Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อจท. พระพุทธศาสนา ม.2

อจท. พระพุทธศาสนา ม.2

Published by sunisa.sombunma, 2020-07-01 23:33:38

Description: อจท. พระพุทธศาสนา ม.2

Search

Read the Text Version

บุพพนิมติ ของมชั ฌมิ าปฏปิ ทา มชั ฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง บุพพนิมิต แปลวา่ สิ่งท่ีเป็นเคร่ืองหมายหรือสิ่งบอกล่วงหนา้ พระพทุ ธเจา้ ตรัสเปรียบวา่ “ก่อนที่ดวงอาทิตยจ์ ะข้ึนยอ่ มมีแสงเงิน แสงทองปรากฏใหเ้ ห็นก่อนฉนั ใด ในทานองเดียวกนั ก่อนท่ีอริยมรรคหรือมชั ฌิมาปฏิปทา ซ่ึงเป็นขอ้ ปฏิบตั ิ สาคญั ในพระพทุ ธศาสนาจะเกิดข้ึน กม็ ีธรรมบางประการ ปรากฏข้ึนก่อน เหมือนแสงเงินแสงทองฉนั น้นั ” ก่อนจะเกิดปัญญาข้ึนน้นั มีปัจจยั ๒ อยา่ งเป็นเครื่องช่วย คือ กลั ยาณมิตร และโยนิโสมนสิการ

กลั ยาณมติ ร คุณสมบตั ิของกลั ยาณมติ ร การมีกลั ยาณมิตรเป็นสญั ญาณทบี่ อก ❖ น่ารัก เป็นกนั เอง วา่ เรากาลงั จะเดินทางไปสู่อริยมรรค บางที ❖ น่าเคารพ เรียกกลั ยาณมิตรวา่ “ปรโตโฆสะ” แปลว่า ❖ น่ายกยอ่ ง เสียงจากผูอ้ ่ืน คือ เสียงหรือคาพูดที่ดีงาม ❖ รู้จกั ช้ีแจงใหเ้ ขา้ ใจ ถูกตอ้ ง เสียงจากมิตรท่ีดี ช่วยแนะนาให้เรา ❖ อดทนที่จะรับฟัง เกิดความคิดเห็นที่ถูกตอ้ ง (สัมมาทิฐิ) การมี ❖ แถลงเร่ืองล้าลึกได้ กัลยาณมิตรเป็ นจุดเริ่มต้นของการพฒั นา ❖ ไม่ชกั จูงไปในทางเส่ือมเสีย ปัญญาที่จะทาใหเ้ ราเห็นสจั ธรรม

โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใช้ ความคิดถูกวธิ ี รู้จกั คิด รู้จกั วิเคราะห์ บางที เรียกวา่ “การทาใจโดยอุบายอนั แยบคาย” โยนิโสมนสิการเป็ นอาหารหล่อเล้ ียงสติ มิใหค้ ิดไปในทางที่ผดิ

• ดรุณธรรม ๖ คือ ทางท่ีนาไปสู่ความเจริญกา้ วหนา้ ของเยาวชน มี ๖ ประการ ดงั น้ี • รักษาสุขภาพดี (อโรคยะ) • มีระเบียบวนิ ยั (ศีล) • ไดเ้ ห็นแบบอยา่ งจากคนดี (พทุ ธานุวตั ิ) • ต้งั ใจเรียน (สุตะ) • ทาสิ่งที่ถูกตอ้ งดีงาม (ธรรมานุวตั ิ) • มีความขยนั หมน่ั เพยี ร (วริ ิยะ)

• กลุ จริ ัฏฐิตธิ รรม ๔ คือ ธรรมท่ีเป็นเหตุทาใหม้ ง่ั คงั่ มนั่ คงต้งั อยไู่ ดน้ าน มีดงั น้ี • เม่ือเครื่องบริโภคอุปโภคหายหรือหมดตอ้ งรู้จกั จดั หามาไว้ • ซ่อมแซมสิ่งของท่ีเก่าหรือชารุดเสียหาย • ประมาณตนในการอุปโภคบริโภค • ต้งั ผมู้ ีศีลธรรมเป็นพอ่ บา้ นแม่เรือน

• กศุ ลกรรมบถ ๑๐ คือ ทางแห่งการกระทาของผฉู้ ลาดหรือคนดี มีดงั น้ี ความประพฤติดีทางกาย • เวน้ จากการฆ่าสตั ว์ ความประพฤติดีทางวาจา • เวน้ จากการขโมย ความประพฤติดีทางใจ • เวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม • เวน้ จากการพดู เทจ็ • เวน้ จากการพดู ส่อเสียด • เวน้ จากการพดู คาหยาบ • เวน้ จากการพูดเพอ้ เจอ้ • ไม่โลภอยากไดข้ องผอู้ ื่น • ไม่คิดพยาบาท • มีความเห็นชอบ

• สตปิ ัฏฐาน ๔ หมายถึง ท่ีต้งั ของสติ เป็นองคม์ รรคขอ้ หน่ึงในมรรคมีองคแ์ ปด มี ๔ ประการ ดงั น้ี • พิจารณาเห็นภายในกาย • พจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนา • พิจารณาเห็นในจิต • พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรม

• มงคล ๓๘ คือ ส่ิงท่ีทาใหเ้ กิดความดีงาม เป็นธรรมท่ีนามาซ่ึงความสุข มีท้งั หมด ๓๘ ขอ้ ในท่ีน้ีจะกล่าวถึง ๓ ขอ้ ดงั น้ี • ประพฤติธรรม • เวน้ ความชว่ั • เวน้ จากการดื่มน้าเมา

คุณประโยชน์ของอริยสัจ ๔ • สอนใหเ้ ราไม่ประมาท • สอนใหเ้ ราแกป้ ัญหาดว้ ยปัญญาและเหตุผล • สอนใหเ้ ราแกป้ ัญหาดว้ ยตวั เราเอง • ช่วยใหเ้ ราเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง

๔หน่วยการเรียนรู้ท่ี พระไตรปิ ฎกและพุทธศาสนสุภาษติ พระไตรปิ ฎกเป็ นคมั ภีร์ท่ีบรรจุหลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ ซ่ึงแต่เดิม ถ่ายทอดกันมาด้วยการท่องจา ภายหลังจึงมีการจารึ กเป็ นลายลักษณ์อักษร พระไตรปิ ฎกจึงมีส่วนสาคญั ในการสืบต่อพระพทุ ธศาสนา ดงั น้นั พุทธศาสนิกชนที่ดี จึงควรศึกษาพระไตรปิ ฎก เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมคาสอนของ พระพทุ ธศาสนาไดด้ ียง่ิ ข้ึน การศึกษาพุทธศาสนสุภาษิตจะช่วยใหเ้ ขา้ ใจหลกั ธรรมต่างๆ ไดอ้ ยา่ ง ถูกตอ้ ง และสามารถเลือกสรรไปใชเ้ ป็นแนวทางในการดาเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ ง เหมาะสมอีกดว้ ย

๑. โครงสร้างและสาระสาคัญของพระไตรปิ ฎก ๑.๑ ความหมายและความสาคญั ของพระไตรปิ ฎก พระไตรปิ ฎก แปลวา่ คมั ภีร์ ๓ เพราะ ปิ ฎก แปลวา่ คมั ภีร์ พระไตรปิ ฎก คือ คมั ภีร์ที่ บรรจุหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนา แบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ พระวนิ ยั ปิ ฎก พระสุตตนั ตปิ ฎก และ พระอภิธรรมปิ ฎก

๑.๒ คมั ภรี ์และโครงสร้างพระไตรปิ ฎก พระไตรปิ ฎก แบ่งเป็น ๓ หมวด ดงั น้ี • สุตตวภิ งั ค์ คือ ส่วนท่ีวา่ ดว้ ยศีลใน ๑. พระวนิ ัยปิ ฎก คือ ส่วนที่วา่ ดว้ ย พระปาฏิโมกข์ สิกขาบท และศีลของภิกษุและภิกษณุ ี แบ่งเป็น ๓ หมวดยอ่ ย ดงั น้ี • ขนั ธกะ คือ ส่วนที่วา่ ดว้ ยสงั ฆกรรม พธิ ีกรรม วตั รปฏิบตั ิของพระ • ปริวาร คือ ส่วนท่ีสรุปขอ้ ความ หรือคู่มือ พระวนิ ยั ปิ ฎก

๒. พระสุตตันตปิ ฎก คือ ส่วนที่ • ทฆี นิกาย คือ หมวดท่ีประมูลสูตรขนาดยาว วา่ ดว้ ยพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา้ ที่ทรง • มชั ฌมิ นิกาย คือ หมวดที่ประมูลสูตรขนาด แสดงแก่บุคคลต่างๆ แบ่งเป็น ๕ นิกาย ดงั น้ี ปานกลาง • สังยุตตนิกาย คือ หมวดที่ประมูลสูตรโดย จดั กลุ่มตามเน้ือหา • องั คุตตรนิกาย คือ หมวดท่ีประมวลหมวด ธรรมจากนอ้ ยไปหามาก • ขุททกนิกาย คือ หมวดท่ีประมวลเร่ือง เบด็ เตลด็ ต่างๆ ท่ีมิไดร้ วบรวมไวใ้ น ๔ นิกายขา้ งตน้

๓. พระอภธิ รรมปิ ฎก คือ ส่วนท่ี • ธัมมสังคณี คือ คมั ภีร์ท่ีรวมขอ้ ธรรมเป็น วา่ ดว้ ยการอธิบายหลกั ธรรมในรูปวชิ าการ หมวดๆ แลว้ แยกอธิบายเป็นประเภทๆ ไม่เกี่ยวดว้ ยบุคคลและเหตุการณ์ แบ่งเป็น ๗ คมั ภีร์ ดงั น้ี • วภิ งั ค์ คือ คมั ภีร์ท่ีแยกขอ้ ธรรมในสงั คณี • ธาตุกถา คือ คมั ภีร์ท่ีจดั ขอ้ ธรรมลงในขนั ธ์ ธาตุ อายตนะ • ปุคคลบญั ญตั ิ คือ คมั ภีร์บญั ญตั ิเรียกบุคคล • กถาวตั ถุ คือ คมั ภีร์ท่ีอธิบายทรรศนะที่ ขดั แยง้ กนั โดยเนน้ ทรรศนะของเถรวาทที่ ถูกตอ้ ง • ยมก คือ คมั ภีร์ที่ยกธรรมเป็นคู่ๆ • ปัฏฐาน คือ คมั ภีร์ที่อธิบายปัจจยั หรือ เงื่อนไขทางธรรม ๒๔ ประการ

ถูปาราม เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลงั กา สถานท่ีทาสงั คายนา พระธรรมวนิ ยั คร้ังท่ี ๔ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๘

วดั มหาธาตุยวุ ราชรังสฤษฎ์ิราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ สถานท่ีทาสงั คายนา พระธรรมวนิ ยั คร้ังท่ี ๑๐ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘

๒. พทุ ธศาสนสุภาษติ • กมฺมุนา วตฺตตี โลโก : สัตวโลกย่อมเป็ นไปตามกรรม กรรม แปลวา่ การกระทา และมกั หมายรวมถึงผลแห่งการกระทา พระพทุ ธศาสนาสอนวา่ คนเราจะมีชีวติ เป็นไปอยา่ งไรน้นั ข้ึนอยกู่ บั กรรมหรือการกระทา ของเรา ดงั พทุ ธดารัสที่วา่ “ ควรพิจารณาโดยเนืองๆ ว่า เรามกี รรมเป็นของตน เป็นผ้รู ับผลแห่งกรรม มกี รรมเป็นกาเนิด มกี รรมเป็นเผ่าพันธ์ุ มกี รรมเป็นท่ีพ่ึงอาศยั เราทากรรมอันใดไว้ดกี ต็ าม ช่ัวกต็ าม เราจักเป็นผ้รู ับผลแห่งกรรมน้ัน”

• กลฺยาณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก : ทาดไี ด้ดี ทาชั่วได้ช่ัว พระพทุ ธศาสนามีหลกั คาสอนท่ีสาคญั ยง่ิ ขอ้ หน่ึง เรียกวา่ “กฎแห่งกรรม” มีความหมายวา่ ทาดีไดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ ว่ั กรรม แปลวา่ การกระทา และวบิ าก แปลวา่ ผล กรรมวบิ าก จึงแปลวา่ ผลแห่ง กรรม มี ๓ ระดบั ดงั น้ี ๑. ระดบั ภายในจิตใจหรือคุณภาพของจิต ๒. ระดบั บุคลิกภาพและอุปนิสยั ๓. ระดบั ภายนอกหรือผลทางสงั คม

• สุโข ปุญญฺ สฺส อุจฺจโย : การส่ังสมบุญนาสุขมาให้ บุญ แปลวา่ ความดีงาม การทาบุญทาได้ ๑๐ วธิ ี เรียกวา่ บุญกิริยาวตั ถุ ๑๐ มีดงั น้ี ๑. ทาบุญดว้ ยการให้ ๖. ทาบุญดว้ ยการเกลี่ยความดีใหผ้ อู้ ่ืน ๒. ทาบุญดว้ ยการรักษาศีล ๗. ทาบุญดว้ ยการยนิ ดีในความดีของผอู้ ่ืน ๓. ทาบุญดว้ ยการเจริญภาวนา ๘. ทาบุญดว้ ยการฟังธรรมหาความรู้ ๔. ทาบุญดว้ ยการอ่อนนอ้ ม ๙. ทาบุญดว้ ยการสง่ั สอนธรรมใหค้ วามรู้ ๕. ทาบุญดว้ ยการรับใช้ ๑๐. ทาบุญดว้ ยการทาความเห็นใหต้ รง

โดยทวั่ ไปคนมกั ใหค้ วามสาคญั กบั ๓ ขอ้ แรก คือ การใหท้ าน การรักษาศีล และการ เจริญภาวนา เรียกวา่ บุญกิริยาวตั ถุ ๓ การทาบุญยอ่ มใหค้ วามสุข การให้ (หรือทาน) เป็นการขดั เกลากิเลส ทาใหจ้ ิตผอ่ งใส การรักษาศีลทาใหเ้ ป็นคนดีมีศีลธรรม มีคนรักใคร่นบั ถือ และไวว้ างใจ การเจริญภาวนาช่วยใหจ้ ิตใจแน่วแน่ มีสติ

• ปูชโก ลภเต ปูช วนฺทโก ปฏวิ นฺทน : ผู้บูชาย่อมได้รับการบุชาตอบ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการ ไหว้ตอบ บูชา หมายถึง การแสดงความเคารพบุคคลหรือสิ่งท่ีนบั ถือ รวมตลอดไปถึงการยกยอ่ ง เทิดทูนดว้ ยความเคารพนบั ถือ อยา่ งไรกต็ าม การใหเ้ กียรติ การยอมรับ การนบั ถือน้ีเราควร เดินสายกลาง ไม่แสดงอาการพนิ อบพเิ ทาจนเกินควร ไม่กล่าววาจายกยอ่ งสรรเสริญ เกินงาม จนกลายเป็นการประจบสอพลอ การบูชาเป็นการแสดงความรู้สึกออกมาใหเ้ ห็นเป็นรูปธรรม การบูชาดว้ ยวธิ ีต่างๆ ถือเป็นการแสดงออกซ่ึงไมตรีจิต เป็นการเปิ ด โอกาสความรู้สึกท่ีดี นาไปสู่ความสาเร็จในหนา้ ท่ีการงานได้

๕หน่วยการเรียนรู้ท่ี หน้าทช่ี าวพุทธและมารยาทชาวพทุ ธ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ขา้ มาผสมกลมกลืนกบั วถิ ีชีวติ ความ เป็นอยขู่ องคนไทย หรืออาจกล่าวไดว้ า่ การประพฤติปฏิบตั ิตน ของพทุ ธศาสนิกชนยอ่ มส่งผลกระทบต่อพระพทุ ธศาสนา ดงั น้นั พทุ ธศาสนิกชนท่ีดีจึงมีหนา้ ท่ีที่จะทานุบารุง พระพทุ ธศาสนาใหเ้ จริญมน่ั คงสืบไป

๑. หน้าทชี่ าวพุทธ ๑.๑ การเข้าใจบทบาทของพระภกิ ษุในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา หน้าทส่ี าคญั ของพระภกิ ษุ คือ • ศึกษาพระธรรมคาสอนของพระพทุ ธ องคใ์ หเ้ ขา้ ใจอยา่ งถ่องแท้ • นาหลกั ธรรมมาเผยแผแ่ ก่มวลมนุษย์

บทบาทของพระภกิ ษุสงฆ์ การแสดงธรรม ปาฐกถาธรรม • การแสดงพระธรรมเทศนา หรือการ เทศนเ์ ป็นรูปแบบท่ีทากนั มาแต่โบราณ มีระเบียบวธิ ีปฏิบตั ิเป็นแบบอยา่ ง โดยเฉพาะ • การแสดงปาฐกถาธรรม เป็นการแสดง ธรรมโดยใชภ้ าษาธรรมดาท่ีสื่อ ความหมายไดง้ ่าย ตดั รูปแบบพธิ ีกรรม อยา่ งท่ีใชใ้ นการเทศน์ออก

การประพฤตติ นให้เป็ นแบบอย่าง • ผทู้ ่ีจะเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไดน้ ้นั ตอ้ งรู้เขา้ ใจหลกั ธรรมถูกตอ้ งและปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม น้นั ดว้ ย

เร่ืองน่ารู้ อุปปถกริ ิยา อุปปถกิริยา คือ การกระทานอกรีตนอกรอยของพระภิกษสุ ามเณร มี ๓ ประการ ดงั น้ี • อนาจาร คือ การประพฤติที่ไม่ดี ไม่งาม ไม่เหมาะสม มี ๓ อยา่ ง คือ • การเล่นเหมือนเดก็ • การร้อยดอกไม้ • การเรียนดิรัจฉานวชิ า • บาปสมาจาร คือ ความประพฤติเหลวไหล เลวทราม • อเนสนา คือ การหาเล้ียงชีพในทางที่ไม่เหมาะสมกบั ความเป็นภิกษุ ผดิ สมณวสิ ยั

๑.๒ การฝึ กบทบาทของตนในการช่วยเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา การบรรยายธรรม ในการบรรยายเพื่อเผยแผพ่ ระศาสนาน้นั มีขอ้ ควรคานึง ดงั น้ี • อยา่ ดูหม่ินศาสนาอ่ืน ไม่วา่ โดยตรงหรือโดยออ้ ม • ตอ้ งดูกาลเทศะท่ีเหมาะสม ไม่อธิบายหรือบรรยายพร่าเพ่ือ • ในการบรรยายเม่ือเปรียบเทียบกบั ศาสนาอ่ืน ควรแยกใหอ้ อกวา่ อะไรคือขอ้ เทจ็ จริง อะไร เป็นความเห็น ผรู้ ู้นอ้ ยควรหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ

• การจัดนิทรรศการ มีการใชร้ ูปภาพเป็นสื่อประกอบเพมิ่ เติมจากการใชค้ าพดู หรือเสียงเป็น สื่อ สามารถดึงดูดคนไดม้ าก เพราะใชเ้ วลานอ้ ยแต่รับรู้เน้ือหาไดม้ าก แต่การที่จะใหค้ น เขา้ ใจหลกั ธรรมท่ีค่อนขา้ งยากและลึกซ้ึง โดยการจดั นิทรรศการน้นั เป็นไปไดย้ าก

๑.๓ การเป็ นลกู ทดี่ ตี ามหลกั ทศิ ๖ (ทศิ เบือ้ งหน้า) • ทิศในทางพระพทุ ธศาสนาเป็นนยั เปรียบเทียบถึงบุคคลประเภทต่างๆ ที่ สมั พนั ธ์เกี่ยวขอ้ งในสงั คม • ทิศ ๖ ถือเป็นหลกั ธรรมที่ก่อใหเ้ กิดความ สมานฉนั ท์ การเก้ือกลู ระหวา่ งบุคคลต่างๆ • ทิศเบ้ืองหนา้ (ปุรัตถิมทิศ หรือทิศ ตะวนั ออก) ไดแ้ ก่ บิดามารดา

ตารางแสดงการปฏิบตั ิตนเพ่ือเป็ นลูกทด่ี ตี ามหลกั ทศิ ๖ บดิ ามารดาปฏบิ ตั ติ ่อบุตรธิดา บุตรธิดาปฏบิ ตั ติ ่อบดิ ามารดา • หา้ มปรามมิใหท้ าชวั่ • เล้ียงดูท่าน • อบรมใหต้ ้งั อยใู่ นความดี • ช่วยทาธุระของท่าน • ใหก้ ารศึกษาเล่าเรียน • ดารงวงศส์ กลุ • หาคู่ครองที่เหมาะสมให้ • ประพฤติตนใหเ้ หมาะสมกบั ความเป็น ทายาท • มอบทรัพยส์ มบตั ิใหเ้ ม่ือถึงโอกาสอนั ควร • เมื่อท่านล่วงลบั ทาบุญอุทิศส่วนกศุ ลให้ ท่าน

๑.๔ การเข้าค่ายคุณธรรม • สภาพสงั คมปัจจุบนั เตม็ ไปดว้ ยปัญหา ต่างๆ มากมาย ซ่ึงลว้ นเกิดจากความเห็น แก่ตวั การขาดคุณธรรม ส่งผลใหส้ งั คม เส่ือมโทรม • การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการ ช่วยแกป้ ัญหาทางหน่ึง • การหาวธิ ีใหเ้ ยาวชนเขา้ ใจบทบาทของ ตนเอง มีจิตสานึกรับผดิ ชอบต่อตนเอง และสงั คม • ใหเ้ ยาวชนรู้จกั นาหลกั ธรรมไปใชใ้ นการ ดารงชีวติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

๑.๕ การเข้าร่วมพธิ ีกรรมทางพระพทุ ธศาสนา พธิ ีกรรมทางพระพทุ ธศาสนา หมายถึง ระเบียบปฏิบตั ิเกี่ยวกบั ศาสนา หรือ ลทั ธิประเพณีที่กาหนดข้ึนเป็นแบบอยา่ งสาหรับ ใหพ้ ทุ ธศาสนิกชนไดย้ ดึ ถือปฏิบตั ิ เป็ นการแสดงออกถึงความเชื่อทาง ศาสนา ซ่ึงกระทาเพ่ือใหเ้ กิดความอบอุ่นทางใจ ทาใหก้ ารปฏิบตั ิศาสนกิจเป็นสิ่งสาคญั มีความ น่าเช่ือถือ น่าศรัทธามากยง่ิ ข้ึน

การประกอบ มใี จมนั่ หมายถึง มีใจบริสุทธ์ิ พิธีกรรม หรือ การเขา้ ร่วม ถูกต้องตามหลกั ทางพระพทุ ธศาสนา หมายถึง ยดึ หลกั และระเบียบทาง พิธีกรรมทาง พระพทุ ธศาสนาเป็นสาคญั พระพทุ ธศาสนา ประหยดั หมายถึง การประหยดั ทรัพยใ์ นการจดั พิธีกรรม ควรมีหลกั เกณฑ์ ดงั น้ี คานึงถึงประโยชน์ หมายถึง พจิ ารณาวา่ จะไดร้ ับคุณประโยชน์อยา่ งไรบา้ ง มคี วามเหมาะสม หมายถึง พิธีกรรมน้นั ไม่ขดั ต่อประเพณีนิยม

การเขา้ ร่วมพิธีกรรมทางพระพทุ ธศาสนาจะตอ้ งกระทาดว้ ยความต้งั ใจ และปฏิบตั ิตน ใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั เกณฑท์ ี่ปฏิบตั ิสืบต่อกนั มา

๑.๖ การแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ พุทธมามกะ หมายถึง ผถู้ ือพระพทุ ธเจา้ วา่ เป็นของเรา หรือ ผปู้ ระกาศตนวา่ เป็นผนู้ บั ถือพระพทุ ธศาสนา การแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ คือ การแสดงใหป้ รากฏวา่ ตนยอมรับนบั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาชีวติ ของตน

• ประวตั ิความเป็ นมา ยสกลุ บุตรเป็นเศรษฐีผมู้ ีทรัพยม์ ากมาย คืนหน่ึงเขาตื่นข้ึนมาเห็น บริวารของตนหลบั ดว้ ยอาการต่างๆ จิตจึงต้งั มนั่ อยใู่ นความเบ่ือหน่าย ตอนเชา้ เขาไดเ้ ขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ และขอบรรพชา ตอนเชา้ เศรษฐีคหบดีผเู้ ป็นบิดาออกตามหา และไดฟ้ ังธรรมจาก พระพทุ ธเจา้ จนไดด้ วงตาเห็นธรรม และไดก้ ลายเป็นเตวาจิกอุบาสก คนแรกของโลก พร้อมท้งั มารดา และภริยาเก่าของพระยสะเป็นอุบาสิกา คู่แรกของโลก

การเตรียมการ ๑. ผจู้ ดั กาหนดวนั เวลา สถานท่ีใหแ้ น่นอน ๒. จดั หาคณะกรรมการร่วมมือเพอ่ื ดาเนินการ ๓. จดั เครื่องสกั การะ ๔. นิมนตพ์ ระ ๗ หรือ ๙ รูป ตามศรัทธา ๕. จดั เตรียมท่ีบูชาพระพร้อมอาสน์สงฆเ์ ท่าจานวนพระท่ีนิมนต์

พธิ ีปฏิบตั ิ ๑. เมื่อพระสงฆม์ าถึงแลว้ ใหผ้ ทู้ ่ีจะแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ จุดธูปเทียนบูชาพระ และกราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ คร้ัง แลว้ นาสวด ดงั น้ี อิมินา สกฺกาเรน พทุ ฺธ ปูเชมิ อิมินา สกฺกาเรน ธมฺม ปูเชมิ อิมินา สกฺกาเรน สงฺฆ ปูเชมิ

๒. เขา้ ถวายเครื่องสกั การะ แลว้ กราบดว้ ยเบญจางค ประดิษฐ์ ๓ คร้ัง ๓. จากน้นั ทุกคนกล่าวนมสั การพระพทุ ธเจา้ ๓ คร้ัง ดงั น้ี

๔. จากน้นั กล่าวคาปฏิญาณตนเป็นพทุ ธมามกะ ดงั น้ี (ผชู้ าย) เอเต มย (ผหู้ ญิง) เอตา มย ภนฺเต สุจิรปรินิพฺพตุ มฺปิ ต ภควนฺต สรณ คจฺฉาม ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ พทุ ฺธมามกาติ โน สงฺโฆ ธาเรตุ

๕. พระเถระใหโ้ อวาท และทุกคนอาราธนาศีลพร้อมกนั ดงั น้ี ๖. ถวายจตุปัจจยั ไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๗. เม่ือพระสวด ...ยถา วาริวหา... ตวั แทน กรวดน้าอุทิศส่วนกศุ ล ๘. เมื่อพระสวด ...สพฺพตี ีโย... รับพรจากพระ แลว้ กราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ คร้ัง ๙. รับพทุ ธมามกบตั รจากพระเถระ เป็นอนั จบพิธี

๒. มารยาทชาวพทุ ธ มารยาท หมายถึง ระเบียบปฏิบตั ิท่ีสงั คม กาหนดไวเ้ ป็นแนวทางในการแสดงออกทางกาย และทาง วาจาในดา้ นต่างๆ คนไทยไดร้ ับการยกยอ่ งมานานแลว้ วา่ เป็นผมู้ ี มารยาทอ่อนนอ้ ม น่ารัก เราจึงควรเรียนรู้มารยาทในสงั คม เพอื่ จะไดป้ ฏิบตั ิไดถ้ ูกตอ้ ง

๒.๑ การต้อนรับ (ปฏิสันถาร) การตอ้ นรับ ทาไดห้ ลายวธิ ี คือ ปฏิสนั ถารดว้ ยวาจา ปฏิสนั ถารดว้ ยการใหท้ ่ีพกั อาศยั และปฏิสนั ถารดว้ ยการแสดงน้าใจต่อกนั

๒.๒ มารยาทของผ้เู ป็ นแขก ๑. ควรหาโอกาสไปเยยี่ มญาติมิตรตามสมควร ๒. ก่อนเขา้ บา้ นควรใหเ้ สียงหรือสญั ญาณอ่ืนๆ ๓. ทาความเคารพเจา้ ของบา้ นก่อน ๔. ถา้ ไม่ใช่ญาติสนิทไม่ควรอยนู่ านเกินสมควร ๕.ไม่ควรนาคนท่ีเจา้ ของบา้ นไม่รู้จกั ไปดว้ ย ๖. เมื่อจะกลบั ควรบอกลา และทาความเคารพตามฐานานุรูป

๒.๓ ระเบยี บพธิ ีปฏบิ ัตติ ่อพระภกิ ษุ การยืน • การยนื ตามลาพงั ควรยนื ในลกั ษณะสุภาพ • การยนื ต่อหนา้ ผใู้ หญแ่ ละพระภิกษุ ยนื ตรง ขาชิด ปลายเทา้ ห่างกนั เลก็ นอ้ ย มือแนบขา้ ง ลาตวั ท่าทางสารวม การให้ท่ีน่ัง • ถา้ มีเกา้ อ้ีใหล้ ุกข้ึน หลีกใหพ้ ระสงฆน์ งั่ แถวหนา้ • ถา้ จาเป็นตอ้ งนงั่ แถวเดียวกนั ใหน้ ง่ั ทางซา้ ย • สตรีถา้ จะนงั่ อาสนะยาวเดียวกบั พระสงฆต์ อ้ งมี บุรุษนงั่ คน่ั กลาง • ถา้ ตอ้ งนง่ั พ้ืน พึงจดั อาสนส์ งฆใ์ หเ้ ป็นสดั ส่วน

การเดนิ สวนทาง • หลีกชิดทางซา้ ยมือของพระสงฆ์ • ยนื ตรงหรือนง่ั ตามความเหมาะสม • เมื่อพระสงฆเ์ ดินผา่ นเฉพาะหนา้ พงึ ยกมือไหว้ • เม่ือท่านพดู ดว้ ยพงึ ประนมมือพดู กบั ท่าน • ถา้ ท่านมิไดพ้ ดู ดว้ ย เม่ือไหวแ้ ลว้ ใหป้ ระสาน มือไวข้ า้ งหนา้ จนกวา่ ท่านจะผา่ นไป การสนทนา • ใชส้ รรพนามใหเ้ หมาะสม • ใชส้ รรพนามแทนท่านวา่ พระคุณเจา้ หลวงพอ่ ฯลฯ • เวลารับคา ใชค้ าวา่ ครับ ขอรับ ค่ะ เจา้ ค่ะ • เวลาพระท่านพดู พึงต้งั ใจฟัง เวลาท่านใหพ้ ร พึงประนมมือฟังโดยเคารพ

การรับส่ิงของ • การรับสิ่งของขณะพระภกิ ษุสงฆ์ยืนอยู่ ให้ ยนื ตรง นอ้ มตวั ลงไหว้ และยน่ื มือท้งั สองขา้ ง ไปรับ พร้อมกบั นอ้ มตวั เลก็ นอ้ ย • การรับส่ิงของขณะพระภิกษุสงฆ์น่ังเก้าอี้ เดินเขา้ ไปดว้ ยอาการสารวม เมื่อไดร้ ะยะ ยนื ตรงและคุกเข่าดา้ นซา้ ย ชนั เข่าขวาข้ึน นอ้ ม ตวั ลงยกมือไหว้ แลว้ ยน่ื มือท้งั สองออกไปรับ • การรับส่ิงของขณะพระภกิ ษุสงฆ์นั่งกบั พืน้ นงั่ คุกเข่า แลว้ เดินเข่าหรือคลานเข่าเขา้ ไป เม่ือไดร้ ะยะรับของ ชายนง่ั คุกเข่า หญิงพบั เพียบ กราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ หน แลว้ ยนื่ มือท้งั สองไปรับ

๒.๔ การแต่งกายในพธิ ีต่างๆ การแต่งกายไปวดั • สะอาดเรียบร้อย หลีกเล่ียงการใชเ้ ส้ือผา้ สีสนั ฉูดฉาด • ไม่ควรแต่งกายหรูหราหรือนาสมยั เกินไป • ใส่เส้ือผา้ หลวมๆ ไม่รัดรูป เพื่อสะดวกในการ กราบพระ • ไม่ควรผา่ หนา้ ผา่ หลงั ลึกเกินไป • ไม่ใส่เคร่ืองประดบั มากเกินไป

การแต่งกายไปงานมงคล • แต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั งานน้นั ๆ เป็น การใหเ้ กียรติเจา้ ภาพ • ท้งั น้ีอาจตอ้ งยดึ ความนิยมของสงั คม ดว้ ย

การแต่งกายไปงานอวมงคล • ชาย แต่งชุดสากลนิยมสีเขม้ หรือ ชุดไทยพระราชทานสีดาท้งั ชุด • หญิง นุ่งซ่ินหรือกระโปรงตามสมยั นิยม ควรเป็นสีดาท้งั ชุดถา้ เป็นไปได้ • ไม่ควรใส่เพชรนิลจินดามากเกินเหตุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook