ฆานัง อาทิตตัง คันธา อาทิตตา ฆานะวิญญาณัง อาทิตตัง ฆานะสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทกุ ขะมะสุขัง วา ตมั ปิ อาทิตตังฯ เกนะ อาทิตตงั ฯ อาทิตตัง ราคคั คินา โทสคั คนิ า โมหัคคินา อาทติ ตัง ชาตยิ า ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทติ ตันติ วะทามฯิ ชิว๎หา อาทิตตา ระสา อาทิตตา ชิว๎หาวิญญาณัง อาทิตตัง ชิว๎หาสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง ชิว๎หาสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทกุ ขะมะสุขัง วา ตมั ปิ อาทติ ตังฯ เกนะ อาทิตตงั ฯ อาทติ ตัง ราคคั คนิ า โทสัคคินา โมหัคคินา อาทติ ตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทกุ เขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทติ ตนั ติ วะทามฯิ กาโย อาทิตโต โผฏฐัพพา อาทิตตา กายะวิญญานัง อาทิตตัง กายะสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง กายะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทกุ ขะมะสุขัง วา ตัมปิ อาทติ ตังฯ เกนะ อาทติ ตงั ฯ อาทิตตัง ราคัคคนิ า โทสคั คินา โมหัคคินา อาทติ ตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทกุ เขหิ โทมะนสั เสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิฯ มะโน อาทิตโต ธัมมา อาทิตตา มะโนวิญญาณัง อาทิตตัง มะโนสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทกุ ขะมะสขุ งั วา ตัมปิ อาทิตตังฯ เกนะ อาทติ ตังฯ อาทิตตงั ราคัคคินา โทสคั คนิ า โมหคั คนิ า อาทิตตงั ชาตยิ า ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อปุ ายาเสหิ อาทติ ตันติ วะทามิฯ --- หยดุ -- เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุต๎วา อะริยะสาวะโก จักขุส๎มิงปิ นิพพินทะติ รูเปสุปิ นพิ พนิ ทะติ จกั ขวุ ญิ ญาเณปิ นพิ พนิ ทะติ จกั ขสุ มั ผสั เสปิ นพิ พนิ ทะติ ยมั ปทิ งั จกั ขสุ มั ผสั สะ- ปจั จะยา อปุ ปชั ชนะติ เวทะยติ งั สขุ งั วา ทกุ ขงั วา อะทกุ ขะมะสขุ งั วา ตสั ม๎ งิ ปิ นพิ พนิ ทะตฯิ โสตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ สัทเทสุปิ นิพพินทะติ โสตะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ โสตะสัมผสั เสปิ นพิ พนิ ทะติ ยัมปทิ ัง โสตะสัมผสั สะปจั จะยา อปุ ปัชชะติ เวทะยิตัง สขุ ัง วา ทุกขัง วา อะทกุ ขะมะสุขัง วา ตัสม๎ ิงปิ นิพพนิ ทะตฯิ 82 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
ฆานัส๎มิงปิ นิพพินทะติ คันเธสุปิ นิพพินทะติ ฆานะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ ฆานะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สขุ งั วา ทกุ ขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตสั ๎มิงปิ นพิ พนิ ทะติฯ ชิว๎หายะปิ นิพพินทะติ ระเสสุปิ นิพพินทะติฯ ชิว๎หาวิญญาเณปิ นิพพินทะติ ชิว๎หาสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง ชิว๎หาสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สขุ ัง วา ทกุ ขงั วา อะทุกขะมะสขุ ัง วา ตัส๎มงิ ปิ นิพพนิ ทะตฯิ กายสั ๎มงิ ปิ นพิ พินทะติ โผฏฐัพเพสุปิ นิพพินทะติ กายะวญิ ญาเณปิ นิพพนิ ทะติ กายะสมั ผัสเสปิ นพิ พนิ ทะติ ยัมปิทัง กายะสมั ผสั สะปจั จะยา อปุ ปชั ชะติ เวทะยติ ัง สขุ ัง วา ทุกขงั วา อะทุกขะมะสขุ ัง วา ตัสม๎ งิ ปิ นิพพินทะติฯ มะนัส๎มิงปิ นิพพินทะติ ธัมเมสุปิ นิพพินทะติ มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพนิ ทะติ ยมั ปทิ งั มะโนสัมผสั สะปจั จะยา อปุ ปชั ชะติ เวทะยติ งั สขุ งั วา ทุกขงั วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มงิ ปิ นิพพินทะตฯิ นิพพินทงั วิรชั ชะติฯ วริ าคา วมิ จุ จะตฯิ วิมุตตสั ม๎ ิง วมิ ุตตะมตี ิ ญาณงั โหติ ขณี า ชาติ วสุ ติ า พรหั มะจะรยิ ัง กะตัง กะระณยี งั นาปะรงั อิตถัตตายาติ ปะชานาตตี ฯิ อิทะมะโวจะ ภะคะวาฯ อตั ตะมะนา เต ภกิ ขู ภะคะวะโต ภาสติ ัง อะภินนั ทงุ ฯ อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน ตัสสะ ภิกขุสะหัสสัสสะ อะนปุ าทายะ อาสะเวหิ จติ ตานิ วมิ จุ จงิ สูตฯิ ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 83
87) เมตตานิสังสะสตุ ตะปาโฐ เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเมฯ ตัตระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะ โวติฯ ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ภะคะวา เอตะทะโวจะ เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานกี ะตายะ วตั ถกุ ะตายะ อะนฏุ ฐติ ายะ ปะรจิ ติ ายะ สสุ ะมารทั ธายะ เอกาทะสานสิ งั สา ปาฏกิ ังขาฯ กะตะเม เอกาทะสะฯ สขุ ัง สปุ ะติ สุขัง ปะฏิพชุ ฌะตฯิ นะ ปาปะกัง สปุ นิ ัง สุปินัง ปสั สะติฯ มะนสุ สานงั ปิโย โหต,ิ อะมะนุสสานัง ปโิ ย โหตฯิ เทวะตา รักขันติฯ นาสสะ อัคคิ วา วสิ งั วา สัตถงั วา กะมะตฯิ ตวุ ะฏัง จติ ตัง สะมาธิยะตฯิ มุขะวณั โณ วปิ ปะสที ะตฯิ อะสมั มฬุ โห กาลงั กะโรติ ฯ อตุ ตะรงิ อปั ปะฏวิ ชิ ฌนั โต พรมั หะโลกปู ะโค โหตฯิ เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานกี ะตายะ วตั ถกุ ะตายะ อะนฏุ ฐติ ายะ ปะรจิ ติ ายะ สสุ ะมารทั ธายะ อเิ ม เอกาทะสานสิ งั สา ปาฏกิ งั ขาตฯิ อทิ ะมะโวจะ ภะคะวาฯ อตั ตะมะนา เต ภกิ ขู ภะคะวะโต ภาสติ งั อะภนิ นั ทนุ ตฯิ 84 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 85
หมวดท่ี 7 ปกิณณะกะพธิ ีสำ� หรบั พระภกิ ษุ
88) คำ� พินทุผ้า พระภิกษุจะใช้ผ้าทุกผืน ท่านจะต้องน�ำมาท�ำพินทุก่อน ถ้าไม่ท�ำแล้วน�ำมา นุ่งห่ม ต้องผิดพระวินัย การพินทุผ้า คือ การท�ำจุดเป็นวงกลมทึบท่ีมุมใดมุมหนึ่งของ ผ้าโดยมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3 เซนติเมตร ด้วยปากกาท่ีเขียนแล้ว สีติดทนนานไม่หลุดง่าย ด้วยเหตุท่ีผ้าในสมัยพุทธกาลน้ันหาได้ยากและมีมูลค่าสูง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุท�ำการพินทุผ้าทุกผืนเพื่อเป็นการ ลดมูลค่า ด้วยการท�ำให้มีต�ำหนิขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่เป็นท่ีปรารถนาของโจรผู้ร้าย โดยสีท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ท�ำการพินทุ คือ สีน้�ำเงิน สีด�ำ หรือ สนี �้ำโคลน ขั้นตอนการทำ� พนิ ทผุ ้ามดี งั น้ี 1. ครองผ้าใหเ้ รียบร้อยนั่งพับเพียบ 2. ประนมมอื ข้นึ แลว้ ต้งั นะโม 3 จบ 3. จับชายผา้ มุมใดมุมหนึ่งข้นึ มา 4. จับปากกาจรดลงไปที่ผา้ เขียนวงกลมทึบบนผา้ โดยใหเ้ ขยี นวนปากกาไปทาง ดา้ นขวา พรอ้ มกับกล่าวคำ� พนิ ทุผา้ 3 ครั้ง ดังต่อไปน้ี จดุ ที่ 1 ให้กล่าวว่า อมิ งั พนิ ทกุ ัปปัง กะโรมิฯ จดุ ที่ 2 ให้กล่าววา่ ทตุ ยิ ัมปิ อมิ ัง พินทุกัปปัง กะโรมฯิ จดุ ท่ี 3 ใหก้ ล่าววา่ ตะตยิ ัมปิ อิมงั พินทกุ ัปปัง กะโรมฯิ 89) ค�ำอธษิ ฐานผา้ ในยุคแรกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุใช้ผ้าได้เพียง 3 ผืนเทา่ นั้น คอื สงั ฆาฏิ, จวี ร และสบง อย่างละ 1 ผืน ตอ่ มาในภายหลงั พระพทุ ธ องค์ทรงเห็นว่า พระภิกษุมีความจ�ำเป็นที่ต้องใช้ผ้ามากข้ึนจึงทรงอนุญาตเพ่ิมเติมให้ พระภิกษุใช้ผ้าอาบน�้ำฝน, อาสนะ, ผ้าเช็ดหน้า และผ้าบริขาร เช่น อังสะ, ย่าม, สลกบาตร, ผา้ รัดอก, ผ้ารบั ประเคน เปน็ ตน้ ผ้าเหล่าน้ีเม่ือได้พินทุแล้วให้น�ำมาท�ำการอธิษฐานต่อไป การอธิษฐานเป็น วิธีการก�ำหนดใจว่า ผ้าแต่ละผืนน้ันจะใช้เป็นผ้าอะไรบ้าง เวลาน�ำผ้าเหล่าน้ันมา ใชง้ านจะไดถ้ กู ตอ้ งไมส่ บั สน ข้ันตอนการอธิษฐานมีดังนี้ ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 87
วธิ ีการอธิษฐานสังฆาฏิ 1. ครองผา้ ให้เรยี บร้อยนงั่ พบั เพยี บ 2. ประนมมือขึ้นแล้ว ตง้ั นะโม 3 จบ 3. ใชม้ อื ขวาลบู ไปทส่ี งั ฆาฏิแลว้ หมุนไปทางขวา(หมนุ ตามเข็มนาฬกิ า) เปน็ วงกลม 3 รอบ พร้อมกับกลา่ วคำ� อธิษฐานดงั ต่อไปนี้ ลูบสังฆาฏิรอบที่ 1 พรอ้ มกับกล่าววา่ “อมิ งั สงั ฆาฏงิ อะธฏิ ฐามิฯ” ลูบสังฆาฏิรอบที่ 2 พรอ้ มกับกล่าววา่ “ทุติยัมปิ อมิ งั สังฆาฏงิ อะธฏิ ฐามฯิ ” ลูบสังฆาฏริ อบที่ 3 พรอ้ มกบั กล่าววา่ “ตะตยิ มั ปิ อมิ ัง สงั ฆาฏงิ อะธิฏฐามิฯ” 90) ค�ำปัจจทุ ธรณ์ หรอื คำ� ถอนอธิษฐาน ผ้าท่ีอธิษฐานแล้วน้ัน พระภิกษุจึงจะสามารถน�ำมาใช้ได้อย่างถูกต้องตาม พระวินัย แต่เม่ือใดท่ีต้องการจะเปล่ียนเป็นผ้าผืนใหม่หรือต้องการสละออกไป ไม่ต้องการใช้งานอีก พระภิกษุจะต้องน�ำผ้าผืนน้ันมาถอนอธิษฐานก่อนเสมอ วิธีการ ถอนอธษิ ฐานใหก้ ระทำ� ดังนี้ วธิ กี ารถอนอธิษฐานสังฆาฏิ 1. ประนมมอื ขน้ึ แลว้ ตัง้ นะโม 3 จบ 2. ใชม้ ือขวาลบู ไปทสี่ งั ฆาฏแิ ล้วหมุนมอื ไปทางซา้ ย (หมุนทวนเข็มนาฬกิ า) เปน็ วงกลม 3 รอบ พร้อมกับกลา่ วคำ� ถอนอธิษฐานดังต่อไปนี้ ลบู สงั ฆาฏริ อบท่ี 1 พรอ้ มกบั กลา่ ววา่ “อมิ งั สงั ฆาฏงิ ปจั จทุ ธะรามฯิ ” ลบู สงั ฆาฏริ อบที่ 2 พรอ้ มกบั กลา่ ววา่ “ทตุ ยิ มั ปิ อมิ งั สงั ฆาฏงิ ปจั จทุ ธะรามฯิ ” ลบู สงั ฆาฏริ อบท่ี 3 พรอ้ มกบั กลา่ ววา่ “ตะตยิ มั ปิ อมิ งั สงั ฆาฏงิ ปจั จทุ ธะรามฯิ ” เมือ่ จะอธษิ ฐาน หรอื ถอนอธษิ ฐานบรขิ ารอนื่ ๆให้เปล่ียนคำ� ว่า สังฆาฏงิ ดังน้ี อุตตะราสังคัง จีวร อนั ตะระวาสะกัง สบง ปตั ตงั บาตร 88 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
มุขะปุญฉะนะโจลัง ผา้ เช็ดหนา้ วัสสกิ ะสาฏกิ ัง ผา้ อาบน้�ำฝน นิสที ะนัง อาสนะ ปริกขาระโจลัง ผา้ บริขาร เช่น องั สะ, ยา่ ม, สลกบาตร, ผ้ารดั อก, ผา้ รับประเคน เป็นตน้ 91) ค�ำวิกัปปผ์ า้ ในสมัยต่อมาอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุสามารถรับผ้า จีวร และสบง ได้มากกว่า 1 ผืน ผ้าท้ังสองถือเป็นผ้าส่วนเกินที่พระภิกษุรับได้ตาม พระวนิ ยั แตเ่ พอื่ ใหพ้ ระภกิ ษไุ มม่ กี ารสงั่ สมผา้ โดยไมจ่ ำ� เปน็ และใหร้ จู้ กั ประมาณในการใช้ ผ้าเหล่านัน้ เมอ่ื ได้ทำ� การพนิ ทุเสรจ็ เรยี บร้อยแลว้ พระภิกษุจะตอ้ งท�ำผ้าเหล่าน้นั ใหเ้ ป็น สองเจา้ ของ หรอื เรียกว่า การทำ� วิกัปป์ โดยมขี นั้ ตอนการท�ำวกิ ปั ป์ ดังตอ่ ไปน้ี 1. พระภิกษทุ ง้ั สองรูปครองผา้ ใหเ้ รยี บรอ้ ย นัง่ คกุ เขา่ หนั หนา้ เข้าหากนั 2. ประนมมอื ข้ึนแลว้ ต้ัง นะโม 3 จบ พรอ้ มกนั 3. พระภิกษุรูปที่ต้องการท�ำวิกัปป์ผ้าให้น�ำผ้าท้ังหมดวางไว้บนแขนท่ีประนมมือ อยแู่ ล้ว กรณที ี่ 1 มีผ้าเพียงผนื เดยี วให้กล่าววา่ อมิ ัง จวี ะรัง ตุยหัง วิกัปเปมฯิ ทตุ ยิ มั ปิ อิมงั จวี ะรัง ตุยหงั วกิ ปั เปมฯิ ตะติยัมปิ อิมัง จวี ะรัง ตยุ หัง วกิ ัปเปมิฯ กรณีที่ 2 มีผ้ามากกว่าหนง่ึ ผืนใหก้ ล่าวว่า อมิ านิ จวี ะรานิ ตุยหงั วกิ ัปเปมฯิ ทตุ ิยมั ปิ อิมานิ จีวะรานิ ตุยหงั วกิ ัปเปมฯิ ตะติยมั ปิ อิมานิ จีวะรานิ ตยุ หัง วกิ ัปเปมิฯ หมายเหตุ: ถา้ หากวา่ พระภกิ ษุรปู ท่ีต้องการทำ� วิกัปปผ์ ้าเปน็ ภนั เต (มีพรรษามากกว่า) ให้เปลย่ี นค�ำวา่ “ตยุ หงั ” เป็นคำ� วา่ “อายสั ๎มะโต” 4. ส่งผา้ ทัง้ หมดท่อี ยใู่ นมือให้กบั พระภิกษอุ กี รูป ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 89
