Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Published by krootapaw paradee, 2022-08-25 08:49:28

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Search

Read the Text Version

๑๐๑ ลมบก ในเวลากลางคืนพื้นดินคลายความร้อนได้เร็วกว่าพ้ืนน้า ทาให้อากาศเหนือพ้ืนดินมีอุณหภูมิต่า กว่าอากาศเหนือพื้นน้า หรืออากาศเหนือพื้นดินมีความกดอากาศสูงกว่าอากาศเหนือพ้ืนน้า เป็นผลให้อากาศ เหนือพน้ื ดินท่ีมีความกดอากาศสูงกว่าเคล่ือนท่ีเข้าหาพ้ืนน้าที่มีความกดอากาศต่ากว่า หรอื เกดิ ลมพัดจากบกออก สู่ฝั่งทะเลในเวลากลางคืน ลมทะเล ในเวลากลางวนั พ้นื ดนิ รบั ความร้อนไดเ้ รว็ กวา่ พนื้ น้า ทาให้อากาศเหนือพน้ื ดินมีอณุ หภูมิสงู กว่า อากาศเหนอื พ้ืนน้า อากาศเหนอื พน้ื น้ามคี วามกดอากาศสงู กวา่ อากาศเหนือพื้นดนิ เปน็ ผลให้อากาศเหนอื พนื้ น้า มคี วามกดอากาศสงู กว่าเคลือ่ นที่เข้าหาบรเิ วณพืน้ ดนิ ท่ีมคี วามกดอากาศต่ากวา่ หรือเกิดลมพัดจากทะเลเขา้ หาฝ่งั ในเวลากลางวนั ประโยชน์ของลมบก ลมทะเล เรือประมงขนาดเล็กจะออกสู่ท้องทะเลเพ่ือหาปลาในเวลากลางคืน โดยอาศัย“ลมบก”ท่ีพัดจากฝั่งออกสู่ ทะเล ในตอนกลางคืน พอรุ่งสางเรือเหล่าน้ีก็จะอาศัย “ลมทะเล” ที่พัดจากทะเลเข้าฝั่งในเวลากลางวันแล่น กลบั เขา้ สฝู่ ่ังอีกคร้ังนัน้ เอง ๕. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา

๑๐๒ ๖. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ 2) มีความม่งุ ม่นั ในการทางานให้สาเร็จดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มีความรับผิดชอบ ๗. คา่ นยิ ม 1) ซือ่ สตั ย์ เสยี สละ อดทน และมอี ดุ มการณ์ในสิ่งทดี่ ีงาม เพ่ือสว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หม่นั ศึกษาทง้ั ทางตรงและทางอ้อม ๘. ชิน้ งาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในใบงานเร่ือง ลมบก ลมทะเล ๙. การวดั และประเมินผล การประเมนิ เครอ่ื งมอื ประเมนิ เกณฑก์ ารประเมนิ 1.ด้านความรู้ การตอบคาถาม นักเรียนสามารถตอบคาถามไดถ้ กู ต้อง 2.ด้านทักษะกระบวนการ การตอบคาถาม เกนิ รอ้ ยละ 80 3.ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม นักเรียนสามารถทาการตอบคาถามได้ ถกู ต้องเกินร้อยละ 80 มีคะแนนคุณลักษณะอนั พึงประสงคใ์ น เกณฑ์ดี-ดีมาก ๑๐.กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันนา ๑. ครนู านักเรียนร้องเพลง “ลมบก ลมทะเล” อยา่ งพร้อมเพรียงกันโดยมีเนือ้ ร้องดังนี้ “ลมบก ลมทะเล อากาศ ถา่ ยเท ผลดั กนั ผลัดกนั ลมทะเลนน้ั พัดกลางวนั ลมบกนน้ั พดั ยามค่าคืน” เพ่ือเป็นการนาเข้าสบู่ ทเรยี น ๒. ครถู ามนักเรียนวา่ เพลงทร่ี อ้ งไป เป็นเพลงเกยี่ วกบั อะไร (เก่ียวกับลม การเกิดลมบก และลมทะเล) ๓. ครูนาเข้าสู่บทเรียน โดยใช้คาถาม “นักเรียนทราบหรอื ไมว่ ่า ลมบก ลมทะเลเกิดข้ึนได้อย่างไร” วันน้เี ราจะ มาเรยี นรกู้ นั ขนั้ สอน ๑. ครตู รวจสอบความรู้เดิมเก่ียวกับลม โดยใช้คาถามวา่ “ลมคืออะไร เกิดขน้ึ ได้อย่างไร” (ลมเกดิ จากการ เคลื่อนท่ีของอากาศ เน่ืองจากความแตกต่างของอณุ หภูมิ 2 บรเิ วณ) ๒. ครูใหน้ ักเรียนดวู ิดีทัศน์ เรื่อง การเกิดลมบกลมทะเล (https://www.youtube.com/watch?v= bE0FEvhTDAY)แล้วตอบคาถามต่อไปนี้ลงในใบงานที่ครูแจกให้ 1) ลมบก เกิดข้นึ ได้อย่างไร 2) ลมบก เกดิ ขึ้นเวลาใด

๑๐๓ 3) ลมทะเล เกิดขึ้นไดอ้ ย่างไร 4) ลมทะเล เกดิ ขนึ้ เวลาใด 5) ลมบก ลมทะเล มิสิง่ ใดท่เี หมือนกัน หรอื แตกต่างกนั ๓. ครูและนักเรียนรว่ มกันอภปิ รายเกย่ี วกับการเกิดลมบก ลมทะเล โดยใชค้ าถามและสื่อ Power point ประกอบ ดงั ต่อไปนี้ 1) ลมบก เกิดขึ้นได้อย่างไร (ลมบก เกิดจากอากาศเหนือพ้นื น้ามอี ณุ หภูมิสงู กว่าอากาศเหนอื พนื้ ดิน ทาให้ อากาศเยน็ เหนือพืน้ ดนิ พดั ออกไปยงั ทะเลซงึ่ มีอากาศร้อนลอยตวั สูง ) 2) ลมบก เกิดขึ้นเวลาใด (เวลากลางคนื ) 3) ลมทะเล เกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร (ลมทะเล เกิดจากอากาศเหนือพ้นื ดินมีอุณหภูมิสงู กว่าเหนอื พนื้ นา้ ทาให้ อากาศเย็นจากทะเล พัดเขา้ มาฝงั่ พืน้ ดนิ ซึ่งมอี ากาศร้อนลอยตวั สงู ) 4) ลมทะเล เกดิ ขนึ้ เวลาใด (เวลากลางวัน) 5) ลมบก และลมทะเลมสี ิ่งใดทีเ่ หมอื นและแตกต่างกัน (สิ่งทเ่ี หมือนกนั คอื การเคลอ่ื นทข่ี องอากาศเย็น (ความกดอากาศสูง) ไปยังอากาศร้อน(ความกดอากาศต่า) สง่ิ ท่ีแตกตา่ งกัน คือ ลมบก เกดิ กลางคืน ลม ทะเลเกิดกลางวัน ลมบก อากาศพัดจากพน้ื ดินไปทะเล ลมทะเล อากาศพดั จากทะเลไปพืน้ ดิน ) 6) ลมบก ลมทะเล มีประโยชน์อยา่ งไรต่อมนุษย์ (เรือประมงขนาดเล็กจะออกสทู่ ้องทะเลเพ่ือหาปลาใน เวลากลางคนื โดยอาศยั “ลมบก”ที่พดั จากฝัง่ ออกสู่ทะเล ในตอนกลางคืน พอรุง่ สางเรือเหลา่ น้กี ็จะ อาศัย “ลมทะเล” ทีพ่ ดั จากทะเลเขา้ ฝั่งในเวลากลางวันแลน่ กลบั เขา้ สูฝ่ ั่ง) ข้นั สรุป ๓. นักเรียนเขยี นแผนภาพแสดงทิศทางลมบก ลมทะเลในใบงานท่คี รแู จกให้ พร้อมเขยี นอธิบายการเกิดลมบก และลมทะเล ๑๑. ส่ือและแหล่งเรยี นรู้ 1) วิดีทัศน์ เรอื่ ง การเกดิ ลมบก ลมทะเล 2) ใบงาน เรื่อง ลมบก ลมทะเล 3) สอ่ื Power point

๑๐๔ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 5 เร่อื ง ปรากฏการณข์ องโลก แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 13 เรื่อง ลมมรสมุ และผลของมรสุมต่อฤดกู าลในประเทศไทย รายวชิ า ว 16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรียนที่ ๒ เวลา 2 ชวั่ โมง ผสู้ อน .................................................................... โรงเรียนอนุบาลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบ และความสมั พนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลงภายใน โลกและบนผวิ โลก ธรณพี ิบตั ิภยั กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศโลกรวมทงั้ ผลต่อส่ิงมีชวี ติ และสงิ่ แวดล้อม ป.6/4 เปรียบเทยี บการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม รวมทั้งอธิบายผลที่มตี ่อสิง่ มีชีวิตและส่ิงแวดล้อม จากแบบจาลอง ป.๖/๕ อธิบายผลของมรสมุ ต่อการเกดิ ฤดูของประเทศไทย จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ ๒. สาระสาคญั ลมมรสุม เกิดขึ้นจากความแตกต่างกันของอุณหภูมิระหว่างบริเวณแผ่นดินและมหาสมุทร ทาให้อากาศ เกดิ การเคลื่อนทีไ่ ปมาระหว่างสองบริเวณน้ี ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรู้ความเข้าใจ (K) 1) นกั เรียนอธิบายการเกิดลมมรสุมได้ถูกต้อง 2) นักเรยี นอธบิ ายผลของลมมรสุมทม่ี ีต่อการเกิดฤดูกาลในประเทศไทยได้ ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรยี นสามารถสบื ค้นข้อมลู เก่ยี วกับผลของลมมรสมุ ที่มตี ่อการเกิดฤดกู าลในประเทศไทยได้ ด้านคุณลกั ษณะ (A) 1) มคี วามรับผิดชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย 2) มคี วามใฝ่รู้ใฝเ่ รียน ๔. สาระการเรยี นรู้ ลมมรสุม เกิดข้ึนจากความแตกต่างกันของอุณหภูมิระหว่างบริเวณสองตาแหน่ง ความแตกต่างของ อณุ หภูมิน้ี เป็นเหตทุ ีท่ าให้เกิดความแตกตา่ งของความกดอากาศ คือ ในฤดูหนาว อุณหภูมิของแผน่ ดิน จะเยน็ กว่า อุณหภูมิของมหาสมุทร ความกดอากาศตามบริเวณแผ่นดินจึงสูงกว่าความกดตามบริเวณมหาสมุทร โดยเหตุนี้ ลมในระดับต่าๆ จึงพัดจากแผ่นดินไปสู่มหาสมุทร ส่วนในฤดูร้อนอุณหภูมิของแผ่นดินจะสูงกว่าอุณหภูมิของ

๑๐๕ มหาสมุทร ความกดอากาศตามบริเวณแผน่ ดนิ จึงน้อยกว่าความกดอากาศตามบรเิ วณมหาสมุทร โดยเหตุน้ี ลมใน ระดบั ตา่ จะพดั จากมหาสมทุ รไปสทู่ วีป อิทธิพลของมรสุมมีมากที่สุดในทวีปเอเซีย บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ บริเวณประเทศอินเดีย ปากีสถาน ไทย และแหลมอินโดจีน ในระหว่างฤดูหนาวผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียจะถูกปกคลุมด้วยอากาศ เยน็ และมคี วามกดอากาศสูงต้ังแต่ผิวพืน้ ไปจนถึงระดับความสูงประมาณ ๓ กิโลเมตร ส่วนตามบรเิ วณมหาสมุทร อินเดียจะมีความกดอากาศต่า ในลักษณะน้ี จะมีลมพัดจากความกดอากาศสูงไปสู่ความกดอากาศต่า ลมใน บริเวณน้ีมักจะพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซ่ึงเรียกกัน ว่า \"ลมมรสุม ตะวันออกเฉียงเหนือ\" (northeast monsoon) กระแสลมนี้ค่อนข้างเย็น และมีความชื้นน้อย จึงมีฝนได้เพียง ตามบรเิ วณชายฝง่ั เทา่ นั้น เชน่ ตามฝงั่ อินโดจนี สว่ นบรเิ วณลึกเข้าไปในแผ่นดิน เช่น ตอนบนของประเทศไทย ฝน จะตกเป็นจานวนนอ้ ยมาก ฤดนู ้ีเรียกว่า ฤดหู นาว อยู่ในระหว่างเดือนพฤศจกิ ายน ถึงเดือนกุมภาพนั ธ์ ส่วนในฤดูร้อน ตั้งต้นจากเดือนมีนาคม ถึงเดือนตุลาคม อุณหภูมิบนผืนแผ่นดินใหญ่ของประเทศจีนจะ ร้อนกว่า และมีความกดอากาศน้อยกว่าอากาศตามบริเวณพื้นมหาสมุทรอินเดีย ในลักษณะนี้ลมจะพัดจาก มหาสมุทรอินเดยี ไปสแู่ ผ่นดินใหญ่ ลมนีม้ ักจะพัดจากทิศตะวนั ตกเฉยี งใต้ ไปทางทศิ ตะวันออกเฉียงเหนือ เรยี กว่า \"มรสุมตะวันตกเฉียงใต้\" (southwest monsoon) ลมชนิดน้ีค่อนข้างช้ืน และพัดหอบไอน้าไปได้เป็นจานวน มาก โดยเฉพาะลมมรสุมที่พัดผ่านประเทศไทยตอนบนข้ึนไป จะทาให้ฝนตกชุก ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึง กลางเดือนตุลาคม จงึ เรยี กว่า ฤดฝู น ทศิ ทางของลมมรสุม

๑๐๖ ๕. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา ๖. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรยี นรู้ 2) มีความมุ่งมัน่ ในการทางานใหส้ าเรจ็ ด้วยความสามารถของตนเอง 3) มีความรบั ผิดชอบ ๗. ค่านิยม 1) ซ่ือสัตย์ เสยี สละ อดทน และมอี ุดมการณใ์ นสง่ิ ที่ดีงาม เพ่ือส่วนรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ๘. ช้ินงาน/ภาระงาน 1) การสบื คน้ ข้อมูล แล้วนามาจดั กระทาตามรปู แบบทเี่ ลือก ๙. การวดั และประเมนิ ผล การประเมนิ เครือ่ งมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1.ด้านความรู้ การนาข้อมูลจากการสืบคน้ มา จดั กระทาในรูปแบบท่ีเลือก - นักเรยี นสามารถนาข้อมูลจากการสืบค้น 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ มาจดั กระทาไดถ้ ูกตอ้ งเกนิ ร้อยละ 80 3.ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ การสืบคน้ ข้อมูลเร่ืองลมมรสุม - นกั เรยี นสามารถจดั ทาข้อมูลในรปู แบบ ทน่ี ่าสนใจ เขา้ ใจไดง้ ่าย แบบสงั เกตพฤติกรรม นักเรียนสามารถสืบคน้ ข้อมูลไดถ้ ูกต้อง เกนิ รอ้ ยละ 80 มีคะแนนคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดีมาก ๑๐.กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนา ๑. ครทู บทวนความร้เู ดิมในชั่วโมงก่อน เรือ่ ง ลม โดยใชค้ าถามต่อไปนี้ 1) ลม เกิดขน้ึ ได้อย่างไร (เกดิ จากการเคลื่อนท่ีของอากาศ เน่ืองจากความแตกต่างของอุณหภมู ิสอง บริเวณ) 2) ลมบกและลมทะเล เกดิ ขึ้นได้อย่างไร และเกิดขน้ึ ในเวลาใด ๒. ครนู าเข้าสบู่ ทเรียน โดยใช้คาถาม “เม่ือช่วั โมงก่อน นกั เรียนไดเ้ รียนร้เู กย่ี วกบั การเกิดลมบก ลมทะเลแล้ว วันนเี้ ราจะมาเรยี นร้กู ารเกิดลมอีก 1 ชนดิ คอื ลมมรสุม”

๑๐๗ ขนั้ สอน ๑. ครตู รวจสอบความรูเ้ ดิม โดยใช้คาถามดังน้ี 1) ลมมรสมุ คืออะไร เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจ) 2) ลมมรสุมสง่ ผลอย่างไรตอ่ ฤดูกาลประเทศไทย (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจ) ๒. ครใู ห้นกั เรยี นสืบค้นขอ้ มลู เกยี่ วกบั การเกดิ ลมมรสมุ และผลของลมมรสมุ ทม่ี ีต่อประเทศไทย จาก แหล่งข้อมูลทนี่ า่ เชือ่ ถอื ได้ ๓. จากน้ันให้นักเรียนจับกลมุ่ 8 กล่มุ ๆ 5-6 คน แลว้ ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับข้อมลู ที่ได้จากการสืบค้น เพ่ือนา ข้อมลู เหลา่ น้นั มาจดั กระทาในรูปแบบท่กี ลุ่มตนเองเลือก เช่น แผนภาพ,mind mapping,โปสเตอร์ เป็นตน้ ๔. ครูใหน้ ักเรียนแตล่ ะกล่มุ ออกมานาเสนอข้อมลู ที่ได้จากการสบื ค้นผา่ นรปู แบบทก่ี ลุ่มตนเองได้เลือก ๕. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการสืบค้น โดยใชค้ าถามต่อไปนี้ 1) ลมมรสมุ เกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร (เกิดจากความแตกตา่ งระหว่างอุณหภูมิของแผ่นดนิ และมหาสมทุ ร) 2) ลมมรสุมมีก่ีประเภทอะไรบ้าง (2 ประเภท คือ ลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ และลมมรสุม ตะวันตกเฉยี งใต)้ 3) ลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือ เกดิ ขน้ึ ได้อย่างไร และพดั ผา่ นในชว่ งเดือนใด (ประมาณกลางเดอื น ตุลาคม จะมีมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนอื พัดปกคลุมประเทศไทย จนถงึ กลางเดือนกุมภาพันธ์ มรสมุ นมี้ แี หลง่ กาเนดิ จากบรเิ วณความกดอากาศสงู บนซีกโลกเหนือ แถบประเทศมองโกเลียและจีน จงึ พดั พาเอามวลอากาศเย็น และแห้งจากแหล่งกาเนิดเขา้ มาปกคลุมประเทศไทย) 4) ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้ เกดิ ข้ึนได้อยา่ งไร และพดั ผ่านในช่วงเดือนใด (มรสมุ ตะวนั ตกเฉียงใต้พัด ปกคลุมประเทศไทย ระหว่างกลางเดอื นพฤษภาคมถึงกลางเดือนตลุ าคม โดยมแี หลง่ กาเนดิ จาก บริเวณความกดอากาศสงู ในซีกโลกใตบ้ รเิ วณมหาสมุทรอินเดีย ซง่ึ พัดออกจากศูนย์กลางเปน็ ลม ตะวันออกเฉยี งใต้ และเปลี่ยนเปน็ ลมตะวันตกเฉยี งใตเ้ ม่อื พดั ข้ามเส้นศูนยส์ ตู ร มรสุมน้ีจะนามวล อากาศชนื้ จากมหาสมุทรอนิ เดียมาส่ปู ระเทศไทย) 5) ลมมรสุมทง้ั 2 ประเภท สง่ ผลอยา่ งไรต่อการเกิดฤดูกาลในประเทศไทยบ้าง (ลมมรสุม ตะวันออกเฉียงเหนือ ทาให้เกิดฤดูหนาวขึน้ และลมมรสมุ ตะวันตกเฉยี งใต้ ทาใหเ้ กิดฤดฝู นเกดิ ขนึ้ ในประเทศไทย ) ข้นั สรปุ ๑. นกั เรียนชมวดิ ีทัศน์ “นักสารวจ ตอนลมมรสุม” (https://www.youtube.com/watch?v=32 CRHuCjoB4) ๒. ครสู มุ่ นักเรียน เพ่ือสรปุ การเกิดลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ ๑๑. สอ่ื และแหล่งเรยี นรู้ 1) วดิ ีทศั น์ เรื่อง นักสารวจ ตอนลมมรสุม 2) สอ่ื Power point

๑๐๘ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 5 เรอื่ ง ปรากฏการณ์ของโลก แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 14 เรอื่ ง ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ ๒ ผ้สู อน.................................................................... เวลา ๔ ชั่วโมง โรงเรียนอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสมั พันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายใน โลกและบนผวิ โลก ธรณีพิบตั ิภยั กระบวนการเปลีย่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศโลกรวมทง้ั ผลต่อส่งิ มีชวี ติ และสงิ่ แวดล้อม ป.6/๘ สรา้ งแบบจาลองที่อธบิ ายการเกดิ ปรากฏการณเ์ รือนกระจกและผลของปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ตอ่ สงิ่ มชี ีวติ ๒. สาระสาคญั ปรากฏการณ์เรือนกระจก เกิดจากแกส๊ เรือนกระจกในช้นั บรรยากาศของโลก กักเกบ็ ความร้อน แล้วคาย ความร้อนบางส่วนกลับสู่ผวิ โลก ทาให้อากาศบนโลกมีอณุ หภูมิเหมาะสมต่อการดารงชีวิต ๓. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ความเข้าใจ (K) 1) นกั เรียนอธิบายการเกิดปรากฏการณเ์ รอื นกระจกได้ถกู ต้อง 2) นักเรยี นอธิบายผลของปรากฏการณเ์ รือนกระจกต่อส่ิงมีชวี ติ ได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรยี นสร้างแบบจาลองการเกิดปรากฏการณเ์ รือนกระจกได้ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) มีความรับผดิ ชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย 2) มีความใฝ่รใู้ ฝ่เรยี น 4. สาระการเรยี นรู้ ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse effect) คือ ภาวะท่ีชั้นบรรยากาศของโลกกระทาตัวเสมือน กระจก ที่ยอมให้รังสีคล่ืนส้ันผ่านลงมายังผิวโลกได้ แต่จะดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดที่แผ่ออกจาก พื้นผิวโลกเอาไว้ จากน้ันก็จะคายพลังงานความร้อนให้กระจายอยู่ภายในช้ันบรรยากาศและพ้ืนผิวโลก จงึ เปรยี บเสมอื นกระจกทป่ี กคลมุ ผิวโลกใหม้ ภี าวะสมดลุ ทางอณุ หภูมิ และเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตบนผวิ โลก แต่ในปัจจุบันมีแก๊สบางชนดิ สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมากเกินสมดุล ซึ่งแก๊สเหล่าน้ีสามารถดดู กลืนรังสี คล่ืนยาวช่วงอินฟราเรดและคายพลังงานความร้อนได้ดีพ้ืนผิวโลกและชั้นบรรยากาศ จึงมีอุณหภูมิสูงข้ึนส่งผล กระทบตอ่ สภาพภูมิอากาศของโลก และสง่ิ มชี วี ติ พน้ื ผิวโลกอย่างมากมาย แก๊สที่ทาให้อณุ หภูมใิ นชน้ั บรรยากาศ โลกสงู ขน้ึ ได้แก่

๑๐๙ 1) ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) เป็นก๊าซทีส่ ะสมพลังงานความร้อนในบรรยากาศโลกไว้มากท่ีสุดและ มีผลทาให้ อณุ หภูมิของโลกสูงข้นึ มากทสี่ ุดในบรรดาก๊าซเรือนกระจกชนิดอ่ืนๆ CO2 สว่ นมากเกิดจาก การกระทาของมนษุ ย์ เชน่ การเผาไหม้เชือ้ เพลิง , การผลติ ซเี มนต์ , การเผาไม้ทาลายปา่ เปน็ ต้น 2) ก๊าซมีเทน (CH4) เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากมูลสัตว์เล้ียง เช่น วัว ควาย การเผาไหม้ เชือ้ เพลงิ ถา่ นหินและก๊าซธรรมชาติ 3) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ การใช้ปุ๋ย มูลสัตว์ท่ีย่อยสลาย การสันดาปน้ามัน เช้ือเพลิงจากอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในขบวนการผลิต เช่นอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรม พลาสตกิ บางชนดิ อตุ สาหกรรมผลติ เสน้ ใยไนลอน 4) คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbon- CFCs) เป็นสารสังเคราะห์ท่ีใช้ในอุตสาหกรรม ประกอบด้วย คาร์บอน (C) คลอรีน (Cl) และฟลูออรีน (F) ซ่ึงเป็นสารที่ทาลายชั้นบรรยากาศโอโซน เป็นสาเหตุที่ทาให้อุณหภูมิโลกสูงข้ึน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เคร่ืองทาความเย็นใน ตูเ้ ย็น เคร่ืองปรับอากาศ โฟม กระป๋องสเปรย์ สารดับเพลิง สารชะล้าง ในอุตสาหกรรมอเิ ล็คทรอนคิ ส์ ภาพแสดงการเกดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก ผลกระทบจากปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ผลกระทบจากปรากฏการณ์เรือนกระจก ต่อการเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศ ภูมิประเทศ เศรษฐกจิ และสังคม ของมนุษยท์ ้ังโลก ทีน่ ักวทิ ยาศาสตรไ์ ด้คาดการณ์ไวม้ ีรายละเอยี ดดังต่อไปน้ี 1. ผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างข้ึน ทาให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อ ปริมาณของฝนทต่ี ก, อณุ หภูมิ, ลม, และพายุ 2. ผลกระทบต่อแหล่งนา้ เมื่อมีฝนตกหนักข้ึน จนเกดิ อุทกภัยและแผ่นดนิ ถล่ม ดินอนั อดุ มสมบูรณจ์ ะถูกพัดพาไป ตามลาน้าเกิดเป็นความขุ่นของสายน้า ที่เมื่อตกตะกอนจะสร้างความต้ืนเขินให้แก่แหล่งน้า เม่ือสายน้าขุ่นไหล ออกสู่ชายฝั่งจะทาลายแนวปะการัง แหล่งอาศัยและอนุบาลสัตว์น้า นอกจากนั้นแล้วตะกอนดินที่มีปริมาณ ธาตุไนโตรเจนสูง ยังช่วยเร่งการเจริญเติบโตของสาหร่ายตามชายฝ่ัง เม่ือสาหร่ายเหล่าน้ีตายลง จะเกิดการ เนา่ เสยี ทล่ี ดปรมิ าณออกซิเจนในนา้ จนเป็นอนั ตรายตอ่ สตั ว์น้า

๑๑๐ 3. ผลกระทบต่อแหล่งพลังงาน ผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้นต่อแหล่งพลังงาน เกิดข้ึนกับกิจกรรมขุดเจาะน้ามันใน มหาสมุทรที่อยู่ใต้อิทธิพลของสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการเกิดพายุหมุนที่รุนแรงย่อมเป็นอุปสรรค ในการขุดเจาะน้ามันในทะเลและมหาสมุทร ระดับน้าทล่ี ดลงอย่างมากของเขื่อนในหน้าแล้ง ทาให้มีปริมาณน้า ไมพ่ อตอ่ การผลติ ไฟฟ้า 4. ผลกระทบต่อระดับน้าทะเลและท่ีอยู่อาศัยของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าถ้าอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลก เพ่ิมข้ึนอีก 0.3✧ จะทาให้ธารน้าแข็ง เกิดการละลายจนระดับน้าในมหาสมุทรเพ่ิมข้ึนอีก 100 เมตร การ ขยายตวั ของมหาสมุทรทาให้เมืองที่อย่บู รเิ วณชายฝ่ังทะเลและท่รี าบลุ่มปากแมน่ า้ ท่ีอยู่สูงจากระดับน้าทะเลไม่ มากจะถูกน้าท่วม จนมนษุ ย์ต้องมีการยา้ ยถ่ินฐานใหม่ ซึ่งมีผลกระทบตอ่ สภาพความเปน็ อยูแ่ ละสภาพสงั คม 5. ผลกระทบต่อการเกษตรกรรม ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่ีเพิ่มสูงข้ึนจะเร่งการเจริญเติบโตของพืช แต่ ในบริเวณที่มีการจัดสรรน้าในการชลประทานได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเกษตรกรรม อากาศท่ีร้อน ขึ้นจะเร่งการระเหยและการคายน้าของพืช ทาให้พืชเกิดอาการเห่ียวแห้งตาย ในขณะเดียวกัน อากาศร้อนยัง เร่งการเจรญิ เตบิ โตของแมลงและจลุ ินทรียบ์ างชนดิ ท่ีทาลายพชื 6. ผลกระทบตอ่ ระบบนิเวศวิทยาของโลก ระดบั นา้ ทะเลท่ีสูงและอุ่นข้นึ ทาให้สัตวแ์ ละพืชตา่ งๆต้องปรบั ตัวอย่าง หนักเพ่ือความอยู่รอด ส่วนดินแดนในเขตมรสุม จะมีพายุฤดูร้อนเกิดบ่อยและรุนแรงข้ึน โดยระดับน้าทะเลท่ี สงู ขนึ้ ทาใหเ้ กดิ การสูญเสียผลติ ผลทางการเกษตรและมีการระบาดมากข้ึนของแมลงและเช้ือโรคหลายชนิด 7. การสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ท่ีผิดปกติบนผิวโลก นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าความผิดปกติในการสะท้อนรังสี ดวงอาทิตย์ของโลกในฤดูกาลต่างๆ มีสาเหตุมาจากการตัดไม้ทาลายป่าในเขตร้อนชื้น และการหายไปของ น้าแข็งที่ขวั้ โลก เนอ่ื งจากแถบเสน้ ศูนย์สตู รเปน็ บริเวณทไี่ ดร้ บั แสงอาทติ ย์มากทส่ี ดุ ดงั นน้ั การหายไปของป่าใน เขตรอ้ นชนื้ จงึ ทาให้การสะทอ้ นรังสีของโลกผิดปกติไป ซึง่ จะสัมพันธ์กับความผิดปกติของปรมิ าณนา้ ฝนทตี่ ก 8. ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ อากาศที่ร้อนและมีความช้ืนสูงจะบั่นทอนสุขภาพในการทางานของ มนษุ ย์ กอ่ ใหเ้ กดิ ความกดดันต่อสภาพร่างกายและจิตใจ ร่างกายจึงมภี ูมิคุ้มกนั ท่ตี ่าลงจนง่ายต่อการรับเชื้อโรค ที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศ โดยอุณหภูมิและความช้ืนที่สูงเกินไปอาจทาให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันจนเกิดการ เสยี ชวี ติ ได้ ๕. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา ๖. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝเ่ รยี นรู้ 2) มีความมงุ่ มน่ั ในการทางานให้สาเรจ็ ดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มีความรับผดิ ชอบ ๗. ค่านิยม 1) ซ่ือสัตย์ เสยี สละ อดทน และมีอุดมการณใ์ นสิง่ ที่ดีงาม เพือ่ สว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมั่นศึกษาท้งั ทางตรงและทางอ้อม

๑๑๑ ๘. ช้ินงาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามลงในแบบบนั ทกึ กิจกรรม 2) การสร้างแบบจาลองปรากฏการณเ์ รือนกระจก 3) การสืบคน้ ขอ้ มูลและจดั ทาแผนผังความคิด ๙. การวดั และประเมนิ ผล การประเมิน เครอื่ งมอื ประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน 1.ด้านความรู้ การตอบคาถามในแบบบันทกึ นกั เรียนสามารถตอบคาถามได้ถกู ต้อง กจิ กรรม เกินร้อยละ 80 การจัดทาแผนผงั ความคดิ นักเรียนนาข้อมูลมาจดั ทาแผนผงั ความคดิ ไดถ้ ูกตอ้ งเกินร้อยละ 80 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ การสบื คน้ ข้อมลู นกั เรยี นสามารถสืบคน้ ข้อมลู ได้ถกู ต้อง การสรา้ งแบบจาลอง เกินรอ้ ยละ 80 ปรากฏการณ์เรือนกระจก นักเรยี นสามารถสรา้ งแบบจาลอง ปรากฏการณเ์ รือนกระจกได้ถูกต้อง 3.ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดมี าก ๑๐.กจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ นา ๑. ครนู าภาพขา่ วผลกระทบท่ีเกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจก เช่น นา้ แขง็ ขวั้ โลกละลาย อากาศร้อน เปน็ ต้น มา ให้นกั เรียนดู พร้อมถามคาถามต่อไปน้ี 1) จากภาพขา่ วขา้ งต้น เป็นข่าวเกย่ี วกับเรอื่ งใด (น้าแขง็ ขวั้ โลกละลาย , กทม.มีอากาศร้อน) 2) จากภาพขา่ วขา้ งตน้ นักเรียนคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุให้น้าแข็งขัว้ โลกละลาย อากาศของกทม.มี อุณหภูมสิ ูงขึน้ (นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจ เช่น เพราะคนปล่อยแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ , เพราะ โลกรอ้ นข้ึน จากปรากกฎการณ์เรอื นกระจก เปน็ ต้น) ๒.ครูนาเข้าสบู่ ทเรยี น โดยใชค้ าถาม “หากปรากฏการณ์เรอื นกระจกเปน็ สาเหตทุ ่ที าให้โลกของเรามอี ุณหภมู ิสูงขน้ึ นักเรยี นทราบหรือไมว่ า่ ปรากฏการณ์เรือนกระจกคอื อะไร และเกิดขนึ้ ได้อย่างไร” วันนเี้ ราจะมาเรียนรกู้ ัน

๑๑๒ ขั้นสอน ๑. ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภิปรายเกยี่ วกับปรากฏการณเ์ รือนกระจก โดยใชส้ ่ือ Power point และคาถามดงั น้ี 1) ปรากฏการณ์เรือนกระจกคอื อะไร (คือปรากฏการณ์ที่ช้นั บรรยากาศของโลก กักเกบ็ ความรอ้ น แลว้ คายความร้อนบางส่วนกลับสู่ผวิ โลก ทาให้อากาศบนโลกมีอณุ หภมู เิ หมาะสมต่อการดารงชีวติ ) 2) ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกที่สง่ ผลให้อุณหภมู ิบนโลกสูงข้ึน เพราะเหตุใด (เพราะในปัจจุบันมีแก๊สบาง ชนิดสะสมอยู่ในช้ันบรรยากาศมากเกินสมดุล ซ่ึงแก๊สเหล่านี้สามารถดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วง อินฟราเรดและคายพลังงานความร้อนได้ดี พื้นผิวโลกและช้ันบรรยากาศจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้นส่งผล กระทบตอ่ สภาพภูมิอากาศของโลก และสิ่งมีชวี ติ พน้ื ผิวโลกอย่างมากมาย) 3) แก๊สที่ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เรือนกระจก คือแก๊สชนิดใดบ้าง (แก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ , แกส๊ มีเทน , แกส๊ CFCs , และแกส๊ ไนตรสั ออกไซด์ ) ๒. ครูแบ่งกลุม่ นักเรยี นออกเปน็ 8 กลุม่ ๆละ 5-6 คน จากน้ันใหน้ กั เรยี นศึกษาวสั ดุ-อุปกรณ์ วิธดี าเนนิ การทา กจิ กรรม เรอ่ื ง แบบจาลองปรากฏการณ์เรือนกระจก จากเอกสารท่ีครูแจกให้ ๓. ครแู นะนาวัสดุ-อุปกรณ์ วิธดี าเนินการทากจิ กรรม เร่ือง แบบจาลองปรากฏการณเ์ รือนกระจก โดยใชส้ ่ือ Power point ๔. ครูใหต้ ัวแทนนกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ออกมารับวสั ดุ-อปุ กรณ์ ในการทากิจกรรม ๕. จากนัน้ นักเรยี นดาเนนิ การทากจิ กรรม โดยการสงั เกตและบันทึกผลการทากิจกรรมลงในแบบบนั ทึกกจิ กรรม ที่ครูแจกให้ ๖. ครูและนกั เรยี นอภปิ รายผลการทากจิ กรรม โดยใช้คาถามต่อไปนี้ 1) โครงเหลก็ เปรียบได้กบั สง่ิ ใดในการเกดิ ปรากฏการณ์เรอื นกระจก (โลกของเรา) 2) แผน่ พลาสติกเปรยี บได้กบั สิ่งใดในการเกิดปรากฏการณ์เรอื นกระจก (ชัน้ บรรยากาศ) 3) อุณหภมู ทิ ่นี ักเรยี นวดั ได้ภายในโรงเรอื น และภายนอกโรงเรยี นแตกตา่ งกันอย่างไร (ภายในโรงเรือน มอี ุณหภูมิท่ีสงู กว่าภายนอกโรงเรยี น) 4) เพราะเหตุใดอุณหภูมภิ ายในโรงเรือนจึงสูงกวา่ อุณหภูมิภายนอกโรงเรยี น (เพราะภายในโรงเรอื นมี แผ่นพลาสตกิ ใสท่ีช่วยกักเก็บความรอ้ นไวไ้ ด)้ 5) จากการทากิจกรรมนักเรยี นสามารถสรุปผลการทดลองได้อย่างไร (โลกเรามชี ัน้ บรรยากาศปกคลมุ โลกอยเู่ ปรยี บเสมอื นการทดลองท่ีมีแผน่ พลาสติกปกคลุมโครงเหลก็ เมอ่ื ได้รบั ความร้อนจากดวง อาทิตย์ จะทาใหช้ น้ั บรรยากาศกกั เก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ สง่ ผลใหโ้ ลกของเรามีอุณหภูมทิ ี่ สงู ข้ึน) ๗. ครูให้นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ สืบค้นข้อมลู เก่ยี วกับผลกระทบทเี่ กดิ จากปรากฏการณเ์ รือนกระจก จากแหล่งข้อมลู ท่นี า่ เช่อื ถือ ๘. จากน้นั นาข้อมลู ที่สบื ค้นได้มาจดั กระทาในรูปแบบแผนผงั ความคิด (Mind mapping) ลงบนกระดาษบร๊ฟู ท่ี ครแู จกให้ ๙. ครูสุม่ ตวั แทนนกั เรยี นออกมานาเสนอข้อมูลที่ไดจ้ ากการสืบค้นเก่ียวกบั ผลกระทบทเ่ี กิดจากปรากฏการณ์ เรอื นกระจก ๑๐.ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรุปผลกระทบท่เี กดิ จากปรากฏการณ์เรอื นกระจก โดยใช้สอ่ื Power point

๑๑๓ ขั้นสรุป ๑. นกั เรียนชมวิดีทัศน์ เร่ือง GREENHOUSE EFFECT คืออะไร (https://www.youtube.com/watch?v= xVjFeeivZbA) ๒. จากน้นั ใหน้ กั เรียนสรปุ การเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกลงในสมุด ๑๑. สือ่ และแหลง่ เรียนรู้ 1) วดิ ีทศั น์ เรอื่ ง GREENHOUSE EFFECT 2) วสั ดุ-อุปกรณ์ท่ใี ชใ้ นการทดลอง 3) แบบบันทึกกจิ กรรม เร่ือง แบบจาลองปรากฏการณ์เรือนกระจก 4) ภาพขา่ วนา้ แข็งขั้วโลกละลาย และกทม.มอี ุณหภูมสิ งู ขน้ึ 5) ส่ือ Power point

๑๑๔ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เรอื่ ง ปรากฏการณ์ของโลก แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 1๕ เรอ่ื ง การปฏบิ ัตติ นเพือ่ ลดกจิ กรรมที่กอ่ ให้เกิดแก๊สเรอื นกระจก รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา 2 ช่วั โมง ผูส้ อน .................................................................... โรงเรยี นอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ช้วี ดั มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสมั พันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายใน โลกและบนผิวโลก ธรณพี บิ ตั ิภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศโลกรวมท้งั ผลต่อสงิ่ มชี วี ติ และสิง่ แวดล้อม ป.6/๙ ตระหนกั ถึงผลกระทบของปรากฏการณเ์ รอื นกระจกโดยนาเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ติ นเพือ่ ลด กิจกรรมที่ก่อใหเ้ กดิ แก๊สเรือนกระจก ๒. สาระสาคัญ แนวทางการปฏบิ ตั ิตนเพ่ือลดกจิ กรรมท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ แก๊สเรือนกระจก ไดแ้ ก่ การลดใช้พลังงานต่างๆใน ชวี ติ ประจาวัน การปลูกต้นไม้ทดแทน เปน็ ต้น ๓. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจ (K) 1) นักเรียนอธบิ ายแนวทางการปฏิบตั ติ นเพ่ือลดกจิ กรรมท่กี ่อใหเ้ กดิ แก๊สเรือนกระจกได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 2) นักเรียนสบื ค้นข้อมูลแนวทางการปฏบิ ตั ติ นเพ่ือลดกิจกรรมทกี่ ่อใหเ้ กดิ แก๊สเรอื นกระจกได้ ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) มีความรับผดิ ชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย 2) มีความใฝ่รูใ้ ฝ่เรียน

๑๑๕ 4. สาระการเรยี นรู้ แนวทางการปฏบิ ตั ติ นเพือ่ ลดกจิ กรรมทก่ี ่อใหเ้ กดิ แก๊สเรอื นกระจก ๑. ลดการใชพ้ ลงั งานในบา้ นด้วยการปิดทีวี คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองเสียง และเครื่องใช้ไฟฟา้ ตา่ งๆ เมอ่ื ไมไ่ ดใ้ ช้งาน ๒. ขับรถยนต์สว่ นตวั ให้น้อยลง ดว้ ยการปนั่ จกั รยาน ใชร้ ถโดยสารประจาทาง หรือใชก้ ารเดนิ แทนเม่ือต้องไป ทากิจกรรมหรอื ธรุ ะใกล้ๆ บ้าน ๓. เปิดหน้าตา่ งรับลมแทนเปดิ เครื่องปรบั อากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้า ๔. เปลีย่ นมาใช้พลังงานชวี ภาพ เชน่ ไบโอดเี ซล เอทานอล ให้มากขนึ้ ๕. ริเร่ิมใชพ้ ลังงานทางเลือกในอาคารสานักงาน เช่น ตดิ ตัง้ แผงโซลาร์เซลลเ์ พ่อื ใช้พลงั งานจากแสงอาทติ ยใ์ น การผลิตกระแสไฟฟา้ เฉพาะจุด ๖. ป้องกนั การปลอ่ ยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ ด้วยการแยกขยะอนิ ทรยี ์ เชน่ เศษผกั เศษอาหาร ออกจากขยะ อืน่ ๆ ท่สี ามารถนาไปรีไซเคลิ ไดม้ าใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ ๗. ลดปริมาณการใชถ้ งุ พลาสตกิ เพราะถุงพลาสติกไมส่ ามารถยอ่ ยสลายไดเ้ องตามธรรมชาติ และการเผา กาจดั ในเตาเผาขยะอย่างถกู วิธตี ้องใช้พลังงานจานวนมาก ซง่ึ ทาใหม้ ีก๊าซเรือนกระจกเพิ่มในบรรยากาศ ๘. ลดการใชส้ ารเคมใี นการเกษตร นอกจากจะเปน็ การลดปญั หาการปลดปล่อยไนตรสั ออกไซดส์ บู่ รรยากาศ โลกแลว้ ในระยะยาวยังเป็นการลดตน้ ทนุ การผลติ และทาใหค้ ณุ ภาพชีวติ ของเกษตรกรดีขึ้น ๙. สนบั สนุนใหม้ ีการพัฒนาการใชพ้ ลงั งานแสงอาทติ ย์ ท้งั การสนับสนนุ งบประมาณในการวิจยั และการ พัฒนาระบบใหม้ ีต้นทุนตา่ และคมุ้ ค่าในการใชง้ าน ๑๐.สนบั สนนุ กลไกตา่ งๆ สาหรบั พลังงานหมนุ เวียน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรบั ปรุงเทคโนโลยแี ละการลด ตน้ ทนุ มาตรการการใชพ้ ลงั งานของประเทศไทยเพอ่ื ประหยัดพลังงานและลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานมากข้ึน ซ่ึงพลังงานเหล่านี้ต้องซ้ือจากต่างประเทศถึง 65 เปอร์เซนต์ ซ่ึงรัฐบาลได้ดาเนินนโยบายในหลาย ๆ ด้าน เพ่ือให้มีการประหยัดพลังงานในประเทศ เช่น มาตรการ ทางด้านกฎหมาย มาตรการทางด้านภาษี มาตรการทางดา้ นการเงิน และมาตรการด้านการจัดการใชไ้ ฟฟ้า เปน็ ตน้ มาตรการทางด้านกฎหมาย พ.ร.บ. การอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มีเจตนารมณ์ท่ีส่งเสริมให้เกิดวินัยในการอนุรักษ์พลังงานใน โรงงานและอาคาร โดยใช้มาตรการบังคับควบคู่ไปกับการจูงใจโดยได้จัดกองทุนพื่อการสนับสนุนทางด้านการเงิน แก่ผู้ประสงค์ที่จะเพ่ิมประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และมีบทลงโทษสาหรับอาคารท่ีละเลยที่ไม่ปฏิบัติตาม กฎกระทรวง ท่ีออกตาม พ.ร.บ. โดยบทบาทของรัฐ คือการสร้าง และการใช้กลไกในการให้การสนับสนุนและ ส่งเสริมการประหยดั พลังงานของผ้ใู ชพ้ ลงั งาน มาตรการทางด้านภาษี โดยลดภาษีนาเขา้ อปุ กรณ์และเคร่อื งมอื ทป่ี ระหยดั พลังงานต่าง ๆ

๑๑๖ มาตรการทางด้านการเงิน แผนงานอนุรักษพ์ ลังงานและแนวทางใหก้ ารสนบั สนุนจากกองทุน 1. แผนภาคบังคับ เป็นแผนงานที่เก่ียวกับการดาเนินงานตามกฎหมาย สาหรับโรงงานและอาคาร ควบคุมการดาเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ โรงงานและอาคารท่ัวไป ท่ีมีความประสงค์จะดาเนินการ อนรุ ักษพ์ ลงั งาน 2. แผนงานภาคความร่วมมือ เป็นแผนงานที่เก่ียวกับให้การสนับสนุน และความร่วมมือระหว่าง หน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในการผลิตด้าน เกษตรกรรม และด้านอุตสากรรมในชนบท ให้มีการนาพลังงานหมุนเวียนท่ีส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมน้อยมาใช้ อยา่ งแพร่หลาย 3. แผนงานสนนั สนุน เป็นแผนงานท่เี กยี่ วกับการวางแผน กากับ ดูแล ประเมนิ ผล การเพิ่มประสิทธภิ าพ ของบคุ ลากร และการประชาสัมพนั ธ์ เพ่อื ให้แผนงานอนรุ กั ษพ์ ลงั งานดาเนนิ ไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ มาตรการด้านการจัดการการใช้ไฟฟ้า นอกจากมาตรการการใช้พลงั งานอย่างประหยดั เพื่อลดกา๊ ซเรือนกระจก การจัดหาพลังงานหมุนเวียนด้าน ต่าง ๆ เพื่อมาใช้ทดแทน ก็เป็นนโยบายท่ีสาคัญที่จะช่วยป้องกันและลดก๊าซรือนกระจก เน่ืองจากการใช้พลังงาน เชอ้ื เพลงิ ประเภทฟอสซลิ ไดแ้ ก่ถา่ นหิน นา้ มนั และกา๊ ซธรรมชาติ เปน็ สาเหตุสาคัญของการเกดิ ก๊าซเรอื นกระจก 5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝ่เรยี นรู้ 2) มีความมุ่งมนั่ ในการทางานให้สาเร็จดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มีความรบั ผิดชอบ 7. คา่ นยิ ม 1) ซ่อื สัตย์ เสยี สละ อดทน และมีอดุ มการณ์ในสิ่งทดี่ งี าม เพือ่ ส่วนรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมัน่ ศกึ ษาทงั้ ทางตรงและทางอ้อม 8. ชนิ้ งาน/ภาระงาน 1) การสืบค้นขอ้ มูลแนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือลดกิจกรรมทก่ี ่อใหเ้ กิดแก๊สเรือนกระจก 2) การตอบคาถามลงในสมดุ

๑๑๗ 9. การวดั และประเมนิ ผล เคร่ืองมอื ประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน การตอบคาถามในสมดุ การประเมิน นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้ถูกต้อง 1.ด้านความรู้ เกนิ รอ้ ยละ 80 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ การสบื ค้นข้อมูล นักเรียนสามารถสบื ค้นข้อมูลได้ถูกต้อง เกนิ ร้อยละ 80 3.ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดมี าก 10. กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันนา ๑. ครทู บทวนความรู้เดิมเมื่อชัว่ โมงก่อน โดยใช้คาถามต่อไปนี้ 1) ปรากฏการณ์เรือนกระจก เกิดขึน้ ได้อย่างไร (เกดิ จากการปลอ่ ยแกส๊ เรือนกระจกออกส่บู รรยากาศ มากเกินไป ทาให้อากาศบนโลกมีอุณหภมู สิ งู ขนึ้ ) 2) ผลกระทบทเ่ี กิดข้ึนจากปรากฏการณ์เรือนกระจกมีอะไรบา้ ง (อณุ หภมู ิบนโลกสงู ข้นึ ระดบั นา้ ทะเลสงู ขึน้ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพของมนษุ ย์) ๒. ครนู าเขา้ สู่บทเรียน โดยใชค้ าถาม “นกั เรียนจะเห็นว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจกส่งผลกระทบต่อมนษุ ย์ใน หลายๆด้าน เราจะมแี นวทางการปฏิบตั ติ นเพื่อลดกจิ กรรมทกี่ อ่ ให้เกดิ แก๊สเรอื นกระจกได้อยา่ งไร” วันนีเ้ รา จะมาเรยี นร้กู ัน ขัน้ สอน ๑. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 8 กลุ่มๆละ 5-6 คน จากน้ันให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมารับกระดาษและ ปากกา ๒. ครูให้นักเรียนแต่ละคนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับแนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือน กระจกเป็นเวลา 10 นาที จากแหลง่ ข้อมลู ท่ีนา่ เชือ่ ถือ ๓. จากนน้ั นาข้อมลู ท่ีตนไดจ้ ากการค้นคว้ามาอภปิ รายร่วมกันในกลุม่ แลว้ เขยี นลงในกระดาษที่ครูแจกให้ ๔. ครใู หน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้าแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลดกจิ กรรมที่ก่อให้เกิดแก๊ส เรอื นกระจก ๕. ครูนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับแนวทางการปฏิบัตติ นเพื่อลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจก มาอภิปรายร่วมกนั กบั นักเรยี น โดยใชค้ าถามดงั นี้ 1) จากข้อมูลที่นักเรียนศึกษาค้นคว้า แนวทางการปฏิบตั ิตนอย่างไรทส่ี ามารถลดกิจกรรมท่ีก่อให้เกดิ แก๊สเรือนกระจกได้ (ลดการใช้ถุงพลาสติก, ลดการใช้รถยนต์โดยใช้รถสาธารณะ, ลดการใช้ พลงั งานไฟฟา้ , สนบั สนนุ การใชพ้ ลังงานชวี ภาพ) 2) จากแนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือลดกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจก นาไปสู่การกาหนด มาตรการใดบ้าง (มาตรการดา้ นการใช้พลังงาน, มาตรการดา้ นกฎหมาย, มาตรการด้านการเงนิ )

๑๑๘ ข้ันสรปุ ๑. นักเรียนเขยี นแนวทางในการปฏบิ ัตติ นเพือ่ ลดกจิ กรรมที่ก่อใหเ้ กดิ แกส๊ เรือนกระจกมาคนละ 5 ข้อลงใน สมดุ ๑๑. ส่อื และแหลง่ เรยี นรู้ 1) กระดาษบร๊ฟู และปากกา 2) สอ่ื Power point

๑๑๙ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 6 เรือ่ ง ภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 1๖ เรื่อง ภยั พิบัติทางธรรมชาติ รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ ๒ ผสู้ อน .................................................................... เวลา 8 ชัว่ โมง โรงเรียนอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชวี้ ัด มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงภายใน โลกและบนผวิ โลก ธรณีพิบตั ิภยั กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศและภมู ิอากาศโลกรวมทัง้ ผลตอ่ สงิ่ มชี ีวติ และสิง่ แวดล้อม ป.6/๖ บรรยายลกั ษณะและผลกระทบของน้าท่วม การกัดเซาะชายฝง่ั ดินถลม่ แผ่นดินไหว สึนามิ ป.6/7 ตระหนกั ถึงผลกระทบของภยั ธรรมชาตแิ ละธรณีพิบัติภัย โดยนาเสนอแนวทางในการเฝา้ ระวงั และ ปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภยั จากภัยธรรมชาติและธรณีพบิ ตั ิภยั ท่ีอาจเกิดในท้องถ่ิน ๒. สาระสาคัญ น้าท่วม เป็นภัยและอันตรายทเ่ี กดิ จากสภาวะน้าท่วมหรือนา้ ท่วมฉับพลนั มสี าเหตุมาจากการเกิดฝนตก หนกั หรือฝนตอ่ เนอ่ื งเป็นเวลานาน การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของชายฝ่ังทะเลที่เกิดขึ้นตลอดเวลาจากการกัดเซาะ ของคล่นื หรอื ลม ตะกอนจากท่หี นง่ึ ไปตกทบั ถมในอกี บริเวณหนงึ่ ทาให้แนวของชายฝัง่ เดิมเปล่ียนแปลงไป ดินถลม่ คอื การเคลอ่ื นทขี่ องมวลดนิ หรอื หนิ ลงมาตามลาดเขาด้วยอทิ ธิพลของแรงโนม้ ถว่ งของโลก แผ่นดินไหว เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากการส่ันสะเทือนของพ้ืนดิน อันเน่ืองมาจากการ ปลดปล่อยพลงั งานเพื่อลดความเครยี ดทส่ี ะสมไวภ้ ายในโลกออกมาเพ่ือปรับสมดุลของเปลือกโลกให้คงท่ี สึนามิ เป็นคล่ืนหรือกลุ่มคล่ืนท่ีมีจุดกาเนิดอยู่ในเขตทะเลลึก ซ่ึงมักปรากฏหลังแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แผ่นดินไหวใต้ทะเล ภูเขาไฟระเบิด ดินถล่ม แผ่นดินทรุด หรืออุกกาบาตขนาดใหญ่ตกลงในทะเล ซึ่งคล่ืนสึนามิ สามารถเขา้ ทาลายพ้นื ท่ีชายฝ่งั ทาให้เกิดการสญู เสยี ทั้งชวี ติ และทรัพยส์ ินได้ ๓. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ (K) 1) นักเรยี นบรรยายลกั ษณะของนา้ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝงั่ ดินถลม่ แผ่นดนิ ไหว สึนามไิ ด้ 2) นกั เรยี นบรรยายผลกระทบของนา้ ท่วม การกัดเซาะชายฝัง่ ดนิ ถล่ม แผน่ ดนิ ไหว สนึ ามิได้ 3) นกั เรยี นสามารถบอกแนวทางในการเฝา้ ระวังและปฏิบตั ติ นใหป้ ลอดภัยจากภยั พบิ ัตทิ างธรรมชาติได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรยี นสบื คน้ ข้อมูลเกย่ี วกบั ผลกระทบของนา้ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถลม่ แผน่ ดินไหว สนึ ามไิ ด้ 2) นกั เรยี นสบื คน้ ข้อมูลเกีย่ วกับแนวทางในการเฝา้ ระวงั และปฏบิ ัตติ นใหป้ ลอดภัยจากภัยพิบัตทิ าง ธรรมชาตไิ ด้

๑๒๐ ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) มคี วามรับผิดชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย 2) มคี วามใฝ่ร้ใู ฝ่เรียน ๔. สาระการเรยี นรู้ อุทกภยั คอื ภัยและอนั ตรายท่เี กดิ จากสภาวะน้าท่วมหรอื นา้ ทว่ มฉบั พลนั มีสาเหตุมาจากการเกิดฝนตกหนักหรือ ฝนตอ่ เน่ืองเป็นเวลานาน เนอื่ งมาจาก 1) หยอ่ มความกดอากาศตา่ 2) พายหุ มุนเขตร้อน ได้แก่ พายุดีเปรสชั่น, พายุโซนรอ้ น, พายใุ ต้ฝ่นุ 3) ร่องมรสมุ หรือร่องความกดอากาศต่า 4) ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้ 5) ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ 6) เขอื่ นพัง ลกั ษณะของอทุ กภยั มีความรนุ แรงและรปู แบบต่าง ๆ กนั ดงั น้ี ๑. น้าป่าไหลหลาก หรือน้าท่วมฉับพลัน มักจะเกิดข้ึนในท่ีราบต่าหรือท่ีราบลุ่มบริเวณใกล้ภูเขาต้นนา้ เกิดข้ึน เน่ืองจากฝนตกหนักเหนือภูเขาต่อเน่ืองเป็นเวลานาน ทาให้จานวนน้าสะสมมีปริมาณมากจนพ้ืนดินและ ต้นไม้ดดู ซับไมไ่ หว ไหลบา่ ลงส่ทู ร่ี าบตา่ เบ้อื งลา่ งอย่างรวดเรว็ ๒. นา้ ทว่ ม หรอื น้าท่วมขัง เปน็ ลักษณะของอทุ กภัยท่เี กิดขน้ึ จากปริมาณน้าสะสมจานวนมาก ท่ีไหลบา่ ในแนว ระนาบ จากที่สูงไปยังท่ีต่าเข้าท่วมอาคารบ้านเรือน เรือกสวนไร่นาได้รับความเสียหาย หรือเป็นสภาพน้า ท่วมขัง ในเขตเมืองใหญท่ ่ีเกิดจากฝนตกหนัก ตอ่ เนอื่ งเปน็ เวลานาน มสี าเหตมุ าจากระบบการระบายน้าไม่ ดีพอ มสี ง่ิ กอ่ สรา้ งกีดขวางทางระบายน้า หรือเกดิ น้าทะเลหนุนสูงกรณีพ้ืนท่ีอยู่ใกล้ชายฝงั่ ทะเล ๓. นา้ ลน้ ตล่งิ เกดิ ขน้ึ จากปริมาณนา้ จานวนมากท่ีเกิดจากฝนหนักต่อเนื่องท่ีไหลลงสู่ลาน้าหรือแม่น้ามีปริมาณ มากจนระบายลงสู่ลุ่มน้าด้านล่าง หรือออกสู่ปากน้าไม่ทัน ทาให้เกิดสภาวะน้าล้นตลงิ่ เข้าท่วมเรอื กสวน ไร่ นา และบ้านเรือนตามสองฝั่งน้า จนได้รับความเสียหาย ถนน หรือสะพานอาจชารุด ทางคมนาคมถูกตัด ขาดได้ ผลกระทบท่ีเกิดจากน้าทว่ ม ๑. น้าท่วมอาคารบ้านเรือน ส่ิงก่อสร้างและสาธารณสถาน ซึ่งจะทาให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่าง มาก บ้านเรือนหรืออาคารส่ิงก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงจะถูกกระแสน้าท่ีไกลเช่ียวพังทลายได้ คนและสัตว์ พาหนะและสัตว์เลย้ี งอาจได้รับอนั ตรายถึงชวี ติ จากการจมนา้ ตาย ๒. เส้นทางคมนาคมและการขนส่ง อาจจะถูกตัดเป็นช่วง ๆ โดยความแรงของกระแสน้า ถนน และสะพาน อาจจะถูกกระแสน้าพัดให้พงั ทลายได้ สนิ ค้าพัสดอุ ยู่ระหวา่ งการขนสง่ จะได้รบั ความเสยี หายมาก ๓. ระบบสาธารณปู โภค จะไดร้ ับความเสยี หาย เช่น โทรศัพท์ โทรเลข ไฟฟ้า และประปา ฯลฯ

๑๒๑ ๔. พืน้ ท่กี ารเกษตรและการปศุสตั ว์จะได้รับความเสียหาย เชน่ พชื ผล ไรน่ า ทุกประการท่กี าลังผลิดอกออกผล อาจถูกน้าท่วมตายได้ สัตว์พาหนะ วัว ควาย สัตว์เล้ียง ตลอดจนผลผลิตท่ีเก็บกักตุน หรือมีไว้เพ่ือทาพันธุ์ จะได้รับความเสียหาย ความเสียหายทางอ้อม จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยท่ัวไป เกิดโรคระบาด สขุ ภาพจติ เสือ่ ม และสูญเสียความปลอดภยั เปน็ ตน้ การเตรยี มพรอ้ มรับมอื ตอ่ ภัยจากน้าทว่ ม ๑. ติดตามขา่ วสาร และ เชอื่ ฟงั ประกาศ จากเจา้ หนา้ ท่ี ๒. สับคัตเอาท์ไฟก่อนออกจากบ้าน แล้วอพยพจากพ้ืนที่น้าท่วมสูงอย่างทันที อย่าห่วงทรัพย์สิน ห่วงชีวิต ตนและคนรอบข้างก่อน ๓. โทรแจ้งสายด่วน 1669 หากพบผู้ถูกไฟดูด ให้การปฐมพยาบาลตามคาแนะนา หากหัวใจหยุดเต้นให้ รบี กดหนา้ อกชว่ ยหายใจ ๔. หา้ ม ลงเล่นน้าหรอื พายเรอื เขา้ ใกลส้ ายไฟ และระวังอนั ตรายจากสตั วม์ ีพษิ และเชอ้ื โรคทมี่ ากับนา้ ๕. หากเดินลุยน้า หลังจากเข้าบ้านแล้วควรรีบล้างเท้าทาความสะอาดและเช็ดให้แห้ง หากเท้ามีบาดแผล ควรชะล้างด้วยนา้ ยาฆ่าเชือ้ เพอื่ ปอ้ งกันโรคนา้ กดั เทา้ ๖. นาถุงพลาสตกิ ใสท่ รายหรอื ดนิ อุดที่คอหา่ นและทอ่ นา้ ทง้ิ เพอื่ ป้องกันน้าท่วมดนั เข้ามาทางโถสว้ ม การกดั เซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งทะเลที่เกิดข้ึนตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคล่ืนหรือลม ตะกอนจากท่ีหนง่ึ ไปตกทบั ถมในอีกบริเวณหนึง่ ทาใหแ้ นวของชายฝัง่ เดิมเปล่ยี นแปลงไป บริเวณทม่ี ีตะกอนเคลื่อน เข้ามาน้อยกว่าปริมาณท่ีตะกอนเคลื่อนออกไป ถือว่าเป็นบริเวณท่ีมีการกัดเซาะชายฝ่ัง สาเหตุหลักของการ เปลยี่ นแปลงชายฝ่ังแบ่งไดเ้ ป็น 2 สาเหตหุ ลกั คือ 1. การเปลย่ี นแปลงชายฝงั่ โดยกระบวนการตามธรรมชาติ เกิดจากการกัดเซาะของคลืน่ และลม วาตภยั อุทกภยั หรอื จากกจิ กรรมของสิง่ มีชีวติ ในบริเวณนน้ั โดยคล่นื เป็นตวั การสาคญั ในการเปลีย่ นแปลงลกั ษณะของตะกอนและทรายชายฝง่ั 1) ลมพายุและมรสมุ ลมมรสุมตะวันออกเฉยี งเหนือและลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงใต้ มีอทิ ธิพลตอ่ การ เปล่ยี นแปลงแนวชายฝัง่ ตามธรรมชาติในรอบปี เชน่ แนวชายฝ่ังฝั่งตะวนั ออกมีปริมาตรทรายตามแนว ชายฝงั่ ลดลงในช่วงลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ แต่จะมปี รมิ าตรมากขึน้ ในชว่ งมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ และกรณีลมพายุขนาดใหญ่พัดเขา้ สู่ชายฝง่ั อา่ วไทยกท็ าใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงของแนวชายฝ่งั เช่นกัน 2) กระแสน้า และภาวะนา้ ข้ึน-น้าลง ทาให้เกิดการเคล่ือนตัวของตะกอนและมวลทรายบรเิ วณชายฝ่ัง ซ่งึ เปน็ ตวั การสาคัญของการกัดเซาะและการงอกของแผน่ ดนิ ในบางบริเวณ 3) ลกั ษณะทางกายภาพของชายฝง่ั ทะเล ลักษณะของชายฝง่ั ท่ีต่างกันทาให้การกัดเซาะแตล่ ะบริเวณไม่ เทา่ กนั ในบรเิ วณอา่ วจะได้รบั การกดั เซาะน้อยกว่าบรเิ วณทะเลเปิด เช่น บรเิ วณอ่าวไทยตอนลา่ งจะไดร้ บั ผลกระทบรนุ แรงเมอื่ เกิดพายุทก่ี ่อตวั ในทะเลจนี ใต้ คลน่ื จะเคล่ือนมากระทบแนวชายฝ่งั โดยตรงเน่ืองจาก เป็นทะเลเปดิ และในพืน้ ท่ชี ายฝง่ั ที่ลาดชันน้อยจะเกิดการกัดเซาะน้อยกวา่ บริเวณท่ีชายฝ่งั มีความลาดชนั มาก

๑๒๒ 2. การเปลีย่ นแปลงชายฝัง่ โดยกจิ กรรมของมนุษย์ กิจกรรมของมนุษย์ถือเป็นปัจจยั สาคัญในการเปล่ยี นแปลงของแนวชายฝง่ั จากการมุ่งเน้นพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยใช้ทรพั ยากรเปน็ ฐานการผลติ แต่กลับใหค้ วามสาคญั ในการรักษาและฟ้นื ฟทู รัพยากรน้อยเกินไป ทา ให้ทรัพยากรที่มีความสาคัญถูกทาลายและเส่ือมโทรมลงทุกขณะ กิจกรรมท่ีเร่งกระบวนการกัดเซาะชายฝั่งให้ รนุ แรงมากข้ึน ได้แก่ 1) การพัฒนาขนาดใหญ่ในพ้ืนท่ีชายฝ่ังทะเล เช่น การสร้างท่าเรือน้าลึก ถนนเลียบชายฝั่ง และถมทะเลเพื่อ สร้างสิ่งก่อสร้างตา่ งๆ ในเขตนิคมอตุ สาหกรรม เพ่ือรองรบั การพัฒนาและขบั เคล่อื นเศรษฐกิจของประเทศ 2) การพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวทางทะเลและชายฝ่ัง ซ่ึงเน้นการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรองรับกิจกรรมการ ท่องเที่ยว เช่น สร้างโรงแรม ท่ีพัก เส้นทางคมนาคม เกิดการรุกล้าเข้าไปแนวสันทรายชายฝั่ง ซ่ึงเป็น ปราการท่ีปอ้ งกันการกดั เซาะชายฝงั่ ตามธรรมชาติ 3) การสร้างเข่ือน ฝายหรืออ่างเกบ็ น้าตน้ น้า โครงสรา้ งเหล่านมี้ ผี ลให้ตะกอนทไี่ หลตามแม่นา้ มาสะสมบริเวณ ปากแม่น้ามีปริมาณลดลง ขาดตะกอนท่ีจะเติมทดแทนส่วนตะกอนเก่าท่ีถูกพัดพาไปบริเวณอ่ืนโดย กระแสน้า ทาให้เกิดการกัดเซาะแนวชายฝง่ั อยา่ งตอ่ เนือ่ ง เช่น ชายฝัง่ ทะเลบางขุนเทียน เปน็ ตน้ 4) การบุกรุกทาลายพ้ืนท่ีป่าชายเลน เพ่ือพัฒนาเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้า ป่าชายมีความสาคัญหลาย ประการ ประการหนึ่งคือ ช่วยดักและตกตะกอนโคลนทาให้เกิดดินงอกตามแนวชายฝ่ัง และเป็นกาแพง ป้องกนั กระแสคลนื่ และลมปอ้ งกันการพงั ทลายของแนวชายฝั่งด้วย 5) การสูบน้าบาดาล ทาให้เกิดการทรุดตัวของแผ่นดิน และจะมีส่วนให้การกัดเซาะชายฝั่งเกิดความรุนแรง มากข้ึน เช่น การกัดเซาะในพ้ืนที่อ่าวไทยตอนบนจากปัญหาการทรุดตัว เน่ืองจากการสูบน้าบาดาลเกิน ศกั ยภาพในพ้นื ท่ีกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ 6) การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ส่งผลกระทบระบบนิเวศชายฝ่ังและปะการัง สภาพอากาศ แปรปรวน โดยเฉพาะการเพ่ิมข้ึนของระดับน้าทะเล จะส่งผลกระทบต่อชายฝั่งทะเลทั่วประเทศและอาจ กอ่ ให้เกดิ ปญั หาการกดั เซาะชายฝัง่ อีกด้วย ดนิ ถลม่ หรอื โคลนถล่ม คือ การเคลื่อนท่ีของมวลดินและหินลงมาตามลาดเขาด้วยอิทธพิ ลของแรงโน้มถ่วงโลก และจะมีน้าเข้ามา เก่ียวขอ้ งในการ ทาให้มวลดนิ และหินเคล่ือนตัวดว้ ยเสมอ ดนิ ถลม่ มกั เกดิ ตามมาหลังจากน้าป่าไหลหลาก ในขณะที่ เกิดพายฝุ นตกหนกั รนุ แรงต่อเนอื่ ง หรือหลงั การเกิดแผน่ ดนิ ไหว สาเหตขุ องดินถล่ม/โคลนถลม่ จาแนกไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี ๑. สาเหตุจากมนุษย์ (Manmade Causes) กิจกรรมท่ีมนุษย์ทาในบริเวณที่ลาดชัน เป็นสาเหตุหนึ่งท่ีทาให้ เกดิ ดินถล่มหรอื โคลนถลม่ เช่น 1) การก่อสร้างในบรเิ วณเชงิ เขาที่ลาดชัน โดยไม่มีการคานวณด้านวิศวกรรมท่ีดพี อ 2) การเกษตรในพนื้ ท่ีลาดชนั เชิงเขา 3) การกาจดั พืชที่ปกคลมุ ดนิ และการตดั ไม้ทาลายปา่ กจิ กรรมเหล่านี้สง่ ผลให้พืน้ ทีด่ ังกลา่ วมีความลาดชนั เพิ่มข้นึ เกิดการเปลี่ยนแปลงรปู แบบการไหลของน้าผิว ดินและเปล่ยี นแปลงระดบั นา้ บาดาล ซ่งึ อาจกอ่ ให้เกดิ ดินถลม่ หรอื โคลมถลม่

๑๒๓ ๒. สาเหตุจากธรรมชาติ (Natural factors) เหตุการณ์ทางธรรมชาติก็เป็นสาเหตุให้เกิดดินถล่มหรือโคลน ถลม่ ไดเ้ ช่นกัน เช่น 1) ฝนตกหนกั การเกดิ ดินถลม่ ในประเทศไทยสว่ นใหญ่มักจะมฝี นเป็นปจั จัยเร่งท่สี าคัญเสมอ 2) การละลายของหมิ ะจะไปเพ่ิมระดบั นา้ ใตผ้ วิ ดิน และน้าหนกั ของดนิ อยา่ งรวดเรว็ 3) การเปล่ียนแปลงระดบั น้าเน่อื งจากนา้ ขนึ้ นา้ ลง การลดระดับนา้ ในแมน่ า้ และอา่ งเก็บน้า 4) การกัดเซาะของดินจากกระแสน้าในแม่น้า ลาธาร หรือจากคลื่นซัดทาให้ความหนาแน่นของมวล ดินลดลง 5) การผุพังของมวลดนิ และหิน 6) การสน่ั สะเทือนจากแผน่ ดนิ ไหว 7) ภเู ขาไฟระเบดิ ในบรเิ วณทภี่ ูเขาไฟยังไมส่ งบ เถา้ ภูเขาไฟหรือลาวาจะเคล่ือนตัวเปน็ มวลดนิ ขนาด ใหญ่ทมี่ ีความหนาแน่นตา่ เมอื่ เกิดฝนตกหนัก จึงมโี อกาสทเี่ กดิ ดินถล่มหรือโคลนถล่มนอกจากน้ี ผลกระทบจากแผ่นดินถล่ม มีดงั น้ี 1. บา้ นเรอื นพังทลายจากการทบั ถมของเศษดิน หนิ ทราย ทีไ่ หลมากับน้า 2. ผคู้ นและสัตว์เลี้ยงไดร้ ับบาดเจ็บและเสยี ชีวติ จานวนมาก 3. พืชผลทางการเกษตรเสยี หาย 4. เสน้ ทางคมนาคมตา่ งๆถูกทาลายเสยี หาย 5. เสน้ ทางเดินของนา้ ถกู ทับถมและเปลย่ี นไป การเตรยี มพรอ้ มรับมอื ต่อภยั จากดินโคลนถลม่ ๑. หากฝนตกหนัก ใหส้ งั เกตสัญญาณเตือนภัยของเหตดุ ินโคลนถล่ม เช่น เสยี งต้นไม้หัก หินกอ้ นใหญต่ กลงมา นา้ มีสขี ุน่ ๒. อพยพไปในพ้ืนทสี่ งู และมั่นคง ตามเสน้ ทางที่เตรียมการไว้ เมอ่ื ได้รับสัญญาณเตอื นภัย ๓. ต้ังสติ ท่องไว้ “รักษาชวี ติ ก่อน ทรพั ยส์ ินไว้ทหี ลงั ” ใหน้ าของใชเ้ ฉพาะที่จาเปน็ ตดิ ตวั ไปเทา่ นัน้ ๔. หากพลัดตกนา้ หาต้นไมใ้ หญเ่ กาะแลว้ รบี ขึ้นจากนา้ ให้ได้ ๕. หากหนไี มท่ นั ใหม้ ้วนตวั เป็นทรงกลม ใหม้ ากท่สี ดุ เพ่ือป้องกนั ศรี ษะกระแทก แผ่นดนิ ไหว เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นดิน อันเนื่องมาจากการปลดปล่อย พลงั งานเพอื่ ลดความเครยี ดที่สะสมไว้ภายในโลกออกมาเพื่อปรับสมดลุ ของเปลือกโลกให้คงท่ี สาเหตขุ องการเกดิ แผ่นดนิ ไหว การเกดิ แผน่ ดนิ ไหวมสี าเหตุมาจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ 1. เกิดจากการกระทาของมนุษย์ ได้แก่ การทดลองระเบิดปรมาณู การกักเก็บน้าในเขื่อน และแรงระเบิดจาก การทาเหมอื งแร่ 2. เกดิ ตามธรรมชาตอิ ันเนื่องมาจากการเคล่ือนทข่ี องแผ่นเปลอื กโลก

๑๒๔ ผลกระทบท่ีเกดิ จากแผ่นดนิ ไหว ภัยแผ่นดินไหวที่เกิดข้ึนมีท้ังทางตรงและทางอ้อม เช่น พื้นดินแยก ภูเขาไฟระเบิด อาคารส่ิงก่อสร้าง พังทลายเนื่องจากแรงสั่นไหว ไฟไหม้ ก๊าซร่ัว คลื่นซูนามิ แผ่นดินถล่ม เส้นทางคมนาคมเสียหาย เกิดโรคระบาด ปัญหาด้านสุขภาพจิตของผู้ประสบภัย ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สนิ เกิดความสูญเสียทาง เศรษฐกิจ เช่น การสื่อสารโทรคมนาคมขาดช่วง เครื่องคอมพิวเตอร์หยุดหรือขัดข้อง การคมนาคมทางบก ทาง อากาศชะงัก ประชาชนตนื่ ตระหนก มผี ลตอ่ การลงทุนและการประกนั ภัย เป็นต้น สนึ ามิ คือ คล่ืนหรือกลุ่มคล่ืนท่ีมีจุดกาเนิดอยู่ในเขตทะเลลึก ซึ่งมักปรากฏหลังแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แผ่นดนิ ไหวใต้ทะเล ภเู ขาไฟระเบิด ดนิ ถล่ม แผน่ ดนิ ทรุด หรอื อุกกาบาตขนาดใหญต่ กลงในทะเล ซง่ึ คลนื่ สึนามิ สามารถเขา้ ทาลายพน้ื ทช่ี ายฝ่งั ทาให้เกดิ การสูญเสยี ท้งั ชีวติ และทรพั ยส์ นิ ได้ สาเหตุการเกิดสึนามิ คลนื่ สึนามสิ ว่ นใหญเ่ กดิ จากการเคลื่อนตวั ของเปลือกโลกใต้ทะเลอย่างฉับพลนั อาจจะเปน็ การเกิดแผ่นดิน ถล่มยุบตัวลง หรือเปลือกโลกถูกดันขึ้นหรือยุบตัวลง เมื่อแผ่นดินใต้ทะเลเกิดการเปลี่ยนรูปร่างอย่างกระทนั หนั จะทาใหน้ า้ ทะเลเกิดเคลือ่ นตัวเพอ่ื ปรับระดับให้เขา้ สจู่ ดุ สมดลุ และจะก่อให้เกดิ คลนื่ สึนามิ ผลกระทบจากสนึ ามิ การเกิดสึนามิในแต่ละคร้ังจะส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล เม่ือเทียบกับภัยพิบัติประเภทอ่ืนๆ โดยผลกระทบจากการเกิดสนึ ามิ จาแนกเป็นผลกระทบทางตรงและทางออ้ ม ดงั น้ี ๑. มีผู้เสียชวี ิตและสญู หายจานวนมาก ๒. ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ มีการยกเลิกการจ้างงาน รวมทั้งการยกเลิกเที่ยวบินของ และยังส่งผลกระทบ ตอ่ เน่ืองภายหลังอีกหลายปี ๓. ระบบนเิ วศเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะระบบนิเวศทางทะเล และระบบนเิ วศชายฝั่ง เชน่ การเปลีย่ นแปลง ท่ีอยอู่ าศยั ของสัตวน์ ้า การปนเปอื้ นของส่ิงปฏกิ ูลในนา้ ๔. พ้นื ท่ีทางการเกษตรและประมงไดร้ ับความ เสียหาย จากผลกระทบท่นี า้ ทะเลเขา้ ทว่ มในพืน้ ที่ ๕. การดาเนินชีวิตและสุขภาวะของประชาชนเป็นไปด้วยความยากลาบาก บ้านเรือนและทรัพย์สินเกิดความ เสยี หาย ไมม่ ีท่อี ยูอ่ าศยั เชอ้ื โรคแพร่กระจาย รวมทั้งความเครยี ดที่เกิดจากการสญู เสยี ๖. สูญเสียงบประมาณของรัฐในการพื้นฟู ทั้งการพื้นฟูระบบโครงสร้างพื้นฐานเช่น ถนน ไฟฟ้า น้าประปา หน่วยงานราชการ ตลอดจนการดูแล เยียวยาผปู้ ระสบภัยจากสึนามิ การเตรยี มพร้อมรับมือต่อภยั จากแผน่ ดินไหว และสึนามิ ๑. อพยพตามแผนของหมู่บา้ น ชมุ ชน หรือจังหวัด ๒. หากออกเรือขณะเกิดสึนามิ ห้าม เขา้ ใกลช้ ายฝง่ั เด็ดขาดและให้อยู่ในบริเวณน้าลึก ๓. หากอยใู่ นบ้านขณะเกดิ แผ่นดินไหว รบี หมอบลงใตโ้ ต๊ะที่แข็งแรง หากอยู่ภายนอกอาคารให้อยู่บริเวณทโ่ี ล่งไม่มี ส่ิงกดี ขวาง ๔. ใช้ผา้ ปดิ ปากและจมกู เพือ่ ปอ้ งกนั ฝุ่นและสงิ่ แปลกปลอม ๕. หยดุ รถ และจอดชดิ ขอบทาง อยา่ ออกจากรถจนกวา่ จะแน่ใจว่าปลอดภยั

๑๒๕ ๖. เมื่อเหตุการณส์ งบ เร่งตรวจสอบ ตรวจดสู ายไฟ ท่อน้า ท่อแก๊ส อย่า เปิดใช้จนกวา่ จะแน่ใจวา่ ปลอดภยั การเตรยี มความพรอ้ มรับมือกบั ภยั พิบัติ ๑. เตรียมพร้อมก่อนภัยมา สร้างแผนฉุกเฉิน เช่น หาวิธีแจ้งเหตุ กระจายข่าว เส้นทางอพยพ กาหนดจุดปลอดภยั และประกาศใหท้ ราบโดยทั่วกนั ๒. เตรียมพร้อมด้านร่างกาย ทีอ่ ยอู่ าศยั และสตั ว์เลย้ี ง รวมท้งั ต้องซกั ซอ้ มบอ่ ยๆในเรือ่ งการอพยพและการส่ือสาร ๓. เตรียมปจั จยั ส่ี จดั เป็นชุด ให้หยิบฉวยง่าย จดั เตรยี มน้า ยารักษา และของใช้ที่จาเป็น ใส่ถุงเปน็ ชดุ ๆ เกบ็ ไว้ในที่ ที่ปลอดภัย ๔. ตดิ ตามฟงั ขา่ วสารบ้านเมอื ง ๕. ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ทถี่ ูกตอ้ งแกป่ ระชาชนท่ัวไป ๕. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา ๖. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝ่เรยี นรู้ 2) มีความมงุ่ ม่นั ในการทางานใหส้ าเรจ็ ดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรบั ผดิ ชอบ ๗. ค่านิยม 1) ซอื่ สตั ย์ เสียสละ อดทน และมอี ุดมการณใ์ นสง่ิ ท่ดี งี าม เพอื่ ส่วนรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หม่ันศึกษาท้งั ทางตรงและทางอ้อม ๘. ชิ้นงาน/ภาระงาน 1) การสืบค้นขอ้ มูลและสรปุ ข้อมลู ลงในกระดาษบร๊ฟู 2) การบันทึกขอ้ มลู ลงในใบงาน เรอื่ ง ภัยพิบตั ิทางธรรมชาติ 3) การตอบคาถามลงในสมดุ ๙. การวัดและประเมินผล การประเมนิ เคร่ืองมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1.ดา้ นความรู้ - การสรุปขอ้ มูลที่ได้จากการ สบื คน้ ลงในกระดาษบรู๊ฟ - นกั เรียนสามารถสรุปได้ครบถว้ น - การบันทกึ ข้อมูลลงในใบงาน ถูกต้องเกินร้อยละ 80 - นักเรยี นสามารถบันทึกข้อมูลลงใน - การตอบคาถามในสมดุ ใบงานได้ถกู ต้องเกนิ รอ้ ยละ 80 - นกั เรยี นสามารถตอบคาถามได้ถูกต้อง เกนิ ร้อยละ 80

๑๒๖ การประเมนิ เครื่องมือประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ การสบื คน้ ข้อมลู นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูลได้ถกู ต้อง 3.ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม เกนิ ร้อยละ 80 มีคะแนนคณุ ลักษณะอันพึงประสงคใ์ น เกณฑ์ดี-ดมี าก ๑๐.กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นา ๑. ครนู าภาพข่าวภยั พบิ ัติทางธรรมชาติมาใหน้ ักเรยี นดู แล้วถามคาถามต่อไปนี้ 1) จากภาพเกิดภยั พิบตั ทิ างธรรมชาตใิ ดบ้าง (นา้ ท่วม, ดินถลม่ , แผ่นดินไหว, สึนามิ) 2) นอกจากภัยพบิ ตั ิทางธรรมชาตใิ นภาพแลว้ นักเรยี นทราบหรือไมว่ า่ มภี ัยพิบัติทางธรรมชาตใิ ดอีก บ้าง (การกัดเซาะชายฝ่ัง , ไฟป่า , ภเู ขาไฟระเบิด) 3) ภยั พบิ ตั ิทางธรรมชาตทิ เ่ี กิดขึ้นน้นั สร้างความเสยี หายอย่างไรต่อมนุษย์ (นักเรียนตอบตามความ เข้าใจ) ๒. ครนู าเข้าสบู่ ทเรียน โดยใช้คาถาม “นักเรียนจะเหน็ วา่ ภัยพบิ ตั ิทางธรรมชาตเิ หลา่ นน้ั สรา้ งผลกระทบอย่าง มากต่อมนุษย์ แล้วนักเรยี นทราบหรือไมว่ ่า ภยั พิบัติทางธรรมชาติแต่ละชนดิ เกิดข้ึนไดอ้ ย่างไร และสรา้ ง ผลกระทบอยา่ งไรตอ่ มนษุ ย์บ้าง” วันน้เี ราจะมาเรียนรู้กัน ขัน้ สอน ๑. นักเรยี นชว่ ยกันยกตัวอยา่ งภยั พบิ ตั ิทนี่ ักเรียนรจู้ กั มา โดยครบู นั ทึกชอ่ื ภัยพบิ ัติท่ีนกั เรยี นบอกลงในบัตรท่ีครู เตรยี มไว้ แลว้ นาไปตดิ บนกระดาน เช่น อุทกภยั วาตภยั ไฟไหม้ป่า ภเู ขาไฟปะทุ แผน่ ดินไหว สึนามิ ภาวะ โลกรอ้ น ฯลฯ

๑๒๗ ๒. จากนัน้ ให้นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายว่า ภัยพบิ ตั ิทางธรรมชาติใดทป่ี ัจจุบนั ยังสามารถเกิดขึ้นในประเทศไทย ได้ (นา้ ทว่ ม, แผน่ ดนิ ไหว, การกดั เซาะชายฝั่ง, สนึ าม,ิ ดนิ ถลม่ ) ๓. ครูนารายชอ่ื ภัยพบิ ัติทางธรรมชาตขิ า้ งตน้ มาจัดทาลงในบตั รช่อื จนครบทัง้ 5 ภยั พบิ ตั ิ ๔. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุม่ กลุม่ ละ 5-6 คน ตัวแทนกลุ่มจับฉลากหมายเลข 1-5 เพ่ือทาการสบื ค้นข้อมูลภยั พิบตั ิ ประเภทต่างๆ จากแหลง่ การเรียนร้ตู า่ งๆ ตามหัวข้อดงั นี้ - หมายเลข 1 น้าท่วม - หมายเลข 2 แผ่นดนิ ไหว - หมายเลข 3 การกัดเซาะชายฝ่งั - หมายเลข 4 สนึ ามิ - หมายเลข 5 ดนิ ถลม่ 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติตามหัวข้อที่กลุ่มตนเองจับฉลากได้ เพ่ือตอบคาถาม ต่อไปนี้ 1) สาเหตขุ องการเกิดภัยพบิ ัติ 2) ผลกระทบท่เี กิดจากภยั พบิ ตั ิ 3) การเตรียมพร้อมรับมือต่อการเกดิ ภยั พบิ ตั ิ 4) การปอ้ งกันต่อการเกิดภัยพิบัติ 6. จากน้ันให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปข้อมูลที่สืบค้นลงบนกระดาษบรู๊ฟ นาไปติดที่มุมห้องเพื่อให้นักเรียนกลุ่ม อ่ืนๆ ศึกษาแลกเปล่ียนเรยี นรูข้ อ้ มลู แลว้ บนั ทึกผลการศกึ ษาขอ้ มูลของเพื่อนๆกลุ่มอืน่ ลงในใบงานที่ครูแจกให้ 7. จากนั้นตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอข้อมูลภัยพิบัติท่ีกลุ่มตนเองศึกษาหน้าช้ันเรียน พร้อมท้ังตอบ คาถามของเพ่ือนกลมุ่ อ่ืนๆ แลกเปล่ยี นข้อมูลจนครบทุกกลุม่ ขนั้ สรปุ ๑. ใหน้ ักเรยี นเขยี นสรปุ ความรู้ท่ีไดจ้ ากการเรยี นเรื่อง ภยั พบิ ตั ิเปน็ เวลา 5 นาทีลงในสมุด ๑๑.สื่อและแหล่งเรียนรู้ 1) กระดาษบรฟู๊ และปากกา 2) ส่ือ Power point 3) ภาพข่าวภยั พิบัติทางธรรมชาติ 4) บัตรคาภัยพบิ ตั ิทางธรรมชาติประเภทต่างๆ 5) ใบงาน เรอื่ ง ภยั พิบัติทางธรรมชาติ

๑๒๘ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๗ เรือ่ ง เงาและอปุ ราคา แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 17 เรือ่ ง เงา รายวชิ า ว 16101 ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ ๒ กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้สอน .................................................................... เวลา 3 ชวั่ โมง โรงเรยี นอนุบาลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชวี้ ัด มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสมั พันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณ์ทเี่ กีย่ วข้องกบั เสยี ง แสง และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ป.6/7 อธบิ ายการเกิดเงามดื เงามวั จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ป.6/8 เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกดิ เงามดื เงามัว ๒. สาระสาคญั เม่อื นาวตั ถุทบึ แสงมากน้ั แสงจะเกิดเงาบนฉากรับแสงท่ีอยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามรี ปู รา่ งคล้ายวตั ถุทท่ี าให้ เกิดเงา ๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความร้คู วามเขา้ ใจ (K) 1) นักเรียนอธิบายการเกิดเงามืดและเงามัวจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรยี นเขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามัวได้ 2) นกั เรยี นสามารถทดลองเรื่อง การเกิดเงาได้ ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1) มคี วามรับผิดชอบในงานท่ีได้รับมอบหมาย 2) มคี วามใฝร่ ใู้ ฝ่เรียน

๑๒๙ ๔. สาระการเรยี นรู้ การเกิดเงา เม่ือแสงตกกระทบวัตถุทึบแสง แสงไม่สามารถผ่านทะลุวัตถุ จึงทาให้เกิดเงาของวัตถุบนฉาก ทางด้านที่ แสงไม่ได้ตกกระทบ เช่น คนเป็นวัตถุทึบแสง ดังนั้นเม่ือยืนอยู่กลางแสงแดดจะเกิดเงาบนพื้นของคนที่ยืน เพราะคนก้ันทางเดินของแสง ทาให้แสงส่องไปไม่ถึงพ้ืน เงา คือ บริเวณมืดหลังวัตถุที่เกิดจากวัตถุที่เป็น ตัวกลางทบึ แสงมาขวางก้นั ทางเดนิ ของแสง แบง่ ได้ 2 ชนิด คือ 1) เงามดื คอื เงาในบรเิ วณที่ไมม่ แี สงผ่านไปถึง ทาให้บรเิ วณน้นั มดื สนทิ 2) เงามวั คือ เงาบรเิ วณที่มีแสงบางส่วนผา่ นไปถงึ และทาให้บริเวณน้นั มดื ไมส่ นิท ลกั ษณะการเกิดเงามืดและเงามวั ขนาดของเงามืดและเงามัวจะขึ้นอยู่กับระยะใกล้ - ไกลของฉาก ถ้าฉากอยู่ใกล้วัตถุเงามืดจะมีขนาดใหญ่ แต่เงามัวจะมีขนาดเล็กลง ถ้าฉากอยู่ไกลจากวัตถุมากขึ้น เงามืดจะมีขนาดเล็กลงและเงามัวจะมีขนาดโตขึ้น ยกเวน้ เฉพาะดวงไฟท่มี ขี นาดโตเท่ากบั วตั ถุ ซ่ึงจะใหเ้ งามดื มีขนาดโตเท่ากับขนาดของวตั ถุเสมอ เมื่อแสงตกกระทบวตั ถุที่ทบึ แสง จะเกิดเงาท่ีด้านหลังวัตถุเสมอ โดยเงาทีเ่ กิดขึน้ อาจจะมีท้ังเงามืดหรือเงา มวั จะขึน้ อยู่กับส่ิงต่อไปนี้ 1. ขนาดของแหล่งกาเนิดแสง 1) แหลง่ กาเนดิ แสงกว้างน้อยกว่าวัตถุ เงามดื จะมีขนาดใหญก่ ว่าเงามวั 2) แหล่งกาเนดิ แสงกว้างมากกวา่ วัตถุ เงามัวจะมีขนาดใหญก่ วา่ เงามืด 2. ขนาดของวัตถุ 3. ระยะห่างระหว่างวัตถกุ บั แหล่งกาเนดิ แสง 4. การเกิดเงาเมื่อแหล่งกาเนดิ แสงเป็นจดุ

๑๓๐ ประโยชนจ์ ากเงา เรานาประโยชน์จากเงามาใชใ้ นกจิ กรรมต่างๆ 1. ใชใ้ นแงใ่ ห้ความบนั เทงิ เชน่ หนงั ตะลุง 2. ใชใ้ นแงข่ องการให้ความร่มรื่น เชน่ การปลูกตน้ ไมเ้ พอ่ื ช่วยใหเ้ กดิ ร่มเงา 3. ใช้ประโยชนอ์ ยา่ งอน่ื เชน่ การบอกเวลา โดยใชน้ าฬกิ าแดด 4. นอกจากนปี้ รากฏการณ์ทางธรรมชาตบิ างอยา่ ง เช่น จันทรุปราคา สุริยุปราคา ก็ยงั เปน็ ปรากฏการณ์ที่ เกิดข้นึ เน่ืองจากเงาอีกด้วย ๕. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา 6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝ่เรยี นรู้ 2) มีความมงุ่ มั่นในการทางานให้สาเร็จดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรบั ผดิ ชอบ 7. ค่านิยม 1) ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน และมีอุดมการณ์ในส่ิงทด่ี งี าม เพ่อื สว่ นรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หม่ันศกึ ษาท้งั ทางตรงและทางอ้อม 8. ชน้ิ งาน/ภาระงาน 1) แบบบันทึกกจิ กรรม เรอื่ ง การเกดิ เงา 2) การเขียนแผนภาพการเกิดเงาลงในสมดุ 9. การวดั และประเมินผล การประเมนิ เคร่ืองมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1.ดา้ นความรู้ การเขียนแผนภาพเงาในสมุด นกั เรียนสามารถเขยี นแผนภาพได้ถกู ต้อง เกินร้อยละ 80 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ แบบบนั ทกึ กจิ กรรม นกั เรียนสามารถบันทกึ ผลการทดลองได้ ถูกต้องเกินร้อยละ 80 3.ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดีมาก 10. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนา ๑. ครูเตรียมห้องมดื โคมไฟ และฉาก ๒. ครเู ปิดโคมไฟ และทามือให้เป็นรปู รา่ งต่างๆด้านหลังดวงไฟ เชน่ รปู หวั ใจ รูปกากบาท เป็นตน้ และใช้ คาถามกบั นักเรยี นต่อไปน้ี 1) สิ่งทีเ่ กดิ ข้ึนบนกระดาษไวท์บอร์ท คืออะไร (เงา)

๑๓๑ 2) เงาท่ีนักเรียนเห็นมรี ูปใดบ้าง (หัวใจ, กากบาท) 3) เงาที่นกั เรยี นเห็นเป็นรูปเดียวกับรปู ทค่ี รูทามือหรอื ไม่ (เป็นรูปเดียวกัน) 4) ใหน้ กั เรียนรว่ มกนั ทามือใหเ้ ป็นรปู ตา่ งๆ แล้วสงั เกตเงาท่เี กิดขึ้น ๓. ครนู าเขา้ ส่บู ทเรียน โดยใช้คาถาม “นกั เรยี นจะเห็นว่า เงาท่เี กิดข้นึ จากการที่นกั เรียนทามอื รูปต่างๆนน้ั ล้วน มรี ูปร่างเดียวกับมือทีน่ ักเรียนทา นักเรียนทราบหรือไม่ว่าเงาเกดิ ขน้ึ ได้อย่างไร” วันนี้เราจะมาเรยี นรู้กัน ขัน้ สอน ๑. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม 8 กล่มุ ๆละ 5-6 คน เพื่อทาการทดลอง เรือ่ ง การเกดิ เงา และรับแบบกจิ กรรม เรอ่ื งการ เกิดเงา ๒. ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มศึกษาวสั ดุ-อุปกรณ์ และวิธกี ารทดลองจากแบบบันทึกกิจกรรม ๓. จากน้นั ใหต้ ัวแทนกลุม่ ออกมารับวัสดุ-อปุ กรณท์ ี่ใช้ในการทดลอง และลงมอื ทาการทดลอง พรอ้ มทัง้ สังเกต และบนั ทึกผลการทดลอง ๔. ครูสุม่ ตวั แทนนกั เรียนออกมานาเสนอผลการทดลอง ๕. นกั เรียนและครรู ว่ มกบั อภปิ รายเพอ่ื ให้ได้ข้อสรุป ดังนี้ 1) เมือ่ มีวตั ถุก้ันแสงจะเกิดเงาบนฉาก 2) รูปรา่ งของเงาเป็นไปตามวัตถุทมี่ ากัน้ แสง 3) เงาทเ่ี กิดขน้ึ มีทั้งเงามืดและเงามัว 4) ขนาดของเงามืดข้นึ อย่กู ับระยะห่างระหวา่ งแหลง่ กาเนดิ แสงกับวัตถุกนั้ แสงและระยะหา่ งระหวา่ ง วัตถุก้นั แสงกับฉาก 5) ถา้ ฉากอยู่ใกลว้ ตั ถกุ ั้นแสงเงามืดจะมีขนาดใหญ่และเงามวั จะมขี นาดเล็ก 6) ถ้าฉากอยู่ไกลจากวัตถกุ ัน้ แสงมากขึน้ เงามดื จะมีขนาดเลก็ ลงและเงามวั จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ๖. นักเรียนและครูรว่ มกันสรปุ การเกดิ เงา และสิง่ ท่มี ผี ลต่อรูปรา่ งของเงา และอธิบายการเขยี นแผนภาพแสดง ทศิ ทางของแสงที่ทาใหเ้ กิดเงา ๗. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันแลกเปลยี่ นความคิดในประเด็น การนาความรู้ เรื่องการเกดิ เงาไปใชป้ ระโยชนใ์ น ชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ย่างไรบา้ ง ขน้ั สรุป ๑. นกั เรยี นดวู ดิ ที ศั น์ เรื่อง การเกดิ เงา (https://www.youtube.com/watch?v=fcIBApz02fI) และเขียน แผนภาพแสดงการเกดิ เงาลงในสมุด ๑๑. สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ 1) วสั ดุ-อปุ กรณท์ ่ีใช้ในการทดลอง 2) แบบบนั ทกึ กิจกรรม เร่ือง การเกดิ เงา 3) วิดีทศั น์ เร่ือง การเกิดเงา 4) สอื่ Power point

๑๓๒ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๗ เรอื่ ง เงาและอปุ ราคา แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 18 เรือ่ ง ปรากฏการณส์ ุรยิ ปุ ราคาและจันทรุปราคา รายวชิ า ว 16101 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นท่ี ๒ ผสู้ อน .................................................................... เวลา 3 ชัว่ โมง โรงเรียนอนุบาลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชว้ี ัด มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมทั้งปฏิสมั พันธภ์ ายในระบบสุริยะทีส่ ่งผลตอ่ สิง่ มีชวี ิตและการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยี อวกาศ ป.6/1 สรา้ งแบบจาลองที่อธิบายการเกิด และเปรียบเทียบปรากฏการณ์สรุ ยิ ุปราคา และจนั ทรุปราคา ๒. สาระสาคญั สุรยิ ุปราคา (Eclipse of the sun ) เป็นปรากฏการณ์ทผี่ ู้สงั เกตบนโลก มองเหน็ ดวงอาทติ ยม์ ืดทงั้ ดวง หรอื มืดบางส่วน เนอื่ งจากดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และโลกเคล่ือนที่มาอย่ใู นแนวเสน้ ตรงเดียวกัน โดยดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ และเงาของดวงจนั ทร์ ตกลงบนโลก จนั ทรปุ ราคา (Eclipse of the moon ) เป็นปรากฏการณ์ทีผ่ สู้ ังเกตบนโลก มองเหน็ ดวงจนั ทรม์ ืดท้ังดวง หรือมดื บางสว่ น เนอ่ื งจากดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์ เคล่อื นทม่ี าอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยเงาของโลกตกบนดวงจันทร์ ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ด้านความรู้ความเขา้ ใจ (K) 1) นกั เรียนอธบิ ายการเกิดสุรยิ ุปราคาและจนั ทรุปราคาได้ 2) นกั เรยี นเปรียบเทยี บการเกิดสรุ ยิ ุปราคาและจันทรปุ ราคาได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรียนสร้างแบบจาลองแสดงการเกดิ สรุ ิยปุ ราคาและจนั ทรุปราคาได้ ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1) มคี วามรบั ผิดชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย 2) มีความใฝ่รใู้ ฝ่เรยี น

๑๓๓ ๔. สาระการเรียนรู้ อุปราคา (Eclipse of the sun and moon) แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ คอื ๑. สรุ ยิ ุปราคา (Eclipse of the sun ) เป็นปรากฏการณ์ท่ีผู้สังเกตบนโลก มองเห็นดวงอาทิตย์มืดท้ังดวง หรือมืดบางส่วน เนื่องจากดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และโลกเคลอ่ื นท่ีมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยดวงจนั ทร์บังดวงอาทติ ย์ และเงาของดวงจนั ทร์ตกลง บนโลก ๒. จนั ทรปุ ราคา (Eclipse of the moon ) เป็นปรากฏการณ์ท่ีผู้สังเกตบนโลก มองเห็นดวงจันทร์มืดทั้งดวง หรือมืดบางส่วน เน่ืองจากดวงอาทิตย์ โลกและดวงจนั ทร์ เคล่ือนที่มาอยู่ในแนวเสน้ ตรงเดียวกัน โดยเงาของโลกตกบนดวงจันทร์ ๕. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ 2) มคี วามมงุ่ มน่ั ในการทางานใหส้ าเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มีความรับผิดชอบ

๑๓๔ 7. คา่ นยิ ม 1) ซื่อสตั ย์ เสยี สละ อดทน และมอี ุดมการณใ์ นสงิ่ ท่ีดงี าม เพอ่ื สว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมน่ั ศึกษาท้ังทางตรงและทางอ้อม 8. ช้นิ งาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบนั ทกึ กิจกรรม 2) การสรา้ งแบบจาลองการเกดิ สรุ ิยปุ ราคาและจนั ทรุปราคา 9. การวัดและประเมนิ ผล การประเมนิ เครือ่ งมอื ประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ 1.ด้านความรู้ การตอบคาถามในแบบบันทึก นักเรยี นสามารถตอบคาถามไดถ้ กู ต้อง 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ 3.ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ กจิ กรรม เกนิ ร้อยละ 80 - การสรา้ งแบบจาลอง - นักเรียนสามารถอธิบายเปรียบเทียบการ เกดิ สุริยปุ ราคาและจันทรปุ ราคาได้ถกู ต้อง เกนิ รอ้ ยละ 80 การสร้างแบบจาลอง นักเรยี นสามารถสร้างแบบจาลองได้ ถูกต้องเกนิ ร้อยละ 80 แบบสังเกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดมี าก 10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นา 1. ครใู ชค้ าถาม 1) “นักเรยี นเคยเห็นภาพพระอาทิตยใ์ นรูปหรือไม่” 2) นกั เรยี นทราบหรอื ไมว่ า่ ภาพพระอาทิตย์ท่ีนกั เรียนเหน็ ในรูป คอื ปรากฏการณ์ใด 3) นักเรยี นคดิ วา่ ปรากฏการณ์น้ีเกดิ ขึ้นไดอ้ ย่างไร (สุรยิ ุปราคา) 2. วันน้เี ราจะมาเรยี นรู้กนั วา่ สรุ ิยปุ ราคาเกิดขึ้นได้อยา่ งไร

๑๓๕ ข้นั สอน 1. ครทู ากิจกรรมสาธติ การเกิดสุริยปุ ราคา และจนั ทรุปราคา 2. ครูใหน้ กั เรียนสงั เกตการเกดิ ลักษณะสุริยุปราคา และจันทรุปราคา แล้วบนั ทึกผลการสงั เกตลงในแบบนั ทึก กิจกรรมท่ีครูแจกให้ 3. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายการเกิดสุรยิ ปุ ราคา และจนั ทรุปราคา โดยใช้แผนภาพประกอบและคาถาม ตอ่ ไปน้ี 1) การเกดิ สุรยิ ุปราคา มีตาแหน่งการเรยี งตัวของโลก ดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทิตย์อยา่ งไร (ดวงจนั ทร์ โคจรอยรู่ ะหวา่ งโลกและดวงอาทิตย)์ 2) การสาธิตการเกิดสุรยิ ปุ ราคา เมือ่ นกั เรียนเป็นผสู้ งั เกตนักเรียนเหน็ ดวงอาทติ ย์มลี กั ษณะอยา่ งไร (มองเห็นดวงอาทิตย์ค่อยๆมืด) 3) เมอื่ นักเรยี นสังเกตสุรยิ ุปราคาในตาแหนง่ ต่างกนั ลักษณะของสุรยิ ุปราคาทีน่ กั เรยี นเหน็ แตกตา่ งกัน หรอื ไม่ อย่างไร (แตกต่างกนั โดยเมอ่ื ผู้สังเกตอย่ใู นตาแหน่งตา่ งกนั จะเห็นสรุ ยิ ปุ ราคาแบบเตม็ ดวง, สุริยุปราคาแบบบางส่วน, สุรยิ ปุ ราคาแบบวงแหวน) 4) การเกดิ จนั ทรุปราคา มตี าแหนง่ การเรียงตวั ของโลก ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยา่ งไร (โลก โคจร อยู่ระหว่างดวงจนั ทร์และดวงอาทิตย์) 5) การสาธติ การเกิดจันทรุปราคา เม่อื นกั เรยี นเป็นผู้สงั เกตนักเรยี นเห็นดวงอาทติ ย์มลี กั ษณะอยา่ งไร (มองเหน็ ดวงจนั ทรค์ ่อยๆมดื ) 6) เมอ่ื นกั เรยี นสังเกตจันทรปุ ราคาในตาแหน่งตา่ งกัน ลักษณะของจันทรปุ ราคาที่นักเรยี นเห็นแตกต่าง กันหรือไม่ อยา่ งไร (แตกต่างกัน โดยเมื่อผู้สังเกตอย่ใู นตาแหน่งตา่ งกันจะเหน็ จนั ทรปุ ราคาแบบ เตม็ ดวง, จนั ทรปุ ราคาแบบเงามวั , สรุ ิยุปราคาแบบบางสว่ น) 7) การเกดิ สุรยิ ุปราคาและจันทรุปราคา มสี ง่ิ ใดท่ีเหมือนหรือต่างกัน (สิ่งทีเ่ หมือนกนั คือ การเกิด สรุ ยิ ปุ ราคาและจนั ทรปุ ราคา ต้องอาศัยโลก ดวงจนั ทร์และดวงอาทติ ย์ สิ่งที่ต่างกนั คือ ตาแหนง่ ใน การโคจรของโลก ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ และลกั ษณะของสุริยปุ ราคาและจันทรุปราคาก็ แตกตา่ งกัน) 4. ครอู ธบิ ายเพ่มิ เติมเกี่ยวกับการสงั เกตเหน็ สุรยิ ปุ ราคาและจนั ทรุปราคาทีแ่ ตกต่างกนั เพราะตาแหนง่ ของเงาที่ ผ้สู ังเกตสรุ ยิ ปุ ราคามอง และตาแหน่งเงาที่ดวงจันทร์โคจรในการเกดิ จันทรปุ ราคา โดยใช้แผนภาพประกอบ ขัน้ สรุป ๑. นกั เรยี นจับกลมุ่ ๆละ 4 คน เพ่อื สรา้ งแบบจาลองแสดงการเกิดสรุ ยิ ปุ ราคา และจนั ทรุปราคาในรปู แบบท่กี ล่มุ ตนเองเลอื ก เชน่ การวาดแผนภาพ การสรา้ งวดิ ีโอจาลองการเกิด การประดษิ ฐแ์ ผนภาพ เป็นต้น พร้อมเขียน อธิบายเปรียบเทียบการเกิดสุริยุปราคาและจันทรปุ ราคา และตกแต่งให้สวยงาม ๑๑. สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้ 1) วสั ดุ-อุปกรณท์ ีใ่ ชใ้ นการสาธติ ทดลอง ไดแ้ ก่ โฟมขนาดใหญ่ และขนาดเลก็ ไฟฉาย ตะเกียบ 2) แบบบนั ทึกกจิ กรรม เรื่อง การเกิดสรุ ิยุปราคาและจนั ทรปุ ราคา 3) สื่อ Power point

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 8 ๑๓๖ แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 19 รายวิชา ว 16101 เรอ่ื ง เทคโนโลยอี วกาศ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ ๒ เรอื่ ง เทคโนโลยีอวกาศ ผู้สอน.................................................................... กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 4 ชวั่ โมง โรงเรียนอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวชี้วดั มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมทัง้ ปฏสิ มั พันธภ์ ายในระบบสุรยิ ะท่สี ง่ ผลต่อสง่ิ มีชีวิตและการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยี อวกาศ ป.6/2 อธิบายพฒั นาการของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอยา่ งการนาเทคโนโลยอี วกาศมาใชป้ ระโยชน์ ในชวี ติ ประจาวนั จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ๒. สาระสาคญั เทคโนโลยีอวกาศ คือ เทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้องกับการสารวจส่ิงต่างๆ ที่อยู่ภายนอกโลกและภายในโลกของ เรา เพื่อนาความรู้ที่ได้จากการสารวจมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์ การ ส่อื สาร การคมนาคม อตุ นุ ยิ มวทิ ยา การสารวจทรัพยากรโลก เปน็ ตน้ ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ด้านความรคู้ วามเข้าใจ (K) 1) นักเรยี นอธิบายเทคโนโลยีอวกาศแต่ละชนดิ ได้ 2) นักเรียนยกตวั อยา่ งประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศได้ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรยี นสบื ค้นข้อมูลเกยี่ วกับเทคโนโลยีอวกาศได้ ด้านคณุ ลักษณะ (A) 1) มีความรบั ผดิ ชอบในงานท่ีได้รับมอบหมาย 2) มคี วามใฝร่ ้ใู ฝเ่ รยี น

๑๓๗ ๔. สาระการเรยี นรู้ เทคโนโลยีอวกาศ คือ เทคโนโลยีทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการสารวจสิง่ ตา่ งๆ ท่ีอยภู่ ายนอกโลกและภายในโลกของเรา เพอ่ื นาความร้ทู ่ีได้จากการสารวจมาใชป้ ระโยชน์ในด้านต่างๆ เชน่ การศึกษาเก่ยี วกบั ดาราศาสตร์ การสอ่ื สาร การ คมนาคม อตุ ุนยิ มวทิ ยา การสารวจทรพั ยากรโลก เป็นต้น เทคโนโลยอี วกาศ ไดแ้ ก่ 1. กลอ้ งโทรทรรศน์ ช่วยขยายให้เหน็ รายละเอยี ดของดาวเคราะหแ์ ละวัตถุทอ้ งฟ้า มหี ลายประเภท ดังนี้ 1) กลอ้ งโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง (Reflect telescope) โดยกลอ้ งจะรบั แสงท่เี ข้ามากระทบกับ กระจกเวา้ ทีอ่ ยู่ท้ายกล้องท่ีเราเรยี กวา่ Primary Mirror แล้วรวมแสง สะทอ้ นกับกระจกระนาบหรอื ปรซิ ึม เราเรยี กว่า Secondary Mirror ท่ีอยู่กลางลากล้อง เข้าสเู่ ลนซ์ตาขยายภาพอีกทีหนึ่ง 2) กลอ้ งโทรทรรศนช์ นิดหักเหแสง (Refract telescope) เปน็ อุปกรณ์ทีส่ ามารถขยายวตั ถุท่อี ยใู่ น ระยะไกล กาลิเลโอ เป็นบุคคลแรกท่ปี ระดษิ ฐ์กล้องชนิดนี้ข้ึน ประกอบด้วยเลนสน์ ูนอย่างน้อยสองชิน้ คอื เลนส์วัตถุ (Object Lens) เปน็ เลนสด์ า้ นรบั แสงจากวตั ถุ ซง่ึ จะมีความยาวโฟกัสยาวและเลนสต์ า (Eyepieces) เปน็ เลนสท์ ี่ตดิ ตาเราเวลามอง ซ่งึ มคี วามยาวโฟกัสสั้นกว่าเลนส์วัตถมุ ากๆ 3) กลอ้ งโทรทรรศน์วิทยุ (radio telescope) เปน็ กล้องโทรทรรศน์ท่สี ามารถรบั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าท่ีมี ความยาวคล่ืน ในช่วงคลน่ื วทิ ยุจากวตั ถุบางชนดิ จากท้องฟ้าได้ 4) กลอ้ งโทรทรรศน์อวกาศ คือ อปุ กรณส์ าหรบั การสังเกตการณท์ างดาราศาสตร์ท่ีอยู่ในอวกาศภายนอก ในระดบั วงโคจรของโลก เพ่ือทาการสงั เกตการณด์ าวเคราะหอ์ ันหา่ งไกล ดาราจักร และวัตถทุ ้องฟา้ ตา่ งๆ ท่ีชว่ ยใหม้ นุษย์ทาความเข้าใจกับจักรวาลได้ดีข้ึน 2. ดาวเทยี ม (Satellite) คือ สิ่งประดษิ ฐ์ท่มี นุษยค์ ิดคน้ ขึ้นทสี่ ามารถโคจรรอบโลก โดยอาศยั แรงดึงดูดของโลก ส่งผลให้สามารถ โคจรรอบโลกได้ในลักษณะเดียวกันกับทดี่ วงจนั ทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ วัตถุประสงค์ ของสง่ิ ประดษิ ฐ์น้ีเพ่อื ใช้ ทางการทหาร การส่ือสาร การรายงานสภาพอากาศ การวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ตน้ ประเภทของดาวเทียม แบ่งตามชนดิ การใชง้ าน ดังนี้ 1) ดาวเทยี มส่ือสาร เปน็ ดาวเทยี มทต่ี ้องทางานอยตู่ ลอดเวลา เพื่อที่จะเชอื่ มโยงเครือข่ายการสอื่ สารของโลก เขา้ ไวด้ ้วยกนั เชน่ ดาวเทยี มไทยคม 2) ดาวเทียมสารวจทรพั ยากรและสภาพแวดลอ้ มของโลก เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีการถา่ ยภาพ และโทรคมนาคม โดยการทางานของดาวเทียมสารวจทรัพยากรจะใชห้ ลกั การ สารวจขอ้ มูลจาก ระยะไกล 3) ดาวเทยี มอุตนุ ยิ มวิทยา เปน็ ดาวเทยี มท่ใี หข้ ้อมลู เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศด้วยภาพถา่ ยเรดาร์ (Radar) และภาพถ่ายอินฟาเรด(Infared) 4) ดาวเทียมบอกตาแหน่ง ระบบหาตาแหน่งโดยใชด้ าวเทียม (GPS) 5) ดาวเทียมสมุทรศาสตร์ สามารถตรวจจบั ความ เคลื่อนไหวของทุกสรรพสิ่งในท้องทะเลไดด้ ว้ ยการใชง้ าน จากดาวเทยี ม โดยนาข้อมลู ท่ีไดจ้ ากดาวเทยี มสารวจทางทะเลมาตรวจวิเคราะหส์ ภาพแวดลอ้ ม ลกั ษณะ สิง่ มีชีวิต ความแปรปรวนของคลืน่ ลมและกระแสนา้ จนกระท่งั ได้รายงานสรุปสภาพทางทะเลท่สี มบรู ณ์

๑๓๘ 6) ดาวเทียมสารวจอวกาศ โดยดาวเทียมประเภทน้ีจะถูกนาข้ึนไปส่วู งโคจรท่ีสงู กวา่ ดาวเทียมประเภท อน่ื ๆ ลึกเข้าไปในอวกาศ บางดวงก็จะมหี นา้ ทต่ี รวจจับและบันทกึ รังสอี ลั ตรา้ ไวโอเล็ต 7) ดาวเทยี มเพื่อการจารกรรมหรือสอดแนม ใช้เพื่อการลาด ตระเวน โดยมกี ารตดิ กล้องเพือ่ ใช้ในการ ถ่ายภาพพิเศษ สามารถสบื หาตาแหน่งและรายละเอียดเฉพาะพื้นท่ที ี่ต้องการได้ ดาวเทียมจะมีอปุ กรณ์ ตรวจจับ คลื่นวตั ถดุ ว้ ยเรดารแ์ ละแสงอนิ ฟราเรด ซึ่งสามารถตรวจจับได้ทง้ั ในทม่ี ืด หรือท่ีทีถ่ กู พรางตาไว้ 3. ยานอวกาศ หมายถงึ ยานท่ีออกไปนอกโลกโดยมอี ปุ กรณ์สาหรบั การสารวจออกไปท่ีไกลจากโลกมากๆมีหรือไมม่ ี มนษุ ยค์ วบคุมก็ไดย้ านอวกาศท่อี อกไปสารวจดาวเคราะห์และดวงจนั ทร์ ๕. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา ๖. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝเ่ รียนรู้ 2) มคี วามมุ่งมน่ั ในการทางานให้สาเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มีความรบั ผิดชอบ ๗. คา่ นยิ ม 1) ซอื่ สัตย์ เสียสละ อดทน และมีอดุ มการณใ์ นสงิ่ ท่ดี ีงาม เพื่อสว่ นรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หมัน่ ศกึ ษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ๘. ช้ินงาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในใบงาน 2) การจดั ทาโปสเตอรจ์ ากขอ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากการสบื ค้น ๙. การวดั และประเมินผล การประเมนิ เครือ่ งมือประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน 1.ดา้ นความรู้ - การตอบคาถามในใบงาน นกั เรยี นสามารถตอบคาถามได้ถูกต้อง - การจดั ทาโปสเตอร์ เกินร้อยละ 80 - นักเรยี นสามารถจดั ทาโปสเตอรไ์ ด้ สวยงาม เขา้ ใจได้งา่ ย 2.ด้านทักษะกระบวนการ การสืบค้นขอ้ มูล นักเรียนสามารถสืบคน้ ข้อมูลไดถ้ กู ต้อง เกินรอ้ ยละ 80 3.ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงคใ์ น เกณฑ์ดี-ดมี าก

๑๓๙ 10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นนา ๑. ครนู าเข้าสูบ่ ทเรียน โดยให้นักเรียนดภู าพเทคโนโลยอี วกาศหลายๆ ชนดิ แล้วชว่ ยกนั บอกวา่ นักเรยี นรู้จัก เทคโนโลยอี วกาศชนิดใดบ้าง จากนัน้ ครถู ามนักเรียนว่า เทคโนโลยอี วกาศมปี ระโยชนอ์ ย่างไร ๒. ครอู ธิบายเพ่ิมเติมใหน้ ักเรียนฟังวา่ ในปัจจบุ ันมนษุ ย์ได้มีการพัฒนารูปแบบการใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศขน้ึ มากมาย เพ่ือสามารถเดินทางและสง่ เครื่องมือตา่ งๆ ออกไปสารวจอวกาศได้ วนั น้เี ราจะมาเรยี นรเู้ กีย่ วกบั เทคโนโลยีอวกาศ ขนั้ สอน ๑. ครูเร่มิ ต้นบทเรียนดว้ ยการอธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ โดยให้นกั เรยี นชมวิดที ศั น์ เรื่อง พฒั นาการของเทคโนโลยีอวกาศ (https://www.youtube.com/watch?v=G1P2M5YdeZ0) ๒. ครูและนักเรียนอภิปรายถึงความสาคัญของของเทคโนโลยอี วกาศเพิ่มเตมิ และนานักเรยี นเข้าส่กู ิจกรรม การสืบค้นเทคโนโลยอี วกาศ ๓. ครแู บ่งกลุ่มนักเรียนเปน็ 6 กล่มุ ร่วมกันศกึ ษาความรเู้ รื่อง เทคโนโลยอี วกาศจากแหล่งเรียนรู้ท่นี ่าเชื่อถือ เชน่ หนงั สอื , เวบ็ ไซต์, สารานกุ รม เปน็ ต้น ตามหัวข้อท่ีกาหนด ดงั น้ี 1) ดาวเทยี ม 2) ยานอวกาศ 3) จรวด 4) กลอ้ งโทรทรรศน์สะท้อนแสง 5) กล้องโทรทรรศน์หักเหแสง 6) กลอ้ งโทรทรรศน์วิทยุและกล้องโทรทรรศน์อวกาศ ๔. จากน้ันให้นักเรยี นแต่ละกลุม่ จับฉลากเลือกหวั ข้อที่ตนได้ แล้วสืบคน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ลกั ษณะและประโยชน์ ของเทคโนโลยีอวกาศทก่ี ลมุ่ ตนเองจับฉลากได้ จากน้นั นาความรู้ทไี่ ดจ้ ากการสืบค้นมารวบรวมและจดั กระทาในรปู แบบของโปสเตอร์ ๕. ครูให้นกั เรียน 6 กล่มุ นาเสนอโปสเตอรเ์ ก่ียวกับเทคโนโลยีอวกาศที่กลมุ่ ของตนไดจ้ ดั ทาข้นึ ๖. นกั เรยี นนาข้อมลู ท่ีได้ฟังจากการนาเสนอมาตอบคาถามลงในใบงาน เรอ่ื ง เทคโนโลยอี วกาศ ๗. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรปุ ความร้เู กย่ี วกบั ลกั ษณะของเทคโนโลยอี วกาศแต่ละชนิด ขน้ั สรปุ ๑. ครูทบทวนบทเรยี นโดยใหน้ ักเรียนดูวดิ ที ัศน์ เรอ่ื ง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ (https://www.youtube.com/watch?v=JPzitaLp8G8) ๑๑. สอื่ และแหล่งเรยี นรู้ 1) ใบงาน เรื่อง เทคโนโลยีอวกาศ 2) ภาพเทคโนโลยอี วกาศ 3) วิดที ัศน์ เร่ือง พฒั นการของเทคโนโลยอี วกาศและประโยชนเ์ ทคโนโลยอี วกาศ 4) สอื่ Power point

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 9 ๑๔๐ แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 20 รายวชิ า ว 16101 เรื่อง แรงไฟฟ้า ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ ๒ เร่อื ง แรงไฟฟ้า ผ้สู อน.................................................................... กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 4 ชัว่ โมง โรงเรียนอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวช้วี ดั มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจาวัน ผลของแรงทกี่ ระทาต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลอ่ื นทีแ่ บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทง้ั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ป.6/1 อธิบายการเกดิ และผลของแรงไฟฟ้าซึ่งเกดิ จากวตั ถทุ ่ีผ่านการขดั ถโู ดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ๒. สาระสาคัญ แรงไฟฟ้า (Electric force) แรงไฟฟ้าเป็นแรงระหว่างอนภุ าคท่ีมีประจุไฟฟ้า โดยประจไุ ฟฟ้ามี 2 ชนดิ คอื ประจุไฟฟ้าบวกและประจุ ไฟฟ้าลบ ถา้ วัตถเุ กดิ ประจุชนดิ เดยี วกนั จะเป็นแรงผลัก และถ้าวัตถเุ กดิ ประจุตรงข้ามจะเป็นแรงดูด ๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความรูค้ วามเขา้ ใจ (K) 1) นักเรยี นการเกดิ แรงไฟฟ้าได้ 2) นักเรยี นอธิบายผลของแรงไฟฟา้ ทเ่ี กิดจากการขัดถูกของวตั ถุได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรียนสามารถทดลองการเกดิ แรงไฟฟา้ ได้ 2) นักเรยี นสามารถทดลองเพื่อศึกษาผลของแรงไฟฟา้ ท่ีเกิดจากการขัดถูวตั ถุได้ ด้านคุณลกั ษณะ (A) 1) มคี วามรบั ผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 2) มคี วามใฝร่ ้ใู ฝเ่ รยี น

๑๔๑ ๔. สาระการเรยี นรู้ แรงไฟฟา้ (Electric force) แรงไฟฟ้าเป็นแรงระหว่างอนุภาคที่มปี ระจุไฟฟ้า โดยประจไุ ฟฟ้ามี 2 ชนิด คอื ประจุไฟฟ้าบวกและประจุ ไฟฟ้าลบ ถ้าวตั ถุเกิดประจชุ นดิ เดยี วกันจะเป็นแรงผลกั และถ้าวัตถุเกดิ ประจุตรงข้ามจะเป็นแรงดูด แรงทางไฟฟ้าท่ีเกิดจากการถวู ัตถุ เมือ่ นาวัตถุมาถูกนั จะทาใหเ้ กิดการแลกเปลยี่ นประจุระหวา่ งวตั ถุ ในของแข็งประจุลบจะเคลื่อนตวั ได้ง่าย กวา่ ประจุบวกมาก วัตถทุ สี่ ูญเสียประจุลบจะมีประจุอิสระบวก ส่วนวตั ถุท่รี บั ประจุลบไปก็จะมปี ระจุอสิ ระลบ วัตถุ ทมี่ ีประจุอิสระจะสามารถแสดงอานาจทางไฟฟ้า เชน่ ดูดวตั ถุที่เบา ๆ ได้ ประจบุ วกและประจุลบเกดิ ข้ึนอย่างไร เม่ือวัตถุน้ันเป็นกลางทางไฟฟ้า คือ มีประจุบวกและประจุลบเท่ากัน ถ้าวัตถุน้ันสูญเสียประจุลบไปทาให้ ประจุบวกเกินมา วัตถุจึงแสดงอานาจทางไฟฟ้าเป็นบวก ในทานองเดียวกันถ้าวัตถุรับประจุลบเพิ่มขึ้นมา ทาให้ วตั ถนุ น้ั ขาดความเป็นกลางทางไฟฟ้าจึงแสดงอานาจทางไฟฟ้าเปน็ ลบ จากการทดลองจบั คู่วัตถุมาถูกัน พบว่าวัตถุแต่ละชนิดมีความยากง่ายในการสูญเสียประจุลบต่างกันและยัง ขึ้นอยู่กับคู่ของวัตถุที่นามาถูกันด้วย จากการทดลองนาวัตถุต่างชนิดที่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาถูกันแล้วจัด เรียงลาดับตามความยากง่ายในการสูญเสียประจุลบ ดังตาราง โดยวัตถุในลาดับสูงกว่าจะสูญเสียประจุลบได้ง่าย กวา่ เมือ่ จบั คู่มาถูกัน วัตถุในลาดบั สงู กว่าจึงมีประจุไฟฟ้าเปน็ ประจุบวก ขณะที่วัตถุในลาดบั ตา่ กว่าจะมีประจุไฟฟ้า เป็นประจุลบ เช่น เม่ือถแู ก้วผวิ เกลยี้ ง (ลาดบั 7) ดว้ ยขนสัตว์ (ลาดบั 1) ผา้ ขนสัตว์มีลาดับสงู กว่าแกว้ ผิวเกลย้ี ง ผ้า ขนสัตว์จึงมีประจุบวก ส่วนแก้วผิวเกล้ียงมีประจุลบ น่ันแสดงว่าผ้าขนสัตว์เสียประจุลบไปให้กับแก้วผิวเกล้ียง ประจุบวกจึงเกินมาในผ้าขนสัตว์ ส่วนประจุลบถูกถ่ายเทไปยังแก้วผิเกล้ียง แต่ถ้าถูแก้วผิวเกลี้ยง (ลาดับ7) ด้วย ผ้าแพร (ลาดับ 10) แก้วผิวเกล้ียงมีลาดับสูงกว่าผ้าแพร แก้วผิวเกลี้ยงจึงมีประจุไฟฟ้าบวกส่วนผ้าแพรจะมีประจุ ไฟฟ้าลบ เปน็ เพราะรับประจลุ บมาจากแกว้ ผวิ เกลีย้ งนน่ั เอง

๑๔๒ ตารางแสดงการเรียงลาดบั วตั ถุทท่ี าใหเ้ กิดไฟฟา้ สถติ โดยการถู ๕. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา ๖. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝ่เรียนรู้ 2) มีความมงุ่ มน่ั ในการทางานใหส้ าเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรับผดิ ชอบ ๗. คา่ นิยม 1) ซ่อื สัตย์ เสียสละ อดทน และมีอดุ มการณใ์ นส่งิ ทดี่ ีงาม เพอ่ื ส่วนรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หม่นั ศกึ ษาท้งั ทางตรงและทางอ้อม ๘. ชิน้ งาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 2) การลงมอื ปฏิบัตกิ ารทดลอง

๑๔๓ ๙. การวัดและประเมนิ ผล เครื่องมอื ประเมนิ เกณฑก์ ารประเมนิ การประเมิน 1.ด้านความรู้ - การตอบคาถามในแบบบันทึก นักเรยี นสามารถตอบคาถามไดถ้ ูกต้อง 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ กิจกรรม เกินรอ้ ยละ 80 3.ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ การลงมือปฏบิ ตั ิการทดลอง นักเรยี นสามารถทาการทดลองได้ถูกต้อง เกนิ ร้อยละ 80 แบบสังเกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดีมาก 10. กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันนา ๑. ครนู าเข้าสบู่ ทเรยี น โดยให้นักเรยี นดูภาพเหตุการณท์ ่ีเกดิ จากแรงไฟฟา้ จากนัน้ ครูถามใช้คาถามวา่ 1) นักเรียนสงั เกตเหน็ สง่ิ ใดในภาพ (ผมของเดก็ ผหู้ ญิงดดู กับลูกโป่ง) 2) ในชวี ิตประจาวนั นักเรียนเคยพบเหตกุ ารณ์คล้ายๆแบบนด้ี ้วยตนเองหรือไม่ อยา่ งไร (เคย เช่น หวี ทถี่ ูกผมดูด, เม่อื อยใู่ นทอี่ ากาศเย็น จะเกิดขนลกุ และตดิ กบั วตั ถุต่างๆ) 3) นักเรียนคิดว่า ลูกโป่งสามารถดูดผมได้อย่างไร เพราะเหตุใด (เพราะเกิดแรงไฟฟ้าระหว่างผมและ ลูกโปง่ ) ๒. ครูนาเข้าสู่บทเรียน โดยใช้คาถาม “นักเรียนทราบหรือไม่ว่า แรงไฟฟ้าคืออะไร และเกิดข้ึนได้อย่างไร” วนั นี้เราจะมาเรยี นรูเ้ ก่ยี วกับเรื่องน้กี ัน ข้ันสอน ๑. ครูแบง่ กลุ่มนักเรียนออกเป็น 8 กลุ่มๆละ 5-6 คน จากนัน้ ให้ศกึ ษาวสั ดุ-อปุ กรณ์ และวธิ ีดาเนินกจิ กรรม เรอื่ ง การเกดิ แรงไฟฟา้ ๒. ครูแนะนาวัสดุ-อปุ กรณ์ และวธิ ดี าเนินกิจกรรมเร่ือง การเกิดแรงไฟฟา้ ๓. ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มส่ง ตวั แทนออกมารับวัสดุ-อุปกรณ์ในการทากิจกรรม ๔. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ลงมือทากิจกรรม จากน้นั สงั เกตและบนั ทึกผลการทดลองลงในแบบบันทึกกจิ กรรม เรอื่ ง การเกิดแรงไฟฟ้า จากนั้นสรุปผลการทดลอง ๕. ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลอง และสรปุ ผลการทดลอง โดยใช้คาถามต่อไปนี้ 1) วัตถุชนิดใดท่กี ่อนถูกด้วยกระดาษเย่อื สามารถดดู กระดาษช้นิ เลก็ ๆได้ (ไมม่ ี)

๑๔๔ 2) วัตถุชนดิ ใดท่ีหลงั ถูกด้วยกระดาษเยือ่ สามารถดงึ ดูดกระดาษชน้ิ เล็กๆได้ (ไม้บรรทดั พลาสตกิ , ปากกาพลาสตกิ แทง่ กลม, ลกู โป่ง, แผ่นพลาสตกิ ใส) 3) วตั ถุชนดิ ใดที่หลงั ถูกดว้ ยกระดาษเยือ่ ไม่สามารถดึงดดู กระดาษชิน้ เล็กๆได้ (ไม้บรรทดั เหล็ก, ยางลบ, ดนิ สอไม้) 4) จากการทดลอง นักเรียนสามารถสรปุ ผลการทดลองได้อยา่ งไร (เม่ือถูกวัตถบุ างชนิดด้วยกระดาษ เยอ่ื จะทาใหส้ ามารถดูดเศษกระดาษเล็กๆได้) ๖. ครสู รปุ ผลการทดลอง แลว้ เช่ือมโยงเขา้ สเู่ ร่ืองแรงไฟฟ้า ว่า“แรงทท่ี าใหเ้ ศษกระดาษเคล่ือนทีเ่ ข้าหาวตั ถุ บางชนิดได้ เรยี กว่า แรงไฟฟ้า” และนักเรยี นทราบหรือไม่ว่า แรงไฟฟา้ ส่งผลอยา่ งไรต่อวัตถุ วันนีเ้ ราจะมา ทาการทดลองที่ 2 เร่ือง ผลของแรงไฟฟ้า ๗. จากน้นั ให้นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มศกึ ษาวัสดุ-อุปกรณ์ และวธิ ีดาเนนิ กิจกรรมเรื่อง ผลของแรงไฟฟ้า ๘. ครูแนะนาวสั ดุ-อุปกรณ์ และวธิ ดี าเนนิ กจิ กรรมเรื่อง ผลของแรงไฟฟ้า ๙. ให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มส่ง ตัวแทนออกมารับวสั ดุ-อปุ กรณ์ในการทากจิ กรรม ๑๐.นกั เรียนแต่ละกลุ่มลงมือทากิจกรรม จากน้นั สงั เกตและบนั ทกึ ผลการทดลองลงในแบบบันทกึ กจิ กรรม เรอื่ ง ผลของแรงไฟฟ้า จากนั้นสรุปผลการทดลอง ๑๑.ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลอง และสรปุ ผลการทดลอง โดยใช้คาถามต่อไปนี้ 1) เม่ือนาวัตถชุ นดิ เดยี วกนั 2 ชน้ิ ไปถูดว้ ยกระดาษเยือ่ ท้ังคู่ แลว้ นามาใกล้กนั วตั ถุทั้ง 2 เกิดการ เปลยี่ นแปลงอยา่ งไร (วัตถุทั้ง 2 ผลกั กัน) 2) เมือ่ ถูวัตถุ 2 ชนดิ ทตี่ ่างกันไปถูดว้ ยกระดาษเยื่อ แลว้ นามาใกล้กัน วตั ถุท้งั 2 เกิดการเปล่ียนแปลง อยา่ งไร (วตั ถทุ ัง้ 2 ดูดกนั ) 3) จากผลการทดลองข้างต้น นักเรยี นจะสามารถสรปุ ผลการทดลองได้อยา่ งไร (เม่ือถวู ตั ถุชนิด เดียวกนั 2 ช้ิน แล้วนามาเขา้ ใกลก้ นั จะเกดิ การผลักกนั แต่ถ้านาวตั ถุต่างกัน 2 ช้นิ มาเขา้ ใกลก้ ัน จะเกดิ การดดู กันหรือผลักกนั ก็ได้ ขน้ึ อยู่กบั ชนดิ ของวตั ถ)ุ 12. ครสู รปุ ผลการทดลอง แลว้ เชือ่ มโยงเขา้ สเู่ ร่ืองแรงไฟฟ้า วา่ “แรงไฟฟา้ จะทาใหว้ ัตถุ 2 ชนดิ ผลักกันหรอื ดดู กัน ข้นึ อยู่กับชนดิ ของวตั ถุนัน้ ๆ” 13. ครอู ธบิ ายเพิม่ เติมเก่ยี วกับการถา่ ยโอนประจุไฟฟ้าจากการถูวตั ถุ 2 ชนดิ โดยใช้ส่ือ Power point ขัน้ สรุป ๑. ครใู หน้ ักเรยี นเขยี นสรุปความรทู้ ีไ่ ดจ้ ากการเรยี นในชัว่ โมงนี้ 11. สอื่ และแหล่งเรยี นรู้ 1) แบบบนั ทึกกจิ กรรม เร่ือง การเกิดแรงไฟฟา้ และผลของแรงไฟฟ้า 2) ภาพเหตุการณ์ทีเ่ กิดจากแรงไฟฟา้ 3) วัสดุ-อุปกรณท์ ี่ใชใ้ นการทดลอง 4) สื่อ Power point

๑๔๕ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 10 เร่อื ง วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 21 เรื่อง วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายและการต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา 4 ชัว่ โมง ผูส้ อน.................................................................... โรงเรยี นอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พันธ์ ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ติ ประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่เี กีย่ วขอ้ งกบั เสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ป.6/1 ระบุส่วนประกอบและบรรยายหน้าที่ของแตล่ ะสว่ นประกอบของวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย จาก หลักฐานเชิงประจกั ษ์ ป.6/2 เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย ป.6/3 ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวธิ ที ี่เหมาะสมในการอธบิ ายวิธกี ารและผลของการต่อ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรม ป.6/4 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรูข้ องการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม โดยบอกประโยชนแ์ ละการ ประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจาวัน ๒. สาระสาคัญ วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยแหล่งกาเนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า แหล่งกาเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอร่ี ทาหน้าท่ีให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็นตัวนาไฟฟ้าทาหน้าที่ เช่อื มต่อระหวา่ งแหล่งกาเนิดไฟฟ้า และเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าเขา้ ดว้ ยกัน เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ มหี น้าที่เปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็น พลังงานอื่น เมื่อนาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกัน โดยให้ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีก เซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม ทาให้มีพลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับเคร่ืองใช้ไฟฟ้า ซ่ึงการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ อนุกรมสามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวัน เช่น การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าในไฟฉาย 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ (K) 1) นักเรียนสามารถระบุสว่ นประกอบและหนา้ ทข่ี องวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ยได้ 2) นกั เรียนอธบิ ายวธิ ีการตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรมได้ 3) นกั เรยี นอธบิ ายผลของการต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรมได้ 4) นักเรยี นบอกประโยชนข์ องการตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรียนเขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟา้ อย่างง่ายได้ 2) นักเรยี นออกแบบวิธกี ารต่อและทดลองตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนกุ รมได้

๑๔๖ ด้านคณุ ลักษณะ (A) 1) มคี วามรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 2) มีความใฝร่ ูใ้ ฝเ่ รียน 4. สาระการเรียนรู้ การตอ่ วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย มสี ว่ นประกอบหลกั ๆ ดงั น้ี ๑. ตัวนาไฟฟ้าหรือสายไฟ มกั ทามาจากโลหะท่นี าไฟฟา้ ได้ดี เช่น ทองแดง อะลมู เิ นยี ม บางคร้งั ก็ใช้สารกึ่งตวั นา อยา่ งแผ่นซิลกิ าเป็นแผงวงจร เปน็ ต้น โดยใชส้ ัญลักษณ์แทน ๒. แหล่งใหก้ าเนิดพลังงานไฟฟ้า เช่น เซลล์ไฟฟา้ แบตเตอร่,ี ถ่านไฟฉาย เป็นตน้ โดยกระแสไฟฟ้าจะถูกปล่อย ออกมาจากขว้ั บวกให้ไหลมาตามสายไฟหรือตวั นาไฟฟา้ เพื่อเข้าไปสูโ่ หลด (Load) หรืออุปกรณไ์ ฟฟา้ ต่อไป ๓. โหลด (Load) หรอื เทียบไดก้ ับเคร่อื งใช้ไฟฟ้าที่ถูกต่อเข้าในวงจร การต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ทาได้โดยการต่อสายไฟเข้ากับข้ัวลบของถ่านไฟฉายและเครื่องใช้ไฟฟ้า และต่อสายไฟเข้ากับขั้วบวกของถ่านไฟฉายและเคร่ืองใช้ไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลออกจากข้ัวบวกไปยัง เครื่องใช้ไฟฟ้าและไหลกลบั เข้าสู่ข้ัวลบ จะทาใหเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าสามารถใช้งานได้ สัญลักษณ์แทนอปุ กรณ์ในการตอ่ วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย 5. การเขยี นแผนภาพการต่อวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย

๑๔๗ การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม การตอ่ เซลไฟฟา้ แบบอนุกรม เปน็ การนาเซลล์ไฟฟ้ามาต่อเรียงแถวเดียว โดยนาเอาขั้วบวกต่อกับ ขวั้ ลบ และขั้วลบต่อกับขัว้ บวกไปเรื่อยๆดงั รูป ลักษณะคณุ สมบตั ิของวงจรอนุกรม 1) วงจรอนกุ รมจะมกี ระแสไหลผา่ นในทิศทางเดียวเท่าน้ัน 2) แรงดันตกคร่อมทค่ี วามต้านทานแต่ละตวั ในวงจร เมื่อนามาร่วมกันจะมีคา่ เทา่ กบั แรงดนั ทจ่ี า่ ยใหก้ บั วงจร 3) ค่าความตา้ นทานยอ่ ยแตล่ ะตัวในวงจร เมือ่ นามารวมกนั กจ็ ะมคี า่ เท่ากับคา่ ความตา้ นทานรวมกันทง้ั หมดใน วงจร 4) กาลังและพลงั งานไฟฟ้าที่เกิดข้นึ ที่ความต้านทานย่อยแต่ละตัวในวงจร เมอ่ื นามารวมกนั ก็จะมีคา่ เทา่ กาลัง และพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในวงจร 5. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝเ่ รยี นรู้ 2) มีความมงุ่ ม่นั ในการทางานใหส้ าเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรบั ผิดชอบ 7. คา่ นยิ ม 1) ซือ่ สตั ย์ เสียสละ อดทน และมีอุดมการณใ์ นสง่ิ ทด่ี ีงาม เพอ่ื สว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หม่นั ศกึ ษาทั้งทางตรงและทางอ้อม 8. ชิ้นงาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบันทึกกจิ กรรม 2) การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม 3) การเขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายและแผนภาพการต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม

๑๔๘ 9. การวดั และประเมินผล เครอ่ื งมอื ประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ การประเมิน 1.ด้านความรู้ - การตอบคาถามในแบบบันทึก นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้ถกู ต้อง 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ กิจกรรม เกินร้อยละ 80 3.ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - การเขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้า นักเรียนสามารถเขยี นแผนภาพได้ถูกต้อง อย่างง่ายและการต่อเซลล์ไฟฟ้า แบบอนุกรม - การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม - นกั เรยี นสามารถต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบ ได้ อนกุ รมไดถ้ ูกต้อง แบบสงั เกตพฤติกรรม มีคะแนนคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดีมาก 10. กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั นา ๑. ครูนาเข้าส่บู ทเรยี นเกี่ยวกบั วงจรไฟฟา้ อยา่ งง่าย จากน้นั ครูตง้ั ประเดน็ ปญั หาเพื่อให้นักเรยี นเกดิ ความสงสัย และต้องการหาคาตอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยครูใช้คาถามดังน้ี 1) วงจรไฟฟ้าคืออะไร (วงจรไฟฟ้า คือ การต่อสายไฟจากแหล่งกาเนิดเขา้ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าทาใหเ้ กิด เส้นทางการไหลของกระแสไฟฟ้า) 2) วงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายประกอบด้วยอะไรบ้าง (วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย ประกอบด้วยแหล่งพลังงาน ไฟฟา้ อุปกรณ์ไฟฟ้า และสายไฟ) 3) นักเรยี นจะทาอย่างไรใหห้ ลอดไฟสว่าง (ตัวอย่างคาตอบ เม่ือต่อถ่านไฟฉาย สายไฟและหลอดไฟ ให้ครบวงจร ทาใหม้ ีกระแสในวงจร ทาให้หลอดไฟสว่างได้) ๒. ครเู ชญิ ชวนเขา้ สูบ่ ทเรียนว่า “หากนักเรียนต้องการให้หลอดไฟสว่าง จะสามารถต่อวงจรไฟฟ้าได้อย่างไร” วันน้เี ราจะมาเรียนรกู้ ัน ขั้นสอน ๑. ให้นักเรียนแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 5-6 คน รว่ มกนั ศกึ ษาวัสดุ-อุปกรณแ์ ละวธิ ีทากจิ กรรม เร่ือง หลอดไฟสว่างได้ อย่างไร ๒. ให้นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายและแสดงความคดิ เห็นก่อนทากิจกรรม โดยครูถามคาถามก่อนทากิจกรรมดงั น้ี 1) นกั เรียนคดิ ว่าจะตอ่ ถ่านไฟฉาย สายไฟ และหลอดไฟ เพื่อทาหลอดไฟสว่างได้อย่างไร 2) ให้นักเรียนเขยี นภาพแสดงการต่ออุปกรณด์ ังกลา่ วในรปู แบบต่าง ๆ ให้มากท่สี ุด ก่อนทาการ ทดลองจริงลงในแบบบนั ทึกกิจกรรมเร่ือง หลอดไฟสว่างได้อย่างไร ๓. แตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนออกมรบั วัสดุ-อปุ กรณ์ จากนนั้ ลงมอื ทากจิ กรรมตามรปู แบบท่กี ลมุ่ ไดเ้ ลอื กไว้ แลว้ บันทึกผลการสงั เกตความสว่างของหลอดไฟลงในแบบบนั ทึกกิจกรรม

๑๔๙ ๔. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายและแสดงความคดิ เห็นหลังทากิจกรรม โดยครถู ามคาถามหลังทากจิ กรรม ดังน้ี 1) ต่อถา่ นไฟฉาย สายไฟ และหลอดไฟอย่างไร ท่ีทาใหห้ ลอดไฟสวา่ ง (ต่ออปุ กรณ์ทกุ ชนิดเข้าด้วยกัน จนครบวงจร โดยต่อสายไฟจากขวั้ ทั้งสองของถ่านไฟฉายไปยงั ขวั้ ท้งั สองของหลอดไฟ) 2) ตอ่ ถ่านไฟฉาย สายไฟ และหลอดไฟอยา่ งไร ไม่ทาใหห้ ลอดไฟสวา่ ง (ต่อไมค่ รบวงจร) 3) สรุปผลการทดลองน้ีไดอ้ ย่างไร (หลอดไฟสวา่ ง เมือ่ ต่อถ่านไฟฉาย สายไฟ และหลอดไฟให้ครบ วงจร โดยต่อสายไฟจากขวั้ ทง้ั สองของถา่ นไฟฉายไปยงั ขัว้ ท้ังสองของหลอดไฟ) ๕. ครูใหค้ วามรู้เพ่มิ เติมเกี่ยวกับสญั ลักษณ์แทนถา่ นไฟฉาย สายไฟ หลอดไฟ และการเขียนแผนภาพแสดงการ ตอ่ วงจร ๖. จากนน้ั ให้นักเรยี นวาดภาพและระบายสีแผนภาพแสดงการตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างง่ายทถ่ี ูกวธิ ีที่ทาให้หลอดไฟ สวา่ งได้ ๗. ครูเช่ือมโยงเข้าสูเ่ รื่องต่อไป โดยใชค้ าถามวา่ “หากนักเรยี นตอ้ งการต่อหลอดไฟใหส้ ว่างเพ่มิ ขนึ้ จะสามารถ ทาอย่างไรได้” ๘. ครใู ห้นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันศึกษาวสั ดุ-อปุ กรณ์และวธิ ีทากจิ กรรม เรื่อง การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ ๙. ใหน้ ักเรยี นร่วมกนั อภิปรายและแสดงความคดิ เห็นกอ่ นทากิจกรรม โดยครใู ชค้ าถาม ดงั นี้ 1) การตอ่ วงจรไฟฟ้าอยา่ งไรหลอดไฟจงึ จะสว่าง (ต่อสายไฟ แหล่งพลังงานไฟฟ้า (ถา่ นไฟฉาย) และ หลอดไฟให้ครบวงจร) 2) จะตอ่ เซลล์ไฟฟ้ามากกวา่ หนงึ่ เซลล์อย่างไรท่ีทาให้หลอดไฟสวา่ ง (ยอมรับคาตอบของนักเรยี น) 3) จานวนเซลลไ์ ฟฟ้ามีผลต่อความสวา่ งของหลอดไฟหรือไม่ อยา่ งไร (ยอมรับคาตอบของนักเรียน) ๑๐.จากนั้นใหน้ กั เรยี นตอบคาถามก่อนทากิจกรรม ๑๑.ตวั แทนนักเรียนแต่ละกลมุ่ ออกมารับวสั ดุ-อปุ กรณ์ และลงมือทากิจกรรม จากนนั้ สงั เกตความสว่างของ หลอดไฟและบันทึกผลลงในแบบบันทกึ กิจกรรม ๑๒.เมือ่ นักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายและแสดงความคดิ เห็นหลังทากิจกรรม โดยครูถามคาถามหลงั ทากิจกรรมดงั นี้ 1) ถ่านไฟฉาย 1 ก้อน ท่นี กั เรียนสงั เกต มีความต่างศักยก์ ี่โวลต์ (1.5 โวลต์) 2) เปรียบเทยี บความสว่างของหลอดไฟเม่ือใชถ้ ่านไฟฉาย 1 ก้อน 2 ก้อน และ 3 ก้อน(ความสวา่ ง เพมิ่ ข้นึ ตามลาดับ) 3) ใหบ้ รรยายลกั ษณะการต่อถา่ นไฟฉายมากกว่า 1 ก้อน ท่ีทาให้หลอดไฟสว่าง (การต่อถา่ นไฟฉาย โดยใหข้ ้ัวบวกตอ่ กับขวั้ ลบเรยี งกัน หรือให้ขัว้ บวกตอ่ กบั ขัว้ บวก และข้วั ลบตอ่ กับขวั้ ลบ) 4) มวี ธิ ีการตอ่ ถา่ นไฟฉายที่ทาให้ไฟสวา่ งได้กวี่ ธิ ี (2 วิธ)ี 5) สรุปผลการทดลองนี้ไดอ้ ย่างไร (1. วิธกี ารตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้ามากกวา่ หน่ึงเซลลใ์ นวงจรที่ทาให้ หลอดไฟสว่าง โดยนาขวั้ ไฟฟ้าต่างกนั มาต่อเข้าด้วยกนั หรือนาขั้วไฟฟ้าเหมือนกันของแตล่ ะเซลล์ มาต่อกัน 2. จานวนเซลล์ไฟฟ้าทตี่ ่อกันมากขนึ้ มผี ลให้หลอดไฟสว่างมากขึน้ ) 6) จะบรรจถุ ่านไฟฉายในกระบอกไฟฉายอย่างไร จึงจะทาใหห้ ลอดไฟสว่างมากท่สี ดุ (นาเซลล์ไฟฟา้ มาต่อเรยี งกนั โดยนาขว้ั ของไฟฟ้าต่างกนั มาต่อเขา้ ด้วยกัน) ๑๓.ครูสรุปวิธกี ารตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนกุ รมและผลของการตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม

๑๕๐ ขนั้ สรปุ ๑. ครูสรุปวธิ กี ารต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย และการเขยี นแผนภาพการต่อวงจรไฟฟ้า ๒. นักเรยี นเขยี นแผนภาพแสดงการต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม ๑๑. ส่อื และแหล่งเรียนรู้ 1) แบบบันทึกกิจกรรม เรื่อง เรื่อง หลอดไฟสวา่ งได้อยา่ งไร และการต่อเซลลไ์ ฟฟ้า 2) วัสดุ-อุปกรณ์ทีใ่ ชใ้ นการทากจิ กรรม 3) ส่อื Power point