๖หน่วยการเรียนรู้ท่ี วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพธิ ี ศาสนพิธีหรือพิธีกรรมทางศาสนาเป็ นระเบียบแบบแผนทาง ศาสนาท่ีกาหนดข้ึนเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ยึดถือปฏิบัติเป็ น แบบอยา่ งเดียวกนั และถือเป็นส่วนประกอบที่สาคญั ประการหน่ึงของ พระพุทธศาสนา และยงั ช่วยแสดงออกถึงเอกลกั ษณ์ของชาติและสร้าง ความสามคั คีใหเ้ กิดข้ึนในหมู่คณะ
๑. วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา ๑.๑ หลกั ธรรมเบือ้ งต้นทเี่ กย่ี วเน่ืองในวนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา วนั มาฆบูชา • ความเป็ นมาและความสาคญั เนื่องจากมีเหตุการณ์สาคญั ๔ อยา่ งเกิดข้ึน พร้อมกนั ท่ีเรียกวา่ “จาตุรงคสนั นิบาต” • การปฏบิ ตั ิตน ตอนเชา้ ทาบุญตกั บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ตอนค่าไปเวยี นเทียน
จาตุรงคสันนิบาต จาตุรงคสนั นิบาต ๑. พระอรหนั ตจ์ านวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกนั ณ เวฬุวนั มหาวหิ าร แปลวา่ ๒. พระอรหนั ตส์ าวกเหล่าน้ีลว้ นไดร้ ับเอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา ๓. พระอรหนั ตส์ าวกเหล่าน้ีมาประชุมโดยมิไดน้ ดั หมาย การประชุมอนั ประกอบดว้ ย องค์ ๔ ๔. พระพทุ ธองคท์ รงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
ข้อพงึ ระลกึ ในการเวยี นเทยี น รอบแรก ใหร้ ะลึกถึงพระพทุ ธคุณวา่
รอบท่ี ๒ ใหร้ ะลึกถึงพระธรรมคุณวา่
รอบท่ี ๓ ใหร้ ะลึกถึงพระสงั ฆคุณวา่
วนั วสิ าขบูชา • ความเป็ นมาและความสาคญั เป็นวนั คลลา้ ยวนั ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระพทุ ธเจา้ • การปฏิบตั ิตน ปฏิบตั ิตนเช่นเดียวกบั วนั มาฆบูชา
หลกั ธรรมทเ่ี กยี่ วเน่ืองในวนั วิสาขบูชา ทุกข์ อริยสัจ ๔ หวั ใจสาคญั ของการตรัสรู้ มรรค อริยสัจ ๔ สมุทยั นิโรธ
วนั อฏั ฐมบี ูชา เป็นวนั คลา้ ยวนั ถวายพระเพลิง พระพทุ ธสรีระ
วนั อาสาฬหบูชา • ความเป็ นมาและความสาคญั เป็นวนั แรกท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ธรรมและประกาศศาสนา เป็นวนั แรกท่ีมี พระสงฆเ์ กิดข้ึนในโลก และเป็นวนั แรกท่ีมี พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ • การปฏิบตั ติ น ปฏิบตั ิเช่นเดียวกบั วนั มาฆบูชา
๑.๒ วนั ธรรมสวนะและเทศกาลสาคญั วนั ธรรมสวนะ วนั สาหรับฟังธรรม เรียกกนั ทวั่ ไปวา่ วนั พระ การไดฟ้ ังธรรมในวนั พระจะเป็นการ เพิม่ พนู ศรัทธาในพระรัตนตรัย และไดท้ ราบ แนวทางในการปฏิบตั ิตนของชาวพทุ ธที่ดี
วนั เข้าพรรษา • ความเป็ นมาและความสาคญั วนั ที่พระภิกษุอธิษฐานวา่ จะอยปู่ ระจา ณ อาวาสใดอาวาสหน่ึง เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตลอดฤดูฝน • การปฏิบตั ติ น ภิกษสุ งฆ์ : จะประชุมกนั ในโบสถเ์ พื่อทา วตั รค่า และจะมีการบอกวตั รปฏิบตั ิต่างๆ ท่ี ภิกษุควรกระทาระหวา่ งเขา้ พรรษา พทุ ธศาสนิกชน : ทาบุญ ตกั บาตร แห่เทียน พรรษา
วนั ออกพรรษา วนั สิ้นสุดระยะการจาพรรษา พระภกิ ษุ ทุกรูปตอ้ งทาปวารณาหลงั ออกพรรษาแลว้ การปวารณา หมายถึง การท่ีพระภิกษุ สงฆเ์ ปิ ดโอกาสใหผ้ ปู้ ระพฤติพรหมจรรยใ์ น ธรรมวนิ ยั เดียวกนั วา่ กล่าวตกั เตือนกนั ได้
วนั เทโวโรหณะ ในวนั ออกพรรษาพทุ ธศาสนิกชนจะร่วมทาบุญ ตกั บาตรที่วดั เรียกวา่ ตกั บาตรเทโว คาวา่ เทโว แปลวา่ การเสดจ็ ลงมาจากเทวโลก
๒. ศาสนพธิ ี ๒.๑ การทาบุญตกั บาตร ตกั บาตร เป็นการถวายภตั ตาหารแก่พระสงฆด์ ว้ ยการใส่ภตั ตาหารลงไปในบาตรของ ท่าน ซ่ึงมีวตั ถุประสงค์ คือ ๑. ถือเป็นการทาบุญอยา่ งหน่ึง ๓. สร้างความดีใหแ้ ก่ตนเอง ๒. เป็นการถวายการอุปถมั ภแ์ ด่พระสงฆ์ ๔. เป็นส่วนประกอบสาคญั ของการ ทาบุญ
๒.๒ การถวายภัตตาหาร ภตั ตาหาร คือ อาหารต่างๆ ที่เราประกอบข้ึนแลว้ นาไปถวายแด่พระสงฆ์ มีวตั ถุประสงค์ คือ • เพ่อื สืบทอดประเพณี • เพ่อื สร้างความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง • เพ่ือจะไดม้ ีโอกาสฟังธรรมจากพระสงฆอ์ ยา่ งใกลช้ ิด • เพื่อเป็นการทานุบารุงพระพทุ ธศาสนา
๒.๓ การถวายสังฆทาน สงั ฆทาน คือ ทานท่ีถวายแด่พระสงฆท์ ว่ั ไปมิไดเ้ จาะจงวา่ จะเป็นภิกษรุ ูปใดรูปหน่ึง ของท่ีถวายเรียกวา่ เครื่องไทยธรรม
เครื่องไทยธรรม ภตั ตาหาร น้า รวมท้งั เคร่ืองด่ืมที่พระสงฆด์ ื่มได้ ผา้ เคร่ืองนุ่งห่ม ยานพาหนะ รวมถึงปัจจยั ค่าพาหนะ มาลยั ดอกไม้ เคร่ืองบูชาต่างๆ ธูป เทียนบูชาพระ เคร่ืองสุขภณั ฑส์ าหรับชาระร่างกาย เคร่ืองท่ีนอนอนั สมควร ที่อยอู่ าศยั และบริวาร เช่น กฏุ ิ เสนาสนะ เคร่ืองใชท้ ี่ใหแ้ สงสวา่ ง เช่น เทียน ตะเกียง
๒.๔ การถวายผ้าอาบนา้ ฝน ผา้ อาบน้าฝนหรือผา้ วสั สิกสาฏก คือ ผา้ อาบน้าท่ีพทุ ธศาสนิกชนนามาถวายแด่ พระสงฆใ์ นฤดูฝน เป็นการทาบุญและอุปถมั ภใ์ หพ้ ระสงฆม์ ีเครื่องใชต้ ามฤดูกาล
๒.๕ การจดั และถวายเคร่ืองไทยธรรม เครื่องไทยทาน เครื่องไทยธรรม หมายถึง ของถวายพระเท่าน้นั เครื่องไทยทาน หมายถึง ของสาหรับ ทาทานกบั ใครกไ็ ด้ ไม่จาเพาะเจาะจงวา่ ตอ้ งเป็นพระสงฆ์ วตั ถุประสงค์ • เพือ่ ถวายความอุปถมั ภแ์ ด่ภิกษุ • เพ่อื ลดความตระหนี่ ความโลภ • เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง • เพ่อื อุทิศส่วนกศุ ลใหแ้ ก่บุพการี ญาติมิตร และจา้ กรรมนายเวรที่ ล่วงลบั ไปแลว้
๒.๖ การกรวดนา้ การกรวดน้า หมายถึง การอุทิศส่วนกศุ ล อนั จะพึงเกิดจากการทาบุญใหแ้ ก่ผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ ดว้ ยวธิ ีการหลง่ั น้า วตั ถุประสงค์ • เพอื่ สืบต่อประเพณีทางพระพทุ ธศาสนา • แสดงความกตญั ญูกตเวทีต่อผมู้ ีพระคุณท่ีล่วงลบั ไปแลว้ • แสดงความเมตตาแก่ผลู้ ่วงลบั ไปแลว้
๒.๗ การทอดกฐิน ทอดกฐิน หมายถึง การนาผา้ กฐินไปวางไวต้ ่อหนา้ พระสงฆอ์ ยา่ งนอ้ ย ๕ รูป โดยมิได้ ต้งั ใจจะถวายแด่พระสงฆร์ ูปใดรูปหน่ึง วตั ถุประสงค์ • ถือวา่ เป็นการทาบุญที่มีอานิสงส์ยง่ิ กวา่ การทาบุญอ่ืนๆ • เป็นการอุปถมั ภพ์ ระสงฆ์ • เป็นการสืบต่อประเพณีทางพระพทุ ธศาสนา • เป็นการเปิ ดโอกาสใหท้ าบุญร่วมกนั
๒.๘ การทอดผ้าป่ า ผา้ ป่ า หมายถึง ผา้ ท่ีไม่มีเจา้ ของ วางทิ้งอยตู่ ามป่ าหรือป่ าชา้ ซ่ึงพระสงฆต์ อ้ งนามาซกั มายอ้ ม แลว้ นามาทาเป็นจีวร ภายหลงั ประชาชนเห็นความลาบากจึงนาผา้ ดีๆ ทาเป็ นจีวรสาเร็จรูป แลว้ นาไปทอดทิ้งตามป่ า สุดแทแ้ ต่พระภิกษรุ ูปใดมาพบกช็ กั เอาไป
๗หน่วยการเรียนรู้ท่ี การบริหารจิตและการเจริญปัญญา การบริหารจิตเป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจใหด้ ีงาม มีความหนกั แน่น ผอ่ นคลายและสงบสุข ส่วนการเจริญปัญญา เป็นการฝึกจิตใหร้ ู้จกั คิด อยา่ งท่ีเรียก กนั วา่ “คิดเป็น แกป้ ัญหาเป็น”
๑. การบริหารจติ และการเจริญปัญญา การบริหารจติ การเจริญปัญญา การฝึกฝนอบรมจิตใจใหด้ ีงาม การส่งเสริมพฒั นาปัญญาใหเ้ กิดข้ึน นุ่มนวล มีความหนกั แน่น มนั่ คง ผอ่ นคลาย ดว้ ยการฝึกอบรม ใหเ้ กิดความรู้และเขา้ ใจ และสงบสุข ส่ิงต่างๆ ตามความเป็นจริง
๑.๑ ประโยชน์ของการบริหารจติ และการเจริญปัญญา ทาใหจ้ ิตใจสบาย หายเครียด หายจากการวติ กหวาดกลวั นอนหลบั ง่าย หลบั สนิท มีความวอ่ งไว กระฉบั กระเฉง มีความพยายามแน่วแน่ในจุดหมาย มีสติสมั ปชญั ญะ มีประสิทธิภาพในการทางาน ส่งเสริมความจา เก้ือกลู ต่อสุขภาพทางกาย รักษาโรคบางอยา่ งได้
๑.๒ วธิ ีปฏบิ ตั ใิ นการบริหารจิตและเจริญปัญญา ๑. เลือกสถานท่ีใหเ้ หมาะสมกบั การฝึกสมาธิ ๒. ควรเลือกเวลาที่เหมาะสม ๓. สมาทานศีล ๔. นมสั การพระรัตนตรัย ๕. แผเ่ มตตา ๖. ตดั กงั วล
๑.๓ การบริหารจิตตามหลกั อานาปานสติ ท่านง่ั นง่ั ได้ ๒ ลกั ษณะ คือ นง่ั ขดั บลั ลงั กแ์ ละนง่ั ขดั สมาธิเพชร วธิ ีกาหนดลมหายใจ • ใหก้ าหนดลมหายใจเขา้ ออก • ใหก้ าหนดเฉยๆ ไม่ตอ้ งนบั • ใหส้ งั เกตอาการพองและยบุ ของทอ้ ง • ใหภ้ าวนาในใจวา่ “พทุ - โธ”
๒. การเจริญปัญญาโดยการคิดแบบโยนิโสมนสิการ การคิดแบบโยนิโสมนสิการ มี ๑๐ วธิ ี ดงั น้ี ๑. คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ๒. คิดแบบคุณโทษและทางออก ๓. คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั ๔. คิดแบบอรรถสมั พนั ธ์ ๕. คิดแบบแกป้ ัญหา ๖. คิดแบบรู้เท่าทนั ธรรมดา ๗. คิดแบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม ๘. คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม ๙. คิดแบบอยใู่ นปัจจุบนั ๑๐. คิดแบบแยกประเดน็
๒.๑ คดิ แบบอบุ ายปลุกเร้าคุณธรรม วธิ ีคิดแบบน้ี คือ การใชเ้ หตุผลหรืออุบายเพอ่ื ใหเ้ กิดการกระทาที่เป็นกศุ ล หรือคิด แบบสร้างสรรค์ เร่ืองที่คิดจะเป็นเรื่องอะไรกไ็ ด้ คือ เร่ืองดีกไ็ ด้ เร่ืองไม่ดีกไ็ ด้ แต่วธิ ีคิดจะตอ้ ง นาไปสู่การกระทาที่ดี
๒.๒ คดิ แบบอรรถสัมพนั ธ์ วธิ ีคิดแบบน้ี คือ คิดหลกั การใหส้ มั พนั ธก์ บั ความมุ่งหมาย คิดเร่ืองอะไรกต็ าม ถา้ คิดใหห้ ลกั การกบั ความมุ่งหมายสอดคลอ้ งกนั ความคิดน้นั ยอ่ มนาไปสู่การกระทาใหป้ ระสบ ความสาเร็จ ไม่เขวออกนอกทาง
๘หน่วยการเรียนรู้ท่ี การปฏิบัตติ นตามหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา หลกั ธรรมถือเป็นหวั ใจสาคญั สาหรับทุกศาสนา พระพทุ ธศาสนาก็ เช่นเดียวกบั ศาสนาอ่ืนท่ีมีพระธรรมคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ เป็นหวั ใจสาคญั ต่อพทุ ธศาสนิกชน หลกั ธรรมต่างๆ ไดก้ ่อเกิดประโยชนต์ ่อการจรรโลงสงั คมให้ สงบสุขภายใตก้ ระแสความเปล่ียนแปลงของโลก โดยเฉพาะหลกั ธรรมการอยู่ ร่วมกนั อยา่ งสนั ติสุข ดว้ ยเหตุน้ี หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาจึงเป็นหลกั ธรรมที่ดีงาม มีความเป็นเหตุเป็นผล และสามารถพิสูจน์ไดด้ ว้ ยการปฏิบตั ิ พทุ ธศาสนิกชนท่ีดี จึงควรศึกษาและปฏิบตั ิตนตามหลกั คาสอน อนั จะนาไปสู่การปฏิบตั ิตนในทาง ท่ีถูกที่ควร ซ่ึงจะก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คมไดใ้ นอนาคต
๑. การปฏิบัตติ นอย่างเหมาะสมในกระแสความเปลย่ี นแปลงของโลก ๑.๑ การปฏบิ ตั ติ นของชาวพุทธ ท่ามกลางกระแสความเปล่ียนแปลง ของโลกและสงั คมมนุษย์ การปฏิบตั ิตนของเรา ตอ้ งอยภู่ ายใตก้ รอบหลกั ธรรมคาสอนของ พระพทุ ธศาสนา ที่เนน้ ความสุขสงบทางจิตใจ มากกวา่ วตั ถุ และสอนใหเ้ ดินทางสายกลาง ที่เรียกวา่ มชั ฌิมาปฏิปทา คาสอนทางพระพทุ ธศาสนามี มากมายที่มนุษยส์ ามารถนา ไปปฏิบตั ิให้เกิด ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั เช่น สอนเร่ือง สนั โดษ ซ่ึงมิไดแ้ ปลวา่ มกั นอ้ ย แต่แปลวา่ ยนิ ดี ในส่ิงท่ีตนหาไดอ้ ยา่ งชอบธรรม หรือสอนให้ คนแข่งขนั กนั ทาความดี มีความเอ้ือเฟ้ื อต่อผอู้ ่ืน สอนใหร้ ะงบั และลดความโลภ
๑.๒ อริยทรัพย์ ๗ อริยทรัพย์ ๗ ทรัพยอ์ นั ประเสริฐ • ศรัทธา : ความเช่ือท่ีมีเหตุผล • ศีล : การรักษากาย วาจาใหเ้ รียบร้อย • หิริ : ความละอายใจต่อการทาชวั่ • โอตตปั ปะ : ความเกรงกลวั ต่อผลของการทาชว่ั • พาหุสัจจะ : ความเป็นผไู้ ดศ้ ึกษาเล่าเรียนมาก • จาคะ : ความเสียสละ • ปัญญา : ความรู้ความเขา้ ใจถ่องแทใ้ นเหตุผล