5. พระภิกษุอีกรูปรับผ้ามาวางบนแขนของตนเองที่ก�ำลังประนมมือ อยู่แล้วใหก้ ล่าวว่า (ตามหมายเลข 92) 92) คำ� ถอนวกิ ปั ป์ กรณีท่ี 1 พระภิกษุทีร่ บั ผา้ มาเปน็ อาวุโส (มพี รรษาน้อยกว่า): อมิ งั จวี ะรงั มยั หงั สนั ตะกงั ปะรภิ ญุ ชะถะ วา วสิ ชั เชถะ วา ยะถาปจั จะยงั วา กะโรถะฯ ทุติยัมปิ อิมัง จีวะรัง มัยหัง สันตะกัง ปะริภุญชะถะ วา วิสัชเชถะ วา ยะถาปัจจะยงั วา กะโรถะฯ ตติยัมปิ อิมัง จีวะรัง มัยหัง สันตะกัง ปะริภุญชะถะ วา วิสัชเชถะ วา ยะถาปัจจะยัง วา กะโรถะฯ กรณีที่ 2 พระภิกษุทร่ี บั ผ้ามาเปน็ ภันเต (มีพรรษามากกวา่ ): อิมัง จีวะรัง มัยหัง สันตะกัง ปะริภุญชะ วา วิสัชเชหิ วา ยะถาปัจจะยัง วา กะโรหิฯ ทุตยิ มั ปิ อิมงั จวี ะรงั มัยหงั สนั ตะกัง ปะริภญุ ชะ วา วสิ ัชเชหิ วา ยะถา- ปจั จะยงั วา กะโรหิฯ ตตยิ มั ปิ อิมัง จวี ะรงั มยั หงั สนั ตะกงั ปะรภิ ญุ ชะ วา วสิ ชั เชหิ วา ยะถา- ปจั จะยงั วา กะโรหฯิ หมายเหตุ : ถา้ หากวา่ ผา้ มมี ากกวา่ 1 ผนื ใหเ้ ปลยี่ นคำ� วา่ “อมิ งั จวี ะรงั ” เปน็ คำ� วา่ “อมิ านิ จวี ะรานิ ” และ “สนั ตะกงั ” เปน็ คำ� วา่ “สนั ตะกาน”ิ 6. ส่งผา้ คืนให้กับพระภิกษรุ ูปเดมิ 93) ค�ำสละผ้าครองแกพ่ ระภิกษุ ผ้าสังฆาฏิ, ผ้าจีวร และผ้าสบง ทั้งสามผืนท่ีอธิษฐานแล้วจะถูกเรียกว่า “ผ้าครอง” ซึ่งเป็นผ้าท่ีจะต้องเก็บรักษาไว้ใกล้ๆในช่วงเวลาที่อรุณก�ำลังข้ึน เพ่ือฝึกฝน ให้พระภิกษุมีสติ มีสมณสัญญา และเป็นการดูแลรักษาผ้าไม่ให้เกิดความเสียหาย ถ้าหากว่าผืนใดผืนหนึ่งอยู่ห่างจากตัวเองเกินหน่ึงช่วงแขนในขณะเวลาที่อรุณ กำ� ลงั ขนึ้ พระภกิ ษจุ ะตอ้ งอาบตั นิ สิ สคั คยี ปาจติ ตยี ต์ ามพระวนิ ยั ผา้ นนั้ ถอื วา่ “ขาดครอง” คอื เป็นผา้ ที่ต้องสละกอ่ นชว่ั คราว (สละครอง) โดยมขี น้ั ตอนการสละผ้าครองดงั น้ี 90 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
1. พระภกิ ษทุ งั้ สองรปู ครองผ้าให้เรียบรอ้ ยนัง่ คกุ เขา่ หันหนา้ เข้าหากัน 2. ประนมมอื ข้ึนแล้ว ตัง้ นะโม 3 จบ พรอ้ มกนั 3. พระภิกษุรูปท่ีขาดครองให้น�ำผ้าผืนน้ันวางไว้บนแขนท่ีประนมมืออยู่แล้ว ถา้ หากผ้าท่ขี าดครองมเี พียงผนื เดียวให้กล่าววา่ อิทงั เม ภนั เต จีวะรงั รตั ตวิ ปิ ปะวตุ ถัง, อัญญัตระ ภกิ ขุสมั มะติยา นิสสคั คยิ ัง, อมิ าหงั ตยุ หัง นสิ สัชชามฯิ ทุติยัมปิ อิทัง เม ภันเต จีวะรัง รัตติวิปปะวุตถัง, อัญญัตระ ภิกขุสัมมะติยา นิสสคั คยิ ัง, อมิ าหัง ตยุ หงั นสิ สัชชามฯิ ตะติยัมปิ อิทัง เม ภันเต จีวะรัง รัตติวิปปะวุตถัง, อัญญัตระ ภิกขุสัมมะติยา นสิ สคั คยิ ัง, อมิ าหัง ตยุ หงั นิสสชั ชามฯิ หมายเหตุ : 1. ถา้ ผา้ ทขี่ าดครองมี 2 ผนื ใหเ้ ปลย่ี นคำ� วา่ อทิ งั ...จวี ะรงั เปน็ คำ� วา่ อมิ าน.ิ ..ทว๎ จิ วี ะราน ิ 2. ถา้ ผา้ ทขี่ าดครองมี 3 ผนื ใหเ้ ปลยี่ นคำ� วา่ อทิ งั ...จวี ะรงั เปน็ คำ� วา่ อมิ าน.ิ ..ตจิ วี ะรานิ 3. ถ้าหากวา่ พระภิกษุรปู ท่ีขาดครองเป็น ภนั เต (มีพรรษามากกวา่ ) ใหเ้ ปล่ยี นคำ� วา่ ภนั เต เปน็ คำ� วา่ อาวโุ ส และใหเ้ ปลย่ี นคำ� วา่ “ตยุ หงั ” เปน็ คำ� วา่ “อายสั ม๎ ะโต” 4. พระภิกษรุ ปู ทขี่ าดครองส่งผ้าทั้งหมดใหก้ บั อกี รูป 5. พระภกิ ษุอกี รปู รบั ผา้ มาแล้วใหว้ างไวข้ ้างตัว 6. พระภกิ ษุรปู ท่ีขาดครอง ตอ้ งปลงอาบตั ิตามข้อ 96 7. พระภกิ ษรุ ูปท่รี ับผ้าใหก้ ลา่ วค�ำใหค้ นื ตามหมายเลข 94 แล้วสง่ ผา้ ทั้งหมดคืน ดงั น้ี 94) ค�ำให้คนื ผา้ ครอง อมิ งั จวี ะรงั ตุยหัง ทมั มฯิ ทตุ ยิ มั ปิ อิมงั จวี ะรงั ตุยหัง ทัมมฯิ ตะติยัมปิ อมิ งั จีวะรัง ตยุ หัง ทัมมิฯ หมายเหตุ : 1. ถา้ ผา้ ทีข่ าดครองมี 2 ผืน ให้เปลยี่ นคำ� ว่า อิมัง จีวะรงั เปน็ คำ� ว่า อิมานิ ทว๎ ิจีวะรานิ 2. ถ้าผ้าท่ขี าดครองมี 3 ผืน ใหเ้ ปล่ียนคำ� ว่า อมิ ัง จีวะรงั เป็นคำ� วา่ อมิ านิ ตจิ ีวะรานิ ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 91
3. ถา้ หากวา่ พระภกิ ษุรูปทร่ี ับผ้ามาเปน็ ภันเต (ผ้มู พี รรษามากกวา่ ) ให้เปล่ยี นคำ� ว่า “ตุยหัง” เปน็ ค�ำว่า “อายสั ม๎ ะโต” 8. พระภิกษุรูปที่ขาดครองรับผ้าท้ังหมดคืนแล้วให้อธิษฐานผ้าเหล่าน้ันอีกคร้ัง (ตามหมายเลข 89) 95) ค�ำสละอดเิ รกจีวรแกพ่ ระภกิ ษุ เมอ่ื พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้ามีพุทธานุญาตให้พระภกิ ษุรบั จีวรและสบงได้มากกวา่ 1 ผนื แล้ว เรียกผ้าเหลา่ น้ันวา่ อดเิ รกจีวร แต่พระองค์ทรงกำ� หนดไวว้ ่า ผา้ เหล่านนั้ ต้องท�ำ พินทุและวิกัปปใ์ หเ้ สรจ็ ภายในเวลา 10 วนั ถา้ หากเกบ็ ผ้าไวน้ านเกินกวา่ 10 วัน พระ ภิกษุจะต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ตามพระวินัย และผ้านั้นจะต้องสละคืนให้กับพระ ภกิ ษรุ ปู อ่ืน โดยมขี ั้นตอนการสละอดเิ รกจีวรดงั น้ี 1. พระภกิ ษทุ ง้ั สองรูป ครองผ้าใหเ้ รียบร้อยนง่ั คกุ เขา่ หันหนา้ เขา้ หากนั 2. ประนมมอื ขน้ึ แล้ว ต้ัง นะโม 3 จบ พรอ้ มกนั 3. พระภิกษุรูปท่ีต้องการสละอดิเรกจีวร น�ำผ้าผืนนั้นวางไว้บนแขนที่ประนมมือ อย่แู ลว้ กลา่ ววา่ อิทัง เม อาวุโส จีวะรัง ทะสาหาติกกันตัง นิสสัคคิยัง, อิมาหัง อายัส๎มะโต นิสัชชามิฯ ทุติยัมปิ อิทัง เม อาวุโส จีวะรัง ทะสาหาติกกันตัง นิสสัคคิยัง, อิมาหัง อายัส๎มะโต นสิ ชั ชามิฯ ตะติยัมปิ อิทัง เม อาวุโส จีวะรัง ทะสาหาติกกันตัง นิสสัคคิยัง, อิมาหัง อายสั ม๎ ะโต นิสชั ชามฯิ 4. เมื่อกลา่ วจบแล้วใหส้ ่งผ้าท้งั หมดคืนใหก้ บั อีกรปู 5. พระภิกษรุ ูปทส่ี ละอดเิ รกจวี รตอ้ งปลงอาบัตแิ ลว้ (ตามหมายเลข 96) 92 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
6. พระภิกษรุ ปู ท่รี ับผา้ มา ให้กล่าวค�ำให้คืน (ตามหมายเลข 94) แล้วสง่ ผา้ ท้งั หมด คืนดังน ้ี หมายเหตุ : 1. ถา้ ผา้ ที่ขาดครองมี 2 ผนื ให้เปลย่ี นคำ� ว่า อทิ งั ...จีวะรัง เป็นค�ำว่า อมิ านิ...ท๎วจิ วี ะรานิ 2. ถา้ ผา้ ที่ขาดครองมี 3 ผืน ใหเ้ ปลยี่ นคำ� วา่ อิทัง...จวี ะรัง เปน็ คำ� ว่า อมิ านิ...ติจวี ะรานิ 3. ถา้ หากวา่ พระภิกษุรปู ทตี่ อ้ งอาบตั ิเป็น อาวุโส (ผ้มู ีพรรษาน้อยกวา่ ) ให้เปลีย่ นค�ำ วา่ “อาวุโส” เปน็ ค�ำวา่ “ภันเต” คำ� วา่ “ตยุ หัง” เป็นค�ำว่า“อายัสม๎ ะโต” 96) ลักษณะการปลงอาบัตทิ ่ถี ูกตอ้ ง46 ภิกษุต้องอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ให้รีบแสดงเสีย อย่าแช่ไว้ในอาบัติ การปลงอาบัตทิ ่ถี ูกต้องเพอ่ื ให้อาบตั ิตกนนั้ ต้องกำ� หนด ดงั นก้ี ่อน คอื 1. ถ้านั่งชิดกันเกินไปจะแสดงอาบัติไม่ตก ต้องน่ังให้มนุษย์และสัตว์เดินผ่านได้ จึงจะแสดงอาบตั ติ ก 2. เวลาแสดงอาบัติ พระภิกษุอ่อนพรรษายกมือสูง พระภิกษุแก่พรรษายกมือ ตำ่� กวา่ ผอู้ ่อนพรรษา แสดงอาบตั ดิ ว้ ยกนั ไม่ตก พระภกิ ษแุ กพ่ รรษาต้องยกมอื สงู พระภกิ ษุออ่ นพรรษยกมอื ต�ำ่ และนอ้ มกายเขา้ หาด้วย จงึ แสดงอาบตั ติ ก 3. ภิกษุอุปสมบทคนละอุปัชฌาย์ คนละสีมา แต่บวช วัน เดือน ปี เวลานาที เดียวกนั เวลาปลงอาบัตดิ ้วยกัน ถา้ “ภนั เต” กว็ ่า “ภันเต” ดว้ ยกัน ถา้ วา่ “อาวโุ ส” กว็ า่ “อาวุโส” ดว้ ยกนั เพราะอปุ สมบทเสมอกัน 4. การห่มผา้ นน้ั ตอ้ งใหเ้ หมือนกัน จงึ จะแสดงอาบัติตก 5. ถา้ นั่งอยู่คนละอาสนะ แสดงอาบัตดิ ้วยกันไมต่ ก ตอ้ งนงั่ ที่เสมอกันจึงจะแสดง อาบัตติ ก 6. หากภิกษุในอาวาสเดียวกัน ต้องอาบัติเดียวกัน แสดงอาบัติด้วยกันไม่ ตก ต้องส่งภิกษุในอาวาสนั้น 1 องค์ หรือ 2 องค์ไปแสดงอาบัติท่ีอาวาส อืน่ ก่อน เมื่อกลับมาแลว้ ใหแ้ สดงกันต่อๆ ไป อาบตั นิ ้ันจงึ จะตกและบริสุทธไ์ิ ด้ 46 จากหนงั สือพระปาฏโิ มกข์แปล พระนพิ นธข์ องสมเด็จพระวนั รัต (แดง สลี วฑฺฒโน) 93 ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ
วธิ แี สดงอาบตั ิ เม่ือจะแสดงอาบัตินิยมกราบพระประธานหรือพระสถูปเจดีย์ก่อน แล้วเร่ิมแสดง อาบัติตามลำ� ดบั ดงั น้ี พรรษาออ่ นกลา่ ววา่ : สัพพา ตา อาปตั ติโย อาโรเจมิฯ (กล่าว 3 จบ) สัพพา คะรุละหกุ า อาปตั ตโิ ย อาโรเจมฯิ (กล่าว 3 จบ) อะหัง ภันเต สัมพะหุลา นานาวัตถกุ าโย อาปตั ตโิ ย อาปชั ชงิ ตา ตมุ หะ มเู ล ปะฏเิ ทเสมฯิ พรรษาแก่กลา่ วว่า : ปสั สะสิ อาวโุ ส ตา อาปตั ติโยฯ พรรษาอ่อนกล่าววา่ : อกุ าสะ อามะ ภนั เต ปัสสามิฯ พรรษาแกก่ ล่าวว่า : อายะติง อาวุโส สังวะเรยยาสฯิ พรรษาอ่อนกลา่ ววา่ : สาธุ สุฏฐุ ภันเต สังวะริสสามฯิ ทตุ ยิ มั ปิ สาธุ สุฏฐุ ภนั เต สังวะริสสามิฯ ตะตยิ ัมปิ สาธุ สฏุ ฐุ ภันเต สงั วะริสสามิฯ พรรษาออ่ นกล่าวว่า : นะ ปเุ นวงั กะรสิ สามฯิ พรรษาแกก่ ล่าวว่า : สาธฯุ พรรษาออ่ นกล่าววา่ : นะ ปุเนวงั ภาสสิ สามิฯ พรรษาแกก่ ล่าวว่า : สาธฯุ พรรษาออ่ นกล่าววา่ : นะ ปเุ นวัง จนิ ตะยสิ สามฯิ พรรษาแก่กล่าววา่ : สาธุฯ (จบพรรษาอ่อน) พรรษาแกก่ ลา่ ววา่ : สพั พา ตา อาปตั ตโิ ย อาโรเจมิฯ (กลา่ ว 3 จบ) สัพพา คะรลุ ะหกุ า อาปัตติโย อาโรเจมิฯ (กลา่ ว 3 จบ) อะหงั อาวุโส สมั พะหลุ า นานาวัตถกุ าโย อาปัตติโย อาปชั ชงิ ตา ตยุ หะ มเู ล ปะฏเิ ทเสมฯิ พรรษาอ่อนกลา่ ววา่ : อกุ าสะ ปัสสะถะ ภันเต ตา อาปตั ตโิ ยฯ พรรษาแก่กล่าววา่ : อามะ อาวุโส ปัสสามิฯ 94 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
พรรษาอ่อนกลา่ วว่า : อายะติง ภันเต สงั วะเรยยาถะฯ พรรษาแก่กลา่ ววา่ : สาธุ สุฏฐุ อาวโุ ส สงั วะริสสามิฯ ทตุ ิยัมปิ สาธุ สุฏฐุ อาวุโส สงั วะริสสามิฯ ตะตยิ มั ปิ สาธุ สฏุ ฐุ อาวโุ ส สังวะริสสามิฯ พรรษาแกก่ ล่าววา่ : นะ ปเุ นวงั กะรสิ สามฯิ พรรษาอ่อนกลา่ วว่า : สาธุฯ พรรษาแกก่ ลา่ วว่า : นะ ปุเนวงั ภาสสิ สามิฯ พรรษาอ่อนกล่าวว่า : สาธฯุ พรรษาแกก่ ล่าววา่ : นะ ปเุ นวงั จนิ ตะยสิ สามิฯ พรรษาอ่อนกลา่ ววา่ : สาธฯุ (จบวิธีการแสดงอาบตั )ิ ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 95
