Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ค่าวลำปาง

ค่าวลำปาง

Published by husoclibrary.lpru, 2022-07-19 01:58:57

Description: ค่าวลำปาง

Search

Read the Text Version

28    ความหมายของการมีส่ วนร่ วมของชุมชน การมีส่วนร่วมของชุมชนน้นั มีนกั วชิ าการหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายไวด้ งั น้ี โคเฮนและอฟั ฮอฟ(Cohen and Uphoff. 1981 : 6) ไดใ้ หค้ วามหมาย การมีส่วนร่วมของชุมชน วา่ สมาชิกของชุมชนตอ้ งเขา้ มามีส่วนเกี่ยวขอ้ งใน 4 มิติ ไดแ้ ก่ 1. การมีส่วนร่วมการตดั สินใจวา่ ควรทาํ อะไรและทาํ อยา่ งไร 2. การมีส่วนร่วมเสียสละในการพฒั นา รวมท้งั ลงมือปฏิบตั ิตามที่ไดต้ ดั สินใจ 3. การมีส่วนร่วมในการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดข้ึนจากการดาํ เนินงาน 4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ โดยสร้างโอกาสให้สมาชิกทุกคนของชุมชน ไดเ้ ขา้ มามีส่วนร่วมช่วยเหลือและเขา้ มามีอิทธิพล ต่อกระบวนการดาํ เนินกิจกรรมในการพฒั นา รวมถึงไดร้ ับผลประโยชน์จากการพฒั นาน้นั อย่างเสมอ ภาค องค์การสหประชาชาติ(United Nation. 1981 : 5) และรี เดอร์(Reeder. 1974 : 39) ได้ให้ ความหมายเจาะจงถึงการมีส่วนร่วม ว่าการมีส่วนร่วมเป็นการปะทะสังสรรคท์ างสงั คม ท้งั ในลกั ษณะ การมีส่วนร่วมของปัจเจกบุคคล และการมีส่วนร่วมของกลุ่ม นอกจากน้ี สุชาดา จักรพิสุทธ์ิ (ออนไลน์. 2547) ศึกษาเร่ืองชุมชนกับการมีส่วนร่วมจัด การศึกษา สรุปไดว้ า่ การมีส่วนร่วมของชุมชน แบ่งไดอ้ อกเป็น 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1. ลักษณะการมีส่วนร่วมจากความเก่ียวขอ้ งทางด้านเหตุผล โดยการเปิ ดโอกาสให้สังคม องค์กรต่างๆ ในชุมชน ประชาชนมีบทบาทหลกั ตามสิทธิ หน้าท่ีในการเขา้ มามีส่วนร่วมในการ ดาํ เนินงาน ต้งั แต่การคิดริเร่ิม การพิจารณาตดั สินใจ วางแผน การร่วมปฏิบตั ิและการรับผิดชอบใน ผลกระทบท่ีเกิดข้ึน รวมท้งั ส่งเสริม ชกั นาํ สนบั สนุนให้การดาํ เนินงานเกิดผลประโยชน์ต่อชุมชนตาม จุดมุ่งหมายที่กาํ หนดดว้ ยความสมคั รใจ 2. ลกั ษณะการมีส่วนร่วมจากความเก่ียวขอ้ งทางดา้ นจิตใจ เป็นการมีส่วนร่วมของชุมชน ท่ีการ เกี่ยวขอ้ งทางดา้ นจิตใจ อารมณ์ รวมท้งั ค่านิยมของประชาชนเป็ นเคร่ืองช้ีนาํ ตนเองให้เขา้ มามีส่วน ร่วม แสดงความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ การกระทาํ ให้บรรลุวตั ถุประสงคท์ ่ีกาํ หนดไว้ ทาํ ให้ผูท้ ่ีเขา้ มามี ส่วนร่วมเกิดความผูกพนั รู้สึกรับผิดชอบต่อกิจกรรมที่ดาํ เนินงานดว้ ยความสมคั รใจ จากแนวคิดและ ทศั นะที่ได้กล่าวมาขา้ งตน้ ท้งั หมด สามารถแยกประเด็นสรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมของประชาชน เกิดข้ึนจาก เป้าหมายที่ตอ้ งการ ค่านิยม ความเช่ือ วฒั นธรรมประเพณี ความผูกพนั การเสริมแรง โอกาส ความสามารถ การสนบั สนุน ความคาดหมายในสิ่งท่ีตอ้ งการ โดยมีพ้นื ฐานของการมีส่วนร่วม ดงั น้ี 1. การมีส่วนร่วมบนพ้ืนฐานของเหตุผล

29    2. การมีส่วนร่วมบนพ้ืนฐานของค่านิยม 3. การมีส่วนร่วมบนพ้นื ฐานของประเพณี 4. การมีส่วนร่วมบนพ้นื ฐานของความผกู พนั ความเสน่หา โดยสรุป การมีส่วนร่วมของชุมชนน้นั เกิดจากจิตใจที่ตอ้ งการเขา้ ร่วมในกิจกรรมใดกิจกรรม หน่ึง เพ่ือให้บรรลุถึงวตั ถุประสงคข์ องกลุ่มคนท่ีสอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิตทางสังคม ซ่ึงการเร้าให้คนใน ชุมชนเขา้ มามีส่วนร่วมน้ัน ผูด้ าํ เนินงานจะตอ้ งมีความเขา้ ใจในวิธีการดาํ เนินชีวิต ค่านิยม ประเพณี ทศั นคติของบุคคล เพอ่ื ใหเ้ กิดความสมคั รใจเขา้ ร่วมกิจกรรม ปัจจัยทที่ าํ ให้เกดิ การมสี ่วนร่วม การที่ชุมชนจะเขา้ มามีส่วนร่วมน้นั มีปัจจยั ที่ส่งผลใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วนร่วม ซ่ึงมี นกั วชิ าการไดเ้ สนอแนวคิด ดงั น้ี คูฟแมน (Koufman. 1949 : 7) ศึกษาปัจจยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชนในชนบท พบว่า อายุ เพศ การศึกษา ขนาดของครอบครัว อาชีพ รายไดแ้ ละระยะเวลาการอยอู่ าศยั ในทอ้ งถ่ิน มี ความสมั พนั ธก์ บั ระดบั การมีส่วนร่วมของประชาชน นอกจากน้ี ประยูร ศรีประสาธน์ (2542 : 5) ไดน้ าํ เสนอปัจจยั ของการมีส่วนร่วม ว่าปัจจยั ท่ี ส่งผลต่อการมีส่วนร่วม มีดว้ ยกนั 3 ปัจจยั คือ 1. ปัจจยั ส่วนบุคคล ไดแ้ ก่ อายุ เพศ 2. ปัจจยั ทางสงั คมและเศรษฐกิจไดแ้ ก่ การศึกษา อาชีพ รายไดแ้ ละเป็นสมาชิกกลุ่ม 3. ปัจจยั ดา้ นการส่ือสาร ไดแ้ ก่ การรับข่าวสารจากสื่อมวลชนและสื่อบุคคล จากแนวคิดที่กล่าวมาขา้ งตน้ สามารถสรุปปัจจยั ต่อการมีส่วนร่วมทาํ กิจกรรมได้ ดงั น้ี 1. ลกั ษณะส่วนบุคคล ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดบั การศึกษา ประสบการณ์ต่างๆ 2. ลกั ษณะทางเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ อาชีพ รายได้ 3. การไดร้ ับขอ้ มูลขา่ วสาร ไดแ้ ก่ ความถ่ีในการรับรู้ขา่ วสาร และแหล่งที่มาของขา่ วสาร ข้นั ตอนการมีส่วนร่วมของชุมชน การเขา้ มามีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน เพ่ือการกระทาํ กิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึงให้เกิด ประโยชน์ต่อชุมชนน้นั มีนกั วิชาการไดเ้ สนอแนวคิดถึงข้นั ตอนการมีส่วนร่วมของชุมชน ดงั น้ี ฟอร์นารอฟ (Fornaroff. 1980 : 104) เสนอว่ากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน มีข้นั ตอนการมีส่วน ร่วม ดงั น้ี 1. การวางแผน รวมถึงการตัดสินใจในการกาํ หนดเป้าหมาย กลวิธี ทรัพยากรที่ต้องใช้ ตลอดจนการติดตามประเมินผล 2. การดาํ เนินงาน

30    3. การใชบ้ ริการจากโครงการ 4. การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ นอกจากน้ี อภิญญา กงั สนารักษ์ (2544 : 14 – 15) ไดน้ าํ เสนอข้นั ตอนการมีส่วนร่วมของชุมชน วา่ ชุมชนตอ้ งมีส่วนร่วมใน 4 ข้นั ตอน คือ 1. การมีส่วนร่วมในการริเร่ิมโครงการ ร่วมคน้ หาปัญหาและสาเหตุของปัญหาภายใน ชุมชน ร่วมตดั สินใจกาํ หนดความตอ้ งการและร่วมลาํ ดบั ความสาํ คญั ของความตอ้ งการ 2. การมีส่วนร่วมในข้นั การวางแผน กาํ หนดวตั ถุประสงค์ วิธีการ แนวทาง การดาํ เนินงาน รวมถึงทรัพยากรและแหล่งวทิ ยากรที่จะใชใ้ นโครงการ 3. การมีส่วนร่วมในข้นั ตอนการดาํ เนินโครงการ ทาํ ประโยชนใ์ หแ้ ก่โครงการ โดยร่วม ช่วยเหลือดา้ นทุนทรัพย์ วสั ดุอุปกรณ์ และแรงงาน 4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ เพ่ือให้รู้ว่าผลจากการดําเนินงานบรรลุ วตั ถุประสงคท์ ี่กาํ หนดไวห้ รือไม่ โดยสามารถกาํ หนดการประเมินผลเป็นระยะต่อเนื่องหรือประเมินผล รวมท้งั โครงการในคราวเดียวกไ็ ด้ ส่วน อคนิ รพพี ฒั น์ (2547 : 49) ไดแ้ บ่งข้นั ตอนการมีส่วนร่วมออกเป็น 4 ข้นั ตอน คือ 1. การกาํ หนดปัญหา สาเหตุของปัญหา ตลอดจนแนวทางแกไ้ ข 2. การตดั สินใจเลือกแนวทาง และวางแผนพฒั นา แกไ้ ขปัญหา 3. การปฏิบตั ิงานในกิจกรรมการพฒั นาตามแผน 4. การประเมินผลงานกิจกรรมการพฒั นา ข้นั ตอนการเขา้ มามีส่วนร่วมของชุมชน วิรัช วิรัชนิภาวรรณ (ออนไลน์. 2547) ไดส้ รุปและ นาํ เสนอข้นั ตอนการมีส่วนร่วมใน 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะที่ 1 มีข้นั ตอน ดงั น้ี 1. การคิด 2. การตดั สินใจ 3. การวางแผน 4. การลงมือปฏิบตั ิ ลกั ษณะที่ 2 มีข้นั ตอน ดงั น้ี 1. การกาํ หนดปัญหา 2. การวางแผน 3. การดาํ เนินงาน 4. การประเมินผล 5. การบาํ รุงรักษา และพฒั นาใหค้ งไว้

31    จากแนวคิดเก่ียวกบั ข้นั ตอนการมีส่วนร่วมของชุมชนท้งั หมดสรุปไดว้ า่ ข้นั ตอนของการ เขา้ มามีส่วนร่วมของชุมชนน้นั มี 6 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ 1. การคน้ หาปัญหา สาเหตุของปัญหา และแนวทางแกไ้ ข 2. ตดั สินใจกาํ หนดความตอ้ งการ 3. ลาํ ดบั ความสาํ คญั 4. วางแผน กาํ หนดวตั ถุประสงค์ วิธีการ แนวทางการดาํ เนินงาน ทรัพยากร 5. วางแผน กาํ หนดวตั ถุประสงค์ วธิ ีการ แนวทางการดาํ เนินงาน ทรัพยากร 6. ดาํ เนินงานตามโครงการ และ/หรือ สนบั สนุนการดาํ เนินงาน 7. ประเมินผล รูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการมรดกทางวฒั นธรรม จากข้นั ตอนของการมีส่วนร่วมของชุมชน เพ่ือการร่วมทาํ กิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง ให้เกิด ประโยชน์ต่อชุมชนน้นั บนพ้นื ฐานของการเขา้ มามีส่วนร่วม ไพบูลย์ วฒั นศิริธรรม (ออนไลน์. 2547) ไดน้ าํ เสนอความคิดเห็นผา่ นบทความ “แลหนา้ เศรษฐกิจสังคมไทย” สรุปการเขา้ มีส่วนร่วมของ ประชาชนไดใ้ น 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1. การมีส่วนร่วมของประชาชนท่ีรัฐเป็ นผูน้ าํ การมีส่วนร่วมในลกั ษณะน้ีเป็ นการมองมาจาก เบ้ืองบนหรือมาจากรัฐ ประชาชนเป็นเพียงผคู้ อยรับนโยบายและปฏิบตั ิตาม 2. การมีส่วนร่วมที่เกิดจากความต้องการของประชาชนด้วยความสมัครใจโดยท่ีรัฐคอย ช่วยเหลือใหค้ าํ แนะนาํ หรือคอยอาํ นวยความสะดวกเท่าน้นั ท้งั น้ี การจดั การมรดกทางวฒั นธรรม ตอ้ งดู ตามความพร้อม ความเหมาะสม และความ ตอ้ งการภายในทอ้ งถ่ิน โดยมีรูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจดั การมรดกทางวฒั นธรรมดงั น้ี 1. รูปแบบการจัดการมรดกทางวฒั นธรรมเพื่อพฒั นาชุมชน การจดั การในลกั ษณะน้ี ตอ้ งเกิด จากความสามารถและความตอ้ งการของคนภายในชุมชน ท่ีมุ่งให้เกิดการสืบทอดประเพณี และการ เรียนรู้ที่สอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิตและตอบสนองความตอ้ งการของสมาชิกในชุมชน โดยยึดหลกั ให้คนใน ชุมชนไดเ้ รียนรู้อย่างไม่มีขีดจาํ กดั ของระยะเวลา สถานท่ี เพศ และอายุ เป็ นการเปิ ดโอกาสให้คนใน ชุมชนไดแ้ สดงออกดา้ นความคิด ความสามารถและเรียนรู้ตามอธั ยาศยั ที่แทจ้ ริง ซ่ึงจะทาํ ให้คนชุมชน ไดเ้ ขา้ มามีบทบาทหลกั ในการจดั การประเพณี ท้งั น้ี รูปแบบการมีส่วนร่วมตามแนวทางน้ี ตอ้ งอาศยั องค์ประกอบ 3 อย่างที่มีอยู่ในชุมชน ซ่ึงได้แก่ได้แก่ คน องค์ความรู้ และทรัพยากร โดยผ่าน กระบวนการดาํ เนินการ คือ 1. การวเิ คราะห์ – สงั เคราะห์ ปัญหาชุมชน 2. หาทางออกท่ีเหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิตสงั คมยคุ ปัจจุบนั

32    3. ดาํ เนินการสร้างกิจกรรม(ประเพณีต้งั ธรรมหลวง) เพอื่ ใหค้ นในชุมชน ไดแ้ กไ้ ขปัญหาท่ีมีอยู่ 4. ประเมินผลกิจกรรม โดยการจดั ประเพณีต้งั ธรรมหลวงข้ึน ซ่ึงถือเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ โดย จะเริ่มจากจุดหลักเล็กๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการบริจาคทาน รวมไปถึงรูปแบบของงานที่เกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจาํ วนั แลว้ ขยายออกไปสู่เน้ือหาหรือ กิจกรรมท่ีซับซ้อน และเก่ียวขอ้ งกบั ประเพณีต้งั ธรรม หลวงท้งั หมด 2. รูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดการประเพณตี ้ังธรรมหลวงของคนในชุมชน ชุมชนมีส่วน ร่วมกบั วดั และโรงเรียนในการสร้างองคค์ วามรู้ทอ้ งถ่ินที่สัมพนั ธ์ และสอดคลอ้ งกบั ความเป็ นจริงของ สภาพชุมชน สนองความตอ้ งการและวิถีชีวิตของชุมชนในทอ้ งถ่ิน โดยบุคคลในทอ้ งถิ่น เช่น พระผนู้ าํ ชุมชน ปราชญช์ าวบา้ น ผรู้ ู้ผนู้ าํ ชุมชน ผปู้ กครอง มาร่วมจดั งานประเพณีทอ้ งถิ่นและสร้างองคค์ วามรู้ หลกั พร้อมท้งั ประเมินผล 3. รูปแบบการเช่ือมประสานการจัดการประเพณตี ้งั ธรรมหลวงระหว่างวดั กบั ชุมชน การมีส่วน ร่วมของชุมชนในรูปแบบน้ีจะเกิดข้ึนเฉพาะกบั ชุมชนที่มีกระบวนการเรียนรู้ท่ีเขม้ แขง็ มีองคก์ รชุมชน เพอ่ื จดั การเรียนรู้ร่วมกนั มีเครือขา่ ยการเรียนรู้เพื่อการแลกเปล่ียนประสบการณ์กบั ชุมชนอ่ืน รูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อ การพฒั นาเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง ตามที่ไดก้ ล่าวมาน้นั สรุปไดว้ า่ รูปแบบการมีส่วนร่วมในการจดั การ นอกจากจะเป็ นการมีส่วนร่วมระหว่างคนในชุมชน วดั และ โรงเรียน ในการพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาแลว้ ยงั เป็ นไปในลกั ษณะของการ ร่วมกนั จดั การองคค์ วามรู้เกี่ยวกบั ความสาํ คญั ของภาพตุงค่าวธรรมท่ีปรากฏในจงั หวดั ลาํ ปางให้แก่คน ในชุมชน เพื่อสร้างคุณค่าและความสาํ คญั ของมรดกทางวฒั นธรรมให้แก่ชุมชนน้ันๆ ดว้ ยบนพ้ืนฐาน ของการมีส่วนร่วมในระดบั สูง ในการศึกษาคร้ังน้ี คณะผวู้ ิจยั มุ่งที่จะปลูกจิตสาํ นึกในการอนุรักษแ์ ละพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ ศิลปกรรมทางพุทธศาสนา ในเร่ืองราวของภาพตุงค่าวธรรมที่ยงั่ ยืน อีกท้ังฟ้ื นฟูองค์ความรู้อัน เกี่ยวเนื่องกบั การทาํ หน้าท่ีของตุงค่าวธรรมในอดีตจากประเพณีต้งั ธรรมหลวง เพื่อการสืบทอดและ พฒั นาตนเอง โดยมุ่งหมายให้คนในชุมชนไดม้ ีโอกาสเขา้ มามีส่วนร่วม เพื่อการพฒั นาองคค์ วามรู้ภาพ ตุงคา่ วธรรมเพอ่ื การพฒั นาเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง ซ่ึงจะไดร้ ับจาก การศึกษาคร้ังน้ีไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเอง และชุมชนไดต้ ่อไปอยา่ งยงั่ ยนื จากการศึกษาทฤษฎี หลกั การ แนวคิด และงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งท้งั หมด สรุปไดว้ า่ การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทาง พุทธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง ตอ้ งมีการดาํ เนินการท่ีมีส่วนร่วมของชุมชน เกิดจากจิตใจที่ตอ้ งการเขา้ ร่วมในกิจกรรมพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนา เพ่ือให้เกิดผลต่อความตอ้ งการของ กลุ่มคนท่ีสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวติ ทางสงั คม ท้งั น้ีในการที่จะใหช้ ุมชนเขา้ มามีส่วนร่วมอยา่ งแทจ้ ริงน้นั การ

33    จดั การอยา่ งมีส่วนร่วมตอ้ งคาํ นึงถึง วิถีการดาํ เนินชีวิต ค่านิยม ประเพณี ทศั นคติของบุคคล เพ่อื ใหเ้ กิด ความสมัครใจเขา้ ร่วมกิจกรรม เพราะกลุ่มคนในชุมชนมีความแตกต่างกันในลกั ษณะส่วนบุคคล ลกั ษณะทางเศรษฐกิจ และการไดร้ ับขอ้ มูลข่าวสารสะดวกเท่าน้นั บทที่ 3 วธิ ีการดาํ เนินงานวจิ ยั ประเภทและแบบการวจิ ัย งานวจิ ยั ชิ้นน้ีเป็นการวจิ ยั เชิงคุณภาพ เป็นการศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงคา่ วธรรม เพ่ือการพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง รวมท้งั ศึกษาองคค์ วามรู้ ประวตั ิความเป็ นมา ร่วมกบั วิธีการสาํ รวจภาคสนาม รวมท้งั ศึกษาเพื่อบูรณาการความรู้ในดา้ นปรัชญา ศาสนา ศิลปกรรม สังคมวฒั นธรรม โดยใชว้ ิธีการเขียนอธิบายความพรรณนาและบนั ทึกภาพถ่าย โดย ใช้การวิจยั เชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Action Research-PAR) ซ่ึงเป็ นการวิจยั ใน ลกั ษณะท่ีมุ่งสร้างความสาํ นึกและความตระหนักของคนในชุมชน ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ใน ฐานะเป็ นส่วนหน่ึงของชุมชน ให้มีส่วนรับรู้และเรียนรู้ ในเร่ืองต่างๆ ท่ีเกิดข้ึน โดยการลงพ้ืนที่ ภาคสนาม เขา้ ไปคลุกคลีและมีปฏิสัมพนั ธ์กับชุมชนดว้ ยตนเองของนักวิจยั โดยมีกระบวนการวิจยั ดงั ต่อไปน้ี 1. ขอบเขตการวิจยั 1.1 ดา้ นเน้ือหา 1.2 ดา้ นพ้นื ที่ในการวจิ ยั 1.3 ดา้ นประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 2. วธิ ีดาํ เนินการวิจยั 2.1 เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 2.2 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 2.3 การจดั ขอ้ มูล 2.4 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 2.5 การนาํ เสนอผลการวิจยั 2.6 การพฒั นาเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรม ขอบเขตการวจิ ัย 1.1 ด้านเนื้อหา

34    1. ศึกษาคติแนวความคิด ความเช่ือ วิถีชิวิตความเป็นอยแู่ ละการเปลี่ยนแปลงของบา้ นเมืองใน แต่ละยคุ สมยั ท่ีถูกบนั ทึกลงบนภาพตุงค่าวธรรม 2. ศึกษาคุณค่าและความสําคัญของภาพตุงค่าวธรรม จากอานิสงส์ของการสร้างถวาย ตลอดจนคา่ นิยมของสงั คมเกี่ยวกบั คติความเช่ือ ประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวขอ้ งกบั ตุงค่าวธรรม 3. ศึกษารูปแบบภาพตุงค่าวธรรม รวมถึงศึกษางานจิตรกรรมที่ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรม เก่ียวกบั คุณลกั ษณะทางกายภาพของตวั งานศิลปกรรม ตาํ แหน่งที่ต้งั วสั ดุ เทคนิค วิธีการสร้าง การ ประดบั ตกแต่ง หนา้ ที่ใชส้ อย 1.2 ด้านขอบเขตพืน้ ท่ี งานวิจยั ชิ้นน้ี มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือการศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพ่ือการ พฒั นาเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง ตลอดจนศึกษาการใชง้ านผา้ ตุงค่าว ธรรมในงานประเพณีต้งั ธรรมหลวง ที่ปรากฏข้ึนในปัจจุบนั โดยมีขอบเขตพ้ืนท่ีศึกษาไดแ้ ก่ วดั ลาํ ปาง กลางตะวนั ออก วดั บา้ นเอ้ือม วดั บา้ นสกั วดั ปงสนุก และวดั สบลี ซ่ึงมีขอบเขตพ้ืนที่อยใู่ นเขตจงั หวดั ลาํ ปาง 1.3 ด้านประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง กลุ่มประชากรในการศึกษาวิจยั คร้ังน้ี ใชก้ ลุ่มประชากรท่ีเป็ นรายบุคคลเพื่อการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล จาํ นวน 30 รูป/คน ดงั น้ี กลุ่มผรู้ ู้ (Key Informant) ไดแ้ ก่ กลุ่มผทู้ ่ีมีความรู้ ความสามารถที่จะใหข้ อ้ มูลอนั เป็นประโยชน์ และถูกตอ้ ง ไดแ้ ก่ 1. พระสงฆ์ ภายในอาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง จาํ นวน 5 รูป 2. ผูน้ ําท้องถ่ิน(Local leaders) ได้แก่ ผูใ้ หญ่บ้าน, กํานัน, นายกองค์การบริหารส่วนตาํ บล จาํ นวน 5 คน 3. ผทู้ รงคุณวุฒิ ไดแ้ ก่ผทู้ ี่มีความรู้เก่ียวกบั ประวตั ิและความเป็ นมาต่างๆของชุมชน ประเพณีต้งั ธรรมหลวงในพ้นื ที่ที่ทาํ การศึกษา จาํ นวน 10 คน 4. ประชาชนทัว่ ไป(General Informant) ชาวบา้ นท้งั ชายและหญิง ที่มีอายุต้งั แต่ 30 ปี ข้ึนไป และมีภูมิลาํ เนาอยใู่ นพ้ืนท่ีที่ทาํ การศึกษา ชาย 5 คน, หญิง 5 คน รวม 10 คน กลุ่มตวั อยา่ ง ในการศึกษาวิจยั คร้ังน้ี คือ 5 วดั เป้าหมาย ท่ีอยใู่ นเขตพ้ืนที่จงั หวดั ลาํ ปาง ปรากฏ ภาพตุงค่าวธรรม ซ่ึงส่วนหน่ึงเป็นการสาํ รวจเบ้ืองตน้ ในงานบริการวิชาการสู่ชุมชน โดยศูนยโ์ บราณคดี ภาคเหนือ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ (2552-2554) ซ่ึงแต่ละวดั จะมีภาพตุงค่าวธรรมท่ีแตกต่างกนั บางวดั เขียน เป็ นผืนยาว บางวัดจะเขียนแยกผืน การบรรยายภาพที่ประกอบด้วย เรื่ องราว วิถีชีวิต สภาพแวดลอ้ มของแต่ละชุมชนในภาพตุงค่าวธรรม (พระบฎ) ท่ีมีความแตกต่างกนั จึงไดค้ ดั เลือกวดั ท่ี

