์ สภา ใช้บรรเลงและขับร้องในการแสดงเสภา ซึ่งมีการพัฒนามาจากนิทานคากลอน การประสมวงปี่พาทย์เสภามีพื้นฐานมาจากวงปี่พาทย์ไม้แข็งโดยมีการนาเอาลูกเปิงมาง (กลองสอง หน้า 1 ลูกมาตีแทนตะโพนและกลองทัด ประกอบด้วย ป่ีใน ป่ีนอก ระนาดเอก ระนาดเอกทุ้ม ฆอ้ งวงใหญ่ ฆ้องวงเลก็ กลองสองหน้า ฉง่ิ ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กรับ โหม่ง 3. วงป่พี าทย์ไมน้ วม มีโครงสร้างเหมือนกับวงป่ีพาทย์ไม้แข็ง โดยใช้ไม้นวมตีระนาดเอก ใช้ขลุ่ยเพียงออ แทนปนี่ อกและปีใ่ นและเพิม่ ซออู้ 1 คนั เพอ่ื ให้ได้เสียงทน่ี มุ่ นวลกว่าวงป่ีพาทยไ์ ม้แข็ง
87 4. วงป่ีพาทย์นางหงส์ เดิมเป็นวงท่ีใช้บรรเลงในงานศพของสามัญชน ต่อมาได้นามาบรรเลงในงานสวด พระอภิธรรมศพเจา้ นาย และใชใ้ นตอนถวายพระเพลิงพระบรมศพ ช่อื เรียกของวงดนตรีวงนี้เรียกตาม ช่ือเพลงท่ีนามาบรรเลงประโคมในงานคือเพลงนางหงส์ โดยจะใช้บรรเลงในงานอวมงคลเท่าน้ัน ปจั จุบนั ไมค่ ่อยเปน็ ท่ีนิยมจงึ หันมาใช้วงปพ่ี าทยม์ อญแทน 5. วงป่พี าทย์ดกึ ดาบรรพ์ วงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์ได้แนวคิดมาจากการแสดงโอเปร่าของยุโรปมีรูปแบบ การแสดงทป่ี ระณตี และแสดงตามแนวละครใน ตัวแสดงดาเนินเรื่องด้วยการร้อง มีฉากแสดงที่สมจริง นอกจากน้ียังมีการบรรงโหมโรง (Overture) เล่าเร่ืองก่อนการแสดง เครื่องดนตรีท่ีใช้วงปี่พาทย์ ดึกดาบรรพ์ จะใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงไม่แข็งกร้าวเพราะการแสดงจะแสดงภายในโรงเรือนเพ่ือไม่ให้ เสียงดงั กอ้ นเกนิ ไป จึงมกี ารเปล่ียนไมร้ ะนาดไปใชไ้ มน้ วม และใชข้ ลุ่ยเพียงออแทนปใี่ น และป่นี อก 6. วงปี่พาทยม์ อญ เป็นวงดนตรีท่ีนาเอาเคร่ืองดนตรีมอญมาผสมกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง โดยสามารถ ใช้บรรเลงได้ในทุกโอกาส ท้ังงานมงคลหรืองานอวมงคล ปัจจุบันวงป่ีพาทย์มอญได้รับความนิยม อย่างมาก โดยเฉพาะการนาไปประโคมงานศพหรอื การแสดงลเิ ก 1.3 วงมโหรี วงมโหรเี ป็นการรวมกันของเครื่องดนตรีทุกตระกูล คือ ดีด สี ตี และเป่า มารวมอยู่ในวง เดียวกัน มีแนวทางการบรรเลงที่นุ่มนวล ไพเราะ นิยมใช้บรรเลงในพิธีการที่ศักดิ์สิทธิและเป็นมงคล ต่างๆเดิมคงเป็นของผู้ชายเล่น แต่ต่อมาผู้มีบรรดาศักดิ์ซ่ึงมีบริวารมากจึงหัดให้ผู้หญิงเล่นมโหรีบ้าง หลงั จากน้นั มโหรกี ็กลายเปน็ ของผหู้ ญงิ ดงั จะพบไดต้ ามงานจติ รกรรม ประติมากรรม 1. วงมโหรีเครื่องคู่ มีการเพ่ิมระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็ก ซออู้ ซอด้วงอย่างละ2 คัน จะเข้ 2 ตัว ขลยุ่ หลบิ ซอสามสาย 1 คนั เครื่องประกอบจงั หวะคงเดมิ 2. วงมโหรีเคร่ืองใหญ่ วงมโหรีจึงเลียนแบบวงป่ีพาทย์เครื่องใหญ่โดยมีการเพิ่มระนาด ทุ้มกับระนาดเอกเหล็กข้ึนอีก 2 ราง ดว้ ยทองเหลือง เพราะเทยี บใหเ้ สียงสงู ไพเราะกวา่ เหล็ก การเลือกใช้เพลง และเครื่องดนตรีไทยเป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างชุดระบา โดยมากแล้วใช้ในการนาไปสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทยแบบมาตรฐาน ซ่ึงมีขนบจารีตตามแบบกรม ศิลปากรท่ีระบุไว้ ซ่ึงจะพบว่ามี 2 ลักษณะคือ การเลือกบรรจุเพลงไทยเดิมท่ีมีบทร้อง ประกอบกับ วงดนตรีไทย หรือการเลือกบรรจุเฉพาะดนตรีไม่มีบทร้อง และไม่นาวงดนตรีประเภทอื่น ๆ มาประยกุ ต์
88 2. วงดนตรพี ้ืนบ้าน เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงในแต่ละท้องถ่ิน เป็นกิจกรรมท่ีมีบทบาทอยู่เฉพาะในวิถีชีวิตของ สงั คมและวฒั นธรรมน้ันๆ วงดนตรีในแตล่ ะภาคทค่ี วรรูจ้ กั มีดังนี้ 1. วงดนตรีพนื้ บ้านภาคเหนือ ประกอบไปดว้ ย วงสะล้อซึง วงกลองแอว มองเซิง วงกลอง เต่งทิ้ง หรือวงป่ีพาทย์เมือง วงปูเจ่ วงกลองมองเซิง วงกลองสะบัดไชย วงปี่จุม วงกลองหลวง วงกลองปจู า วงกลองมา่ น ส่วนโอกาสที่ใช้ในการบรรเลงมีความแตกต่างกันไป เช่นวงกลองแอว นิยม ใช้บรรเลงการฟอ้ นเมอื ง วงกลองมองเซิง นยิ มใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนมองเซงิ เครอ่ื งดนตรีทใ่ี ชบ้ รรเลงในวงดนตรีพืน้ บา้ นภาคเหนือทีส่ าคญั ๆ ได้แก่ พิณเป๊ียะ ซึง สะล้อ ปจ่ี มุ กลองแอว กลองสะบัดชัย กลองตะโลด้ โป๊ด เป็นต้น 2. วงดนตรีพ้ืนบ้านภาคกลาง ประกอบไปด้วย วงป่ีพาทย์พื้นบ้าน วงปี่พาทย์นางหงส์ วงป่ีพาทย์มอญ วงเครื่องสาย ส่วนโอกาสที่ใช้ในการบรรเลงมีความแตกต่างกันไป เช่น วงป่ีพาทย์ มอญและวงป่ีพาทย์นางหงส์ นิยมใช้บรรเลงประโคมในงานศพ วงเครื่องสายนิยมใช้บรรเลงในงาน มงคลต่างๆ เช่นงานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ หรืองานรื่นเรงิ ตา่ งๆ เป็นต้น เครื่องดนตรีท่ีใช้บรรเลงในวงดนตรีพื้นบ้านภาคกลางที่สาคัญได้แก่ จะเข้ ขลุ่ย ซออู้ ซอด้วง ระนาดเอก ซ้องวงใหญ่ ป่ี ฉ่งิ ฉาบเลก็ กรบั โหมง่ เปน็ ต้น 3. วงดนตรีพ้ืนบ้านภาคอีสาน ประกอบไปด้วย วงโปงลาง วงกันตรึม วงตุ้มโมง วงแคน โอกาสท่ีใช้บรรเลงในงานแตกต่างกันไปเช่น ใช้ในการบรรเลงเพื่อประกอบการแสดงพ้ืนบ้านประเภท เซิ้งกระติ๊บข้าว เซ้ิงสวิง ฟ้อนภูไท ส่วนวงตุ้มโมงใช้บรรเลงในงานศพ ซ่ึงปัจจุบันหาดูและหาฟัง ได้ยาก เคร่ืองดนตรีที่ใช้บรรเลงในวงดนตรพี น้ื บ้านภาคอสี านท่ีสาคัญไดแ้ ก่ แคน โปงลาง พิณ โหวด ซอบ้งั ไฟ หมากกั๊บแก๊บ (กรับ) เปน็ ตน้ 4. วงดนตรีพ้ืนบ้านภาคใต้ ประกอบไปด้วย วงกาหลอ วงป่ีพาทย์ชาตรี วงรองเง็ง วงโต๊ะ ครึม วงดนตรีโนห์รา วงดนตรีหนังตะลุง วงดนตรีซีละ วงดนตรีมะโย่ง วงดนตรีลิเกป่า โอกาสที่ใช้ บรรเลงนิยมบรรเลงในงานแตกต่างกันไป เชน่ วงกาหลอ ใช้บรรเลงในงานศพ วงดนตรีหนังตะลุง ใช้ บรรเลงประกอบการแสดงหนังตะลุงโนห์รา เปน็ ต้น เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงในวงดนตรีพ้ืนบ้านภาคใต้ท่ีสาคัญได้แก่ ทับ รามะนา กลอง โหม่ง ฆอ้ งคู่ กลองชาตรี กรือโตะ๊ รอื บับ เปน็ ต้น ณรุทธ์ สุทธจิตต์, (2555:13) ได้กล่าวถึงลักษณะของดนตรีพื้นบ้านว่า บทเพลงต่างๆ ตลอดจนวิธีเล่น วิธีร้อง ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดต่อๆกันมา เป็นบทเพลงที่ใช้ในการประกอบ กิจกรรมต่างๆ รูปแบบของเพลงพื้นบ้านไม่ซับซ้อน มักมีทานองหลัก 2-3 ทานอง ร้องซ้าไปเร่ือยๆ
89 ประกอบการละเลน่ การฟอ้ นรา หรือเตน้ รา เครอื่ งดนตรีที่ใช้บรรเลงมีลักษณะเฉพาะเป็นของท้องถ่ิน นัน้ ๆ เป็นสัญลกั ษณ์ของทอ้ งถิ่นหรอื ชนเผา่ โดยส่วนใหญ่แล้วการนาเพลง ดนตรีประเภทพ้ืนบ้านมาบรรจุในผลงานสร้างสรรค์นาฏศิลป์ น้ัน มีลักษณะการนาเพลงพ้ืนบ้านดั้งเดิมนามาแต่งบทร้องขึ้นใหม่ และจากการนาเพลงสมัยใหม่มา ผสมผสานกับเพลงจังหวะพื้นบ้าน รูปแบบของการนาดนตรีมาประยุกต์นั้นเกิดข้ึนอย่างหลากหลาย โดยยังคงให้เกิดความเป็นท้องถ่ิน มีกล่ินไอของวัฒนธรรมด้ังเดิมเข้ามาผสมผสาน ซ่ึงสามารถ สรา้ งสรรค์ไดอ้ ย่างอสิ ระไมจ่ ากัดรปู แบบ 3. วงดนตรีสากล วงดนตรีสากลที่เกิดขึ้นในศตวรรษต้นๆจนถึงปัจจุบัน จะมีลักษณะการผสมวงที่แตกต่าง กันทั้งชนิดของเครื่องดนตรีและจานวนช้ินท่ีใช้ในการบรรเลง ความหลากหลายของเครื่องดนตรี และจานวนผู้เล่นก่อให้เกดิ วงดนตรตี ามสมยั นิยมเป็น 7 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ 1. ภัคดนตรีหรือวงแชมเบอร์มิวสิค (Chamber Music) เป็นลักษณะการผสมวงใน ราชสานักหรือผสมวงเล่นในห้องโถงเป็นลักษณะของวงแบบง่ายๆ ตามปกติมีนักดนตรี 2 ถึง 9 คน จะมีช่ือต่างกันไปตามจานวนผู้บรรเลง การผสมจานวน 9 เคร่ืองดนตรีเป็นท่ีสุดสาหรับบทเพลง และการบรรเลง เรียกว่า ภัคดนตรีหรอื ดนตรเี ชมเบอร์ 2. วงดุริยางค์ (Orchestra) ใช้บรรเลงเพลงท่ีเรียกว่า ดนตรีวงดุริยางค์ (Orchestra music) วงดนตรีแบบนี้จะสมบูรณ์ได้ ก็ต้องเป็นวงดนตรีที่เรียกว่า วงดุริยางค์ซิมโฟนี (symphony orchestra) ซงึ่ ประกอบดว้ ย เครอ่ื งดนตรแี ละผ้บู รรเลงเปน็ จานวนมาก เพราะผู้ท่ีปฏิบตั เิ คร่ืองสายน้ัน จะตอ้ งมกี ารทบหรือทวีคณู จานวน 3. วงดุริยางค์ประกอบการแสดงอุปรากรและละคร (orchestral for accompaniment amd opera) วงดุรยิ างค์ประเภทน้ี ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 4 กลุ่ม เช่นเดียวกับวงดุริยางค์ซิมโฟนี แตเ่ ปน็ วงขนาดเล็กกว่า มจี านวนผู้เลน่ อย่างมาก 60 คน 4. วงดุริยางค์ขนาดเล็กบรรเลงเพลงประชานิยมหรือดนตรีป๊อปปูลาร์และดนตรีลีลาศ (small orchestra for playing popular and dance music) 5. วงโยธวาทิต (Military Band) ใช้เครื่องดนตรีอย่างเดียวกันกับวงดุริยางค์ ยกเว้น เครื่องสายท่ีใช้คันสีเท่านั้น ที่ไม่ใช้เลย วงประเภทน้ีจึงมีแต่เครื่องเป่าล้วนๆคือ เครื่องลมไม้และ เคร่ืองลมทองเหลือง เหมาะกับงานภายนอกสถานที่ งานนาแถวเดินขบวน และงานบรรเลงเพลง คอนเสิร์ตกลางแจง้ 6. แตรวง (bass band) ประกอบด้วยเคร่ืองดนตรี 2 กลุ่มคือ เครื่องลมทองเหลืองและ กลุม่ เครอ่ื งกระทบ
90 7. วงแจ๊ส (Jazz Band) ประกอบด้วย กลุ่มแซ็กโซโฟน คลาริเน็ต ทรัมเป็ต ทรอมโบน ดบั เบิลเบส เปยี โน และเครอื่ งกระทบของแจ๊ส ในปจั จุบันกีตารไ์ ฟฟ้ากน็ ิยมเลน่ ในวงแจส๊ ด้วย ดนตรีสากลเป็นสิ่งที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานส่วนใหญ่นามาใช้ในการบรรจุเพลงในนาฏศิลป์ ประยุกต์ โดยมวี ธิ ีการนามาหลายลกั ษณะเชน่ นาเครอ่ื งดนตรีไทย ดนตรีพื้นบ้าน หรือ ดนตรีประเภท อื่นๆมาผสมกับดนตรีสากล เพ่ือให้ได้เอกลักษณ์ของการแสดงนั้นๆ ในรูปแบบของดนตรีประยุกต์ ท้ังการประยุกต์แบบผสมผสานระหว่างวงดนตรี การประยุกต์แบบใช้เฉพาะเลือกเอกลักษณ์ทานอง ดนตรีนามาดัดแปลงใหม่ การเลือกใช้เทคนิคทางดนตรีมาตัดต่อ เช่น เสียงจากธรรมชาติ หรือเสียงที่ ทาให้เกิดข้ึนเอง หรืออัดเสียงพูดบรรยาย ร้องเพลง สวดมนต์ นามาสร้างสรรค์ให้เกิดความแปลก ใหม่ข้ึน ซ่ึงล้วนแล้วแต่ต้องใช้จินตนาการบนพื้นฐานความรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ดังนั้น ดนตรีมีส่วน สาคญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ ประสาทสัมผัสของผแู้ สดง ให้มีความเข้าใจในการสื่อความหมาย การเลือกสรรเพลง หรือดนตรีต้องมีการใช้การเลือกสรรเพ่ือให้เหมาะสมกับชุดการแสดง ผู้เขียนได้สรุปหลักวิธี การเลือกสรรเพลง ดนตรีทีน่ ามาประกอบการสรา้ งสรรคผ์ ลงานดังนี้ 1. กาหนดแนวคิดของการแสดง แล้วคอ่ ยออกแบบการใชเ้ พลง ดนตรี 2. กาหนดจากบทร้องทนี่ ามาเปน็ บทแสดง แลว้ ค่อยบรรจุเพลง ดนตรี 3. กาหนดจากทา่ ทางก่อน แลว้ เลอื กรูปแบบดนตรีเพลง 4. กาหนดจากเพลงดนตรี แล้วนาท่าทางมาใส่ ผ้สู ร้างสรรค์ผลงานอาจจะไมม่ ีความรูท้ างดนตรีมากนกั ซ่งึ เมือ่ กาหนดแนวคิด กาหนดท่าทาง เบอ้ื งต้นแล้ว จาเป็นต้องอธิบายสิ่งที่ผู้สร้างสรรค์ต้องการให้ผู้ช่วยด้านดนตรีเข้าใจในแนวคิดนั้นอย่าง ชดั เจนผปู้ ระพนั ธเ์ พลงยังต้องอาศยั องคป์ ระกอบในเน้อื หาของผสู้ รา้ งสรรค์ท่าฟ้อนต่างๆเพ่ือนามาเป็น จินตนาการในการคิดทานองให้แปลกใหม่ เช่น ลักษณะของการฟ้อนราที่ต้องการการเคล่ือนไหว แบบช้าสลับเร็ว และจบลงชา้ การอธบิ ายช่วงการแสดงอยา่ งชัดเจน มสี ่วนทาให้การคิดสร้างสรรค์เพลงเป็นไปด้วยดีซึ่งอาจ มกี ารบรรจเุ พลงที่ประพนั ธ์ขึ้นใหม่ หรือเพลง ดนตรี ท่ีนามาประยุกต์ผสมผสานข้ึน นอกจากน้ียังควร ระวงั เรือ่ งอารมณ์ ความต่อเน่อื งของเพลงใหม้ คี วามสอดคล้องกับการแสดง
