51 10.กิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ นา 1. ครนู าภาพผัดไทกุ้งสด มาใหน้ ักเรียนสังเกต พรอ้ มถามคาถามตอ่ ไปนี้ 1) ผดั ไทยกุง้ สด มีวตั ถุดิบในการปรงุ อาหารอะไรบา้ ง (เสน้ ก๋วยเต๋ยี ว, กงุ้ สด , ถว่ั งอก , นา้ มนั , ไข่ , ถ่ัว ลสิ ง, มะนาว, กยุ ชา่ ย ) 2) วัตถุดบิ ของอาหารจานนี้ มสี ารอาหารประเภทใดบา้ ง (โปรตนี ไขมนั คาร์โบไฮเดรต วิตามนิ เกลือแร่ และนา้ ) 2. ครูพดู เชญิ ชวนเข้าสบู่ ทเรยี น อาหารทน่ี ักเรียนรบั ประทานในแต่ละม้ือมสี ารอาหารประเภทใดบ้าง สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชนอ์ ยา่ งไร วนั นเ้ี ราจะมาเรียนรู้กนั ข้นั สอน ๑.ครูและนักเรียนรว่ มกันอภปิ รายเก่ียวกับสารอาหาร โดยใช้คาถามดงั น้ี 1) อาหาร และสารอาหารแตกต่างกนั อย่างไร (อาหาร คือ ส่ิงทีเ่ รารบั ประทานไดโ้ ดยปลอดภยั และ ให้สารอาหารต่างๆ ที่เปน็ ประโยชนต์ ่อร่างกาย สว่ นสารที่เป็นองคป์ ระกอบในอาหาร เรยี กวา่ สารอาหาร (nutrient) เปน็ สารทีร่ า่ งกายสามารถใช้ประโยชนใ์ นการดารงชวี ติ ) 2) สารอาหารมีท้ังหมดก่ีประเภท อะไรบ้าง ( สารอาหารมี 6 ประเภท คอื คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลอื แร่ วิตามินและน้า ) ๒.ครใู ห้นกั เรียนจบั กลมุ่ ๆละ 5 คน จากนน้ั ใหแ้ ต่ละกลุ่มรว่ มกนั อภิปรายวา่ ข้าวผัดหมู ประกอบด้วย สารอาหารประเภทใด และวัตถดุ ิบทใ่ี ชใ้ นการทาขา้ วผดั หมใู ห้สารอาหารประเภทใด ๓.ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายวา่ “ข้าวผัดหมู มสี ารอาหารครบถ้วนหรือไม่ และวตั ถุดิบแต่ละชนิดให้ สารอาหารประเภทใด” ๔.ครูอธิบายเกย่ี วกับประเภทของสารอาหาร และแหลง่ ที่พบสารอาหารแต่ละประเภท ๕.จากนน้ั ให้นักเรยี นแตล่ ะคนบันทกึ อาหารทร่ี ับประทานใน 1 วนั ทงั้ หมด 3 ม้ือ พร้อมทั้งระบุวัตถุดิบใน อาหารและสารอาหารที่พบ ในแบบบนั ทึกกิจกรรมทคี่ รูแจกให้ ๖.ครูแบ่งกลุม่ นักเรยี นออกเป็นกลุ่มๆละ 5 คน เพ่อื ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกนั อภปิ รายถึงประโยชน์ของ สารอาหารแต่ละชนดิ ลงในกระดาษทค่ี รูแจกให้ ๗.ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปถงึ ประโยชน์ของสารอาหารแตล่ ะชนดิ
52 ขนั้ สรปุ ๑. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรุปเกยี่ วกบั ประเภทของสารอาหาร และแหลง่ ที่พบสารอาหารแต่ละประเภท ๒. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสุม่ เลอื กอาหารจากรายการอาหารที่ครกู าหนดให้ แล้วร่วมกนั อภปิ รายวา่ อาหารที่ กลมุ่ ตนเองได้รบั มสี ารอาหารประเภทใด และอาหารนน้ั ให้สารอาหารครบถ้วนหรือไม่ 11.สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ 1) ภาพรายการอาหาร ได้แก่ ผดั ไทยกุ้งสด ขา้ วผัดหมู ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ ขา้ วตม้ ทะเล แกงจืดหมู สบั กว๋ ยเตีย๋ วราดหนา้ หมู ข้าวไข่เจยี วหมูสับ ข้าวเหนยี วไก่ทอด เป็นต้น 2) แบบบันทึกกิจกรรม เร่ือง อาหารท่ีรบั ประทานใน 1 วัน
๕๓ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง อาหารและสารอาหาร แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒ เรอื่ ง การรบั ประทานอาหารใหเ้ หมาะสมกับเพศและวัย รายวชิ า ว 16101 ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผูส้ อน .................................................................... เวลา 4 ชั่วโมง โรงเรยี นอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตขิ องสง่ิ มีชวี ิต หน่วยพนื้ ฐานของสิ่งมีชีวติ การลาเลยี งสารผา่ นเซลล์ ความสมั พันธข์ องโครงสร้าง และหน้าทขี่ องระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ที างานสัมพันธ์กัน ความสมั พันธข์ อง โครงสร้าง และหน้าท่ีของอวยั วะต่างๆ ของพชื ที่ทางานสัมพันธก์ นั รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตวั ช้วี ัด ป.6/๒ บอกแนวทางในการเลือกรบั ประทานอาหารให้ไดส้ ารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนท่ี เหมาะสมกบั เพศและวัย รวมท้ังความปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ ตวั ชวี้ ัด ป.6/๓ ตระหนักถึงความสาคญั ของสารอาหาร โดยการเลือกรับประทานอาหารท่ีมี สารอาหารครบถว้ นในสัดส่วนที่เหมาะสมกบั เพศและวยั รวมท้ังปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ ๒. สาระสาคัญ การรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามเพศและวัย และมีสุขภาพดี จาเป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร ครบถ้วนในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ังต้องคานึงถึงชนิดและปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหาร เพอื่ ความปลอดภัยต่อสขุ ภาพ ๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรูค้ วามเขา้ ใจ (K) 1) นกั เรียนสามารถเลือกรับประทานอาหารให้ไดส้ ารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนท่เี หมาะสมกบั เพศและวยั ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) ๑) นักเรียนเลือกรบั ประทานอาหารในชวี ติ ประจาวนั ให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดสว่ นท่ีเหมาะสมกบั เพศ และวัย ด้านคุณลกั ษณะ (A) ๑) มีความรับผดิ ชอบในงานท่ีไดร้ บั มอบหมาย ๒) มคี วามใฝร่ ใู้ ฝ่เรยี น
๕๔ ๔. สาระการเรยี นรู้ การรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับเพศและวัย มหี ลักการดังน้ี ๑. การกาหนดรายการอาหารทเ่ี หมาะสม มีหลกั การ ดังน้ี 1) ยึดสัดส่วน ปรมิ าณ และความหลากหลายในแต่ละวนั 2) ดูความพอดขี องอาหาร ปรมิ าณทีเ่ หมาะสมกับความต้องการของรา่ งกาย โดยยดึ น้าหนักตามเกณฑ์ 3) รายการอาหารไม่ควรซ้ากันในแต่ละมื้อของวนั 4) ไม่ควรอดอาหารม้อื ใดมื้อหนึ่ง แต่ควรเลอื กรับประทานให้ครบปรมิ าณและสดั สว่ น 5) เลอื กรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวัย ๒. รายการอาหารทีเ่ หมาะสมในแต่ละวยั บคุ คลในแต่ละวยั จะมีความต้องการปรมิ าณอาหารแตกต่างกันตามเพศ วยั และกจิ กรรมทที่ าใน ชวี ิตประจาวนั ดงั นี้ วยั เรยี นอายุ 6-12 ปี วยั เรียนเป็นชว่ งวัยทมี่ ีการเจรญิ เติบโตของร่างกายอย่างช้าๆ ในตอนตน้ แตใ่ นช่วงปลายจะมอี ัตราการ เจรญิ เติบโตของรา่ งกายสงู เน่ืองจากต้องเตรียมความพรอ้ มเมือ่ เข้าส่วู ัยร่นุ จงึ ต้องการอาหารเพ่อื ให้มพี ลงั งาน เพียงพอสาหรบั การเจรญิ เตบิ โต และพฒั นาการของสมอง ปรมิ าณพลงั งานโดยประมาณที่เดก็ วยั เรียนควร ไดร้ บั ใน 1 วนั คอื เด็กชายอายุ 6-8 ปี 1,400 กิโลแคลอรแี ละอายุ 9-12 ปี 1,700 กโิ ลแคลอรี เด็กหญงิ อายุ 6-8 ปี 1,400 กโิ ลแคลอรีและอายุ 9-12 ปี 1,600 กโิ ลแคลอรี ๓. การรบั ประทานอาหารให้ได้สัดส่วนตามหลกั ธงโภชนาการ การกินอาหารนอกจากปฏิบัติตามหลักโภชนบัญญัติแล้ว การเลือกกินอาหารให้ได้สัดส่วนในปริมาณที่ เหมาะสมกับอายุ เพศ และกิจกรรมประจาวันตามธงโภชนาการก็มีความสาคัญยิ่ง เพราะธงโภชนาการจะบอกถึง ปริมาณ สัดส่วน และความหลากหลายของอาหารท่ีคนไทยอายุ 6 ปีข้ึนไป ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุควรกินใน 1 วัน โดยนาเอาอาหารหลกั 5 หมมู่ าแบง่ เป็น 4 ชั้น 6 กลุ่ม ดังนี้
๕๕ ชน้ั ที่ 1 กล่มุ ข้าว แป้ง กนิ ปริมาณมากที่สดุ เพราะเป็นแหล่งพลงั งาน ช้นั ท่ี 2 กลุ่มผกั และผลไม้ กินปริมาณรองลงมา เพื่อให้ได้วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ชั้นท่ี 3 กลุ่มเนอ้ื สัตว์ ถัว่ ไข่ และกลมุ่ นม กนิ ปริมาณพอเหมาะ เพ่ือให้ไดโ้ ปรตนี คุณภาพดี เหล็ก และแคลเซยี ม ชั้นท่ี 4 กลุ่มนา้ มนั นา้ ตาล เกลอื กนิ แต่นอ้ ยเทา่ ทจี่ าเป็น ในภาพจะเห็นว่า สดั ส่วนของอาหาร แสดงโดยใช้ขนาดของพนื้ ที่ พื้นทม่ี ากกนิ มาก พ้ืนทีน่ ้อยกินน้อย สว่ นการ กนิ อาหารให้หลากหลายชนิด ไมซ่ ้าจาเจ แสดงโดยใชภ้ าพอาหารในแต่ละกลุม่ ให้กินอาหารทุกกล่มุ และในแต่ละ กล่มุ ต้องกนิ ให้หลากหลาย เพ่ือใหไ้ ด้สารอาหารต่าง ๆ ครบถว้ น ตามทรี่ ่างกายต้องการ และเปน็ การหลกี เลย่ี งการ สะสมพิษภัยจากการปนเปื้อนในอาหารชนิดใดชนดิ หน่งึ ทีก่ ินเป็นประจา 5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ 2) มีความมุ่งมัน่ ในการทางานให้สาเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มีความรบั ผิดชอบ 7. คา่ นยิ ม ๑) ซ่ือสตั ย์ เสยี สละ อดทน และมอี ุดมการณ์ในสงิ่ ทด่ี ีงาม เพ่ือสว่ นรวม ๒) ใฝ่หาความรู้ หมน่ั ศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม 8. ชิ้นงาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบนั ทกึ กิจกรรมรายวชิ าวิทยาศาสตร์ช้ันป.6 หนา้ ๑๖-17 2) การกจิ กรรมกลมุ่ “เลือกรับประทานอาหารอย่างไร ให้ไดร้ ับสารอาหารครบถว้ น” 9. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์การผ่าน 1.ด้านความรู้ การตอบคาถามในแบบบนั ทกึ นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้ 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ กจิ กรรม, การทากิจกรรมกลุ่ม ถกู ต้องเกินร้อยละ 80 3.ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ การตอบคาถามในแบบบนั ทกึ นกั เรียนสามารถทาการตอบ กิจกรรม, การทากิจกรรมกลุ่ม คาถามไดถ้ ูกต้องเกนิ ร้อยละ 80 แบบสังเกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอันพึง ประสงคใ์ นเกณฑ์ดี-ดมี าก
๕๖ 10.กจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นนา ๑. ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง ประเภทและประโยชนข์ องสารอาหาร โดยใชค้ าถามต่อไปนี้ 1) สารอาหารมีทง้ั หมดกีป่ ระเภท อะไรบา้ ง (6 ประเภท ไดแ้ ก่ โปรตนี ไขมนั คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลอื แร่ และน้า) 2) สารอาหารแตล่ ะประเภทสามารถรบั ประทานไดจ้ ากอาหารประเภทใดบ้าง (โปรตนี รับประทานได้ จากเนอ้ื นม ไขแ่ ละถั่ว คาร์โบไฮเดรต รบั ประทานไดจ้ าก ข้าว แปง้ นา้ ตาล เผอื กและมัน วิตามินและ เกลือแร่ รบั ประทานได้จากผักและผลไม้ ไขมนั รบั ประทานได้จากไขมนั สัตวแ์ ละไขมันพชื น้า ไดจ้ าก การด่ืมน้า) 3) สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์อย่างไร ๒. ครพู ดู เชิญชวนเข้าสู่บทเรยี นว่า “หากนกั เรียนต้องการมีรา่ งกายท่ีเจรญิ เตบิ โตแขง็ แรง ตามเพศและวัยของ นกั เรียน นักเรียนควรเลอื กรับประทานอาหารอย่างไร” วนั นีเ้ ราจะมาเรยี นรู้กนั ขน้ั สอน ๑. ครูให้นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ ออกเป็น 8 กลมุ่ ๆละ 5-6 คน ๒. ครใู หน้ กั เรยี นทากิจกรรม “เลือกรบั ประทานอาหารอย่างไร ใหไ้ ด้รบั สารอาหารครบถว้ น” โดยมขี น้ั ตอนการ ทากจิ กรรม ดงั น้ี 1) ครูกาหนดรายการอาหารจานวน 20 รายการ และบอกพลังงานทไ่ี ด้รบั จากอาหารแต่ละชนิด 2) จากนั้นนักเรียนแตล่ ะกลุม่ วางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมใน 1 วันลงในกระดาษทค่ี รูแจก โดยใหเ้ ลือกอาหารจากรายการอาหารที่ครูกาหนดให้ทง้ั 3 มื้ออาหาร ภายใต้เง่ือนไขคือ ให้นกั เรียน ได้รับสารอาหารครบถ้วน และได้รบั พลังงานที่เหมาะสมกบั เพศและวยั ซ่ึงวัยของนักเรียนอายุ ประมาณ 12 ปี เพศหญิงจะต้องได้รับพลงั งานประมาณ 1,600 กโิ ลแคลอรี และเพศชายจะต้อง ได้รับพลงั งานประมาณ 1,700 กโิ ลแคลอรี 3) เม่ือนักเรียนแตล่ ะกลุม่ วางแผนในการเลือกรับประทานอาหารใน 1 วนั เรียบรอ้ ยแลว้ ครสู มุ่ ตัวแทน กลุ่มของนักเรยี นออกมานาเสนอ 2 กลุ่ม ๓. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปวา่ การรบั ประทานอาหารในแตล่ ะวันให้ได้สารอาหารครบถ้วนท้ัง 6 ประเภท โดยสัดส่วนเหมาะสมตามเพศและวยั นนั้ ควรปฏบิ ตั ิตนอย่างไร ๔. ครูอธิบายสัดสว่ นการรบั ประทานอาหารให้เหมาะสมตามเพศและวยั โดยยึดหลักตามธงโภชนาการ ๕. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปราย โดยใชค้ าถามต่อไปน้ี ๑) หากนักเรยี นรบั ประทานอาหารไม่เหมาะสมกบั เพศและวัย จะส่งผลอยา่ งไรต่อรา่ งกาย” (หาก รบั ประทานอาหารน้อยเกินไป ทาให้เกดิ โรคขาดสารอาหารและหากรับประทานอาหารมากเกนิ ไป ทาใหเ้ กดิ โรคอ้วน) ๒) หากนกั เรียนรบั ประทานอาหารแลว้ ไดร้ ับสารอาหารไม่ครบถ้วน จะสง่ ผลอย่างไรต่อรา่ งกาย(สง่ ผลให้ เกิดบางอย่างตามมา เชน่ โรคโลหิตจาง โรคเหนบ็ ชา โรคเบาหวาน เปน็ ตน้ )
๕๗ ขั้นสรุป ๑. ครูใหน้ ักเรียนแต่ละคนเขียนอาหารทต่ี นเองรับประทานทง้ั 3 มอ้ื ใน 1 วัน แล้วตอบคาถามในแบบบนั ทึก กิจกรรมวทิ ยาศาสตรส์ สวท.หน้า 16-17 11. สอ่ื และแหล่งเรียนรู้ 1) ภาพรายการอาหาร 20 รายการ 2) แบบบนั ทกึ กจิ กรรมรายวิชาวิทยาศาสตรช์ ้ันป.6 สสวท. 3) สอื่ Power point
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๒ ๕๘ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๓ รายวชิ า ว 16101 เรือ่ ง อาหารและสารอาหาร ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 เรอื่ ง ระบบย่อยอาหาร ผ้สู อน .................................................................... กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 10 ช่ัวโมง โรงเรยี นอนุบาลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้ีวดั มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสงิ่ มีชีวิต หน่วยพ้นื ฐานของสงิ่ มชี ีวติ การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ ง และหน้าท่ีของระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กัน ความสมั พนั ธ์ของ โครงสรา้ ง และหน้าที่ของอวัยวะตา่ งๆ ของพืชทที่ างานสัมพันธก์ นั รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวช้วี ัด ป.6/๔ สร้างแบบจาลองระบบย่อยอาหาร และบรรยายหนา้ ท่ีของอวัยวะในระบบยอ่ ย อาหาร รวมท้ังอธบิ ายการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร ตัวชี้วดั ป.6/๕ ตระหนักถงึ ความสาคัญของระบบย่อยอาหาร โดยการบอกแนวทางในการดแู ลรักษา อวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารให้ทางานเป็นปกติ ๒. สาระสาคัญ ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไสใ้ หญ่ ทวารหนกั ตับ และตับออ่ น ทาหนา้ ท่รี ว่ มกนั ในการยอ่ ยและดูดซึมสารอาหาร ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจ (K) 1) นกั เรยี นระบุอวัยวะทที่ าหน้าที่ในระบบย่อยอาหารได้ถูกต้องและครบถ้วน 2) นักเรยี นบรรยายลักษณะและอธิบายหนา้ ทีข่ องอวยั วะแต่ละชนดิ ในระบบย่อยอาหารได้ 3) นักเรยี นบอกแนวทางในการดูแลรกั ษาอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหารได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรียนสรา้ งแบบจาลองระบบย่อยอาหารพร้อมท้งั บอกหน้าที่ของอวยั วะได้ ด้านคุณลกั ษณะ (A) ๑) มคี วามรบั ผดิ ชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย ๒) มีความใฝ่รใู้ ฝเ่ รียน
๕๙ ๔. สาระการเรยี นรู้ ระบบย่อยอาหาร (Digestive System) มีหน้าท่ียอ่ ยอาหารให้ละเอียด แลว้ ดดู ซมึ ผา่ นเข้าส่กู ระแสเลอื ดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การยอ่ ยอาหาร (Digestion) หมายถึง กระบวนการสลายอนภุ าคอาหารให้มีขนาดเลก็ สุด จนสามารถดดู ซมึ เข้าไปในเซลลไ์ ด้ การยอ่ ยอาหารมี 2 ขนั้ ตอน คอื 1. การยอ่ ยเชงิ กล (Mechanical digestion) เป็นกระบวนการทาให้อาหารมีขนาดเล็กลง เพื่อสะดวกต่อการ เคลอ่ื นทแี่ ละการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีต่อไป โดยการบดเคยี้ ว รวมท้งั การบบี ตัวของทางเดินอาหาร แตไ่ ม่ สามารถทาให้อาหารมขี นาดเล็กสดุ จนสามารถดดู ซึมเขา้ เซลล์ได้ 2. การยอ่ ยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการย่อยอาหารให้มขี นาดเล็กที่สุด โดยการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี ระหวา่ งอาหาร กับน้าโดยตรง โดยใชเ้ อนไซมห์ รือนา้ ย่อยชว่ ยในการยอ่ ยอาหาร ผลจากการยอ่ ยทางเคมี เม่ือถึงจุดสดุ ทา้ ย จะได้สารโมเลกุลเลก็ ทสี่ ดุ ทีส่ ามารถดูดซึมเขา้ สูเ่ ซลล์ได้ อวัยวะในระบบย่อยอาหาร มีดงั นี้ ๑. ปาก มีฟันทาหน้าที่บดเคี้ยวอาหารท่ีมีขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นการย่อยเชิงกล โดยมีล้ินที่ช่วย คลุกเคลา้ อาหารใหผ้ สมกับนา้ ลาย ซึ่งในนา้ ลายมนี ้ายอ่ ยอะไมเลสที่ช่วยย่อยแป้ง ๒. หลอดอาหาร ลาเลียงอาหารจากคอหอย ถึงกระเพาะอาหาร ไม่มีการย่อยเชิงเคมีและไม่มีการดูดซึม สารอาหาร แต่มีการยอ่ ยเชิงกล จากการบีบตัวของหลอดอาหาร ๓. กระเพาะอาหาร ทาหน้าที่ย่อยโปรตีนให้มีขนาดเล็กลง และดูดซึมสารต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ , วิตามิน B12 แร่ธาตบุ างชนิดในปริมาณท่นี ้อย ๔. ลาไส้เล็ก ทาหน้าท่ีผลิตน้าย่อย, คลุกเคล้าอาหารให้เข้ากับน้าย่อยจากตับและตับอ่อน, และดูดซึม สารอาหารที่ย่อยแลว้ สารอาหารท้ังโปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน จะถกู ยอ่ ยอย่างสมบูรณภ์ ายในลาไส้ เล็ก
๖๐ ๕. ลาไส้ใหญ่ โดยน้า เกลือแร่ รวมถึงวิตามิน จะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตผ่านทางผนังลาไส้ และ ไม่พบกระบวนการย่อยอาหารเกิดขึ้นในลาไส้ใหญ่ กากอาหารต่างๆ ท่ีเหลือจากการย่อยจะถูกขับออกจาก ร่างกายทางทวารหนัก ๖. ทวารหนกั ทาหน้าทขี่ บั กากอาหารทีเ่ หลือจากการย่อยออกจากรา่ งกาย ๗. ตับ ทาหน้าที่ผลิตน้าดี เพื่อช่วยการย่อยไขมันและวิตามินบางชนิด โดยน้าดีที่สร้างจากตับจะเก็บไว้ที่ถุง นา้ ดแี ละลาเลียงเข้าสทู่ างเดนิ อาหารบริเวณลาไส้เลก็ สว่ นต้น ๘. ตับอ่อน ทาหน้าท่ีในการผลิตน้าย่อยซ่ึงเป็นเอนไซม์หลายชนิด และมีบทบาทในการย่อยอาหารจาพวก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน น้าย่อยท่ีผลิตโดยดับอ่อนจะลาเลียงผ่านท่อมาสู่ทางเดินอาหารที่ลาไส้ เลก็ ส่วนต้น ๕. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา 6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ 2) มีความมุ่งม่นั ในการทางานให้สาเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรบั ผิดชอบ 7. คา่ นิยม 1) ซ่ือสัตย์ เสียสละ อดทน และมอี ุดมการณ์ในสง่ิ ทดี่ ีงาม เพื่อสว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมั่นศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม 8. ชน้ิ งาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบนั ทกึ กิจกรรมรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ชั้นป.6 หน้า 21-22 , หน้า 27-28 2) การสร้างแบบจาลองระบบย่อยอาหารจากการสืบค้นขอ้ มลู 9. การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ วิธกี าร เครอ่ื งมือ เกณฑ์การผ่าน 1.ดา้ นความรู้ - การตอบคาถามในแบบบนั ทึก -นักเรียนสามารถตอบคาถามได้ 2.ด้านทกั ษะกระบวนการ กิจกรรม ถูกต้องเกินร้อยละ 80 - การสรา้ งแบบจาลองระบบ -นักเรียนสร้างแบบจาลองระบบ ย่อยอาหารจากการสบื ค้นข้อมลู ย่อยอาหารได้ถูกต้องรอ้ ยละ 80 - การตอบคาถามในแบบบันทึก -นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้ กิจกรรม ถกู ต้องเกินร้อยละ 80 - การสร้างแบบจาลองระบบ -นกั เรียนสรา้ งแบบจาลองระบบ ยอ่ ยอาหารจากการสืบคน้ ข้อมูล ยอ่ ยอาหารไดถ้ ูกต้องรอ้ ยละ 80
๖๑ วิธีการ เคร่อื งมือ เกณฑ์การผา่ น 3.ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม มีคะแนนคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ในเกณฑด์ ี-ดมี าก 11.กิจกรรมการเรยี นรู้ ขัน้ นา ๑. ครูทบทวนความร้เู ดิม เร่อื ง ระบบย่อยอาหาร โดยติดภาพอวยั วะในร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ปาก จมกู ปอด หวั ใจ กระเพาะอาหาร ลาไสเ้ ล็ก ลาไสใ้ หญ่ หลอดอาหาร หลอดลม ตับ ตบั อ่อน บนกระดานดา จากนั้นให้ นกั เรียนสังเกตภาพอวยั วะและนาภาพอวัยวะไปติดบนภาพโครงร่างของร่างกายมนษุ ย์ในตาแหน่งต่างๆ และ รว่ มกนั อภิปรายโดยใช้คาถาม ดังน้ี ๑) ภาพอวยั วะที่สังเกตได้ มีอวัยวะใดบ้าง (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ) ๒) มีอวยั วะใดบ้าง ทน่ี ักเรียนไม่ได้นาไปตดิ บนภาพโครงร่างของรา่ งกายมนุษย์ เพราะเหตุใด ๓) ภาพอวยั วะที่นักเรียนนาไปติดบนภาพโครงร่างของร่างกายมนษุ ยม์ ีอวัยวะใดบ้าง แตล่ ะอวัยวะทาหน้าท่ี ใด (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ) ๒. ครพู ูดเชญิ ชวนเขา้ สู่บทเรียนว่า “นักเรียนทราบหรือไม่ว่า อวยั วะในระบบย่อยอาหารมอี ะไรบ้าง แตล่ ะอวยั วะ มหี น้าทใี่ ด และนกั เรียนติดภาพอวัยวะบนโครงรา่ งของรา่ งกายมนษุ ย์ถูกต้องหรอื ไม่” วนั นเ้ี ราจะมาเรยี นรู้กนั ขนั้ สอน ๑. ครเู รมิ่ ต้นบทเรียนดว้ ยการใช้คาถามว่า ๑) การย่อยอาหารคืออะไร ๒) ระบบยอ่ ยอาหารมหี น้าท่อี ย่างไร ๓) การยอ่ ยอาหารมีก่ปี ระเภท จากนน้ั ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายคาตอบ ๒. ครแู บ่งนกั เรยี นออกเป็น 8 กลุ่มๆละ 5-6 คน ๓. ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุม่ สบื ค้นข้อมูลเกย่ี วกบั อวยั วะในระบบย่อยอาหาร พร้อมหนา้ ทขี่ องอวยั วะเหลา่ นัน้ โดย สืบค้นจากแหล่งข้อมูลทน่ี า่ เชือ่ ถือตา่ งๆ ๔. จากนนั้ นาข้อมลู ท่ีได้จากการสืบคน้ ไปสร้างแบบจาลองการทางานของอวยั วะ โดยใหแ้ ต่ละกลุ่มรว่ มกนั อภิปรายว่า จะสรา้ งแบบจาลองแบบใด เชน่ เขียนแผนภาพลงในกระดาษ แสดงบทบาทสมมติ เป็นตน้ ๕. ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอแบบจาลองของตนเอง ๖. จากนน้ั ครูเลอื กแบบจาลองท่ีสรา้ งไดถ้ ูกต้องมาร่วมกนั อภิปรายถึงหนา้ ที่ของแตล่ ะอวยั วะในระบบย่อย อาหาร โดยใช้คาถาม ดังนี้ ๑) อวัยวะในระบบย่อยอาหาร มีอวยั วะใดบา้ ง (ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไสเ้ ล็ก ลาไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตบั และตบั ออ่ น) ๒) อวยั วะแต่ละชนดิ ในระบบย่อยอาหาร ทาหน้าท่ีอยา่ งไรบ้าง
๖๒ ๗. ครเู ชอ่ื มโยงเข้าสู่บทเรียนต่อไป โดยใชค้ าถามว่า นกั เรยี นทราบแลว้ วา่ แต่ละอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารมี ความสาคัญต่อรา่ งกาย นกั เรียนทราบหรือไม่วา่ เรามวี ิธีดแู ลอวยั วะเหล่านนั้ ได้อย่างไร ๘. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันอภิปราย โดยใช้คาถามต่อไปนี้ ๑) นักเรยี นเคยเปน็ โรคหรือมอี าการทเี่ กี่ยวข้องกบั ระบบย่อยอาหารหรือไม่ และสาเหตใุ ดท่ีทาใหเ้ กดิ โรค เหลา่ นน้ั (นักเรียนตอบจากประสบการณ์ของตนเอง) ๒) นกั เรยี นรู้จักโรคหรอื อาการทีเ่ กดิ ขึ้นในระบบย่อยอาหารโรคใดบ้าง (โรคกระเพาะอาหาร ปวดทอ้ ง ท้องอืด ท้องเสีย ทอ้ งผกู โรคกรดไหลยอ้ น) ๓) ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลุม่ เลือกโรคในระบบย่อยอาหารมากลุ่มละ 2 โรค แล้วสืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกับ ลักษณะอาการของโรค สาเหตุของการเกิดโรค และการปอ้ งกันไมใ่ หเ้ กดิ โรคเหลา่ น้ัน แล้วสรุปข้อมลู ที่ ไดล้ งในแบบบันทกึ กิจกรรมรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ชัน้ ป.6 หนา้ 25 ๙. ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายวิธกี ารดแู ลอวยั วะและการป้องกนั โรคท่เี กิดข้นึ ในระบบย่อยอาหาร ขั้นสรุป ๖. ครูใหน้ กั เรียนตอบคาถามในแบบบนั ทึกกจิ กรรมวทิ ยาศาสตรส์ สวท.หนา้ 21-22 , หน้า 27-28 11. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ 1) ภาพอวยั วะและโครงรา่ งของร่างกายมนุษย์ 2) แบบบนั ทึกกิจกรรมรายวชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชน้ั ป.6 สสวท. 3) ส่ือ Power point
๖๓ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๓ เรือ่ ง การแยกสาร แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ ๓ เร่ือง การแยกสารผสมด้วยวิธกี ารร่อนและการหยบิ ออก รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 3 ช่ัวโมง ผู้สอน .................................................................... โรงเรยี นอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชวี้ ดั มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบตั ิของ สสารกบั โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตวั ช้ีวดั ป.6/๑ อธิบายและเปรยี บเทียบการแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหลก็ ดงึ ดูด การรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธีแกป้ ัญหาใน ชีวติ ประจาวนั เกีย่ วกบั การแยกสาร ๒. สาระสาคญั สารผสมประกอบด้วยสารตง้ั แต่ 2 ชนิดขนึ้ ไปผสมกัน เชน่ นา้ มนั ผสมน้า ขา้ วสารปนกรวดทราย วธิ ีการท่ี เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติของสารท่ีผสมกัน โดยอาจใช้วิธีการแยกสารด้วยการริน ออก การกรอง การอ่ น การหยบิ ออก การใช้แมเ่ หล็กดูดหรือการตกตะกอน ๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความร้คู วามเข้าใจ (K) 1) นกั เรียนอธิบายและเปรยี บเทียบการแยกสารผสม โดยการหยิบออกและการรอ่ นได้ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถแยกสารโดยการหยิบออกและการรอ่ นได้ ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) ๑) มคี วามรบั ผดิ ชอบในงานที่ได้รบั มอบหมาย ๒) มีความใฝ่รใู้ ฝเ่ รียน ๔. สาระการเรยี นรู้ การแยกสารผสม ได้แก่ ๑. การร่อน เปน็ วิธีการใช้แยกสารท่ีเป็นของแขง็ ออกจากกัน โดยเนือ้ สารมีขนาดตา่ งกัน เช่น การร่อนแร่ใน ลาธาร เปน็ ต้น
๖๔ ๒. การใชม้ อื หยบิ ออก เป็นการแยกของผสมทม่ี ีขนาดใหญ่ มองเหน็ ไดช้ ัด เช่น แยกเมลด็ ข้าวเปลือกทป่ี นกับข้าวสาร ๕. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา ๖. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝเ่ รยี นรู้ 2) มีความมุง่ มน่ั ในการทางานให้สาเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรบั ผิดชอบ ๗. คา่ นยิ ม 1) ซอ่ื สัตย์ เสยี สละ อดทน และมีอุดมการณ์ในส่ิงท่ีดงี าม เพ่ือส่วนรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หม่นั ศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ๘. ชน้ิ งาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบันทึกกจิ กรรมรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ช้ันป.6 หน้า 39-42 2) การลงมอื ทากิจกรรมเร่ือง การแยกของแข็งในสารเน้ือผสมออกจากกนั ทาไดอ้ ย่างไร ๙. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ วธิ ีการ เคร่อื งมอื เกณฑ์การผา่ น 1.ด้านความรู้ - การตอบคาถามในแบบบนั ทึก -นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้ 2.ด้านทกั ษะกระบวนการ กจิ กรรม ถกู ต้องเกินร้อยละ 80 - การลงมือปฏบิ ตั ิกิจกรรม -นกั เรยี นสามารถปฏิบัตกิ ิจกรรม ตามข้นั ตอนและมผี ลการทดลองท่ี ถูกต้องเกนิ ร้อยละ 80 3.ด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มคี ะแนนคณุ ลักษณะอันพึง ประสงค์ในเกณฑ์ดี-ดมี าก
๖๕ ๑๐.กจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ นา ๑. ครทู บทวนความร้เู ดิม เรอ่ื ง การแยกของแขง็ ในสารเนื้อผสมออกจากกนั ครสู รา้ งความสนใจ โดยการเลา่ นิทานเร่ืองหนู ดงั น้ี “หนผู ัวเมยี ค่หู นึง่ ขุดรูอยรู่ มิ คันนา ขณะนนั้ หนตู วั เมียกาลังตงั้ ท้อง ช่วงเวลานั้นขา้ วในทุ่งนากาลังเหลอื ง อร่าม ต่อมาไม่นานแมห่ นกู ใ็ ห้กาเนดิ ลูกครอกหนึ่ง แมห่ นตู ้องการน้านมมากเพยี งพอท่จี ะเลี้ยงลกู หนู แม่ หนจู งึ ตอ้ งหาอาหารมากกวา่ ปกติ โดยออกจากรังไปกัดรวงข้าว แม่หนูใช้ฟันแทะเปลอื กเมล็ดขา้ วให้หลดุ ออกไป เหลอื แตเ่ มลด็ ข้าวสารแลว้ นามาแทะกนิ อย่างเอร็ดอร่อย” จากน้ันครูใชค้ าถามดงั นี้ 1) หนทู าอย่างไรจึงได้เมลด็ ข้าวสารมากนิ (หนใู ช้ฟันแทะเปลอื กออก) 2) ถา้ นักเรียนต้องการเมลด็ ข้าวสารออกจากเปลือกขา้ วสารตอ้ งทาอย่างไร (นักเรียนตอบตามความ เข้าใจของตนเอง) ๒. ครูพดู เชิญชวนเข้าสู่บทเรียนว่า “นักเรียนทราบหรือไม่วา่ หากนกั เรียนต้องการแยกของแขง็ ในสารเน้ือ ผสมออกจากกนั ควรทาอย่างไร” วนั น้ีเราจะมาทากจิ กรรมเร่ืองนก้ี ัน ขน้ั สอน 1. ครใู หน้ กั เรยี นแบ่งกลุ่มออกเป็น 8 กลุม่ ๆละ 5-6 คน 2. ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ศึกษาวสั ดุ-อุปกรณ์ และวธิ ดี าเนินการทากิจกรรมเรื่อง การแยกของแข็งในสารเนื้อ ผสมออกจากกันทาไดอ้ ย่างไร 3. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนออกมารบั วสั ดุ-อปุ กรณ์ และลงมือดาเนินการทากจิ กรรมเร่ือง การแยกของแข็ง ในสารเนือ้ ผสมออกจากกนั ทาได้อย่างไร แลว้ บนั ทึกผลการทากจิ กรรมลงในแบบบันทึกกิจกรรมรายวิชา วิทยาศาสตรช์ ั้นป.6 หน้า 39-41 4. ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภิปรายผลการทากจิ กรรม โดยใชค้ าถามดังนี้ 1) หลงั จากตาขา้ วเปลือกให้เปลือกข้าวกะเทาะออกจากเมลด็ ข้าวสาร สารผสมทีไ่ ด้มีลักษณะ อย่างไร (มสี ารหลายอย่างปนกัน เช่น เปลือกขา้ ว เมล็ดข้าวเปลือก เมลด็ ขา้ วสาร) 2) สารทง้ั หมดในสารเนื้อผสมมีสถานะใด (ของแขง็ ) 3) นักเรียนใช้วิธใี ดบา้ งในการแยกเมลด็ ขา้ วสารออกจากสารชนิดอืน่ ๆ และแตล่ ะวิธที าอย่างไรบา้ ง (การหยิบออก , การรอ่ น , การฝัด) 4) การแยกสารที่เป็นของแข็งออกจากกนั ใช้วธิ กี ารใดบา้ ง การหยบิ ออก , การร่อน , การฝัด) 5) การหยบิ ออก การร่อน การฝดั ใช้แยกสารเนือ้ ผสมที่มลี ักษณะและสมบตั ิอย่างไรออกจากกัน (การหยิบออกใชแ้ ยกสารเนื้อผสมท่เี ปน็ ของแข็งทีม่ ีสีหรือขนาดตา่ งกันอยา่ งชดั เจน การร่อนใช้ แยกสารเน้อื ผสมของแข็งทมี่ ีขนาดต่างกัน โดยของแขง็ ที่มขี นาดเล็กกว่ารูตะแกรงจะลอดรู ตะแกรง สว่ นของแข็งที่มขี นาดใหญ่กวา่ จะอย่บู นตะแกรง การฝดั ใช้แยกของแขง็ ทม่ี นี า้ หนกั ตา่ งกนั ออกจากกัน) 6) การหยิบออก การรอ่ น การฝดั มีข้อดี-ข้อจากดั ต่างกันอยา่ งไร (การหยบิ ออก ข้อดี ไม่ตอ้ งใช้ อปุ กรณ์เพ่มิ เติม ข้อจากัด ใชเ้ วลานานและหยิบสารท่ีมขี นาดเล็กยาก การร่อน ข้อดี ใช้เวลานอ้ ย
๖๖ ขอ้ จากัด ไมส่ ามารถร่อนสารทมี่ ีขนาดใกล้เคียงกันได้ การฝัด ขอ้ ดี ใช้เวลาน้อย ข้อจากัด ไม่ สามารถแยกเมล็ดขา้ วสารท่ีมีนา้ หนกั ใกล้เคยี งกนั ได)้ 7) นักเรียนสามารถนาวธิ กี ารหยิบออก การร่อน การฝัดไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ไดอ้ ย่างไร (การรอ่ น ทรายออกจากกรวด การหยบิ เมล็ดพืชท่ีเสยี ออกจากเมล็ดพืชทีด่ ี) ขนั้ สรุป 1. ครูใหน้ ักเรยี นตอบคาถามในแบบบนั ทกึ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์สสวท.หน้า 42 11. สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ 1) วสั ดุ-อุปกรณใ์ นกจิ กรรมเรื่อง การแยกของแข็งในสารเน้อื ผสมออกจากกนั ทาได้อย่างไร 2) แบบบันทกึ กิจกรรมรายวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยชี ั้นป.6 สสวท. 3) สอื่ Power point
๖๗ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๓ เร่อื ง การแยกสาร แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 4 เรอื่ ง การแยกสารผสมดว้ ยวิธีการกรอง การตกตะกอนและการรนิ ออก รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 3 ชั่วโมง ผู้สอน.................................................................... โรงเรียนอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชว้ี ดั มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของ สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ตวั ชว้ี ดั ป.6/๑ อธบิ ายและเปรียบเทยี บการแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหลก็ ดึงดดู การรินออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทงั้ ระบุวธิ แี ก้ปญั หาใน ชีวติ ประจาวนั เก่ยี วกับการแยกสาร ๒. สาระสาคญั สารผสมประกอบด้วยสารตัง้ แต่ 2 ชนิดขนึ้ ไปผสมกัน เชน่ น้ามนั ผสมน้า ข้าวสารปนกรวดทราย วิธกี ารที่ เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติของสารท่ีผสมกัน โดยอาจใช้วิธีการแยกสารด้วยการรนิ ออก การกรอง การ่อน การหยบิ ออก การใช้แมเ่ หล็กดูดหรอื การตกตะกอน ๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ด้านความรคู้ วามเข้าใจ (K) 1) นกั เรยี นอธบิ ายและเปรียบเทียบการแยกสารผสม โดยการรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอนได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถแยกสารโดยการรินออก การกรอง และการตกตะกอนได้ ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) มีความรับผิดชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย 2) มีความใฝร่ ูใ้ ฝเ่ รียน
๖๘ ๔. สาระการเรยี นรู้ การแยกสารผสม ไดแ้ ก่ ๑. การกรอง ใช้แยกของผสมทเี่ ปน็ ของแข็งออกจากของเหลว โดยที่ของแขง็ ต้องไม่ละลายในของเหลว โดยท่วั ไปจะ ใชก้ รวยกรองทีม่ ีกระดาษกรองอยู่ หรือใช้การกรองผา่ นผ้าหรือกระดาษท่ีมีรขู นาดเล็ก เช่น การแยกทรายออก จากนา้ ๒. การตกตะกอนและการรนิ ออก การแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งที่แขวนลอยอยู่ในของเหลว โดยมีหลักการท่ีสาคัญ คือ การนาสาร ผสมต้ังทิ้งไว้ เน่ืองจากอนุภาคของแข็งท่ีแฝงอยู่นั้นมีน้าหนัก ดังน้ันจึงตกตะกอนอยู่ท่ีก้นภาชนะ จากน้ันริน ของเหลวด้านบนออกจากอนุภาคของของแข็ง จะทาให้ได้สารบริสุทธ์ิทั้งสองสว่ น เช่น การแยกตะกอนดินหินใน นา้ โคลน เปน็ ตน้ ๕. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา ๖. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝเ่ รียนรู้ 2) มคี วามมุ่งม่นั ในการทางานให้สาเรจ็ ด้วยความสามารถของตนเอง 3) มีความรบั ผิดชอบ
๖๙ ๗. คา่ นยิ ม 1) ซอ่ื สตั ย์ เสยี สละ อดทน และมอี ดุ มการณ์ในสง่ิ ทด่ี งี าม เพื่อสว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมนั่ ศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ๘. ช้นิ งาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบนั ทึกกิจกรรมรายวชิ าวิทยาศาสตร์ช้ันป.6 หน้า 44-48 2) การลงมือทากิจกรรมเรื่อง การแยกสารเน้ือผสมทม่ี ขี องแขง็ กับของเหลวออกจากกนั ทาได้อยา่ งไร ๙. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ วิธกี าร เคร่อื งมือ เกณฑ์การผา่ น 1.ด้านความรู้ - การตอบคาถามในแบบบนั ทึก -นกั เรยี นสามารถตอบคาถามได้ กจิ กรรม ถกู ต้องเกินร้อยละ 80 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ - การลงมือปฏบิ ตั ิกิจกรรม -นกั เรยี นสามารถปฏิบตั ิกจิ กรรม ตามข้ันตอนและมผี ลการทดลองที่ ถกู ต้องเกินร้อยละ 80 3.ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มีคะแนนคุณลักษณะอันพึง ประสงคใ์ นเกณฑ์ดี-ดีมาก ๑๐.กิจกรรมการเรยี นรู้ ขัน้ นา 1. ครูทบทวนความรู้เดิม เร่อื ง การแยกสารเนอ้ื ผสมทมี่ ขี องแข็งกับของเหลวออกจากกนั โดยใชค้ าถาม ดังน้ี 1) สารเนอื้ ผสมท่เี ป็นของแข็งกบั ของเหลวมีอะไรบ้าง (น้าผสมแปง้ นา้ โคลน) 2) หากเราตอ้ งการแยกของแขง็ ออกจากของเหลวจะใช้วิธกี ารใด และอุปกรณ์ใดบา้ ง (การกรอง) 2. ครูพูดเชิญชวนเข้าสูบ่ ทเรียนว่า “นักเรียนทราบหรือไม่วา่ หากนักเรียนต้องการแยกของแขง็ ออกจาก ของเหลวควรทาอย่างไร” วนั นี้เราจะมาทากิจกรรมเรอ่ื งนก้ี ัน ข้ันสอน ๑. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 8 กล่มุ ๆละ 5-6 คน ๒. ครูให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ศึกษาวัสดุ-อปุ กรณ์ และวิธีดาเนินการทากจิ กรรมเร่ือง การแยกสารเนือ้ ผสมที่มี ของแขง็ กบั ของเหลวออกจากกันทาได้อย่างไร ๓. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มสง่ ตัวแทนออกมารับวสั ดุ-อุปกรณ์ และลงมือดาเนินการทากจิ กรรมเรอ่ื ง การแยกสารเนื้อ ผสมท่ีมีของแข็งกับของเหลวออกจากกันทาไดอ้ ย่างไร แล้วบันทึกผลการทากจิ กรรมลงในแบบบันทกึ กจิ กรรมรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ชัน้ ป.6 หน้า ๔๔-4๖ ๔. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายผลการทากจิ กรรม โดยใชค้ าถามดงั นี้
๗๐ 1) นา้ ปูนเป็นสารเนอื้ เดียวหรอื สารเนือ้ ผสม เพราะเหตใุ ด (เป็นสารเนอื้ ผสม เพราะมองเหน็ ของแขง็ บางสว่ นแยกตัว บางสว่ นจมลงในของเหลว) 2) เมอ่ื ต้ังน้าปูนทิ้งไว้ 15 นาที เกิดส่งิ ใดขึ้น (น้าปูนช่วงแรกเป็นสีขาวข่นุ เมื่อตั้งท้งิ ไว้ดา้ นบนเร่ิมใส และของแขง็ บางส่วนเริม่ ตกตะกอนลงก้นภาชนะ) 3) สารท่อี ยกู่ น้ แกว้ มีลกั ษณะอย่างไร และเกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร (สารท่ีอย่กู น้ แกว้ มลี ักษณะเปน็ ของแข็ง ของแข็งเหลา่ นี้เปน็ ของแขง็ ที่ไมล่ ะลายในของเหลวซ่ึงแขวนลอยอย่ใู นของเหลว แล้วคอ่ ยๆ รวมตวั กันตกลงสกู่ ้นแกว้ ตามแรงโนม้ ถ่วงของโลก) 4) วิธกี ารแยกสารวธิ นี เี้ รยี กวา่ อย่างไร (การตกตะกอน) 5) นักเรียนสามารถแยกของแขง็ ทอี่ ยู่กน้ แกว้ ออกจากของเหลวได้อยา่ งไร (รนิ ของเหลวสว่ นบนออก จากแกว้ ให้มากทีส่ ดุ ) 6) วธิ ีการแยกสารข้างตน้ เรียกวา่ อยา่ งไร (การรนิ ออก) 7) เม่อื รินนา้ ปูนในแกว้ ท่ี 2 ใส่ผ้าขาวบาง สารทคี่ า้ งอยู่บนผา้ ขาวบางและสารทลี่ อดผ่านผ้าขาวบาง มีลกั ษณะอย่างไร (สารที่ค้างอยูบ่ นผา้ ขาวบางเปน็ ของแข็งสขี าวขุ่น สารที่ผ่านผ้าขาวบางเป็น ของเหลวสีขาวขุน่ ) 8) สารทีผ่ า่ นผ้าขาวบางได้มขี นาดเล็กหรือใหญ่กว่ารขู องผา้ ขาวบาง (สารท่ผี ่านผ้าขาวบางได้มี ขนาดเลก็ กว่ารูของผา้ ขาวบาง) 9) เมือ่ รินน้าปนู ในแก้วที่ 3 ใส่กระดาษกรอง สารค้างอยู่บนกระดาษกรองและสารทผ่ี ่านกระดาษ กรองมีลักษณะอยา่ งไร (สารทีค่ า้ งอย่บู นกระดาษกรองเป็นของแขง็ สขี าว ส่วนสารทผี่ า่ น กระดาษกรองเปน็ ของเหลวสีใส) 10)สารทีผ่ ่านกระดาษกรองได้มีขนาดเลก็ หรอื ใหญ่กว่ารขู องกระดาษกรอง (สารท่ีผ่านกระดาษกรอง ไดม้ ขี นาดเล็กกวา่ รูของกระดาษกรอง) 11)การแยกสารด้วยวิธีการในแก้วที่ 2 และ 3 เรียกวา่ อยา่ งไร (การกรอง) 12)เมือ่ เปรียบเทยี บของเหลวท่ีผ่านการกรองดว้ ยผา้ ขาวบางและกระดาษกรอง การกรองผ่านวสั ดุ ชนดิ ใดมขี ้อดีมากกวา่ กัน เพราะเหตใุ ด (การกรองผา่ นกระดาษกรองดกี วา่ เพราะได้ของเหลวทใี่ ส กวา่ ) 13)วิธีการแยกสารด้วยวธิ กี ารตกตะกอน การรินออก และการกรองใชแ้ ยกสารที่มลี ักษณะและ สมบัตอิ ยา่ งไร (ใช้แยกของแข็งออกจากของเหลวในสารเนือ้ ผสม) 14)ลกั ษณะของเหลวทีไ่ ด้จากการแยกสารด้วยวธิ กี ารตกตะกอน การรินออก และการกรองแตกตา่ ง กันหรอื ไม่ อย่างไร (แตกต่างกัน ลกั ษณะของเหลวท่ีได้จากการกรองดว้ ยกระดาษกรองใสที่สุด รองลงมาคือการตกตะกอนและรินออก และการกรองดว้ ยผ้าขาวบางของเหลวท่ีได้จะขนุ่ ) 15)การแยกสารด้วยวธิ กี ารตกตะกอน การรนิ ออก และการกรองมีข้อดี ข้อจากัดอย่างไร (การ ตกตะกอน ขอ้ ดีคอื ไดข้ องเหลวใส อปุ กรณ์นอ้ ย ขอ้ จากดั คือ ใชเ้ วลานาน การรนิ ออก ขอ้ ดีคอื ใช้อุปกรณน์ ้อย ข้อจากัดคือ มีของแข็งปนมากับของเหลวขณะรนิ ออก การกรองดว้ ยกระดาษ กรอง ข้อดีคือ ใชเ้ วลานอ้ ย ได้ของเหลวใส ข้อจากดั คือ อุปกรณ์หลายช้ิน)
๗๑ 16)นกั เรยี นสามารถนาวิธีการตกตะกอน การรินออก และการกรองไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้อย่างไร (การรนิ น้าซาวขา้ วออก ก่อนนาขา้ วไปหุง การตกตะกอนสารในนา้ ประปา การกรองน้าด่ืม) ขัน้ สรปุ ๑. ครูใหน้ ักเรียนตอบคาถามในแบบบันทกึ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์สสวท.หน้า 47-48 11. ส่ือและแหลง่ เรียนรู้ 1) วัสดุ-อปุ กรณใ์ นกิจกรรมเร่ือง การแยกสารเน้ือผสมที่มีของแข็งกับของเหลวออกจากกนั ทาได้อยา่ งไร 2) แบบบันทกึ กจิ กรรมรายวชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีชั้นป.6 สสวท. 3) สอื่ Power point
๗๒ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๓ เร่ือง การแยกสาร แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 5 เรอ่ื ง การแยกสารผสมด้วยวธิ ีการใช้แมเ่ หล็กดดู รายวชิ า ว 16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ผ้สู อน.................................................................... เวลา 2 ชั่วโมง โรงเรยี นอนุบาลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้วี ัด มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบตั ขิ อง สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนยี่ วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตัวชีว้ ัด ป.6/๑ อธบิ ายและเปรียบเทยี บการแยกสารผสม โดยการหยิบออก การรอ่ น การใช้แมเ่ หลก็ ดงึ ดูด การรินออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์ รวมทง้ั ระบวุ ธิ แี ก้ปัญหาใน ชวี ติ ประจาวนั เก่ียวกบั การแยกสาร ๒. สาระสาคัญ สารผสมประกอบดว้ ยสารตั้งแต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไปผสมกนั เช่น นา้ มันผสมน้า ขา้ วสารปนกรวดทราย วธิ ีการท่ี เหมาะสมในการแยกสารผสมข้ึนอยู่กับลักษณะและสมบัติของสารที่ผสมกัน โดยอาจใช้วิธีการแยกสารด้วยการริน ออก การกรอง การอ่ น การหยิบออก การใชแ้ มเ่ หล็กดดู หรือการตกตะกอน ๒. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความรคู้ วามเข้าใจ (K) 1) นกั เรียนอธิบายและเปรยี บเทียบการแยกสารผสม โดยการใช้แม่เหลก็ ดดู ได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรยี นสามารถแยกสารโดยการใช้แมเ่ หลก็ ดูดได้ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) มคี วามรบั ผดิ ชอบในงานท่ีได้รับมอบหมาย 2) มีความใฝร่ ู้ใฝ่เรียน
๗๓ 4. สาระการเรยี นรู้ การแยกสารผสม ไดแ้ ก่ การใช้แมเ่ หลก็ ดูด ใช้แยกของผสมท่ีแม่เหล็กสามารถดงึ ดดู ได้ เชน่ การแยกผงตะไบเหล็กปนสาร 5. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝเ่ รยี นรู้ 2) มคี วามมุง่ มน่ั ในการทางานให้สาเรจ็ ดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรับผิดชอบ 7. คา่ นยิ ม 1) ซื่อสัตย์ เสยี สละ อดทน และมีอุดมการณ์ในส่ิงทดี่ ีงาม เพื่อส่วนรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หม่นั ศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม 8. ช้ินงาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบันทกึ กจิ กรรมรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ช้นั ป.6 หนา้ 50,52,54-56 2) การลงมอื ทากจิ กรรมเรื่อง การแยกสารเน้อื ผสมที่มีแม่เหลก็ ผสมสารอื่นออกจากกันทาได้อยา่ งไร 9. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ วิธีการ เครื่องมอื เกณฑ์การผา่ น 1.ดา้ นความรู้ - การตอบคาถามในแบบบนั ทึก -นกั เรียนสามารถตอบคาถามได้ กิจกรรม ถูกต้องเกินร้อยละ 80 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ - การลงมือปฏิบตั ิกจิ กรรม -นกั เรียนสามารถปฏิบตั กิ จิ กรรม ตามข้นั ตอนและมผี ลการทดลองที่ ถกู ต้องเกินร้อยละ 80
๗๔ วธิ ีการ เคร่อื งมอื เกณฑ์การผา่ น 3.ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มีคะแนนคุณลักษณะอนั พึง ประสงค์ในเกณฑ์ดี-ดมี าก 10. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนา 1. ครูทบทวนความรเู้ ดิม เรอ่ื ง การแยกสารแมเ่ หล็กออกจากสารอื่น โดยใช้คาถาม ดังนี้ 1) แม่เหลก็ ดึงดดู อะไรบา้ ง (เหล็ก, แม่เหล็ก, ตะปู) 2) หากเราจะนาแม่เหลก็ มาแยกสารเน้ือผสม สารเนอื้ ผสมนัน้ ควรมีลักษณะอยา่ งไร (สารเน้ือผสมนนั้ ควรมี แม่เหลก็ เปน็ สว่ นประกอบ) 2. ครพู ูดเชญิ ชวนเขา้ สบู่ ทเรยี นว่า “นักเรียนทราบหรือไม่วา่ เราสามารถใช้วิธกี ารใดบา้ งเพื่อแยกแมเ่ หลก็ ออก จากสารเน้ือผสมชนิดอื่น” วนั นี้เราจะมาทากิจกรรมเร่ืองนก้ี ัน ขน้ั สอน 1. ครูใหน้ ักเรียนแบ่งกลุม่ ออกเป็น 8 กลุม่ ๆละ 5-6 คน 2. ครใู ห้นักเรียนแต่ละกล่มุ ศึกษาวัสดุ-อุปกรณ์ และวธิ ดี าเนินการทากิจกรรมเรื่อง การแยกสารเนือ้ ผสมที่มี แมเ่ หลก็ ผสมสารอื่นออกจากกนั ทาได้อยา่ งไร 3. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนออกมารบั วัสดุ-อปุ กรณ์ และลงมอื ดาเนินการทากจิ กรรมเรอื่ ง การแยกสาร เน้ือผสมท่มี ีแมเ่ หล็กผสมสารอ่ืนออกจากกันทาได้อยา่ งไร แล้วบนั ทกึ ผลการทากิจกรรมลงในแบบบันทึก กจิ กรรมรายวิชาวิทยาศาสตร์ชนั้ ป.6 หน้า 50 4. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายผลการทากจิ กรรม โดยใชค้ าถามดังน้ี 1) การใชแ้ มเ่ หล็กแยกผงเหล็กออกจากเมล็ดขา้ วเปลือกทาได้หรือไม่ (สามารถแยกผงเหล็กออกจาก เมล็ดขา้ วเปลอื กได้ โดยแมเ่ หลก็ จะดูดผงเหลก็ ขึ้นมา เมล็ดขา้ วเปลือกไมถ่ ูกแมเ่ หล็กดูด จงึ สามารถแยกผงเหลก็ ออกจากเมล็ดข้าวเปลือกได้) 2) นกั เรยี นสามารถนาวิธกี ารใชแ้ มเ่ หล็กดูดไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งไร (การแยกเหลก็ ออกจาก กองขยะประเภทอน่ื ได้) 5. ครูให้นกั เรยี นตอบคาถามในแบบบนั ทึกกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์สสวท.หนา้ 52 ขั้นสรปุ 1. นักเรยี นอ่านบทความเร่ือง วิธีการทาน้าตาลปึก ในหนงั สือรายวิชาวิทยาศาสตร์ป.6 สสวท. แลว้ รว่ มกนั อภปิ รายว่ามวี ธิ กี ารแยกสารในแตล่ ะขั้นตอนอย่างไรบ้าง แล้วตอบคาถามลงในแบบบนั ทึกกิจกรรมรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์หน้า 54-56 11. ส่อื และแหลง่ เรียนรู้ 1) วัสดุ-อุปกรณใ์ นกจิ กรรมเร่ือง การแยกสารเนื้อผสมท่ีมีแมเ่ หลก็ ผสมสารอน่ื ออกจากกันทาได้อยา่ งไร 2) แบบบนั ทึกกจิ กรรมรายวชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีชั้นป.6 สสวท. 3) สื่อ Power point
๗๕ หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี ๔ เรอื่ ง หนิ และซากดึกดาบรรพ์ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 6 เรอ่ื ง หิน รายวชิ า ว 16101 ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผูส้ อน.................................................................... เวลา 3 ชั่วโมง โรงเรยี นอนบุ าลตราด 1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชีว้ ัด มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบ และความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี ิบตั ภิ ัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟา้ อากาศและภูมอิ ากาศโลกรวมทง้ั ผลต่อ สิ่งมชี วี ติ และ ตัวชวี้ ดั ป.6/๑ เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปรและอธบิ ายวฏั จักรหนิ จากแบบจาลอง 2. สาระสาคัญ หินเป็นวัสดุแข็งเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยแร่ต้ังแต่หนึ่งชนิดข้ึนไป สามารถจาแนกหินตาม กระบวนการเกดิ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ หนิ อัคนี หนิ ตะกอน และหนิ แปร 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ด้านความรู้ความเขา้ ใจ (K) 1) นักเรยี นอธบิ ายกระบวนการเกดิ หินอัคนี หนิ ตะกอนและหินแปรได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรียนเปรยี บเทียบกระบวนการเกดิ หนิ อัคนี หินตะกอนและหนิ แปรได้ 2) นักเรยี นสบื คน้ ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเกดิ หินอัคนี หินตะกอนและหนิ แปรได้ ดา้ นคุณลักษณะ (A) 1) มคี วามรับผิดชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย 2) มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน
๗๖ 4. สาระการเรยี นรู้ หนิ เปน็ วัสดแุ ขง็ เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ประกอบดว้ ยแร่ต้ังแต่หน่ึงชนดิ ขนึ้ ไป สามารถจาแนกหินตามกระบวนการ เกดิ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ได้แก่ 1. หนิ อคั นี กระบวนการเกิดหนิ อัคนี หินอัคนีเกิดจากกระบวนการแข็งตัวของหินหนืดที่หลอมละลายอยู่ภายใต้ชั้นเปลือกโลก หินหนืดที่อยู่ ภายใตช้ ้นั เปลือกโลก เรียกวา่ แมกมา )Magma (และเมอ่ื ผุดพ้นออกมาบนผิวโลก เรียกวา่ ลาวา )Lava( ประเภท ของหินอัคนี ท่ีแบ่งตามแหล่งท่มี า มี 2 ประเภท ดงั น้ี 1) หินอัคนีแทรกซอน (Intrusive igneous rocks) เป็นหินที่เกิดจากหินหนดื ในเปลอื กโลกที่เรียกว่า แมกมา ซ่ึงมีอุณหภูมิสูง จะดันแทรกตัวข้ึนมาแต่ยังไม่ถึงผิวโลก แมกมาจะเกิดการเย็นตัวและแข็งตัวอย่างช้าๆ เกิด เป็นผลึกแร่ขนาดใหญ่ ทาให้หินมีเน้ือผลึกหยาบ เน้ือหินแน่นแข็ง และมีแร่หลายชนิดรวมตัวเกาะกันแน่น ได้แก่ หนิ แกรนติ หนิ ไดออไรต์ หนิ แกรบโบร 2) หินอัคนีพุ (Extrusive igneous rocks) หรือหินภูเขาไฟ (Volcanic rocks) คือ หินอัคนีท่ีเกิดจากการ เย็นตัวและแข็งตัวของลาวา บางส่วนจะเกิดเป็นหินท่ีมีลักษณะเป็นรูพรุน เช่น หินพัมมิช หินสคอเรีย บางส่วนมีลกั ษณะเน้ือเนยี นเป็นแกว้ เช่น หนิ ออบซเิ ดียน บางสว่ นเปน็ หนิ ทีม่ เี นือ้ แน่นเป็นผลึกขนาดเล็กมาก ไดแ้ ก่ หนิ บะซอลล์ หินแอนดไี ซต์ และหนิ ไรโอไลต์ 2. หินตะกอน กระบวนการเกิดหนิ ตะกอนในธรรมชาติ 1. การทบั ถม การเกิดหนิ ตะกอนเร่ิมต้งั แต่การสะสมตวั ของเศษหนิ กรวด ทรายและดินละเอยี ดที่ทบั ถมในน้า ทา ให้เกิดตะกอนเป็นช้นั ๆ เรยี งตามขนาดของตะกอน ตะกอนที่มขี นาดเล็กละเอยี ดจะแทรกอยู่ตามชอ่ งวา่ ง ระหว่างตะกอนหยาบของทรายและกรวด เม่ือถึงฤดูแล้ง นา้ จะระเหยแหง้ ทาให้ตะกอนจบั ตวั กนั แน่นขึน้ พอ ถงึ ฤดูฝนนา้ จะพดั พาตะกอนมาสะสมทับถมเพิ่มมากขึ้น ทาใหช้ ัน้ ตะกอนหนาขนึ้ 2. การกลับคืนเป็นหิน เมื่อเศษตะกอนทบั ถมเปน็ ชนั้ หนา้ เกิดโพรงขน้ึ มากมายของเนอื้ ตะกอน นา้ พาสารละลาย เข้ามาแทนท่ีอากาศในโพรง เม่ือมีการกดทบั จากน้าหนักของชัน้ ตะกอนทว่ี างทับอยดู่ า้ นบน ทาใหน้ า้ แทรกซึมอยตู่ ามชอ่ งวา่ งระหวา่ งเม็ดตะกอนถูกบีบอดั ไหลออกไปจากช่องว่างน้นั แร่ธาตุต่างๆที่ละลายหรือ แขวนลอยในน้า เชน่ น้าปูน น้าสนมิ เหลก็ น้าซลิ ิกา จะเป็นตวั เช่ือมประสานทาให้ตะกอนจบั ตวั กนั แน่นเร่ือยๆ จนในทีส่ ุดตะกอนเหลา่ นั้นก็จะแขง็ ตัวกลายเปน็ หินอีกคร้ัง ตัวอยา่ งหนิ ตะกอน ไดแ้ ก่ หินดนิ ดาน หินทราย หนิ ปนู และหินกรวดมน
๗๗ 3. หินแปร กระบวนการเกดิ หินแปร หินที่เปล่ียนแปลงมาจากหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปร เนื่องจากความร้อน ความกดดันและปฏิกิริยาทาง เคมี ทาให้เน้ือหิน แร่ประกอบหินและโครงสร้างเปล่ียนไปจากเดิม เกิดเป็นหินชนิดใหม่ข้ึน ได้แก่ หินอ่อน แปร สภาพมาจากหินปูน หินไนส์แปรสภาพมาจากหินแกรนติ หนิ ชนวนแปรสภาพมาจากหินดนิ ดาน เป็นตน้ 5. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝเ่ รียนรู้ 2) มคี วามม่งุ ม่ันในการทางานให้สาเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรบั ผดิ ชอบ 7. ค่านยิ ม 1) ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน และมอี ดุ มการณ์ในสิ่งท่ีดีงาม เพ่ือสว่ นรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หมน่ั ศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม 8. ชน้ิ งาน/ภาระงาน 1) การจดั กระทาข้อมูลกระบวนการเกดิ หนิ แตล่ ะประเภทในรูปแบบทน่ี ักเรียนเลือก 9. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ วิธกี าร เคร่อื งมือ เกณฑ์การผ่าน 1.ด้านความรู้ -นกั เรียนสามารถสืบคน้ ข้อมูลได้ - การสบื คน้ ข้อมลู เพื่อจัดทา ถูกต้องเกนิ ร้อยละ 80 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ แผนผงั ความคิด -นกั เรยี นสามารถนาข้อมูลท่ไี ดจ้ าก - การจัดกระทาข้อมูล การสบื ค้นมาจดั กระทาในรูปแบบ กระบวนการเกิดหินแตล่ ะ ท่ีเข้าใจไดง้ า่ ย ประเภทในรูปแบบทนี่ ักเรยี น เลือก -นกั เรยี นสามารถสืบค้นข้อมูลได้ ครบถว้ น - การสบื ค้นข้อมูลเพื่อจดั ทา -นักเรยี นสามารถเปรยี บเทยี บ แผนผังความคิด ข้อมลู ของหนิ แต่ละประเภทได้ ถูกต้องเกนิ ร้อยละ 80
๗๘ วิธีการ เคร่อื งมือ เกณฑ์การผา่ น 3.ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม มคี ะแนนคุณลักษณะอนั พึง ประสงคใ์ นเกณฑด์ ี-ดีมาก 10. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนา ๑. ครทู บทวนความรูเ้ ดมิ เกยี่ วกบั ลักษณะของหนิ โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้ 1) หินแตล่ ะกอ้ นท่ีนักเรยี นเคยเห็นมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (มที ัง้ มลี ักษณะเหมือนกันและมี ลกั ษณะตา่ งกนั ) 2) หินเหลา่ นเี้ กดิ ขึ้นได้อย่างไร (เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ) 3) ภายในหินประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง (ประกอบด้วยวัสดุที่เป็นของแข็ง บางชนิดมีก้อนกรวด บางชนิดมีเศษ หินปนอยู่) 4) หนิ มีกี่ประเภทอะไรบ้าง (หินอัคนี หนิ ตะกอนและหนิ แปร) ๒. ครูพูดเชิญชวนเข้าส่บู ทเรียน “วนั นเ้ี ราจะมาเรยี นรู้กนั วา่ หินคืออะไร และหินมกี ่ีประเภท ” ขนั้ สอน 1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า “หินคืออะไร และมีก่ีประเภท” (หินคือ วัสดุแข็งเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยแร่ตงั้ แตห่ นง่ึ ชนดิ ขนึ้ ไป ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอนและหินแปร) 2. ครูแบ่งนกั เรยี นออกเป็น 8 กลุ่ม กลุม่ ละ 5-6 คน 3. จากน้ันให้นักเรียนแต่ละกลุ่มค้นคว้าหาข้อมูลเก่ียวกับกระบวนการเกิดของหินทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอนและหินแปร จากเวบ็ ไซตท์ ่ีน่าเช่ือถอื 4. จากน้ันให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเนื้อหาหินแต่ละประเภทที่ได้ค้นคว้ามาเปรียบเทียบข้อมูลกระบวนการเกิดใน รูปแบบท่ีกลมุ่ ของตนเองเลือก เช่น แผนผงั ความคิด (Mind mapping) ตาราง เปน็ ตน้ ลงในกระดาษบรู๊ฟท่ีครู จัดเตรยี มให้ 5. นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ส่งตัวแทนมานาเสนอผลงาน 6. ครูสรปุ เกยี่ วกบั กระบวนการเกดิ หินท้งั 3 ประเภท โดยใช้สื่อ Power point ขั้นสรปุ 1. นกั เรียนแต่ละคนเขียนสรปุ สิง่ ท่ไี ด้จากการเรียนเป็นเวลา 5 นาที 11. สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ 1) กระดาษบรฟู๊ 2) สื่อ Power point
๗๙ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๔ เร่ือง หินและซากดึกดาบรรพ์ แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 7 เรอ่ื ง วฏั จกั รของหนิ รายวิชา ว 16101 ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรียนที่ 1 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ผสู้ อน .................................................................... เวลา 2 ชั่วโมง โรงเรยี นอนบุ าลตราด 1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชีว้ ดั มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองคป์ ระกอบ และความสมั พนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลง ภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี ิบัติภยั กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศโลกรวมท้ังผลต่อ ส่ิงมีชวี ิตและ ตวั ชี้วดั ป.6/๑ เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ หนิ อัคนี หินตะกอน และหินแปรและอธบิ ายวฏั จักรหิน จากแบบจาลอง 2. สาระสาคญั วัฏจักรของหิน เป็นแผนภาพแสดงกระบวนการเกิด การเปล่ียนแปลงและการหมุนเวยี นของหินอัคนี หิน ตะกอนและหินแปร 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ความเขา้ ใจ (K) 1) นกั เรยี นอธิบายแผนภาพวฏั จักรของหนิ จากแบบจาลองได้ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นกั เรียนสามารถวาดแผนภาพแสดงวฏั จักรของหินได้ ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1) มคี วามรับผิดชอบในงานท่ีได้รับมอบหมาย 2) มคี วามใฝ่รใู้ ฝ่เรียน 4. สาระการเรยี นรู้ วฏั จักรหิน หินหนืดได้เย็นตัวกลายเป็นหินอัคนี เม่ือหินอัคนีเกิดการผุกร่อน เนื่องจากธรรมชาติและการกระทาของมนุษย์ โดยมีกระแสลม กระแสน้าช่วยพัดพาตะกอนไปทับถมกัน และมีวัตถุเช่ือมประสานเกิดเป็นหินตะกอนขึ้น เมื่อหิน อัคนีและหินตะกอนได้รับความร้อนและแรงกดดันจะเปล่ียนไปเป็นหินแปร เมื่อหินแปรถูกแรงอัดให้ลึกลงไปใต้ผวิ โลกจะหลอมเหลวกลับเป็นหินหนืดอีก กระบวนการเกิดการเปล่ียนแปลงและหมุนเวียนของหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร เรยี กว่า “วัฏจักรของหนิ ”
๘๐ แผนภาพแสดงวฏั จกั รหิน 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) มีความสนใจใฝเ่ รยี นรู้ 2) มคี วามมุ่งม่นั ในการทางานให้สาเร็จดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรับผิดชอบ 7. ค่านิยม 1) ซอ่ื สัตย์ เสียสละ อดทน และมอี ดุ มการณ์ในส่งิ ทด่ี งี าม เพ่ือสว่ นรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หม่ันศึกษาท้ังทางตรงและทางอ้อม 8. ช้ินงาน/ภาระงาน ๑. การวาดแผนภาพแสดงวัฏจักรหิน
๘๑ 9. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เครือ่ งมอื เกณฑ์การผ่าน วิธีการ - การสบื คน้ ขอ้ มูลเพื่อจดั ทา -นกั เรยี นสามารถสืบคน้ ขอ้ มลู ได้ แผนภาพวฏั จักรของหิน ถกู ต้องเกนิ ร้อยละ 80 1.ด้านความรู้ -การอธบิ ายแผนภาพวัฏจกั รหนิ -นกั เรียนสามารถอธบิ าย 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ - การวาดแผนภาพแสดงวฏั จกั ร แผนภาพวัฏจักรหนิ ได้ถูกต้องเกิน หนิ รอ้ ยละ 80 3.ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม -นักเรียนสามารถวาดแผนภาพ แสดงวัฏจักรของหินได้ถูกต้องเกนิ ร้อยละ 80 มีคะแนนคณุ ลักษณะอันพึง ประสงคใ์ นเกณฑ์ดี-ดมี าก 10. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นนา ๑. ครูทบทวนบทเรยี น โดยใชค้ าถามต่อไปนี้ 1) หินแบง่ ออกเป็นกป่ี ระเภท อะไรบา้ ง (3 ประเภท คือ หนิ อัคนี หินตะกอนและหนิ แปร) 2) หินแต่ละประเภทมีกระบวนการเกดิ แตกต่างกันอย่างไร (หินอัคนเี กดิ จากการเยน็ ตัวอย่างช้าๆของหิน หนืด หนิ ตะกอนเกดิ จากการผพุ งั ทบั ทม สะสมของตะกอนต่างๆ หนิ แปร ถกู แปรสภาพจากความ รอ้ นความดนั และปฏิกิรยิ าเคมี) ๒. ครพู ูดเชญิ ชวนเขา้ สบู่ ทเรียน “นกั เรียนคิดวา่ หนิ ทง้ั สามชนิดมีกระบวนการเกดิ ท่เี กี่ยวข้องกนั หรือไม่ อย่างไร” วันน้ีเราจะมาเรยี นรู้กนั ข้ันสอน 1. ครทู บทวนเนือ้ หาความรเู้ ดิม เร่ือง กระบวนการเกิดหินแต่ละประเภท แลว้ นาเขา้ ส่เู รอ่ื งวัฏจักรของหนิ 2. ใหน้ กั เรยี นจับคู่ เพ่ือสบื คน้ ข้อมูลเกย่ี วกบั กระบวนการเกดิ วฏั จักรหินจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆทน่ี ่าเชอื่ ถือ 3. จากน้นั ใหน้ กั เรยี นจบั คกู่ ัน เพื่อวาดแผนภาพวัฏจักรหินลงในกระดาษ A4 พร้อมอธบิ ายวฏั จกั รหิน 4. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายวัฏจักรหิน โดยใช้แผนภาพประกอบการอธบิ าย ขั้นสรปุ ๑. ครูตรวจสอบความเขา้ ใจนกั เรียน โดยสุ่มนักเรียนใหต้ อบคาถามเกี่ยวกบั แผนภาพวฏั จกั รของหิน 11. ส่อื และแหล่งเรียนรู้ 1) แผนภาพแสดงวฏั จกั รของหนิ 2) ส่ือ Power point
๘๒ หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ๔ เรือ่ ง หนิ และซากดึกดาบรรพ์ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 8 เรื่อง องคป์ ระกอบและลกั ษณะของหินแตล่ ะประเภท รายวิชา ว 16101 ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผสู้ อน .................................................................... เวลา 2 ชั่วโมง โรงเรยี นอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวดั มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพบิ ตั ิภยั กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศโลกรวมทงั้ ผลต่อ สงิ่ มชี ีวิตและ ตวั ชว้ี ดั ป.6/๑ เปรยี บเทยี บกระบวนการเกดิ หินอคั นี หนิ ตะกอน และหนิ แปรและอธบิ ายวฏั จักรหนิ จากแบบจาลอง ๒. สาระสาคัญ หนิ อคั นี หินตะกอนและหนิ แปร มีลกั ษณะและองค์ประกอบของหนิ แตกต่างกัน 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจ (K) 1) นกั เรยี นอธบิ ายลกั ษณะเนอ้ื หินแตล่ ะประเภทได้ 2) นกั เรยี นระบคุ วามแตกตา่ งของลักษณะเน้ือหนิ แต่ละประเภทได้ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรยี นสามารถสงั เกตลักษณะของเนื้อหนิ แตล่ ะประเภทได้ ดา้ นคุณลักษณะ (A) 1) มคี วามรับผดิ ชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 2) มีความใฝ่รใู้ ฝ่เรยี น 4. สาระการเรียนรู้ ลักษณะของเนอ้ื หนิ 1) หนิ อคั นมี ลี ักษณะเป็นผลกึ ทั้งผลกึ ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บางชนิดอาจเปน็ เนื้อแกว้ หรือมรี ูพรุน 2) หินตะกอน เนื้อหินกลุม่ นสี้ ว่ นใหญม่ ีลกั ษณะเป็นเม็ดตะกอน มที ัง้ เน้อื หยาบและเน้ือละเอียด บางชนดิ เปน็ เน้ือ ผลึกท่ียดึ เกาะกันเกดิ จากการตกผลกึ หรือตกตะกอนจากนา้ โดยเฉพาะน้าทะเล บางชนดิ มีลักษณะเป็นชน้ั ๆ จงึ เรียกอีกชือ่ ว่าหินชั้น 3) หนิ แปร เน้อื หินของหินแปรบางชนดิ ผลกึ ของแร่เรยี งตวั ขนานกันเป็นแถบ บางชนิดแซะออกเป็นแผน่ ได้ บาง ชนิด เปน็ เนอื้ ผลึกที่มีความแข็งมาก
๘๓ 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรยี นรู้ 2) มีความม่งุ มน่ั ในการทางานให้สาเร็จด้วยความสามารถของตนเอง 3) มีความรับผิดชอบ 7. คา่ นิยม 1) ซอ่ื สตั ย์ เสยี สละ อดทน และมอี ดุ มการณ์ในสงิ่ ทด่ี งี าม เพื่อส่วนรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมนั่ ศึกษาท้ังทางตรงและทางอ้อม 8. ช้นิ งาน/ภาระงาน 1) การบันทึกผลการทากจิ กรรมในแบบบันทึกกจิ กรรมรายวิชาวิทยาศาสตรป์ .6 หนา้ 68-69 9. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ วธิ กี าร เครือ่ งมอื เกณฑ์การผ่าน 1.ดา้ นความรู้ - การบนั ทกึ ผลการทากจิ กรรม -นักเรยี นสามารถบันทึกผลการทา ในแบบบันทึกกจิ กรรม กจิ กรรมในแบบบันทึกกิจกรรมได้ ถูกต้องเกนิ ร้อยละ 80 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ - การสงั เกตลักษณะเน้ือหนิ -นกั เรียนสามารถสงั เกตลกั ษณะ ของหินแตล่ ะประเภทได้ถกู ต้อง เกินรอ้ ยละ 80 3.ด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มีคะแนนคณุ ลักษณะอนั พึง ประสงค์ในเกณฑ์ดี-ดีมาก 10. กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันนา ๑. ครูกระตุ้นนักเรียน โดยนาตัวอย่างหินจริงที่มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น สี รูปทรง ลวดลาย เน้ือหิน ความวาว รูพรุน และซากดึกดาบรรพม์ าใหน้ กั เรยี นสังเกต แลว้ ใชค้ าถามต่อไปน้ี 1) หินแต่ละกอ้ นมีลักษณะเหมือนหรอื แตกตา่ งกันอย่างไร (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจ) 2) หนิ เหลา่ น้เี กดิ ขึ้นมาอย่างไร (นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจ)
๘๔ 3) นักเรยี นสังเกตเห็นลักษณะภายนอกของหนิ ทส่ี ังเกตได้อะไรบา้ ง (สี รปู ทรง เนอื้ หิน ความวาว ความมี รพู รุน ) ๒. ครพู ูดเชิญชวนเขา้ ส่บู ทเรียน “นักเรียนคิดว่า หนิ แตล่ ะประเภทมลี กั ษณะเนื้อหนิ อย่างไร” วนั นี้เราจะมา เรยี นรู้กัน ขั้นสอน ๑. ครูแบ่งนกั เรยี นออกเป็น 8 กลุม่ กลมุ่ ละ 5-6 คน ๒. ให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ศึกษาวัสดุ-อปุ กรณ์ วธิ ดี าเนินการทากจิ กรรมเร่ือง องคป์ ระกอบและลักษณะของหิน มอี ะไรบ้าง ๓. ครูให้นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มสง่ ตัวแทนออกมารบั วสั ดุ-อปุ กรณ์ ๔. นักเรียนลงมือดาเนินกิจกรรม เรื่อง องค์ประกอบและลักษณะของหินมีอะไรบ้าง แล้วบันทึกผลการ ทดลองลงในแบบบนั ทึกกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ป.6 สสวท.หน้า 68-69 ๕. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายผลการทากจิ กรรม โดยใชค้ าถามต่อไปน้ี 1) จากการสังเกตนกั เรียนเหน็ องคป์ ระกอบใดในหินบ้าง (ผลกึ แร่ เมด็ ทราย กรวด ซากส่งิ มชี ีวิต) 2) ลักษณะเนื้อหินทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอนและหินแปร มีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันหรือ แตกต่างกันอย่างไร (หินทั้ง 3 ประเภท มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ดังน้ี มีลักษณะเนื้อละเอียดและเนื้อ หยาบ มีลักษณะแตกต่างกัน คือ บางชนิดเป็นเนื้อแก้ว บางชนิดมีรูพรุน บางชนิดเนื้อหินเป็นเม็ด ตะกอน บางชนิดประกอบดว้ ยเนอื้ หนิ ท่มี ี 1 สี บางชนิดมี 2 สีขนึ้ ไป) 3) ลักษณะเน้ือหินแต่ละประเภท มีลักษณะอย่างไรบ้าง (หินอัคนี มีลักษณะเป็นผลึก ท้ังผลึกขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก บางชนิดอาจเป็นเน้ือแก้ว หรือมีรูพรุน หินตะกอน มีลักษณะเป็นเม็ดตะกอน มีทั้งเน้ือ หยาบและเน้ือละเอียด บางชนิดเป็นเนื้อผลึกที่ยึดเกาะกันเกิดจากการตกผลึกหรือตกตะกอนจากน้า โดยเฉพาะน้าทะเล บางชนดิ มีลกั ษณะเปน็ ช้ัน ๆ หนิ แปร เน้ือหินของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่เรียง ตวั ขนานกนั เป็นแถบ บางชนดิ แซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนดิ เปน็ เนื้อผลกึ ทีม่ คี วามแข็งมาก ๖. ครูสรปุ องคป์ ระกอบและลักษณะของเน้อื หินแต่ละประเภท ขั้นสรปุ ๑. ครูอธบิ ายลักษณะของหินท่สี ุ่มจากการจบั ฉลากรูปภาพหนิ แล้วใหน้ กั เรียนตอบวา่ เปน็ หินประภทใดลงใน สมุด 11. สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้ 1) แบบนั ทกึ กจิ กรรมรายวชิ าวิทยาศาสตรช์ น้ั ป.6 สสวท. 2) วัสดุ-อปุ กรณ์กจิ กรรมเรื่อง องค์ประกอบและลกั ษณะของหินมีอะไรบา้ ง 3) รปู ภาพหินและตัวอย่างหนิ จริง 4) สอื่ Power point
๘๕ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๔ เรอ่ื ง หนิ และซากดึกดาบรรพ์ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 9 เรอ่ื ง การใชป้ ระโยชน์ของหินและแรใ่ นชีวติ ประจาวัน รายวิชา ว 16101 ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ้สู อน .................................................................... เวลา 2 ช่ัวโมง โรงเรียนอนุบาลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชี้วดั มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองคป์ ระกอบ และความสมั พนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี ิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลกรวมทง้ั ผลต่อ ส่งิ มีชวี ติ และ ตวั ช้ีวดั ป.6/2 บรรยายและยกตวั อย่างการใช้ประโยชน์ของหนิ และแรใ่ นชีวิตประจาวันจากข้อมลู ที่ รวบรวมได้ ๒. สาระสาคญั หินแต่ละประเภทมีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน จึงนาไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆแตกต่างกัน เช่น หินปนู นาไปใช้ทาปูนซเี มนต์ หนิ ออ่ น ใชป้ ูพ้นื หนิ ทราย ใชท้ าหินขัด เป็นต้น ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจ (K) 1) นกั เรยี นบรรยายการใช้ประโยชนข์ องหินและแร่ในชวี ติ ประจาวนั ได้ 2) นักเรียนยกตวั อย่างการใชป้ ระโยชนข์ องหินและแรใ่ นชีวิตประจาวนั ได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรียนสบื ค้นข้อมลู เกี่ยวกับเก่ยี วกับการใชป้ ระโยชนข์ องหินและแรใ่ นชีวติ ประจาวันได้ 2) นกั เรยี นรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับการใช้ประโยชนข์ องหนิ และแรใ่ นชวี ติ ประจาวันได้ ด้านคณุ ลักษณะ (A) 1) มีความรบั ผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 2) มคี วามใฝร่ ใู้ ฝเ่ รยี น
๘๖ 4. สาระการเรยี นรู้ ประโยชน์ของหนิ ในประเทศไทย ประโยชน์ของหินอัคนีในประเทศไทย หินอัคนีแทรกซอน 1. หินแกรนติ (Granite) เป็นหนิ ประดบั ใชป้ ูพ้ืน อาคาร ทาครก ทาอนสุ าวรยี ์ 2. หนิ ไดออไรต์ ใชเ้ ป็นหินประดบั ใช้กอ่ สร้าง ทาครก ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสรา้ ง 3. หนิ แกรบโบ ใช้เป็นหนิ ประดบั หนิ อัคนีพหุ รอื หินอคั นภี ูเขาไฟ 1. หินพัมมิช ใช้ทาวัสดุขัดถู 2. หินบะซอลล์ ใช้ก่อสรา้ ง ทาถนน บางแห่งเปน็ หนิ ต้นกาเนดิ อัญมณี 3. หนิ ออบซิเดียน หรือหนิ แก้วภเู ขาไฟ ใช้ทาอาวธุ สงคราม สมัยโบราณ ประโยชนข์ องหนิ ตะกอน 1. หนิ กรวดมน/หินกรวดเหลยี่ ม ใชใ้ นการก่อสร้าง ทาถนน ทาหินประดบั และแกะสลกั 2. หนิ ทราย ใช้ในการกอ่ สรา้ ง ทาหินแกะสลกั หินประดบั 3. หนิ โคลน ใช้ในอตุ สาหกรรมปนู ซเี มนตแ์ ละเซรามกิ 4. หินดนิ ดานและหินเคลย์ ใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเซรามิก 5. หนิ ปนู ใช้ทาปูนซเี มนต์ ปูนขาว ใชใ้ นอุตสาหกรรมฟอกหนังและนา้ ตาล ประโยชนข์ องหินแปร 1. หนิ ไนส์ แปรมาจากหนิ แกรนติ หินทราย หรือหนิ ดนิ ดาน ใชท้ าหินประดบั หินกอ่ สร้าง 2. หินชนวน แปรมาจากหินดนิ ดาน หรือหินทัฟฟ์ ใช้ทาหนิ ประดับ มุงหลงั คา ปูพ้นื 3. หินออ่ น แปรมาจากหินปนู หรอื หินโดโลไมต์ ใชท้ าหินประดับ วสั ดกุ อ่ สรา้ ง 4. หนิ ควอร์ตไซต์ แปรมาจากหนิ ทราย ใช้ทาหินกอ่ สร้าง หนิ ประดบั 5. หินชสี ต์ แปรมจากหินดนิ ดาน หนิ ทัฟฟ์ ใชท้ าหนิ ประดบั 6. หินฟลิ ไลต์ แปรมาจากหนิ ดินดาน หนิ ทฟั ฟ์ ใชท้ าหินประดบั ประโยชนข์ องแร่ 1. แร่แกรไฟต์ มีสีดา ความแข็งน้อย เมื่อขีดบนวัสดุท่ีแข็งกว่า จะเกิดผงละเอียดติดบนผิวของวัตถุ ใช้ทาไส้ดินสอ ๒. แร่รตั นชาติ มีความแขง็ มาก เม่อื มีการเจยี รนัยจะมีความแวววาว ใชท้ าเครอ่ื งประดับ ๓. แร่ยปิ ซมั มีเนอ้ื ออ่ น ใส เมื่อนามาบดใหเ้ ปน็ ผงจะมีสขี าว เม่ือผสมนา้ สามารถป้นั ขึน้ รปู ได้ ใช้ทาปูนปาสเตอร์ ๔. แรค่ วอตซ์ มคี วามแขง็ บางกอ้ นใส ไมม่ สี ี ใชท้ าแกว้ นา้ ๕. แร่ทัลก์ มเี น้ืออ่อน ลืน่ มอื มคี วามวาว นามาบดเป็นผงได้ ใชท้ าเครอื่ งสาอาง
๘๗ 5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปญั หา 6. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝ่เรยี นรู้ 2) มีความมงุ่ ม่ันในการทางานให้สาเรจ็ ด้วยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรับผิดชอบ 7. คา่ นยิ ม 1) ซอ่ื สัตย์ เสียสละ อดทน และมีอดุ มการณ์ในสง่ิ ทด่ี งี าม เพื่อสว่ นรวม 2) ใฝ่หาความรู้ หม่นั ศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม 8. ชิ้นงาน/ภาระงาน 1) แบบบันทึกกจิ กรรมรายวชิ าวิทยาศาสตรช์ น้ั ป.6 สสวท.หนา้ 84-8๗ 9. การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ วธิ กี าร เครอื่ งมือ เกณฑ์การผ่าน 1.ด้านความรู้ - การตอบคาถามลงในแบบ -นกั เรียนสามารถตอบคาถามได้ บนั ทกึ กจิ กรรม ถกู ต้องเกนิ ร้อยละ 80 2.ดา้ นทักษะกระบวนการ - การสืบค้นข้อมูลเพ่ือตอบ -นกั เรยี นสามารถสืบค้นข้อมูลได้ คาถามลงในแบบบันทึก ครบถว้ น กจิ กรรม -นกั เรียนสามารถรวบรวมข้อมูล แล้วนามาตอบคาถามได้ถูกต้อง เกินร้อยละ 80 3.ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ แบบสงั เกตพฤติกรรม มีคะแนนคณุ ลักษณะอนั พึง ประสงคใ์ นเกณฑด์ ี-ดมี าก 10. กจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ นา ๑. ครูทบทวนความรู้เดิมเก่ียวกับกระบวนการเกิดหินแต่ละประเภทท่ีทาให้หินมีลักษณะแตกต่างกัน โดยใช้ คาถามตอ่ ไปนี้ 1) หินแต่ละประเภทมีลักษณะทางกายภาพเหมือนกันหรือไม่ (มีทั้งมีลักษณะเหมือนกันและมีลักษณะ ต่างกนั เชน่ บางชนิดมีรพู รนุ ในหิน บางชนดิ เปน็ เนือ้ แกว้ )
๘๘ 2) เพราะเหตุใดหินแต่ละประเภทจึงมีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างกัน (เพราะหินแต่ละประเภทมี กระบวนการเกิดท่ีแตกตา่ งกัน) ๒. ครูพูดเชิญชวนเข้าสู่บทเรียน “เน่ืองจากหินและแร่มีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกัน จึงถูกนาไปใช้ประโยชน์ ด้านตา่ งๆ ท่ีแตกต่างกนั ดว้ ย วนั น้ีเราจะมาเรยี นร้กู ันวา่ หนิ และแร่มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรบ้าง ” ขน้ั สอน ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาลักษณะและสมบัติของหินและแร่จากหนังสือรายวิชาวิทยาศาสตร์ป. 6 สสวท. หนา้ 79-80 ๒. ให้นักเรียนนาข้อมลู ท่ีได้จากการศึกษามาอภิปรายถึงการนาหนิ และแรม่ าใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ แลว้ บันทึก ผลการทากจิ กรรมลงในแบบบนั ทึกกจิ กรรมรายวิชาวทิ ยาศาสตรช์ ัน้ ป.6 สสวท.หน้า 84-85 ๓. จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคนค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของหินและแร่ จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ จากนน้ั บนั ทึกผลการสืบคน้ ลงในแบบบันทกึ กจิ กรรมรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ช้นั ป.6 สสวท.หนา้ 86-87 ๔. ครสู ่มุ ตัวแทนนักเรยี นนาเสนอผลการศกึ ษาค้นควา้ เก่ียวกบั การใชป้ ระโยชนข์ องหนิ และแร่ ๕. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรปุ เกีย่ วกับการใช้ประโยชน์ของหินและแร่ ขั้นสรปุ 1. นักเรียนแตล่ ะคนเขยี นประโยชน์ของหนิ และแร่มาอยา่ งละ 2 ชนิด โดยตอ้ งเปน็ หนิ และแรท่ ่ีตนเองไม่ได้บันทึก ขอ้ มลู ลงในแบบบนั ทึกกจิ กรรมหน้า 86-87 11. สือ่ และแหลง่ เรียนรู้ 1) แบบบันทึกกจิ กรรมรายวชิ าวิทยาศาสตรช์ นั้ ป.6 สสวท. 2) สือ่ Power point
๘๙ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๔ เรอื่ ง หินและซากดึกดาบรรพ์ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 10 เรือ่ ง การเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ผู้สอน ................................................................... เวลา 2 ชั่วโมง โรงเรยี นอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตวั ชวี้ ดั มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี ิบตั ิภัย กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศโลกรวมทง้ั ผลต่อ สง่ิ มชี ีวติ และ ตัวชี้วัด ป.6/๓ สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบายการเกดิ ซากดกึ ดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อมใน อดีตของซากดกึ ดาบรรพ์ ๒. สาระสาคญั ซากดึกดาบรรพ์ หรือฟอสซิล (fossil) คือ ซากหรือร่องรอยการดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิตในยุคธรณีกาล เม่ือส่ิงมีชีวิตล้มตายลง ส่วนที่เป็นเน้ือเยื่อจะผุพังสลายไปคงเหลือแต่ส่วนท่ีเป็นโครงสร้างแข็งและบางครั้งบาง ช้ินส่วนอาจอยไู่ มค่ รบ เน่อื งจากเกดิ การผุพงั และพดั พาไปของตะกอน จึงเกิดการทบั ถมและฝังตัวอยใู่ นชนั้ หิน ๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ดา้ นความร้คู วามเข้าใจ (K) 1) นกั เรียนอธบิ ายการเกิดซากดึกดาบรรพ์ได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรยี นสร้างแบบจาลองเพ่ืออธิบายการเกิดซากดกึ ดาบรรพไ์ ด้ ดา้ นคุณลักษณะ (A) 1) มคี วามรบั ผิดชอบในงานท่ีได้รับมอบหมาย 2) มคี วามใฝร่ ู้ใฝ่เรียน 4. สาระการเรยี นรู้ ซากดกึ ดาบรรพ์ ๑. การเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ มกี ระบวนการทีส่ าคัญ ๒ ประการ คอื 1) ซากส่ิงมีชีวติ จะตอ้ งถกู ตะกอนปิดทับกลบฝังอยา่ งรวดเร็ว หลังจากลม้ ตายลง จนทาใหซ้ ากไมถ่ กู ทาลาย สญู หายไป 2) ต้องมีการเปล่ียนแปลงทางเคมี ทาให้ซากดึกดาบรรพ์คงรูปอยู่ได้ ก่อนที่ซากดังกล่าว จะปรากฏขึ้นบน พ้นื ดนิ อกี ครัง้ จากการกดั เซาะหรอื การยกตัวของเปลือกโลก
๙๐ ภาพแสดงการเกิดซากดึกดาบรรพ์ 1) เมอ่ื สตั วต์ ายไป ๒) ตะกอนเรม่ิ ทับถมและมสี ารละลายแรแ่ ทรกซึมเข้าไปในโครงรา่ งของสตั ว์และพืชทต่ี ายไป ๓) ตะกอนกลายเป็นหนิ ปิดทับซากของสัตวแ์ ละพชื ท่ตี าย ๔) เมอ่ื เวลาผ่านไปช้ันหนิ ตะกอนหลายๆ ชั้นถูกยกตวั สูงข้นึ กลายเปน็ ภเู ขาเกิดการผพุ ัง และกัดกรอ่ นพัดพาเอาผวิ ของซากดึกดาบรรพ์บางส่วนไป ๕) ซากดกึ ดาบรรพ์ของปลาเกลด็ แขง็ ทีเ่ กล็ดเกิดกระบวนการคารบ์ อนไนเซชนั (carbonization) ทาใหเ้ กล็ดเปลีย่ นสภาพเปน็ คราบคาร์บอนสดี ามนั ภาพน้เี ป็นฟอสซลิ พบทภี่ ูกุม้ ข้าว จังหวัดกาฬสินธ์ุ
๙๑ ซากดึกดาบรรพ์สามารถพบได้ในหนิ ตะกอน เช่น หินดินดาน หินทราย หรือหินปูน ท้ังท่ีพบโดยธรรมชาติ จากการกัดเซาะของน้า ลม หรอื บริเวณท่มี ีทางน้าไหลผ่าน หรอื ริมชายฝ่ังทะเล และในบริเวณทมี่ ีการกระทาของ มนุษย์ เชน่ การตดั ถนน การขุดเหมืองถ่านหิน หรือการระเบดิ ภเู ขาทาเหมืองหิน แผนภาพการสรา้ งแบบจาลองการเกดิ ซากดกึ ดาบรรพ์
๙๒ 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1) มีความสนใจใฝเ่ รยี นรู้ 2) มีความม่งุ มั่นในการทางานให้สาเรจ็ ดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มีความรบั ผิดชอบ 7. ค่านิยม 1) ซอื่ สตั ย์ เสยี สละ อดทน และมอี ดุ มการณ์ในสง่ิ ที่ดีงาม เพื่อส่วนรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมนั่ ศึกษาท้ังทางตรงและทางอ้อม 8. ชน้ิ งาน/ภาระงาน 1) ตอบคาถามในแบบนั ทึกกิจกรรมหนา้ 89-60 2) การสรา้ งแบบจาลองการเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ 9. การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ วิธกี าร เครื่องมือ เกณฑ์การผา่ น 1.ดา้ นความรู้ - การตอบคาถามลงในแบบ -นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้ บันทึกกจิ กรรม ถูกต้องเกินร้อยละ 80 2.ด้านทักษะกระบวนการ - การสรา้ งแบบจาลองการเกิด -นกั เรยี นสามารถสรา้ งแบบจาลอง ซากดกึ ดาบรรพ์ ซากดกึ ดาบรรพ์ได้ 3.ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม มีคะแนนคุณลักษณะอันพึง ประสงคใ์ นเกณฑ์ดี-ดมี าก 10. กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันนา ๑. ครูตรวจสอบความรู้เดิมเก่ียวกับซากดึกดาบรรพ์ โดยนารูปก้างปลา กระดูกไก่ เปลือกหอย ซากดึกดาบรรพ์ ไดโนเสาร์ ซากดึกดาบรรพ์ปลา มาให้นักเรยี นดแู ละใช้คาถามนาอภปิ ราย ดังนี้ 1) รปู ใดบ้างทเ่ี ปน็ ซากดกึ ดาบรรพ์ (ซากดึกดาบรรพ์ปลา ซากดึกดาบรรพ์ไดโนเสาร์) 2) ถ้าสัตว์เลี้ยงของนกั เรยี นตายไปแล้วนาไปฝงั นักเรียนคิดว่า สัตว์เล้ียงของนกั เรียนจะกลายเปน็ ซากดึกดา บรรพไ์ ด้หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจ) 3) ซากดกึ ดาบรรพ์คอื อะไร และมีลกั ษณะอย่างไร (นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจ)
๙๓ ๒. ครพู ดู เชิญชวนเขา้ ส่บู ทเรียน “นกั เรียนทราบหรือไม่ว่า ซากดึกดาบรรพ์เกิดขึ้นได้อย่างไร และซากดึกดาบรรพ์ สามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้อยา่ งไร” วันนเ้ี ราจะมาเรยี นรูก้ ัน ขัน้ สอน ๑. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า ซากดึกดาบรรพ์คืออะไร และมีลักษณะอย่างไร (ซากดึกดาบรรพ์ คือโครง ร่างหรอื รอ่ งรอยของสิ่งมีชีวติ ในอดตี ทพ่ี บในหนิ ) ๒. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนจานวน 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาวัสดุ-อุปกรณ์ และ วธิ ีการดาเนินกจิ กรรม “ซากดึกดาบรรพ์เกิดข้ึนไดอ้ ย่างไร” ๓. ครูสุ่มนักเรียนให้อธิบายวิธีการดาเนินกิจกรรม “ซากดึกดาบรรพ์เกิดขึ้นได้อย่างไร” เพื่อตรวจสอบความ เข้าใจ ๔. นกั เรียนแต่ละกลุ่มสง่ ตวั แทนมารบั วสั ดุ-อปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการทากจิ กรรม ๕. นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่กาหนด จากน้ันให้บันทึกผลการทากิจกรรมลงในแบบ บันทึกกจิ กรรมวิยาศาสตรป์ .6 หนา้ 89-90 ๖. เมื่อนักเรียนสร้างแบบจาลองการเกิดซากดึกดาบรรพ์เรียบร้อยแล้ว ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาการเกิด ซากดกึ ดาบรรพ์ โดยใช้แอปพลเิ คชันสาหรับการสังเกตภาพเสมือนจริงสามมติ ิ เรอื่ ง การเกดิ ซากดกึ ดาบรรพ์ใน หนังสือหนา้ 98 เพมิ่ เติม ๗. จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายและบันทึกผลในประเด็นต่อไปน้ี ลงในแบบบันทึกกิจกรรมหน้า 91-93 1) วัสดุตา่ งๆท่ใี ช้ทาแบบจาลองแทนสง่ิ ใดในการเกิดซากดึกดาบรรพ์ 2) การเกิดซากดึกดาบรรพ์ในแบบจาลองนี้ เปรียบเทียบกับการเกิดซากดึกดาบรรพ์ตามธรรมชาติได้ อยา่ งไร ๘. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทากิจกรรม เร่ือง “ซากดึกดาบรรพ์เกิดขึ้นได้อย่างไร” โดยใช้คาถาม ต่อไปนี้ 1) ซากดึกดาบรรพ์มีทั้งหมดก่ีลักษณะ แต่ละลักษณะเกิดข้ึนได้อย่างไร (มี 2 ลักษณะ คือ ลักษณะโครง รา่ งของสิ่งมีชีวติ ในอดตี และลกั ษณะร่องรอยของสิง่ มชี วี ติ ในอดตี ) 2) ซากดกึ ดาบรรพ์มักพบในกระบวนการเกิดหนิ ประเภทใด (หินตะกอน) 3) แบบจาลองแทนซากดึกดาบรรพแ์ ตล่ ะลักษณะอย่ทู ่ีใดของช้นั ตะกอนในแบบจาลอง 4) แบบจาลองซากดึกดาบรรพ์นี้ เหมือนหรือต่างจากซากดึกดาบรรพ์แต่ละลักษณะในธรรมชาติอย่างไร (มบี างสิ่งที่เหมือน คอื ลาดบั ขั้นตอนในการเกิดซากดึกดาบรรพ์เหมือนกัน แตว่ สั ดุ เวลา ลกั ษณะซาก ดึกดาบรรพ์ทเี่ กิดแตกตา่ งกัน) 5) ซากดึกดาบรรพ์ท่ีมีลักษณะเป็นรอยพิมพ์และรูปพิมพ์แตกต่างกันหรือไม่อย่างไร (แตกต่างกัน คือ รอยพิมพ์เป็นรอยประทับของส่ิงมีชีวิตในอดีต มีลักษณะเป็นสามมิติ แต่รูปพิมพ์เป็นรูปร่างเหมือน โครงรา่ งของสงิ่ มีชีวิตในอดีตสร้างรอยไว้ มลี ักษณะเปน็ สามมิตเช่นกัน) ๙. จากนนั้ ให้นกั เรียนแต่ละกล่มุ เขยี นแผนภาพแสดงการเกิดซากดึกดาบรรพ์ ลงในแบบันทึกกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ ป.6 หน้า 94-95 ๑๐.ครูสุม่ ตวั แทนนกั เรียนนาเสนอแผนภาพแสดงการเกดิ ซากดกึ ดาบรรพ์
๙๔ ข้นั สรปุ ๑. นกั เรยี นแตล่ ะคนตอบคาถามลงในแบบบนั ทกึ กจิ กรรมหน้า 96 11. ส่ือและแหล่งเรยี นรู้ 1) ภาพกา้ งปลา กระดูกไก่ ซากดึกดาบรรพ์ไดโนเสาร์ ซากดึกดาบรรพป์ ลา เปลือกหอย 2) แบบบันทกึ กจิ กรรมรายวชิ าวิทยาศาสตร์ช้นั ป.6 สสวท. 3) วัสดุ-อุปกรณท์ ่ีใชใ้ นการทากจิ กรรม 4) ส่อื Power point
๙๕ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๔ เร่ือง หนิ และซากดกึ ดาบรรพ์ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 11 เรื่อง การนาซากดึกดาบรรพไ์ ปใชป้ ระโยชน์ รายวิชา ว 16101 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 ผสู้ อน .................................................................... เวลา 1 ชั่วโมง โรงเรียนอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้ีวดั มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองคป์ ระกอบ และความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี บิ ัติภยั กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมอิ ากาศโลกรวมทั้งผลต่อ สิ่งมีชีวิตและ ตัวช้วี ัด ป.6/๓ สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิดซากดึกดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อมใน อดีตของซากดกึ ดาบรรพ์ ๒. สาระสาคัญ ซากดึกดาบรรพ์ หรือฟอสซิล (fossil) สามารถใช้เป็นหลักฐานหนึ่งที่ช่วยอธิบายสภาพแวดล้อม ชั้นหิน ของพนื้ ท่ใี นอดีตขณะเกดิ สง่ิ มีชวี ติ นน้ั ๓. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความรคู้ วามเข้าใจ (K) 1) นักเรยี นอธบิ ายประโยชน์ของซากดึกดาบรรพ์ได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรยี นรวบรวมข้อมลู เก่ียวกับการใชป้ ระโยชนข์ องซากดึกดาบรรพ์ได้ ด้านคณุ ลักษณะ (A) 1) มีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 2) มคี วามใฝ่รู้ใฝเ่ รยี น 4. สาระการเรยี นรู้ ประโยชนข์ องซากดึกดาบรรพ์ ๑. ใช้บอกอายุของชนั้ หิน เนื่องจากสิง่ มีชวี ิตเกดิ ขนึ้ มาและสูญพันธไ์ุ ปตลอดเวลา ตารางเวลาทางธรณวี ิทยาจงึ ใชห้ ลักฐานการเกิดข้ึน และการสูญพันธ์ุ ของส่ิงมีชีวิต เป็นเกณฑ์กาหนดอายุของช้ันหิน โดยแต่ละมหายุคส้ินสุดลง ด้วยการสูญพันธ์ุครั้ง ใหญ่ ของสิง่ มชี วี ติ บนโลก และแต่ละยคุ สิ้นสุดโดยมเี หตุการณ์การสูญพนั ธุ์ และการเกดิ ใหม่ ของสิ่งมชี ีวิตบางชนิด โดยบางชนิดมีจานวนมาก และแพร่กระจายอยู่ทั่วไป แต่ดารงชีวิตอยู่ในโลก ในช่วงระยะเวลาอันสั้น จึงสามารถ ช่วยกาหนดอายุของชั้นหินได้ดี เราเรียกว่า ซากดึกดาบรรพ์ดัชนี (Index fossil) เช่น ฟิวซูลินิด(fusulinid) ที่ดารงชวี ติ อยู่ในชว่ งยคุ คาร์บอนิเฟอรัสถงึ ยคุ เพอร์เมยี นเทา่ น้ัน
๙๖ ร่องรอยแนวทางเดินของไดโนเสาร์ อ.ทา่ อเุ ทน จ.นครพนม ๒. ใช้บอกลาดบั ชน้ั หนิ สงิ่ มีชวี ติ ท่มี ีอายเุ ก่ากวา่ จะตกทับถมอยใู่ นหินช้ันล่าง และสง่ิ มีชีวติ ท่ีมีอายใุ หม่กว่าจะตกทบั ถมอย่ใู นหินช้ัน บน ดังน้ัน เมื่อพบซากดึกดาบรรพ์อายุเกา่ กวา่ แสดงว่า ชน้ั หนิ นั้นเกิดกอ่ นช้ันหินทมี่ ีซากดึกดาบรรพท์ ี่อายุใหม่กว่า ๓. ใช้เทียบเคยี งชุดหินตา่ งๆ ชั้นหินท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกันและมีซากดึกดาบรรพ์ ชนิดเดียวกัน แม้ว่าพบในบริเวณท่ีต่างกันก็ถือว่า ชน้ั หินทัง้ สองแหล่งเกิดขึ้นในชว่ งเวลาเดยี วกนั และเกดิ ในสภาพแวดล้อมของการสะสมตะกอน ลักษณะเดียวกัน ๔. ใช้ประโยชน์ในการค้นหาแหล่งแร่บางชนิด เช่น สาหร่ายทะเล ท่ีฝังอยู่ในหินกักเก็บน้ามัน สามารถช่วยให้เรา สารวจหาปโิ ตรเลยี มได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ และประหยดั คา่ ใช้จา่ ย สาหร่ายทะเล ๕. ใชบ้ อกถ่นิ กาเนิดและวิวัฒนาการของส่งิ มชี ีวิตชนิดตา่ งๆ ในอดีต เช่น การค้นพบซากเอป ซ่ึงเปน็ ลงิ ขนาดใหญ่ ไม่มีหาง ลักษณะคล้ายคลึงกับอุรังอุตังในปัจจุบัน ท่ีอาเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา และท่ีอาเภอเฉลิมพระ เกียรติ จังหวัดนครราชสีมา ทาให้สันนิษฐานได้ว่า ประเทศไทยอาจเป็นแหล่งกาเนิดและวิวัฒนาการของ อรุ งั อุตงั มาต้ังแต่สมยั ไมโอซนี เม่ือราว ๑๓ ล้านปีมาแลว้ ๖. ใชบ้ อกสภาพแวดลอ้ มและสภาพภูมิอากาศในอดีต การศึกษาชนิดของซากดึกดาบรรพ์ รวมทั้งชนิดของหินท่ีมีซากดึกดาบรรพ์ แล้วนามาเปรียบเทียบกับ ส่ิงมีชีวิตปัจจุบัน ทาให้เราสามารถแปลความหมายสภาพแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศในอดีตได้ เนื่องจาก สิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ชนิดและสมบัติของตะกอน อุณหภูมิ ปริมาณของออกซิเจน และแสงสว่าง ดังนั้น ถ้าพบซากปะการังในหินปูน เราสามารถบอกได้ว่าบริเวณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน เน่ืองจาก หนิ ปนู เป็นหินท่เี กดิ จากการตกตะกอนทางเคมี ของสารละลายคารบ์ อเนต ซ่งึ สว่ นใหญเ่ กดิ ในทะเล ซากปะการังจึง บอกให้ทราบว่าเป็นทะเลน้าต้ืน น้าใส แสงแดดส่องถึง และมีอุณหภูมิอบอุ่น ทั้งนี้ โดยเปรียบเทียบกับ สภาพแวดลอ้ ม ของปะการังปจั จุบัน
๙๗ ๗. ใช้บอกการเคลอื่ นท่ขี องเปลอื กโลก เน่ืองจากเปลือกโลกมีการเคล่ือนท่ีอยู่ตลอดเวลา ดังน้ัน การค้นพบว่า ซากไดโนเสาร์ยุคครีเทเชียสหลาย ชนิดในประเทศไทย เป็นไดโนเสาร์กลุ่มเดียวกับท่ีพบในประเทศจีน ทาให้สันนิษฐานได้ว่า แผ่นดินฉาน - ไทย ซง่ึ เคล่อื นทมี่ าจากทางใต้ ได้ชนกับแผน่ ดินอินโดจนี แล้ว ในชว่ งปลายมหายคุ มโี ซโซอกิ 5. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) มคี วามสนใจใฝ่เรียนรู้ 2) มคี วามมงุ่ มน่ั ในการทางานให้สาเร็จดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มคี วามรบั ผิดชอบ 7. คา่ นิยม 1) ซ่ือสตั ย์ เสยี สละ อดทน และมีอุดมการณ์ในส่ิงที่ดีงาม เพ่ือสว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมั่นศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม 8. ชน้ิ งาน/ภาระงาน 1) การสืบคน้ ข้อมูลและรวบรวมข้อมลู มาจดั ทาในรูปแบบต่างๆ 2) ตอบคาถามในแบบันทึกกจิ กรรมหน้า 99 9. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ วธิ กี าร เคร่อื งมอื เกณฑ์การผ่าน 1.ดา้ นความรู้ - การตอบคาถามลงในแบบ -นักเรียนสามารถตอบคาถามได้ บันทกึ กิจกรรม ถกู ต้องเกินร้อยละ 80 2.ด้านทักษะกระบวนการ - การสบื คน้ ข้อมูลเก่ียวกบั -นักเรยี นสามารถสืบคน้ ข้อมลู ประโยชน์ของซากดึกดาบรรพ์ เกีย่ วกับประโยชนข์ องซากดึกดา บรรพไ์ ด้ 3.ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม - นกั เรยี นสามารถนาข้อมลู ที่ได้ จากการสืบคน้ มาจัดกระทาใน รปู แบบที่ตนเองเลือกได้ถกู ต้อง เกินร้อยละ 80 มีคะแนนคุณลักษณะอนั พึง ประสงคใ์ นเกณฑ์ดี-ดมี าก
๙๘ 10. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั นา ๑. ครูตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกับประโยชน์ของซากดึกดาบรรพ์ โดยนารูปวิวัฒนาการของสัตว์ในอดีตหลาย ลา้ นปีจนถึงปจั จบุ นั เชน่ ภาพวิวัฒนาการของม้าตั้งแต่ 60 ล้านปกี ่อนจนถึงปัจจุบัน และภาพซากดึกดาบรรพ์ ของสตั วท์ ะเลในหินบนภูเขาสงู มาให้นักเรยี นดแู ละใชค้ าถามนาอภปิ ราย ดังนี้ 1) เพราะเหตใุ ดเราจึงทราบวิวัฒนาการของม้าได้ (เพราะซากดึกดาบรรพ์พบบนหินตะกอนท่ีมีอายแุ ตกต่าง กนั จงึ นาข้อมูลซากดึกดาบรรพ์ที่มีอายุแตกต่างกนั และจากหลายๆทที่ ่ีพบมาอธิบายการเปลีย่ นแปลงของ สิง่ มชี ีวติ ตัง้ แต่อดตี จนถงึ ปัจจุบันได)้ 2) เพราะเหตุใด จึงพบซากดกึ ดาบรรพข์ องสตั ว์ทะเล บนภูเขาสูงได้ (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจ) ๒. ครูพูดเชิญชวนเข้าสู่บทเรียน “นักเรียนทราบหรือไม่ว่า ซากดึกดาบรรพ์เกิดข้ึนสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างไร” วันนเ้ี ราจะมาเรยี นรู้กนั ขั้นสอน ๑. นักเรียนจับคู่กันเพ่ือสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับประโยชน์ของซากดึกดาบรรพ์ จากแหล่งข้อมูลท่ีน่าเชื่อถือ เช่น หนังสือ เวบ็ ไซต์ เปน็ ต้น ๒. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า จะนาข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นมาจัดกระทาในรูปแบบใดให้มีความน่าสนใจได้ บ้าง เชน่ การนาเสนอเป็นแผนภาพ การจัดทาโปสเตอร์ เปน็ ต้น ๓. จากน้นั นาขอ้ มูลเกี่ยวกบั ประโยชน์ของซากดึกดาบรรพท์ ร่ี วบรวมได้มาจัดกระทาในรูปแบบที่ตนเองเลือก ๔. ครูส่มุ ตวั แทนนักเรยี นนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกบั ประโยชน์ของซากดึกดาบรรพ์ ๕. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรปุ เกยี่ วกบั ประโยชน์ของซากดกึ ดาบรรพ์ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้ 1) ซากดึกดาบรรพ์มีประโยชน์อย่างไรบ้าง (ใช้ศึกษาลาดับช้ันหิน ใช้อธิบายสภาพแวดล้อมบริเวณนั้น ใช้ บอกอายุของหนิ ใชศ้ ึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวติ ) 2) ถ้าเราพบซากดึกดาบรรพ์ 2 ชนิดที่มีอายุต่างกันในหินช้ันต่างๆ จะสามารถอธิบายอายุของซาก ดึกดาบรรพ์น้ันได้อย่างไร (ซากดึกดาบรรพ์ท่ีมีอายุมากกว่าอยู่ในหินชั้นใด แสดงว่าหินชั้นน้ันมีอายุ มากกว่าหินที่มซี ากดึกดาบรรพอ์ ายนุ อ้ ยกว่าอยู่) 3) ซากดึกดาบรรพ์ ซึ่งอยู่ 2 บริเวณที่ต่างกัน พบซากดึกดาบรรพ์ดัชนีเดียวกัน สามารถอธิบายอายุของชั้น หนิ 2 บริเวณไดอ้ ย่างไร (หนิ 2 บรเิ วณเกดิ ขน้ึ ในช่วงเวลาเดียวกันหรือชว่ งเวลาใกล้เคียงกัน) 4) ทาไมซากดึกดาบรรพ์จึงสามารถอธิบายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้ (ซากดึกดาบรรพ์เกิดมาจากโครงร่าง หรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีตท่ีปรากฏอยู่บนชั้นหินตะกอนท่ีมีอายุแตกต่างกัน จึงนาข้อมูลซาก ดกึ ดาบรรพ์ที่มีอายุแตกต่างกันและจากท่ีพบหลายๆที่ มาศกึ ษาอย่างละเอียด และนาข้อมูลที่ศึกษาได้มา อธบิ ายการเปลยี่ นแปลงของส่ิงมีชีวิตในอดีตจนถงึ ปัจจุบนั ได้) ข้นั สรุป ๑. นกั เรียนแตล่ ะคนตอบคาถามลงในแบบบนั ทกึ กิจกรรมหน้า 99
๙๙ 11. สื่อและแหลง่ เรยี นรู้ 1) แบบบนั ทึกกิจกรรมรายวิชาวิทยาศาสตร์ช้นั ป.6 สสวท. 2) ภาพซากดึกดาบรรพม์ า้ และภาพซากดึกดาบรรพ์สตั ว์ทะเล 3) แหลง่ ข้อมูลในการสบื คน้ เชน่ เวบ็ ไซต์กรมทรัพยากรธรณี เว็บไซตส์ ารานกุ รมไทย เปน็ ต้น 4) สอ่ื Power point
๑๐๐ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 เรื่อง ปรากฏการณข์ องโลก แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 12 เร่อื ง ลมบก ลมทะเล รายวชิ า ว 16101 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ ๒ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้สอน .................................................................... เวลา 2 ชว่ั โมง โรงเรยี นอนบุ าลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสมั พันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายใน โลกและบนผวิ โลก ธรณีพบิ ัติภยั กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศและภมู ิอากาศโลกรวมท้ังผลตอ่ สง่ิ มชี วี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ป.6/4 เปรียบเทยี บการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสมุ รวมท้งั อธบิ ายผลที่มีต่อสงิ่ มชี วี ิตและสิง่ แวดลอ้ ม จากแบบจาลอง ๒. สาระสาคญั ลมบก ลมทะเล เกิดจากอุณหภูมซิ ึ่งแตกต่างกนั ของอากาศระหวา่ งบริเวณทะเลและพ้ืนดิน ตามชายฝง่ั ใน ตอนเช้าและตอนบ่าย ๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจ (K) 1) นักเรยี นอธบิ ายการเกิดลมบก ลมทะเลได้ถกู ต้อง 2) นกั เรยี นอธิบายผลของลมบก ลมทะเลที่มตี ่อส่ิงมชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) นักเรียนเปรียบเทยี บการเกดิ ลมบก ลมทะเลจากแบบจาลองได้ ด้านคุณลักษณะ (A) ๓) มีความรบั ผดิ ชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ๔) มีความใฝ่รใู้ ฝ่เรียน ๔. สาระการเรียนรู้ ลม (wind) เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ มีการแผ่รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์มายังโลก ทาให้แต่ละ ตาแหน่งบนพ้ืนโลกได้รับปริมาณความร้อนไม่เท่ากัน เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิและความกดอากาศในแต่ละ ตาแหนง่ บรเิ วณใดท่ีมีอุณหภูมสิ งู หรอื ความกดอากาศต่า อากาศในบรเิ วณนั้นก็จะลอยตัวข้ึนสูง อากาศจากบริเวณ ที่เย็นกว่าหรือมีความกดอากาศสูงกว่าจะเคลื่อนที่เข้ามาแทนที่ การเคลื่อนที่ของมวลอากาศนี้คือการทาให้เกิดลม น่ันเอง ลมบก ลมทะเล เกดิ จากอุณหภูมซิ งึ่ แตกต่างกันของอากาศระหวา่ งบรเิ วณทะเลและพืน้ ดิน ตามชายฝั่งใน ตอนเชา้ และตอนบา่ ย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204