➢ ตรัสรู้ หลงั จากทรงพิจารณาไตร่ตรองแลว้ พบวา่ การบาเพญ็ ทุกกรกิริยาน้นั มิใช่หนทาง ดบั ทุกขท์ ่ีแทจ้ ริง พระสิทธตั ถะจึงทรงเลิกกระทา แลว้ ทรงยดึ ทางสายกลาง จนตรัสรู้เป็น พระพทุ ธเจา้ เม่ือวนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี โดยส่ิงท่ีพระองคต์ รัสรู้ คือ กระบวนการเกิดของทุกข์ และการดบั ทุกข์ เรียกวา่ “อริยสัจ ๔” ประกอบดว้ ย ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค
ข้นั ตอนการรู้แจง้ ของพระสิทธตั ถะ สามารถสรุปได้ ดงั น้ี ยามต้น • ทรงระลึกชาติหนหลงั ของพระองคไ์ ด้ • ทรงไดต้ าทิพย์ มองเห็นการเกิด การตายของสตั วท์ ้งั หลายตามผลกรรมที่ได้ ยามทส่ี อง กระทาไว้ ยามทสี่ าม • ทรงเกิดการรู้แจง้ ที่สามารถทาลายกิเลสใหห้ มดสิ้นไปได้
การส่ังสอน ภาพพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวคั คีย์ ท่ีมา : http://buddhaforyou.files.wordpress.com/2011/11/lp021_e589afe69cac1.jpg
➢ แสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวคั คยี ์ • หลงั จากทรงตรัสรู้ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ไปตรัสสอน “ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร” วา่ ดว้ ยอริยสจั ๔ ประการแก่ปัญจวคั คีย์ • โกณฑญั ญะได้ “ดวงตาเห็นธรรม” และขอบวช • พระพทุ ธเจา้ ประทานอุปสมบทใหด้ ว้ ยวธิ ี “เอหิภิกข”ุ จึงเกิดพระสงฆร์ ูปแรก ข้ึนในโลก และมี “พระรัตนตรัย” ไดแ้ ก่ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบบริบูรณ์
➢ เผยแผ่พระพุทธศาสนา • หลงั จากมีพระอรหนั ตสาวกครบ ๖๐ รูป พระพทุ ธเจา้ ทรงส่งใหแ้ ยกยา้ ยไปประกาศ พระพทุ ธศาสนายงั ทิศต่างๆ ส่วนพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปโปรดชฎิลสามพ่ีนอ้ ง โดย ทรงแสดง “อาทิตตปริยายสูตร” จนชฎิลสามพีน่ อ้ งและบริวารบวชเป็นสาวกของ พระพทุ ธองค์ • พระเจา้ พมิ พสิ าร และชาวเมืองมคธที่นบั ถือชฎิลสามพี่นอ้ ง ต่างพากนั เลื่อมใสใน พระพทุ ธศาสนา และทรงสร้าง “วดั พระเวฬุวนั ” ถวายเป็นวดั ในพระพทุ ธศาสนา แห่งแรกของโลก
• ศิษยข์ องสญั ชยั เวลฏั ฐบุตร ชื่อ อุปติสสมาณพ และโกลิตมาณพ ไดข้ อบวชเป็น พระสาวก ซ่ึงต่อมา คือ พระสารีบุตร และพระโมคคลั ลานะ ➢ พระสารีบุตร เป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวา เลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายในทาง มีปัญญามาก ➢ พระโมคคลั ลานะ เป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองซา้ ย เลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายในทาง มีฤทธ์ ิมาก
• สุทตั ตเศรษฐี หรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี ทูลอาราธนาพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ สดจ็ ไปโปรด ชาวเมืองสาวตั ถี และสร้างวดั “พระเชตวนั มหาวหิ าร” ถวาย • หลงั จากเสดจ็ ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนายงั แควน้ ต่างๆ เป็นเวลา ๔๕ พรรษา พระพทุ ธเจา้ กเ็ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา โบราณสถานในเมืองสาวตั ถี ซ่ึงสนั นิษฐานวา่ เป็นบา้ นของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
➢ วิเคราะห์เหตกุ ารณ์พุทธประวัติ ตอนทรงส่ังสอนธรรม และเผยแผ่ พระพุทธศาสนาหลงั การตรัสรู้ ถาม : เพราะเหตุใดพระพทุ ธเจา้ จึงทรงเลือกแสดงธรรมที่ตรัสรู้แก่ปัญจวคั คีย์ เป็นกลุ่มแรก ? วเิ คราะห์ : • ทรงตอ้ งการเปล้ืองความเห็นผดิ ของปัญจวคั คีย์ เมื่อคร้ังที่พระองคท์ รง เลิกบาเพญ็ ทุกกรกิริยา วา่ คลายความเพียรแลว้ ไม่มีทางตรัสรู้ได้ พระพทุ ธเจา้ จึงตอ้ งการใหป้ ัญจวคั คียท์ ราบวา่ ทุกกรกิริยาน้นั มิใช่ทาง บรรลุ แต่อริยมรรคมีองค์ ๘ เท่าน้นั ท่ีสามารถทาใหบ้ รรลไุ ด้ • ทรงตอ้ งการใหป้ ัญจวคั คียเ์ ป็นสกั ขีพยานแห่งการตรัสรู้ของพระองค์ เพ่อื ทาใหก้ ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาเป็นไปอยา่ งราบรื่น และน่าเชื่อถือ
ถาม : เพราะเหตุใดพระพทุ ธเจา้ จึงทรงแต่งต้งั พระสารีบุตรเป็น พระอคั รสาวกเบ้ืองขวา และพระโมคคลั ลานะเป็นพระอคั รสาวก เบ้ืองซา้ ย ท้งั ที่เพ่งิ อุปสมบทไดเ้ พยี ง ๑๔ วนั ? วิเคราะห์ : • การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา จาเป็นตอ้ งอาศยั ผมู้ ีความรู้ ความสามารถเขา้ มาทางาน ซ่ึงพระสารีบุตร และพระโมคคลั - ลานะมีคุณสมบตั ิดงั กล่าวเหนือกวา่ พระภิกษุรูปใด เพราะรู้ ไตรเพทเป็นอยา่ งดี และเคยเป็นศิษยข์ องสญั ชยั เวลฏั ฐบุตร ซ่ึงสอนปรัชญาสาขา “อมราวกิ เขปิ กา” ที่เนน้ วภิ าษวธิ ี หกั ลา้ ง ถกเถียงกนั ดว้ ยเหตุผล
สรุปเหตุการณ์สาคญั ในพุทธประวตั ิ พระสิทธตั ถะ โกณฑญั ญะ พระพทุ ธเจา้ ประทาน ทรงผนวช ขออปุ สมบท อุปสมบทดว้ ยวธิ ี เอหิภิกขุ ทรงแสวงหาหนทาง โกณฑญั ญะได้ เกิดพระสงฆร์ ูปแรก ดบั ทุกขด์ ว้ ยวธิ ีต่างๆ ดวงตาเห็นธรรม ของโลก ตรัสรู้อริยสจั ๔ เป็น แสดงธมั มจกั - พระรัตนตรัยครบ พระพทุ ธเจา้ กปั ปวตั นสูตร องค์ ๓ คือ พระพทุ ธ แก่ปัญจวคั คีย์ พระธรรม พระสงฆ์
พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไป อนาถบิณฑิกเศรษฐี ทูล อนาถบิณฑิกเศรษฐี โปรดชฎิลสามพี่นอ้ ง อาราธนาพระพทุ ธเจา้ สร้างวดั พระเชตะวนั ใหเ้ สดจ็ ไปเมืองสาวตั ถี ชฎิลสามพ่ีนอ้ งและ มหาวหิ ารถวาย บริ วารบวชเป็ นสาวก พระสารีบุตร และพระโมค- ของพระพทุ ธองค์ คลั ลานะ ไดร้ ับการแต่งต้งั พระพทุ ธศาสนาถูก เป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวา ประดิษฐานอยา่ งเจริญ พระเจา้ พมิ พสิ าร และ ชาวเมืองมคธเล่ือมใส และเบ้ืองซา้ ย และมน่ั คง ในพระพทุ ธศาสนา พระเจา้ พิมพิสารทรง พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพาน สร้างวดั พระเวฬุวนั เม่ือพระชนมายไุ ด้ ๘๐ ถวาย เป็นวดั แห่งแรก พรรษา ของโลก
๒. ประวตั พิ ุทธสาวก พุทธสาวกิ า พระสารีบุตร ➢ ประวตั ิ • มีนามวา่ อุปติสสะ เป็นบุตรพราหมณ์ในเมือง นาลนั ทา กรุงราชคฤห์ • มีคุณสมบตั ิพเิ ศษ คือ เป็นผมู้ ีปัญญาเฉียบแหลม เล่าเรียนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว • ไดเ้ ขา้ ศึกษาปรัชญาอยใู่ นสานกั สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร • ไดฟ้ ังธรรมจากพระอสั สชิเถระจนไดด้ วงตาเห็นธรรม จึงขอบวชเป็นสาวกของ พระพทุ ธเจา้ • ไดน้ ามวา่ “สารีบุตร” และไดร้ ับการแต่งต้งั จากพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ ป็นพระอคั รสาวก เบ้ืองขวา
เป็นผมู้ ีปัญญาหลกั แหลม คณุ ธรรมทคี่ วรถอื เป็ นแบบอย่าง พระสารีบุตร มีความกตญั ญูกตเวทิตาธรรมเป็นเลิศ เป็นผมู้ น่ั คง และปรารถนาดีต่อ พระพทุ ธศาสนา
พระโมคคลั ลานะ ➢ ประวัติ • มีนามเดิมวา่ โกลิตะ เป็นบุตรพราหมณ์หวั หนา้ หมู่บา้ นโกลิตคาม • ไดเ้ ขา้ ศึกษาปรัชญาอยใู่ นสานกั สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร • ไดฟ้ ังธรรมจากพระอสั สชิเถระจนไดด้ วงตาเห็นธรรม จึงขอบวชเป็นสาวกของพระพทุ ธเจา้ มีนามวา่ “โมคคลั ลานะ” • หลงั บรรลุพระอรหตั ตผล มีคุณสมบตั ิพเิ ศษ คือ เป็นผมู้ ี ฤทธ์ิมาก สามารถใชอ้ ิทธิปาฏิหาริยช์ กั จูงคนใหค้ ลาย จากความเห็นผดิ • ไดร้ ับการแต่งต้งั จากพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ ป็นพระอคั รสาวก เบ้ืองซา้ ย
เป็นผมู้ ีความอดทนยง่ิ คณุ ธรรมทค่ี วรถอื เป็ นแบบอย่าง พระโมคคลั ลานะ เป็นผถู้ ่อมตนยง่ิ มีความใฝ่ รู้อยา่ งยง่ิ
นางขุชชุตตรา (อุตราผ้คู ่อม) ➢ ประวตั ิ • เป็นหญิงค่อม ธิดาของนางนมในบา้ นโฆสกเศรษฐี เมืองโกสมั พี • มีหนา้ ที่ซ้ือดอกไมถ้ วายแก่พระนางสามาวดี • ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาจากพระพทุ ธเจา้ จนบรรลุโสดาปัตติผล • ไดร้ ับมอบหนา้ ท่ีจากพระนางสามาวดีให้ เป็นผไู้ ปฟังธรรม แลว้ นามาแสดง ใหพ้ ระนางและบริวารฟัง จนกลาย เป็นอาจารยผ์ แู้ สดงพระธรรมในเวลาต่อมา
คณุ ธรรมทค่ี วรถอื เป็ นแบบอย่าง นางขุชชุตตรา เป็นผฝู้ ึกฝนตนเองอยเู่ สมอ เอาใจใส่หนา้ ท่ีที่ไดร้ ับมอบหมาย อยา่ งดียง่ิ
พระเจ้าพมิ พสิ าร ➢ พระราชประวัติ • เป็นพระมหากษตั ริยแ์ ควน้ มคธ • ทรงเล่ือมใสในพระพทุ ธเจา้ และพระพทุ ธศาสนา และไดถ้ วายสวนไผ่ เพ่อื ใช้ สร้างวดั เวฬุวนั ถวายพระพทุ ธเจา้ ถือเป็นวดั ในพระพทุ ธศาสนาแห่งแรก ของโลก
ทรงเป็ นพระบิดาที่ดีของบุตร คณุ ธรรมทคี่ วรถอื เป็ นแบบอย่าง พระเจ้าพมิ พสิ าร ทรงเป็นผมู้ น่ั คงในพระรัตนตรัย ทรงเป็นผนู้ าที่ดี
๓. ศาสนิกชนตวั อย่าง พระมหาธรรมราชาลไิ ทย ➢ พระราชประวตั ิ และพระราชกรณียกจิ • ทรงเป็นพระราชโอรสในพระยาเลอไทย พระมหากษตั ริยอ์ งคท์ ี่ ๕ แห่งกรุงสุโขทยั • ทรงศึกษาวชิ าช้นั ตน้ จากพระเถระชาวลงั กา • หลงั จากครองราชยไ์ ด้ ๕ ปี ทรงอุปสมบทเป็น ภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา • ทรงปกครองแผน่ ดินดว้ ยทศพธิ ราชธรรม และ ใหก้ ารทานุบารุงพระพทุ ธศาสนาอยา่ งดียงิ่ • ทรงพระราชนิพนธ์ “เตภูมิกถา” หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” ซ่ึงเป็นวรรณกรรม ทางพระพทุ ธศาสนาเร่ืองแรกของไทย
ทรงมีความกตญั ญู อยา่ งยง่ิ คณุ ธรรมทคี่ วรถอื เป็ นแบบอย่าง ทรงมีความสามารถใน ทรงมีความคิดริเร่ิม การถ่ายทอดนามธรรม เป็ นยอด ใหเ้ ป็นรูปธรรม
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ➢ พระประวัติ และผลงาน • มีพระนามเดิมวา่ พระองคเ์ จา้ มนุษยนาคมานพ • ประสูติเมื่อวนั ท่ี ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๒ • เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และเจา้ จอมมารดาแพ • ทรงผนวชเป็นสามเณรที่วดั พระศรีรัตนศาสดารามเมื่อพระชนั ษาได้ ๑๓ พรรษา • ทรงผนวชเป็นภิกษเุ ม่ือพระชนั ษาได้ ๒๐ พรรษา และเสดจ็ ไปประทบั ท่ีวดั บวร- นิเวศวหิ าร และวดั มกฏุ กษตั ริยารามตามลาดบั • ทรงไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ ทรงเป็น “ดวงประทีปแกว้ แห่งคณะสงฆไ์ ทย”
• ผลงานสาคญั ดา้ นการจดั การทางพระพทุ ธศาสนา - ทรงจดั สอนภิกษสุ ามเณรผบู้ วชใหม่ ใหไ้ ดเ้ รียนพระธรรมวนิ ยั และภาษาไทย - ทรงใหส้ วดมนตใ์ นวนั พรรษาทุกวนั - ทรงจดั ใหภ้ ิกษทุ ่ีพรรษาต่ากวา่ ๕ ท่ีจบนกั ธรรมแลว้ มาเรียนบาลีท้งั หมด - ทรงจดั ต้งั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั - ทรงจดั การเรียนการสอนท้งั หนงั สือไทยและความรู้ในศาสตร์อ่ืนๆ ควบคู่ กนั ไป - ทรงฝึกพระธรรมกถึก จนสามารถแสดงธรรมปากเปล่าได้ - ทรงจดั ต้งั การฟังธรรมสาหรับเดก็ วดั ในวนั ธรรมสวนะ
• ผลงานพระนิพนธท์ างพระพทุ ธศาสนา - ทรงต้งั หลกั สูตร “สามเณรผรู้ ู้ธรรม” - ทรงนิพนธ์ “นวโกวาท” - ทรงรจนาหนงั สือแบบเรียนต่างๆ เช่น วนิ ยั มุขเล่ม ๑, ๒ และ ๓ ธรรมวจิ ารณ์ ธรรมวภิ าค แบบเรียน บาลีไวยากรณ์ เป็นตน้ - ทรงพระนิพนธ์หนงั สือประเภทอื่น เช่น ประเภท พระโอวาท พระธรรมกถา ประเภทประวตั ิศาสตร์ และโบราณคดี เป็นตน้ - ทรงพระนิพนธ์ภาษาบาลี ทรงรจนาบทนมสั การ พระรัตนตรัย ชื่อ นมการสิทธิคาถา (โย จกั ขมุ า)
ทรงมีวสิ ยั ทศั น์ ทรงมีความใฝ่ รู้ ทรงมีความ กวา้ งไกล ใฝ่ ศึกษา อ่อนนอ้ มถ่อมตน คณุ ธรรมทคี่ วรถอื เป็ นเลิศ เป็ นแบบอย่าง ทรงมีความคิดริเร่ิม ทรงมีหิริโอตปั ปะ เป็ นเลิศ
๔. ชาดก มติ ตวนิ ทุกชาดก มิตตวนิ ทุกชาดก เป็นเร่ืองราวของชายชื่อมิตตวนิ ทุกะ ผไู้ ดร้ ับผลกรรมเห็นกงจกั ร เป็นดอกบวั เพราะเป็นผมู้ ีความโลภ ตอ้ งการไดท้ รัพยส์ มบตั ิจานวนมาก ทาให้เมื่อเขาไดพ้ บ กบั ปราสาทแกว้ ผลึก ปราสาทเงิน ปราสาทแกว้ มณี และปราสาททอง เขากเ็ ลือกที่จะเดินผา่ น เขา้ ไปเรื่อยๆ เพราะหวงั วา่ จะไดพ้ บกบั ทรัพยล์ ้าค่ามากข้ึน จนในที่สุดความโลภน้นั ไดช้ กั นาใหม้ ิตตวนิ ทุกะไดพ้ บเจอกบั ผเี ปรตที่มีกงจกั รบด ศีรษะอยู่ แต่มิตตวินทุกะกลบั เห็นวา่ เป็นเทพบตุ รที่มีดอกบวั ประดบั ศีรษะ จึงร้องขอดอกบวั น้นั ทาใหต้ อ้ งเสวยผลกรรมต่อจากผเี ปรตตนน้นั ถูกกงจกั รบดศีรษะไดร้ ับความทรมานยงิ่ นกั ซ่ึงใหค้ ติสอนใจ คือ โลภมาก ลาภหาย
ราโชวาทชาดก ราโชวาทชาดก เป็นเร่ืองราวที่สงั่ สอนใหผ้ นู้ าประเทศปกครองประเทศโดยธรรม มีความซ่ือสตั ยส์ ุจริต ไม่คดโกง ท้งั น้ีเพอ่ื ประโยชนส์ ุขของประชาราษฎร์เป็นสาคญั โดย ขอ้ คิดสาคญั ท่ีไดจ้ ากเรื่องราโชวาทชาดก สามารถสรุปได้ ๒ ประการ คือ • ผปู้ กครองท่ีดีตอ้ งประพฤติตนเป็นแบบอยา่ งท่ีดี เพือ่ ใหผ้ นู้ อ้ ยปฏิบตั ิตาม ซ่ึงจะ ช่วยใหส้ งั คมสงบสุข • ธรรมหรือคุณความดีนามาซ่ึงความสงบร่มเยน็ ของบา้ นเมือง ผปู้ กครองท่ี ประพฤติธรรม จึงทาใหป้ ระชาราษฎร์อยอู่ ยา่ งร่มเยน็ เป็นสุข
๓หน่วยการเรียนรู้ท่ี หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา หลกั ธรรมคาสอนเป็นส่ิงสาคญั ของแต่ละศาสนา หรืออาจกล่าวไดว้ า่ หากปราศจากหลกั ธรรมคาสอนแลว้ กเ็ ปรียบเสมือนไม่มีศาสนา สาหรบั หลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ เป็นผคู้ น้ พบและนามา เผยแผแ่ ก่มวลมนุษย์ เพอื่ ใหเ้ กิดความสงบสุขข้ึนในโลก ดงั น้นั การศึกษาหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจา้ จึงถือเป็นส่ิงสาคญั ของพทุ ธศาสนิกชนทุกคน เพอื่ ที่จะไดน้ าหลกั ธรรมมาเป็นแนวทางในการ ประพฤติปฏิบตั ิในการดาเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
๑. พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หมายถึง พระพทุ ธเจา้ หมายถึง หมายถึง ผซู้ ่ึงเป็นศาสดา คาสง่ั สอนของ ผเู้ ผยแผค่ าสอน ของ พระพทุ ธเจา้ ของพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธศาสนา
ธรรมคุณ ๖ ๖. ปัจจตั ตงั ๑. สวาก ขาโต ๒. สนั ทิฏฐิโก เวทิตพั โพ ๓. อกาลิโก วิญญูหิ ภควตา ธมั โม ๕. โอปนยโิ ก ธรรมคุณ ๖ ๔. เอหิปัส สิโก
๒. อริยสัจ ๔ ๑. ทุกข์ ๒. สมุทยั อริยสจั ๔ คือ ความจริงอนั ประเสริฐ อริยสัจ ๔ ประการ อนั เป็นหลกั คาสอนสาคญั ของ ๔ พระพทุ ธศาสนา มีดงั น้ี ๔. มรรค ๓. นิโรธ
๒.๑ ทุกข์ ทุกข์ (ธรรมทค่ี วรรู้) คือ ความจริง วา่ ดว้ ยความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความทุกขน์ ้นั เกิดข้ึนกบั ใคร กไ็ ด้ เราจึงไม่ควรประมาทและพร้อมท่ี จะเผชิญหนา้ กบั ความจริง ณ ที่น้ีจะ กล่าวถึงขนั ธ์ ๕ ซ่ึงเป็นหลกั ธรรมที่ควรรู้ เพื่อใหร้ ู้ความจริงของการเกิดทุกข์
• ขนั ธ์ ๕ คือ องคป์ ระกอบของชีวติ รูป ส่วนท่ีเป็นร่างกาย มี ๕ ประการดงั น้ี เวทนา ความรู้สึกที่เกิดข้ึน มี 3 อยา่ ง คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนา สัญญา การกาหนดหมายรู้ส่ิงใดสิ่งหน่ึง เช่น รูป รส กล่ิน เสียง และอารมณ์ เป็นตน้ สังขาร ส่ิงปรุงแต่งจิตเป็นผลรวมของการรับรู้ วญิ ญาณ การรับรู้ผา่ นประสาทสมั ผสั ท้งั ๕ และใจ
แผนผงั แสดงวญิ ญาณ ๖ โสตวญิ ญาณ จกั ขวุ ญิ ญาณ ชิวหาวญิ ญาณ ฆานวญิ ญาณ กายวญิ ญาณ มโนวญิ ญาณ
• อายตนะ คือ จุดเช่ือมต่อระหวา่ งขนั ธ์ ๕ กบั สิ่งที่อยภู่ ายนอกตวั เรา อายตนะจดั เป็น องคป์ ระกอบของวญิ ญาณ คือ การรับรู้ แบ่งเป็นอายตนะภายในและอายตนะภายนอก อายตนะภายใน อายตนะภายนอก • ตา เรียกวา่ จกั ขปุ ระสาท • รูป สิ่งที่เห็นดว้ ยตา • หู เรียกวา่ โสตประสาท • เสียง ส่ิงท่ีไดย้ นิ ดว้ ยหู • จมูก เรียกวา่ ฆานประสาท • กลน่ิ ส่ิงท่ีสูดดมไดด้ ว้ ยจมูก • ลนิ้ เรียกวา่ ชิวหาประสาท • รส สิ่งที่ลิ้มรสไดด้ ว้ ยลิ้น • กาย เรียกวา่ กายประสาท • สัมผสั สิ่งท่ีถูกตอ้ งกาย • ใจ หมายถึง จิต • อารมณ์ เร่ืองที่คิดข้ึนดว้ ยใจ
๒.๒ สมุทยั สมุทยั (ธรรมทค่ี วรละ) คือ ความจริงวา่ ดว้ ยเหตุเกิดแห่งทุกข์ เพราะความทุกขท์ ่ีเกิดข้ึน น้นั ตอ้ งมีสาเหตุ ไม่ไดม้ ีข้ึนลอยๆ ในท่ีน้ีจะพดู ถึงหลกั ธรรมท่ีควรละ ๓ อยา่ ง เพือ่ ไม่ให้ เกิดทุกข์ ไดแ้ ก่ หลกั กรรม (สมบตั ิ ๔ วบิ ตั ิ ๔) อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ และอบายมุข ๖
• หลกั กรรม หรือกฎแห่งกรรม เป็นคาสอนที่สาคญั ของพระพทุ ธศาสนา ผลของกรรมมีท้งั ผล ช้นั ในและผลช้นั นอก สิ่งสนบั สนุนใหก้ รรมดีใหผ้ ล เรียกวา่ สมบตั ิ ส่ิงสนบั สนุนใหก้ รรมชว่ั ใหผ้ ล เรียกวา่ วบิ ตั ิ สมบตั ิ ๔ วบิ ตั ิ ๔ • คตสิ มบัติ คือ เกิดในภพ หรือ ประเทศ • คติวบิ ัติ คือ เกิดในภพ หรือ ประเทศที่ ท่ีเจริญ ไม่เจริญ • อุปธิสมบตั ิ คือ เกิดมามีร่างกายท่ี • อุปธิวบิ ตั ิ คือ เกิดมามีร่างกายพิกลพิการ สง่างาม แขง็ แรง ไม่สง่างาม • กาลสมบตั ิ คือ เกิดในสมยั บา้ นเมือง • กาลวบิ ัติ คือ เกิดในสมยั บา้ นเมือง สงบสุข มีทุกขเ์ ขญ็ • ปโยคสมบตั ิ คือ การทาใหค้ รบถว้ น • ปโยควบิ ตั ิ คือ การทาไม่ครบถว้ น ทาอยา่ งต่อเน่ือง ไม่ต่อเน่ือง
ตวั อย่างแสดงให้เห็นถึงการเกดิ ในทต่ี ่างๆ • เกิดในที่เจริญ มีการบริการดี การศึกษาดี ท้งั ที่ไม่ขยนั • มีสติปัญญาดี แต่เกิดเป็นคนป่ า • มีความรู้ ความสามารถดี แต่ไปอยใู่ นท่ีท่ีเขา ไม่เห็นคุณค่า • เป็นคนซื่อสตั ย์ เกิดในยคุ ผปู้ กครองดี สงั คม ยกยอ่ งเชิดชู คนน้นั กม็ ีเกียรติมีความเจริญ
• อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ คือ ทางแห่งอกศุ ลกรรม หรือทางแห่งความชว่ั แบ่งได้ ดงั น้ี กรรมชว่ั ทางกาย กรรมชว่ั ทางวาจา กรรมชวั่ ทางใจ • ปาณาติบาต • มุสาวาท • อภิชฌา • อทินนาทาน • ปิ สุณวาจา • พยาบาท • กาเมสุมิจฉาจาร • ผรุสวาจา • มิจฉาทิฐิ • สมั ผปั ปลาปะ
• อบายมุข ๖ คือ ทางแห่งความเส่ือม มี ๖ ประการ ดงั น้ี ตดิ สุราและของมนึ เมา มีโทษ ดงั น้ี • ทาใหเ้ สียทรัพย์ • ทาใหเ้ กิดการทะเลาะววิ าท • เป็นบ่อเกิดแห่งโรค • ทาใหเ้ สียเกียรติยศและชื่อเสียง • ทาใหไ้ ม่รู้จกั อาย • บน่ั ทอนสติปัญญา
ชอบเทย่ี วกลางคืน มีโทษ ดงั น้ี • เป็นการไม่รักตวั • เป็นการไม่รักลูกเมียหรือครอบครัว • เป็นการไม่รักษาทรัพยส์ มบตั ิ • เป็นท่ีระแวงสงสยั ของผอู้ ื่น • เป็นเป้าใหเ้ ขาใส่ความ • เป็นที่มาของความเดือดร้อนนานาชนิด
ชอบเทยี่ วดูการละเล่น มีโทษ ดงั น้ี • ถา้ เท่ียวมากเกินไป ทาให้ใจจดจ่ออยู่กบั สิ่งเหล่าน้นั ไม่เป็นอนั ทามาหากิน เสียท้งั เวลา เสี ยท้ังเงิน ทาให้คนอ่ืนเช่ือถือ น้อยลง ถูกมองว่าเป็ นคนไม่เอาการเอา งาน
ตดิ การพนัน มีโทษ ดงั น้ี • เมื่อชนะยอ่ มก่อเวร เพราะเม่ือเล่นไดย้ อ่ ม มีคนอยากแกม้ ือเรียกร้องใหเ้ ล่นอีก • เมื่อแพย้ อ่ มเสียดายทรัพย์ • ทรัพยส์ ินเสียหาย • ไม่มีใครเชื่อถือ • เพื่อนฝงู ดูหม่ิน • ไม่มีใครอยากไดเ้ ป็นคู่ครอง
คบคนช่ัวเป็ นมติ ร นกั เรียนควรหลีกเลี่ยง โดยคนชวั่ แบ่งเป็น ๖ ประเภท ดงั น้ี • นกั เลงการพนนั • นกั เลงเจา้ ชู้ • นกั เลงสุรายาเสพติด • นกั ลวงเขาดว้ ยของปลอม • นกั หลอกลวง • นกั เลงหวั ไม้
เกยี จคร้านการงาน มีโทษดงั น้ี • ประโยชน์และสิ่งดีงามท้งั หลายย่อมไม่ เกิดจากความเกียจคร้าน เรียนหนงั สือก็สู้ เขาไม่ได้ ทามาหากินกส็ ู้เขาไม่ได้
คุณประโยชน์ของการละเว้นอบายมุข • ไม่เสียทรัพยไ์ ปโดยเปล่าประโยชน์ • ไม่หมกมุ่นในส่ิงที่หาสาระไม่ได้ • ประกอบหนา้ ที่การงานไดเ้ ตม็ ท่ี • ชีวติ ไม่ตกต่า • เป็นที่รักใคร่และเป็นที่ไวใ้ จของผอู้ ื่น • มีพลานามยั สมบูรณ์ สติปัญญาไม่เส่ือมถอย • สามารถประกอบหนา้ ที่ไดด้ ว้ ยความสุจริต
๒.๓ นิโรธ นิโรธ (ธรรมทค่ี วรบรรลุ) คือ ความจริงวา่ ดว้ ยความดบั ทุกข์ เม่ือความทุกขเ์ กิดจากสาเหตุ ถา้ เราดบั สาเหตุเสีย ความทุกขน์ ้นั กย็ อ่ มดบั ไปดว้ ย ณ ที่น้ีจะพดู ถึงหลกั ธรรมบางขอ้ ท่ีเรา ควรบรรลุ เพือ่ เป็นทางดบั ทุกขต์ ามหลกั อริยสจั ๔ จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ “นิพพาน” กเ็ ป็นความสุข และเป็นบรมสุข คือ สุขสูงสุด
ความสุขน้นั แบ่งเป็น สามิสสุข กบั นิรามิสสุข • สามสิ สุข คือ ความสุขทางวตั ถุ หรือ ความสุขทางเน้ือหนงั การเสพสามิสสุขเป็น ธรรมดาของคนทว่ั ไป พระพทุ ธศาสนาสอน เร่ือง “คิหิสุข” คือ ความสุขของชาวบา้ น ไดแ้ ก่ – อตั ถิสุข – โภคสุข – อนณสุข – อนวชั ชสุข
• นิรามสิ สุข คือ ความสุขท่ีไม่อิงวตั ถุ ภายนอก เรียกง่ายๆ วา่ ความสุขทางใจ มี ต้งั แต่ข้นั ต่าสุดไปถึงข้นั สูงสุด คือ นิพพาน ความสุขทางใจในระดบั ชาวบา้ น เช่น การ ไดร้ ับความอบอุ่นจากครอบครัว ไม่มีศตั รู ข้นั สูง เช่น การมีจิตใจสงบ ไม่คิดร้ายใคร สูงข้ึนไปอีก เช่น เกิดความอิ่มใจเมื่อได้ เสียสละ เป็นตน้
๒.๔ มรรค มรรค (ธรรมทคี่ วรเจริญ) คือ ความจริงวา่ ดว้ ยทางแห่งความดบั ทุกข์ ถา้ ใครปฏิบตั ิตามก็ จะลดความทุกขห์ รือปัญหาได้ ณ ที่น้ีจะพดู ถึงหลกั ธรรมบางขอ้ ที่เราควรปฏิบตั ิ เพื่อเป็น ทางท่ีนาไปสู่ความดบั ทุกข์ ดงั น้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191