91 เครอ่ื งแตง่ กาย เคร่ืองแต่งกายในการสร้างสรรค์นาฏศิลป์น้ัน จาเป็นต้องศึกษาเร่ืองขององค์ประกอบศิลป์ ในทางทศั นศิลป์ เพอ่ื เป็นประโยชนต์ อ่ การนาไปใช้ อันไดแ้ ก่ ขนาดและสัดสว่ น ใหม้ คี วามสมั พันธ์กนั ในรปู ร่างของผ้แู สดง ไมด่ ูแล้วผิดสัดสว่ น ความกลมกลืน การตกแต่งจากสี วัสดุ ที่ดูแล้วโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เม่ือพิจารณาแล้วไม่เข้า กันก็จัดวา่ ไม่กลมกลนื การตัดกนั ทาไดห้ ลายวธิ ี ทัง้ ในด้านลวดลาย สี สามารถสร้างใหด้ แู ปลกตา เอกภาพ มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับความกลมกลืน เอกภาพในการออกแบบการแต่งกาย นาฏศิลป์ อาจหมายรวมถึงดูแล้วไม่ขดั ตา ไมม่ ากจนเกนิ ไป แตม่ คี วามงามเฉพาะเจาะจง การเน้น เป็นการเพิม่ จุดเดน่ ของเครื่องแต่งกาย เชน่ สร้อยคอ สายสงั วาล ชฎา สี เป็นส่วนสาคัญในการมองเห็น การให้ความรู้สึกด้านอารมณ์ของการแสดง เพ่ิม ความน่าสนใจ และเป็นส่ิงที่ในชุดระบาควรพิจารณาเป็นหลัก ตามหลักการใช้สีในจิตวิทยาให้ ความรู้สึกแตกต่างกนั ดังนี้ สีแดง เยา้ ยวน รอ้ นแรง เชือ่ มัน่ เปดิ เผย สีเหลือง ร่าเรงิ ออ่ นโยน มพี ลัง จนิ ตนาการ สดใส สเี ขียว สขุ ุม เยอื กเยน็ สฟี า้ ความสขุ สงบ พักผอ่ น สดช่นื เรยี บง่าย สีม่วง สูงส่ง สงา่ ศรัทธา สีขาว สะอาด บริสุทธ์ิ นักคิด ทรงพลัง สีดา มั่นใจ นา่ เกรงขาม ดดุ ัน โดดเดี่ยว สนี า้ เงนิ ผนู้ า ม่ันคง อบอุ่น การออกแบบเครื่องแต่งกายในการสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ส่วนใหญ่จะพบลักษณะเด่น สาหรบั เครื่องแตง่ กายทใ่ี ชใ้ นการแสดง ซึ่งสามารถสรปุ หลกั การออกแบบได้ดังน้ี 1. นาโครงสร้างของรูปแบบการแต่งกายมาเป็นโครงสร้างหลัก เช่น เส้นกรอบนอกของ รูปทรงในเครื่องแต่งกายไทย ชฎา มีส่วนแหลม กระบังหน้า กรอบหน้าทรงเหล่ียม นามาใส่ รายละเอียดใหม่ภายใต้กรอบแนวคดิ ในผลงาน 2. ลักษณะของวัสดุ เช่น ผ้า ลวดลายผ้า เชือก เถาวัลย์ กระดุม ดิ้นปัก ขนนก ลูกปัด เครื่องประดับโลหะ การประยุกต์จากวัสดุธรรมชาตินามาเป็นส่วนเสริมให้ดูมีมิติ เพ่ิมเอกลักษณ์ ของชุด
92 3. รูปแบบเครื่องแต่งกายท้องถิ่น เช่น ชนเผ่า ใส่ผ้าพื้นเมือง ทาตัว ใส่สร้อยคอใหญ่ ผสู้ ร้างสรรคส์ ามารถนามาประยุกตใ์ ช้ในงานทตี่ อ้ งการแสดงถงึ วฒั นธรรมท้องถิ่น 4. การใช้เคร่ืองแต่งกายเพื่อสื่อความหมายพิเศษ เช่น เป็นตัวเอก ตัวรอง ปีศาจ นางฟ้า พญายักษ์ เครอ่ื งแต่งกายท่นี ามาออกแบบต้องสอ่ื ความหมายในตวั อย่างชดั เจน ไมค่ ลุมเครอื 5. การใช้เครื่องแต่งกายเป็นอุปกรณ์การแสดง เช่น การออกแบบกระโปรงยาว บาน เป็น กลีบดอกไม้ ในการแสดงใช้ผู้แสดงเป็นดอกไม้ กระโปรงคือ กลีบดอกไม้ หมุนตัวตลอดเวลา ลักษณะ เชน่ นเี้ คร่ืองแต่งกายจัดว่าเป็นหลักของการแสดงจึงต้องออกแบบให้เหมาะสม ไม่สะดุดล้ม หรือทาให้ เกิดการผิดพลาดของผู้แสดง 6. ออกแบบตามจารีตปฏิบัติ เช่น เคร่ืองแต่งกายไทยตามแบบจารีต ไม่ควรนามาประยุกต์ ในลักษณะการแสดงแบบมาตรฐาน หรือทาให้ผิดเพ้ียนจากเดิม เพราะเป็นเครื่องแต่งกายเลียนแบบ ของกษัตริย์ ภาพท่ี 3.67 การแตง่ กายนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ (แบบมาตรฐาน) ชดุ นาฏนรมี ณเี มขลา ทมี่ า : ปิน่ เกศ วัชรปาณ, 2559 จากภาพเป็นการแต่งกายตามแบบละครไทย แบบจารีตปฏิบัติ นามาประยุกต์ด้วยผ้า สมัยนิยม ทาให้มีสีสันสวยสะดุดตา ตัวเอกใส่สไบสีชมพูสด ตัวรองใส่สีชมพูอ่อน เป็นการส่ือ ความหมายด้วยสีเคร่ืองแต่งกาย และเครื่องประดับท่ีแตกต่างกัน ใช้ในนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ (แบบมาตรฐาน) ชุดนาฏนรีมณีเมขลา กล่าวถึงเป็นระบานางมณีเมขลา พร้อมเหล่าบริวาร ร่ายราใน ชน้ั สวรรคว์ ิมาน ในเรื่องพระมหาชนก
93 ภาพที่ 3.68 การแตง่ กายนาฏศลิ ปไ์ ทยสรา้ งสรรค์(แบบมาตรฐาน) ชดุ เทวาอารกั ษ์ ท่ีมา : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 จากภาพเป็นการแต่งกายไทยประยุกต์ โดยใช้ลักษณะการแต่งกายแบบนางในวัง นาเครื่อง ทองมาใชเ้ ปน็ เคร่อื งประดับ ด้วยสร้อยคอ จอนหู สังวาล ใช้สไบปักด้ินทอง เดินเส้นสไบมีลวดลายตัด ขอบและปักเลื่อมทาให้มองเห็นชัดในระยะไกล ชายแต่งกายสมัยอยุธยาเพ่ิมกรองคอให้เด่นชัด ใช้ใน นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์(แบบมาตรฐาน) ชุดเทวาอารักษ์ ผู้แสดงแสดงเป็นเทพเทวดา นางฟ้า ที่คอย ปกั ปกั รักษาคมุ้ ครองอวยพรให้อยู่เยน็ เปน็ สขุ
94 ภาพท่ี 3.69 การแต่งกายนาฏศิลปไ์ ทยสรา้ งสรรค(์ พ้ืนเมือง) ชุดอุสานารี ท่มี า : ปนิ่ เกศ วัชรปาณ, 2559 จากภาพเปน็ การแต่งกายนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ (พ้ืนเมือง) ชุดอุสานารี ในตานานพื้นบ้าน อสี านเรือ่ งอุสา บารส เป็นฉากทีน่ างอสุ า พร้อมเหลา่ บริวาร ลงเล่นน้าท่ีสระ การแต่งกายในชุดน้ีเป็น การแตง่ กายตามจินตนาการของผสู้ ร้างสรรค์ที่ต้องการให้เห็นถึงความสวยงามของหญิงสาววัยแรกรุ่น พร้อมเหล่าพ่ีเล้ียง โดยใช้นาฏศิลป์พื้นเมืองอีสาน แสดงท่าทางการอาบน้า เล่นน้าในสระ การออกแบบเครอื่ งแต่งกายจงึ มีลักษณะใส่เกาะอก มีผา้ คลอ้ งตวั เพอ่ื ให้เกิดภาพสมจริง
95 ภาพท่ี 3.70 การแตง่ กายนาฏศลิ ป์ไทยสร้างสรรค์(พนื้ เมอื ง) ชุดเซ้งิ ขอลอ ที่มา : ปนิ่ เกศ วัชรปาณ, 2559 จากภาพเป็นการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ประเภทพื้นเมือง ชุดเซิ้งขอลอ หรือ การตีเกราะเคาะไม้ ของชาวอีสาน มีการนาท่าพ้ืนบ้านอีสานมาสร้างสรรค์ใหม่ โดยใช้แนวคิดการตี เกราะท่ีเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในอดีตมาสร้างสรรค์ข้ึนใหม่ ท้ังน้ีจึงใช้การแต่งกายท่ีเน้นความเป็น ท้องถิ่น ใช้ผ้าถุงและผ้าเกาะอกสีตัดกันเพื่อความโดดเด่น และเป็นผ้าพื้นบ้านท่ีหาง่ายในท้องถิ่น ซึ่งการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองน้ีมีจุดมุ่งหมายให้ชาวบ้านในชุมชน สามารถนาไปแสดงได้ในโอกาส ต่างๆ ดงั นนั้ เครือ่ งแต่งกายจะมีลักษณะทเ่ี รียบงา่ ย ประยกุ ต์ได้ และหาไดใ้ นท้องถ่นิ
96 ภาพที่ 3.71 การแต่งกายนาฏศิลป์ประยุกต์ (พืน้ เมือง) ชดุ ลลี านาคิน ทีม่ า : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 จากภาพการแสดงชุดลีลานาคิน เป็นผลงานสร้างสรรค์ในโครงการผลงานสร้างสรรค์ของ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ท่ีมุ่งวัดผลด้านการสร้างงานนาฏศิลป์ชุดใหม่ ในชุดนี้ใช้แนวคิดเรื่องพญานาค ศรีสุทโธนาค ที่ชาวอีสานมีความเช่ือว่ามีอยู่จริงในลาน้าโขง และจะขึ้นจากบาดาลเพื่อมาจุดลูกไฟใน วันออกพรรษาตามตานานเพื่อถวายสักการะแก่พระพุทธเจ้าท่ีเสด็จกลับจากสวรรค์ เป็น การสร้างสรรค์นาฏศิลป์ในรูปแบบนาฏศิลป์ประยุกต์แบบพ้ืนเมือง ลักษณะการร่ายราและดนตรีท่ีใช้ เป็นนาฏศิลป์พ้ืนบ้าน แบบประยุกต์ คือใช้ลีลาการร่ายราผสมผสานระหว่างท่าอีสานและท่าใน จินตนาการโดยมีกิริยาเลยี นแบบการเลื้อยของงูใหญ่ มีบริวารเป็นนาคผู้หญิงขึ้นมาร่ายรา มีการต่อตัว เป็นศีรษะรูปทรงพญานาค ในปางนาคปรก การออกแบบเคร่ืองแต่งกายมีความวิจิตรเต็มไปด้วย เครื่องทอง ตัวเอกพญานาคมีศีรษะท่ีใช้เป็นรูปพญานาค 7 ตัวล้อมรอบ กรองคอเป็นแผงใหญ่ประดับ ด้วยทับทิมสี ห้อยหน้าทาด้วยเครื่องโลหะชุบทอง ใส่กาลังข้อมือ และรัดต้นแขนขนาดใหญ่ แสดงถึง ความยิ่งใหญ่ พลงั อันอานาจอันเร้นลับ น่าเกรงขาม
97 อปุ กรณก์ ารแสดง อุปกรณ์ประกอบการแสดง เป็นส่วนหนึ่งท่ีพบในการแสดง ใช้สื่อความหมายในการแสดง ลักษณะการเลือกใช้อุปกรณ์การแสดงในนาฏศิลป์แต่ละประเภทแตกต่างกันไป สามารถสรุปการสื่อ ความหมายในการใช้อปุ กรณไ์ ดด้ งั นี้ 1. นาฏศิลป์ไทยแบบมาตรฐานและพ้ืนเมือง มีการใช้อุปกรณ์การแสดงเพื่อประกอบ ความสวยงาม และเพื่อใช้เป็นส่วนหน่ึงของเน้ือหา เช่น จีนราพัด รากิ่งไม้เงินทอง ราดาบ รากริช รา พลอง ฟอ้ นเล็บ ฟ้อนเทยี น ฟ้อนเก็บใบชา เซง้ิ กระต๊บิ ร่อนแร่ 2. นาฏศลิ ป์ประยกุ ต์ อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ประยุกต์ เป็นองค์ประกอบนาฏศิลป์ท่ีสาคัญ อย่างหนึ่งท่ีทาให้การแสดงมีความสมบูรณ์ ซ่ึงไม่มีข้อกาหนดในการเลือกใช้ท่ีตายตัว ผู้สร้างสรรค์ สามารถออกแบบอุปกรณ์ได้ตามจินตนาการ ท้ังน้ีมีทั้งการส่ือความหมายเชิงนามธรรม และรูปธรรม เชน่ การใชผ้ ้าสีฟา้ ขนาดใหญ่ มีคนถอื ผา้ ดา้ นข้างของเวทที ัง้ 2 ฝ่ังในลักษณะขึงเป็นแนวนอนกลางเวที ส่ือถึงสายน้า ลักษณะเช่นน้ีจัดว่าเป็นการสื่อเลียนแบบธรรมชาติที่เป็นรูปธรรมที่มีอยู่จริง ลักษณะ การสื่ออุปกรณ์การแสดงแบบนามธรรม เป็นลักษณะท่ีต้องการให้เห็นถึงการเปรียบเทียบเชิง สัญลักษณ์ หรือเชิงปรัชญา เช่น การใช้กล่องกระดาษ 3 ใบ มีขนาดต่างกัน ในการแสดงนาฏศิลป์ ประยุกต์ชุดความโลภ กล่องแต่ละใบน้ันต้องการสื่อถึง ความโลภของมนุษย์ในด้านต่างๆ ที่ไม่เท่ากัน และยังแทนความหายนะที่มนษุ ยพ์ บจดุ จบในตอนทา้ ยเรื่อง
98 ภาพท่ี 3.72 อุปกรณก์ ารแสดงนาฏศิลป์ประยุกต์ ชุดสายฝน ท่มี า : ป่ินเกศ วชั รปาณ, 2559 จากภาพการใช้อุปกรณ์การแสดงในการแสดงนาฏศิลป์ประยุกต์ ชุดสายฝน เป็นการนาเอา เพลงพระราชนิพนธ์สายฝน นามาใส่ท่าทางการเคล่ือนไหวในลักษณะนาฏศิลป์ประยุกต์ โดยใช้ท่า พ้ืนฐานของบัลเล่ต์ ผู้สร้างสรรค์ได้แบ่งช่วงการแสดงออกเป็น 2 ส่วนคือ ช่วงแรก นาเสนอถึงความ แห้งแล้ง ความทุกข์ยากของประชาชนชาวไทยที่ต้องเจออุปสรรค์มากมาย ช่วงท่ี 2 สื่อถึง สายฝนที่ โปรยปรายจากพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่ีช่วยให้ความทุกข์ยากของ ราษฎรหมดสิ้นไป กลับกลายเป็นความฉ่าเย็นเหมือนสายฝนท่ีประทานจากฟากฟ้า การใช้อุปกรณ์ การแสดงคือร่ม มิได้หมายถึงไว้ป้องกันแดด หรือกันฝนไม่ให้เปียกปอน แต่มีนัยยะถึงฝนได้ตกลงมา จากฟากฟา้ แล้ว เหมือนความเมตตาของพระองค์ท่ีได้ชว่ ยใหช้ ีวิตกลับมามคี วามสุขอีกครัง้
99 ภาพท่ี 3.73 อปุ กรณ์การแสดงนาฏศลิ ป์ประยุกต์ ชดุ เจอ๋ ซ่าน ท่มี า : ปิน่ เกศ วัชรปาณ, 2559 จากภาพเป็นการแสดงนาฏศิลป์ประยุกต์ ชุดเจ๋อซ่าน นาเอาลักษณะท่าทางการเคล่ือนไหว แบบนาฏศิลปจ์ ีน ที่มกี ารใชป้ ลายเท้าแบบบลั เลต่ ์ มาประยุกต์กบั จนิ ตนาการภายใต้แนวคิด การใช้พัด ท่ีสื่อความหมายถึง ความฝันของหญิงสาวท่ีอยากมีความรัก ลักษณะเป็นนามธรรม มีการต่อพัดกัน ของผู้แสดงเป็นกลุ่ม คู่และเต้นเดี่ยว ในรูปแบบกิริยาที่แตกต่างกัน เพื่อสื่อถึงความรักของหญิงสาวท่ี ใฝ่ฝันถึงในภาพแห่งการรอคอยความรักท่ีสมบูรณ์แบบ แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถกาหนด ความรักให้สมบูรณ์ในทุกด้านได้ ดังนั้น การใช้พัดจึงมีความหมายในเชิงนามธรรม ลักษณะ การเปรียบเทียบ พัดหุบ เปรียบกับรักท่ีไม่สมหวัง พัดบาน เปรียบกับความรักที่กาลังเบ่งบานเต็มท่ี การสะบดั พดั กระพือพดั เปรยี บกับ ความไมแ่ น่นอน ความลังเลในคูร่ กั เปน็ ต้น
100 ภาพท่ี 3.74 อุปกรณ์การแสดงนาฏศลิ ป์ประยุกต์ ชดุ สวุ รรณภูมิ ทมี่ า : ปน่ิ เกศ วชั รปาณ, 2559 จากภาพเป็นการออกแบบอุปกรณ์การแสดงนาฏศิลป์ประยุกต์ ชุดสุวรรณภูมิ ที่มีเรื่องราว ของปลาอานนท์ที่มีหัวเป็นงูมีหางเหมือนปลา กาลังว่ายน้าในมหาสมุทร ในช่วงของการแสดง ผู้สร้างสรรคผ์ ลงานจงึ นาเอาศิลปะการเชดิ หนังใหญ่ และทาอุปกรณ์การแสดงเป็นตัวหนัง และวาดรูป ปลาลงบนผืนหนังนั้น ผู้เชิดหนังเต้นแบบโขนยักษ์ที่เหมือนการเชิดหนังใหญ่ ถือหนังวิ่งวนไปมา แสดงภาพปลาว่ายน้าในมหาสมุทร การสร้างอุปกรณ์การแสดงจึงนับว่ามีความสาคัญต่อ การสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดความแปลกใหม่ ไม่ซ้าเดิม และยังเป็นการนาศิลปะหลายๆ ประเภทมา ผสมผสานไว้ในผลงานสรา้ งสรรค์
101 สรุป องคป์ ระกอบของการสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ เป็นหัวใจสาคัญของการออกแบบงานด้าน นาฏศิลป์ การสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ในทุกประเภทจาเป็นต้องมีความรู้พื้นฐาน เรื่อง แนวคิด ท่ารา การใช้พื้นท่ี การแปรแถว เพลง ดนตรี เคร่ืองแต่งกาย อุปกรณ์การแสดง ท้ังน้ีผู้สร้างสรรค์ต้อง ระมัดระวังในการออกแบบองค์ประกอบการแสดงโดยต้องคานึงถึง รูปแบบของงานสร้างสรรค์ เป็นหลักในเรื่องขนบ ประเพณี ข้อกาหนด ข้อบังคับ ศาสนา วัฒนธรรมท้องถ่ิน การสะท้อนภาพ ผลงานในมิติใหม่ ที่อาจให้เกิดผลกระทบต่อสังคม วัฒนธรรมดังนั้นผู้สร้างสรรค์ผลงาน ควรพิจารณา ในการสร้างสรรค์งานนั้นอย่างรอบคอบ ในบทต่อไปผู้เขียนจะได้อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างสรรค์ ผลงานนาฏศิลป์ใน 3 รูปแบบ ที่เกิดข้ึนในปัจจุบัน คือ นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ประเภทมาตรฐาน นาฏศิลปไ์ ทยสร้างสรรค์ประเภทพื้นเมือง และนาฏศิลป์ประยุกต์หรือ นาฏศิลป์ร่วมสมัย ซึ่งสามารถ นาไปเป็นตวั อยา่ งเพ่ือการสรา้ งสรรคผ์ ลงานนาฏศลิ ปช์ ดุ ใหม่ได้
102
บทที่ 4 การสร้างสรรค์นาฏศลิ ป์ไทยประเภทมาตรฐาน ชดุ สรุ รณวารี สุวรรณวารี เป็นผลงานการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทยประเภทมาตรฐาน หรือเรียกอีกอย่าง หน่ึงว่า นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ที่มีลักษณะองค์ประกอบด้านท่ารา ดนตรี เพลง แบบนาฏศิลป์ไทย มาตรฐาน นาเสนอถึงการดาเนินชีวิตของชาวสยามที่อาศัยอยู่บริเวณริมแม่น้าและการสัมภาษณ์จาก ชาวบ้านในชุมชน ผู้สร้างสรรค์ผลงานจึงนาเอาอากับกิริยา ท่ีได้ศึกษามาประดิษฐ์เป็นท่าราโดยใช้ นาฏยศัพท์ ภาษาท่า จากแม่บทนาฏศิลป์ไทยมาประดิษฐ์ท่าใหม่ ท่ีถ่ายทอดการดาเนินชีวิตของชาว สยามในอดีตอีกท้ังผู้สร้างสรรค์ผลงานยังได้ดึงเอาเสน่ห์ของประชาชนในประเทศไทยที่เปี่ยมไปด้วย ความรักความสามคั คชี ว่ ยเหลือเกอื้ กูลซง่ึ กนั และกันความมีน้าใจอันงดงามของชาวสยามมาสอดแทรก เข้าไปในเรื่องราว ดังจะกล่าวถึง ข้ันตอนและวิธีการสร้างสรรค์ แนวคิด แรงบันดาลใจ การแบ่งช่วง การแสดง การประดิษฐ์แม่ท่าและกระบวนท่า การเคลื่อนไหวบนเวทีและการแปรแถว การแต่งกาย เพลงและดนตรี ข้นั ตอนและวธิ กี ารสรา้ งสรรค์ 1. ศึกษาจากเอกสารต่างๆท่ีเกี่ยวข้อง เก่ียวกบั ประเพณี วัฒนธรรมในอดีตแถบลุ่มนา้ 2. ศึกษาข้อมลู โดยการสัมภาษณ์บคุ คล 2.1 สัมภาษณ์ บรรจง จันทร ผู้เช่ียวชาญด้านนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เรื่องการประดษิ ฐ์ทา่ ราไทย 2.2 สัมภาษณ์ ชาวบ้านในชุมชนแม่น้าเจ้าพระยา เร่ืองการดาเนินชีวิตในแถบแม่น้า จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา 3. ศึกษาจากการสังเกตกริยาท่าทางเพ่ือนามาเป็นแนวคิดการสร้างสรรค์ท่ารา แบ่งเป็น 2 ส่วน คอื ส่วนท่ี 1 เป็นอากัปกิริยาของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้า ท่ีแสดงการสัญจรไปมาทางน้า ซึง่ มเี รอื เปน็ พาหนะนาเอาอากัปกริ ยิ าของชาวบ้านในขณะท่ีพายเรือมาประดษิ ฐเ์ ป็นท่ารา ส่วนท่ี 2 เป็นอากัปกิริยาของแม่ค้าที่แสดงถึงการค้าขายทางน้าของชาวสยามท่ีอยู่อาศัย ริมน้า โดยใชเ้ รือพาหนะในการนาสินคา้ มาขาย มาประดษิ ฐ์เป็นทา่ รา
104 4. กาหนดเนอ้ื หาและรูปแบบการแสดง 4.1 เนื้อหา ผู้สร้างสรรค์ ได้รวบรวมข้อมูลจากเอกสารต่างๆข้างต้น ได้สารวจวิถีชีวิตของ ชาวสยามเพื่อทาการสงั เกตพฤติกรรมของชาวสยามแล้วนาข้อมูลทั้งหมดมากาหนดขอบเขตเน้ือหาซ่ึง ใชข้ ้อมลู ใชเ้ อกสารและการสังเกตพฤติกรรมตามวถิ ชี วี ติ ขิ องชาวสยาม 4.2 รูปแบบของการแสดง จากการค้นคว้าทาให้ทราบว่าชาวสยามมีวิถีชีวิตประเพณี วัฒนธรรมที่งดงามแสดงให้เห็นถึงความรักและความสามัคคีช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ซ่ึงส่ือให้เรือแทน ประเทศไทย ผู้โดยสารแทนชาวสยาม ฝีพายแทนผู้นาหรือกาลังสาคัญในการช่วยพัฒนาประเทศชาติ ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้นาเสนอ การแสดงในรูปแบบนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์โดยใช้ผู้แสดงเป็นหญิง 4 คน ชาย 4 คน ซ่ึงแบ่งเป็น ผู้แสดงชาย 2 คน แสดงท่าทางเป็นเรือและอีกผู้ชาย 2 คนท่ีเหลือน้ัน 1 คน แสดงเปน็ ฝพี ายบังคับทิศทางอีก 1 คน พร้อมผู้แสดง หญงิ ทั้ง 4 คนเปน็ ผู้โดยสารเรอื แนวคิด ผู้สร้างสรรค์นาเสนอความคิดทั้งหมดออกมาในรูปแบบของการแสดงนาฏศิลป์ไทยประเภท มาตรฐาน โดยเน้ือเร่ืองเป็นการเปรียบเทียบความสามัคคีของคนชาวสยามในอดีตที่แม้มีอุปสรรคก็ สามารถผา่ นพน้ ไปได้ โดยเปน็ การสื่อความหมายเชิงนามธรรมใช้สัญลักษณ์ คนพายเรือแทนคนสยาม ในอดีต เรือแทนประเทศไทย พายุโหมกระหน่าแทนอุปสรรค การรวมกลุ่มกันแทนความสามัคคี การข้ึนฝั่งแทนความสาเร็จ แรงบันดาลใจ เร่ิมตน้ จากความประทับใจในท่าทางการพายเรือ และต้องการเสนอความเป็นไทยในรูปแบบ นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ จึงนามาผูกเรื่องราวให้มีความเก่ียวข้องกับชนชาวสยามในอดีตที่มี ความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ มีน้าใจช่วยเหลือกัน เป็นการสะท้อนสังคมท่ีเก้ือกูล และอยากให้คนใน ปัจจุบันยึดถือเป็นแบบอย่าง เพื่อสร้างความตระหนักของเยาวชนในให้ยึดถือเป็นแบบอย่างของ การอยู่ร่วมกนั อย่างสขุ สงบ
105 การแบ่งช่วงการแสดง การแสดงแบง่ ออกเปน็ 3 ช่วง ดังน้ี ชว่ งท่ี 1 แสดงใหเ้ หน็ ถึงวถิ ชี วี ิตของชาวสยามในอดตี ทผ่ี กู พันกบั สายน้าดาเนินชีวิต ประจาวัน อยบู่ นเรอื ช่วงที่ 2 แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีเม่ือพบเจออุปสรรคก็ไม่หว่ันเกรงพร้อมที่จะช่วยเหลือ กันฟันฝ่าอุปสรรคนั้นให้ผ่านพ้นความสาเร็จลุล่วง ไปได้ด้วยดีโดยขณะเดินเรือ ได้มีฝนพายุโหม กระหน่าทาให้ทุกคนช่วยกนั ประคองเรือไวไ้ มใ่ ห้พลกิ คว่า ช่วงที่ 3 แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองหลังจากที่ฝ่าฟันอุปสรรคจนสาเร็จทุกคนได้ช่วยกัน พัฒนาทานุบารุงประเทศจนทาให้เกิดความเจริญและอุดมสมบูรณ์สงบร่มเย็นและคงไว้ซึ่งความงาม โดยผูแ้ สดงทุกคน แสดงเข้าคกู่ ัน และรวมตัวกนั เป็นหนึง่ เดียว การประดิษฐแ์ มท่ า่ และกระบวนท่า การแสดงชุดสุวรรณวารี ออกแบบท่าโดยอาศัยการนาเอากิริยาของคนที่อาศัยแถบลุ่มน้า แสดงท่าราประกอบการดาเนินวิถีชีวิต และการค้าขายโดยใช้เรือเป็นพาหนะ มีแม่ท่าและกระบวน ทา่ หลกั ทง้ั หมด 28 กระบวนท่า เปน็ ทา่ ราท่เี ปน็ การเลียนแบบการเดิน การพายเรือ การว่ายน้าโดยใช้ แม่ท่า การเคลื่อนไหวแบบนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน และใช้การจัดกลุ่มท่ีหลากหลายแปรแถวเป็น รปู เรอื ในทิศทางต่างๆ
106 ภาพที่ 4.1 ทา่ เดินพระ-นาง ที่มา : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 ศีรษะ : ระหวา่ งทิศทางที่ 1 และ 4 ลาตัว : ระหว่างทศิ ทางท่ี 1 และ 4 แขน-มือ : แขนขวาเหยียดยาว แขนซ้ายเหยียดระดับชายพก ตั้งมือทั้งสอง 3 จังหวะ จากนั้นเปล่ียนจีบคว่าในจังหวะท่ี 4 ค่อยๆ ย้ายมาทา อกี ข้างหนึง่ พรอ้ มคลายจีบและตง้ั มือในจงั หวะที่ 8 ขา-เทา้ : ต้ังแถวเฉียงแยกเดินมาจากมุมขวาของเวที ยืดแล้วยุบจังหวะที่ 4 ยดื จังหวะที่ 6 อยา่ งชา้ ๆ แล้วยบุ จงั หวะที่ 8 สื่อความหมาย : การเดินในรูปแบบนาฏศิลป์ไทยแสดงถงึ ความเป็นไทย
107 ภาพที่ 4.2 ท่าประมง ทมี่ า : ป่นิ เกศ วชั รปาณ, 2559 กลุม่ ท่ี 1 ศรี ษะ : ระหว่างทิศที่ 1 และ 4 ลาตัว : ระหว่างทิศที่ 1 และ 4 แขน-มือ : ทาท่าเดินนางตอ่ จนครบ 9 ครงั้ ขา-เทา้ : ต้ังแถวเฉียงเดินมาจากมุมขวาของเวที ยืดแล้วยุบ จังหวะท่ี 4 ยดื จังหวะ ท่ี 6 อยา่ งชา้ ๆ แล้ว จังหวะท่ี 8 กล่มุ ที่ 2 ศีรษะ : ทิศทางท่ี 2-3-1-4 ลาตัว : ทศิ ทางที่ 2-3-1-4 แขน-มอื : 2 คนเป็นเรือ นามือประสานกันระดับปาก อีก 2 คนกลาง ทาทา่ หว่านแห ขา-เท้า : 2 คน น่ังตั้งเข่าซ้าย 2 คนยืนหันหลังให้กัน ก้าวเท้าท่ีถนัด ออกมาข้างหน้าทิง้ นา้ หนกั ลง สื่อความหมาย : การดาเนนิ ชวี ติ ของชาวสยามในการทาอาชีพประมง
108 ภาพท่ี 4.3 ท่าลงเรอื ทมี่ า : ป่นิ เกศ วัชรปาณ, 2559 กลุ่มท่ี 1 ศีรษะ : ทิศทางท่ี 1 ลาตัว : ทศิ ทางท่ี 1 แขน-มือ : ต้งั มือทงั้ 2 แขนขวาเหยยี ดแขนซ้ายงอระดบั อก มือ-เท้า : วงิ่ มากลางเวที กล่มุ ท่ี 2 ศีรษะ : คนที่ 1-2-3 ทิศทางท่ี 2 และคนที่ 4 ทศิ ทางที่ 4 ลาตัว : ทศิ ทางที่ 2 และ 4 แขน-มือ : 2 คนเป็นเรือ คนที่ 1 นามือประสานกันระดับแง่ศีรษะเป็นหัวเรือ คนท่ี 2 ระดับปาก 1 คน กามือขวา แขนซ้ายเหยียดกางออกแก่วง คลา้ ยพายเรอื คนท่ี 4 นามอื มาประสานกนั ระดบั ปากเปน็ ทา้ ยเรอื มอื -เทา้ : 3 คนนั่งทบั ส้น 1 คนยืนเทา้ ชดิ สื่อความหมาย : ชาวสยามใช้เรือเป็นพาหนะในการเดนิ ทาง
109 ภาพที่ 4.4 ท่านงั่ เรือ ที่มา : ปนิ่ เกศ วชั รปาณ, 2559 ศรี ษะ : ผหู้ ญงิ ทิศทางที่ 1 ผชู้ ายคนที่ 1-2-3 ทศิ ทางที่ 2 และ ลาตัว : คนที่ 4 ทศิ ทางที่ 4 แขน-มือ : ผูห้ ญิงทิศทางท่ี 2 ผู้ชายทิศทางท่ี 2 และ 4 ผ้หู ญงิ มือขวาจีบสง่ หลัง มอื ซ้ายมว้ นมอื จบี ระหวา่ งอก ขา-เทา้ : ผู้ชาย 2 คนเปน็ เรือ คนที่ 1 นามอื ประสานกนั ระดบั แง่ ศรี ษะ ส่อื ความหมาย : เป็นหวั เรอื คนท่ี 2 ระดบั ปาก 1 คน กามือขวา แขนซ้ายเหยียด กางออก แกว่งคล้ายพายเรือ คนที่ 4 นามอื มาประสานกนั ระดบั ปาก เป็นท้ายเรอื ผู้ ห ญิ ง น่ั ง ทั บ ส้ น ผู้ ช า ย ค น ท่ี 1 -2 -3 ค น นั่ ง ทั บ ส้ น ค น ท่ี 4 ยนื เทา้ ชิด ลงเรือลาเดยี วกนั
110 ภาพที่ 4.5 ท่าเดินเรอื ทีม่ า : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 ศรี ษะ : ผู้หญงิ ทิศทางที่ 1 ผู้ชายคนท่ี 1-2-3 ทิศทางท่ี 2 และคนท่ี 4 ทิศทางท่ี 4 ลาตัว : ผหู้ ญงิ ทิศทางท่ี 2 ผชู้ ายทศิ ทางท่ี 2 และ 4 แขน-มอื : ผู้หญิงลดมือขวาลงมาที่ไหล่ซ้าย ผู้ชาย 2 คนเป็นเรือ คนท่ี 1 นามือประสานกันระดับแง่ศีรษะเป็นหัวเรือ คนท่ี 2 ระดับปาก 1 คน กามือขวา แขนซ้ายเหยียดกางออกแกว่งคล้ายพายเรือ คนที่ 4 นามือ มาประสานกนั ระดับปากเป็นท้ายเรือ ขา-เท้า : ผู้หญิงนั่งทับส้น เดินเข่าขวาสลับซ้าย 4 คร้ัง ผู้ชายคนที่ 1-2-3 คน นัง่ ทับสน้ คนท่ี 4 ยืนเทา้ ชดิ สือ่ ความหมาย : ประชากรมสี ่วนช่วยให้ประเทศไทยกา้ วหนา้
111 ภาพที่ 4.6 ท่าทาการคา้ ท่มี า : ป่ินเกศ วชั รปาณ, 2559 ศีรษะ : ผู้หญิงทศิ ทางท่ี 1 ผู้ชายคนท่ี 1-2-3 ระหวา่ งทิศที่ 1 และ 2 คนท่ี 4 ระหวา่ งทศิ ท่ี 3 และ 4 ลาตัว : ระหวา่ งทศิ ท่ี 1 และ 2 แขน-มอื : ผู้หญิงมือทั้ง 2 ข้างจีบคว่าคลายมือจีบหงายฝ่ามือ โดยมือซ้ายสูง ผู้ชาย 2 คนเป็นเรือ มือขวา แขนซ้ายเหยียดกางออก แกว่งคล้ายพายเรือ คนท่ี 4 นามอื ประสานกันระดบั ปากเปน็ ท้ายเรือ ขา-เทา้ : เดินเขา่ ไปทางขวาปรับเปน็ แถวเฉียง สื่อความหมาย : การค้าขายความเจริญรุ่งเรือง
112 ภาพที่ 4.7 ทา่ เลน่ นา้ ที่มา : ปนิ่ เกศ วชั รปาณ, 2559 ศรี ษะ : ผู้หญิงทิศทางที่ 1 ผู้ชายคนที่ 1-2-3 ระหว่างทิศ 1 และ 2 คนที่ 4 ระหวา่ งทศิ ที่ 3 และ 4 ลาตัว : ระหว่างทิศที่ 1 และ 2 แขน-มือ : ผู้หญิงมือขวาต้ังมือที่ไหล่ซ้าย ส่วนมือซ้าย หักข้อมือ แขนตึง สง่ หลัง ผู้ชาย 2 คน เป็นเรือ คนที่ 1 นามือประสานกัน ระดับแง่ ศีรษะเป็นหัวเรือ คนท่ี 2 ระดับปาก 1 คน กามือขวา แขนซ้าย เหยียดกางออกคล้ายพายเรือ คนท่ี 4 นามือประสานกันระดับ ปากเปน็ ทา้ ยเรอื ขา-เทา้ : น่ังทับสน้ ส่อื ความหมาย : ความสนกุ สนาน
113 ภาพท่ี 4.8 ท่าทกั ทาย ทีม่ า : ป่นิ เกศ วชั รปาณ, 2559 ศรี ษะ : ผู้หญิงทิศทางที่ 1 ผู้ชายคนที่ 1-2-3 ระหว่างทิศที่ 1 และ 2 ผู้ชายคนที่ 4 ระหวา่ งทศิ ท่ี 3 และ 4 ลาตัว : ระหวา่ งทิศทางท่ี 1 และ 2 แขน-มือ : ผู้หญิงมือทั้ง 2 ต้ังวง ทามือพลิ้วคล้ายกวัก ผู้ชาย 2 คน เป็นเรือ คนท่ี 1 นามือประสานกัน ระดับแง่ศีรษะเป็นหัวเรือ คนที่ 2 ระดับปาก 1 คน กามือขวา แขนซ้ายเหยียดกางออกแกว่งคล้ ายพายเรือ คนที่ 4 นามือประสานกันระดับปากเปน็ ท้ายเรอื ขา-เท้า : น่งั ทับสน้ ส่ือความหมาย : ชาวสยามมอี ัธยาศยั ดี มมี ติ รไมตรจี ิตต่อกัน
114 ภาพที่ 4.9 ท่าประสบพายุ ท่ีมา : ป่ินเกศ วัชรปาณ, 2559 กลมุ่ ท่ี 1 ศรี ษะ : ทศิ ทางที่1 และ 3 ลาตัว : ทศิ ทางท1่ี และ 3 แขน-มือ : ทามือบัง ยกแขนสูง ขา-เทา้ : นัง่ ตั้งเข่าซ้าย กลุ่มที่ 2 ศีรษะ : คนท่ี 1-2-3 ทศิ ทางที่ 2 และคนท่ี 4 ทิศทางที่ 4 ลาตวั : ทิศทางที่ 2 และ 4 แขน-มอื : 2 คนเปน็ เรือ คนที่ 1 นามือประสานกันระดับแง่ ศีรษะเป็นหัวเรือ คนท่ี 2 ระดับปาก 1 คน กามือขวาแขนซ้ายเหยียดกางออก แกว่งแขน คล้ายพายเรือ คนท่ี4 นามือประสานกันระดับปากเป็น ทา้ ยเรอื ขา-เทา้ : 3 คนน่ังทบั ส้น 1 ยนื เท้าชดิ ส่อื ความหมาย : การพบอปุ สรรคขวางหนา้
115 ภาพท่ี 4.10 ทา่ บังฝน ที่มา : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 กลมุ่ ท่ี 1 ทิศทางที่ 1 และ 3 ศรี ษะ : ทศิ ทางท่ี 1 และ 3 ลาตวั : ทามือบงั ยกแขนสงู แขน-มือ : น่งั ตั้งเขา่ ซ้าย ขา-เทา้ : การบงั ฝน ส่ือถึง : กลมุ่ ท่ี 2 ศรี ษะ : คนที่ 1-2-3 ทศิ ทางท่ี 2 และคนท่ี 4 ทศิ ทางที่ 4 ลาตัว : ทิศทางท่ี 2-3 และ 4 แขน-มือ : 2 คนเป็นเรือ คนท่ี 1 นามือประสานกันระดับแง่ศีรษะเป็นหัวเรือ คนท่ี 2 ระดับปาก 1 คน กามือขวาแขนซ้ายเหยียดกางออกแกว่ง คลา้ ยพายเรอื คนท่ี 4 นามือประสานกนั ระดบั ปากพายเรอื ขา-เท้า : คนท่ี 1-2-3 นง่ั ตั่งเขา่ คนท่ี 3 ยนื เท้าชิด ส่อื ความหมาย : การบงั ฝน
116 ภาพท่ี 4.11 ทา่ เรอื โคลง ทีม่ า : ปิน่ เกศ วชั รปาณ, 2559 กล่มุ ท่ี 1 ทิศทางท่ี 1 และ 3 ศรี ษะ : ทศิ ทางท่ี 1 และ 3 ลาตวั : กางแขนตั้งมอื ทาแขนงอสลับตงึ ทีละขา้ ง แขน-มอื : นั่งตงั้ เข่าซ้าย ขา-เท้า : คนท่ี 1-2-3 ทศิ ทางที่ 2 และคนที่ 4 ทศิ ทางที่ 4 กล่มุ ที่ 2 ทศิ ทางท่ี 2 และ 4 ศีรษะ : 2 คน เป็นเรือนามือประสานกันระดับแง่ศีรษะเป็นหัวเรือ คนที่ 2 ลาตัว : ระดับปาก 1 คน กามือขวาแขนซ้ายเหยียดกางออก แกว่งคล้าย แขน-มือ : พายเรอื คนที่ 4 นามอื ประสานกันระดบั ปากเปน็ ทา้ ยเรือ ขา-เทา้ : คนท่ี 1-2-4 นัง่ ตงั้ เข่า คนท่ี 3 ยืนเทา้ ชดิ สอ่ื ความหมาย : ป ร ะ ช า ก ร ใ น ป ร ะ เ ท ศ ต้ อ ง ช่ ว ย กั น ป ร ะ คั บ ป ร ะ ค อ ง ใหป้ ระเทศคงอยู่
117 ภาพที่ 4.12 ท่าพายโุ หมกระหนา่ ท่มี า : ปนิ่ เกศ วชั รปาณ, 2559 กลุ่มที่ 1 ทศิ ทางท่ี 1 และ 3 ศีรษะ : ทศิ ทางท่ี 1 และ 3 ลาตัว : คนที่ 1 และ 3 วาดแขนไปทางขวามือ ลาตัวขวา แขน-มอื : จีบมือซ้ายต้ังมือ คนท่ี 2 และ4 วาดแขนไปทางซ้าย มอื ซา้ ยจีบต้ังมือ ขา-เท้า : นั่งตง้ั เข่าซ้าย กล่มุ ท่ี 2 คนท่ี 2-3-4 ทิศทางท่ี 2 และคนท่ี 4 ทิศทางที่ 4 ศรี ษะ : ทิศทางท่ี 2 และ 4 ลาตวั : 2 คน เป็นเรือ คนท่ี 1 นามือประสานกันระดับแง่ศีรษะ แขน-มอื : เป็นหัวเรือ คนท่ี 2 ระดับปาก 1 คน กามือขวา แขนซ้ายเหยียดกางออกแกว่งคล้ายพายเรือ คนท่ี 4 ขา-เท้า : นามอื ประสานกันระดบั ปากเปน็ ทา้ ยเรือ สอ่ื ความหมาย : คนที่ 1-2-3 น่ังตั้งเข่าขวา คนที่ 3 ยืนเท้าชดิ ประเทศเกดิ วกิ ฤตภยั
118 ภาพท่ี 4.13 ทา่ เรือลม่ ทม่ี า : ป่ินเกศ วชั รปาณ, 2559 ศรี ษะ : ทิศทางที่ 2 ลาตัว : ทิศทางที่ 2 แขน-มือ : แขนทง้ั 2 ตดิ พื้น ขา-เทา้ : น่ังทบั ส้นเทา้ สือ่ ความหมาย : ประเทศล่มประชากรในประเทศก็จะพบปญั หา
119 ภาพที่ 4.14 ทา่ จมนา้ ท่มี า : ปิ่นเกศ วชั รปาณ, 2559 กลมุ่ ท่ี 1 ศีรษะ : ทศิ ทางท่ี 2 ลาตัว : ทศิ ทางท่ี 2 แขน-มือ : ยกแขนขึน้ เหนอื ศีรษะและทามืออ่อนลงชา้ ๆ ขา-เท้า : คุกเขา่ กล่มุ ที่ 2 ศรี ษะ : ทศิ ทางที่ 2 ลาตวั : ทิศทางท่ี 2 แขน-มอื : แบบมือควา่ ลงพื้น ท้ังสองขา้ ง ขา-เท้า : นงั่ ทับส้น สื่อความหมาย : การจมนา้ เปรยี บได้กบั ประเทศถงึ ข้ันวกิ ฤต
120 ภาพที่ 4.15 ทา่ ว่ายน้า ทีม่ า : ปิ่นเกศ วัชรปาณ, 2559 ศรี ษะ : ทิศทางท่ี 2 ลาตัว : ทศิ ทางท่ี 2 แขน-มือ : วาดมือไปข้างหลงั คล้ายท่าวายนา้ กรรเชียง ขา-เท้า : นั่งต้งั เข่า สื่อความหมาย : ทุกคนตอ้ งช่วงพยุงให้ประเทศชาติพน้ จากวกิ ฤต
121 ภาพท่ี 4.16 ท่านา้ พัดพาไป ทมี่ า : ปนิ่ เกศ วัชรปาณ, 2559 กลุ่มท่ี 1 ศรี ษะ : ทศิ ทางท่ี 4 ลาตวั : ทศิ ทางท่ี 4 แขน-มอื : วาดมือไปขา้ งหลงั ขา-เทา้ : เดินถอยไปทศิ ทางท่ี 2 กล่มุ ที่ 2 ศรี ษะ : ทิศทางท่ี 2 ลาตัว : ทศิ ทางท่ี 2 แขน-มือ : วาดมอื ไปข้างหลงั ขา-เท้า : เดนิ ถอยไปทศิ ทางที่ 4 ส่ือความหมาย : อปุ สรรคทาให้คนแยกจากกนั ได้
122 ภาพท่ี 4.17 ท่าดาผุดดาวา่ ย ทีม่ า : ปิน่ เกศ วชั รปาณ, 2559 กลุ่มท่ี 1 ศีรษะ : ทิศทางที่ 1 ลาตัว : ทศิ ทางที่ 4 แขน-มือ : มือขวาตั้งวงสูง แขนซ้ายระดับอก ขา-เท้า : ยนื ยกขาซ้ายงอเขา่ กดปลายเทา้ กลุ่มที่ 2 ศีรษะ : ทิศทางท่ี 1 ลาตัว : ทิศทางท่ี 1 แขน-มอื : ยกมอื ขวาตึงเหนือศรี ษะแขนซ้ายแนบลาตัว ขา-เท้า : เขย่งเทา้ ยดื ยุบ สอื่ ความหมาย : การพยายามดิน้ รนหาทางรอด
123 ภาพท่ี 4.18 ทา่ พบกนั ท่มี า : ป่ินเกศ วัชรปาณ, 2559 ศรี ษะ : ผชู้ ายทศิ ทางท่ี 4 ผู้หญิงทศิ ทางที่ 2 ลาตัว : ผู้ชายทศิ ทางที่ 4 ผ้หู ญงิ ทิศทางท่ี 2 แขน-มอื : แขนส่งหลังหักขอ้ มอื ขา-เทา้ : เกา้ เท้าซ้ายทงิ้ น้าหนักทเี่ ทา้ หนา้ ขาขวาตงึ เปิดส้นเทา้ สอื่ ความหมาย : ประชากรทกุ คนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศให้เจรญิ ได้
124 ภาพท่ี 4.19 ท่ารว่ มใจ ท่มี า : ป่ินเกศ วัชรปาณ, 2559 ศรี ษะ : ผ้ชู ายทิศทางที่ ผู้หญิงทศิ ทางท่ี 3 ลาตัว : ผชู้ ายทิศทางท่ี 1 ผู้หญิงทศิ ทางท่ี 3 แขน-มือ : แขนอย่ขู ้างลาตวั กันศอกออก ขา-เท้า : วาดเท้าขวาไปข้างหน้า ยา่ เท้าหมุนรอบตวั สื่อความหมาย : การร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติ
125 ภาพท่ี 4.20 ทา่ ชว่ ยเหลือกัน ทีม่ า : ปิน่ เกศ วชั รปาณ, 2559 ศรี ษะ : ทิศทางที่ 1 ลาตวั : ทิศทางท่ี 1 แขน-มือ : มอื ท้งั สองแบหงาย แขนไขวท้ ับกนั ขา-เท้า : ยกขาซ้ายงอเข่ากนั ขาออกข้างตวั กดปลายเทา้ ส่ือความหมาย : การช่วยเหลอื เกอื้ กูลกนั
126 ภาพที่ 4.21 ท่าชว่ ยกนั กู้เรือ ทีม่ า : ปิน่ เกศ วัชรปาณ, 2559 ศีรษะ : ทศิ ทางท1่ี ลาตวั : ผ้ชู ายทศิ ทางที่ 1 และ 2 ผู้หญงิ ทิศทางที่ 1 และ 4 แขน-มอื : มอื ทง้ั 2 ต้งั วงแขนนอกสงู ขา-เทา้ : กา้ วขานอกท้ิงน้าหนกั เท้าหน้า ขาในตึงเปิดส้นเทา้ สือ่ ความหมาย : ทกุ คนตอ้ งช่วยกนั บารุงชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
127 ภาพท่ี 4.22 ท่าพบเรือ ทมี่ า : ปน่ิ เกศ วชั รปาณ, 2559 กลุ่มท่ี 1 ศีรษะ : ระหว่างทิศที่ 1 และ 4 ลาตวั : ระหวา่ งทศิ ท่ี 1 และ 4 แขน-มือ : แขนทั้ง 2 กางออกเหยียดตึง ต้ังมือ ฝ่ามอื ประกบคนข้างๆ ขา-เท้า : ยืนตรงเท้าชดิ กลุ่มท่ี 2 ศรี ษะ : ทิศทางที่ 1 ลาตวั : ทิศทางที่ 1 แขน-มอื : 2 คน ต้ังมือทั้ง 2 มือซ้ายข้างลาตัวระดับเอว มือขวาอยู่ระดับ ชายพก อกี 2 คน ต้งั วงเข้าหากัน วงในสูง ขา-เท้า : 2 คนว่ิงไปทางขวา อีก 2 คนนั่ง พับเพียบหันออกจากกัน เหยยี ดขานอกออก สื่อความหมาย : การค้นพบทางสาเรจ็
128 ภาพท่ี 4.23 ทา่ ประกอบเรอื ที่มา : ป่นิ เกศ วชั รปาณ, 2559 ศีรษะ : ผู้หญิงทิศทางที่1ผู้ชายคนที่ 1-2-3 ทิศทางท่ี 2 และคนที่ 4 ทศิ ทางที่ 4 ลาตวั : ผหู้ ญงิ ทศิ ทางท่ี 2 ผ้ชู ายทิศทางท่ี 2 และ 3 แขน-มือ : ผู้หญิงมือขวาจีบส่งหลัง มือซ้ายตั้งวงอยู่ระดับไหล่ ผู้ชาย 2 คน เป็นเรือ คนที่ 1 นามือประสานกันระดับแง่ศีรษะเป็นหัวเรือ คนท่ี 2 ระดบั ปาก 1 คน กามือขวาแขนซ้ายเหยียดกางออก แกว่ง คล้ายพายเรือ คนที่ 4 นามอื ประสานกันระดับปากเป็นท้ายเรอื ขา-เท้า : ยนื ตรง ส่ือความหมาย : ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหาประเทศไทยจะสามารถกลับมาสงบสุข ดังเดิม
129 ภาพที่ 4.24 ท่ามองเหน็ ฝงั่ ทม่ี า : ป่ินเกศ วชั รปาณ, 2559 ศรี ษะ : ระหวา่ งทศิ ที่ 1 และ 2 ลาตวั : ระหวา่ งทิศที่ 1 และ 2 แขน-มอื : ผู้ชายหนึ่งคนนาฝ่ามือซ้ายประกบหลังมือขวา งอแขนเล็กน้อย อีกสองคนมือจับเข่า อีกหนึ่งคนท่ีเหลือเอามือจับหลังคนที่อยู่ ข้างซ้าย ผู้หญงิ มือซ้ายต้งั วงหน้า มือขวาจบี ส่งหลงั ขา-เท้า : ผู้ชายคนที่เป็นหัวเรือยืนตรง คนที่เป็นฐานย่อเข่า คนข้างนอกงอ เข่าเล็กน้อยคนท่ีเป็นคนต่อตัวข้ึนให้ใช้เท่าข้างหน่ึงที่ถนัด เหยียบบนหลังคนใน คือด้านขวามือ ผู้หญิงไขว้ขาขวามาข้างหน้า หมนุ รอบตัว สอื่ ความหมาย : การมองเห็นอนาคตทีส่ ดใสอกี คร้ัง
130 ภาพท่ี 4.25 ทา่ เดินขน้ึ ฝง่ั ทมี่ า : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 ศรี ษะ : ระหวา่ งทศิ ทางท1่ี และ2 ลาตวั : ระหว่างทศิ ทางที่1และ2 แขน-มอื : มือขวาอยูข่ ้างหนา้ แขนซ้ายอยขู่ า้ งหลัง ขา-เทา้ : ยกขาซ้ายกดปลายเทา้ ไปขา้ งหนา้ 3ก้าว สอ่ื ความหมาย : การผ่านพ้นอปุ สรรคท้งั ปวง
131 ภาพที่ 4.26 ท่ากา้ วไกล ท่ีมา : ป่นิ เกศ วชั รปาณ, 2559 กลุ่มท่ี 1 ศรี ษะ : ทศิ ทางท่ี 1 ลาตัว : ทศิ ทางที่ 1 แขน-มอื : ยกแขนเหนือศรี ษะหันข้อมือเข้าหาหัน ขา-เท้า : ยกขาซา้ ยกดปลายเท้า กลุ่มท่ี 2 ศีรษะ : ทิศทางที่ 2 ลาตัว : ทศิ ทางที่ 1 แขน-มอื : มอื ขวาตั้งวงบวั บาน มือซา้ ยแตะสะโพก ขา-เท้า : นง่ั ตัง้ เข่าซ้ายกนั เข่าออก สื่อความหมาย : การเรมิ่ ต้นใหม่อกี ครง้ั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243