๒. การปฏบิ ตั ติ นเพ่ือการอย่รู ่วมกนั อย่างสันตสิ ุข ๒.๑ ความรุนแรงกบั ความยุตธิ รรม สถานที่ใดกต็ ามที่ไม่มีความยตุ ิธรรมมกั มีความรุนแรงเกิดข้ึน บางทีคนเรากม็ ี ความเห็นต่างกนั วา่ อยา่ งน้ียตุ ิธรรมหรือไม่ นามาซ่ึงความลาเอียง อนั เป็นท่ีมาแห่งความ ไม่ยตุ ิธรรม หรือที่เรียกวา่ อคติ ๔ • ฉันทาคติ : ความลาเอียงเพราะชอบ • โทสาคติ : ความลาเอียงเพราะชงั • โมหาคติ : ความลาเอียงเพราะหลง • ภยาคติ : ความลาเอียงเพราะกลวั
๒.๒ ความรุนแรงกบั ความไม่รู้ ความรุนแรงบางคร้ังเกิดข้ึนเพราะความไม่รู้หรือความเขา้ ใจผดิ ชาวพทุ ธท่ีดีจึงตอ้ ง หมน่ั แสวงหาความรู้เพ่อื ป้องกนั มิใหเ้ กิดความรุนแรง โดยปฏิบตั ิตามหลกั วุฑฒธิ รรม ๔ • สัปปุริสสังเสวะ : เสวนาสตั ตบุรุษ • สัทธัมมสั สวนะ : การฟังธรรม • โยนิโสมนสิการ : การทาไวใ้ นใจ โดยแยบคาย • ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ : การปฏิบตั ิธรรม ตามสมควรแก่ธรรม
๒.๓ พรหมวหิ าร ๔ กบั สันตสิ ุข พรหมวหิ าร ๔ ธรรมประจาใจอนั ประเสริฐ ๑. เมตตา เป็นหลกั ธรรมช่วยใหค้ นเราอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ ง สงบสุข มีความรัก ความเอ้ืออาทรต่อกนั ๔. พรหมวหิ าร ๔ ๒. กรุณา อุเบกขา ๓. มุทิตา
๒.๔ อธิปไตย ๓ กบั สันตสิ ุข การที่ผมู้ ีอานาจในการตดั สินใจจะทาอะไรลงไปน้นั อาจยดึ ถือหลกั อธิปไตย ๓ หมายถึง ความเป็นใหญ่ • อตั ตาธิปไตย : ความมีตนเป็นใหญ่ • โลกาธิปไตย : ความมีโลกเป็นใหญ่ • ธัมมาธิปไตย : ความมีธรรมเป็นใหญ่
๒.๕ กศุ ลวติ ก ๓ กบั สันตสิ ุข กุศลวติ ก ๓ การนึกคิดในทางท่ีดีงาม ผทู้ ี่นึกแต่สิ่งที่ดีงามจะช่วยใหส้ งั คมลดความรุนแรงลง • เนกขมั มวติ ก : ความนึกคิดปลอดจากกาม • อพยาบาทวติ ก : ความนึกคิดปลอดจากพยาบาท • อวหิ ิงสาวติ ก : ความนึกคิดปลอดจากการเบียดเบียน ผลดีจากการนึกคิดในทางกศุ ล คือ มีจิตปลอดโปร่ง แจ่มใส คิดจะทาอะไร กส็ าเร็จดว้ ยดี
๒.๖ สังคหวตั ถุ ๔ กบั สันติสุข สังคหวตั ถุ ๔ วธิ ีปฏิบตั ิเพอ่ื ยดึ เหนี่ยว ๑. ทาน น้าใจคนอ่ืน หรือวธิ ีผกู ใจคน สังคห ๔. สมา วตั ถุ ๔ ๒. ปิ ย นตั ตตา วาจา ๓. อตั ถ จริยา
๒.๗ สาราณียธรรม ๖ กบั สันตสิ ุข สาราณยี ธรรม ๖ ธรรมหรือสิ่งที่เป็นเหตุใหร้ ะลึกถึงกนั มีจุดหมายเพ่อื ตอ้ งการสอนให้ คนสมคั รสมานสามคั คีกนั • เมตตากายกรรม : การกระทาต่อกนั ดว้ ยเมตตา • เมตตาวจีกรรม : พดู ต่อกนั ดว้ ยเมตตา • เมตตามโนกรรม : คิดถึงกนั ดว้ ยเมตตา • สาธารณโภคี : ลาภผลที่ไดม้ าโดยชอบธรรม • สีลสามญั ญตา : ความเป็นผมู้ ีความประพฤติเสมอกนั • ทฏิ ฐิสามญั ญตา : ความเป็นผมู้ ีความคิดเห็นเสมอกนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191