คำ� ทอ่ งขานนาค (แบบอุกาสะ) การบวชในพระพุทธศาสนาต้องมีการกล่าวค�ำเปล่งวาจาต่อหน้าพระสงฆ์ เพื่อ ขอและประกาศถึงเจตนารมณ์ของตนให้พระสงฆ์ได้ทราบ การกล่าวค�ำเปล่งวาจา นี้เรียกว่า \"ท่องค�ำขานนาค\" ผู้บวชจะต้องท่องค�ำขานนาคให้ได้เพ่ือเป—นการ แสดงออกถึงความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัยและความตั้งใจจริงในการบวชของตน วิธีท่องค�ำขานนาคนั้นจะต้องท่องให้ถูกอักขระโดยออกเสียงสระ พยัญชนะ ให้ถูกต้องชดั ถ้อยชดั คำ� 97) คำ� วันทาสมี า และคำ� วันทาพระประธาน อกุ าสะ วนั ทามิ ภันเต, สัพพงั อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภนั เต, มะยา กะตงั ปญุ ญงั สามนิ า อะนโุ มทติ พั พงั , สามนิ า กะตงั ปญุ ญงั มยั หงั ทาตพั พงั , สาธุ สาธุ อะนโุ มทามฯิ น่ังคุกเขา่ ประนมมือ กล่าวว่า สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเตฯ กราบหนึง่ ครงั้ ประนมมือ กลา่ วว่า อกุ าสะ ทว๎ ารตั ตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธงั ขะมะถะ เม ภันเตฯ กราบหนง่ึ คร้งั ยืนข้นึ ประนมมือ กลา่ วว่า วันทามิ ภันเต, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต, มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง, สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง, สาธุ สาธุ อะนุโมทามิฯ น่งั คุกเข่า ประนมมอื กราบ 3 คร้ัง 98) ค�ำขอบรรพชา อุกาสะ วนั ทามิ ภันเต, สัพพงั อะปะราธงั ขะมะถะ เม ภนั เต, มะยา กะตัง ปุญญงั สามนิ า อะนโุ มทิตัพพงั , สามนิ า กะตัง ปุญญัง มยั หงั ทาตัพพัง, สาธุ สาธุ อนโุ มทามิ, อุ กาสะ การุญญงั กัต๎วา, ปัพพัชชัง เทถะ เม ภันเตฯ น่ังคุกเขา่ ประนมมือ กล่าวว่า อะหัง ภันเต, ปัพพชั ชัง ยาจามิฯ ทุตยิ มั ปิ อะหัง ภันเต, ปัพพชั ชัง ยาจามฯิ ตะตยิ ัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพชั ชงั ยาจามิฯ 96 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
สัพพะทุกขะ-นิสสะระณะ, นิพพานะ-สัจฉิกะระณัตถายะ, อิมัง กาสาวัง คะเหต๎วา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปงั อุปาทายะฯ (กลา่ ว 3 จบ) สพั พะทุกขะ-นสิ สะระณะ, นพิ พานะ-สัจฉกิ ะระณัตถายะ, เอตัง กาสาวงั ทตั ว๎ า, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปงั อปุ าทายะฯ (กล่าว 3 จบ) นำ� ผา้ ไตรมอบถวายพระอุปัชฌาย์ 99) มูละกมั มัฏฐาน เกสา, โลมา, นะขา, ทันตา, ตะโจ (อนโุ ลม) ตะโจ, ทันตา, นะขา, โลมา, เกสา (ปฏโิ ลม) พระอุปัชฌายช์ ักองั สะออกจากผา้ ไตรจีวรสวมให้แล้ว ส่งั ใหอ้ อกไปครองให้ ครบไตรจีวรตามลำ� ดับ 100) คำ� ขอสะระณะคมนแ์ ละศีล อะหงั ภนั เต, สะระณะสีลัง ยาจามฯิ ทุตยิ มั ปิ อะหงั ภันเต, สะระณะสลี งั ยาจามิฯ ตะตยิ มั ปิ อะหัง ภนั เต, สะระณะสีลัง ยาจามิฯ พระอาจารยก์ ล่าวค�ำนมัสการพระรัตนตรยั ใหน้ าคกลา่ วตาม นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธัสสะฯ (กลา่ ว 3 จบ) พระอาจารยถ์ ามวา่ : ยะมะหงั วะทามิ ตัง วะเทหฯิ นาคตอบรับวา่ : อามะ ภันเตฯ จากน้ันพระอาจารย์จะให้สรณคมน์และศลี ให้นาคกล่าวตามดังน้ี พุทธัง สะระณัง คจั ฉามิฯ ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามิฯ สงั ฆัง สะระณัง คัจฉามฯิ ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 97
ทตุ ิยมั ปิ พุทธัง สะระณัง คจั ฉามิฯ ทตุ ิยัมปิ ธัมมงั สะระณงั คจั ฉามิฯ ทตุ ิยมั ปิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามฯิ ตะติยมั ปิ พุทธงั สะระณงั คจั ฉามิฯ ตะติยัมปิ ธัมมงั สะระณังคจั ฉามิฯ ตะตยิ ัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามฯิ พระอาจารยก์ ลา่ วว่า : ติสะระณะคะมะนงั นฏิ ฐติ งั ฯ นาคตอบรับวา่ : อามะ ภนั เตฯ พระอาจารย์จะกล่าวนำ� ศลี 10 ใหก้ ล่าวตามทีละบท 1. ปาณาติปาตา เวระมะณี, สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ 2. อะทินนาทานา เวระมะณี, สิกขาปะทงั สะมาทิยามฯิ 3. อะพร๎ ัห๎มะจะรยิ า เวระมะณี, สิกขาปะทงั สะมาทิยามิฯ 4. มุสาวาทา เวระมะณ,ี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ 5. สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณ,ี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ 6. วกิ าละโภชะนา เวระมะณ,ี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิฯ 7. นจั จะคตี ะวาทติ ะวสิ กู ะทัสสะนา เวระมะณี, สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามฯิ 8. มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี, สกิ ขาปะทัง สะมาทิยามฯิ 9. อจุ จาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณ,ี สิกขาปะทัง สะมาทิยามฯิ 10. ชาตะรปู ะระชะตะปะฏคิ คะหะณา เวระมะณี, สิกขาปะทงั สะมาทิยามิฯ พระอาจารย์กลา่ วนำ� ว่า อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทยิ ามิฯ นาคกล่าวตามวา่ อิมานิ ทะสะ สกิ ขาปะทานิ สะมาทิยามฯิ (กลา่ ว 3 จบ แล้วกราบ 3 ครง้ั ) 98 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
101) ค�ำขอนิสสยั สามเณรอุม้ บาตร เดินเข้าไปหาพระอปุ ัชฌาย์ในสังฆสนั นิบาตกล่าวขอนสิ สยั ดงั นี ้ อะหงั ภันเต, นิสสะยงั ยาจามิฯ ทุตยิ ัมปิ อะหัง ภนั เต, นสิ สะยัง ยาจามิฯ ตะติยมั ปิ อะหงั ภันเต, นิสสะยงั ยาจามิฯ อปุ ัชฌาโย เม ภนั เต โหหิฯ (กล่าว 3 จบ) พระอุปัชฌาย์กลา่ ววา่ สามเณรกลา่ วรบั ว่า ปะฏริ ปู งั ฯ อุกาสะ สมั ปะฏิฉามฯิ โอปายิกังฯ อุกาสะ สมั ปะฏิฉามฯิ ปาสาทิเกนะ สัมปาเทถะฯ อุกาสะ สมั ปะฏิฉามฯิ เมื่อกล่าวรับจบ ให้สามเณรกล่าวต่อไปว่าอัชชะตัคเคทานิ เถโร, มัยหัง ภาโร, อะหมั ปิ เถรัสสะ ภาโรฯ (กล่าว 3 จบ แล้วกราบ 3 ครงั้ ) 102) คำ� บอกบรขิ าร พระอุปัชฌาย์หรือพระกรรมวาจจารย์น�ำบาตรมีสายโยงคล้องตัวผู้มุ่งอุปสมบท แล้ว พระอปุ ัชฌายก์ ล่าวว่า สามเณรกล่าวรบั ว่า อะยนั เต ปัตโตฯ อามะ ภันเตฯ อะยัง สงั ฆาฏิฯ อามะ ภนั เตฯ อะยงั อตุ ตะราสงั โคฯ อามะ ภันเตฯ อะยัง อนั ตะระวาสะโกฯ อามะ ภันเตฯ ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 99
103) ค�ำถามอนั ตรายกิ ะธรรม พระคูส่ วดถามวา่ สามเณรกล่าวรับว่า กุฏฐงั ฯ นตั ถิ ภนั เตฯ คณั โฑฯ นตั ถิ ภนั เตฯ กิลาโสฯ นัตถิ ภันเตฯ โสโสฯ นตั ถิ ภนั เตฯ อะปะมาโรฯ นตั ถิ ภันเตฯ มะนสุ โสสิ๊ฯ อามะ ภันเตฯ ปรุ ิโสสฯ๊ิ อามะ ภันเตฯ ภุชสิ โสสฯ๊ิ อามะ ภนั เตฯ อะนะโณส๊ิฯ อามะ ภนั เตฯ นะส๊ิ ราชะภะโฏฯ อามะ ภันเตฯ อะนุญญาโตส๊ิ มาตาปติ หู ฯิ อามะ ภันเตฯ ปะริปณุ ณะวสี ะตวิ สั โสสิฯ๊ อามะ ภนั เตฯ ปะรปิ ณุ ณนั เต ปัตตะจีวะรงั ฯ อามะ ภนั เตฯ กนิ นาโมสฯิ๊ อะหงั ภนั เต ...(ฉายาของตนเอง)... นามะฯ โก นามะ เต อปุ ชั ฌาโยฯ อุปัชฌาโย เม ภันเต อายัสม๎ า...(ฉายา ของพระอปุ ชั ฌาย)์ ...นามะฯ 100 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
104) ค�ำขออุปสมบท สังฆัมภันเต, อุปะสัมปะทัง ยาจามิ, อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ, อะนุกัมปัง อปุ าทายะฯ ทุติยัมปิ ภันเต, สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ, อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ, อะนุกมั ปัง อุปาทายะฯ ตะติยัมปิ ภันเต, สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ, อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ, อะนกุ ัมปัง อุปาทายะฯ 105) คำ� ขอขมา อุกาสะ, ดังข้าพเจ้าท้ังหลายจะขอวโรกาส, กราบลาพ่อแม่ญาติพ่ีน้อง, ท่านพทุ ธศาสนกิ ชนทัง้ หลาย, เพ่อื บรรพชาอุปสมบท ณ บัดนี้ ตลอดระยะเวลา, ที่ต่างต้องเวียนว่ายตายเกิด, ถือก�ำเนิดในวัฏฏะ สงสาร, หากข้าพเจ้าท้ังหลาย, ได้ประพฤติผิดพลาดล่วงเกิน, ต่อท่านท้ัง หลาย, ในที่ต่อหน้าก็ดี, ในที่ลับหลังก็ดี, ทั้งมีเจตนาก็ดี, ท้ังไม่มีเจตนาก็ดี, ที่ระลึกได้ก็ดี, ที่ระลึกไม่ได้ก็ดี, นับตั้งแต่ร้อยชาติพันชาติ, หมื่นชาติแสนชาติ ก็ดี, ทั้งในปัจจุบันชาติก็ดี, ขอท่านทั้งหลาย, โปรดอโหสิกรรม, งดความผิดทั้ง หลายเหล่าน้ัน, ให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ผู้จะบรรพชาอุปสมบท47ในบัดนี้, เพ่ือความ บริสุทธ์ิ, เพ่ือความบริบูรณ์, เพ่ือความอยู่เป็นสุขในพรหมจรรย์, และเพ่ือประโยชน์, แก่การท�ำให้แจ้งซึง่ พระนพิ พาน, ของข้าพเจา้ ทงั้ หลาย, ในปจั จุบนั ชาตินเ้ี ทอญฯ หมายเหตุ บทส�ำคัญท่ผี อู้ ปุ สมบทเป็นพระภิกษุตอ้ งทอ่ งใหไ้ ดก้ อ่ น ได้แก่ 1. คำ� ขอบรรพชา 2. ค�ำขอสรณคมนแ์ ละศลี 3. คำ� ขอนิสสัย 4. คำ� ขออปุ สมบท 47 ผู้จะบรรพชาเปน็ สามเณรเพียงอยา่ งเดยี ว ไม่ต้องกลา่ วคำ� ว่า อปุ สมบท ปกิณณะกะพิธีส�ำหรับพระภิกษุ 101
การอปโลกน์เผดยี งสงฆ์ เมื่ออุปสัมปทาเปกข์กล่าวค�ำขอบวชกะสงฆ์จบแล้ว พระอุปัชฌาย์ พึงกล่าวค�ำอปโลกน์เผดียงสงฆ์ เพ่ือซักถามอันตรายิกธรรมแล้วให้อุปสัมปทาเปกข์ นั้นอุปสมบทดังน้ี โดยสมมติให้อุปสัมปทาเปกข์มีฉายาว่า โอภาโส สมมติ พระอุปชั ฌายม์ ฉี ายาวา่ โสภโณ 106) คำ� อปโลกน์เผดยี งสงฆ์ ส�ำหรับอปุ สมั ปทาเปกข์เดยี่ ว อิทานิ โข ภันเต อะยัง โอภาโส นามะ สามะเณโร มะมะ อุปะสัมปะทาเปกโข อุปะสัมปะทัง อากังขะมาโน, สังฆัง ยาจะติ, อะหัง สัพพะมิมัง สังฆัง อัชเฌสามิ, สาธุ อาวุโส (ภันเต) สัพโพยัง สังโฆ, อิมัง โอภาสัง นามะ สามะเณรัง, อันตะรายิเก ธัมเม ปุจฉิต๎วา, ตัตถะ ปัตตะกัลลัตตัง ญัต๎วา ญัตติจะตุตเถนะ กัมเมนะ อะกุปเปนะ ฐานาระเหนะ อุปะสัมปาเทมาติ, กัมมะสันนฏิ ฐานัง กะโรตฯุ พระสงฆ์ทง้ั นัน้ พงึ ประนมมือกลา่ วรับพรอ้ มกันวา่ “สาธ”ุ ต่อจากน้ัน พระอุปัชฌาย์หรือพระคู่สวด จะสั่งให้อุปสัมปทาเปกข์ เดินเข่าเข้ามาท่ามกลางหมู่สงฆ์แล้วนั่งคุกเข่าประนมมือ เพื่อรับการสอบถาม อนั ตรายกิ ธรรมต่อไป 107) คำ� สมมตติ นและคำ� ถามอันตรายิกธรรม (เดีย่ ว) สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัง โอภาโส, อายัส๎มะโต โสภะณัสสะ อุปะสัมปะทาเปกโข, ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง, อะหัง โอภาสัง อันตะรายิเก ธัมเม ปจุ เฉยยังฯ 108) คำ� ถามอันตรายกิ ธรรม สณุ าสิ โอภาสะ, อะยนั เต สจั จะกาโล ภตู ะกาโล, ยงั ชาตงั ตงั ปจุ ฉาม,ิ สนั ตงั อัตถีติ วัตตัพพัง, อะสันตัง นัตถีติ วัตตัพพัง, สันติ เต เอวะรูปา อาพาธา (ถาม) กุฏฐัง ฯลฯ โก นามะ เต อุปัชฌาโย, (ตอบ) นัตถิ ภันเต ฯลฯ อุปัชฌาโย เม ภนั เต อายัส๎มา โสภะโณ นามะฯ 102 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
109) ค�ำสวดกรรมวาจาอปุ สมบท สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัง โอภาโส, อายัส๎มะโต โสภะณัสสะ อุปะสัมปะทาเปกโข, ปะริสุทโธ อันตะรายิเกหิ ธัมเมหิ, ปะริปุณณัสสะ ปัตตะจีวะรัง, โอภาโส สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจะติ, อายัส๎มะตา โสภะเณนะ อุปัชฌาเยนะ, ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง สังโฆ โอภาสัง อุปะสัมปทาเทยยะ, อายัส๎มะตา โสภะเณนะ อปุ ัชฌาเยนะ, เอสา ญตั ติ. สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัง โอภาโส, อายัส๎มะโต โสภะณัสสะ อุปะสัมปะทาเปกโข, ปะริสุทโธ อันตะรายิเกหิ ธัมเมหิ, ปะริปุณณัสสะ ปัตตะจีวะรัง, โอภาโส สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจะติ, อายัส๎มะตา โสภะเณ นะ อุปัชฌาเยนะ, สังโฆ โอภาสัง อุปะสัมปาเทติ, อายัส๎มะตา โสภะเณนะ อุปัชฌาเยนะ, ยัสสายัส๎มะโต ขะมะติ, โอภาสัสสะ อุปะสัมปะทา, อายัส๎มะตา โสภะเณนะ อุปัชฌาเยนะ, โส ตุณห๎ สั สะ, ยสั สะ นะ ขะมะติ, โส ภาเสยยะฯ ทุติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ, สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัง โอภาโส, อายัส๎มะโต โสภะณสั สะ อปุ ะสมั ปะทาเปกโข ฯลฯ โส ภาเสยยะฯ ตะติยมั ปิ เอตะมตั ถงั วะทาม,ิ สุณาตุ เม ภันเต สงั โฆ ฯลฯ โสภาเสยยะฯ อปุ ะสัมปนั โน สงั เฆนะ, โอภาโส อายัส๎มะตา โสภะเณนะ อปุ ชั ฌาเยนะ ขะมะติ สงั ฆสั สะ, ตสั ม๎ า ตุณ๎ห,ี เอวะเมตัง, ธาระยามิฯ หมายเหต:ุ อนสุ าวนาที่ 2 ท่ี 3 ซงึ่ ฯลฯ ไวน้ ั้นพงึ สวดเต็มความเหมอื นอนสุ าวนาที่ 1 ค�ำอปโลกน์เผดียงสงฆ์ ส�ำหรับอปุ สัมปทาเปกข์คู่ อุปสัมปทาเปกข์มีหลายรูป สามารถอปุ สมบทพรอ้ มกนั ไดค้ ราวละ 2 รปู หรือ 3 รูป แตใ่ หม้ ีพระอุปัชฌาย์องคเ์ ดยี วกันได้ ค�ำสวดกรรมวาจา จึงตอ้ งเปล่ยี น วิภัตติ วจนะ ใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั บาลีดังน้ี, โดยสมมตอิ ปุ สมั ปทาเปกข์ มฉี ายาวา่ ปณุ โณ, สโุ ภ, สมมติ พระอุปัชฌายม์ ีฉายาว่า โสภโณ ค�ำอาราธนาต่างๆ 103
110) คำ� อปุ ชั ฌายพ์ งึ กลา่ วเผดียงสงฆ์ สำ� หรับอปุ สัมปทาเปกขค์ ู่ อิทานิ โข ภันเต อะยัญจะ ปุณโณ นามะ สามะเณโร, อะยัญจะ สุโภ นา มะ สามะเณโร, มะมะ อุปะสัมปะทาเปขา, อุปะสัมปะทัง อากังขะมานา, สังฆัง ยาจันติ, อะหัง สัพพะมิมัง สังฆัง อัชเฌสามิ, อาวุโส (ภันเต) สัพโพ ยัง สังโฆ, อิมัญจะ ปุณณัง นามะ สามะเณรัง, อิมัญจะ สุภัง นามะ สามะเณรั ง, อันตะรายิเก ธัมเม ปุจฉิตวา, ตัตถะ ปัตตะกัลลัตตัง ญัตวา, ญัตติจะตุตเถนะ กัมเมนะ อะกุปเปนะ ฐานาระเหนะ อุปะสัมปาเทมาติ, กัมมะสันนิฏฐานัง กะโรตุ. พระสงฆ์ทง้ั นัน้ พึงประนมมอื กลา่ วรบั พรอ้ มกนั วา่ “สาธุ” ต่อจากน้ัน พระอุปัชฌาย์หรือพระคู่สวด จะสั่งให้อุปสัมปทาเปกข์เดินเข่าเข้ามา ทา่ มกลางหมสู่ งฆแ์ ลว้ นงั่ คกุ เขา่ ประนมมอื เพอ่ื รบั การสอบถามอนั ตรายกิ ธรรมตอ่ ไป 111) คำ� สมมตแิ ละคำ� ถามอันตรายิกธรรม (คู่) สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัญจะ ปุณโณ อะยัญจะ สุโภ, อายัส๎มะโต โสภณัสสะ อุปะสัมปะทาเปกขา, ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง, อะหัง ปุณณัญจะ สภุ ัญจะ อนั ตะรายิเก ธัมเม ปจุ เฉยยงั ฯ (แลว้ สอบถามทีละรูป) 112) คำ� ถามอนั ตรายกิ ธรรม สุณาสิ โอภาสะ, อะยันเต สัจจะกาโล ภูตะกาโล, ยัง ชาตัง ตัง ปุจฉามิ, สันตัง อัตถีติ วัตตัพพัง, อะสันตัง นัตถีติ วัตตัพพัง, สันติ เต เอวะรูปา อาพาธา ? (ถาม) กุฏฐัง ฯลฯ โก นามะ เต อุปัชฌาโย, (ตอบ) นัตถิ ภันเต ฯลฯ อุปัชฌาโย เม ภนั เต อายัสม๎ า โสภะโณ นามะฯ 104 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
113) ค�ำสวดกรรมวาจาอุปสมบท สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัญจะ ปุณโณ อะยัญจะ สุโภ, อายัส๎มะโต โสภณัสสะ อุปะสัมปะทาเปกขา, ปะริสุทธา อันตะรายิเกหิ ธัมเมหิ, ปะริปุณณะมิเมสัง ปัตตะจีวะรัง, ปุณโณ จะ สุโภ จะ สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจันติ, อายัส๎มะตา โสภเณนะ อุปัชฌาเยนะ, ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง, สังโฆ ปุณณัญจะ สุภัญจะ อุปะสัมปาเทยยะ, อายัส๎มะตา โสภเณนะ อุปัชฌาเยนะ, เอสา ญตั ติฯ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัญจะ ปุณโณ อะยัญจะ สุโภ, อายัส๎มะโต มะนุสสะนาคัสสะ อุปะสัมปะทาเปกขา, ปะริสุทธา อันตะรายิเกหิ ธัมเมหิ, ปะริปุณณะมิเมสัง ปัตตะจีวะรัง, ปุณโณ จะ สุโภ จะ สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจันติ, อายัส๎มะตา โสภเณนะ อุปัชฌาเยนะ. สังโฆ ปุณณัญจะ สุภัญจะ อุปะสัมปาเทติ, อายัส๎มะตา มะนุสสะนาเคนะ อุปัชฌาเยนะ. ยัสสายัส๎มะโต ขะมะติ, ปุณณัสสะ จะ สุภัสสะ จะ อุปะสัมปะทา, อายัส๎มะตา โสภเณนะ อปุ ัชฌาเยนะ โส ตณุ ๎หสั สะ ยสั สะ นะ ขะมะติ โส ภาเสยยะ, ทุติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ, สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อะยัญจะ ปุณโณ, อะยญั จะ สโุ ภ, อายสั ม๎ ะโต โสภณสั สะ อปุ ะสมั ปะทาเปกขา, ฯลฯ โส ภาเสยยะ. ตะติยัมปิ เอตะมตั ถัง วะทามิ, สณุ าตุ เม ภันเต สงั โฆ, ฯลฯ โส ภาเสยยะ. อุปะสัมปันนา สังเฆนะ, ปุณโณ จะ สุโภ จะ, อายัส๎มะตา โสภเณนะ อุปัชฌาเยนะ, ขะมะติ สังฆัสสะ, ตัส๎มา ตุณ๎หี, เอวะเมตัง ธาระยามิฯ (ในท่ลี งเครื่องหมาย ฯลฯ ไวน้ ้นั ให้สวดเตม็ ความ) ค�ำอาราธนาต่างๆ 105
114) ค�ำบอกอนศุ าสน์แบบเดมิ ตาวะเทวะ ฉายาเมตัพพัง อุตุปปมาณัง อาจิกขิตัพพัง ทิวะสะภาโค อาจิกขิตัพโพ สังคีติ อาจิกขิตัพพา จัตตาโร นิสสะยา อาจิกขิตัพพา จัตตาริ จะ อะกะระณียานิ อาจิกขิตัพพานีติ หิทัง อุปะสัมปะทายะ ปัจฉิมะกิจจัง ภะคะวะตา วุตตัง ตันทานิ มะยา เต อุปัชฌาเยนะ สะตา ตะทาจิกขะเนนะ อะนุกาตัพพัง โหติ ตันเต สกั กัจจัง โสตพั พงั ฯ พระภกิ ษุใหม่ พงึ กลา่ วรับวา่ “อามะ ภนั เต” เมื่อพระภิกษุใหม่กล่าวรับค�ำแล้ว พระอุปัชฌาย์หรือผู้แทนพึงบอกอนุศาสน์ต่อ ไปดงั นี้ (1) ปณิ ฑิยาโลปะโภชะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา ตัตถะ เต ยาวะชีวัง อุสสาโห กะระณีโย อะติเรกะลาโภ สังฆะภัตตัง อุทเทสะภัตตัง นิมันตะนัง สะลากภตั ตัง ปกั ขิกงั อุโปสะถิกัง ปาฏิปะทิกัง ฯ พระภิกษุใหม่ พึงกลา่ วรบั วา่ “อามะ ภนั เต” (2) ปังสุกูละจีวรัง นิสสาย ปัพพัชชา ตัตถะ เต ยาวะชีวัง อุสสาโห กะระณีโย อะตเิ รกะลาโภ โขมงั กปั ปาสกิ ัง โกเสยยงั กัมพะลัง สาณัง ภงั คงั ฯ พระภิกษใุ หม่ พงึ กล่าวรบั ว่า “อามะ ภันเต” (3) รกุ ขะมลู ะเสนาสนงั นสิ สาย ปพั พชั ชา ตตั ถะ เต ยาวะชวี งั อสุ สาโห กะระณโี ย อะตเิ รกะลาโภ วิหาโร อฑั ฒะโยโค ปาสาโท หัมมิยงั คหุ าฯ พระภิกษุใหม่ พึงกล่าวรับว่า “อามะ ภนั เต” (4) ปตู มิ ตุ ตะเภสชั ชงั นสิ สายะ ปพั พชั ชา ตตั ถะ เต ยาวะชวี งั อสุ สาโห กะระณโี ย อะตเิ รกะลาโภ สัปปิ นะวะนีตงั เตลงั มะธผุ าณติ งั ฯ พระภกิ ษใุ หม่ พงึ กลา่ วรบั ว่า “อามะ ภนั เต” (5) อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา เมถุโน ธัมโม นะ ปะฏิเสวิตัพโพ อันตะมะโส ติรัจฉานะคะตายะปิฯ โย ภิกขุ เมถุนัง ธัมมัง ปะฏิเสวะติ อสั สะมะโณ โหติ อะสกั ย๎ ะปตุ ตโิ ย ฯ เสยยะถาปิ นามะ ปรุ โิ ส สสี จั ฉนิ โน อะภพั โพ เตนะ สะรีระพันธะเนนะ ชีวิตุ เอวะเมวะ ภิกขุ เมถุนัง ธัมมัง ปะฏิเสวิตะวา อสั สะมะโณ โหติ อะสกั ย๎ ะปตุ ตโิ ยฯ ตนั เต ยาวะชวี งั อะกะระณยี งั ฯ 106 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
พระภิกษใุ หม่ พึงกล่าวรับว่า “อามะ ภันเต” (6) อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา อะทินนัง เถยยะสังขาตัง นะ อาทาตัพพัง อันตะมะโส ติณะสะลากัง อุปาทายะ ฯ โย ภิกขุ ปาทัง วา ปาทาระหัง วา อะติเรกะปาทัง วา อะทินนัง เถยยะสังขาตัง อาทิยะติ อัสสะมะโณ โหติ อะสัก๎ยะปุตติโยฯ เสยยะถาปิ นามะ ปัณฑุปะลาโส พันธะนา ปะมุตโต อะภัพโพ หริตัตตายะ เอวะเมวะ ภิกขุ ปาทัง วา ปาทาระหัง วา อะติเรกะปาทัง วา อะทินนัง เถยยะสังขาตัง อาทิยิตวา อัสสะมะโณ โหติ อะสัก๎ยะปุตติโยฯ ตันเต ยาวะชีวัง อะกะระณยี งั ฯ พระภกิ ษใุ หม่ พงึ กล่าวรบั ว่า “อามะ ภนั เต” (7) อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา สัญจิจจะ ปาโณ ชีวิตา นะ โวโรเปตัพโพ อันตะมะโส กุนถะกิปลิ ลิกัง อุปาทายะฯ โย ภิกขุ สัญจิจจะ มะนุสสะวิคคะหัง ชีวิตา โวโรเปติ อันตะมะโส คัพภะปาตะนัง อุปาทายะ อัสสะมะโณ โหติ อะสัก๎ยะปุตติโยฯ เสยยะถาปิ นามะ ปุถุสิลา เทวธา ภินนา อัปปะฏิสันธิกา โหติ เอวะเมวะ ภิกขุ สัญจิจจะ มะนุสสะวิคคะหัง ชีวิตา โวโรเปตวา อสั สะมะโณ โหติ อะสักย๎ ะปตุ ติโย ฯ ตนั เต ยาวะชีวงั อะกะระณยี ัง ฯ พระภิกษุใหม่ พงึ กลา่ วรับว่า “อามะ ภนั เต” (8) อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา อุตตะริมะนุสสะธัมโม นะ อุลละปติ ัพโพ อันตะมะโส สุญญาคาเร อะภิระมามีติฯ โย ภิกขุ ปาปิจโฉ อิจฉาปะกะโต อะสันตัง อะภูตัง อุตตะริมะนุสสะธัมมัง อุลละปะติ ฌานัง วา วิโมกขัง วา สะมาธิง วา สะมาปตั ติง วา มัคคงั วา ผลัง วา อัสสะมะโณ โหติ อะสักยะปตุ ติโย ฯ เสยยะถาปิ นามะ ตาโล มัตถะกัจฉินโน อะภัพโพ ปุนะ วิรุฬหิยา เอวะเมวะ ภิกขุ ปาปิจโฉ อิจฉาปะกะโต อะสันตัง อะภูตัง อุตตะริมะนุสสะธัมมัง อุลละปิตะวา อัสสะมะโณ โหติ อะสักยะปุตติโยฯ ตันเต ยาวะชีวัง อะกะระณียงั ฯ พระภกิ ษใุ หม่ พงึ กลา่ วรบั วา่ “อามะ ภนั เต” แลว้ ลกุ ขนึ้ นงั่ คกุ เขา่ ประนมมอื กราบ พระอุปัชฌาย์ 3 คร้งั ค�ำอาราธนาต่างๆ 107
หมายเหตุ ถ้าบอกอนศุ าสนแ์ กพ่ ระภกิ ษุใหม่พร้อมกนั ตงั้ แต่ 2 รปู ขึน้ ไปพงึ เปลีย่ นคำ� วา่ “เต” เป็น “โว” เปลีย่ นคำ� ว่า “ตันเต” เปน็ “ตงั โว” ในทีท่ กุ แห่ง 115) ค�ำขอขมาโทษพระเถรานุเถระทัว่ ไป ถา้ ผขู้ อขมาหลายรูปให้กล่าวว่า พระอนุเถระกลา่ ววา่ : เถเร ปะมาเทนะ ท๎วารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเตฯ พระเถระตอบวา่ : อะหงั ขะมาม,ิ อายสั ม๎ นั เตหปิ ิ เม ขะมติ พั พงั ฯ พระอนเุ ถระตอบรบั วา่ : ขะมามะ ภนั เตฯ ถา้ ผู้ขอขมารปู เดียว พึงกล่าวว่า พระอนุเถระกลา่ ววา่ : เถเร ปะมาเทนะ ท๎วารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ เม ภันเตฯ พระเถระตอบวา่ : อะหงั ขะมาม,ิ อายสั ม๎ นั ตาหปิ ิ เม ขะมติ พั พงั ฯ พระอนเุ ถระตอบรับว่า : ขะมามิ ภนั เตฯ หมายเหต:ุ เถเร ปะมาเทนะ พระอนเุ ถระกล่าวกับพระเถระผูม้ ีพรรษา 10 ขน้ึ ไป ถา้ หากต�่ำกว่า 10 พรรษา ให้เปล่ยี นเป็น อายสั ๎มนั เต ปะมาเทนะ 116) ค�ำอธษิ ฐานเข้าพรรษา อิมสั ๎มงิ อาวาเส อิมงั เตมาสงั วัสสัง อเุ ปมฯิ (กลา่ ว 3 จบ) 117) คำ� บอกสัตตาหะ สัตตาหะกะระณียัง กิจจัง เม อัตถิ ตัส๎มา มะยา คันตัพพัง อิมัส๎มิง สตั ตาหพั ภันตะเร นวิ ัตตสิ สามิฯ แปลวา่ กิจธุระทีค่ วรทำ� ใน 7 วันมีแก่ข้าพเจา้ ขา้ พเจ้าพึงไป ขา้ พเจ้าจักกลับมา ภายใน 7 วนั ฯ 108 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
118) คำ� ปวารณาออกพรรษา สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มงั อายัสม๎ ันโต อะนกุ มั ปัง อุปาทายะ ปสั สนั โต ปะฏกิ กะรสิ สามิฯ ทุติยมั ปิ ภันเต สังฆัง ปะวาเรมิ ทฏิ เฐนะ วา สุเตนะ วา ปะรสิ ังกายะ วา วะทนั ตุ มัง อายสั ๎มันโต อะนุกมั ปงั อุปาทายะ ปสั สนั โต ปะฏกิ กะริสสามฯิ ตะตยิ มั ปิ ภนั เต สงั ฆงั ปะวาเรมิ ทฏิ เฐนะ วา สเุ ตนะ วา ปะรสิ งั กายะ วา วะทนั ตุ มัง อายสั ม๎ ันโต อะนุกมั ปงั อุปาทายะ ปสั สันโต ปะฏิกกะริสสามฯิ 119) ค�ำถวายผ้ากฐนิ (ต้ัง นะโม 3 จบ) อมิ ัง มะยงั ภนั เต, สะปะริวารัง, กะฐนิ ะจวี ะระทุสสงั , สงั ฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภนั เต, ภกิ ขุสังโฆ, อมิ ัง สะปะริวารัง, กะฐนิ ะจวี ะระทสุ สัง, ปะฏคิ คณั หาตุ, ปะฏิคคะเหต๎วา จะ, อิมินา ทุสเสนะ, กะฐินัง, อัตถะระตุ, อัม๎หากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สขุ ายะ, นพิ พานายะ จะฯ ค�ำแปล ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวาย, ผ้าจีวรกฐิน, พร้อมด้วยบริวารนี้, แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์, จงรับ, ผ้าจีวรกฐิน, พร้อมด้วยบริวารน้ี, คร้ันรับแล้ว, จงกรานกฐิน, ด้วยผ้าผืนนี้, เพ่ือประโยชน์, เพื่อความสุข, เพื่อมรรคผลนิพพาน, แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ตลอดกาลนานเทอญฯ 120) คำ� กลา่ วเผดียงสงฆ์ (ส�ำหรบั ประธานสงฆ)์ ผ้ากฐินทาน, กับทั้งผ้าอานิสงส์บริวารท้ังปวงนี้, เปน็ ผ้ากฐินสามัคคี, ซ่ึงมี ...(กัลฯ ชื่อ-นามสกุล ผู้เป็นประธานกฐิน)... พร้อมด้วยเหล่ากัลยาณมิตร, และสัมพันธชน, ...(ชื่อวัด)..., ได้มีจิตศรัทธาเปน็ สมานฉันท์, ร่วมใจกัน ค�ำอาราธนาต่างๆ 109
น้อมน�ำมาทอดถวาย, แด่พระภิกษุสงฆ์, ผู้จ�ำพรรษากาลครบถ้วนไตรมาส, ณ อาวาส...(ช่ือวัด)...ผ้ากฐินทานนี้, เป็นของบริสุทธ์ิ, ประดุจเลื่อนลอยมาจาก นภากาศ, แล้วตกลง ณ ท่ามกลางสงฆ์, มิได้เฉพาะเจาะจง, แก่พระภิกษุรูปใด, ผ้ากฐินทานน้ี, ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตไว้ว่า, ให้มอบแก่พระภิกษุ, ผู้มีจีวรเก่า, หรือพระภิกษุรูปใดรูปหน่ึง, ซึ่งมีสติปัญญาสามารถ, อาจจะกระท�ำกฐินัตถารกิจ, ให้ถูกต้องตามพระบรมพุทธานุญาตได้, บัดน้ี, สงฆ์ทั้งปวง, จะเห็นสมควร แก่พระภิกษุรูปใด, ก็จงพร้อมใจกันมอบให้, แด่พระภิกษุรูปน้ันเทอญฯ 121) ค�ำอปโลกนก์ ฐิน (สำ� หรับพระภกิ ษกุ ล่าวค�ำอุปโลกน์ รปู ที่ 2) ผ้ากฐินทาน, กับทั้งผ้าอานิสงส์บริวารทั้งปวงน้ี, ข้าพเจ้าพิจารณาเห็น สมควรแก่, ...(ช่ือ-ฉายา ผู้รับผ้ากฐิน)...ผู้มีสติปัญญาสามารถ, อาจจะกระท�ำ กฐินัตถารกิจ, ให้ถูกต้องตาม, พระบรมพุทธานุญาตได้, ถ้าพระภิกษุรูปใดเห็น ไม่สมควร, จงทักท้วงข้ึนในท่ามกลางสงฆ์, (หยุดนิดหนึ่ง) ถ้าเห็นสมควรแล้ว, จงใหส้ ทั ทสญั ญา, สาธกุ ารข้นึ พร้อมกนั ฯ --- สาธุ --- 122) พธิ ีกรานกฐนิ แบบกรรมวาจาสวดใหผ้ ้ากฐนิ (ตง้ั นะโม 5 ชัน้ 3 จบ) สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อิทัง สังฆัสสะ กะฐินะทุสสัง อุปปันนัง, ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง, สังโฆ อิมัง กะฐินะทุสสัง อายัส๎มะโต (อิตถันนามัสสะ) ทะเทยยะ, กะฐนิ ัง อตั ถะรติ งุ , เอสา ญตั ติ ฯ 110 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อิทัง สังฆัสสะ กะฐินะทุสสัง อุปปันนัง, สังโฆ อิมัง กะฐนิ ะทสุ สงั อายสั ม๎ ะโต (อติ ถนั นามสั สะ48) เทติ กะฐนิ งั อตั ถะรติ งุ , ยสั สายสั ม๎ ะโต ขะ มะติ อิมัสสะ กะฐินะทุสสัสสะ อายัส๎มะโต (อิตถันนามัสสะ) ทานัง, กะฐินัง อตั ถะริตุง, โส ตณุ ๎หัสสะ, ยัสสะ นกั ขะมะต,ิ โส ภาเสยยะ ฯ ทินนัง อิทัง สังเฆนะ กะฐินะทุสสัง, อายัส๎มะโต (อิตถันนามัสสะ) กะฐินัง อตั ถะริตุง, ขะมะติ สังฆัสสะ ตัส๎มา ตณุ ห๎ ี, เอวะเมตงั ธาระยามิฯ เมื่อสวดจบแล้ว ท�ำบุพพกรณ์เสร็จแล้ว ผ้ากฐินนั้นท�ำเป็นจีวรชนิดใด พึงปัจจุทธรณ์(ถอน) จีวรชนิดน้ันของเดิมแล้วอธิษฐานจีวรใหม่โดยชื่อนั้น กระท�ำโดยพระภกิ ษอุ งคค์ รองกฐิน วธิ ถี อน (ธรรมเนยี มโบราณ) ทา่ นใหย้ กผา้ เกา่ ทบั ผา้ ใหมแ่ ลว้ กลา่ วคำ� ถอนวา่ ดงั น้ี สงั ฆาฏ ิ ใหก้ ลา่ วถอนวา่ อิมายะ สงั ฆาฏิยา กะฐินงั ปจั จทุ ธะรามฯิ (3 จบ) จวี ร ใหก้ ลา่ วถอนวา่ อมิ นิ า อตุ ตะราสงั เคนะ กะฐนิ งั ปจั จทุ ธะรามฯิ (3 จบ) สบง ให้กลา่ วถอนว่า อิมินา อันตะระวาสะเกนะ กะฐินงั ปจั จุทธะรามฯิ (3 จบ) จากนนั้ ให้อธษิ ฐานผ้า ซึ่งวธิ อี ธษิ ฐาน (ธรรมเนยี มโบราณ) ท่านใหย้ กผ้าใหมท่ บั ผ้า เกา่ แล้วกล่าวค�ำอธษิ ฐาน ว่าดังน้ี สงั ฆาฏ ิ ให้อธิษฐานวา่ อมิ ายะ สังฆาฏยิ า กะฐนิ ัง อธฏิ ฐามิฯ (3 จบ) จวี ร ใหอ้ ธษิ ฐานว่า อมิ ินา อุตตะราสังเคนะ กะฐนิ ัง อธฏิ ฐามิฯ (3 จบ) สบง ใหอ้ ธิษฐานว่า อิมนิ า อันตะระวาสะเกนะ กะฐนิ งั อธฏิ ฐามิฯ (3 จบ) การกรานกฐนิ พระภกิ ษอุ งคค์ รองกฐนิ หนั หนา้ ไปทางพระประธาน กราบพระประธาน องค์แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้ัง นะโม 3 ครั้ง แล้วว่ากรานกฐินให้สงฆ์ได้ยินทั่วกัน จะกรานผา้ สังฆาฏิ อุตตราสงค์ หรืออนั ตรวาสก ให้เลือกผ้าเพ่อื กรานผนื ใดผนื หน่ึงกอ่ น คำ� กรานวา่ ดังนี้ สงั ฆาฏ ิ ใหก้ รานวา่ อมิ ายะ สงั ฆาฏยิ า กะฐนิ งั อตั ถะรามฯิ (3 จบ) จวี ร ใหก้ รานวา่ อมิ นิ า อตุ ตะราสงั เคนะ กะฐนิ งั อตั ถะรามฯิ (3 จบ) สบง ใหก้ รานวา่ อมิ นิ า อนั ตะระวาสะเกนะ กะฐนิ งั อตั ถะรามฯิ (3 จบ) 48 ในวงเล็บ (อิตถันนามัสสะ) ให้ใส่ชอ่ื ผู้ครองกฐินแทน ค�ำอาราธนาต่างๆ 111
เม่ือกรานจะพึงท�ำอย่างไรด้วยจีวรนั้นท่านมิได้กล่าวไว้ แต่โดยอาการที่ ท�ำกันมา มือจับหรือลูบผ้าน้ันด้วย ในขณะเปล่งค�ำกรานนั้นๆ ครั้นกรานเสร็จแล้ว พงึ หันหนา้ มาหาสงฆท์ งั้ ปวง ประนมมอื กลา่ ววา่ อตั ถะตงั ภันเต กะฐนิ งั ธมั มิโก กะฐนิ ัตถาโร อะนโุ มทะถะฯ (3 จบ) จากนนั้ พระสงฆ์ทง้ั ปวงจะเปลง่ วาจาอนโุ มทนาว่า 123) คำ� อนโุ มทนากฐนิ อตั ถะตงั ภันเต49 สังฆสั สะ กะฐินัง ธัมมโิ ก กะฐนิ ตั ถาโร อะนุโมทามะ50 ฯ (กลา่ ว 3 จบ) 124) ค�ำชักผา้ ปา่ ทไ่ี มม่ ีเจ้าของ อทิ งั วัตถัง อสั สามกิ งั ปังสุกุละจวี ะรงั มัยหงั ปาปณุ าตฯิ ผา้ บงั สกุ ลุ จวี รอนั ไมม่ เี จา้ ของน้ี จงสำ� เรจ็ ประโยชนแ์ กข่ า้ พเจา้ ในกาลบดั นฯ้ี 125) คำ� ชักผา้ ป่าที่มีเจา้ ของ อิทงั วัตถัง สสั สามิกงั ปงั สกุ ุละจีวะรัง มัยหงั ปาปณุ าติฯ ผา้ บงั สกุ ุลจวี รอันมเี จ้าของน้ี จงส�ำเร็จประโยชน์แกข่ า้ พเจา้ ในกาลบดั นฯ้ี 126) ค�ำลาสิกขา สกิ ขัง ปจั จักขามิ คหิ ตี ิ มัง ธาเรถะฯ กระผมลาสิกขา ขอท่านทั้งหลาย จงจ�ำกระผมไวว้ ่า เปน็ คฤหสั ถ์ ณ บดั นีฯ้ (กลา่ ว 3 จบ) 49 สำ� หรบั พระภกิ ษทุ ม่ี พี รรษาแกก่ วา่ ผคู้ รองกฐนิ ใหพ้ ระภกิ ษเุ หลา่ นนั้ เปลย่ี นคำ� วา่ ภนั เต เปน็ อาวโุ ส 50 บางแห่งนยิ มใช้คำ� วา่ “อนโุ มทาม”ิ 112 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
ค�ำอาราธนาต่างๆ 113
หมวดท่ี 8 คำ� อาราธนาตา่ งๆ 114 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
127) วธิ ีบชู าพระรัตนตรัยกอ่ นน่งั ภาวนา ยะมะหงั สมั มาสมั พทุ ธงั , ภะคะวนั ตงั สะระณงั คะโต51 (คะตา), อมิ นิ า สกั กาเรนะ, ตงั ภะคะวันตงั อะภิปูชะยามิฯ ข้าพเจ้าบูชาบัดน้ี, ซ่ึงพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ, ซึ่งขา้ พเจา้ ถงึ , วา่ เปน็ ทพี่ ่ึง, กำ� จัดทกุ ข์ได้จริง, ดว้ ยสกั การะนีฯ้ ยะมะหัง ส๎วากขาตัง, ภะคะตา ธัมมัง สะระณัง คะโต(คะตา), อิมินา สกั กาเรนะ, ตัง ธัมมัง อะภปิ ูชะยามฯิ ข้าพเจ้าบูชาบัดนี้, ซึ่งพระธรรม, อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว, ซ่งึ ข้าพเจา้ ถึง, วา่ เปน็ ที่พ่งึ , ก�ำจัดภยั ไดจ้ ริง, ด้วยสกั การะนี้ฯ ยะมะหงั สปุ ะฏปิ นั นงั , สงั ฆงั สะระณงั คะโต(คะตา), อมิ นิ า สกั กาเรนะ, ตงั สงั ฆงั อะภปิ ูชะยามฯิ ขา้ พเจ้าบชู าบัดน้ี, ซง่ึ พระสงฆผ์ ู้ปฏบิ ัติดี, ซึ่งข้าพเจา้ ถึง, ว่าเป็นทพี่ ึ่ง, กำ� จัดโรคได้ จรงิ , ด้วยสกั การะน้ฯี อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ ภะคะวา, พทุ ธงั ภะคะวนั ตงั อะภวิ าเทมฯิ (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธมั มงั นะมัสสามิฯ (กราบ) สปุ ะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สังฆัง นะมามฯิ (กราบ) (น�ำ) หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะเสฯ (รบั ) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (กล่าว 3 จบ) 51 ท่านชายสวดวา่ “คะโต” ทา่ นหญงิ สวดว่า “คะตา” ค�ำอาราธนาต่างๆ 115
ค�ำขอขมาลาโทษ อุกาสะ, อัจจะโย โน ภันเต, อัจจัคคะมา, ยะถาพาเล, ยะถามุฬ๎เห52, ยะถาอะกุสะเล, เย มะยัง กะรมั หา, เอวัง ภันเต มะยงั , อจั จะโย โน, ปะฏคิ คัณหะถะ, อายะติง สังวะเรยยามะฯข้าพระพุทธเจ้าขอวโรกาส, ท่ีได้พลั้งพลาดด้วย กาย วาจา ใจ, ในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ,์ เพียงไร, แต่ขา้ พระพทุ ธเจ้า, เป็นคน พาลคนหลง, อกุศลเข้าสงิ จติ , ให้กระท�ำความผดิ , ต่อพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์, ขอพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์, จงงดความผดิ ทั้งหลายเหล่านนั้ , แกข่ ้าพระพทุ ธเจ้า, จ�ำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป, ข้าพระพุทธเจ้า, จักขอส�ำรวมระวัง, ซึ่งกาย วาจา ใจ, สบื ตอ่ ไปในเบื้องหน้าฯ คำ� อาราธนา อุกาสะ, ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนา, สมเด็จพระพุทธเจ้า, ท่ีได้ตรัสรู้ ล่วงไปแล้ว, ในอดีตกาล, มากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งส่ี, และสมเด็จพระพุทธเจ้า, อันจักได้ตรัสรู้, ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า, และสมเด็จพระพุทธเจ้า, ที่ได้ตรัสรู้, ในปัจจุบันนี้, ขอจงมาบังเกิด, ในจักขุทวาร โสตทวาร, ฆานทวาร ชิวหาทวาร, กายทวาร มโนทวาร, แห่งข้าพระพุทธเจ้า, ในกาลบัดเดย๋ี วน้ีเถิดฯ อุกาสะ, ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนา, พระนพโลกุตรธรรมเจ้า, 9 ประการ, ในอดีตกาลที่ล่วงลับไปแล้ว, จะนับจะประมาณมิได้, และพระนพโลกุตรธรรมเจ้า, 9 ประการ, ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า, และพระนพโลกุตรธรรมเจ้า, 9 ประการ, ในปัจจุบันน้ี, ขอจงมาบังเกิด, ในจกั ขทุ วาร โสตทวาร, ฆานทวาร ชวิ หาทวาร, กายทวาร มโนทวาร, แหง่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ , ในกาลบัดเดี๋ยวนเ้ี ถดิ ฯ 52 พงึ อ่านวา่ มุน-ละ-เห 116 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
คำ� อธษิ ฐาน ขอเดชคุณพระพุทธเจ้า, คุณพระธรรมเจ้า, คุณพระสงฆเจ้า, คุณครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ (ทา่ นผหู้ ญงิ วา่ คณุ ครบู าอาจารย)์ , อกี ทงั้ คณุ มารดาบดิ า, คณุ ทานบารมี ศลี บารม,ี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี, วิริยบารมี ขันติบารมี, สัจจบารมี อธิษฐานบารมี, เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี, ท่ีข้าพเจ้าได้บ�ำเพ็ญมา, นับต้ังแต่ร้อยชาติพันชาติ, หม่ืนชาติแสนชาติก็ดี, ท่ีข้าพเจ้าได้บ�ำเพ็ญมา, ในปัจจุบันนี้, ต้ังแต่เล็กแต่น้อย, จะระลกึ ไดก้ ด็ ี มริ ะลึกได้กด็ ี, ขอบุญบารมีทัง้ หลายเหลา่ นัน้ , จงมาชว่ ยประคับประคอง ข้าพเจา้ , ขอใหข้ ้าพระพุทธเจ้า, ได้ส�ำเร็จมรรคและผล, ในกาลปจั จุบนั นี้ เทอญฯ นิพพานะปจั จะโย โหตุฯ ค�ำใหพ้ รเป็นภาษาบาลเี ม่อื จะเลกิ นั่งสมาธิ สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง, อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส, (ส่วนน้ีเพ่ิมตามความเหมาะสม เต อัตถะลัทธา สุขิตา วิรุฬ๎หา พุทธะสาสะเน, อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิ ญาติภิ,) สพั พะพทุ ธานภุ าเวนะ, สพั พะธมั มานภุ าเวนะ, สพั พะสงั ฆานภุ าเวนะ, สะทา โสตถ,ี ภะวนั ตุ เตฯ (สาธชุ นรบั วา่ สาธ)ุ 128) ค�ำกลา่ วบูชาขา้ วพระ (นำ� ) หนั ทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะเสฯ (รับ) นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธัสสะฯ ( กลา่ ว 3 จบ) พุทธะรัตนะ, ธัมมะรัตนะ, สังฆะรัตนะ, ญาณะรัตนะ, ข้าพระพุทธเจ้า รวมใจ, บูชาดอกไม้ธูปเทียน, แด่บรมพุทธเจ้า, ในอดีตกาลที่ล่วงลับไปแล้ว, จะ นับจะประมาณมิได้, พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, ในอดีตกาลที่ล่วงลับไปแล้ว, จะนบั จะประมาณมิได,้ พุทธะรัตนะ, ธัมมะรัตนะ, สังฆะรัตนะ, ญาณะรัตนะ, ข้าพระพุทธเจ้า รวมใจ, บูชาดอกไมธ้ ูปเทียน, แด่บรมพทุ ธเจา้ , ในปจั จบุ นั น,้ี พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ,์ ในปจั จุบันน,้ี ค�ำอาราธนาต่างๆ 117
พทุ ธะรตั นะ, ธมั มะรตั นะ, สงั ฆะรตั นะ, ญาณะรตั นะ, ขา้ พระพทุ ธเจา้ รวมใจ, บชู า ดอกไมธ้ ูปเทยี น, แดบ่ รมพทุ ธเจ้า, ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า, พระพทุ ธ พระ ธรรม พระสงฆ์, ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหนา้ , อิมัง สูปะพยัญชนะ, สัมปันนัง, สาลีนัง, โภชะนัง, อุทะกัง วะรัง, พุทธัสสะ, ธัมมัสสะ, สังฆัสสะ, นิยยาเทมะฯ ข้าพระพุทธเจ้ารวมใจ, บูชาข้าวพระ, ท้งั หวานทั้งคาว, แดบ่ รมพทุ ธเจา้ , ในปจั จบุ ันน้ี, พทุ ธะรตั นะ, ธมั มะรตั นะ, สงั ฆะรตั นะ, ญาณะรตั นะ, ขา้ พระพทุ ธเจา้ รวมใจ, บชู า ขา้ วพระ, ทง้ั หวานทง้ั คาว, แดบ่ รมพทุ ธเจา้ , ในอดตี กาลทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ , จะนบั จะประมาณ มไิ ด,้ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ,์ ในอดตี กาลทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ , จะนบั จะประมาณมไิ ด,้ พุทธะรตั นะ, ธัมมะรัตนะ, สังฆะรัตนะ, ญาณะรตั นะ, ขา้ พระพุทธเจ้ารวมใจ, บชู าขา้ วพระ, ท้ังหวานทง้ั คาว, แดบ่ รมพทุ ธเจ้า, ในปัจจุบนั น,้ี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ,์ ในปัจจบุ นั น,้ี พทุ ธะรัตนะ, ธมั มะรัตนะ, สงั ฆะรตั นะ, ญาณะรัตนะ, ข้าพระพทุ ธเจา้ รวมใจ, บชู าขา้ วพระ, ทง้ั หวานทง้ั คาว, แดบ่ รมพุทธเจ้า, ในอนาคตกาลภายภาคเบ้ืองหนา้ , พระพทุ ธ พระธรรมพระสงฆ,์ ในอนาคตกาลภายภาคเบอื้ งหน้า, บุญใด, ทีข่ า้ พเจ้าท้งั หลาย, บชู าข้าวพระน,้ี ขอบุญนัน้ , จงดลบนั ดาลให,้ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย, ได้ประโยชน,์ ได้ความสขุ , ไดส้ �ำเรจ็ มรรคและผล, ในกาลปจั จุบนั นีเ้ ทอญ นิพพานะปจั จะโย โหตฯุ 129) คำ� ลาข้าวพระพุทธ เสสัง มงั คะลงั ยาจามิฯ 130) คำ� อาราธนาศลี 5 “เว้นจากฆ่าสัตว์ ลกั ทรพั ย์ กาเม พดู ปด เสพสุรา ๕ ข้อนีเ้ ทา่ นน้ั แหละ ในโลกไม่ ตอ้ งมคี กุ มีตาราง สบายอกสบายใจ ได้รับความเบิกบาน รม่ เย็นมาตลอดสาย บัดนเี้ รา ในวดั ภิกษุ สามเณรกใ็ หบ้ รสิ ุทธ์ิในศีล ๕ จริงๆ อุบาสกอุบาสกิ ากบ็ รสิ ทุ ธิ์ในศลี ๕ จรงิ ๆ จะไมไ่ ดท้ ะเลาะกนั เลย จะไมม่ บี าดหมางกนั เลย จะไมอ่ จิ ฉารษิ ยากนั เลย ถา้ อจิ ฉารษิ ยา 118 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
กันกเ็ รียกวา่ ไม่มศี ีล ๕ กนั แลว้ ละแก เลอะแลว้ ละ่ เหลวแลว้ ล่ะ น่ีใชไ้ ม่ได้อย่างน้ี อยา่ ง นใ้ี ช้ไม่ได”้ 53 มนุษย์ทุกคนมีส่ิงหนึ่งท่ีน่าภาคภูมิใจคือ เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถ ยับย้ังชั่งใจควบคุมมิให้ตนกระท�ำไปตามสัญชาติญาณหากส่ิงที่ปรารถนาจะกระท�ำนั้น จะน�ำมาซ่ึงบาปหรือความเสียหายตามมาภายหลัง ในขณะที่สัตว์ประเภทอื่นจะปล่อย ตัวปลอ่ ยใจทำ� ทกุ อยา่ งไปตามทสี่ ัญชาตญิ าณเรียกรอ้ งทั้งเรอื่ งดีและเรือ่ งไม่ดี ความแตก ตา่ งระหวา่ งมนษุ ยเ์ ราอยตู่ รงทใ่ี ครดงึ เอาความสามารถนม้ี าใชค้ วบคมุ ความประพฤตขิ อง ตวั เองใหอ้ ยู่ในกรอบของศลี ธรรมไดม้ ากกวา่ กนั มนุษย์ทุกคนไมว่ ่าเช้ือชาติ ศาสนา หรอื เผ่าพนั ธใุ์ ดตา่ งตอ้ งการความสงบสขุ และ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ท่ีท�ำงาน หรือที่ไหนๆ ในโลก เพยี งทกุ คนรักษาศีลห้าให้บรสิ ทุ ธ์ไิ ด้ถงึ ระดบั จิตใจคือความรู้สึกนึกคิด แค่น้กี ารทะเลาะ เบาะแวง้ กระทบกระทง่ั ตงั้ แตร่ ะดบั วาจาไปจนถงึ การตอ่ สใู้ ชค้ วามรนุ แรงกจ็ ะหมดไปเอง แมน้ จะเปน็ ความจรงิ ทวี่ า่ เราไมส่ ามารถบงั คบั ใหค้ นอน่ื เปน็ เชน่ นน้ั เชน่ นไ้ี ด้ แตส่ ง่ิ ทมี่ นษุ ย์ ทกุ คนทำ� ได้คือ เพียงแค่เราทกุ คนตา่ งท�ำหนา้ ที่ดูแลรกั ษาใจตวั เองเพียงดวงเดียว ยบั ย้งั ความคุมกายวาจาใจของเราใหอ้ ยู่ในศลี ห้า เราไม่จ�ำเป็นตอ้ งบรรลุธรรมข้ันสงู เปน็ มหา เศรษฐี หรอื มีช่อื เสียงโดง่ ดงั ก็สามารถเปล่ียนแปลงสง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั ได้ โดยเรม่ิ จาก ตวั เราเองเป็นคนแรก เม่อื เราปรับปรุงส่งิ แวดล้อมภายในของเรา สงิ่ แวดลอ้ มภายนอกก็ จะดขี ึ้นเอง หวั ใจของการรกั ษาศลี อยทู่ ก่ี ารรกั ษาใจใหส้ ะอาดบรสิ ทุ ธิ์ ดว้ ยการทำ� ความสะอาด ใจและเตมิ พลงั ใจใหต้ วั เองอยเู่ นอื งๆ ดว้ ยการสวดมนตแ์ ละนงั่ สมาธเิ ปน็ ประจำ� เพราะคน จะพดู โกหก นนิ ทา หรือแทงข้างหลงั คนอน่ื ต้องไมม่ ีความสขุ กอ่ น พดู งา่ ยๆ ใจเขาต้อง ขุ่นก่อน คนท่ีมีความสุขใจ จะไม่มีอารมณ์ไปท�ำร้ายใครเลย คนเราจะคิดท�ำร้ายตัวเอง หรือผู้อนื่ ได้ ต้องใจขนุ่ ก่อน ตอ้ งทุกขก์ ่อน ตอ้ งรอ้ นดว้ ยโลภ โกรธ หรอื หลงกอ่ นจึงจะ ท�ำชั่วได้ ดงั นั้นเพียงเราต่างรบั ผิดชอบท�ำความสะอาดใจของตวั เองอยู่ตลอดเวลาเพยี ง ดวงเดยี ว กไ็ ดช้ ื่อวา่ เราได้มสี ว่ นรบั ผดิ ชอบต่อโลกและสังคมท่เี ราอย่แู ล้ว แน่นอนวา่ การ ทำ� ความดีเชน่ รกั ษาศลี มิใช่ง่ายหรือสะดวกสบายเสมอไปในสงั คมปจั จบุ นั แต่ความยาก ความท้าทา้ ยจะท�ำใหเ้ ราฉลาดขึ้น คุณธรรมของเราแกรง่ ขน้ึ และเปน็ ทางมาแหง่ บารมี 53 พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ๒๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๔๙๙ จากพระธรรมเทศนาเรอ่ื ง “หิรโิ อตตปั ปะ ค�ำอาราธนาต่างๆ 119
ตา่ งๆ เชน่ สติ ปญั ญา ความอดทนอดกล้นั เมตตากรุณา ฯลฯ วธิ ีท่งี ่ายทสี่ ุดคอื ฝกึ วางใจ ไว้ทศี่ ูนยก์ ลางกายเป็นประจำ� การคดิ พดู ฟงั จากศนู ย์กลางกายจะช่วยให้เราอารมณ์ เยน็ มสี ติ รู้เท่าทันกเิ ลสตวั เองและยับยั้งไว้ได้ เกดิ ความคิดสร้างสรรค์ สมองปลอดโปร่ง หนา้ ตาผอ่ งใส เป็นต้น กลา่ วไดว้ า่ การรกั ษาศลี หา้ คอื การเคารพในความเปน็ มนษุ ยข์ องเราเอง และเปน็ การ แสดงออกถึงความเคารพในสิทธมิ นษุ ย์ชนของเพอ่ื นร่วมโลก เวน้ จากการทำ� ร้ายตัวเอง และทำ� รา้ ยผอู้ น่ื ใหท้ กุ ขก์ ายทกุ ขใ์ จ ผมู้ คี ณุ ธรรมความเคารพดงั กลา่ วยอ่ มมองการณไ์ กล มิใช่แคเ่ อาตวั รอดไดใ้ นชาตนิ ี้แตร่ อดตวั ในชาติตอ่ ๆ ไปด้วย เขาเลอื กรักษาศลี ห้าท้งั ยาม สบายและในยามล�ำบาก เชน่ ยอมสูญเสยี เวลา โอกาส ความสะดวกสบาย รายไดห้ รอื ผล ประโยชน์ และแมก้ ระทงั่ ชีวติ เพราะเขารดู้ ีว่าการรักษาศีลห้าได้ครบบรบิ ูรณ์เท่าน้นั จะ เป็นเคร่ืองการันตีได้ว่า เขาจะไม่ตกนรก แต่จะได้ทิพย์สมบัติบังเกิดในสรวงสวรรค์ ได้ กลับมาเกดิ เปน็ มนษุ ยอ์ ีกและมีโอกาสบรรลมุ รรคผลนพิ พาน ศีลเป็นเคร่ืองมือท่ีให้อ�ำนาจเราออกแบบชีวิตโชคชะตาให้เป็นไปตามเหตุที่ เราสรา้ งไว้ ตวั อยา่ งผลดีมากมายของการรักษาศีลทเี่ ห็นได้ชัดๆ ในชาติปจั จุบันนี้ อย่าง เชน่ ผ้รู กั ษาศลี ขอ้ 4 ไดบ้ รสิ ทุ ธเิ์ ปน็ ปรติ คือมคี วามจรงิ ใจกบั ทกุ คน พดู อย่างไรท�ำอย่าง น้นั รักษาคำ� พดู ทุกเรื่องตงั้ แต่เรอ่ื งเล็กๆ ทีไ่ มส่ �ำคัญ ไปจนถงึ เร่ืองใหญ่ๆ ที่ส�ำคญั ไม่พูด โกหก ไม่พูดค�ำหยาบ ไมพ่ ดู สอ่ เสียดยใุ หค้ นแตกกัน ไมพ่ ดู นนิ ทาวา่ รา้ ยลบั หลงั ไมพ่ ิมพ์ หรือเขียนโพสข้อความเทจ็ หรอื ขอ้ ความจรงิ ทีท่ ำ� ลายช่ือเสียงอนาคตผ้อู ื่น เพยี งข้อนีข้ อ้ เดยี วกช็ ว่ ยใหก้ ารกระทบกระท่ังในหมู่คณะ ในบ้าน ในสงั คมหายวบั ไปได้เยอะแลว้ ผู้ รกั ษาศลี หา้ เป็นประจ�ำจะเป็นทร่ี กั ของมนษุ ย์และเทวา อยอู่ ยา่ งปลอดภัย สบายใจ ไม่ ต้องคอยระแวงวา่ ใครจะมาทำ� ร้ายคนื ไมต่ อ้ งตามจ�ำเร่ืองโกหกหรอื เล่นละครตบตาใคร อกี ทง้ั ยังมชี อ่ื เสยี งอนั ดงี ามเป็นทโี่ จษจนั วา่ เป็นผู้กลา่ วแต่ความจรงิ และรักษาคำ� พูด เป็น ผู้น่าเช่ือถือไว้วางใจและน่าเคารพย�ำเกรง ผู้ท่ีพูดอย่างท่ีท�ำและท�ำอย่างท่ีพูด แม้ศัตรู ผู้ไม่ประสงค์ดียังเกรง ผู้ไม่กล่าวเท็จเป็นปรกติแม้อายุมากแล้วเช่น 80 ปีขึ้นไป ก็ยังมี สติสมั ปชญั ญะความทรงจำ� ดีไมเ่ ลอะเลอื น นีเ้ ปน็ เพยี งผลบญุ เล็กน้อยจากการเคารพคำ� พูดของตัวเองเป็นปรกติ ตรงกันข้ามผู้รักษาศีลข้อ 4 ตามอารมณ์และสิ่งแวดล้อม คือ รักษาบ้างไม่รักษาบ้างเอาความสะดวกเป็นใหญ่เอาความถูกต้องเป็นรอง ย่อมไม่ได้รับ ความเช่ือถอื ไว้วางใจ เพราะเอาแน่เอานอนไมไ่ ด้ และอาจมีศตั รขู ้ามชาตทิ เ่ี ดียว ผมู้ โี รค 120 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
เกี่ยวกับปาก-ฟัน-คอ หรือมีกลิ่นปากแรงรักษาไม่หาย หรือถูกกล่ันแกล้งด้วยค�ำพูดอยู่ เรื่อยๆ ฟอ้ งวา่ ชาตทิ ี่แล้วศลี ขอ้ 4 บกพรอ่ ง โลกมนษุ ยอ์ ยไู่ ดด้ ว้ ยการให้ ทกุ อยา่ งทเ่ี ราใหไ้ ป เราจะไดก้ ลบั คนื มาทงั้ หมด ทง้ั บญุ ความปลอดภัย ชอ่ื เสยี งอนั ดีงาม มติ รภาพ ความสำ� เร็จ สขุ ภาพ ทรัพย์สมบัตแิ ละความ ปลอดโปรง่ สบายใจ ศลี ขอ้ 1) ฝกึ ให้เรามีความเมตตา กรณุ า อดทน อดกลนั้ เป็นการใหค้ วามปลอดภัย ในชีวติ ของผอู้ ่ืน ศีลข้อ 2) ฝกึ ใหเ้ ราซ่อื สตั ย์ ไม่โลภ ไม่โกง ไม่อิจฉา ไม่เอาเปรยี บใคร เปน็ การให้ ความปลอดภยั ในทรัพย์สินของผอู้ ื่น ศีลขอ้ 3) ฝึกใหเ้ รายับย้ังชง่ั ใจไมย่ อมตกเปน็ ทาสของอารมณ์ทางเพศ เป็นการให้ ความปลอดภัยสบายใจกบั ผู้อน่ื ป้องกนั การระแวงและโรคตดิ ต่อ ศลี ขอ้ 4) ฝกึ ให้เราตรงต่อเวลา รักษาคำ� พดู มสี ติคิดกอ่ นพดู มีเมตตากรุณา อดทน อดกล้ัน เป็นการให้ความสบายใจ และความปลอดภยั ในชวี ิตและชื่อเสียงของผอู้ ื่น ศลี ขอ้ 5) ฝกึ ใหเ้ รามสี ตแิ ละกำ� ลงั ใจไมย่ อมตกเปน็ ทาสของสง่ิ เสพตดิ และอบายมขุ ทกุ ชนดิ เปน็ การใหค้ วามสบายใจและความปลอดภยั ในชวี ติ สขุ ภาพและชอื่ เสยี งของตวั เองและผู้อน่ื การรกั ษาศลี ไมข่ นึ้ อยกู่ บั วนั เวลาบคุ คลอนื่ หรอื สถานการณ์ สถานการณม์ ไิ ดบ้ งั คบั ใหใ้ ครทำ� ชว่ั หรอื ทำ� ดี แตส่ ถานการณเ์ ผยใหเ้ หน็ วา่ เราสามารถยบั ยงั้ ชง่ั ใจตวั เองไดด้ ขี นาด ไหน เราเปน็ คนดรี ะดบั ไหน จดุ ออ่ นของเราคอื อะไร เราควรปรบั ปรงุ ตวั เองตรงไหน ลกึ ๆ แลว้ เราเปน็ คนอยา่ งไร และเราเคารพความเปน็ มนษุ ยข์ องเราขนาดไหน แมว้ า่ เราจะแกไ้ ข อดีตที่ผิดพลาดไม่ได้แต่เราท�ำอนาคตให้สวยงามได้ ด้วยการรักษาศีลห้าให้ดีที่สุดวันนี้ เพยี งวนั ต่อวัน ทุกๆวนั เพียงแคน่ ้ีเราก็สามารถเปลีย่ นชีวติ โชคชะตาของเราให้เปน็ ไปได้ พระภิกษุปาฏิโมกข์ 121
อยา่ งที่ใจปรารถนา เพราะทุกอยา่ งข้ึนอย่กู บั เรา ดงั ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าตรัสไวว้ ่า “ใจคือผู้น�ำ ใจคอื ผู้กระทำ� ความส�ำเรจ็ ขึน้ อยู่ทใี่ จ” “อุบาสกอุบาสกิ า เรียกว่า อปุ าสโก แปลวา่ ผูเ้ ข้าใกล้ แปลวา่ ผมู้ ่นั อย่ใู นศีล ๕ ม่นั อยูใ่ นพระรตั นตรัย” พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ๒๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๔๙๙ 131) คำ� กล่าวนำ� ก่อนอาราธนาศลี บัณฑิตท้ังหลายกล่าวว่า ศีลเป็นเบ้ืองต้น เป็นท่ีต้ัง เป็นบ่อเกิดแห่ง คุณความดีท้ังหลาย และเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง บุคคลใดช�ำระศีล ให้บริสุทธ์ิแล้ว จะเป็นเหตุให้เว้นจากความทุจริต จิตจะร่าเริงแจ่มใส และเป็น ทา่ หยง่ั ลงมหาสมุทร คือนิพพาน ดังนั้น ขอเรยี นเชญิ ทกุ ท่าน พึงตั้งใจ กลา่ วคำ� อาราธนาศลี โดยพรอ้ มเพรยี งกัน มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะฯ ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สลี านิ ยาจามะฯ ตะติยมั ปิ มะยงั ภนั เต วิสุง วสิ งุ รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปญั จะ สีลานิ ยาจามะฯ เมือ่ คฤหัสถ์อาราธนาศลี 5 แล้ว พระภิกษุพึงกล่าวใหศ้ ีลดังนี้ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พุทธสั สะฯ (กลา่ ว 3 จบ) พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิฯ ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามฯิ สงั ฆัง สะระณงั คัจฉามฯิ ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิฯ 122 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิฯ ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิฯ ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิฯ พระภิกษพุ ึงกลา่ วว่า ตสิ ะระณะคะมะนงั นิฏฐติ ังฯ คฤหสั ถพ์ งึ ตอบรับว่า อามะ ภันเตฯ 1. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ (ข้าพเจ้าขอสมาทาน สิกขาบท คือเจตนาละเว้นจากการฆ่าการท�ำร้ายมนุษย์และสัตว์ ท้ังท�ำด้วยตัวเองและ ใช้ผ้อู ืน่ ท�ำ) 2. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ (ข้าพเจ้าขอสมาทาน สกิ ขาบท คอื เจตนาละเวน้ จากการทจุ รติ และขโมยทกุ ชนดิ ทงั้ เวลา ความคดิ และทรพั ยส์ นิ ) 3. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ (ขา้ พเจา้ ขอสมาทาน สิกขาบท คอื เจตนาละเว้นจากการมคี วามสัมพันธ์ทางกายกับผมู้ ใิ ช่ภรรยาหรือสาม)ี 4. มสุ าวาทา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ (ขา้ พเจา้ ขอสมาทานสกิ ขาบท คอื เจตนาละเวน้ จากการโกหก ส่อเสียด นินทา หลอกลวง หรอื ท�ำรา้ ยผอู้ ่ืนดว้ ยคำ� พูด) 5. สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ (ขา้ พเจา้ ขอสมาทานสกิ ขาบท คือเจตนาละเวน้ จากอบายมุขและการดืม่ หรือเสพของมึนเมาและ สิ่งเสพตดิ ทุกชนดิ ) พระภกิ ษุพงึ กล่าวสรุปว่า อมิ านิ ปญั จะ สกิ ขาปะทาน,ิ สเี ลนะ สคุ ะตงิ ยนั ต,ิ สเี ลนะ โภคะสมั ปะทา, สเี ลนะ นพิ พตุ ิง ยันติ, ตสั ๎มา สลี งั วโิ สธะเยฯ คฤหสั ถ์พงึ รับวา่ “สาธ”ุ แลว้ กราบ 3 ครงั้ พระภิกษุปาฏิโมกข์ 123
132) คำ� อาราธนาศีล 8 มะยัง ภันเต, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะฯ ทุตยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, อฏั ฐะ สีลานิ ยาจามะฯ ตะตยิ ัมปิ มะยัง ภนั เต, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สลี านิ ยาจามะฯ เมื่อคฤหัสถ์อาราธนาศลี 8 แล้ว พระภกิ ษุพงึ ให้ศีลดงั นี้ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธัสสะฯ (กล่าว 3 จบ) พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามฯิ สังฆงั สะระณัง คจั ฉามฯิ ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิฯ ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิฯ ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิฯ ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิฯ พระภกิ ษุพึงกล่าวว่า ติสะระณะคะมะนงั นิฏฐติ งั ฯ คฤหสั ถ์พึงตอบรับว่า อามะ ภันเตฯ 1. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ (ข้าพเจ้าขอสมาทาน สิกขาบท คอื เจตนาเป็นเคร่อื งเวน้ จากการฆา่ ) 2. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ (ข้าพเจ้าขอสมาทาน สิกขาบท คอื เจตนาเป็นเครือ่ งเวน้ จากการถือเอาส่งิ ของทีเ่ จา้ ของไม่ไดใ้ ห้แลว้ ) 3. อะพ๎รหั ม๎ ะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามฯิ (ข้าพเจา้ ขอสมาทาน สกิ ขาบท คอื เจตนาเป็นเคร่อื งเว้นจากการกระทำ� อันมิใช่พรหมจรรย์) 4. มสุ าวาทา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ (ขา้ พเจา้ ขอสมาทานสกิ ขาบท คอื เจตนาเปน็ เครอื่ งเวน้ จากการพูดไม่จรงิ ) 124 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
5. สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ (ขา้ พเจา้ ขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการเสพของเมา มีสุรา และเมรัย เป็นตน้ อนั เป็นทตี่ ้ังของความประมาท) 6. วิกาละโภชะนาเวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ (ข้าพเจ้าขอสมาทาน สิกขาบท คือ เจตนาเป็นเคร่ืองเวน้ จากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวิกาล) 7. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะมาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ (ข้าพเจ้าขอสมาทาน สิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้น จากการฟ้อนร�ำ, การขับเพลงการดนตรี, การดูการละเลน่ ชนิดเปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ กศุ ล, การทัดทรงสวมใส,่ การประดับการตกแตง่ ตน ด้วยพวงมาลา ด้วยเคร่อื งหอมและเครอ่ื งผัดทา) 8. อจุ จาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามฯิ (ขา้ พเจ้า ขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเคร่ืองเว้นจากการน่ัง การนอนบนที่นอนสูงและ ทน่ี อนใหญ)่ พระภกิ ษุพงึ กล่าวสรุปว่า อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ, สีเลนะ สุคะติง ยันติ, สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สีเลนะ นิพพุติง ยันติ, ตัสม๎ า สีลัง วโิ สธะเยฯ คฤหสั ถ์พงึ รบั วา่ “สาธุ” แล้วกราบ 3 ครัง้ 133) คำ� อาราธนาอโุ บสถศลี มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ อฏั ฐังคะสะมันนาคะตงั อุโปสะถัง ยาจามะฯ ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อโุ ปสะถงั ยาจามะฯ ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถงั ยาจามะฯ เม่อื คฤหัสถอ์ าราธนาอุโบสถศลี แล้ว พระภกิ ษพุ งึ กลา่ วให้ตามศีล 8 ขา้ งต้น และ พงึ กล่าวนำ� ตอ่ จากศีลข้อที่ 8 ดังน้วี า่ อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง, พุทธะปัญญัตตัง อุโปสะถัง, อิมัญจะ รัตติง อมิ ัญจะ ทวิ ะสัง, สมั มะเทวะ อะภิรักขติ งุ สะมาทยิ ามฯิ พระภิกษุพึงกลา่ วสรปุ ว่า พระภิกษุปาฏิโมกข์ 125
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ, อุโปสะถะสีละวะเสนะ, สาธุกัง กัต๎วา, อัปปะมาเทนะ รักขิตัพพานิฯ สีเลนะ สุคะติง ยันติ, สีเลนะ โภคะสัมปะทา, สเี ลนะ นิพพตุ ิง ยนั ต,ิ ตัสม๎ า สลี ัง วโิ สธะเยฯ 134) ค�ำอาราธนาสวดพระปริตร วิปัตติปะฏพิ าหายะ สัพพะสมั ปตั ตสิ ิทธยิ า, สัพพะทุกขะวนิ าสายะ ปะรติ ตงั พ๎รูถะ มงั คะลังฯ สัพพะสัมปัตติสทิ ธิยา, วิปัตตปิ ะฏพิ าหายะ ปะริตตัง พร๎ ถู ะ มังคะลงั ฯ สัพพะภะยะวินาสายะ สพั พะสมั ปัตติสทิ ธยิ า, ปะริตตงั พ๎รูถะ มงั คะลังฯ วิปัตตปิ ะฏพิ าหายะ สัพพะโรคะวินาสายะ 135) คำ� อาราธนาแสดงธรรม พร๎ หั ม๎ า จะ โลกาธปิ ะตี สะหมั ปะต,ิ กตั อญั ชะลี อนั ธวิ ะรงั อะยาจะถะ, สนั ตธี ะ สตั ตาปปะระชกั ขะชาตกิ า, เทเสตุ ธมั มงั อะนกุ มั ปิมงั ปะชงั ฯ 136) คำ� ถวายข้าวพระพุทธ (ตง้ั นะโม 3 จบ) อมิ งั สปู ะพย๎ ญั ชะนะสมั ปนั นงั สาลนี งั โภชะนงั อทุ ะกงั วะรงั พทุ ธสั สะ ธมั มสั สะ สังฆัสสะ ปเู ชมิฯ 137) ปิณฑะปาตะธาตุปฏิกลู ะปจั จะเวกขะณะปาโฐ (น�ำ) หันทะ มะยัง ปิณฑะปาตะธาตุปฏิกูลละปัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะเสฯ (รับ) ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง ยะทิทัง ปิณฑะ- ปาโต, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล ธาตุมัตตะโก นิสสัตโต นิชชีโว สุญโญ, สัพโพ ปะนายัง ปิณฑะปาโต อะชิคุจฉะนีโย, อิมัง ปูติ กายัง ปัต๎วา อะติวิยะ ชิคุจฉะนโี ย ชายะตฯิ 126 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
สิ่งเหล่านี้ เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่าน้ัน ก�ำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย อยู่เนืองนิจ สิ่งเหล่าน้ี คือ บิณฑบาต และผู้บริโภคบิณฑบาตน้ัน เป็นสักว่าธาตุ ตามธรรมชาติ มิได้เป็นสัตวะอันย่ังยืน มิได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล ว่างเปล่า จากความหมายแห่งความเป็นตัวตนก็บิณฑบาตท้ังหมดนี้ ไม่เป็นของน่าเกลียดมา แต่เดิมครั้นมาถูกเข้ากับกาย อันเน่าอยู่เป็นนิจน้ีแล้ว ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียด อยา่ งยิ่งไปด้วยกันฯ 138) ค�ำอธิษฐานเมอื่ จบของต่างๆ ถวายพระ สทุ นิ นัง วะตะ เม ทานัง, อาสะวกั ขย๎ าวะหัง โหตฯุ ขอผลแหง่ ทานทขี่ า้ พเจา้ ใหด้ แี ลว้ หนอ จงเปน็ เครอ่ื งกำ� จดั อาสวะกเิ ลสออกไปจาก ใจของขา้ พเจ้าดว้ ยเทอญฯ 139) ค�ำสมาทานยถาสันถติกงั คธดุ งควัตร เสนาสะนะโลลปุ ปัง, ปะฏกิ ขิปาม,ิ ยะถาสันถะตกิ ังคงั , สะมาทยิ ามิฯ ข้าพเจ้าขอสมาทานธุดงค์, องค์แห่งที่อยู่อาศัย, ตามแต่เจ้าหน้าท่ีจัดให้, เปน็ วตั รปฏิบตั ฯิ ทุติยัมปิ, เสนาสะนะโลลุปปัง, ปะฏิกขิปามิ, ยะถาสันถะติกังคัง, สะมาทยิ ามฯิ ข้าพเจ้าขอสมาทานธุดงค์, องค์แห่งท่ีอยู่อาศัย, ตามแต่เจ้าหน้าที่จัดให้, เปน็ วตั รปฏบิ ัต,ิ แม้ครั้งท่ี 2ฯ ตะติยัมปิ, เสนาสะนะโลลุปปัง, ปะฏิกขิปามิ, ยะถาสันถะติกังคัง, สะมาทยิ ามิฯ ข้าพเจ้าขอสมาทานธุดงค์, องค์แห่งท่ีอยู่อาศัย, ตามแต่เจ้าหน้าที่จัดให้, เปน็ วตั รปฏบิ ัต,ิ แมค้ ร้ังที่ 3ฯ พระภิกษุปาฏิโมกข์ 127
140) คำ� ลายถาสนั ถตกิ ังคธดุ งควัตร เสนาสะนะโลลุปปัง, ปะฏกิ ขปิ าม,ิ ยะถาสนั ถะติกงั คงั , ปัจจทุ ธะรามฯิ ขา้ พเจา้ ขอลาธดุ งค,์ องคแ์ หง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั , ตามแตเ่ จา้ หนา้ ทจ่ี ดั ให,้ เปน็ วตั รปฏบิ ตั ฯิ ทุติยัมปิ, เสนาสะนะโลลุปปัง, ปะฏิกขิปามิ, ยะถาสันถะติกังคัง, ปจั จุทธะรามิฯ ข้าพเจ้าขอลาธุดงค์, องค์แห่งที่อยู่อาศัย, ตามแต่เจ้าหน้าท่ีจัดให้, เป็นวตั รปฏบิ ตั ิ, แมค้ รั้งที่ 2ฯ ตะติยัมปิ, เสนาสะนะโลลุปปัง, ปะฏิกขิปามิ, ยะถาสันถะติกังคัง, ปจั จุทธะรามฯิ ข้าพเจ้าขอลาธุดงค์, องค์แห่งที่อยู่อาศัย, ตามแต่เจ้าหน้าที่จัดให้, เปน็ วตั รปฏิบัติ, แมค้ รัง้ ท่ี 3ฯ 141) ค�ำกล่าวแสดงตนเป็นพุทธมามะกะ เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง, สะระณัง คัจฉามะ, ธัมมัญจะ สังฆญั จะ, พทุ ธมามะกาติโน, สังโฆ ธาเรตุฯ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ นั้น, แม้เสด็จปรินิพพานไปนานแล้ว, กับทั้งพระธรรม, และพระสงฆ์, ว่าเป็นท่ีพึ่ง, ที่ระลึกอันสูงสุด, ขอพระสงฆ์, โปรดจ�ำข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า, เป็นพุทธมามะกะ, ผ้ถู ึงพระรตั นตรัย, เป็นสรณะตลอดชีวติ , ต้งั แตบ่ ดั นี้, ข้าพเจ้าทง้ั หลาย, จะปฏบิ ัตติ น, มี ศรทั ธาในพระรตั นตรยั , ตง้ั ใจรกั ษาศลี , ไมเ่ ชอื่ ถอื มงคลตน่ื ขา่ ว, ไมแ่ สวงบญุ นอกพระพทุ ธ ศาสนา, หมนั่ สร้างบญุ กศุ ล, ในพระพุทธศาสนา, ตลอดกาลนานเทอญฯ 128 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
142) คำ� ขอฝากตวั เปน็ ศษิ ย์ หนั ทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการงั กะโรมะเสฯ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะฯ ( 3 จบ) อาจะริโย เม ภนั เต โหหิฯ อาจะรโิ ย เม ภนั เต โหหฯิ อาจะรโิ ย เม ภนั เต โหหฯิ อัชชะตัคเคทานิ เถโร, มัยหงั ภาโร, อะหมั ปิ เถรสั สะ ภาโรฯ อัชชะตคั เคทานิ เถโร, มัยหงั ภาโร, อะหมั ปิ เถรสั สะ ภาโรฯ อัชชะตัคเคทานิ เถโร, มัยหัง ภาโร, อะหัมปิ เถรสั สะ ภาโรฯ ด้วยการกล่าวค�ำสัตย์น้ี, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบกายถวายชีวิต, ให้อยู่ใน ความดูแล, ของพระอาจารย์, และคณะสงฆ์, ได้โปรดเมตตา, ให้การอบรมส่ังสอน, แก่ข้าพเจ้าท้ังหลาย, เพ่ือความเจริญรุ่งเรือง, ในการศึกษา, ในการด�ำเนินชีวิต, ท้ังภพ ชาตินี้, ชาตหิ น้า, และเพ่ือประโยชน์, แก่การทำ� ให้แจง้ ซึ่งพระนพิ พาน, ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย, ในปัจจุบันชาติน้เี ทอญฯ (กราบ 3 ครง้ั ) พระภิกษุปาฏิโมกข์ 129
143) คำ� ขอบวช ส�ำหรบั อบุ าสิกาแกว้ เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง, สะระณัง คัจฉามิ, ธมั มญั จะ ภกิ ขสุ งั ฆญั จะ, อปุ าสกิ งั มงั , สงั โฆ ธาเรต,ุ อชั ชะตคั เค ปาณเุ ปตงั , สะระณงั คะตงั . ทุติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง, สะระณัง คัจฉามิ, ธมั มญั จะ ภกิ ขสุ งั ฆญั จะ, อปุ าสกิ งั มงั , สงั โฆ ธาเรต,ุ อชั ชะตคั เค ปาณเุ ปตงั , สะระณงั คะตงั . ตะตยิ มั ปาหัง ภนั เต, สจุ ิระปะรนิ พิ พุตมั ปิ, ตัง ภะคะวนั ตงั , สะระณัง คัจฉาม,ิ ธัมมญั จะ ภิกขสุ ังฆัญจะ, อปุ าสกิ งั มัง, สงั โฆ ธาเรตุ, อชั ชะตคั เค ปาณเุ ปตัง, สะระณงั คะตัง. ค�ำแปล ข้าแต่ท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าขอถึง, สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า, แม้เสด็จดับ ขันธปรินิพพานนานมาแล้ว, กับทั้งพระธรรม, และพระสงฆ์, ว่าเป็นที่พ่ึง, ท่ีระลึก, ขอพระสงฆ์, จงจ�ำข้าพเจ้าไว้ว่า, เป็นอุบาสิกาแก้ว, ในพระพุทธศาสนา, ผู้ถึง พระรตั นตรยั , วา่ เป็นสรณะตลอดชีวิต, ต้งั แตบ่ ดั น้เี ป็นตน้ ไป แม้คร้ังที่2, ข้าพเจ้าขอถึง, สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า, แม้เสด็จดับ ขันธปรินิพพานนานมาแล้ว, กับท้ังพระธรรม, และพระสงฆ์, ว่าเป็นท่ีพ่ึง, ที่ระลึก, ขอพระสงฆ์, จงจ�ำข้าพเจ้าไว้ว่า, เป็นอุบาสิกาแก้ว, ในพระพุทธศาสนา, ผู้ถึง พระรัตนตรัย, ว่าเป็นสรณะตลอดชวี ติ , ต้ังแตบ่ ดั น้ีเปน็ ตน้ ไป แม้คร้ังที่3, ข้าพเจ้าขอถึง, สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า, แม้เสด็จดับ ขันธปรินิพพานนานมาแล้ว, กับท้ังพระธรรม, และพระสงฆ์, ว่าเป็น ทพี่ ึง่ , ท่ีระลึก, ขอพระสงฆ,์ จงจ�ำข้าพเจา้ ไว้วา่ , เป็นอบุ าสกิ าแก้ว, ในพระพุทธศาสนา, ผ้ถู ึงพระรัตนตรยั , ว่าเป็นสรณะตลอดชีวิต, ต้งั แต่บดั นีเ้ ป็นตน้ ไป 130 หนังสือสวดมนต์ ฉบับยุโรป
148) พระภิกขปุ าฏิโมกข์ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะฯ (3 จบ) สณุ าตุ เม ภันเต สังโฆ, อัชชุโปสะโถ ปณั ณะระโส,54 ยะทิ สังฆัสสะ ปตั ตะกลั ลงั สงั โฆ อโุ ปสะถงั กะเรยยะ, ปาฏิโมกขงั อทุ ทิเสยยะฯ กิง สังฆัสสะ ปุพพะกิจจัง, ปาริสุทธิง อายัส๎มันโต อาโรเจถะ, ปาฏิโมกขัง อุททิสิสสามิฯ ตัง สัพเพวะ สันตา สาธุกัง สุโณมะ มะนะสิกะโรมะฯ ยัสสะ สิยา อาปัตต,ิ โส อาวกิ ะเรยยะ, อะสันตยิ า อาปัตตยิ า ตณุ ๎หี ภะวิตพั พงั ฯ ตณุ ๎หี ภาเวนะ โข ปะนายส์มันเต ปะริสุทธาติ เวทิสสามิฯ ยะถา โข ปะนะ ปัจเจกปุฏฐัสสะ เวยยากะระณงั โหต,ิ เอวะเมวงั เอวะรปู ายะ ปะรสิ ายะ ยาวะตะตยิ งั อะนสุ สาววติ งั โหตฯิ โย ปะนะ ภิกขุ ยาวะตะติยัง อะนุสสาวิยะมาเน สะระมาโน สันติง อาปัตติง นาวิกะเรยยะ, สัมปะชานะมุสาวาทัสสะ โหติ, สัมปะชานะมุสาวาโท โข ปะนายัส๎มันโต อันตะรายิโก ธัมโม วุตโต ภะคะวะตา, ตัส์มา สะระมาเนนะ ภิกขุนา อาปนั เนนะ วสิ ทุ ธาเปกเขนะ สนั ตี อาปตั ติ อาวกิ าตพั พาฯ อาวกิ ะตา หสิ สะ ผาสุ โหตฯิ นิทานงั นฏิ ฐิตงั ตตั ร๎ เิ ม จัตตาโร ปาราชิกา ธัมมา อทุ เทสงั อาคจั ฉนั ตฯิ 1. โย ปะนะ ภิกขุ ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปันโน สิกขัง อัปปัจจักขายะ ทพุ พัลย๎ งั อะนาวิกัต๎วา เมถนุ ัง ธัมมัง ปะฏเิ สเวยยะ อนั ตะมะโส ติรจั ฉานะคะตายะปิ, ปาราชโิ ก โหติ อะสังวาโสฯ 2. โย ปะนะ ภิกขุ คามา วา อะรัญญา วา อะทินนัง เถยยะสังขาตัง อ า ทิ เ ย ย ะ , ย ะ ถ า รู เ ป อ ะ ทิ น น า ท า เ น ร า ช า โ น โจ รั ง ค ะ เ ห ต๎ ว า หะเนยยุง วา พันเธยยุง วา ปัพพาเชยยุง วา \"โจโรสิ พาโลสิ มุฬโหสิ เถโนสีติฯ \"ตะถารูปัง ภิกขุ อะทินนัง อาทิยะมาโน, อะยัมปิ ปาราชิโก โหติ อะสังวาโสฯ 3. โย ปะนะ ภิกขุ สัญจิจจะ มะนุสสะวิคคะหัง ชีวิตา โวโรเปยยะ, สัตถะหาระกัง วาสสะ ปะริเยเสยยะ, มะระณะวัณณัง วา สังวัณเณยยะ, 54 ถ้า 14 ค่�ำพึงวา่ จาตทุ ทะโส พระภิกษุปาฏิโมกข์ 131
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240