Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมฎีกาเล่าเรื่องที่ ๑ ถึงที่ ๑๐๐๐ (PDF) (1)

รวมฎีกาเล่าเรื่องที่ ๑ ถึงที่ ๑๐๐๐ (PDF) (1)

Published by Monta Thiravudh, 2022-11-28 04:47:41

Description: รวมฎีกาเล่าเรื่องที่ ๑ ถึงที่ ๑๐๐๐ (PDF) (1)

Search

Read the Text Version

ไม่ได้รับอนุญาตกรรมหนึ่ง ซึ่งศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับ อนุญาตไดเ้ พราะขอ้ แตกตา่ งดงั กล่าวมใิ ชข่ ้อสาระสำคญั และจำเลยมไิ ด้หลงต่อสู้ คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 7107/2561 โจทก์ฟอ้ งวา่ จำเลยกับพวกรว่ มกนั มเี มทแอมเฟตามีน 193 เม็ด ไว้ในครอบครองเพือ่ จำหน่ายและร่วมกนั พยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว 191 เม็ด แต่ทางพิจารณา กลับได้ความว่าจำเลยโทรศพั ท์แจ้งให้ ว. ไปรับเมทแอมเฟตามีน 191 เม็ดที่อื่น ซึ่งมิใช่ที่ห้องพักของจำเลย ท้ัง ไม่ได้ความว่าจำเลยได้นำเมทแอมเฟตามีนจากห้องพักไปวางไว้ด้วยตนเองหรือใช้ให้บุคคลใดนำไปวาง ส่วนเมท แอมเฟตามนี อกี 2 เม็ด ได้ความจาก พนั ตำรวจโท ก. ว่า พบอยูบ่ นท่นี อนภายในหอ้ งพักของจำเลย ประกอบกับ จำเลยรบั วา่ เสพเมทแอมเฟตามนี มากอ่ น และจากการตรวจปัสสาวะของจำเลยพบสารเมทแอมเฟตามนี จึงเชอ่ื วา่ เมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ที่ค้นพบภายหลังเป็นของจำเลยมีไว้เพื่อเสพและเป็นคนละส่วนกับเมทแอมเฟตามีนทีม่ ี ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 191 เมด็ ไวใ้ นครอบครองเพ่ือจำหน่ายและพยายามจำหนา่ ยกรรมหน่งึ และฐานมเี มทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ไว้ใน ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตกรรมหนึ่ง แม้โจทก์จะฟ้องข้อหาว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 193 เม็ด ไว้ใน ครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามนี ไว้ในครอบครองโดยไมไ่ ด้รับอนุญาต ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพ ติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 เพราะขอ้ แตกตา่ งดังกลา่ วมใิ ชข่ ้อสาระสำคญั และจำเลยมไิ ดห้ ลงตอ่ สู้ ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 450 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน เพิกถอนการขายทอดตลาด และให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิ พาทแก่ โจทก์ จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ขอให้ขับไล่โจทก์และเรียก ค่าเสียหายจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกบั สทิ ธิในที่ดินดงั กล่าวก่อน จึงจะ วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายได้ อันเป็นฎีกาที่จะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาใน ข้อเท็จจริง เม่อื ทนุ ทรพั ย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท จึงตอ้ งห้าม ศาลฎีกาไมว่ ินจิ ฉัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7628/2561 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของที่ดินพิพาท ให้เพิก ถอนการขายทอดตลาดท่ีดินพิพาทและให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดนิ พิพาทให้แกโ่ จทก์ จำเลยท่ี 2 ให้การและฟ้องแยง้ ว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำส่ังศาล ให้โจทก์ขนย้าย ทรพั ยส์ นิ และบรวิ ารออกไปจากที่ดนิ พพิ าท กบั สง่ มอบท่ีดนิ คืนและชำระค่าเสยี หาย จึงเปน็ คดมี ที นุ ทรัพย์ และใน การวินจิ ฉยั ปัญหาตามฎกี าดงั กลา่ ว ศาลฎกี าจะตอ้ งวินจิ ฉยั ข้อเทจ็ จริงกอ่ นว่า โจทก์มสี ิทธคิ รอบครองที่ดินพิพาท หรือครอบครองแทนจำเลยที่ 1 และต้องพิจารณาว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องมีคุณสมบัติกับปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 รวมทั้งระเบียบของนิคมสร้าง ตนเองคลองน้ำใสหรือไม่ จึงจะสามารถวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปได้ เป็นฎีกาที่จะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริง

เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ในชั้นฎีกาไม่ เกนิ สองแสนบาท ฎกี าของโจทก์จึงตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 248 วรรคหนง่ึ (เดมิ ) ซึง่ เป็นกฎหมายท่ีใชบ้ งั คบั ขณะท่โี จทกย์ นื่ ฟ้อง ทศี่ าลชน้ั ต้นส่งั รับฎกี ามาเปน็ การไมช่ อบ ศาลฎีกาไม่วินจิ ฉยั ให้ ฎีกาเล่าเรอื่ ง 451 จำเลยซื้อที่ดินมาจากผู้ไดท้ ดี่ ินมาโดยไมช่ อบ ย่อมไม่มีสทิ ธิดกี ว่าผู้โอนและไมไ่ ดก้ รรมสิทธ์ใิ นทด่ี นิ ดงั กลา่ ว เม่อื จำเลยสบื สิทธิมาจากผู้ขายย่อมถกู ตดั สิทธิไมใ่ หน้ ำสทิ ธยิ ึดหนว่ งมาใช้บังคับ สว่ นทโี่ จทก์ยังมไิ ด้ชำระค่าท่ีดินที่ เพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาในคดีก่อนก็เป็นเรื่องที่จำเลย ชอบที่จะไปบังคับคดีในคดีดังกล่าวต่อไป โจทกม์ สี ทิ ธฟิ อ้ งขับไลจ่ ำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7621/2561 ส. ผู้ที่นำที่ดินมาขายให้แก่จำเลยไม่ใช่ผู้มีสิทธิซื้อที่ดินคืนจาก ธนาคาร อ. ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของโจทก์และเจ้าของรวม แต่ ส. ใช้สิทธิซื้อที่ดินจากธนาคาร อ. โดยการปลอมลายมอื ชือ่ โจทก์และเจ้าของรวมโดยมชิ อบ ส. จึงได้กรรมสิทธิใ์ นที่ดินมาโดยไมช่ อบด้วยกฎหมายซงึ่ ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเพิกถอนนติ ิกรรมการซื้อขายท่ีดนิ ระหวา่ งธนาคาร อ. กบั ส. และระหวา่ ง ส. กบั จำเลยแลว้ ส. จงึ ไม่มสี ิทธินำท่ดี ินไปขายให้แกจ่ ำเลย จำเลยเปน็ ผู้ซื้อและรับโอนที่ดินมาจาก ส. ยอ่ มไมม่ สี ิทธดิ ีกว่า ส. ผู้โอน ซึ่งได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ ส. ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน เช่นเดียวกัน การครอบครองที่ดินของจำเลยสืบสิทธิมาจาก ส. อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลย ย่อมถกู ตดั สทิ ธไิ ม่ใหน้ ำสทิ ธยิ ึดหนว่ งมาใช้บังคับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 241 วรรคสอง สว่ นท่ีโจทกย์ ังมิได้ชำระค่า ที่ดินที่เพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลแพ่งในคดีก่อนก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะไปบังคับคดีในคดี ดังกล่าวต่อไป โจทกม์ ีสิทธิฟ้องขับไลจ่ ำเลย ฎีกาเลา่ เร่อื ง 452 การทศี่ าลพิพากษาใหเ้ งินของผคู้ ัดคา้ นตกเป็นของแผน่ ดิน มใิ ชก่ รณีบังคับตามสทิ ธเิ รียกร้องทางแพ่งที่จะ คดิ ดอกเบ้ยี ผ้รู ้องจงึ ไมม่ ีสทิ ธเิ รียกดอกเบี้ยจากมูลคา่ ของทรพั ยส์ นิ ทศี่ าลส่ังให้ตกเป็นของแผ่นดนิ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6973/2561 เมื่อศาลพิพากษาให้เงินของผู้คัดค้านตกเป็นของแผ่นดิน แม้จะ ถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่ตามคำร้องของผู้ร้องและคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการบังคับเอาแก่ ทรัพย์สินโดยตรงอันเป็นผลตามกฎหมาย และมิใช่กรณบี ังคับตามสิทธเิ รียกร้องทางแพ่ง แผ่นดินมิได้มีฐานะเปน็ บุคคลที่มีมูลหนี้เหนือผู้คดั ค้านในเงินที่ผูค้ ดั คา้ นร่ำรวยผดิ ปกตอิ ันที่จะเป็นเจ้าหน้ีตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 เพ่ือ

จะคดิ ดอกเบ้ียอตั ราร้อยละ 7.5 ตอ่ ปี จากทรัพย์สินท่ผี คู้ ดั คา้ นร่ำรวยผดิ ปกติและตกเป็นของแผ่นดินได้ ผู้ร้องจึง ไม่มสี ิทธิเรยี กดอกเบ้ยี จากมลู ค่าของทรพั ย์สินท่ีศาลส่ังให้ตกเปน็ ของแผ่นดนิ นั้น ฎีกาเล่าเร่อื ง 453 คดีอาญาจะตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปญั หาข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องพิจารณาอัตราโทษแตล่ ะกระทง เมื่อกระทง น้นั มคี วามผิดหลายบทรวมอย่ดู ้วย ถ้าบทหนกั ไมต่ อ้ งหา้ มกถ็ อื วา่ ทุกบทไม่ต้องห้าม ระหวา่ งพจิ ารณาของศาลฎีกา กฎหมายใหม่ยกเลิกความผดิ ในกฎหมายเดมิ การกระทำของจำเลยตามฟอ้ งจงึ ไมม่ ีมลู เป็นความผดิ อกี ตอ่ ไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6794/2561 ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อันเป็นการ กระทำโดยการโฆษณา ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 328 จึงเป็นฟ้องที่ไม่ครบองค์ประกอบ ความผิด คำฟ้องของโจทก์ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 328 เป็นคำฟ้องทีไ่ ม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) คดีอาญาเรอ่ื งใดจะตอ้ งห้ามอทุ ธรณ์ในปญั หาข้อเท็จจรงิ หรือไมน่ ้ัน ตอ้ งพิจารณาอตั ราโทษตามที่บญั ญตั ไิ วส้ ำหรบั ข้อหาแต่ละกระทงความผิดเป็นสำคัญ เมื่อความผิดในกระทงนั้นมีความผิดหลายบทรวมอยู่ด้วย ถ้าบทหนักไม่ ต้องห้ามก็ถือว่าทุกบทไม่ต้องห้าม คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า และฐานนำเข้าสูร่ ะบบคอมพิวเตอรซ์ ง่ึ ขอ้ มลู คอมพิวเตอรป์ ลอมไมว่ ่าท้ังหมดหรอื บางสว่ น หรอื ข้อมลู คอมพิวเตอร์ อนั เป็นเทจ็ โดยประการทน่ี า่ จะเกดิ ความเสียหายแก่ประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 326, 393 พ.ร.บ.ว่าด้วยการ กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) เห็นได้ว่าเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อ กฎหมายหลายบท เมื่อความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าดว้ ยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) ซึ่งเปน็ กฎหมายบททม่ี โี ทษหนกั ทส่ี ุดตาม ป.อ. มาตรา 90 มีอตั ราโทษจำคุกไมเ่ กนิ หา้ ปี หรือปรับไม่เกิน หนงึ่ แสนบาท หรือท้งั จำทัง้ ปรับ ไมต่ ้องห้ามอทุ ธรณใ์ นปญั หาข้อเทจ็ จรงิ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ดังน้ัน แม้ ความผิดฐานหมิ่นประมาทมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ ฐานดูหมิ่นซึ่งหน้ามีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก็ย่อมไม่ ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซ่ึง ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเปน็ เทจ็ โดยประการที่นา่ จะเกิดความเสียหายแกป่ ระชาชน ตาม พ.ร.บ.วา่ ด้วยการกระทำ ความผดิ เกย่ี วกับคอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) เดมิ แตร่ ะหวา่ งพิจารณาของศาลฎีกา ได้มี พ.ร.บ.ว่า ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 14 (1) ที่แก้ไขใหม่ใช้กับ กรณีกระทำการโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทางอินเทอร์เน็ตหรือทางออนไลน์ ซ่ึง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ท่ีบิดเบือนหรือปลอมหรอื เท็จ ที่น่าจะเกดิ ความเสียหายแก่ประชาชนแต่ไม่ใช้กับกรณนี ำเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นการใส่ความผู้อื่นโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูก เกลียดชัง ซึ่งมีบทบัญญัติตาม ป.อ. ระบุไว้ว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว การกระทำของจำเลยตามฟ้อง

จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) ที่แก้ไขใหม่ อีกตอ่ ไป ตาม ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง ฎกี าเลา่ เร่อื ง 454 แม้โจทก์เป็นบตุ รของเจ้าของและเป็นผู้ถือครองรถยนต์ขณะเกิดเหตกุ ็ไม่ใชผ่ ู้รับความเสยี หายในส่วนของ ค่าซ่อม แต่เมื่อโจทก์ใช้รถยนต์ดังกล่าวประกอบอาชีพทุกวันย่อมได้รับความกระทบกระเทือนเสียหายจากเหตุ ละเมิดและเรียกร้องใหจ้ ำเลยชดใช้คา่ ขาดประโยชนไ์ ด้ แต่การทโ่ี จทกข์ บั รถด้วยความเร็วในเขตชุมชน ถือว่าโจทก์ มสี ว่ นประมาทด้วยไม่ย่ิงหยอ่ นกวา่ จำเลย จงึ ไม่อาจเรียกร้องคา่ เสยี หายตอ่ กัน คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6964/2561 แม้โจทก์จะเป็นบตุ รของ บ. เจ้าของกรรมสิทธ์รถยนตแ์ ละเป็นผู้ ถอื ครองรถยนต์คนั ดังกล่าวในขณะเกดิ เหตุ โจทก์กไ็ มใ่ ช่ผู้รับความเสยี หายในสว่ นของค่าซอ่ ม โจทกจ์ ึงไมม่ อี ำนาจ ฟ้องเรียกค่าซ่อมรถยนต์ สำหรับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์คันเกิดเหตุนั้น ถึงแม้โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของ กรรมสทิ ธริ์ ถยนต์คนั เกดิ เหตแุ ตโ่ จทก์นำรถยนตด์ ังกล่าวมาใชป้ ระกอบอาชีพทกุ วนั โจทกย์ ่อมมสี ทิ ธคิ รอบครองใช้ สอยประโยชน์จากรถยนต์ เมื่อสิทธิของโจทก์ที่จะได้ครอบครองใช้สอยประโยชน์จากรถยนต์คันเกิดเหตุได้รับ ความกระทบกระเทือนเสียหายจากเหตลุ ะเมดิ โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธทิ างศาลเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสยี หาย ที่ทำให้โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากจำเลยได้ ขณะโจทก์ขับรถอยู่ในช่องเดินรถของตนซึ่งเปน็ ทางตรง มีโควิ่งออกมาจากข้างทาง โจทก์ขับรถชนโคกระเด็นไป ไกลประมาณ 10 เมตร ทำให้เห็นได้ว่าเป็นการชนอย่างแรง จึงเชื่อว่าโจทก์ขับรถด้วยความเร็วมากพอสมควร หากโจทก์ไม่ขบั รถด้วยความเร็วต้องสามารถหยดุ รถไดท้ ัน หรอื หากหยดุ ไมท่ นั ลักษณะการชนตอ้ งไม่รุนแรงอย่าง ผลที่เกิดเหตุเช่นนี้ การที่โจทก์ขับรถผ่านถนนที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเขตชุมชนมีป้ายเตือนให้ลดความเร็ว บริเวณข้าง ทางมบี า้ นเรอื นทอี่ ยู่อาศัย มีผูค้ นสญั จรผ่านไปมา จึงต้องระมัดระวังลดความเรว็ ลง พฤติการณ์ดงั กล่าวของโจทก์ รับฟังได้วา่ เหตุละเมิดเกิดจากความประมาทเลนิ เลอ่ ของโจทกด์ ว้ ย มใิ ชจ่ ำเลยประมาทเพียงฝา่ ยเดียว ศาลชัน้ ตน้ วินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยมีส่วนประมาทในการก่อให้เกิดความเสียหายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโจทก์ จำเลยไม่อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น รับฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งสอง ฝ่ายจึงไม่อาจเรียกรอ้ งค่าเสยี หายตอ่ กันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 ฎีกาเล่าเรอื่ ง 455 จำเลยที่ 1 ข้ามแดนไปสั่งซือ้ เมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยที่ 2 รู้เห็นถือว่าจำเลยท่ี 2 ร่วมกระทำผิด เมื่อ จำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวก่อน และจำเลยที่ 2 ไปรับเพราะเจ้าพนักงานสั่งให้ไป ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ปฏิเสธไม่ ยอมไปรับ แต่เมทแอมเฟตามีนถูกนำเข้าเพราะพวกจำเลยยืนอยู่ในแม่น้ำขว้างข้ามแดนมาให้ตามที่จำเลยที่ 2

โทรศัพท์แจ้ง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว เพยี งแตย่ ังไมบ่ รรลุผล จึงมคี วามผดิ ฐานร่วมกนั พยายามนำเขา้ เพอื่ จำหน่าย เม่ือจำเลยท่ี 2 เกบ็ เมทแอมเฟตามนี ที่ขว้างมาส่งให้เจ้าพนักงานทันที ไม่สามารถยดึ ถอื เพ่ือตนได้ จำเลยท้ังสองจึงไม่มีความผดิ ฐานมีไว้ในครอบครอง เพอ่ื จำหนา่ ย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6930/2561 จำเลยที่ 1 ข้ามเขตแดนไปสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยท่ี 2 มสี ว่ นรเู้ ห็นเป็นอย่างดี ต้องถือวา่ จำเลยท่ี 2 รว่ มกระทำความผิดด้วย เม่อื จำเลยท้งั สองถูกเจ้าพนักงานควบคมุ ตัวไว้กอ่ น ทำให้ไม่มีอิสระที่จะไปรับเมทแอมเฟตามีนตามท่ีนัดหมายกับพวกไว้ได้ โดยจำเลยท่ี 2 ไปรับเมทแอม เฟตามีนก็เพราะเจ้าพนักงานสั่งให้ไปรับ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ปฏิเสธไม่ยอมไปรับด้วย แต่เมทแอมเ ฟตามีนถูก นำเข้ามาในราชอาณาจักรได้เพราะพวกของจำเลยที่ยืนอยู่ในแม่น้ำเหืองฝั่ง ส.ป.ป. ลาว ขว้างข้ามเขตแดนมาให้ จำเลยที่ 2 ตามทีโ่ ทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบไว้ การกระทำของจำเลยทัง้ สองเป็นการรว่ มลงมือกระทำการ นำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจกั รแลว้ เพยี งแต่การกระทำนั้นยงั ไมบ่ รรลุผล จำเลยทง้ั สองจึงมีความผิด ฐานร่วมกันพยายามนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย เมื่อจำเลยที่ 2 เก็บเมทแอมเฟตา มีนทีพ่ วกของจำเลยขว้างขา้ มเขตแดนมาก็ส่งใหเ้ จ้าพนกั งานทันที ไม่สามารถยดึ ถือไว้เพ่ือตนได้ จำเลยท้ังสองจึง ไม่มคี วามผิดฐานมีเมทแอมเฟตามนี ไวใ้ นครอบครองเพอื่ จำหนา่ ย ฎกี าเล่าเรื่อง 456 สญั ญาวา่ จ้างทำความสะอาด กำหนดว่า การจะเปลี่ยนแปลงข้อความในสญั ญา โดยเฉพาะอตั ราค่าบรกิ าร จะต้องทำเป็นหนังสืออัตราคา่ บรกิ ารจึงเป็นสาระสำคัญ โจทก์มีหนังสือขอปรับขึ้นคา่ บรกิ ารไปถึงฝา่ ยจัดซื้อและ ฝ่ายแม่บ้านของจำเลย ซึ่งไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงข้อสัญญา เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยไม่มีการตกลง เป็นหนังสือ หนังสือ การปรับขึ้นค่าบริการของโจทก์จึงยังไม่ผูกพันจำเลย แม้พนักงานของจำเลยได้รับหนังสือ แล้วยังจ้างโจทก์ก็ยังไม่ถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์ปรับข้ึนค่าบริการ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าจำเลยยังไม่เคยจ่ายเงิน ค่าบรกิ ารในอัตราใหม่ โจทกย์ อ่ มไม่อาจคิดค่าบริการในอัตราดังกล่าวได้ และเน่ืองจากระหวา่ งพิจารณา จำเลยได้ จ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างจนโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าจ้างในอัตราเดิมแล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าจ้างค้างจ่า ยจาก จำเลยไดอ้ ีก คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 6893/2561 สัญญาว่าจ้างบรกิ ารทำความสะอาดอาคารและสถานที่ กำหนด ว่า การจะเปลี่ยนแปลง แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในสัญญา โดยเฉพาะอัตราค่าบริการ คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย จะต้องตกลงกันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายและแนบท้ายสัญญาไว้ด้วย ต้องถือว่าอัตราค่าบริการเป็น สาระสำคัญของสัญญา เพราะโจทก์เขา้ มาทำงานรับจ้างทำความสะอาดอาคารและสถานที่ให้จำเลย ก็หวังจะได้ ค่าบริการจากจำเลยเป็นการตอบแทนนั่นเอง การที่โจทก์มีหนังสือขอปรับขึ้นค่าบริการ ไปถึง จ. ฝ่ายจัดซื้อจัด จ้าง และ ภ. ฝ่ายแม่บ้าน ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลย บุคคลทั้งสองไม่มีอำนาจตกลงเปลี่ยนแปลงข้อสัญญากับ

โจทก์ได้ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างการปรับขึ้นค่าบริการ การตกลงที่สำคัญเช่นนี้โจทก์ต้องมีหนังสือไปถึง กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยไม่ได้ตกล งกับโจทก์ ไม่ได้มีการทำข้อตกลงเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา หนังสือปรับข้ึน ค่าบริการของโจทก์จึงยังไม่ผูกพันให้จำเลยต้องรับผิดในอัตราค่าบริการใหม่ที่โจทก์กำหนดขึ้นเอง แม้หลังจากที่ พนกั งานของจำเลยได้รบั หนงั สอื ขอปรับขน้ึ คา่ บรกิ ารแล้วจะยงั มีการจัดซอื้ จัดจ้างโจทก์ก็ตาม กย็ ังไม่ถือว่าจำเลย ได้ตกลงยนิ ยอมให้โจทกป์ รับข้ึนค่าบรกิ ารแลว้ จึงไม่มีผลให้โจทก์สามารถคิดค่าบริการจากจำเลยในอัตราใหม่ได้ เพราะพนักงานดังกล่าวไม่ใช่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย ทั้งโจทก์ยอมรับว่า จำเลยยังไม่เคยจ่ายเ งิน คา่ บรกิ ารในอตั ราทโ่ี จทก์กำหนดข้นึ ใหมใ่ หแ้ ก่โจทกแ์ ตอ่ ยา่ งใด เทา่ กับว่าจำเลยยงั ไมไ่ ดต้ กลงด้วยกับโจทก์ในการ ปรับเปลี่ยนอัตราค่าบริการใหม่ โจทก์ย่อมไม่อาจคิดค่าบริการจากจำเลยในอัตราใหม่ได้ และเนื่องจากระหว่าง พิจารณา จำเลยได้จ่ายเงินค่าจ้างหรือค่าบริการที่ค้างชำระให้จนโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าจ้างในอัตราเดิมจาก จำเลยอกี ตอ่ ไปแลว้ และค่าจา้ งหรอื คา่ บริการในอัตราใหมก่ ็ไมผ่ ูกพันจำเลยใหต้ อ้ งรบั ผดิ ต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจ เรียกค่าจา้ งหรือค่าบรกิ ารคา้ งจ่ายจากจำเลยได้อกี ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 457 สาธารณภัยต้องเป็นภัยที่เกิดแก่คนหมู่มากอันมีผลกระทบต่อสาธารณชน การที่น้ำท่วมบ้านจำเลยยังไม่ ถือว่าเป็นสาธารณภัย อันจะอ้างเพื่อให้ตนเองพ้นผิดในการใช้รถยนต์เทศบาลขนทรายพิพาทไปใช้โดยขัดต่อ ระเบียบได้ เมื่อจำเลยนำทรายไปคืนหลังเกิดเหตุแล้วถึง 5 เดือน ส่อเจตนาว่า จำเลยนำไปใช้ประโยชน์ส่ วนตัว ไม่ใช่การยืมแล้วนำมาใข้คนื ดังที่อ้าง จึงเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งนายกเทศมนตรีสัง่ การให้ใช้รถยนต์ของ เทศบาลขนย้ายทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติ ส่วนองค์ประกอบตาม ความผิด ป.อ. มาตรา 147 และ 151 ผู้กระทำความผดิ ตอ้ งเป็นเจา้ พนักงานทม่ี ีหนา้ ทซ่ี ือ้ ทำ จดั การหรอื รักษา ทรพั ยใ์ ด ไดเ้ บียดบังทรัพย์ท่ตี นมีหนา้ ท่ดี งั กลา่ วเป็นของตนโดยทจุ ริตหรือใชอ้ ำนาจในตำแหน่งดังกล่าวโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ แต่พยานโจทก์มิได้ยืนยันเช่นนั้น คงได้ความเพียงว่าจำเลยดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็น นายกเทศซึ่งมีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซ้ือหรือจ้าง ส่วนการจัดซ้ือทรายอยู่ในความดแู ลรับผิดชอบของฝา่ ยโยธา ส่วน รถยนต์เป็นหน้าที่ของงานป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยของเทศบาล จำเลยจึงมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็น ผู้อนุมัติ ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงดังกล่าวจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 และ 151 แต่ก็เป็นการปฏิบัติ หน้าทโี่ ดยไม่ชอบเพือ่ ให้เกดิ ความเสยี หายแกเ่ ทศบาล อนั เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 157 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6792/2561 การที่จะถือว่าเป็นสาธารณภัยต้องเป็นภัยที่เกิดแก่คนหมู่มาก อันมีผลกระทบต่อสาธารณชน ได้ความว่าบ้านพักของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยประชาชื่น 35 มีการยกระดับถนน ประชาชื่นสูงกว่าถนนในซอย ทำให้ระดับบ้านของจำเลยมีน้ำท่วมขังในเวลาที่ฝนตกหนัก สาเหตุที่น้ำท่วมบ้าน ของจำเลยเกิดจากการระบายน้ำในท่อไม่ทัน แต่เมื่อฝนหยุดตก 5 ถึง 6 ชั่วโมง น้ำจึงระบายออกหมด การที่น้ำ

ทว่ มบ้านจำเลยดงั กลา่ วยังไมถ่ ือวา่ เปน็ สาธารณภยั จำเลยจงึ ไม่อาจอา้ งเหตุสาธารณภัยเพ่อื ให้ตนเองพ้นผิดในการ ใช้รถยนต์เทศบาลเมืองคูคตขนทรายพิพาทไปใช้โดยขัดต่อระเบียบหาได้ไม่ ทั้งจำเลยนำทรายพิพาทไปคืนหลัง เกิดเหตุแล้วถึง 5 เดือน ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ส่อเจตนาว่า จำเลยนำทรายพิพาทไปใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลย ไม่ใช่เป็นการยืมทรายพิพาทแล้วนำมาใช้คืนตามที่กล่าวอ้าง การกระทำของจำเลยเป็นการอาศัยอำนาจใน ตำแหนง่ นายกเทศมนตรีสั่งการให้ใช้รถยนต์ของเทศบาลเมอื งคูคตขนย้ายทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตวั โดย ไมถ่ กู ตอ้ งตามระเบียบปฏบิ ัติ สำหรับองค์ประกอบตามความผดิ ป.อ. มาตรา 147 และ 151 ผกู้ ระทำความผิด ต้องเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ได้เบียดบังทรัพย์ที่ตนมีหน้าที่ดงั กล่าวเป็นของ ตนโดยทุจริตหรือใช้อำนาจในตำแหน่งดังกล่าวโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ พยานโจทก์ที่นำสืบมาไม่ได้ เบิกความยืนยันว่า จำเลยมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด อย่างไร เพียงได้ความแต่ว่าจำเลยเป็น นายกเทศมนตรเี มอื งคูคต มีอำนาจหน้าท่ีกำหนดนโยบาย สงั่ อนญุ าตและอนมุ ัติเกย่ี วกบั ราชการของเทศบาลและ มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อหรอื จ้างทุกวิธที ี่ใช้จา่ ยจากเงินรายได้ไม่จำกัดวงเงินตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนการจัดซื้อทราย พิพาทได้ความว่าอยู่ในความดูแลรับผดิ ชอบของฝ่ายโยธา ในขณะทีก่ ารจัดการดแู ลรบั ผดิ ชอบรถยนตข์ องเทศบาล เมืองคคู ต เป็นหนา้ ที่ของงานป้องกันและรักษาความสงบเรียบรอ้ ยของเทศบาลเมืองคคู ต เห็นได้ว่า จำเลยมีส่วน เกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเกีย่ วกับงานราชการของเทศบาลเมืองคูคต ไม่ได้มีหนา้ ทีโ่ ดยตรงในการซื้อ ทำ จัดการ หรอื รกั ษาทรพั ยใ์ ด ๆ การกระทำของจำเลยจึงไมม่ คี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 และ 151 แตก่ ารที่จำเลยซ่งึ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาศัยอำนาจในตำแหนง่ นายกเทศมนตรสี ัง่ การใหใ้ ช้รถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคต ขนทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์สว่ นตัวโดยไม่ถูกต้องตามระเบยี บดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าทีโ่ ดยไม่ชอบเพื่อให้ เกดิ ความเสียหายแก่เทศบาลเมอื งคคู ตจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 458 แม้กฎหมายห้ามรับฟังคำรับสารภาพชั้นจับกุมของผู้ถูกจับเป็นพยานหลักฐาน แต่ก็มิได้ห้ามรับฟังเพื่อ พิสูจน์ความผิดของผู้ร่วมกระทำความผิดอื่น จึงรับฟังพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ส่วนกฎหมายใหม่ที่ยกเลิก กฎหมายเดมิ แต่ยงั คงบญั ญตั ิการกระทำเดียวกันเปน็ ความผดิ และมีอัตราโทษน้อยกว่า จึงต้องใช้กฎหมายในส่วน ทเ่ี ป็นคณุ บังคบั แก่จำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6766/2561 แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 84 ววรรคทา้ ย ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณา คดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 จะห้ามมิให้รับฟังคำรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นพยานหลักฐาน แต่กฎหมาย ห้ามมิให้รับฟังถ้อยคำรับสารภาพของผู้ถูกจับเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับเท่านั้น แต่มิได้ ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของผูร้ ่วมกระทำความผิดอื่น จึงรับฟังบันทึกการจับกุม บันทึก ถ้อยคำ และภาพถา่ ยการชีต้ ัว ประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ผูจ้ บั กุมเพือ่ พสิ จู น์ความผิดของจำเลยได้

คดีนีโ้ จทก์ฟอ้ งขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.วัตถทุ ี่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ ซึ่งเป็นกฎหมายทีใ่ ช้ในขณะกระทำความผิดและมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ห้าปถี ึงย่สี บิ ปี และปรบั ตงั้ แต่หนึ่งแสนบาทถงึ สี่แสนบาท ต่อมาในระหว่างการพจิ ารณาของศาลฎีกา ได้มี พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 ออกใช้บังคับ และให้ยกเลิก พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและ ประสาท พ.ศ.2518 แต่ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็น กฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดยังคงบัญญัติให้การกระทำความผิดตามฟ้องเป็นความผิดอยู่ โดย พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 มีกำหนดโทษตามมาตรา 118 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปี ถึงย่ีสิบปีและปรับตงั้ แตส่ แี่ สนบาทถึงสองลา้ นบาท โทษจำคุกตาม พ.ร.บ.วัตถทุ อี่ อกฤทธิต์ อ่ จติ และประสาท พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นกฎหมายทีใ่ ช้ในภายหลังการกระทำความผิด เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อ จติ และประสาท พ.ศ.2518 จงึ ต้องใชก้ ฎหมายในสว่ นทเ่ี ป็นคุณบังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3 ฎีกาเล่าเรอื่ ง 459 ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบและมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครอง ปรปักษ์แล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาและคำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย แม้จะถือว่าผู้คัดค้าน เป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิพิสูจน์ว่าผู้คัดค้านมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าผู้ร้อง และคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ผูกพันผู้ คัดค้านก็ตาม แต่คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุดไปแล้วและตามคำร้องของผู้คัดค้านไม่ปรากฏว่าผู้ร้องโต้แย้งสิทธิแก่ผู้ คัดค้าน ผู้คัดคา้ นเพียงแต่อา้ งว่ามีสิทธิดีกว่าผู้ร้องและขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชัน้ ต้นเท่านั้น มิได้ขอให้แสดงว่าผู้ คัดค้านมีสิทธิเหนือที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ผู้คัดค้านจึงไม่อาจร้องเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสทิ ธิของตนและไมอ่ าจขอใหเ้ พิกถอนคำส่งั ศาลชั้นตน้ ดงั กล่าวได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6653/2561 ผู้ร้องยื่นคำรอ้ งขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธ์ิในที่ดินโดยการ ครอบครองปรปักษ์อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ศาลมีคำสั่งใหผ้ ู้รอ้ งส่งสำเนาคำรอ้ งขอแก่ ผู้มีชอื่ ในโฉนดท่ดี ิน และประกาศคำรอ้ งขอทางหนังสอื พมิ พร์ ายวันแล้ว ไมม่ ผี ู้ใดย่ืนคำคดั คา้ น จึงเปน็ คดีที่ไม่มีข้อ พิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 188 เมื่อศาลชั้นต้นได้ดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในท่ดี ินโดย การครอบครองปรปักษ์ การดำเนินกระบวนพิจารณาและคำส่ังของศาลชั้นต้นจงึ ชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้คัดคา้ น ไม่ได้ร้องคัดค้านเข้ามาในคดีก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในทีด่ ินโดยการครอบครองปรปักษ์ ถือว่าผูค้ ดั ค้านเป็นบุคคลภายนอกมีสทิ ธพิ ิสูจนว์ า่ ผคู้ ัดค้านมีสทิ ธิในท่ีดนิ พิพาทดกี วา่ ผรู้ ้อง และคำสั่งศาลช้ันต้นท่ี แสดงกรรมสิทธิ์ไม่ผูกพันผู้คัดค้านตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 (2) ก็ตาม แต่คดีนี้คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุดไปแล้ว และข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้คัดค้านไม่ปรากฏว่าผู้ร้องโต้แย้งสิทธิอย่างใดแก่ผู้คัดค้านในชั้นบังคับคดีตามคำ พิพากษาหรือคำสั่งของศาล ผู้คัดค้านเพียงแต่อ้างว่ามีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าผู้ร้องและขอให้มีคำสั่งเพิ กถอน คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น มิได้ขอให้มีคำสงั่

แสดงว่าผู้คัดค้านมสี ิทธิเหนอื ทีด่ นิ พิพาทแตอ่ ยา่ งใด ผู้คดั ค้านจึงไม่อาจรอ้ งเขา้ มาเป็นค่คู วามเพ่ือยงั ให้ได้รับความ รับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) และไม่อาจขอให้เพิกถอนคำสั่งศาล ชั้นต้นดังกล่าวได้ ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 460 คดีที่เสร็จไปศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุโจทก์ (เจ้าหนี้) ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 202 น้ัน ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง แตม่ ผี ลอยา่ งเดียวกบั คำพพิ ากษาของศาลที่ยกคำฟอ้ งโดยไม่ตัดสิทธิท่ีจะ ฟ้องใหม่ เมื่ออายุความครบไปแล้วระหว่างพิจารณา โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือ เพอ่ื ใหช้ ำระหนี้ภายในหกสิบวนั นบั แต่วนั ทีค่ ำสง่ั จำหนา่ ยคดถี งึ ทสี่ ดุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6751/2561 คดีที่เสร็จไปโดยการที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุโจทก์ (เจ้าหนี้) ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 202 นั้น เป็นผลจากการที่โจทก์ละทิ้งหรือทอดทิ้งคดีของตน ทำนองเดียวกับคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่ถอนฟ้องและทิ้งฟ้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคหนึง่ ซึ่งใหถ้ อื ว่าอายคุ วามไมเ่ คยสะดุดหยดุ ลง โจทก์จึงไมไ่ ดร้ บั ประโยชน์จากการฟอ้ งคดที จ่ี ะเปน็ เหตใุ หอ้ ายุ ความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) คำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุโจทก์ขาดนัดพิจารณาตาม ป. วิ.พ. มาตรา 202 มีผลอย่างเดียวกับคำพิพากษาของศาลที่ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง เมื่ออายุความแห่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ครบไปแล้วในระหว่างการพิจารณาคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำสั่ง จำหน่ายคดถี ึงทส่ี ดุ (ประชมุ ใหญ่ครงั้ ท่ี 15/2561) ฎีกาเล่าเรื่อง 461 จำเลยท่ี 5 ได้รบั คา่ จา้ งขบั รถและคา่ บตั รโดยสารเคร่ืองบนิ จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 สงู กว่าปกติ ท้ังยังให้ การชั้นสอบสวนหลังถูกจับเพียง 1 วัน โดยมีทนายความร่วมฟังและลงลายมอื ช่ือรับรองไวด้ ว้ ย น่าเชื่อว่าให้การ ด้วยความสมัครใจตามความเปน็ จริง จึงใช้ยนั จำเลยที่ 5 ในช้ันพิจารณาได้ และเมอื่ ใหก้ ารสอดคลอ้ งกับที่จำเลย ที่ 1 และที่ 2 ให้การในชั้นจับกุม จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 5 ทราบว่าภายในรถยนต์มีเมทแอมเฟตามีนของกลางซุก ซ่อนอยู่ จึงเป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลาง และเป็นตัวการร่วมฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ใน ครอบครองเพอ่ื จำหน่าย คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 6768/2561 จำเลยที่ 5 ได้รับค่าจ้างขับรถจากจำเลยท่ี 1 และที่ 2 ครั้งแรก 25,000 บาท ครง้ั ทีส่ อง 50,000 บาท ค่าจ้างดังกล่าวเมอื่ รวมกบั คา่ บตั รโดยสารเครอ่ื งบนิ ของจำเลยที่ 5 และ

ที่ 6 อีกสองครั้งที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระให้แล้ว จึงเป็นค่าจ้างที่สูงกว่าปกติสำหรับการรับจ้างขับรถยนต์ ตามปกติทั่วไป จำเลยที่ 5 ให้การในชั้นสอบสวนหลังถูกจับเพียง 1 วัน โดยมีทนายความร่วมฟังการสอบสวน และลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องด้วย น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 5 ให้การด้วยความสมัครใจตามความเป็นจริงที่ เกิดขน้ึ จงึ ใช้ยันจำเลยที่ 5 ในชั้นพจิ ารณาได้ ซึง่ เม่ือพจิ ารณาบันทกึ คำใหก้ ารชน้ั สอบสวนดงั กล่าวแล้ว ก็ปรากฏ วา่ สอดคล้องกบั ที่จำเลยท่ี 1 และที่ 2 ให้การในชั้นจบั กุม ตามพฤตกิ ารณ์ของจำเลยที่ 5 ดงั กลา่ ว เชื่อว่าจำเลยท่ี 5 ทราบว่าภายในรถยนต์ ยี่ห้อซันยอง มีเมทแอมเฟตามนี ของกลางซุกซ่อนอยู่ก่อนที่จะรับจ้าง ขณะจำเลยที่ 5 ขับรถจากจังหวัดสมทุ รสาครไปอำเภอหาดใหญ่ จำเลยที่ 5 จึงเป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามนี ของกลาง การ กระทำของจำเลยท่ี 5 กบั พวกจึงเป็นการแบ่งหนา้ ทีก่ นั ทำ ถือว่าจำเลยที่ 5 เปน็ ตัวการรว่ มกระทำความผดิ ฐานมี เมทแอมเฟตามนี ไวใ้ นครอบครองเพ่อื จำหน่าย ฎกี าเล่าเร่อื ง 462 ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาไม่ปรากฏอยู่ในคำให้การจึงถือไม่ได้ว่าเป็น ข้อเท็จจริงท่ีได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลชั้นอุทธรณ์ เป็นข้อฎีกาที่มิชอบ ศาลฎีกาไม่รบั วนิ ิจฉัย คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6591/2561 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุ โจทก์ขับรถยนตก์ ลับ รถในระยะหน่ึงรอ้ ยเมตรจากทางราบของเชิงสะพาน และเปน็ บรเิ วณท่ีมสี ัญญาณจราจรบนทางห้ามรถทั้งสองฝ่ัง ขับรถคร่อมเส้น ห้ามแซง ห้ามกลับรถและห้ามเลี้ยวขวาโดยเด็ดขาด จำเลยที่ 1 ขับรถตามหลังโจทกม์ ีระยะห่าง จากรถยนต์ของโจทก์มากพอสมควร หากโจทก์ไม่เลี้ยวกลับรถฝ่าฝืนกฎหมายและสัญญาณจราจร ทั้งมิได้ให้ สัญญาณเปดิ ไฟเลย้ี วขวา รถยนต์คนั ทีจ่ ำเลยที่ 1 ขบั ย่อมไม่เฉย่ี วชนกับรถยนตข์ องโจทก์ การที่รถยนต์จำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการขับรถยนต์ฝ่าฝืนกฎหมายของโจทก์ ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ของจำเลยที่ 1 ที่จะหยุดรถได้ทัน เหตุละเมิดเกิดขึ้นจากความประมาทของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ตาม คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยืนยันข้อเท็จจริงแต่เพียงว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์เล้ียวรถกลับบริเวณที่เกิดเหตุ ไปด้านตรงข้ามอย่างกะทันหัน จนจำเลยที่ 1 ไม่สามารถหยุดหรือหกั หลบได้ทัน เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยที่ 1 พุ่งชนรถยนตข์ องโจทก์ อันเกิดจากความประมาทของโจทก์ ขอ้ เท็จจริงทจ่ี ำเลยที่ 1 และท่ี 3 ยกข้ึนกล่าวอ้าง ในฎีกาถือไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นข้อ ฎีกาท่ีมิชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึง่ (เดิม) ทใ่ี ชบ้ ังคับขณะโจทกฟ์ อ้ ง ศาลฎีกาไมร่ ับวนิ ิจฉัย

ฎีกาเล่าเร่อื ง 463 ปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงไปแล้ว โดยไม่ปรากฏว่าจะใช้อัดหรือประกอบให้อยู่ในสภาพใช้ยิงได้ จึงไม่เป็น เคร่ืองกระสนุ ปนื การมีไวจ้ งึ ไม่เป็นความผิด และแมจ้ ำเลยท่ี 1 มไิ ด้ฎีกา ศาลฎกี ามอี ำนาจพิพากษายกฟ้องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6570/2561 ปลอกกระสุนปืนเล็กกลขนาด .223 ที่จำเลยที่ 1 มีไว้ใน ครอบครองเป็นปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงไปแล้ว ทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 จะใช้ ปลอกกระสุนปนื ของกลางไปอัดหรอื ใช้ประกอบให้อยู่ในสภาพเป็นเครื่องกระสุนปืนสามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ ชวี ิตและวตั ถุได้ ดงั นั้น ปลอกกระสุนปืนของกลางดงั กลา่ ว จึงไม่เป็นเครื่องกระสนุ ปืน การท่ีจำเลยท่ี 1 มีไว้จึงไม่ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบดิ ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 55, 78 วรรคหนึ่ง แมจ้ ำเลยท่ี 1 จะมไิ ด้ฎีกาในปญั หาขอ้ น้ี ศาลฎีกามีอำนาจพพิ ากษายกฟ้องไดต้ าม ป. ว.ิ อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 464 โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลอาคารชุดแต่งตั้งให้บริษัทเป็นผู้จัดการ และบริษัทแต่งตั้งให้ ล. เป็นผู้ดำเนินการ แทน ล. จึงเป็นผู้จัดการของโจทก์ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ดำเนินการแทนโจทก์ และมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์เพ่ือ ประโยชน์แก่เจา้ ของร่วมตามขอ้ บงั คบั ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6293/2561 โจทก์เป็นนิติบุคคลอาคารชุดแต่งตั้งให้บริษัท ภ. เป็นผู้จัดการ บริษัทดังกล่าวแต่งตั้งให้ ล. เป็นผู้ดำเนินการแทนบริษัทในฐานะผู้จัดการของโจทก์ ซึ่งตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 บัญญัติให้นิติบุคคลอาคารชุดมีผู้จัดการคนหนึ่งซึ่งจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติ บุคคลก็ได้ ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้จัดการ ให้นิติบุคคลอาคารชุดนั้นแต่งตั้งบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเป็น ผู้ดำเนินการแทนนิติบุคคลในฐานะผู้จัดการ ดังนั้น ล. จึงเป็นผู้จัดการของโจทก์ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ดำเนินการแทน โจทก์ ล. ย่อมมีอำนาจดำเนินคดแี ทนโจทก์ได้ตามที่ระบุไว้ในข้อบงั คบั ของโจทก์ที่ใหผ้ ู้จัดการมีอำนาจกระทำการ ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการจัดการดูแลและรักษาทรัพย์ส่วนกลางทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าของร่วม ซึ่งการฟ้อง คดกี ็ถือว่าเป็นการกระทำอย่างหนึ่งทีอ่ ยใู่ นวตั ถปุ ระสงคข์ องโจทก์ ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 465 การทำหนังสือโอนสิทธเิ รียกร้องท่ีมีต่อผู้อื่นให้แก่ธนาคาร มิใช่เป็นการโอนสทิ ธิเรียกร้องกันตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะธนาคารผูร้ บั โอนมสี ทิ ธิเพยี งเรียกร้องสทิ ธิน้นั นำมาหักชำระหนี้ และส่วนที่เหลือ

จะต้องคืนแก่ผู้โอน โดยไม่มีสทิ ธไิ ด้รับเงินตามสิทธนิ นั้ ทงั้ หมด กรณจี ึงเป็นเพียงการมอบอำนาจให้ธนาคารรับเงิน แทนเทา่ น้ัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6271/2561 แม้โจทก์ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกรอ้ งที่มีต่อจำเลยให้แก่ธนาคาร แต่ก็มิใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ผู้โอนประสงค์จะโอ นสิทธิ เรยี กรอ้ งใหแ้ ก่ผู้รับโอนเปน็ การเด็ดขาดโดยผูร้ ับโอนเข้าเป็นเจา้ หนค้ี นใหมแ่ ทนท่ผี ูโ้ อนซึง่ หมดสทิ ธเิ รยี กร้องต่อไป แลว้ หากแตเ่ ป็นกรณที โ่ี จทกน์ ำหนี้ค่าจ้างมาขอสนิ เช่ือจากธนาคาร ซึง่ เมื่อธนาคารเรยี กเกบ็ เงินคา่ จา้ งจากจำเลย ได้แล้ว ธนาคารจะหักหนี้ของตนไว้ ส่วนเงินที่เหลือจะคืนให้แก่โจทก์ แม้บันทึกข้อตกลงโอนสิทธิเรียกร้องจะใช้ ข้อความวา่ โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงนิ จากลกู หนข้ี องโจทก์ให้แกธ่ นาคาร แต่ตามเจตนาของคู่กรณีหาใช่ เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องกนั ไม่ เนื่องจากธนาคารผู้รับโอนไมม่ ีสทิ ธิได้รับเงินทั้งหมด คงมีสิทธไิ ด้รับชำระหนีข้ อง ตนตามสว่ นท่ีตกลงกนั ไว้เท่านั้น ส่วนท่ีเหลอื ต้องคนื ให้แกโ่ จทก์ กรณีจงึ เป็นเพียงโจทก์มอบอำนาจให้ธนาคารรับ เงนิ แทนโจทก์เท่านัน้ ฎีกาเล่าเร่อื ง 466 ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า \"ถ้าศาล อุทธรณ์เห็นว่า คำร้องนั้นไม่มีมูล ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น\" และวรรคสองบัญญัติว่า \"คำสั่งของศาล อุทธรณต์ ามวรรคหนึ่งใหเ้ ปน็ ทสี่ ดุ \" การท่ศี าลอทุ ธรณ์วนิ จิ ฉัยวา่ ข้อเท็จจรงิ วา่ เหตตุ ามคำร้องจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ พพิ ากษายกคำร้อง เทา่ กบั เหน็ วา่ คำรอ้ งไม่มีมูลย่อมเป็นทสี่ ดุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6322 - 6323/2561 ตาม พ.ร.บ.การรือ้ ฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 8 เมื่อผู้ร้องยื่นคำรอ้ งต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นตน้ ต้องไต่สวนคำร้องแล้วส่งสำนวนการไตส่ วนพร้อม ความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาว่าจะสั่งรับคำร้องนั้นไว้เพื่อดำเนินการพิจารณาคดีนั้นใหม่หรือไม่ตาม มาตรา 9 ซึ่งในการพจิ ารณาสง่ั คำร้องนน้ั มาตรา 10 วรรคหน่งึ บญั ญตั ิว่า \"ถา้ ศาลอุทธรณเ์ หน็ ว่า คำรอ้ งน้ันไมม่ ี มูล ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น\" และวรรคสองบัญญัติว่า \"คำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามวรร คหนึ่งให้เป็น ที่สุด\" ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า คดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ศาล อุทธรณ์พิพากษาให้รอการลงโทษจำคุก จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ได้ มิใช่เป็นพยานหลักฐานใหม่อันขัดแย้ง และสำคัญแก่คดีไม่ เหตุตามคำร้องจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 (1) (2) (3) แล้วพิพากษายกคำรอ้ ง เท่ากับวา่ ศาลอทุ ธรณเ์ ห็นวา่ คำรอ้ งของจำเลยท่ี 2 ไม่มีมูล คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณท์ ใ่ี ห้ยกคำร้องของจำเลยท่ี 2 ยอ่ มเป็นที่สดุ ตามมาตรา 10 ผรู้ อ้ งจงึ ไม่มีสิทธฎิ กี า

ฎกี าเลา่ เรื่อง 467 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์บริหารจัดการอาคารชุดแต่ไม่ชำระค่าจ้าง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้แทนของนิติบคุ คลอาคารชุด แต่ไม่เรียกเกบ็ คา่ ใช้จ่ายจากเจา้ ของร่วมและไมน่ ำเงินฝากเข้าบญั ชขี อง จำเลย แต่กลับออกหนังสอื รับรองปลอดหนี้ใหแ้ ก่เจ้าของรว่ มไปใช้โอนกรรมสิทธ์ิ ประเด็นพิพาทจึงอยู่ที่ว่าโจทก์ หรือจำเลยเปน็ ฝ่ายผิดสญั ญา ฟอ้ งแยง้ ของจำเลยจงึ เกย่ี วกบั ฟอ้ งเดมิ พอทจี่ ะรวมพิจารณาพพิ ากษาไปดว้ ยกนั ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6211/2561 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้บริหารจัดการ อาคารชุดแตจ่ ำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าจา้ ง จำเลยให้การและฟอ้ งแย้งว่า โจทก์มีหน้าที่เป็นผูแ้ ทนของนิติบุคคล อาคารชุดและต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลอาค ารชุดตามข้อบังคับหรือตามมติที่ ประชุมใหญ่ของเจ้าของร่วมหรือคณะกรรมการ ข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้เจ้าของร่วมทุกคนต้องชำระ ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าแก่นิติบุคคลอาคารชุดในวันโอนกรรมสิทธิ์เพื่อไว้เป็นกองทุนหมุนเวียนสำหรับการบริหาร พัฒนาปรับปรุงซ่อมแซม หรือจัดซื้อทรัพย์สินส่วนกลาง และเป็นเงินสำรองใช้ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน และให้ ผ้จู ดั การนิตบิ ุคคลอาคารชดุ นำฝากธนาคารในนามของจำเลย แต่โจทกไ์ มเ่ รยี กเกบ็ คา่ ใชจ้ า่ ยลว่ งหนา้ ดังกล่าวตาม ข้อบังคับในวันโอนกรรมสิทธิ์ และไม่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชีของจำเลย โจทก์กลับออกหนังสือรับรองปลอดหน้ี ให้แก่เจา้ ของร่วมไปใชใ้ นการโอนกรรมสิทธร์ิ วม 6 หอ้ ง กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่จำเลย ถือว่าโจทกผ์ ดิ สญั ญาใน ข้อสาระสำคัญ ประเด็นพิพาทจึงอยู่ที่ว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างบริหารจัดการอาคารชุด หาก ขอ้ เทจ็ จริงฟังได้ว่าโจทก์เรียกเก็บคา่ ใช้จ่ายลว่ งหน้าจากเจา้ ของรว่ มเรียบรอ้ ยแลว้ จึงออกหนังสือรับรองปลอดหนี้ ให้เจ้าของร่วมเพื่อใช้ในการโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่ได้ผิดสญั ญา จำเลยมีหน้าทีต่ ้องชำระค่าจ้างตามฟ้อง แต่หาก เป็นไปดังที่จำเลยให้การโจทก์ย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยปฏิเสธการชำระค่าจ้างได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึง เกีย่ วกับฟ้องเดมิ พอทจ่ี ะรวมพิจารณาพิพากษาไปดว้ ยกนั ได้ ฎีกาเลา่ เรื่อง 468 ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 เพียงแต่อ้างว่าได้รับเมทแอมเฟตามีนมาจาก ว. โดยแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ แต่ ไม่ได้แจ้งทีอ่ ยูแ่ ละพาไปจบั กมุ ว. ขอ้ มูลดังกล่าวจึงไมเ่ ปน็ การขยายผลจนยดึ เมทแอมเฟตามนี หรอื จบั กุมผู้กระทำ ความผิดหรอื เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เจ้าพนักงาน ตำรวจจบั กมุ ท. พร้อมยดึ เมทแอมเฟตามนี 5,967 เม็ด เปน็ ของกลางโดยใช้สายลับลอ่ ซ้อื การทจี่ ำเลยท่ี 1 เพิ่ง ยกข้อเท็จจริงข้ึนอา้ งในชน้ั อุทธรณถ์ อื ว่ามิไดย้ กข้ึนว่ากลา่ วกนั มาแล้วโดยชอบในศาลช้ันตน้ จงึ ต้องห้ามอทุ ธรณ์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6413/2561 ร้อยตำรวจโท ส. และร้อยตำรวจเอก ว. ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้ง สองเบิกความเปน็ พยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองว่า ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 อ้างว่าได้รับเมท แอมเฟตามีนมาจาก ว. แล้วได้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งที่อยู่ ว. และไม่ได้พาเจ้า

พนักงานตำรวจไปจับกุม ว. แต่อย่างใด ดังนั้น ข้อมูลที่จำเลยที่ 1 ให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจึงไม่อาจ รับฟังไดว้ า่ เป็นข้อมลู ท่ีมกี ารขยายผลจนสามารถยดึ เมทแอมเฟตามีนหรือจับกมุ ผูก้ ระทำความผิดได้ ทั้งยังไม่เป็น ข้อมูลที่เปน็ ประโยชน์อย่างยิง่ ในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ตามสำเนาบันทกึ การจับกุม เจ้าพนกั งานตำรวจจบั กมุ ท. พร้อมยดึ เมทแอมเฟตามีน 5,967 เม็ด เปน็ ของกลางโดยการใช้สายลับ ลอ่ ซ้ือภายหลังจากที่ศาลชน้ั ตน้ พิพากษาลงโทษจำเลยท่ี 1 แลว้ ทั้งขอ้ เท็จจรงิ ในการจับกมุ ท. กไ็ มป่ รากฏในทาง นำสืบของพยานโจทก์และคำให้การของจำเลยที่ 1 ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยก ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้อ้างในชั้นอุทธรณ์จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาล ช้ันตน้ ตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ุทธรณ์ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 225 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ พ.ร.บ.วิธพี ิจารณาคดยี า เสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎกี าเลา่ เร่ือง 469 พ.ร.บ.ศลุ กากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 กำหนดสำหรับความผดิ คร้งั หนงึ่ ๆ ใหป้ รับเป็นเงนิ สเี่ ทา่ ราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ คดีนี้ของที่ร่วมกันนำเข้ามาใน ราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรรวมเป็นเงิน 78,000 บาท โทษปรับสี่เป็นเงิน 312,000 บาท และ ไม่ใชใ่ หป้ รับเปน็ รายบุคคล การทศี่ าลช้นั อทุ ธรณว์ างโทษปรบั จำเลยทงั้ สองเป็นเงนิ 156,000 บาท และลดโทษ กึ่งหนึ่งปรับรวมกันเป็นเงิน 78,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง กฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่ จำเลยทง้ั สอง จงึ ต้องใช้กฎหมายทใ่ี ช้ในขณะกระทำความผิดบงั คับ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 6246/2561 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 กำหนดสำหรบั ความผดิ คร้ังหน่ึง ๆ ใหป้ รบั เปน็ เงนิ สี่เทา่ ราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแลว้ หรือจำคกุ ไม่เกนิ สิบปี หรือท้ังปรับท้ังจำ คดีนี้ใบพืชกระท่อมสดท่ีจำเลยทั้งสองรว่ มกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรรวมราคาของ และค่าอากรเข้าดว้ ยกันแล้วเป็นเงิน 78,000 บาท ลงโทษปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซ่ึงไดร้ วมค่าอากรเข้าดว้ ย แล้วจึงเป็นเงิน 312,000 บาท และไม่ใช่ให้ปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ แล้วแบ่งปรับเป็นรายบุคคลคนละ เท่า ๆ กัน ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วางโทษปรับจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 156,000 บาท และลดโทษกึ่ง หนึ่งให้ปรับจำเลยทั้งสองรวมกันเป็นเงิน 78,000 บาท จึงไม่ถูกต้องแม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ใช้บังคับโดยให้ยกเลิก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะ กระทำความผิดและใหใ้ ช้บทบัญญตั ใิ หม่แทน แต่กฎหมายท่ีใช้ในภายหลงั การกระทำความผิดไมเ่ ป็นคณุ แกจ่ ำเลย ท้ังสอง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ

ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 470 บันทึกรับสารภาพที่จำเลยทั้งสามต่างเขียนขึ้นเองตรงกันประกอบคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 สรุปไดว้ ่า จำเลยท่ี 1 เป็นผู้ซื้อเมทแอมเฟตามนี จาก ส. มาใหจ้ ำเลยที่ 3 เพ่อื ขายให้แก่ ด. แม้ไมป่ รากฏ หลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนในการตกลงจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ ด. ก็ตาม แต่ถือเป็นการแบ่ง หน้าที่กันทำ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง บางส่วนตามฟ้อง คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6304/2561 ขอ้ ความในบนั ทึกคำรบั สารภาพที่จำเลยทง้ั สามตา่ งเขยี นขน้ึ เองมี ข้อความในส่วนที่ตรงกันสรุปได้ว่า จำเลยทั้งสามปรึกษาและออกเงินรวบรวมให้จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตา มีนจาก ส. โดยระบุจำนวนเงินของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ด้วย ทั้งยังได้ความจากบันทึกคำรับสารภา พของ จำเลยท่ี 3 เพิ่มเตมิ วา่ ที่มกี ารปรึกษาและรวบรวมเงนิ ไปซอื้ เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเนอ่ื งจาก ด. โทรศพั ทข์ อซอ้ื เมทแอมเฟตามนี จากจำเลยท่ี 3 และตามคำใหก้ ารชัน้ สอบสวนของจำเลยที่ 1 และท่ี 3 กส็ อดคล้องกนั ในส่วนที่ แสดงว่า จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 3 เพื่อขายให้แก่ ด. ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนท่ี ตรวจพบยึดได้ที่บ้านจำเลยที่ 2 อยู่ในลักษณะที่เปิดเผยบนโตะ๊ และตกบนพื้นบ้าน การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปซื้อ เมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำที่สำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้จำเลยที่ 3 ได้เมทแอมเฟตามีนมาขายให้ ด. ได้ สำเร็จ แม้ไม่ปรากฏหลกั ฐานของโจทกว์ า่ จำเลยที่ 1 มีส่วนในการตกลงจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามนี ให้ ด. กต็ าม แต่ ก็ถือได้วา่ เป็นการแบ่งหน้าทีก่ ันทำ โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ไปซือ้ เมทแอมเฟตามีนมาให้ ส่วนจำเลยที่ 3 มีหน้าท่ี จำหน่ายแก่ ด. ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐาน จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางบางสว่ นตามฟ้อง ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 471 โจทกข์ อคา่ เสียหายรายเดอื นหลงั วันฟ้อง พร้อมดอกเบีย้ อตั รารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี จนกวา่ จำเลยและบรวิ าร จะออกไปจากทรพั ย์พิพาทนั้น ค่าเสียหายรายเดือนภายหลังวันฟ้อง เป็นค่าเสียหายในอนาคต จึงมิใช่หนี้เงินผิด นัดท่โี จทก์ทง้ั สองจะมสี ทิ ธิคิดดอกเบี้ยระหวา่ งผดิ นดั ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5689/2561 ดอกเบี้ยจากค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจาก การละเมิดลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาทำละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 206 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตาม วินิจฉัยข้างต้นว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิคิดค่าเสียหายจากจำเลยนับแต่วันที่ 13 มกราคม 2552 ถือได้ว่าวัน ดังกล่าวเป็นวันที่จำเลยกระทำละเมิด โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป. พ.พ. มาตรา 224 วรรคหน่งึ นับแต่วนั ท่ี 13 มกราคม 2552 ถงึ วนั ที่ 28 สิงหาคม 2552 อนั เป็นวนั ฟ้องและ ต่อไปจนกวา่ จะชำระเสร็จตามทโ่ี จทกข์ อมา ส่วนที่โจทก์ขอค่าเสยี หายรายเดอื นหลังวันฟอ้ ง พรอ้ มดอกเบี้ยอัตรา

ร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากทรัพย์พิพาทนั้น ค่าเสียหายรายเดือนภายหลังวนั ฟ้อง โจทก์ทั้งสองมีคำขอในลักษณะค่าเสียหายในอนาคต จึงมิใช่หนี้เงินผิดนัดที่โจทก์ทั้งสองจะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิด นัดอัตรารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี ได้ ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 472 แม้มีการเพิ่มเติมความผิดมูลฐานหลังจากกระทำความผิดมูลฐานนั้น แต่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกั บความผิดมูล ฐานที่เพิ่มเติมอยู่ภายใต้บังคับย้อนหลังนับแต่วันการกระทำผิดนั้น ผู้ร้องมิได้ขอให้ศาลสั่งให้นำทรัพย์สินที่ เกยี่ วกบั การกระทำผดิ ไปคนื หรอื ชดใชค้ ืนให้แกผ่ ู้เสยี หายแทนการส่งั ให้ตกเปน็ ของแผน่ ดิน ศาลจึงไม่อาจส่ังกรณี ดงั กลา่ วได้ แต่เมือ่ เงินท่ี ส. กบั พวกชิงทรพั ย์ไปเปน็ ของผู้เสียหายทไี่ ดม้ าโดยสุจรติ ผู้เสยี หายจึงมีสทิ ธิติดตามและ เอาคืนซึ่งเงินของตนได้ ผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งรับช่วงสิทธิจากผู้เสียหายจึงเป็นผู้มีสิทธิในฐานะเจ้าของเงินที่แท้จริง ตดิ ตามเอาเงินคนื เมอ่ื ส. นำเงินนั้นไปซือ้ หนุ้ และวางเปน็ หลักประกนั ในบญั ชี (ซื้อขาย) หลักทรัพย์ และได้เงินปัน ผลจากหุ้น ทรัพย์สินนั้นจึงไม่ตกเป็นของแผ่นดิน โดยผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้รับช่วงสิทธิรับเงินหรือทรัพย์สิน ดังกลา่ วน้แี ทน คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 5655 - 5656/2561 แม้มีการบัญญตั เิ พิ่มเตมิ ความผิดมลู ฐานภายหลงั จากท่ี ไดม้ ีการกระทำความผิดมลู ฐานนนั้ ก็ตาม ทรัพย์สินทีเ่ กี่ยวกับความผิดมลู ฐานท่ีบัญญตั ิเพ่ิมเตมิ ดงั กล่าวย่อมตกอยู่ ภายใต้บังคับย้อนหลงั ไปทันที นับแต่วันที่มีการกระทำความผิดมูลฐานนั้น ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินท่ี เกยี่ วกบั การกระทำความผดิ ตกเปน็ ของแผ่นดนิ ยังไม่มกี ารแก้ไขเพิ่มเตมิ บทบญั ญัตวิ รรคหก ของมาตรา 49 แหง่ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ที่บัญญัติว่าผู้ร้องต้องร้องขอให้ศาลสั่งให้นำทรัพย์สินท่ี เก่ยี วกับการกระทำความผดิ ไปคนื หรอื ชดใชค้ นื ให้แก่ผู้เสียหายแทนการส่ังใหท้ รพั ย์สินดังกลา่ วตกเปน็ ของแผ่นดนิ ไปในคราวเดียวกัน และผู้ร้องก็มิได้มีคำร้องขอดังกล่าวเพิ่มเติมมาในภายหลังที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติน้ี ศาลจึงไม่อาจสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏชัดว่าเงินที่ ส. กับพวกชิงทรัพย์ไปเป็นของผู้เสียหายที่ได้มาโดยสุจริต ผู้เสียหายจึงมีสิทธิติดตามและเอา คนื ซงึ่ เงนิ ของตนจาก ส. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ผูค้ ัดคา้ นทัง้ สอง ซ่ึงรบั ชว่ งสิทธจิ ากผู้เสียหายจึงเป็นผู้มีสิทธิ ในฐานะเจ้าของเงินท่ีแท้จริง และยังถอื ได้วา่ เป็นผู้รับโอนสิทธโิ ดยสจุ ริตและมีค่าตอบแทนท่ีจะตดิ ตามเอาเงินคนื จาก ส. กับพวกตามมาตรา 50 วรรคหนึง่ แหง่ พ.ร.บ.ปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ พ.ศ.2542 ด้วย เมอ่ื ส. นำเงนิ ของผู้เสยี หายไปซ้ือหนุ้ และวางเป็นหลกั ประกันในบัญชี (ซื้อขาย) หลักทรัพย์ และไดเ้ งนิ ปนั ผลจากหุ้นที่ ซื้อซง่ึ เปน็ ทรพั ย์สินและดอกผลของผเู้ สยี หายที่ ส. ต้องคนื แก่ผเู้ สยี หาย ทรพั ยส์ ินน้นั จงึ ไมต่ กเป็นของแผ่นดนิ โดย ผ้คู ดั ค้านท้ังสองเปน็ ผรู้ ับช่วงสิทธิรบั เงินหรอื ทรัพยส์ นิ ดังกลา่ วนี้แทน (ประชุมใหญค่ ร้งั ท่ี 15/2561)

ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 473 ตาม ป.อ. อาญา มาตรา 309 วรรคหน่ึง การท่ผี ูถ้ กู ขม่ ขืนใจตอ้ งกระทำการนนั้ ไม่กระทำการนั้น หรอื จำ ยอมตอ่ สง่ิ น้นั ตามทถี่ กู ข่มขืนใจ เปน็ องคป์ ระกอบของความผดิ ฐานนดี้ ว้ ย ซึ่งโจทก์ต้องบรรยายในคำฟ้อง เมอ่ื ฟอ้ ง โจทก์บรรยายเพียงว่า จำเลยถอื อาวุธปืนพร้อมกับชีน้ ิ้วและพูดจาข่มขูเ่ พ่ือมใิ ห้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 4 กระทำการ กอ่ สร้างทีพ่ ักคนงาน อนั เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายท่ี 1 ถึงท่ี 4 ใหก้ ระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อ สิ่งใด โดยทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 4 เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายเท่านั้น จึงไม่ครบ องคป์ ระกอบความผิดทีโ่ จทก์ขอให้ลงโทษ เป็นคำฟอ้ งทีไ่ มช่ อบด้วย ป.ว.ิ อ. มาตรา 158 (5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5765/2561 ตาม ป.อ. อาญา มาตรา 309 วรรคหนง่ึ บญั ญัตวิ ่า \"ผู้ใดขม่ ขืน ใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรภี าพ ชอ่ื เสียงหรือทรพั ย์สินของผู้ถกู ข่มขืนใจน้ันเองหรือของผ้อู ่นื หรือโดยใชก้ ำลังประทุษร้ายจนผถู้ ูกขม่ ขนื ใจ ต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ...\" ดังนี้ การที่ผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่ กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้นตามที่ถูกข่มขืนใจจึงเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานนี้ด้วย ซึ่งโจทก์ต้อง บรรยายให้ปรากฏในคำฟ้อง เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายเพียงว่า จำเลยบังอาจถืออาวุธปืนพร้อมกับชี้นิ้วและพูดจา ข่มขเู่ พ่อื มใิ ห้ผ้เู สยี หายที่ 1 ถึงที่ 4 กระทำการก่อสร้างที่พกั คนงาน อนั เป็นการข่มขนื ใจผ้เู สียหายท่ี 1 ถึงที่ 4 ให้ กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 4 เกิดความกลัวว่าจะเกิด อนั ตรายต่อชวี ติ และรา่ งกาย โดยโจทก์มไิ ด้บรรยายว่า ผ้เู สยี หายท่ี 1 ถงึ ท่ี 4 ผถู้ กู ขม่ ขนื ใจต้องกระทำการนั้น ไม่ กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้นหรือไม่ จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่ครบองค์ประกอบของความผิดตาม กฎหมายดงั กล่าวท่โี จทก์ขอใหล้ งโทษ คำฟ้องของโจทกใ์ นความผิดฐานน้ีจงึ ไมช่ อบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ฎกี าเล่าเร่อื ง 474 สูติบัตรมิใช่พยานหลักฐานที่ยืนยันได้อย่างเด็ดขาดว่า ผู้ร้องขอเป็นบุตรของเจ้ามรดกกับผู้ร้อง เพราะ พนักงานเจ้าหนา้ ที่เพียงแต่ได้รับการบอกเลา่ จากผู้แจ้งและบันทึกลงในเอกสารเท่านั้น หาใช่เป็นการตรวจพิสูจน์ ของพนักงานเจา้ หน้าทีไ่ ม่ แต่หากมีการคัดค้านเอกสารน้ันผูค้ ดั ค้านต้องมีภาระการพิสูจน์ความไมบ่ ริสุทธิ์หรอื ไม่ ถูกต้องของเอกสารนั้น ผู้คัดค้านที่ 7 มิได้เป็นทายาทของเจ้ามรดก และแม้จะเป็นทายาทของผู้ร้องซึ่งมีสิทธิรับ มรดกของเจ้ามรดก ก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 7 เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลตั้งตนเป็ นผู้จัดการมรดก ของเจ้ามรดกได้ คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 5943/2561 แมส้ ตู บิ ตั รจะระบุวา่ เจ้ามรดกเปน็ มารดาและผรู้ อ้ งเปน็ บดิ าของผู้ ร้องขอ แต่เอกสารดังกล่าวก็หาใช่พยานหลักฐานท่ียนื ยันได้อย่างเด็ดขาดวา่ ผู้ร้องขอเป็นบุตรของเจ้ามรดกกับผู้ ร้องแต่อย่างใด เพราะการที่เอกสารดังกล่าวปรากฏชื่อเจ้ามรดกกับผู้ร้องเป็นมารดาและบิดาของผู้ร้องขอ ก็

เนื่องจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับการบอกเล่าและบันทึกลงในเอกสารดังกล่าวตามการบอกกล่าวของผู้แจ้ง เทา่ น้ัน หาใช่เป็นการตรวจพสิ ูจน์ของพนกั งานเจ้าหนา้ ท่ี แต่หากมกี ารคดั คา้ นเอกสารดงั กลา่ ว ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงท่ี 6 ต้องมีภาระการพิสูจน์ความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารดังกล่าว ผู้ที่มีอำนาจยื่นคำคัดค้านและ ขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกได้นั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 บัญญัติว่า \"ทายาทหรือผู้มี สว่ นไดเ้ สียหรอื พนกั งานอยั การจะร้องตอ่ ศาลขอใหต้ ง้ั ผู้จดั การมรดกกไ็ ด\"้ ดังน้ี เมือ่ ผู้คดั คา้ นท่ี 7 มไิ ด้เป็นทายาท ของเจ้ามรดก และแมผ้ ู้คัดคา้ นท่ี 7 จะเปน็ ทายาทของผูร้ ้องและผู้ร้องมีสทิ ธิรบั มรดกของเจา้ มรดกก็ตาม ก็ยังถือ ไม่ได้ว่าผู้คัดคา้ นท่ี 7 เปน็ ผ้มู ีสว่ นได้เสยี ทจี่ ะรอ้ งต่อศาลขอใหต้ ัง้ ตนเป็นผูจ้ ดั การมรดกของเจา้ มรดกได้ ฎีกาเล่าเร่ือง 475 การฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 อันตกอยู่ในบังคับแห่งอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 240 ต้องเป็นเร่ืองที่ลูกหนี้เป็นเจ้าของทรัพย์มอี ำนาจทำนิติกรรมโดยสมบูรณ์ เมื่อนิติกรรมซื้อขายที่ดนิ พพิ าทระหวา่ ง ส. ผู้ขาย กบั จำเลยท่ี 1 ผู้ซอื้ ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เจา้ ของที่ดนิ พพิ าทและไม่มีอำนาจ ขายใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 กรณมี ิใชเ่ ปน็ การฟอ้ งเพิกถอนการฉ้อฉลและไม่อยใู่ นบังคบั อายคุ วามดงั กล่าว คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 5686/2561 การฟ้องเพิกถอนการฉอ้ ฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 อนั จะตอ้ ง ตกอยู่ในบังคบั แห่งอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 240 กรณีต้องเป็นเร่ืองที่ลูกหนี้เป็นเจา้ ของทรัพย์มีอำนาจทำ นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์นั้น อันเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า นิติกรรมซื้อขายที่ดิน พิพาทระหว่าง ส. ผู้ขาย กับจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อ เกิดจากเจตนาลวงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดิน พิพาทและไม่มีอำนาจขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 กรณีจึงไม่ใช่เป็นการฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ไม่อยู่ในบังคับท่ีจะต้องฟ้องภายในอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 240 แม้ขณะที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดนิ แกจ่ ำเลยที่ 2 ในคดีแพง่ หมายเลขแดงท่ี 1061/2556 ศาลฎีกายังไมไ่ ดพ้ พิ ากษาเพกิ ถอนนติ กิ รรมซอ้ื ขายระหว่าง ส. กับจำเลยก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 2 รับโอนโดยไม่สุจริต จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนง่ึ ตอนทา้ ย ฟอ้ งโจทก์คดนี ้ีจงึ ยังไมข่ าดอายคุ วาม ฎกี าเลา่ เร่ือง 476 คำส่ังเดด็ ขาดไมฟ่ อ้ งของพนกั งานอัยการเปน็ ข้นั ตอนการสอบสวนคดีอาญาไม่มีผลผกู พนั คดีแพง่ จงึ นำมา รับฟังเป็นยุติชั้นศาลในคดีแพ่งไม่ได้ แม้จำเลยให้การว่า หนังสือแจ้งการประเมินเป็นคำสั่งทางปกครองท่ีไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย แต่ในชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นไว้และจำเลยมิได้คัดค้าน ถือว่าจำเลยสละ ประเด็น ทั้งศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยได้รับแบบ แจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรและภาษี หากไม่เห็นด้วยก็ชอบที่จะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

ภายใน 30 วัน เมื่อจำเลยไม่ใช้สิทธิ แสดงว่าจำเลยไม่ติดใจโต้แย้งจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมิน ดังกล่าวและไมม่ ีสทิ ธิต่อสูว้ ่าการประเมนิ ไมช่ อบ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6035 - 6038/2561 การทีพ่ นกั งานอัยการมีคำสัง่ เด็ดขาดไม่ฟ้องจำเลยใน ข้อหาสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรเปน็ เรื่องที่พนักงานอัยการมีความเห็นส่ังสำนวนไปตามพยานหลักฐานเทา่ ท่ี ปรากฏในสำนวนการสอบสวน อนั เปน็ ขนั้ ตอนในชนั้ สอบสวนคดอี าญา หาได้มผี ลผกู พันกบั คดแี พ่งไม่ จงึ จะนำมา รบั ฟงั เปน็ ทีย่ ตุ ิในชั้นพจิ ารณาของศาลในคดแี พง่ ไมไ่ ดว้ า่ จำเลยไม่ไดส้ ำแดงราคาต่ำกวา่ ความเปน็ จรงิ โจทกท์ ัง้ สอง จงึ มีอำนาจฟ้องเรยี กคา่ ภาษอี ากรทีข่ าด แม้จำเลยให้การว่า หนังสือแจ้งการประเมินเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในวันนัดช้ี สองสถาน ศาลภาษีอากรกลางไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้าน จึงถือว่า จำเลยสละประเด็นดังกล่าว ทั้งศาลภาษีอากรกลางไม่ได้วินิจฉัย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบใน ศาลภาษีอากรกลาง จำเลยได้รับแบบแจ้งการประเมนิ เรียกเกบ็ อากรขาเข้า/ขาออก ภาษสี รรพสามติ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษี อื่น ๆ (กรณีอื่น ๆ) หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับการประเมิน จำเลยก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน แต่จำเลยหาไดใ้ ช้สทิ ธิอุทธรณ์ การประเมินไม่ แสดงว่าจำเลยไม่ติดใจโต้แย้งการประเมนิ อันมีผลให้การประเมินเปน็ อนั ยุติ จำเลยย่อมไมม่ ีสิทธิ ฟ้องคดตี ่อศาลภาษีอากรกลางเพือ่ ขอใหเ้ พกิ ถอนการประเมนิ ดังกล่าวและยอ่ มไมม่ สี ิทธติ อ่ สคู้ ดีว่าการประเมินไม่ ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาเล่าเร่อื ง 477 ตามสัญญาตกลงชำระหนี้เป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงิน ดังกล่าวเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นเงินไทยและศาลชั้นต้นพิพากษาให้ชำระหนี้ตาม ฟ้องอาจมีผลให้ต้องมีการชำระหนี้เกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงไม่ชอบ และเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบ ศาลฎีกาหยิบยกขึน้ วนิ ิจฉัยและแก้ไขเสียใหถ้ กู ต้องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5658/2561 ตามสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์และจำเลยตกลงชำระหนี้แก่ กันเป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหน้ีเป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์เท่านั้น แต่จำเลย จะส่งใช้เป็นเงินไทยได้ก็โดยคิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1 96 ดังนั้น การที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นเงินไทยและศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่าง ประเทศกลางพพิ ากษาให้จำเลยชำระหน้ตี ามฟ้องแกโ่ จทก์เป็นเงินไทยอาจมผี ลใหจ้ ำเลยต้องชำระหรือโจทก์ไดร้ ับ ชำระหนีเ้ กินกว่าจำนวนหน้ีเงนิ ดอลลาร์สงิ คโปรต์ ามท่โี จทกบ์ รรยายฟ้อง หากวา่ อตั ราแลกเปลยี่ นในวนั ใช้เงินจริง

1 ดอลลาร์สิงคโปร์ เท่ากับเงินไทยจำนวนน้อยกว่า 23.93 บาท ซึ่งจะเป็นผลให้เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ ปรากฏในคำฟ้อง จึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายอนั เกี่ยวด้วยความ สงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศหยิบยกขนึ้ วนิ จิ ฉยั และแกไ้ ขเสียให้ถูกต้องได้ตาม พ.ร.บ.จัดต้ังศาลทรพั ย์สินทางปัญญาและการคา้ ระหว่างประเทศและวิธีพจิ ารณา คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและ การคา้ ระหวา่ งประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 และ ป.ว.ิ พ. มาตรา 246 และมาตรา 142 (5) ฎีกาเล่าเรอื่ ง 478 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน แต่คำขอท้ายฟ้องไม่ได้อ้าง มาตรา 57 และมาตรา 91 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ จึงขาดการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการ กระทำเชน่ นน้ั เป็นความผดิ และเปน็ ฟอ้ งทไ่ี มส่ มบรู ณล์ งโทษจำเลยท่ี 2 ไมไ่ ด้ อนั เป็นปญั หาขอ้ กฎหมายท่เี กย่ี วกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกข้ึนวนิ จิ ฉัยและแก้ไขใหถ้ ูกตอ้ งได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5970/2561 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเสพเมท แอมเฟตามีน แต่คำขอท้ายฟ้องไม่ได้อ้างมาตรา 57 และมาตรา 91 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นบทความผิดและบทลงโทษมาด้วย ดังนั้น ฟ้องโจทก์จึงขาดการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการ กระทำเชน่ นั้นเป็นความผดิ ตามทบ่ี ญั ญัตไิ ว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพจิ ารณาคดยี าเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์สำหรับการกระทำความผิดฐานนี้ และลงโทษจำเลยที่ 2 ใน ความผิดฐานนี้ไม่ได้ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.วธิ ีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎกี าเล่าเรือ่ ง 479 แมท้ ด่ี นิ ของจำเลยท่ี 1 ตกเปน็ ภาระจำยอมแกท่ ี่ดนิ ของโจทก์ แต่จำเลยท่ี 1 ยงั มีสทิ ธใิ นทางภาระจำยอม อันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยทั้งสองก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างบนทางภาระจำยอมอันเป็นที่ดินของ จำเลยที่ 1 หากโจทก์เสยี หายก็เปน็ เร่ืองทางแพง่ กรณไี ม่มมี ูลในความผดิ ฐานบกุ รกุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6006/2561 ที่ดินอันตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์นั้นเป็นกรรมสิทธ์ิ ของจำเลยท่ี 1 เพยี งแตท่ างภาระจำยอมน้ที ำใหจ้ ำเลยที่ 1 ตอ้ งยอมรับกรรมบางอยา่ งซงึ่ กระทบถงึ ทรพั ย์สินของ

ตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์นั้นเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 โดยจำเลยที่ 1 ยังมีสิทธิในทางภาระจำยอมอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 เช่นเดิม เพียงแต่ มาตรา 1390 ห้ามเจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไป หรอื เส่ือมความสะดวกเทา่ นนั้ การใชส้ ทิ ธเิ หนอื ทด่ี ินสว่ นทเ่ี ป็นทางภาระจำยอมในฐานะเจ้าของกรรมสทิ ธจ์ิ งึ ยังคง เป็นของจำเลยท่ี 1 ต่อไป แม้หากจำเลยทั้งสองกอ่ สร้างกำแพงคอนกรีต โครงเหล็กเป็นโรงจอดรถยนตแ์ ละบนั ได คอนกรีตอันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ก็เป็นการกระทำลงบนที่ดิน ของจำเลยที่ 1 เอง หาใช่เป็นการเข้าไปกระทำในที่ดินของโจทก์ไม่ หากโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรชอบท่ี จะไปว่ากล่าวกันในทางแพง่ การกระทำของจำเลยทัง้ สองจงึ ไม่มีมูลในความผดิ ฐานบกุ รกุ ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 480 โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มี ช. เป็นนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช และเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถคันเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุ ร. ขับรถไปปฏิบัติหน้าที่ขนถ่ายขยะตามคำสั่งของ จำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ขนขยะ เทา่ กบั รบั วา่ ร. ทำหน้าทข่ี บั รถคนั เกดิ เหตใุ นนามและภารกิจของจำเลยที่ 1 อันเปน็ การแสดงออกแกบ่ คุ คลท่ัวไป ว่า ร. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 1 จะมีสัญญาหรือข้อตกลงกับจำเลยที่ 2 อย่างไร ก็เป็นเรื่อง ระหว่างกันเอง ไม่มีผลผูกพันบคุ คลภายนอกรวมท้ังโจทก์ทัง้ สาม เมื่อ ร. ขับรถไปกระทำละเมิด จำเลยทั้งสองจงึ ตอ้ งร่วมกบั ร. ตอ่ โจทกท์ ัง้ สาม คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 5985/2561 โจทก์ท้งั สามบรรยายฟอ้ งวา่ จำเลยท่ี 1 เปน็ นติ ิบคุ คล มี ช. เป็น นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช และเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถบรรทุกคันเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุ ร. ขับ รถบรรทุกคันเกิดเหตุเพื่อปฏิบัติหน้าที่เก็บขนถ่ายขยะตามคำสั่งของจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวในคำ ฟ้องว่า ที่ข้างรถบรรทุกคนั เกิดเหตุมีข้อความวา่ เทศบาลนครนครศรธี รรมราช แต่จำเลยที่ 1 ให้การวา่ จำเลยท่ี 1 เป็นเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการเก็บขนขยะมูลฝอยเทศบาลนคร นครศรธี รรมราชแทนจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นท่ีเห็นไดว้ ่า จำเลยท่ี 1 รับว่า ร. ทำหน้าที่ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุเพื่อ เก็บขนขยะในนามของจำเลยที่ 1 ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เมื่อการเก็บขนขยะเป็นภารกิจของเทศบาล การขบั รถเก็บขนขยะของ ร. จึงเป็นการทำไปตามหน้าที่ในภารกิจของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเป็นการ แสดงออกแก่บุคคลทั่วไปว่า ร. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และรถบรรทุกคันเกิดเหตุเป็นของจำเลยที่ 1 การที่ จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดำเนินการเก็บขนขยะในนามของจำเลยท่ี 1 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจา้ ง ของ ร. ด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 จะมีสัญญาหรือข้อตกลงกับจำเลยที่ 2 อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะบังคับกันระหว่าง จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น หาได้มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอกซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสามด้วยไม่ เม่ือ

ข้อเทจ็ จริงรบั ฟังได้ว่า ร. ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตไุ ปในทางการท่ีจ้างของจำเลยทัง้ สองและกระทำละเมิด จำเลย ท้ังสองจึงตอ้ งรว่ มกบั ร. รับผดิ ในผลแห่งละเมิดที่ ร. กระทำด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ฎกี าเลา่ เร่อื ง 481 กรมธรรมป์ ระกันภัยรถยนต์ ระบุเง่ือนไขหรือข้อยกเวน้ ไว้ขอ้ หนึง่ วา่ ผูเ้ อาประกันภัยสามารถแจง้ ใหบ้ รษิ ัท ทราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขดังกล่าว โดยการแจ้งให้ ทราบถึงคู่กรณีรวมถึงสามารถแจ้งหมายเลขทะเบียนรถยนต์คู่กรณีให้บริษัททราบ โดยไม่จำเป็นต้องให้ รายละเอียดถึงผู้ขับขี่รถยนต์ เมื่อโจทก์ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์คู่กรณี จึงเข้าข้อยกเว้นและ จำเลยไม่จำตอ้ งรับผดิ ชดใช้คา่ สินไหมทดแทนแกโ่ จทก์ คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 5238/2561 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนตแ์ บบคมุ้ ครองเฉพาะภยั หนา้ 10 ขอ้ 1 ระบุข้อตกลงคุ้มครองไว้ว่า \"บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลา ประกันภัยต่อรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ตามที่ระบุไว้ในตาราง อันมีสาเหตุมาจากการชนกับยานพาหนะทางบก ทั้งนี้ความเสียหายดังกล่าวให้รวมถึงความเสียหายทีเ่ กิดจากไฟ ไหม้อันมีสาเหตุโดยตรงจากการชนกับยานพาหนะทางบก ไม่ว่าจะเกิดจากความประมาทของรถยนต์คันที่เอา ประกันภัยหรือคู่กรณี และผู้เอาประกันภยั สามารถแจ้งใหบ้ รษิ ัททราบถึงคูก่ รณีอีกฝ่ายหน่ึงได้\" ข้อความที่ระบไุ ว้ ดังกล่าวจึงเป็นเงื่อนไขหรือข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยแบบคุ้มครองเฉพาะภัยของบริษัท ประกันภยั รวมถงึ จำเลยดว้ ย ซึ่งตามคมู่ อื ตีความหน้าท่ี 3 อธิบายถึงความเสยี หายตอ่ รถยนตท์ ไี่ ดร้ บั ความคมุ้ ครอง ตามกรมธรรมป์ ระกันภยั น้วี า่ จะคุ้มครองเฉพาะ 1. รถยนต์คนั ทเี่ อาประกันภัยได้รบั ความเสียหายจากการชนกับ ยานพาหนะทางบก และ 2. ผเู้ อาประกนั ภยั สามารถแจ้งใหบ้ รษิ ัททราบถึงคกู่ รณอี ีกฝ่ายหนึง่ ได้ ดังน้นั โจทกย์ ่อม มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยต่อเมื่อเข้าเง่ือนไขทั้งสองข้อ โดยการแจ้ง ให้ทราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้ความหมายรวมถึงผู้เอาประกันภัยต้องสามารถแจ้งหมายเลขทะเบียนรถยนต์ คู่กรณีให้บริษัททราบ โดยไม่จำเป็น ต้องให้รายละเอียดถึงผู้ขับขี่รถยนต์ ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ไม่ ทราบหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนตท์ โี่ จทก์ระบวุ ่าขบั เฉ่ียวชนรถยนต์ของโจทกไ์ ดร้ ับความเสียหายจงึ ถอื ไมไ่ ด้ ว่าโจทก์สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ เป็นกรณีเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ ประกันภยั แบบค้มุ ครองเฉพาะภัย จำเลยจงึ ไม่จำต้องรับผิดชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามฟอ้ ง ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 482 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิด แต่คดีขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีไม่ ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 อุทธรณว์ ่าไมไ่ ดท้ ำละเมิด เมือ่ ศาลอุทธรณว์ นิ ิจฉยั ว่าคดีโจทกข์ าดอายุความการวนิ ิจฉยั

อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ผูกพันคู่ความทำให้คำพิพากษา ศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้วินิจฉัยว่าการ กระทำไมเ่ ปน็ ละเมิด จงึ ไมเ่ ปน็ สาระแก่คดี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5127/2561 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิด แต่คดีโจทก์ขาดอายุ ความ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าไม่ได้ทำละเมิด เมื่อศาล อุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเสียแล้ว การวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่ามิได้ทำละเมิดจึงไม่ เป็น ประโยชน์แก่คดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลที่สูงกว่าย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหน่ึง ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 อีกต่อไป และ จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จะมีสิทธิฎีกาได้ต่อเมื่อคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มีผล กระทบกระเทือนต่อสิทธิของจำเลยที่ 1 แต่คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หาได้กระทบกระเทือนหรือมีผลทำให้ จำเลยท่ี 1 อาจได้รบั ความเสยี หายแตป่ ระการใดไม่ ฎีกาของจำเลยท่ี 1 ที่ขอให้วินจิ ฉัยวา่ การกระทำของจำเลยท่ี 1 ไม่เป็นละเมดิ จึงไม่เป็นสาระแก่คดี ไมช่ อบด้วย ป.ว.ิ พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดมิ ) ศาลฎีกาไม่รบั วินิจฉยั ฎกี าเล่าเร่ือง 483 ประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดให้ผู้ซื้อทรัพย์ตอ้ งชำระหน้ีสินที่คา้ งต่อนิตบิ คุ คล อาคารชุด ธนาคาร อ. เข้าร่วมประมูลเท่ากับยอมรับเงื่อนไขนั้น เมื่อจำเลยมีหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชำระ โจทก์ ธนาคาร อ. ผู้ประมูลซื้อได้ จึงต้องรับภาระหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกหนี้น้ัน จากจำเลยอกี คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 5229/2561 เม่อื ปรากฏวา่ ตามประกาศขายทอดตลาดของเจา้ พนักงานบังคับ คดีกำหนดให้ผู้ซื้อทรัพย์ต้องเป็นผู้ชำระหนี้สินค้างชำระต่อนิติบุคคลอาคารชุด การที่ธนาคาร อ. เข้าร่วมประมลู ซื้อทรัพย์เท่ากับธนาคาร อ. ตกลงยอมรับข้อกำหนดเงื่อนไขในประกาศขายทอดตลาดดังกล่าว เมื่อจำเลยมีหน้ี ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางค้างชำระแก่โจทก์ ธนาคาร อ. ผู้ประมูลซื้อห้องชุดดังกล่าวย่อมรับไปทั้งสิทธิ และหนา้ ที่ของจำเลยซึ่งเปน็ เจ้าของร่วมเดมิ ธนาคาร อ. จึงมีหนา้ ที่ท่ีจะตอ้ งรับภาระหนี้ค่าใช้จ่ายเก่ียวกบั ทรัพย์ สว่ นกลางตอ่ โจทก์ โจทก์ไมม่ อี ำนาจฟอ้ งจำเลยเก่ยี วกับหน้ีคา่ ส่วนกลางที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาจากจำเลยอกี ฎีกาเล่าเรอื่ ง 484 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้บัตรเครดิตโจทก์รวมเป็นเงิน 206,634.61 บาท และระบุเป็นทุน ทรพั ยค์ ดนี ี้ ขอให้บงั คบั จำเลยชำระเงิน 6,592.44 บาท แสดงวา่ โจทก์ประสงคท์ จี่ ะไดร้ บั ชำระหนีต้ ามจำนวนที่

โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ดังกล่าว หาใช่เพียง 6,592.44 บาท ตามคำขอบงั คับไม่ น่าเชื่อว่าตามคำขอบังคับของ โจทกเ์ กิดจากความพล้ังเผลอพิมพผ์ ดิ พลาดคลาดเคล่อื นจากเจตนาทแี่ ทจ้ รงิ ถือได้ว่าคำพพิ ากษาทใ่ี ห้จำเลยชำระ หนี้ตามคำขอบังคับมีข้อผิดพลาดเล็กนอ้ ย โจทก์จึงชอบที่จะขอใหศ้ าลมีคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดและมีเหตสุ มควร แก้ไขจำนวนเงนิ ให้ถกู ต้องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2561 โจทก์บรรยายฟ้องว่า ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552 จำเลยมีหนี้ ค้างชำระการใช้บตั รเครดิตแกโ่ จทก์จำนวน 200,042.17 บาท ซึ่งจะตอ้ งชำระภายในวันที่ 9 เมษายน 2552 โจทก์ได้ทวงถามแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงต้องชำระให้แก่โจทก์เป็นเงิน 200,042.17 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 184,386.18 บาท นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2552 เป็นเงิน 6,592.44 บาท รวมเป็นเงินที่ต้องชำระทั้งสิ้น 206,634.61 บาท ขอให้บังคับ จำเลยชำระเงิน 6,592.44 บาท ซึ่งคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยค้างชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งส้ิน 206,634.61 บาท และโจทก์ระบุเป็นทุนทรัพย์ในการฟ้องคดีนี้ อันเป็นการบรรยายหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่ โจทก์ตามที่ปรากฏในคำฟ้องแลว้ แสดงว่าโจทก์ประสงค์ทีจ่ ะไดร้ บั ชำระหนี้ตามจำนวนที่โจทก์ได้บรรยายฟอ้ งไว้ ดังกล่าว หาใช่ตอ้ งการใหจ้ ำเลยชำระหนเ้ี พียง 6,592.44 บาท ไม่ นา่ เช่ือว่าตามคำขอบงั คับของโจทก์ เกิดจาก ความพลั้งเผลอพมิ พผ์ ดิ พลาดคลาดเคลื่อนจากเจตนาที่แทจ้ รงิ เปน็ เหตใุ หศ้ าลล่างท้ังสองพิพากษาให้จำเลยชำระ เงิน 6,592.44 บาท ผิดพลาดไปด้วย กรณีถือได้ว่าคำพิพากษามีข้อผิดพลาดเล็กน้อย โจทก์จึงชอบที่จะขอให้ ศาลมีคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นให้ถูกต้องได้ จึงมีเหตุสมควรแก้ไขจำนวนเงินในคำพิพากษาจาก 6,592.44 บาท เป็น 206,634.61 บาท ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 ฎกี าเลา่ เร่ือง 485 ข้อตกลงตามสัญญาเชา่ พ้นื ที่และสัญญาบรกิ ารท่ใี หจ้ ำเลยทั้งสองมีสิทธริ ิบคา่ เช่าและค่าประกนั การบรกิ าร มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าเป็นเบี้ยปรับ เมื่อโจทก์ไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง สมควร และถ้าเบีย้ ปรบั สูงเกนิ ส่วน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดลงให้เหลือเป็นจำนวนพอสมควรได้ เมื่อพิเคราะห์ ถงึ ทางได้เสียของจำเลยทัง้ สองทุกอย่างอนั ชอบดว้ ยกฎหมายแล้วเหน็ สมควรลดเบีย้ ปรับในส่วนที่เป็นค่าเช่าพื้นที่ ลงเหลอื ประมาณ 7 ใน 8 สว่ น คา่ ประกนั การบรกิ ารลงเหลือประมาณ 7 ใน 8 สว่ นการท่จี ำเลยท้งั สองริบเงินท่ี โจทกช์ ำระไปท้งั หมดไวเ้ ปน็ การใชส้ ิทธติ ามข้อตกลงในสัญญาโดยชอบ เมื่อศาลพิพากษาให้ลดเบยี้ ปรับและจำเลย ทง้ั สองตอ้ งคืนเบ้ยี ปรบั บางส่วน โจทก์จึงไมม่ สี ทิ ธิไดด้ อกเบย้ี จากเบ้ียปรับทไี่ ด้รับคืนเพราะเป็นฝ่ายผิดสัญญา อัน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรยี บร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บรโิ ภคมีอำนาจยกข้ึน วินิจฉยั และแกไ้ ขให้ถกู ตอ้ งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5225/2561 เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยทั้งสองบอกเลิกสัญญา แล้ว สัญญาเช่าพื้นที่และสัญญาบริการเป็นอันเลิกกัน คู่สัญญาแตล่ ะฝ่ายจำต้องให้อีกฝา่ ยหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะ ดังทเี่ ป็นอยู่เดิม สว่ นเงนิ อันจะต้องใช้คืนแก่กนั ใหบ้ วกดอกเบย้ี เขา้ ด้วยคดิ ตง้ั แตเ่ วลาทไ่ี ดร้ ับไวต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ทั้งจำเลยทั้งสองยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามมาตรา 391 วรรคสี่ การท่ี โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันตามสญั ญาเช่าพื้นท่ี ข้อ 4.1 วรรคสองว่า หากผูเ้ ชา่ ผิดนัดชำระค่าเช่า... และหาก การผดิ นัดดงั กลา่ วดำเนนิ ไปเกินกวา่ 30 วัน ถอื วา่ ผเู้ ช่าจงใจประพฤตผิ ิดสัญญาเช่า ผูใ้ ห้เช่ามสี ทิ ธบิ อกเลิกสัญญา เชา่ ฉบบั นี้ไดท้ ันที และผู้เช่าตกลงยนิ ยอมใหผ้ ู้ให้เช่ารบิ เงินทผี่ เู้ ชา่ ไดช้ ำระใหแ้ กผ่ ู้ใหเ้ ชา่ มาแลว้ ท้ังหมด และทโ่ี จทก์ กบั จำเลยที่ 2 ตกลงกนั ตามสัญญาบรกิ าร ข้อ 5.3 ว่า ผูร้ ับบริการยนิ ยอมให้ผู้ให้บริการรบิ เงินประกนั การบริการ ได้ทันที หากผู้รับบริการผิดข้อสัญญาข้อใดข้อหนึ่งหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดกันไว้ในสั ญญาบริการ ฉบับนี้หรือสัญญาเช่าพื้นที่ จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิริบค่าเช่าและค่าประกันการบริการที่โจทก์ชำระในงวดแรกได้ แต่ข้อตกลงตามสัญญาเช่าพื้นที่และสัญญาบริการดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าเป็น เบี้ยปรับ เมื่อโจทก์ไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหน้ีให้ถูกต้องสมควรดังท่ีบัญญัตไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 379 ถึงมาตรา 381 และถ้าเบ้ียปรบั สูงเกนิ ส่วน ศาลมอี ำนาจใชด้ ุลพนิ จิ ลดลงใหเ้ หลอื เป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 วรรคหน่งึ เมอื่ พเิ คราะห์ถึงทางไดเ้ สียของจำเลยทั้งสองทุกอยา่ งอันชอบด้วยกฎหมายแล้วเหน็ สมควรลดเบ้ียปรับ ในส่วนที่เป็นค่าเช่าพื้นที่ลงเหลือประมาณ 7 ใน 8 ส่วน ค่าประกันการบริการลงเหลือประมาณ 7 ใน 8 ส่วน จำเลยท่ี 1 จึงต้องคืนเงินที่รบิ ไว้แก่โจทก์จำนวน 398,816 บาท จำเลยที่ 2 ต้องคืนเงินท่ีรบิ ไว้แกโ่ จทกจ์ ำนวน 17,284 บาท และการทีจ่ ำเลยท้งั สองริบเงนิ ท่ีโจทกช์ ำระไปท้ังหมดไวเ้ ปน็ การใชส้ ิทธติ ามขอ้ ตกลงในสัญญาโดย ชอบ เมอื่ ศาลพิพากษาใหล้ ดเบ้ียปรับลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เปน็ ผลใหจ้ ำเลยทง้ั สองต้องคืนเบี้ย ปรับบางส่วนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากเบี้ยปรับที่ได้รับคืนเพราะเป็นฝ่ายผิดสัญญา ปัญหา ดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาล ฎีกาแผนกคดผี ู้บรโิ ภคมอี ำนาจยกขนึ้ วินจิ ฉยั และแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งได้ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (ท่ีใชบ้ ังคบั ขณะยื่นฟอ้ ง) และ พ.ร.บ.วธิ พี จิ ารณาคดผี ู้บรโิ ภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 486 กำแพงคอนกรีตด้านหลังอาคารพาณิชย์มีสภาพใช้ป้องกันและรักษาปลอดภัยให้แก่ทุกคนที่อาศัยอยู่ใน โครงการจัดสรร จึงเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ที่โจทก์ในฐานะผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้นเพื่อให้ผู้ซื้อที่ดินใช้ประโยชน์ ร่วมกันอันเป็นสาธารณูปโภค การที่จำเลยทุบทำลายกำแพงเป็นทางเข้าออกนอกโครงการเพื่อประโยชน์ของตน ย่อมกระทบต่อระบบการรักษาความปลอดภัย การจราจร การรักษาความสงบเรียบร้อยของโจทก์และผู้เป็น เจ้าของทด่ี ินแปลงอ่ืน ถอื วา่ เป็นการทำใหป้ ระโยชน์แหง่ ภาระจำยอมลดไปหรือเส่ือมความสะดวกแก่เจ้าของที่ดิน แปลงอื่นในโครงการ โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมและผู้มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดินย่อมมีอำนาจ

ฟ้องขอให้สั่งห้ามจำเลยกระทำการที่ขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนใน ฐานละเมิดได้แล้ว โจทก์ยังมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยซ่อมหรือสร้างกำแพงคอนกรีตให้กลับคืนสภาพได้ โดยไม่ จำตอ้ งฟอ้ งคดีภายใน 1 ปี นบั แต่วันร้ถู งึ การละเมดิ และรตู้ วั ผ้จู ะพงึ ต้องใช้คา่ สินไหมทดแทน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5211/2561 กำแพงคอนกรีตด้านหลังอาคารพาณิชย์ นอกจากจะบ่งบอกถงึ แนวเขตทดี่ นิ โครงการจัดสรรทด่ี นิ ของโจทก์แล้ว ยงั มีสภาพเพ่อื ป้องกนั ทงั้ บุคคลภายนอกและบุคคลท่ีอาศัยอยู่ใน อาคารพาณชิ ย์ทุกคนจำต้องเข้าออกตามทางทีโ่ จทกก์ ำหนดเพอื่ ประโยชนใ์ นการรกั ษาความปลอดภยั ใหแ้ ก่บคุ คล ทุกคนที่อาศัยอยู่ในโครงการจัดสรรและบุคคลทั่วไปที่เข้ามาตดิ ต่อหรือค้าขาย กำแพงคอนกรตี จึงเป็นสิ่งอำนวย ประโยชน์ทีโ่ จทก์ไดจ้ ัดให้มีขึ้นเพื่อใหผ้ ู้ซื้อที่ดินจัดสรรใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงเป็นสาธารณูปโภคตามความหมาย ของ พ.ร.บ.จัดสรรท่ีดนิ พ.ศ.2543 มาตรา 4 และ 43 การทจี่ ำเลยทุบทำลายกำแพงคอนกรีตแลว้ ทำเป็นทางเขา้ ออกไปสู่ทด่ี ินแปลงอ่ืนนอกโครงการจัดสรรของ โจทก์ เพื่อประโยชน์สำหรบั จำเลย บริวารลูกจ้าง และลูกค้าในกจิ การค้าของจำเลยโดยไม่ต้องใช้เส้นทางถนนใน โครงการจดั สรรของโจทก์ไปออกถนนสาธารณะ ไม่ตอ้ งผ่านทางเขา้ ออกทีโ่ จทก์กำหนด และไม่ต้องผ่านระบบการ รักษาความปลอดภัยของโจทก์เหมือนเจ้าของที่ดินในโครงการรายอื่น ย่อมมีผลกระทบต่อระบบการรักษาความ ปลอดภยั การจราจร การรักษาความสงบเรียบรอ้ ยของโจทกแ์ ละผู้เป็นเจา้ ของที่ดนิ แปลงอนื่ ถือวา่ เปน็ การทำให้ ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่เจ้าของที่ดินแปลงอื่นในโครงการจัดสรรของโจทกซ์ งึ่ เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ จึงเป็นการใช้สอยกำแพงคอนกรีตขัดต่อสิทธิเจ้าของรวมคนอื่น โจทก์ในฐานะเจ้าของ รวมและในฐานะผู้มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดินในการบำรุงรักษากำแพงคอนกรีตแทนเจ้าของ สามยทรพั ยท์ งั้ ปวง ยอ่ มมอี ำนาจฟ้องขอใหส้ ั่งห้ามจำเลยกระทำการที่ขัดตอ่ บทกฎหมายดังกลา่ ว แม้การทุบทำลายกำแพงคอนกรีตซึ่งเป็นสาธารณูปโภค จะเป็นการทำต่อบุคคลอ่ืนโดยผิดกฎหมายทำให้ โจทก์ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับทรัพยสิทธิ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 แตโ่ จทก์ก็ยงั มสี ทิ ธขิ อบงั คับใหจ้ ำเลยซึ่งเปน็ เจา้ ของภารยทรพั ย์กระทำการอย่างใดท่ที ำใหป้ ระโยชน์ หรือความสะดวกแห่งภารยทรัพย์กลับคืนมาดงั เดิม ซึ่งการติดตามเอากำแพงคอนกรีตท่ีถูกทุบทำลายคืนมาเปน็ การทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมกลับขึ้นมาตามเดิมก็คือการซ่อมหรือสร้างกำแพงคอนกรีตให้กลับคนื สภาพ ตามที่เป็นอยู่เดิมนั่นเอง โจทก์จึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะขอบังคับให้จำเลยซ่อมหรือสร้างกำแพงคอนกรีตให้ กลับคืนสภาพเดิมได้ ไม่ใช่ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการถูกทำละเมดิ จึงไม่จำต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับ แตว่ นั รูถ้ ึงการละเมดิ และรู้ตวั ผูจ้ ะพงึ ตอ้ งใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน

ฎกี าเล่าเรือ่ ง 487 โจทก์เป็นผู้เข้าประมูลซื้อห้องชุดพพิ าทต้องผูกพันตามเงื่อนไขในประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงาน บังคับคดี ซึ่งระบุคำเตือนว่า ผู้ซื้อจะต้องตรวจสอบภาระหนี้สินและชำระหนี้สินค้างชำระต่อนิติบุคคลอาคารชดุ ก่อนจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ โจทก์จึงต้องชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่เจ้าของเดิมค้างชำระอยู่ก่อนและในวันที่ โจทก์เข้าประมูล รวมทั้งหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังด้วย โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ออกหนังสือรับรอง การปลอดหนโ้ี ดยไมเ่ สนอจะชำระหนีท้ ค่ี า้ งชำระดงั กลา่ วก่อนไมไ่ ด้ จำเลยที่ 1 ถึงท่ี 12 ชอบที่จะคดิ เบ้ียปรบั หรอื เงนิ เพ่ิมในการค้างชำระหนีข้ องเจา้ ของเดมิ จากโจทก์ได้ เม่ือก่อนเขา้ ประมูลซื้อ ไมป่ รากฏวา่ โจทก์โตแ้ ย้งว่าหน้ีใน ส่วนนีข้ าดอายคุ วาม ย่อมถอื ว่าโจทกไ์ ดส้ ละประโยชนแ์ ห่งอายุความแลว้ และจะยกเรื่องหน้ีขาดอายคุ วามขนึ้ ตอ่ สู้ หาได้ไม่ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 5193 - 5208/2561 โจทก์เป็นผู้เข้าประมลู ซอื้ ห้องชุดพพิ าทต้องผูกพันตาม เง่อื นไขการเข้าสู้ราคา ข้อสัญญาและคำเตือนผูซ้ อ้ื ทก่ี ำหนดไวใ้ นประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบงั คบั คดี เมื่อตามประกาศขายทอดตลาดได้ระบุคำเตือนผู้ซื้อไว้ว่า ผู้ซื้อจะต้องตรวจสอบภาระหนี้สินก่อน และผู้ซื้อได้ จะต้องเป็นผู้ชำระหนี้สินค้างชำระต่อนิติบุคคลอาคารชุดก่อนจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 18, 29 และ 41 โจทก์จึงต้องผูกพันตามเนื้อความดังกล่าวในอันที่จะต้องชำระหนี้ค่าใช้จ่าย ส่วนกลางที่เจ้าของห้องชุดพิพาทคนเดิมค้างชำระอยู่ก่อนและในวันที่โจทก์เข้าประมูล รวมทั้งหนี้ที่เกิดข้ึน ภายหลังจากที่โจทก์ประมูลซื้อห้องชุดพิพาทได้ให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ออกหนังสอื รบั รองการปลอดหนีโ้ ดยไม่เสนอจะชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกลา่ วให้แกจ่ ำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 หาได้ ไม่ แม้ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 18 (เดิม) ไม่ได้บัญญัติให้เบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มอัน เน่อื งมาจากเจ้าของรว่ มผิดนดั ไม่ชำระคา่ ใช้จ่ายส่วนกลางภายในกำหนด เป็นสว่ นหนึ่งของคา่ ใช้จ่ายสว่ นกลาง แต่ เมื่อพิจารณาจากข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ที่กำหนดให้คิดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มจากเจ้าของร่วมก็ต่อเมอื่ เจา้ ของร่วมผดิ นดั ไมช่ ำระหน้ีค่าใชจ้ ่ายสว่ นกลางตามกำหนด เงนิ ในสว่ นนจ้ี ึงเปน็ ลักษณะของการกำหนดเบ้ยี ปรับ ไว้ลว่ งหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 จำเลยท่ี 1 ถึงที่ 12 ชอบที่จะคิดเบ้ียปรับหรือเงนิ เพมิ่ จากโจทกไ็ ด้ โจทก์ทราบถึงภาระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มที่เจ้าของห้องชุดพพิ าท คนเดิมค้างชำระ ตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะเข้าประมูลซื้อห้องชุดพิพาท การที่โจทก์ยังคงเขา้ ประมูลซื้อห้องชุดพิพาท โดยไม่ปรากฏวา่ ขณะเข้าประมูลซื้อห้องชุดพิพาท โจทก์ได้โต้แย้งว่าหนี้ในส่วนนี้ขาดอายุความ ย่อมถือว่าโจทก์ได้สละประโยชน์ แห่งอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/24 แล้ว โจทก์จะยกเรื่องหนี้ขาดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (4) และจะขอชำระหนี้นับจากวันฟ้องย้อนหลังไป 5 ปี หาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิยกอายุความข้ึน ตอ่ สจู้ ำเลยที่ 1 ถงึ ท่ี 12 โจทก์จึงไม่อาจฟอ้ งขอใหบ้ ังคบั จำเลยที่ 1 ถงึ ท่ี 12 รับชำระหนีค้ า่ ใช้จ่ายส่วนกลางและ

เบยี้ ปรับหรอื เงนิ เพิม่ ที่ค้างชำระนบั จากวนั ฟอ้ งยอ้ นหลังไป 5 ปี แลว้ ออกหนงั สือรบั รองการปลอดหน้ีให้แก่โจทก์ ได้ ฎีกาเล่าเร่ือง 488 แม้ผู้ร้องอ้างว่าการเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภคผิดวัตถุประสงค์ของผู้คัดค้าน แต่มติที่ประชุมใหญ่ของ สมาชิกยังไม่มีมติให้ใช้จ่ายเงินที่เรียกเก็บตามรายการดังกล่าว มติที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกจึงยังไม่ขัดต่อ วัตถุประสงคข์ องผู้คัดคา้ นท่ีผรู้ ้องจะขอให้เพิกถอนเสียได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5085/2561 แม้ผู้ร้องอ้างว่าการเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภคเพื่อนำไปใช้จ่าย บำรงุ ซ่อมแซมสโมสรและสระวา่ ยน้ำเป็นการผดิ วตั ถปุ ระสงคข์ องผู้คัดคา้ น เพราะอยูน่ อกแผนผงั และโครงการท่ีผู้ จัดสรรที่ดินได้รับอนุญาต แต่ปรากฏว่าตามมติที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนยังไม่ได้มีมติให้ใช้ จ่ายตามรายการดังกล่าว แต่ให้ผู้ดำเนินการนำเสนอรายละเอียดเพื่อพิจารณาอีกครั้ง มติที่ประชุมใหญ่ของ สมาชิกจงึ ยังไมข่ ัดตอ่ วัตถปุ ระสงคข์ องผคู้ ัดค้านทีผ่ ้รู ้องจะขอให้เพกิ ถอนเสยี ได้ ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 489 ศาลชั้นตน้ พิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ให้ประหารชวี ิต แม้ศาลชั้นอุทธรณเ์ ห็นวา่ จำเลยได้ให้ขอ้ มูลทีส่ ำคัญและเปน็ ประโยชน์อย่างยิ่งฯ ซึ่งอาจลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำได้ก็ตาม แต่ที่ศาล ชั้นอุทธรณ์ให้จำคุกตลอดชีวิต และลงโทษปรับ 2,400,000 บาท ด้วยน้ันเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะโทษที่วาง กอ่ นกำหนดโทษใหมไ่ มม่ โี ทษปรบั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5061/2561 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง 65 วรรคสอง (ทีแ่ กไ้ ขใหม่) ให้ประหารชวี ิต เม่ือศาลอุทธรณเ์ ห็นว่า จำเลยได้ ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อ พนกั งานฝ่ายปกครองหรอื ตำรวจหรือพนกั งานสอบสวน ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขัน้ ตำ่ ท่กี ำหนดไว้ สำหรบั ความผิดน้ันก็ได้ แต่ท่ศี าลอทุ ธรณใ์ หจ้ ำคกุ ตลอดชีวติ และลงโทษปรบั 2,400,000 บาท ดว้ ยน้ันเป็นการ ไม่ถกู ต้อง เพราะโทษท่วี างก่อนกำหนดโทษใหมไ่ มม่ โี ทษปรับ ศาลฎีกาเห็นควรแกไ้ ขใหถ้ กู ต้อง

ฎีกาเล่าเรื่อง 490 ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของ น. น. ย่อมมีอำนาจจัดการสินของตนโดยให้จำเลยถอื กรรมสิทธิ์บางส่วน และยกกรรมสิทธิ์ในส่วนของตนให้จำเลยได้อันเป็นสิทธิโดยชอบไม่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ ส่วนการที่ น. และ จำเลยแจ้งความเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าธรรมเนียม ค่าภาษีเงินได้ ค่าอากร และค่าใช้จ่ายในการโอนก็เป็น หน้าทข่ี องรัฐทีจ่ ะเรยี กเอาจากผ้ทู ่เี ก่ียวข้องต่อไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5052/2561 แม้คดีจะฟังว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นสินส่วนตัวของ น. มิใช่สนิ สมรสตามทีผ่ ู้รอ้ งสอดยกขน้ึ ตอ่ สกู้ ต็ าม น. กม็ ีอำนาจจัดการสินสว่ นตวั ของตนโดยใหจ้ ำเลยถือกรรมสทิ ธใ์ิ น ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงบางส่วน และยกกรรมสิทธิ์ในส่วนของ น. ให้แก่จำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1473 ดงั น้ัน การท่ี น. ยกท่ดี ินพพิ าททง้ั สองแปลง ซง่ึ เป็นสินสว่ นตวั ให้แกจ่ ำเลย จึงเปน็ สิทธโิ ดยชอบดว้ ยกฎหมายที่จะ กระทำได้ ไม่ทำให้นิติกรรมดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ส่วนการที่ น. และจำเลยแจ้งความเท็จโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยง การเสียค่าธรรมเนียม ค่าภาษีเงินได้ ค่าอากร และค่าใช้จ่ายในการโอนก็เป็นหน้าที่ของรัฐ ที่หน่วยงานราชการ จะตอ้ งไปดำเนนิ การเรียกเอาจากผู้ท่เี กีย่ วข้องใหถ้ ูกต้องตอ่ ไป ฎกี าเล่าเรื่อง 491 ศาลฎกี าสัง่ ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า กอ่ นอ่านคำพพิ ากษาศาลฎีกา ให้ศาลชนั้ ตน้ เรยี กคา่ ขนึ้ ศาลให้ ครบถ้วนภายในกำหนดก่อน มิฉะนั้นให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลฎีกา ต่อมาศาลช้ันต้นมีคำสั่งให้จำเลย ชำระค่าข้นึ ศาลภายใน 30 วัน แตจ่ ำเลยทราบคำส่งั แลว้ เพกิ เฉย จงึ ถอื วา่ จำเลยทง้ิ ฟอ้ งฎกี า คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 5048 - 5049/2561 คดีน้ศี าลฎกี าสัง่ ในรายงานกระบวนพจิ ารณาลงวันท่ี 6 สิงหาคม 2561 ว่า ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นเรยี กคู่ความทั้งสองฝ่ายมาสอบถามราคาทรัพย์ ทั้งหมดตามพินัยกรรมและให้จำเลยท้ังสามชำระค่าขึ้นศาลทั้งสองสำนวนให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้น กำหนด มิฉะนั้นให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลฎีกา ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2561 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ จำเลยทั้งสามชำระค่าขึ้นศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันดังกล่าว จำเลยทั้งสามทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว แต่ เพิกเฉยไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าจำเลยทั้งสามทิ้งฟ้องฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดมิ ) ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 492 ตวั แทนเชิดไมอ่ ยู่ในบังคบั ทตี่ ้องทำเป็นหนังสือหรอื มีหลักฐานเป็นหนังสอื สามารถฟอ้ งบังคบั กนั ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5042/2561 การตั้งตัวแทนเชิดเพื่อทำกิจการอันใด ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องทำ เป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือตัวการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากตัวแทน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ ฟ้องร้องใหบ้ ังคบั คดกี ันได้ ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 493 เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอื่น แต่ น. จำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวรับสารภาพ ศาล ช้นั ตน้ จงึ ใหแ้ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และพิพากษาลงโทษ น. รบิ โทรศัพทเ์ คลือ่ นที่ 2 เคร่ือง และรถจักรยานยนต์ของ กลาง ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้อันเปน็ คดเี ดยี วกบั คดีดังกล่าว เมื่อฟังไม่ได้วา่ จำเลยใช้โทรศัพท์ถึง น. และให้ น. นำรถจักรยานยนต์ไปติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์และรถคันดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพยส์ ินท่ใี ช้ ในการกระทำความผิด ไม่อาจริบได้ แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาริบไว้ในคดีก่อน ก็ต้องคืนแก่ เจ้าของ ซึ่งเป็นข้อ กฎหมายเก่ียวกับความสงบเรยี บรอ้ ย ศาลอุทธรณ์ยกขึน้ วนิ ิจฉยั ไดเ้ อง และมีอำนาจสง่ั คนื เจา้ ของได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2561 เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลข แดงที่ 233/2554 ของศาลชั้นต้น แต่ น. ซึ่งเป็นจำเลยท่ี 1 ในคดีดังกล่าวให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจึงมี คำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 และพิพากษาลงโทษ น. ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง และรถจักรยานยนต์ของ กลาง ตอ่ มาโจทกฟ์ ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้ คดนี ีจ้ งึ เป็นคดเี ดยี วกนั กบั คดดี ังกล่าว เมื่อขอ้ เท็จจริงฟงั ไม่ไดว้ า่ จำเลย ใช้โทรศัพท์เคลื่อนทีต่ ิดต่อ น. ในเรื่องซื้อขายเมทแอมเฟตามีนและให้ น. นำรถจกั รยานยนต์ไปติดต่อซื้อขายเมท แอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยและรถจักรยานยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำ ความผิด ไม่อาจรบิ ได้ แมศ้ าลชนั้ ตน้ มคี ำพิพากษาใหร้ ิบทรัพย์ดังกล่าวตามคดอี าญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 แต่เมื่อฟังไม่ได้ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ จะต้องคืนแก่เจ้าของ ปญั หาดังกล่าวเปน็ ข้อกฎหมายทีเ่ กย่ี วกับความสงบเรยี บรอ้ ย แม้ไมม่ คี ู่ความฝา่ ยใดอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจ ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และมีอำนาจสัง่ คืนแกเ่ จา้ ของได้ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 49 ประกอบมาตรา 186 (9), 215 และ พ.ร.บ. วธิ ีพจิ ารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎกี าเล่าเร่ือง 494 โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินทรัพย์มรดกระหว่าง ต. ผู้จัดการมรดกกับจำเลย โดยอาศัย ข้อเท็จจริงเดียวกันกับคดีก่อน แม้อ้างเหตุเพิกถอนคนละกรณี แต่ก็เพื่อให้ที่ดินกลับสู่กองมรดก จึงเป็นข้ออ้าง เดียวกัน จึงเป็นฟอ้ งซำ้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4716/2561 โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินทรัพย์มรดกระหว่าง ต. ผู้จัดการมรดกกับจำเลย โดยอาศยั ขอ้ เท็จจริงเดียวกันกับคดีก่อน แม้อ้างเหตเุ พิกถอนว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ก็ด้วยประสงค์ให้ท่ีดินกลับสู่กองมรดก และนำมาแบ่งปันแก่โจทก์รวมท้ังทายาทอ่ืน ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหง่ ขอ้ หาคดีนแ้ี ละคดกี ่อนจงึ เป็นข้ออา้ งเดยี วกนั คือ การโอนที่ดนิ ระหวา่ ง ต. กับจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้ คดีก่อนศาลพิพากษายกฟอ้ งโจทก์ในส่วนจำเลยเพราะขาดอายุความ แตก่ ไ็ ด้วนิ จิ ฉยั ช้ีขาดในประเด็นแห่งคดีด้วย วา่ จำเลยเปน็ ทายาทโดยธรรมมสี ทิ ธิรับมรดก การท่ี ต. โอนที่ดินใหจ้ ำเลยมิใชก่ ารปดิ บังยกั ยอกทรัพย์มรดก และ ไม่ถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินแทนโจทก์ ย่อมถือได้ว่าคดีก่อนศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาของเรื่องที่ฟ้องกันแล้ว ฟอ้ งโจทกค์ ดีนเ้ี ป็นการร้ือร้องฟ้องกนั อีกในประเดน็ ท่ไี ด้วินิจฉัยโดยอาศยั เหตุอย่างเดยี วกนั จึงเปน็ ฟอ้ งซำ้ ฎีกาเล่าเร่ือง 495 สัญญาค้ำประกันการประกันตวั ผู้ตอ้ งหาหรือจำเลย ซ่งึ ระบวุ า่ \"...หาก ร. ผูต้ ้องหา/จำเลย ก่อให้เกดิ ความ เสียหายต่อหลักประกันหรือนายประกันต้องถูกสั่งปรับ ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดพร้อมดอกเบี้ย...\" ไม่ใช่กรณียอม ชำระหนเ้ี มอื่ ร. ไมช่ ำระหน้ี จึงไม่ใชส่ ญั ญาคำ้ ประกนั ทต่ี ้องเสียอากร คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 4479/2561 สญั ญาคำ้ ประกนั การประกนั ตวั ผู้ตอ้ งหาหรอื จำเลย ซง่ึ ระบวุ า่ \"... หาก ร. ผูต้ อ้ งหา/จำเลย ได้กอ่ ให้เกิดความเสียหายตอ่ หลักทรพั ยท์ ่ีเป็นหลักประกัน หรอื กอ่ ให้นายประกันตอ้ งถูก สั่งปรับในฐานะนายประกัน หรือการกระทำอื่นใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายประกัน ผู้ค้ำประกันยอม รับผดิ ชอบยอมใชห้ นส้ี นิ และค่าเสียหายอย่างใด ๆ น้ันท้ังหมด พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ให้กับนายประกัน ทันที...\" ไม่ใช่กรณีที่จำเลยทั้งสามยอมชำระหนี้ต่อโจทก์ต่อเมื่อ ร. ไม่ชำระหนี้ สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาคำ้ ประกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 680 ที่ตอ้ งเสยี อากรตามบัญชีอากรแสตมป์ทา้ ยหมวด 6 แหง่ ประมวลรษั ฎากร ฎกี าเล่าเรอื่ ง 496 จำเลยร่วมกับพวกนำผู้ตายไปเรียกค่าไถ่แล้วพวกของจำเลยฆ่าผู้ตาย ถือเป็นผลจากการกระทำดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผลแห่งการตายนนั้ ดว้ ย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4532/2561 การที่จำเลยทั้งสามกับพวกนำผู้ตายไปกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้ว พวกของจำเลยไดฆ้ า่ ผู้ตายนัน้ ถือได้วา่ การตายของผูต้ ายเปน็ ผลมาจากการทจี่ ำเลยทงั้ สามกบั พวกนำผูต้ ายไปเพอ่ื เรียกค่าไถ่ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคท้าย (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2561)

ฎีกาเล่าเร่ือง 497 คำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้นับโทษของจำเลยต่อจากคดีอื่น แม้ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้นับโทษต่อ จากคดดี งั กล่าว ก็ไม่เป็นการขอแก้ไขฟ้อง จงึ นบั โทษตอ่ ไมไ่ ด้ เพราะเกนิ คำขอ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 3970/2561 คำฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจรงิ ว่าจำเลยท่ี 1 ถูกฟ้องเปน็ จำเลยที่ 2 ในอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้น ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกใน คดีอาญาอีกคดีของศาลชั้นต้น แม้ต่อมาโจทก์จะยื่นคำร้องขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดี ดังกล่าว ก็ไม่อาจถือวา่ โจทก์ขอแก้ไขเพ่ิมเติมฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 กรณีจึงไมอ่ าจนับโทษจำคุกจำเลยท่ี 1 ได้ เพราะจะเป็นการพพิ ากษาเกินคำขอของโจทก์ ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 498 สัญญากูแ้ ม้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วน แต่ไม่ได้ขีดฆ่าย่อมไม่อาจรับฟังเปน็ พยานหลักฐานในคดีแพง่ ได้ ซึ่ง เป็นเรือ่ งอำนาจฟ้องและเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายเกย่ี วกับความสงบเรยี บร้อย ศาลฎกี ามีอำนาจวินิจฉัยไดเ้ อง คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 4574/2561 โจทก์ฟ้องขอให้บงั คับจำเลยชำระต้นเงนิ และดอกเบ้ียตามสัญญา กู้ยืม จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ โจทก์นำสืบสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐาน ตามข้ออ้างของตน สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสต มป์ท้าย ประมวลรัษฎากร แต่ไม่ไดข้ ดี ฆา่ อากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด ยอ่ มถือวา่ สัญญากู้เงนิ ดงั กลา่ วไมไ่ ด้ปดิ อากร แสตมป์บรบิ ูรณ์ไม่อาจรบั ฟงั เปน็ พยานหลักฐานในคดแี พ่งไดต้ าม ป.รัษฎากร มาตรา 118 มผี ลเทา่ กับวา่ โจทกไ์ ม่ มีหลักฐานเป็นหนังสืออยา่ งใดอยา่ งหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเปน็ สำคัญ โจทก์จงึ ฟอ้ งร้องบังคับคดไี ม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง และปัญหาดังกล่าวเปน็ เรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคมีอำนาจวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 โจทก์จึงไม่มี พยานหลักฐานที่จะฟังวา่ จำเลยกู้เงินโจทกไ์ ปจริงตามฟ้อง ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 499 แม้โจทก์เป็นเพียงผู้ตดิ ต่อซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีการเช่าซื้อ และไม่ใชเ่ จ้าของรถยนต์ขณะฟอ้ ง คดีเพราะเป็นผู้เช่าซื้อจากธนาคาร ท. แต่การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ก่อนทำสัญญาเช่าซื้อพร้อม สมุดคู่มือการรับบริการระบกุ ารรับประกันตามเงื่อนไขและระยะเวลา โดยระบุชื่อโจทก์เป็นลูกค้า ถือเป็นสัญญา ให้บริการมผี ลผูกพัน สว่ นจำเลยที่ 2 ผผู้ ลิตและจำหน่ายรถยนต์ แม้ไมม่ สี ่วนเก่ียวข้องกับลูกค้าผซู้ อ้ื รถ แต่ก็เป็นผู้

ควบคุมและกำกบั ดูแลมาตรฐานการซ่อมของจำเลยท่ี 1 ซึ่งเป็นตัวแทนจำหนา่ ยโดยใกล้ชิด จำเลยทั้งสองจงึ เป็น คู่สัญญาฝ่ายผู้ให้บริการซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ส่วนโจทก์เป็นผู้รับบริการย่อมเป็นผู้บริโภค เม่ื อโจทก์อ้างว่า รถยนตช์ ำรุดบกพร่องภายใตเ้ งอ่ื นไขและระยะเวลารบั ประกนั โจทก์จึงมอี ำนาจฟ้อง ข้อเท็จจรงิ ที่ว่าจำเลยทงั้ สอง ไดซ้ อ่ มแซมรถยนต์เรียบรอ้ ยหรอื ไม่อยูใ่ นความรูเ้ หน็ โดยเฉพาะของจำเลยท้ังสองซึ่งมีภาระการพิสูจน์ เม่ือไม่อาจ พิสูจน์ได้ จึงฟังไมไ่ ด้ว่ามีการแกไ้ ขแลว้ และศาลมีอำนาจบังคับให้จำเลยท้ังสองใช้คา่ เสียหายเป็นเงินได้ในกรณีที่ ไม่อาจแก้ไขความชำรดุ บกพร่องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4567/2561 แม้โจทก์จะเป็นเพียงลูกค้าที่ติดต่อซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีการเช่าซื้อ และโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันพิพาทขณะฟ้องคดีเพราะเป็นผู้เช่าซื้อจากธนาคาร ท. แต่ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์พิพาทแก่โจทกก์ ่อนโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อพร้อมกับส่งมอบ สมุดคู่มือการรบั บริการให้แก่โจทกร์ ะบุการรับประกันรถยนต์พิพาทตามเงื่อนไขและระยะเวลา โดยระบชุ ่ือโจทก์ เป็นลูกค้าผู้ซื้อซึ่งมีสิทธิเข้ารับบริการเกี่ยวกับรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 ข้อตกลงเช่นนี้ย่อมถือเป็นสัญญา ให้บริการ แม้ไม่ได้ทำสัญญาให้บริการขึ้นก็มีผลผูกพันและใช้บังคับแก่จำเลยที่ 1 ได้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และผู้ให้เช่าซื้อตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 11 สำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิต ประกอบ และจำหน่ายรถยนต์พิพาท แม้เป็นนิติบุคคลแยก ต่างหากจากจำเลยที่ 1 และไม่มีสว่ นเกี่ยวข้องกับลกู ค้าผู้ซื้อรถก็ตาม แต่เม่ือจำเลยท่ี 2 เป็นผู้ควบคุมและกำกบั ดูแลมาตรฐานการซ่อมของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายโดยใกล้ชิด พฤติการณ์การประกอบธุรกิจของ จำเลยที่ 2 ดังกล่าว ย่อมชี้ชัดว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการให้สัญญารับประกันการซ่อม บำรงุ รักษารถยนตอ์ นั เปน็ บริการท่ใี หแ้ กโ่ จทกด์ ว้ ย จำเลยท้งั สองจึงอยู่ในฐานะเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ใหบ้ รกิ ารซ่ึงเป็น ผปู้ ระกอบธรุ กจิ สว่ นโจทก์เปน็ ค่สู ญั ญาฝา่ ยผรู้ ับบรกิ ารย่อมเปน็ ผูบ้ รโิ ภคตาม พ.ร.บ.วธิ ีพจิ ารณาคดีผู้บรโิ ภค พ.ศ. 2551 มาตรา 3 และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 3 เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่ารถยนต์พิพาทชำรุด บกพร่องจากเหตุเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติและอยู่ภายใต้เงือ่ นไขและระยะเวลารับประกัน อันเป็นการกล่าวอา้ ง ว่าจำเลยทง้ั สองผดิ สัญญาให้บริการซ่งึ เป็นการโต้แย้งสิทธโิ จทก์ โจทกจ์ งึ มีอำนาจฟ้องจำเลยทง้ั สอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ซ่อมแซมข้อชำรุดบกพร่องของรถยนต์พิพาทเรียบร้อยแล้วหรือไม่ เปน็ ขอ้ เทจ็ จริงเกีย่ วกบั การให้บรกิ ารท่ีอยใู่ นความรเู้ ห็นโดยเฉพาะของจำเลยทง้ั สองซ่งึ เป็นผปู้ ระกอบธุรกิจ ภาระ การพิสูจนจ์ ึงตกอยแู่ ก่จำเลยทงั้ สองตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดผี ้บู รโิ ภค พ.ศ.2551 มาตรา 29 เมือ่ จำเลยท้งั สอง มีภาระการพิสูจน์แต่ไม่อาจนำสืบพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างได้ คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่าข้อชำรุดบกพร่องของ เครอ่ื งยนต์ไดร้ ับการแกไ้ ขแลว้ จำเลยทง้ั สองจงึ ยงั คงต้องรว่ มกันรบั ผิดในความชำรุดบกพรอ่ งของรถยนตพ์ พิ าท ศาลในคดีผู้บริโภคย่อมมีอำนาจบังคับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแก่โจทก์ได้ตาม พ.ร.บ.วิธี พิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 39 และ 41 ในกรณีที่จำเลยทั้งสองไม่อาจแก้ไขเหตุชำรุดบกพร่องที่ เกิดขึน้ แกโ่ จทก์ผูบ้ ริโภคได้

ฎีกาเลา่ เร่ือง 500 จำเลยเสนอขายห้องชุดซึ่งก่อสร้างเสร็จแล้ว จำเลยย่อมทราบเนื้อที่และราคาเป็นข้อสำคัญ ผู้ซื้อย่อม ต้องการรับโอนห้องชุดที่มีเนื้อที่ตามหนงั สือกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือหากจะแตกต่างก็ไม่ควรขาดตกบกพรอ่ งหรอื ล้ำจำนวนเกินสมควร การที่จำเลยกำหนดในสัญญาเช่าซื้อให้ใช้เนื้อที่ตามสัญญาโดยไม่คิดราคาเพิ่มหรือลดตาม เนอ้ื ท่ใี นหนังสอื กรรมสทิ ธ์ิหอ้ งชดุ ท่ีออกในภายหลงั โดยจำเลยสง่ มอบเนื้อที่ขาดไปร้อยละ 9.1 แตย่ งั คงให้โจทก์ ท้งั สองรับไวโ้ ดยไม่อาจใชร้ าคาตามสว่ น โจทก์ทงั้ สองจงึ ต้องรบั ภาระชำระราคาเกนิ ไปถึง 165,291 บาท ทั้งยัง เป็นข้อตกลงในสญั ญาสำเร็จรูป ถือได้ว่าทำให้จำเลยไดเ้ ปรยี บโจทก์ทั้งสองเกินสมควร อันเปน็ ขอ้ สัญญาท่ไี ม่เป็น ธรรมและไม่มีผลใชบ้ ังคับ จำเลยจงึ ต้องปรบั ลดราคาให้ตามเน้อื ท่ีอันแท้จรงิ และคืนเงนิ แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4566/2561 จำเลยเสนอขายห้องชุดในโครงการซึ่งก่อสร้างห้องชุดเสร็จแลว้ จำเลยในฐานะนิติบุคคลที่ดำเนินการเพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยย่อมทราบเนื้อที่ของห้องชุดและราคาซื้อขาย เปน็ ขอ้ สำคญั ผซู้ ื้อย่อมต้องการรบั โอนหอ้ งชุดที่มเี นอ้ื ที่ตามหนงั สอื กรรมสทิ ธห์ิ อ้ งชุด หรอื หากจะแตกต่างไปบ้าง ก็ไม่ควรขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวนเกินสมควร ทั้งจำเลยสามารถคำนวณและตรวจสอบเนื้อที่ห้องชุดได้อยู่ แล้ว ในขณะทีผ่ ูบ้ ริโภคเช่นโจทก์ทั้งสองไม่สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย การที่จำเลยกำหนดสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 1 วรรคท้าย ให้ใช้เน้ือทีห่ อ้ งชุดตามสัญญาเช่าซื้อโดยไม่คิดราคาเพม่ิ หรอื ลดตามเนอื้ ทใ่ี นหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดท่ี ออกในภายหลงั เปน็ การยกเวน้ ป.พ.พ. มาตรา 466 จำเลยส่งมอบหอ้ งชุดเน้ือทขี่ าดตกบกพรอ่ งจากสัญญา คิด เปน็ ร้อยละ 9.1 ของเนื้อท่ีทง้ั หมด แตย่ ังคงใหโ้ จทกท์ งั้ สองรับเอาหอ้ งชุดไวโ้ ดยไมอ่ าจใช้ราคาตามส่วน ท้งั ที่ความ แตกตา่ งของเนื้อท่ีหอ้ งชุดมาจากการคำนวณของจำเลยเอง ทำใหโ้ จทก์ท้ังสองตอ้ งรับภาระชำระราคาเกินกวา่ เนอ้ื ที่ห้องชุดที่แท้จริงถึง 165,291 บาท จึงเป็นข้อตกลงที่นอกจากจะไม่เป็นไปตามมาตรา 466 แล้ว ยังเป็น ข้อตกลงในสัญญาสำเร็จรูปที่จำเลยซึ่งมีอำนาจต่อรองมากกว่าเป็นผู้กำหนดให้โจทก์ทั้งสองรับภาระ เกินกว่าท่ี วิญญูชนพึงคาดหมายได้ตามปกติ ถือได้ว่าข้อตกลงเช่นนี้ทำให้จำเลยได้เปรียบโจทก์ทั้งสองคู่สัญญาอีกฝ่ายเกิน สมควร จึงเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและไม่มีผลใช้บังคับ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 เมื่อข้อสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 1 วรรคท้าย ที่กำหนดให้คู่สัญญายินยอมให้ใชเ้ นื้อที่ตามหนังสือกรรมสิทธิ์ห้อง ชุดเป็นเนื้อที่ที่เช่าซื้อตามสัญญาฉบับนี้โดยไม่คิดราคาเพิ่มหรือลดต่อกันเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ไม่อาจใช้ บังคับได้ จำเลยจึงต้องปรับลดราคาห้องชุดให้เป็นไปตามเนื้อที่อันแท้จริงและต้องคืนเงินในส่วนที่ส่งมอบเนื้อที่ หอ้ งชุดขาดตกบกพร่องแก่โจทกท์ ้ังสองดว้ ย

ฎีกาเล่าเรือ่ ง 501 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านกับจำเลยที่ 1 และทำสัญญากู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 2 โดยมี จำเลยที่ 1 ค้ำประกัน ต่อมาโจทก์ผิดนัด 3 งวดติดต่อกัน จำเลยที่ 2 จึงขอให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนตาม เงื่อนไขในสัญญาค้ำประกนั โดยสัญญาค้ำประกนั ไม่มีขอ้ ตกลงว่าก่อนจำเลยที่ 1 ชำระหน้ีตอ้ งแจ้งใหโ้ จทกท์ ราบ ก่อน ส่วนสัญญาจะซ้ือจะขายกใ็ ห้ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยท่ี 1 มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องบอก กล่าวก่อน กรณีจึงไม่จำต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ต้องแก้ไขการผิดสัญญาก่อน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิบอก เลกิ สัญญาและขบั ไลโ่ จทกอ์ อกจากทด่ี ินพิพาทไดต้ ามฟ้องแยง้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4565/2561 โจทกท์ ำสญั ญาจะซ้อื จะขายท่ีดินพรอ้ มบา้ นเอือ้ อาทรกบั จำเลยที่ 1 และโจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 2 โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันการกู้ยืมเงินเพื่อชำระค่าที่ดิน พร้อมบ้านให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาโจทก์ผิดนัด 3 งวดติดตอ่ กัน จำเลยที่ 2 จึงขอให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ทั้งหมด แทน ซงึ่ ตามสัญญาคำ้ ประกนั ขอ้ 2 กำหนดว่า \"หากลูกหนผ้ี ิดนัดไม่ชำระหน้แี ก่ธนาคารไมว่ ่าดว้ ยเหตุใด ๆ โดยมี จำนวนหน้ีค้างชำระท้งั ดอกเบ้ียและเงินตน้ สะสมรวมกนั ตง้ั แต่ 3 งวดขึ้นไป ... ใหถ้ อื ว่าลูกหน้ีผดิ สัญญากูเ้ งนิ และ เป็นผลให้หนี้ตามสัญญากู้ถึงกำหนดชำระทันที และผู้ค้ำประกันยินยอมเข้ารับผิดร่วมกับลูกหนี้ในอันที่จะชำระ หนีต้ ามสญั ญากเู้ งิน.\" และตามสัญญาค้ำประกันดงั กล่าวไม่มีข้อตกลงวา่ กอ่ นจำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ให้จำเลยท่ี 2 แทนโจทก์ จำเลยท่ี 1 ต้องแจง้ ให้โจทก์ทราบก่อน เมอ่ื จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนแลว้ ตามสญั ญาจะซื้อจะขายทด่ี ิน พรอ้ มบ้านเออื้ อาทร ข้อ 9 ใหถ้ อื ว่าโจทก์ผู้ซอ้ื ผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ผู้ขายมสี ิทธบิ อกเลกิ สัญญาไดท้ ันทโี ดยไมต่ อ้ ง บอกกลา่ วก่อน การใช้สิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนไม่อยู่ในบังคับประกาศคณะกรรมการว่าด้วย สัญญา เร่ือง ใหธ้ รุ กจิ การใหก้ ู้ยมื เงนิ เพ่อื ผ้บู ริโภคของสถาบันการเงินเปน็ ธรุ กจิ ท่คี วบคุมสัญญา พ.ศ.2544 ขอ้ 3 (2) เพราะประกาศดงั กลา่ วเป็นการควบคุมเฉพาะธรุ กิจการใหก้ ู้ยมื เงินเพื่อผบู้ รโิ ภคของสถาบันการเงินเป็นธุรกิจ ที่ควบคุมสัญญา มิได้หมายรวมถึงธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ด้วย และเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผู้ค้ำ ประกันโจทก์ซึ่งเปน็ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรในการกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 2 โดยยอมรับผิดอย่าง ลูกหน้ีร่วมในการชำระหนี้ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 จึงมิใชค่ ู่สัญญากับจำเลยที่ 1 ตามสญั ญาก้ยู มื เงนิ เพอื่ การบริโภค กรณจี งึ ไม่อยูภ่ ายใตบ้ งั คบั ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ ดงั กลา่ ว ท้ัง เมื่อโจทก์ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เมื่อใด จำเลยที่ 2 เจ้าหนี้จึงชอบที่จะเรียกให้จำเลยที่ 1 ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ แต่นั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 ที่จำเลยที่ 2 เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ที่ค้างชำระแทนโจทก์ผู้กู้ยืมจึงชอบ แล้ว กรณีไม่จำต้องมีหนังสอื บอกกล่าวใหโ้ จทก์ต้องแก้ไขการผิดสัญญาก่อน จำเลยที่ 1 จึงมีสทิ ธิบอกเลิกสญั ญา และขับไล่โจทก์ออกจากท่ีดนิ พิพาทได้ตามฟ้องแย้ง

ฎกี าเล่าเรอื่ ง 502 ทุนทรัพย์ที่ฟ้องคดีต่อศาลแขวงไม่เกิน 300,000 บาทนั้นต้องถือในวันยื่นฟ้อง เมื่อรวมดอกเบี้ยถึงวัน ฟ้องแล้วคดิ เป็นทุนทรพั ย์เกินกว่าจำนวนดังกลา่ ว ศาลแขวงย่อมไมม่ ีอำนาจรับคดไี ว้พิจารณาพิพากษา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4187 - 4189/2561 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งราคา ทรพั ยส์ ินทีพ่ พิ าทหรอื จำนวนเงนิ ท่ีฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ตามพระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม มาตรา 17 ประกอบ มาตรา 25 (4) โดยต้องถือตามจำนวนทุนทรพั ยใ์ นวันทย่ี นื่ ฟ้อง โจทก์ที่ 2 และที่ 5 ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองในมูลละเมิดเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และโจทก์ที่ 4 ฟอ้ งเรยี กคา่ เสียหายจากจำเลยทั้งสองในมลู ละเมดิ เป็นเงิน 295,707.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ตอ่ ปี นบั แตว่ ันที่ 31 ตลุ าคม 2557 เป็นต้นไปจนกวา่ จะชำระเสร็จ จงึ ตอ้ งนำดอกเบ้ียซง่ึ คิดคำนวณนับแต่วันท่ี 31 ตุลาคม 2557 จนถึงวันฟ้องคือวันที่ 4 สิงหาคม 2558 มารวมเป็นจำนวนเงินที่ฟ้องด้วย คดีในส่วนของ โจทก์ท่ี 2 ที่ 4 และที่ 5 ย่อมเปน็ คดมี ที ุนทรพั ยเ์ กินกวา่ สามแสนบาท ศาลชนั้ ต้นซง่ึ เปน็ ศาลแขวงย่อมไม่มอี ำนาจ รับคดีในส่วนของโจทก์ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ศาลชั้นต้นต้องสั่งไม่รับฟ้องคดีในส่วนของโจทก์ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 การที่ศาลชั้นต้น พิจารณาพิพากษาคดใี นสว่ นของโจทก์ที่ 2 ท่ี 4 และที่ 5 เปน็ การไมช่ อบ ฎกี าเล่าเรอื่ ง 503 โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 มีต่อจำเลยที่ 5 แก่ โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คำ้ ประกนั แตส่ ัญญาโอนสทิ ธเิ รยี กร้องระบวุ ่า หากจำเลยท่ี 5 ไมช่ ำระหนแี้ กโ่ จทก์ ภายในกำหนด สญั ญานเ้ี ป็นอันยกเลิกโดยปริยาย เมอ่ื จำเลยที่ 5 ไม่ชำระเงินเพราะงานจ้างชำรดุ บกพร่อง สญั ญา โอนสิทธเิ รยี กรอ้ งจงึ ถกู ยกเลิกไป โจทก์ไม่อาจบงั คับจำเลยท่ี 5 ได้ และเม่อื จำเลยท่ี 1 แก้ไขงานแล้ว จำเลยท่ี 5 ชำระเงนิ แก่จำเลยที่ 1 จึงไม่เปน็ การทำละเมิดต่อโจทก์ ท้ังการทีส่ ัญญาโอนสทิ ธเิ รยี กร้องเลกิ กันมิได้เกิดจากการ ผดิ สญั ญา จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ผ้คู ำ้ ประกนั จงึ ไม่ตอ้ งรับผดิ ต่อโจทก์ด้วย คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3988/2561 คดีนี้ โจทกแ์ ละจำเลยท่ี 1 ทำสญั ญาโอนสทิ ธเิ รยี กรอ้ งในการรับ เงินค่าวา่ จ้างตามใบแจง้ หนีท้ ี่จำเลยที่ 1 มตี อ่ จำเลยที่ 5 แกโ่ จทก์ โดยมจี ำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้คำ้ ประกนั จำเลย ที่ 1 ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระบุว่า จำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์เป็นผู้เรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ของจำเลยที่ 1 คอื จำเลยที่ 5 หากลูกหน้ไี มช่ ำระหนีแ้ กโ่ จทก์ผูร้ ับโอนภายในกำหนด สญั ญานี้เป็นอันยกเลกิ โดยปรยิ ายทนั ที เมื่อ ปรากฏว่าถึงกำหนดชำระงานที่จำเลยที่ 1 ทำให้แก่จำเลยที่ 5 ชำรุดบกพร่อง ต้องแก้ไขความชำรุดบกพร่อง จำเลยที่ 5 จึงไมไ่ ดช้ ำระเงินในวนั ที่ครบกำหนดตามใบวางบิล จงึ ถอื วา่ สญั ญาโอนสทิ ธิเรียกรอ้ งระหวา่ งโจทก์และ

จำเลยที่ 1 จงึ ถกู ยกเลิกไป โจทก์จงึ ไม่มสี ิทธิทจ่ี ะบังคบั ตามสิทธเิ รียกร้องแกจ่ ำเลยที่ 5 และเม่ือภายหลังจำเลยที่ 1 แก้ไขความชำรดุ บกพร่องของงานแลว้ จำเลยท่ี 5 ชำระเงนิ แกจ่ ำเลยท่ี 1 จึงไม่เป็นการทำละเมดิ ต่อโจทก์ ท้ัง การทส่ี ัญญาโอนสทิ ธเิ รียกรอ้ งเลกิ กันโดยปรยิ ายดังกลา่ ว มไิ ด้เกดิ จากการผิดสญั ญาของจำเลยที่ 1 จำเลยท่ี 2 ถึง ท่ี 4 ซึง่ เป็นผู้คำ้ ประกันจำเลยที่ 1 ตามสญั ญาโอนสทิ ธิเรียกรอ้ ง จงึ ไมต่ อ้ งรบั ผิดตอ่ โจทก์ดว้ ย ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 504 ป.อ. มาตรา 92 บัญญัติว่า \"...หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึงจำคุก ก็ให้เพิ่มโทษที่จะลงแกผ่ ู้น้ัน หน่ึงในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง\" การเพิ่มโทษดังกล่าวจึงเพิ่มได้แต่เฉพาะโทษจำคุก เทา่ นั้น เมือ่ ศาลชนั้ ตน้ เพียงแต่ลงโทษปรบั จึงเพิม่ โทษไม่ได้ และการทศ่ี าลชนั้ อุทธรณพ์ ิพากษายืนโดยไม่แก้ไขให้ ถกู ต้อง เปน็ การไมช่ อบ ศาลฎกี าเหน็ สมควรแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งได้ คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 4165/2561 ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษปรับจำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ในความผิดฐาน ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรนั้น ไม่ถูกต้องเนื่องจาก ป.อ. มาตรา 92 บญั ญตั ิวา่ \"...หากศาลจะพพิ ากษาลงโทษครง้ั หลงั ถึงจำคุก ก็ให้เพมิ่ โทษท่ีจะลงแกผ่ ้นู ัน้ หน่ึงในสามของโทษท่ี ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลงั \" การเพิ่มโทษตามบทบัญญัติดังกล่าวจงึ เพิ่มโทษได้เฉพาะโทษจำคุกเท่าน้นั เมื่อการกระทำความผิดฐานดังกล่าวศาลชั้นต้นเพียงแต่ลงโทษปรับ จึงเพิ่มโทษในความผิดฐานนี้ไม่ได้ และศาล อุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โดยไม่แก้ไขให้ถูกต้อง เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ปัญหาดังกลา่ วเป็นปัญหาเกย่ี วกบั ความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎกี ากม็ ีอำนาจยกข้ึนวนิ ิจฉัย ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ฎกี าเลา่ เรื่อง 505 แม้ดอกเบี้ยของเงินทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองจะกำหนดอัตราโดย อ้างอิงประกาศธนาคารก็ตาม แต่เงินทดรองจ่ายดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องอันเป็นเบี้ย ปรบั อย่างหน่ึง ซ่งึ ศาลมอี ำนาจลดลงให้เหมาะสมได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2561 แม้การคิดดอกเบี้ยของเงินทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยตาม สัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยอ้างอิงกับประกาศอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารก็ตาม แต่การออกเงินทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเป็นหนี้ที่เกิดจากข้อตกลงตามสัญญาในการออกเงนิ ทดรองไปก่อน และการกำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องชำระดอกเบี้ยของเงินทดรองจ่ายค่าเบีย้ ประกันภัยตามสัญญา

เป็นการกำหนดเบ้ียปรับอย่างหนึ่งจากการที่ไม่ชำระหน้ีให้ถูกต้อง หากศาลเห็นว่ากำหนดเบี้ยปรับไว้สงู เกินส่วน ศาลมีอำนาจทจ่ี ะปรับลดเบยี้ ปรับดังกล่าวลงให้เหมาะสมได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนง่ึ ฎีกาเล่าเรอื่ ง 506 การที่ผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิฟอ้ งแทนหรือฟ้องเพื่อประโยชน์ของบริษัทได้นั้นต้องเป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหม ทดแทนจากกรรมการของบรษิ ัท เมอ่ื โจทก์ฟอ้ งจำเลยทง้ั สามในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทโดยมีคำขอให้ พพิ ากษาในกรณอี นื่ ซ่งึ มิใชก่ ารฟอ้ งเรยี กค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสาม โจทกจ์ งึ ไมม่ อี ำนาจฟอ้ ง สว่ นทีโ่ จทก์ อ้างว่าเปน็ การยกเอาความเสยี เปลา่ แห่งนติ กิ รรมซงึ่ ตกเป็นโมฆะข้นึ กล่าวอ้างน้ัน บรษิ ัทผูท้ ำนิตกิ รรมย่อมเป็นผู้มี ส่วนได้เสียทจ่ี ะยกเอาความเสียเปลา่ แห่งนติ กิ รรมทเ่ี ปน็ โมฆะขึน้ กลา่ วอ้าง โจทกเ์ ปน็ เพยี งผถู้ อื หุ้นและไมม่ ีอำนาจ กระทำการแทนบรษิ ัทไมใ่ ชผ่ มู้ ีส่วนไดเ้ สีย จึงไมม่ อี ำนาจฟ้องจำเลยท้งั สาม หรือขอให้หมายเรียกบริษทั เข้ามาเป็น จำเลยร่วม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4065/2561 โจทก์บรรยายฟ้องวา่ โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นซึ่งใช้สิทธิฟอ้ งคดนี ี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 และเป็นผู้มีส่วนได้เสียซึ่งชอบจะยกเอาความเสียเปล่าแห่งนิติกรรมที่เป็นโมฆะขึ้นกล่าว อ้างได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์อ้างว่าใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 นั้น บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ถือหุ้นใช้สิทธิฟ้องแทนหรือฟ้องเพื่อประโยชน์ของบริษทั กรณีที่บริษัทไม่ฟ้องและ เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการของบริษัทเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทโดยมีคำขอให้พิพากษาว่า หนังสือยืนยันการชำระค่าหุ้นและการเก็บรักษาค่าหุ้น สำเนาบัญชรี ายชื่อผู้ถือหุ้นและบันทึกขอ้ ตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสญั ญาปรบั ปรุงโครงสร้างหนีต้ กเป็นโมฆะ หาใช่เป็น การฟ้องเพือ่ เรียกเอาคา่ สินไหมทดแทนจากจำเลยท้ังสามไม่ โจทก์ไมม่ ีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม ส่วนท่โี จทก์อ้าง ว่าเป็นการยกเอาความเสียเปล่าแห่งนิติกรรมซึ่งตกเป็นโมฆะขึ้นกล่าวอ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง น้ัน ในการเพกิ ถอนนิตกิ รรมซง่ึ ไดก้ ระทำโดยจำเลยท้งั สามในฐานะกรรมการมิใช่กระทำในฐานะส่วนตวั บรษิ ัท ท. ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียซึ่งชอบที่จะยกเอาความเสียเปล่าแห่งนิติกรรมที่เป็นโมฆะขึ้นกล่าวอ้างได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง โจทก์เปน็ เพยี งผถู้ ือหุ้นและไมม่ ีอำนาจกระทำการแทนบริษทั จงึ ไม่ใชผ่ มู้ สี ่วนได้เสยี โจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทัง้ สาม การที่โจทก์ขอให้หมายเรียกบรษิ ัท ท. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) และมาตรา 57 (3) (ข) นั้น เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้มีสว่ นได้เสียตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคหนึง่ และไม่มี สทิ ธิกา้ วล่วงเขา้ ไปจัดการงานของบรษิ ัท จงึ ไมม่ ีเหตอุ ันสมควรทจี่ ะเรยี กบรษิ ทั ท. เขา้ มาเป็นจำเลยรว่ ม

ฎกี าเลา่ เรื่อง 507 การทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ผู้เยาว์จะได้รับจากการกระทำ ละเมิดของจำเลย ผู้ใช้อำนาจปกครองจะต้องเป็นผู้ทำนิติกรรมแทนและได้รับอนุญาตจากศาลแล้วจึงจะผูกพัน โจทก์ การท่ี ฉ. ยายของโจทกซ์ ่งึ มิไดเ้ ปน็ ผ้ใู ชอ้ ำนาจปกครองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกบั จำเลย ย่อมไม่ มผี ลผกู พนั โจทก์ สทิ ธนิ ำคดมี าฟอ้ งเรียกค่าสนิ ไหมทดแทนของโจทก์จงึ ไมร่ ะงับไป คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 4057/2561 เมอื่ มีผูก้ ระทำละเมดิ ต่อโจทก์ผู้เยาว์ อนั มผี ลใหโ้ จทก์มีสิทธิได้รับ คา่ สินไหมทดแทนน้ัน เป็นการที่โจทก์จะได้มาซ่ึงทรัพยส์ นิ อย่างหนึง่ หากมกี ารประนีประนอมยอมความกัน บิดา มารดาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองจะต้องเป็นผู้ทำนิติกรรมแทนโจทก์ และเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลแล้ว ย่อมมี ผลผูกพันโจทก์ เพราะเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความอันเกีย่ วกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามทีบ่ ังคบั ไว้ ใน ป.พ.พ. มาตรา 1566 และมาตรา 1574 (12) เมื่อไดค้ วามว่า ฉ. ยายของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำข้อตกลง เรื่องค่าเสียหายของโจทก์โดยไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 อีก เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิด จึง เปน็ สัญญาประนปี ระนอมยอมความ โดยขณะน้นั โจทกม์ จี ำเลยรว่ มท่ี 1 เปน็ ผู้ใชอ้ ำนาจปกครอง การท่ี ฉ. ซ่ึงมไิ ด้ เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 ตามลำพัง จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์แต่ ประการใด สิทธนิ ำคดมี าฟอ้ งเรยี กคา่ สินไหมทดแทนของโจทก์จึงไมร่ ะงับไป ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 508 เงื่อนไขยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยต้องตีความโดยเคร่งครัด ถ้ามีข้อสงสัยต้องตีความให้เป็น ประโยชน์แกผ่ ู้เอาประกันภยั คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 4055/2561 กรมธรรม์ประกนั ภัยธรุ กิจหยุดชะงักพร้อมคำแปลมไิ ด้ระบุไว้ชดั แจ้งว่า การกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ต้องคำ นวณหาผลกำไรสุทธิ หลังจากหักค่าใช้จ่ายก่อน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เอาประกันภัย เงื่อนไขที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับ ประกันภัยจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด ถ้ามีข้อสงสัยต้องตีความให้เป็นประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัย เมื่อตาม กรมธรรม์มิได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นรายได้สุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายก่อน ดังนั้น กรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจ หยดุ ชะงักพพิ าทจงึ กำหนดเงื่อนไขการชดใช้คา่ สินไหมทดแทนตอ่ การสูญเสยี รายได้ มใิ ชก่ ารสูญเสยี กำไร ฎีกาเลา่ เรื่อง 509 การตีความสญั ญาต้องพิจารณาตามความประสงค์หรือเจตนาอันมีรว่ มกันของคู่สญั ญาที่คาดหมายในทาง สุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย ดังนั้น คำว่าผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดในสัญญาประนีประนอมยอมความ

ฉบับนี้จึงหมายถงึ กรณีจำเลยจงใจหรือเจตนาผิดนัด การที่จำเลยทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระ หนี้กอ่ นครบกำหนด และธนาคารหกั เงินในบัญชีของจำเลยทนั ที พฤตกิ ารณ์ยงั ไมเ่ พียงพอฟังวา่ จำเลยจงใจหรือมี เจตนาผดิ นัดชำระหนีโ้ จทก์จึงไม่มีสทิ ธบิ ังคบั คดใี นยอดเงนิ เตม็ ตามฟ้องดงั ทก่ี ำหนดไว้ในสญั ญาดังกลา่ ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4023/2561 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ตกลงรับเงินจาก จำเลย 100,000 บาท แบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดละ 50,000 บาท งวดแรกชำระภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2552 งวดทสี่ องชำระภายในวันที่ 24 สงิ หาคม 2552 สว่ นขอ้ ตกลงทวี่ ่าหากจำเลยผิดนัดงวดหน่ึงงวดใดให้ถือ ว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีในยอดเงินเต็มตามฟ้อง (867,765.50 บาท) เป็นข้อตกลงที่มี ลักษณะเป็นการบังคับจำเลยกรณีผิดนัดชำระหนี้ จึงต้องตีความสัญญาส่วนนี้ไปตามความประสงค์หรือเจตนา อันมีร่วมกันของคู่สัญญาซึ่งเป็นเจตนาที่คาดหมายในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 ดังนั้น คำว่าผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้จึงหมายถึงกรณีจำเลย จงใจหรือเจตนาผิดนัดนั่นเอง จำเลยทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ในงวดที่หนึ่งเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2552 กำหนดให้โอนเงินในวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ทำรายการครั้งที่สองเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2552 กำหนดใหโ้ อนเงินในวันที่ 24 สงิ หาคม 2552 โดยเปน็ การทำรายการโอนเงนิ กอ่ นถึงกำหนดตามสัญญา ประนปี ระนอมยอมความในแต่ละงวด ในวันที่ 10 สิงหาคม 2552 และวันที่ 24 สิงหาคม 2552 ซึ่งเป็นวันที่ ถึงกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในแต่ละงวดนั้น ธนาคารทำการหักเงินในบัญชีเงินฝาก ของจำเลยทันที พฤติการณ์ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยจงใจหรือมีเจตนาผิดนัดชำระหน้ีอันเป็นการ ปฏิบัตผิ ดิ สัญญาประนีประนอมยอมความ โจทกจ์ ึงไม่มสี ทิ ธิท่ีจะบงั คบั คดีในยอดเงนิ เตม็ ตามฟ้อง ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 510 ศาลช้นั ต้นยกคำรอ้ งขอขยายระยะเวลาย่นื อุทธรณ์ของจำเลย ทนายจำเลยอุทธรณ์คำสง่ั แต่ศาลชั้นต้นไม่ รับเน่ืองจากจำเลยไม่มาแสดงตน การที่ทนายจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลช้ันต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ และศาลช้นั อุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง คำสง่ั ดงั กลา่ วย่อมเป็นท่ีสดุ จำเลยไม่มีสิทธิฎกี า คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 3728/2561 คดีน้ีศาลช้ันต้นมคี ำสั่งให้ยกคำร้องขอขยายระยะเวลาย่นื อทุ ธรณ์ ของจำเลย ทนายจำเลยอุทธรณค์ ำสั่งศาลชั้นตน้ แต่ศาลช้ันต้นมีคำส่ังไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเนื่องจากจำเลยไม่ มาแสดงตน เช่นนี้ การที่ทนายจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย ปัญหาตามข้ออุทธรณ์แล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ย่อม เปน็ ที่สุด ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้ังศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาใน ศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคบั ในศาลจังหวดั พ.ศ.2520 มาตรา 3 จำเลยไมม่ ีสทิ ธิฎกี า

ฎีกาเล่าเรื่อง 511 คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 3 กระทง จำคุก 1 ปี 6 เดือน และ 1 ปี ตามลำดับ รวมจำคุก 2 ปี 6 เดอื น รบั สารภาพลดโทษให้กงึ่ หนึง่ คงจำคุก 15 เดอื น ศาลช้ันอุทธรณ์ พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ให้ปรบั 20,000 บาท 10,000 บาท และ 6,000 บาท ตามลำดับ อีกสถานหนึ่ง รวมเป็นปรับ 36,000 บาท เมื่อลดโทษกึ่ง หนึ่งแลว้ คงปรับ 18,000 บาท แล้วรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤตขิ องจำเลยไว้ อันเป็นกรณีที่ศาล ชนั้ ต้นและศาลชนั้ อทุ ธรณ์ลงโทษจำคกุ จำเลยไม่เกนิ กระทงละ 2 ปี และปรบั ไม่เกนิ กระทงละ 40,000 บาท จึง ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษเป็นการโต้เถียงดุลพินิจอันเป็นฎีกาใน ปญั หาข้อเท็จจรงิ จึงตอ้ งหา้ มฎกี า คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 3730/2561 คดีนี้ศาลชั้นต้นพพิ ากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่อง กระสุนปืนโดยไม่ได้รบั ใบอนญุ าต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวธุ ปืนไปในเมือง หมบู่ า้ น หรอื ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับ ใบอนญุ าต จำคุก 6 เดือน ฐานประมาทเป็นเหตใุ หผ้ อู้ ื่นไดร้ ับอนั ตรายสาหสั จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานมี อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ให้ลงโทษปรับ 20,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 10,000 บาท และฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ อันตรายสาหัส ปรับ 6,000 บาท อีกสถานหนึ่ง รวมเป็นปรับ 36,000 บาท เมื่อลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับ 18,000 บาท แล้วรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติของจำเลยไว้ อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาล อุทธรณ์ภาค 5 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินกระทงละ 2 ปี และปรับไม่เกินกระทงละ 40,000 บาท จึงห้ามมิให้ โจทก์ฎกี าในปัญหาขอ้ เท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 การที่โจทก์ฎกี าขอให้ไม่รอการลงโทษจำคกุ แกจ่ ำเลยเปน็ การโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอทุ ธรณ์ภาค 5 เป็นฎีกาในปญั หาข้อเท็จจรงิ จึงต้องหา้ มฎีกาตาม บทบญั ญัตขิ องกฎหมายดังกล่าว ฎีกาเล่าเรื่อง 512 โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาล การฟ้องคดีต้องให้ผู้อนุบาลกระทำการแทน ซึ่งเป็นเรื่อง อำนาจฟ้อง กรณีหาใช่เป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถที่อาจแก้ไขข้อบกพร่องนั้นได้ เพราะโจทก์ไม่มี อำนาจฟอ้ งมาแต่ต้นแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3727/2561 โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถอยู่ในความอนุบาลของ ช. ผู้ อนุบาลตามคำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมาและคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้จำเลยทั้ง สามรับผิดตาม ป.อ. มาตรา 83, 350 โดยทำหนังสือมอบอำนาจให้ ม. เป็นผู้ฟ้องคดีแทนในขณะที่โจทก์ยงั เป็น คนไร้ความสามารถและอยู่ในความอนุบาลของ ช. เป็นการกระทำโดยโจทก์ไม่มีอำนาจ ต้องให้ ช. ผู้อนุบาลเป็น

ผูก้ ระทำการแทน กรณหี าใช่เป็นการบกพร่องในเร่อื งความสามารถของโจทก์และจำตอ้ งแก้ไขข้อบกพร่องนั้นเสีย ให้บริบูรณ์ภายในกำหนดเวลาอันสมควรตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ดังที่โจทก์อ้าง เพราะเปน็ กรณที ีโ่ จทก์ไมม่ อี ำนาจฟอ้ งมาแตต่ ้นแล้ว ฎกี าเลา่ เรื่อง 513 การที่ผู้กระทำความผิดจะให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่ กฎหมายกำหนดนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แต่ต้องเป็น ข้อมูลที่มีการนำสืบกันไว้โดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลจะยกเอาลำพังข้อเท็จจริงตามคำร้องขอฝากขังหรือสำเนา บนั ทึกการจับกมุ มารบั ฟังโดยไมม่ กี ารสบื พยานอน่ื หาได้ไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2561 แม้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ที่ บัญญตั ิใหศ้ าลมอี ำนาจลงโทษผ้กู ระทำความผิดทีไ่ ดใ้ หข้ ้อมลู ท่สี ำคญั และเป็นประโยชน์อยา่ งยงิ่ ในการปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด นน้ั จะเป็นปญั หาข้อกฎหมายทเ่ี กยี่ วดว้ ยความสงบเรียบร้อย ซง่ึ ศาลมีอำนาจยกขึ้นวนิ ิจฉยั ได้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกข้ึน อุทธรณ์หรือฎีกาก็ตาม แต่ข้อมลู ที่สำคัญและเป็นประโยชนอ์ ย่างยิ่งน้ันจะต้องเป็นข้อเท็จจริงท่ีมีการนำสืบกันไว้ แล้วโดยชอบในศาลชัน้ ตน้ ทั้งศาลจะยกเอาข้อเท็จจริงตามคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาหรอื สำเนาบันทึกการจบั กมุ มารบั ฟังเพียงลำพงั วา่ มีการใหข้ อ้ มลู ที่สำคญั และเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ตามมาตรา 100/2 โดยไม่มีการสบื พยาน อ่นื หาไดไ้ ม่ ฎีกาเล่าเร่อื ง 514 สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารกำหนดว่าภายหลังบอกเลิกสัญญาจำเลยผู้ว่าจ้างมีสิทธิริบค่าจ้างที่โจทก์ ดำเนินการไปแล้วแต่จำเลยยังไม่ชำระ รวมทั้งหลักประกันมาหักเป็นค่าปรับ เนื่องจากการผิดสัญญาของโจทก์ รวมทงั้ ค่าใชจ้ า่ ยทเ่ี พิม่ ข้ึนหรือการแก้ไขงาน สว่ นเครือ่ งมือและอปุ กรณโ์ จทกย์ ินยอมให้จำเลยยึดมาขายเพื่อหักใช้ หนี้ เป็นข้อตกลงที่แตกต่างไปจากผลของการเลิกสัญญาทั่วไปที่มิใช่เกี่ยวกับความสงบฯ จึงใช้บังคับได้ โจทก์จึง บังคับใหจ้ ำเลยยอมรบั เอางานท่เี สรจ็ บางสว่ นแลว้ ใช้เงินค่าจ้างตามส่วนไมไ่ ด้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2561 ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารกำหนดสิทธิของผู้ว่าจ้าง ภายหลงั บอกเลิกสญั ญาไวใ้ นขอ้ 13 มสี าระสำคัญว่า จำเลยมสี ิทธริ บิ ค่าจา้ งท่โี จทกด์ ำเนนิ การไปแล้วแตจ่ ำเลยยัง ไมช่ ำระ รวมท้ังหลักประกนั ใดๆ ท่โี จทก์มอบไว้แก่จำเลยตามสัญญา เพื่อนำมาหกั ชำระเป็นคา่ ปรับ ค่าเสียหายที่

โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาของโจทก์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการทำงานต่อไป หรือค่าเสียหายในการแก้ไขงานในระยะเวลารับประกันผลงาน ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์การก่อสร้างที่โจทก์ นำมาในสถานทกี่ ่อสรา้ ง โจทกย์ ินยอมใหจ้ ำเลยยึดทรพั ย์สินเหล่านั้นมาขายเพอ่ื หักใช้หนี้ใด ๆ ท่โี จทก์มีต่อจำเลย ได้ทันทีซึ่งเป็นข้อตกลงที่แตกต่างไปจากผลของการเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 ข้อตกลงที่แตกต่าง ดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม ป.พ.พ. มาตรา 151 จึงมีผลใช้บังคับได้ระหว่างโจทก์ จำเลย ผลก็คือโจทก์จะบังคับให้จำเลยยอมรับเอางานที่เสร็จบางส่วนงวดที่ 19 และ 20 อันเป็นการงานท่โี จทกท์ ำให้แล้วใช้เงนิ คา่ จ้างใหต้ ามสว่ นของงานนัน้ ดงั บัญญัตไิ ว้ในมาตรา 391 วรรค สาม ไม่ได้ ฎีกาเล่าเรื่อง 515 การฎีกาจะต้องคัดคา้ นคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอทุ ธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร โจทก์ฎีกาโดยคัดลอก คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนวินิจฉัยข้อเท็จจริง โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ วนิ จิ ฉยั ไมถ่ ูกตอ้ งอย่างไร จงึ เปน็ ฎีกาท่ีไมช่ อบ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3274 - 3275/2561 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง วางหลักในการ ฎีกาว่า ฎีกาจะต้องคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ไม่ถูกต้องด้วย ข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร คดีนี้โจทก์ฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนวินิจฉัย ข้อเทจ็ จริงเก่ียวกับการกระทำความผิดของจำเลยแต่ละคน โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโตแ้ ย้งวา่ ทีศ่ าล อุทธรณ์วินิจฉัยข้อเทจ็ จริงมานัน้ ไม่ถูกตอ้ งดว้ ยขอ้ เท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็น การคัดค้านคำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ ไมช่ อบดว้ ย ป.ว.ิ อ. มาตรา 216 วรรคหน่ึง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดี ยาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎกี าเล่าเรื่อง 516 คดคี วามผดิ เกีย่ วกับยาเสพตดิ ในชั้นตรวจคำฟ้องศาลชน้ั ตน้ ไม่รบั คำฟอ้ ง โจทกย์ ่นื อุทธรณ์ขอใหร้ บั คดี ถอื ว่าเป็นการอุทธรณ์ในคดคี วามผิดเกี่ยวกับยาเสพติดย่อมเป็นที่สุด หากจะยื่นฎีกาโจทก์ต้องยื่นคำร้องขออนุญาต ฎกี าต่อศาลฎกี า การท่อี ยั การสงู สุดรบั รองฎกี าโดยมไิ ด้ยนื่ คำร้องต่อศาลฎกี าจึงไมช่ อบ ศาลฎกี าไมร่ บั วินจิ ฉัย คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 2869/2561 คดคี วามผดิ เก่ยี วกับยาเสพติด แม้จะอยใู่ นชน้ั ตรวจคำฟ้อง เมื่อ ศาลชน้ั ต้นมคี ำส่งั ไม่รับคำฟอ้ ง โจทก์ย่นื อทุ ธรณ์ขอใหศ้ าลช้นั ต้นรบั ชำระคดี ถือวา่ เป็นการอุทธรณใ์ นคดีความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดย่อมเป็นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง และ

มาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า หากโจทก์จะฎีกาต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาซึ่งเป็นกฎหมาย เฉพาะ ไม่อาจนำบทบัญญตั หิ รือวิธีพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งเปน็ กฎหมายทั่วไป มาใช้บังคับได้ การที่อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย เป็นการรับรองให้ฎกี าตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 มิใช่การย่ืนคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎกี า เมื่อโจทก์ยืน่ ฎกี า โดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วิธี พิจารณาคดยี าเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคหนง่ึ เป็นฎีกาท่ไี มช่ อบ ศาลฎีกาไม่รบั วินจิ ฉัย ฎกี าเล่าเรื่อง 517 หลังจากศาลอุทธรณ์รอการลงโทษจำคุกจำเลยคดีนี้แล้ว ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อศาลอุทธรณ์ให้ จำคกุ และปรับจำเลย และคดีถึงท่ีสดุ แลว้ จงึ ไม่อยู่ในหลักเกณฑท์ ีจ่ ะรอการลงโทษจำคกุ ให้แกจ่ ำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2561 ภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุก จำเลยในคดีนี้ ปรากฏวา่ ในคดีที่โจทก์ขอใหน้ ับโทษต่อนน้ั ศาลอุทธรณ์มคี ำพิพากษาให้จำคุกจำเลย 4 ปี 3 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท และคดีเป็นอันถึงที่สุดไปแล้ว กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่จะรอการลงโทษจำคกุ ให้แกจ่ ำเลยได้ ฎีกาเลา่ เร่ือง 518 แมโ้ จทก์มีเหตหุ ยา่ ตามกฎหมาย แต่เมอ่ื โจทกใ์ หอ้ ภัยจำเลยแล้ว สิทธิฟ้องหยา่ ย่อมหมดไป แตก่ ารท่ีโจทก์ อุปการะเลี้ยงดูหรือยกยอ่ งหญิงอ่ืนฉันภรรยา และจำเลยมิได้ให้อภัย จำเลยจึงมีเหตุฟ้องหย่าโจทก์ เมื่อเหตุหย่า เป็นความผดิ ของโจทก์และจำเลยไม่ไดป้ ระกอบอาชีพ การหย่าจงึ ทำให้จำเลยยากจนลง จำเลยจึงมีสิทธิได้รับค่า เลย้ี งชีพจากโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2561/2561 แม้จะฟังได้ว่าข้อกล่าวหาของโจทก์เป็นเหตุหย่าตามกฎหมายก็ ตาม แต่เมือ่ โจทกไ์ ด้ให้อภัยในการกระทำของจำเลยแลว้ สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์ย่อมหมดไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1518 โจทก์นำ จ.มาอยู่ในบ้านโจทก์และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาจนมีบุตรด้วยกัน 1 คน โดยโจทก์ให้ใช้ นามสกุลของโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวถอื ไดว้ ่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดหู รอื ยกย่องหญิงอ่ืนฉันภรรยา เมื่อไม่ปรากฏ วา่ จำเลยไดใ้ ห้อภยั ในการกระทำของโจทก์ จำเลยจงึ มีเหตุฟอ้ งหยา่ โจทกไ์ ดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา1516 (1)

เหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์ฝา่ ยเดียว ทั้งจำเลยไม่ไดป้ ระกอบอาชีพอะไรโดยโจทกเ์ คยให้เงนิ จำเลยเป็นค่าใช้จ่าย การที่โจทก์หย่ากับจำเลยทำให้จำเลยยากจนลง จำเลยจึงมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1526 ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 519 ดอกเบย้ี ท่ีโจทกผ์ อ่ นชำระใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 1 ในอัตรารอ้ ยละ 3 ต่อเดอื น เม่อื รวมกับต้นเงนิ แลว้ ใกลเ้ คยี งกบั ราคาสินไถ่ จึงเป็นการชำระดอกเบ้ียตามสญั ญากยู้ มื ตามเจตนามาแต่ตน้ ส่วนการนำโฉนดทด่ี นิ มาวางเปน็ เพียงให้ ยดึ ถือประกนั หนี้เงนิ กู้ สัญญาขายฝากจงึ เปน็ นิติกรรมอำพรางและตกเป็นโมฆะต้องบังคบั ตามสญั ญาก้ยู มื แต่เมื่อ จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ไปก่อนแล้ว โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องและไม่ได้ความตามทางนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้อง เสียหายจากการแสดงเจตนาลวง ย่อมได้รับคุ้มครอง โจทก์จึงไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับ จำเลยที่ 2 ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2561 ดอกเบี้ยที่โจทก์ผ่อนชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 3 ตอ่ เดือน เป็นเงิน 2,100 บาท หรือเท่ากบั 25,200 บาท ตอ่ ปี เมื่อนำไปรวมกบั ต้นเงนิ 70,000 บาท เปน็ เงนิ 95,200 บาท เปน็ จำนวนใกลเ้ คียงกบั ราคาสนิ ไถ่ 95,000 บาท การท่โี จทกช์ ำระดอกเบีย้ ทกุ เดอื น จงึ เป็นการ ชำระดอกเบีย้ ตามสัญญากูแ้ ละแสดงวา่ โจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำสัญญาก้ยู ืมเงินตั้งแตต่ ้น ไม่มีเจตนาท่ีจะ ทำสัญญาขายฝาก การนำโฉนดที่ดินมาวางเป็นเพียงให้จำเลยที่ 1 ยึดถือประกันหนี้เงินกู้ยืมเท่านั้น สัญญาขาย ฝากทท่ี ำไว้จึงเปน็ นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินและตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหน่ึง ต้องบังคับ ตามสญั ญากู้ยืมเงินซึ่งเปน็ นติ กิ รรมทถี่ กู อำพรางตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคสอง แม้การขายฝากที่ดินจะตกเป็นโมฆะ ต้องเพิกถอนสัญญาขายฝาก เป็นผลให้ที่ดินพิพาทยังคงเป็น กรรมสิทธิ์ของโจทก์กต็ าม แต่จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดนิ พิพาทให้จำเลยท่ี 2 ไปก่อนแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ ว่ารับโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว ประกอบกับโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต และจากทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 จะได้รู้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกันจริง จำเลยที่ 2 จึงเป็นบุคคลภายนอก ผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวง ย่อมได้รับคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ตอนทา้ ย โจทก์จงึ ไมอ่ าจเพกิ ถอนนติ กิ รรมการซ้อื ขายทีด่ นิ พิพาทระหว่างจำเลยท่ี 1 กับจำเลยท่ี 2 ได้

ฎีกาเล่าเร่อื ง 520 ความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั ศาลชัน้ ต้นต้องลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ การกำหนดโทษ 12 เดอื น จึงเท่ากับ 360 วัน แตห่ ากรวมโทษทกุ กระทงเป็นจำคุก 2 ปี แลว้ จึงลดโทษกึ่งหน่ึงคงจำคกุ 1 ปี ยอ่ มเปน็ ผลร้ายแกจ่ ำเลยมากกวา่ (เพราะเท่ากบั จำคกุ 365 วัน) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2561 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาล ชั้นต้นต้องลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ เพราะ ป.อ. มาตรา 21 วรรคสอง บัญญัติว่า \"หากกำหนด โทษจำคุกเป็นเดือน ให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน...\" การกำหนดโทษ 12 เดือน จึงเท่ากับ 360 วัน แต่หาก รวมโทษทุกกระทงเป็นจำคุก 2 ปี แล้วจึงลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ย่อมเป็น ผลรา้ ยแก่จำเลยมากกว่า (ประชุมใหญ่คร้งั ที่ 5/2561) ฏีกาเล่าเร่อื ง 521 ศาลชั้นต้นพพิ ากษายกฟ้องโจทก์ เนื่องจากไมม่ อี ำนาจฟอ้ ง โจทก์ไม่อุทธรณ์ ฟ้องแย้งของจำเลยย่อมตอ้ ง ตกไปดว้ ย เพราะไม่มฟี ้องเดมิ และตวั โจทก์เดิม การท่ีศาลช้ันอุทธรณย์ ังคงวินจิ ฉัยประเดน็ ตามฟ้องแยง้ จึงเปน็ การ ไมช่ อบและเป็นขอ้ กฎหมายอนั เกี่ยวด้วยความสงบเรยี บรอ้ ย ศาลฎกี ายกขึน้ วนิ ิจฉัยยกฟ้องแยง้ ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2561 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่า โจทก์ไมม่ ีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยยงั ไม่ได้กระทำการใดทีเ่ ป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่อุทธรณ์ ฟ้อง แยง้ ของจำเลยย่อมตอ้ งตกไปดว้ ย เพราะไมม่ ีฟ้องเดมิ และตวั โจทกเ์ ดิมท่จี ำเลยจะฟอ้ งแยง้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทและมีคำพิพากษาบังคับโจทก์ตามฟ้องแย้งของ จำเลย เป็นการไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย ปญั หาน้ีเป็นขอ้ กฎหมายอนั เกยี่ วดว้ ยความสงบเรียบรอ้ ยของประชาชน ศาล ฎกี ามีอำนาจยกข้นึ วนิ ิจฉยั ยกฟ้องแย้งของจำเลยได้ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 142 (5), 246 และมาตรา 247 (เดิม) ฎีกาเล่าเรือ่ ง 522 การร้องขอใหศ้ าลส่งั ถอนผ้จู ดั การมรดก ผู้มีสว่ นได้เสยี ต้องรอ้ งขอก่อนการปนั มรดกเสรจ็ สิ้น เมื่อผู้ร้องปัน ทรพั ย์มรดกท้ังหมดไมม่ ีให้จัดการแลว้ แมผ้ ู้คัดค้านอ้างว่าผู้ร้องยน่ื คำร้องขอตั้งผจู้ ัดการมรดกโดยทุจริต ทั้งยังโอน ทรัพย์มรดกให้ผู้ไม่มีสิทธิ อันอาจเป็นเหตุขอถอนผู้จัดการมรดกได้ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าการปันมรดกราย ดังกล่าวยังไม่เสรจ็ ส้ิน จึงต้องหา้ มผูค้ ัดคา้ นทจ่ี ะขอถอนผูจ้ ัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2150/2561 การร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคหน่งึ ผูม้ สี ว่ นได้เสียคนหนงึ่ คนใดตอ้ งร้องขอเสียก่อนท่ีการปันมรดกเสร็จส้นิ ลง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ วา่ ผรู้ ้องได้ปันทรพั ย์มรดกทงั้ หมดแล้วโดยไมม่ ที รพั ยม์ รดกของผู้ตายหลงเหลือใหจ้ ัดการอกี ต่อไป จงึ ถือได้ว่าผูร้ ้อง ในฐานะผู้จดั การมรดกได้จดั การมรดกเสร็จสนิ้ แล้ว แม้ผคู้ ัดคา้ นจะอ้างเหตุวา่ ผูร้ อ้ งยื่นคำร้องขอต้ังผู้จัดการมรดก โดยมีเจตนาทุจริตปกปิดผู้คัดค้านและบุตรซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย ทั้งได้โอนทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ไม่มี สิทธิ หรือมีเหตุอื่นตามกฎหมายอันอาจเป็นเหตุในการร้องขอถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ก็ตาม ก็ไม่ อาจถือได้ว่าการปันมรดกรายดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการ มรดกภายหลังการปันมรดกเสรจ็ สิ้นแลว้ ย่อมต้องหา้ มตามบทบัญญัติดังกล่าว (ประชุมใหญ่ครัง้ ที่ 3/2561) ฎีกาเล่าเร่อื ง 523 หนังสือมอบอำนาจที่ระบุข้อความเพียงว่า บ. มีสิทธิในการลงนามเอกสารดำเนินการทั้งหมดของบริษัท สาขาทั้งภายในและภายนอก โดยมิได้ระบุให้มีอำนาจยื่นฟ้องต่อศาลนั้นเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไป การที่ บ. มาเบิกความยืนยันว่าพยานมีสิทธิดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลง แก้ไขพยานเอกสาร ซ่งึ ตอ้ งหา้ มและรบั ฟงั ไม่ไดว้ า่ โจทก์มอบอำนาจให้ บ. ฟอ้ งคดีนีแ้ ทน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2561 คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า โจทก์มอบอำนาจให้ บ. ฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ ตามหนังสือมอบอำนาจ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวระบุข้อความในการมอบ อำนาจแต่เพียงวา่ บ. มีสทิ ธิในการลงนามเอกสารดำเนินการทง้ั หมดของบรษิ ัทสาขาทั้งภายในและภายนอก อันมี ลักษณะเป็นการมอบอำนาจโดยไม่ระบุกิจการ โดยมิได้ระบุให้ บ. มีอำนาจยื่นฟ้องต่อศาล จึงเป็นหนังสือมอบ อำนาจท่วั ไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 801 วรรคหน่ึง แมโ้ จทก์จะมี บ. มาเบิกความยืนยนั วา่ ตามหนังสอื มอบอำนาจ พยานมีสิทธิดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขพยานเอกสาร ซึ่ง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข) ข้อเทจ็ จริงรบั ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ไดม้ อบอำนาจให้ บ. ฟ้องคดีนีแ้ ทนโจทกโ์ ดย ชอบ ฎกี าเลา่ เร่ือง 524 การถอนฟ้องไม่ได้ทำให้หนี้ระงับ ข้อเท็จจริงได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของ จำเลยที่ 2 เทา่ นั้น มิได้เก่ียวกบั จำเลยที่ 1 การทีโ่ จทกถ์ อนฟอ้ งจำเลยท่ี 1 จึงไม่ทำให้จำเลยท่ี 2 และท่ี 3 หลุด พ้นความรับผิด จำเลยที่ 3 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดกับจำเลยที่ 2 ลูกจ้าง สว่ นจำเลยที่ 4 เปน็ ผู้รับประกนั ภัยคำ้ จนุ ต้องรบั ผดิ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ความรับผิดของจำเลยท่ี 2 ท่ี 3 และท่ี

4 จงึ เปน็ หนีท้ ่ตี ้องรว่ มรับผดิ อย่างลกู หน้รี ว่ ม เม่ือจำเลยที่ 4 ชำระคา่ สนิ ไหมทดแทนใหแ้ กโ่ จทก์ จำเลยที่ 2 และ ท่ี 3 จึงได้รบั ประโยชน์ในสว่ นน้ดี ว้ ย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2416/2561 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 176 บัญญัติถึงผลการถอนฟ้องว่า โจทก์ อาจนำฟ้องมายื่นใหม่ได้ แสดงว่าการถอนฟ้องไม่ได้ทำให้หนี้ระงับ จึงไม่ใช่การปลดหนี้ อันเป็นเรื่องความระงบั แหง่ หน้ี จำเลยท่ี 1 และท่ี 2 ตา่ งคนต่างทำละเมิดกอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หายแกโ่ จทก์สามารถแยกออกจากกันได้ซ่ึง ต่างคนต่างต้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดที่ตนกระทำ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าความเสียหายตามฟ้องเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 เท่านั้น มิได้ เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลุดพ้นจากความรับผิดต่อ โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 เปน็ นายจา้ งของจำเลยท่ี 2 ตอ้ งร่วมกันรบั ผิดกบั ลกู จ้างในผลแหง่ ละเมดิ ซง่ึ จำเลยที่ 2 ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการทีจ่ ้าง ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นผู้รบั ประกันภัยค้ำจุนต้องรับผดิ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพอ่ื ความวินาศภยั ตามเงอ่ื นไขท่ีกำหนดในกรมธรรมป์ ระกนั ภัย ความรับผิดของจำเลยท่ี 2 ที่ 3 และท่ี 4 ท่ีมีต่อ โจทก์ จึงเป็นความรับผิดในหนจ้ี ำนวนเดียวกันอันจะแบง่ กนั ชำระมิได้ ตอ้ งรว่ มรับผิดอย่างลูกหนีร้ ่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 301 จำเลยที่ 4 ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามวงเงินในกรมธรรม์ประกันภัยแล้วส่วนหนงึ่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไดร้ บั ประโยชน์ในส่วนนี้ ไม่ต้องรบั ผิด ในค่าเสียหายสว่ นทีโ่ จทก์ได้รับจากจำเลยที่ 4 ไป แลว้ อีก ฎกี าเล่าเรอื่ ง 525 โจทก์เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล และได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลา ชำระราคา ก็เพียงก่อสิทธิว่าโจทก์ยังมสี ทิ ธิซือ้ ทรัพย์สินจนเสร็จส้ินเทา่ นั้น ตราบใดทีย่ ังไม่ชำระราคาตามเงือ่ นไข โจทก์ย่อมไม่ใชผ่ ู้ซอ้ื ทรพั ย์สินตามคำสั่งศาลเพราะโจทก์อาจผดิ สัญญากไ็ ด้ โจทก์จึงยังไมม่ ีอำนาจฟ้องขบั ไล่จำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2561 การที่โจทก์เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดในการขายทอดตลาดตาม คำส่ังศาล และได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระราคาไปจนกว่าคดีท่ีจำเลยรอ้ งขอเพกิ ถอนการขายทอดตลาด ทีด่ ินพิพาทถึงทส่ี ุด ก็เพยี งกอ่ สทิ ธิแกโ่ จทกว์ า่ โจทกย์ งั จะมสี ทิ ธิเปน็ ผู้ซื้อทรพั ยส์ ินจากการขายทอดตลาดตามคำส่ัง ศาลให้สำเร็จลุล่วงต่อไปเท่านั้น ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้ชำระราคาค่าซื้อทรัพย์สินตามเงื่อนไขการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาล โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 เพราะโจทก์อาจผิดสัญญาการขายทอดตลอดตามคำสั่งศาล ทำให้การขายทอดตลาดไมส่ ำเร็จได้ โจทก์จึงยังไม่มี อำนาจฟ้องขับไล่จำเลย (ประชมุ ใหญ่ครง้ั ที่ 1/2561)

ฎีกาเลา่ เร่ือง 526 การที่จำเลยเข้าตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน จึงทำบันทึกการจับกุมแล้วหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ โดยขู่เข็ญให้แจ้งญาตินำเงินไปมอบให้จำเลย มิฉะนั้นจะส่งตัวไปดำเนินคดี เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกนั เพ่ือใหไ้ ด้เงินจากผู้เสียหาย จงึ เป็นกรรมเดยี วผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2561 การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน ตำรวจและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เข้าตรวจค้นห้องพักของผู้เสียหายทั้งสี่และรถจักรยานยนต์ของ ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 เมื่อพบเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จึงทำบันทึกการจับกุม แล้วจำเลยทัง้ สามร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสี่ไว้ภายในห้องพัก และขู่เข็ญให้แจ้งญาตินำเงินไปมอบ ให้จำเลยทั้งสามมิฉะนั้นจะส่งตัวไปดำเนินคดี เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินจาก ผู้เสียหายทั้งสี่ และเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมาย หลายบท ฎีกาเล่าเรือ่ ง 527 ผู้ขับรถคันที่เอาประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถมีส่วนประมาทมากกว่าคู่กรณี ผู้รับประกันภัยรถ คันดังกล่าวต้องรับผิดจากการเสียชีวิตของคู่กรณีเต็มจำนวนเงินคุ้มครองตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภยั จาก รถ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2561 โจทก์ฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกและรถพ่วง คันที่ ด. เป็นผู้ขับ รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถกรณีที่ ช. เสียชีวิตทำให้โจทก์ขาดไร้อุปการะ ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ด. ขับรถบรรทุกและรถพ่วงด้วยความประมาทชน รถจักรยานยนต์คันที่ ช. ขับเป็นเหตุให้ ช. ถึงแก่ความตาย โดย ช. ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย แต่ ด. มีส่วน ประมาทมากกว่า เมื่อตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ข้อ 3.1.3 ระบุว่า ในกรณีเสียชีวิต บริษัทจะ จ่ายเต็มตามจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุด 200,000 บาท ต่อหนึ่งคน ดังนั้น เมื่อ ช. เป็นผู้ประสบภัยท่ี ด. จะต้อง รับผิดชอบตามกฎหมายเพราะเหตุที่ ด. เป็นฝ่ายประมาทมากกว่า ช. จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุก และรถพ่วงที่ ด. เป็นผ้ขู บั ไว้จากนายจา้ งของ ด. จงึ ต้องรับผิดชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินค้มุ ครอง ตามกรมธรรม์คมุ้ ครองผู้ประสบภยั จากรถฉบับละ 200,000 บาท รวมเปน็ 400,000 บาท

ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 528 แม้ผู้ร้องมีส่วนได้เสียในการบังคับคดีและอาจใช้สิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดได้ก็ตามแต่ก็ต้องใช้สิทธิ โดยสุจริต เมื่อผู้ร้องเขา้ ประมูลซ้ือทรัพย์จากการขายทอดตลาดได้ก่อนหน้านี้ถึง 4 ครั้ง แต่กลับอ้างทุกครั้งวา่ ไม่ สามารถชำระราคาได้แล้วมาคัดค้านการขายทอดตลาดครั้งต่อไป ย่อมกลับกลายเป็นว่าผู้ร้องมีสิทธิยับยั้งหรือ ประวงิ การบงั คบั คดีไดท้ ำให้เจา้ หนแ้ี ละลูกหน้ีเสยี หาย อันเปน็ การใช้สทิ ธิโดยไม่สุจริต ผู้รอ้ งจึงไม่มีสิทธิขอให้เพิก ถอนการขายทอดตลาดได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1555/2561 แม้ผู้ร้องจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 280 (เดิม) และอาจใช้สิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ทวิ (เดิม) แต่การใช้ สิทธิดังกล่าวตอ้ งเป็นการใชส้ ทิ ธิโดยสุจริตด้วย เมื่อขอ้ เท็จจรงิ ได้ความวา่ ผู้ร้องเป็นผู้เขา้ ประมูลซือ้ ทรพั ย์จากการ ขายทอดตลาดไดก้ อ่ นหนา้ ครง้ั นถ้ี ึง 4 ครง้ั แต่กลับอา้ งเหมอื นกันทกุ ครงั้ วา่ ไมส่ ามารถชำระราคาไดแ้ ล้วมาคดั คา้ น ในการขายทอดตลาดครั้งต่อไป กลายเป็นว่าบุคคลภายนอกเมื่อเข้ามาประมูลซื้อทรัพย์ได้แล้วแต่ไม่ยอมชำระ ราคา กลบั มสี ทิ ธิที่จะยบั ยงั้ หรือประวิงการบงั คับคดีไดเ้ ร่ือยไป ทำใหเ้ จา้ หน้ีและลกู หน้ีซ่ึงเป็นคู่ความเดิมเสียหาย ได้จากการบังคับคดีที่ล่าช้า ทั้งทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องขายทอดตลาดใหม่เรื่อยมา เช่นนี้ย่อมเป็นการ ยนื ยันว่าการใชส้ ทิ ธิของผู้รอ้ งมิไดเ้ ป็นไปโดยสุจรติ ผู้รอ้ งจงึ ไม่มีสทิ ธิขอใหเ้ พิกถอนการขายทอดตลาดได้ ฎีกาเลา่ เร่ือง 529 โจทก์และจำเลยเจตนาทำสัญญากู้ยืมเงินมาแต่ต้น มิได้เจตนาทำสัญญาขายที่ดิน สัญญาขายที่ดินจึงตก เป็นโมฆะและเป็นนิตกิ รรมอำพรางการกยู้ มื เงนิ โดยให้โจทกย์ ดึ ถอื ทีด่ นิ เปน็ หลกั ประกนั และถอื วา่ สญั ญาขายทด่ี นิ เป็นนิติกรรมสัญญากู้ยมื เงินเป็นลายลักษณ์อักษรต้องบังคับตามสัญญากู้ยืมเงิน ที่ดินจึงยังเป็นของจำเลย โจทก์ ไมม่ ีสิทธิฟอ้ งขบั ไลจ่ ำเลย คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 1335/2561 เมื่อข้อเทจ็ จรงิ ฟงั ได้ว่า โจทก์และจำเลยมีเจตนาทำสัญญากู้ยมื เงินกันมาตัง้ แตต่ ้น มิได้มีเจตนาที่จะทำสัญญาขายที่ดินกันจริง สัญญาขายที่ดนิ ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง และเปน็ นติ ิกรรมอำพรางการก้ยู มื เงินทจ่ี ำเลยกยู้ ืมไปจากโจทก์ โดยใหท้ ีด่ ินแก่โจทก์ยดึ ถอื ไว้เป็น หลักประกนั และยอ่ มถือได้วา่ สัญญาขายทีด่ นิ เปน็ นติ กิ รรมสัญญากยู้ มื เงนิ ทที่ ำเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรระหวา่ งโจทก์ กับจำเลยและถกู อำพรางไว้ ตอ้ งบงั คบั ตามสัญญากู้ยืมเงนิ ซง่ึ เปน็ นติ กิ รรมที่ถูกอำพราง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคสอง เมอ่ื สัญญาขายทีด่ นิ พพิ าทตกเป็นโมฆะจึงตอ้ งเพกิ ถอนสัญญาดังกลา่ ว เป็นผลใหท้ ดี่ ินยงั เป็นของจำเลย โจทกจ์ งึ ไม่มสี ทิ ธทิ ี่จะฟ้องขับไลจ่ ำเลย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook