หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 10 ๑๕๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 21 รายวชิ า ว 16101 เรือ่ ง วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ ๒ เรอื่ ง การต่อหลอดไฟแบบอนุกรมและขนาน ผสู้ อน.................................................................... กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 4 ชั่วโมง โรงเรียนอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวช้วี ัด มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธ์ ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณ์ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทั้งนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ป.6/5 ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม และแบบขนาน ป.6/6 ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรู้ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน โดยบอก ประโยชน์ ขอ้ จากดั และการประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวนั ๒. สาระสาคัญ การต่อหลอดไฟฟ้าเข้ากับวงจรไฟฟ้า สามารถต่อได้ 2 แบบหลักๆ คือ การต่อหลอดไฟแบบอนุกรม และ การตอ่ หลอดไฟแบบขนาน ๓. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ดา้ นความรูค้ วามเข้าใจ (K) 1) นักเรียนสามารถอธิบายการต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนานได้ 2) นักเรียนบอกประโยชน์ของการต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนานได้ 3) นักเรยี นสามารถนาการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนานไปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวันได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรียนออกแบบวธิ กี ารตอ่ และทดลองตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนานได้ ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1) มีความรบั ผิดชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย 2) มคี วามใฝร่ ู้ใฝ่เรียน
๑๕๒ 4. สาระการเรียนรู้ การต่อหลอดไฟฟ้าเขา้ กับวงจรไฟฟ้า สามารถต่อได้ 2 แบบหลกั ๆ คอื ๑. การต่อหลอดไฟแบบอนุกรม (Series Circuit) เป็นการนาเอาหลอดไฟหลายๆ อันมาต่อเรียงกันไปเหมือน ลูกโซ่ กล่าวคือ ปลายของหลอดไฟฟ้าตัวท่ี 1 นาไปต่อกับต้นของหลอดไฟฟ้าตัวที่ 2 และต่อเรียงกันไป เร่ือยๆ จนหมด แล้วนาไปต่อเข้ากับแหล่งกาเนิด การต่อวงจรแบบอนุกรมจะมีทางเดินของกระแสไฟฟ้าได้ ทางเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดเครื่องใช้ไฟฟา้ ตัวใดตวั หน่งึ เปดิ วงจรหรอื ขาด จะทาให้วงจรทงั้ หมดไม่ทางาน คุณสมบัติทสี่ าคัญของวงจรอนุกรม 1) กระแสไฟฟา้ จะไหลผา่ นเท่ากนั และมที ิศทางเดียวกันตลอดทั้งวงจร 2) ความตา้ นทานรวมของวงจรจะมคี ่าเทา่ กบั ผลรวมของความต้านทานแตล่ ะตัวในวงจรรวมกนั 3) แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร เม่ือนามารวมกันแล้วจะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าท่ี แหลง่ กาเนิด ข้อเสีย ถ้าหลอดไฟดวงใดดับ หรือไม่สามารถเช่ือมต่อวงจรได้ จะทาให้ไฟฟ้าไม่สามารถไหลครบวงจรได้ (วงจรเปิด) ดังนนั้ หลอดไฟฟ้าที่เหลือในวงจรไมส่ ามารถทางานได้ ๒. การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน (Parallel Circuit) เป็นการนาเอาต้นของหลอดไฟฟา้ ทกุ ๆ ตัวมาต่อรวมกนั และต่อเข้ากับแหลง่ กาเนิดท่จี ุดหนึง่ นาปลายสายของทกุ ๆ ตวั มาตอ่ รวมกันและนาไปต่อกับแหลง่ กาเนิดอีก จดุ หนึ่งท่เี หลอื ซึ่งเมื่อต่อหลอดไฟฟา้ แต่ละอนั ต่อเรียบร้อยแลว้ จะกลายเป็นวงจรยอ่ ย กระแสไฟฟา้ ท่ีไหลจะ สามารถไหลได้หลายทางข้ึนอย่กู บั ตัวของหลอดไฟฟา้ ที่นามาต่อขนานกนั ถ้าเกดิ ในวงจรมเี หลอดไฟฟา้ ตัว หนงึ่ ขาดหรอื เปิดวงจร หลอดไฟฟ้าทีเ่ หลือก็ยังสามารถทางานได้ ในบ้านเรือนที่อยู่อาศยั ปจั จุบันจะเปน็ การ ต่อวงจรแบบนที้ ั้งสน้ิ คุณสมบตั ิทสี่ าคัญของวงจรขนาน 1) กระแสไฟฟ้ารวมของวงจรขนาน จะมีคา่ เท่ากบั กระแสไฟฟ้าย่อยท่ีไหลในแต่ละสาขาของวงจร รวมกนั 2) แรงดนั ไฟฟา้ ตกคร่อมส่วนตา่ งๆ ของวงจร จะเทา่ กับแรงดันไฟฟ้าทีแ่ หล่งกาเนิด 3) ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าน้อยกว่าความต้านทานตัวทน่ี อ้ ยที่สุดที่ตอ่ อยูใ่ นวงจร ข้อดี ถ้าหลอดไฟดวงใดดวงหนึ่งดับ หรือไม่สามารถเช่ือมต่อวงจรได้ ไฟฟ้าก็ยังสามารถไหลครบวงจรได้ (วงจรปดิ ) ดังน้ัน หลอดไฟฟ้าทเ่ี หลอื ในวงจรสามารถทางานได้
๑๕๓ 5. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรยี นรู้ 2) มคี วามมุง่ มัน่ ในการทางานให้สาเรจ็ ดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มีความรับผิดชอบ 7. ค่านิยม 1) ซ่อื สตั ย์ เสยี สละ อดทน และมีอดุ มการณใ์ นสิง่ ท่ีดงี าม เพอ่ื สว่ นรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หม่นั ศึกษาทง้ั ทางตรงและทางอ้อม 8. ช้นิ งาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบันทกึ กจิ กรรม 2) การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน 3) การตอบคาถามในแบบฝึกหัด 9. การวัดและประเมนิ ผล การประเมนิ เคร่ืองมอื ประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ 1.ดา้ นความรู้ - การตอบคาถามในแบบบันทึก - นกั เรยี นสามารถตอบคาถามไดถ้ ูกต้อง กจิ กรรม เกินรอ้ ยละ 80 - การตอบคาถามในแบบฝกึ หดั - นักเรยี นสามารถตอบคาถามไดถ้ ูกต้อง เกินรอ้ ยละ 80
๑๕๔ การประเมนิ เครอ่ื งมอื ประเมิน เกณฑก์ ารประเมนิ 2.ด้านทักษะกระบวนการ - ก า ร ต่ อ ห ล อ ด ไ ฟ ฟ้ า แ บ บ นักเรยี นสามารถต่อหลอดไฟฟา้ แบบ 3.ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ อนกุ รมและขนาน อนกุ รมและขนานได้ถกู ต้อง แบบสงั เกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ใน เกณฑ์ดี-ดีมาก 10. กิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันนา ๑. ครูนาเขา้ สู่ทบทวยบทเรยี นเก่ียวกับวงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย โดยครูใชค้ าถามดงั น้ี 1) การต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายต้องใช้อุปกรณใ์ ดบ้าง (เครอ่ื งใช้ไฟฟ้า, ถา่ นไฟฉาย, สายไฟ) 2) นักเรียนสามารถต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ยได้อยา่ งไร (ทาได้ด้วยการต่อถ่านไฟฉาย สายไฟและหลอดไฟ ให้ครบวงจร ทาให้มีกระแสในวงจร ทาใหห้ ลอดไฟสว่างได้) ๒. ครูเชญิ ชวนเข้าสู่บทเรียนว่า “หากนักเรียนต้องการให้หลอดไฟภายในบา้ นใหส้ วา่ ง จะสามารถต่อวงจรไฟฟา้ ไดอ้ ยา่ งไรบ้าง” วนั นเี้ ราจะมาเรียนรกู้ นั ขั้นสอน ๑. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน จากนัน้ ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ อภิปรายรว่ มกนั โดยใช้คาถามต่อไปนี้ 1) หากนกั เรียนต้องการตอ่ หลอดไฟภายในบ้านในสวา่ ง จะมีวธิ กี ารตอ่ อยา่ งไรบ้าง (ตอ่ หลอดไฟแบบ เรียงต่อๆกนั ไปเร่ือย และการต่อหลอดไฟแบบขนานกัน) ๒. เมอื่ นกั เรยี นแต่ละกลุม่ อภิปรายรว่ มกันเรยี บร้อยแลว้ ให้ออกมาวาดแผนภาพลักษณะการต่อหลอดไฟฟา้ ภายในบ้านทไ่ี ดจ้ ากการอภิปรายบนกระดานดา ๓. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ ราย จนไดข้ ้อสรุปวา่ หากเราต้องการต่อหลอดไฟฟ้าภายในบา้ นจะสามารถต่อ ได้ 2 แบบ คอื การตอ่ แบบอนุกรมและแบบขนาน ๔. ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ศึกษาวัสดุ-อปุ กรณ์และวธิ ที ากิจกรรม เรอื่ ง การต่อหลอดไฟฟ้า ๕. จากนัน้ นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายและแสดงความคดิ เหน็ ก่อนทากิจกรรม โดยครถู ามคาถามก่อนทากิจกรรม ดังน้ี 1) วงจรปดิ คอื อะไร (วงจรทีม่ ปี ระจไุ ฟฟา้ ไหลในสายไฟที่ต่อเข้ากบั แหลง่ ให้พลังงานไฟฟ้าและ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าแลว้ ทาใหเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟา้ ทางานได้) 2) สง่ิ ทตี่ อ้ งจัดให้เหมือนกนั ในการทดลองน้ีคืออะไร (จานวนและขนาดของถ่านไฟฉาย ขนาดของ หลอดไฟ) 3) ส่ิงทจ่ี ัดใหต้ ่างกันในการทดลองน้คี อื อะไร (วธิ ีการต่อหลอดไฟ) ๖. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ลงมือทากิจกรรม แลว้ สงั เกตความสวา่ งของหลอดไฟ บนั ทึกผลและตอบคาถามหลังทา กิจกรรม ๗. นักเรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคดิ เห็นหลังทากจิ กรรม โดยครูถามคาถามหลังทากจิ กรรมดงั นี้ 1) เมอ่ื ต่อหลอดไฟ 2 หลอดเรียงต่อกนั ดังภาพที่ 2 สงั เกตเห็นอะไร เหตใุ ดจงึ เปน็ เชน่ น้นั (หลอดไฟ สว่างท้งั 2 หลอด ทง้ั นเ้ี น่อื งจากถ่านไฟฉายซงึ่ เปน็ แหล่งพลังงานไฟฟ้า ทาให้เกิดประจุไฟฟา้ ไหล
๑๕๕ ไปตามสายไฟผ่านหลอดไฟหลอดท่หี น่งึ ไปยงั หลอดไฟหลอดทส่ี อง แล้วกลับมาทีถ่ ่านไฟฉาย ทาให้ วงจรปดิ จงึ มปี ระจุไฟฟ้าไหลในวงจร) 2) เม่อื นาหลอดไฟหลอดหนึ่งออกจากวงจรไฟฟ้าทีต่ ่อหลอดไฟ 2 หลอด เรียงต่อกนั ดงั ภาพที่ 2 สงั เกตเหน็ อะไร เหตุใดจงึ เป็นเช่นนั้น (หลอดไฟท่ีเหลือจะดับ เนื่องจากวงจรเปดิ ทาให้ประจุไฟฟา้ ไมส่ ามารถไหลจนครบวงจร) 3) เมอื่ ต่อหลอดไฟฟา้ 2 หลอด ขนานกันดงั ภาพท่ี 3 สงั เกตเหน็ อะไร เหตุใดจงึ เป็นเช่นน้นั (หลอดไฟสว่างท้งั 2 หลอด ท้ังนเ้ี น่ืองจากวงจรปิดทาให้ประจุไฟฟ้าไหลครบวงจร) 4) เม่อื ถอดหลอดไฟฟ้าหลอดหน่ึงออกจากวงจรที่ต่อหลอดไฟ 2 หลอดขนานกัน ดังภาพท่ี 3 สังเกตเห็นอะไร เหตุใดจึงเป็นเชน่ นั้น (หลอดไฟทีเ่ หลอื ยงั สวา่ ง เนื่องจากวงจรปดิ ทาให้มีประจุ ไฟฟา้ ไหลในวงจร) 5) สรปุ ผลการทดลองนี้ได้อยา่ งไร (การต่อหลอดไฟฟ้า 2 แบบ คอื การต่อหลอดไฟแบบเรียงตอ่ กัน ในวงจร และการต่อหลอดไฟแบบขนาน การต่อหลอดไฟแบบเรียงต่อกัน หากนาหลอดไฟบาง หลอดออกจากวงจร หลอดไฟทกุ หลอดในวงจรจะดับหมด สว่ นการตอ่ หลอดไฟแบบขนาน หาก นาหลอดไฟบางหลอดออกจากวงจร หลอดไฟที่เหลอื ยังคงสวา่ งอยู่ได)้ 6) นกั เรยี นควรตอ่ หลอดไฟหรอื เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ในบ้านแบบใด จึงสามารถใช้งานเปิดปดิ หลอดไฟได้ งา่ ยและสะดวก (แบบขนาน) 7) ถา้ ติดสวิตช์ควบคมุ การเปิดปิดไฟทุกหลอดในเวลาเดยี วกนั ในการต่อหลอดไฟแบบอนุกรมต้องใช้ สวิตช์กอ่ี ัน (1 อนั ) ๘. ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปผลการทากิจกรรมเกี่ยวกบั การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน ๙. ครใู หค้ วามรเู้ กย่ี วกบั ชื่อของการตอ่ หลอดไฟฟา้ ท้งั 2 แบบ นักเรยี นบอกคาจากดั ความของการต่อหลอด ไฟฟ้าแต่ละแบบ ผลท่เี กิดขนึ้ และการนาไปใช้ประโยชน์ของการตอ่ อุปกรณ์ไฟฟ้าในบา้ นแบบอนุกรมและ แบบขนาน ขั้นสรปุ ๑. ครใู ห้นักเรียนตอบคาถามในแบบฝกึ หัด เรอ่ื ง การต่อหลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน ๑๑. สือ่ และแหล่งเรียนรู้ 1) แบบบนั ทกึ กจิ กรรม เรื่อง การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน 2) แบบฝกึ หดั เร่อื ง การต่อหลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน 3) วัสดุ-อปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นการทากิจกรรม 4) สื่อ Power point
๑๕๖ โครงสร้างรายวิชา สาระที่ 4 เทคโนโลยี ว ๑6๑๐๑ (วทิ ยาการคานวณ) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 เวลา 40 ชวั่ โมง/ปี ปกี ารศึกษา ๒๕๖3 ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง เวลา นา้ หนกั (ชัว่ โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตวั ช้ีวัด 4 การแกป้ ัญหา ว 4.2 ป.6/1 ใช้เหตุผล 1)การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้ 8 16 16 โดยใชเ้ หตุผล เชงิ ตรรกะในการอธิบาย แกป้ ญั หาได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ เชิงตรรกะ และออกแบบวธิ กี าร 2)การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนา แก้ปญั หาท่ีพบใน กฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไข ที่ครอบคลุมทุกกรณี ชีวิตประจาวัน มาใช้พิจารณาในการแกป้ ัญหา 3)แนวคิดของการทางานแบบวนซ้าแล ะ เงอื่ นไข 4) การพิจารณากระบวนการทางานที่มีการ ทางานแบบวนซ้าและเง่ือนไขเป็นวิธีการ ท่ีจะ ช่วยให้การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาเป็นไป อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 5) ตัวอย่างปัญหา เช่น การค้นหาเลขหน้าที่ ต้องการให้เร็วท่ีสุด การทายเลข 1 - 1,000,000 โดยตอบให้ถูกภายใน 20 คาถาม การคานวณเวลาในการเดินทาง โดย คานึงถงึ ระยะทาง เวลาจดุ หยดุ พกั การออกแบบ ว 4.2 ป.6/2ออกแบบ 1)การออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดโ้ ดย และเขียน และเขียนโปรแกรม เขยี นเป็นข้อความหรือผังงาน โปรแกรมอย่าง อย่างง่าย เพื่อแกป้ ญั หา 2)การออกแบบโปรแกรมทม่ี ีการใชต้ วั แปร กา ง่าย ในชีวิตประจาวัน รวนซา้ การตรวจสอบเง่อื นไข ตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดของ 3)หากมีข้อผดิ พลาดให้ตรวจสอบการทางานที โปรแกรมและแก้ไข ละคาสั่ง เม่ือพบจุดท่ีทาใหผ้ ลลพั ธไ์ ม่ถูกต้อง ใหท้ าการแก้ไขจนกว่าจะไดผ้ ลลัพธท์ ถ่ี ูกต้อง 4)การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรม ของผู้อน่ื จะช่วยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตุ ของปัญหา ไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ
๑๕๗ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ /ตวั ชี้วัด (ช่ัวโมง) คะแนน การใช้งาน 5)ตวั อยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม 8 6 อนิ เทอรเ์ นต็ อยา่ งมี โปรแกรมหาคา่ ค.ร.น. เกมฝึกพมิ พ์ 6 4 ประสทิ ธิภาพ 6) ซอฟต์แวร์ทใ่ี ชใ้ นการเขยี นโปรแกรม เชน่ ความ ปลอดภยั ใน Scratch, logo การใช้งาน เทคโนโลยี ว 4.2 ป.6/3 1)การคน้ หาอย่างมีประสทิ ธิภาพ เป็นการ สารสนเทศ ใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตในการ คน้ หาขอ้ มลู ทไ่ี ด้ตรงตามความต้องการในเวลา คน้ หาขอ้ มูลอยา่ งมี ทรี่ วดเร็ว จากแหลง่ ข้อมลู ทน่ี ่าเช่ือถือ ประสทิ ธภิ าพ หลายแหลง่ และข้อมูลมีความสอดคล้องกนั 2)การใชเ้ ทคนิคการค้นหาขน้ั สงู เชน่ การใช้ ตวั ดาเนนิ การ การระบุรปู แบบของข้อมูลหรอื ชนดิ ของไฟล์ 3)การจัดลาดบั ผลลัพธจ์ ากการค้นหาของ โปรแกรมค้นหา 4) การเรียบเรยี ง สรุปสาระสาคญั (บูรณาการ กบั วชิ าภาษาไทย) ว 4.2 ป.6/4 ใช้ 1)อันตรายจากกรใช้งานและอาชญากรรมทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ อินเทอรเ์ นต็ แนวทางในการป้องกนั ทางานร่วมกนั อย่าง 2)วธิ ีกาหนดรหัสผา่ น ปลอดภัย เข้าใจสิทธิและ 3)การกาหนดสิทธใิ์ นการใชง้ าน (สทิ ธิ์ในการ หน้าท่ขี องตน เคารพใน เข้าถงึ ) สทิ ธิของผอู้ ่นื แจ้ง 4) แนวทางการตรวจ สอบและปอ้ งกนั มัลแวร์ ผู้เก่ียวขอ้ งเมอื่ พบข้อมูล 5) อันตรายจากการติดตั้งซอฟตแ์ วร์ท่ีอยู่ บน หรือบุคคลท่ีไม่เหมาะสม อนิ เทอร์เน็ต สอบ 10 รวม 40 40
๑๕๘ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่อื ง การแกป้ ญั หาโดยใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะ รายวชิ า ว 16101(วิทยาการคานวณ) กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ผู้สอน.................................................................... เวลา 8 ช่วั โมง โรงเรยี นอนุบาลตราด 1. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชีว้ ดั ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวติ จรงิ อย่างเปน็ ข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารในการเรยี นรู้ การทางานและการแก้ปญั หาได้อยา่ งมี ประสิทธภิ าพ รู้เทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม ป.6/1 ใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในการอธิบายและออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหาทพี่ บใน ชวี ติ ประจาวัน 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 1) การแก้ปัญหาอย่างเป็นขน้ั ตอนจะชว่ ยใหแ้ ก้ปญั หาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ 2) การใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑ์ หรอื เงื่อนไขที่ครอบคลุมทกุ กรณีมาใช้พจิ ารณาใน การแก้ปัญหา 3) แนวคิดของการทางานแบบวนซ้า และเง่ือนไข 4) การพิจารณากระบวนการทางานที่มกี ารทางานแบบวนซ้าและเงื่อนไขเปน็ วธิ กี ารที่จะช่วยให้ การออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหาเป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 5) ตัวอยา่ งปญั หา เชน่ การค้นหาเลขหนา้ ท่ตี ้องการใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ การทายเลข 1-1,000,000 โดยตอบ ใหถ้ ูกภายใน 20 คาถาม การคานวณเวลาในการเดนิ ทาง โดยคานึงถงึ ระยะทาง เวลาจุดหยดุ พัก 2.2 สาระการเรยี นรทู้ ้องถ่ิน - 3. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด เหตผุ ลเชงิ ตรรกะกับการแก้ปัญหา เป็นการนาหลักการ กฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขทค่ี รอบคลุมทุก กรณีมาใชเ้ พ่ือตรวจสอบความสมเหตุสมผลหรือพจิ ารณาความเปน็ ไปไดข้ องการมงุ่ หาคาตอบและแกป้ ัญหา แนวคิดในการแก้ปัญหา คือแนวคิดที่ใช้ในการพิจารณากระบวนการทางานหรือการแก้ปัญหา ต่าง ๆ อย่างเป็นข้ันตอน ช่วยให้การทางานและการแก้ปัญหาสามารถทาได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดย แนวคิดในการแก้ปัญหามี 3 รูปแบบคือ แนวคิดการทางานแบบลาดับ แนวคิดการทางานแบบวนซ้า และ แนวคิดการทางานแบบมเี ง่ือนไข 4. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียนและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มีวนิ ยั 2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 3. มุ่งมนั่ ในการทางาน
๑๕๙ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต 5. ชิน้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ชนิ้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เร่ือง การแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะ 6. การวัดและการประเมินผล รายการวดั วธิ วี ดั เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ 6.1 การประเมนิ ก่อนเรียน - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ ประเมนิ ตามสภาพจริง หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 1 กอ่ นเรียน ก่อนเรียน เรอ่ื ง การแกป้ ัญหาโดยใช้ เหตุผลเชิงตรรกะ 6.2 การประเมนิ ระหวา่ งการจัด กจิ กรรม 1) การแกป้ ัญหาใน - ตรวจใบงานท่ี 1.1.1 - แบบประเมินการทา ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ชวี ิตประจาวันโดยใช้ เร่อื ง ต่อยอดการ ใบงานท่1ี .1.1 เรอื่ ง เหตุผลเชิงตรรกะ แก้ปญั หาด้วยเหตุผล ตอ่ ยอดการแก้ปญั หา เชิงตรรกะ ด้วยเหตุผลเชิงตรรกะ - ตรวจกิจกรรมฝึก - กจิ กรรมฝึกทักษะท่ี ทักษะที่ 1 เรอื่ งจบั คู่ 1 เรอื่ ง จับคูร่ าวง ราวงมาตรฐาน มาตรฐาน - ตรวจกจิ กรรมฝึก - กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะท่ี 2 ทักษะที่ 2 เชยี ร์กฬี า เชยี รก์ ฬี า พาเพลิน พาเพลิน - แบบประเมนิ การ - ประเมินการนาเสนอ นาเสนอ เรอ่ื ง การใช้ เรื่อง การใช้เหตุผลเชิง เหตผุ ลเชิงตรรกะใน ตรรกะใน ชวี ิตประจาวนั ชวี ิตประจาวัน 2) กระบวนการทางานหรือ - ตรวจกิจกรรมฝึกทักษะ - แบบประเมินการทา ระดับคุณภาพ 2 การแกป้ ัญหา โดยใช้ ที่ 3 เรอื่ ง ตามติดชีวติ ลุง กจิ กรรมฝึกทักษะที่ ผ่านเกณฑ์ แนวคิดแบบต่าง ๆ พล 3 เรื่อง ตามตดิ ชีวติ - ตรวจกจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ ลงุ พล ท่ี 3 เร่อื ง ตามติดชวี ิต - แบบประเมนิ การ ลงุ พล นาเสนอ เร่ือง - ประเมนิ การนาเสนอ แนวคดิ การทางาน เรอื่ ง แนวคิดการ แบบต่าง ๆ ทีใ่ ช้
๑๖๐ รายการวัด วธิ ีวดั เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน อธบิ ายสถานการณ์ ทางานแบบตา่ ง ๆ ที่ ในชีวติ ประจาวัน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ ใชอ้ ธบิ ายสถานการณ์ - แบบประเมนิ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ คณุ ลกั ษณะ ในชวี ิตประจาวัน อนั พงึ ประสงค์ 3) คุณลักษณะ - สังเกตความมวี นิ ยั - แบบทดสอบ หลังเรียน อนั พงึ ประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมั่น ในการทางาน 6.3 การประเมินหลังเรียน 1) แบบทดสอบหลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 หลังเรียน เร่ือง การแก้ปัญหาโดยใช้ เหตผุ ลเชิงตรรกะ 2) การประเมนิ ช้ินงาน/ - ตรวจช้ินงาน/ - แบบประเมนิ ชิน้ งาน/ - ระดับคณุ ภาพ 2 ภาระงาน (รวบยอด) ภาระงาน (รวบยอด) ภาระงาน (รวบยอด) ผ่านเกณฑ์ เร่ือง การแก้ปญั หาโดยใช้ เหตุผลเชิงตรรกะ 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ นกั เรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง การแกป้ ญั หาโดยใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ เรอื่ งท่ี 1 : เหตุผลเชงิ ตรรกะกบั การแกป้ ัญหา เวลา 4 ชั่วโมง วธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) วธิ กี ารสอนแบบกระบวนการกล่มุ เทคนคิ ตามแนวคดิ เชงิ คานวณ ขัน้ นา (15 นาท)ี กระตุ้นความสนใจ 1. ครใู หน้ ักเรยี นทากจิ กรรมลองทาดู ในแบบฝกึ หดั รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการ คานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 หนา้ 2 เพ่อื เป็นการทบทวนความรู้เดมิ ก่อนเขา้ สู่บทเรียน 2. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายถึงวิธีการแก้ปัญหาของกจิ กรรมลองทาดู จนได้ข้อสรุปว่าใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา 3. ครูให้นักเรยี นเปดิ หนังสือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 หน้า 2-3 จากนัน้ ครูถามคาถามประจาหนว่ ยการเรียนรู้กับนักเรยี นว่าเหตุผล เชงิ ตรรกะช่วยในการแก้ปัญหาได้อย่างไร
๑๖๑ แนวคาตอบ: เหตผุ ลเชงิ ตรรกะชว่ ยในการแก้ปัญหาได้ เชน่ เข้ามาชว่ ยในการพจิ ารณาสาเหตขุ อง ปญั หา วธิ กี ารแก้ปญั หา การตรวจสอบการแก้ปญั หา 4. ครถู ามคาถามสาคญั ประจาหัวข้อกบั นักเรยี นว่า เหตุผลเชงิ ตรรกะสามารถนาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ อย่างไร จากนน้ั ใหน้ กั เรียนลองยกตัวอย่างการใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในชีวติ ประจาวนั ของนักเรียน ขัน้ สอน (45 นาที) สารวจคน้ หา 1. ครูให้นักเรียนจบั กลุ่ม 3-4 คน เพอื่ ศึกษาและสังเกตสถานการณ์ตวั อยา่ งจากหนังสือเรียนรายวชิ า พ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 หนา้ 3-7 เกย่ี วกับผล การแขง่ ขันตอบปัญหาภาษาอังกฤษ โดยใหน้ ักเรยี นอ่านบทสัมภาษณ์ของตวั แทนนักเรยี นแตล่ ะคน 2. นักเรียนร่วมกนั วเิ คราะหบ์ ทสัมภาษณแ์ ละพจิ ารณาตัดสิง่ ทีเ่ ปน็ ไปไม่ได้ออกตามหนังสอื จนได้ข้อสรุป วา่ ตวั แทนนกั เรยี นแตล่ ะคนแขง่ ขันได้ลาดบั ที่เท่าไร 3. ครูให้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ พิจารณาสถานการณ์ตัวอยา่ งในหนังสอื เรียนอีกครัง้ เพื่อถอดกระบวนการ แนวคิด หรอื วิธีการแก้ปัญหาของสถานการณ์ จากนนั้ เขยี นแนวคดิ หรอื วิธีการแก้ปญั หาและตอบ คาถามลงในใบงานท่ี 1.1.1 เรอ่ื ง ตอ่ ยอดการแก้ปัญหาดว้ ยเหตุผลเชงิ ตรรกะ อธบิ ายความรู้ 4. ครูให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ออกมานาเสนอผลงานจากการทาใบงานท่ี 1.1.1 เร่ือง ต่อยอดการแก้ปัญหา ด้วยเหตผุ ลเชิงตรรกะ โดยแสดงถงึ วธิ ีการพจิ ารณาสถานการณ์ เง่อื นไขต่าง ๆ แนวคิดหรือวธิ ีการ แกป้ ัญหาโดยใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะตามท่ีแตล่ ะกลุ่มได้ระดมความคดิ เห็นรว่ มกนั ในการทากิจกรรมกลุม่ 5. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายถึงแนวคดิ หรือวธิ ีการแกป้ ัญหา และการตอบคาถามของนกั เรียนแต่ ละกล่มุ ว่ามคี วามแตกตา่ งกนั อย่างไร และหาข้อสรุปรว่ มกัน 6. ครูมอบหมายงานให้นักเรยี นทากิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 หน้า 8 เปน็ การบา้ น โดย เขยี นใสส่ มุดและส่งในชั่วโมงถัดไป ช่ัวโมงที่ 2 ข้นั สอน (60 นาท)ี อธิบายความรู้ 1. ครูและนกั เรยี นทบทวนความรู้เดมิ ทีเ่ รยี นในชว่ั โมงที่แล้ว เร่อื งการแกป้ ญั หาด้วยเหตุผลเชิงตรรกะ 2. ครสู มุ่ นักเรยี น 2-3 คน เพ่ืออธิบายแนวคดิ หรอื วธิ กี ารแก้ปัญหาของกจิ กรรมฝึกทักษะ Com Sci ท่ี สั่งเป็นการบ้าน และลงข้อสรุปร่วมกนั จากน้ันใหน้ ักเรยี นส่งการบา้ น ขยายความเขา้ ใจ 3. ครูบอกกบั นักเรยี นวา่ ในช่ัวโมงท่ีแลว้ ครูได้ให้นกั เรียนใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ัญหาการตอบ ปญั หาภาษาอังกฤษไปแลว้ ในวนั นี้เรามาลองใช้เหตุผลเชิงตรรกะในสถานการณ์อนื่ ๆ ดูบ้าง
๑๖๒ 4. ครูถามนักเรยี นว่ารู้จักราวงมาตรฐานหรือไม่ ราวงมาตรฐานเป็นการแสดงท่ีมีววิ ฒั นาการมาจากรา โทน ซึ่งเปน็ การร้องและการราของชาวบ้าน มผี ู้ราทั้งชายและหญงิ 5. ครูใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลมุ่ (กลุ่มเดมิ ) อ่านสถานการณแ์ ละเง่ือนไขในกจิ กรรมฝกึ ทักษะที่ 1 เร่ืองจับคู่ ราวงมาตรฐาน ในแบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 หน้า 10 6. นักเรียนในกลมุ่ ร่วมกันจบั คผู่ ู้ราฝ่ายชายและฝา่ ยหญิงตามสถานการณ์และเง่ือนไขท่ีกาหนด และตอบ คาถามลงในกจิ กรรมฝกึ ทักษะที่ 1 7. ครถู ามนักเรยี นวา่ จากสถานการณท์ ี่กาหนดให้ นกั เรียนคิดว่าเพราะเหตุใด จงึ ต้องใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ญั หานี้ จากนน้ั ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายจนไดข้ ้อสรปุ ร่วมกนั 8. ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรยี นทาแบบฝึกหัด เร่ืองเหตผุ ลเชิงตรรกะกบั การแก้ปัญหาในแบบฝกึ หัด รายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 หนา้ 3-5 เพือ่ ทบทวนความรู้ ช่ัวโมงที่ 3 ขัน้ สอน (60 นาท)ี ขยายความเขา้ ใจ 1. ครแู ละนกั เรียนทบทวนความรเู้ ดมิ ทเ่ี รียนในชว่ั โมงท่ีแลว้ เรื่องการแกป้ ัญหาด้วยเหตผุ ลเชิงตรรกะ 2. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนเคยเห็นกองเชียร์นักกีฬาที่น่ังอยู่บนอัฒจันทร์หรือไม่ จากน้ันครูเปิดวีดิ ทัศน์การแปลอักษรบนอฒั จนั ทรใ์ ห้นกั เรยี นดู 3. ครูให้นกั เรียนนง่ั ตามกลุ่มเดิมและสมมติบทบาทให้นกั เรียนเป็นผู้คุมกองเชยี ร์ โดยให้นักเรียนแตล่ ะ กลมุ่ รว่ มกันอ่านสถานการณ์ในกิจกรรมฝกึ ทักษะที่ 2 เรอื่ งเชียร์กฬี า พาเพลนิ ในแบบฝึกหัดรายวชิ า พน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 หน้า 12 4. นกั เรยี นในกลุม่ รว่ มกนั ทากิจกรรมฝึกทักษะท่ี 2 เรอ่ื งเชยี ร์กฬี า พาเพลนิ โดยนกั เรียนจะต้องระบายสี ลง ในตารางให้ถูกตอ้ งตามเงื่อนไข และทายว่ารปู ทีอ่ ยู่ในตารางคือรูปอะไร โดยตารางเปรียบเสมือน กองเชียร์ท่นี ง่ั อยบู่ นอัฒจนั ทร์และสีทรี่ ะบายเปรยี บเสมือนป้ายท่ีนกั เรียนบนอฒั จันทร์ชูข้ึนเพ่ือแสดง ตวั อกั ษรหรือรูปตา่ ง ๆ 5. ครูถามนักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ว่านกั เรยี นที่น่ังอย่บู นอัฒจนั ทรก์ าลงั ชูป้ายเพ่ือแสดงตวั อักษรหรอื รปู อะไร และสุ่มถามนกั เรียน 1 กล่มุ วา่ นักเรียนใช้แนวคิดหรือวธิ กี ารใดในการแกป้ ญั หา 6. ครถู ามนักเรียนกลุม่ อนื่ ๆ ว่านักเรยี นมแี นวคิดหรือวธิ ีการแก้ปัญหาเหมือนหรอื แตกตา่ งกันกับเพ่ือน กลมุ่ ทแ่ี ล้วหรือไม่ หากมีกล่มุ ท่แี ตกตา่ ง ครใู หน้ ักเรยี นกล่มุ นนั้ อธบิ ายถึงความแตกต่าง 7. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ทากจิ กรรมเร่อื ง การใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในชีวิตประจาวนั โดยนกั เรียนแตล่ ะกลุม่ จะต้องหากิจกรรมที่มีปัญหาเกยี่ วขอ้ งกับชีวติ ประจาวันและใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแก้ปญั หามา 1 กจิ กรรม และให้นกั เรียนนาเสนอกิจกรรมในชัว่ โมงถัดไป โดยตอ้ งให้ เพือ่ นกลุม่ อน่ื รว่ มแก้ปญั หาในกจิ กรรมของกลุม่ เราดว้ ย มเี วลานาเสนอกล่มุ ละ 7-10 นาที
๑๖๓ ชว่ั โมงที่ 4 ขั้นสอน (50 นาที) ตรวจสอบผล 1. ครูบอกนักเรียนว่า จากชั่วโมงท่ีแล้วครูได้มอบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมเร่ือง การใช้เหตุผลเชิง ตรรกะในชีวิตประจาวนั ในช่ัวโมงน้ีครูจะให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอกิจกรรมและพาเพื่อนกลุม่ อนื่ ทากจิ กรรมของเราด้วย โดยครูใหเ้ วลาในการนาเสนอกลุ่มละ 7-10 นาที 2. ครูใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอและพาเพ่ือนทากิจกรรมเรื่องการใช้เหตุผลเชิงตรรกะใน ชีวิตประจาวนั 3. ครสู อบถามนกั เรยี นแต่ละกลมุ่ วา่ ชอบกจิ กรรมของกล่มุ ไหนมากทส่ี ุด และนอกจากกจิ กรรมท่ีกลมุ่ ของเรา หรือของเพอ่ื น ๆ นามาแล้ว นักเรยี นมปี ัญหาอ่นื ๆ ทีต่ อ้ งใชแ้ นวคิดเชงิ ตรรกะในการแก้ปญั หาอีกหรือไม่ ขน้ั สรปุ (10 นาท)ี ตรวจสอบผล 4. นักเรยี นและครรู ่วมกันสรปุ ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดเกยี่ วกับการแกป้ ัญหาด้วยเหตุผลเชิงตรรกะ เรือ่ งที่ 2 : แนวคดิ ในการแก้ปญั หา เวลา 4 ช่วั โมง วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) วิธีการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม เทคนคิ ตามแนวคดิ เชงิ คานวณ ข้นั นา (10 นาที) กระตุน้ ความสนใจ 1. ครูให้นักเรียนดูภาพจานวน 3 คู่ โดยเป็นภาพท่ีแสดงถึงแนวคิดการทางานแบบลาดับ 1 คู่ ภาพท่ี แสดงถึงแนวคิดการทางานแบบวนซ้า 1 คู่ และภาพท่ีแสดงถึงแนวคิดการทางานแบบเงื่อนไข 1 คู่ แตค่ รูไม่ตอ้ งบอกนักเรยี นว่าภาพแตล่ ะค่เู ป็นการทางานแบบใด ตวั อยา่ งภาพทแี่ สดงถงึ แนวคิดการทางานแบบลาดับ 1) ภาพการตกแต่งหน้าเค้ก โดยมีการอบขนมเค้ก > ทาครีมปิดเน้ือเค้ก > บีบครีมบนเค้ก > ใส่ ผลไม,้ คกุ กี้เพือ่ ตกแต่งหนา้ เค้ก 2) ภาพการซักผ้าโดยมีการเปิดน้าใส่กะละมัง > ใส่ผงซักฟอก > นาผ้าใส่ในกะละมังแล้วขยี้ผา้ > ล้างผ้าดว้ ยนา้ สะอาด > บดิ ผ้า > ตากผ้า ตัวอย่างภาพที่แสดงถึงแนวคดิ การทางานแบบวนซา้ 1) ภาพการรดน้าตน้ ไมจ้ านวนหลาย ๆ ตน้ โดยรดนา้ ตน้ ไม้ทลี ะตน้ จนหมด 2) ภาพการหยบิ หนังสือวางใสช่ ั้นวางหนงั สือ โดยหยิบหนังสือทลี ะเลม่ จนหมด ตัวอย่างภาพที่แสดงถึงแนวคิดการทางานแบบเงื่อนไข 1) ภาพการกรอกน้าส่ขวดโดยใชต้ ้นู ้าหยอดเหรียญ ท่ีมีปมุ๋ สีแดงใหก้ ดหยดุ น้า โดยตรวจสอบวา่ น้า เตม็ ขวดหรือยงั หากยังใหร้ อจนนา้ เต็มขวด หากเตม็ ขวดแล้วให้กดปมุ่ สีแดง
๑๖๔ 2) ภาพคนกาลังตรวจสอบแต้มสะสมในบัตรสมาชิก เพ่ือลดราคาสินค้า โดยหากมีแต้มจานวน หนึง่ จะได้รับส่วนลด 5% หากมแี ต้มอีกจานวนหนง่ึ จะไดร้ บั ส่วนลด 10% 2. ครูใหน้ กั เรียนพิจารณาว่า ภาพแตล่ ะคู่มอี ะไรที่ซ้ากัน และเปรียบเทียบภาพท้งั 3 คู่วา่ มีความแตกต่าง กันอยา่ งไร ขั้นสอน (50 นาท)ี สารวจคน้ หา 3. ครูถามคาถามประจาเรื่องในหนงั สือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 หนา้ 9 ว่าแนวคดิ ในการแก้ปัญหามีความสาคัญอย่างไร 4. นักเรียนศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้น เร่ืองแนวคิดการทางานแบบลาดับ ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 หน้า 9 เรื่องแนวคิดการ ทางานแบบเงื่อนไขในหนังสือเรียนหน้า 12 และเรื่องแนวคิดการทางานแบบวนซ้า ในหนังสือเรียน หนา้ 15 อธิบายความรู้ 5. ครูและนักเรียนร่วมกันตอบคาถามเกี่ยวกับเรื่องแนวคิดการทางานแบบลาดับตามที่นักเรียนได้ศึกษา มาแล้วในหนงั สอื เรียน ประเด็นคาถาม 1) หอ้ งของปมู ีองคป์ ระกอบอะไรบ้าง (คาตอบ: หน้าตา่ ง, ชน้ั วางของ, เตียงนอน และต้เู สอื้ ผา้ ) 2) ปกู าลังจะทาอะไร (คาตอบ: ทาความสะอาดหอ้ งนอน) 3) ปมู ขี นั้ ตอนในการทาความสะอาดห้องอย่างไร (กวาดหยากไย่บนเพดาน > ทาความสะอาดตู้ > เช็ดหนา้ ตา่ ง > ทาความสะอาดชน้ั วางของ > เปลี่ยนผ้าปทู ่นี อน > กวาดและถูพ้ืน) 4) เพราะเหตุใด ปูจึงเลือกทาความสะอาดในบริเวณท่ีอยู่สูงก่อน แล้วจึงไล่ลงมาบริเวณท่ีต่า ที่สุด (แนวคาตอบ: เพราะถ้าหากทาความสะอาดพื้น หรือสิ่งท่ีอยู่ข้างล่างก่อน แล้วไปทา ความสะอาดสิ่งท่ีอยู่สูงกว่า จะทาให้เศษฝุ่นหรือเศษขยะต่าง ๆ หล่นลงมาที่พ้ืน และต้องทา ความสะอาดพืน้ อกี รอบ) 5) หากปูไม่มีการวางแผน หรอื ไม่มีแนวคดิ ในการแก้ปัญหา จะเกิดอะไรขนึ้ (แนวคาตอบ: จะทา ใหก้ ารทางานซ้าซอ้ นและมหี ลายข้นั ตอนมากย่ิงขึ้น) 6. ครูถามนักเรียนเพมิ่ เติมอีกวา่ หากนักเรยี นตอ้ งทาความสะอาดห้องนอนของปู นักเรียนจะเรม่ิ ทาอะไร ก่อน เพราะเหตุใด มนี ักเรียนคนใดท่มี วี ธิ ีการทาความสะอาดแตกต่างจากปูบ้าง ครใู ห้นกั เรียนอธิบาย ถงึ ความแตกต่าง จากนั้นครบู อกกับนักเรียนว่าการแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งสามารถมีได้มากกว่า 1 วิธี ก็ได้ 7. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการทาความสะอาดห้องนอนของปู โดยได้ข้อสรุปร่วมกันว่าการ ทางานดังกล่าวเป็นการทางานท่ีมีลาดับก่อน-หลังอย่างชัดเจน โดยต้องทางานในขั้นแรกให้สาเร็จ ก่อน จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนถัดไปได้ ซึ่งการทางานในลักษณะน้ีเรียกว่า การทางานแบบลาดับ ซ่ึงเป็น แนวคดิ ในการแกป้ ญั หาแนวคิดหน่งึ
๑๖๕ 8. ครสู ุ่มนกั เรยี น 3-4 คน เพ่อื ถามคาถามท้าทายความคิดขั้นสูงในหนังสือเรียนหน้า 10 ว่า เพราะเหตุ ใด เราจึงไม่ควรใส่รองเท้าก่อนสวมเสื้อและกางเกง (แนวคาตอบ: เพราะหากใส่รองเท้าก่อน อาจจะ ทาใหเ้ ราใส่กางเกงไม่สะดวก และกางเกงอาจเป้อื นได้) 9. ครูและนักเรียนร่วมกนั ตอบคาถามเกีย่ วกับเรื่องแนวคิดการทางานแบบเงื่อนไขตามทน่ี ักเรียนไดศ้ ึกษา มาแล้วในหนังสอื เรียน ประเดน็ คาถาม 1) นักเรียนเคยสังเกตไหมว่า ถังขยะท่ีเราเคยเห็นอยู่ตามที่ต่าง ๆ มีหลายสี แต่ละสีมีความ แตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ: สีของถังขยะ บ่งบอกถึงประเภทของขยะที่ควรทิ้งลงไปใน ถังนนั้ เช่น ถังขยะสนี ้าเงนิ ต้องใสช่ ยะประเภทรีไซเคิล) 2) หากเรามีขยะประเภทเศษอาหาร เราควรทิ้งลงถงั ขยะสอี ะไรเพราะเหตใุ ด (แนวคาตอบ: ควร ท้ิงลงถังชยะใบสีเขียว เพราะเป็นถังที่ใส่ขยะแบบย่อยสลายได้ ซึ่งเศษอาหารเป็นขยะที่ย่อย สลายได้) 3) หากเราไม่ทราบหรือไม่เข้าใจเง่ือนไขในการทิ้งขยะ เราจะท้ิงขยะได้ถูกต้องตามประเภท หรือไม่ และหากเราทิ้งขยะผิดประเภท จะส่งผลอะไร (แนวคาตอบ: ไม่ถูกต้อง โดยหากท้ิง ขยะผิดประเภทจะส่งผลต่อความยากลาบากในการกาจัดขยะ และขยะที่มีพิษอาจจะไป ปนเปอ้ื นกับขยะทีส่ ามารถนาไปรีไซเคลิ ได)้ 10.ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ว่าการทางานในลักษณะน้ีเป็นการทางานแบบมีเงื่อนไข ซ่ึงเรา จะต้องเข้าใจเง่ือนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อน และต้องใช้เหตุผลเชิงตรรกะมาช่วยพิจารณาด้วย เพื่อให้ ไดค้ าตอบหรือผลลพั ธ์ตามเงื่อนไขที่กาหนด ชว่ั โมงที่ 2 ขั้นสอน (60 นาท)ี อธบิ ายความรู้ 1. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันทบทวนความรเู้ ดิมทีเ่ รียนในชว่ั โมงท่ีแลว้ ว่า เราไดร้ ู้จักแนวคดิ ในการแก้ปัญหา มาแล้ว 2 แนวคิด ได้แก่ แนวคิดการทางานแบบลาดบั และแนวคดิ การทางานแบบเงื่อนไข 2. ครแู ละนกั เรียนร่วมกันตอบคาถามเกย่ี วกับเร่ืองแนวคิดการทางานแบบวนซา้ ตามที่นักเรียนได้ศึกษา มาแลว้ ในหนงั สอื เรยี น ประเดน็ คาถาม 1) ให้นักเรียนดูภาพตัวอย่างแรกในหนังสอื เรียน แล้วพิจารณาว่า มีการเขียนแนวคิดแบบใด และมี ขนั้ ตอนทัง้ หมดเท่าไร (คาตอบ: แนวคิดแบบลาดับ/ 5 ข้นั ตอน) 2) นกั เรียนลองสงั เกตทภ่ี าพตวั อยา่ งอกี คร้ังวา่ มขี ้ันตอนใดทีซ่ า้ กนั หรือไม่ 3. ครูและนักเรียนร่วมกันถามตอบ จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่าในการทางานท่ีต้องทาหลายครั้งเหมือน ๆ กัน เราสามารถเขียนรวมเป็นข้ันตอนเดียวกันได้ ซ่ึงเราเรียกการทางานแบบนี้ว่าการทางานแบบวน ซา้ โดยการทางานแบบวนซ้ามี 2 แบบคือการทางานแบบวนซ้าท่ีมีจานวนครัง้ แน่นอน กับการทางาน แบบวนซ้าทมี่ จี านวนครง้ั ไม่แนน่ อน
๑๖๖ 4. ครูช้ีให้นักเรียนเห็นว่าตัวอย่างแรกเร่ืองการว่ิงแข่ง เป็นการทางานแบบวนซ้าท่ีมีจานวนครั้งแน่นอน เพราะมีการบอกจานวนรอบในการวิ่งท่ีแน่นอน จากนั้นครูยกตัวอย่างการทางานแบบวนซ้าที่มี จานวนครั้งไม่แน่นอน โดยให้นักเรียนดูภาพตัวอย่างการใช้ขันตักน้าเพื่ออาบน้า ในหนังสือเรียน รายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 หน้า 16 โดย ครูถามนักเรียนว่า โดยปกติแล้ว เวลาเราอาบน้าโดยใช้ขัน มีใครเคยนับจานวนครั้งที่เราตักน้าบ้าง หากเราไมไ่ ด้นับ เราจะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรว่าเราควรตอ้ งหยุดอาบน้า (แนวคาตอบ: จนกวา่ รา่ งกายจะสะอาด , จนกว่าจะพอใจ) 5. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่องการใช้ขันอาบน้าจนได้ข้อสรุปว่า การทางานในลักษณะน้ี เป็น แนวคิดการทางานแบบวนซ้าที่มีจานวนครั้งไม่แน่นอน โดยจะมีการทาซ้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมี เง่อื นที่สง่ั ให้หยดุ 6. ครูใหค้ วามรเู้ พมิ่ เตมิ เรื่องแนวคิดการทางานแบบวนซ้ากับนักเรียน ในมมุ Com Sci ตามหนงั สอื เรียน รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 หน้า 16 7. ครูมอบมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 หนา้ 11 เร่ืองการเรียงลาดับ ขัน้ ตอนการผูกเชอื กรองเท้า และหน้า 14 เร่อื งการทางานแบบเง่ือนไข เปน็ การบ้าน 8. หลงั จากทน่ี กั เรียนได้เรียนรู้แนวคิดครบท้ังหมดแล้ว ครแู ละนกั เรียนสรุปร่วมกนั อีกครั้งว่า แนวคิดใน การแก้ปัญหามที ัง้ หมด 3 รปู แบบ ไดแ้ ก่ - แนวคดิ การแก้ปัญหาแบบลาดับ - แนวคดิ การแก้ปญั หาแบบวนซ้า -แนวคดิ การแกป้ ัญหาแบบมีเงอื่ นไข 9. ครถู ามคาถามเช่ือมโยงไปถงึ รูปภาพ ท่ีเปดิ ใหน้ ักเรียนดูในต้นชัว่ โมงทีแ่ ล้วว่า แต่ละรปู ภาพใช้แนวคิด การทางานแบบใด 10. ครูนาใบงานที่ 1 เร่ืองต่อยอดการแก้ปัญหาเชิงตรรกะ ที่นักเรียนเคยได้ทาไว้ (ในแผนที่แล้ว) โดยนา วธิ ีการแก้ปัญหาเรอื่ งการตอบปัญหาภาษาองั กฤษทนี่ ักเรยี นได้เขียนไวม้ าฉายลงบนโปรเจกเตอร์ หรือ เขียนลงบนกระดาน เพ่ือให้นักเรียนพิจารณาว่า วิธีการแก้ปัญหาที่นกั เรียนเคยเขียน ใช้แนวคิดใดใน การแก้ปญั หา
๑๖๗ ตัวอย่างวิธีการแก้ปัญหาของนักเรียน เร่ืองการตอบปัญหาภาษาอังกฤษ โดยครูอาจเลือก ใบงานท่ีมีการเขยี นวธิ ีการแกป้ ญั หาท่ีดีหรอื สมบูรณท์ ี่สดุ มาใหน้ ักเรียนพิจารณา 11. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายว่าตัวอย่างที่ครูให้นักเรียนดู ได้ใช้แนวคิดใดบ้าง โดยได้ข้อสรุป รว่ มกันว่า ใช้แนวคดิ ทั้ง 3 แนวคดิ โดยข้อ 1-7 ใชแ้ นวคดิ การทางานแบบลาดับ โดยจะมีการทางาน แบบวนซ้าและมีเง่ือนไขซ่อนอยู่ น่ันคือข้อ 4, 5, 6 และ 7 ซ่ึงใช้แนวคิดการทางานแบบวนซ้าและ แบบมีเง่ือนไขผสมกัน เพราะ หากตรวจสอบข้อความในข้อ 6 แล้วพบว่ายังได้คาตอบ ไม่ครบ จะต้องวนซ้ากลับไปท่ีข้อ 4 และ 5 เพ่ืออ่านเงื่อนไข และตัดสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ออกอีกคร้ัง และวนซ้า ไปเรอื่ ย ๆ จนกว่าจะไดค้ าตอบครบ (แนวคาตอบอ่นื ๆ ขน้ึ อยกู่ บั ตวั อยา่ งท่คี รูยกมาให้เดก็ พจิ ารณา) 12. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 17 เรอ่ื งการทางานแบบวน ซ้า และแบบฝึกหัดเรื่อง แนวคิดในการแก้ปัญหา ในแบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 6 เป็นการบ้าน เพ่ือทบทวนความรู้ ท่ีได้เรียนมาท้งั หมด ช่วั โมงที่ 3 ขั้นสอน (60 นาที) ขยายความรู้ 1. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั ทบทวนความรูเ้ ดมิ ที่เคยเรยี นในชวั่ โมงทแี่ ล้ว เร่อื งแนวคดิ ในการแก้ปัญหา 2. ครถู ามนักเรียนว่า ในชวี ติ ประจาวนั ของนกั เรียนมีกจิ กรรมใดบ้าง ทส่ี ามารถอธบิ ายโดยใชแ้ นวคิดการ ทางานแบบตา่ ง ๆ ได้ (แนวคาตอบ: การเดินทางไปโรงเรียนดว้ ยรถยนต์ แล้วรถติดอยทู่ ่ี 4 แยก โดยมี
๑๖๘ สญั ญาณไฟจราจร 3 สี คือ แดง เหลือง เขยี ว ซ่ึงเราจะต้องทราบเงอ่ื นไขก่อนว่าแต่ละสหี มายถึงอะไร แล้วจงึ ทาตามเงอื่ นไขนนั้ ได)้ 3. ครบู อกนกั เรียนว่า วนั นีค้ รจู ะใหน้ กั เรยี นตามตดิ ชวี ติ ของลุงคนหนึ่ง เขามชี ือ่ ว่าลงุ พล เรามาดูกันดีกว่า ว่าใน 1 วัน ลุงพลต้องทาอะไรบ้าง แล้วให้นักเรียนช่วยวิเคราะห์ว่ามีช่วงใดบ้าง ที่เราสามารถใช้ แนวคดิ การทางานแบบต่าง ๆ ในการอธิบายได้ 4. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 3-4 คน จากน้ันครูอ่านสถานการณ์ในกิจกรรมฝึกทักษะที่ 3 ในแบบฝึกหัด รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 หน้า 14 ให้ นกั เรียนฟังและให้นกั เรียนนกึ ภาพตาม 5. ครถู ามนกั เรียนว่าจากสถานการณ์ที่ครอู ่านให้ฟัง มชี ว่ งใดบ้างทส่ี ามารถใช้แนวคิดการทางานแบบต่าง ๆ ในการอธบิ ายได้ โดยครใู หน้ ักเรยี นในกลุม่ ช่วยกนั วิเคราะหแ์ ละเขียนตอบลงในแบบฝึกหดั 6. ครูเรียกนักเรียนแต่ละกลุ่มให้ออกมานาเสนอหน้าชั้นเรียนว่า สามารถใช้แนวคิดแบบต่าง ๆ อธิบาย เหตุการณ์ในชว่ งใดได้บ้าง และลงขอ้ สรุปร่วมกนั ตรวจสอบผล 7. ครูถามนักเรียนว่า แล้วในชีวิตประจาวันของนักเรียน มีเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใดบ้าง ท่ีสามารถ ใชแ้ นวคดิ การทางานแบบตา่ ง ๆ ในการอธิบายได้ 8. ครูใหน้ ักเรยี นทากิจกรรมเร่ือง แนวคดิ การทางานแบบตา่ ง ๆ ทใ่ี ช้อธิบายสถานการณใ์ นชวี ิตประจาวัน โดยครูใหน้ ักเรยี นระดมความคดิ ร่วมกันภายในกลุ่ม และให้นักเรยี นแตล่ ะคนร่วมกนั เสนอสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ในชีวิตประจาวันของตนเอง และช่วยกันเลือกเหตุการณ์หรือสถานการณ์ท่ีดีที่สุดของ กลุ่มเพอ่ื มานาเสนอหนา้ ช้ันเรียน โดยแตล่ ะกล่มุ ห้ามใชเ้ หตกุ ารณ์หรือสถานการณท์ ่ซี า้ กัน 9. ครูแจกกระดาษฟลิปชาร์ท และปากกาสีต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนช่วยกันวาดภาพหรือเขียนข้อความ เพื่ออธิบายเหตุการณ์หรือสถานการณ์นั้น ๆ หากทาไม่ทันในช่ัวโมงนี้ ให้นักเรียนนากลับไปทาเป็น การบา้ น และนาเสนอในช่ัวโมงถัดไป ชั่วโมงท่ี 4 ขัน้ สอน (40 นาท)ี 1. ครูบอกนักเรียนว่า จากชั่วโมงที่แล้วครูได้มอบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมเร่ือง แนวคิดการ ทางานแบบตา่ ง ๆ ท่ีใชอ้ ธบิ ายสถานการณใ์ นชวี ิตประจาวัน ในชัว่ โมงน้คี รูจะให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มนา กระดาษท่ีได้วาดรูปหรือเขียนไว้ ออกมานาเสนอโดยต้องอธิบายถึงแนวคิดต่าง ๆ ให้ชัดเจน โดยครู ให้เวลาในการนาเสนอกล่มุ ละ 7-10 นาที 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอกิจกรรมเร่ือง แนวคิดการทางานแบบต่าง ๆ ที่ใช้อธิบาย สถานการณใ์ นชวี ติ ประจาวัน 3. ครูสอบถามนกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ว่า สถานการณข์ องกล่มุ ใด ทมี่ ีการนาแนวคดิ ในการแกป้ ญั หาแบบต่าง ๆ มาอธิบายได้ชัดเจนที่สุด และนอกจากสถานการณ์ของกลุ่มเราหรือของเพ่ือน ๆ แล้ว ยังมี สถานการณอ์ ืน่ ๆ อกี หรือไม่
๑๖๙ ขนั้ สรปุ (20 นาท)ี 1. ครูใหน้ ักเรียนตรวจสอบตนเองจากการเรยี นเนื้อหาในหน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 เรื่องการแกป้ ัญหาโดยใช้ เหตผุ ลเชงิ ตรรกะ ในหนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) หนว่ ย การเรยี นรู้ท่ี 1 หนา้ 18 2. ครูและนักเรียนสรุปความรู้ประจาหน่วยร่วมกัน โดยดูแผนผังสรุปสาระสาคัญท้ายหน่วย ในหนังสือ เรียนรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 หนา้ 19 3. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้ ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 หนา้ 20-21 เปน็ การบ้าน 4. ครูมอบหมายงานใหน้ ักเรยี นทาชน้ิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เปน็ การบา้ น 5. ครใู ห้นกั เรียนเลน่ เกมทางของฉนั ในกิจกรรมเล่นเกมกบั Com Sci ตามหนังสอื เรยี นรายวชิ าพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 หนา้ 18 6. ครใู ห้นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรียน 8. ส่อื /แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สอ่ื การเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง การแกป้ ัญหาโดยใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ 2) หนงั สือแบบฝกึ หดั รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การแก้ปญั หาโดยใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะ 3) ใบงานท่ี 1.1.1 เรื่อง ต่อยอดการแกป้ ัญหาด้วยเหตุผลเชงิ ตรรกะ 4) วีดทิ ศั นเ์ รือ่ งการแปลอักษรจาก https://www.youtube.com/watch?v=M4xp926Q4O8 8.2 แหล่งการเรยี นรู้ 1) ห้องคอมพิวเตอร์ 2) อนิ เทอร์เน็ต
๑๗๐ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เร่ือง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอยา่ งง่าย รายวิชา ว 16101(วทิ ยาการคานวณ) กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 ผสู้ อน.................................................................... เวลา 16 ชว่ั โมง โรงเรยี นอนุบาลตราด 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชีว้ ัด ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชิงคานวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวิตจรงิ อย่างเป็นข้นั ตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางานและการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ร้เู ทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม ป.6/2 ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย เพอ่ื แก้ปญั หาในชีวติ ประจาวัน ตรวจหาขอ้ ผิดพลาดของ โปรแกรมและแก้ไข 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 1) การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้โดยเขียนเป็นข้อความหรือผงั งาน 2) การออกแบบโปรแกรมทีม่ กี ารใชต้ วั แปร การวนซา้ การตรวจสอบเงื่อนไข 3) หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทางานทลี ะคาสั่ง เม่ือพบจดุ ทีท่ าให้ผลลพั ธ์ไมถ่ ูกตอ้ ง ใหท้ าการแกไ้ ขจนกว่าจะไดผ้ ลลพั ธ์ทถี่ กู ต้อง 4) การฝกึ ตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู้อื่นจะชว่ ยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปญั หา ไดด้ ยี ิ่งขึ้น 5) ตัวอยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรมหาค่า ค.ร.น. เกมฝึกพิมพ์ 6) ซอฟต์แวรท์ ่ใี ชใ้ นการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch, logo 2.2 สาระการเรยี นรู้ท้องถิ่น - 3. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด การออกแบบโปรแกรม เปน็ การอธิบายการทางานของโปรแกรมอยา่ งเป็นลาดับขัน้ ตอน โดย การออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดท้ ง้ั การเขียนข้อความ และการเขยี นผังงาน การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขียนข้อความ เป็นการอธิบายการทางานของโปรแกรมท่ีใช้ ภาษาพูดทเี่ ข้าใจง่าย การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขยี นผงั งาน เปน็ การอธิบายการทางานของโปรแกรมด้วยการ ใช้สญั ลักษณแ์ ทนความหมายตา่ ง ๆ แนวคิดการเขียนผังงาน (Flowchart) มีหลกั การง่าย ๆ 3 ข้อ คือ 1. การทางานแบบลาดับ 2. การทางานแบบทางเลอื ก 3. การทางานแบบทาซ้า โปรแกรม Scratch เป็นโปรแกรมภาษาคอมพวิ เตอร์ มีลกั ษณะเป็นบล็อกโปรแกรม (block) นามาต่อกัน เพอื่ สรา้ งรหัสคาส่งั (Code) เพือ่ ส่ังให้โปรแกรม Scratch ทางานตามทไ่ี ดเ้ ขียนโปรแกรมไว้ สามารถ นามาใช้ พฒั นาซอฟต์แวร์เชงิ สร้างสรรค์ โดยต้องกาหนดตวั แปร เขียนโปรแกรมอย่างมีเงื่อนไข เขียน โปรแกรมแบบวน ซา้ และเขยี นโปรแกรมหาค่า ค.ร.น.
๑๗๑ การตรวจหาข้อผดิ พลาดของโปรแกรม ในการเขยี นโปรแกรมใด ๆ หากมีขอ้ ผิดพลาดเกิดขน้ึ หรอื โปรแกรมไม่เป็นไปตามความตอ้ งการ จะต้องตรวจสอบข้อผิดพลาดท่เี กิดขึ้น โดยการตรวจสอบการ ทางานทลี ะคาส่ัง เม่ือพบจดุ ที่ทาใหโ้ ปรแกรมไมเ่ ปน็ ไปตามต้องการให้แก้ไขข้อผดิ พลาดน้ัน จนกวา่ จะได้ โปรแกรมตามท่ตี ้องการ 4. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียนและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มวี ินัย 2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน 4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 5. ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรื่อง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย 6. การวดั และการประเมนิ ผล รายการวัด วิธวี ัด เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ ประเมินตามสภาพจรงิ 6.1 การประเมนิ ก่อนเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรียน กอ่ นเรยี น กอ่ นเรียน หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรอื่ ง การออกแบบและ เขยี นโปรแกรมอย่างง่าย 6.2 การประเมินระหว่างการจัด - ตรวจแบบฝึกและ - แบบประเมนิ การทา ระดบั คุณภาพ 2 แบบฝกึ หดั และ ผ่านเกณฑ์ กิจกรรม กิจกรรมฝกึ ทกั ษะ กจิ กรรมฝึกทักษะ ระดับคุณภาพ 2 1) การออกแบบโปรแกรม - ประเมนิ การ - แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ การนาเสนอกล่มุ ด้วยการเขยี นข้อความ นาเสนอ ระดับคุณภาพ 2 - แบบประเมินการทา ผา่ นเกณฑ์ 2) การออกแบบโปรแกรม - ตรวจแบบฝึกและ แบบฝกึ หัดและ ด้วยการเขยี นผังงาน กิจกรรมฝกึ ทักษะ กจิ กรรมฝึกทกั ษะ - ประเมนิ การ - แบบประเมนิ นาเสนอ การนาเสนอกลมุ่ 3) การเขียนโปรแกรมดว้ ย - ตรวจแบบฝกึ และ - แบบประเมนิ การทา Scratch กิจกรรมฝกึ ทักษะ แบบฝกึ หัดและ กจิ กรรมฝึกทกั ษะ - ประเมนิ การ นาเสนอ
๑๗๒ รายการวัด วธิ วี ัด เคร่อื งมอื เกณฑ์การประเมนิ 4) วธิ กี ารตรวจหา - ตรวจแบบฝึกและ - แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2 ขอ้ ผิดพลาดของ กิจกรรมฝึกทกั ษะ การนาเสนอกลมุ่ ผ่านเกณฑ์ โปรแกรม - ประเมินการ - แบบประเมินการทา ระดบั คุณภาพ 2 นาเสนอ แบบฝึกหัดและ ผ่านเกณฑ์ กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ 5) คุณลกั ษณะ - สังเกตความมีวนิ ยั อันพงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และม่งุ ม่ัน - แบบประเมนิ ในการทางาน การนาเสนอกลมุ่ 6.3 การประเมินหลังเรียน 1) แบบทดสอบหลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบประเมิน หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 หลงั เรยี น คณุ ลักษณะ เร่ือง การออกแบบและ อันพงึ ประสงค์ เขียนโปรแกรมอย่างง่าย - แบบทดสอบ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ หลงั เรียน 2) การประเมนิ ชนิ้ งาน/ - ตรวจชนิ้ งาน/ - แบบประเมินชิ้นงาน/ - ระดับคณุ ภาพ 2 ภาระงาน (รวบยอด) ภาระงาน (รวบยอด) ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์ เร่ือง การออกแบบและ เขียนโปรแกรมอย่างงา่ ย 7. กิจกรรมการเรยี นรู้ นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง การออกแบบและเขียนโปรแกรมอยา่ งง่าย เร่อื งท่ี 1 : การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขียนข้อความ เวลา 2 ช่วั โมง รปู แบบการสอนแบบการอภิปราย เทคนิคตามแนวคิดเชงิ คานวณ ขน้ั นา (10 นาท)ี 1. ครูนาเข้าสู่บทเรียนโดยถามนักเรียนว่า ในตอนเช้านักเรียนมีขั้นตอนการแปรงฟันอย่างไรบ้าง ให้ นักเรยี นคดิ และสุ่มถามใหน้ ักเรยี น 1-2 คน ตอบคาถาม 2. ครูสนทนากับนักเรียนว่า นักเรียนรู้ไหมว่านักเรียนสามารถอธิบายขั้นตอนการแปรงฟันด้วยการเขียน ข้อความเปน็ ข้นั ตอนเพือ่ ให้เขา้ ใจงา่ ยขึ้นได้ 3. ครูให้นักทากิจกรรมลองทาดู ในแบบฝึกหัดรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 หน้า 20 เพือ่ เปน็ การทบทวนความรู้เดมิ
๑๗๓ 4. ครูถามคาถามประจาหน่วย ในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้า 22 กับนักเรียนว่า ทาไมจึงต้องมีการออกแบบและตรวจสอบการทางาน ของโปรแกรมอยู่เสมอ โดยครูให้เขียนคาถามนี้ไว้ในสมุดก่อน เม่ือเรียนครบทุกเร่ืองในหน่วยน้ีแล้ว ค่อย กลบั มาตอบอีกครั้ง 5. ครูถามคาถามประจาเรื่อง ในหนังสือเรียนหนังสือเรียนหน้า 23 กับนักเรียนว่า การออกแบบโปรแกรมมี ประโยชนอ์ ย่างไร (แนวคาตอบ: การออกแบบโปรแกรมจะช่วยอธบิ ายการทางานของโปรแกรมได้อยา่ งเป็นลาดบั ข้ันตอน) ข้นั สอน (50 นาที) 1. ครูอธิบายการออกแบบโปรแกรมดว้ ยการเขยี นข้อความ ตามเนือ้ หาในหนังสือเรยี นรายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 หน้า 23 เรอื่ ง การออกแบบ โปรแกรมดว้ ยการเขยี นข้อความ โดยยกตวั อย่างการออกแบบโปรแกรมแสดงขั้นตอนการทางานของพัด ลมตามหนงั สือเรยี น และตวั อย่างเหตุการณ์ในชีวิตประจาวันประกอบ 2. ครูใหน้ ักเรยี นแบ่งกล่มุ 3-4 คน เพือ่ ทากิจกรรม ในแบบฝกึ หัดรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 หนา้ 21 ข้อท่ี 1 โป้ช่วยแมล่ ้างจาน 3. ครูถามนักเรียนวา่ นักเรียนคนใดลา้ งจานเองบา้ ง หรอื นักเรยี นคนใดเคยชว่ ยคณุ พ่อคณุ แม่ล้างจานบา้ ง จากนน้ั ครูให้นักเรยี นหารอื รว่ มกนั ภายในกลมุ่ ถงึ ข้ันตอนการล้างจานว่าตอ้ งทาอยา่ งไรบ้าง 4. ครูให้นักเรียนเขยี นขน้ั ตอนการล้างจานลงในแบบฝกึ หัด เมื่อทาเสรจ็ แลว้ ใหแ้ ลกเปลี่ยนกับเพ่ือนกลุ่มอน่ื เพอื่ ดวู ่าเพ่ือนเขา้ ใจขนั้ ตอนที่เราเขียนไว้หรอื ไม่ มีการข้ามขั้นตอนใดไปหรอื ไม่ 5. ครสู ุ่มถามนักเรยี น ถึงขนั้ ตอนท่นี กั เรียนออกแบบจากสถานการณ์ที่กาหนดใหใ้ นแบบฝึกหัด ว่าแต่ละคน เขยี นขน้ั ตอนจากสถานการณ์ที่กาหนดให้ได้ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร 6. ครูและนกั เรียนรว่ มกันวิเคราะห์ลาดับขัน้ ตอนของโปรแกรมที่แต่ละกลุ่มออกแบบ วา่ มีกลมุ่ ในที่เขยี น ขัน้ ตอนออกมาแตกต่างกนั บ้าง แลว้ ผลลพั ธ์ทีไ่ ดเ้ หมือนกันหรอื ไม่ อย่างไร 7. ครูมอบหมายการบ้านกจิ กรรม Com Sci ในหนังสอื เรียนรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 หนา้ 24 ให้นกั เรียนพิจารณาสถานการณ์ท่ีกาหนดให้ แล้ว อธบิ ายการทางานเป็นข้อความ ชว่ั โมงท่ี 2 ขัน้ สอน (50 นาที) 1. ครทู บทวนความร้เู ดิมทเี่ รียนในช่วั โมงทีแ่ ล้ว (เฉลยการบา้ นกิจกรรม Com Sci ในหนงั สือเรียนรายวชิ า พนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 หนา้ 24 เรอื่ ง การเขยี น โปรแกรมอยา่ งง่าย โดยสุม่ นักเรียน 1-2 คน เพ่อื ใหน้ ักเรียนนาเสนอขั้นตอนที่ได้ออกแบบมา โดยใหเ้ พื่อน ๆ ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง และชว่ ยเพิ่มเตมิ ข้อมูลท่ียงั ไม่ครบถว้ น) 2. ครใู ห้นกั เรยี นจับกลุ่ม 3-4 คน เพอื่ ทากจิ กรรมในแบบฝึกหดั รายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หนา้ 22 ข้อที่ 2 ปูกาลงั รอข้ามถนนตรงทางมา้ ลาย
๑๗๔ 3. ครูถามนักเรยี นวา่ นกั เรียนเคยขา้ มถนนที่ทางมา้ ลายหรอื ไม่ เมื่อวานนักเรียนได้ลองเขยี นขนั้ ตอนการล้าง จานด้วยการเขียนข้อความไปแล้ว วันนีค้ รจู ะใหน้ กั เรยี นเขียนขน้ั ตอนการขา้ มถนนที่ทางม้าลายกันบา้ ง จากนัน้ ครใู ห้นักเรยี นหารือรว่ มกนั ภายในกลมุ่ ถงึ ขน้ั ตอนการข้ามถนนดว้ ยทางมา้ ลายว่าต้องทาอยา่ งไร บ้าง 4. ครูให้นกั เรียนเขียนขั้นตอนการขา้ มถนนดว้ ยทางมา้ ลายลงในแบบฝึกหัด เมื่อทาเสร็จแล้วใหแ้ ลกเปลี่ยน กบั เพ่ือนกล่มุ อื่น เพอ่ื ดวู า่ เพือ่ นเข้าใจขั้นตอนทเ่ี ราเขียนไว้หรือไม่ มีการข้ามข้ันตอนใดไปหรือไม่ 5. ครสู ุ่มถามนักเรยี น ถึงข้นั ตอนทีน่ กั เรียนออกแบบจากสถานการณท์ ่ีกาหนดให้ในแบบฝึกหัด วา่ แต่ละกลมุ่ เขยี นขนั้ ตอนจากสถานการณ์ท่ีกาหนดให้ไดถ้ ูกต้องหรอื ไม่ อย่างไร ครแู ละนักเรียนรว่ มกันวิเคราะห์ลาดบั ข้ันตอนของโปรแกรมท่ีแตล่ ะกลุม่ ออกแบบ ตรวจสอบและชแ้ี นะลาดบั ขน้ั ให้ถูกต้องและมีประสทิ ธิภาพ สงู สดุ ข้ันสรปุ (10 นาที) 1. ครูบอกนักเรยี นว่า การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขียนขอ้ ความ เปน็ การอธบิ ายการทางานของโปรแกรม ที่ใช้ภาษาพูดที่เข้าใจง่าย การออกแบบโปรแกรมทาได้ทั้งการเขียนข้อความและการเขียนผังงาน ซ่ึงจะ เรียนในเรือ่ งต่อไป 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายประโยชน์ของการออกแบบโปรแกรมด้วยการเขียนข้อความพร้อมทั้ง ยกตัวอย่างการนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน เรือ่ งที่ 2 : การออกแบบโปรแกรมด้วยการเขียนผงั งาน เวลา 2 ชว่ั โมง รปู แบบการสอนแบบการอภิปราย เทคนคิ ตามแนวคิดเชิงคานวณ ขน้ั นา (10 นาท)ี 1. ครูทบทวนความรูเ้ ดมิ จากคาบทแี่ ลว้ วา่ การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้ดว้ ยการเขยี นข้อความ 2. ครูเช่ือมโยงเข้าสู่บทเรียนโดยอธิบายให้นักเรียนเห็นถึงความสาคัญของการออกแบบการทางานก่อนการ เขยี นโปรแกรม ว่ามีอะไรบ้าง ขน้ั สอน (50 นาที) 3. ครูอธิบายรายละเอียดข้ันตอนการออกแบบโปรแกรมโดยใช้วิธีการต่าง ๆ และบอกนักเรียนว่าวิธีการ ออกแบบโดยผังงานเป็นวิธีท่ีนิยมท่ีสุด เพราะสามารถอธิบายการทางานต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและเป็น ระบบ แล้วให้นักเรียนเริ่มศึกษาสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในผังงาน ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 หน้า 25 เรื่อง การออกแบบโปรแกรมดว้ ยการ เขียนผงั งาน 4. ครูให้นักเรียนดูตัวอย่างผังงานแบบต่าง ๆ 2-3 ตัวอย่าง โดยครูเตรียมตัวอย่างข้ึนเอง และดูตัวอย่างจาก หนังสือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 2 หน้า 26 โดยเริ่มจากง่ายไปยาก และอธิบายความหมายของสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามลาดับ และคอยสอบถาม ความเข้าใจ
๑๗๕ 5. ครูนาตัวอย่างผังงานที่ได้สอนแสดงข้ึนหน้าห้องเรียน และสุ่มนักเรียนขึ้นมา ตอบคาถามเก่ียวกับส่วนต่าง ๆ และข้ันตอนของผังงานคนละข้อ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ และเพิ่มเติมในส่วนที่นักเรียนยังตอบได้ไม่ ชัดเจน 6. ครูบอกนักเรียนว่าในครั้งก่อน เราได้ออกแบบขั้นตอนการล้างจานด้วยข้อความไปแล้ว ในคร้ังนี้เราจะมา ลองเขียนข้ันตอนการลา้ งจานโดยผังงานกนั บา้ ง 7. ครูให้นักเรียนออกแบบผังงาน จากการเขียนขั้นตอนโป้ช่วยแม่ล้างจาน ในแบบฝึกหัดรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้า 23 โดยครูเช่ือมโยงให้เห็น ขอ้ ดขี องการเขยี นข้ันตอนการทางานโดยการออกแบบผงั งาน เทยี บกับการอธิบายเปน็ ข้อความ 8. ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง วิเคราะห์ลาดับข้ันตอนของโปรแกรมที่นักเรียนออกแบบ จากนัน้ สรุปและอธิบายเพมิ่ เตมิ ในสว่ นทีย่ ังมีขอ้ บกพรอ่ งอยู่ ชว่ั โมงที่ 2 ขัน้ สอน (50 นาท)ี 1. ครูให้นักเรียนทากิจกรรม ในแบบฝึกหัดรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 หน้า 24-27 แลว้ เขียนข้นั ตอนวธิ กี ารออกแบบโดยผังงาน 2. ครูให้นักเรียนจับกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน และให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทากิจกรรมฝึกทักษะที่ 1 เร่ือง ชีวิตที่ง่ายข้ึน ในแบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 หนา้ 37 โดยให้นักเรียนร่วมกนั พิจารณาปัญหาในชีวิตประจาวันของนกั เรียนใน กลุ่ม และเลือกมา 1 ปัญหา พร้อมเขียนผังงานลงในกระดาษฟลิปชาร์ท ภายในเวลา 10 นาที หลังจากนั้นให้ออกมานาเสนอผลงานหน้าช้ันเรียน พร้อมทั้งบอกประโยชน์ของการออกแบบ โปรแกรมด้วยการเขียนผังงาน โดยเพ่ือนร่วมชั้นเรียนคอยตรวจสอบความถูกต้องและครูคอยอธิบาย เพิม่ เตมิ ในส่วนทยี่ งั มีขอ้ บกพร่องอยู่ จากนัน้ ให้นักเรยี นตรวจสอบ แก้ไข ส่งท้ายคาบเรยี น ขั้นสรุป (20 นาท)ี 1. ครูมอบหมายการบ้านกิจกรรม Com Sci ในหนังสอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 หน้า 27 ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาสถานการณ์ท่ีกาหนดให้ แล้ว เขียนผังงานอธบิ ายการทางานของโปรแกรม เรื่องที่ 3 : การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Scratch เวลา 8 ชั่วโมง รูปแบบการสอนแบบการอภิปราย เทคนิคตามแนวคดิ เชงิ คานวณ ขั้นนา (10 นาท)ี 1. ครูสอบถามนักเรยี นว่า นกั เรียนเคยใชง้ านโปรแกรม Scratch หรือไม่ ถ้ามีนกั เรียนคนใดเคยใชง้ าน ให้ นักเรียนออกมาเล่าใหเ้ พ่ือนในชั้นฟังวา่ ใชง้ านอย่างไร 2. ครถู ามคาถามประจาเรื่องในหนังสือเรียน หนา้ 28 กับนักเรยี นว่า การเขยี นโปรแกรมมีประโยชน์อย่างไร เปน็ การกระตุน้ ให้นักเรยี นเกิดความสนใจ
๑๗๖ ข้ันสอน (50 นาที) 3. ครูอธิบายเร่ืองการกาหนดตัวแปร ว่ามีความสาคัญในการเขียนโปรแกรม เพราะเป็นการกาหนดค่าของ ข้อมลู เข้า การระบคุ า่ ข้อมูล เพือ่ นามาใช้ในการประมวลผลของโปรแกรมตามเงื่อนไข 4. ครูให้นักเรียนเปิดโปรแกรม Scratch และทดลองเขียนโปรแกรมท่ีมีการกาหนดตัวแปร ตามตัวอย่างใน หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง การเขียนโปรแกรมอย่างง่าย หน้า 28-31 โดยเป็นตัวอย่างการเขียนโปรแกรมคานวณเศษเหลือจากการ หาร 5. ครอู ธบิ ายข้นั ตอนการทางานโปรแกรมภาษา Scratch ตามตัวอย่างทลี ะข้ันตอน 6. ครใู ห้นักเรยี นอา่ นมมุ Com Sci จากหนังสอื เรียนหนา้ 30 เพือ่ ศกึ ษาความร้เู พิ่มเติมเรอื่ งเศษเหลอื จากการ หาร 7. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปการทางานของโปรแกรมทีละข้ันตอน ว่าโปรแกรมมีหลักการทางาน อยา่ งไร รวมทง้ั ตรวจสอบการทางานและแก้ไขข้อผิดพลาดทเี่ กิดขึน้ 8. ให้นักเรียนพิจารณาสถานการณ์ที่กาหนดให้ จากกิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียน รายวิชา พ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง การเขียนโปรแกรม อย่างงา่ ย หน้า 32 ใหไ้ ปทาเปน็ การบ้านและมานาเสนอในช่ัวโมงถัดไป ชัว่ โมงท่ี 2 ข้นั สอน (60 นาที) 1. ครูและนักเรียนทบทวนความรู้เดิม จากกิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เร่ือง การเขียนโปรแกรมอย่าง ง่าย หน้า 32 ที่ให้ไปทาเป็นการบ้านว่าโปรแกรมมีหลักการทางานอย่างไร ตรวจสอบความถูกต้อง และแลกเปล่ียนแนวความคดิ กันในชนั้ เรยี น 2. ครูให้นกั เรยี นถามนา้ หนกั ของเพื่อนท่ีอย่ใู กล้ ๆ จานวน 5 คน จากนั้นครถู ามนกั เรยี นวา่ นกั เรยี นหา คา่ เฉลย่ี ของเพอ่ื น ๆ ท้ัง 5 คนไดห้ รอื ไม่ 3. ครูทบทวนวิธหี าคา่ เฉลย่ี ให้นักเรยี นฟงั 4. ครูให้นกั เรยี นเปิดแบบฝึกหดั รายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ย การเรยี นรู้ที่ 2 เรื่อง การกาหนดตัวแปร หน้า 28 โดยใหน้ กั เรยี นเขียนออกแบบโปรแกรมรับขอ้ มูล นา้ หนกั ของเพ่ือน 5 คน แล้วหาค่าเฉลี่ยของน้าหนัก 5. ครูใหน้ กั เรยี นออกแบบโปรแกรมโดยการเขียนผงั งานลงในแบบฝกึ หัดก่อน จากนนั้ จึงเรม่ิ เขียน โปรแกรม 6. ครสู ุ่มนักเรยี น 2-3 คน เพื่ออธบิ ายการทางานของโปรแกรมของตนเอง และสอบถามเพ่ือน ๆ ว่ามี ขนั้ ตอนการทางานแตกต่างจากเพ่ือนหรือไม่ อย่างไร 7. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปการทางานของโปรแกรม ทีละขั้นตอน ว่าโปรแกรมมีหลักการ ทางานอย่างไร รวมท้งั ตรวจสอบการทางานและแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดทเี่ กิดข้ึน
๑๗๗ ช่วั โมงท่ี 3 ขั้นสอน (60 นาที) 8. ครูอธบิ ายการเขยี นโปรแกรมแบบมีเง่ือนไขวา่ เป็นการเขียนโปรแกรมทส่ี ร้างเงื่อนไขการทางานตาม เงื่อนไขทร่ี ะบุไว้ 9. ครใู ห้นักเรียนดูตัวอย่างโปรแกรมทีม่ ีการทางานแบบมเี งือ่ นไข ในหนังสือรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 เรอื่ ง การเขยี นโปรแกรมแบบมีเงอ่ื นไข หน้า 33-36 โดยตวั อยา่ งเป็นโปรแกรมตรวจสอบคะแนนสอบวา่ สอบผา่ นหรอื ไม่ 10.ครอู ธบิ ายการออกแบบโปรแกรมจากผังงานแสดงขัน้ ตอนการตรวจสอบคะแนนสอบ ในหนงั สือเรยี น รายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 เร่อื ง การ เขยี นโปรแกรมแบบมเี ง่ือนไข หน้า 34-36 จากนนั้ ใหน้ ักเรียนเขียนโปรแกรมตรวจสอบตามตัวอยา่ ง 11.ให้นกั เรยี นพจิ ารณาสถานการณท์ ่กี าหนดใหใ้ นใบงานที่ 2.3.1 เร่อื งช่วยพอ่ ค้าคิดราคา จากน้นั ให้ นกั เรียนเร่มิ จากการออกแบบผงั งานเพ่ือแสดงวิธกี ารแก้ปัญหาของสถานการณก์ ่อน จากน้ันใช้ โปรแกรมภาษา Scratch ในการเขยี นโปรแกรม รวมทงั้ ตรวจสอบการทางานและแก้ไขข้อผิดพลาดท่ี เกดิ ขึน้ 12.ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรยี นทาฝกึ ทักษะ Com Sci ในหนังสือเรยี น รายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย หน้า 37 เป็นการบา้ น ชว่ั โมงท่ี 4 ขน้ั สอน (60 นาที) 1. ครูใหน้ กั เรยี นเปดิ แบบฝึกหดั รายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการ เรียนร้ทู ่ี 2 เร่อื ง การเขียนโปรแกรมแบบมเี ง่ือนไข หน้า 31-32 2. ครใู หน้ กั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 3-4 คน หรอื ตามความเหมาะสม ครูอธิบายสถานการณ์ในแบบฝึกหดั เรื่อง โปรแกรมตัดเกรด และเชื่อมโยงให้นักเรียนฝึกเขียนโปรแกรม โดยเร่ิมจากการออกแบบผังงานเพื่อแสดง วิธีการแก้ปัญหาของสถานการณ์ก่อน จากน้ันใช้โปรแกรมภาษา Scratch ในการเขียนโปรแกรม รวมท้ัง ตรวจสอบการทางานและแกไ้ ขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น 3. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาอภิปรายสรุปการทางานของโปรแกรม ทีละขั้นตอน ว่าโปรแกรมมี หลักการทางานอย่างไร แต่ละกลุ่มมีวิธีการออกแบบเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร รวมท้ังร่วมกันตรวจสอบ การทางานและแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดท่ีเกดิ ขึน้ ชั่วโมงที่ 5 ขน้ั สอน (60 นาที) 1. ครพู ดู ถึงการเขียนโปรแกรมว่าเม่อื นักเรยี นสามารถเขียนโปรแกรมที่มีการกาหนดตัวแปร และโปรแกรมที่ มเี งือ่ นไขไดแ้ ลว้ นักเรยี นสามารถนาความรูท้ ี่เรยี นก่อนหน้าน้ีมาใช้ในการเขียนโปรแกรมแบบวนซ้าได้ โดย ในวนั นีเ้ ราจะเรียนเรอื่ งการเขียนโปรแกรมแบบวนซา้ 2. ครถู ามนักเรยี นวา่ นักเรยี นสังเกตหรือไม่วา่ กจิ กรรมในแต่ละวันเรามักจะมหี ลายกจิ กรรมที่ต้องทาอะไร ซ้า ๆ อย่เู สมอ และให้นักเรยี นชว่ ยยกตัวอยา่ งกจิ กรรมท่ตี ้องทาซ้า ๆ
๑๗๘ 3. ครูอธิบายเรื่องการเขียนโปรแกรมแบบวนซ้า ว่าเป็นการเขียนคาส่ังให้โปรแกรมทางานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซ้ากันจนกระทั่งครบตามจานวนรอบท่ีกาหนด หรือหยุดเมื่อตรงเงื่อนไขท่ีกาหนดไว้ เช่น การเขียน โปรแกรมใหแ้ สดงขอ้ มลู ต้ังแต่ 0-99 จะใช้วธิ ีเขียนโปรแกรมแบบวนซา้ 4. ให้นกั เรียนเขียนโปรแกรมแสดงผลข้อมูล โดยให้ทางานแบบวนซ้า ในหนังสือรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ในหัวข้อ การเขียนโปรแกรมแบบวนซ้า หน้า 38-41 5. ครถู ามคาถามทา้ ทายความคิดขั้นสงู ในหนังสือเรียนหน้า 41 ว่า เพราะเหตุใด จึงตอ้ งมีการเขียนโปรแกรม แบบวนซ้า แทนการเขียนคาส่ังโปรแกรมซ้ากันหลาย ๆ คร้ัง (แนวคาตอบ: เพราะช่วยลดพื้นที่และลด คาส่ังในการเขยี นโปรแกรม) 6. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปการทางานของโปรแกรมแสดงผลข้อมูล โดยให้ทางานแบบวนซ้า ทีละ ขน้ั ตอน ว่าโปรแกรมมหี ลักการทางานอยา่ งไร รวมท้ังตรวจสอบการทางานและแก้ไขข้อผิดพลาดท่ีเกิดขน้ึ 7. ครูให้นักเรียนทากิจกรรมเล่นเกมกับ Com Sci ตามหนังสือเรียนหน้า 55 โดยให้นักเรียนใช้โปรแกรม Scratch ในการสร้างภาพพื้นหลังของช้ินงาน แล้วให้นักเรียนเขียนโปรแกรมสร้างภาพต่าง ๆ เช่นภาพ วงกลม สามเหลย่ี ม หรือหกเหล่ยี ม 8. ให้นักเรียนพิจารณาสถานการณ์ท่ีกาหนดให้ จากกิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียน รายวิชา พ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง การเขียนโปรแกรม อยา่ งง่าย หน้า 48 ใหไ้ ปทาเปน็ การบ้านและมานาเสนอในชว่ั โมงถัดไป ชั่วโมงที่ 6 ขัน้ สอน (60 นาที) 1. ครูและนักเรียนทบทวนความรู้เดิม จากกิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรอ่ื ง การเขียนโปรแกรมอย่างง่าย หน้า 48 ที่ให้ไปทาเป็นการบ้านว่าโปรแกรมมีหลักการทางานอย่างไร ตรวจสอบความถูกต้อง และ แลกเปลีย่ นแนวความคดิ กันในช้ันเรียน 2. ครูแบง่ กล่มุ นักเรยี น 3-4 คน ให้นักเรยี นทากจิ กรรมในแบบฝกึ หัดรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน้า 30 โดยให้นักเรียนเขียนโปรแกรมวาดรูปสี่เหล่ียมจัสตุรัส และเชื่อมโยงให้ นักเรียนฝึกเขียนโปรแกรม โดยเร่ิมจากการออกแบบผังงานเพื่อแสดงวิธีการแก้ปัญหาของสถานการณ์ ก่อน จากน้ันใช้โปรแกรมภาษา Scratch ในการเขียนโปรแกรม รวมทั้งตรวจสอบการทางานและแก้ไข ข้อผิดพลาดทีเ่ กิดข้ึน 3. ครูบอกนักเรียนว่า นักเรียนสามารถศึกษาเพ่ิมเติมเร่ืองการเขียนโปรแกรมวาดรูปสี่เหลี่ยมได้ในหนังสือ กิจกรรม Scratch in Action – Animation 4. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาอภิปรายสรุปการทางานของโปรแกรมทีละข้ันตอน ว่าโปรแกรมมี หลักการทางานอย่างไร แต่ละกลุ่มมีวิธีการออกแบบเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร รวมท้ังร่วมกันตรวจสอบ การทางานและแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดท่เี กิดข้ึน
๑๗๙ ชัว่ โมงท่ี 7 ขน้ั สอน (60 นาที) 1. ครตู งั้ โจทยใ์ หน้ ักเรียนช่วยกันหาคา่ ค.ร.น. บนกระดาน เพื่อทบทวนความรูเ้ ดิมของผู้เรียน และบอก นักเรียนวา่ วนั นเี้ ราจะมาเขียนโปรแกรมเพื่อหาค่า ค.ร.น. กนั 2. ครอู ธบิ ายเรือ่ งการเขียนโปรแกรมหาค่า ค.ร.น. วา่ เป็นการหาคา่ จานวนเต็มทนี่ ้อยทีส่ ุด ท่สี ามารถหาร ตัวเลขต้งั แต่ 2 จานวนข้ึนไป ลงตวั ทั้งหมด ครูอธบิ ายตวั อย่างการเขียนโปรแกรมหาค่า ค.ร.น ของตัวเลข 2 จานวน ตามตัวอย่างหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรือ่ ง การเขียนโปรแกรมอย่างง่าย ในหัวข้อ การเขยี นโปรแกรมหาคา่ ค.ร.น. หนา้ 43 3. ครูให้นักเรียนเขียนโปรแกรมหาค่า ค.ร.น. ตามตัวอย่างในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี หน้า 43-47 โดยเริม่ จากการออกแบบผังงานเพื่อ แสดงวธิ กี ารแก้ปัญหาของสถานการณ์ก่อน จากนน้ั ใชโ้ ปรแกรมภาษา Scratch ในการเขยี นโปรแกรม ช่ัวโมงที่ 8 ขน้ั สอน (50 นาที) 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน หรือตามความเหมาะสม พิจารณาสถานการณ์ที่กาหนดให้ จาก กิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสอื เรียน รายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 หนา้ 48 และช่วยกนั เขียนโปรแกรม โดยเริ่มจากการออกแบบผังงานเพื่อแสดง วิธีการแกป้ ญั หาของสถานการณก์ ่อน จากนัน้ ใช้โปรแกรมภาษา Scratch ในการเขียนโปรแกรม 2. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปการทางานของโปรแกรมหาค่า ค.ร.น. ทีละข้ันตอนว่าโปรแกรมมี หลักการทางานอย่างไร รวมทงั้ ตรวจสอบการทางานและแก้ไขขอ้ ผดิ พลาดทเ่ี กิดข้ึน 3. ครูถามคาถามทา้ ทายความคิดขน้ั สงู ในหนังสอื เรยี นวา่ การเขยี นโปรแกรมหาคา่ ห.ร.ม. สามารถทาได้ อย่างไร และแตกต่างจากการเขียนโปรแกรมหาค่า ค.ร.น. หรอื ไม่ ข้นั สรปุ (10 นาท)ี 1. ครูมอบหมายการบ้านให้นักเรียนเขียนโปรแกรมเคร่ืองคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร ในแบบฝึกหัด รายวิชา พื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 หน้า 33 และกจิ กรรมฝึก ทักษะท่ี 2 เรื่องโปรแกรมหาค่า BMI ในแบบฝึกหัดหน้า 38 โดยเร่ิมจากการออกแบบผังงานเพ่ือแสดง วธิ ีการแก้ปญั หาของสถานการณก์ ่อน จากนนั้ ใชโ้ ปรแกรมภาษา Scratch ในการเขยี นโปรแกรม 2. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรุปความรู้ทเี่ รยี นมาทง้ั หมดท้ายคาบเรยี น
๑๘๐ 8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 ส่ือการเรียนรู้ 1) หนังสอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เรอื่ ง การออกแบบและเขยี นโปรแกรมอย่างง่าย 2) หนังสือแบบฝกึ หดั รายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 เร่ือง การออกแบบและเขยี นโปรแกรมอย่างง่าย 3) ใบงานท่ี 2.3.1 เร่ือง ชว่ ยพอ่ คา้ คดิ ราคา 4) หนังสือกจิ กรรม Scratch in Action-Animation บรษิ ัท อักษร เนกซ์ จากดั 5) โปรแกรม Scratch 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) หอ้ งคอมพิวเตอร์ 2) อินเทอรเ์ น็ต
๑๘๑ หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 3 เร่ือง การใชง้ านอินเทอรเ์ นต็ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รายวิชา ว 16101(วิทยาการคานวณ) กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 ผสู้ อน.................................................................... เวลา 8 ชัว่ โมง โรงเรียนอนบุ าลตราด 1. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชี้วัด ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คานวณในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชวี ติ จรงิ อย่างเป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางานและการแก้ปญั หา ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ รู้เท่าทัน และมีจรยิ ธรรม ว 4.2 ป.6/3 ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมลู อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 สาระการเรียนร้แู กนกลาง 1) การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการค้นหาข้อมูลท่ีได้ตรงตามความต้องการในเวลาท่ีรวดเร็ว จากแหล่งข้อมูลท่ีนา่ เช่ือถอื หลายแหลง่ และข้อมลู มคี วามสอดคลอ้ งกนั 2) การใช้เทคนิคการค้นหาข้ันสูง เช่น การใช้ตัวดาเนินการ การระบุรูปแบบของข้อมูลหรือชนิด ของไฟล์ 3) การจดั ลาดบั ผลลพั ธจ์ ากการค้นหาของโปรแกรมคน้ หา 4) การเรยี บเรียง สรปุ สาระสาคัญ (บรู ณาการกบั วชิ าภาษาไทย) 2.2 สาระการเรยี นรู้ท้องถิ่น - 3. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่ีครอบคลุมไปท่ัวโลก เราสามารถใช้งาน อินเทอร์เน็ต เพ่ือใหไ้ ดข้ ้อมูลทีต่ รงตามความต้องการภายในระยะเวลาอนั รวดเรว็ และการค้นหาขอ้ มูลในแตล่ ะคร้ัง โปรแกรมค้นหาจะแสดงข้อมูลจากคาค้นหาเป็นจานวนมาก เพ่ือให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมี ประสิทธิภาพและได้ข้อมูลตรงตามความต้องการมากท่ีสุด ผู้ใช้จะต้องเรียนรู้เก่ียวกับการจดั ลาดับผลลัพธ์ที่ได้จาก โปรแกรมค้นหา ขอ้ มลู ท่ีได้การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ จะตอ้ งมกี ารประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมูลเพื่อให้ ได้ข้อมลู ทถ่ี กู ตอ้ ง และตรงตามความต้องการ 4. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี นและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มีวินยั 2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3. มงุ่ มั่นในการทางาน 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
๑๘๒ 5. ชิน้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ชน้ิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรือ่ ง การใชง้ านอนิ เทอร์เนต็ อย่างมีประสิทธภิ าพ 6. การวัดและการประเมนิ ผล รายการวดั วิธวี ัด เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ 6.1 การประเมนิ ก่อนเรียน - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ ประเมนิ ตามสภาพจริง หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 3 กอ่ นเรียน กอ่ นเรียน เรื่อง การใช้งาน อนิ เทอรเ์ น็ตอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 6.2 การประเมนิ ระหว่างการจัด กิจกรรม 1) การค้นหาข้อมลู - ตรวจกจิ กรรม - แบบประเมิน ระดบั คุณภาพ 2 ฝึกทักษะ Com Sci กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ ผา่ นเกณฑ์ ทบี่ ันทกึ ลงในสมุด Com Sci - ประเมนิ การทางาน - แบบประเมิน กลุ่ม การทางานกลุ่ม - ประเมินการตอบ - แบบประเมนิ คาถามทา้ ยการเลน่ กจิ กรรมถามปุป๊ เกมถามปุ๊ป ตอบปัป๊ ตอบปป๊ั 2) การจัดลาดับผลลพั ธ์ - การนาเสนอขา่ ว - แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2 การคน้ หา ในใบงานที่ 3.2.1 การทาแบบฝึกหดั และ ผา่ นเกณฑ์ เร่อื ง นกั ข่าวตัวน้อย กิจกรรมฝกึ ทักษะ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ตรวจใบงานท่ี 3.2.1 - ใบงานที่ 3.2.1 เร่ือง นักข่าวตวั น้อย เร่ือง - สงั เกตพฤติกรรม นักข่าวตัวน้อย การตอบคาถาม - แบบสังเกต รายบุคคล พฤติกรรมการตอบ คาถามรายบุคคล 3) การประเมนิ - ตรวจกจิ กรรมฝกึ - แบบประเมิน ระดบั คุณภาพ 2 ความนา่ เชื่อถือ ทกั ษะที่ 1 เรื่องจริง กิจกรรมที่ 1 เร่อื ง ผ่านเกณฑ์ หรอื ไม่ จรงิ หรอื ไม่ - แบบประเมิน การนาเสนอ
๑๘๓ รายการวัด วธิ วี ัด เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมนิ - แบบประเมนิ 4) คุณลักษณะ - ประเมินการนาเสนอ ระดบั คุณภาพ 2 อนั พึงประสงค์ ใบงานที่ 1 เรอื่ ง กจิ กรรมฝกึ ทักษะ ผา่ นเกณฑ์ เชื่อถอื ได้หรอื ไม่ ท่ี 2 เร่อื งเชค็ ก่อน 6.3 การประเมินหลังเรียน แชร์ 1) แบบทดสอบหลังเรยี น - ตรวจกิจกรรมฝกึ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 ทักษะท่ี 2 เรื่องเช็ค - แบบประเมิน เรื่อง การใช้งาน กอ่ นแชร์ คุณลักษณะ อินเทอร์เน็ตอย่างมี อนั พงึ ประสงค์ ประสทิ ธภิ าพ - สังเกตความมีวนิ ัย 2) การประเมนิ ช้ินงาน/ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมน่ั ภาระงาน (รวบยอด) ในการทางาน เรอ่ื ง การใชง้ าน อินเทอร์เนต็ อย่างมี - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ประสทิ ธภิ าพ หลงั เรียน หลงั เรียน - ตรวจช้นิ งาน/ - แบบประเมินชนิ้ งาน/ - ระดับคุณภาพ 2 ภาระงาน (รวบยอด) ภาระงาน (รวบยอด) ผ่านเกณฑ์ 7. กิจกรรมการเรียนรู้ นักเรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 เรอื่ ง การใชง้ านอนิ เทอรเ์ น็ตอยา่ งมีประสิทธิภาพ เร่ืองที่ 1 : การคน้ หาข้อมลู โดยใชอ้ ินเทอร์เน็ต เวลา 3 ชวั่ โมง วธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Modal) เทคนิคการสอนโดยใช้เกม เทคนิคตามแนวคิดเชงิ คานวณ เทคนิคการสอนโดยใช้กรณีตัวอยา่ ง (Case) ข้ันนา (10 นาที) กระตุ้นความสนใจ 1. ครูให้นักเรียนเปิดหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วย การเรียนรู้ท่ี 3 หน้า 58 และถามคาถามสาคัญประจาหน่วยกับนักเรียนว่า การค้นหาข้อมูลอย่างมี ประสิทธิภาพมีลกั ษณะอย่างไร โดยครใู หน้ กั เรียนเขียนคาถามและเขียนตอบลงในสมุด โดยทยี่ งั ไมไ่ ด้เรียน เน้ือหา และหลังจากเรยี นเนื้อหาครบ ครูจะใหน้ ักเรียนกลบั มาตรวจสอบคาตอบของตนเอง อีกคร้ัง
๑๘๔ 2. ครถู ามนักเรียนวา่ หากนกั เรยี นตอ้ งการหาข้อมลู เพ่ือทาการบ้าน ทารายงาน หรือเพ่อื หาความรู้ นกั เรียน จะคน้ หาขอ้ มลู ไดจ้ ากทใี่ ด (คาตอบ: อินเทอร์เนต็ ) 3. ครูถามนักเรียนถึงความรู้เดิมว่า เหตุใดเราจึงเลือกใช้อินเทอร์เน็ต ในการค้นหา (แนวคาตอบ: เพราะ อนิ เทอร์เนต็ เป็นเครือข่ายคอมพวิ เตอรข์ นาดใหญ่ อกี ท้งั ยังเป็นแหล่งรวบรวมขอ้ มลู หลากหลายประเภท ที่ สบื ค้นได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว) ขน้ั สอน (50 นาท)ี สารวจค้นหา 4. ครูเล่าสถานการณ์สมมติให้นักเรียนฟังว่า วันหน่ึง เด็กชาย ก. ต้องหาข้อมูลเก่ียวกับประวัติความเป็นมา ของวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันสาคัญของประเทศไทย โดยเด็กชาย ก. ได้ค้นหาโดยใช้เว็บ Search Engine แล้วพิมพ์คาค้นหาว่า สงกรานต์ ปรากฏว่า ผลการค้นหาคาว่าสงกรานต์ กลับไม่ใช่ส่ิงที่เด็กชาย ก. ต้องการ (ครูเปิดภาพให้นักเรียนดู) จากน้ันครูถามนักเรียนว่า หากนักเรียนเป็นเด็กชาย ก. นักเรียนจะ แก้ปัญหาน้ีอย่างไร (แนวคาตอบ: พิมพ์คาค้นหาเพิ่มเติมท่ีเฉพาะเจาะจงมากข้ึน เช่น วันสงกรานต์ ประวตั ิวนั สงกรานต์ เปน็ ตน้ ) 5. ครูบอกนักเรียนว่า หากเราอยากได้ข้อมูลท่ีตรงตามความต้องการและได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็วมาก ข้นึ เราจะตอ้ งใชเ้ ทคนิคการคน้ หาขอ้ มูลแบบตา่ ง ๆ 6. ครูให้นักเรียนเปิดหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วย การเรียนรู้ที่ 3 หน้า 59 และถามคาถามสาคัญประจาเรื่องเพ่ือกระตุ้นความคิดนักเรียนว่า การค้นหา ข้อมูลโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ มีข้อดีอย่างไร โดยครูยังไม่ให้นักเรียนตอบตอนน้ี ให้นักเรียนได้ศึกษาข้อมูล และทากิจกรรมกอ่ น แลว้ ครคู ่อยถามคาถามน้อี ีกคร้งั ในภายหลงั 7. ครูให้นักเรียนสารวจข้อมูลเรื่องเทคนิคการค้นหาข้อมูลในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 หน้า 59-67 พร้อมท้ังเข้าใช้งานเว็บไซต์ สาหรับสบื ค้น (Search Engine) เพ่ือทาตามตวั อย่างในหนงั สอื เรียน อธิบายความรู้ 8. ครูยกกรณีของเด็กชาย ก. มาพูดให้นักเรียนฟังอีกคร้ังว่า หากเราต้องการสืบค้นประวัติความเป็นมาของ วันสงกรานต์ เราควรพิมพ์คาสาคัญ หรือ คีย์เวิร์ด ท่ีตรงประเด็น และตรงตามความต้องการ เช่นคาว่า
๑๘๕ ประวัติวันสงกรานต์ ประเพณีสงกรานต์ เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเรียกการค้นหาในลักษณะน้ีว่า การค้นหา โดยใช้คาสาคญั 9. ครูให้นักเรียนลองค้นหาข้อมูลโดยใช้เทคนิคการค้นหาโดยใช้คาสาคัญ จากหัวข้อท่ีนักเรียนสนใจหรือครู อาจยกตัวอย่างสถานการณ์อื่น ๆ เพอื่ ใหน้ ักเรียนลองค้นหา 10.ครูและนักเรยี นร่วมกันตอบคาถามเกีย่ วกับเทคนคิ การค้นหาข้อมลู แบบต่าง ๆ ประเด็นคาถาม 1) หากนักเรียนต้องการข้อมูลเกี่ยวกับวันสงกรานต์ในรปู แบบไฟล์ .pdf จะสามารถหาข้อมูลได้ หรือไม่ (แนวคาตอบ: สามารถค้นหาข้อมูลท่ีเป็นไฟล์ต่าง ๆ ได้ โดยการพิมพ์นามสกุลไฟล์ หลังคาค้นหา เชน่ วนั สงกรานต์.pdf) 2) หากนักเรียนตอ้ งการขอ้ มูลเกี่ยวกบั วนั สงกรานต์ แตต่ อ้ งเปน็ ขอ้ มูลจากเวบ็ ไซตข์ องหน่วยงาน รฐั เทา่ น้นั จะสามารถค้นหาได้หรอื ไม่ (แนวคาตอบ: สามารถทาได้ โดยการพิมพ์ประเภทของ เว็บไซต์หลงั คาค้นหา เช่น วันสงกรานต์ Site:go.th) 3) หากนักเรียนพิมพ์คาค้นหาว่า “สถานท่ีท่องเที่ยวในวังสงกรานต์” โดยมีเคร่ืองหมาย อัญประกาศกากับอยู่ ผลการค้นหาจะมีลักษณะอย่างไร (แนวคาตอบ: จะแสดงข้อมูลท่ี แสดงผลทุกคาในประโยค) 11.ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรุปวา่ เทคนิคการค้นหาข้อมลู แบบต่าง ๆ มี 5 แบบ ไดแ้ ก่ 1) การค้นหาโดยใชค้ า สาคัญ 2) การคน้ หาโดยระบุชนิดของไฟล์ 3) การคน้ หาโดยระบปุ ระเภทของเวบ็ ไซต์ 4) การค้นหาโดยใช้ เครอื่ งหมายหรอื สญั ลักษณ์ 5) การคน้ หาโดยใช้ตวั ดาเนนิ การ 12.ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรยี นทากจิ กรรมลองทาดู ในแบบฝึกหดั รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 หน้า 44 และแบบฝึกหัดเร่อื ง การคน้ หาข้อมูลโดยใช้ อนิ เทอร์เนต็ หนา้ 45-47 เปน็ การบ้าน เพ่ือเป็นการฝึกฝนและทบทวนความรู้ ช่วั โมงที่ 2 ขัน้ สอน (60 นาที) 1. ครูและนกั เรยี นทบทวนความรู้เดิมท่ีเรยี นในช่วั โมงท่ีแลว้ เรือ่ ง เทคนิคการค้นหาข้อมูลแบบตา่ ง ๆ 2. นักเรียนเปิดกิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 หน้า 68-69 โดยในหน้า 68 ให้นักเรียนกลับไปทาเป็น การบ้าน เพราะต้องมกี ารติดภาพลงในสมดุ ส่วนในหน้า 69 ให้ทาพร้อมกันในห้องเรียน 3. ครใู หน้ ักเรียนพิจารณาขอ้ มูลในกิจกรรมฝกึ ทกั ษะ Com Sci หนา้ 69 จานวน 5 ขอ้ ไดแ้ ก่ 1) ค้นหาข้อมลู เก่ยี วกบั ประวตั คิ วามเป็นมาของวดั พระแก้ว 2) คน้ หาขอ้ มลู เกย่ี วกบั สถานทที่ ่องเท่ียวในภาคเหนือที่ไม่ใช่วัด 3) ค้นหาขอ้ มูลเก่ยี วกบั วันสาคัญโดยเน้นวันแม่แหง่ ชาติ 4) คน้ หาขอ้ มูลเก่ียวกับอาหารไทยหรืออาหารต่างชาติ 5) ค้นหาข้อมลู เกี่ยวกบั ภาพถา่ ยทมี่ ีนามสกลุ .JPG
๑๘๖ 4. ครถู ามนักเรียนวา่ จากโจทยใ์ นกจิ กรรมฝึกทักษะ Com Sci นักเรียนจะเลือกใชค้ าคน้ หาใดในการคน้ หา ข้อมูลดังกล่าว คาค้นหานัน้ จัดอยใู่ นเทคนคิ การค้นหาขอ้ มูลแบบใด และเพราะเหตุใดจึงเลือกใช้เทคนคิ การคน้ หาข้อมูลนี้ โดยใหน้ กั เรียนบนั ทึกลงสมุด ใหเ้ วลาในการทา 20 นาที 5. ครูส่มุ ถามนักเรียนว่าได้คาตอบแบบใด มีใครได้คาตอบเหมือนหรอื แตกต่างกบั เพ่อื นหรือไม่ อย่างไร และ ลงขอ้ สรุปร่วมกนั ขยายความรู้ 6. ครูบอกนักเรยี นว่า จะมีเกมใหน้ กั เรียนร่วมกันเลน่ ในช่วั โมงถัดไป นั่นคือเกม ถามปุ๊ปตอบป๊ปั โดยใน ช่วั โมงน้ี ครจู ะให้นกั เรียนเตรียมข้อมูลก่อน 7. ครใู ห้นกั เรียนแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 4-5 คน พร้อมทั้งต้ังชื่อกลุ่ม เพอ่ื เตรียมเลน่ เกม โดยการเลน่ เกมจะมี คะแนนสะสม กล่มุ ใดเลน่ เกมถามปุป๊ ตอบป๊ัปไดค้ ะแนนเยอะทสี่ ุด กล่มุ นนั้ จะได้รางวลั (ครอู าจเตรยี ม รางวัลเป็นอุปกรณ์การเรียน หรอื สิ่งของเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ เพ่ือกระต้นุ ความสนใจของนกั เรียน) 8. ครถู ามนักเรียนวา่ นกั เรยี นมีส่ิงใดหรอื เร่อื งใดทช่ี อบมาก ๆ หรือไม่ เชน่ นกั รอ้ งทช่ี อบ การต์ นู ท่ชี อบ หนังสอื ทีช่ อบ หรือมีเร่ืองราวตา่ ง ๆ ท่ชี อบ 9. ครูใหน้ ักเรียนในกลุม่ หารือร่วมกันเพ่ือเสนอเรือ่ งหรือข้อหัวที่นักเรยี นแต่ละคนสนใจ และรว่ มกนั โหวต เลอื กเร่ืองที่น่าสนใจที่สุด มาต้ังเปน็ คาถามในเกมถามปปุ๊ ตอบปั๊ป 10.ครูใหน้ กั เรียนหาข้อมูลและตงั้ คาถามเกีย่ วกับเร่ืองท่นี ักเรยี นสนใจ จานวน 3 ขอ้ โดยคาถามที่ใช้ ต้องมี แนวโนม้ ทเ่ี พ่อื นกลมุ่ อ่ืนจะตอบไมไ่ ด้ และต้องใชเ้ ทคนิคการคน้ หาแบบต่าง ๆ มาช่วย ถงึ จะหาคาตอบน้ัน ได้ เช่น นักเรียนสนใจเรือ่ งการประกวดนางงามจักรวาล และตั้งคาถามเกีย่ วกับการประกวดนางงามว่า นางงามจักรวาลคนใด ท่ีพดู คาว่า ดิฉนั ภูมิใจทเี่ ปน็ ผหู้ ญิงไทย, สาวไทยคนใดที่ได้ตาแหน่งนางงามจักรวาล แตไ่ ม่ใช่ปยุ๋ พรทิพย์ โดยใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มออกมาถามคาถามเพื่อนในชวั่ โมงถัดไป โดยให้เวลากลุ่มละ 10 นาที ช่ัวโมงที่ 3 ขน้ั สอน (40 นาท)ี 1. ครูใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมาบอกหวั ข้อท่สี นใจ และถามคาถามที่เตรียมมา 3 ข้อ โดยถามคาถามทีละ ขอ้ และใหเ้ พ่ือนกลุ่มอื่น ๆ ช่วยกนั ค้นหาข้อมูล หากเพอื่ นในกลุ่มใดสามารถตอบคาถามได้เร็วและถูกต้อง กลมุ่ น้นั จะไดค้ ะแนน 1 คะแนน และครูจะถามนักเรียนกลุ่มน้นั ว่า นักเรยี นใชเ้ ทคนิคการคน้ หาขอ้ มลู แบบ ใด ถึงทาใหไ้ ด้คาตอบเรว็ กวา่ เพ่ือนกลุ่มอืน่ ๆ และเพราะเหตใุ ดจึงเลือกใชเ้ ทคนิคน้ี 2. ครูถามนักเรยี นกลุ่มอืน่ ๆ วา่ มีใครใชเ้ ทคนิคการค้นหาขอ้ มูลแตกต่างจากเพื่อนกลุ่มทีต่ อบไดห้ รอื ไม่ เพราะเหตุใด 3. เมอ่ื นกั เรียนแต่ละกล่มุ ออกมาถามคาถามจนครบ ครสู รุปคะแนนและมอบรางวัลให้กับนักเรียนกลุ่มที่ได้ คะแนนมากทีส่ ุด
๑๘๗ ขัน้ สรุป (20 นาท)ี ตรวจสอบผล 1. ครถู ามนักเรยี นแตล่ ะกลุ่มวา่ จากการเล่นเกมถามปปุ๊ ตอบป๊ัปในวนั น้ี นกั เรียนสามารถบอกประโยชนข์ อง เทคนิคการค้นหาข้อมลู แบบต่าง ๆ และสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจาวนั ไดห้ รือไม่ อย่างไร 2. ครูเรียกถามนกั เรียนแตล่ ะกล่มุ จนครบ พร้อมทงั้ โยงไปถึงคาถามสาคัญประจาเรือ่ งในหนังสือเรยี นรายวิชา พ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 หน้า 59 ว่า การค้นหาข้อมูล โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ มีขอ้ ดีอย่างไร โดยครูและนกั เรียนได้ข้อสรปุ รว่ มกนั วา่ เทคนคิ การคน้ หาขอ้ มูลช่วยให้ เราไดข้ อ้ มูลที่ตรงตามความต้องการภายในระยะเวลาอนั รวดเรว็ เร่ืองที่ 2 : การจัดลาดบั ผลลัพธก์ ารคน้ หา เวลา 2 ช่ัวโมง วธิ ีการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Modal) เทคนิคการสอนโดยใช้เกม เทคนคิ ตามแนวคิดเชิงคานวณ เทคนิคการสอนแบบบทบาทสมมติ ขั้นนา (15 นาที) กระตุ้นความสนใจ 1. ครทู บทวนความรูเ้ ดิมทเ่ี รียนในชว่ั โมงทแ่ี ล้ว เรื่องเทคนิคการค้นหาขอ้ มูลแบบต่าง ๆ 2. ครูใหน้ ักเรียนเปดิ เวบ็ ไซต์คน้ หา และพมิ พ์คาคน้ หาที่นักเรียนต้องการ โดยครยู กตวั อยา่ งการค้นหาคาว่า สถานการณ์นา้ ทว่ ม 3. ครใู หน้ กั เรียนสังเกตเวบ็ ไซต์ท่ีแสดงข้นึ มา ว่ามีขอ้ มลู พน้ื ฐานใดบา้ ง โดยครูและนักเรยี นสรปุ รว่ มกนั ว่า มี ข้อมูลพนื้ ฐาน 4 อย่าง ไดแ้ ก่ ชอื่ หวั ข้อของเวบ็ ไซต์, ทอี่ ยูเ่ ว็บไซต์, วนั ท่เี ผยแพรข่ ้อมลู และตัวอย่างขอ้ มูล 4. ครใู ห้นกั เรียนสังเกตวนั ทีเ่ ผยแพร่ข้อมลู และถามนักเรียนวา่ ถา้ หากเราอยากได้ข้อมลู ในชว่ งระยะเวลาท่ี เราตอ้ งการ เช่น อยากได้ข้อมูลสถานการณน์ ้าท่วมในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2560-2562 เราจะ สามารถค้นหาขอ้ มูลดงั กลา่ วไดห้ รอื ไม่ (แนวคาตอบ: ตามดุลยพนิ จิ ของนักเรียน) 5. ครพู ดู เช่ือมโยงไปยงั เรื่องเทคนิคการค้นหาข้อมูลวา่ หากเราอยากไดข้ ้อมูลท่เี ราต้องการ เรากพ็ ิมพ์คา คน้ หาโดยใชเ้ ทคนิคแบบตา่ ง ๆ ได้ แตถ่ ้าเราอยากได้ขอ้ มลู หลายประเภท เช่น เราอยากไดข้ ้อมลู สถานการณน์ ้าทว่ มเฉพาะในภาคกลางของประเทศไทย ในชว่ งปี พ.ศ. 2560-2562 ตอ้ งเป็นเวบ็ ไซต์
๑๘๘ ของหน่วยงานรฐั เพ่ือความเชือ่ ถือได้ และต้องเปน็ ไฟล์ PDF เราจะมีวิธีค้นหาข้อมูลได้อย่างไร (แนว คาตอบ: ตามดลุ ยพนิ ิจของนักเรียน) ข้นั สอน (45 นาที) คน้ หาความรู้ 6. ครใู ห้นักเรียนศึกษาเรอื่ งการจัดลาดบั ผลลัพธก์ ารคน้ หาในหนงั สือเรยี นรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 หนา้ 70-73 เพอื่ หาคาตอบว่าหากเราต้องการ คน้ หาข้อมูลหลาย ๆ ประเภทจะทาไดห้ รือไม่ อย่างไร และถามคาถามประจาเร่ืองกบั นักเรยี นว่า การ จดั ลาดับผลลพั ธ์การคน้ หาช่วยให้การคน้ หามปี ระสทิ ธิภาพอย่างไร 7. ครูใหน้ ักเรยี นอา่ นมมุ Com Sci ในหนังสอื เรียนหน้า 70 เพอ่ื ศกึ ษาความรูเ้ พมิ่ เติม เร่ืองการนาข้อมลู ท่ี ค้นหาได้จากอนิ เทอร์เนต็ มาใช้งาน 8. ครูขยายความคาว่า การจัดลาดับผลลพั ธก์ ารค้นหาวา่ เปน็ การจัดเรยี งข้อมูลที่เรากรอกลงในช่อง โดยจะมี การจดั เรียงตามภาษา จดั เรียงตามพน้ื ท่ที ตี่ ้องการ จัดเรียงตามเวลา จดั เรียงตามตาแหนง่ ทต่ี ัง้ ของเว็บไซต์ จดั เรียงตามชนดิ ของไฟล์ และลขิ สิทธิข์ องข้อมูล 9. ครูใหน้ กั เรยี นลองใส่คาค้นหาต่าง ๆ ตามตัวอย่างในหนังสอื เรยี นรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 หนา้ 73-74 เพือ่ ใหเ้ ข้าใจมากยงิ่ ข้ึน อธบิ ายความรู้ 10.ครูและนกั เรียนสรุปความรู้รว่ มกนั วา่ หากเราต้องการค้นหาข้อมูลหลาย ๆ ประเภทสามารถทาได้โดยใช้ การค้นหาขนั้ สูง ซึ่งเปน็ การจัดลาดบั ผลลพั ธท์ ไ่ี ดจ้ ากโปรแกรมค้นหา 11.ครใู หน้ กั เรยี นทากจิ กรรมฝึกทักทกั ษะ Com Sci ในหนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 หนา้ 75 โดยให้นกั เรียนอ่านสถานการณท์ ่กี าหนดให้ และ ลองพิมพ์คาค้นหาในคอมพิวเตอร์ จากน้นั บันทึกคาคน้ หาลงในสมดุ 12.ครูส่มุ ถามนักเรยี น 4-5 คน แลว้ ให้นักเรยี นอธบิ ายวา่ ได้กรอกคาคน้ หาใดในชอ่ งค้นหาบ้าง จึงได้ผลลัพธ์ ตามท่ตี ้องการ จากนน้ั สรปุ ความรู้ร่วมกนั ขยายความรู้ 13.ครูใหน้ ักเรยี นจบั คู่กัน เพื่อทากิจกรรมในใบงานท่ี 3.2.1 เรอ่ื ง นักข่าวตวั นอ้ ย โดยให้นกั เรยี นคน้ หาขอ้ มูล เกย่ี วกบั ข่าวประเภทตา่ ง ๆ เชน่ ขา่ วเศรษฐกิจ ขา่ วส่งิ แวดล้อม ข่าวกีฬา หรอื อ่ืน ๆ ยกเว้นขา่ วบนั เทงิ และตอ้ งเป็นขา่ วที่มาจากเวบ็ ไซตท์ างการค้า ทเ่ี กิดขน้ึ ในระยะเวลาไม่เกิน 1 สปั ดาห์ นบั จากวนั ท่ไี ดร้ ับ มอบหมายงาน โดยครูให้นกั เรยี นสมมตบิ ทบาทเปน็ นกั ข่าว และออกมานาเสนอข่าวหนา้ ชัน้ เรียนในชวั่ โมง ถัดไป ประเดน็ ในใบงานท่ี 3.2.1 เรือ่ ง นกั ข่าวตัวนอ้ ย 1) หัวขอ้ ข่าว 2) รูปภาพประกอบ 3) ข้อมลู ข่าว/เนอ้ื ข่าว
๑๘๙ 4) บอกแหล่งทมี่ าของข้อมลู 5) ใช้การค้นหาขั้นสูง โดยกรอกคาคน้ หาว่าอย่างไร เพ่ือใหไ้ ด้ผลลัพธ์ท่ตี ้องการ ช่วั โมงท่ี 2 ขั้นสอน (45 นาที) 1. ครูใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคู่ ออกมานาเสนอข่าวท่ีเตรยี มมา พรอ้ มท้งั บอกแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู และบอก วิธกี ารคน้ หาโดยใช้การค้นหาขนั้ สูง พร้อมใหเ้ หตผุ ล ขัน้ สรปุ (15 นาท)ี ตรวจสอบผล 2. หลังจากนาเสนอข่าวครบทุกกล่มุ แล้ว ครูสุ่มถามนักเรียนถงึ ประโยชนข์ องการจดั ลาดับผลการค้นหาหรือ การค้นหาขั้นสูง และการนาไปประยุกต์ใช้ 3. ครูและนักเรยี นร่วมกนั สรปุ ความรู้ทีเ่ รยี นมาทั้งหมดเกย่ี วกับเรื่องการจัดลาดบั ผลการคน้ หา หรอื การ คน้ หาขัน้ สงู 4. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนทาแบบฝกึ หดั เรื่อง การจดั ลาดบั ผลการคน้ หา ในแบบฝึกหัด รายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 หน้า 48-50 เพ่ือทบทวนความรู้ เร่อื งท่ี 3 : การประเมินความน่าเชือ่ ถือ เวลา 3 ชั่วโมง วิธกี ารสอนแบบกระบวนการกลุ่ม (Group Process) เทคนิคตามแนวคิดเชงิ คานวณ การใช้กรณตี วั อย่าง การใช้บทบาทสมมติ ข้ันนา 1. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั ทบทวนความรเู้ ดมิ ในช่ัวโมงทแี่ ลว้ เรือ่ งเทคนคิ การค้นหาข้อมูลและการ จัดลาดบั ผลลัพธก์ ารค้นหา 2. ครูยกตวั อยา่ งบทความท่ีอยู่ในอนิ เทอร์เน็ตให้นกั เรยี นดู โดยเป็นบทความท่ีเขยี นเกนิ จริง หรือมคี วาม ไมน่ า่ เช่อื ถอื เช่น 1) ขา่ วเด็กอายุ 14 ปวดทอ้ ง หมอตรวจพบชาไขม่ ุกหลายร้อยเมด็ อยใู่ นลาไส้ 2) น้ามะนาวสามารถหยอดตา แก้ต้อเน้ือตาฟางได้ 3) 20 ปี นา้ ทว่ มโลก 3. ครูใหน้ ักเรยี นรว่ มกันวิเคราะห์บทความดังกลา่ ววา่ เชือ่ ถอื ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคาตอบ: ขึน้ อยู่กับดุลยพนิ ิจของนักเรียน) 4. ครบู อกนักเรยี นวา่ อินเทอร์เน็ตเป็นพืน้ ท่ีอสิ ระท่ผี ้คู นต่างก็สามารถสรา้ งข้อมูล อปั โหลดหรอื แชร์ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ ลงในอินเทอรเ์ น็ตได้ ซึง่ ข้อมูลบางสว่ นอาจจะไม่เป็นความจรงิ ก็ได้ ดงั นัน้ ก่อนทเี่ ราจะ นาขอ้ มลู จากอินเทอรเ์ น็ตมาใชห้ รอื เผยแพร่ เราควรประเมินความน่าเชือ่ ถือของข้อมูลก่อน
๑๙๐ 5. ครถู ามนักเรียนวา่ นักเรยี นรู้หรอื ไมว่ ่า การประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมลู สามารถทาได้อยา่ งไร และถามคาถามประจาหนว่ ยหวั ขอ้ ในหนังสือเรยี นวา่ การประเมนิ ความนา่ เชอื่ ถือของข้อมลู ก่อน นามาใช้ มีประโยชนอ์ ยา่ งไร ขั้นสอน 6. ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาข้อมลู เรือ่ ง การประเมินความนา่ เช่ือถือ ในหนงั สือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 หน้า 76 7. ครูสุ่มถามนักเรยี นว่า การประเมินความนา่ เชือ่ ถือของข้อมูลมีอะไรบา้ ง จากนั้นลงข้อสรุปรว่ มกันวา่ การประเมนิ ความน่าเช่ือถือของข้อมลู สามารถทาได้โดย 1) พิจารณาเว็บไซต์ที่นา่ เชอ่ื ถือได้ 2) ระบุ ชอื่ ผเู้ ขยี นหรือผใู้ หข้ ้อมลู 3) ระบุวนั ทีเ่ ผยแพร่ และคร้งั ทปี่ รับปรงุ 4) อา้ งองิ แหลง่ ที่มา 5) บอก วัตถปุ ระสงค์ในการจัดทา 8. ครใู ห้นักเรียนศึกษาขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ เรื่องการคน้ หาข้อมูลอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ในมุม Com Sci ใน หนงั สอื เรียนหนา้ 76 9. ครใู ห้นักเรียนแบ่งกล่มุ เป็น 4 กล่มุ เพ่ือทากจิ กรรมเรื่อง เชื่อถือได้หรือไม่ 10.ครแู บ่งฐานท้ังหมด 4 ฐาน แต่ละฐานจะเปิดหน้าเวบ็ ไซต์ไว้ 1 เว็บไซต์ จากนน้ั ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ สารวจขอ้ มลู ทลี ะฐาน แลว้ ตอบคาถามลงในใบงานที่ 1 เร่ือง เชอื่ ถือไดห้ รือไม่ โดยให้เวลาสารวจ ข้อมูลฐานละ 5 นาที เมื่อครบ 5 นาทีแลว้ ครใู ห้สัญญาณเสยี งเพ่ือใหน้ ักเรยี นเปลีย่ นฐาน (ครูควร เลือกเวบ็ ไซตท์ เี่ ชอ่ื ถอื ได้ และเชื่อถอื ไม่ได้ คละกัน เพื่อให้นักเรยี นวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ความ น่าเช่ือถือ) ตัวอยา่ งเวบ็ ไซต์ในแต่ละฐาน 1) PM 2.5 ตอ้ งหน้ากาก N 95 แลว้ ล่ะ http://www.cleothailand.com/health/pm- 25.html 2) แนะนาวธิ ปี อ้ งกันไฟปา่ https://www.thaihealth.or.th/Content/4753-แนะวิธปี ้องกนั ไฟ ปา่ .html 3) คลืน่ ความหนาวแผ่ปกคลมุ ประเทศไทยมากสดุ ในรอบ 14 ปี http://thesis2550.blogspot.com/2016/01/5.html 4) ทฤษฎีแกลง้ ดิน อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ https://www.prd.go.th/ewt_news.php?nid=151154&filename=prd 11.เม่ือนักเรยี นสารวจข้อมูลครบทกุ ฐานแลว้ ครูสุ่มเรียกนักเรียน 1 กล่มุ ใหอ้ อกมาหนา้ ชั้นเรียน เพ่ือ วิเคราะห์และประเมินความน่าเชือ่ ถอื ของข้อมลู ในฐานท่ี 1 ทน่ี ักเรียนได้ไปสารวจมา จากน้นั ครถู าม เพอื่ นกลุ่มอ่ืนวา่ มีการวเิ คราะห์และประเมนิ ความนา่ เชื่อถือท่ีเหมอื นหรือแตกตา่ งกนั หรือไมอ่ ย่างไร 12.ครูสมุ่ เรียกนกั เรยี นกลมุ่ อน่ื ๆ เพื่อวเิ คราะหแ์ ละประเมินความนา่ เชอ่ื ถือของข้อมูลในฐานต่อ ๆ ไปจน ครบ 13.ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรียนซักถามขอ้ สงสัย และสรปุ ความรู้ร่วมกันท้ายคาบเรยี น
๑๙๑ 14.ครูมอบหมายงานใหน้ ักเรียนทากจิ กรรมฝกึ ทักษะ Com Sci ในหนังสือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3 หน้า 78 เป็นการบา้ น ช่ัวโมงที่ 2 ขนั้ สอน 1. ครูและนักเรียนทบทวนความรู้เดมิ เรอ่ื ง การประเมินความนา่ เชือ่ ถือ ที่เรยี นในชว่ั โมงที่แลว้ 2. ครบู อกนักเรยี นว่า วันน้ีครจู ะให้นักเรียนเปน็ นักสืบ ช่วยสืบความจรงิ ใหค้ รูว่าหัวข้อเหลา่ นี้เปน็ ความจรงิ หรือไม่ 3. ครใู หน้ ักเรยี นแบ่งกลุม่ เปน็ 5 กลุ่ม จากน้ันให้นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะที่ 1 เรอื่ ง จริงหรือไม่ ใน แบบฝกึ หดั รายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 3 หนา้ 53 โดยให้แต่ละกล่มุ เลอื กหวั ข้อทส่ี นใจ หรือจับสลากเลอื ก หวั ข้อท่ีจะให้นักเรียนสืบ 1) วางโทรศัพท์ไวใ้ กล้ศีรษะเวลานอน อันตรายจรงิ หรือไม่ 2) วางไฟแช็กไวใ้ นรถ เสยี่ งไฟไหมจ้ รงิ หรือไม่ 3) กินเนือ้ ย่างบอ่ ย ๆ มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเรง็ จริงหรือไม่ 4) หลงั จากออกกาลังกายเสรจ็ ใหม่ ๆ ไมค่ วรอาบนา้ ทนั ทีจรงิ หรอื ไม่ 5) เลน่ โทรศพั ทใ์ นทม่ี ดื เป็นเวลานาน เสย่ี งตาบอดจริงหรือไม่ 4. ครใู ห้เวลานกั เรียนแต่ละกลุ่มสืบค้นขอ้ มลู 20 นาที จากน้ันใหน้ ักเรียนแต่ละกล่มุ ออกมานาเสนอหนา้ ชน้ั เรียน โดยมปี ระเดน็ ในการนาเสนอดังน้ี ประเด็นในการนาเสนอ 1) หัวข้อทน่ี ักเรียนสืบคือเร่ืองอะไร 2) นกั เรยี นใชค้ าค้นหาใดบา้ ง 3) หลงั จากสืบค้นแล้ว หัวขอ้ ท่นี ักเรยี นเลือก เป็นจริงหรือไม่ 4) นกั เรียนค้นหาข้อมูลท้ังหมดกี่เว็บไซต์ อะไรบ้าง 5) แตล่ ะเวบ็ ไซต์มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะเหตุใด 5. ครูเปดิ โอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสยั และสรุปความรู้ร่วมกนั ทา้ ยคาบเรียน 6. ครมู อบหมายงานให้นักเรียนทาแบบฝึกหัด ในหนังสือแบบฝกึ หดั รายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 หนา้ 51-52 เป็นการบ้านเพ่ือเปน็ การทบทวนความรู้ ชั่วโมงท่ี 3 ขน้ั สอน 1. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันทบทวนความรเู้ ดมิ ทเี่ รยี นในชว่ั โมงท่แี ล้ว 2. ครูถามนักเรียนวา่ 1) นักเรียนเคยแชร์ข้อความหรือข้อมูลต่าง ๆ ลงในสอ่ื ออนไลน์หรือไม่ (คาตอบ: เคย/ไม่เคย)
๑๙๒ 2) ก่อนนักเรียนแชรข์ อ้ มูลหรอื ข้อความนั้น นกั เรยี นได้มีการประเมนิ ความน่าเชอื่ ถือก่อนหรือไม่ (แนวคาตอบ: ขึน้ อยู่กบั ประสบการณเ์ ดิมของนกั เรียน) 3) หากข้อความหรือข้อมูลนัน้ ไม่เปน็ ความจริง จะสง่ ผลกระทบตอ่ ผูห้ ลงเชื่ออย่างไร (แนว คาตอบ: หากมีการทาตามขอ้ มลู ทีผ่ ดิ อาจสง่ ผลเสียตอ่ ผู้หลงเชือ่ ) 3. ครูให้นักเรียนอ่านสถานการณ์ในกจิ กรรมฝึกทักษะที่ 2 เร่ือง เช็คก่อนแชร์ ในหนังสอื เรียนรายวชิ า วิทยาศาสตร์พืน้ ฐาน เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 หน้า 56 สถานการณ:์ ตวงไดร้ บั ขอ้ ความทางสื่อออนไลน์จากแต้ว ตวงเกดิ ความสงสัยว่าแต้วได้ข้อมลู นีม้ าจาก ใคร แตว้ บอกว่าขอ้ ความนถ้ี ูกสง่ ตอ่ กันมา โดยไม่ทราบแหล่งทม่ี า รว่ มกนั ใส่ EM Ball ลงในแม่นำ้ แทนกำรลอย กระทง เพื่อลดขยะในแม่น้ำและแกป้ ญั หำน้ำเนำ่ เสีย สง่ ต่อข้อควำมนี ถำ้ อยำกช่วยโลกของเรำ 4. ครูถามนักเรียนว่า ถ้าหากนักเรยี นเป็นตวง นกั เรยี นจะเลอื กทาสิ่งใดก่อน ระหว่างเชค็ กบั แชร์ เพราะเหตุ ใด จากน้ันครูใหน้ ักเรียนเขียนคาตอบลงในกจิ กรรมฝกึ ทักษะที่ 2 ข้อ 1 5. ครแู บ่งกลุ่มนักเรียนเปน็ 2 กลุ่ม คือกลุ่มท่ีเลือกเช็ค และกลมุ่ ทเ่ี ลือกแชร์ 6. ครใู ห้นกั เรียนกลุ่มท่ีเลือกเช็ค ตอบคาถามในกิจกรรมฝกึ ทักษะท่ี 2 ข้อ 2 และข้อ 3 ตามลาดบั และให้ นักเรยี นกลมุ่ ที่เลือกแชร์ ตอบคาถามในกิจกรรมฝกึ ทักษะที่ 2 ขอ้ 3 7. ครูให้นกั เรยี นกลุ่มทเ่ี ลอื กแชร์ก่อน กลับไปเชค็ ข้อมูลในข้อ 2 แล้วพจิ ารณาอีกครง้ั วา่ จะแชรข์ ้อมูลหรอื ไม่ เพราะเหตุใด 8. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภิปรายรว่ มกนั ในประเด็นเรอื่ ง EM Ball วา่ สามารถนาไปใสใ่ นแม่น้าได้หรือไม่ จน ไดข้ ้อสรปุ รว่ มกนั ว่า EM Ball หากนาไปใส่ในแมน่ า้ จะทาให้นา้ เนา่ เสยี ยิง่ กวา่ เดิม 9. ครสู ุม่ นกั เรียนวา่ หากเราแชรข์ ้อมูลนี้ไป โดยไม่เชค็ ข้อมูลก่อน จะสง่ ผลกระทบต่อใครบ้าง และสง่ ผล กระทบอยา่ งไร 10.ครูถามนักเรียนต่อวา่ หากนักเรยี นทราบถงึ ผลกระทบของการแชร์ข้อมูลทีผ่ ิดแล้ว ในคร้ังถัดไป หาก นกั เรียนตอ้ งนาข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ หรอื จะแชร์ข้อมลู นักเรียนจะตรวจสอบข้อมูลก่อนหรือไม่ เพราะเหตุ ใด ขัน้ สรปุ 1. ครถู ามคาถามประจาเรื่องในหนงั สอื เรียนกบั นักเรียนวา่ การประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถือของขอ้ มลู ก่อนนา ข้อมลู มาใชม้ ปี ระโยชน์อยา่ งไร จากน้ันครูและนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายจนได้ข้อสรุปร่วมกนั 2. ครใู หน้ ักเรียนตรวจสอบตนเองหลังจากจบบทเรยี นแล้วในหนงั สือเรียนหน้า 79 3. ครใู ห้นกั เรยี นดูผงั สรุปสาระสาคัญ ในหนงั สอื เรียนรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการ คานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 หน้า 80 เพอ่ื เปน็ การสรุปความร้ทู เ่ี รยี นมาทง้ั หมด
๑๙๓ 4. ครูใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน 5. ครูมอบหมายงานใหน้ ักเรียนทาช้นิ งาน ภาระงาน (รวบยอด) และกิจกรรมเสริมสรา้ งการเรียนรใู้ นหนงั สอื เรยี นรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 หนา้ 81 เปน็ การบา้ น 8. สื่อ/แหลง่ การเรียนรู้ 8.1 สือ่ การเรียนรู้ 1) หนังสอื เรยี นรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 เรื่อง การใชง้ านอนิ เทอรเ์ น็ตอย่างมีประสทิ ธิภาพ 2) หนังสือแบบฝึกหดั รายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป.6 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 เรื่อง การใช้งานอนิ เทอรเ์ น็ตอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 3) ใบงานที่ 3.2.1 เรื่อง นักขา่ วตัวน้อย 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องคอมพวิ เตอร์ 2) อนิ เทอรเ์ น็ต
๑๙๔ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 เรือ่ ง ความปลอดภยั ในการใชง้ านเทคโนโลยสี ารสนเทศ รายวชิ า ว 16101(วทิ ยาการคานวณ) กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 เวลา 6 ชั่วโมง ผ้สู อน.................................................................... โรงเรียนอนุบาลตราด 1. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวช้ีวัด ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคิดเชิงคานวณในการแกป้ ัญหาทีพ่ บในชีวติ จริงอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทางานและการแก้ปัญหาได้อยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทัน และมีจริยธรรม ว 4.2 ป.6/4 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางานร่วมกันอย่างปลอดภยั เข้าใจสิทธแิ ละหน้าท่ี ของตน เคารพในสิทธขิ องผอู้ ่ืน แจ้งผ้เู ก่ียวขอ้ งเมือ่ พบขอ้ มูลหรือบคุ คลท่ีไมเ่ หมาะสม 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 1) อนั ตรายจากกรใช้งานและอาชญากรรมทางอนิ เทอร์เนต็ แนวทางในการป้องกัน 2) วธิ กี าหนดรหัสผา่ น 3) การกาหนดสิทธใิ์ นการใช้งาน (สทิ ธิ์ในการเข้าถึง) 4) แนวทางการตรวจสอบและป้องกนั มลั แวร์ 5) อนั ตรายจากการติดต้ังซอฟต์แวร์ท่ีอยบู่ นอินเทอรเ์ นต็ 2.2 สาระการเรียนรู้ทอ้ งถ่นิ - 3. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด อันตรายจากการใชง้ านเทคโนโลยสี ารสนเทศท่เี ช่อื มต่อกบั อินเตอร์เนต็ ในรูปแบบต่าง ๆ และ แนวทางในการปอ้ งกนั อนั ตรายจากการใชง้ านอนิ เตอร์เน็ต ซ่งึ รวมถงึ การกาหนดรหัสผา่ น และการกาหนด สทิ ธ์ใิ นการใชง้ าน รวมท้ังอันตรายจากการติดต้ังซอฟแวร์ และแนวทางในการตรวจสอบและปอ้ งกนั มัลแวร์ ซ่งึ เป็นสาเหตุใหเ้ กิดความเสยี หายต่อ ข้อมูล ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เทคโนโลยไี ด้ การตดิ ตั้งซอฟแวร์จากอินเตอร์เนต็ อาจทาให้มลั แวร์ ซงึ่ เป็นซอฟแวรท์ ่ีตงั้ ใจออกแบบมาเพื่อ ทาอนั ตรายกบั คอมพวิ เตอร์ ดงั น้ัน ผู้ใชง้ านต้องร้แู นวทางการตรวจสอบและป้องกนั มัลแวร์เพือ่ ป้องกันการ อนั ตรายในรปู แบบต่างๆ เชน่ ขโมยข้อมลู , การลบขอ้ มูล, การทาลายระบบ เปน็ ต้น 4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มวี นิ ัย 2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
๑๙๕ 5. ชน้ิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ชน้ิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เร่ือง ความปลอดภัยในการใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ 6. การวัดและการประเมนิ ผล รายการวดั วธิ ีวดั เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน 1.6 การประเมินก่อนเรยี น - แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วย - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ ประเมนิ ตามสภาพจรงิ การเรยี นรทู้ ่ี 4 ก่อนเรยี น กอ่ นเรียน เร่อื ง ความปลอดภัย ในการใชง้ านเทคโนโลยี สารสนเทศ 2.6 การประเมินระหวา่ งการจัด - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2 กิจกรรม การวิเคราะห์ การนาเสนอ ผ่านเกณฑ์ (1 การใชง้ านอินเทอรเ์ น็ต แบบสอบถาม เร่อื ง - ใบงานที่ 4.1.1 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ อนั ตรายจากการ เร่ือง การกาหนด ใช้งานอินเทอร์เนต็ รหัสผา่ นและการ และแนวทางป้องกนั กาหนดสิทธิ์เข้าใช้ - ตรวจใบงานที่ 4.1.1 งาน เรอื่ ง การกาหนด - อเี มลของครู รหัสผา่ นและการ - แบบประเมนิ กาหนดสทิ ธ์เิ ข้าใช้งาน กจิ กรรมฝกึ ทักษะ - ตรวจงานในอเี มล ที่ 1 เรอ่ื ง เหตุเกิด - ตรวจกิจกรรมฝึกทักษะ ณ ห้องคอมพวิ เตอร์ ท่ี 1 เรอ่ื ง เหตเุ กิด ณ หอ้ งคอมพวิ เตอร์ 2 ) การปอ้ งกนั มลั แวร์ - ตรวจผังความคิด เรอื่ ง - แบบประเมิน ระดบั คุณภาพ 2 อันตรายจากการตดิ ตั้ง ผังความคิด เรอื่ ง ผา่ นเกณฑ์ ซอฟตแ์ วร์ อนั ตรายจากการตดิ ต้ัง รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ตรวจใบงานที่ 1 เรื่อง ซอฟตแ์ วร์ ตรวจสอบมัลแวร์ - ใบงานท่ี เรื่อง 1 - ตรวจกจิ กรรมฝกึ ทักษะ ตรวจสอบมลั แวร์ แบบฝกึ หดั หนว่ ย - แบบประเมนิ เรียนร้ทู ่ี 4 เรอ่ื ง กิจกรรมฝึกทักษะ แนวทางการตรวจสอบ เรอ่ื ง แนวทางการ และป้องกันมลั แวร์
๑๙๖ รายการวดั วธิ วี ดั เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ ตรวจสอบและ 3) คุณลักษณะ - สังเกตความมีวนิ ัย ป้องกนั มัลแวร์ ระดับคุณภาพ 2 อันพึงประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่นั - แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ ในการทางาน คณุ ลักษณะ 3.6 การประเมนิ หลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบ อนั พึงประสงค์ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ (1 แบบทดสอบหลังเรียน หลงั เรยี น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 - แบบทดสอบ เร่ือง ความปลอดภยั - ตรวจชิ้นงาน/ หลังเรียน ในการใช้งานเทคโนโลยี ภาระงาน (รวบยอด) สารสนเทศ - แบบประเมนิ ช้ินงาน/ - ระดับคุณภาพ 2 2) การประเมนิ ช้ินงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์ ภาระงาน (รวบยอด) เรื่อง ความปลอดภัย ในการใช้งานเทคโนโลยี สารสนเทศ 7. กจิ กรรมการเรียนรู้ นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 4 เรอ่ื ง ความปลอดภยั ในการใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ เรอ่ื งท่ี 1 : การใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ เวลา 4 ช่วั โมง วธิ กี ารสอนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ (Role Playing) เทคนคิ การอภปิ รายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) เทคนคิ ตามแนวคดิ เชงิ คานวณ ขัน้ นา (20 นาท)ี 1. นักเรียนทากิจกรรมลองทาดู ในแบบฝกึ หดั รายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป. 6 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 4 หนา้ 62 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 4 เพ่ือเปน็ การทบทวนความรเู้ ดิมก่อนเข้าส่บู ทเรยี น 2. ครูนานักเรยี นสนทนา ความรู้เรอ่ื ง อนั ตรายจากการใช้งานอนิ เตอรเ์ น็ต โดยเปิดวดี ิทศั น์ ”เจด๊ าตลาด แตก” https://youtu.be/ZtY0aU8JKB0 หรือส่ืออน่ื ทน่ี าเสนอปัญหา อนั ตรายจากการใช้งาน อนิ เตอร์เน็ต ให้นกั เรยี นดแู ละต้งั คาถามเพื่อให้เด็กร่วมกนั แสดงความเหน็ และบันทึกลงสมุด ตามหัวข้อ ดังนี้ 1) ปญั หา อนั ตรายจากการใชง้ านอนิ เตอรเ์ น็ตจากวดี ิทัศนค์ ืออะไร 2) สาเหตุของปัญหา อันตรายจากการใชง้ านอินเตอร์เนต็ จากวีดิทัศน์คืออะไร
๑๙๗ 3. จากวีดิทัศนท์ ี่นักเรียนได้ดู ครูชี้ชวนใหน้ ักเรียนตระหนักถงึ อันตรายจากการใชง้ านอนิ เทอรเ์ นต็ และเหน็ ความสาคญั ในการป้องกันอนั ตรายจากการใช้งานอนิ เตอร์เน็ต 4. ครบู อกนักเรยี นว่า นอกจากตัวอยา่ งอันตรายจากการใช้งานอินเทอรเ์ นต็ ตามตัวอย่างท่ีครูเปดิ ให้นักเรียนดู แล้ว นกั เรียนรหู้ รอื ไมว่ า่ ยงั มอี ันตรายจากการใชง้ านอินเทอร์เน็ตอกี หลายรปู แบบ วันนเี้ ราจะมาเรยี นรู้ เรื่องน้กี นั ขน้ั สอน (40 นาที) 1. ครูให้นักเรียนศึกษาเนอื้ หาในหนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป. 6 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 เรอื่ งอันตรายจากการใช้งานอนิ เทอรเ์ น็ต หน้า 83-86 และเรือ่ งแนวทางในการ ป้องกนั อนั ตรายจากการใช้งานอนิ เทอร์เนต็ หนา้ 88-89 2. ครูแจกแบบสอบถามให้นกั เรยี น เพอ่ื สารวจอนั ตรายจากการใชอ้ นิ เตอรเ์ น็ตของนักเรียน โดยใหน้ กั เรยี น ตอบแบบสอบถาม เรื่อง อนั ตรายจากการใช้อินเตอรเ์ นต็ และเก็บแบบสอบถามไว้กับตนเองก่อน (ครู สามารถใหน้ กั เรียนทาแบบสอบถามผา่ น Google from ก็ได)้ 3. ครมู อบหมายงานให้นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะ Com Sci ในหนงั สอื เรยี น รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป. 6 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 4 หนา้ 87 และหน้า 90 เพอ่ื ทาเปน็ การบ้าน ช่วั โมงที่ 2 ขนั้ สอน (60 นาท)ี 1. ครูทบทวนความรู้เดิมในช่ัวโมงที่แล้ว เรอื่ งอันตรายจากการใช้งานอนิ เทอรเ์ น็ตและเรื่องแนวทางในการ ปอ้ งกนั อันตรายจากการใช้งานอนิ เทอร์เน็ต 2. ครใู ห้นกั เรยี นแบ่งกล่มุ ใหญ่ ๆ 3-4 กลมุ่ จากนั้นใหแ้ ต่ละกลมุ่ รวบรวมและประมวลผลแบบสอบถามของ กลุ่ม 3. ครแู จกกระดาษฟลปิ ชาร์ท และแจกปากกาสตี า่ ง ๆ เพื่อให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ วเิ คราะห์ปัญหา เชื่อมโยง สาเหตแุ ละผลกระทบ รวมทงั้ จัดกลุ่มรปู แบบ ปัญหาหรืออันตรายการใชง้ านอินเตอร์เน็ต จาก แบบสอบถามของกลุ่ม โดยครใู ห้นักเรียนเลือก 3 ปญั หาที่คดิ วา่ มคี วามสาคัญหรืออนั ตรายมากทส่ี ุด วเิ คราะหส์ าเหตุของปญั หานั้น ๆ พร้อมทงั้ หาแนวทางการป้องกันหรือแก้ไข โดยครูใหเ้ วลานกั เรยี นจดั ทา กลุ่มละ 20 นาที 4. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอปญั หา สาเหตุ และแนวทางป้องกนั หรือแกไ้ ข เกีย่ วกบั เรอื่ งการใช้ งานอินเทอรเ์ นต็ โดยใหเ้ วลาในการนาเสนอกลมุ่ ละ 7-10 นาที 5. ครูให้นกั เรียนศึกษา กิจกรรมเสริมสร้างการเรยี นรู้ ในหนังสือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ป. 6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 4 หน้า 106 และร่วมอภปิ รายในชน้ั เรยี นว่าหากนักเรยี น ได้รับอีเมล นกั เรยี นควรทาอย่างไร เพราะเหตุผล พร้อมบอกวธิ กี ารสงั เกตและปอ้ งกนั อนั ตรายจากการใช้ งานอเี มล และบนั ทึกคาตอบลงสมดุ 6. ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปความร้ทู ีไ่ ด้จากการเรยี นในช่วั โมงนี้
๑๙๘ ช่วั โมงท่ี 3 ขั้นสอน (60 นาท)ี 1. ครถู ามนักเรยี นว่า รู้หรือไมว่ ่าการปอ้ งกันอนั ตรายจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตทง่ี ่ายและเปน็ พ้ืนฐานที่ สาคัญ คอื การกาหนดรหัสผา่ น และการกาหนดสิทธิ์การเข้าใช้งาน ซึง่ เราทุกคนสามารถทาได้งา่ ย ๆ ดว้ ย ตนเอง 2. ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาศกึ ษาเน้ือหาในหนงั สอื เรยี น รายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการ คานวณ) ป. 6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 เรือ่ งการกาหนดรหสั ผา่ น หนา้ 91 และเรอื่ งการกาหนดสทิ ธใ์ิ น การเขา้ ใชง้ าน หนา้ 93-94 3. ครอู ธบิ ายเพิ่มเติมว่า นักเรยี นสามารถสร้างวิธกี ารในการกาหนดรหสั ผา่ นท่มี ีความปลอดภยั และผู้ใชง้ าน จดจาไดง้ า่ ยไดห้ ลากหลายรปู แบบ รวมทัง้ ควรศึกษาการกาหนดสิทธใิ์ นการเข้าใชง้ านในสื่อ หรอื บรกิ าร ออนไลน์ต่าง ๆ นอกเหนือจากทศ่ี ึกษาในหนังสอื เรียนมาแลว้ เช่น การกาหนดสิทธิ์ในการแชรไ์ ฟลจ์ าก Google Drive จากน้ันครูแจกใบความรู้ เรื่องการกาหนดรหัสผ่านและการกาหนดสทิ ธิ์เขา้ ใช้งาน เพ่ือให้ นกั เรยี นศึกษาเพ่มิ เติม 4. ครูแจกใบงานท่ี 4.1.1 เรอื่ ง การกาหนดรหสั ผ่านและการกาหนดสิทธเ์ิ ขา้ ใชง้ าน โดยมีประเด็นดังนี้ 1) นักเรยี นมีบญั ชี Gmail หรอื ไม่ 2) หากนักเรยี นไมม่ ีบัญชี Gmail ใหน้ กั เรียนสมคั ร โดยดขู ้นั ตอนจากใบความรู้เรื่องการกาหนด รหัสผ่านและการกาหนดสิทธิเ์ ข้าใช้งาน 3) นกั เรยี นคดิ วา่ รหสั ผ่านที่นกั เรียนใช้ มคี วามปลอดภัยมากน้อยเพียงใด 4) ใหน้ ักเรยี นเปดิ โปรแกรม Microsoft word แลว้ พมิ พช์ อื่ นามสกุล ช้ันเรียน และเลขที่ ของ ตนเอง ลงในโปรแกรม จากน้ันบันทกึ เป็นไฟล์ .doc แลว้ อัปโหลดไฟล์ลงใน Google Drive และแชร์ใหค้ ุณครทู าง .............(ชื่ออเี มลของคุณครู)............ โดยกาหนดสิทธิใ์ ห้คุณครู สามารถดูไฟล์ข้อมูลไดเ้ พยี งอย่างเดียว ไมม่ ีสิทธิใ์ นการแก้ไขหรือปรับปรงุ 5. ครนู านักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายสรปุ ความรู้ที่ไดจ้ ากใบงานท่ี 4.1.1 เร่ือง การกาหนดรหสั ผา่ นและการ กาหนดสิทธใ์ิ นการเข้าใชง้ าน รวมทั้งใหน้ ักเรียนบอกแนวทางในการนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันของนกั เรยี น 6. ครูใหน้ ักเรียนทากจิ กรรมฝกึ ทักษะ Com Sci เร่ืองการกาหนดรหสั ผ่าน หนา้ 92 และกิจกรรมเสริมสรา้ ง การเรียนรู้ ข้อ 2 หนา้ 107 ทา้ ยคาบเรียน และมอบหมายงานใหน้ ักเรยี นทากจิ กรรมฝึกทกั ษะ Com Sci เรือ่ งการกาหนดสทิ ธกิ์ ารเข้าใช้งาน หน้า 95 ในหนังสือเรยี นรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ป. 6 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 เปน็ การบ้าน
๑๙๙ ชั่วโมงท่ี 4 ขน้ั สอน (50 นาที) 1. ครูนานกั เรยี นสนทนา เรื่อง “ การกลัน่ แกลง้ บนโลกออนไลน์” โดยครูสรุปนยิ าม การกล่นั แกลง้ บนโลกออนไลน์ คือ การใช้อปุ กรณ์ เครื่องมอื สื่อสารผา่ นสอื่ ดิจทิ ลั หรือ สอื่ ออนไลน์ เช่น คอมพิวเตอร์ แทบ็ เล็ต โทรศพั ท์มือถอื ในการกล่ันแกล้ง รังแก คุกคามโดยเจตนา และ มักจะมกี ารทาซา้ ๆ เชน่ นาข้อมลู ส่วนตัวหรอื ความลบั ของเพื่อนไปเผยแพรใ่ นส่ือสังคมออนไลน์ สรา้ ง บัญชีสอ่ื ออนไลน์เพ่อื ต่อต้านหรอื ล้อเลียนเพื่อน 2. ครูนานกั เรยี นรว่ มอภปิ รายในประเดน็ ต่อไปนี้ 1) การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ท่เี ด็กเคยพบเจอในโรงเรยี น แนวคาตอบ: ครูใหน้ ักเรยี นอภิปรายตามประสบการณ์ของนักเรยี น 2) สาเหตทุ ม่ี ีการกล่ันแกล้งบนโลกออนไลน์ทีเ่ ด็กเคยพบเจอในโรงเรียน แนวคาตอบ: ครูให้แนวคาตอบสาเหตขุ องการกลั่นแกลง้ บนโลกออนไลน์ หลงั นกั เรยี น อภิปราย 1. ผกู้ ระทาสามารถปกปิด ปลอมแปลง ไม่แสดงตัวตนเอง 2. สอ่ื สังคมออนไลน์ถูกใช้เป็นชอ่ งทางระบายอารมณ์ 3. ความง่ายและสะดวกในการรังแก 4. บางสว่ นมีสาเหตุมาจากในชวี ติ จริง เช่น ความไม่พอใจตอ่ คนบางคนที่รูจ้ กั และ ปฏิสัมพนั ธใ์ นชีวิตจริง 3) แนวทางในแก้ปญั หาการโดนกลน่ั แกล้งบนโลกออนไลน์ แนวคาตอบ: ครใู ห้แนวทางในการแก้ปัญหา หลงั นักเรยี นอภิปราย 1) STOP ไม่ตอบสนองต่อผูก้ ลั่นแกลง้ และเก็บหลักฐานการกล่นั แกลง้ เชน่ รูปภาพ ขอ้ ความที่ผ้กู ล่นั แกล้งโพสหรือสง่ 2) BLOCK บล็อกการสื่อสารของผู้กลนั่ แกล้ง 3) REPORT รายงานให้ครู ผู้ปกครองหรอื ผใู้ หญ่ทไ่ี วว้ างใจไดท้ ราบ และ/หรือ รายงานไปทผ่ี ูใ้ หบ้ ริการสอ่ื สังคมออนไลน์ทีโ่ ดนกล่นั แกลง้ (ทงั้ น้คี รูต้องชใี้ ห้นักเรยี นเหน็ ว่าปัญหาแตล่ ะเหตุการณ์อาจตอ้ งใชว้ ธิ ีการแตกตา่ งกนั ไปตาม บรบิ ทปญั หา) 3. ครบู อกนักเรียนว่า วันนคี้ รูมสี ถานการณ์ใหน้ กั เรยี นลองสมมติบทบาทเปน็ บุคคลในสถานการณ์ และลอง นึกดวู ่า ถ้าหากสถานการณน์ ีเ้ กดิ กับเรา เราจะรสู้ กึ อย่างไร 4. ครใู ห้แบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 6 คน แล้วให้นกั เรียนรว่ มกันทากิจกรรมฝกึ ทักษะที่ 1 เรื่อง เหตุเกดิ ณ หอ้ ง คอมพิวเตอร์ โดยครูให้นกั เรยี นแตล่ ะคนในกลุ่มสมมตบิ ทบาทเป็นตวั ละครตามสถานการณ์
๒๐๐ สถานการณต์ ามเวลาตา่ ง ๆ เวลา สถานการณ์ 13.00 น. ฝนปวดหวั มาก ครูจึงให้แฟงพาฝนไปที่หอ้ งพยาบาล 13.05 น. ปุม้ เห็นกายกาลังพยายามเข้าส่บู ญั ชสี ่อื ออนไลนใ์ นคอมพวิ เตอรท์ ฝ่ี นใชง้ านอยหู่ ลาย คร้งั และเข้าใช้งานไดโ้ ดยใชร้ หัสประจาตวั นักเรยี นของฝน แต่ปมุ้ ไม่ได้สนใจอะไร 13.20 น. เจนเลน่ คอมพิวเตอร์และบังเอิญไปเห็นโพสในสอื่ ออนไลน์ของฝน โดยในโพสเปน็ รูป ภาพฮปิ โปแตม่ ีการตัดต่อนารูปหนา้ ของแฟงมาแปะแทนหวั ของฮปิ โป เจนรสู้ กึ ตลกกบั ภาพจึงแชรโ์ พสให้กับเพ่ือน ๆ 13.21 น. แบมเปน็ เพ่ือนต่างห้องเรียน เหน็ โพสแล้วไม่เหน็ ด้วยกบั ฝน และเข้าใจว่าฝนนิสยั ไม่ดี แตไ่ ม่ไดแ้ ชร์โพส 13.25 น. ปลาเหน็ โพสแลว้ รู้สึกแปลกใจ เพราะฝนกบั แฟงเปน็ เพื่อนสนทิ กนั และทั้งคู่กอ็ ยู่ที่ห้อง พยาบาล ซง่ึ ไม่มีคอมพิวเตอร์ จงึ นารูปภาพให้คุณครดู ู 13.30 น. ฝนและแฟงกลับมาที่หอ้ งเรียน และถกู เพ่ือน ๆ มองด้วยสายตาที่แปลก ๆ 13.31 น. ครูถามเพื่อนในหอ้ งวา่ ใครเป็นคนกล่ันแกล้งฝนและแฟง ซ่ึงไม่มีใครกล้ายอมรบั ผิด 5. ครใู หน้ ักเรียนอภิปรายกนั ในกลุ่มถึงความร้สู กึ ความคดิ เหน็ จากมุมมองของตวั ละครตามบทบาทท่ีตวั เอง ไดร้ ับ จากนนั้ เขียนสรปุ และตอบคาถามลงในกิจกรรมฝึกทักษะท่ี 1 เร่อื ง เหตเุ กดิ ณ ห้องคอมพิวเตอร์ ข้นั สรุป (10 นาท)ี 6. ครนู านกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายสรปุ ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการจดั กิจกรรม การเห็นความสาคัญของอนั ตราย และ การปอ้ งกนั อันตรายจากการใช้งานอินเตอรเ์ น็ต รวมท้งั แนวทางในการนาไปใช้ในชวี ิตประจาวนั ของ นกั เรยี น โดยครูชใ้ี หน้ กั เรยี นให้เห็นประเด็นสาคญั คือ 1) โทษของการใช้เทคโนโลยใี นการรังแก ใสร่ ้ายผู้อ่ืน จากการกระทาของกาย ซง่ึ ทาใหเ้ พอื่ นไดร้ ับความ เสียใจและอบั อาย รวมทัง้ จะทาใหถ้ ูกลงโทษจากทางโรงเรียน และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพวิ เตอร์ 2) การจัดการต่อสถานการณข์ องผู้ท่ีถูกกลนั่ แกลง้ ทางออนไลน์ คือ ฝนและแฟง โดยแกป้ ัญหาอยา่ งมี สตแิ ละรูจ้ ักควบคุมอารมณ์ และใชก้ ระบวนการ Stop – Block – Report 3) บทบาทของผทู้ มี่ ีส่วนร่วมในเหตกุ ารณ์ ซง่ึ นักเรียนเลอื กได้วา่ ควรจะเลอื กปฏิบตั ติ ่อเหตุการณต์ ามตัว ละครใด เพราะอะไร โดยกาหนดใหก้ ายเปน็ ผรู้ งั แก แฟงเป็นผถู้ กู รังแก ป้มุ และแบม ทเี่ ห็นการกระทา ผดิ ของกาย แตไ่ ม่ได้ทาอะไร เปน็ ผูอ้ ย่ใู นเหตกุ ารณ์ เจนทีเ่ ห็นโพสของกายและแชร์ โพสตอ่ เป็นผูส้ นับสนนุ การรงั แก และปลาซ่งึ เหน็ โพสและพยายามช่วยผทู้ ่ีถูกรงั แก เปน็ ผปู้ กป้อง/ ช่วยเหลอื ผู้ถกู รังแก นอกจากนคี้ รูควรกระตุน้ ใหน้ ักเรียนเสนอแนวทางสรา้ งสรรค์ของตนเองตอ่ เหตกุ ารณ์ทีเ่ กิดขึน้ 7. ครูมอบหมายงานใหน้ ักเรยี นทาแบบฝกึ หดั รายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 เร่อื งการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ หนา้ 63-66 เป็นการบ้าน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204