35    จะทาํ การศึกษาในคร้ังน้ี จากเส้นทางท่ีสามารถเดินทางเขา้ ไปไดส้ ะดวก และมีแนวโนม้ ท่ีจะสร้างเป็ น ศูนยก์ ารเรียนรู้ภายในชุมชน ซ่ึงจะเช่ือมโยงกบั สถาบนั การศึกษาของแต่ละชุมชน และสภาพของภาพตุง ค่าวธรรมที่มีความสมบูรณ์ รวมถึงศกั ยภาพของพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะเจา้ อาวาส ผนู้ าํ ชุมชน ปราชญ์ ชุมชน การนาํ ขอ้ มูลเก่ียวกบั ขบวนการอนุรักษ์ คุณค่าและประโยชน์ของตุงค่าวธรรมของแต่ละชุมชน ความเป็ นหน่ึงเดียวของชิ้นงาน การใชว้ สั ดุทอ้ งถ่ิน ขอ้ มูลดา้ นการจดั เป็ นแหล่งการเรียนรู้ และขอ้ มูล ดา้ นการท่องเท่ียว เพื่อสร้างเป็ นแนวทางการจดั ต้งั เป็ นแหล่งการเรียนรู้ของชุมชน โดยกาํ หนดพ้ืนที่ใน การศึกษาท้งั หมด 5 วดั ดงั น้ี 6. วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 7. วดั บา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 8. วดั บา้ นสกั อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 9. วดั ปงสนุก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 10. วดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง ภาพตุงค่าวธรรมท้งั หมด เขียนดว้ ยสีฝ่ ุนบนผืนผา้ ดว้ ยสีแดง ส้ม เขียว ดาํ ขาว น้าํ ตาล น้าํ เงิน เขียวและม่วง โดยเขียนเรื่องเวสสนั ดรชาดก อนั เป็นชาดกเรื่องสาํ คญั ท่ีสุดของพทุ ธศาสนาและมีการแต่ง ขยายความเพ่ิมเติมข้ึนในคมั ภีร์อรรถกถาชาดก ซ่ึงเป็ นท่ีมาสาํ คญั ส่วนหน่ึงของเวสสันดรชาดกสาํ นวน ทอ้ งถ่ินในภายหลงั ในลา้ นนา ถือเป็นจิตรกรรมลา้ นนาที่มีความงดงามของฝีมือช่างพ้ืนบา้ น เคร่ืองมือและการรวบรวมข้อมูล 1. การสํารวจเพื่อบันทึกและจัดทําฐานข้อมูลแหล่งที่จัดเก็บภาพตุงค่าวธรรม จาก เอกสารรายงานท่ีเก่ียวขอ้ ง และการสอบถามผรู้ ู้ในทอ้ งถิ่น 2. การสัมภาษณ์ ใชป้ ระกอบการวิจยั เพ่ือให้ไดข้ อ้ มูลเก่ียวคุณค่าและความสาํ คญั ของภาพตุง คา่ วธรรม อานิสงส์ของการสร้าง ตลอดจนค่านิยมของสงั คม คติความเช่ือ ประเพณีและพิธีกรรม 3. กลอ้ งถ่ายภาพ เครื่องอดั เสียงและ GPS ใชใ้ นการเกบ็ บนั ทึกภาพนิ่ง รวมถึงบนั ทึกพกิ ดั วดั ที่ พบภาพตุงค่าว เพ่อื นาํ มาทาํ แผนที่ตามระบบ GPS การเกบ็ ข้อมูล การศึกษาขอ้ มูลภาคเอกสาร เพื่อศึกษาประวตั ิความเป็ นมา องค์ความรู้เกี่ยวกับสังคมและ วฒั นธรรมที่ปรากฎบนภาพตุงค่าวธรรม เครื่องใช้ในพิธีกรรมและกิจกรรมต่างๆ ที่ไดร้ ับการศึกษา มาแลว้ จากน้นั รวบรวมและสรุปเพอื่ ใชใ้ นข้นั ตอนการจดั การต่อไป

36    การศึกษาขอ้ มูลภาคสนาม จากการสัมภาษณ์บุคคลภายในเขตพ้ืนที่การศึกษาในเขตจงั หวดั ลาํ ปาง คณะผวู้ ิจยั ทาํ การสัมภาษณ์ชาวบา้ นในชุมชนต่างๆ เจา้ อาวาสวดั ต่างๆ ท่ีเคยพบเห็นภาพตุงค่าว ธรรม ในเขตพ้ืนท่ีจงั หวดั ลาํ ปาง รวมถึงวิถีชีวิต สังคมและวฒั นธรรมที่ปรกฎบนภาพวาด เพ่ือเก็บ ขอ้ มูลภาพตุงค่าวธรรมปรากฏอยใู่ นวดั /ชุมชนน้นั ๆ โดยใชว้ ธิ ีการ ดงั น้ี การสังเกตการณ์ โดยการสาํ รวจภาคสนามและทาํ การบนั ทึกขอ้ มูลรายละเอียดจาํ นวนภาพตุง ค่าวธรรม ภาพเร่ืองราวดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม และงานพทุ ธศิลป์ เครื่องใชใ้ นพิธีกรรมที่เกี่ยวขอ้ ง การสัมภาษณ์ เป็ นวิธีการดาํ เนินการวิจยั ประกอบเพื่อให้ได้ขอ้ มูลเก่ียวกบั ที่มาของตุงค่าว ธรรม ใครเป็นผสู้ ร้าง ขนาด ปี ท่ีสร้าง การใชง้ านในปัจจุบนั การเก็บรักษา การจดั งานประเพณีต้งั ธรรม หลวงในอดีต ตลอดจนคติความเช่ือที่เก่ียวขอ้ ง วธิ ีการดําเนินการวจิ ัยและการรวบรวมข้อมูล มขี ้ันตอนการดาํ เนินงานดังนี้ 1. ระยะก่อนท าการวจิ ัย โดยการ 1.1 การคดั เลือกชุมชนและการเขา้ ถึงชุมชน ใชแ้ นวคิดที่ว่าคณะวิจยั เขา้ ไปช่วยแกป้ ัญหา คือ การทาํ การอนุรักษ์ภาพตุงค่าวธรรมให้กบั วดั และชุมชนน้ันๆ โดยทาํ ให้ชาวบา้ นรับรู้ว่าคณะวิจยั จะ ร่วมมือกนั กบั ชาวบา้ นในกระบวนการช่วยกนั อนุรักษม์ รดกทางวฒั นธรรมดงั กล่าว 1.2 การบูรณาการนกั วิจยั เขา้ กบั ชุมชน พาตวั ไปทาํ ความคุน้ เคย รู้จกั สนิทสนมกบั คนในชุมชน โดยการพูดคุย สัมภาษณ์ และคน้ หาทีมงานในชุมชนที่เห็นว่าสามารถทาํ งานในกระบวนการแบบ PAR ได้ 1.3 สํารวจขอ้ มูลเบ้ืองตน้ ของชุมชน โดยการประชุมหมู่บา้ น มีการทาํ สนทนา (focus group) เก่ียวกบั สภาพความรับรู้และความเขา้ ใจของคนในชุมชนเก่ียวกบั ศิลปวตั ถุ/โบราณวตั ถุที่มีในชุมชน 1.4 จดั ประชุมช้ีแจง สรุปผลการสาํ รวจขอ้ มูลและการอนุรักษเ์ บ้ืองตน้ กบั ผูน้ าํ และผอู้ าวุโสใน หมู่บา้ น เพ่อื ใหท้ ราบถึงสภาพปัญหาและความเป็นจริงท่ีเผชิญอยู่ อนั จะนาํ ไปสู่การพิจารณาและ ปรึกษาหารือร่วมกนั 2. ระยะทาํ การวจิ ัย 2.1 ประสานงานกบั ชุมชน เพื่อเขา้ ทาํ การศึกษาบริบทต่างๆ ของชุมชนน้ันๆ .คน้ หาสภาพ สังคม พร้อมสร้างความรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองศิลปกรรมท้องถ่ินของคนในชุมชน จากการประชุม หมู่บา้ น การเสวนากลุ่ม 2.2 การประมวลผลขอ้ มูลและจดั หมวดหมู่แต่ละชุมชน ของขอ้ มูลท้งั หมดที่ได้ 2.3 พฒั นาและสร้างจิตสาํ นึก ดว้ ยการให้ชาวบา้ นในชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษภ์ าพตุง ค่าวธรรม อนั เป็ นศิลปกรรมท่ีมีในทอ้ งถิ่น รวมถึงการให้ผทู้ รงคุณวุฒิในชุมชนท่ีสามารถอ่านจารึกได้

37    เป็ นผูถ้ อดความจากตัวอักษรพ้ืนเมืองที่ปรากฏบนภาพวาด เพ่ือข้อมูลเหล่าน้ีจะได้นํามาอธิบาย ความหมายท่ีชดั เจนมากข้ึน 2.4 . การศึกษาขอ้ มูลเบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั คุณค่าและความสําคญั ของภาพตุงค่าวธรรม โดยการ สมั ภาษณ์คนในชุมชน พร้อมท้งั จดบนั ทึกขนาดและภาพถ่ายของตุงค่าวธรรมศึกษารูปแบบภาพตุงค่าว ธรรม รวมถึงศึกษางานจิตรกรรมที่ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรม เก่ียวกบั คุณลกั ษณะทางกายภาพของตวั งานศิลปกรรม ตาํ แหน่งท่ีต้ัง วสั ดุ เทคนิค วิธีการสร้าง การประดับตกแต่ง หน้าท่ีใช้สอย คติ แนวความคิด ความเช่ือ วิถีชีวิตความเป็ นอยแู่ ละความเปล่ียนแปลงของบา้ นเมืองในแต่ละยคุ สมยั ที่ถูก บนั ทึกลงบนภาพตุงค่าวธรรม 3. ระยะทําแผน เพ่ือกาํ หนดทิศทางโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่ชุมชนจะนาํ ไปปฏิบตั ิ โดย การวางแผนและแกป้ ัญหาอยา่ งมีส่วนร่วม 3.1 จดั กิจกรรมปลุกจิตสาํ นึกในการอนุรักษ์ คือ การอนุรักษภ์ าพตุงคา่ วธรรมท่ีปรากฏใน 5 ชุมชนที่คดั เลือก 3.2 การศึกษาความเป็นไปไดแ้ ละวางแผนแนวทางในการจดั ต้งั ศูนยก์ ารเรียนรู้ภาพตุงคา่ วธรรม และนาํ ไปสู่การท่องเที่ยวที่ต่อไปในอนาคต 4. ระยะนําแผนไปสู่การปฏิบัติ โดยยึดหลกั การมีส่วนร่วมไปยงั สมาชิกทุกคนในชุมชน โดย การสร้างและพฒั นากลุ่มผูน้ ําในการอนุรักษ์ศิลปกรรมในทอ้ งถ่ิน อนั จะส่งผลให้เกิดกระบวนการ อนุรักษแ์ ละการดาํ เนินงานดา้ นศูนยก์ ารเรียนรู้ต่อไปอยา่ งเป็นระบบ รวมถึงการใหบ้ ุคคลในชุมชนเขา้ มา มีส่วนร่วมในการเรียนรู้อธิบาย บรรยายภาพตุงค่าวธรรม ถึงสภาพสงั คมและวฒั นธรรมของแต่ละชุมชน ที่สร้างภาพตุงค่าวธรรม เพ่ือนาํ ไปเติมเตม็ กบั ภาพสังคมใหญ่ของลาํ ปาง เพ่ือบนั ทึกเป็นขอ้ มูลพ้ืนฐาน ดา้ นการเปล่ียนแปลงของสงั คม 5 ระยะติดตามประเมินผลการปฏบิ ตั ิงาน เป็นระยะๆ ทุกเดือน รวมถึงการลงพ้ืนท่ีพบปะกบั คน ในชุมชน เพื่อการเสวนาพูดคุยและสัมผสั ถึงสังคมวฒั นธรรมภายในชุมชน นอกจากน้ันตอ้ งมีการ นําเสนอผลการดําเนินงานสู่วงกวา้ ง ผ่านการจัดนิทรรศการ การจัดงานเสวนา แก่กลุ่มพระสงฆ์ นกั วิชาการ และอุดมศึกษานาํ ร่องในอาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง โดยใชว้ ดั ปงสนุกเหนือ เป็ นศูนยก์ ลาง ของแหล่งขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาใน จงั หวดั ลาํ ปาง วธิ ีการประมวลผล/สังเคราะห์ข้อมูล วเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ โดยวเิ คราะห์เน้ือหาท่ีเก่ียวขอ้ ง (concern analysis) เป็นเชิงพรรณนา ถึง ผลของการวิจยั และผลของการดาํ เนินการ รวมไปถึงแหล่งขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรม ท่ีได้

38    ทาํ การศึกษาวิจยั ไวใ้ นเบ้ืองตน้ โดยแสดงภาพกิจกรรม และงานศิลปกรรมประกอบการบรรยาย เพ่ือให้ ง่ายต่อการรับรู้และเขา้ ใจ บทท่ี 4 สภาพสังคมและวฒั นธรรม 5 ชุมชนทมี่ ตี ุงค่าวธรรม งานจิตรกรรมเป็ นผลงานท่ีปรากฏอยู่ในศาสนา ท่ีปรากฏอยู่ท่ัวไปในประเทศไทย งาน จิตรกรรมแต่ละแห่งมีเอกลกั ษณ์ท่ีแตกต่างกนั ออกไปตามสกุลช่างในแต่ละพ้ืนท่ี งานจิตรกรรมยคุ แรก จะปรากฏท่ีกรุใตฐ้ านเจดียห์ รือมณฑป เช่น วดั อุโมงค์ จงั หวดั เชียงใหม่ ภาพหลงั มีปรับเปลี่ยนสถานท่ี ไปอยใู่ นวิหารและโบสถ์ เน้ือหาของจิตรกรรมส่วนใหญ่จะเขียนเก่ียวกบั พทุ ธประวตั ิ ชาดก ซ่ึงเป็นส่ิงที่ ถ่ายทอดให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าใจในพุทธศาสนาได้มากข้ึน นอกจากน้ี สามารถศึกษาถึง ประวตั ิศาสตร์ วถิ ีชีวติ ความเป็นอยู่ ประเพณีและวฒั นธรรมต่าง ๆ ในตวั งานจิตรกรรมได้ พระบฏ คือจิตรกรรมประเภทหน่ึงที่เขียนข้ึนบนผนื ผา้ ลกั ษณะการใชง้ านคือหอ้ ยตามความยาว ของผืนผา้ ส่วนหัวและส่วนทา้ ยมีไมส้ อดให้ตึงคลา้ ยภาพเขียนของจีน ในอดีตผา้ ท่ีนาํ มาเขียนภาพมกั เป็นของคนตายหรือเป็นผา้ ขาวสาํ หรับคลุมหีบศพ โดยเชื่อว่าผตู้ ายจะไดก้ ุศลจากภาพท่ีวาดข้ึนเพ่ือถวาย แก่วดั โดยทว่ั ไปมกั จะเขียนรูปพระพุทธเจา้ เพื่อใชป้ ระดบั ภายในวิหารหรืออุโบสถ ชาวลา้ นนามกั จะ ประดบั พระบฏไวด้ า้ นหลงั ท้งั สองขา้ งของพระประธาน นอกจากน้ียงั ใชพ้ ระบฏแทนพระพุทธรูปเมื่อมี การประกอบพิธีกรรมนอกสถานท่ี ดงั เช่น พิธีเล้ียงผปี ่ ูแสะยา่ แสะ ซ่ึงบริเวณชายผืนผา้ น้นั มีขอ้ ความว่า “พทุ ธพิมพา”แปลวา่ พระพทุ ธรูป นอกจากพระบฏที่นิยมเขียนเป็นรูปพระพทุ ธเจา้ แลว้ ยงั พบว่ามีความนิยมเขียนภาพพระบฏเป็น เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั พุทธศาสนา เช่น พุทธประวตั ิหรือชาดก เป็ นตน้ ในสังคมลา้ นนาเรียกว่า “ตุงค่าวธรรม” ส่วนใหญ่มกั จะเขียนเรื่องราวเวสสันดรชาดก แบ่งเป็ นตอน ตอนละ 1 ผืน ชุดหน่ึงมี 24 ถึง 35 ผนื ข้ึนอยกู่ บั การจดั สร้างของแต่ละวดั ภาพตุงคา่ วธรรมมกั จะนาํ มาแขวนรอบพระวหิ ารดา้ นนอก ในงานเทศน์มหาชาติ หรือประเพณีต้ังธรรมหลวงในช่วงเดือนย่ีเป็ ง หน้าที่การใช้สอยคล้ายกับ จิตรกรรมฝาผนงั ชวั่ คราว เพ่ือสร้างพ้ืนท่ีประกอบพิธีกรรมใหม้ ีความหมายเฉพาะ รวมถึงช่วยใหพ้ ิธีการ เทศน์มีบรรยากาศและอารมณ์ครบถว้ นสมบูรณ์ยิ่งข้ึน โดยหลงั จากเสร็จพิธีตุงค่าวธรรมจะถูกมว้ นเก็บ และจะไม่นาํ มาแขวนประดบั ในท่ีใดๆ ภาพตุงค่าวธรรมจึงเป็ นพุทธศิลป์ เนื่องในพิธีการต้งั ธรรมหลวง อยา่ งแทจ้ ริง “ตุงคา่ วธรรม”คืองานพุทธศิลป์ อีกชนิดหน่ึงในรูปของภาพพระบฏ ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นจิตรกรรม บนผนื ผา้ เขียนเล่าเร่ืองเวสสันดรชาดก หรือมหาชาติ มีท้งั แบบที่เป็นภาพเขียนเล่าเร่ืองจนจบบนผนื ผา้ เดียวกนั ท่ีมีความยาวหลายสิบเมตร และเล่าเร่ืองจบเป็นตอนๆ บนผา้ ผนื เลก็ รวมกนั เป็นภาพชุดๆ ละ 24 ผืน บา้ ง 35 ผืนบา้ ง ตุงค่าวธรรมทาํ ข้ึนเพ่ือใชใ้ นพิธีกรรมต้งั ธรรมหลวงในลา้ นนาท่ีจดั ข้ึนเป็ นประจาํ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน- มกราคม ของทุกปี ในการทาํ พิธีต้งั ธรรมหลวงจะมีประเพณีเทศนม์ หาชาติท้งั

39    13 กณั ฑ์ ภายในวนั เดียวกนั คนลา้ นนาเชื่อว่าใครไดฟ้ ังเทศน์มหาชาติจบท้งั 13 กณั ฑ์ จะไดข้ ้ึนสวรรค์ ภาพเหล่าน้ีจะถูกนาํ ไปแขวนไวใ้ นวิหารเพ่อื ใหผ้ ฟู้ ังเทศนไ์ ดซ้ ึมซบั ภาพไปพร้อมกบั การฟังเทศน์ งานศึกษาเกี่ยวกบั พระบฏหรือตุงค่าวธรรมในดินแดนลา้ นนายงั คงมีไม่มากนัก เนื่องจากภาพ พระบฏเป็ นจิตรกรรมท่ีสร้างสรรคข์ ้ึนบนผืนผา้ ซ่ึงเป็ นวสั ดุท่ีเกิดความชาํ รุด เสียหาย และเสื่อมสภาพ ไดง้ ่าย อีกท้งั พระบฏเป็ นพุทธศิลป์ ที่ใชป้ ระกอบในพิธีกรรม เช่น พิธีเทศน์มหาชาติหรือต้งั ธรรมหลวง พธิ ีเล้ียงผปี ่ ูแสะยา่ แสะ ฯลฯ ทาํ ใหพ้ ระบฏมีบทบาทและหนา้ ท่ีการใชง้ านตามวาระโอกาส หากไม่มีการ ประกอบพิธีต่างๆ ที่กล่าวถึงขา้ งตน้ ทางวดั มกั จะเกบ็ รักษาพระบฏไว้ รวมถึงปัจจุบนั ไม่นิยมแขวนพระ บฏประดบั อาคารศาสนสถานดงั เช่นในอดีต จึงทาํ ให้หลกั ฐานเก่ียวกบั จิตรกรรมบนผนื ผา้ หลงเหลืออยู่ ไม่มากนกั ในปัจจุบนั ดงั ที่กล่าวแลว้ ว่า ตุงค่าวธรรมเป็ นงานเขียนภาพเล่าเร่ืองเวสสันดรชาดกเป็ นองคป์ ระกอบหลกั แต่เพื่อใหภ้ าพมีความสมบูรณ์ผเู้ ขียนมกั จะแทรกภาพวถิ ีชีวติ ของชุมชนท่ีตนเองพบเห็นอยทู่ ุกเมื่อเช่ือวนั ลงไปด้วย เช่น ลกั ษณะบ้านเรือน ผูค้ น การแต่งกาย อาหารการกิน สภาพแวดลอ้ ม ความเชื่อและ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน เป็ นตน้ ภาพองคป์ ระกอบยอ่ ยเหล่าน้ี เรียกว่า ภาพกาก ซ่ึงเป็ นท้งั ภาพกากและเทคนิควิธีการสร้างภาพ ต่อมาไดก้ ลายเป็ นหลกั ฐานสาํ คญั ในการศึกษาเร่ืองราวต่างๆ ของ ชุมชน ท้งั เร่ืองวิถีชีวิต รูปแบบศิลปะและความสัมพนั ธ์กบั ชุมชนภายนอก ในสมยั ท่ีมีการเขียนภาพตุง คา่ วธรรมน้นั ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ฉะน้ันตุงค่าวธรรมจึงมีความสําคญั อย่างสูงท้งั ในฐานะมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ และใน ฐานะหลกั ฐานท่ีใชใ้ นการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ของชุมชนในสมยั ท่ีภาพเหล่าน้นั ไดถ้ ูกสร้างข้ึนมา ภาพ ตุงค่าวธรรมเหล่าน้ีจึงควรค่าท่ีจะตอ้ งดูแลรักษาและหวงแหนไวเ้ ป็ นมรดกทางวฒั นธรรมท่ีสําคญั เพือ่ ใหค้ นรุ่นหลงั ไดเ้ รียนรู้และเขา้ ใจถึงความเป็นมาของผคู้ นในอดีตแต่ละยคุ สมยั จากการสาํ รวจเบ้ืองตน้ ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2552 -2558 และเขา้ ไปทาํ การอนุรักษภ์ าพตุงค่าวธรรม ในจงั หวดั ลาํ ปางท้งั หมด 12 วดั ซ่ึงแต่ละวดั จะมีภาพตุงค่าวธรรมที่แตกต่างกนั บางวดั เขียน เป็ นผืน ยาว บางวดั จะเขียนแยกผนื การบรรยายภาพท่ีประกอบดว้ ย เร่ืองราว วิถีชีวิต สภาพแวดลอ้ มของแต่ละ ชุมชนในภาพตุงค่าวธรรม ที่มีความแตกต่างกัน จึงได้คดั เลือกวดั ท่ีจะทาํ การศึกษาในคร้ังน้ี จาก เส้นทางท่ีสามารถเดินทางเขา้ ไปไดส้ ะดวก และมีแนวโนม้ ท่ีจะสร้างเป็ นศูนยก์ ารเรียนรู้ภายในชุมชน ซ่ึงจะเชื่อมโยงกบั สถาบนั การศึกษาของแต่ละชุมชน และสภาพของภาพตุงค่าวธรรมท่ีมีความสมบูรณ์ รวมถึงศกั ยภาพของพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะเจา้ อาวาส ผนู้ าํ ชุมชน ปราชญช์ ุมชน การนาํ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ขบวนการอนุรักษ์ คุณค่าและประโยชน์ของตุงค่าวธรรมของแต่ละชุมชน ความเป็ นหน่ึงเดียวของ ชิ้นงาน การใชว้ สั ดุทอ้ งถิ่น ขอ้ มูลดา้ นการจดั เป็ นแหล่งการเรียนรู้ และขอ้ มูลดา้ นการท่องเที่ยว เพ่ือ สร้างเป็นแนวทางการจดั ต้งั เป็นแหล่งการเรียนรู้ของชุมชน โดยคดั เลือกพ้ืนท่ีในการศึกษาท้งั หมด 5 วดั ดงั น้ี 1. วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 2. วดั บา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 3. วดั บา้ นสกั อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง

40    4. วดั ปงสนุก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 5. วดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง ดงั มีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี 4.1 วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง วดั ลาํ ปางกลางต้งั อยเู่ ลขท่ี 355 บา้ นลาํ ปางกลาง หมู่ท่ี 11 ตาํ บลชมพู อาํ เภอเมืองลาํ ปาง จงั หวดั ลาํ ปาง สงั กดั คณะสงฆม์ หานิกาย เน้ือท่ีต้งั วดั มีเน้ือที่ 1 ไร่ 3 งาน 59 ตารางวา จดท่ีธรณีสงฆ์ ที่ธรณีสงฆ์ จาํ นวน 2 แปลง เน้ือท่ี 1 ไร่ 50 ตารางวา อาคารเสนาสนะประกอบดว้ ยอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กฏุ ิ และ ศาลา ปูชนียวตั ถุมีพระประธานในอุโบสถ ก่ออิฐถือปูนศิลปะเชียงแสน ภาพที่ 2 วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก จากการเก็บขอ้ มูลภาคสนาม ทราบว่าวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก สร้างเม่ือปี พ.ศ. 2263 โดยครู บาเจา้ มณีวรรณ เป็ นผูน้ าํ คณะศรัทธาสร้าง ไดร้ ับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวนั ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2502 เขตวิสุงคามสีมากวา้ ง 11 เมตร ยาว 21 เมตร การบริหารและการปกครอง มีเจา้ อาวาส 9 รูป คือ พระมณีวรรณ พระราช พระช่ืน พระคาํ พระจนั ทร์ พระกนั ธวงค์ กนฺทวโํ ส ระหว่าง พ.ศ. 2498-2504 พระเจา้ อุตฺตธมฺโม ต้งั แต่ พ.ศ. 2509 พระครูสีนวล กิตฺติวณฺ โณ เป็ นเจา้ อาวาส2 ปัจจุบนั มีพระอธิการ

41    วรรณ สิกขาสโภ ดาํ รงตาํ แหน่งเป็ นเจา้ อาวาส2 ถานที่ต้งั วดั ดงั กล่าว ในอดีตเป็ นที่จุดกลางการคา้ ขาย ทางเรือ โดยคมนาคมการคา้ ขายทางน้าํ รวมถึงการเป็นจุดกลางรวมพลคณะศรัทธา และเจา้ หลวงลาํ ปาง ไปไหวพ้ ระธาตุลาํ ปางหลวง วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก3 จากการศึกษาพบว่า ภาพตุงค่าวของวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก มีอยู่จาํ นวน 2 ชุด พบอยทู่ ้งั สิ้น จาํ นวน 31 ผืน เป็ นการเขียนจิตรกรรมบนผืนผา้ ฝ้ายและบนผืนผา้ ใบ 13 กณั ฑ์ เป็ นเรื่องราวของพระ เวสสนั ดรชาดก แบ่งออกเป็น 2 ชุด คือ ชุดที่ 1 มีจาํ นวน 17 ผนื ซ่ึงบางกณั ฑไ์ ดห้ ายไป เช่น มาลยั ปลาย กณั ฑท์ ศพร กณั ฑว์ ณั ประเวศ กณั ฑก์ มุ าร เป็นตน้ โดยเป็นงานจิตรกรรมวาดดว้ ยสีฝ่ นุ บนผา้ ฝ้ายทอจากโรงงานยคุ แรก ซ่ึงมีสภาพเรียบ บาง ตวั ภาพเป็ นงานจิตรกรรมผสมผสานระหว่างงานช่างพ้ืนถ่ิน กบั รูปแบบตวั ภาพจากไทยภาคกลาง จากการเปรียบเทียบสภาพของงานจิตรกรรม และขนาดของผา้ พบว่าจิตรกรรมภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ีมี อายปุ ระมาณ 100 ปี ถูกสร้างข้ึนในสมยั ใดไม่มีปรากฏหลกั ฐานท่ีแน่ชดั                                                             2กรมการศาสนา, ประวตั วิ ดั ทวั่ ราชอาณาจักร เล่ม 8 (กรุงเทพฯ : โรงพิมพก์ ารศาสนา, 2532), ...   3 สัมภาษณ์, พระอธิการวรรณ สิกขาสโภ, เจา้ อาวาสวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก. วนั ที่ 5 มิถุนายน 2558.

42    ภาพท่ี 3 ตุงค่าวธรรมชุดที่ 1 ชุดที่ 2 มีจาํ นวน 14 ผืน คือมี ผนื แรกเป็ นเรื่องพระมาลยั และตามดว้ ย 13 กณั ฑ์ กณั ฑล์ ะ 1 ผืน รวมเป็ น 14 ผืน โดยชุดน้ี ไม่ไดแ้ ยกเป็ นพระมาลยั เก๊า และพระมาลยั ปลาย รวมถึงแต่ละกณั ฑ์ ก็ไม่ได้ วาดเสริมความอธิบายเหมือนชุดแรก วาดดว้ ยสีน้าํ มนั บนผา้ ใบทอจากโรงงานยุคแรก ตวั ภาพเป็ นงาน จิตรกรรมไทยภาคกลาง จากการเปรียบเทียบสภาพของงานจิตรกรรมและขนาดของผา้ พบวา่ จิตรกรรม ภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ีมีอายุไม่ต่าํ กว่า 50 ปี และมีอายุไม่เกิน 70 ปี ถูกสร้างข้ึนในสมยั ใดไม่มีปรากฏ หลกั ฐานที่แน่ชดั ภาพท่ี 4 ตุงค่าวธรรมชุดท่ี 2 จิตรกรรมภาพพระบฏวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก แบ่งพ้ืนท่ีการเขียนแค่เพียงส่วนเดียว คือ ส่วนตวั ภาพ และไม่พบส่วนหางตุงเหมือนที่อื่นๆ พ้ืนท่ีส่วนใหญ่เขียนเรื่องชาดกในแต่ละกณั ฑ์ ลกั ษณะ งานจิตกรรมเป็ นงานพ้ืนบา้ นท่ีไดร้ ับอิทธิพลการเขียนจิตรกรรมแบบทางภาคกลาง แต่ไดแ้ สดงออก

43    บริบทต่างๆ ของทอ้ งถิ่นออกมา เช่น เคร่ืองแต่งกาย ขา้ วของเครื่องใช้ เป็ นตน้ ส่วนงานสถาปัตยกรรม น้นั บางฉากเป็นมหา

44    ปราสาทแบบไทยภาคกลาง ช่อฟ้า ใบระกา นาคสะดุ้ง ซ่ึงล้วนแล้วเป็ นเคร่ืองบนแบบ สถาปัตยกรรมสยาม รวมไปถึงราชรถ ลายกระหนกแบบสยามลว้ นแลว้ แต่ไดร้ ับอิทธิพลการเขียนงาน แบบไทยภาคกลางแทบท้งั สิ้น ภาพท่ี 5 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก ภาพที่ 6 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสัญชยั ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก

45    ภาพที่ 7 ซุม้ ประตูเขา้ พระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก ในส่วนของภาพการจาํ ลองวิถีชีวิต พิธีกรรมและเรื่องราวต่างๆ ยงั เป็ นแบบคนพ้ืนถ่ิน มีการใช้ เทคนิคการเขียนภาพใชส้ ีฝ่ นุ แบ่งองคป์ ระกอบฉากได้ 2 ที่ คือ ฉากในป่ า และฉากในพระราชวงั ส่ิงท่ี สาํ คญั ที่น่าสนใจซ่ึงปรากฏในภาพเขียนจิตรกรรมพระบฏ คือ ภาพบุคคล สถาปัตยกรรม วฒั นธรรมต่าง ๆ ท่ีมีความหลากหลายแตกต่างออกไป และความเป็ นพิเศษของภาพพระบฏ คือ สามารถเคล่ือนยา้ ยได้ และนาํ ไปใชป้ ระกอบการเทศน์มหาชาติ 13 กณั ฑ์ เพื่อเป็ นองคป์ ระกอบในการฟังเทศน์ และมองตวั ภาพจิตรกรรมในกณั ฑ์น้ัน ๆ ให้เกิดความเขา้ ใจในการเทศน์มหาชาติมากข้ึน ซ่ึงจากการสอบถามเจา้ อาวาสวดั และชาวบา้ นลาํ ปางกลางตะวนั ออก พบว่าไม่มีการต้งั ธรรมหลวงหรือเทศน์มหาชาติชาดก มา เป็นเวลานานหลายสิบปี แลว้ ซ่ึงอนาคตอาจจะมีการร้ือฟ้ื นประเพณีดงั กล่าวกลบั มาสู่ชุมชนอีกคร้ัง

46    ภาพท่ี 8 การวาดบา้ นของชูชก แบบศิลปะพ้ืนบา้ น ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก ภาพท่ี 9 วงกลองมโหรีแบบสยาม ตุงคา่ วธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก

47    จากการลงพ้ืนท่ีสํารวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง กลางตะวนั ออก ระหว่างวนั ที่ 3-7 มิถุนายน 2558 น้นั พบว่าคนในชุมชนมีความต่ืนตวั ท่ีจะช่วยกนั และ ร่วมเป็ นส่วนหน่ึงในกิจกรรมในคร้ังน้ี เพ่ือทาํ นุบาํ รุงรักษามรดกทางวฒั นธรรมของชุมชนตนเองไว้ โดยถือเป็ น 1 ในชุมชนท่ีมีศกั ยภาพ ท้งั ทางดา้ นสภาพสังคม ชุมชน และพลงั ของคนในชุมชน และท่ี สาํ คญั คือการเห็นคุณค่าและพลงั ศรัทธาที่ชาวบา้ นทีให้แต่ผูน้ าํ ท้งั ตวั ของผูน้ าํ ชุมชนและเจา้ อาวาสวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก ทาํ ให้เวลาจดั กิจกรรมจะไดร้ ับความร่วมมือจากในในทอ้ งถ่ินเป็ นอย่างดี และ ทุกคนลว้ นมีความสุขกบั งานที่ตนไดร้ ่วมกนั ทาํ ซ่ึงทาํ ใหค้ ณะผวู้ ิจยั ทาํ งานไดง้ ่ายข้ึนและจะสามารถเดิน ไปสู่จุดมุ่งหมายไดอ้ ยา่ งดี ภาพที่ 10 - 11 สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเสื่อมของภาพตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก

48    ภาพที่ 12 - 13สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก

49    4.2 วดั บ้านเอือ้ ม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง วดั บา้ นเอ้ือมต้งั อยู่เลขที่ 51 บา้ นเอ้ือม ตาํ บลบา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง สังกดั คณะ สงฆม์ หานิกาย ที่ดินต้งั วดั มีเน้ือที่ 8 ไร่ 68 ตารางวา อาคารเสนาสนะท่ีสาํ คญั ประกอบดว้ ยวิหาร หอ ธรรม และกฏุ ิ มีโบราณวตั ถุ ศิลปวตั ถุ ที่สาํ คญั คือ พระพทุ ธรูปทองสาํ ริด หีบธรรม เป็นตน้ ภาพที่ 14 วดั บา้ นเอ้ือม จากการสอบถามเจา้ อาวาส ทาํ ใหท้ ราบวา่ วดั บา้ นเอ้ือมสร้างเมื่อ พ.ศ. 2380 ไดร้ ับพระราชทาน วิสุงคามสีมา พ.ศ. 2385 การบริหารและการปกครองต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั มีเจา้ อาวาสจาํ นวน 4 รูป เท่าที่ทราบนามคือ ครูบากนั ทา ครูบาอภิวงค์ คนฺธวโํ ส ระหว่าง พ.ศ. 2516-2526 ครูบาสังวรญาณ โสภณ ต้งั แต่ พ.ศ. 2526 พระพินิจ คมฺภีโร และปัจจุบนั มีพระอธิการสวสั ด์ิ โสตฺถิโก เป็ นเจา้ อาวาส จากการศึกษาพบวา่ ภาพตุงคา่ วของวดั บา้ นเอ้ือม มีอยจู่ าํ นวน 1 ชุด พบอยทู่ ้งั สิ้นจาํ นวน 35 ผนื โดยเป็น งานจิตรกรรมวาดด้วยสี ฝ่ ุนบนผ้าฝ้ายทอจากโรงงานยุคแรก และมีตราย่ีห้อของผ้า จากเมือง แมนเชสเตอร์ ท่ีนาํ เขา้ มาเป็ นวสั ดุหลกั ในการใช้วาดภาพชุดน้ี ซ่ึงมีสภาพเรียบบาง ตวั ภาพเป็ นงาน จิตรกรรมเป็ นงานช่างพ้ืนถิ่น จากการเปรียบเทียบสภาพของงานจิตรกรรม และขนาดของผา้ พบว่า

50    จิตรกรรมภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ีมีอายปุ ระมาณ 120 ปี ถูกสร้างข้ึนในสมยั ใดไม่มีปรากฏหลกั ฐานท่ีแน่ ชดั จิตรกรรมภาพพระบฏวดั บา้ นเอ้ือม ถือเป็ นงานจิตรกรรมตุงค่าวธรรมที่สมบูรณ์และมีสีสัน ชดั เจนที่สุดรองลงมาจากตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ กล่าวคือ มีสภาพท่ีค่อนขา้ งสมบูรณ์ ตวั ภาพ สีสัน ลายเส้นยงั ชดั เจน รวมไปถึงสภาพของผา้ ตุงค่าวธรรม ไม่ค่อยชาํ รุดขาดหาย และท่ีสาํ คญั คือ เป็ น ชุดตุงค่าวธรรมที่เล่าเรื่องเวสสันดรชาดก แบ่งตอนเล่าเร่ืองครบตามจาํ นวนท้งั หมด 35 ผืน โดยไม่มี กณั ฑไ์ หน ตอนไหนหายไปเลย ภาพที่ 15 ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

51    การแบ่งพ้ืนท่ีในการเขียนงานจิตรกรรมชุดน้ี แบ่งออกเป็ น 2 ส่วน คือ ส่วนตวั ภาพ และส่วน หางตุง พ้ืนท่ีส่วนใหญ่เขียนเร่ืองชาดกในแต่ละกณั ฑ์ ลกั ษณะงานจิตกรรมเป็ นงานพ้ืนบา้ นที่ไดร้ ับ อิทธิพลการเขียนจิตรกรรมจากช่างจีน แต่ไดแ้ สดงออกบริบทต่างๆ ของทอ้ งถิ่นออกมา เช่น เคร่ืองแต่ง กาย ขา้ วของเคร่ืองใช้ เป็ นตน้ ลกั ษณะของตวั ภาพยึดหลกั สัดส่วนอานาโตม่ีอย่างถูกตอ้ ง ส่วนงาน สถาปัตยกรรมน้ันเป็ นแบบสถาปัตยกรรมลา้ นนาผสมผสานกบั งานสถาปัตยกรรมไทยภาคกลางบา้ ง เลก็ นอ้ ย ภาพที่ 16 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบยอ่ มุมไม้ 12 ไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

52    ภาพท่ี 17 ปราสาทพระอินทร์มีกาํ แพงลอ้ มรอบ ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ชาวไทยวนมีเอกลกั ษณ์ดา้ นการแต่งกายท่ีมีความพิเศษ จากหลกั ฐานที่ปรากฏอยู่ในตุงค่าว ธรรม ทาํ ให้ทราบไดว้ ่าชาวไทยวน มีความโดดเด่นเป็ นเอกลกั ษณ์ของตนเอง แตกต่างไปจากกลุ่มไท อื่นๆ โดยแสดงให้เห็นชดั ในเคร่ืองแต่งกายของสตรีที่เรียกว่า “ผา้ ซ่ิน” ซ่ึงเป็ นเคร่ืองแต่งกายหลกั ของ สตรีในแถบภูมิภาคน้ี ผา้ ซ่ินในชีวิตประจาํ วนั ของไทยวนส่วนใหญ่เป็นซ่ินท่ีประกอบจากผา้ ริ้วลายขวา ต่อตีนดว้ ยผา้ สีแดงหรือดาํ และต่อหัวซิ่นดว้ ยผา้ สีขาว สีแดงหรือดาํ และอาจจะเป็ นผา้ สีเดียวก็ได้ โดย การเยบ็ เขา้ ดว้ ยกนั เรียกซ่ินชนิดน้ีว่า “ซ่ินต๋า” หรือ “ซ่ินต่อตีนต่อเอว” ซ่ึงภาพตุงค่าวธรรมที่ศึกษาใน คร้ังน้ีมีการวาดภาพกลุ่มคนเมืองไวไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี แต่ท่ีแสดงใหเ้ ห็นชดั เจนมากท่ีสุด ไดแ้ ก่ ตุงค่าวธรรม วดั บา้ นสกั ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม และตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

53    ภาพที่ 18 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซิ่นลายต๋า ภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ในส่วนของภาพการจาํ ลองวิถีชีวิต พิธีกรรมและเรื่องราวต่างๆ ยงั เป็ นแบบคนพ้ืนถิ่น มีการใช้ เทคนิคการเขียนภาพใชส้ ีฝ่ ุน สิ่งท่ีสําคญั ที่น่าสนใจซ่ึงปรากฏในภาพเขียนจิตรกรรมพระบฏ คือ ภาพ บุคคล สถาปัตยกรรม วฒั นธรรมต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายแตกต่างออกไป จากการสอบถามเจา้ อาวาสวดั พบวา่ ไม่มีการต้งั ธรรมหลวงหรือเทศน์มหาชาติชาดก มาเป็นเวลานานหลายสิบปี แลว้ ซ่ึงดว้ ย เหตุน้ีจึงทาํ ใหส้ ภาพของตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ยงั อยคู่ รบและยงั อยใู่ นสภาพดีจนถึงทุกวนั น้ี

54    ภาพท่ี 19 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ภาพท่ี 20 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

55    ภาพที่ 21 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบั ศิลปะไทย ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ภาพที่ 22 การใชข้ นั แอวเป็นขนั สาํ รับอาหารของกญั หา ชาลี ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

56    ภาพท่ี 23 ภาพวาดกลุ่มคนเง้ียวที่สวมหมวกปี กกวา้ ง ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม จากการลงพ้ืนท่ีสาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ตาํ บลบา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง ระหว่างวนั ท่ี 25-27 มกราคม 2558 น้ัน พบว่าภาพตุงค่าว ธรรมชุดดงั กล่าว ค่อนขา้ งมีสภาพท่ีสมบูรณ์ ชดั เจน และเมื่อเปรียบเทียบกบั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสักแลว้ พบวา่ เป็น

57    ลกั ษณะการเขียนตวั ภาพของช่างคนเดียวกนั เพราะตวั ภาพ การแบ่งตอนเล่าเรื่อง ขนาด และ รูปแบบของการเล่าเร่ืองมีลกั ษณะที่เหมือนกนั ซ่ึงชุมชนท้งั สองก็เป็ นชุมชนท่ีใกลเ้ คียงกนั ซ่ึงเป็ นไป ไดม้ ากท่ีช่างจะเป็นคนคนเดียวกนั ในการวาดรูปท้งั สองชุดน้ี นอกจากน้ีคนในชุมชนมีความตื่นตวั ท่ีจะ ช่วยกนั และร่วมเป็ นส่วนหน่ึงในกิจกรรมทาํ นุบาํ รุงรักษามรดกทางวฒั นธรรมของชุมชนตนเอง และมี ความต่ืนตวั เป็นอยา่ งมาก เน่ืองจากคนในชุมชนไม่ทราบมาก่อนวา่ วดั บา้ นเอ้ือม มีงานจิตรกรรมภาพตุง คา่ วธรรมชุดน้ีอยภู่ ายในชุมชน จึงทาํ ใหค้ ณะทาํ งานวจิ ยั ไดร้ ับความร่วมมือจากคนในทอ้ งถ่ินเป็นอยา่ งดี ภาพท่ี 24-25 การลงพ้ืนที่สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

58    ภาพท่ี 26 การดูดฝ่ นุ ชะลอความเสื่อมของภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ภาพที่ 27 การอนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

59    4.3 วดั บ้านสัก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง วดั บา้ นสัก ต้งั อยู่เลขที่ 154 บา้ นสัก หมู่ที่ 3 ตาํ บลบา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมืองลาํ ปาง จงั หวดั ลาํ ปาง สังกดั คณะสงฆม์ หานิกาย ที่ดินต้งั วดั มีเน้ือที่ 1 ไร่ 25 ตารางวา อาคารเสนาสนะประกอบดว้ ย วิหาร ศาลาการเปรียญ วิหาร ศาลารอบกาํ แพง กุฏิและโรงครัว ปูชนียวตั ถุมีพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางมาร วชิ ยั และพระพทุ ธรูปสาํ ริดศิลปะเชียงแสน ภาพท่ี 28 วหิ ารวดั บา้ นสกั จากการลงพ้ืนท่ี ทราบวา่ วดั บา้ นสกั สร้างเม่ือ พ.ศ. 2200 ไดร้ ับพระราชทานวิสุงคามสีมา วนั ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาสจาํ นวน 13 รูป ระหว่าง พ.ศ. 2246-2286 ครูบาหลวง ระหว่าง พ.ศ. 2286-2306 ครูบามโน ระหว่าง พ.ศ. 2306-2356 ครูบาขตั ติยะ ระหว่าง พ.ศ. 2356-2414 ครูบาชมพู ระหว่าง พ.ศ. 2416-2446 ครูบามูล ระหว่าง พ.ศ. 2446-2496 ครู บาโพธิ ระหว่าง พ.ศ. 2496-2506 ครูบาตุ้ม ระหว่าง พ.ศ. 2506-2511 พระไข่ ระหว่าง พ.ศ. 2511-2516 พระคําปั น ระหว่าง พ.ศ. 2516 -2517 พระบิ๊ก ระหว่าง พ.ศ. 2517-2518 พระด้วง ระหว่าง พ.ศ. 2518-2522 พระรัตน์ ระหว่าง พ.ศ. 2522 พระนิพนธ์ พุทฺธธมฺโม เป็ นเจ้าอาวาส 4 ปัจจุบนั มีพระครูวิมลธรรมคุณ ดาํ รงตาํ แหน่งเจา้ อาวาสวดั บา้ นสัก จากการศึกษาพบวา่ ภาพตุงค่าวของ

60    วดั บา้ นสัก พบว่ามีอยูจ่ าํ นวน 25 ผืน โดยเป็ นงานจิตรกรรมวาดดว้ ยสีฝ่ ุนบนผา้ ฝ้ายทอจากโรงงานยุค แรก ซ่ึงมีลกั ษณะร่วมรุ่นกนั กบั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม4 ตวั ภาพเป็นงานจิตรกรรมเป็นงานช่างพ้ืนถิ่น จากการเปรียบเทียบสภาพของงานจิตรกรรมและขนาดของผา้ พบว่าจิตรกรรมภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ีมี อายปุ ระมาณ 120 ปี ถูกสร้างข้ึนในสมยั ใดไม่มีปรากฏหลกั ฐานที่แน่ชดั แต่เป็ นช่างเดียวกนั กบั ช่างท่ี วาดไวท้ ี่วดั บา้ นเอ้ือม ภาพที่ 29 สภาพการคน้ พบแรกเริ่มจากการสาํ รวจ จิตรกรรมภาพพระบฏวดั บา้ นสัก ถือเป็ นงานจิตรกรรมตุงค่าวธรรมที่ค่อนขา้ งมีสภาพชาํ รุด เสียหายมากท่ีสุด กล่าวคือ มีสภาพที่ฉีกขาด รวมถึงสภาพสีสันท่ีจางหายเลอะเลือนเป็ นอยา่ งมาก และ บางผนื บางกณั ฑไ์ ดห้ ายไปจากวดั ท้งั น้ีเนื่องจากวดั บา้ นสักมีการใชต้ ุงค่าวธรรมชุดดงั กล่าว ในการต้งั ธรรมหลวงหรือเทศนม์ หาชาติเป็นประจาํ ทุกๆ 3 ปี จะมีการจดั งาน 1 คร้ัง และทุกคร้ังกจ็ ะนาํ ภาพตุงคา่ ว ธรรมดงั กล่าวมา                                                               4 กรมการศาสนา, ประวตั วิ ดั ทว่ั ราชอาณาจักร เล่ม 8 (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, 2532), หนา้ 143-144.

61    ประกอบพิธีกรรมต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั และบางคร้ังเจา้ อาวาสเล่าว่าวดั ใกลเ้ คียงก็มายมื ภาพตุงค่าว ธรรมไปจดั งานต้งั ธรรมหลวงท่ีวดั อื่นบา้ ง จนทาํ ใหต้ ุงคา่ วธรรมบางผนื บางกณั ฑห์ ายไป ภาพที่ 30 ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั การแบ่งพ้ืนที่ในการเขียนงานจิตรกรรมชุดน้ี แบ่งออกเป็ น 2 ส่วน คือ ส่วนตวั ภาพ และส่วน หางตุง พ้ืนที่ส่วนใหญ่เขียนเรื่องชาดกในแต่ละกณั ฑ์ ลกั ษณะงานจิตกรรมเป็ นงานพ้ืนบา้ นที่ไดร้ ับ อิทธิพลการเขียนจิตรกรรมจากช่างจีนซ่ึงเป็ นคนเดียวกนั กบั ท่ีวาดไวท้ ี่วดั บา้ นเอ้ือม การวาดภาพของ ช่างน้ันได้แสดงออกบริบทต่างๆ ของทอ้ งถ่ินออกมา เช่น เคร่ืองแต่งกาย ขา้ วของเครื่องใช้ เป็ นตน้ ส่วนงานสถาปัตยกรรมน้นั

62    เป็ นแบบสถาปัตยกรรมลา้ นนาผสมผสานกบั งานสถาปัตยกรรมไทยภาคกลางบา้ งเลก็ นอ้ ย ใน ส่วนของภาพการจาํ ลองวิถีชีวิต พิธีกรรมและเรื่องราวต่างๆ ยงั เป็ นแบบคนพ้ืนถ่ิน มีการใชเ้ ทคนิคการ เขียนภาพใช้สีฝ่ ุน ส่ิงที่สําคญั ท่ีน่าสนใจซ่ึงปรากฏในภาพเขียนจิตรกรรมพระบฏ คือ ภาพบุคคล สถาปัตยกรรม วฒั นธรรมต่างๆ ที่มีความหลากหลายแตกต่างออกไป ภาพที่ 31 อาศรมฤาษี ศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบั ศิลปะไทย ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั ภาพท่ี 32 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ท้งั แบบสบั ขากอ้ มและสบั ขายาว ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั

63    ภาพท่ี 33 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ไล่ตีชูชก ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั ภาพท่ี 34 รูปแบบการวาดผา้ ซิ่นพ้นื เมืองที่ถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั

64    ภาพท่ี 35 ทหารมา้ สวมหมวกแฟร์ชน่ั แบบต่างๆ ประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นาง วดั บา้ นสกั จากการลงพ้ืนท่ีสํารวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสัก ตาํ บลบา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง ระหวา่ งวนั ท่ี 10-14 กมุ ภาพนั ธุ์ 2558 น้นั พบวา่ ภาพตุงคา่ ว ธรรมชุดดังกล่าว อยู่ในสภาพค่อนขา้ งชํารุด ทรุดโทรม และพบั เก็บรักษาไวใ้ นหีบธรรม และเม่ือ เปรียบเทียบกบั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือมแลว้ พบว่าเป็ นลกั ษณะการเขียนตวั ภาพของช่างคนเดียวกนั เพราะตวั ภาพ การแบ่งตอนเล่าเร่ือง ขนาด และรูปแบบของการเล่าเรื่องมีลกั ษณะท่ีเหมือนกนั ชุมชนท้งั สองก็เป็ นชุมชนท่ีใกลเ้ คียงกนั ซ่ึงเป็ นไปไดม้ ากที่ช่างจะเป็ นคนคนเดียวกนั ในการวาดรูปท้งั สองชุดน้ี นอกจากน้ีคนในชุมชนบ้านสักมีความต่ืนตัวท่ีจะช่วยกันและร่วมเป็ นส่วนหน่ึงในกิจกรรมทาํ นุ บาํ รุงรักษามรดกทางวฒั นธรรมของชุมชนตนเอง และมีความต่ืนตวั เป็นอยา่ งมาก เน่ืองจากคนในชุมชน เห็นคุณค่าและความสําคัญของงานจิตรกรรมภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ีอยู่ภายในชุมชน ซ่ึงทําให้ คณะทาํ งานวจิ ยั ไดท้ าํ กิจกรรมและไดร้ ับความร่วมมือจากคนในทอ้ งถ่ินเป็นอยา่ งดี พระครูวิมลธรรมคุณากร กล่าววา่ ภาพตุงค่าวธรรมจะเขียนถึงเร่ืองราวจากพระเวสสนั ดรชาดก 13 กณั ฑ์ ซ่ึงในอดีตท่ีผา่ นมา ถา้ มีการจดั งานต้งั ธรรมหลวงเทศน์มหาชาติ ก็จาํ นะภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ี มาแขวนไวร้ อบวิหาร โดยการฟังเทศมหาชาติเวสสันดรชาดก เป็ นธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบตั ิมาชา้ นานของคนลา้ นนาผใู้ ดฟังเทศน์มหาชาติไดค้ รบ 13 กณั ฑ์ ถือว่าไดร้ ับอานิสงส์จะไดเ้ กิดในยคุ ของพระ ศรีอริยเมตไตย ซ่ึงการฟังเทศน์มหาชาติในอดีตน้นั จะเขียนภาพเรื่องราวประกอบของพระเวสสันดรที่ เรียกวา่ ภาพตุงค่าวธรรม ซ่ึงปัจจุบนั น้ีจะเห็นการวาดภาพติดฝาผนงั วหิ าร5                                                               5สัมภาษณ์, พระครูวมิ ลธรรมคุณากร, เจา้ อาวาสวดั บา้ นสัก. วนั ที่ 12 กมุ ภาพนั ธุ์ พ.ศ. 2558.

65    ภาพที่ 36-37 การลงพ้ืนที่สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั

66    ภาพที่ 38 - 39การลงพ้ืนที่สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั

67    สาํ หรับภาพงานจิตรกรรมภาพตุงคา่ วธรรมท้งั 25 ภาพของวดั บา้ นสกั น้นั แต่ละภาพจะมาขนาด เท่ากัน คือ มีความกวา้ ง 1.10 เมตร ยาว 1.65 เมตร ซ่ึงถือว่าเป็ นเขียนที่สวยงามและเป็ นธรรมชาติ สามารถเล่าเร่ืองราวภาพไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ภาพเขียนโบราณน้ี ใชส้ ีจากธรรมชาติเขียนลงเน้ือผา้ ทอ จึงทาํ ใหม้ ีความสวยงาม เป็นธรรมชาติ และมีความคงทน หลงั จากการศีกษาวิจยั เกบ็ ตวั อยา่ งและรายละเอียด ของภาพเรียบน้อยแลว้ พระครูวิมลธรรมคุณากร เจา้ อาวาสวดั บา้ นสัก ไดใ้ ห้คณะทาํ งานนาํ ภาพเขียน โบราณท้งั หมดมาทาํ ความสะอาด ตามวิธีการและนาํ ภาพใส่กรอบแบบมาตรฐาน เพ่อื นาํ มาเกบ็ ไวใ้ นที่ที่ เหมาะสม เพ่ือใหค้ นรุ่นหลงั ไดศ้ ึกษาเรียนรู้ภาพ เขียนโบราณ ท่ีถือว่ามีคุณค่าและหายากต่อไป ซ่ึงทาง คณะผวู้ ิจยั ไดแ้ นะนาํ ให้ชุมชนอดั สาํ เนาภาพแลว้ พิมพภ์ าพจาํ ลองตุงค่าวธรรมลงบนผา้ ใบไวนิล เพ่ือใช้ ในการต้ังธรรมกลวงต่อไป โดยไม่ไปยุ่งกับตุงค่าวธรรมผืนเดิม ท่ีมีสภาพชํารุดและเสี่ยงต่อการ เส่ือมสภาพต่อไปในอนาคต ภาพท่ี 40 การจาํ ลองตุงค่าวธรรมข้ึนมาใหม่ โดยพิมพล์ งบนผา้ ใบไวนิล โดยไม่นาํ ของเดิมกลบั มาใช้ ในงานต้งั ธรรมหลวง วดั บา้ นสกั

68    4.4 วดั ปงสนุก อาํ ภอเมือง จังหวดั ลาํ ปาง วดั ปงสนุก เหนือเป็นวดั โบราณวดั หน่ึงในลาํ ปาง สนั นิษฐานวา่ สร้างร่วมสมยั พระเจา้ อนนั ตยศ เสร็จมาทรงสร้างเมืองเขลางคน์ คร เมื่อ พ.ศ. 1223 วดั ปงสนุก เดิมมีชื่อเรียกอยหู่ ลายช่ือ ตามหลกั ฐานใน จารึกท่ีพบในท่ีต่าง ๆ มีอยู่ 4 ช่ือ คือ วดั ศรีจอมไคล วดั ศรีเชียงภูมิ วดั ดอนแกว้ วดั พะยาว(พะเยา) ชุมชน เดิมบริเวณวดั ปงสนุกเป็ นผคู้ นที่อพยพมาจาก 2 ท่ีดว้ ยกนั คือจากการกวาดตอ้ นคร้ังท่ีลาํ ปางไปรบกบั เมืองเชียงแสน ราว พ.ศ. 2364 และจากเมืองพะเยาเม่ือชาวเมืองคราวหนีศึกพม่า ดว้ ยเหตุน้ีชาวเมืองเชียง แสนและเมืองพะเยา แมเ้ มื่อมาต้งั ถ่ินฐานอยทู่ ่ีใหม่ ก็ยงั รําลึกถึงบา้ นเกิดเมืองนอนเดิม จึงไดเ้ อานามชื่อ วดั และชื่อบา้ นมาเรียก โดยชาวพะเยากเ็ รียกวดั พะยาว(พะเยา) ชาวเชียงแสนกเ็ รียกวดั ปงสนุก ซ่ึงเป็นช่ือ บา้ นเดิมของตนในเชียงแสน ซ่ึงปัจจุบนั วดั ปงสนุก ใน อ.เชียงแสน กย็ งั มีอยู่ ปัจจุบนั วดั ปงสนุก แยกเป็น 2 วดั ท้งั ท่ีอาณาเขตกไ็ ม่กวา้ งขวางเท่าใด คือ วดั ปงสนุกเหนือ และ วดั ปงสนุกใต้ สาเหตุที่แยกเน่ืองมาจากพระสงฆ์ สามเณร ในอดีต มีจาํ นวนมาก จึงแบ่งกนั ช่วยดูแล รักษาวดั แต่ถึงอยา่ งไรท้งั สองวดั ก็นบั ถือกนั ว่าเป็ นวดั พี่วดั นอ้ งอาศยั ช่วยเหลือกนั มาโดยตลอด วดั ปง สนุกในอดีตถือวา่ เป็นวดั ท่ีมีสาํ คญั และมีประวตั ิศาสตร์ท่ีเก่ียวพนั กบั เมืองลาํ ปาง อาทิ เป็นสถานที่ดาํ น้าํ ชิงเมืองบริเวณหนา้ วดั ระหวา่ งเจา้ ฟ้าชายแกว้ และเจา้ ลิ้น ก่าน ราวปี พ.ศ. 2302 และยงั เป็นสถานท่ีฝังเสา อินทขิลหรือเสาหลกั เมือง หลกั แรก เม่ือ พ.ศ. 2400 สมยั เจา้ หลวงเจา้ วรญาณรังษีราชธรรม เสาหลกั เมือง ดงั กล่าว ถูกยา้ ยไปฝังไวท้ ี่ศาลเจา้ พอ่ หลกั เมืองในปัจจุบนั ภาพที่ 41 วดั ปงสนุกเหนือ

69    วดั ปงสนุก เป็ นวดั หน่ึงท่ีมีหีบธมั มอ์ ยเู่ ป็นจาํ นวนมาก เนื่องจากในอดีตเคยเป็นวดั หลวงในเขต นครเขลางคเ์ มืองรุ่นท่ีสอง ของจงั หดั ลาํ ปาง ซ่ึงในขณะน้นั ถือเป็นยคุ ที่นครเขลางคม์ ีความเจริญรุ่งเร่ือง ในดา้ นการติดต่อคา้ ขายระหว่างเมืองต่างๆ เพื่อการแลกเปลี่ยนสินคา้ และการเคลื่อนยา้ ยของกลุ่มชน ชาติพนั ธุ์ต่างๆ จนทาํ ให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรื่องตามไปดว้ ย สิ่งสาํ คญั อยา่ งหน่ึงที่ปรากฏ ในวดั ปงสนุกคืองานพุทธศิลป์ เครื่องถวายต่างๆ ท่ีถูกเก็บรักษาไวต้ ้ังแต่อดีต ซ่ึงมีเหลืออยู่มาก พอสมควร ควรแก่การเก็บรักษาและศึกษารูปแบบลวดลาย โครงสร้าง รวมไปถึงองค์ประกอบทาง วฒั นธรรม ความเช่ือพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกนั มา อนั เก่ียวเนื่องกบั งานพุทธศิลป์ ภายในวดั เพื่อเป็นการ อนุรักษ์ รักษาไวซ้ ่ึงงานศิลป์ ของชุมชน ภาพ ตุงค่าว ของวดั ปงสนุก ก็เป็ นอีกหน่ึงงานพุทธศิลป์ ท่ีมี ความสาํ คญั มาก มีอายปุ ระมาณ 120 ปี ถูกสร้างข้ึนในสมยั ครูบาอาโนชยั ธรรมจินดามุนี อนั เป็ นยคุ ทอง ของวดั ปงสนุก ปัจจุบนั พบอยทู่ ้งั สิ้นจาํ นวน 59 ผนื เป็นการเขียนจิตรกรรมบนผนื ผา้ และบนกระดาษสา ท้งั หมด 13 กณั ฑ์ เป็ นเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่มคือ กลุ่มท่ี 1 ตุงค่าวท่ีเขียน บนกระดาษสา มี 35 ฝืน ท้งั หมด 12 กณั ฑ์ เน่ืองจากตุงคา่ วกณั ฑฉ์ กษตั ริยไ์ ดห้ ายไป ภาพท่ี 42 ตุงคา่ วธรรม ชุดท่ี 1 เขียนบนกระดาษสา

70    กลุ่มท่ี 2 ตุงค่าวที่เขียนบนผืนผา้ มี 24 ผนื จากเน้ือหาท้งั หมด 12 กณั ฑ์ แต่ละกณั ฑม์ ีจาํ นวนตุง คา่ วประกอบอยไู่ ม่เท่ากนั โดยมีจาํ นวนต้งั แต่ 1-8 ผนื ข้ึนอยกู่ บั ความสาํ คญั ของแต่ละกณั ฑ์ ภาพที่ 43 ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ อ.เมือง จ.ลาํ ปาง

71    ภาพที่ 44 ภาพวาดพระเวสสนั ดรและนางมทั รี สวมรองเทา้ ประดบั ยศ กณั ฑว์ ณั ประเวศ วดั ปงสนุกเหนือ จิตรกรรมภาพพระบฏวดั ปงสนุกแบ่งพ้ืนท่ีการเขียนออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนตวั ภาพ และส่วน หางตุง พ้ืนที่ส่วนบนเขียนเร่ืองชาดกในแต่ละกณั ฑ์ ลกั ษณ์งานจิตกรรมเป็นงานพ้ืนบา้ นที่ไดร้ ับอิทธิพล การเขียนจิตรกรรมแบบทางภาคกลาง แต่ไดแ้ สดงออกบริบทต่าง ๆ ของทอ้ งถ่ินออกมา เช่น เครื่องแต่ง กาย สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต พิธีกรรม และเร่ืองราวต่าง ๆ อีกเป็ นจาํ นวนมาก มีการใชเ้ ทคนิคการเขียน ภาพใชส้ ีฝ่ นุ และมีการใชเ้ ทคนิคการกระทุง้ สี วาดเป็ นรูปตน้ ไม้ แบ่งองคป์ ระกอบฉากได้ 2 ที่ คือ ฉาก ในป่ า และฉากในพระราชวงั ที่น่าสนใจคือรูปสถาปัตยกรรมบางรูปมีลกั ษณะคลา้ ยกบั วหิ ารพระเจา้ พนั องค์ และธรรมาสน์วดั ปงสนุก

72    ภาพท่ี 45 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ ภาพที่ 46 รูปแบบปราสาทพระอินทร์บนหลงั ชา้ งเอราวณั ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

73    ภาพท่ี 47 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ ภาพท่ี 48 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

74    73 ภาพที่ 49 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซิ่นลายต๋า ภาพตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

75    ภาพท่ี 50 ภาพการแต่งกายหญิงในราชสาํ นกั ท่ีใชผ้ า้ สไบพาดพนั อก ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ ภาพท่ี 51 การวาดเครื่องประดบั ของเจา้ นาย วดั ปงสนุกเหนือ

76    สิ่งที่สาํ คญั ท่ีน่าสนใจซ่ึงปรากฏในภาพเขียนจิตรกรรมพระบฏ คือ ภาพบุคคล สถาปัตยกรรม วฒั นธรรมต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายแตกต่างออกไป และความเป็นพิเศษของภาพพระบฏ คือ สามารถ เคลื่อนยา้ ยได้ และนาํ ไปใชป้ ระกอบการเทศน์มหาชาติ 13 กณั ฑ์ เพื่อเป็ นองคป์ ระกอบในการฟังเทศน์ และมองตวั ภาพจิตรกรรมในกณั ฑน์ ้นั ๆ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจในการเทศนม์ หาชาติมากข้ึน จากการศึกษาเฉพาะภาพพระบฏวดั ปงสนุก เป็ นการศึกษาเรื่องราวของตวั ภาพ หน้าที่การใช้ สอย องคป์ ระกอบทางศิลปะที่น่าสนใจ และภาพจิตรกรรมตุงค่าวธรรมน้ี เกิดจากความศรัทธาของ พทุ ธศาสนิกชน ใหช้ ่างเขียนภาพพ้ืนเมืองรังสรรคผ์ ลงานไวเ้ ป็นเร่ืองพระเวสสนั ดรชาดก เพ่ืออุทิศไวใ้ น พระบวรพุทธศาสนา นอกจากน้ียงั เป็ นประโยชน์เพื่อความงามประดบั ศาลาบาตร ในพิธีเทศน์มหาชาติ หรือต้งั ธรรมหลวงเป็ นเร่ืองราวพระชาติสุดทา้ ย ก่อนท่ีจะบงั เกิดเป็ นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ และ ถือวา่ เป็นการสร้างมหากศุ ลท่ียง่ิ ใหญ่ เพ่ือการสืบทอดพระศาสนา พระนอ้ ย นรุตฺตโม ผชู้ ่วยเจา้ อาวาสวดั ปงสนุก กล่าวว่า ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกน้นั ปัจจุบนั ได้ เกบ็ รักษาไวเ้ ป็นอยา่ งดี โดยการสร้างตูเ้ กบ็ ซ่ึงออกแบบเป็นลิ้นชกั เป็นช้นั ๆ แต่ละช้นั จะสามารถวางเกบ็ ตุงค่าวธรรมไวไ้ ดเ้ พียง 1 ผืน เพื่อความปลอดภยั ของงานศิลปกรรม และง่ายต่อการชมภาพตุงค่าวธรรม ดงั กล่าว จากหน่วยงานที่ตอ้ งการเขา้ ชม นอกจากน้ีทางวดั ยงั ไดป้ ริ้นส์ภาพจาํ ลองตุงค่าวธรรมลงบนผนื ไวนิล เพื่อสามารถนาํ ไปใชใ้ นงานต้งั ธรรมหลวง โดยไม่จาํ เป็ นตอ้ งนาํ ของจริงที่มีอายแุ ละคุณค่าทาง วฒั นธรรมมาใชใ้ หเ้ สี่ยงต่อการเส่ือมสลาย ซ่ึงถือเป็นแนวทาวการอนุรักษแ์ ละรักษาตุงค่าวธรรมของวดั ปงสนุกเหนือ ที่ไดก้ ระจากความคิดดงั กล่าวไปสู่ชุมชนอื่นๆ เช่น วดั บา้ นสกั วดั นาคตหลวง เป็นตน้ จากการลงพ้ืนท่ีสาํ รวจภาพตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง ระหว่าง วนั ท่ี 7-9 สิงหาคม 2558 น้นั พบว่าภาพตุงค่าวธรรมชุดดงั กล่าว ถูกเก็บรักษาไวเ้ ป็ นอยา่ งดีดงั ที่กล่าวไว้ ในเบ้ืองตน้ คนในชุมชนปงสนุกรับรู้ถึงคุณค่าและความสาํ คญั ของภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ี มีความต่ืนตวั ในการทาํ นุบาํ รุงรักษามรดกทางวฒั นธรรมของชุมชนตนเอง ซ่ึงทาํ ให้คณะทาํ งานวิจยั ไดท้ าํ กิจกรรม และได้รับความร่วมมือจากคนในท้องถ่ินเป็ นอย่างดี และถือว่าชุมชนวดั ปงสนุก ที่ต้งั วดั ปงสนุก สามารถพฒั นาใหเ้ ป็ นพ้ืนที่หลกั ท่ีจะสามารถจดั ทาํ แผนและผลกั ดนั ใหเ้ ป็นแหล่งเรียนรู้ทางวฒั นธรรม เรื่องตุงค่าวธรรมนครลาํ ปางต่อไปในอนาคตไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ

77    4.5 วดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จังหวดั ลาํ ปาง วดั สบลี ต้งั อยทู่ ี่บา้ นสบลี หมู่ที่ 6 ตาํ บลแจซ้ อ้ น อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง สงั กดั คณะสงฆ์ มหานิกาย ที่ดินต้ังวดั มีเน้ือที 4 ไร่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2436 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา วนั ท่ี 18 มกราคม พ.ศ. 2530 เป็ นวดั ขนาดเล็กอยใู่ นหุบเขา เป็ นวดั เก่าแก่สร้างโดยเจา้ กาวิละมาละกาเจา้ อาวาส องคแ์ รก วดั น้ีมีอายหุ ลายร้อยปี แลว้ เป็นวดั ท่ีหลงเหลืออยใู่ นตาํ บลแจซ้ อ้ นเพียงไม่กี่วดั และมีความงาม ทางศิลปะลา้ นนาแบบด้งั เดิม พระประธานศิลปะลา้ นนาในวิหารหลวงเป็นพระที่มีความงดงามที่สุดองค์ หน่ึง อีกท้งั ยงั มีภาพจิตรกรรมฝาผนงั เขียนเรื่องราวพุทธชาดกที่สวยงามลงบนแผน่ ไมค้ อสอง วดั แห่งน้ี เป็ นวดั ที่ครูบาศรีวิชยั ไดเ้ ดินทางมาบูรณะปฏิสังขรณ์ ปัจจุบนั วดั สบลีไดร้ ับการอนุรักษไ์ วใ้ ห้คงความ งามโดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของศิลปะล้านนา และได้ข้ึนทะเบียนเป็ น โบราณสถานของชาติ เม่ือปี พ.ศ.2531 ภาพท่ี 52 วหิ ารวดั สบลี ภาพเขียนฝาผนงั ในวิหารวดั สบลีถือวา่ มีความสวยงามและสมบูรณ์ไม่แพภ้ าพเขียนสีจากวดั อ่ืน ภาพเขียนฝาผนงั ที่วดั สบลีดูจะพิเศษและแตกต่างจากวดั อ่ืนที่นิยมเขียนลงบนผนงั ปูน แต่ภาพเขียนของ วดั สบลี จะเขียนลงบนผนงั ไมท้ ี่เรียกว่าแผงคอสอง ซ่ึงเป็ นแผ่นไมก้ ระดานระหว่างช่วงตบั หลงั คาใน วิหาร งานจิตรกรรมดงั กล่าวเขียนดว้ ยสีฝ่ ุนใชส้ ีน้าํ เงิน แดง ขาว และเหลือง เป็ นหลกั ตดั เส้นดว้ ยสีน้าํ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook