พนักงานอัยการฟ้องคดีแทนผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้ เมื่อเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินรายเดียวกันกับที่โจทก์ ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คืนในคดีนี้ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในระยะเวลาที่คดีอาญาดังกล่าวอยู่ระหว่าง การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟ้องโจทก์ในส่วนเงินที่ส่งมอบอันเป็นต้นเงินจึงเป็นฟ้องซ้อน แต่ในส่วน ดอกเบี้ย พนกั งานอยั การไม่ไดข้ อให้ชดใชใ้ นคดีอาญาดังกลา่ ว จงึ ไม่เป็นฟอ้ งซอ้ น เม่อื ข้อเท็จจรงิ ตามคำพิพากษาคดีสว่ นอาญา ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงท่ี 3 ไม่ได้หลอกลวงโจทก์ และเงินที่ โจทก์ส่งมอบใหจ้ ำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถกู ส่งเปน็ ทอดๆ ไปให้จำเลยที่ 4 โดยมิได้อยู่ในครอบครองของจำเลยท่ี 1 ถึง ที่ 3 ที่โจทก์จะใช้สิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระ ดอกเบยี้ ในเงนิ จำนวนนัน้ ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 80 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียม ศาลชั้นอุทธรณ์ รวมถึงค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดว้ ย ดังนี้ หากศาลชั้นต้นเห็นว่า มี เหตุอันควรยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนย่อมตอ้ งระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่าอนุญาตให้ยกเวน้ ส่วนใดหรือเพียงใด การทศ่ี าลช้นั ต้นมีคำสงั่ วา่ อนญุ าตใหจ้ ำเลยไดร้ บั ยกเวน้ คา่ ธรรมเนียมศาลในช้นั อุทธรณ์โดยไมก่ ลา่ วเฉพาะเจาะจง ย่อมหมายรวมถึงค่าธรรมเนียมใช้แทนด้วย คำวินิจฉัยของศาลชั้นอุทธรณ์ที่ว่าเป็นการอนุญาตเฉพาะค่าขึ้นศาล ช้นั อุทธรณ์ จงึ ขดั ตอ่ เจตนารมณ์ของกฎหมายอนั เปน็ การไม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733 / 2561 จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสีย ค่าธรรมเนียมศาลกล่าวคือ จำเลยประสบภาวะทางการเงิน มีค่าใช้จ่ายและหนี้สินเป็นจำนวนมาก ไม่มีเงินมา ชำระค่าธรรมเนียมศาล หรือค่าธรรมเนียมใช้แทนได้ หากจำเลยไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความ เดือดร้อนเกินสมควร ขอให้ศาลไต่สวนมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในช้ัน อุทธรณ์รวมถึงค่าธรรมเนียมใชแ้ ทนดว้ ย รายละเอียดในคำร้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยขอยกเวน้ ค่าฤชาธรรมเนียม ชัน้ อทุ ธรณท์ ้ังหมด หากศาลชัน้ ต้นไตส่ วนคำร้องแลว้ เห็นว่ามเี หตอุ นั ควรยกเวน้ คา่ ธรรมเนียมศาลตามท่ีจำเลยรอ้ ง ขอแต่บางสว่ นยอ่ มตอ้ งระบุไวอ้ ย่างชัดเจนวา่ อนญุ าตใหจ้ ำเลยได้รบั การยกเวน้ สว่ นใดหรอื เพยี งใด ซ่ึงทำใหจ้ ำเลย ทราบได้ว่าค่าธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาวางศาลพร้อมฟ้องอุทธรณ์นั้น เฉพาะค่าขึ้นศาลหรือ คา่ ธรรมเนียมท่จี ำเลยจะตอ้ งใชแ้ ทนโจทก์ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 229 การท่ศี าลชนั้ ตน้ มีคำส่ังตามถอ้ ยคำใน ป.วิ.พ. มาตรา 157 ว่า อนุญาตจำเลยให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์โดยไม่กล่าวเฉพาะเจาะจงอย่าง หนึ่งอย่างใดเช่นนี้ ย่อมมีผลตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวว่า รวมถึงเงินที่จำเลยจะต้องวางเป็น ค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ว่าเป็นการ อนุญาตเฉพาะค่าขนึ้ ศาลชน้ั อุทธรณน์ ั้นไมช่ อบ เพราะขดั ตอ่ เจตนารมณต์ าม ป.ว.ิ พ. มาตรา 157 อย่างชัดเจน
ฎกี าเล่าเรอื่ ง 81 คดสี ่วนอาญาศาลฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง การพจิ ารณาคดีสว่ นแพง่ ศาลจำตอ้ งถอื ข้อเท็จจริงตามท่ีปรากฏในคำพพิ ากษาคดีส่วนอาญา ซึ่งต้องฟังว่าจำเลยกระทำละเมดิ ต่อผูต้ ายและต้องชดใชค้ า่ สินไหมทดแทน การที่ผู้ตายมีส่วนกระทำความผิดเป็นเพียงข้อเทจ็ จริงประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหม ทดแทนเท่าน้ัน ไม่ทำให้สิทธิของผู้เสียหายที่จะร้องขอให้ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนหมดไป ดังนี้ เมื่อความตายของ ผู้ตายและความเสียหายของทรัพย์สินเป็นผลจากการกระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายจึงมีสิทธิยื่นคำร้อง ดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้เสียหาย จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ผู้เสียหายไม่ได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อ กฎหมายทเ่ี กี่ยวกับความสงบเรยี บร้อย ศาลฎกี ามีอำนาจยกขึน้ วินิจฉัยและแกไ้ ขใหถ้ กู ต้องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1712 /2562 คดีในส่วนอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำความผิด ตามฟ้อง การพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป. วิ.อ. มาตรา 46 จึงตอ้ งฟังขอ้ เท็จจริงวา่ จำเลยกระทำละเมดิ ต่อผู้ตายและต้องรับผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนตาม คำร้องของผู้เสียหาย ส่วนการที่ผู้ตายมีส่วนในการกระทำความผิดเป็นเพียงข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบ ดุลพนิ จิ ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเท่าน้ัน ไมท่ ำให้สทิ ธิของผ้เู สียหายทจ่ี ะรอ้ งขอใหช้ ดใช้ค่าสินไหมทดแทน หมดไป ดงั นี้ เม่ือผ้ตู ายถูกจำเลยทำร้ายจนเป็นเหตใุ ห้ถึงแก่ความตายและรถจกั รยานยนตไ์ ด้รบั ความเสียหายเป็น ความเสียหายอนั เน่อื งจากการกระทำความผิดของจำเลยดงั กล่าว ผเู้ สียหายจงึ มีสิทธทิ ่จี ะยืน่ คำร้องขอให้ชดใช้ค่า สินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของ ผู้เสียหาย จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ผู้เสียหายไม่ได้ฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 82 แม้จำเลยที่ 3 รู้เห็นและร่วมวางแผนกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกเพื่อกระทำความผิดมาแต่ตน้ แตข่ ณะจำเลยดังกล่าวกับพวกร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผ้อู ื่นโดยไตรต่ รองไว้ก่อนนัน้ จำเลยท่ี 3 เพยี งแต่จอดรถ คอยดูเส้นทางโดยมิได้รว่ มไล่ตดิ ตามผู้ตายหรืออยู่ใกล้ทเี่ กิดเหตใุ นลกั ษณะพร้อมจะเข้าชว่ ยเหลือได้ทันที จึงไม่ใช่ การแบง่ หน้าทีก่ ันทำอันจะเป็นตวั การร่วม การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นเพียงการชว่ ยเหลืออำนวยความสะดวก ในการ กระทำความผิด อันเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามผู้อื่นโดย ไตร่ตรองไว้ก่อน และแม้จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาเรื่องค่าสินไหมทดแทนที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ร่วมรับผิดกับ
จำเลยอื่น แต่ศาลก็ต้องกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ดังน้ี จำเลยท่ี 3 จึงควรต้องร่วมรับผิดตามสัดสว่ นของการกระทำความผิดเท่านน้ั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978 / 2562 แม้จำเลยที่ 3 ร่วมกันวางแผนกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกเพือ่ กระทำความผิด โดยจำเลยท่ี 3 มีส่วนรู้เห็นมาตัง้ แต่ต้น แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และท่ี 4 กับพวก ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 3 จอดรถรอที่ซมุ้ ประตูบ้านโคกตาลเพื่อคอยดูเส้นทางให้จำเลยที่ 4 กับพวกเท่านั้น มิได้ร่วมขับรถจักรยานยนต์ไล่ติดตาม รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับ บริเวณที่จำเลยที่ 3 จอดรถคอยดูเส้นทางให้มิได้อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุในลักษณะที่ จำเลยที่ 3 พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกในขณะกระทำความผิดได้ในทันที จึงไมใ่ ช่ เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันจะเป็นตัวการในการกระทำความผิดได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นเพียงการ ช่วยเหลอื อำนวยความสะดวกใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 1 ท่ี 2 และท่ี 4 กับพวกกระทำความผิด จำเลยท่ี 3 มีความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดย ไตร่ตรองไวก้ ่อนเทา่ น้นั และแมจ้ ำเลยท่ี 3 มไิ ดฎ้ ีกาเรื่องค่าสินไหมทดแทน ทศ่ี าลลา่ งทง้ั สองกำหนดใหจ้ ำเลยที่ 3 ร่วมรับผดิ กบั จำเลยอน่ื เพอ่ื ชดใชแ้ ก่ผูร้ อ้ งที่ 1 และท่ี 2 แต่คา่ สนิ ไหมทดแทนดงั กลา่ วเป็นค่าสินไหมทดแทนที่ศาล ต้องกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด จำเลยที่ 3 จึงควรต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่า สินไหมทดแทนแก่ผรู้ อ้ งท่ี 1 และท่ี 2 ตามสัดส่วนของการกระทำความผิด ฎกี าเลา่ เร่ือง 83 คดนี ใี้ นส่วนฟอ้ งขบั ไล่เปน็ การบังคบั แก่ตัวจำเลยโดยตรง จงึ มิใช่คดีเก่ียวกบั ทรัพย์สิน เจ้าพนักงานพิทักษ์ ทรพั ยข์ องจำเลยจงึ ไม่มีอำนาจดำเนนิ คดแี ทน แตใ่ นส่วนคดขี อให้บังคบั จำเลยชำระคา่ เสียหายน้นั หากจำเลยแพ้ คดีกจ็ ะต้องจ่ายทรพั ย์สนิ ของจำเลยซ่ึงเจ้าพนักงานพิทกั ษท์ รพั ย์มอี ำนาจเข้าวา่ คดแี ทนได้ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ ทรัพยแ์ ถลงไม่ยื่นฎีกาคดสี ว่ นนี้ จึงคงเหลอื เฉพาะคดีฟ้องขับไล่ซงึ่ ศาลช้ันตน้ อนญุ าตให้จำเลยยื่นฎีกาภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2560 เมือ่ จำเลยย่นื ฎีกาวันที่ 26 มกราคม 2561 จงึ เกินกำหนดเวลาดังกลา่ ว ท้งั กรณีไม่อาจยื่น ในระยะเวลาทีศ่ าลชั้นต้นขยายให้แกเ่ จ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ เพราะเป็นการขยายในสว่ นคดเี รยี กคา่ เสยี หาย เท่านนั้ เมอ่ื จำเลยยื่นฎีกาเกินกำหนดจงึ เป็นฎกี าท่ไี ม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617 / 2562 คดีนี้ในส่วนฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารที่เช่าเป็นการ บังคับแก่จำเลยโดยตรง จงึ มใิ ช่คดเี กีย่ วกบั ทรัพย์สินของจำเลย เจ้าพนักงานพิทกั ษท์ รัพยข์ องจำเลยจงึ ไม่มีอำนาจ ดำเนินคดีแทนจำเลยในส่วนนี้ ส่วนคดีขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นคดีที่ต้องจ่ายทรัพย์สินจากกอง ทรัพย์สินของจำเลยหากจำเลยแพ้คดี จึงเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ จำเลยมอี ำนาจเขา้ ว่าคดีแทนจำเลยเฉพาะส่วนน้ี เมือ่ เจา้ พนักงานพทิ กั ษ์ทรัพย์ของจำเลยแถลงไม่ย่ืนฎีกาคดีส่วน นี้ จึงคงเหลือแต่คดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารที่เช่าเท่านั้น ซึ่งจำเลยขอขยายระยะเวลายื่นฎี กาและศาล
ชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นฎีกาได้ภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2560 ที่จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2561 จึงเกินกำหนดระยะเวลาทีศ่ าลชั้นต้นอนุญาต จำเลยไม่อาจยื่นฎีกาในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้แก่ เจ้าพนักงานพทิ กั ษท์ รพั ยข์ องจำเลยได้ เพราะการขยายระยะเวลาให้เจ้าพนกั งานพิทกั ษ์ทรพั ย์ของจำเลย เป็นการ ขยายระยะเวลาในส่วนคดีเรียกค่าเสียหายที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยมีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลย ตาม พ.ร.บ.ลม้ ละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 (3) และมาตรา 25 เท่านนั้ เม่อื จำเลยยืน่ ฎกี าเกนิ กำหนดจึงเป็น ฎกี าทไ่ี มช่ อบ ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 84 สญั ญาซื้อขายรถยนต์ระหวา่ งโจทก์และจำเลยไม่มีขอ้ ตกลงวา่ กรรมสทิ ธิจ์ ะโอนตอ่ เมื่อจดทะเบยี นแตอ่ ย่าง ใด ข้อสัญญาที่ว่า ผู้ขายมอบเอกสารการจดทะเบียนและลงชื่อโอนลอยไว้กับยืนยันว่าสามารถโอนได้ เป็นเพียง การรับประกันว่าผู้ขายได้มอบเอกสารดังกล่าวให้ผู้ซื้อและรับรองว่าสามารถโอนได้เท่านั้น มิใช่เงื่อนไขการโอน กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อโจทก์ในฐานะผู้ซือ้ ได้ตรวจสภาพ รถ รับทราบถึงความชำรุด รับมอบและชำระราคารถยนต์แก่จำเลยในฐานะผู้ขายครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงได้ กรรมสทิ ธใิ์ นรถพพิ าทไปตามสภาพที่ซือ้ ขาย ไมอ่ าจเรยี กราคาทโี่ จทกช์ ำระและคา่ ซ่อมแซมรถยนตจ์ ากจำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 783/ 2562 สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์และจำเลยไม่มีข้อตกลงว่า กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทดังกล่าวจะโอนเป็นของผู้ซื้อก็ต่อเมื่อมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด ข้อ สัญญาที่ว่า ผู้ขายได้มอบเอกสารและลงชื่อการโอนลอยให้ไว้และยืนยันว่าสามารถโอนได้ จึงเป็นเพียงการ รับประกันของผู้ขายว่าผู้ขายได้มอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้ซื้อไว้แล้ว และรับรองว่า สามารถไปดำเนินการโอนได้เท่านั้น มิใช่เงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 สัญญาซื้อขาย รถยนต์ระหว่างโจทก์และจำเลย จึงเป็นสญั ญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด โจทก์ในฐานะผู้ซือ้ เมื่อได้รับมอบรถยนต์จาก จำเลย และชำระราคารถยนต์ให้จำเลยครบถ้วนแล้วโดยในการตกลงซื้อขาย โจทก์ได้ตรวจสอบสภาพรถและ รบั ทราบถึงความชำรุดของรถพิพาท โจทก์จงึ ได้กรรมสิทธิ์ในรถพิพาทไปตามสภาพทซ่ี ้ือขาย ไม่อาจเรียกราคาค่า รถยนต์ทโ่ี จทก์ชำระและเรยี กคา่ ซ่อมแซมรถยนตจ์ ากจำเลยได้ ฎกี าเลา่ เร่อื ง 85 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป และแม้สิทธิเรียกร้องนั้นเจ้าหนี้ยังไม่ อาจบังคับได้จนกว่าจะทวงถามให้ลกู หนี้ชำระหน้ีก่อนกเ็ ร่ิมนับอายุความตั้งแต่เวลาแรกที่อาจทวงถามได้ สำหรับ กรณีที่โจทก์ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยที่ 2 ไปนั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อตกลงเกี่ยวกับระยะเวลาชำระคืนและ
กรณีการทวงถาม จึงถือว่าโจทก์ชอบที่จะทวงถามและได้รับเงินคืนทันทีเมื่อออกเงินทดรองจ่าย อายุความ 2 ปี จงึ เรม่ิ นับต้ังแตว่ ันดงั กลา่ วเปน็ ตน้ ไป คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 2920 / 2561 อายคุ วามให้เริ่มนบั แตข่ ณะทีอ่ าจบงั คับสทิ ธิเรยี กรอ้ งได้เป็นตน้ ไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193 / 12 และแม้สิทธิเรียกร้องนั้นเจ้าหนี้ยังไม่อาจบังคับได้จนกว่าจะได้ทวงถามให้ ลกู หนชี้ ำระหน้ีกอ่ น ก็ให้เรม่ิ นบั อายุความต้ังแต่เวลาแรกทีอ่ าจทวงถามไดเ้ ป็นตน้ ไปตามมาตรา 193 / 13 และ กรณีเงินที่โจทก์ออกทดรองจ่ายแทนจำเลยที่ 2 ไปก่อนนั้น ไม่ปรากฏว่ามีการตกลงจะชำระคืนกันเมื่อใด ไม่มี ข้อตกลงว่าโจทก์ต้องทวงถามก่อนและจำเลยที่ 2 จะต้องชำระภายในกี่วัน จึงถือได้ว่าเมื่อโจทก์ออกเงินทดรอง จ่ายคา่ ใชจ้ า่ ยในการดำเนนิ การขับไล่ผู้อยอู่ าศัยในทด่ี นิ ของจำเลยที่ 2 เมื่อใด โจทก์กช็ อบท่ีจะทวงถามและได้รับ เงนิ คนื จากจำเลยที่ 2 ทนั ที อายุความ 2 ปี จึงเรม่ิ นบั ตง้ั แตว่ ันทโ่ี จทกอ์ อกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยท่ี 2 ฎีกาเล่าเร่ือง 86 ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณามีระวางโทษเกินอำนาจผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิพากษายก ฟ้อง แต่ผู้พิพากษาคนเดียวนั้นก็มีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องได้ จึงเป็นการไต่สวนมูลฟ้องโดยชอบ และแม้ศาลชั้น อุทธรณ์จะยกคำพิพากษากับย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ก็ตาม แต่เป็น เพียงการให้ศาลชนั้ ตน้ ดำเนนิ กระบวนพิจารณาและทำคำพิพากษาใหมใ่ นส่วนที่ไม่ชอบเทา่ น้ัน เม่อื การไต่สวนมูล ฟ้องเสร็จสิ้นโดยชอบแล้วจึงไม่จำต้องไต่สวนใหม่อีก การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยผู้พิพากษาเจ้าของ สำนวนและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลซึ่งตรวจสำนวน ลงลายมือชื่อร่วมกันครบองค์คณะจึงเป็นการพิจารณา พิพากษาใหม่โดยชอบ สำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นต้องเป็นการใส่ความระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ แน่นอนว่าเป็นใคร หรือหากไม่ระบุโดยตรง ก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดโดยเฉพาะ นอกจากนี้การหม่ิน ประมาทโดยการโฆษณาตอ้ งเปน็ การเผยแพร่ขอ้ ความไปยงั สาธารณชนหรอื ประชาชนท่วั ไป แต่ผู้สง่ ข้อความลงใน แอปพลิเคชันไลน์มีเจตนาเพียงแจ้งหรือไขข่าวเฉพาะกลุ่มบุคคลซึ่งอยู่ในกลุ่มไลน์เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นการ กระจายข่าวไปสูส่ าธารณชนหรอื ประชาชนทัว่ ไป จงึ ยังไม่มมี ูลความผดิ ฐานหมิน่ ประมาทโดยการโฆษณา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5276 / 2562 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 มีระวาง โทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท เกินอำนาจผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิพากษายกฟ้องได้ตาม พระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม มาตรา 25 (5) และมาตรา 26 แต่ผู้พพิ ากษาคนเดียวมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องได้ตาม พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (3) การไต่สวนมลู ฟ้องโดยผ้พู ิพากษาเจ้าของสำนวนคนเดยี วในศาลช้ันตน้ ชอบดว้ ยกฎหมายแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวน พจิ ารณาและพิพากษาใหมเ่ ป็นเพียงการย้อนสำนวนมาใหด้ ำเนนิ กระบวนพิจารณาและทำคำพิพากษาใหมใ่ นสว่ น
ที่ไม่ชอบตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 31 (1) ประกอบมาตรา 29 (3) เมื่อการไต่สวนมูลฟ้องใน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 โดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคนเดียวในศาลช้ันตน้ ชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (3) ศาลชั้นต้นจึงหาจำตอ้ งไต่สวนมูลฟ้องใหมอ่ ีกไม่ และเมื่อทนายโจทก์ แถลงต่อศาลชัน้ ต้นในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า โจทก์หมดพยานในช้ันไต่สวนมูลฟ้อง การไต่สวนมูลฟ้องย่อมเสร็จสิ้น ลงโดยชอบแลว้ โจทกไ์ ม่อาจนำพยานเขา้ ไต่สวนเพ่มิ เติมไดอ้ ีก คำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์ คณะ เป็นกรณีมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 31 (1) ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลย่อมมีอำนาจตรวจสำนวนคดีและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29 (3) การที่ศาลชัน้ ตน้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งมี ระวางโทษเกินอำนาจผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสำนวนคดีและลงลายมอื ช่อื รว่ มเปน็ องค์คณะจึงเป็นการพิจารณาพิพากษาใหมโ่ ดยมีผพู้ พิ ากษาครบองค์คณะโดยชอบ การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อนั จะเปน็ ความผดิ ฐานหมนิ่ ประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 ต้องเปน็ การใส่ ความระบถุ งึ ตัวบคุ คลผถู้ กู ใส่ความเปน็ การยืนยนั รู้ได้แน่นอนวา่ บคุ คลท่ีถกู ใสค่ วามเปน็ ใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ ถกู ใส่ความโดยตรง การใส่ความนน้ั กต็ อ้ งได้ความว่าหมายถงึ บุคคลใดบุคคลหนงึ่ โดยเฉพาะ ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ผู้กระทำต้อง เผยแพร่ข้อความอันเปน็ การหมิ่นประมาทออกไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป การที่จำเลยส่งข้อความลง ในแอปพลิเคชันไลน์ กลุ่มโพสท์นวิ สอ์ อนไลน์ มีลกั ษณะเป็นเพียงเจตนาการแจง้ หรอื ไขขา่ วไปยงั เฉพาะกลุม่ บคุ คล ซึ่งอยู่ในกลุ่มไลน์เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป คดีโจทก์ไม่มีมูล ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ฎกี าเล่าเรอื่ ง 87 โจทก์ทำสัญญาเชา่ ท่ีดนิ เพื่อก่อสร้างอาคารและจัดหาประโยชน์โดยได้รับมอบสถานทีเ่ ชา่ จากผู้ใหเ้ ชา่ แล้ว ซงึ่ ตามสญั ญาระบใุ ห้อาคารและสง่ิ ปลกู สรา้ งรวมทั้งสว่ นควบตกเปน็ ของผใู้ หเ้ ช่าเมือ่ สญั ญาสน้ิ สุดลง ผู้เชา่ มีหน้าท่ี สำรวจศึกษาพื้นที่โครงการ ผู้บุกรุก ผู้ประกอบการเดิม ที่อยู่ในพื้นที่เช่า หากมีปัญหาหรืออุปสรรคในการ ดำเนินงานผู้เช่าต้องรับภาระแก้ไขโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง หมายถึงหากต้องฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกหรือผู้อยู่อาศัยออก จากสถานที่เช่าผู้เช่าต้องออกค่าใช้จ่ายเองเพื่อดำเนินงานตามสัญญา ถือได้ว่าผู้ให้เช่ามอบหมายให้โจทก์ผู้เช่ามี อำนาจฟอ้ งผู้บกุ รกุ ที่ดินทีเ่ ชา่ โดยอาศัยสทิ ธิตามสัญญาแล้ว ฉะนัน้ แมจ้ ำเลยอาศยั อยู่ในที่ดินพิพาทก่อนโจทก์ทำ สญั ญาเช่าและโจทกย์ งั ไม่ไดเ้ ข้าครอบครองทดี่ นิ ดังกล่าวกต็ าม แต่เมื่อโจทกไ์ ดร้ ับมอบสถานท่ีเชา่ จากผู้ให้เชา่ แล้ว
ไม่สามารถก่อสร้างอาคารตามวัตถุประสงค์ของสัญญาเพราะจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิ ทธิ โจทก์มี หนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมอี ำนาจฟ้องขบั ไลจ่ ำเลยออกจากท่ีดินพพิ าท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523 /2562 โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อ กอ่ สร้างอาคารและดำเนินการจัดหาประโยชน์ โจทกไ์ ดร้ ับมอบสถานที่เช่าตามสญั ญาแลว้ ซ่งึ ตามสัญญาเช่าที่ดิน ระบุให้อาคารที่ผู้เช่าก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างและส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง กำหนดเป็นหน้าที่ของผู้เช่าตอ้ งสำรวจ ศึกษาพื้นทีโ่ ครงการ ผู้บุกรกุ ผู้ประกอบการเดิม ที่อยู่ในพ้ืนทีเ่ ชา่ หากมี ปัญหาหรืออุปสรรคในการดำเนินงานผู้เช่าต้องรับภาระในการดำเนินการและแก้ไข โดยเสียค่าใช้จ่ายด้วยทุน ทรัพย์ของผู้เช่าเอง อันมีความหมายว่า หากต้องมีการฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกหรือผู้อยู่อาศัยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ออกไปจากสถานท่ีเชา่ ผ้ใู หเ้ ชา่ ให้อำนาจแกผ่ ูเ้ ช่าหรือมอบหมายให้ผูเ้ ช่าฟ้องขบั ไลผ่ ู้บุกรกุ หรือผ้อู ยู่อาศยั แทนผู้ให้ เช่าได้ โดยผู้เช่าเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้การก่อสร้างอาคารและดำเนินการจัดหาประโยช น์เป็นไปตาม วัตถปุ ระสงคข์ องสัญญา ถอื ไดว้ า่ การรถไฟแหง่ ประเทศไทยได้มอบหมายใหโ้ จทกผ์ ูเ้ ช่ามอี ำนาจฟอ้ งผู้บกุ รกุ ที่ดินท่ี เช่าตามข้อสัญญาดังกล่าวเพือ่ โจทก์ผู้เช่าจะได้นำทีด่ ินทีเ่ ช่ามาใช้ประโยชนต์ ามสัญญา ฉะนั้น แม้จำเลยอาศยั อยู่ ในที่ดินพิพาทก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดนิ พิพาทก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้รับมอบสถานที่เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าแล้วไม่สามารถก่อสร้าง อาคารได้เพราะจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิ และโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟอ้ งขับไล่จำเลยโดยอาศัย สทิ ธิตามสัญญาเช่าท่ีดนิ ทที่ ำกบั การรถไฟแหง่ ประเทศไทยได้ ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 88 การกระทำความผิดในคดีเดิมมีระวางโทษจำคุกไม่เกนิ หกเดอื น หรือปรับไม่เกนิ สองหม่ืนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรบั ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง แต่เนื่องจากท้องที่ดงั กล่าวยังไมม่ ีศาลแขวงเปดิ ทำการ จงึ ตอ้ งนำวิธีพจิ ารณาความอาญาในศาลแขวงมาใชบ้ ังคับในศาลจงั หวดั ดว้ ยเหตุน้ี การยนื่ คำรอ้ งขอคืนของกลาง ที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นสาขาของคดีเดิม องค์คณะผู้พิพากษาจึงต้องถือตามคดีดังกล่าว เมื่อคดีเดิมศาลชั้นต้นยังคงพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 10,000 บาท อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจ พิจารณาพพิ ากษาของผ้พู พิ ากษาคนเดยี ว ศาลชนั้ ตน้ โดยผู้พิพากษาคนเดยี วจงึ มอี ำนาจวนิ จิ ฉัยชขี้ าดคำร้องขอคนื ของกลางอนั เป็นคดีสาขาของคดดี ังกลา่ วได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345 / 2562 (ประชุมใหญ่) การกระทำในคดีเดิมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520 มาตรา 16, 36 ทวิ ซึง่ มีระวางโทษจำคกุ ไมเ่ กินหกเดอื น หรือปรับไม่เกนิ สองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อันเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง แต่เนื่องจากจังหวัด
ปราจีนบุรยี งั มไิ ด้มีศาลแขวงเปดิ ทำการ ซงึ่ ตามพระราชบัญญัตจิ ัดต้ังศาลแขวงและวิธีพจิ ารณาความอาญาในศาล แขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาล จงั หวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 บัญญตั ิให้นำวิธีพิจารณาความอาญาตามบทบัญญัตแิ หง่ กฎหมายว่าดว้ ยการจัดตง้ั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใชบ้ ังคับในศาลจังหวัดปราจีนบุรีด้วย ดังนั้น การยื่นคำร้อง ขอคืนของกลางทีศ่ าลส่ังริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ซึ่งเป็นสาขาของคดีเดิมที่ศาลมคี ำพิพากษา ใหร้ ิบของกลาง องค์คณะผพู้ ิพากษาจะตอ้ งถอื ตามคดีเดิม เมอื่ คดเี ดมิ ศาลช้ันต้นซึ่งเปน็ ศาลจังหวดั ยงั คงพิพากษา ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 10,000 บาท จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคน เดียวตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 25 (5) ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวจึงมีอำนาจ วนิ ิจฉยั ช้ีขาดคำรอ้ งขอคืนของกลางอันเปน็ คดสี าขาของคดีดังกล่าวได้ ฎีกาเล่าเรื่อง 89 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามจึงเป็นค่คู วาม รว่ มในคดที ่มี มี ูลความแหง่ คดีเป็นการชำระหน้อี นั ไมอ่ าจแบง่ แยกได้ จำเลยท่ี 2 และที่ 3 ยนื่ อทุ ธรณแ์ ยกกันโดย ต่างเสยี ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ซ่ึงเมอ่ื รวมแลว้ สูงกว่าท่ีตอ้ งชำระในกรณที ี่ยื่นอุทธรณ์รว่ มกัน ศาลอุทธรณ์จึงต้องมี คำส่งั คืนแกจ่ ำเลยท่ี 2 และที่ 3 ตามส่วนทีช่ ำระเกนิ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94 / 2562 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามจึงเป็นคู่ความร่วมในคดีที่มีมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างยื่นอุทธรณ์แยกกันโดยต่างได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ซึ่งค่าขึ้นศาลดังกล่าวเมื่อรวม แลว้ มจี ำนวนสงู กวา่ ทจ่ี ำเลยที่ 2 และท่ี 3 ต้องชำระในกรณีทย่ี ืน่ อทุ ธรณร์ ่วมกนั กรณีจึงต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคห้า ที่ศาลอุทธรณ์จะต้องมีคำสั่งคืนส่วนที่เกินแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามส่วนของค่าขึ้นศาลช้ัน อทุ ธรณ์ท่แี ต่ละคนชำระเกนิ ไป ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 90 เดิมจำเลยทั้งห้าฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามให้เปิดทางจำเป็นเพื่อใช้เป็นทางผ่านจากที่ดินของตน ออกไปสู่ทางสาธารณะ โดยอ้างว่าถูกที่ดินของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามกับที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มี ทางออก จำเลยท้ังหา้ จึงมีสิทธิผ่านท่ดี นิ ท่ีล้อมอยูน่ ัน้ ไปส่ทู างสาธารณะได้ แตป่ รากฏวา่ ปจั จบุ ันท่ดี ินของจำเลยทั้ง ห้ามีทางออกอื่นไปถึงทางสาธารณะแล้ว ความจำเป็นในการใช้ทางดังกล่าวจึงไม่ต้องมีอีกต่อไป ข้อจำกัด ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับทางจำเป็นย่อมหมดไปด้วย ส่วนความสะดวกในการเดินทางนั้นมิใช่ข้ออ้างเพื่อให้ทางพิพาท
ยังคงเป็นทางจำเป็นตลอดไปทั้งที่เหตุแห่งการได้มาหมดสิ้นลงแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง ขอใหย้ กเลกิ ทางจำเปน็ ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195 / 2562 กรณีที่เจ้าของที่ดินแปลงใดจะขอผ่านที่ดินแปลงอื่นเพื่อเป็น ทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้นั้น ต้องเปน็ กรณีที่ท่ีดินแปลงนั้นไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เดิมจำเลยทัง้ หา้ ฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามให้เปิดทางจำเป็นเพื่อใช้เป็นทางผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะ โดยอ้างว่าทีด่ ินของ จำเลยทง้ั หา้ ถูกทีด่ ินของโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมทง้ั สามและทด่ี ินแปลงอืน่ ลอ้ มอยูจ่ นไม่มที างออกถึงทางสาธารณะได้ ดงั นี้ จำเลยท้ังหา้ จงึ มสี ิทธผิ า่ นทีด่ ินทลี่ อ้ มอยูไ่ ปสทู่ างสาธารณะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง แต่หาก ต่อมาที่ดินแปลงดังกลา่ วนั้น มีทางออกอื่นไปถึงทางสาธารณะได้ ความจำเป็นในการใช้ทางจำเป็นก็ไม่ต้องมอี ีก ต่อไป ข้อจำกัดทรัพยสิทธิเกี่ยวกับทางจำเป็นก็ย่อมหมดไปด้วย เมื่อปรากฏว่าปัจจุบันที่ดินของจำเลยทั้งห้ามี ทางออกอน่ื ไปถงึ ทางสาธารณะแล้ว จำเลยท้ังหา้ ย่อมไม่มสี ทิ ธใิ ช้ทางพิพาทในทีด่ นิ ของโจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มทง้ั สาม เป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะตามกฎหมาย ส่วนที่ทางพิพาทมีความสะดวกในการเดินทางมากกวา่ นั้นก็มิอาจใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้ทางพิพาทยังคงเป็นทางจำเป็นตลอดไปทั้งที่เหตุแห่งการได้มาซึ่งทางจำเป็นตาม กฎหมายของจำเลยทง้ั ห้าหมดสิ้นไปแลว้ โจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมท้ังสามจึงมีอำนาจฟ้องขอใหย้ กเลกิ ทางจำเป็นได้ ฎกี าเล่าเร่ือง 91 โจทก์ที่ 1 ยื่นฎีกาและขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาแล้ว แต่มิได้ชำระภายในกำหนด ตอ่ มาโจทก์ที่ 1 ย่ืนคำรอ้ งขออนญุ าตวางเงนิ ดังกล่าวอีก ศาลชั้นต้นมีคำส่ังยกคำร้องและไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 1 ในคราวเดียวกัน โจทก์ที่ 1 ต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกามายังศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่ศาลมี คำสั่งด้วย จะเลือกอุทธรณ์เฉพาะคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตวางเงินไปยังศาลอุทธรณ์อย่างเดียวไม่ได้ ที่ศาล อุทธรณร์ บั วินจิ ฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ และไม่กอ่ ให้เกดิ สิทธฎิ กี า คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 1793 / 2562 โจทก์ท่ี 1 ยน่ื ฎีกาและขอขยายระยะเวลาวางเงนิ คา่ ธรรมเนยี ม ศาลชั้นฎีกาแล้ว แต่โจทก์ที่ 1 มิได้ชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาภายในเวลาท่ีศาลช้ันต้นกำหนด ต่อมาโจทก์ท่ี 1 ยื่นคำร้องขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตวางเงิน ค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาและมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 1 ในคราวเดียวกัน โจทก์ที่ 1 จะต้องยื่นคำร้อง อทุ ธรณ์คำสง่ั ศาลชนั้ ต้นท่ไี มร่ ับฎกี ามายงั ศาลฎกี าตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 252 (เดมิ ) ภายในกำหนดสบิ หา้ วันนับแต่ วนั ทศ่ี าลไดม้ ีคำสั่งตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 (เดิม) ดว้ ย โจทก์ที่ 1 จะเลอื กอุทธรณเ์ ฉพาะ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขออนุญาตวางเงนิ ค่าธรรมเนยี มศาลชั้นฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์เพียงอย่างเดียวหา ได้ไม่ เมื่อกรณีต้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 (เดิม) ดังกล่าว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณร์ ับวินิจฉยั อุทธรณข์ องโจทกท์ ่ี 1 มาจึงเปน็ การไมช่ อบ และไมก่ อ่ ใหเ้ กิดสิทธทิ ี่จะฎีกา
ฎกี าเลา่ เร่ือง 92 คดีข้อหาความผิดอันมิใช่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้น จำเลยให้ การรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานต่อไป ส่วนศาลจะมีคำสั่งให้สืบเสาะและ พินิจจำเลยหรือไม่นั้น กฎหมายมิได้บังคับไว้ จึงอยู่ในดุลพินิจของศาล การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งดังกล่าว จึง ชอบด้วยกฎหมายแลว้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2346 / 2562 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวง ห้ามอันยงั มิไดแ้ ปรรปู จำเลยที่ 3 ให้การรบั สารภาพ เมื่อขอ้ หาดงั กลา่ วมใิ ช่เป็นข้อหาที่มีอัตราโทษอยา่ งต่ำจำคุก ตง้ั แตห่ ้าปขี ้ึนไปหรือโทษสถานหนกั กวา่ นัน้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 3 ได้โดยไม่ต้องสบื พยานหลกั ฐานตอ่ ไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ส่วนการที่ศาลจะมีคำสัง่ ให้มีการสบื เสาะและพินิจจำเลยหรือไม่นั้น ตาม พ.ร.บ. คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง ไม่มีข้อความบังคับให้ศาลต้องมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติ ดำเนินการสืบเสาะและพินิจจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงเป็นดุลพินิจที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าวหรือไม่แล้วแต่จะ เหน็ สมควร การที่ศาลชน้ั ต้นไม่ได้มีคำส่งั ให้สบื เสาะและพนิ ิจจำเลยที่ 3 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาเลา่ เรื่อง 93 ในคดียาเสพตดิ ศาลช้ันต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยท่ี 1 โดยไมไ่ ด้กำหนดวธิ ีการบังคับโทษปรบั ไว้ การ ท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษปรับโดยให้บังคับตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่) นั้น ชอบแล้ว แต่การ บังคับโทษปรับต้ังแต่ 80,000 บาท ขึน้ ไป ศาลอาจสั่งกกั ขงั แทนค่าปรบั เกิน 1 ปี แตไ่ ม่เกิน 2 ปี กไ็ ด้ และต้อง ระบุไว้ในคำพพิ ากษาให้ชัดเจนว่าให้กักขังเป็นระยะเวลาเพียงใด เมื่อศาลชั้นตน้ ไม่ได้ระบไุ ว้ย่อมกักขังไดเ้ พยี ง 1 ปี ซึ่งโจทก์ไม่อุทธรณ์ในข้อนี้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแกเ้ ป็นให้กักขังจำเลยที่ 1 แทนค่าปรับได้เกิน 1 ปี แต่ ไม่เกิน 2 ปี จึงเป็นการพพิ ากษาเพิ่มเตมิ โทษ ปัญหานีเ้ ปน็ ข้อกฎหมายทเี่ กีย่ วกบั ความสงบเรยี บร้อย แม้คู่ความไม่ ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกข้ึนวนิ จิ ฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องไดเ้ อง คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 2564 / 2562 ศาลชัน้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษปรบั จำเลยที่ 1 เปน็ เงิน 275,000 บาท โดยไมไ่ ดก้ ำหนดวธิ ีการไว้วา่ หากไม่ชำระคา่ ปรบั จะดำเนนิ การอย่างไร การทีศ่ าลอทุ ธรณ์พิพากษาแก้เปน็ ให้ ปรับ 250,000 บาท โดยให้บงั คับโทษปรบั ตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 (ท่ีแก้ไขใหม่) นนั้ ชอบแล้ว แตก่ ารบงั คบั โทษปรับตั้งแต่ 80,000 บาท ขึ้นไป ตามมาตรา 30 วรรคแรก กำหนดให้ศาลสั่งกักขังแทนค่าปรับเป็น ระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ก็ได้ ซึ่งการให้กักขงั แทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเพียงใด ต้องระบุไว้ในคำ พิพากษาให้ชัดเจน เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้ระบุไว้ในคำพิพากษาว่าให้กักขังจำเลยที่ 1 แทนค่าปรับเป็นระยะเวลา เท่าใด ดงั น้ี ย่อมกกั ขังแทนค่าปรับไดเ้ พียง 1 ปี เม่ือโจทกไ์ ม่อุทธรณใ์ นขอ้ น้ี การที่ศาลอทุ ธรณพ์ ิพากษาแกเ้ ป็นให้ กักขังจำเลยที่ 1 แทนค่าปรบั ได้เกนิ 1 ปี แต่ไมเ่ กิน 2 ปี จงึ เป็นการพพิ ากษาเพมิ่ เติมโทษจำเลยที่ 1 ไม่ชอบดว้ ย
ป.วิ.อ. มาตรา 212 ปัญหานี้เปน็ ขอ้ กฎหมายทเ่ี กีย่ วกับความสงบเรียบรอ้ ย แม้ค่คู วามไมฎ่ ีกา ศาลฎีกากม็ ีอำนาจ ยกข้นึ วนิ ิจฉัยและแกไ้ ขให้ถูกตอ้ งไดเ้ องตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพ.ร.บ. วิธี พจิ ารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 กลุ่มคำพพิ ากษาศาลฎกี า ท่วี นิ จิ ฉยั ปญั หาขอ้ กฎหมายกลบั หลักแนวเดมิ โดยท่านอาจารย์ทองธาร เหลือง เรืองรอง ผู้พพิ ากษาศาลฎกี า เรื่องที่หนึ่ง กรณีผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทซึง่ ต้องฟ้องต่อศาลแขวง ผู้เสียหายซึง่ เป็นโจทก์ย่ืนคำขอให้จำเลยชดใช้ ในส่วนแพ่งอนั มีทุนทรพั ย์ เกนิ กว่า 300,000 บาทต่อศาลแขวงไดห้ รอื ไม่ เดิมมีแนวตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4419 / 2528 วินิจฉัยไว้ว่า หากผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้อง คดีอาญาเองแล้ว ย่อมไม่มีสิทธิ ยื่นคำขอในส่วนแพ่งอันมีทุนทรัพย์เกินกว่า 300,000 บาทต่อศาลแขวงได้ เนื่องจากเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ผลการวินิจฉัยเช่นนี้ ย่อม เป็นเหตุให้โจทก์ต้องนำคดีส่วน แพง่ ไปฟ้องต่อศาลจังหวัดหรือศาลแพง่ แลว้ แตก่ รณตี ่อไป แต่ปัจจุบันคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8192 / 2560 วินิจฉัยกลับหลักแนวเดิมเป็นว่า การฟ้องคดีแพ่ง เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต่อศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญานั้นไม่ต้องคำนึงว่า ศาลที่พิจารณาคดีอาญาจะเป็นศาลที่ มี อำนาจพิจารณาคดีแพง่ ตามพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรมมาตรา 17 และมาตรา 25 (5)วรรคหนงึ่ ดงั นั้น ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นโจทกฟ์ ้องคดีแพง่ เกี่ยวเนือ่ งกับคดีอาญาและมคี ำขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมซึ่งจำนวนเงินที่ขอเกิน อำนาจพิจารณาพพิ ากษาของ ศาลแขวง ศาลแขวงกม็ ีอำนาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดใี นส่วนแพง่ ได้ เรื่องที่สอง กรณีบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่ง ซึ่งยังมิได้รับชำระหนี้ ตามคำพิพากษาจากคู่ความซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ชอบที่จะรอ้ งขอให้บังคับคดีตามคำ พพิ ากษาหรือคำส่งั นัน้ ได้ภายใน 10 ปีนับแตว่ นั มคี ำพิพากษาหรือคำส่ัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่งมาตรา 274(หรอื มาตรา 271 เดิม) เดิมเคยมีคำพิพากษาเช่นฎีกาที่ 4741 / 2539 วินิจฉัยว่า กำหนดเวลาในการบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแตว่ ันมคี ำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในทน่ี ้ตี ้องเป็นคำพิพากษาหรอื คำสง่ั ที่ถงึ ที่สดุ ดว้ ย ปัจจุบันคำพิพากษาฎีกาที่ 10731 / 2558(ประชุมใหญ่) วางหลักไว้ว่า ระยะเวลา 10 ปีในการร้อง ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นจะตอ้ งเริ่มนับแต่วันมี คำพิพากษาของศาลชั้นที่สดุ (หรือศาลชั้นสดุ ท้าย) มิใช่ จะตอ้ งเร่มิ นบั แต่วันที่คดีถงึ ทส่ี ุด
เรื่องที่สาม ผู้เสียหายที่ยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 44 / 1 เพื่อขอ ค่าเสียหายในทางแพ่ง ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย หรือไม่ คำพิพากษาฎีกาแนวเดิม เช่นฎีกาที่ 17584 / 2555 , ฎีกาที่ 5419 / 2554 วินิจฉัยว่า ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 44/1ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย เทา่ น้นั ปัจจุบัน คำพิพากษาฎีกาที่ 5400 / 2560(ประชุมใหญ่) วางหลักใหม่ว่า ผู้เสียหายที่มีอำนาจ ยื่นคำ ร้องตามมาตรา 44 / 1 ไม่จำต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย การที่จะพิจารณาว่าผู้ใดจะมีสิทธิยื่นคำร้อง ต้อง พจิ ารณาจากสทิ ธทิ างแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ มาตรา 55 เรอ่ื งที่สี่ ในคดแี พ่งเก่ียวเน่ืองกับคดอี าญา หากคดอี าญาไม่ตอ้ งห้ามอทุ ธรณ์ คดสี ว่ นแพ่งซ่ึงมที นุ ทรพั ยช์ ้ัน อุทธรณไ์ ม่เกนิ 50,000 บาท จะอุทธรณ์ข้อเท็จจรงิ ได้หรอื ไม่ แนวฎีกาเดิม เช่นฎีกาที่ 1336 / 2555 วินิจฉัยว่า สิทธิในการอุทธรณ์คดีสว่ นแพ่งนั้นต้องเป็นไปตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยต้องพิจารณาทุนทรัพย์ที่อุทธรณ์เป็นหลัก หากทุน ทรพั ย์ทอี่ ทุ ธรณ์ไมเ่ กนิ 50,000 บาท กย็ อ่ มอทุ ธรณป์ ญั หาข้อเท็จจรงิ ไมไ่ ด้ ปัจจุบัน ฎีกาที่ 1285 / 2561 วางหลักว่า ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หากคดีส่วนอาญาไม่ ตอ้ งห้ามอุทธรณ์ คดีในสว่ นแพ่งย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์เช่นกัน หากคดสี ว่ นอาญาไมต่ อ้ งหา้ มฎีกา คดสี ่วนแพ่งไม่ จำต้องขออนุญาตฎีกา เรื่องที่ห้า หากฟ้องของพนักงานอัยการตกไป เพราะในระหว่างพิจารณาจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธิใน การดำเนินคดีอาญาระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 (1) ศาลมีคำสั่งให้จำหน่าย คดีอาญาออกจากสารบบความ คำร้องของผู้เสียหายที่ขอค่าเสียหายทางแพ่งตามมาตรา 44 / 1 จะต้องตกไป ตามคดอี าญาด้วยหรอื ไม่ เดิม ฎีกาที่ 1384 / 2555วินิจฉัยว่า คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ โดยมีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้ จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา 44 / 1 ซึ่งต้องอาศัยคดีอาญาเป็นหลัก เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำ คดีอาญามาฟ้องยอ่ มระงบั ไป คำขอใหใ้ ช้คา่ สินไหมทดแทนยอ่ มตกไปดว้ ย ปัจจุบัน คำพิพากษาฎีกาที่ 13361 / 2558 วางหลักว่า หากฟ้องของพนักงานอัยการตกไป เพราะ ผู้กระทำความผิดถึงแก่ความตาย ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีส่วนอาญาออกจากสารบบความ แต่คำร้องทางแพ่งตาม มาตรา 44 / 1ไม่ตกไปดว้ ย โดยให้ทายาท หรอื ผู้จดั การมรดก หรอื ผ้ปู กครองทรพั ยม์ รดก เขา้ มาดำเนินคดีแทน ผู้ตายต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา 42 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญามาตรา 40
เรอื่ งทหี่ ก การใหก้ ูย้ ืมเงินที่คิดดอกเบี้ยเกนิ อตั ราท่กี ฎหมายกำหนด ซ่งึ ผ้กู ู้ยอมชำระดอกเบ้ียให้แก่ผู้ให้กู้ แต่โดยผลของกฎหมายขอ้ ตกลงในสว่ นดอกเบ้ยี ยอ่ มเป็นโมฆะ การทผ่ี กู้ ู้ยอมชำระไปยอ่ มเรยี กคนื ไมไ่ ดก้ ต็ าม แต่ผู้ กจู้ ะนำดอกเบย้ี ที่ชำระไปแลว้ น้ันไปหกั กบั หนีเ้ งินตน้ ได้หรือไม่ เดิมศาลวางแนวไว้ว่า เป็นการชำระหนี้ โดยอำเภอใจ นอกจากจะเรียกคืนไม่ได้แล้ว ยังจะไปหักกับเงิน ต้นกไ็ มไ่ ด้ด้วย เช่นฎีกาที่ 201 / 2540 ปัจจุบันฎกี าที่ 5376 / 2560(ประชมุ ใหญ่) วางหลักไว้วา่ กรณีดงั กล่าว แม้ลูกหนี้จะเรียกคนื ไม่ได้ แต่ นำไปหกั กับต้นเงินได้ เรื่องที่เจ็ด คดีแพ่งทีเ่ กี่ยวเนือ่ งกับคดอี าญาทีผ่ ู้เสียหายยื่นคำร้องขอคา่ สนิ ไหมทดแทนตามมาตรา 44 / 1 ไว้ ต่อมาศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษายกฟ้องโดยฟงั วา่ จำเลยมิไดก้ ระทำความผิด และได้ยกคำขอทางแพ่งของผ้เู สยี หาย ด้วย อัยการโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ หากภายหลัง ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริง จึงพิพากษากลับให้ ลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมในส่วนแพ่งให้ผู้เสียหายได้หรือไม่ เนื่องจากใน สว่ นแพง่ ยุติแล้วโดยผเู้ สียหายไมอ่ ทุ ธรณ์ เดิม มีฎีกาที่ 4720 / 2559 วินิจฉัยไว้ว่า เมื่อผู้เสียหายไม่อุทธรณ์ คดีส่วนแพ่งย่อมยุติ ไปตามคำ พิพากษาของศาลชนั้ ตน้ ปัจจุบัน ฎีกาที่ 5418 / 2559 วางหลักไว้ว่า แม้ผู้เสียหายซึ่งถือเป็นโจทก์ในคดีส่วนแพ่งจะไม่ได้ อุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งก็ตาม หากภายหลัง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยเห็นว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่ง ให้จำเลยชดใช้ค่า สินไหมทดแทนแก่ผูเ้ สียหาย เพื่อให้ผลแห่งคดีเป็นไปตามคดสี ่วนอาญาได้ เพราะถือว่าเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ฎกี าเล่าเร่ือง 94 คดีอาญาข้อหาเบิกความเท็จนั้น แม้จำเลยที่ 1 เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาคนละ คราวกัน แต่เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความเรื่องเดียวกัน ประโยคเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันมากล่าวอีกครั้ง โดยมีเจตนาใหโ้ จทก์ตอ้ งโทษในคดีเดยี วกนั จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดยี ว คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 2614 / 2562 คดอี าญาของศาลแขวงพระนครใต้ โจทก์ (จำเลยท่ี 1 ในคดีน้ี) ฟอ้ งจำเลย (โจทก์ในคดนี ี้) ว่า จำเลยไดด้ ูหมิ่นโจทก์ซ่ึงหนา้ และใสค่ วามหมื่นประมาทโจทก์ตอ่ หนา้ โจทก์ ป. ภ. อ. และ ส. ซึ่งเป็นบุคคลท่ีสาม โดยจำเลยกล่าวถ้อยคำใส่ความโจทกว์ ่า “โจทก์เปน็ คนโกหก” “โจทกเ์ ปน็ คนคดโกง” “โจทกเ์ ป็นคนไม่ดี” “สาปแชง่ โจทกใ์ หไ้ ฟไหม”้ “ชอื่ เสยี งโจทก์เหมน็ เน่า” “โจทก์ไม่จ่ายคา่ ส่วนกลาง” จำเลยให้
การปฏิเสธ ศาลอุทธรณว์ นิ ิจฉยั คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณว์ ่า จำเลยไมไ่ ดพ้ ูดถ้อยคำที่โจทก์กลา่ วหา ในฟ้อง การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีดังกล่าวจึงเป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิด อาญา และการที่โจทก์ กับ ส. (จำเลยที่ 3 ในคดีนี้) เบิกความว่า จำเลยพูดถ้อยคำตามที่โจทก์กล่าวหาในคดี ดังกล่าวก็เป็นการเบิกความอันเป็นเทจ็ ซึง่ เป็นข้อสำคัญในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึง กระทำความผิดตามฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 เบิกความสองครั้งในคดีเดียวกัน คือ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณา แม้จะเป็น การเบิกความคนละคราว แต่ก็เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน ประโยคเดียวกัน มูลเหตุ เดยี วกัน มากลา่ วอีกครั้ง โดยมเี จตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดยี วกนั เทา่ นน้ั จึงเปน็ การกระทำกรรมเดียว ฎกี าเลา่ เร่อื ง 95 สภาพทางในสถานีตำรวจที่เกิดเหตุมีไวส้ ำหรับประชาชนใชส้ ญั จร จึงเป็นทางตามความหมายของ พ.ร.บ. จราจรทางบก ซึ่งหมายถึง ทางเดินรถ ช่องเดินรถทีป่ ระชาชนใชใ้ นการจราจร เมื่อจำเลยจอดรถบนทางดังกลา่ ว จึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก โดยจอดรถด้านซ้ายของทางเดินรถและให้ด้านซ้ายของรถขนานชิดกบั ขอบทางหรือไหลท่ างในระยะหา่ งไม่เกนิ ย่สี ิบห้าเซนตเิ มตร การท่จี ำเลยจอดรถด้านขวาของทางเดินรถและหันหัว รถสวนทางกบั รถคนั อ่ืน จงึ เปน็ การฝ่าฝนื ต่อบทบัญญตั ดิ ังกลา่ ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2943 / 2562 แม้ถนนที่เกิดเหตุจะอยู่ในพื้นที่สถานีตำรวจอันเป็นสถานท่ี ราชการ แตโ่ ดยลักษณะงานของสถานตี ำรวจย่อมเป็นสถานที่สำหรบั ประชาชนไปติดตอ่ ราชการ โดยงานหลักคือ การรับแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ ดังนั้น สภาพทางในสถานีตำรวจที่เกิดเหตุจึงมีไว้สำหรับประชาชนใช้สัญจร ทางที่ เกิดเหตุจึงเป็นทางตามความหมายของทางตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4 (2) ซึ่งบัญญัติ ความหมายของคำว่า ทาง หมายถึง ทางเดินรถ ชอ่ งเดนิ รถท่ีประชาชนใชใ้ นการจราจร เมอ่ื จำเลยจอดรถบนทาง ดังกล่าวจึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ขับขี่ต้อง จอดรถทางดา้ นซา้ ยของทางเดนิ รถและจอดรถใหด้ า้ นซ้ายของรถขนานชดิ กบั ขอบทางหรอื ไหลท่ างในระยะห่างไม่ เกนิ ย่สี บิ ห้าเซนตเิ มตร” การทีจ่ ำเลยจอดรถทางดา้ นขวาของทางเดนิ รถและหนั หวั รถสวนทางกับรถคนั อน่ื จึงเป็น การฝ่าฝืนตอ่ บทบญั ญัตดิ งั กลา่ ว ฎีกาเล่าเรือ่ ง 96 ผู้ค้ำประกันหลายคนประกนั หนี้รายเดียวกัน ถือเป็นลูกหนีร้ ่วมและต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน หาก เจ้าหน้ีปลดหนี้ให้ลูกหนี้ร่วมคนใด ภาระของลูกหนี้นั้นพึงตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ เมื่อเจ้าหนี้ทำสัญญากับจำเลย
ลูกหนี้ร่วมให้ชำระหนี้จำนวนหนึ่ง ตกลงกันว่าเมื่อจำเลยชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหนี้จะยอมถอนการยึดที่ดิน ทั้งหมดและไมด่ ำเนินคดีกับจำเลยอีก ต่อมาเจา้ หน้ีมีหนังสือยืนยนั การชำระหนีข้ องจำเลยครบถว้ นแล้ว แสดงวา่ เจ้าหนี้ได้ปลดหนี้ให้แก่จำเลย หนี้ร่วมในส่วนนั้นย่อมระงับสิ้นไป เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้อีก ดังน้ี โจทก์จงึ ไม่อาจรบั ชว่ งสิทธิของเจา้ หนีท้ ีจ่ ะเรียกรอ้ งให้จำเลยชำระหนีไ้ ด้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2997 / 2562 โจทก์ จำเลยกับพวกเป็นผู้คำ้ประกันหนี้สัญญากู้เบิกเงินเกิน บัญชีที่บริษัท ธ. มีต่อบริษัท บ. จึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 682 วรรคสอง ซึ่งต่างคนต่างต้องรบั ผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน และถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใดเจ้าหนี้ได้ปลดหนี้ให้ลูกหนี้ร่วมคนใด ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึง ชำระตกเป็นพบั แก่เจ้าหนีไ้ ปตามมาตรา 296 ซ่งึ เมอื่ พจิ ารณาสญั ญาปรบั ปรุงโครงสรา้ งหน้ีแลว้ ปรากฏว่าจำเลย และบริษัท บ. ทำสัญญาปรับปรงุ โครงสรา้ งหนดี้ งั กล่าว โดยมขี อ้ ตกลงใหจ้ ำเลยชำระหนี้ 1,600,000 บาท และ เมื่อจำเลยปฎิบัติตามสัญญาฉบับนี้ครบถ้วนเสร็จสิ้น บริษัท บ. จะยินยอมถอนการยึดที่ดินทั้งหมดรวม 5 แปลง ใหแ้ ก่จำเลย และไมด่ ำเนนิ คดีใดๆกบั จำเลยอีกต่อไป ต่อมาบริษทั บ. มีหนงั สือยนื ยันการชำระหนวี้ ่า จำเลยชำระ หนี้ให้แก่บริษัท บ. ครบถ้วนตามเงื่อนไขสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว แสดงให้เห็นว่าบริษัท บ. เจ้าหนี้ได้ ปลดหนี้ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมที่ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้ระงับสิ้นไปแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 340 ประกอบมาตรา 296 เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้อีก โจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิของบริษทั บ. ทจ่ี ะเรียกร้องใหจ้ ำเลยชำระหนี้ได้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประการหนึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 ประกอบตาราง 7 ทา้ ย ป.ว.ิ พ. ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กำหนดใหช้ ดั แจ้ง ศาลฎีกาเห็นควรมคี ำส่ังให้ชดั แจง้ ฎีกาเล่าเรือ่ ง 97 แมค้ ำพิพากษาในคดีแพง่ จะมีผลผกู พันค่คู วาม แต่ก็ผูกพันเฉพาะทางแพง่ เท่านน้ั เมื่อคดีนี้เป็นคดอี าญาซง่ึ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ไม่มีบทบัญญัติใดให้ศาลที่พิจารณาคดอี าญาจำต้องถือข้อเทจ็ จริงตามที่ปรากฎในคำ พิพากษาคดีส่วนแพ่ง เพราะหลักการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักคำพยานคดีแพ่งกับคดีอาญาแตกต่างกนั สำหรับคดีแพง่ นั้นศาลจะชั่งน้ำหนักคำพยานว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่ากัน ส่วนคดีอาญาศาลจะต้องใช้ดุลพินิจช่ัง นำ้ หนกั พยานหลกั ฐานทัง้ ปวงจนแน่ใจว่าพยานโจทก์พอรับฟงั ลงโทษจำเลยได้หรอื ไม่ ฉะนน้ั คำพิพากษาคดีแพ่ง จึงเป็นเพียงพยานหลักฐานที่ศาลจะนำมาชั่งน้ำหนักประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ในคดีน้ีวา่ ข้อเท็จจรงิ มี นำ้ หนกั พอรบั ฟังวา่ จำเลยทั้งสองได้กระทำผดิ จรงิ หรือไมเ่ ทา่ นน้ั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180 / 2562 เดิมบริษทั ก. เป็นโจทกฟ์ ้องโจทกใ์ นคดีน้เี ปน็ จำเลยใหช้ ำระค่า ยางรถยนต์ ระหว่างพิจารณาจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความเป็นพยานให้แก่ฝ่ายบริษัท ก. ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้อง ดังนี้ในส่วนของคำพิพากษาคดีแพ่งดังกล่าว ก็มีผลผูกพันโจทก์และบริษัท ก. ซ่ึง
เปน็ คูค่ วามในคดแี พง่ ดงั กลา่ ว และเป็นการผกู พนั เฉพาะในทางแพง่ เทา่ นนั้ แต่คดนี ีเ้ ป็นคดีอาญา ซงึ่ จำเลยท้ังสอง ให้การปฏิเสธ ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายฉบับใดให้ศาลที่พิจารณาคดีอาญาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎ ในคำพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ทั้งนี้เพราะหลักการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งและคดีอาญาไม่เหมือนกนั กลา่ วคอื ในคดีแพง่ ศาลจะชั่งนำ้ หนักคำพยานว่าฝา่ ยใดมนี ำ้ หนกั นา่ เชอื่ ถือยิง่ กว่ากัน แต่ในคดอี าญาศาลจะต้องใช้ ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงจนแน่ใจว่าพยานโจทก์พอรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 ฉะน้ัน คำพพิ ากษาในคดแี พ่งดังกล่าวจงึ เปน็ เพียงพยานหลักฐานที่ศาลจะนำมาช่ังน้ำหนักประกอบ คำพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ในคดีนี้ว่า ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักพอรับฟังว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดจริงหรือไม่ เท่านนั้ ฎกี าเลา่ เรื่อง 98 ฎีกาที่เพียงแต่คัดลอกข้อความจากอุทธรณ์ ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลชั้นอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ดังกล่าวไม่ ถกู ตอ้ งหรือคลาดเคล่ือนอยา่ งไร และทถ่ี ูกควรวนิ ิจฉยั อยา่ งไร ดว้ ยเหตุผลข้อใด จงึ เป็นฎกี าทไ่ี มช่ ดั แจง้ ต้องห้ามมิ ใหฎ้ กี าตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930 / 2562 ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีข้อความเช่นเดียวกับอุทธรณ์ คง เปลย่ี นแปลงเฉพาะท่รี ะบุวา่ ไมเ่ หน็ พอ้ งกบั คำพิพากษาศาลช้นั ตน้ เปน็ ไม่เห็นพ้องดว้ ยกบั คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ในตอนท้ายก็ยังคงใช้ข้อความว่าคำวินิจฉัยศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง มิได้ระบุว่าเป็นการคัดค้านคำวินิจฉัยศาล อุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งในปัญหาข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าตามสัญญาสินเชื่อเงินกู้และ สัญญาสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชีที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้นั้น ไม่ทำให้ โจทก์ได้เปรียบจำเลยที่ 1 เกินสมควร หรือมีผลให้จำเลยที่ 1 รับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ ตามปกติ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์ปรับเปลี่ยนยังอยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย และ กระทรวงการคลัง จึงไมใ่ ช่ข้อสัญญาทไี่ มเ่ ปน็ ธรรม สว่ นสญั ญาคำ้ ประกนั และสญั ญาจำนองตามอุทธรณ์ไมไ่ ดก้ ลา่ ว อา้ งว่า ข้อตกลงในสัญญาข้อใดทีไ่ มเ่ ป็นธรรม จงึ เป็นอุทธรณ์ทไี่ ม่ชดั แจง้ ต้องหา้ มตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรค หนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงแต่คัดลอกข้อความจากอุทธรณ์ ไม่ได้โต้แย้ง คัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไว้ดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือคลาดเคล่ือนอย่างไร และที่ถูกควรวนิ ิจฉัยอยา่ งไร ด้วยเหตผุ ลข้อใด จึงเปน็ ฎีกาท่ไี ม่ชดั แจง้ ตอ้ งหา้ มตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึง่ ซ่ึงใชบ้ ังคับในขณะยน่ื ฟอ้ ง ฎีกาเล่าเร่อื ง 99 พยานที่โจทก์นำเข้าเบิกความโดยมิได้ระบพุ ยานไว้และเบิกความไปตามเอกสารเท่านั้น เมื่อจำเลยมีเวลา พอสมควรแต่ไม่คัดค้าน ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมย่อมอาจรับฟังพยานปากนี้ได้ ส่วนการนำสืบถึง
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่สูญหายไปนั้นก็อาจนำพยานบุคคลมาสืบแทนได้ เพราะเป็นกรณีที่ไม่มี กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ทั้งการนำสืบพยานในลักษณะดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากศาล ก่อน เมอ่ื ศาลชั้นต้นยอมให้โจทก์นำพยานบคุ คลเขา้ สืบตลอดมาตอ้ งถอื วา่ ศาลชัน้ ต้นได้อนญุ าตโดยปรยิ ายแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1282 / 2562 ร. เข้าเบิกความเป็นพยานโดยโจทก์ไม่ได้ระบุในบัญชีระบุ พยานก่อน ร. เบิกความไปตามเอกสารเท่าน้ัน และนับแต่พยานเขา้ เบกิ ความจนถึงวันท่ีศาลล่างมีคำพิพากษามี เวลา 15 วัน จำเลยก็ไม่ไดค้ ัดค้าน เพื่อประโยชน์แหง่ ความยุตธิ รรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอนั สำคัญซงึ่ เกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีจึงสามารถรับฟังพยานปากนี้ได้ ไม่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) ประกอบ พ.ร.บ. วธิ ีพิจารณาคดผี ้บู รโิ ภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 การนำสืบว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือสูญหายไปนั้น โจทก์ย่อมนำพยานบุคคลมาสืบได้ เพราะ เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับใหต้ ้องมีพยานเอกสารมาแสดงและการนำพยานบุคคลสืบว่าจำเลยกู้เงินโจทกต์ าม หลักฐานแห่งการกู้ยืมทีส่ ูญหายไปตอ้ งได้รับอนุญาตจากศาลกอ่ น เมื่อศาลชั้นต้นยอมให้โจทก์นำพยานบคุ คลเข้า สืบได้ตลอดทัง้ เรือ่ ง ถือว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตโดยปริยายแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2) ประกอบ พ.ร.บ. วิธี พิจารณาคดีผ้บู ริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 100 ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) วรรคแรก เปน็ หนงึ่ ในความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 71 เมื่อไดค้ วามว่า จำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้เสียหาย และในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายจน ผู้เสยี หายทำหนงั สือไมต่ ดิ ใจเอาความทั้งคดแี พ่งและคดอี าญาแกจ่ ำเลยแลว้ จงึ เป็นการยอมความก่อนคดอี าญาถงึ ท่สี ดุ สทิ ธนิ ำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304 / 2562 ความผิดของจำเลยฐานลักทรัพย์เอาบัตรอิเล็กทรอนคิ ส์ (บัตร เบิกถอนเงินอัตโนมัติหรือเอทีเอม็ ) ของผู้เสียหายไปในเวลากลางคืนและฐานลักทรัพย์โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิคส์ เบิกถอนเงนิ สดจากบัญชีของผเู้ สียหายในเวลากลางคนื ตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) วรรคหนึ่ง ปรากฏตามคำร้อง ขอให้ผูพ้ ิพากษาอนุญาตให้ฎกี าและตามฎกี าของจำเลยซึ่งโจทกไ์ ม่ยื่นคำแก้ฎีกาโต้แย้งเป็นอืน่ ว่า จำเลยเปน็ นอ้ ง รว่ มบดิ ามารดาเดยี วกนั กบั ส. ผเู้ สียหาย ซง่ึ ตาม ป.อ. มาตรา 71 บญั ญัตใิ หค้ วามผดิ นเ้ี ป็นความผดิ ฐานหน่ึง (ใน มาตรา 334 ถงึ มาตรา 336) ท่ใี หเ้ ป็นความผิดอันยอมความได้ คดีน้เี มอ่ื ในชั้นอทุ ธรณ์จำเลยได้ชดใชค้ า่ เสียหาย แก่ผู้เสียหายเป็นเงินเท่าจำนวนที่จำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิคส์เบิกถอนไป และผู้เสียหายทำหนังสือไม่ติดใจเอา ความทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาแก่จำเลยอีกต่อไป จึงเป็นการยอมความคดีอาญาก่อนถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 35 วรรคสอง ทำใหส้ ทิ ธนิ ำคดอี าญามาฟ้องของโจทก์ยอ่ มระงบั ไปตามมาตรา 39 (2)
ฎีกาเลา่ เรื่อง 101 จำเลยเบิกความเท็จสองครั้ง ครั้งแรกยังไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาไปเบิกความในนัดต่อไป แม้การเบิกความทั้งสองครั้งเป็นคนละวันกัน แต่ข้อความที่เบิกความต่างต่อเนื่องและมีเจตนามุ่งประสงค์ต่ อผล อย่างเดียวกันเพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษ ดังนี้ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท สำหรับ ความผิดฐานนำสบื หรอื แสดงพยานหลักฐานอนั เป็นเทจ็ นนั้ แมค้ วามผดิ ทั้งสองฐานจะตา่ งบทกนั แตก่ ารนำพยาน อื่นเข้าเบิกความเป็นพยานจำเลยในวันเดียวกับที่จำเลยเบิกความในครั้ งหลังนั้นก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยงโดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลอยา่ งเดียวกนั เพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษ การกระทำดังกล่าวจึงเปน็ กรรม เดยี วเป็นความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบทเชน่ กนั คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 5228 / 2562 จำเลยท่ี 1 เบกิ ความอันเปน็ เท็จสองครง้ั ในคดีอาญาหมายเลข แดงที่ 2439/2559 ของศาลชั้นต้นคนละวันกัน ครั้งแรกวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาต่อในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 แม้จำเลยที่ 1 จะเบิกความคนละวันกัน แต่ ข้อความที่จำเลยที่ 1 เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน อีกทั้งการเบิกความทั้งสองครั้งมีเจตนามุ่ง ประสงคต์ ่อผลอย่างเดียวกัน คือ เพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟอ้ งเปน็ จำเลยในคดีดังกล่าวต้องไดร้ ับโทษทางอาญา เท่านั้น ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนความผิดฐานนำสืบหรอื แสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพจิ ารณาคดีนั้น แม้ความผิดทัง้ สองฐานจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของ กฎหมายหลายบทต่างกัน แต่การที่จำเลยที่ 1 นำจำเลยที่ 2 เข้าเบิกความเป็นพยานของตนในวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่จำเลยที่ 1 เบิกความในครั้งหลังก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยงโดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกัน คือ เพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ซึ่งถกู ฟ้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว ตอ้ งได้รบั โทษทางอาญา การกระทำของจำเลยที่ 1 จงึ เปน็ กรรมเดียวเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบทเช่นกนั ฎกี าเล่าเรื่อง 102 ที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงเดิมทำให้ที่ดินที่แบ่งแยกไปนั้นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ กฎหมาย บังคับแก่กรณีทางจำเป็นโดยเด็ดขาดว่า เจ้าของที่ดินที่แบ่งแยกไปมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้เฉพาะบนที่ดิน แปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกัน ดังนั้น เจ้าของที่ดินที่แบ่งแยกไปจึงไม่อาจฟ้องเรียกร้องทางเดินผ่านที่ดิน แปลงอืน่ ซึ่งมิใช่ที่ดินแปลงเดิมได้ ทั้งนี้ โดยไม่คำนึงว่าทีด่ ินแปลงอื่นจะมีทางเข้าออกที่สะดวกกว่า ใกล้กว่า หรือ เสียคา่ ใช้จ่ายน้อยกว่าหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2930 / 2562 ที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ได้แบ่งแยกมาจากที่ดนิ โฉนดเลขที่ 1700 มาเป็นเวลานาน มีการแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยหลายแปลงและมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่น แต่ที่ดนิ โฉนดเลขที่ 1700 และท่ีดนิ ของโจทก์ทั้งสีเ่ คยเปน็ ที่ดินแปลงเดียวกัน ซึ่งทีด่ ินดังกลา่ วติดกับทางสาธารณะ เมื่อ
แบ่งแยกที่ดินแล้วทำให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 เป็น บทบัญญัติบังคับแก่กรณีทางจำเป็นโดยเด็ดขาด มิได้คำนึงว่าจะมีทางเข้าออกอื่นที่สะดวกกว่าหรือไม่ ดังนั้น โจทก์ท้ังสี่ไมอ่ าจฟอ้ งเรียกรอ้ งทางเดนิ ผ่านทีด่ นิ ของจำเลย ซง่ึ มิใช่ทด่ี ินแปลงเดมิ ที่ถูกแบง่ แยกหรอื แบง่ โอนไปโดย ไม่จำต้องคำนงึ ว่า การผ่านเข้าออกในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 1700 จะมีระยะไกลกว่าทางพิพาทหรือไม่สะดวก เสยี ค่าใชจ้ ่ายมากกวา่ การท่จี ะผ่านเข้าออกทีด่ ินแปลงพพิ าทหรอื ไม่ ฎกี าเล่าเรอื่ ง 103 ก่อนจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองเชียงรายพบการกระทำความผิด จึงขยายผลอำพรางตัวในการ ขนส่งเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจังหวัดเชียงใหม่ไปส่งให้จำเลยที่ 2 ที่อำเภอวังน้อย จังหวัด พระนครศรอี ยุธยา ตามทน่ี ดั หมายกนั ไว้ จนกระทัง่ จับกมุ จำเลยที่ 1 ถึงท่ี 3 ได้ พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง จึงเป็นความผิดและการกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันในหลายท้องที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย จึงมี อำนาจสอบสวน และโจทก์มีอำนาจฟ้อง เมื่อความผิดหลายฐานได้กระทำลงโดยผู้กระทำความผิดหลายคน เกี่ยวพันกัน ซึ่งความผิดฐานสมคบเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนกับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ใน ครอบครองเพื่อจำหน่าย มีอัตราโทษอย่างสูงเสมอกัน ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดเชียงราย) ซึ่งเป็นศาลที่รับฟ้อง ความผิดเกีย่ วพนั กันนนั้ ไว้กอ่ น ย่อมมอี ำนาจพิจารณาคดีได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504 / 2562 กอ่ นจบั กุมเจา้ พนักงานตำรวจสถานีตำรวจภธู รเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นท้องที่พบ การกระทำความผิดเกิดขึ้นก่อน จึงมีการขยายผลสืบสวนและมีการวางแผนให้พันตำรวจตรี อ. อำพรางตัวเป็นเด็กท้ายรถบรรทุกสิบล้อ ที่ขนกระสอบข้าวและกระสอบปุ๋ยบรรจเุ มทแอมเฟตามีนของกลางจาก จังหวดั เชียงใหมไ่ ปส่งให้จำเลยท่ี 2 ในสถานบี ริการนำ้ มันทีอ่ ำเภอวงั นอ้ ย จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา ตามท่ีได้นัด หมายกันไว้กับผู้ที่โทรศัพท์ติดต่อกับสายลับว่าจะมารับเมทแอมเฟตามีน เจ้าพนักงานตำรวจจึงติดตามไป จนกระทง่ั จับกุมจำเลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 ได้ พร้อมเมทแอมเฟตามนี ของกลาง กรณจี งึ เป็นความผิดต่อเน่อื งและกระทำ ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงรายซึง่ เปน็ ท้องที่ที่พบเมทแอมเฟตามีนของกลางและ สถานีตำรวจภธู รวงั นอ้ ย จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยาซง่ึ เป็นทอ้ งท่ที ีจ่ ับกมุ จำเลยท่ี 1 ถงึ ที่ 3 ได้ พนักงานสอบสวน ในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งที่เกี่ยวข้องมีอำนาจสอบสวนได้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย จึงมี อำนาจสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 การสอบสวนย่อมเป็นไปโดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณา คดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 และเมื่อความผิดหลายฐานได้กระทำลงโดยผู้กระทำความผิดหลายคน เกี่ยวพนั กนั ความผิดฐานสมคบโดยตกลงกันตัง้ แต่สองคนขึน้ ไปเพือ่ กระทำความผิดเก่ียวกับเมทแอมเฟตามีนกับ ความผดิ ฐานมเี มทแอมเฟตามนี ไว้ในครอบครองเพือ่ จำหน่ายตามฟ้อง มอี ัตราโทษอยา่ งสงู เสมอกัน ศาลชั้นตน้ ซ่ึง เป็นศาลที่รับฟ้องความผิดเกี่ยวพันกันนั้นไว้ก่อน ย่อมมีอำนาจพจิ ารณาคดีได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 24 วรรคหนึ่ง
(1) และวรรคสาม ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องต่อ ศาลชนั้ ตน้ ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 104 ในชั้นขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนา อุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสามด้วยแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคมีคำสั่งรับอุทธรณ์นั้นก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้ ดำเนนิ การออกหมายนัดแจ้งจำเลยท้ังสามทราบ กับกำหนดให้จำเลยทั้งสามแก้อุทธรณ์ของโจทกภ์ ายใน 15 วนั กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามซ้ำอีก แม้โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ชัน้ ต้นที่ใหส้ ่งสำเนาอุทธรณอ์ กี คร้ังก็ถือไม่ได้ว่าโจทกจ์ งใจเพกิ เฉยไม่ดำเนนิ คดีตามคำส่ังดังกล่าว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2850 /2562 ในชั้นขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสามด้วยแล้ว ซึ่งโจทก์ยื่นคำแถลงขอปิดหมายในเขต และนอกเขตในวันเดียวกัน และได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสาม ฉะนั้น เมื่อศาลอุท ธรณ์แผนกคดี ผบู้ ริโภคมีคำสั่งรับอทุ ธรณข์ องโจทกไ์ วแ้ ล้ว ชอบท่จี ะมคี ำสัง่ ให้ดำเนินการออกหมายนดั แจ้งให้จำเลยทั้งสามทราบ กับกำหนดให้จำเลยท้ังสามแก้อทุ ธรณข์ องโจทกภ์ ายใน 15 วัน นับแตว่ นั ทไี่ ด้รับหมายนัด ไมม่ ีเหตุท่ีจะต้องส่ังให้ โจทก์ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามซ้ำอีก การที่ศาลช้ันตน้ สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยท้งั สาม อีก จงึ เปน็ การผิดหลงและเปน็ เหตใุ หโ้ จทกส์ ำคัญผดิ ว่าการที่โจทก์ไดส้ ่งสำเนาอทุ ธรณ์แก่จำเลยทั้งสามไวด้ ังกล่าว แล้วในตอนต้นเป็นการที่โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ไม่จำต้องปฏิบัติซ้ำอีก ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่า โจทกจ์ งใจเพกิ เฉยไม่ดำเนนิ คดใี นการสง่ สำเนาอุทธรณ์ใหจ้ ำเลยทง้ั สามตามคำส่ังศาลชั้นตน้ ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 105 ป. โอนเงนิ ใหจ้ ำเลยโดยใช้โทรศัพท์เคล่ือนที่และตูเ้ บกิ ถอนเงนิ สดอตั โนมัติขณะอยู่ทอี่ ำเภอทา่ ม่วง จงั หวัด กาญจนบุรี และปรากฏมีเครดิตยอดเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่กรุงเทพมหานคร เมื่อการป้อนคำสั่งให้โอนเงิน เกิดขึ้นที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งขณะนั้นเงินได้หลุดพ้นจากความครอบครองของ ป. ไปอยู่ในความ ครอบครองของจำเลย และจำเลยสามารถถอนเงินจากสถานที่ใดเวลาใดได้ทันที ดังนั้น อำเภอท่าม่วง จังหวัด กาญจนบุรี จึงถอื เปน็ สว่ นหนง่ึ ของการกระทำความผิดฐานยกั ยอก พนักงานสอบสวน สถานตี ำรวจภธู รท่ามว่ ง จึง มอี ำนาจสอบสวน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5593 / 2562 การโอนเงินผ่านทางธุรกรรมอิเล็กทรอนิคส์มีธนาคารเป็น ตัวกลางในการส่งมอบเงินผ่านขั้นตอนของธนาคารที่ส่งถ่ายข้อมูลด้วยความเร็วแสงโดยใช้ตัวเลขเงินในบัญชีเป็น
หลักฐานยืนยันในการรับโอนเงิน ทำให้ผู้รับโอนสามารถรับเงินได้แม้อยู่ในระยะไกล ซึ่งการโอนจะเสร็จส้ิน สมบรู ณ์เม่ือผู้รับโอนไดร้ บั เครดิตยอดเงนิ ทางบัญชีครบถว้ นแลว้ ป. โอนเงนิ ให้จำเลยโดยใชโ้ ทรศัพท์เคล่ือนท่ีและ ตู้เบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ ขณะอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี และปรากฏมีเครดิตยอดเงินเข้าบัญชีของ จำเลยที่กรุงเทพมหานคร การป้อนคำส่ังให้โอนเงนิ เกิดขึ้นที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เงินอันเป็นต้นเหตุ ของการกระทำความผิดฐานยกั ยอกจึงหลุดพน้ จากความครอบครองของป. และเข้าไปอยู่ในความครอบครองของ จำเลยตั้งแต่ขณะ ป. สั่งโอนเงิน จำเลยสามารถถอนเงินจากสถานที่ใดเวลาใดนับจากที่ได้รับโอนเงินทันที ดังนน้ั อำเภอทา่ ม่วง จงั หวดั กาญจนบรุ ี จงึ ถอื เป็นสว่ นหน่ึงของการกระทำความผิดฐานยักยอก พนักงานสอบสวน สถานี ตำรวจภูธรท่าม่วง จงึ มีอำนาจสอบสวนตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 19 วรรคสอง (ข) ฎีกาเล่าเรอื่ ง 106 การป้องกนั โดยชอบด้วยกฎหมายจะต้องมีภยนั ตรายที่เกดิ จากการประทุษร้ายอนั ละเมดิ ต่อกฎหมายและ เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ว. เพียงชูอาวุธปืนขึ้นเหนือศีรษะและยิงขึ้นฟ้า 1 นัด ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นการข่มขู่ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถกระบะที่ ว. นั่งอยู่ทันที โดยไม่ปรากฏว่า ว. จะทำร้ายพวกจำเลยอีก จึงถือไม่ได้วา่ เป็นภยนั ตรายท่ใี กลจ้ ะถงึ การกระทำของจำเลยจงึ ไมเ่ ป็นการปอ้ งกนั โดยชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4083 / 2562 การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามความใน ป.อ. มาตรา 68 นั้น การกระทำทีจ่ ะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไดต้ ้องเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษรา้ ยอัน ละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทำการ เพื่อป้องกันได้ ว. เพียงเอาอาวุธปืนชูขึ้นเหนือศีรษะและยิงขึ้นฟ้า 1 นัด ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นการข่มขู่จำเลยกบั พวกเท่านัน้ การทจ่ี ำเลยใชอ้ าวุธปืนยิงไปยงั รถกระบะท่ี ว. นง่ั อย่ทู นั ที โดยไม่ปรากฏวา่ ว. กระทำการอ่ืนใดอกี ใน ลกั ษณะจะทำรา้ ยพวกจำเลย จึงถือไมไ่ ดว้ า่ ภยันตรายอนั ละเมิดต่อกฎหมายและเปน็ ภยนั ตรายท่ีใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันได้ ท่ีจำเลยอ้างว่าอาจยิงมาที่ตนจึงยิงไปนั้น เป็นเพียงจำเลยเข้าใจไปเอง เกินกว่าสภาพการกระทำของ ว. ที่จะให้เข้าใจเช่นนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบ ด้วยกฎหมาย ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 107 ผู้ซื้อชอบที่จะยึดหนว่ งราคาสินค้าที่ยังไม่ไดช้ ำระไวก้ รณีที่สินค้านั้นชำรุดบกพร่องในเวลาส่งมอบเป็นเหตุ ให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ แต่การยึดหน่วงราคาดังกล่าวต้องกระทำตามความ จำเป็นเพื่อการแก้ไขและสมควรแก่ราคาที่ชำรุดบกพร่อง เมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อมานานหลายเดือนและ พยายามตรวจสอบแก้ไขหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายผู้ซื้อไม่ยินยอมให้เข้าตรวจสอบเพื่อหาทางแก้ไข ย่อมไม่เป็น
ประโยชน์ที่จะรอการแก้ไขข้อชำรุดบกพร่องอีก และถือว่าผู้ซื้อไม่ประสงค์ให้มีการแก้ไขแล้ว ผู้ซื้อจึงไม่อาจอ้าง สิทธยิ ดึ หน่วงราคาได้อีกตอ่ ไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958 / 2562 หลังคาเหล็กเมทัลชีทที่จำเลยซื้อจากโจทก์มีความชำรุด บกพร่องและโจทก์ยงั ไม่ได้ซ่อมแซมให้เรียบร้อย เมื่อความชำรุดบกพรอ่ งดังกล่าวมีอยู่ในเวลาสง่ มอบทรัพยส์ ินท่ี ขายเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติแล้ว โจทก์ผู้ขายต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อชอบที่จะยึดหน่วงราคาที่ยังไม่ได้ชำระไว้ได้ตามมาตรา 488 แต่ การยึดหน่วงราคาดังกล่าวต้องกระทำตามความจำเป็นเพือ่ การแก้ไขความชำรุดบกพรอ่ งให้ส้ินไป และสมควรแก่ ราคาที่ชำรุดบกพร่อง เมื่อโจทก์ติดตั้งหลังคาเหล็กเมทัลชีทให้จำเลยมานานกว่า 7 เดือน และพยายามจะ ตรวจสอบแกไ้ ขความชำรุดบกพร่องหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายโจทก์ขอส่งทีมติดตั้งเข้าไปตรวจสอบเพื่อหาทางแก้ไข แต่จำเลยไม่ยินยอม เช่นนี้ย่อมไม่เป็นประโยชน์ที่จะรอการแก้ไขข้อชำรุดบกพร่องอีกต่อไป ถือว่าจำเลยไม่ ประสงค์ใหม้ ีการแก้ไขขอ้ ชำรุดบกพร่องแล้ว จำเลยจึงไม่อาจอา้ งสทิ ธิยึดหน่วงราคาไดอ้ ีกต่อไป ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 108 ค่าจ้างว่าความระหว่างโจทก์กับจำเลยในการฟ้องคดีคำนวณเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นค่าใชจ้ ่ายระหว่าง ดำเนนิ คดใี นศาลชั้นต้นจำนวนหนึ่ง ศาลอุทธรณ์จำนวนหนึ่ง และศาลฎีกาอีกจำนวนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าคดีถึงที่สุด ในชน้ั ศาลใด ส่วนที่สองเป็นคา่ ทนายความต่างหากอกี จำนวนหน่ึงตกลงชำระกันในวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่หากก่อนศาลชั้นต้นพิพากษามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้องหรือถอนทนายความค่า ทนายความส่วนนี้คงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งชำระเมื่อคดีถึงที่สุดหรือถอนทนายความแล้วแต่กรณี จึงเป็นการคิด ค่าจ้างว่าความทีก่ ำหนดตัวเงินแน่นอน ละเอยี ดชัดแจง้ มิใช่สญั ญารับเอาส่วนแบง่ เป็นเงนิ มากน้อยจากทรัพย์สนิ ที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาซึ่งผู้ว่าจ้างจะได้รับเมื่อชนะคดี จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน ไม่ตกเปน็ โมฆะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2961 / 2562 การกำหนดหลักเกณฑ์ในการคิดคำนวณค่าจ้างว่าความ ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการว่าจ้างโจทก์ให้ยื่นฟ้อง ภ. ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนที่ดินโฉนดเลขที่ 94877 โดยแยกคิดคำนวณค่าจ้างว่าความเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างดำเนินคดีของแต่ละ ชั้นศาล โดยค่าใชจ้ า่ ยในระหวา่ งดำเนินคดใี นศาลชนั้ ต้นจนกวา่ ศาลชัน้ ตน้ จะมคี ำพิพากษาจำนวน 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในศาลอุทธรณ์จำนวน 20,000 บาท และคา่ ใช้จา่ ยในศาลฎีกาจำนวน 20,000 บาท ขึ้นอย่กู ับว่าคดี ดังกล่าวถึงที่สุดในชั้นศาลใดก็ต้องชำระค่าใช้จา่ ยในแต่ละชั้นศาลไปจนถึงชั้นศาลที่คดีนั้นถึงที่สุด ส่วนที่สองเป็น ค่าทนายความต่างหากจากค่าใช้จ่ายอีกจำนวน 1,000,000 บาท ตกลงชำระกันในวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึง ที่สุดในชน้ั พจิ ารณาคดีให้เพกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ โดยหากในระหวา่ งดำเนินคดกี อ่ นท่ศี าลช้ันต้นจะมคี ำพิพากษา หาก มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันหรือถอนฟ้องคดีกันเนื่องจากสามารถตกลงกันได้ ค่า
ทนายความคงเหลือเพียงจำนวน 500,000 บาท ชำระกันเมื่อคดีถึงที่สุดในชั้นพิจารณาคดี และหากผู้ว่าจ้าง ถอนผรู้ ับจ้างออกจากการเปน็ ทนายความในคดีจะต้องชำระคา่ ทนายความจำนวน 500,000 บาท ในวนั ทมี่ กี าร ถอนทนายความทันที การคิดค่าจ้างว่าความในลักษณะเชน่ น้ี จึงเป็นการคดิ คา่ จ้างว่าความทีม่ กี ารกำหนดตัวเงิน เป็นจำนวนที่แน่นอน ละเอียดชัดแจ้ง หาใช่เป็นสัญญารับเอาส่วนแบ่งเป็นเงินมากน้อยจากที่ดินโฉนดเลขท่ี 94877 อันเป็นทรัพย์สินที่ขอให้ศาลมีคำพพิ ากษาเพิกถอนซ่ึงเป็นมูลพิพาทที่จำเลยจะได้รบั เมื่อชนะคดี จึงมิใช่ เป็นการคิดค่าทนายความตามส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่จำเลยจะได้รับจากการเป็นความ สัญญาจ้างว่าความ ดังกล่าวจงึ ไมข่ ดั ตอ่ ความสงบเรยี บร้อยหรือศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน ไม่ตกเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ฎีกาเลา่ เรื่อง 109 ภายหลังจำเลยถูกจับกุม ภริยาจำเลยและภริยาผู้ตายไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่สถานี ตำรวจตกลงมอบเงินและไม่ติดใจฟ้องร้องกันทั้งทางแพ่งและอาญา แม้ภริยาผู้ตายเป็นมารดาโดยชอบด้วย กฎหมายและผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งทำนิติกรรมแทนโจทก์ร่วมท้ังสองผู้เยาว์ได้ก็ตาม แต่ สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจะผูกพันโจทก์ร่วมทั้งสองได้ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน เมื่อไม่ ปรากฏว่ามีการได้รับอนญุ าตยอ่ มไม่ผกู พนั โจทกร์ ว่ มทั้งสอง โจทก์ร่วมทัง้ สองจึงมสี ทิ ธเิ รียกคา่ สินไหมทดแทนจาก จำเลยซ่งึ ทำละเมดิ ให้บดิ าถึงแกค่ วามตายได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1774 / 2562 หลังจากจำเลยถูกจบั กุม จำเลยถูกคุมขงั ตลอดมา ภริยาจำเลย และภริยาผู้ตายไปพบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงทำบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับการชดใช้ค่า สินไหมทดแทนให้ภริยาจำเลยและภริยาผูต้ ายลงลายมอื ช่ือไว้ข้อความมใี จความสำคัญว่า พ. ซึ่งเป็นภริยาจำเลย ตกลงมอบเงนิ ให้ บ. ซึง่ เป็นภริยาผตู้ าย จำนวน 200,000 บาท ภริยาผู้ตายไดร้ ับเงินจำนวนดงั กลา่ วแล้ว รับว่า มีความพอใจ จะไม่ติดใจฟ้องร้องเอาความกับผู้ใดอีกทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ข้อความตามที่ระบุในรายงาน ประจำวันเก่ยี วกบั คดดี งั กล่าวจึงมลี ักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ได้ความวา่ บ. ภริยาผู้ตายเป็น มารดาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งสามารถทำนิตกิ รรมแทนโจทก์ ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นผู้เยาวไ์ ด้ก็ตาม แต่การที่มารดาของโจทก์ร่วมทั้งสองไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกบั พ. ภริยาจำเลยที่สถานีตำรวจอันจะทำให้สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวผูกพันโจทก์ร่วมทั้งสองได้นั้น บ. จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อนทั้งนี้เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 (12) เมื่อไม่ปรากฏว่า บ. ใน ฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทกร์ ว่ มทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจาก ศาล สัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ผูกพันโจทก์ร่วมทั้งสอง โจทก์ร่วมทั้งสองจึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหม ทดแทนจากจำเลยซง่ึ ทำละเมดิ ใหบ้ ดิ าถงึ แก่ความตายได้
ฎกี าเล่าเร่อื ง 110 การทีผ่ ู้ตายถูกจำเลยทำร้ายจนถึงแกค่ วามตาย เปน็ ความเสียหายอันเน่ืองมาจากการกระทำความผิดของ จำเลย แม้จะได้ความว่า ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วยโดยสมัครใจวิวาททำร้ายกับจำเลยก็เป็น ข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น เมื่อผู้ร้องเป็นมารดาและเป็น ทายาทของผตู้ ายต้องขาดไร้อปุ การะและตอ้ งจัดการงานศพจงึ มีสทิ ธิเรียกคา่ ขาดไร้อุปการะและคา่ ปลงศพได้ แม้ ผู้ร้องมิได้อทุ ธรณ์หรือฎกี าคดีในส่วนแพ่ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกข้ึนวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลคดอี าญาได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย อย่างไรก็ดี เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ผู้ ร้องย่อมไม่มีสิทธิ เรียกร้องค่าเสยี หายทางจติ ใจอันเนื่องมาจากความเศร้าโศกเสียใจได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2271 / 2562 ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์จะช่วยผู้ ได้รับความเสียหายในทางแพ่งให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วในการได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและไม่ต้ องเสีย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่งเป็นอกี คดหี นึ่ง ทั้งคดีแพ่งและคดอี าญาจะได้เสรจ็ สิ้นไปในคราวเดยี วกันโดยให้ผูท้ ่ี ไดร้ ับความเสียหายยืน่ คำรอ้ งเขา้ มาในคดอี าญา การทผ่ี ู้ตายถกู จำเลยทำร้ายจนถงึ แกค่ วามตาย เป็นความเสยี หาย เพราะเหตทุ ผ่ี ตู้ ายไดร้ ับอนั ตรายแก่ชีวิตอันเนอื่ งมาจากการกระทำความผดิ ของจำเลยถือเป็นผูม้ สี ิทธิยน่ื คำรอ้ งต่อ ศาลที่พิจารณาคดีอาญาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวได้ แม้จะได้ความว่า ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความ เสียหายด้วยโดยสมัครใจวิวาททำร้ายกับจำเลยก็เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่า สนิ ไหมทดแทนเทา่ นนั้ ผู้ร้องเปน็ มารดาและเป็นทายาทของผู้ตาย เมอ่ื ผูต้ ายถกู ทำรา้ ยถงึ ตายต้องขาดไร้อุปการะ ตามกฎหมายและต้องจดั การงานศพจึงมีสทิ ธเิ รียกคา่ ขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพได้ แตผ่ ้รู อ้ งไม่มีสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายทางจิตใจเนื่องจากความเศร้าโศกเสียใจเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เรียกร้องได้ แม้ว่าผู้ร้องจะไม่ได้ อุทธรณ์หรอื ฎีกาคดีในส่วนแพ่ง ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งขึน้ วินิจฉัยเพ่ือให้เป็นไปตามผลคดอี าญา ได้เพราะเป็นขอ้ กฎหมายทีเ่ กีย่ วกบั ความสงบเรยี บร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ฎีกาเลา่ เรื่อง 111 ศาลช้ันตน้ ได้นำโทษจำคกุ ของจำเลยทรี่ อการลงโทษไวส้ องคดี บวกเข้ากบั โทษในคดอี าญาหมายเลขแดงท่ี 2023/2561 ของศาลชั้นตน้ แลว้ จึงเปน็ กรณที ศ่ี าลท่ีพิพากษาคดหี ลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้า กบั โทษในคดหี ลงั อันเปน็ การบงั คับโทษแลว้ จึงไมอ่ าจนำโทษจำคุกท่ีรอการลงโทษทั้งสองคดมี าบวกโทษซ้ำในคดี นี้ได้อกี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748 / 2562 ศาลชั้นต้นได้นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ บวก เข้ากับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2023/2561 ของศาลชั้นต้นแล้ว จึงเป็นกรณีที่ศาลที่พิพากษาคดีหลัง บวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก โทษจำคุกของ
จำเลยที่รอการลงโทษได้ถูกบังคับโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2023/2561 ของศาลชั้นต้นแล้ว จึงไม่ อาจนำโทษจำคกุ ทร่ี อการลงโทษทงั้ สองคดีมาบวกโทษซำ้ ในคดนี ี้ได้อีก เพราะทำให้จำเลยได้รบั โทษเพ่มิ ขึน้ ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 112 การทีโ่ จทก์รว่ มพูดจาตอบโตท้ ้าทายกบั จำเลย เป็นกรณที ่โี จทกร์ ่วมยอมเขา้ เสย่ี งภยั อันตรายท่ีอาจเกิดข้ึน แก่ตน ซึ่งหากไม่ประสงคจ์ ะววิ าทก็ไมจ่ ำต้องพูดจาตอบโตแ้ ละไปหยิบไม้ ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์ร่วมสมัคร ใจทะเลาะววิ าทจึงไม่ใชผ่ ู้เสียหายโดยนติ ินยั และไม่มอี ำนาจขอเข้ารว่ มเปน็ โจทก์ จึงไมม่ สี ิทธิฎีกาขอให้ลงโทษฐาน ทำรา้ ยรา่ งกายผ้อู นื่ เปน็ เหตใุ หไ้ ดร้ ับอนั ตรายสาหัสกับขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนกั ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2239 / 2562 โจทก์ร่วมบอกให้จำเลยถอยรถเนื่องจากจอดรถขวางทาง จำเลยลงจากรถแล้วพูดว่า “เกี่ยวอะไรกับมึง” จากนั้นจำเลยใช้มือขวาดึงคอเสื้อโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยปล่อยมือ โจทก์ร่วมพูดว่า “เด๋ยี วมึงเจอดกี ับก”ู แลว้ โจทกร์ ่วมไปหยบิ ไม้ข้างประตทู างเขา้ ออกมาไว้ แตย่ งั ไม่ทันได้หยิบกถ็ กู พวกของจำเลยหยิบไม้ไปเสยี ก่อนแล้วนำมาตีโจทก์ร่วมจนกระท่ังไม้หัก โจทก์ร่วมจึงหยิบไม้ที่หักตีตอบโต้จำเลย กับพวก แต่ถูกจำเลยเตะเสียก่อนนั้น การกระทำของโจทก์ร่วมเป็นการพูดจาตอบโต้ท้าทายกับจำเลย และเป็น กรณีที่โจทก์ร่วมยอมเข้าเสี่ยงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึน้ แก่ตน ซึ่งหากโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะวิวาทกับจำเลยก็ไม่ จำต้องพูดจาตอบโตแ้ ละไปหยบิ ไม้ เน่อื งจากขณะนั้นไมป่ รากฏว่าจำเลยกับพวกจะรุมทำรา้ ยโจทกร์ ่วมแต่อย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์ร่วมถือได้ว่าสมัครใจทะเลาะวิวาท โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ความหมายใน ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และทำให้ไม่มีอำนาจที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ตามมาตรา 30 จึงไม่มีสิทธิ ฎีกาขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) และขอให้ ลงโทษจำเลยสถานหนักได้ ฎีกาเล่าเรื่อง 113 ขอ้ ความอันจะเป็นความผิดฐานหม่นิ ประมาทหรือไม่ ตอ้ งพจิ ารณาความรู้สกึ ของวญิ ญชู นทั่วๆไปว่าถึงขั้น ทำให้ผู้ถูกหม่ินประมาทน่าจะเสยี ชื่อเสียง บุคคลอื่นดูหม่ิน เกลียดชังหรอื ไม่ ถ้อยคำทีจ่ ำเลยกลา่ วว่า “เอาทนาย เฮงซวยที่ไหนมา สถุล” นั้น เมื่อฟังประกอบกันแล้ว วิญญูชนทั่วไปอาจเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นทนายความเอา แนน่ อนอะไรไมไ่ ด้ คุณภาพตำ่ ไม่ดี และเป็นไปในทางหยาบ ต่ำช้า เลวทราม จึงอาจทำให้โจทกเ์ สยี ชื่อเสียง ถูกดู หมน่ิ หรอื ถกู เกลียดชัง คดีโจทกจ์ งึ มีมลู ใหป้ ระทบั ฟอ้ งไว้พิจารณา คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 3920 /2562 ขอ้ ความท่ีจำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหม่ินประมาทหรือไม่ ตอ้ งพิจารณาถงึ ความรสู้ ึกของวญิ ญชู นท่วั ๆไป เปน็ เกณฑ์ในการพจิ ารณาวา่ ขอ้ ความทก่ี ล่าวน้ันถึงขั้นท่ีทำให้ผู้ถูก
หมิ่นประมาทซึ่งเปน็ ทนายความน่าจะเสียชอื่ เสียง บคุ คลอืน่ ดูหมน่ิ เกลยี ดชงั หรอื ไม่ มใิ ช่พิจารณาตามความรู้สึก ของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวว่า “เอาทนายเฮงซวยท่ีไหนมา สถุล” นั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “เฮงซวย” ว่า เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี เช่น คนเฮงซวย ของเฮงซวย เรื่องเฮงซวย ส่วนคำว่า “สถุล” ให้ความหมายว่า หยาบ ต่ำช้า เลวทราม (ใช้ เป็นคำด่า) เช่น เลวสถุล เช่นนี้ แม้ถ้อยคำที่จำเลยด่าโดยการกล่าวว่าทนายเฮงซวย เป็นเพียงการดูถูกเหยียด หยามและสบประมาทโจทก์ อันเป็นการพูดดูหมิ่นเหยียดหยามให้อับอายเจ็บใจ แต่ยังไม่เป็นการใส่ความให้เสยี ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรอื ถูกเกลียดชังก็ตาม แต่เมื่อฟังประกอบกับถ้อยคำตอนท้ายว่า “สถุล” แล้ว วิญญูชนทั่วไป จึงอาจเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นทนายความเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี และเป็นไปในทางหยาบ ต่ำช้า เลวทราม ถ้อยคำดงั กลา่ วจึงอาจทำใหโ้ จทก์เสียชอ่ื เสียง ถูกดูหม่นิ หรอื ถูกเกลียดชงั อันอาจเปน็ ความผิดฐานหม่ิน ประมาทได้ คดีโจทกจ์ ึงมีมลู ใหป้ ระทับฟอ้ งไว้พจิ ารณา ฎกี าเล่าเรอื่ ง 114 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งในข้อหาที่ต้องและไม่ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพเป็นคดี เดียวกัน จำเลยใหก้ ารรับสารภาพ สำหรบั ข้อหาทต่ี อ้ งสบื พยานประกอบคำรบั สารภาพนนั้ โจทกน์ ำพยานเข้าสืบ จนเปน็ ท่พี อใจของศาลชนั้ ตน้ และฟงั วา่ จำเลยไดร้ ว่ มกระทำความผดิ จรงิ จึงพพิ ากษาลงโทษจำเลย จำเลยอุทธรณ์ เพียงขอให้ลงโทษสถานเบา ความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดั่งที่จำเลยให้การรับสารภาพ ฎีกาของจำเลยทวี่ ่าไมไ่ ดก้ ระทำความผิดข้อหานีเ้ ปน็ การโตเ้ ถยี งขอ้ เทจ็ จริงขดั กบั คำรบั สารภาพของจำเลย ถือเปน็ ข้อที่มิไดย้ กขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลลา่ งทั้งสองจึงต้องห้ามมใิ ห้ฎกี า ส่วนความผิดขอ้ หาที่ไม่ต้องสืบพยาน ประกอบคำรับสารภาพนั้น เมื่อศาลชั้นต้นจำคุกกระทงละ 8 เดือน และ 4 เดือน ตามลำดับ ศาลชั้นอุทธรณ์ พิพากษายืน จึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาเป็นการโต้เถียง ดุลพินจิ ในการกำหนดโทษ อนั เป็นฎกี าในปญั หาข้อเทจ็ จรงิ จึงต้องห้ามฎกี าเชน่ กัน คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 2442 / 2562 จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ โจทก์นำพยานเขา้ สืบประกอบคำรับ สารภาพของจำเลยจนเป็นที่พอใจของศาลชัน้ ต้นและฟังว่าจำเลยได้รว่ มกระทำความผดิ ดังกลา่ วจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และพิพากษาลงโทษจำเลย จำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบาเท่านั้น ความผิด ฐานร่วมกันปล้นทรัพยโ์ ดยมีและใช้อาวธุ ปืน และฐานรว่ มกนั เรยี กค่าไถ่โดยเอาตวั บคุ คลอายกุ วา่ สบิ ห้าปีไปโดยใช้ อุบายหลอกลวง ขเู่ ข็ญ ใชก้ ำลงั ประทษุ ร้าย และหน่วงเหนย่ี วหรอื กกั ขงั เป็นการกระทำโดยทรมานหรอื โดยทารณุ โหดร้าย จนเปน็ เหตใุ ห้ผถู้ กู กระทำน้ันรับอนั ตรายแกก่ ายหรือจติ ใจตามฟ้อง จึงเปน็ อนั ยุตไิ ปตามคำพิพากษาศาล ชน้ั ตน้ ด่ังท่จี ำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ ฎีกาของจำเลยว่าไม่ได้กระทำความผิดดงั กลา่ วเปน็ การโต้เถยี งข้อเท็จจริงขัด กับคำรับสารภาพของจำเลยในความผิดดังกล่าว ถือเป็นข้อเท็จจรงิ ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง
ทั้งสองต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ที่แก้ไขใหม่ ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐาน รว่ มกันพาอาวุธปนื ไปในเมอื ง หมบู่ ้านหรอื ทางสาธารณะโดยไมไ่ ด้รบั ใบอนญุ าต ศาลชั้นตน้ ลดโทษให้กระทงละกงึ่ หนึ่งแล้ว คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน และ 4 เดือน ตามลำดับ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จึงต้องห้าม คูค่ วามฎีกาในปญั หาข้อเทจ็ จริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหน่ึง จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาในความผดิ ดงั กลา่ วเป็นการโต้เถียงดุลพนิ จิ ในการกำหนดโทษ อันเป็นฎกี าในปญั หาขอ้ เท็จจรงิ ตอ้ งห้ามฎีกา ฎีกาเล่าเรื่อง 115 จำเลยที่ 2 ผู้มีชื่อรับมรดกที่ดินพิพาทตามพินัยกรรม ลงชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อกำหนดตามพินัยกรรมส่วนนจี้ งึ ตกเปน็ โมฆะ อย่างไรกด็ ี เม่ือจำเลยท่ี 2 ยงั มีฐานะเป็นทายาทโดยธรรมของเจ้า มรดกอีกสถานะหนึ่งเหมือนเช่นโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงหาอาจอ้างสิทธิติดตามเอาคืนที่ดินพิพาทอันเป็น ทรัพย์มรดกจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมิใช่บุคคลภายนอกโดยไม่มีอายุความได้ไม่ การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสาม เรียกร้องให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งปันแก่ทายาท อันเป็นคดีมรดก โจทก์ทั้งสองจึงต้องฟ้อง คดีภายใน 1 ปี นับแต่เมื่อได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ล่วงเลยกำหนด ดงั กลา่ ว ฟ้องโจทกท์ งั้ สองจึงขาดอายคุ วาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326 / 2562 จำเลยที่ 2 ผู้มีชื่อรับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมลงชื่อเป็น พยานในพินัยกรรม จึงเป็นพินัยกรรมที่ทำขึ้นขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1653 วรรคหนึ่ง มีผลทำให้ข้อกำหนดใน พินัยกรรมที่ ถ. ยกที่ดินพิพาทเนื้อที่ 10 ไร่ ให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705 จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทผู้รบั พินัยกรรมจึงไมม่ ีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกลา่ ว ที่ดินพิพาทจึงเปน็ ทรัพยน์ อกพนิ ัยกรรมทีต่ กแก่ ทายาทโดยธรรมของ ถ. เจา้ มรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1620 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1699 เม่ือจำเลยที่ 2 ยังมีฐานะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ถ. เจ้ามรดกอีกสถานะหนึ่งเหมือนเชน่ โจทก์ท้ังสอง จำเลยที่ 2 จึง เป็นทายาทโดยธรรมของ ถ. ท้ังไมป่ รากฏวา่ จำเลยท่ี 2 เสียสทิ ธใิ นฐานะทายาทโดยธรรมตามกฎหมายแตอ่ ย่างใด ดงั น้ี โจทก์ทั้งสองจะอ้างสทิ ธติ ิดตามเอาคืนซ่ึงทดี่ ินพพิ าทอนั เปน็ ทรัพยม์ รดกจากจำเลยที่ 2 ผูเ้ ปน็ ทายาททีม่ สี ทิ ธิ ในทรัพย์มรดกอีกคนหนึง่ ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ใช่บุคคลภายนอกทีโ่ จทก์ท้ังสองจะอ้างสิทธติ ิดตามเอาคืนได้ เสมอโดยไมม่ อี ายคุ วามฟ้องรอ้ ง เม่อื โจทกท์ ้ังสองยงั ฟอ้ งขอให้จำเลยทงั้ สามไปดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติ กรรมการโอนสิทธิครอบครองที่ดิน (น.ส.3) เนื้อที่ 10 ไร่ ให้กลับมาเป็นทรัพย์มรดกของ ถ. โดยอ้างความเป็น ทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์พิพาทและได้รับความเสียหายเพราะไม่ได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกตามสิทธิที่โจทก์ท้งั สองและทายาทอื่นพึงไดร้ บั ตามกฎหมาย จงึ เป็นการใชส้ ทิ ธเิ รียกรอ้ งให้ท่ดี นิ พิพาทกลับมาเปน็ ทรพั ยม์ รดกของ ถ. เพือ่ แบ่งปนั แก่ทายาทตามสิทธิ เมือ่ โจทกท์ ง้ั สองและจำเลยที่ 2 ต่างเปน็ ทายาททม่ี ีสทิ ธิในทรัพยม์ รดก ฟ้องของ
โจทก์ท้ังสองจึงเป็นคดมี รดก โจทกท์ ง้ั สองต้องฟอ้ งคดีภายใน 1 ปี นบั แตเ่ มอื่ ได้รู้หรอื ควรได้รถู้ ึงความตายของ ถ. เจ้ามรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง ถ. ถึงแก่ความตายปี 2551 หลังจากนั้นประมาณปี 2553 หรือปี 2554 โจทก์ที่ 1 จึงไปตรวจสอบทรัพย์มรดกจากสำนักงานที่ดิน แต่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธนั วาคม 2557 จงึ พน้ กำหนด 1 ปี นับแตเ่ มือ่ ได้รู้ หรอื ควรไดร้ ู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ฟอ้ งโจทก์ทั้งสองเป็น อันขาดอายุความ ฎกี าเล่าเรือ่ ง 116 โจทก์บังคับคดีนำยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด ผู้คัดค้านซื้อที่ดินดังกล่าวและจด ทะเบียนรับโอนสิทธิครอบครองแล้ว ขอให้บังคับผู้ร้องทั้งหกบริวารของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทการท่ี ผู้รัองทั้งหกยื่นคำร้องว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินดังกล่าวไม่ได้เป็นของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ กรณีขอแสดงอำนาจพิเศษ แต่เป็นการร้องขัดทรัพย์ เนื่องจากต้องการใหป้ ล่อยท่ีดนิ พิพาทคนื แก่ผู้รอ้ งทัง้ หก อัน ต้องยื่นคำรอ้ งก่อนเอาทรัพยท์ ่ียึดออกขายทอดตลาด เมอ่ื มกี ารขายทอดตลาดทีด่ ินไปแลว้ ผู้ร้องท้งั หกจงึ ไม่มสี ทิ ธิ ยื่นคำร้องดังกล่าว กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแมไ้ ม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาล ฎกี าก็มอี ำนาจยกข้นึ วินิจฉัยได้เอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3385 / 2562 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรพั ย์ที่ดินพิพาทของจำเลย ท่ี 1 ออกขายทอดตลาดเพ่ือนำเงินมาชำระหน้ีให้แกโ่ จทก์ ผคู้ ัดค้านเป็นผซู้ ้ือทรพั ย์ไดจ้ ากการขายทอดตลาดและ ได้จดทะเบียนรับโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว ขอให้ศาลออกคำบังคับให้ผู้ร้องทั้งหกที่อาศัยอยู่ในที่ดิน พิพาทในฐานะบรวิ ารของจำเลยที่ 1 ออกจากทีด่ นิ การท่ผี ู้รอั งท้ังหกยื่นคำรอ้ งเข้ามาในเรอ่ื งนตี้ อ่ ศาลวา่ ผรู้ อ้ งท้ัง หกเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เป็นการที่ผู้ร้องทั้งหกยื่นคำ ร้องแสดงอำนาจพเิ ศษตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ตรี (เดมิ ) ประกอบมาตรา 296 จตั วา (เดิม) แต่เป็นการทผ่ี ู้รอ้ ง ทั้งหกยื่นคำร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 (เดิม) เนื่องจากผูร้ ้องทั้งหกต้องการให้เจ้าพนักงานบังคบั คดี ปล่อยทรัพย์ที่ยึดที่ดินพิพาทคืนแก่ผู้ร้องทั้งหก ซึ่งผู้ร้องทั้งหกต้องยื่นคำร้องก่อนเอาทรัพย์ที่ยึดออกขาย ทอดตลาด เมื่อมีการขายทอดตลาดทีด่ ินพิพาทไปแล้ว ผู้ร้องท้ังหกจึงไม่มีสิทธิมายื่นคำรอ้ งขดั ทรัพย์ได้ กรณีเป็น ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแมไ้ ม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ไดเ้ องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดมิ ) ฎีกาเลา่ เร่ือง 117 โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตราย สาหสั แต่ข้อเท็จจริงไดค้ วามว่า จำเลยใช้กำลังทำรา้ ยโจทก์รว่ มมีเพียงบาดแผลฟกช้ำเลก็ นอ้ ย ปวดเมอ่ื ย และการ
กดเจบ็ เทา่ นั้น แมข้ อ้ เทจ็ จรงิ ท่ีปรากฏในการพจิ ารณาจะแตกต่างกบั ขอ้ เท็จจรงิ ตามฟอ้ ง แตค่ วามผิดที่ฟ้องมาน้ัน ย่อมรวมถึงการใช้กำลังทำร้ายโจทก์ร่วมโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจด้วย ถือได้ว่า ความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลฎีกาย่อมลงโทษ จำเลยในการกระทำตามทพ่ี ิจารณาได้ความได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2471 / 2562 จำเลยผลัก กดและเขย่าไหล่ของโจทก์ร่วม จับมือแล้วเหวี่ยง โจทก์รว่ มไปกระแทกขอบประตู และปิดประตูกระแทกดา้ นหลงั ตัวของโจทก์ร่วมจริง แม้สิ่งที่จำเลยกระทำไปจะ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดอันตรายแก่โจทก์ร่วมได้ แต่ก็ไม่ใช่การกระทำที่เป็นการมุ่งทำร้ายให้เกิดอันตราย ร้ายแรง และไม่ปรากฏว่ามีการกระทบถูกอวัยวะสำคัญ โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บมีเพียงบาดแผลฟกช้ำเล็กน้อย ปวดเมื่อย และการกดเจ็บเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 แม้ข้อเท็จจริงท่ี ปรากฏในการพจิ ารณาจะแตกต่างกับขอ้ เทจ็ จริงตามฟอ้ ง แตเ่ มื่อฟ้องโจทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มบรรยายวา่ จำเลยทำรา้ ย โจทก์ร่วมโดยผลักโจทก์ร่วม ใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่โจทก์ร่วมแล้วเหวี่ยงโจทก์ร่วมออกไปนอกห้อง ปิดประตู กระแทกใส่บริเวณหลังและสะโพกของโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจน ประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ตาม ป.อ. มาตรา 297 ความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการใช้ กำลังทำร้ายโจทก์รว่ มโดยไมถ่ ึงกบั เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ อนั ตรายแกก่ ายหรอื จติ ใจ ตาม ป.อ. มาตรา 391 ด้วย ถือไดว้ า่ ความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลฎีกาย่อมลงโทษ จำเลยในการกระทำตามทีพ่ ิจารณาได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคทา้ ย ฎีกาเลา่ เร่ือง 118 การทำยอมในศาลถือเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่ง การจะถือว่าคู่สัญญาผิดนัดหรือไม่ ต้องพิจารณาจาก บทบัญญัติที่ว่าด้วยหนี้ โจทก์โอนเงินจากต่างประเทศให้ธนาคารนำเข้าบัญชีบุตรโจทก์ ก่อนกำหนดชำระหนี้ 2 วัน แต่บตุ รโจทก์ถอนเงินไม่ได้เพราะธนาคารต้องตรวจสอบเงินก่อน เมื่อธนาคารโอนเข้าบญั ชีแล้ว วันรุ่งขึ้นบุตร โจทก์ก็ไปถอนเงินแล้วนำไปชำระยังสถานที่ชำระหนี้ตามสัญญา พออนุโลมได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่โจทก์ในฐานะ ลกู หน้ีไม่ต้องรบั ผิดชอบ ถือไมไ่ ด้วา่ โจทก์เป็นฝา่ ยผดิ นดั จำเลยท้ังสองจะยกเป็นเหตุบังคบั คดีแกโ่ จทก์หาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828 / 2562 สัญญาประนีประนอมยอมความแม้กระทำในศาลก็ถือเป็นนิติ กรรมอย่างหนึ่ง การจะพิจารณาว่าคู่สัญญาผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ จึงต้อง พิจารณาจากบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพสอง ว่าด้วยหนี้เช่นกัน โจทก์โอนเงินจาก ประเทศเนเธอร์แลนด์มาที่ธนาคาร ท. เพื่อให้ธนาคารนำเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของ ฐ. บุตรโจทก์ ก่อนถึง กำหนดเวลาชำระหน้ตี ามสัญญาประนปี ระนอมยอมความถงึ 2 วัน แต่ท่ี ฐ. ไม่สามารถถอนเงินจากบญั ชีไดเ้ พราะ ระบบของธนาคารต้องทำการตรวจสอบเงินจำนวนดังกล่าวก่อน ต่อมาเมื่อระบบของธนาคารโอนเงิ นเข้าบัญชี ของ ฐ. แล้ว ในวันรุง่ ขึน้ ฐ. กไ็ ดไ้ ปถอนเงินจากบญั ชีของตนแลว้ นำไปชำระท่ีสำนักงานของทนายจำเลยทัง้ สองซง่ึ
เป็นสถานที่ชำระหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ พออนุโลมได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่โจทก์ซึ่งเป็น ลูกหนี้ไมต่ อ้ งรบั ผิดชอบตามทบี่ ัญญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 205 จงึ ถอื ไมไ่ ดว้ า่ โจทก์เป็นฝ่ายผดิ นัดชำระหนี้ ดังนนั้ จำเลยทัง้ สองจะยกเหตุดังกล่าวขน้ึ เป็นขอ้ อ้างเพือ่ ดำเนินการบังคับคดแี ก่โจทกห์ าไดไ้ ม่ ข้อพึงปฏิบตั ิ การขออนุญาตฎีกาคดีแพ่งต่อศาลฎีกา (ตอนที่ 1) โดยท่านอาจารย์ทองธาร เหลืองเรืองรอง ผู้พิพากษา ศาลฎกี า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับที่ 27 พ.ศ. 2558 แก้ไข บทบัญญัติการฎีกาโดยมาตรา 247ที่แก้ไขใหม่ บัญญัติว่าการฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ กระทำได้เมอ่ื ได้รบั อนญุ าตจากศาลฎกี า ซึง่ มผี ลใชบ้ งั คับต้งั แตว่ นั ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 สำหรับขอ้ สังเกต เกีย่ วกับการปฏบิ ตั ิในเร่อื งน้ที ่นี า่ สนใจมีดังน้ี 1. คดที ีก่ ารฎีกาตอ้ งปฏิบัตติ าม ป.วิแพ่งที่แกไ้ ขใหม่ดังกล่าวข้างต้น แยกเปน็ 1.1 คดีแพ่งที่ไม่ใช่คดีผู้บริโภค ต้องเป็นคดีที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไป หากเป็นคดีย่ืนฟอ้ งต่อศาลช้นั ตน้ ก่อนวันดังกลา่ ว การฎีกายงั คงปฏิบตั ิตามบทบัญญัติการฎีกา ตาม ป.วิแพง่ เดมิ 1.2 คดีแพ่งที่เป็นคดีผู้บริโภค ต้องเปน็ คดีที่ มีการอา่ นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตั้งแต่วันท่ี 15 ธันวาคม 2558 หากเป็นคดีที่มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก่อนวันดังกล่าว การฎีกายังคงปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วิ ธี พิจารณาผบู้ ริโภคเดิมในเรอ่ื งฎกี า มีปัญหาว่า หากโจทก์ฟ้องคดีต่อ ศาลปกครองชั้นต้นก่อนวนั ที่ 8 พฤศจิกายน 2558 ต่อมาคดีดังกลา่ ว ถกู โอนมาที่ศาลยุติธรรมเน่ืองจากมใิ ช่คดปี กครอง โดยศาลชั้นตน้ ได้รบั โอนมาหลงั วันที่8พฤศจิกายน 2558 เม่ือ คดีดำเนนิ ไปจนถงึ ขนั้ จะฎีกา ดังนกี้ ย็ งั คงใหถ้ อื วนั ท่ียนื่ ฟอ้ งเป็นหลกั ไม่ถือวนั ที่มกี ารโอนคดี แมเ้ ปน็ การย่นื ฟอ้ งไม่ ถูกเขตอำนาจศาลกต็ าม 2. การขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามระบบฎีกาใหม่ ไม่ต้องคำนึงจำนวนทุนทรัพย์ที่ฎีกา แม้เป็นคดีที่ ทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งตามกฏหมายฎีกาเดิมจะกำหนดให้เป็นคดีที่ต้องห้าม ไม่ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ตามกฎหมายฎีกาใหม่คดีเหล่านี้คู่ความก็สามารถขออนุญาตฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจรงิ ต่อศาลฎีกาไดไ้ มถ่ ูกจำกัดดว้ ยทนุ ทรพั ยเ์ หมือนเชน่ กฎหมายเดมิ
ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 119 คดีสองสำนวนก่อนกบั คดนี ีเ้ ปน็ เรอ่ื งฟอ้ งเรยี กค่าเสยี หายจากการที่จำเลยเลิกสัญญาฉบบั เดียวกนั ในคราว เดียวกัน แม้คดีนี้จะมีคำขอที่แตกต่างกันไป แต่ก็เป็นคำขอที่สามารถขอได้ในสองคดีก่อนอยู่แล้ว การที่โจทก์มา ฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันใหม่เป็นคดีนี้ ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงเป็น ฟอ้ งซ้อน ต้องห้ามตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2222 / 2562 คดีสองสำนวนก่อนกับคดีนี้เป็นเรื่องฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก การท่ีจำเลยเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่ายฉบบั เดยี วกันในคราวเดียวกัน จงึ มสี ภาพแห่งขอ้ หาและข้ออา้ งทอ่ี าศัยเป็น หลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกัน แม้คดีนี้จะมีคำขอที่แตกต่างกันไปโดยอ้างข้อตกลงในสัญญาตัวแทนจำหน่ายว่า ภายหลังเลิกสัญญากันแล้ว จำเลยมีหน้าที่รับคืนสินค้าแต่จำเลยไม่รับคืน ทำให้โจทก์เสียหาย ก็เป็นคำขอที่ สามารถขอได้ในสองคดีกอ่ นอย่แู ล้ว เพราะการเรียกค่าเสยี หายเปน็ ผลสบื เนอื่ งมาจากเหตทุ จี่ ำเลยเลิกสัญญาฉบับ เดียวกัน และจำเลยมหี นังสือแจ้งการไมต่ อ่ สญั ญาตวั แทนจำหนา่ ยไปยังโจทก์ พรอ้ มกบั แจ้งสทิ ธิหนา้ ทต่ี ามสญั ญา ตัวแทนจำหน่ายให้โจทก์ส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าคืนแก่จำเลยตามราคาที่สั่งซื้อไปถึงสองครั้งแต่โจทก์เพิกเฉย และกลับไปฟอ้ งจำเลยตอ่ ศาลช้ันต้นเปน็ สองคดีกอ่ น แสดงได้ชัดเจนวา่ มีขอ้ โต้แยง้ เร่ืองคนื สนิ ค้ากันก่อนฟ้องสอง คดีก่อน และค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกในคดีนี้สามารถเรียกได้ในสองคดีก่อนอยู่แล้ว หรือหากมีความเสียหาย เพิ่งปรากฏภายหลงั ฟ้องสองคดกี ่อน โจทก์กส็ ามารถขอแก้ไขเพ่มิ เตมิ ฟอ้ งเรยี กคา่ เสยี หายในสองคดกี ่อนได้ การท่ี โจทก์มาฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันใหม่เป็นคดีนี้ ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงเปน็ ฟ้องซอ้ น ต้องหา้ มตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ขอ้ พึงปฏิบตั ิ การขออนุญาตฎีกาคดีแพ่งต่อศาลฎีกา (ตอนท่ี 2) โดยท่านอาจารยท์ องธาร เหลืองเรืองรอง ผู้พิพากษา ศาลฎกี า 3. ผ้ฎู กี า ตอ้ งยืน่ คำรอ้ งขออนุญาตฎีกาพร้อมกับคำฟ้องฎกี า ต่อศาลชน้ั ต้น หาก ยื่นแตค่ ำฟ้องฎีกาเพียง อย่างเดยี ว ย่อมเป็นการไมช่ อบ หรอื ยื่นแตค่ ำรอ้ งขออนุญตฎกี า เพียงอย่างเดียว ก็เป็นการไมช่ อบด้วยเชน่ กนั 4. ข้อความในคำรอ้ งขออนุญาต ควรระบใุ หช้ ดั เจน ว่าเปน็ การขออนุญาตฎีกา ตอ่ ศาลฎกี า หากกล่าวใน คำร้องว่า ขอให้ท่านผู้พิพากษาท่ีได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณไ์ ด้โปรดอนุญาตให้ฎกี า ถือว่าเปน็ คำร้องที่ไมช่ อบ ไมส่ ามารถแปลได้ว่า คำรอ้ งดงั กล่าวเป็นคำรอ้ งขออนุญาตฎกี าต่อศาลฎีกา 5. ปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ที่ขออนุญาตฎีกาต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในคำร้องขอ อนุญาตฎีกา ไม่ควรเขียนคำร้องเพียงสั้นๆว่า ขอศาลฎีกาได้โปรดให้โอกาส อนุญาตให้ฎีกา แต่ก็ไม่จำต้องกล่าว ยืดยาวหรือคดั ลอกมาจากขอ้ ความในคำฟอ้ งฎีกา โดยแยกสว่ นว่า ในคำฟ้องฎีกาควรแสดงขอ้ ทีเ่ ป็นการโต้แย้งคำ พิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้งว่าไม่เห็นด้วยในประเด็นข้อไหนบ้างเพราะเหตุใด ส่วนในคำร้องขออนุญาตฎกี า
ควรแสดงในแง่ที่ว่า ข้อที่ฎีกาแต่ละข้อนั้น สำคัญอย่างไรซึ่งศาลฎีกาควรรับไว้วินิจฉัย จึงขอให้ศาลฎีกาได้โปรด อนญุ าตให้ฎกี าในข้อไหนบา้ ง ฎกี าเลา่ เรื่อง 120 เจ้ามรดกมีที่ดินทรัพย์มรดกเพยี งสองแปลง จำเลยทั้งสามในฐานะผูจ้ ดั การมรดกจดทะเบียนโอนท่ดี นิ ทั้ง สองแปลงโดยไมแ่ บ่งให้โจทก์ครั้งสดุ ท้ายเมื่อวนั ที่ 28 พฤษภาคม 2546 เมื่อเจ้ามรดกไมม่ ีทรัพยม์ รดกอ่นื ใดอกี ถือว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นตั้งแตว่ ันดังกล่าว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสามวา่ จดั การมรดกไม่ชอบเกินกว่า ห้าปี นบั แตก่ ารจัดการมรดกสนิ้ สดุ ลง คดโี จทกจ์ ึงขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160 / 2562 ทรัพย์มรดกมีที่ดินเพียงสองแปลง จำเลยทั้งสามในฐานะ ผู้จัดการมรดกของ ด. โอนที่ดินทั้งสองแปลงโดยจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และ ร. ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2546 และใส่ชอ่ื จำเลยท่ี 3 ในท่ดี นิ อีกแปลงหน่ึง ตัง้ แตว่ นั ที่ 28 พฤษภาคม 2546 โดยมไิ ด้จดั แบง่ ให้โจทก์ เมื่อเจ้ามรดกไม่มีทรัพย์มรดกอื่นใดที่จะจัดการต่อไปอีก ถือว่าการจัดการมรดกเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2546 การท่โี จทก์มาฟ้องจำเลยว่าจัดการมรดกไมช่ อบ เมื่อวันท่ี 10 พฤษภาคม 2559 ซงึ่ เกินกว่า หา้ ปี นับแตก่ ารจัดการมรดกสิ้นสดุ ลง คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 121 พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) และ พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) ต่าง บัญญัติว่า การให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นความผิด เพียงแต่ พระราชบัญญัติฉบับใหม่แก้ไขบทกำหนดโทษให้สูงขึ้นเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงยังคงเป็นความผิดตาม กฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง และมิใช่การยกเลิกการกระทำความผิดตามกฎหมายเดิม การที่โจทก์ฟ้องขอให้ ลงโทษจำเลยตามกฎหมายเดิม โดยมิได้อ้างกฎหมายใหม่ที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้องมาด้วย จึงถือว่าเป็นการอ้ าง มาตราในกฎหมายซ่งึ บัญญตั ิว่าการกระทำเป็นความผิดแลว้ ฟอ้ งโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 2139 /2562 พ.ร.บ.หา้ มเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) และ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) บัญญัติให้การให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยคิด ดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดยังคงเป็นความผดิ เพียงแต่พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบีย้ เกินอัตรา ฉบับใหม่แก้ไขบทกำหนดโทษให้สูงข้นึ เทา่ นั้น ดังนน้ั การกระทำของจำเลยยงั คงเป็นความผิดตามบทบัญญัติของ กฎหมายที่บัญญัติในภายหลังดังกล่าว เพียงแต่กฎหมายใหม่มีระวางโทษหนักกว่ากฎหมายเดิม กรณีมิใช่การ ยกเลิกการกระทำอันเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายเดิมไปเสียทีเดียว การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ
จำเลยตามกฎหมายเดิม โดยมิได้อ้างกฎหมายใหม่ที่ใช้บังคับขณะยื่นฟ้องมาด้วย จึงถือว่าเป็นการอ้า งมาตราใน กฎหมายซ่งึ บญั ญัติว่าการกระทำเชน่ นี้เปน็ ความผิดแลว้ ฟ้องโจทก์จงึ ชอบดว้ ย ป.ว.ิ อ. มาตรา 158 (6) ฎีกาเลา่ เร่อื ง 122 การเรียกถอนคนื การใหเ้ พราะเหตุผ้รู บั ประพฤตเิ นรคุณด้วยการหมิน่ ประมาทผ้ใู ห้อยา่ งร้ายแรงนั้น โจทก์ ตอ้ งระบใุ นคำฟ้องว่า จำเลยกลา่ วถอ้ ยคำอย่างไร เม่อื ใด ตอ่ ใคร เพอ่ื ให้ศาลพิจารณาว่าเข้าเง่ือนไขท่ีจะเรียกถอน คืนการให้ได้หรือไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง โดยไม่มี รายละเอยี ดว่าด่าว่าอย่างไร เหตุเกิดเมื่อใด ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้วา่ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำฟ้องส่วนน้ีจึงไมแ่ จง้ ชดั และไมใ่ ช่เร่อื งท่ีจะนำสืบรายละเอียดได้ อันเปน็ ฟ้องเคลอื บคลุม นอกจากนแ้ี มโ้ จทกจ์ ะนำสืบในช้ันพจิ ารณาถงึ ถ้อยคำดังกล่าว แต่ถ้อยคำนี้ไม่เป็นประเด็นพิพาทที่โจทก์จะนำสืบได้ จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามมใิ หร้ บั ฟัง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1975 / 2562 กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) เป็นการเรียกถอนคืนการ ให้เพราะเหตุผรู้ ับประพฤตเิ นรคุณด้วยการหมิน่ ประมาทผใู้ หอ้ ย่างร้ายแรงนน้ั มีความจำเปน็ ท่ีโจทก์จะต้องระบมุ า ในคำฟ้องใหช้ ัดเจนวา่ จำเลยท่ี 1 ผูร้ บั กลา่ วถอ้ ยคำอยา่ งไร เม่อื ใด ต่อใคร เพื่อเปน็ ขอ้ ท่ีจะให้ศาลพจิ ารณาวา่ เข้า เงอ่ื นไขท่ีจะเรยี กถอนคนื การใหไ้ ดห้ รอื ไม่ ลำพงั แต่การบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ดา่ วา่ โจทกด์ ้วยถอ้ ยคำหยาบคายอีก หลายครั้ง โดยไม่มีรายละเอียดว่าด่าว่าอย่างไร เหตุเกิดเมื่อใด ซึ่งจำเลยทั้งสามก็ให้การต่อสู้ว่าฟ้องในส่วนน้ี เคลือบคลุม แม้โจทกจ์ ะนำสืบในช้ันพิจารณาวา่ จำเลยท่ี 1 ด่าโจทกว์ า่ “อเี หยี้ ” และกล่าวว่า “มงึ เอานำ้ กไู ปใช้กี่ ครั้งแล้ว” แต่ตามคำเบิกความของโจทก์ก็ปรากฏว่าโจทก์จำวันเวลาเกิดเหตุไม่ได้ ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จงึ เปน็ คำฟอ้ งท่ีไมแ่ จง้ ชัด และไม่ใชเ่ ร่ืองทโี่ จทก์จะไปนำสบื ในรายละเอียดได้ ฟ้องโจทกใ์ นสว่ นนี้จงึ เคลอื บคลมุ และ เมื่อฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่า จำเลยท่ี 1 ด่าว่าโจทก์วา่ “อีเหี้ย” คำนี้จึงไมเ่ ป็นประเด็นพพิ าทท่ีโจทกจ์ ะนำสืบได้ จึง เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องหา้ มมใิ ห้รับฟงั ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 87 (1) ฎีกาเล่าเรอื่ ง 123 ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารมุ่งหมายคุ้มครองอำนาจของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือ ผู้ดูแลผูเ้ ยาว์ และปกป้องมิให้ผู้ใดมารบกวนหรือกระทบกระทงั่ ต่ออำนาจปกครอง ซึง่ ไมว่ า่ ผเู้ ยาว์จะอยู่ ณ ท่ีแห่ง ใด หากบิดามารดา ผู้ดูแล หรือผู้ปกครองยังคงดูแลเอาใจใส่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลตลอดเวลาไม่ ขาดตอน การที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 บิดาออกจากบ้านไปเลน่ กับเพื่อนในที่เกิดเหตุอยู่ไม่ ไกลจากบ้าน ไม่ว่าจะขออนุญาตผูเ้ สียหายที่ 2 หรือไม่ก็ตาม เมื่อถูกจำเลยพาไปกระทำชำเรา ย่อมทำให้อำนาจ ปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกตัดขาดพรากไปแล้วโดยปริยาย ถือได้ว่าเป็นการพาและแยกผู้เยาว์ไปจาก
ความปกครองดูแลและล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 อันเป็นการพราก ดังนี้ การกระทำของ จำเลยจึงเป็นความผดิ ตามขอ้ กลา่ วหา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4057 / 2562 ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม กฎหมายบัญญัติ โดยมีความมุง่ หมายที่จะคมุ้ ครองอำนาจของบิดามารดา ผปู้ กครอง หรือผดู้ ูแลผู้เยาว์ อนั ไมใ่ ช่ตัวผ้เู ยาว์ท่ีถกู พราก และปกป้องมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการอันใดเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครอง ไม่ว่า โดยตรงหรือโดยปริยาย ผู้เยาว์แม้จะไปอยู่ที่แห่งใดหากบิดามารดา ผู้ดูแล หรือผู้ปกครองยังคงดูแลเอาใจใส่อยู่ ผ้เู ยาวย์ ่อมอยใู่ นอำนาจปกครองดูแลของบดิ ามารดา ผูด้ แู ล หรือผ้ปู กครองตลอดเวลาโดยไม่ขาดตอน ทัง้ เป็นการ ลงโทษผู้ที่ละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้ดูแลผู้เยาว์ของบิดามารดา ผู้ดูแล หรือผู้ปกครอง นอกจากนี้กฏหมาย มิได้จำกัดคำว่า “พราก” โดยวธิ ีการอยา่ งไรและไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านเองหรือโดยมีผ้ชู ักนำหรือไม่ มผี ชู้ ักนำ เมอ่ื มีผกู้ ระทำตอ่ ผูเ้ ยาวใ์ นทางเส่ือมเสีย และเสียหายย่อมถอื ได้วา่ เปน็ ความผดิ การทผ่ี ู้เสียหายท่ี 1 ซึ่ง อาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาออกจากบ้านไปเล่นกับเพื่อนในที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ไม่ว่าจะขอ อนญุ าตผูเ้ สยี หายที่ 2 หรอื ไมก่ ต็ าม เม่ือถกู จำเลยพาไปกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้อำนาจ ปกครองดูแลของผูเ้ สยี หายที่ 2 ซ่งึ เป็นบิดายอ่ มถกู ตัดขาดพรากไปแล้วโดยปรยิ าย หาใชค่ วามผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตามมาตรานี้จะต้องถึงขนาดเป็นการกระทำที่ต้องพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองตั้งแต่ออกจาก บ้าน ถึงจะทำให้ความปกครองถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนแลว้ จึงจะเปน็ ความผิด ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายท่ี 1 ออกจากบ้านแล้วถูกจำเลยกระทำลักษณะเสื่อมเสียเยี่ยงนี้ ถือได้ว่าเป็นการพาและแยกผู้เยาว์ไปจากความ ปกครองดูแลและล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดา อันเป็นความหมายของคำว่าพราก แลว้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม ทงั้ สองกระทง ฎกี าเล่าเร่อื ง 124 การนับโทษตอ่ จากสำนวนคดีใด คดีนน้ั ศาลตอ้ งพพิ ากษาลงโทษจำเลยไว้กอ่ นแลว้ แต่คดีทีโ่ จทก์ขอให้นับ โทษต่อศาลมีคำพิพากษาภายหลังจากคดีนี้ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ที่ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษาให้แก้หมายจำคกุ เมื่อคดีถึงที่สุดเป็นไม่นับโทษต่อจึงชอบแล้ว และไม่ถือเป็นการแก้ไขหรือเปล่ียนแปลงคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุด เพราะเป็นเรอื่ งการบงั คับคดที ี่ตอ้ งออกหมายใหถ้ ูกตอ้ ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968 / 2562 การนบั โทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะตอ้ งปรากฏวา่ คดีเรือ่ ง นั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้กอ่ นแล้ว คดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อน ได้ แต่คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 ภายหลังจากศาล ชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาคดีนี้ กรณีจึงไม่อาจนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้ เม่ือ ข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะต้องสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่ สวนคำร้องเสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้แก้หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเสียใหม่เป็นไม่นับโทษตอ่ จึง
ชอบแล้ว และไม่ถือว่าเป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของการ บงั คบั คดีทศ่ี าลจะต้องออกหมายบงั คบั คดีถงึ ทส่ี ุดให้ถูกต้อง ฎกี าเล่าเรื่อง 125 การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่ให้รอการกำหนดโทษและคุมความประพฤติไว้ ไม่เป็น การลงโทษตามกฎหมายและต้องถือว่าศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี เมื่อศาลชั้น อทุ ธรณ์พพิ ากษายนื จงึ ตอ้ งหา้ มมใิ ห้คู่ความฎีกาในปญั หาข้อเทจ็ จริง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946 / 2562 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำร้าย ร่างกายผู้อืน่ ตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 แตใ่ หร้ อการกำหนดโทษและคมุ ความประพฤตไิ ว้ จึงไม่ เป็นการลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 18 และต้องถือวา่ ศาลชัน้ ต้นมิได้พิพากษาให้ลงโทษจำคกุ จำเลยเกิน 5 ปี เม่ือ ศาลอุทธรณค์ ดีชำนญั พิเศษพิพากษายนื จึงต้องห้ามมใิ ห้คูค่ วามฎีกาในปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 ท่ีจำเลยฎกี าวา่ พยานหลกั ฐานที่โจทกน์ ำสืบมายงั รับฟังไมไ่ ดว้ ่าจำเลยกระทำความผิดฐานรว่ มกัน ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เป็นฎกี าในปัญหาข้อเท็จจรงิ จงึ ตอ้ งหา้ มฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 126 โจทก์ฟ้องจำเลยฐานมอี าวธุ ปนื ไมม่ ีเครอื่ งหมายทะเบียนของเจา้ พนกั งานประทบั ไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ด้ รบั ใบอนญุ าต ซงึ่ ความผิดฐานดังกล่าวมีอตั ราโทษอย่างต่ำใหจ้ ำคกุ ไมถ่ งึ 5 ปี เมื่อจำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ คดีจึง ต้องฟังข้อเท็จจริงตามฟ้อง โดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบว่า อาวุธปืนดังกล่าวไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้า พนักงานประทับไว้ ที่ศาลชั้นอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผูอ้ ื่นซึ่งได้รบั อนุญาตใหม้ ีและใช้ตาม กฎหมายไวใ้ นครอบครองโดยไม่ไดร้ บั ใบอนญุ าต จงึ ไม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกา 2055 / 2562 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกสัน้ ไม่ทราบชนิดและ ขนาดที่แน่นอน ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และกระสุนปืนไม่ทราบชนิดขนาดและ จำนวนที่แน่ชัด อนั เป็นอาวธุ ปนื และเคร่ืองกระสุนปนื ตามกฎหมาย มีสภาพใช้ยงิ ทำอันตรายแกช่ วี ติ และวตั ถุได้ไว้ ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งความผิดฐานดังกล่าวมีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลย ให้การรับสารภาพ คดีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครองครองโดยไมไ่ ด้ รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490
มาตรา 7, 72 วรรคหนึง่ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำสืบพยานหลกั ฐานใหไ้ ดค้ วามวา่ อาวุธปนื ท่ีจำเลยใช้เป็นอาวุธปืน ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จริงตามที่ให้การรับสารภาพ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลงโทษ จำเลยในความผิดฐานมอี าวุธปืนท่เี ปน็ ของผอู้ นื่ ซง่ึ ได้รับอนุญาตใหม้ แี ละใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไมไ่ ด้ รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปนื เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม จึงไมช่ อบ ฎีกาเล่าเร่ือง 127 การไดส้ ิทธใิ นทางพพิ าทเป็นภาระจำยอมโดยอายคุ วามตอ้ งเป็นการใช้ทางโดยความสงบและเปิดเผยด้วย เจตนาให้ตกเป็นภาระจำยอมและใช้ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 ปี ด้วยเหตุนี้ การใช้ทางพิพาทในลักษณะพึ่งพา อาศยั และถอ้ ยทถี อ้ ยอาศยั กนั โดยการถือวสิ าสะ แมจ้ ะเป็นไปโดยสงบและเปิดเผย แต่กไ็ มใ่ ชก่ ารใช้ด้วยเจตนาให้ ตกเป็นภาระจำยอม ส่วนการทผ่ี ู้ใช้ก่อสรา้ งทางพพิ าทก็เป็นไปเพ่ือความสะดวกเท่านน้ั หาใชเ่ ปน็ การแสดงเจตนา ใช้อย่างเป็นปรปักษ์กับเจ้าของที่ดินไม่ ดังนั้น แม้จะมีการใช้นานกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นภาระจำยอม แต่อย่างใด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398 / 2562 การที่จะได้สิทธิในทางพิพาทเป็นภาระจำยอมโดยอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 นั้นต้องเป็นการใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดย เปิดเผยด้วยเจตนาให้ทางพิพาทนั้นตกเป็นภาระจำยอมและได้ใช้ติดตอ่ กันไม่น้อยกวา่ 10 ปี จึงจะให้ทางพิพาท ตกเป็นภาระจำยอมได้ การใช้ทางพิพาทของ ส. ฉ. และโจทก์รวมทั้งบุคคลในครอบครัวของโจทก์เป็นการใช้ใน ลักษณะพึ่งพาอาศัยและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอันเป็นการสะท้อนถึงสภาพวิถีชีวิตที่แท้จริงของการอยู่ร่วมกันของ คนชนบทว่า ตามปกติแล้วจะใช้ที่ดินข้างเคียงเป็นทางผ่านได้โดยการถือวิสาสะอาศัยความเกี่ยวพั นในทางเครือ ญาติหรือความคุ้นเคยเป็นประการสำคัญซึ่งเป็นการเอื้อเฟื้อเอื้ออาทรต่อกันโดยไม่ต้องขออนุญาต ส่วนการที่ บุคคลอื่นๆซึ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นเครือญาติ เพื่อนบ้าน คนรู้จักของโจทก์ และผู้รับจ้างทำงานให้แก่โจทก์ที่มี ความจำเป็นต้องใช้ทางเข้าออกที่ดินซึ่งเป็นที่ไร่ ที่นา และที่สวนของโจทก์ ใช้ทางพิพาทด้วย โดยไม่ปรากฏว่ามี ประชาชนทั่วไปจากหมู่บ้านและตำบลอื่นมาใช้ทางพิพาทด้วย การใช้ทางพิพาทของบุคคลดังกล่าวก็มีลักษณะ เป็นการใชท้ างพิพาทโดยการถอื วิสาสะเช่นเดยี วกับโจทก์ แม้โจทกจ์ ะใชท้ างพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย แต่ไม่ใชเ่ ป็นการใชท้ างดว้ ยเจตนาทีจ่ ะใหท้ างพพิ าทนน้ั ตกเป็นภาระจำยอม หรอื หากโจทกใ์ ชท้ างพิพาทโดยเข้าใจ ว่าเป็นทางสาธารณะตลอดมา แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย แต่ก็ไม่ใช่เป็นการใช้ทาง ด้วยเจตนาทจี่ ะใหท้ างพพิ าทนัน้ ตกเป็นภาระจำยอมเช่นเดียวกนั สว่ นการที่โจทกอ์ า้ งวา่ เป็นผ้กู ่อสรา้ งทางพิพาทก็ เป็นไปเพื่อความสะดวกในการใช้ทางพิพาทของโจทก์เท่านั้น หาใช่เป็นการแสดงเจตนาที่จะใช้ทางพิพาทอย่าง เปน็ ปรปกั ษ์กับจำเลยท้งั สองด้วยเจตนาทจี่ ะใหท้ างพพิ าทตกเปน็ ภาระจำยอมแตอ่ ย่างใดไม่ แม้โจทก์ใชท้ างพพิ าท
ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นภาระจำยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 ฎีกาเล่าเร่ือง 128 การแต่งตงั้ ตัวแทนนน้ั ตัวแทนตอ้ งทำการด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีอำนาจใช้ตวั แทนช่วงได้ เมื่อหนังสอื มอบ อำนาจระบุให้ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแทน โดยให้มอบอำนาจช่วงได้ ผู้รับมอบอำนาจย่อมมีอำนาจตั้งบุคคล อื่นเป็นตัวแทนช่วง แต่ตัวแทนช่วงต้องดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายด้วยตนเองเพราะตัวการไม่ได้มอบให้ ตัวแทนชว่ งตงั้ บคุ คลอื่นเปน็ ตัวแทนตอ่ ไปไดอ้ กี แมห้ นงั สือมอบอำนาจชว่ งระบใุ หต้ วั แทนช่วงมอบอำนาจต่อไปได้ ก็เป็นเรื่องนอกเหนือขอบอำนาจที่ตัวการระบุไว้ผู้รับมอบอำนาจจากตัวแทนช่วงจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทน ตวั การ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3720 / 2562 ป.พ.พ. มาตรา 808 บัญญัติว่า “ตัวแทนต้องทำการด้วย ตนเอง เว้นแต่จะมีอำนาจใช้ตวั แทนช่วงทำการได้” เมื่อหนังสอื มอบอำนาจ ข้อ 1 ระบุว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ร. ดำเนนิ คดีแทน และข้อ 9 ให้ผรู้ ับมอบอำนาจสามารถมอบอำนาจช่วงให้บคุ คลอน่ื ใดท่สี มควรกระทำการแทนตาม กิจการที่ได้รับมอบหมายได้ด้วย ดังนั้น ร. จึงมีอำนาจตั้งบริษัทสำนักกฎหมาย ห. เป็นตัวแทนช่วงให้ดำเนินคดี แทนได้ แต่บริษัทสำนักกฎหมาย ห. ต้องดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายด้วยตนเองเนื่องจากตามหนังสือมอบ อำนาจของโจทก์ไมม่ ขี อ้ ความระบุวา่ โจทก์ให้อำนาจผรู้ บั มอบอำนาจช่วงตัง้ บุคคลอ่ืนเป็นตัวแทนช่วงทำการแทน ต่อไปอกี ได้ แม้ตามหนงั สือมอบอำนาจช่วง ข้อ 9 มีข้อความว่าให้บริษัทสำนักกฎหมาย ห. มีอำนาจมอบอำนาจ ช่วงให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนดำเนินการตามขอบเขตหนังสือมอบอำนาจนี้ได้ ก็เป็นเรื่องนอกเหนือขอบ อำนาจที่โจทก์ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจ บริษัทสำนักกฎหมาย ห.ไม่มีอำนาจตั้งให้ ด. หรือ ภ. หรือ ช. เป็น ตัวแทนช่วงดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายมานั้นแทนตน ด. หรือ ภ. หรือ ช. ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทน โจทก์ได้ โจทก์จงึ ไม่มีอำนาจฟอ้ งจำเลย ฎีกาเล่าเรื่อง 129 ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 3 ต่อศาลชั้นต้นเมื่อเวลา 14.20 นาฬิกา โดยขอ ขยายออกไปอกี 30 วัน ศาลช้ันต้นมคี ำส่งั ในวันเดียวกนั อนุญาตใหข้ ยายเวลานอ้ ยกวา่ ทจ่ี ำเลยขอ แมท้ ้ายคำร้อง มหี มายเหตุว่า ขา้ พเจ้ารอฟังคำสั่งอยูถ่ ้าไม่รอให้ถือวา่ ทราบแลว้ แต่เม่ือชว่ งเย็นทนายจำเลยมาสอบถามคำส่งั ศาล เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งวา่ ยังไม่เห็นสำนวนที่สั่งและขณะนั้นหมดเวลาราชการแล้ว จึงให้ทนายจำเลยกลับไปก่อนและ มาตรวจสอบคำสั่งอกี คร้งั ในวนั ทำการถัดไป ทนายจำเลยจงึ ไมอ่ าจทราบคำส่ังศาลในวนั นน้ั ได้ ในวนั ถดั มาทนาย จำเลยโทรศพั ท์มาสอบถาม เจ้าหน้าท่ีคนเดยี วกันยังแจ้งอกี วา่ ศาลอนุญาต แต่ไม่แน่ใจว่าใหเ้ วลาตามทีข่ อหรือไม่
เมื่อไมม่ ีการแจ้งคำส่ังที่ถูกต้องให้จำเลยทราบจะถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วมิได้ จึงเป็นเหตุสดุ วิสัยท่ี ทำให้จำเลยไม่อาจยืน่ คำรอ้ งขอขยายเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 4 ก่อนสิ้นระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดในคร้ังท่ี 3 ได้ จงึ สมควรอนุญาตให้จำเลยขยายเวลาอทุ ธรณค์ รั้งที่ 4 ต่อไปอีก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2409 / 2562 ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งท่ี 3 ต่อศาลชัน้ ต้นเมือ่ เวลา 14.20 นาฬิกา โดยระบุวา่ เอกสารทีเ่ กี่ยวข้องในสำนวนมีจำนวนมาก มีประเดน็ ที่ทนาย จำเลยต้องใช้เวลาในการค้นคว้าและศึกษาอยู่พอสมควร ไม่อาจเรียงอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จได้ทัน จึงขอขยาย ระยะเวลาอทุ ธรณ์ออกไปอีก 30 วนั ศาลชั้นต้นมีคำส่งั ในวันเดียวกนั ว่า “อนุญาตถงึ วนั ที่ 8 พฤษภาคม 2560” ซึง่ กำหนดวันใหน้ อ้ ยกว่าทจี่ ำเลยขอ แม้วา่ ท้ายคำรอ้ งของจำเลยมีหมายเหตขุ ้อความวา่ ขา้ พเจ้ารอฟังคำส่ังอยู่ถ้า ไม่รอให้ถอื วา่ ทราบแลว้ ซ่งึ หมายถึงว่าหากศาลมีคำส่ังตามคำรอ้ งของจำเลยในวันเดยี วกนั กบั วันท่ีย่นื คำร้อง ย่อม ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งแล้ว ศาลชั้นต้นไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบในภายหลังอีก แต่ได้ความตาม รายงานเจ้าหน้าที่ของ ณ. เจ้าพนักงานศาลว่า หลังจากเสนอสำนวนเพื่อให้ศาลพิจารณาสั่ง ต่อมาช่วงเวลาเย็น (ของวนั เดยี วกนั ) ทนายจำเลยมาสอบถาม ณ. ว่า ศาลพจิ ารณาสง่ั หรือไม่ ณ. แจ้งว่ายงั ไมเ่ ห็นสำนวนท่ีสั่งในคดีนี้ เนื่องจากมีสำนวนที่ศาลพิจารณาสั่งจำนวนมากและกำลังพิจารณาสั่งอยู่ ณ. เห็นว่าขณะนั้นหมดเวลาราชการ แล้วจะตอ้ งปิดประตหู อ้ งเก็บสำนวนจึงแจ้งให้ทนายจำเลยกลับไปกอ่ นและแจ้งให้มาตรวจสอบคำสั่งอีกคร้ังในวัน ทำการถดั ไป พฤตกิ ารณด์ ังกลา่ วแสดงให้เหน็ วา่ แมว้ ่าศาลชัน้ ต้นจะมคี ำสัง่ ในวนั เดยี วกบั วนั ทจี่ ำเลยย่นื คำรอ้ ง แต่ จนกระทั่งหมดเวลาราชการแล้วก็ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาของจำเลย แล้วหรือยัง จนกระทง่ั ณ. ซ่ึงเปน็ เจ้าหน้าท่ีศาลเองเปน็ ผ้แู จง้ ให้ทนายจำเลยกลบั ไปไมต่ อ้ งรอฟังคำสงั่ จงึ เปน็ เหตุ ให้ทนายจำเลยไม่อาจทราบคำสั่งศาลในวันนั้นได้ อีกทั้งในวันถัดมาเมื่อทนายจำเลยโทรศัพท์มาสอบถามคำสั่ง ศาล ณ. ก็ตอบไปว่าศาลอนุญาต แต่ไม่แน่ใจว่าจะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ตามที่ขอหรือไม่ กรณี เช่นนี้เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งคำสั่งที่ถูกต้องให้จำเลยทราบแต่อย่างใด จะถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลชั้นต้น แล้วมิได้ ถือว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไม่ปกติในทางธุรการของศาลชั้นต้นทีไ่ ม่อาจให้จำเลยทราบคำสั่งในวันที่ยืน่ คำร้องนั้นได้ นับว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 4 ก่อนสิ้น ระยะเวลาท่ีศาลช้นั ต้นกำหนดในครงั้ ท่ี 3 ได้ กรณมี เี หตสุ มควรอนุญาตใหจ้ ำเลยขยายระยะเวลาอทุ ธรณ์คร้ังท่ี 4 ต่อไปอีก ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 130 จำเลยขดุ ดินในที่ดินของจำเลยท้ังแปลง 25 ไร่ ลึกกว่า 3 เมตร ห่างจากแนวเขตที่ดนิ โจทก์น้อยกว่า 50 เซนตเิ มตร ทำใหส้ ภาพท่ดี ินจำเลยเป็นบอ่ ขนาดใหญ่และที่ดนิ โจทก์เปน็ ขอบบ่อสงู ชนั ซงึ่ ตามกฎหมาย บ่อจะขุด ในระยะสองเมตรจากแนวเขตทีด่ นิ ไมไ่ ด้ ทงั้ ห้ามมิใหข้ ดุ ดนิ จนอาจเป็นเหตอุ ันตรายแกค่ วามอยมู่ ัน่ แห่งท่ีดนิ ติดตอ่ เว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพ่ือป้องกันความเสียหาย ซึ่งมีเจตนารมณ์ท่ีจะป้องกนั มใิ ห้ท่ีดินซึ่งอยู่ชิดแนวเขตน้นั พัง
ลงตามธรรมชาติ แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยขุดดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ แต่ก็เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิ ดความ เสียหายแก่โจทก์อนั เป็นการละเมิด และใช้สิทธขิ องตนเปน็ เหตใุ ห้เจ้าของอสงั หาริมทรพั ย์ได้รับความเสียหายหรือ เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้วา่ จะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่ แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป และไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทน ซึ่งการ ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดต้องอยู่ในบังคบั แห่งอายุความหนึ่งปี เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในกำหนดดังกล่าวจึงขาดอายุความ แต่โดยที่จำเลยทำบันทึก ยอมรับว่าได้ขุดดินชิดหลักเขตทีด่ ินโจทกจ์ ริงและจะเยียวยาแก้ไข จึงเป็นการทำบันทึกรับสภาพความรับผิดเป็น หนังสือภายหลังคดีขาดอายุความ ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์ซึ่งมีอายุความสองปี นับแต่วันที่ทำหนังสือ ดังกล่าว โจทกฟ์ ้องคดนี ้ีภายในกำหนดดงั กลา่ ว ฟอ้ งโจทกจ์ ึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576 / 2562 จำเลยขุดดินในที่ดินของจำเลยนำไปขายในธุรกิจรับเหมาถม ดิน โดยขุดทั้งแปลง 25 ไร่ ลึกกว่า 3 เมตร ห่างจากแนวเขตที่ดินโจทก์น้อยกว่า 50 เซนติเมตร ทำให้ที่ดิน จำเลยมีสภาพเป็นบ่อขนาดใหญ่และที่ดินโจทก์มีสภาพเป็นขอบบ่อสูงชัน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1342 วรรค หนงึ่ บัญญตั วิ ่า “บอ่ สระ หลมุ รบั น้ำโสโครก หรือหลุมรับปุ๋ย หรอื ขยะมลู ฝอยนั้น ท่านว่าจะขุดในระยะสองเมตร จากแนวเขตที่ดนิ ไม่ได้” และตาม ป.พ.พ. มาตรา 1343 บัญญัตหิ ้ามมิใหข้ ุดดนิ จนอาจเป็นเหตอุ นั ตรายแก่ความ อยู่มั่นแห่งที่ดินติดต่อเว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหาย โดยบทบัญญัติดังกล่าวมเี จตนารมณ์ท่ี จะป้องกันมิให้ที่ดินซึ่งอยู่ชิดแนวเขตนั้นพังลงตามธรรมชาติเนื่องจากการขุดดินใกล้แนวเขตมากจนเกินไป และ เมื่อจำเลยขุดดินของตนเองจนเป็นบ่อขนาดใหญ่ห่างจากแนวเขตน้อยกว่า 50 เซนติเมตร ย่อมเป็นเหตุให้ที่ดนิ โจทก์พังลงตามธรรมชาตไิ ด้ แมไ้ ม่ปรากฏวา่ จำเลยขดุ ดินรกุ ลำ้ เขา้ ไปในท่ดี ินโจทก์ แต่ก็เป็นการท่ีจำเลยใช้สิทธิซึ่ง มีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 และเป็นการใช้สิทธิของตนเป็น เหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไป ตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบ โจทก์ซึ่งเป็น เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รบั ผลกระทบดังกล่าวมีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายเดือดร้อนน้ันใหส้ ิน้ ไป และไม่ลบล้างสิทธทิ ี่จะเรยี กเอาคา่ ทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337 การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 และมาตรา 1337 แต่โจทก์ ฟ้องเรียกเอาคา่ เสยี หายอันเกิดแต่มูลละเมดิ จึงอยู่ในบังคับแห่งอายุความหนึ่งปตี าม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรค หนึ่ง จำเลยขุดดินในปี 2541 โจทก์แจ้งความบันทึกไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2541 ระบุตัวจำเลย เป็นผูท้ ำละเมิดจึงเริม่ นับอายุ 1 ปี นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2541 โจทก์มิได้ฟ้องคดภี ายในกำหนดหนึ่งปี จึงขาด อายุความ แต่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองเขา้ ไปตรวจสภาพที่เกิดเหตุตามข้อร้องเรียนของโจทก์ จึงมีการไกลเ่ กลี่ย และทำบันทกึ ระบวุ า่ จำเลยยอมรับว่าได้ขุดดินชดิ หลกั เขตทดี่ นิ ของโจทก์จรงิ และจะทำการถมดินเป็นแนวกันชน เพื่อป้องกันการพังทลายของดินห่างจากแนวเขตอย่างน้อย 2 เมตร จึงเป็นการยอมรับว่าความเสียหายในที่ดิน โจทก์เกิดจากการกระทำของจำเลยและต่อมามีการทำบันทึกเพิ่มเติมระบุว่าจำเลยจะดำเนินการถมดินภายใน
วันที่ 23 มกราคม ถึง 31 มกราคม 2558 จึงเป็นกรณีที่จำเลยทำบันทึกรับสภาพความรับผิดเป็นหนังสือ ภายหลังคดีขาดอายุความ ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 ซึ่งมีอายุความสองปี นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2557 ที่ได้ทำหนังสือรับสภาพความรับผิด โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2559 ภายในอายุความสองปี ฟอ้ งโจทก์จงึ ไมข่ าดอายคุ วาม ฎีกาเล่าเร่ือง 131 โจทกไ์ ด้ทด่ี ินพิพาทมาโดยผู้ให้และผู้ขายส่งมอบและเขา้ ครอบครองยึดถอื เพ่ือตน อนั เป็นการได้มาซง่ึ สิทธิ ครอบครองโดยผลของกฎหมายกอ่ นทจี่ ำเลยที่ 1 จะนำท่ดี นิ ดังกลา่ วไปจดทะเบยี นขายฝากแกจ่ ำเลยท่ี 2 การจด ทะเบียนขายฝากนั้นจึงเป็นการกระทำไปโดยไม่มีสิทธิและไม่ทำให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 โจทก์ใน ฐานะเจ้าของย่อมใช้สิทธิติดตามเอาคืนที่ดินพิพาทได้ ทั้งการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์มีผล สมบูรณท์ นั ที แม้ยังไม่ได้มกี ารจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ และนับตง้ั แต่นน้ั จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใชเ่ จา้ ของที่ดิน พพิ าทไมม่ สี ทิ ธิไปจดทะเบียนขายฝากแกจ่ ำเลยท่ี 2 จึงเป็นการใชส้ ทิ ธโิ ดยไม่สุจรติ และไมท่ ำให้การขายฝากมีผล สมบูรณ์อนั จะทำใหจ้ ำเลยที่ 2 อยใู่ นฐานะผ้มู สี ทิ ธคิ รอบครองโดยชอบและไมจ่ ำตอ้ งพิจารณาวา่ จำเลยที่ 2 รบั ซื้อ ฝากโดยสุจริตและเสียคา่ ตอบแทนกบั อยู่ในฐานะอันจะใหจ้ ดทะเบยี นสิทธิของตนได้ก่อนหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5900 / 2562 โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้มาโดยผู้ให้และ ผู้ขายส่งมอบที่ดินพิพาทและโจทก์เข้าครอบครองยึดถือเพื่อตน เป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผลของ กฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และมาตรา 1378 ตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะ นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทั้งแปลงซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากแก่ จำเลยที่ 2 การจดทะเบียนขายฝากของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำไปโดยไม่มีสิทธิ และไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ผู้รับ ซื้อฝากมีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขายฝาก โจทก์ในฐานะเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองย่อมใช้สิทธิติดตามเอาคืนซ่งึ ที่ดนิ พพิ าทของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1336 การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยผลของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1367 และมาตรา 1378 มีผลสมบูรณ์ทันที แม้จะยังไม่ได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหนา้ ท่ีก็ตาม และนับตงั้ แตน่ นั้ จำเลยท่ี 1 ไมใ่ ชเ่ จ้าของทดี่ นิ พพิ าทแลว้ จำเลยท่ี 1 ย่อมไมม่ สี ิทธินำท่ีดินพพิ าท ไปจดทะเบียนขายฝากแก่จำเลยที่ 2 อีกต่อไป การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการใช้สิทธโิ ดยไม่สจุ รติ และไมท่ ำ ให้การขายฝากมีผลสมบรู ณอ์ นั จะทำให้จำเลยท่ี 2 อยใู่ นฐานะผมู้ สี ทิ ธคิ รอบครองโดยชอบ โดยไม่จำต้องพิจารณา ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับซื้อฝากโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ และเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จด ทะเบยี นสิทธิของตนได้อยกู่ ่อนหรือไม่
ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 132 บทบัญญัติทีว่ ่าทายาทต้องฟ้องผู้จัดการมรดกภายในอายุความห้าปี นับแต่การจดั การมรดกสิ้นสุดลงน้ัน จำกัดเฉพาะแต่บุคคลที่เป็นทายาทและผูจ้ ดั การมรดกของผูต้ าย จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกมิใช่ทายาทจึงไม่ อาจยกอายคุ วามดังกล่าวข้ึนตอ่ สโู้ จทก์ท้งั สองซ่งึ เปน็ ทายาทได้ อยา่ งไรก็ตาม แมก้ ารโอนหรอื จัดการมรดกโดยไม่ ชอบทำให้โจทกท์ งั้ สองผ้เู ป็นทายาทและมีสิทธไิ ดร้ บั มรดกทด่ี นิ พิพาทอยูใ่ นฐานะอนั จะจดทะเบยี นโอนท่ีดินพพิ าท ได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รับโอนที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ 2 ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองจึงไม่มี อำนาจฟ้องเพกิ ถอนนติ กิ รรมการขายที่ดินดงั กลา่ ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2715 / 2562 ทายาททั้งหลายต้องฟ้องร้องผู้จัดการมรดกภายในอายุความ ห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733 วรรคสอง จำกัด เฉพาะแต่บุคคลที่เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกมิใช่ทายาทของผู้ตาย ไม่อาจยกอายคุ วามดงั กลา่ วขน้ึ เป็นขอ้ ตอ่ ส้กู ับโจทก์ทงั้ สองซงึ่ เปน็ ทายาทได้ แม้การโอนไปหรือการจัดการมรดกโดยไม่ชอบทำให้โจทก์ทั้งสองผู้เป็นทายาทของ ท. และมีสิทธิได้รับ มรดกท่ีดินพิพาท อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนโอนทีด่ ินพิพาทได้อยูก่ ่อนแล้วเสยี เปรียบก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ซ่ึง เป็นบุคคลภายนอกได้รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยท่ี 2 ย่อมได้ไปซ่ึงกรรมสิทธิ์ในท่ีดนิ พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์ท้งั สองไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิตกิ รรมการขายทีด่ นิ พพิ าทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 133 ความผิดฐานเปน็ ธุระจดั หาหญิงไปเพือ่ สนองความใครข่ องผู้อ่นื และเพ่ือการอนาจารและความผิดฐานเปน็ ธรุ ะจัดหาบุคคลไปเพือ่ กระทำการคา้ ประเวณี กับความผดิ ฐานเปน็ เจา้ ของ ผูด้ ูแล ผ้จู ดั การกจิ การคา้ ประเวณหี รอื สถานการคา้ ประเวณี ตา่ งมีสภาพความผิดอนั มุง่ หมายใหเ้ กิดผลตอ่ ผกู้ ระทำความผิดแตกตา่ งกนั จงึ เป็นความผิด ตา่ งกรรม คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1888 / 2562 ความผดิ ฐานเปน็ ธรุ ะจดั หาหญงิ ไปเพื่อสนองความใครข่ องผอู้ น่ื และเพื่อการอนาจารและความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อกระทำการค้าประเวณีนั้น กฎหมายมุ่งที่จะ บังคบั แก่ผทู้ ่ีเปน็ ธุระจดั หาหญงิ ไปเพือ่ สนองความใครข่ องผอู้ ่นื เพื่อการอนาจารหรือเพื่อใหก้ ระทำการค้าประเวณี ไม่ว่าการเป็นธุระจัดหาดังกล่าวจะกระทำขึ้นโดยวิธีการใด ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการ ค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณนี ั้น กฎหมายมุ่งที่จะบังคับแก่ผู้จดั การกิจการหรือสถานที่ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อการคา้ ประเวณีหรือเพื่อใช้ในการติดต่อหรือจัดหาบุคคลเพื่อกระทำการค้าประเวณีเป็นการเฉพาะ ดังนี้ เมื่อ
สภาพแห่งความผิดท้ังสองอยา่ งดังกลา่ วมีความมุ่งหมายให้เกิดผลต่อผู้กระทำความผิดที่มีเจตนากระทำความผดิ แตกต่างกัน จงึ เปน็ ความผิดต่างกรรม ฎีกาเล่าเรื่อง 134 ศาลชั้นอุทธรณ์ยกคำร้องขอคืนของกลาง โดยให้เหตุผลว่าไมม่ ีพยานมาสืบตามคำรอ้ ง จึงเป็นกรณีท่ศี าล มีคำวินจิ ฉยั ชข้ี าดคดีแล้ว การท่ีผู้รอ้ งย่ืนคำร้องขอคนื ของกลางในคดีนโ้ี ดยอ้างเหตุว่า ผ้รู อ้ งมิได้รูเ้ หน็ เป็นใจหรือมี ส่วนร่วมในการกระทำความผิดของจำเลย อันเป็นเหตุอย่างเดียวกับคำร้องฉบับแรก จึงเป็นการดำเนินกระบวน พจิ ารณาเก่ียวกบั คดีหรือประเด็นทีไ่ ด้วินจิ ฉัยช้ขี าดแลว้ ตอ้ งหา้ มตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 4084 / 2562 ศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 ให้ยกคำรอ้ งขอคนื ของกลาง โดยให้เหตุผล วา่ ไม่มพี ยานมาสืบตามคำรอ้ ง จึงเป็นกรณีท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 ไดม้ คี ำวนิ จิ ฉัยชี้ขาดคดแี ลว้ โดยอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คู่ความฟังวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางในคดีนี้อีก ครั้งในวันที่ 8 ธันวาคม 2559 โดยอ้างเหตุว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของ จำเลยซึ่งเป็นการอ้างเหตุอย่างเดียวกับคำร้องฉบับแรก ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษายกคำร้องไปแล้ว กรณีจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.ว.ิ อ. มาตรา 15 ฎกี าเล่าเรือ่ ง 135 แม้จำเลยใหก้ ารรับสารภาพ และไม่ได้ยกปัญหาเร่ืองการกระทำโดยป้องกันขึ้นอ้างในศาลชั้นต้น แต่เปน็ ปญั หาขอ้ กฎหมายทีเ่ ก่ียวกบั ความสงบเรียบรอ้ ย ไมต่ ้องห้ามทจี่ ะยกขึ้นวา่ กล่าวในชนั้ อุทธรณ์ อย่างไรก็ดี ขณะที่ จำเลยใชอ้ าวุธปืนยิงใส่กลมุ่ วัยรุน่ จำเลยมิไดย้ ิงตอบโตท้ นั ทีในขณะนน้ั แตไ่ ดว้ ิง่ ออกไปแลว้ ยงิ ใส่กลุม่ วัยรนุ่ หา่ งกัน ประมาณ 15 เมตร โดยที่ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้หมดสิ้นไปแล้วและไม่ เป็นภยนั ตรายท่ใี กลจ้ ะถงึ จงึ ไม่เป็นการปอ้ งกันเกนิ กวา่ กรณแี หง่ การจำตอ้ งกระทำเพื่อปอ้ งกนั คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6279 /2562 แม้จำเลยใหก้ ารรับสารภาพ และไมไ่ ดย้ กปัญหาเรือ่ งการกระทำ โดยปอ้ งกันโดยชอบดว้ ยกฎหมายขนึ้ อ้างมาแตศ่ าลช้ันตน้ แต่เปน็ ปญั หาขอ้ กฎหมายทีเ่ กี่ยวกบั ความสงบเรยี บรอ้ ย ไม่ต้องห้ามที่จำเลยจะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 มอี ำนาจวนิ จิ ฉัยได้ ขณะจำเลยใช้อาวธุ ปนื ยงิ ใสก่ ลุ่มวยั รุน่ จำเลยมิไดย้ ิงตอบโตไ้ ปในทันทีขณะทอ่ี ย่หู นา้ เวทีการแสดงลเิ ก อนั จะแสดงออกถึงเจตนาระงับเหตุซึ่งพวกกลุ่มวัยรุ่นอาจก่อขึ้นติดตามมาอีกอย่างกระชั้นชิด แต่จำเลยวิ่งออกจาก
หน้าเวทีการแสดงไปที่ถนนสาธารณะแล้วยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งกำลังพากันออกจากบริเวณงานอยู่ห่างจากจำเลย ประมาณ 15 เมตร ขณะเวลานั้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้หมดสิ้นไปแล้ว และไม่เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำ เพอ่ื ปอ้ งกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 136 จำเลยทำปืนลั่นขณะกอดปลำ้ กับผู้ตายโดยไม่มีเจตนาฆ่า แต่เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผูอ้ ่ืน ถึงแก่ความตาย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้อง เมื่อข้อแตกต่างดังกล่าว ไม่ใช่สาระสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ ส่วนการที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้นต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา เมื่อจำเลยกระทำโดย ประมาท จึงไมใ่ ชก่ ารปอ้ งกนั ตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1597 / 2562 จำเลยทำปืนลั่นขณะที่กอดปลำ้ กันกับผูต้ ายโดยไมม่ ีเจตนาฆา่ ผู้ตาย เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมดั ระวังซึง่ บคุ คลในภาวะเช่นจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ใหเ้ พียงพอไม่ เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตใุ ห้ ผู้อื่นถึงแกค่ วามตาย อันเป็นเรอื่ งข้อเทจ็ จริงทป่ี รากฏในทางพิจารณาแตกตา่ งกบั ข้อเทจ็ จริงทกี่ ลา่ วในฟ้อง แต่ข้อ แตกต่างนั้นมิใช่ขอ้ สาระสำคัญ และทั้งจำเลยมิไดห้ ลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาตาม ข้อเทจ็ จริงทไี่ ด้ความตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง การกระทำซ่งึ จะเปน็ การป้องกันโดยชอบดว้ ยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ต้องเป็น การกระทำโดยเจตนา จำเลยเอาอาวุธปืนออกมายงิ ขู่ผตู้ ายในนัดแรก และเม่อื กอดปลำ้ กนั กระสนุ ปืนลั่นถูกผู้ตาย 2 นัดโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ไม่ใช่เป็นการกระทำโดยเจตนา จึงไม่ใช่เป็นการป้องกันโดย ชอบดว้ ยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ฎกี าเล่าเรือ่ ง 137 ในวันทจ่ี ำเลยที่ 1 โอนทรัพยส์ นิ ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสนห่ า เจา้ พนักงานบังคับคดมี เี งินที่ได้จากการขาย ทอดตลาดทรพั ย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการชำระหน้ีพร้อมคา่ ธรรมเนียมทั้งหมดแก่โจทกแ์ ล้ว จึงถือไมไ่ ด้ ว่าจำเลยทัง้ สองมีเจตนาไมใ่ หโ้ จทกไ์ ด้รับชำระหน้ี จำเลยท้ังสองจึงไม่มคี วามผิดฐานร่วมกนั โกงเจา้ หนี้ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 680 / 2562 ในวันทีจ่ ำเลยที่ 1 โอนทดี่ ินพร้อมทาวนเ์ ฮาส์สองชนั้ ใหแ้ ก่จำเลย ที่ 2 โดยเสน่หา เจ้าพนักงานบังคับคดมี ีเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพียงพอต่อการ
ชำระคา่ เสียหายพรอ้ มค่าธรรมเนยี มตา่ งๆท้งั หมดแก่โจทก์อยกู่ ่อนแล้ว การกระทำของจำเลยทงั้ สองยังถอื ไม่ได้ว่า มีเจตนาทีจ่ ะไมใ่ หโ้ จทกไ์ ดร้ บั ชำระหนี้ท้งั หมดหรือแตบ่ างสว่ น จำเลยท้งั สองไมม่ ีความผดิ ฐานรว่ มกันโกงเจา้ หน้ี ฎกี าเล่าเรอื่ ง 138 โจทก์ฎีกาโดยนำแบบพิมพ์คำร้องมาขดี ฆา่ แก้ไขเป็นฎีกา โดยไม่ใช้แบบพิมพ์ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ที่ ศาลชน้ั ตน้ รับฎกี าไว้โดยไมส่ งั่ ให้แกไ้ ข แม้เปน็ การไม่ชอบ แต่เมื่อคดขี ึน้ มาสู่ศาลฎกี าแลว้ เพ่ือไม่ให้ล่าช้าศาลฎีกา จึงสมควรวินิจฉัยให้ สำหรับคดอี าญาที่ราษฎรเป็นโจทก์และมกี ารไต่สวนมูลฟ้องนั้น หากโจทก์จำเป็นต้องคน้ หา สิง่ ของในความครอบครองของผอู้ ื่นเป็นหลกั ฐานประกอบการไตส่ วนกช็ อบทจ่ี ะยนื่ คำรอ้ งขอให้ศาลออกหมายคน้ ได้ กรณีมิใชอ่ ำนาจของพนักงานฝา่ ยปกครองหรอื ตำรวจโดยเฉพาะทจ่ี ะร้องขอดงั กล่าว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6864 / 2562 โจทก์ฎีกาโดยนำแบบพิมพ์คำร้องมาขีดฆ่าแก้ไขแล้วเขียน ข้อความใหม่ว่าเปน็ ฎกี า โดยไม่ไดใ้ ช้แบบพมิ พฎ์ ีกาและคำขอทา้ ยฎีกาให้ถูกตอ้ งตามแบบท่ีกฎหมายกำหนด แต่ท่ี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์โดยไม่ได้สั่งให้โจทก์ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อนแมเ้ ป็นการไม่ชอบ แต่ คดขี ้ึนมาสู่การพจิ ารณาของศาลฎีกาแลว้ เพอื่ ไมใ่ ห้เกิดความลา่ ช้าศาลฎีกาสมควรวนิ ิจฉยั ฎกี าของโจทก์ คดีอาญาท่ีราษฎรเป็นโจทกฟ์ อ้ งตอ่ ศาลเองและมีการไตส่ วนมูลฟ้อง หากราษฎรผเู้ ปน็ โจทก์มคี วามจำเป็น ต้องการค้นหาสิ่งของซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นเพื่อจะนำม าเป็นพยานหลักฐานประกอบการไต่สวนมูล ฟ้องคดีของตนก็ชอบท่ีจะยืน่ คำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นเพื่อพบและยึดสิง่ ของนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวธิ ี พิจารณาความอาญา มาตรา 69 (1) มิใช่เป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจโดยเฉพาะที่จะร้อง ขอให้ศาลออกหมายค้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ฎีกาเล่าเร่อื ง 139 จำเลยให้การรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษทั้งที่มิได้เป็นจำเลยในคดี ดังกล่าว แสดงว่าจำเลยไม่เข้าใจข้อเท็จจริงในคำขอเพิ่มโทษ แม้โจทก์อ้างในชั้นอุทธรณ์ว่า จำเลยเป็นบุคคลคน เดียวกับจำเลยในอีกคดีหนึ่งและถูกลงโทษจำคุก โจทก์ก็มิได้กล่าวในฟ้องและจำเลยไม่ได้ยอมรับข้อเท็จจริง จึง ไมใ่ ชก่ ารผดิ พลาดเล็กน้อย โจทกจ์ ะขอใหถ้ อื เอาข้อเท็จจรงิ นอกเหนือไปจากฟ้องมาเพิ่มโทษเป็นผลร้ายแก่จำเลย ไม่ได้ ต้องห้ามมใิ หศ้ าลพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำขอหรือมไิ ด้กล่าวในฟ้อง ไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยได้ ซึ่ง เป็นข้อ กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึน้ ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นก็มีสิทธยิ กข้ึนอา้ ง ในชัน้ อทุ ธรณไ์ ด้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6736 / 2562 จำเลยให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยใน คดอี าญาที่โจทกข์ อให้เพิ่มโทษท้งั ที่จำเลยมิได้เป็นจำเลยในคดีดงั กลา่ ว แสดงว่าจำเลยไม่เข้าใจขอ้ เท็จจรงิ ในคำขอ ทโี่ จทก์บรรยายขอให้เพมิ่ โทษ แมโ้ จทกจ์ ะอ้างในช้ันอุทธรณว์ ่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกบั จำเลยในคดอี าญาอีก เรื่องหนึ่งของศาลชั้นต้น และถูกลงโทษจำคุกเช่นกันก็เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 วรรคแรก และจำเลยไม่ได้ให้การยอมรับข้อเท็จจริง ทั้งโจทก์ บรรยายฟ้องแตกต่างกันทั้งหมายเลขคดี วันที่พิพากษา ชื่อคู่ความ โทษตามคำพิพากษา จึงไม่ใช่การผิดพลาด เล็กน้อย โจทก์จะขอให้ถือเอาข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากที่กล่าวไว้ในฟ้องมาเพิม่ โทษเป็นผลร้ายแกจ่ ำเลยไม่ได้ ต้องห้ามมิให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวไว้ในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ประกอบพระราชบัญญตั ิวิธพี ิจารณาคดียาเสพตดิ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ไม่ อาจเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายได้ ปญั หาการเพ่มิ โทษจำเลยชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาขอ้ กฎหมายทเ่ี กีย่ วกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 140 ผูต้ ายท้ังสองเข้าไปลกั ใบพืชกระท่อมของจำเลย แมเ้ ป็นการประทษุ ร้ายอนั ละเมิดตอ่ กฎหมาย และจำเลย มีสิทธิป้องกันทรัพย์สินของตนเองได้ก็ตาม แต่การที่จำเลยต่อและปล่อยกระแสไฟฟ้าที่สามารถทำให้ผู้อื่นถึงแก่ ความตายได้ ทั้งทีท่ รพั ยส์ ินมรี าคาไม่สงู นัก ถอื เปน็ การกระทำเกินสมควรแกเ่ หตุหรอื เกนิ กวา่ กรณแี ห่งการจำต้อง กระทำ ซ่ึงศาลจะลงโทษน้อยกวา่ ทก่ี ฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพยี งใดก็ได้ คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 3330 / 2562 ผ้ตู ายทั้งสองเข้าไปลักใบพชื กระทอ่ มของจำเลย ถอื ไดว้ า่ ผู้ตาย ทั้งสองกระทำการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายต่อทรัพย์ของจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะป้องกันทรัพย์สินของ ตนเองได้ แต่จำเลยต่อและปล่อยกระแสไฟฟ้าที่สามารถทำให้ดูดคนให้ถึงแก่ความตายได้ ทั้งที่ทรพั ย์สินที่จำเลย ใีช้สิทธิกระทำการป้องกันมีราคาไม่สูงมากนัก ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณี แห่งการจำต้องกระทำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรบั ความผิดน้นั เพยี งใดกไ็ ด้
ฎีกาเล่าเร่ือง 141 จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาท 2 ฉบับๆละ 28,080 บาท ชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม การที่จำเลยทั้งสองนำ เงิน 56,160 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ดังกล่าว โดยทนายโจทก์ร่วมแถลงเพียงว่ายังไม่ประสงค์จะรับเงิน บรรเทาความเสียหายและติดใจให้ศาลพิพากษาคดีต่อไป มิได้คัดค้านวา่ หนีท้ ี่ออกเช็คพิพาทยังไม่ระงับ ถือได้ว่า หนี้ดังกล่าวสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเลิกกนั ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ ย่อมระงับไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3062-3063/2562 จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาท 2 ฉบับ ฉบับละ 28,080 บาท เพื่อชำระหนี้ค่าลิขสิทธิ์ตามหนังสือสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิเผยแพร่ต่อสาธารณชน อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริง และสามารถบังคับได้ตามกฎหมายแก่โจทก์ร่วม การที่จำเลยทั้งสองนำเงิน 56,160 บาท มาวางศาลเพื่อชำระ หนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่โจทก์ร่วม โดยทนายโจทก์ร่วมเพียงแต่แถลงว่ายังไม่ประสงค์จะรับเงินเพื่อ บรรเทาความเสียหายและตดิ ใจให้ศาลพพิ ากษาคดีต่อไป มิได้คัดค้านว่าหนี้ที่ออกเช็คพิพาทยังไม่ระงับไปเพราะ เหตุจำเลยทั้งสองยังมิได้ชำระดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าหนี้ที่จำเลยทั้งสองได้ออก เช็คพิพาทเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คดีจึงเลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7 ดังนั้น สิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ ไปตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 39 (3) ฎีกาเล่าเร่ือง 142 จำเลยพกพาอาวุธมีดขนาดใหญบ่ กุ รุกเข้าไปขม่ ขนื กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ซง่ึ เป็นเดก็ หญิงในหอ้ งนอน โดยวางอาวุธมีดไว้ข้างตัว พฤติการณ์ย่อมทำให้ผู้เสียหายที่ 2 กลัวและไม่กล้าขัดขืน การกระทำดังกล่าวจึงเปน็ ความผดิ ฐานขม่ ขืนกระทำชำเราผเู้ สยี หายที่ 2 โดยใชอ้ าวธุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6905 / 2562 จำเลยพกพาอาวุธมีดขนาดใหญ่บุกรุกเข้าไปข่มขืนกระทำ ชำเราผู้เสียหายที่ 2 ในห้องนอน โดยขณะกระทำชำเราจำเลยวางอาวุธมีดไว้ข้างตัวใกล้มือจำเลยซึ่งพร้อมที่จะ หยบิ ฉวยไดท้ ันที พฤตกิ ารณ์เชน่ น้ยี อ่ มทำให้ผ้เู สียหายท่ี 2 ซ่งึ เป็นเดก็ หญงิ เกดิ ความกลวั วา่ จะถูกทำร้ายดว้ ยอาวธุ มดี นน้ั จึงไมก่ ล้าขดั ขนื ถือไดว้ ่าเป็นการใช้อาวธุ มดี ข่มขผู่ ้เู สียหายท่ี 2 แลว้ การกระทำของจำเลยเป็นความผดิ ฐาน ขม่ ขนื กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ (เดิม)
ฎกี าเล่าเรือ่ ง 143 โจทกฟ์ อ้ งว่า โจทก์มอบอำนาจให้ผ้อู ่ืนฟ้องคดแี ทน จำเลยใหก้ ารตอ่ สูใ้ นประเด็นดังกลา่ ว คดจี ึงต้องอาศัย หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐาน แม้โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบอำนาจ แต่เมื่อไม่ได้ขีดฆ่าให้ บริบูรณ์ จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แม้โจทก์จะเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินภายหลังจากศาลชั้นต้น และศาลชัน้ อทุ ธรณพ์ ิพากษาแล้วกไ็ มม่ ผี ลเปล่ยี นแปลงการรบั ฟังพยานหลักฐานของศาลได้ คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 3825 / 2562 โจทกฟ์ ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีแทนโจทก์ จำเลย ให้การว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องจำเลยและให้มีอำนาจฟ้องคดีในศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้อง ถือวา่ จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทกว์ า่ โจทกไ์ มไ่ ดม้ อบอำนาจให้ ส. ฟอ้ งคดีแทนโจทก์ คดีต้องอาศัยหนังสือ มอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีแทนหรือไม่ เมื่อหนังสือมอบอำนาจโจทก์ปิด อากรแสตมปแ์ ลว้ แต่ไม่ได้ขีดฆา่ อากรแสตมป์ ย่อมถือวา่ ยังไม่ได้ปิดอากรแสตมปใ์ ห้บริบูรณ์ตามประมวลรษั ฎากร มาตรา 118 ไมอ่ าจใชห้ นงั สือมอบอำนาจรับ ฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แม้โจทก์ดำเนินการเสยี อากรแสตมป์เป็นตัวเงินในหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารท้าย ฎีกาโจทก์ภายหลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำพิพากษาแล้วย่อมไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการรับฟัง พยานหลักฐานของศาลได้ ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 144 ในความผิดที่กฎหมายเดิมกำหนดโทษประหารชีวิตไว้เพียงสถานเดียว ส่วนกฎหมายที่แก้ไขใหม่ระวาง โทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับตัง้ แตห่ นึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวติ ซึ่งศาลชั้นตน้ พิพากษาลงโทษ ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 เทา่ กบั โทษข้นั สูงตามกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ิในภายหลงั ศาลช้ันอทุ ธรณพ์ ิพากษายืน และศาล ฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 30 ปี จึงอยู่ในระวางโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ถือไม่ได้ว่าโทษตามคำ พพิ ากษาหนกั กว่าโทษตามกฎหมายท่บี ญั ญัตใิ นภายหลัง คำร้องของจำเลยท่ี 1 ที่ขอให้กำหนดโทษใหม่ จึงไม่ตอ้ ง ดว้ ยบทบัญญัติแหง่ กฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3160 / 2562 ความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อ จำหน่ายอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง ซ่งึ กฎหมายเดิมกำหนด โทษประหารชีวิตไว้เพียงสถานเดียว ส่วนกฎหมายที่แก้ไขใหม่ใหม้ ีระวางโทษจำคกุ ตลอดชีวติ และปรับต้ังแต่หนงึ่ ล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต และตาม ป.อ. มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำ ความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำ ความผดิ ไมว่ ่าในทางใด เว้นแตค่ ดถี งึ ท่ีสดุ แลว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) ถา้ ผู้กระทำความผิดยงั ไมไ่ ด้รบั โทษ หรอื กำลังรับโทษ อยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” คดีนี้ศาล
ชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 เท่ากับโทษข้ันสูงตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ศาลอุทธรณ์ ภาค 9 พิพากษายืน และศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 30 ปี จึงอยู่ในระวางโทษตามกฎหมายที่บัญญัติใน ภายหลัง ถือไม่ได้ว่าโทษตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีตามคำร้องของ จำเลยท่ี 1 ขอใหก้ ำหนดโทษจำเลยท่ี 1 ใหม่ ไมต่ ้องดว้ ย ป.อ. มาตรา 3 (1) ฎีกาเล่าเรื่อง 145 จำเลยมีชื่อเป็นผู้เช่าซื้อในฐานะตัวแทนเชิดของผู้เสียหายที่ 2 และมอบรถดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 ไปแล้ว ผู้เสียหายที่ 2 ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แม้ต่อมาผู้เสียหายที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามขอ้ ตกลงที่จะให้จำเลย กู้ยืมเงินเพื่อตอบแทนการทำสัญญาดังกล่าว ก็ไม่ก่อสิทธิที่จำเลยจะเอารถคืนไป การที่จำเลยเอารถไปจาก ผู้เสียหายที่ 2 เพื่อเรียกร้องให้ปฏิบัติตามข้อตกลง เป็นการแย่งการครอบครองและบังคับสิทธิทางแพ่งของตน โดยพลการ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง อันเป็นความผิดฐานลัก ทรัพย์สำเร็จแล้ว แม้ต่อมาผู้เสียหายที่ 2 ตกลงจะชำระเงินแก่จำเลย และให้จำเลยคืนรถดังกล่าว กับเมื่อถึงวนั เวลานัดจำเลยขบั รถไปรอผเู้ สยี หายที่ 2 ก็ไมท่ ำใหก้ ารกระทำกลับกลายไม่เป็นความผิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6117 / 2562 จำเลยมีชื่อเป็นผู้เช่าซื้อแต่จำเลยเป็นเพียงตัวแทนเชิดของ ผู้เสียหายที่ 2 แล้วมอบรถที่เช่าซื้อให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 ไปแล้ว ผู้เสียหายที่ 2 ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองรถที่ เช่าซื้อ ส่วนจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองรถท่ีเช่าซื้อ แม้ต่อมาผู้เสียหายท่ี 2 ซึ่งตกลงจะให้จำเลยกูย้ ืมเงินเพื่อตอบ แทนที่จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถแทนผู้เสียหายที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงกับจำเลยให้ครบถ้วน ก็ไม่ก่อให้เกิด สิทธิที่จำเลยจะเอารถที่เช่าซื้อคืนจากผู้เสียหายที่ 2 การที่จำเลยเอารถที่เช่าซื้อไปจากผู้เสียหายที่ 2 เพ่ือ เรียกร้องให้ผู้เสียหายที่ 2 ปฏิบัติตามข้อตกลง เป็นการแย่งการครอบครองและเป็นการบังคับสิทธิทางแพ่งของ ตนโดยพลการ จึงเปน็ การแสวงหาประโยชน์ทมี่ ิควรไดโ้ ดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง การกระทำของจำเลย เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว แม้ต่อมาผู้เสียหายที่ 2 ตกลงจะชำระเงินแก่จำเลย แล้วให้จำเลยคืนรถที่ เช่าซื้อแก่ผู้เสียหายที่ 2 และเมื่อถึงวันเวลานัดจำเลยขับรถที่เช่าซื้อไปรอผู้เสียหายที่ 2 ก็ไม่ทำให้การกระทำ ความผดิ ฐานลักทรัพยท์ ี่สำเร็จแลว้ กลายเปน็ การกระทำท่ไี มเ่ ปน็ ความผิด ฎกี าเล่าเรือ่ ง 146 คดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวง ซึ่งต้องหา้ มมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เป็นกรณีห้ามอทุ ธรณ์เฉพาะ ในส่วนของคำพิพากษา การอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่จำหน่ายคดีเพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ แม้ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้น แต่ก็มิได้ก้าวล่วงไปวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำฟ้อง อันจะต้องห้ามอุทธรณ์ ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3162 / 2562 โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 352 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง ปรับ ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาล แขวง พ.ศ.2494 มาตรา 22 แต่กฎหมายบัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์เฉพาะในส่วนของคำพิพากษาเท่านั้น การที่ โจทก์รว่ มอุทธรณค์ ำสง่ั ของศาลช้ันตน้ ท่ีส่ังจำหนา่ ยคดเี พราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ แมจ้ ะเป็นการอุทธรณ์ ดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังข้อเท็จจริงก็ตาม แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวก็มิ ได้ก้าวล่วงไปวินิจฉัย ข้อเท็จจริงในเนือ้ หาแหง่ คำฟอ้ งแตอ่ ยา่ งใด อทุ ธรณ์ของโจทก์รว่ มคงเป็นเร่ืองท่โี จทกร์ ่วมขอใหศ้ าลอทุ ธรณภ์ าค 6 สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไปโดยไม่สั่งจำหน่ายคดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น กรณีเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการสั่งจำหน่ายคดีเพราะสิทธินำ คดีอาญามาฟ้องระงับตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 39 (2) มใิ ชเ่ ป็นการอทุ ธรณ์โตแ้ ย้งขอ้ เทจ็ จรงิ ในเน้อื หาแหง่ คำฟอ้ งท่ีจะ ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาในศา ลแขวง พ.ศ. 2494 มาตรา 22 ฎกี าเล่าเร่ือง 147 จำเลยรับว่าทำสัญญาประกันชีวิตจริง แต่อ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะเพราะผู้เอาประกันภัยปกปิดข้อมูล เกี่ยวกับสุขภาพ ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลย แต่การที่ผู้เอาประกันภัยปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งหากจำเลย ทราบมาก่อนจะเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา สัญญาประกันชีวิตย่อมตกเป็นโมฆียะ เมื่อ จำเลยบอกล้างภายในกำหนดแล้ว สัญญาจึงเป็นโมฆะ แม้เป็นการทำประกันภัยแบบไม่ต้องตรวจสุขภาพหรือ ตอบคำถามเก่ียวกับสขุ ภาพกจ็ ะถอื ว่าขอ้ เทจ็ จริงในเรื่องน้ีมใิ ชส่ าระสำคัญอีกต่อไปหาไดไ้ ม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39 / 2562 จำเลยรับว่าทำสัญญาประกันชีวิตจริง แต่กล่าวอ้างว่าสัญญา ประกนั ชวี ิตเป็นโมฆะเพราะ ค. ผ้เู อาประกนั ภัยมารดาโจทกป์ กปิดขอ้ มูลไม่เปิดเผยข้อความจรงิ ให้จำเลยทราบวา่ มสี ุขภาพไม่สมบูรณเ์ จบ็ ปว่ ยด้วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคดซี ่าน และโรคมะเรง็ ทอ่ น้ำดี มาก่อนทำ สัญญาประกันชีวิตโดยแจง้ ว่ามสี ุขภาพดีภายในระหวา่ ง 3 ปี กอ่ นทำสญั ญาประกนั ชวี ิตไม่เคยให้แพทย์ตรวจหรือ เข้าสถานพยาบาล ทำการรักษา ตรวจโลหิต ความดันโลหิต ปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจหัวใจ หรือตรวจอย่างอ่ืน ภาระการพสิ จู นต์ กแกจ่ ำเลย ค. ผู้เอาประกันภัยทำประกันชีวิตโดยปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพ หากจำเลยทราบก่อนทำสัญญา ประกันชีวิตจำเลยจะเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยบอกล้างสัญญาประกันชีวิตภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างแล้ว สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆะ แม้การทำประกันภัยแบบไม่
ต้องตรวจสุขภาพหรือตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพก็จะถือว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพมิใช่สาระสำคัญอีกต่อไป หาไดไ้ ม่ ฎกี าเลา่ เร่อื ง 148 ในคดียาเสพติด จำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นเกี่ยวข้องอยู่ในกระบวนการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 มาโดย ตลอด ถือได้ว่าเป็นตัวการรว่ มกระทำความผิด บันทึกคำให้การชัน้ สอบสวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพยานบอกเลา่ และพยานซดั ทอด กบั มีพยานหลกั ฐานอ่นื ของโจทก์มาประกอบ จงึ ใช้รับฟงั ลงโทษจำเลยท่ี 1 ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4514 / 2562 จำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นเกี่ยวข้องอยู่ในกระบวนการกระทำ ความผิดกับจำเลยที่ 2 มาโดยตลอดนับตั้งแต่ร่วมกันเดินทางจากจังหวัดสระบุรีมาที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัด นครพนม แล้วจำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามนี มาซุกซอ่ นในรถกระบะของกลางและเดินทางโดยรถดังกล่าวไป ถูกสกดั จับจึงหลบหนไี ปพักโรงแรมจนถงึ เวลาทจี่ ำเลยท่ี 1 ขับรถไปรับจำเลยท่ี 2 แลว้ พากนั เดนิ ทางหลบหนอี อก จากจังหวัดนครพนม การกระทำของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด บันทึกคำให้การชั้น สอบสวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าและพยานซัดทอดมีพยานหลักฐานอื่นของโจทก์มาประกอบจึงใช้ ในการรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรคหน่ึง ประกอบพระราชบญั ญตั ิวธิ ีพจิ ารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎกี าเลา่ เรื่อง 149 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่เกี่ยวกับเขตอำนาจศาลเป็นที่สุด ศาลชั้นต้นชอบทีจ่ ะดำเนนิ กระบวนพจิ ารณาต่อไปไดเ้ ฉพาะการโอนคดีหรือการจำหนา่ ยคดเี ท่านนั้ การทโี่ จทก์ท้ัง สิบย่นื คำรอ้ งและศาลช้นั ตน้ มีคำสง่ั ให้ยกคำรอ้ งคดั คา้ นคำวนิ จิ ฉัยชขี้ าดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลและขอแก้ไขคำ ฟอ้ งเปน็ การไม่รับคำรอ้ งไว้วินิจฉัย โจทกท์ งั้ สบิ ไมม่ สี ทิ ธิอทุ ธรณค์ ำส่งั ดงั กลา่ วของศาลชน้ั ตน้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4818 / 2562 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าท่ี ระหว่างศาลที่เกี่ยวกับเขตอำนาจศาลเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 วรรคสอง ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้เฉพาะการโอนคดีหรือ การจำหน่ายคดีตามมาตรา 11 เท่านั้น โจทก์ทั้งสิบไม่อาจยื่นคำแถลงคัดค้านคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าท่ี ระหว่างศาลและไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องทั้งสองฉบับ เป็นการไมร่ ับคำร้องไวว้ ินจิ ฉยั โจทกท์ ั้งสบิ ไม่มีสทิ ธิอุทธรณค์ ดั คา้ นคำสั่งของศาลชัน้ ตน้ ทสี่ ่งั ยกคำร้องของโจทกท์ ง้ั สิบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 641
Pages: