ฎีกาเลา่ เรื่อง 150 หนังสือบอกกล่าวไปยังผคู้ ้ำประกนั ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่มิได้มีการกำหนดว่าจะต้องมีข้อความอย่างไร ดังนัน้ การทโี่ จทก์มีหนงั สือไปยังจำเลยที่ 2 ใหเ้ ขา้ ใจไดว้ ่า จำเลยท่ี 1 ตกเป็นผ้ผู ิดนัด ก็พอถือได้ว่าโจทก์ไดป้ ฏบิ ตั ิ ตามบทบัญญัตดิ ังกลา่ วแลว้ มมี ูลหนที้ ี่จำเลยท่ี 2 ต้องรว่ มรับผดิ ตอ่ โจทก์ และแมห้ นงั สือดงั กล่าวจะล่วงเลยเวลา 60 วนั นบั แตจ่ ำเลยที่ 1 ผดิ นัด จำเลยท่ี 2 ก็ยงั คงต้องร่วมรบั ผิดในคา่ ขาดประโยชนเ์ ป็นระยะเวลา 60 วัน นับ แต่วนั ทจ่ี ำเลยที่ 1 ผิดนดั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3196 / 2562 ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) คงระบุเง่ือนไข แต่เพียงว่าให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันโดยมิได้มีกำหนดหลักเกณฑ์ใดๆว่า หนังสือบอกกล่าว ดงั กล่าวจะตอ้ งมขี อ้ ความอย่างไรบ้าง ดงั นน้ั การท่ีโจทกม์ ีหนงั สือฉบับใดฉบบั หนึ่งไปยงั จำเลยที่ 2 อันมีข้อความ ใหเ้ ข้าใจไดว้ ่า จำเลยท่ี 1 ตกเปน็ ผู้ผิดนัดแล้ว กพ็ อถอื ไดว้ า่ โจทกไ์ ด้ปฏบิ ัตติ ามบทบัญญตั ใิ นมาตราดังกล่าวแลว้ มี มลู หน้ที ีจ่ ำเลยที่ 2 ตอ้ งร่วมรับผิดแลว้ โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ก่อนฟ้องคดีนี้ตรงตามเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) แล้ว แม้จะล่วงเลยเวลา 60 วัน นับแต่จำเลยท่ี 1 ผิดนัด จำเลยที่ 2 ก็ยัง ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในค่าขาดประโยชน์เป็นระยะเวลา 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 151 สัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า ผู้ตายและผู้คัดค้านจะไปจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรมภายใน 30 วัน หากผู้คัดค้านผิดสัญญาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ตามสัญญาดังกล่าวแล้ว แม้ยังไม่ได้นำไปจดทะเบียน แต่การเลิกรับบุตรบุญธรรมมีผลแล้วนับแต่เวลาที่คำ พิพากษาถงึ ที่สุด ผู้คัดค้านไม่มีฐานะเป็นบตุ รบุญธรรมและทายาทโดยธรรมของผู้ตายอกี ต่อไป จึงไม่มีสว่ นได้เสีย ในกองมรดก นอกจากนี้บทบัญญัติในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเป็นเพียงแนวทาง มิได้บังคับให้ศาลจำต้องต้ัง ผู้จัดการมรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม การที่ศาลจะตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดกหรือจะตั้งบุคคลหลายคนเป็น ผู้จดั การมรดกร่วมกันนนั้ ยอ่ มแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4419 / 2562 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า ผู้ตายและผู้ คัดค้านจะไปดำเนินการจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรมภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทำสัญญา หากผู้คัดค้านผิด สัญญาให้ถือเอาคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแทนการแสดงเจตนา ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำ พิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้ว แม้ผู้ตายและผู้คัดค้านยังไม่ได้นำ ขอ้ ตกลงดงั กล่าวไปจดทะเบยี น การเลิกรบั บุตรบญุ ธรรมระหวา่ งผตู้ ายและผ้คู ดั คา้ นยอ่ มมผี ลแลว้ นบั แต่เวลาทคี่ ำ
พพิ ากษาตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความถงึ ท่สี ุดตามบทบญั ญตั ิแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 1598/36 ผู้คัดค้านจึง ไม่ได้มีฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของผู้ตายและไม่อยู่ในฐานะทายาทลำดับที่หนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/28, 1629 ไมเ่ ป็นผู้มีส่วนไดเ้ สียในกองมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม บทบญั ญัตใิ นวรรคสองของ ป.พ.พ. มาตรา 1713 เป็นบทบญั ญตั ิที่ชีแ้ นวทางให้ศาลปฏิบตั ิในการแต่งต้ัง ผู้จัดการมรดก โดยพิจารณาตามพฤติการณ์เท่าน้ัน หาใช่เป็นบทบังคับให้ศาลจำต้องตั้งผูจ้ ดั การมรดกตามท่รี ะบุ ไว้ในพินัยกรรมหรือห้ามตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้จัดการมรดกตามข้อกำหนดพินัยกรรมแต่ ประการใดไม่ การที่ศาลจะตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดกหรือจะตั้งบุคคลหลายคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันนั้นยอ่ ม แล้วแต่ศาลจะเหน็ สมควร ฎกี าเล่าเรือ่ ง 152 การสอบปากคำผู้เสียหายซึ่งมีความบกพร่องทางสติปัญญา กฎหมายมิได้บัญญัติวิธกี ารไว้เป็นการเฉพาะ ดงั เช่นการสอบปากคำผ้เู สียหายทีเ่ ปน็ เด็กอายยุ ังไมเ่ กินสบิ แปดปีในคดคี วามผดิ เกีย่ วกบั เพศท่ีตอ้ งมสี หวิชาชีพอยู่ ร่วมในการสอบปากคำด้วยพนักงานสอบสวนจึงชอบที่จะใช้วิธีการเช่นเดียวกับบุคคลปกติ ซึ่งคำให้การของ ผู้เสียหายดังกล่าว แม้ไม่มีแพทย์และนักจิตวิทยาเข้าร่วมด้วยจะน่าเชื่อถือรับฟังได้มากน้อยเพียงใด ถือเป็น ดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน แต่เมื่อโจทก์นำผู้เสียหายมาเบิกความและจำเลยมีโอกาสถาม คา้ น ศาลย่อมมอี ำนาจรบั ฟังลงโทษจำเลยได้ มใิ ช่กรณีทีศ่ าลอาศัยเพยี งคำใหก้ ารชน้ั สอบสวนของผเู้ สยี หายรับฟัง ลงโทษจำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5922 / 2562 การสอบปากคำผู้เสียหายซึ่งมีความบกพร่องทางสติปัญญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติวิธีการสอบสวนไว้เป็นการเฉพาะเหมือนดั งเช่นการ สอบปากคำผ้เู สียหายทเ่ี ป็นเด็กอายุยังไมเ่ กินสบิ แปดปีในคดคี วามผิดเกี่ยวกบั เพศมาตรา 233 ทวิ ว่าจะตอ้ งมสี ห วิชาชพี อยู่ร่วมด้วยในการสอบปากคำเด็กนั้นด้วย พนักงานสอบสวนชอบท่ีจะใช้วธิ ีการสอบปากคำผู้เสียหายซึง่ มี ความบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญาเชน่ เดยี วกับการสอบปากคำบุคคลปกติ คำใหก้ ารช้ันสอบสวนของผู้เสียหายซง่ึ มคี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญา แม้ไมม่ แี พทยด์ ้านจติ เวชศาสตร์และ นักจิตวิทยาคลีนิกและชุมชนเข้าร่วมฟังการสอบสวนจะมีความน่าเชื่อถือและรับฟังได้มากน้อยเพียงใด ถือเป็น ดุลพินิจของศาลในขั้นตอนการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน แต่เมื่อโจทก์นำผู้เสียหายมาเบิกความจำเลยมีโอกาส ถามคา้ น ศาลย่อมมอี ำนาจรับฟงั คำเบกิ ความของผู้เสียหายลงโทษจำเลยได้ มิใช่ศาลอาศยั เพยี งลำพงั แตค่ ำใหก้ าร ในช้นั สอบสวนของผเู้ สยี หายรบั ฟงั ลงโทษจำเลย
ฎีกาเลา่ เร่อื ง 153 จำเลยท้ังสามย่นื คำแถลงขอวางเงินค่าธรรมเนยี มใช้แทนโจทก์หลังจากโจทก์ย่ืนคำแก้อทุ ธรณเ์ พียง 1 วัน โดยอ้างวา่ วางเงนิ ดงั กล่าวไมค่ รบ ศาลชัน้ ตน้ ส่ังรับไว้สง่ สำนวนไปศาลชนั้ อุทธรณ์ พฤติการณ์จำเลยท้ังสามไมจ่ งใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นขยายเวลาวางเงินให้ แต่การที่จำเลยทัง้ สามย่ืนคำแถลงดังกลา่ ว เป็นการขออนุญาตให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปและเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นรับเงิน ค่าธรรมเนียมใช้แทนไวย้ ่อมชอบดว้ ยวธิ พี ิจารณาและถอื วา่ จำเลยท้ังสามยื่นอทุ ธรณ์โดยชอบแลว้ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5861 /2562 หลังจากโจทกย์ ื่นคำแกอ้ ทุ ธรณเ์ พียง 1 วนั จำเลยทง้ั สามยื่นคำ แถลงขอวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์โดยอ้างว่าวางเงินคา่ ธรรมเนียมใช้แทนไมค่ รบ ศาลชั้นต้นมี คำสั่งรับไว้แล้วส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 7 พฤติการณ์จำเลยทั้งสามไม่ได้จงใจที่จะไม่ปฏิบัติตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แม้ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมใช้ แทนให้แก่จำเลยทั้งสามตามมาตรา 23 แต่การที่จำเลยทั้งสามยื่นคำแถลงขอวางเงินเป็นการขออนุญาตให้ศาล ชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมาย ซึ่งเป็นดุลพินิจที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาส จำเลยทั้งสามโดยรับเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนไว้ย่อมชอบด้วยวิธีพิจารณาและถือได้ว่าจำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 154 การท่ีผู้ร้องไมใ่ ชส้ ิทธเิ รยี กรอ้ งคา่ เช่าซอื้ ที่ค้างเพียง 6 งวด จากผเู้ ชา่ ซอ้ื แต่ร้องขอคืนรถยนตข์ องกลางเปน็ เพียงการไม่ถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญาอันเป็นสิทธิของผู้ร้อง หากผู้ร้องได้รับรถไปก็ต้องนำออกขายโดยวิธี ประมูลหรอื ขายทอดตลาดตามกฎหมาย และยังคงไดป้ ระโยชน์เพียงมูลหนีท้ ี่ขาดอยูเ่ ท่านั้น ไม่พอฟังว่าผู้ร้องยน่ื คำร้องเพื่อประโยชน์ของจำเลยหรือผ้อู ืน่ โดยไม่สจุ ริต ผรู้ ้องจงึ มสี ิทธิรอ้ งขอคนื รถยนต์ของกลาง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4365/2562 การท่ผี รู้ อ้ งไมใ่ ช้สทิ ธิทางแพง่ เรยี กรอ้ งคา่ เช่าซือ้ ทย่ี ังคงค้างชําระ เพยี ง 6 งวด จากผเู้ ช่าซ้อื แต่รอ้ งขอรถยนตข์ องกลางคนื เปน็ เพียงการไม่ถอื เอาประโยชนจ์ ากขอ้ สัญญาที่กําหนด ไว้เท่านั้น ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ร้องจะใช้หรือไม่ก็ได้ หากผู้ร้องได้รับรถยนต์ของกลางไปก็ต้องนำออกขายโดยวิธี ประมูลหรือวิธีขายทอดตลาดที่เหมาะสมตามกฎหมายต่อไปโดยผู้ร้องยังคงได้ประโยชน์เพียงมูลหนี้ที่ยังขาดอยู่ เท่านนั้ กรณีจึงยงั ไม่พอฟังวา่ ผูร้ ้องยืน่ คำร้องเพือ่ ประโยชน์อ่นื ใดของจำเลยหรอื ผอู้ นื่ ในลักษณะท่เี ป็นการกระทำ โดยไม่สจุ ริต ผูร้ อ้ งจึงมสี ทิ ธิรอ้ งขอคืนรถยนต์ของกลาง
ฎีกาเล่าเรือ่ ง 155 ความผิดฐานมีและพาอาวธุ ปืนฯ ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุกกระทงละ 4 เดือน จึง เป็นกรณีทีศ่ าลชน้ั อุทธรณ์ พพิ ากษายนื ตามศาลช้นั ตน้ และลงโทษจำคุกจำเลยไมเ่ กนิ หา้ ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหา ขอ้ เทจ็ จรงิ จำเลยฎกี าวา่ ไมไ่ ดก้ ระทำความผดิ เปน็ ปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ จึงต้องห้ามมใิ หฎ้ ีกา เวน้ แตจ่ ะได้รับอนุญาต จากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลชั้นอุทธรณ์ นอกจากนใ้ี นความผดิ หลายกรรมต่างกันการพจิ ารณาวา่ ตอ้ งหา้ มฎกี าในปัญหาข้อเทจ็ จรงิ หรอื ไมต่ อ้ งแยกเปน็ ราย กระทงความผิดเมือ่ ความผดิ ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชัน้ ต้นลงโทษจำคกุ 6 ปี 8 เดือน จึงไม่ต้องห้ามจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนฯ ซึ่งจำคุกกระทงละ 4 เดือน จึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาดังกล่าวเพ่ือ พิเคราะห์ว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ผู้พิพากษาศาล ชั้นต้นสั่งว่าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและยกคำร้อง จึงไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยโดยเพิกถอนคำสั่งและการดำเนินการ ดังกล่าวกับส่ังให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้อง และเม่ือความผิดแตล่ ะกระทงเกีย่ วเนื่องเชื่อมโยงกัน จึงสมควร ได้รบั การพจิ ารณาในคราวเดียวกัน คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3876 / 2562 ความผดิ ฐานมอี าวธุ ปืนมที ะเบียนของผู้อืน่ ไว้ในครอบครองโดย ไม่ได้รับใบอนุญาต และความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับ ใบอนญุ าต ศาลชนั้ ต้นพพิ ากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน ลดโทษให้หนง่ึ ในสามแล้ว คงจำคุกกระทง ละ 4 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามศาลช้นั ตน้ และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ท่ี จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดทั้งสองฐานดงั กลา่ วด้วยนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามบทบัญญัติดังกล่าว เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือ ทำความเห็นแยง้ ในศาลชัน้ ตน้ หรอื ศาลอุทธรณภ์ าค 8 ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 221 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การพิจารณาว่าฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 หรือไม่ ต้องพิจารณาความผิดแต่ละกระทงแยกเป็นรายกระทงความผิดไป ความผิด ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 6 ปี 8 เดือน จึงไม่ต้องห้าม จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับ ใบอนญุ าต และความผดิ ฐานพาอาวธุ ปนื ติดตวั ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไมไ่ ด้รับใบอนุญาต ศาล อทุ ธรณภ์ าค 8 พิพากษายนื ตามศาลชนั้ ต้นและลงโทษจำคกุ กระทงละ 4 เดือน จงึ ตอ้ งห้ามคู่ความฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ดังนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำ พิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิเคราะห์ว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด
และอนญุ าตใหฎ้ ีกาได้ การทผ่ี พู้ พิ ากษาศาลชัน้ ต้นมีคำส่ังวา่ คดีไมต่ ้องหา้ มฎีกาในปญั หาข้อเท็จจริงและยกคำร้อง จึงเป็นการสั่งคดีโดยผิดหลง และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตาม บทบัญญตั ิแหง่ ประมวลกฎหมายว่าดว้ ยคำพิพากษาและคำสั่ง ปัญหานี้เป็นปัญหาขอ้ กฎหมายเก่ียวกบั ความสงบ เรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 295 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 โดยให้เพกิ ถอนคำส่งั และการดำเนนิ การดังกลา่ วของศาลช้นั ต้นทไ่ี มช่ อบเสียและสั่งให้ศาล ชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225 และเมื่อความผิดฐาน พยายามฆ่าผู้อื่นกับความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และ ความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไมไ่ ด้รับใบอนุญาตเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง กัน จงึ สมควรไดร้ บั การพิจารณาในคราวเดียวกนั ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 156 ตน้ ไมท้ ีจ่ ำเลยปลูกในท่ีดนิ เพยี งชวั่ คราว เม่ือได้ขนาดจะตดั โค่นไปทำประโยชน์อยา่ งอน่ื ซง่ึ คนทั่วไปรวมทง้ั โจทก์อาจเล็งเห็นได้ จึงเป็นทรพั ย์ท่ีติดกับท่ีดินช่ัวคราว ไม่เป็นส่วนควบของท่ีดินท่ีจำเลยนำไปจำนองไว้แกโ่ จทก์ โจทก์ไม่มสี ทิ ธบิ งั คบั จำนองต้นไม้ดงั กล่าวซึ่งตกเปน็ ของผู้ร้องนับแตว่ ันทำสัญญาซ้อื ขายกบั จำเลยแล้ว คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 6166 / 2562 ตน้ ไม้กฤษณาทจ่ี ำเลยปลกู ในทด่ี นิ เปน็ การปลูกไวเ้ พยี งชว่ั คราว ในระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อโตได้ขนาดก็จะตัดโค่นนำแก่นไปสกัดเป็นน้ำหอมซึ่งคนปกติทั่วไปรวมทั้งโจทก์อาจ เล็งเห็นได้ ต้นไม้กฤษณาที่ปลูกลงในที่ดินจึงเปน็ ทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 146 ไม่ตกเปน็ ส่วนควบของที่ดนิ ท่จี ำเลยนำไปจำนองไว้แกโ่ จทก์ โจทกไ์ ม่มสี ิทธิบงั คับจำนองแก่ ต้นไมก้ ฤษณาซงึ่ ตกเป็นของผรู้ ้องนับแตว่ นั ทำสัญญาซอื้ ขายกับจำเลยแล้ว ฎีกาเล่าเรื่อง 157 แม้โจทก์มิได้มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ แต่ความผิดฐาน พยายามฆา่ ทีโ่ จทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยใชอ้ าวุธปนื ยงิ รวมการกระทำความผิดฐานดงั กล่าวซงึ่ เป็นความผดิ ได้อยู่ ในตวั เองด้วย ไมอ่ าจถอื วา่ โจทก์ไมป่ ระสงคจ์ ะให้ลงโทษ ศาลจงึ มีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนไี้ ด้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2892 / 2562 แม้โจทก์มิได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิด ฐานยิงปนื ซ่ึงใช้ดินระเบดิ โดยใช่เหตดุ ว้ ย แต่ความผิดฐานพยายามฆา่ ผู้อ่ืนตามฟ้องท่ีโจทก์บรรยายฟ้องวา่ จำเลยใช้ อาวุธปืนยิงเขา้ ไปในบ้านซ่ึงมีผู้เสียหายอยู่ในบ้าน รวมการกระทำ ความผิดฐานยงิ ปนื ซ่งึ ใชด้ นิ ระเบิดโดยใช่เหตุซ่งึ เป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองด้วย กรณีไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษในข้อเท็จจริงตามพิจารณาได้
ความ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุได้ ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 225 ฎีกาเลา่ เร่อื ง 158 เดิมศาลช้ันต้นพพิ ากษาลงโทษจำเลยทั้งสองโดยปรับบทกฎหมายทีย่ กเลิกไปแล้ว แต่เมื่อศาลชั้นอุทธรณ์ ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิพากษาใหม่โดยครบองค์คณะ คำพิพากษาศาลชั้นต้นเดิมจึงถูกยกเลิก และเม่ือ พิพากษาใหมโ่ ดยปรับบทกฎหมายถูกต้องและครบองคค์ ณะแลว้ จงึ เปน็ การชอบดว้ ยกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3465 / 2562 เดมิ ศาลช้นั ต้นมคี ำพพิ ากษาโดยปรับบทกฎหมายที่ยกเลิกแล้ว ลงโทษจำเลยทั้งสอง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ใหม่โดยให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะเท่ากับว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเดิมที่พิพากษามานั้นถูกยกเลิกโดยศาล อุทธรณ์ภาค 1 เมื่อศาลชัน้ ต้นมีคำพิพากษาใหม่โดยมีการปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตรงตามมาตราในกฎหมาย ซึง่ โจทกอ์ า้ งมาในฟอ้ งและมผี ู้พิพากษาครบองค์คณะ จงึ ชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ ฎีกาเล่าเรื่อง 159 คำฟอ้ งฎีกาของโจทกม์ ี จ. ลงลายมอื ชอ่ื เป็นผูเ้ รยี งและผเู้ ขยี น ฝา่ ฝนื ตอ่ พ.ร.บ. ทนายความฯ ซึ่งมีโทษทาง อาญา เมื่อ จ. มิไดเ้ ปน็ ผู้ซ่ึงไดจ้ ดทะเบยี นและรบั ใบอนญุ าตเปน็ ทนายความและไม่ปรากฏว่าเป็นบุคคลผูซ้ ่ึงอยู่ใน ขอ้ ยกเวน้ ตามพระราชบัญญตั ิดงั กลา่ ว อันเป็นการฝา่ ฝืนกฎหมาย คำฟอ้ งฎกี าของโจทก์จงึ ไม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474 / 2562 คำฟ้องฎกี าของโจทก์มโี จทก์ลงลายมอื ชื่อเปน็ ผู้ฎีกา และมี จ. ลงลายมอื ช่อื เป็นผูเ้ รยี งและผเู้ ขยี น ซ่ึงตาม พ.ร.บ. ทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 33 “หา้ มมใิ หผ้ ้ซู ง่ึ ไม่ไดร้ บั จด ทะเบียนและรับอนุญาต หรือผู้ซึ่งขาดจากการเป็นทนายความ หรือต้องห้ามทำการเป็นทนายความว่าความใน ศาล หรือแต่งฟ้อง คำให้การ ฟ้องอุทธรณ์ แก้อุทธรณ์ ฟ้องฎีกา แก้ฎีกา คำร้องหรือคำแถลงอันเกี่ยวแก่การ พิจารณาคดใี นศาลใหแ้ ก่บุคคลอน่ื ทั้งนเี้ ว้นแต่จะไดก้ ระทำในฐานะเป็นขา้ ราชการผปู้ ฏบิ ตั กิ ารตามหนา้ ท่หี รือเปน็ เจา้ หนา้ ท่ีของหน่วยงานของรัฐ องค์การของรัฐ หรือรฐั วสิ าหกิจ ผ้ปู ฏบิ ัติหน้าที่ หรือมีอำนาจหนา้ ทก่ี ระทำได้ โดย บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความหรือกฎหมายอื่น” ซึ่งการฝ่าฝืนมาตรา 33 นี้มีโทษทางอาญา ตามมาตรา 82 แห่งพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าว เม่อื จ. มไิ ด้เปน็ ผูซ้ งึ่ ได้จดทะเบยี นและรบั ใบอนญุ าตเปน็ ทนายความ และไม่ปรากฏว่าเป็นบุคคลผู้ซึ่งอยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ. ทนายความฯ การที่ จ. เรียงหรือ เขียนฟ้องฎีกาให้โจทก์ จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย คำฟ้องฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ครบ องคป์ ระกอบตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 215 ประกอบมาตรา 158 (7)
ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 160 การวินิจฉัยอำนาจฟ้องของโจทก์ต้องพิจารณาถึงสิทธิขณะยื่นฟ้อง แม้ภายหลังโจทก์ขายบ้านและที่ดิน พพิ าทไปกไ็ ม่มผี ลกระทบต่ออำนาจฟอ้ งเดิม โจทกแ์ ละจำเลยต่างเป็นคู่ความตามคำพพิ ากษาศาลฎกี าสองคดี คดี แรกวนิ จิ ฉัยวา่ โจทก์ซ้อื บา้ นและท่ีดนิ พิพาทโดยสจุ รติ และเสียค่าตอบแทน จำเลยไม่อาจฟอ้ งเพกิ ถอนนติ ิกรรมการ ซอื้ ขายได้ พิพากษายกฟ้อง และคดีหลังวินิจฉยั ว่าโจทก์ซอ้ื บ้านและที่ดนิ พพิ าทโดยไม่สุจรติ พิพากษาให้เพิกถอน นิติกรรมการซือ้ ขายเฉพาะส่วน กับใหโ้ จทก์ส่งมอบที่ดินพิพาทคนื แก่จำเลย หากเพิกถอนไม่ไดใ้ ห้มกี ารชำระเงิน แทน คำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์และจำเลยในคดีนี้ว่า โจทก์ซื้อบ้านและที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตและจะ กล่าวอ้างหรือโต้เถยี งใหศ้ าลวินิจฉัยข้อเทจ็ จรงิ แตกต่างจากเดมิ ไมไ่ ด้ เม่ือไมป่ รากฏวา่ เจา้ ของกรรมสิทธ์ริ วมมีการ แยกกันครอบครองบ้านและท่ีดินพิพาทเป็นส่วนสัด ทั้งคำพิพากษาผูกพันคู่ความ จึงมีผลว่าโจทก์และจำเลยตา่ ง เป็นเจ้าของรวมในบ้านและที่ดินพิพาทคนละเท่าๆกันในทุกส่วนของทรัพย์พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ จำเลยออกจากบ้านและที่ดินพิพาท ทั้งยังเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้ ส่วนจะถือว่าเป็นกรณีเพิกถอนนิติ กรรมการซื้อขายของจำเลยหรือไมเ่ ป็นเรอ่ื งที่ตอ้ งว่ากลา่ วกันในช้ันบงั คบั คดใี นคดีเดิม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4191 / 2562 การวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ต้องพิจารณาถึงสิทธิ ของโจทก์ที่มีอยู่ในขณะที่ย่ืนคำฟ้องเปน็ สำคญั ดังนั้น แม้ภายหลงั ยื่นคำฟ้องโจทก์ขายบา้ นและที่ดินพิพาทใหแ้ ก่ ณ. ไปแลว้ ก็ไมม่ ผี ลกระทบตอ่ อำนาจฟ้องของโจทกท์ มี่ อี ยู่ในขณะยื่นคำฟอ้ งใหห้ มดสนิ้ ไป โจทก์และจำเลยนี้ต่างเป็นคู่ความตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3087/2557 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7011/2558 โดยศาลฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎกี าที่ 3087/2557 วินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อบา้ นและท่ีดินพิพาท จาก ร. โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยไม่อาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ แล้วพิพากษายกฟ้อง และตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7011/2558 วินิจฉัยว่า จ. ไม่ได้มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดนิ พิพาท โจทก์ซื้อบ้านและที่ดินพิพาทจาก จ. โดยไม่สุจริต แล้วพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายบ้านและ ทดี่ ินพิพาทระหว่าง จ. กบั โจทกเ์ ฉพาะส่วน กบั ให้โจทก์ส่งมอบท่ดี ินพิพาทคนื แกจ่ ำเลย หากเพิกถอนไม่ได้ให้ จ. ชำระเงินแทน คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวจึงย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ว่าโจทก์ซื้อบ้านและที่ดินพิพาทจาก จ. โดยไม่สุจริต โจทก์จะกล่าวอ้างหรือ โต้เถียงให้ศาลวนิ ิจฉัยขอ้ เท็จจริงให้แตกต่างไปจากเดิมไมไ่ ด้ ดังนั้น เมื่อไมป่ รากฏว่าในระหว่างเจา้ ของกรรมสทิ ธิ์ รวมมีการแยกกันครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเป็นส่วนสดั ทั้งเป็นกรณีคำพิพากษาผูกพันคู่ความแล้ว ผลตาม กฎหมายจึงมีว่าโจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในบ้านและที่ดินพิพาทคนละเท่าๆกันในทุกส่วน ของทรพั ยพ์ พิ าท โจทก์จึงไมม่ ีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและทีด่ นิ พพิ าท ทง้ั จะเรียกค่าเสยี หายจากจำเลย ไม่ได้ ส่วนจะถือว่าเป็นกรณีเพิกถอนนิติกรรมการซือ้ ขายบ้านและที่ดินพิพาทระหว่าง จ. กับจำเลยได้หรอื ไม่น้ัน เป็นเรอ่ื งทีจ่ ะตอ้ งวา่ กลา่ วกันในชน้ั บังคับคดีในคดีเดิมตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 7 (2) และมาตรา 271
ฎกี าเลา่ เรื่อง 161 ทางจำเป็นเป็นเรื่องข้อจำกัดสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายมิใช่โดยนิติ กรรม จำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมที่ดินแปลงอื่น จึงมีหน้าที่ต้องยอมให้ผู้มีสิทธิในที่ดินแปลงอื่นน้ัน ผา่ นที่ดินของจำเลยไปสทู่ างสาธารณะ เมอื่ จำเลยไมป่ ฏิบัติตามยอ่ มกอ่ ให้เกดิ ความเสียหายแก่ผู้มีสิทธิในท่ีดินน้ัน โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของเจา้ ของที่ดินดังกล่าว จึงมีอำนาจฟ้องขอใหจ้ ำเลยปฏิบัติตามกฎหมายได้ โดยไม่ อยู่ภายใต้ขอ้ กำหนดหรอื เงอื่ นไขแหง่ กฎหมายอนื่ คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 4069 / 2562 ทางจำเป็นตามที่บญั ญตั ไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1349 น้ัน เป็น เรื่องข้อจำกัดสิทธิของเจ้าของอสังหารมิ ทรพั ย์ เกดิ ขนึ้ โดยผลของกฎหมาย หาใช่เกดิ ขึ้นโดยนิติกรรมไม่ จำเลยใน ฐานะเจ้าของทด่ี ินแปลงทล่ี ้อมทีด่ นิ โฉนดเลขที่ 5764 ซงึ่ เป็นทรพั ยม์ รดกของ ห. ไว้ จึงมีหนา้ ท่ตี ้องปฏิบัติตามท่ี กฎหมายกำหนด กล่าวคือต้องยอมให้ผู้มีสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ 5764 ผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบตั ิตามย่อมก่อใหเ้ กิดความเสยี หายแก่ผู้มีสิทธิในที่ดินโฉนดเลขท่ี 5764 โจทก์ในฐานะผู้จดั การ มรดกของ ห. จงึ มอี ำนาจฟอ้ งขอใหจ้ ำเลยปฏบิ ตั ิให้เป็นไปตามกฎหมายได้ กฎกระทรวง ฉบับท่ี 2 (พ.ศ.2511) ซึง่ ออกตามความในพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ.2505 กำหนดให้ การกันท่ดี ินซึ่งเป็นท่ีวดั ใหเ้ ปน็ ที่จดั ประโยชนจ์ ะกระทำได้ตอ่ เมอื่ กรมการศาสนาเห็นชอบและได้รบั อนมุ ตั จิ ากมหา เถรสมาคมและกำหนดให้การเช่าที่ธรณีสงฆ์ที่กัลปนาหรือที่วัดที่กันไว้เป็นที่จัดประโยช น์จะกระทำได้ต่อเมื่อมี กำหนดระยะเวลาเชา่ เกิน 3 ปี จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากกรมการศาสนา และตามมติมหาเถร สมาคมท่ี 221/2540 กำหนดใหก้ ารเช่าทด่ี นิ วดั หรือทธี่ รณีสงฆข์ องวดั เพอื่ เป็นทางจะต้องทำเปน็ สัญญาภาระจำ ยอมและต้องได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการพิจารณางบประมาณศาสนสมบัติกลางประจำ (พศป.) กฎหมายและมติมหาเถรสมาคมเป็นกฎเกณฑ์ท่ีใชบ้ ังคับกับกรณีการทำนิติกรรมท่ีมีผลผูกพนั ทรัพย์สินของจำเลย ส่วนสิทธิในการใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย จึงไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายและมติ มหาเถรสมาคมดงั กล่าว ฎกี าเล่าเรือ่ ง 162 จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงสั่งซื้อสินค้าและออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมตามแผนการที่วางไว้โดย เจตนาที่จะไม่ใช้เงินตามเช็ค อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง และความผิดต่อ พ.ร.บ.เช็ค ซึ่งเป็นการกระทำกรรม เดียวกัน เมื่อโจทก์เคยดำเนนิ คดีแก่จำเลยในความผิดตอ่ พ.ร.บ.เช็ค และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว สิทธิ นำคดีอาญามาฟ้องจำเลยในความผดิ ฐานฉ้อโกงยอ่ มระงบั ไปแลว้ ตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4147 / 2562 การที่จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ร่วมและออกเช็คให้นั้น เป็นการดำเนินการอย่างเป็นข้ันตอนตามแผนการท่ีวางไว้ต้ังแต่ต้น โดยการหลอกลวงให้
โจทก์ร่วมส่งสินค้าให้จำนวนมากโดยอาศัยวิธีการออกเช็คชำระค่าสินค้าแทนเงินสด โดยเจตนาทีจ่ ะไม่ใชเ้ งินตาม เช็คหเป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวง และการออกเช็คโดยมีเจตนาไม่ใช้เงินตามเช็ค จึงเป็นการกระทำอันเป็น สว่ นหน่ึงของการหลอกลวงอนั เป็นความผิดฐานฉอ้ โกง โดยตา่ งมเี จตนาเดียวกนั คอื เจตนาหลอกลวงใหโ้ จทก์ร่วม สง่ สนิ ค้าใหจ้ ำเลยกับพวกโดยไม่มีเจตนาชำระราคาสินค้า การกระทำของจำเลยตามฟอ้ งในความผดิ ฐานฉ้อโกงจงึ เป็นการกระทำกรรมเดียวกันกับความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เมื่อโจทก์เคยดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และศาล แขวงธนบรุ ีพพิ ากษาลงโทษจำเลยไปแลว้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยในความผิดฐานฉอ้ โกงตามฟ้องย่อมระงบั ไปแลว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา 39 (4) ฎีกาเลา่ เรื่อง 163 จำเลยยังมิได้ชำระดอกเบีย้ ในหนี้ที่ออกเช็คพิพาท หนี้ดังกล่าวจึงยังไม่สิ้นผลผูกพันอันจะถือว่าคดีเลกิ กัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงยังไม่ระงับ แตก่ ารขวนขวายหาเงนิ มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามจำนวนในเช็คพิพาทถือ เป็นการบรรเทาผลร้าย จึงเหน็ สมควรกำหนดโทษใหเ้ หมาะสมแกร่ ปู คดี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3999 / 2562 จำเลยนำเงินตามจำนวนในเช็คพิพาทวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อ ชำระหนี้แต่มิได้ชำระดอกเบี้ยด้วย หนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อใช้เงินนั้น จึงยังไม่ได้รับชำระครบถ้วนสิ้นเชิง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนง่ึ และมาตรา 214 หนี้ดงั กลา่ วจงึ ยังไมส่ ิน้ ผลผกู พันไปกอ่ นศาลมีคำพพิ ากษา ถึงที่สุด ซึ่งจะถือว่าคดีเลิกกัน ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 และทำใหส้ ิทธนิ ำคดอี าญามาฟอ้ ง เป็นอนั ระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (3) ไม่ได้ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม การที่จำเลยขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองได้จนครบจำนวนตามเช็คพิพาท ก็ถือได้ว่าจำเลยได้ บรรเทาผลร้ายแห่งความผดิ แลว้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ เพื่อให้เหมาะสมแกพ่ ฤติการณ์แห่ง รูปคดี ฎกี าเลา่ เรื่อง 164 การเรียกคา่ สนิ ไหมทดแทนตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 44/1 มวี ตั ถุประสงค์เพื่อใหผ้ ูไ้ ดร้ บั ความเสียหายจากการ กระทำความผดิ อาญามสี ทิ ธิยื่นคำรอ้ งเขา้ มาในคดีอาญาเพอ่ื ใหไ้ ด้รับชดใช้คา่ สินไหมทดแทนโดยไม่ต้องไปย่ืนฟ้อง เป็นคดีแพ่งอีก และเป็นคดีแพ่งท่ีเกีย่ วเนื่องกับคดีอาญาซึ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามท่ีปรากฏในคำพิพากษา คดีสว่ นอาญา เมื่อพนกั งานอยั การฟ้องและเรียกให้จำเลยคืนหรอื ใช้ราคาทรพั ย์แทนผเู้ สียหาย หากศาลพิพากษา ว่าจำเลยมีความผิด ศาลมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้โดยไม่คำนึงว่าพนักงานอัยการจะ อุทธรณ์ฎีกาในส่วนนี้หรือไม่ และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดค่าสินไหม
ทดแทนให้ผู้ร้องได้ นอกจากนี้ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นการคุ้มครองเด็กอายุน้อยเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ให้ความสำคัญกับความ ยินยอมของเด็ก ดังนั้นแม้ผู้ร้องยินยอม การกระทำของจำเลยก็ยังเปน็ ละเมิด ฝ่ายผู้ร้องจงึ มสี ิทธิเรียกค่าเสียหาย ฐานละเมิดจากจำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4132 / 2562 แมผ้ ูร้ อ้ งจะมไิ ดอ้ ทุ ธรณฎ์ กี าเรียกคา่ สินไหมทดแทนตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 44/1 แต่เป็นคดีแพง่ ที่เก่ยี วเนอ่ื งกับคดอี าญา ในการพจิ ารณาคดีสว่ นแพ่งศาลจำตอ้ งถอื ขอ้ เท็จจรงิ ตามที่ ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 โดยที่มาตรา 44/1 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ได้รับ ความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญามีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีอาญาเพ่ื อให้ได้รับชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนโดยไมต่ ้องไปยื่นฟ้องเปน็ คดีแพ่งอกี คดีหนึ่ง มาตรา 44/1 มีความหมายทำนองเดียวกับมาตรา 43 เม่ือ พนกั งานอยั การฟอ้ งจำเลยกม็ ีสทิ ธิเรยี กใหจ้ ำเลยคืนหรือใชร้ าคาทรพั ย์แทนผู้เสียหาย หากศาลพิพากษาว่าจำเลย มีความผดิ ศาลมอี ำนาจพพิ ากษาให้จำเลยคนื หรอื ใช้ราคาทรัพยโ์ ดยไมค่ ำนงึ ว่าพนกั งานอยั การจะอุทธรณ์ฎีกาคำ ขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหายหรือไม่ ปัญหาตามมาตรา 44/1 เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ศาลฎีกาจึงมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ผู้ ร้องได้ ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือ สามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ...” แสดงว่ากฎหมายคุ้มครองเด็กอายุน้อยเป็น กรณีพิเศษโดยไม่ให้ความสำคัญแก่ความยินยอมของเด็ก ดังนั้น แม้ผู้ร้องยินยอม การกระทำของจำเลยก็ยังเป็น ละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ผูร้ ้องมสี ทิ ธเิ รยี กคา่ เสยี หายฐานละเมิดจากจำเลย ม. ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของผู้ รอ้ งยอ่ มมสี ทิ ธิย่นื คำร้องเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนจากจำเลยได้ ฎกี าเลา่ เรื่อง 165 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย 3,000 บาท และริบอาวุธปืนของกลาง ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้คนื ของกลาง เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่ออาวุธปืนของกลางมีทะเบียนจึง ไม่ใช่ทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดที่ต้องริบเสียทั้งสิ้น แต่เป็นทรัพย์ซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำ ความผิดท่ี ศาลมอี ำนาจใช้ดุลพนิ จิ ใหร้ บิ หรอื ไม่ โจทก์ฎกี าขอให้รบิ อันเปน็ การโต้แยง้ ดลุ พินิจดังกล่าวของศาลชน้ั อทุ ธรณ์ อัน เปน็ ปัญหาขอ้ เท็จจริง จึงต้องหา้ มฎีกา คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 6566 / 2562 ศาลชั้นต้นลงโทษปรบั จำเลยสถานเดียว 3,000 บาท และริบ อาวุธปืนของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เฉพาะให้คืนอาวุธปืนของกลางแก่จำเลย เป็นการพิพากษา แก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 218 วรรคหนึ่ง อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดที่กฎหมาย กำหนดให้ต้องริบเสียท้ังสิ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 แต่เป็นทรัพยซ์ ึ่งจำเลยไดใ้ ช้หรือมไี ว้เพือ่ ใช้ ในการกระทำความผดิ ซึง่ ศาลมอี ำนาจใชด้ ุลพินจิ ที่จะส่ังใหร้ ิบหรือไมร่ ิบก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) โจทก์ฎีกาขอให้ริบอาวุธปืนของกลางจึงเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการมีคำสั่งชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ ภาค 9 อันเป็นฎกี าในปญั หาข้อเทจ็ จรงิ ตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตามบทบญั ญัตดิ ังกลา่ ว ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 166 จำเลยเข้าไปในอาคารสำนักงานของนิติบุคคลและส่งเสียงดังรบกวนพนักงานของนิติบุคคลนั้น อันเป็น ความผิดฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น แต่เมื่อความผิดดังกล่าวเป็นลหุโทษและอาญาแผ่นดิน พนักงาน สอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวนโดยไม่ต้องมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ แม้ศาลวินิจฉัยว่านิติบุคคลนั้นมิใช่ผู้เสียหาย ในความผิดฐานนี้และการร้องทุกข์ไมช่ อบ ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปล่ียนแปลงไปเพราะโจทก์มีอำนาจฟ้องอยู่แล้ว ฎีกา ของจำเลยจงึ ไม่เปน็ สาระแก่คดีอันควรได้รับการวนิ จิ ฉัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104 / 2562 จำเลยเข้าไปในอาคารพิพาท สำนักงานของโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่ง เปน็ นติ ิบคุ คลและส่งเสยี งดงั อันเป็นการรบกวนการทำงานและทำให้พนักงานของโจทกร์ ่วมที่ 1 ไมอ่ าจทำงานได้ ซง่ึ เปน็ การกระทำความผิดฐานกอ่ ความเดือดรอ้ นรำคาญแก่ผ้อู น่ื ตาม ป.อ. มาตรา 397 อนั เป็นความผิดลหุโทษ นั้นเป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดินและมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวที่จะต้องมีการร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 วรรคสอง พนกั งานสอบสวนย่อมมอี ำนาจสอบสวนตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 121 วรรคหนึง่ โดยไม่ตอ้ งมกี ารรอ้ งทกุ ข์ กล่าวโทษจากผู้เสียหาย ดังนั้น แม้ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลจะมิใช่ผู้เสียหายในความผิด ฐานดังกลา่ วและการร้องทุกข์จะไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม ย่อมไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป เพราะถึงอย่างไร โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ ฎีกาของจำเลยในปัญหาดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอัน ควรได้รับการวินิจฉยั ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหน่ึง, 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ พ.ร.บ.จัดตง้ั ศาลแขวงและวธิ ีพจิ ารณาคดอี าญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 167 คดีแพ่งที่เกย่ี วเนื่องกับคดีอาญา ศาลจำต้องถอื ขอ้ เทจ็ จรงิ คดสี ว่ นแพง่ ตามทีป่ รากฏในคำพพิ ากษาคดีส่วน อาญา เมื่อศาลฟังว่า จำเลยกระทำความผิด จึงต้องฟังด้วยว่าจำเลยกระทำละเมิดและต้องชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่ผู้รอ้ ง แม้ผู้ร้องไมไ่ ด้ฎกี าเร่ืองคา่ สินไหมทดแทน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นข้อ กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย นอกจากนี้ความเสียหายแก่จิตใจเนื่องจากความตกใจกลัวเป็นความ เสียหายอย่างอื่นอนั มใิ ช่ตัวเงนิ ทผ่ี ูร้ อ้ งมีสิทธิเรยี กคา่ สนิ ไหมทดแทนจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2936 / 2562 ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น การพิจารณาคดีส่วน แพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 เมื่อคดีอาญา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจรงิ วา่ จำเลยกระทำความผดิ ตามคำพพิ ากษาศาลชัน้ ตน้ จึงต้องฟงั ขอ้ เทจ็ จริงว่า จำเลยกระทำ ละเมิดต่อผู้ร้องและต้องรบั ผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง แม้ผู้ร้องไมไ่ ด้ฎีกาเรื่องค่าสินไหมทดแทนมาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลคดีอาญาได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายท่ี เกยี่ วกบั ความสงบเรยี บร้อย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ความเสียหายที่เป็นอันตรายแก่จิตใจ เนื่องจากการกระทำของจำเลยทำให้ผู้ร้องเกิดความตกใจกลัวนั้น เป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ผู้ร้องมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณี ดงั กล่าวได้ ฎีกาเลา่ เรื่อง 168 ความผิดตาม พ.ร.บ. เช็คฯ อาจมีผู้ร่วมกระทำความผดิ กับผูอ้ อกเชค็ และถือว่าเป็นตัวการรว่ มกัน แตต่ ้อง ได้ความแน่ชดั วา่ ผ้นู น้ั มีสว่ นเก่ียวข้องรเู้ ห็นในการออกเชค็ ดว้ ย จงึ จะรับฟังวา่ มีความผดิ ได้ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 3505/2562 ความผดิ ตาม พ.ร.บ. ว่าดว้ ยความผดิ อันเกิดจากการใช้เชค็ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อาจจะมีผู้ที่ร่วมกระทำความผิดดว้ ยกันกบั ผู้ออกเช็ค และถือว่าผู้ทีร่ ว่ มกระทำความผิดด้วยกัน น้นั เปน็ ตัวการเช่นเดยี วกบั ผู้ออกเช็คตาม ป.อ. มาตรา 83 แต่ก็จะต้องได้ความแนช่ ัดว่าผู้ท่ีจะเป็นตัวการร่วมน้ัน มีสว่ นเก่ยี วข้องรูเ้ ห็นในการออกเชค็ น้ันกับผู้ออกเช็คด้วย ส. ชักชวนและขอร้องให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนห้างจำเลยที่ 1 ระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดย ส. บอกว่าจะแบ่งผลประโยชน์ให้เมื่อสิ้นปี จำเลยที่ 2 เปิดบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์ในนาม จำเลยที่ 1 ที่ธนาคาร ท. โดยมอบสมุดเช็คและตราประทับของจำเลยที่ 1 ให้ ส. เป็นผู้ถือไว้ ก่อนเกิดเหตุจำเลย ที่ 2 เป็นผู้ขอให้ธนาคาร ท. โอนเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสองบางส่วนแล้วก็ตาม แต่ ส. เป็นผูล้ งลายมือชอื่ จำเลยท่ี 2 ในเช็คพิพาทโดยจำเลยที่ 2 มิได้มสี ว่ นเกีย่ วข้องรู้เหน็ ด้วยเลย ซ่ึงนอกจากน้ี แล้วไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดอีกแสดงว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นในการที่ ส. ลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในเช็ค พพิ าท จึงยังรบั ฟงั ไมไ่ ดว้ ่า จำเลยท่ี 2 เปน็ ตวั การรว่ มกับจำเลยที่ 1 ในการออกเช็คพิพาทอนั จะเป็นความผดิ ตาม ฟ้อง
ฎีกาเลา่ เร่อื ง 169 โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเปน็ ทางภาระจำยอม จึงไม่วินิจฉัยว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ทั้งที่ทางดังกล่าวอาจเป็นได้ทั้งสองประการในขณะเดียวกัน แม้โจทก์มิได้ อุทธรณ์ แต่หากศาลชั้นอุทธรณ์เห็นว่าไม่ใชท่ างภาระจำยอมและข้อเท็จจริงเพียงพอวินิจฉัยก็มีอำนาจวนิ จิ ฉัยใน เรื่องทางจำเป็นได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะโจทก์มีคำขอมาแต่ต้นแล้ว เมื่อโจทก์และญาติพี่น้อง ใช้ทางพิพาทด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยและถือว่าเป็นญาติเจ้าของที่ดินอันเป็นการใช้ทางโดยถือวิสาสะ ทาง พิพาทจึงไม่เป็นทางภาระจำยอมโดยอายคุ วาม และแม้ทัง้ สองฝา่ ยไมไ่ ด้เสนอหรอื เรียกค่าทดแทนจากอกี ฝ่ายหนึ่ง แต่เมอ่ื ขอ้ เท็จจริงเพยี งพอศาลฎกี าสมควรวินิจฉยั กำหนดค่าทดแทนทโี่ จทกต์ อ้ งใช้แก่จำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2605/ 2562 โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็น ศาลช้ันตน้ พิพากษาว่าเปน็ ทางภาระจำยอม จึงไมว่ นิ ิจฉัยว่าทางพพิ าทเป็นทางจำเปน็ หรือไม่ ท้ังที่ทางพิพาทอาจ เป็นได้ทัง้ ทางจำเปน็ และทางภาระจำยอมในขณะเดียวกัน แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ หากศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 เห็น วา่ ทางพพิ าทไม่ใชท่ างภาระจำยอม และขอ้ เทจ็ จรงิ ในสำนวนเพยี งพอทจี่ ะวนิ จิ ฉยั ในเรอื่ งทางจำเปน็ ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 มอี ำนาจวินจิ ฉัยในเรอื่ งทางพพิ าทวา่ เป็นทางจำเป็นหรอื ไม่ได้ หาเปน็ การนอกฟอ้ งนอกประเด็นไม่ เพราะ โจทกม์ คี ำขอมาตัง้ แต่ต้นแลว้ บิดาโจทก์ โจทก์ และ ส. นอ้ งสาวโจทกใ์ ชท้ างพพิ าทดว้ ยความสนิทสนมคุน้ เคย และถอื วา่ เปน็ ญาติกบั ย. และ ร. เจ้าของที่ดินอันเป็นการใช้ทางโดยถือวิสาสะ หาใช่เป็นการใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาใหไ้ ดส้ ทิ ธิในภาระจำยอมไม่ ทางพพิ าทไมเ่ ป็นทางภาระจำยอมโดยอายคุ วาม แม้โจทก์ไม่ได้เสนอค่าตอบแทน แก่จำเลยและจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ แต่ ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบเพียงพอที่จะพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ได้ ศาลฎีกาสมควรวินิจฉัยกำหนดค่า ทดแทนท่โี จทกต์ อ้ งใชแ้ ก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 1349 วรรคทา้ ย ไปเสยี ทเี ดยี ว ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 170 จำเลยให้โจทก์ครอบครองใช้สอยอาคารพิพาทชั้น 3 และชั้น 4 เพื่อตอบแทนที่โจทก์ออกเงินทดรองให้ จำเลยยืมไปชำระหนี้ ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ขนย้าย โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือแจ้ง จำเลยวา่ โจทก์ยงั มสี ิทธิอาศยั อยู่ในอาคารดงั กล่าวจนกวา่ จำเลยจะชำระหนี้ จำเลยปิดล็อกประตชู ้ัน 2 ซึ่งเป็นทาง เชื่อมไปสู่ชั้น 3 และชั้น 4 อันมีประตูดังกล่าวเพียงทางเดียวที่โจทก์และพนักงานของโจทก์ใช้ผ่านไปสู่ชั้นที่ ครอบครองใช้สอยได้ แม้ประตูชั้น 2 จะอยู่ในความครอบครองของจำเลยหรือไม่ก็ตาม จำเลยไม่มีอำนาจโดย พลการที่จะปิดล็อกประตูนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองของโจทก์
ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปกระทำการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข จึงมีความผิดฐาน บกุ รกุ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3633 / 2562 โจทก์เป็นผู้ครอบครองอาคารพพิ าทชน้ั 3 และช้ัน 4 ซงึ่ จำเลย ให้โจทก์ใช้สอยอาคารดังกล่าวเป็นที่เก็บสินค้าและสถานประกอบการเพื่อเป็นการตอบแทนที่โจทก์ออกเงินทด รองให้จำเลยยืมไปชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สิน และบรวิ ารออกไปจากอาคารพพิ าท โจทก์มอบหมายใหท้ นายความมหี นังสือแจ้งจำเลยวา่ โจทก์ยงั มีสิทธิอาศัยอยู่ ในอาคารพิพาทจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เงินทดรองจ่ายค่าไถ่ถอนจำนอง จำเลยปิดล็อกประตูชั้น 2 ของอาคาร พิพาทซึ่งเป็นทางเชื่อมไปสู่อาคารพิพาทชั้น 3 และชั้น 4 อันเป็นทางเชื่อมระหว่างเลขที่ 58 ที่โจทก์เช่าอยู่ท้ัง อาคารไปสู่อาคารพิพาทเลขที่ 56 และมีเพียงประตูชั้น 2 ที่โจทก์และพนักงานของโจทก์ใช้ผ่านไปสู่ชั้น 3 และ ชั้น 4 ของอาคารพิพาทได้ ทำให้โจทก์และพนักงานของโจทก์ไม่สามารถเข้าไปยังชั้น 3 และชั้น 4 ของอาคาร พิพาทได้ แม้ประตูชั้น 2 จะอยู่ในความครอบครองของจำเลยหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ไม่มีอำนาจโดยพลการที่จะ ปิดล็อกประตูช้นั 2 ซ่ึงเปน็ ทางเขา้ ออกทางเดยี วทำใหโ้ จทกแ์ ละพนักงานของโจทก์ไมส่ ามารถเขา้ ไปยังชนั้ 3 และ ชั้น 4 ของอาคารพิพาทได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองของโจทก์ ถือ ไดว้ า่ จำเลยเข้าไปกระทำการรบกวนการครอบครองอสงั หารมิ ทรพั ยข์ องโจทกโ์ ดยปกตสิ ุขตาม ป.อ. มาตรา 362 ฎกี าเลา่ เรื่อง 171 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและรอการลงโทษไว้ในคดีของศาลชั้นต้น จำเลยกระทำ ความผดิ คดีนอ้ี ีกภายในเวลาทร่ี อการลงโทษดงั กล่าว ต้องนำโทษจำคุกทรี่ อไว้น้ันมาบวกเขา้ กบั โทษคดนี ้ี แม้โจทก์ มิไดบ้ รรยายฟ้องและขอใหบ้ วกโทษดว้ ยก็ตาม กรณมี ใิ ช่การพพิ ากษาเกนิ คำขอหรอื เพ่มิ เติมโทษจำเลยเพราะศาล ท่ีพพิ ากษาคดหี ลงั ตอ้ งบวกโทษคดีก่อนเข้ากบั คดีหลังด้วยเสมอ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4790 / 2562 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ในฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกิน อตั ราตามคดอี าญาของศาลช้นั ต้น จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดระยะเวลาท่ีรอการลงโทษไวใ้ น คดีก่อน ก็ต้องนำโทษจำคกุ ที่รอไวใ้ นคดีก่อนมาบวกเข้ากบั โทษในคดนี ีต้ าม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก แม้โจทก์ จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ก็ตาม กรณีนี้มิใช่เป็นการ พิพากษาเกินคำขอและไม่ใช่การเพิ่มเติมโทษจำเลยเพราะกฎหมายบัญญัติให้ศาลที่พิพากษาคดีหลัง บวกโทษท่ี รอการลงโทษไวใ้ นคดีกอ่ นเขา้ กับโทษในคดีหลังด้วยเสมอ
ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 172 โจทก์ฟ้องฐานพยายามฆ่า จำเลยต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าเป็นการป้องกัน พอสมควรแก่เหตุ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้รับ อันตรายสาหสั โดยวินจิ ฉัยวา่ เปน็ การป้องกันเกินสมควรแกเ่ หตุ จึงเป็นกรณที ี่ศาลชัน้ ต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โจทก์ในความผิดฐานพยายามฆ่าโดยมิได้กระทำเพื่อป้องกัน โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐาน พยายามฆา่ โดยอา้ งว่ามไิ ดเ้ ปน็ การกระทำเพ่อื ปอ้ งกนั ไมไ่ ด้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4888 / 2562 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อน่ื จำเลยใหก้ ารต่อส้อู า้ งเหตปุ ้องกนั ศาลชั้นต้นพพิ ากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินจิ ฉัยวา่ การกระทำของจำเลยเป็นการ ป้องกันพอสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 68 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) (เดิม) ประกอบมาตรา 69 โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกนิ สมควรแก่เหตุ จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น โดยมิได้ กระทำเพื่อป้องกันตามป.อ. มาตรา 288 โจทก์จึงฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ทั้งสองรวม 2 กระทง โดยอ้างว่าการกระทำของจำเลยมไิ ด้เปน็ การกระทำเพื่อป้องกนั ไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ฎีกาเลา่ เร่อื ง 173 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานโกงเจ้าหนี้ โดยอ้างมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์จด ทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเจตนามิให้โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกลับคืนมา เมื่อศาล ฎีกาคดีดังกล่าวฟังว่าโจทก์จดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่เพราะถกู กลฉ้อฉลโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเพกิ ถอนนิตกิ รรมดงั กล่าวและพิพากษายกฟ้อง เป็นผลให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ เปน็ เจ้าหน้แี ละลูกหนี้ตอ่ กัน การกระทำของจำเลยท่ี 1 จึงขาดองคป์ ระกอบความผดิ ฐานโกงเจา้ หน้ี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6188 / 2562 หนี้ที่โจทก์อ้างเป็นมูลเหตุฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานโกง เจ้าหน้ี คือหนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยท้ัง สองมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของโจทก์ เมื่อความ ปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีดังกล่าวศาลฎีการับฟังว่าโจทก์จดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน พพิ าทกง่ึ หนงึ่ และโอนกรรมสิทธิ์ทดี่ ินพิพาทอกี ก่ึงหนง่ึ ให้แก่จำเลยท่ี 1 ด้วยความสมคั รใจ ไมใ่ ชเ่ พราะถูกจำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวและพิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 7 ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาทำให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน โจทก์ไม่อยู่ในฐานะ เจ้าหนี้ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 การกระทำของ
จำเลยที่ 1 ที่โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ขาดองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตาม ฟอ้ ง ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 174 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่าต่างให้การรับสารภาพมาตลอด ศาลสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งนั้น เป็นการ โต้เถียงดลุ พินิจในการลดโทษอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย ทั้งการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาอีกว่า ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยอืน่ จา่ ยสนิ บนนำจับไม่ถูกต้องนั้น การฎีกาเป็นปญั หาเฉพาะตัวของ จำเลยแต่ละคน ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีข้อโต้แย้งและคัดคา้ นว่า ศาลชั้นอุทธรณ์ พิจารณาและพิพากษา คดใี นส่วนท่ีเกยี่ วกับตนไมถ่ ูกต้องหรือผดิ กฎหมายอยา่ งใด จงึ เปน็ ฎกี าทีไ่ ม่ชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4572 / 2562 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับ สารภาพมาตลอด ศาลสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตาม ป.อ. มาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่งนั้น เป็นฎีกา โต้เถยี งดุลพนิ จิ ในการลดโทษเป็นปัญหาข้อเท็จจรงิ มิใชป่ ญั หาข้อกฎหมาย ตอ้ งหา้ มฎีกาตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 218 วรรคหน่งึ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 30 ให้การรับสารภาพ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้ จำเลยท่ี 3 ถงึ ที่ 30 จ่ายสินบนนำจับก่งึ หนง่ึ ของคา่ ปรบั ไมถ่ กู ตอ้ งนัน้ การฎีกาในปญั หาใดตอ่ ศาลฎกี าเปน็ ปัญหา เฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีข้อโต้แย้งและคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาและพิพากษาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมายอย่างใด ฎีกาของ จำเลยท่ี 1 และที่ 2 จึงเปน็ ฎกี าท่ีไมช่ อบด้วยกฎหมาย ฎกี าเล่าเร่อื ง 175 การที่จำเลยทั้งสองยื่นขอขยายอุทธรณ์ในวันสุดท้ายของระยะเวลาที่ศาลขยายให้โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ไดย้ ินเจา้ หน้าทศ่ี าลแจง้ ว่าศาลขยายถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2561 และทนายจำเลยทงั้ สองตดิ งานคดที ี่จงั หวัดอ่ืน ไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ทัน เป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐาน จึงเป็นความบกพร่องของจำเลยทั้งสองเอง มใิ ชพ่ ฤตกิ ารณ์พิเศษ ท้งั มิใช่เหตุสุดวสิ ัยท่ีศาลจะอนญุ าตให้ขยายระยะเวลายน่ื อทุ ธรณ์ใหแ้ ก่จำเลยท้ังสองได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5224 / 2562 จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ภายในระยะเวลา 1 เดือน ตามทศี่ าลอนุญาตใหข้ ยายระยะเวลา การที่จำเลยทง้ั สองดำเนินการในวันสดุ ท้ายของระยะเวลาโดยอ้างวา่ จำเลย ที่ 1 ได้ยินเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งให้ทราบว่าศาลขยายระยะเวลาถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2561 และทนายจำเลยทั้ง สองติดงานคดีที่จังหวัดอื่นไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ทันก็เป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานใดๆมาแสดง
ยนื ยนั ว่าเปน็ จริงดงั ที่กล่าวอา้ งหรอื ไม่ จึงเปน็ ความบกพร่องของจำเลยท้ังสองเองมิใช่พฤติการณ์พิเศษท่ีจะยกขึ้น กล่าวอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ และกรณีมิใช่เหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ท่ีศาลจะอนญุ าตให้ขยายระยะเวลายืน่ อุทธรณ์ให้แก่จำเลยทัง้ สองเมอ่ื ส้ินระยะเวลาอุทธรณแ์ ล้วได้ ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 176 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาลงโทษจำเลยจำคกุ 6 เดือน ศาลอทุ ธรณ์พพิ ากษาแก้เปน็ ลงโทษจำเลยปรับ 3,000 บาท อีกสถานหนึ่ง แล้วรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติไว้ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุกจำเลยไมเ่ กนิ สองปีและปรบั ไมเ่ กินส่ีหม่นื บาท จงึ ห้ามมใิ ห้ค่คู วามฎกี าในปัญหาข้อเทจ็ จรงิ โจทก์ฎีกา ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงตอ้ งห้ามฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4491 / 2562 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 335 (11) วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดยี วผิดตอ่ กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 265 (เดิม), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม), 335 (11) วรรคแรก (เดิม) ลงโทษปรับ 6,000 บาท อีก สถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงปรับ 3,000 บาท แล้วรอการลงโทษจำคุกและคุมความ ประพฤติจำเลยไว้ อันเปน็ กรณที ีศ่ าลชน้ั ตน้ และศาลอุทธรณล์ งโทษจำคกุ จำเลยไมเ่ กนิ สองปแี ละปรับไมเ่ กนิ ส่ีหมน่ื บาท จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.อ. มาตรา 219 การที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษ จำคุกแก่จำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึง ตอ้ งหา้ มฎกี าตามบทบัญญตั ขิ องกฎหมายดงั กลา่ ว ฎีกาเลา่ เร่อื ง 177 ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่า ทนายความรวม 10,000 บาท เมื่อโจทก์ฎีกาจะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่จำเลยทั้งสองตามคำ พิพากษาศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา แต่โจทก์ยื่นฎีกาโดยวางเงิน 10,000 บาท ซึ่งคงถือได้เป็น เพียงค่าทนายความที่ต้องใช้แทนจำเลยทั้งสองเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นที่ต้องใช้แทนไม่ได้นำมาวางศาล พร้อมกับฎีกาด้วย เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้ครบถ้วน จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบท่ีจะสั่งไมร่ ับ
ฎีกาได้ทันที เพราะมิใช่กรณีโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไม่ครบที่ศาลชั้นต้นจะต้องสั่งให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วน เสียก่อนท่ีจะส่งั รบั หรือไม่รบั คำคู่ความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4659 / 2562 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง สองศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวมเป็นเงิน 10,000 บาท เมื่อโจทก์ฎกี า โจทกจ์ ะต้องนำ เงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกบั ฎกี าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา 247 (เดิม) แตโ่ จทกย์ ื่นฎีกาโดยวางเงิน 10,000 บาท ซง่ึ คงถือ ได้เป็นเพียงค่าธรรมเนียมในส่วนค่าทนายความที่ต้องใช้แทนจำเลยทั้งสองเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นท่ีต้องใช้ แทนจำเลยทั้งสองคือค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 20,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการส่งคำคู่ความชั้นอุทธรณ์ 500 บาท โจทก์ไมน่ ำมาวางศาลพร้อมกับฎกี าดว้ ย เป็นการไมป่ ฏิบตั ิตามบทบญั ญัตดิ งั กล่าวให้ครบถว้ น จึงเปน็ ฎีกาท่ี ไม่ชอบดว้ ยกฏหมาย ศาลชัน้ ต้นชอบทีจ่ ะมีคำสัง่ ไมร่ ับฎีกาได้ทันที เพราะมิใช่กรณีโจทก์เสยี ค่าขึ้นศาลชัน้ ฎีกาไม่ ครบถ้วนตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 18 วรรคสอง ที่ศาลชนั้ ต้นซึง่ มหี น้าท่ีตรวจคำค่คู วามจะตอ้ งมีคำส่งั ใหโ้ จทกช์ ำระให้ ครบถ้วนเสยี กอ่ นทจี่ ะสัง่ รบั หรือไม่รบั คำคคู่ วาม ฎกี าเลา่ เร่ือง 178 พ.ร.บ.อาวุธปนื ฯบัญญตั คิ วามหมายของคำวา่ “ม”ี ไวว้ ่ามกี รรมสิทธห์ิ รอื มไี ว้ในครอบครอง แต่มไิ ดบ้ ญั ญตั ิ ความหมายของคำวา่ ครอบครองไวเ้ ปน็ พเิ ศษ การถืออาวุธปืนอย่ชู ว่ั ขณะมไิ ดม้ ีเจตนายึดถอื เพอื่ ตนไม่ถือเป็นการ ครอบครองจำเลยเพียงแต่รับฝากอาวธุ ปืนพกสนั้ ของกลางไม่มเี ครอ่ื งกระสนุ ปนื จากเจา้ ของก่อนเกดิ เหตปุ ระมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งการรับฝากดังกล่าว แม้มีเงื่อนไขว่า ถ้าภายหลังจำเลยพอใจเจ้าของยินดีขายและโอนอาวุธปืนให้ ถูกตอ้ ง กถ็ ือวา่ จำเลยครอบครองอาวธุ ปนื ของกลางช่วั ขณะเช่นกัน เพราะจำเลยยงั มีหน้าทีต่ อ้ งคืนแก่เจ้าของ ทั้ง การที่จำเลยพอใจแล้วซื้ออาวุธปืนดังกล่าวในภายหลังก็เป็นเรื่องที่เจ้าของจะต้องจดทะเบียนโอนและส่งมอบให้ จำเลยอกี ตา่ งหาก การกระทำของจำเลยจงึ ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4729 / 2562 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิง่ เทยี มอาวุธปนื พ.ศ.2490 มาตรา 7 บัญญตั ิว่า “หา้ มมิให้ผใู้ ดทำ ซอ้ื มี ใช้ สง่ั หรอื นำเขา้ ซ่ึงอาวธุ ปืนหรอื เครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” และมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติฉบบั เดียวกนั ให้ความหมายของคำวา่ “มี” ไวว้ ่ามกี รรมสทิ ธ์หิ รอื มีไวใ้ นครอบครอง ซ่ึงคำว่าครอบครองหาได้บญั ญัตใิ ห้ มีความหมายเป็นพิเศษอย่างใดไม่ ต้องถือว่ามีความหมายตามกฎหมายทั่วไป เช่นนี้ การถืออาวุธปืนอยู่ชั่วขณะ แลว้ ต้องส่งคนื เปน็ การยดึ ถอื อาวุธปืนแตม่ ไิ ดม้ ีเจตนายดึ ถือเพ่อื ตน หาอาจเปน็ การครอบครองไม่ จำเลยเพียงแต่รับฝากอาวุธปืนพกสั้นของกลางมีซองอาวุธปืนไม่มีเครื่องกระสุนปืนจาก ย. ก่อนหน้าวัน เกดิ เหตแุ ค่ประมาณ 1 สปั ดาห์ ซ่ึงการรับฝากอาวธุ ปืนพกสน้ั ของกลางในลักษณะนขี้ องจำเลย แมย้ ังมีเง่ือนไขว่า
ถ้าภายหลังจำเลยพอใจ ย. ก็ยินดีขายและโอนอาวุธปนื ให้ถูกตอ้ งก็ยังถอื วา่ จำเลยเป็นเพียงผูค้ รอบครองอาวุธปืน พกสั้นของกลางอยู่ชั่วขณะเชน่ กัน เนื่องจากจำเลยยงั มีหน้าที่ต้องคืนอาวุธปืนพกสัน้ ของกลางให้ ย. อยู่ ส่วนการ ที่จำเลยจะพึงพอใจแล้วซื้ออาวุธปืนพกสั้นของกลางในภายหลังก็เป็นเรื่องที่ ย. จะต้องจดทะเบียนโอนและส่ง มอบอาวุธปืนพกสั้นของกลางให้จำเลยอีกต่างหาก การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครอ่ื งกระสนุ ปนื วตั ถรุ ะเบดิ ดอกไมเ้ พลงิ และส่ิงเทียมอาวธุ ปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 วรรคสาม ฎีกาเล่าเรื่อง 179 จำเลยที่ 2 ขบั รถยนต์มาจอดปาดหนา้ รถจกั รยานยนตผ์ ู้เสยี หาย แล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวธุ มีดแทงผู้เสยี หาย จนบาดเจ็บ และจำเลยที่ 2 ถืออาวุธมีดชี้และเดินเข้าหาผู้เสียหาย จนผู้เสียหายวิ่งหนีโดยมีจำเลยที่ 2 ไล่ตาม แล้วจำเลยทั้งสองเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปแสดงว่าต่างมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ และได้ลงมือลัก ทรัพยห์ รือชงิ ทรัพย์ตัง้ แต่แรก การท่จี ำเลยทั้งสองนำรถจกั รยานยนตข์ องผเู้ สยี หายไปจอดทิ้งห่างจากที่เกิดเหตุซ่ึง อย่คู นละอำเภอ และอปุ กรณข์ องรถจักรยานยนต์บางส่วนรวมทัง้ กุญแจรถหายไป ตามพฤตกิ ารณก์ ารกระทำของ จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ มิใช่เพียงทำร้ายผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันชิง ทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494 / 2563 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์มาจอดปาดหน้า รถจักรยานยนต์ผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดพับแทงผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บ และจำเลยที่ 2 ถือ อาวุธมีดทรงหัวตัดขนาดใหญ่ชี้มาที่ผู้เสียหายและเดินเข้าไปหาผู้เสียหาย จนทำให้ผู้เสียหายต้องวิ่งหลบหนีไป หลบซ่อนตัวในป่าริมถนนโดยมีจำเลยที่ 2 วิ่งไล่ติดตาม แต่ไม่ได้ตามผู้เสียหายเข้าไปในป่าเพื่อทำร้ายต่อ แล้ว จำเลยทง้ั สองเอารถจกั รยานยนตข์ องผูเ้ สยี หายไป แสดงใหเ้ หน็ วา่ จำเลยทัง้ สองมีเจตนาประสงค์ตอ่ ทรพั ย์ และได้ ลงมือกระทำการลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ตั้งแต่ในครั้งแรกแล้ว และจากข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองนำ รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจอดทิ้งไว้บริเวณข้างทาง แม้ไม่มีลักษณะซุกซ่อน แต่จุดที่จอดก็มีระยะทางอยู่ ห่างจากท่ีเกดิ เหตุมาก ทั้งอยู่คนละอำเภอ และอุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์บางส่วนหายไปรวมทัง้ กุญแจรถ การ กระทำของจำเลยท้ังสองดงั กล่าวแสดงให้เห็นว่าประสงค์ต่อผลในการแสวงหาประโยชนจ์ ากทรพั ยส์ ินโดยแทจ้ รงิ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ หาได้มีเจตนาเพียงต้องการทำร้ายร่างกาย ผ้เู สียหายเพยี งอยา่ งเดยี วไม่ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเปน็ ความผดิ ฐานร่วมกันชงิ ทรัพย์ ฎีกาเลา่ เรื่อง 180 ตาม ป.อ. ทแี่ กไ้ ขใหมไ่ ด้เพิ่มหลกั เกณฑใ์ หศ้ าลใชด้ ลุ พินจิ รอการลงโทษแก่จำเลยไดม้ ากขน้ึ โดยใหจ้ ำเลยท่ี เคยต้องโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน และที่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่พ้นโทษมาแล้วเกินกว่าห้าปี แล้วมา
กระทำความผดิ อีก ในความผดิ ทีไ่ ดก้ ระทำโดยประมาทหรอื ลหโุ ทษ แสดงวา่ กฎหมายมเี จตนารมณใ์ หจ้ ำเลยที่เคย ต้องโทษจำคุกในเวลาอันส้ันและที่เคยได้รับโทษจำคุกระยะยาวแต่พ้นโทษมานานแล้ว มีโอกาสกลับตนเป็น พลเมืองดี เมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกเกิน 6 เดือน ในความผิดซึ่งมิใช่กระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ และ จำเลยพ้นโทษจำคุกมายังไม่เกนิ ห้าปี แม้คดนี ี้เป็นการกระทำความผิดโดยประมาทก็ไมเ่ ขา้ หลักเกณฑ์ทีศ่ าลจะรอ การลงโทษใหไ้ ด้ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 645 / 2563 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ใหม่) ไดเ้ พมิ่ หลักเกณฑ์ให้ ศาลสามารถใช้ดุลพินิจรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้มากขึ้น จากเดิมที่จำกัดเฉพาะแต่จำเลยที่ไม่เคยต้องโทษ จำคุกมากอ่ น หรอื เคยต้องโทษจำคกุ แต่เป็นโทษสำหรับความผดิ ท่ีไดก้ ระทำโดยประมาทหรือความผิดลหโุ ทษ ได้ เพม่ิ ใหจ้ ำเลยที่เคยตอ้ งโทษจำคุกไมเ่ กนิ หกเดอื น และจำเลยทีเ่ คยได้รับโทษจำคุกมากอ่ น แตพ่ ้นโทษจำคกุ มาแล้ว เกินกว่าห้าปี แล้วมากระทำความผิดอีก โดยความผิดในครั้งหลังเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือ ความผิดลหุโทษ จากหลักเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นมานั้น แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้จำเลยที่เคย ต้องโทษจำคุกมาในระยะเวลาสั้นและจำเลยที่เคยได้รับโทษจำคุกระยะยาวแต่พ้นโทษมานานแล้ว มีโอกาสกลบั ตนเปน็ พลเมืองดี จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกเกินกว่า 6 เดือน ในความผิดฐานร่วมกันประกอบกิจการให้สินเชื่อส่วนบุคคล โดยไมไ่ ดร้ ับอนญุ าตและเรยี กเกบ็ ดอกเบี้ยเกินอตั รา ซ่ึงมิใชค่ วามผดิ ทไี่ ดก้ ระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และจำเลยพ้นโทษจำคุกมายังไม่เกินห้าปี แม้คดีนี้จะเป็นการกระทำความผิดโดยประมาทก็ตาม จึงไม่เข้า หลักเกณฑ์ทศี่ าลจะใชด้ ุลพนิ จิ รอการลงโทษให้แกจ่ ำเลยไดต้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (2), (3) ฎกี าเล่าเร่อื ง 181 เดมิ พนกั งานอยั การฟ้องโจทก์ในคดนี ้ีเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกเขา้ ไปกน่ สรา้ ง แผ้วถางฯ ตาม พ.ร.บ.ปา่ ไม้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ที่ดินแปลงใดที่ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิครอบครองตามประมวล กฎหมายที่ดินย่อมเป็นป่าทั้งสิ้น... จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) พิสูจน์ไม่ได้ว่าตนได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบ เท่ากับ วินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว จึงมีความผิดตามฟ้อง การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เพื่อให้ศาล วนิ ิจฉัยว่าโจทกเ์ ปน็ ผมู้ ีสิทธคิ รอบครองทดี่ นิ พพิ าท ย่อมเปน็ ประเด็นเดยี วกบั คดอี าญา จงึ เปน็ คดีแพ่งท่ีเกี่ยวเน่ือง กบั คดอี าญา การพิพากษาคดีสว่ นแพง่ ศาลจำต้องถอื ขอ้ เทจ็ จริงตามที่ปรากฏในคำพพิ ากษาคดสี ว่ นอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3885 / 2562 เดิมพนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรีฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็น คดีอาญาขอ้ หาบกุ รุกเขา้ ไปกน่ สรา้ ง แผว้ ถาง กระทำด้วยประการใดๆในทดี่ นิ พพิ าทอันเปน็ การทำลายปา่ และเข้า ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4 , 54 และ
72 ตรี ศาลฎีกาในคดดี งั กล่าววนิ จิ ฉยั ว่า ตาม พ.ร.บ.ปา่ ไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4 (1) ที่ดนิ แปลงใดท่ียังไม่มีผู้ใด เป็นเจ้าของหรือได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินย่อมเป็นป่าทั้งสิ้นโดยไม่จำต้องมีเอกสารสิทธิใน ที่ดินหรือหลักฐานของทางราชการมาแสดงว่าเป็นป่าแต่อย่างใด จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) พิสูจน์ไมไ่ ด้ว่าตนได้ท่ดี ิน พิพาทมาโดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดิน เท่ากับวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันจะ ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้รัฐได้ จึงมีความผิดตามฟ้อง การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิ ครอบครองโดยชอบในที่ดินพิพาท ขอให้ห้ามจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ประเด็นทีต่ ้องวินิจฉยั ในคดีนี้ก็ย่อมเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีอาญาดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับ คดีอาญา การพิพากษาคดสี ่วนแพ่ง ศาลจำตอ้ งถือขอ้ เท็จจริงตามท่ปี รากฏในคำพพิ ากษาคดสี ว่ นอาญา ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 182 ปัญหาเรื่องการเรียงฟ้องในคดีอาญาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อย การที่ศาลชั้นอุทธรณ์หยิบยกปัญหาฟ้องโจทกเ์ คลือบคลุมขึน้ วินจิ ฉัยแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงชอบดว้ ย กฎหมาย สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์กับยักยอกนั้นแตกต่างกันในสาระสำคัญเรื่องการครอบครองโดยฐานลัก ทรัพย์ผู้กระทำต้องไม่ได้ครอบครองทรัพย์อันเป็นวัตถุที่มุ่งกระทำต่อด้วยในขณะกระทำความผิดและมีการเอา ทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือยินยอม ส่วนฐานยักยอกผู้กระทำต้องครอบครอง ทรัพย์นั้นอยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด ปัญหาเรื่องการครอบครองจึงมีความสำคัญในการวินิจฉัยว่าจะเป็น ความผิดฐานใด ในกรณีที่ฟ้องโจทก์ขัดแย้งกันเองและขัดต่อลักษณะความผิด อันเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบ ความผิดจึงไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ซง่ึ การท่ศี าลจะพพิ ากษาลงโทษจำเลยตามขอ้ เท็จจริงทไี่ ด้ความแตกต่างกับฟ้อง ได้นัน้ คำฟ้องของโจทกจ์ ะต้องบรรยายมาอย่างถกู ต้องครบถว้ นเสยี กอ่ น หากเป็นฟ้องท่ีไมช่ อบ ศาลต้องพิพากษา ยกฟอ้ งและไม่มอี ำนาจลงโทษจำเลยตามขอ้ เท็จจริงท่พี ิจารณาได้ความได้ คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 4524 / 2562 แมศ้ าลชนั้ ตน้ จะมีอำนาจตรวจคำค่คู วามแต่ปัญหาเรียงฟ้องใน คดีอาญาชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมี อำนาจหยบิ ยกข้ึนวินจิ ฉยั ได้เองตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง การที่ศาลอุทธรณภ์ าค 1 หยิบยกปญั หาฟอ้ ง โจทก์เคลือบคลมุ ขน้ึ วินิจฉยั แล้วพิพากษายกฟอ้ ง จึงชอบดว้ ยกฎหมาย หาใชก่ ารพิจารณาคดที ผี่ ดิ ระเบียบ เมื่อพิจารณาบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 334 เปรียบเทียบกับ ป.อ. มาตรา 352 แล้ว จะเห็นความ แตกตา่ งในสาระสำคัญคือเรือ่ งการครอบครองโดยความผิดฐานลกั ทรัพย์ผู้กระทำจะต้องไม่ได้ครอบครองทรัพย์ที่ เป็นวัตถุที่มุ่งกระทำต่อด้วยในขณะกระทำความผิดและมีการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยไม่ได้ รบั อนุญาตหรอื ยนิ ยอม ส่วนความผดิ ฐานยกั ยอกจะเป็นความผดิ ไดต้ อ่ เม่อื ผกู้ ระทำไดค้ รอบครองทรพั ยน์ ้นั อยดู่ ว้ ย ในขณะกระทำความผิด ปัญหาการครอบครองอยู่ที่ใคร จึงมีความสำคัญในการวินิจฉัยว่าการเอาไปจะเป็น ความผิดฐานลักทรัพย์หรอื ยักยอก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 เวลา กลางวัน จำเลยทั้งสองรว่ มกนั กระทำความผิดโดยทุจริตตอ่ โจทก์หลายบทหลายกรรมตา่ งกนั โดยจำเลยที่ 1 เป็น กรรมการผู้จัดการโจทก์ได้รับมอบหมายให้ครอบครองจัดการทรัพย์สินโจทก์ มีอำนาจลงลายมือชื่อเบิกถอนเงิน เพื่อชำระหนี้โจทก์ตามกฎหมายคือบัญชีโจทก์ของธนาคาร ก. ประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน จำเลยที่ 1 กระทำผิดหน้าที่ของตนสั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมและเช็คเงินสด 11 ฉบับ จากบัญชีโจทก์ให้จ่ายเข้าบัญชีจำเลยที่ 2 หรือแก่ผูถ้ ือและจำเลยที่ 2 เป็นผูถ้ ือเช็คไปถอนเงิน จำเลยท้ังสองร่วมกนั ลักทรัพย์และเบยี ดบังเอาทรัพย์สินเป็น เงนิ ในบญั ชีของโจทกใ์ นฐานะนายจ้างเป็นของตน ขอใหล้ งโทษตาม ป.อ. มาตรา 22, 83, 90, 91, 334, 335 (7) (11), 352, 353 แสดงว่า โจทก์เองก็ไม่ทราบว่าความจริงเป็นอย่างไรเป็นฟ้องที่ขัดกันเองและขัดต่อ ลักษณะความผิด เป็นฟอ้ งท่ีขาดองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์และยกั ยอกไมช่ อบด้วย ป.ว.ิ อ. มาตรา 158 (5) การที่ศาลจะมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความแตกต่างกับฟ้องตามมาตรา 192 ได้นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายมาถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา 158 (1) ถึง (7) เสียก่อน หากเป็นฟอ้ งท่ีไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ศาลจะตอ้ งพิพากษายกฟอ้ ง โดยไมจ่ ำต้องพจิ ารณาการสบื พยานของคู่ความ แต่อย่างใด ตามกรณีดังกล่าวศาลย่อมไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 ได้ ฎกี าเล่าเร่ือง 183 โจทก์ตั้งประเด็นในคำฟ้องว่า โจทก์ปลูกต้นสักล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ผู้นั้นยอมให้ต้นสักคง อยใู่ นทดี่ ินจนกว่าโจทก์จะตัดขาย จำเลยตัดตน้ สักดังกลา่ วเป็นละเมิด จำเลยตอ่ สวู้ า่ รับโอนท่ีดนิ มาและตน้ สกั เปน็ สว่ นควบ จำเลยเปน็ เจ้าของจึงมีสิทธติ ัดโดยไม่เป็นละเมิด คดีมีประเด็นขอ้ พพิ าทวา่ จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ หรือไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าโจทก์ปลูกต้นสักโดยไม่สุจริต โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม กฎหมาย ฟังว่าโจทกป์ ลูกตน้ สักในที่ดินนั้นโดยสจุ ริต การที่จำเลยรังวัดออกโฉนดท่ีดินแลว้ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ ตัดต้นสกั ออกไปเท่ากบั บอกปดั ไมย่ อมรับตน้ สักนั้น ต้นสักจึงเปน็ กรรมสทิ ธ์ิของโจทก์และไม่เป็นสว่ นควบ เม่ือคดี ส่วนอาญาไดค้ วามวา่ จำเลยลกั ตน้ สักของโจทก์ คดีส่วนแพง่ จงึ ต้องถือข้อเทจ็ จริงตามทป่ี รากฏในคดสี ว่ นอาญาวา่ จำเลยกระทำละเมดิ ต่อโจทก์ ทศี่ าลชั้นอทุ ธรณ์วินจิ ฉัยว่า โจทก์ปลกู ตน้ สกั ล้ำทดี่ นิ ดงั กลา่ วโดยไม่สุจริต จำเลยใช้ สิทธิในฐานะเจ้าของทดี่ ินเลือกเอาไม้สักโดยใช้ราคาเป็นการวินจิ ฉัยนอกประเด็น ท้งั การกำหนดให้จำเลยใช้ราคา ต้นสักแก่โจทก์ก็เป็นผลจากการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นอุทธรณ์พิจารณา พิพากษาใหม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661/2562 โจทก์ตั้งประเด็นในคำฟ้องว่าโจทก์ปลูกต้นสกั ล้ำเข้าไปในที่ดิน ป. โดยสุจรติ ป. ยนิ ยอมให้ตน้ สกั คงอยู่ในทด่ี นิ จนกวา่ โจทกจ์ ะตดั ขาย จำเลยตัดตน้ สักของโจทก์เปน็ ละเมิด จำเลยให้
การต่อสู้ว่ารับโอนที่ดินมาและต้นสักเป็นส่วนควบกับที่ดินจำเลย จำเลยเป็นเจ้าของต้นสักจึงมีสิทธิตัดได้โดยไม่ เป็นละเมิด คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งคดีนี้จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า โจทก์ปลูกต้นสักโดยไม่สุจริต และโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาต รา 6 จึงต้องฟังว่า โจทก์ปลูกต้นสักในที่ดิน ป. โดยสุจริต เมื่อจำเลยรังวัดออกโฉนดที่ดินทราบว่าต้นสักที่โจทก์ปลูกอยู่ในที่ดินของ จำเลย จำเลยจึงมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ตัดต้นสกั ออกไปเท่ากับจำเลยบอกปดั ไมย่ อมรับต้นสักตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1314 วรรคหนึ่ง ต้นสักจึงเป็นกรรมสทิ ธ์ิของโจทก์ ไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน จำเลย และเมื่อคดีส่วนอาญาได้ความว่า จำเลยตัดต้นสักของโจทก์เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ไปโดยทุจริตเปน็ ความผดิ ฐานลักทรัพย์ คดีส่วนแพง่ จงึ ต้องถอื ข้อเท็จจรงิ ตามทปี่ รากฏในคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 วา่ จำเลยตัดต้นสกั ของโจทกเ์ ปน็ การกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทีศ่ าลอทุ ธรณภ์ าค 6 วนิ จิ ฉัยวา่ โจทกป์ ลกู ต้นสักล้ำเข้า ไปในท่ดี นิ ของจำเลยโดยไมส่ ุจริต การท่ีจำเลยตดั ตน้ สกั พอถือได้วา่ จำเลยใช้สิทธใิ นฐานะเจา้ ของที่ดินเลือกเอาไม้ สกั โดยใช้ราคาต้นสกั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1311 ประกอบมาตรา 1314 วรรคหน่ึง เปน็ การวินิจฉัยนอกประเดน็ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 และการกำหนดให้จำเลยใช้ราคาต้นสักแก่ โจทก์ ก็เป็นผลจากการวินิจฉัยนอกประเด็น เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาพิพากษา ใหม่ ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 252 ทแ่ี ก้ไขใหม่ ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 184 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2559 ครบกำหนดยื่นฎีกาภายใน 1 เดือน ใน วันที่ 1 ม.ค. 2560 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์และเป็นวันขึ้นปีใหม่อันเป็นวันหยุดราชการ วันที่ 2 และ 3 ม.ค. 2560 ซงึ่ ตรงกับวนั จนั ทรแ์ ละวนั อังคารก็เปน็ วันหยุดราชการชดเชยวันสนิ้ ปแี ละวนั ข้นึ ปีใหม่ จำเลยจึงมีสิทธิย่ืน ฎีกาในวันที่ 4 ม.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันทีเ่ ริ่มทำการใหม่ แต่จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาในวันที่ 5 ม.ค. 2560 เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ขยายได้จำเลยต้องอ้างเหตุสุดวิสัยที่ไม่ สามารถยื่นคำร้องดังกล่าวก่อนสิ้นระยะเวลายื่นฎีกา แต่จำเลยอ้างเพียงว่า จำเลยเพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ขอคัดถ่ายไว้ทำให้ไม่อาจทำฎกี ายืน่ ได้ทันกำหนด อันเป็นพฤติการณ์พิเศษท่ีทำให้ไม่ สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดเท่านั้น มิใช่เหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำร้องได้ก่อนสิ้นเวลาที่ กฎหมายกำหนด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2562 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาภายใน 1 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 (เดิม) ในวันที่ 1 มกราคม 2560 ซ่ึงตรงกับวนั อาทิตย์และเปน็ วนั ขึ้นปีใหมอ่ นั เป็นวนั หยุดราชการ วนั ที่ 2 และ 3 มกราคม 2560 ซึ่งตรง กับวันจันทร์และวันองั คารก็เป็นวันหยุดราชการชดเชยวันสิ้นปีและวันข้ึนปีใหม่ จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นฎีกาในวันที่ 4 มกราคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำการใหม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/8 จำเลยยื่นคำร้องขอขยาย
ระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2560 จึงเป็นการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนด ระยะเวลายื่นฎีกา การที่ศาลชน้ั ต้นจะมีคำสง่ั อนญุ าตใหข้ ยายระยะเวลายนื่ ฎกี าแก่จำเลยได้ จำเลยจะต้องอ้างถึง เหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาก่อนสิ้นระยะเวลายื่นฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 แตต่ ามคำรอ้ งจำเลยอา้ งเพยี งว่า จำเลยเพงิ่ ไดร้ บั สำเนาคำพพิ ากษาหรอื คำสั่งของศาลอุทธรณ์ท่ีขอคดั ถา่ ยไว้ทำให้ไม่อาจทำฎีกาย่นื ไดท้ ันภายในกำหนด อันเปน็ การอ้างถงึ พฤตกิ ารณพ์ ิเศษที่ทำใหไ้ มส่ ามารถยน่ื ฎีกาได้ ภายในกำหนดเพ่ือขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปเท่านัน้ มใิ ชเ่ หตสุ ุดวิสัยท่ที ำให้จำเลยไมส่ ามารถยื่นคำรอ้ งขอ ขยายระยะเวลายืน่ ฎกี าไดก้ ่อนสิ้นเวลาทกี่ ฎหมายกำหนด ฎีกาเลา่ เร่ือง 185 กรณีความรับผิดทางละเมิดนั้น แม้ผู้กระทำจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่เมื่อยังไม่เกิดความเสียหาย ผู้กระทำละเมิดก็ยังไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ดังกล่าวจะเกิดขึ้นกต็ อ่ เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจริง จึงต้องเริ่มนบั อายุความแต่วันที่เกิดความเสียหายเป็นวันท่รี ู้ ถึงการละเมิด มิใช่นบั แต่วนั ทรี่ ู้ถึงการกระทำผิดและรู้ตัวผจู้ ะพึงตอ้ งใช้คา่ สินไหมทดแทน สำหรับหนอ้ี ันเกิดแต่มูล ละเมิดที่บคุ คลใดรว่ มกบั ผ้อู ่นื ทำไว้ก่อนถงึ แก่ความตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแกท่ ายาท แตไ่ มต่ ้องรับผิดเกินกว่า ทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน และกรณีที่เจ้าหนี้ทราบแล้วว่าตนมีสิทธิเรียกร้องต่อเจ้ามรดก แม้อายุความตาม สิทธิเรียกร้องนั้นยาวกว่าหนึ่งปี เจ้าหนี้ก็จะต้องฟ้องภายในหนึ่งปนี ับแต่เจ้าหน้ีได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ เจ้ามรดก เมอ่ื เจ้ามรดกถงึ แก่ความตายเมอ่ื วนั ท่ี 24 พฤศจกิ ายน 2548 โจทก์ทง้ั สองเพง่ิ ร้ถู งึ การละเมดิ และรตู้ วั ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 ตามลำดับ สิทธิเรยี กร้องค่าเสียหายของโจทก์ท้ังสองเพ่ิงเกิดขึ้นหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปแล้ว ต้องถือว่าโจทกท์ ้ัง สองรหู้ รอื ควรไดร้ ถู้ งึ ความตายของเจ้ามรดกในวนั ดังกล่าวตามลำดับดว้ ย โจทกท์ งั้ สองฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ใน ฐานะทายาทของเจ้ามรดกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 ยังไม่พ้นกำหนดหนึ่งปี จึงยังไม่ขาดอายุความ ส่วน การที่โจทก์ท้งั สองฟ้องขอให้บังคบั จำเลยทัง้ หา้ ร่วมกันทำการป้องกนั มิใหเ้ กิดการทรุดพงั ทลายของดินในแนวเขต ถนนสาธารณะและถนนสาธารณะอีกต่อไป ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน และไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุ ความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายคุ วาม 10 ปี โจทกท์ ้งั สองฟ้องคดนี ีย้ งั ไมพ่ ้นกำหนดดังกล่าว ฟอ้ งโจทกท์ ้ังสองในส่วน นี้จึงไมข่ าดอายคุ วามเช่นกนั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521 / 2562 แม้ ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 บัญญัติว่า \"ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาถึงแก่ชีวิต ก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามยั ก็ดี เสรภี าพก็ดี ทรพั ยส์ ินหรือสิทธอิ ยา่ งหนึ่งอยา่ งใดกด็ ี ท่านวา่ ผนู้ ้ันทำละเมิดจำต้องใชค้ า่ สินไหมทดแทน
เพื่อการนั้น\" แสดงว่าแม้ผู้ทำละเมิดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่เมื่อยังไม่ เกิดความเสยี หาย ผู้ทำละเมิดก็ยังไม่ตอ้ งชดใช้คา่ สินไหมทดแทน สทิ ธเิ รียกร้องค่าเสียหายอนั เกดิ แต่มูลละเมิดจะ เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจริง จึงต้องเริ่มนับอายุความแต่วันที่เกิดความเสียหายเป็นวันที่รู้ถึงการ ละเมิด มิใชน่ บั แต่วันที่ร้ถู งึ การกระทำผดิ กฎหมายเท่านั้น และรตู้ ัวผจู้ ะพงึ ต้องใชค้ า่ สินไหมทดแทน หนอ้ี นั เกิดแต่ มูลละเมิดที่ บ. ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำไว้ก่อน บ. ถึงแก่ความตาย หนี้ดังกล่าวในส่วนของ บ. ย่อมเป็นมรดกตก ทอดแก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ผู้เป็นทายาทโดยธรรม จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่า สนิ ไหมทดแทนให้แกโ่ จทก์ทง้ั สอง แตจ่ ำเลยท่ี 2 ถึงที่ 5 ไม่ตอ้ งรบั ผิดเกินกวา่ ทรพั ย์มรดกทต่ี กทอดได้แก่ตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1601 ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม บัญญัติว่า \"...ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมี ต่อเจา้ มรดกมกี ำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มใิ ห้เจ้าหนีน้ นั้ ฟอ้ งร้องเมอ่ื พ้นกำหนดหนึง่ ปี นบั แต่เมื่อเจ้าหน้ีได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก\" หมายถึง กรณีที่เจ้าหนี้ทราบแล้วว่าตนมีสิทธิเรียกร้องต่อเจ้ามรดก แม้ อายุความตามสิทธิเรียกร้องนั้นยาวกว่าหนึ่งปี เจ้าหนี้ก็จะต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถงึ ความตายของเจา้ มรดก เมื่อ บ. ถงึ แก่ความตายเมอ่ื วนั ท่ี 24 พฤศจกิ ายน 2548 โจทก์ท้งั สองเพ่งิ รถู้ ึงการละเมดิ และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 ตามลำดับ สิทธเิ รียกรอ้ งค่าเสียหายของโจทกท์ ั้งสองเพง่ิ เกดิ ขึน้ หลังจาก บ. เจา้ มรดกถงึ แกค่ วามตายไปแล้ว ต้อง ถือว่าโจทก์ทั้งสองรู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ บ. ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 ตามลำดับด้วย โจทก์ทง้ั สองฟ้องจำเลยท่ี 2 ถึงที่ 5 เมอ่ื วนั ท่ี 20 กรกฎาคม 2555 ยังไม่พ้นกำหนดหนง่ึ ปี จึงยังไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม ส่วนการที่โจทก์ทั้งสองฟ้องขอใหบ้ ังคับจำเลยทัง้ ห้าร่วมกันทำการป้องกันมิให้เกิดการทรุดพังทลายของดินในแนวเขตถนนสาธารณะและถนนสาธารณะอีกต่อไป ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน และไมม่ ีกฎหมายบัญญัติอายคุ วามไว้โดยเฉพาะ จึงมอี ายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 จึงยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับ แต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2554 และวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 ตามลำดบั คดีโจทก์ทัง้ สองในสว่ นนี้ไม่ขาดอายุ ความ ฎกี าเล่าเร่อื ง 186 จำเลยท่ี 1 เป็นภรยิ าโดยชอบด้วยกฎหมายของผ้ตู าย มีบุตรด้วยกนั 7 คน รวมทัง้ โจทก์ จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 โจทก์ได้รับเงินจำนวนหนึ่งจากผู้ตายโดยเสน่หาระหว่างยังมีชีวิตอยู่ ไม่ทำให้สิทธิแบ่งปันทรัพย์มรดกของ โจทก์เสียไป และแม้มีข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้ทำสัญญาโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึง บังคับไม่ได้ ผู้จัดการมรดกต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาทของผู้ตายทุกคนตามสัดส่วน เมื่อผู้ตายไม่ได้ทำ พินยั กรรมไว้ โดยมีทรัพยม์ รดกหลายรายการ ตอ่ มาศาลตงั้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เปน็ ผู้จดั การมรดก โดยจำเลยที่ 1 เปล่ยี นชอ่ื ผมู้ ีกรรมสทิ ธ์ิในทดี่ นิ พพิ าทและผถู้ ือหนุ้ เปน็ ชื่อจำเลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 ในฐานะผจู้ ดั การมรดก แต่จำเลยท่ี 1
และที่ 3 มิได้โอนทรัพย์มรดกดังกล่าวต่อใหบ้ ุคคลอื่นอีก จึงไม่ถือว่ายักย้ายโดยฉ้อฉล หรือรู้อยูว่ ่าตนทำใหเ้ ส่อื ม ประโยชน์แก่ทายาทอื่น ไม่เป็นเหตุให้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 2 นำทรัพย์มรดกที่ดิน บางโฉนดโอนขายแก่จำเลยที่ 4 เป็นการทำให้โจทก์และทายาทอ่ืนเส่ือมประโยชน์ จึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดก ของผ้ตู าย เมอ่ื พิจารณาถงึ ราคาทีด่ ินซงึ่ ขายสงู กว่าราคาประเมนิ หากแบง่ เป็นสนิ สมรสในสว่ นของจำเลยที่ 1 ก่ึง หนง่ึ เม่ือแบ่งเป็น 8 สว่ น ทายาทจะได้รบั คนละเทา่ ๆกัน แต่จำเลยที่ 2 ยังมีสิทธิในทรัพยม์ รดกของผู้ตายสว่ นอื่น อีก อันมีมูลค่ามากกว่าที่ดนิ โฉนดทีโ่ อนขายไป จำเลยที่ 2 จึงต้องถูกกำจดั มใิ ห้รับมรดกเฉพาะส่วนทีย่ ักย้าย เมื่อ แบ่งเปน็ 7 สว่ น จำเลยท่ี 2 ยังคงเหลอื สว่ นท่ไี มถ่ กู กำจัดมิใหร้ บั มรดกอยู่อกี บางส่วน สว่ นการท่จี ำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนหุ้นทรัพย์มรดกให้แก่จำเลยที่ 5 ซึ่งมิใช่ทายาท จึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกส่วนนี้คนละครึ่งเพราะน้อย กว่าหุ้นซ่งึ จำเลยท่ี 2 และที่ 3 พงึ จะไดร้ ับหลังแบ่งแกจ่ ำเลยท่ี 1 กึง่ หน่ึงแล้ว ดังนัน้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมถูก กำจดั มใิ ห้รับมรดกของผู้ตายเพยี งบางสว่ นเชน่ กนั คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 430 / 2562 จำเลยท่ี 1 เป็นภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายของผูต้ าย โดยมบี ตุ ร ด้วยกัน 7 คน รวมทั้งโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่โจทก์ได้รับเงิน 6,000,000 บาท จากผู้ตายโดยเสน่หา ในระหว่างเวลาที่ผู้ตายยังมีชีวติ อยู่ หาทำให้สิทธิในการแบ่งปันทรัพย์มรดกของโจทก์ต้องเส่ือมเสียไปไม่ ตาม ป. พ.พ. มาตรา 1747 และแม้จะมขี ้อตกลงในการแบ่งปันทรพั ย์มรดกดงั กลา่ ว แต่เม่อื ไมไ่ ดท้ ำสัญญาโดยมีหลกั ฐาน เป็นหนังสือ จึงมิอาจบังคับได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคสอง กรณีจึงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการมรดกท่ี จะต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายแก่ทายาทโดยธรรมทุกคนตามสัดส่วน ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำ พินัยกรรมไว้ โดยมีทรัพย์มรดกหลายรายการ ได้แก่ เงินสดที่ฝากไว้กับธนาคารต่าง ๆ หุ้นในบริษทั และที่ดินอีก หลายแปลง ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยจำเลยที่ 1 เปลี่ยนชื่อผู้มี กรรมสิทธิใ์ นที่ดินพิพาทมาเปน็ ช่ือของจำเลยที่ 1 ถึงท่ี 3 ในฐานะผู้จัดการมรดก แม้ตอ่ มาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ เปลี่ยนแปลงชื่อในการครอบครองทรพั ยม์ รดกและเปลยี่ นแปลงชือ่ ผถู้ ือหนุ้ หลายรายการมาเป็นชอื่ ของจำเลยท่ี 1 ถงึ ที่ 3 แต่จำเลยท่ี 1 และที่ 3 มิได้โอนทรพั ยม์ รดกดงั กลา่ วตอ่ ให้บคุ คลอนื่ อีก จึงไมเ่ ปน็ พฤตกิ ารณท์ ี่ถอื วา่ จำเลย ที่ 1 และที่ 3 ยักย้ายโดยฉ้อฉล หรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสือ่ มประโยชน์แก่ทายาทอื่น ไม่เปน็ เหตุให้ถูกกำจัดมิให้รับ มรดกของผู้ตาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 วรรคหนึง่ แต่การที่จำเลยที่ 2 นำที่ดินบางโฉนดที่เป็นทรัพยม์ รดก ซึ่งรับโอนมาแล้ว โอนขายแก่จำเลยที่ 4 ในราคา 11,100,000 บาท ย่อมเป็นการกระทำที่ทำให้โจทก์และ ทายาทอื่นเสื่อมประโยชน์ในการได้รับการแบ่งปัน จึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย เมื่อพิจารณาถึงราคา ที่ดินซึ่งขายสูงกว่าราคาประเมินตามที่โจทก์และฝ่ายจำเลยรับกันว่ามีราคา 9,950,000 บาท หากแบ่งเป็น สินสมรสในสว่ นของจำเลยท่ี 1 กึ่งหนง่ึ คดิ เปน็ เงนิ เพียง 5,550,000 บาท เม่ือแบง่ เปน็ 8 ส่วน ทายาทจะได้รับ คนละ 693,750 บาท แตจ่ ำเลยที่ 2 ยงั มีสทิ ธิในทรพั ย์มรดกของผู้ตายสว่ นอื่นอีก อันมีมลู ค่ามากกวา่ ทดี่ นิ โฉนด ที่โอนขายไป จำเลยที่ 2 จึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกเฉพาะส่วนที่ยักย้าย คิดเป็นเงิน 5,550,000 บาท เมื่อ แบ่งเป็น 7 ส่วน ทายาทอื่นได้รับคนละ 792,857 บาท และจำเลยที่ 2 ยังคงเหลือส่วนที่ไม่ถูกกำจัดมิให้รับ มรดกอยูอ่ กี คดิ เป็นเงิน 4,856,250 บาท สว่ นการทีจ่ ำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนหนุ้ ซง่ึ เป็นทรัพย์มรดกให้แกจ่ ำเลย
ที่ 5 ซึ่งมิใช่ทายาท จำนวน 16,000 หุ้น จงึ ต้องถกู กำจัดมใิ หร้ ับมรดกสว่ นนคี้ นละ 8,000 หนุ้ เพราะน้อยกว่า หนุ้ ซ่ึงจำเลยที่ 2 และท่ี 3 พึงจะได้รับหลังแบ่งแก่จำเลยที่ 1 ก่ึงหนงึ่ แล้ว คนละ 11,875 หนุ้ ดังน้ันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอ่ มถกู กำจัดมใิ หร้ ับมรดกของผ้ตู ายเพียงบางส่วน ฎีกาเล่าเรอื่ ง 187 กรณียังไม่แน่ชัดว่าจำเลยเป็นคนพูดในทำนองถากถางบิดาของผู้เสียหายที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งสภา ท้องถิ่นหรือไม่ การที่ผู้เสียหายสรุปเอาเองว่าจำเลยน่าจะเป็นคนพูด แล้วเดินเข้าไปหาพร้อมใช้ค้อนตีไปที่หน้า จำเลยโดยยังไม่อาจรับฟงั ไดว้ า่ เกดิ จากการยวั่ ยุของจำเลยโดยตรง จำเลยชอบทีจ่ ะป้องกนั ตวั ได้ แมจ้ ะเกดิ การชก ต่อยกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากการกระทำของผู้เสียหาย จำเลยซึ่งยังไม่ทันตั้งตัวย่อมจำเป็นที่จะปัดป้อง ตัวเอง จงึ มสี ทิ ธิปอ้ งกันตนจากภยันตรายอนั ละเมดิ ตอ่ กฎหมายได้ แต่เมอื่ ไม่ปรากฏว่าผเู้ สียหายจะกระทำการอ่ืน ใดอีก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปที่ผู้เสยี หายทั้งที่สามารถหยุดยั้งการกระทำของผู้เสียหายโดยวิธีอื่นได้ จึงเปน็ การป้องกนั เกินสมควรแกเ่ หตุ คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 475 / 2563 ไม่แน่ชัดวา่ ผ้ใู ดเปน็ ผู้ทพ่ี ดู จาในทำนองถากถางบดิ าของผู้เสียหาย ทไี่ มไ่ ดร้ ับการเลือกต้ังสภาทอ้ งถ่นิ หากพิจารณาจากคำพดู กม็ งุ่ เจาะจงไปที่นาย อ. บิดาของผู้เสียหายเสยี มากกว่า ท้งั เมื่อคนท่ีพดู ก็ยังไมแ่ น่ชัดวา่ จำเลยเปน็ คนพดู หรือไม่ การท่ีผู้เสียหายสรปุ เอาเองวา่ จำเลยนา่ จะเป็นคนพูด แล้ว เดนิ เข้าไปหาจำเลยพร้อมกับใชค้ ้อนตไี ปท่ีจำเลย อันถอื ไดว้ า่ เป็นการกระทำทีย่ งั ไมอ่ าจรับฟงั ได้ว่าเป็นเพราะเกิด จากการยว่ั ยุของจำเลยโดยตรง การท่ีผู้เสียหายใชค้ ้อนเขา้ ไปตใี นบรเิ วณหน้าของจำเลย จำเลยกช็ อบท่ีจะป้องกัน ตัวได้ แม้จะเกิดการชกต่อยกันขึ้นระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายภายหลังจากค้อนกระเด็นออกจากมอื ผูเ้ สียหายไป แลว้ กเ็ ป็นการชกต่อยที่ต่อเน่อื งอนั เกดิ จากการกระทำของผู้เสียหายท่กี อ่ ข้ึนก่อนจากลักษณะของการเข้าทำร้าย ของผู้เสียหายในภาวะเช่นนั้นโดยที่จำเลยยังไม่ได้ทันตั้งตัว จำเลยก็ย่อมจำเป็นที่จะปัดป้องตัวเองเท่าที่มีอยู่ใน สภาวะที่สามารถกระทำได้ ทั้งผู้เสียหายเองก็มีความสูงกว่าจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนจากภยันตรายอัน ละเมิดต่อกฎหมายได้ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจะกระทำการอย่างใดอีกอันแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า เจตนาจะทำรา้ ยจำเลยเพ่มิ เติมอกี การที่จำเลยใช้อาวธุ ปนื ยงิ ไปทีผ่ เู้ สยี หายในขณะนัน้ ทงั้ ท่ีจำเลยสามารถหยุดยั้ง การกระทำของผู้เสยี หายโดยวธิ ีอนื่ ได้ การกระทำของจำเลยจงึ เป็นการป้องกนั ตัวเกนิ สมควรแก่เหตุตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 69 ฎกี าเล่าเร่อื ง 188 จำเลยรับว่าเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ ซึ่งตาม ป.พ.พ. บัญญัติว่า กรรมการต้องจัดให้ถือบัญชี จำนวนเงินท่กี ฎหมายกำหนดไว้ และต้องจัดใหถ้ อื บัญชจี ำนวนเงินทีบ่ รษิ ทั ไดร้ ับและไดจ้ ่าย ท้ังรายการอันเป็นเหตุ
ให้รับหรือจ่ายเงินทุกรายไป จำเลยจึงมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลการจัดทำบัญชีโดยตรง รายการใช้จ่ายเงิน ยอ่ มอยใู่ นความรเู้ ห็นของจำเลยโดยเฉพาะ จำเลยจงึ มีภาระการพิสูจน์ การใช้จ่ายเงนิ ในบัญชีของโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451 / 2563 จำเลยให้การยอมรับวา่ จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ มีอำนาจควบคุมการดำเนินธุรกิจ การเงิน การบัญชี รวมทั้งทรัพย์สินและหนี้สินของโจทก์ซึ่งตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168 (2) บัญญัติว่า กรรมการต้องจัดให้ถือบัญชีจำนวนเงินที่กฎหมาย กำหนดไว้ และมาตรา 1206 (1) บัญญัติวา่ กรรมการตอ้ งจัดให้ถอื บญั ชจี ำนวนเงินที่บริษทั ได้รบั และได้จ่าย ทั้ง รายการอันเป็นเหตุให้รับหรือจ่ายเงินทุกรายไป จำเลยในฐานะกรรมการจึงมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลการ จัดทำบัญชีโดยตรง รายการใช้จ่ายเงนิ ย่อมอยูใ่ นความรู้เห็นของจำเลยโดยเฉพาะ จำเลยมีภาระการพสิ จู น์การใช้ จา่ ยเงนิ ในบัญชขี องโจทก์ ฎีกาเล่าเร่ือง 189 โจทก์คงมีแต่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า พยานทั้งสองร่วมกนั จับกุมนาย ผ. พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนที่จะนำมาจำหน่ายให้แก่ผู้มีช่ือไวเ้ ป็นของกลาง นาย ผ. ให้การรับว่ารับ เมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยให้มาจำหน่าย จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย แม้โจทก์จะมีพนักงาน สอบสวนเปน็ พยานเบิกความว่าไดส้ อบคำใหก้ ารนาย ผ. ไว้โดยให้การทำนองเดียวกัน แต่บนั ทึกคำใหก้ ารดังกล่าว ถอื เป็นคำซดั ทอดของผู้ร่วมกระทำความผดิ และเปน็ พยานบอกเล่าซง่ึ ตอ้ งห้ามมิใหร้ บั ฟัง ทัง้ จำเลยไม่มีโอกาสถาม ค้านถ้อยคำของนาย ผ. พยานหลักฐานของโจทก์ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะรับฟงั ได้โดยลำพัง จึงยังมีความสงสัยตาม สมควรวา่ จำเลยรว่ มกบั นาย ผ. กระทำความผิดหรอื ไม่ คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 39 / 2563 โจทกค์ งมีแต่รอ้ ยตำรวจเอก อ. และร้อยตำรวจเอก ธ. ผ้รู ่วมจับกุม เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า พยานทั้งสองร่วมกันจับกุมนาย ผ. พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนที่จะนำมา จำหน่ายให้แก่ผู้มีชื่อไว้เป็นของกลาง สอบถามนาย ผ. ให้การรับว่าได้รับเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยให้มา จำหน่าย พยานโจทก์ทั้งสองจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย แม้โจทก์จะมีร้อยตำรวจเอก ล. พนักงาน สอบสวนเปน็ พยานเบิกความว่าไดส้ อบคำใหก้ ารนาย ผ. ไว้โดยนาย ผ. ใหก้ ารว่าตนรบั เมทแอมเฟตามนี ของกลาง มาจากจำเลยเพื่อนำไปส่งมอบให้แก่ผู้มีชื่อตามบันทึกคำให้การของนาย ผ. แต่คำให้การดังกลา่ วถอื ว่าเป็นคำซดั ทอดของผู้ร่วมกระทำความผดิ และเปน็ พยานบอกเล่าซึ่งต้องห้ามมใิ ห้รับฟัง ทั้งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้านถอ้ ยคำ ของนาย ผ. เมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานหลักฐานของโจทก์ข้างต้นล้วนเป็นพยานบอกเล่าซึ่งมี นำ้ หนักนอ้ ยและมพี ริ ุธแล้ว กรณจี งึ ไม่เขา้ ข้อยกเวน้ ที่จะรบั ฟงั โดยลำพังได้ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความ อาญา มาตรา 226/3 และมาตรา 227/1 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยร่วมกับนาย ผ. กระทำความผิด หรอื ไม่
ฎีกาเลา่ เรื่อง 190 โจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมสองนายเบิกความทำนองเดียวกันยืนยันว่า ขณะตรวจค้นจับกุมและ สอบนางสาว ข. ได้ความว่า ตนรับจ้างจำเลยไปรับเมทแอมเฟตามนี จากชายไม่ทราบช่ือจรงิ และช่ือสกุล โดยแจ้ง หมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยและชายไม่ทราบชื่อ จากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของนางสาว ข. พบรายการโทรศพั ท์เข้าออกกับจำเลยและชายไม่ทราบชื่อดังกล่าว ทั้งยังยืนยันภาพจำเลยจากข้อมลู ทะเบียน ราษฎรว่าเป็นคนที่ว่าจ้างให้ตนไปรับเมทแอมเฟตามีน ชั้นสอบสวนนางสาว ข. ให้การรับสารภาพในฐานะ ผู้ต้องหาต่อหน้าทนายความซึ่งได้ลงชื่อไว้ในบันทึกคำให้การ และยังให้การในฐานะพยานยืนยันข้อเท็จจริง ดังกล่าวเจอื สมกบั คำเบิกความของผู้จบั กมุ และยังเบิกความดว้ ยวา่ ตนใหก้ ารด้วยความสมคั รใจ นางสาว ข. เป็น ญาติกบั จำเลยและไมเ่ คยมสี าเหตโุ กรธเคืองกนั จงึ ไม่มีเหตทุ ี่จะปรกั ปรำจำเลย ขณะให้การก็เพง่ิ ถกู จับกุม จึงเชื่อ วา่ คำใหก้ ารชนั้ สอบสวนเปน็ ความจริงยิ่งกวา่ คำเบิกความ แมค้ ำให้การรบั สารภาพนนั้ เปน็ คำซดั ทอดของผ้กู ระทำ ความผิดและพยานบอกเลา่ แตเ่ ปน็ การเล่าถึงรายละเอยี ดพฤติการณ์แห่งคดแี ละมิได้ซัดทอดเพอ่ื ใหต้ นพ้นผิด จึง มีน้ำหนักนา่ เช่อื ถือและรับฟังเปน็ พยานหลักฐานได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 385 / 2563 โจทก์มีร้อยตำรวจโท ด. และดาบตำรวจ ศ. ผู้จับกุมเบิกความ ทำนองเดียวกันยืนยนั วา่ ขณะตรวจค้นและจบั กุมนางสาว ข. นัน้ จากการสอบนางสาว ข. ได้ความว่า นางสาว ข. รับจ้างจำเลยไปรับเมทแอมเฟตามีนจากชายไม่ทราบชื่อจริงและชื่อสกุล นางสาว ข. แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ของ จำเลยและชายไม่ทราบชอื่ จากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของนางสาว ข. พบรายการโทรศัพท์ เขา้ และออกระหว่างนางสาว ข. กบั จำเลยและชายไมท่ ราบชอ่ื ดังกล่าวตามภาพถ่ายข้อมูลการใชโ้ ทรศพั ท์ เมื่อนำ ภาพจำเลยจากข้อมูลทะเบียนราษฎรให้นางสาว ข. ดูก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนที่ว่าจ้างให้นางสาว ข. ไปรับเมท แอมเฟตามีน ในชั้นสอบสวนนางสาว ข. ให้การรับสารภาพ ในฐานะผู้ต้องหาตามบันทึกคำให้การต่อหน้า ทนายความซึ่งไดล้ งช่ือไว้ในบันทึกคำให้การ และนางสาว ข. ยังให้การในฐานะพยานโดยให้การยืนยันข้อเท็จจรงิ ดังกล่าวข้างตน้ เจือสมกบั คำเบกิ ความของรอ้ ยตำรวจโท ด. และดาบตำรวจ ศ. นางสาว ข. เบิกความด้วยว่าตนให้ การดังกล่าวด้วยความสมัครใจ มิไดถ้ กู ข่มขูห่ รอื บงั คบั แต่อยา่ งใด ประกอบกับจำเลยเองเป็นญาติกับน้องเขยของ นางสาว ข. และไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุน่าระแวงว่านางสาว ข. จะให้การ ปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ อีกทั้งขณะให้การนางสาว ข. เพิ่งถูกจับกุม คงยังไม่ทันคิดที่จะปั้นแต่งเรื่องข้ึน จึง เชื่อว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาว ข. ที่ว่าจำเลยเปน็ ผู้ว่าจ้างให้นางสาว ข. ไปรับเมทแอมเฟตามีนเปน็ ความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของนางสาว ข. แม้คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของนางสาว ข. เป็นคำซัด ทอดของผู้กระทำความผดิ และเป็นเพียงพยานบอกเล่ากต็ าม แตเ่ ปน็ การเลา่ ถงึ รายละเอียดพฤตกิ ารณ์แหง่ คดแี ละ มิใช่คำซัดทอดเพื่อให้ตนพ้นผิดแต่อย่างใด ทั้งเมื่อพิเคราะห์ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริง แวดล้อมของพยานดังกล่าว นา่ เชอื่ วา่ จะพิสูจน์ความจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) คำใหก้ ารของนางสาว ข. จึงมนี ้ำหนกั นา่ เช่ือถอื และรบั ฟังเปน็ พยานหลักฐานได้
ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 191 จำเลยพดู กบั นางสาว ส.วา่ “พวกเธอไปสงั สรรคก์ ับพวกค้ายาทำไม” “เธอรูไ้ หมพวกเต็นท์รถค้ายา” ตาม บริบทที่จำเลยกล่าว หมายถึง การซื้อขายยาเสพติดให้โทษ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย อันเป็นการ กระทำความผดิ อาญารา้ ยแรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใส่ความโจทกท์ ัง้ สองตอ่ นางสาว ส. โดยประการท่ี น่าจะทำใหโ้ จทก์ท้ังสองเสียชอื่ เสียง ถูกดหู มน่ิ หรือถกู เกลียดชัง อันเป็นการกระทำความผดิ ฐานหม่ินประมาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252 / 2563 จำเลยพูดกับนางสาว ส.ว่า “พวกเธอไปสังสรรค์กับพวกค้ายา ทำไม” “เธอรู้ไหมพวกเต็นทร์ ถค้ายา” คำวา่ “ยา” ตามบรบิ ทท่ีจำเลยกล่าว หมายถงึ ยาเสพติดให้โทษ ซ่ึงคำว่า “ยาเสพติดให้โทษ” หมายถึงสารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ รวมทั้งพืช ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย แล้วทำให้เกิดผลต่อ ร่างกายและจติ ใจในลักษณะสำคัญ “คา้ ยา” หมายถึง การซอื้ ขายยาเสพตดิ ให้โทษ ซึง่ เป็นการกระทำความผิดตอ่ กฎหมาย อันเป็นการกระทำความผิดอาญาร้ายแรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสองต่อ นางสาว ส. โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการกระทำ ความผิดฐานหมนิ่ ประมาท ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 192 การทีจ่ ำเลยท่ี 1 ขบั รถกระบะไล่ติดตามรถจักรยานยนตข์ องนาย น. ฝา่ ยทขี่ ับรถหนกี ็ตอ้ งใชค้ วามเรว็ เพื่อ หลบหนี ส่วนฝ่ายติดตามก็ใช้ความเร็วเพื่อติดตามให้ทัน บ่งชี้ว่ารถทั้งสองคันต้องใช้ความเร็วสูงมาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่งรถกระบะตอ้ งใชค้ วามเร็วสงู กวา่ จึงชนทา้ ยรถจกั รยานยนตแ์ ละก่อใหเ้ กิดความเสียหายแกส่ ว่ นหน้าของรถ กระบะอย่างรุนแรง จากแรงชนทำให้นาย น. กระเด็นตกจากรถไปกระแทกทก่ี ระโปรงหน้ารถกระบะแลว้ ตกลงที่ พื้นหมดสติไป ส่อแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่แรกที่จะขับรถพุ่งเข้าชนท้ายรถของนาย น. และหาก นาย น. กระเด็นตกลงที่พื้นในระยะหน้ารถกระบะอาจทำให้รถกระบะทับร่างของนาย น. ถึงแก่ความตาย ก็มี โอกาสเป็นได้ ดังนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำของตนอาจทำให้นาย น. ถึงแก่ควา มตาย แม้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ถอยรถเพื่อจะทับนาย น. อีกทั้งๆที่มีโอกาสก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยที่ 1 เปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลมุ่งถึงลักษณะแห่งการกระทำและผลของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นเปน็ หลกั มิได้ม่งุ ถงึ เจตนาของผูก้ ระทำเปน็ หลกั จงึ ฟงั ได้ว่า จำเลยท่ี 1 มเี จตนาฆา่ นาย น. สว่ นจำเลยที่ 1 กระทำโดยบนั ดาลโทสะ หรือไม่นั้น ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขับรถกระบะเบียดรถจักรยานยนต์ของนาย น. เมื่อนาย น.ใช้ อาวุธปืนยงิ จำเลยท่ี 1 กไ็ ด้เลยี้ วรถและขับไล่ตามรถจักรยานยนตข์ องนาย น. พฤติการณด์ ังกลา่ วเป็นการ สมัคร ใจวิวาทและจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุข้ึนก่อน ไม่อาจถือไดว้ า่ จำเลยที่ 1 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่ เป็นธรรม จงึ ไม่อาจอ้างเหตบุ นั ดาลโทสะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127 / 2563 ตามรายงานการตรวจพิสูจน์รถกระบะได้รับความเสียหาย ดา้ นหน้ามากพอสมควร บริเวณกนั ชนหนา้ หนา้ กากหนา้ แตกหกั และฝากระโปรงหนา้ บบุ ยบุ สว่ นรถจกั รยานยนต์ ได้รับความเสียหาย บริเวณบังโคลนล้อหลัง ไฟท้ายแตกหัก และวงล้อหลังแตกหัก นาย น. เบิกความว่า เมื่อยิง ปืนแล้วได้ขับรถหนีด้วยความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขณะที่ถูกชนก็มีความเร็วเช่น เดียวกนั ส่วนโจทก์ร่วมก็เบิกความว่า ขับรถหนีด้วยความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จำเลยที่ 3 เบิกความว่า ขณะทร่ี ถกระบะชนท้ายรถจักรยานยนตน์ ัน้ รถกระบะมีความเรว็ ประมาณ 80 ถึง 90 กโิ ลเมตรตอ่ ชั่วโมง เช่ือได้ ว่าการที่ทั้งสองฝ่ายขับรถไล่ติดตามกันมา ฝ่ายที่ขับรถหนีก็ต้องใช้ความเร็วเพื่อหลบหนี ส่วนฝ่ายติดตามก็ใช้ ความเร็วเพื่อติดตามให้ทัน บ่งชี้ว่ารถทั้งสองคันต้องใช้ความเร็วสูงมากไม่ต่ำกว่าความเร็วที่พยานแต่ละคนเบิก ความมา และรถกระบะต้องใชค้ วามเร็วสงู กวา่ จึงชนทา้ ยรถจักรยานยนต์และก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่ส่วนหน้า ของรถกระบะได้เชน่ นั้น การชนอย่างรนุ แรงทำให้นาย น. กระเด็นตกจากรถไปกระแทกทกี่ ระโปรงหน้ารถกระบะ แล้วตกลงทพี่ ้นื หมดสตไิ ป สอ่ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยท่ี 1 ตง้ั แต่แรกทีจ่ ะขบั รถพ่งุ เขา้ ชนท้ายรถของนาย น. และหากนาย น. กระเด็นตกลงที่พื้นในระยะหน้ารถกระบะอาจทำให้รถกระบะทับร่างของนาย น. ถึงแก่ความ ตายก็มีโอกาสเป็นได้อีกด้วย ดังนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 อาจทำให้นาย น. ถงึ แก่ความตายได้ แม้จะรับฟังไดว้ า่ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขบั รถถอยหลังเพื่อจะทับนาย น. ให้ถงึ แก่ความตาย ทั้งๆทีม่ ี โอกาสที่จะกระทำได้ ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยที่ 1 เปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่งถึง ลกั ษณะแหง่ การกระทำและผลของการกระทำทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ เปน็ หลกั มไิ ด้มุ่งถึงเจตนาของผูก้ ระทำเป็นหลกั จงึ ฟงั ได้วา่ จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆา่ นาย น. ปัญหาท่ีตอ้ งวินจิ ฉัยตามฎกี าของจำเลยที่ 1 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขับรถกระบะเบียด รถจกั รยานยนตข์ องนาย น. เมื่อนาย น. ใชอ้ าวธุ ปนื ยิง จำเลยท่ี 1 กไ็ ด้เลี้ยวรถและขบั ไลต่ ามรถจักรยานยนตข์ อง นาย น. พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการที่จำเลยที่ 1 สมัครใจวิวาทและจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนจึงไม่อาจ ถอื ได้วา่ จำเลยท่ี 1 ถูกขม่ เหงอย่างร้ายแรงดว้ ยเหตุอนั ไม่เปน็ ธรรม จึงไม่อาจอา้ งเหตบุ ันดาลโทสะได้ ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 193 แม้ผู้เสียหายซึ่งอายุ 12 ปีเศษ ไปที่ร้านจำเลยเองและยอมให้จำเลยพยายามกระทำชำเราและกระทำ อนาจาร แต่ผู้เสยี หายยงั ไม่พ้นจากความปกครองดูแลของมารดา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากเดก็ อายุยังไม่เกนิ สิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร และแม้ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำความผิดดังกล่าวก็ยังถือว่า เปน็ การทำละเมดิ มารดามสี ทิ ธิเรียกคา่ สินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้เสยี หายได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586 / 2562 แม้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุ 12 ปีเศษ ยังไม่เกิน 15 ปี ไปท่ี รา้ นจำเลยเองยินยอมให้จำเลยพยายามกระทำชำเราและกระทำอนาจาร แตผ่ ้เู สียหายยังไมพ่ ้นจากความปกครอง ดูแลของมารดา ถือได้ว่าจำเลยพรากเดก็ อายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสยี จากมารดาเพื่อการอนาจาร การกระทำของ
จำเลยเป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม แตไ่ ม่เปน็ ความผิดฐานพาผเู้ สียหายท่ี 2 ไปเพ่อื การอนาจารตามมาตรา 283 ทวิ วรรคสอง แม้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุ 12 ปีเศษ ยินยอมให้จำเลยพยายามกระทำชำเราและกระทำอนาจาร การ กระทำของจำเลยก็ถือว่าเป็นการทำที่ละเมิดต่อกฏหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 มารดาของผเู้ สยี หายไม่ส้ินสทิ ธิเรียกคา่ สินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผเู้ สยี หาย ฎกี าเล่าเร่อื ง 194 สัญญาสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกันตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของสมาคมประกัน วินาศภัย มีวัตถุประสงค์จำกัดขอบเขตการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกันเพียงเท่าจำนวนเงินเอา ประกันภยั ตามกรมธรรมป์ ระกันภัยเท่าน้ัน โจทก์ยอ่ มเขา้ รบั ชว่ งสทิ ธจิ ากผูเ้ อาประกนั ภัยฟ้องไล่เบย้ี เอาจากจำเลย ที่ 1 ผูก้ ระทำละเมิดในคา่ เสียหายสว่ นเกินจากทส่ี ละสทิ ธเิ รยี กรอ้ งตามสัญญาได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 309/2562 สัญญาสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกันตามกรมธรรม์ ประกันภัยรถยนต์ของสมาคมประกันวินาศภัย มีวัตถุประสงค์จำกัดขอบเขตการสละสิทธเิ รยี กร้องค่าเสียหายซึ่ง กนั และกนั ในระหว่างผู้เขา้ ร่วมสัญญา ผู้เอาประกันภัย และบุคคลซึง่ ตอ้ งรับผดิ ตอ่ เหตลุ ะเมิดเพียงเท่าจำนวนเงิน เอาประกันภัยคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยของผู้ร่วมสัญญาฝ่ายท่ี ตอ้ งรับผดิ เท่านน้ั หาใช่สละสทิ ธิเรียกร้องคา่ เสียหายทั้งหมดไม่ โจทก์ยอ่ มเข้ารับช่วงสทิ ธิจากผู้เอาประกนั ภัยฟ้อง ไลเ่ บี้ยเอาจากจำเลยท่ี 1 ผกู้ ระทำละเมดิ ในค่าเสยี หายสว่ นเกนิ จากท่สี ละสิทธิเรียกรอ้ งตามสญั ญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 ฎีกาเลา่ เร่อื ง 195 ตามสัญญาค้ำประกันการเช่าซือ้ รถยนต์ ระบุว่า \"บรรดาหนังสือต่างๆ ที่ผู้ให้เช่าซื้อส่งไปยังที่อยู่ของผู้ค้ำ ประกันตามสัญญานี้ ไม่ว่าจะมีผู้รับหรือไม่ ถือว่าส่งโดยชอบ เมื่อโจทก์ส่งหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาไป ยังจำเลยที่ 2 ผู้คำ้ประกันตามทีอ่ ยู่ในสัญญาแลว้ แม้ทางไปรษณีย์จะคืนหนังสือเนื่องจากจำเลยท่ี 2 ไม่มารับ ก็ ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือโดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผดิ นัดและโจทก์มหี นังสอื บอกกล่าวใหจ้ ำเลยที่ 2 ชำระหนี้และบอกเลิกสญั ญาเมื่อพ้น 60 วนั นบั แต่วันทจ่ี ำเลยที่ 1 ผิดนัด จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบ้ียและค่าสินไหมทดแทนท่ีเกิดขึน้ ภายหลงั จากพ้นกำหนด 60 วัน แตส่ ำหรับหน้กี ารสง่ มอบรถยนตท์ ีเ่ ชา่ ซื้อและหากคืนไม่ได้ให้ใชร้ าคาแทนน้นั ถอื เป็นหน้ีประธาน จำเลยที่
2 ยังไม่หลุดพ้น ส่วนหนีค้ า่ ขาดประโยชน์ถือเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผดิ เฉพาะที่ เกิดข้ึนภายหลงั จากพ้นกำหนด 60 วัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2562 ตามสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ ข้อ 8 ระบุว่า \"บรรดา หนังสือ จดหมาย คำบอกกล่าวใดๆ ของเจ้าของที่ส่งไปยังที่อยู่ของข้าพเจ้าตามสัญญานี้ โดยส่งเองหรือส่งทาง ไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือไม่ลงทะเบียนไม่ว่าจะถึงตัวหรือไม่ถึงตัว และไม่ว่าจะมีผู้รับหรือไม่มีผู้ใดยอมรับไว้ หรือไม่ยอมมารับภายในกำหนดไปรษณยี แ์ จ้งใหม้ ารบั ... ขา้ พเจา้ ยนิ ยอมผูกพนั ใหถ้ ือวา่ หนังสือ จดหมาย หรือคำ บอกกล่าวใดๆ นั้น ได้ส่งให้ข้าพเจ้าโดยชอบแล้ว\" ข้อเท็จจริงปรากฏตามหนังสือขอให้ชำระหนี้และบอกเลิก สัญญาพร้อมใบตอบรบั ว่าโจทก์ไดส้ ง่ ไปตามที่อยูท่ ่ีจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกนั แจ้งไว้ในสัญญาคำ้ ประกันดังกลา่ วแลว้ แมท้ างไปรษณยี ์จะคืนหนงั สอื ทส่ี ่งไปใหจ้ ำเลยท่ี 2 เนอื่ งจากจำเลยท่ี 2 ไมม่ ารบั ภายในกำหนดก็ตาม กต็ ้องถือว่า จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือบอกกล่าวโดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกนั ได้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดตั้งแตว่ นั ที่ 25 พฤษภาคม 2558 โจทก์มหี นังสอื บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ชำระหน้ี และบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 จึงพ้นกำหนดเวลา 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลา 60 วัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคสอง สำหรับหนี้การส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อและหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา แทนถือเป็นหนี้ประธาน แม้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแก่จำเลยที่ 2 เกิน 60 วัน นับแต่ผิดนัดก็ตาม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันย่อมไม่หลุดพ้น ส่วนหนี้ค่าขาดประโยชน์ถือเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจาก ความรบั ผิดเฉพาะทเี่ กดิ ข้ึนภายหลงั จากพน้ กำหนด 60 วัน ฎีกาเลา่ เรื่อง 196 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินยืม 40,000 บาท ไปจากโจทก์ในวันทำสัญญา หนี้เงินกู้จึง สมบูรณ์ จำเลยที่ 2 และ ส. ผู้ค้ำประกัน ย่อมผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพ่ือชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหน้ีนั้น ทั้งผู้ ค้ำประกันมิได้มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติต่อเจ้าหนี้โดยอาศัยความสามารถหรือคุณสมบัติบางอย่างซึ่งต้องกระทำเปน็ การเฉพาะตัว แต่เป็นความผูกพันต่อเจ้าหนี้ในทางทรัพย์สินเท่านั้นซึ่งจะหลุดพ้นจากความรับผิดเมื่อหนี้ของ ลูกหนี้ระงับสิ้นไป แม้ภายหลังทำสัญญาค้ำประกันโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตาม สญั ญาเป็นข้อสำคญั อันหมายถึงสญั ญากูม้ ไิ ด้กำหนดเวลาชำระหนไ้ี ว้ แตเ่ มอ่ื จำเลยที่ 1 ผิดนดั และโจทก์บอกเลิก สัญญาแล้ว แม้จะเป็นเวลาภายหลังจาก ส. ถึงแก่ความตายก็ตาม หนี้กู้ยืมดังกลา่ วก็ยังคงสมบูรณ์และสัญญาค้ำ ประกันมิได้ระงับไปเพราะความตายของ ส. ดังนั้น สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ตามสัญญาค้ำประกันจงึ เป็นกองมรดกของ ส. ผู้ตายและตกทอดแก่ทายาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส. เพอื่ บังคับตามสทิ ธิเรียกรอ้ งจากกองมรดกของ ส. ได้
คําพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 5763 / 2562 จำเลยท่ี 1 ทำสญั ญากู้ยมื เงนิ และรบั เงนิ ยืม 40,000 บาท ไป จากโจทก์แล้วในวันทำสัญญา หนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันสมบรู ณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 681 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 และ ส. ผู้ค้ำประกัน ย่อมผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ ชำระหนี้นน้ั ตามมาตรา 680 วรรคหน่งึ ผคู้ ำ้ ประกันหาไดม้ หี นที้ ่ีจะต้องปฏบิ ัติต่อเจา้ หน้ีโดยอาศยั ความสามารถ หรือคณุ สมบตั ิบางอย่างซึง่ ต้องกระทำเป็นการเฉพาะตัวไม่ จึงถือได้วา่ เป็นความผูกพันตอ่ เจ้าหนี้ในทางทรัพยส์ นิ เท่านั้น ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปตามมาตรา 698 แม้ภายหลังทำ สัญญาค้ำประกันจะได้ความว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างไมถ่ ือเอากำหนดเวลาในการชำระหนี้ตามสญั ญาเป็นขอ้ สำคัญอกี ต่อไป อันมีความหมายวา่ สัญญากู้ยมื เงินเป็นสญั ญาทีม่ ิไดก้ ำหนดเวลาชำระหนไ้ี ว้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผิด นัดในเวลาต่อมาและโจทก์บอกเลิกสัญญา ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ ส. ถึงแก่ความตายไปแล้วก็ตาม แต่เมอื่ หนี้กู้ยมื ดังกล่าวยงั คงมีอยูอ่ ย่างสมบูรณต์ ั้งแตก่ ่อนวนั ที่ ส. จะถึงแก่ความตาย และสัญญาค้ำประกนั กห็ าได้ระงับ ไปเพราะความตายของ ส. ไม่ สิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามสัญญาค้ำประกันที่ ส. ทำกับโจทก์จึงเป็น กองมรดกของผู้ตายและตกทอดแก่ทายาทตามมาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600 โจทก์จึงชอบที่จะ ฟ้องจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส. เพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องของตนที่มีและได้รับชำระหนี้จาก ทรพั ย์สนิ ในกองมรดกของ ส. ตามมาตรา 1734 และมาตรา 1737 ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 197 จำเลยซือ้ ทีด่ ินพิพาทโดยไมไ่ ด้จดทะเบยี นต่อพนักงานเจา้ หน้าที่ นิติกรรมดังกล่าวจึงตกเปน็ โมฆะ แต่เมื่อ ผู้ขายได้ส่งมอบที่ดินให้เข้าครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยใช้ประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดตอ่ กนั เป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธ์ิโดยการครอบครอง แต่การได้กรรมสิทธ์ิ ในกรณีดังกล่าวเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เมื่อยังมิได้จดทะเบียนจะมีการเปลี่ยนแปลงทาง ทะเบียนไม่ได้ และจำเลยจะยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้ จดทะเบียนสทิ ธิโดยสุจรติ แล้วไมไ่ ด้ เว้นแตจ่ ะพิสูจนไ์ ดว้ ่าบคุ คลน้ันกระทำการโดยไมส่ จุ ริต ในการขายทอดตลาด ท่ดี นิ พิพาทตามคำส่ังศาลชนั้ ต้น ผู้ซือ้ ซงึ่ เปน็ บุคคลภายนอกย่อมได้รับประโยชนจ์ ากขอ้ สันนิษฐานของกฎหมายวา่ กระทำการโดยสจุ ริต จำเลยอา้ งว่าผู้ซื้อและโจทกร์ ว่ มกนั กระทำการโดยไม่สุจริตจึงมภี าระการพสิ จู น์ เม่ือโจทก์รับ โอนท่ีดนิ พพิ าทตอ่ มา ซึ่งถือเปน็ ผสู้ ืบสิทธขิ องผู้ซอื้ ไดร้ ับโอนไว้โดยสจุ รติ เช่นกัน กรรมสิทธ์ิในที่ดินพิพาทของผู้ซ้ือ และโจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครอง จำเลยไม่อาจยกขึ้นต่อสู้ผู้ซื้อและโจทก์ได้ และเมื่อจำเลยครอบครองที่ดิน พิพาทนับแต่วันที่ผู้ซื้อโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ถึงวันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ออกจากที่ดินพิพาทยังไม่ ครบ 10 ปี จำเลยย่อมไมไ่ ด้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษใ์ นช่วงหลังนี้ และเมือ่ โจทก์บอก กล่าวใหจ้ ำเลยพรอ้ มบริวารออกไปจากท่ดี นิ พิพาทแล้วจำเลยเพกิ เฉย โจทก์จงึ มสี ทิ ธฟิ อ้ งจำเลยและบริวารใหอ้ อก จากทดี่ นิ พิพาท กบั เรยี กร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้ท่ีดินพพิ าทได้
คําพิพากษาฎีกาที่ 3140/2562 จำเลยซื้อขายที่ดินพิพาทโดยไม่ได้จดทะเบยี นต่อพนักงานเจ้าหนา้ ท่ี นิติกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่ผู้ขายได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้เข้า ครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็น เจ้าของติดตอ่ กันเป็นเวลากวา่ 10 ปี จำเลยยอ่ มไดก้ รรมสทิ ธ์ิโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แต่ การไดก้ รรมสิทธิใ์ นที่ดนิ พิพาทกรณีดังกล่าวเป็นการได้มาซึ่งอสงั หารมิ ทรพั ย์โดยทางอืน่ นอกจากนิติกรรมเมื่อยงั มไิ ดจ้ ดทะเบียนจะมกี ารเปลี่ยนแปลงทางทะเบยี นไม่ได้ และสิทธิอนั ยงั มไิ ด้จดทะเบียนนนั้ จำเลยจะยกขน้ึ เป็นข้อ ต่อสูบ้ ุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแลว้ ไม่ได้ เว้น แต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกกระทำการโดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง และมาตรา 1300 ในการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตามคำสั่งศาลชั้นต้น กองทุนรวม บ. ผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อม ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้กระทำการโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 จำเลยกล่าว อ้างว่ากองทุนรวม บ. และโจทก์ร่วมกันกระทำการโดยไม่สุจริตจึงมีภาระการพิสูจน์ กองทุนรวม บ. ซื้อที่ดิน พิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล และโจทก์ผู้รับโอนที่ดินพิพาทต่อมา ซึ่งถือว่าเป็นผู้สืบสิทธิ ของกองทุนรวม บ. ได้กระทำการรบั โอนไวโ้ ดยสจุ ริตเช่นกัน กรรมสิทธใ์ิ นทีด่ นิ พพิ าทของกองทุนรวม บ. และของ โจทกย์ อ่ มไดร้ บั ความค้มุ ครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 การทีจ่ ำเลยซ่ึงซือ้ ท่ีดินพพิ าทและเขา้ ทำประโยชนป์ ลกู บ้านอยู่อาศัยจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง เมื่อยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่อาจยกขึ้น ต่อสู้กองทุนรวม บ. บุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลและต่อสู้โจทก์ ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิโดยสุจริตได้และการที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันทีก่ องทุนรวม บ. โอนกรรมสิทธ์ใิ ห้ โจทก์ถึงวันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ออกจากทีด่ ินพิพาทยังไมค่ รบ 10 ปี จำเลยย่อมไมไ่ ด้กรรมสิทธ์ิใน ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในช่วงหลังนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจาก ท่ีดินพิพาทแลว้ แต่จำเลยยงั คงเพิกเฉยยอ่ มเป็นการโต้แย้งสิทธขิ องโจทก์ โจทก์จงึ มีสทิ ธิฟอ้ งจำเลยและบริวารให้ ออกจากทด่ี นิ พพิ าทได้ ทงั้ มสี ิทธเิ รียกรอ้ งใหจ้ ำเลยชดใชค้ า่ เสยี หายเปน็ คา่ ขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาทได้ ดว้ ย ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 198 จำเลยท่ี 1 หลอกลวงให้โจทก์โอนทดี่ ินแกจ่ ำเลยท่ี 1 และไดน้ ำไปจำนองกบั จำเลยท่ี 2 ศาลฎีกาพพิ ากษา ยนื ตามคำพพิ ากษาศาลชั้นอุทธรณ์ท่พี พิ ากษาในคดอี าญาวา่ จำเลยท่ี 1 มีความผิดฐานฉอ้ โกงลงโทษจำคกุ จำเลย ท่ี 1 กับใหจ้ ำเลยท่ี 1 จดทะเบียนโอนท่ดี นิ ดงั กล่าวคนื ให้แกโ่ จทกโ์ ดยปราศจากภาระผกู พนั ใด ๆ คดีมปี ัญหาต้อง วินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในคดแี พ่งว่า มีเหตุให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 และ จำเลยท่ี 2 ตอ้ งคืนโฉนดทดี่ นิ พพิ าทแกโ่ จทกห์ รือไม่ แมโ้ จทกท์ ำนติ ิกรรมโอนท่ีดินพพิ าทให้แกจ่ ำเลยท่ี 1 โดยถูก หลอกลวง ซึ่งเป็นกลฉ้อฉลอันตกเป็นโมฆียะกรรม แต่นิติกรรมนั้นยังมีผลสมบูรณ์ใช้ได้จนกว่าจะถูกบอกล้างโดย
ชอบ ขณะที่จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพิพาทต่อจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 ยังมีชื่อเป็นเจ้าของ สัญญาจำนองจึง สมบรู ณใ์ ช้บังคบั ได้ตามกฎหมาย แม้ทีด่ ินพพิ าทจะไดโ้ อนกลับไปเปน็ ของโจทกใ์ นภายหลงั นิตกิ รรมจำนองย่อมตก ติดมาด้วย โจทก์ไม่อาจยกเอาเหตุโมฆียะที่โจทก์บอกล้างนิติกรรมดังกล่าวขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น บุคคลภายนอกได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินพิพาท ดังนี้ จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิยึดถือ ต้นฉบับโฉนดทดี่ นิ พพิ าทได้จนกวา่ จะมีการไถ่ถอนจำนอง คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 3022/2562 จำเลยท่ี 1 โดยทุจรติ หลอกลวงใหโ้ จทก์โอนทีด่ นิ แกจ่ ำเลยท่ี 1 ด้วย การแสดงขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ วา่ จะใช้โฉนดทีด่ นิ ดงั กลา่ วไปขอสนิ เชือ่ จากธนาคารเพือ่ นำเงินมาลงทนุ ทำธรุ กจิ โดย จะไม่นำท่ีดนิ ดงั กล่าวไปกอ่ ภาระผูกพันใด ๆ เมอ่ื ธนาคารอนมุ ตั เิ งนิ แลว้ จะโอนทีด่ นิ คนื แก่โจทกแ์ ละจำเลยที่ 1 ได้ จำนองที่ดินกับจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าทำให้โจทก์ซึ่งพักอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเสียหาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 91, 341 และขอใหจ้ ำเลยที่ 1 โอนท่ีดินดงั กล่าวคืนแก่โจทก์โดยปลอดภาระผูกพันใด ๆ ตอ่ มาศาลฎกี าพพิ ากษายืนตามคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค 2 ทพี่ พิ ากษาว่า จำเลยท่ี 1 มคี วามผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 91 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดิน ดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์โดยปราศจากภาระผูกพันใด ๆ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุให้เพิก ถอนการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ต้องคืนโฉนดที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องและคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยถูก จำเลยท่ี 1 หลอกลวง การแสดงเจตนาทำนติ ิกรรมดงั กล่าวของโจทก์เกิดข้ึนเพราะถกู กลฉอ้ ฉลของจำเลยที่ 1 อนั เป็นโมฆียะกรรม แต่นิติกรรมดังกล่าวซึ่งเป็นโมฆียะกรรมนั้นยงั มผี ลสมบูรณ์ใช้ได้จนกว่าจะถูกบอกล้างโดยชอบ ขณะท่ีจำเลยที่ 1 จำนองที่ดนิ พิพาทต่อจำเลยที่ 2 นน้ั จำเลยที่ 1 ยังมีชื่อเปน็ เจ้าของ จึงสมบรู ณ์ใช้บงั คบั ไดต้ าม กฎหมาย แม้ที่ดินพิพาทจะได้โอนกลับไปเป็นของโจทก์ในภายหลังจากการจำนองนั้นแล้ว นิติกรรมจำนองที่ จำเลยที่ 1 ก่อไว้ย่อมตกติดมาด้วย โจทก์ไม่อาจยกเอาเหตุโมฆียะที่โจทก์บอกล้างนิติกรรมการโอนที่ ดินพิพาท ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้นแล้วขึ้นต่อสูจ้ ำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณชิ ย์มาตรา 160 ประกอบมาตรา 1329 โจทก์จึงไม่มีสทิ ธิขอใหเ้ พกิ ถอนนิตกิ รรมจำนองทีด่ นิ พพิ าทท่ีจำเลย ท่ี 2 รบั จำนองไว้ (จำเลยท่ี 2 มสี ิทธิยดึ ถอื ต้นฉบบั โฉนดทดี่ นิ พพิ าทไดจ้ นกวา่ จะมกี ารไถถ่ อนจำนอง) ฎีกาเลา่ เรื่อง 199 ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และร่วมกันประกอบธุรกิจที่บ้าน ผู้เสียหาย ทรัพย์สินท่ีทำมาหาได้ระหว่างน้ันย่อมเป็นกรรมสิทธิ์รวมมีส่วนคนละเทา่ ๆ กัน เมื่อเลิกกนั ต้องแบ่งคน ละครึ่ง การที่จำเลยกับพวกมาขนทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไปเป็นของตนฝ่าย เดียว เปน็ การเอาทรพั ย์ทผี่ อู้ นื่ เปน็ เจา้ ของรวมอยดู่ ว้ ยไปโดยทจุ รติ จึงมีความผิดฐานร่วมกนั ลักทรัพย์
คําพิพากษาฎีกาที่ 502/2563 ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และระหว่างอยู่กินด้วยกันรว่ มกันลงทุนประกอบกิจการร้านอินเทอร์เน็ตที่บ้านผูเ้ สียหาย ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ ระหว่างอยู่กินกันฉันสามีภริยา ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์รวมโดยแต่ละฝ่ายมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกลา่ วคนละส่วน เท่าๆ กัน เมื่อเลิกกันต้องแบ่งกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง การที่จำเลยกบั พวกมาขนทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมขณะ อยู่ในความครอบครองของผูเ้ สียหายไปเปน็ ของตนฝา่ ยเดยี วทั้งหมด เป็นการเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ ดว้ ยไปโดยทจุ รติ จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกนั ลกั ทรพั ย์ ฎีกาเล่าเร่ือง 200 ตาม ป.พ.พ. บัญญัติกรณีกรรมการทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัท บริษัทจะฟ้องเรียกสินไหมทดแทนแก่ กรรมการก็ได้ ในกรณีที่บริษัทไม่ยอมฟ้อง ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนั้นขึ้นว่ากไ็ ด้ เช่นนี้ การเป็นผูถ้ อื หุ้นที่ จะมีสิทธิเรียกให้กรรมการบริษัทรับผิดต้องพิจารณาจากฐานะการเป็นผู้ถือหุ้นมิใช่การส่งใช้เงินค่าหุ้นอันเป็น กระบวนการรวบรวมทุนของบริษัท เมื่อโจทก์ทั้งสองมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นไม่ว่าจะส่งใช้เงินค่าหุ้นครบถ้วนหรือไม่ โจทก์ทง้ั สองย่อมมอี ํานาจฟ้องใหจ้ าํ เลยท่ี 1 และที่ 2 รบั ผิดในฐานะทเี่ ปน็ กรรมการทำใหเ้ กดิ เสยี หายแก่บรษิ ัทได้ แต่สําหรับจําเลยที่ 3 เป็นบุคคลภายนอก แม้โจทก์ทั้งสองจะอ้างว่าจําเลยที่ 3 ร่วมกับจําเลยที่ 1 และที่ 2 ยกั ยอกเงนิ บรษิ ัทก็ตาม แตไ่ ม่มีกฎหมายบัญญตั ใิ หส้ ิทธิผถู้ อื หุ้นฟ้องแทนบรษิ ทั ได้ โจทก์ท้ังสองจงึ ไมม่ ีอาํ นาจฟอ้ ง คําพิพากษาฎีกาที่ 4661 / 2562 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้ากรรมการทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัท บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีที่บริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนั้นขึ้นว่าก็ได้ เช่นนี้ การเป็นผู้ถือหุ้นที่จะมี สิทธิเรยี กใหก้ รรมการบรษิ ัทรับผิดในกรณนี ้ียอ่ มต้องพิจารณาจากฐานะการเป็นผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ มิใช่พิจารณา จากการส่งใช้เงนิ ค่าหนุ้ อันเป็นกระบวนการในการรวบรวมทุนของบรษิ ัทอกี สว่ นหนง่ึ ซ่งึ เม่ือผ้ถู อื หนุ้ ยังสง่ ใช้เงินค่า หุ้นไม่ครบถ้วนย่อมเปน็ หน้าที่ของกรรมการบริษัทที่จะดําเนินการเรียกใหผ้ ู้ถือหุ้นส่งใช้ตามที่บัญญตั ิไว้ในมาตรา 1120 และมาตรา 1121 เม่อื โจทกท์ ง้ั สองมชี อ่ื เปน็ ผู้ถอื หนุ้ ของบริษทั ป. ไม่ว่าการถอื หุน้ ดงั กลา่ วจะได้มีการสง่ ใช้เงินค่าห้นุ ครบถว้ นหรือไม่ โจทก์ทงั้ สองย่อมมีอาํ นาจฟ้องใหจ้ าํ เลยที่ 1 และท่ี 2 รับผดิ ในฐานะท่เี ปน็ กรรมการ ทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัทตามมาตรา 1169 วรรคหนึ่งได้ แต่สําหรับจําเลยที่ 3 เป็นบุคคลภายนอกมิใช่ กรรมการของบริษัท ป. แมโ้ จทกท์ ้งั สองจะอา้ งว่าจาํ เลยท่ี 3 ร่วมกบั จาํ เลยที่ 1 และที่ 2 ซ่งึ เป็นกรรมการบริษัท ป. ยักยอกเงินของบริษัทไปเป็นประโยชน์ส่วนตนอันเป็นการทำละเมิดต่อบริษัท ป. ก็ตาม แต่ไม่มีกฎหมาย บัญญัติให้สิทธิผู้ถือหุ้นฟ้องแทนบริษัทในกรณีนี้ได้ คําฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นการอาศัยสิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นของ บริษัทมากา้ วล่วงฟ้องร้องคดเี พ่ือบังคับบุคคลภายนอกบริษทั ซ่ึงไม่อาจกระทำได้เพราะไม่ตอ้ งด้วยมาตรา 1169 โจทก์ท้ังสองจงึ ไม่มอี าํ นาจฟอ้ ง
ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 201 แม้โจทก์รับจํานองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยทั้งสามก่อนพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) ใชบ้ ังคับ แต่การท่โี จทก์จะบังคบั จํานองก็ตอ้ งปฏบิ ตั ิตามกฎหมายที่แก้ไข ใหม่ ซึ่งผู้รับจํานองต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชําระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ซึ่งต้องไม่น้อย กว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคําบอกกล่าวนั้น ถ้าและลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับ จํานองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจํานองและให้ขายทอดตลาดก็ได้ แต่เมื่อโ จทก์มี หนงั สอื ทวงถามและบอกกล่าวบังคบั จํานองกาํ หนดให้จําเลยท้ังสามชาํ ระหน้ีและไถถ่ อนจํานองใหเ้ สร็จสิ้นภายใน 30 วัน อันเป็นการกําหนดเวลาน้อยกว่าหกสิบวันซึ่งระบุไว้ชัดเจนแน่นอนแล้ว จึงนําระยะเวลา 30 วัน ตาม หนังสือบอกกล่าวบังคับจํานองไปรวมกับระยะเวลาหลังจากนั้นจนถึงวันฟ้องว่าเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกสบิ วันแล้วหาได้ไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยทั้งสามลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าวตามบทบัญญัติข้างต้น โจทกจ์ งึ ไมม่ อี าํ นาจฟอ้ ง คําพิพากษาฎีกาที่ 5702 / 2562 แม้โจทก์และจําเลยทั้งสามจดทะเบียนจํานองที่ดินพร้อมสิ่งปลูก สร้างบนที่ดินเมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ก่อนพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ (ฉบบั ท่ี 20) พ.ศ. 2557 มผี ลใช้บังคับ คอื เมอ่ื วนั ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 กต็ าม แต่การท่ีโจทก์ผู้รับ จํานองประสงค์จะบังคับจํานองนับจากนั้น โจทก์ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย มาตรา 728 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อจะบังคับจํานองนั้น ผู้รับจํานองต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยัง ลูกหนี้ก่อนว่าใหช้ ําระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ซึ่งต้องไม่น้อยกวา่ หกสิบวันนับแต่วันทีล่ ูกหนี้ได้รับคําบอกกล่าว นั้น ถ้าและลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึด ทรัพย์สินซึ่งจํานองและให้ขายทอดตลาดก็ได้” โดยโจทก์ผู้รับจํานองต้องมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจํานองไปยัง จําเลยทั้งสามลูกหนี้ก่อนว่าให้ชําระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่จําเลยทั้ง สามลูกหนี้ได้รับคําบอกกล่าวบังคับจํานองนั้น ดังนั้น เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจํานองลง วันที่ 13 กันยายน 2559 ซึ่งกําหนดระยะเวลาให้จําเลยทั้งสามชําระหนี้และไถ่ถอนจํานองให้เสร็จสิ้นภาย ใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจํานองดังกล่าว จําเลยทั้งสามได้รับหนังสือบอก กล่าวบงั คับจาํ นองเมื่อวนั ท่ี 14 กันยายน 2559 อันเป็นการกําหนดระยะเวลาน้อยกวา่ หกสิบวันซึ่งเปน็ กําหนด ระยะเวลาที่ระบุไว้ชัดเจนแน่นอนแล้ว จึงนําระยะเวลา 30 วัน ตามหนังสือบอกกล่าวบังคับจํานองไปรวมกับ ระยะเวลาหลงั จากนน้ั จนถงึ วนั ฟอ้ งว่าเปน็ ระยะเวลาไมน่ อ้ ยกว่าหกสบิ วนั แล้วหาได้ไม่ กรณจี งึ ยงั ถอื ไมไ่ ด้วา่ จาํ เลย ทั้งสามลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 วรรค หนงึ่ ทแี่ ก้ไขใหม่ โจทก์จงึ ไมม่ อี ํานาจฟอ้ ง
ฎกี าเล่าเร่อื ง 202 พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร บัญญัติไว้ความว่า ผู้ใดจะก่อสร้างอาคารต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น และในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามให้ถือว่าเป็นการกระทำของเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร เว้นแต่บุคคลนั้นจะพสิ ูจน์ได้ว่าเปน็ การกระทำของผู้อื่น เมื่อรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองอาคารที่กอ่ สรา้ ง จึงถือเป็นการกระทำของจำเลยและจำเลยมีหน้าที่ต้องพิสูจน์หักล้าง การที่จำเลยไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่า ผ้อู น่ื เป็นผู้กอ่ สร้างอาคาร จำเลยจึงมีความผดิ ฐานกอ่ สรา้ งอาคารโดยไมไ่ ดร้ ับอนญุ าต คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1315 / 2563 ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 บัญญัติไว้ความว่า ผู้ใดจะก่อสรา้ งอาคารต้องได้รับใบอนญุ าตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น และมาตรา 71 บัญญัติไว้ ความว่า ในกรณีทม่ี ีการฝ่าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ัตติ ามมาตรา 21 ให้ถือวา่ เป็นการกระทำของเจ้าของหรือผคู้ รอบครอง อาคาร เว้นแต่บุคคลนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำของผู้อื่น ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ ครอบครองอาคารจงึ ถอื วา่ เป็นการกระทำของจำเลยตามบทบญั ญตั ิดงั กล่าว จำเลยมีหน้าที่ต้องพิสจู น์หกั ล้าง เมือ่ จำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน จึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่าผู้อื่นเป็นผู้ก่อสร้าง อาคาร จำเลยจึงมคี วามผิดฐานก่อสรา้ งอาคารโดยไม่ได้รบั อนุญาต ฎีกาเล่าเรอื่ ง 203 แม้โจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจสองนายเบิกความเป็นพยานว่า จําเลยและนาย ท. มีพฤติการณ์ร่วมกัน จําหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่เมทแอมเฟตามีน 7 แท่ง ที่ยึดได้ถูกฝังดินไว้ใต้ต้นไม้ห่างจากบ้านของจําเลย ประมาณ 100 เมตร แม้จะบรรจุอยู่ในถุงปุ๋ยเหมือนกับที่พบในฟาร์มของนาย ท. ก็ยังฟังไม่ได้ถนัดว่าเป็นของ จําเลยหรือเกี่ยวข้องกับจําเลย ส่วนเมทแอมเฟตามีนอีก 1 แท่ง ที่ยึดได้จากพงหญ้าซุกซ่อนอยู่หลังห้องนอนติด กับตัวบ้านของจําเลย เจ้าพนักงานตำรวจหนึ่งในสองนายเบิกความว่า ผู้ที่พบเมทแอมเฟตามีนนั้นมีชื่อเล่นว่า ดาบต้น โดยไม่ไดย้ ืนยนั วา่ เปน็ ใคร ส่วนผรู้ ่วมตรวจคน้ จบั กุมคนอนื่ ที่มาเบิกความกไ็ มไ่ ดย้ ืนยันวา่ ผทู้ ่ียึดไดเ้ มทแอม เฟตามีน 1 แท่ง ดังกล่าวเป็นใครและโจทกก์ ็ไม่ได้นําสืบเปน็ พยานนับว่าเป็นพิรธุ ยังมีความสงสัยตามสมควรวา่ จำเลยกระทําความผิดหรือไม่ จงึ ยกประโยชนแ์ หง่ ความสงสยั นัน้ ให้จําเลย คาํ พพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1291 /2563 แม้โจทกจ์ ะมพี นั ตาํ รวจตรี ก. และดาบตํารวจ อ. เบกิ ความเป็น พยานว่า จําเลยและนาย ท. มีพฤติการณ์ร่วมกันจาํ หน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่เมทแอมเฟตามีน 7 แท่ง ที่ยึดได้ ถูกฝงั ดินไวใ้ ต้ต้นไมห้ า่ งจากบา้ นของจําเลยประมาณ 100 เมตร แมจ้ ะบรรจุอยู่ในถงุ ป๋ยุ สีฟา้ ตรามา้ บนิ เหมอื นกบั ถุงปุ๋ยที่พบในฟาร์มไก่ชนของนาย ท. ก็ยังฟังไม่ได้ถนัดนักว่า เมทแอมเฟตามีน 7 แท่ง ดังกล่าวเป็นของจําเลย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกบั จําเลย ส่วนเมทแอมเฟตามีนอีก 1 แท่ง ที่ยึดได้จากพงหญ้าโดยมีตะแกรงเหล็กวางทับท่ี บริเวณหลังห้องนอนติดกบั ตัวบ้านของจาํ เลย พันตํารวจตรี ก. เบิกความว่า เจ้าพนักงานตํารวจที่พบเมทแอมเฟ
ตามีนดังกล่าวมีชื่อเล่นว่า ดาบต้น โดยไม่ได้ยืนยันให้ชัดเจนว่า เจ้าพนักงานตํารวจคนดังกล่าวเป็นใคร เจ้า พนกั งานตาํ รวจท่ีรว่ มตรวจคน้ จบั กุมจาํ เลยที่มาเบกิ ความเปน็ พยานกไ็ มไ่ ดย้ ืนยันว่าเจ้าพนักงานตาํ รวจทยี่ ึดไดเ้ มท แอมเฟตามีน 1 แท่ง ดังกล่าวเปน็ ใครและโจทก์กไ็ ม่ได้นําสบื เจ้าพนักงานตำรวจคนดังกล่าวเป็นพยานนับว่าเปน็ พิรุธ พยานหลกั ฐานของโจทกย์ งั มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยไดก้ ระทําความผิดหรอื ไม่ จึงยกประโยชน์แห่ง ความสงสัยนั้นให้จําเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบ พระราชบญั ญัตวิ ิธพี จิ ารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 204 คดีน้ีจำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ ข้อเท็จจริงเกย่ี วกับการกระทำความผดิ ยอ่ มรับฟงั ยุติวา่ จำเลยออกเช็คโดย มีเจตนาที่จะไมใ่ ห้มกี ารใช้เงินตามเชค็ ฎีกาของจำเลย เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่ให้การ รบั สารภาพไว้ และเปน็ การยกข้อเท็จจรงิ ซ่ึงมไิ ดว้ า่ กันมาแลว้ โดยชอบในศาลช้นั ต้นและศาลอุทธรณ์ จงึ ต้องหา้ มมิ ใหฎ้ ีกา ศาลฎกี าไม่รับวินิจฉยั คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1106 / 2563 คดีน้ีจำเลยใหก้ ารรบั สารภาพตามฟอ้ ง ข้อเทจ็ จรงิ เกย่ี วกับการ กระทำความผิดย่อมรับฟังเป็นยุติตามฟ้องวา่ จำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ใหม้ ีการใชเ้ งินตามเช็ค ฎีกาของ จำเลยดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่จำเลยให้กา รรับ สารภาพ และเปน็ ฎกี าโดยยกขอ้ เทจ็ จรงิ ขึน้ มาใหม่ซงึ่ จำเลยมไิ ดย้ กขน้ึ วา่ กันมาแล้วโดยชอบในศาลชัน้ ตน้ และศาล อุทธรณ์จึงตอ้ งห้ามมิใหฎ้ ีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง, 252 (ที่แก้ไข ใหม่) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎกี าเลา่ เร่ือง 205 จำเลยมิได้เป็นญาติกับนาย ช. แต่อ้างว่านาย ช. เป็นอาของจำเลย และขอให้โจทก์ร่วมโอนเงินเข้าบัญชี ของนาย ช. กับรับทองคำจากโจทกร์ ่วมอา้ งวา่ จะนำไปลงทุนค้าขายทองคำกบั นาย ช. ทั้งที่นาย ช. ไม่ทราบเรื่อง จงึ เป็นการหลอกลวงโจทกร์ ่วมด้วยการแสดงขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ โดยจำเลยมิได้ร่วมประกอบธุรกจิ ค้าขายทองคำ กบั นาย ช. และ ไมส่ ามารถนำทองคำไปขายในราคาสูงไดอ้ ย่างท่อี ้าง จึงเป็นความผดิ ฐานร่วมกันฉ้อโกงตามฟอ้ ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1199 /2563 พฤติการณ์ที่จำเลยแสดงต่อโจทก์ร่วมว่าจำเลยเป็นหลานของ นางสาว ก. ทั้งที่ความจริงเป็นบุตรสาว จำเลยไม่มีความสัมพันธ์ในฐานะญาติกับนาย ช. แต่กลับอ้างว่านาย ช. เป็นอาของจำเลย และจำเลยขอใหโ้ จทกร์ ว่ มโอนเงินไปเขา้ บัญชขี องนาย ช. และรบั ทองคำจากโจทกร์ ่วมโดยอ้าง
ว่าจะนำไปลงทุนค้าขายทองคำกับนาย ช. ทั้งที่นาย ช. ไม่ทราบเรื่อง จึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยการ แสดงข้อความอนั เปน็ เทจ็ จำเลยมิได้ร่วมประกอบธรุ กจิ ค้าขายทองคำกบั นาย ช. และไมส่ ามารถนำทองคำไปขาย ในราคาสูงได้อย่างที่บอกโจทก์ร่วม เพียงแต่ยกขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ แล้วมอบเงิน ลงทนุ และทองคำใหจ้ ำเลยเทา่ นนั้ การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานรว่ มกนั ฉอ้ โกงตามฟอ้ ง ฎีกาเล่าเร่อื ง 206 เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์หลังจากจำเลยซื้อทรัพย์ได้จากการประมูลแล้ว เพียงแต่ยังมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ต้องชำระค่าอากรให้ครบถ้วนอีกเพียง 150 บาท หากชำระต่อเจ้าพนักงาน บงั คับคดแี ลว้ กจ็ ะได้รบั หนงั สือโอนกรรมสิทธิ์ การท่จี ำเลยใช้สิทธฟิ ้องขบั ไลโ่ จทก์กอ่ น แตค่ ดที ี่โจทก์ฟอ้ งจำเลยขอ เพิกถอนการขายทอดตลาดมีคำพิพากษาก่อนคดีขับไล่ของจำเลย จึงเห็นได้ว่าจำเลยได้พยายามใช้สิทธิทางศาล เพอ่ื ไดม้ าซงึ่ สิทธิความเป็นผู้ซอื้ ทรัพย์ เพียงแตจ่ ำเลยยังไม่อย่ใู นฐานะเจ้าของกรรมสทิ ธิท์ ีจ่ ะบังคบั เอาที่ดินและส่ิง ปลูกสร้างโจทก์ได้ จำเลยไม่มพี ฤติการณ์ใดอันเป็นการรบกวนละเมิดสทิ ธิโจทก์ในการครอบครองใช้ทรัพย์พิพาท โจทก์ยงั คงอยู่อาศัยในทพี่ ิพาทโดยตลอด การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรอื มเี จตนากล่ัน แกล้งโจทก์ จึงไมเ่ ปน็ การละเมิดต่อโจทก์ โจทกจ์ งึ ไม่มสี ิทธเิ รยี กรอ้ งคา่ เสียหายใด ๆ จากจำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356 /2563 เมื่อโจทกฟ์ ้องขอใหเ้ พกิ ถอนการขายทอดตลาดทรัพยก์ ระทำข้ึน ภายหลังจากที่จำเลยเข้าเป็นผู้ซ้ือทรัพย์ได้จากการประมูลแล้วเพยี งแต่จำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอน กล่าวคือ การต้องไปชำระค่าอากรให้ครบถว้ นเสียก่อน ซึ่งคา่ อากรจำนวนเงนิ เพยี ง 150 บาท หากนำเงนิ ค่าอากรชำระตอ่ เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วก็จะได้รับหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ จำเลยใช้สิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ก่อน แต่ภายหลังเมื่อ โจทก์ยกเร่ืองเพิกถอนการขายทอดตลาดนำมาฟอ้ งจำเลย คดีโจทก์มีคำพิพากษากอ่ นคดีขับไล่ของจำเลย จึงเหน็ ได้ว่าจำเลยได้พยายามใช้สิทธิทางศาลดำเนินการที่จะได้มาซึ่งสิทธิความเป็นผู้ซื้อทรัพย์ แต่เพราะจำเลยเป็นผู้ ประมลู ซ้ือทรัพยท์ ่ยี งั ไมป่ ฏิบัติให้ครบถ้วน จงึ ไม่อยใู่ นฐานะเจา้ ของกรรมสิทธิ์ที่จะใชส้ ิทธไิ ปบงั คบั เอาทรพั ย์สินคือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโจทก์ได้ ประกอบกับการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลมีคำสั่งคดีถึงที่สุดไปแล้วก่อนคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์ จำเลยไม่มี พฤติการณใ์ ดก่อนหน้าท่ีศาลจะมคี ำสั่งเพกิ ถอนการขายทอดตลาด แม้จำเลยจะทราบคำส่ังศาลในภายหลังแลว้ ก็ ไม่ปรากฏวา่ จำเลยกระทำการใดอันเปน็ การรบกวนละเมิดสิทธโิ จทกใ์ นการครอบครองใชท้ รัพยพ์ พิ าท โจทกย์ งั คง อย่อู าศัยในทพ่ี พิ าทโดยตลอด การฟ้องคดีของจำเลยเพ่ือขับไล่โจทก์กถ็ อื เป็นการใช้สิทธิทางศาลในฐานะท่ีจำเลย อาจจะกล่าวอ้างได้ว่าเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเท่านั้น เมื่อไม่ปฏิบัติให้สมบูรณ์ครบถ้วนตาม กฎหมาย โจทก์ก็ใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนการขายทอดตลาด การกระทำของจำเลยดังกล่าวมายังไม่อาจถือได้ว่า จำเลยใชส้ ิทธโิ ดยไม่สจุ ริตอนั จะกอ่ ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ นอกจากนี้แล้วไมป่ รากฏขอ้ เท็จจรงิ ใดวา่ จำเลยมี เจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความอับอายตามฟ้องแต่อย่างใด การกระทำของจาเลยตามฟ้องดังกล่าวมาของ
โจทก์นั้น จึงไม่เป็นการละเมดิ ต่อโจทก์แต่เป็นการใช้สิทธิอันพึงมีตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จาเลย ชดใชค้ า่ เสยี หายใด ๆ แกโ่ จทก์ ฎกี าเล่าเรื่อง 207 ความผดิ ฐานเข้าไปยดึ ถือครอบครองทดี่ ินของรัฐซง่ึ เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นท่ีดนิ ที่ประชาชนใชร้ ว่ มกนั หรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายที่ดิน มีขึ้นตั้งแตจ่ ำเลยเข้ายึดถือครอบครอง และยงั คงมีอย่ตู ลอดเวลาท่ีครอบครอง แม้จะมรี ะวางโทษจำคุกไม่เกนิ 3 ปี หรอื ปรับไมเ่ กนิ 10,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรบั ซึ่งมอี ายุความ 10 ปี นับแตว่ ันกระทำความผดิ แต่ขณะที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยังคงยึดถือครอบครอง ที่ดินบริเวณนัน้ อยู่ แม้จะเกิน 10 ปี คดีของโจทก์ข้อหาดังกล่าวก็ไม่ขาดอายุความ จำเลยยึดถือครอบครองท่ดี ิน รมิ ถนนสนั เขือ่ นที่จำเลยสร้างเป็นอาคารตา่ งๆ ซง่ึ ทางจังหวัดประกาศใหบ้ รเิ วณอ่างเกบ็ นำ้ น้นั เป็นแหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว ประชาชนสามารถเขา้ ใช้ประโยชน์ ทง้ั น้ำในอ่างเกบ็ น้ำยังใชเ้ พื่อการเกษตรและสขุ าภิบาล อันเปน็ สาธารณสมบัติ ของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แม้หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ระบุว่าที่ดินบริเวณอ่างเก็บน้ำเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เพียงอย่างเดยี ว กห็ าทำให้ไม่เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดินทป่ี ระชาชนใชร้ ่วมกันไม่ เมอ่ื จำเลยยึดถอื ครอบครอง จึงเปน็ ความผิดตามประมวลกฎหมายท่ดี นิ คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 258 / 2563 ความผดิ ฐานเขา้ ไปยดึ ถือครอบครองท่ีดนิ ของรัฐซึ่งเป็นสาธารณ สมบัติของแผ่นที่ดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน หรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมาย ที่ดิน มาตรา 9 และ 108 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดที่มีขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองและยังคงมีอยู่ ตลอดเวลาที่จำเลยครอบครอง แม้ความผิดฐานนี้เป็นความผิดที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมีอายุความ 10 ปี นับแต่วันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (3) วรรคแรก ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยังคงยึดถือครอบครอง ที่ดินบริเวณสันเขื่อนของอ่างเก็บนำ้ห้วยซับเหล็กอยู่ แม้จำเลยจะครอบครองมานานเกิน 10 ปี คดีของโจทก์ ขอ้ หาความผดิ ตามประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 9 และ 108 ทวิ วรรคสอง ก็ไม่ขาดอายคุ วาม ที่ดินที่จำเลยยึดถือครอบครอง คือที่ดินรมิ ถนนสันเขื่อนอ่างเก็บน้ำห้วยซับเหล็กท่ีจำเลยสร้างเป็นอาคาร ขายอาหาร อาคารโรงรถ อาคารพักอาศัยริมน้ำและแพลอยน้ำสำหรับนั่งรับประทานอาหารลักษณะและสภาพ ของที่ดินบริเวณดังกล่าวจังหวัดลพบุรีประกาศให้บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยซับเหลก็ เป็นแหล่งท่องเที่ยว ประชาชน ทวั่ ไปยอ่ มสามารถเขา้ ใช้ประโยชน์รอบ บรเิ วณอา่ งเกบ็ น้ำหว้ ยซบั เหลก็ ได้ ท้ังนำ้ ในอ่างเก็บน้ำยังใชเ้ พื่อการเกษตร และสุขาภิบาลโคกตูม เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน
โดยเฉพาะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) และ (3) แม้ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่ หลวงเอกสารหมาย จ.6 ระบุว่าที่ดินบริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยซับเหลก็ เป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้ เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะเพียงอย่างเดียวก็ตามหาทำให้ที่ดินดังกล่าวไม่เป็น สาธารณสมบัติของ แผ่นดินท่ีประชาชนใช้รว่ มกนั ไม่ การท่จี ำเลยยดึ ถือครอบครองทดี่ ินจึงเป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายทดี่ นิ ฎกี าเล่าเรื่อง 208 โจทก์ทั้งส่ีฟ้องจําเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผูท้ ําละเมิด และฟ้องจําเลยที่ 3 ให้ร่วม รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน ความรับผิดของจําเลยที่ 2 และที่ 3 จึงแตกต่างกัน โดยจำเลยที่ 3 ต้อง รบั ผิดชอบแต่ไมเ่ กนิ วงเงินคุม้ ครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ส่วนจําเลยท่ี 2 ผู้เอาประกันภัยในฐานะนายจา้ งตอ้ ง ร่วมรับผิดกับจําเลยท่ี 1 ในหนี้ละเมิดทั้งหมดเต็มจํานวนและอย่างลูกหนี้ร่วม ผู้เสียหายจึงมีสิทธิเลือกฟ้องผู้ทํา ละเมิดหรือผู้ที่ต้องร่วมรับผิดในเหตุละเมิดหรือผู้รับประกันภัยคนใดคนหนึ่งให้รับผิดเต็มจํานวนหรือทุกคนให้ ชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนในวงเงนิ ประกันภยั ได้ คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 180 / 2563 โจทกท์ ัง้ ส่ีฟอ้ งจําเลยท่ี 2 ในฐานะนายจา้ งของจําเลยท่ี 1 ซงึ่ เป็น ผู้ทําละเมิด และฟ้องจําเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยคำ้ จนุ ความรับผดิ ของจําเลยท่ี 2 และที่ 3 จึงแตกตา่ งกัน แมผ้ ้รู ับประกันภยั ต้องรบั ผดิ ชอบความเสียหายท้ังหมดทเ่ี กดิ ข้นึ เพือ่ จาํ นวนวนิ าศภัยอันแท้จรงิ แตก่ ็ จะต้องไม่เกินไปกว่าวงเงินคุ้มครองตามที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย ส่วนจําเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผูเ้ อาประกันภัยแม้ ไมใ่ ช่ผู้กระทาํ ละเมดิ แต่จําเลยที่ 2 ในฐานะนายจา้ งตอ้ งรว่ มรบั ผิดกบั จําเลย ท่ี 1 ซึง่ เป็นลูกจา้ งและเป็นผู้กระทํา ละเมิดในทางการที่จ้าง จําเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจําเลยที่ 1 รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในหนี้ละเมิดทั้งหมดที่ เกิดขึ้นเต็มจํานวน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ประกอบมาตรา 425 และ 438 และต้องร่วมกันรับผิด อย่าง ลูกหนี้ร่วม ทั้งนี้ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องผู้ทําละเมิดหรือผู้ที่ต้องร่วมรับผิดในเหตุละเมิดหรือผู้รับ ประกันภัยคนใดคนหนึ่งให้รับผิดเต็มจํานวนหรือทุกคนให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวงเงินประกันภัยซึ่งผู้ทํา ละเมิดต้องรับผิดชอบได้ แม้จำเลยท่ี 3 มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจําเลยที่ 2 ภายในวงเงิน คมุ้ ครองตามกรมธรรมป์ ระกันภยั แตจ่ ําเลยที่ 2 กย็ งั มีความรบั ผิดตอ่ โจทก์ทง้ั ส่ใี นมูลหนลี้ ะเมิด จําเลยที่ 2 จงึ ต้อง รว่ มรบั ผิดต่อโจทก์ท้ังสี่ ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 209 ขณะเกิดเหตุเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ส่ีแยกที่เกิดเหตุเป็นถนนโล่ง ทางเดินรถฝั่งที่จำเลยที่ 3 ขับได้รับ สัญญาณจราจรไฟสีเขียว และรถยนต์คันหน้าแล่นผ่านสี่แยกไปได้อย่างปลอดภัย แต่รถคันที่จำเลยที่ 3 ขับ ตามหลังห่างจากรถคันหน้าเพียง 7 วินาที กลับถกู รถจักรยานยนต์ท่ีจำเลยที่ 1 ขับย้อนเสน้ ทางมาด้วยความเร็ว
ฝ่าฝืนสัญญาณจราจรไฟสีแดงพุ่งเข้าชนอย่างแรง ซึ่งเกิดข้ึนอย่างกะทันหันสุดวิสัยที่จำเลยท่ี 3 จะหักหลบไดท้ นั จนเป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยที่ 3 ขับเสียหลักพุ่งเข้าเฉี่ยวชนรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างทางรวมถึงรถยนต์ที่โจทก์ ครอบครองได้รับความเสียหาย แม้โจทก์นำสืบถึงเรื่องการคำนวณหาความเร็วรถคันที่จำเลยที่ 3 ขับได้ 61.2 กิโลเมตรต่อช่วั โมง เกินกว่าอัตราทกี่ ฎหมายกำหนดแต่การคำนวณดังกลา่ วเป็นเพยี งการประมาณและมีความเร็ว เกินกว่าอัตราที่กำหนดเพียงเล็กน้อย ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่บุคคล ในภาวะเชน่ น้ันจกั ต้องมีตามวิสยั และพฤติการณแ์ ลว้ คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 7540 /2562 ขณะเกิดเหตเุ วลาประมาณ 3 นาฬิกา สแ่ี ยกที่เกดิ เหตุเป็นถนน โล่ง ทางเดินรถฝั่งที่จำเลยที่ 3 ขับได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียว และรถยนต์ซึ่งขับอยู่ด้านหน้าของรถยนต์ กระบะคันที่จำเลยที่ 3 ขับสามารถแล่นผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุไปได้อย่างปลอดภัย แต่จำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถยนต์ กระบะตามหลงั มาเข้าส่สู ี่แยกทเ่ี กิดเหตุ ห่างจากรถยนต์คนั หน้าเพียง 7 วินาที กลบั ถูกรถจักรยานยนต์ท่ีจำเลยที่ 1 ขบั ยอ้ นเส้นทางเดนิ รถมาด้วยความเรว็ ฝา่ ฝืนสัญญาณจราจรไฟสแี ดงพุ่งเข้าชนบริเวณด้านข้างซ้ายของรถยนต์ กระบะอย่างแรง เหตุเฉี่ยวชนเกิดขึ้นอย่างกะทันหันสุดวิสัยที่จำเลยที่ 3 จะหักหลบรถจักรยานยนต์ได้ทัน การ ปะทะจากรถจักรยานยนต์ทขี่ ับมาดว้ ยความเรว็ เป็นเหตใุ หร้ ถยนต์กระบะทจ่ี ำเลยท่ี 3 ขับเสียหลกั พงุ่ เข้าเฉี่ยวชน รถยนต์ที่จอดอยู่ข้างทางรวมถึงรถยนต์ที่โจทก์ครอบครองได้รับความเสียหาย แม้โจทก์นำสืบว่าเมื่อคำนวณหา ความเรว็ รถยนต์กระบะคนั ทจี่ ำเลยท่ี 3 ขับจากภาพทป่ี รากฏในกลอ้ งวงจรปิดตามสตู รคณติ ศาสตรจ์ ะไดค้ วามเรว็ 61.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกินกว่าอัตราความเร็วปกติตามกฎหมายของรถยนต์ที่ขับในเขตกรุงเทพมหานค รซ่ึง กำหนดไว้ไมเ่ กินชัว่ โมงละ 60 กิโลเมตรกต็ าม แต่การคำนวณดังกล่าวเปน็ เพียงการประมาณและผลการคำนวณ ก็เป็นความเร็วที่เกินกว่าอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงเพียงเล็กน้อย เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุท่ี ทางเดนิ รถฝง่ั ทจ่ี ำเลยที่ 3 ขับมาได้รบั สญั ญาณจราจรไฟสีเขยี ว และรถยนต์ทีข่ บั มาด้านหนา้ รถยนต์ท่ีจำเลยที่ 3 ขับสามารถขับผ่านสี่แยกดังกล่าวไปได้โดยปลอดภัยประกอบด้วยแล้ว การที่จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์กระบะ ตามหลังรถยนต์คันหน้าเข้าสู่สี่แยกขณะทางเดินรถฝั่งของตนได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวโดยใช้ความเร็วเกนิ กว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเพียงเล็กน้อย ถือว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่บุคคลในภาวะ เช่นนั้นจักต้องมตี ามวสิ ยั และพฤตกิ ารณแ์ ลว้ ฎกี าเล่าเรอื่ ง 210 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 บัญญัติวา่ สาธารณูปโภคซึ่งผู้จดั สรรทีด่ ินได้จัดให้มีเพื่อการจัดสรร ให้ถือว่าตกอยู่ในภาระจำยอม และเป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่จะบำรุงรักษากิจการ ดังกล่าวให้คงสภาพตลอดไปและจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์ลดลงไปหรือเสื่อมสะดวกมิได้ แม้ ต่อมามี พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดนิ พ.ศ. 2543 ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับน้ี แต่ยังคงบัญญัติเนื้อความ เชน่ เดมิ จงึ เปน็ หน้าท่ีของโจทก์ตอ้ งรับผดิ ชอบออกค่าใชจ้ ่ายในการบำรุงรกั ษาสาธารณปู โภคเอง จะเรียกเก็บเอา
จากผซู้ ้อื ทด่ี ินจดั สรรไม่ได้ แม้โจทก์กบั ผู้ซือ้ ตกลงให้โจทกม์ สี ทิ ธินำเงนิ คา่ ใชจ้ า่ ยจากการบำรงุ รักษาสาธารณูปโภค มาเรียกเก็บจากผู้ซ้ือที่ดินจัดสรรได้ แต่ต้องไม่ฝ่าฝืนหรือแตกต่างกับบทบัญญัติอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การตกลงในเรื่องดังกล่าว เท่ากับผลักภาระของโจทก์ให้ผู้ซื้อโดยปริยายจึงไม่มี ผลใช้บงั คับ โจทกไ์ ม่มีสิทธเิ รียกเก็บคา่ ใช้จ่ายท่เี กิดจากการบำรงุ รกั ษาสาธารณปู โภคจากจำเลยได้ ในส่วนค่าบริการสาธารณะนัน้ เมื่อประกาศของคณะปฏิวัตดิ ังกล่าวไม่ได้บัญญัติหนา้ ทีข่ องผู้จดั สรรท่ดี นิ โจทก์และจำเลยย่อมตกลงให้จำเลยรบั ภาระคา่ ใช้จา่ ยส่วนนี้ได้ ไมข่ ดั ตอ่ ประกาศของคณะปฏิวัติ โจทกแ์ ละจำเลย จึงผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ปรับขึ้นค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการ ให้บริการสาธารณะประจำเดือน เมื่อไม่มขี อ้ สัญญากำหนดล่วงหน้าให้โจทก์มสี ิทธิปรับขึ้นได้ ทั้งจำเลยไม่เคยตก ลงหรอื ยินยอมใหโ้ จทกป์ รบั ข้นึ โจทกจ์ ะปรบั ค่าบริการสาธารณะไม่ได้ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 7525 / 2562 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 บัญญัติว่า สาธารณูปโภคซึ่งผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผงั และโครงการที่ได้รับอนุญาต เช่น ถนน สวนสาธารณะ สนามเด็กเลน่ ให้ถอื ว่าตกอยู่ในภาระจำยอมเพ่อื ประโยชนแ์ ก่ที่ดนิ จดั สรร และให้เปน็ หน้าท่ีของผู้ จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คนต่อไปที่จะบำรุงรักษากิจการดังกล่าวให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดย ตลอดไปและจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุใหป้ ระโยชน์แหง่ ภาระจำยอมลดลงไปหรอื เส่อื มสะดวกมไิ ด้ แมต้ อ่ มา มีพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 3 ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติฉบบั นี้ แต่ในมาตรา 43 วรรคหนึ่ง ยังคงบัญญัติไว้โดยมีเนื้อความเช่นเดิม จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องรับผิดชอบออกค่าใช้จา่ ยเอง จะเรียกเกบ็ เอาจากผู้ซือ้ ท่ีดินจดั สรรไม่ได้ แม้จะได้ความว่าโจทก์กบั ผู้ซือ้ ที่ดินจดั สรรมีข้อตกลงให้โจทก์มีสิทธินำ เงินคา่ ใชจ้ ่ายท่ีเกิดจากการบำรงุ รกั ษาสาธารณูปโภคมาเรยี กเก็บจากผซู้ อ้ื ทดี่ นิ จดั สรรได้ อันเปน็ ข้อตกลงที่คู่กรณี มีอิสระในการแสดงเจตนาต่อกัน แต่การแสดงเจตนาทำข้อตกลงต้องไม่เปน็ การฝ่าฝืนหรือแตกต่างกบั บทบัญญัติ ของกฎหมายอันเกี่ยวกบั ความสงบเรยี บร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึง่ ขอ้ ตกลงตามสัญญาจะซอ้ื จะขาย ที่ดิน ข้อ 9 ที่กำหนดให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคเท่ากับเป็นการผลัก ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของโจทกใ์ นการบำรุงรักษาสาธารณปู โภคไปให้ผู้ซื้อโดยปริยาย ย่อมเป็นการฝ่า ฝืนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผู้ซ้ือ ที่ดินจัดสรร อันเป็นกฎหมายที่เกีย่ วกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ข้อตกลงดงั กล่าวจงึ ไม่มีผลใช้บงั คบั โจทกจ์ ึงไมม่ ีสิทธิเรยี กเก็บค่าใชจ้ ่ายที่เกดิ จากการบำรงุ รักษาสาธารณูปโภคจากจำเลยได้ ในส่วนค่าบริการสาธารณะนั้น เมื่อประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ไม่ได้บัญญัติให้ผู้จัดสรรท่ดี ินมี หน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของการให้บริการสาธารณะ สัญญาข้อ 9 ที่โจทก์และจำเลยตกลงให้ จำเลยผู้จะซ้ือรับภาระค่าใช้จ่ายในสว่ นของค่าบริการสาธารณะจึงไม่เปน็ การขัดต่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับ ดังกล่าว เมื่อคู่สัญญาตกลงหรือกำหนดในเรื่องดังกล่าวไว้ในสัญญาก็เป็นไปตามเจตนาของคู่สัญญา โจทก์และ จำเลยจึงมีผลผูกพนั กันตามขอ้ ตกลงดังกลา่ ว ส่วนที่โจทก์ปรับขึน้ คา่ บำรงุ รักษาสาธารณปู โภคและคา่ ใช้จ่ายท่ีเกิด
จากการให้บริการสาธารณะประจำเดือน เมื่อไม่มีข้อสัญญากำหนดล่วงหน้าให้โจทก์มีสิทธิปรับขึ้นค่าใช้จ่าย ดังกลา่ วได้ ทง้ั ขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ความตามทางนำสืบของโจทกว์ ่า จำเลยชำระค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภคและบริการ เพียงถึงวันที่ 31 มีนาคม 2543 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่โจทก์จะปรับขึ้นค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภคและค่าบริการ สาธารณะในวนั ท่ี 1 เมษายน 2543 แสดงวา่ จำเลยไมเ่ คยตกลงหรอื ยินยอมใหโ้ จทกป์ รับขนึ้ ค่าบรกิ ารสาธารณะ มาก่อน โจทกจ์ ะปรับค่าบรกิ ารสาธารณะไมไ่ ด้ ฎีกาเลา่ เร่ือง 211 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และร่วมกันนำสิ่งของต้องห้ามเข้ามาในเรือนจำ ศาลชั้นต้นและศาล อุทธรณ์รับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม จำเลยฎีกาโดย ได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ต้องถือว่าฎีกาของจำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาเฉพาะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อย่างไรก็ดเี มื่อศาลฎีการับฟังว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดเกีย่ วกับยาเสพติด แม้ความผิดฐานร่วมกันนำสิ่งของ ต้องห้ามเข้ามาในเรือนจำต้องหา้ มมิใหฎ้ ีกาในปญั หาขอ้ เท็จจริง แต่เป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกนั ศาลฎีกา จึงใหย้ กฟอ้ งปลอ่ ยจำเลยไปได้ คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 2351 / 2562 คดนี ้โี จทกฟ์ ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีเมท แอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และฐานร่วมกันนำ สงิ่ ของตอ้ งห้ามเขา้ มาในเรือนจำ ศาลชั้นต้นรบั ฟงั ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟอ้ ง ศาลอุทธรณแ์ ผนกคดียาเสพ ติดคงรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องเช่นกนั แต่กรณีที่มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละ หนึ่งในสาม จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา กรณีถือว่าฎีกาของจำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาเฉพาะ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพตดิ เท่านั้น แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี เมอื่ ศาลฎีการับฟังขอ้ เท็จจรงิ ใหมว่ ่า จำเลยมิไดก้ ระทำความผิด ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แล้ว สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำสิ่งของต้องห้ามเข้ามาในเรือนจำซึ่งมิใช่เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซ่ึง ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุก 8 เดือน อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และ ความผิดฐานนีต้ ้องห้ามมใิ หฎ้ ีกาในปญั หาข้อเทจ็ จริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 ก็ตาม แต่เน่อื งจากเป็นข้อเท็จจริง อันเดียวเกี่ยวพันกัน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดจึงให้ยกฟ้องปล่อยจำเลยไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหน่งึ ประกอบมาตรา 215, 225
ฎกี าเล่าเรื่อง 212 มูลกรณตี ามสัญญากู้ยืมเงินสืบเนื่องมาจากจำเลยไม่สามารถว่ิงเต้นช่วยเหลือในสอบเข้ารับราชการได้ แต่ จำเลยยังไม่สามารถนำเงินมาคืนโจทก์จึงให้ทำสญั ญากู้ยืมเงินไว้เปน็ หลักประกัน กรณีมิใชก่ ารใหก้ ู้ยืมเงินและสง่ มอบเงินกู้ แต่มีมูลมาจากวิธีการที่ผิดกฎหมายใช้เงินตอบแทนจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติผิดต่อตำแหน่งโดย ทุจริต อันเป็นมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นนิติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของ ประชาชน จึงตกเปน็ โมฆะและย่อมเสียเปล่ามาแตต่ ้นจะแปลงหน้ีใหมเ่ ปน็ หนเ้ี งนิ กู้ยมื หรอื หนี้อย่างอ่ืนที่ชอบด้วย กฎหมายไม่ได้ จำเลยจงึ ไมต่ อ้ งรบั ผดิ ชดใชเ้ งนิ ตามสัญญากยู้ ืมเงนิ แกโ่ จทก์ คำพิพากษาฎีกาที่ 6023 / 2561 การทำสัญญากู้ยืมเงินมีมูลกรณีแห่งหนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยหรือ ภ. ไมส่ ามารถว่งิ เต้นชว่ ยเหลือ ก. และ ธ. สอบเข้ารบั ราชการได้ แต่จำเลยยงั ไมส่ ามารถนำเงนิ จำนวนดังกล่าวมา คืนฝ่ายโจทก์ได้ โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินเพื่อเป็นหลักประกันไว้ กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้จำเลย กู้ยืมเงินและมีการส่งมอบเงินกู้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกันจริงกับจำเลยและเงินจำนวน 1,100,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นเงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าวิ่งเต้นให้แก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือ ก. และ ธ. สอบเข้ารับ ราชการได้ พฤตกิ ารณ์ท่โี จทกม์ อบเงนิ 1,100,000 บาท เพื่อขอให้จำเลยหรือ ภ. นำไปวิง่ เต้นกบั คณะกรรมการ สอบหรอื บุคคลที่เกีย่ วข้องกับการสอบเพือ่ ช่วยเหลือ ก. และ ธ. สอบเข้ารับราชการในวธิ ีการท่ีฝา่ ฝืนกฎระเบียบ ในการสอบ มุ่งหวังใช้วธิ ีการทผี่ ิดกฎหมายใชเ้ งนิ ในการตอบแทนจูงใจโดยมีเจตนาให้เจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐปฏบิ ัติผดิ ตอ่ ตำแหน่งการงานให้กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบด้วยการช่วยเหลือบุตรสาวและบุตรเขยของโจทก์ จำนวน 1,100,000 บาท ตามสญั ญากยู้ มื เงนิ จึงมีท่ีมาจากมูลหน้ที ี่ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย เปน็ นิติกรรมท่ขี ัดต่อความสงบ เรยี บร้อยและศลี ธรรมอันดีของประชาชน จงึ ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทกจ์ ึงไมม่ สี ิทธเิ รยี กร้องให้ จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องได้ หนี้ที่เกิดจากสัญญาอันเป็นโมฆะย่อมเสียเปล่ามาแต่ต้นจะ แปลงหนี้ใหม่เป็นหนี้เงินกู้ยืมหรือหนี้อย่างอื่นที่ชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินตาม สญั ญากูย้ ืมเงิน ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 213 โจทก์กับจําเลยที่ 1 ตกลงทำบันทึกแนบท้ายสัญญาเช่าซื้อเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข เกี่ยวกับราคาค่าเช่าซื้อ รถยนต์ อัตราดอกเบย้ี จํานวนเงินค่าเช่าซ้ือในแตล่ ะงวด และระยะเวลาการผอ่ นชําระคา่ เช่าซอ้ื โดยไม่ปรากฏว่า มเี จตนาใหห้ น้ีตามหนังสอื สัญญาเชา่ ซ้อื ระงบั ส้ินไป อันจะเป็นการแปลงหนใ้ี หมท่ ีท่ ำให้หนีเ้ ดิมระงับ โจทก์จึงยังมี อาํ นาจฟ้องจาํ เลยที่ 2 ถึงท่ี 5 ผู้คำ้ ประกนั ตามสญั ญาเชา่ ซอ้ื ใหร้ ่วมกบั จาํ เลยท่ี 1 รับผดิ ตอ่ โจทกไ์ ด้ คําพิพากษาฎีกาที่ 6544/2562 โจทก์กับจําเลยที่ 1 ตกลงทำบันทึกแนบท้ายสัญญาเช่าซ้ือ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข เกี่ยวกับราคาค่าเช่าซื้อรถยนต์ อัตราดอกเบี้ย จํานวนเงินค่าเช่าซื้อในแต่ละงวด และ
ระยะเวลาการผ่อนชําระค่าเช่าซื้อเท่านั้น อันมีลักษณะเป็นเพียงการกําหนดเงื่อนไขการผ่อนชําระหนี้และ ระยะเวลาการชําระหนี้ใหม่โดยไม่ปรากฏว่าโจทกก์ ับจาํ เลยที่ 1 มีเจตนาใหห้ นีท้ ่ีเช่าซ้ือตามหนังสือสัญญาเชา่ ซ้ือ ระงับสิ้นไป แล้วมาบังคับกันใหม่ตามบันทึกแนบท้ายสัญญาเช่าซื้ออันจะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็น สาระสำคัญแหง่ หนแ้ี ละเปน็ การแปลงหนใี้ หมต่ าม ป.พ.พ. มาตรา 349 เม่ือบันทกึ แนบท้ายสญั ญาเช่าซอื้ ดงั กลา่ ว ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่อันทำให้หนี้เดิมระงับ โจทก์จึงยังมีอํานาจฟ้องจําเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ผู้ค้ำประกันตาม สญั ญาเช่าซอ้ื ใหร้ ่วมกับจาํ เลยที่ 1 รับผิดต่อโจทกไ์ ด้ ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 214 ผู้เสียหายอายุ 5 ปีเศษ มาเบิกความ แต่ไม่ให้ความร่วมมือตอบคำถาม ศาลชั้นต้นให้ถ่ายทอดภาพและ เสียงคำให้การชั้นสอบสวนต่อหนา้ คคู่ วาม ถอื ว่าภาพและเสียงดงั กลา่ วเปน็ สว่ นหนึง่ ของคำเบิกความผู้เสียหายใน ช้นั พิจารณาไมพ่ ยานบอกเลา่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6247 / 2562 ผู้เสียหายเป็นเด็กอายุ 5 ปีเศษ มาเบิกความด้วยตนเองแล้ว แต่ระหว่างการสืบพยานไม่ให้ความร่วมมือที่จะตอบคำถาม ศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ถ่ายทอดภาพและเสียง คำใหก้ ารของผ้เู สียหายซึง่ บันทึกไวใ้ นชัน้ สอบสวนต่อหน้าคคู่ วาม ถือวา่ ภาพและเสียงดงั กล่าวเปน็ สว่ นหนงึ่ ของคำ เบิกความผู้เสียหายในชั้นพิจารณาของศาลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคสาม มใิ ช่พยานบอกเล่า ฎีกาเล่าเรอื่ ง 215 พ.ร.บ.ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ เปน็ เพยี งบทบัญญัตเิ พม่ิ ช่องทาง ดำเนินคดีแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แตโ่ จทก์เป็นผเู้ สียหายจากการกระทำความผิดต่อตำแหนง่ หนา้ ทร่ี าชการของ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ยังคงมีอำนาจฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ และมีอำนาจในส่วนของจำเลยที่ 8 และที่ 9 ใน ฐานะเปน็ ผสู้ นบั สนุนไดด้ ้วย แต่เมื่อโจทกถ์ กู ฟอ้ งเป็นจำเลย เรอ่ื งความผดิ ต่อตำแหนง่ หน้าท่ีราชการ ความผิดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง วนิ ิจฉัยว่า จำเลยเปน็ เจา้ พนักงานปฏบิ ัติหน้าท่ีโดยมิชอบและโดยทจุ รติ และเป็นเจ้าหนา้ ที่ รัฐปฏบิ ัติอย่างใดอย่างหน่ึงในหนา้ ที่ หรือใช้อำนาจในตำแหนง่ หรอื หน้าทีโ่ ดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ หนง่ึ ผู้ใด คำพพิ ากษาศาลฎีกาดังกลา่ ว ย่อมผูกพนั โจทก์ และเมือ่ โจทก์ฟอ้ งจำเลยที่ 1 ถึงท่ี 9 โดยอ้างเหตุท่ีศาล ฎีกาแผนกคดีอาญาของผ้ดู ำรงตำแหน่งทางการเมืองมคี ำวินิจฉัยไว้แล้ว เหตุแหง่ การกระทำความผิดของจำเลยท่ี 1 ถงึ ที่ 9 ตามขอ้ กล่าวอ้างของโจทก์ในคดนี ี้ย่อมเปน็ อันรับฟงั ไมไ่ ด้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5673/2562 (ประชุมใหญ่) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ.2542 มาตรา 17 วรรคหน่ึง เป็นเพยี งบทบัญญัติท่ีเพิม่ ช่องทางในการดำเนินคดี แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่โจทก์เป็นผู้เสยี หายจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ยังคงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 (2) โดยยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่มี อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง (1) ศาลชั้นตน้ ยอ่ มมีอำนาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดใี นส่วนของ จำเลยที่ 1 ถงึ ที่ 7 ได้ และมอี ำนาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดใี นส่วนของจำเลยท่ี 8 และท่ี 9 ในฐานะเปน็ ผู้สนบั สนุน ได้ด้วยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 3 วรรคสอง (5) โจทก์ถูก ฟ้องเป็นจำเลย เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมอื ง วินิจฉัยว่า จำเลย เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมชิ อบและโดยทุจริตตาม ป.อ. มาตรา 157 และเป็นเจ้าหน้าทีร่ ัฐปฏิบัติอย่าง ใดอย่างหนึ่งในหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 คำ พิพากษาศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผ้ดู ำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง ย่อมมีผลผกู พนั โจทก์ซง่ึ เปน็ จำเลยในคดีอาญา ดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 โดยอ้างเหตุแห่งการกระทำความผิดที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำวินิจฉัยไว้แล้วว่ารับฟังไม่ได้ และไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูก เปลย่ี นแปลง แก้ไข กลบั หรอื ยกเสยี ถ้าหากมีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนง่ึ ประกอบ ป.ว.ิ อ. มาตรา 15 และ พ.ร.บ.ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยวธิ ีพิจารณาคดอี าญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมอื ง พ.ศ.2542 มาตรา 18 วรรคสอง เหตแุ หง่ การกระทำความผิดของจำเลยท่ี 1 ถึงท่ี 9 ตามข้อกล่าวอา้ งของโจทก์ในคดีนี้ย่อมเป็นอัน รบั ฟงั ไม่ได้ ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 216 ความผิดอาญา แม้จะกระทำตอ่ ผู้เสียหายคนเดยี วกันและมเี จตนาเหมอื นกนั แตเ่ มอ่ื เปน็ การกระทำตา่ งวนั ตา่ งเวลาและตา่ งสถานที่ มิได้กระทำต่อเนือ่ งกนั ยอ่ มเป็นความผิดหลายกรรมตา่ งกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5368 / 2562 จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ครั้งแรกที่บ้านเพื่อนของ จำเลย จงั หวัดพงั งา ในวันที่ 21 มกราคม 2549 และวนั ท่ี 22 มกราคม 2549 จำเลยได้พาผูเ้ สยี หายท่ี 2 ไปท่ี บ้านญาติของจำเลย จังหวัดภูเก็ต แล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 อีกครั้ง การกระทำชำเราของจำเลยในแต่ละ ครั้งแม้กระทำไปโดยมีเจตนากระทำชำเราเหมือนกัน แต่จำเลยได้กระทำต่อผู้เสียหายที่ 2 ต่างวันต่างเวลาและ ต่างสถานที่ คนละจงั หวัดกัน มไิ ดก้ ระทำตอ่ เนือ่ งกันแต่อย่างใด จงึ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกนั
ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 217 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกฐานลักทรัพย์และกลับมากระทำ ความผิดภายในหา้ ปี นับแตว่ ันพ้นโทษ ขอใหเ้ พ่มิ โทษจำเลย โดยแนบรายการประวตั ิอาชญากรของจำเลยมาด้วย จึงมีรายละเอียดเพียงพอทีจ่ ำเลยจะเข้าใจได้ดี เมื่อศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟอ้ ง จำเลยให้การรับสารภาพตาม ฟ้อง ย่อมถือว่าเป็นการรับว่าได้กระทำความผิดจริงและเคยต้องโทษกับพ้นโทษในคดีที่อ้างขอให้เพิ่มโทษด้วย การสอบคำให้การจำเลยจึงชอบ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยจึงชอบแล้ว ส่วนที่ศาล ชั้นต้นคำนวณโทษที่เพิ่มผิดพลาดนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ แกไ้ ขกลบั พพิ ากษาไม่เพมิ่ โทษจำเลยโดยยกคำร้องขอเพ่ิมโทษ เม่ือโจทก์ฎีกาขอใหย้ กคำพพิ ากษาศาลล่างท้ังสอง ให้ดำเนนิ กระบวนพิจารณาใหม่ แม้ไมไ่ ด้ขอใหศ้ าลฎีกาเพิม่ โทษจำเลยโดยตรง แต่เห็นได้ว่าฎีกาโจทก์ประสงค์ให้ เพิ่มโทษจำเลยตามคำขอท้ายฟ้อง จึงแปลได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษแล้ว ศาลฎีกาจึงมีอำนาจ พพิ ากษาแก้ไขเพ่มิ โทษจำเลยให้ถกู ต้องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579 / 2562 โจทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ ก่อนคดนี ้จี ำเลยต้องคำพิพากษาถึงท่ีสุดให้ ลงโทษจำคุกในความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยพ้นโทษในคดีดังกล่าวแล้วกลับมากระทำความผิดเป็นคดีนี้ภายใน เวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 92 โดยโจทก์แนบรายการประวัติอาชญากร ของจำเลยมากบั คำฟอ้ ง คำฟอ้ งของโจทก์จึงมรี ายละเอยี ดเพียงพอท่จี ะทำใหจ้ ำเลยเข้าใจได้ดี เมอ่ื ศาลช้นั ตน้ อ่าน และอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมถือได้ว่าจำเลยรับว่าได้กระทำความผดิ จริงและหมายความรวมถงึ รับขอ้ เท็จจริงวา่ จำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดที ี่โจทก์อ้างเปน็ เหตุขอให้เพม่ิ โทษ ด้วย การสอบถามคำให้การจำเลยจึงเปน็ การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยให้ ลงโทษจำเลยและเพิ่มโทษจำเลยจงึ เป็นคำพิพากษาทีช่ อบ ส่วนท่ีศาลชัน้ ต้นคำนวณจำนวนวันและเดอื นเพ่มิ โทษ จำเลยน้อยกว่าความเป็นจริงและไม่ถูกต้องเป็นเรื่องความผิดพลาดในการคำนวณโทษ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาล อทุ ธรณย์ ่อมแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งได้ แตศ่ าลอทุ ธรณ์ไมแ่ ก้ไขโทษท่ศี าลช้ันต้นคำนวณโทษทีเ่ พ่ิมผิดพลาด กลับพพิ ากษา ไม่เพิ่มโทษจำเลยโดยยกคำร้องขอเพิ่มโทษ เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่สอบถามคำให้การจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี แม้ไม่ได้ขอให้ศาลฎีกาเพ่ิม โทษจำเลยโดยตรงก็ตาม แต่เหน็ ไดว้ า่ ฎกี าโจทก์ประสงคใ์ หเ้ พ่มิ โทษจำเลยให้ถูกต้องตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ นั่นเอง จึงแปลได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษแก่จำเลยแลว้ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาแก้ไขเพิ่ม โทษจำเลยให้ถูกต้องได้ ฎีกาเลา่ เร่อื ง 218 ในคดอี าญาทจ่ี ำเลยไมใ่ ห้การหรอื ใหก้ ารปฏเิ สธ กฎหมายให้มกี ารตรวจพยานหลักฐานกอ่ นสบื พยานโจทก์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความรวดเร็วต่อเนื่องและเป็นธรรม กรณีจึงไม่จำต้องใช้ ป.วิ.พ.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 641
Pages: