Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมฎีกาเล่าเรื่องที่ ๑ ถึงที่ ๑๐๐๐ (PDF) (1)

รวมฎีกาเล่าเรื่องที่ ๑ ถึงที่ ๑๐๐๐ (PDF) (1)

Published by Monta Thiravudh, 2022-11-28 04:47:41

Description: รวมฎีกาเล่าเรื่องที่ ๑ ถึงที่ ๑๐๐๐ (PDF) (1)

Search

Read the Text Version

จำเลยกล่าวอ้างขอ้ เทจ็ จริงอย่างขึน้ ใหม่ ภาระการพิสจู น์ตกแก่จำเลยต้องนำสืบว่าไม่ต้องรบั ผิดต่อโจทก์อย่างไร เม่อื จำเลยไมม่ ีพยานมาสบื ใหไ้ ด้ข้อเทจ็ จรงิ ตามท่กี ล่าวอ้าง จงึ เปน็ ฝ่ายแพค้ ดี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2562 โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนองที่ดินโฉนด เลขที่ 43392 โดยอาศัยสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน จำเลยให้การว่า สัญญาจำนองที่ดินเป็นนิติ กรรมอำพราง การที่โจทก์และมารดาจำเลยซื้อขายบ้านที่ปลูกสร้างบนโฉนดเลขที่ 43392 และ 43393 ซึ่ง มารดาจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 43393 ไปเป็นประกันการชำระหนีไ้ ว้กับเจ้าหนี้รายอื่น โจทก์เกรงว่าระหว่าง รอการไถ่ถอนท่ดี ินดังกลา่ ว มารดาจำเลยจะนำบ้านไปขายใหแ้ กบ่ คุ คลอ่นื จงึ ให้จำเลยทำสญั ญาจำนองท่ดี นิ โฉนด เลขที่ 43392 ไว้เป็นประกันการชำระค่าที่ดินครึ่งหนึ่งก่อน ดังนี้ เท่ากับจำเลยรับว่าทำสัญญาจำนองที่ดิน ซึ่ง เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินแก่โจทก์และยังไม่ชำระหนี้ตามฟ้อง แต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เป็นข้อต่อสู้ว่า เงินที่โจทก์ส่งมอบให้มารดาจำเลยนั้นเป็นการชำระค่าที่ดินโฉนดเลขที่ 43392 ถือได้ว่าจำเลยกล่าวอ้าง ข้อเท็จจริงอย่างใด ๆ ขึ้นใหม่ เพื่อสนับสนุนคำให้การของตน ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยที่มีหน้าที่นำสืบว่า จำเลยไมต่ อ้ งรับผิดตอ่ โจทก์อยา่ งไร ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 เมอ่ื จำเลยไม่มพี ยานมาสบื ให้ไดข้ ้อเท็จจริงตามที่ กลา่ วอ้าง จึงตกเปน็ ฝา่ ยแพค้ ดี ฎีกาเลา่ เร่อื ง 370 โจทก์นำเจ้าพนกั งานบังคับคดียึดที่ดินตาม น.ส. 3 ก. พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำนองไวต้ ่อ ธนาคาร ท. ออกขายทอดตลาดนำเงนิ มาชำระหนตี้ ามคำพิพากษา ตอ่ มาธนาคาร ท. เจ้าหนีข้ องจำเลยท่ี 2 ในคดี แพ่งหมายเลขแดงที่ 43/2548 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ศาล ชน้ั ต้นอนญุ าต เมื่อธนาคาร ท. โอนขายสนิ ทรัพย์และสทิ ธเิ รียกร้องต่าง ๆ ทมี่ ตี ่อจำเลยท่ี 2 ให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึง ชอบที่จะขอเข้าสวมสิทธิแทนในการขอรับชำระหนี้จำนองได้โดยผลของกฎหมาย ส่วนการที่ผู้ร้องจะไดช้ ำระหน้ี ให้แก่ธนาคาร ท. หรือไม่ เพียงใดนั้น เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องและธนาคาร ท. ไม่มีผลทำให้การโอนสิทธิเรียกร้อง ดงั กลา่ วเสียไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 431/2562 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำ ประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1651, 1612 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้ต่อ ธนาคาร ท. เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนีต้ ามคำพิพากษา ต่อมาธนาคาร ท. เจ้าหนี้ของจำเลยท่ี 2 ในคดแี พง่ หมายเลขแดงท่ี 43/2548 ของศาลจงั หวัดเชียงใหม่ ยื่นคำรอ้ งขอรับชำระหนจี้ ำนองกอ่ นเจ้าหนอ้ี น่ื ศาลช้นั ต้นมีคำสั่งอนญุ าตใหธ้ นาคาร ท. ได้รบั ชำระหนก้ี อ่ นเจา้ หนี้รายอ่ืน เมือ่ ธนาคาร ท. โอนขายสินทรัพย์และ สิทธิเรียกรอ้ งต่าง ๆ ที่มตี อ่ จำเลยท่ี 2 ให้แก่ผู้ร้อง ผูร้ ้องจึงชอบทจ่ี ะขอเขา้ สวมสทิ ธแิ ทนทีธ่ นาคาร ท. ตามที่ศาล ชั้นต้นเคยมีคำสั่งอนุญาตได้ ประกอบกับผู้ร้องเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหาร สินทรพั ย์ พ.ศ.2541 ซึง่ มาตรา 7 ของ พ.ร.ก. ดังกลา่ ว บัญญตั วิ ่า ในการโอนสินทรัพยจ์ ากสถาบนั การเงินไปให้

บริษัทบรหิ ารสนิ ทรัพย์ ถ้ามีการบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีอยู่ในศาล ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์เขา้ สวมสิทธเิ ปน็ คู่ความแทนในคดีดังกล่าว และกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิเรียกร้องแล้ว ก็ให้เข้าสวมสิทธิเป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดวิธีพิเศษในการเข้าสวมสิทธิแทนที่ใน กรณีทสี่ ถาบันการเงนิ ไดโ้ อนสินทรัพยไ์ ปให้บรษิ ทั บริหารสนิ ทรัพย์ไวว้ ่าใหโ้ อนสทิ ธแิ ก่กนั ได้ ผรู้ ้องจึงชอบท่ีจะเข้า สวมสิทธิแทนธนาคาร ท. ผู้ขอรับชำระหนี้จำนองได้โดยผลของกฎหมายดังกล่าว ส่วนการที่ผู้ร้องจะได้ชำระหน้ี ให้แก่ธนาคาร ท. หรือไม่ เพียงใดนั้น เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องและธนาคาร ท. ไม่มีผลทำให้การโอนสิทธิเรียกร้อง ดงั กลา่ วเสยี ไป ฎกี าเลา่ เรื่อง 371 โจทกม์ ิได้บรรยายฟ้องว่า เจา้ พนกั งานตำรวจยดึ โทรศพั ท์เคล่ือนทเี่ ป็นของกลาง ทงั้ ไม่มีคำขอท้ายฟ้องให้ ริบโทรศัพท์ดังกล่าว แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่ามีการยึดไว้ แต่เมื่อไม่ใช่ของกลางที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง และมคี ำขอใหศ้ าลวินจิ ฉัย ปัญหานเี้ ป็นข้อกฎหมายท่ีเกย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ย แม้ไมม่ ีคคู่ วามฝา่ ยใดฎีกา ศาล ฎีกากม็ ีอำนาจยกขน้ึ วนิ ิจฉยั ใหถ้ ูกตอ้ งได้ คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 341/2562 โจทกม์ ไิ ด้บรรยายฟ้องวา่ เจ้าพนักงานตำรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนท่ี เป็นของกลาง ทั้งไม่มคี ำขอทา้ ยฟ้องให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนท่ี แม้ในทางพิจารณาจะได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจ ยดึ โทรศัพท์เคลือ่ นท่ีจากจำเลยเปน็ ของกลางดว้ ย แต่โทรศัพทเ์ คลื่อนท่ีดงั กลา่ วไม่ใช่ของกลางท่ีโจทก์บรรยายมา ในฟ้องและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.วิธพี ิจารณาคดียาเสพตดิ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 372 ความผิดฐานพาอาวธุ ไปในเมอื ง หม่บู ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มเี หตอุ นั สมควร ศาลช้ันต้นปรับจำเลยท่ี 2 ถึงที่ 4 คนละ 1,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เท็จจริง การที่ศาลชั้นอุทธรณร์ ับวนิ ิจฉยั ความผดิ ดังกล่าวและลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงท่ี 4 จงึ ไมช่ อบ และไมก่ ่อใหเ้ กิดสทิ ธทิ จ่ี ำเลยท่ี 2 จะฎกี า กับทง้ั ไม่ใช่กรณีท่ีจะ อนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึง่ พจิ ารณาอนุญาตให้ฎกี าและรับฎกี าจึงไม่ชอบ ความผดิ ดังกล่าว ยอ่ มยตุ ิไปตามคำพพิ ากษาศาลชนั้ ต้น คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 325/2562 ความผดิ ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บา้ นหรือทางสาธารณะโดยไม่ มีเหตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา 371 ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 1,000 บาท จึง

ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัย ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ชอบ และไม่ก่อให้ เกิดสิทธิแก่ จำเลยที่ 2 ที่จะฎีกา กับทั้งไม่ใช่กรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาอนุญาตให้ ฎีกาและรับฎีกาในความผิดฐานนี้จึงไม่ชอบ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 ย่อมยุติไปตามคำพิพากษาศาล ชัน้ ต้น ฎกี าเลา่ เร่อื ง 373 ปัญหาเร่ืองฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสูไ้ ว้ แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลชัน้ ต้น จำเลยชอบที่จะยืน่ คำร้องขอใหว้ ินิจฉัยชขี้ าดเบอ้ื งต้นในปญั หาดงั กล่าวได้ ไมถ่ อื เป็นเรื่องนอกประเด็น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2562 ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป. ว.ิ พ. มาตรา 144 หรอื ไม่น้ัน เป็นขอ้ กฎหมายอนั เกี่ยวดว้ ยความสงบเรยี บร้อยของประชาชน ถึงแมจ้ ำเลยจะมไิ ด้ ใหก้ ารตอ่ ส้ใู นปัญหาขอ้ นี้ไว้ แตร่ ะหว่างการพิจารณาของศาลช้ันต้น จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยช้ีขาด เบ้อื งต้นในปญั หาดังกลา่ วตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 24 ได้ ไม่ถอื เป็นเร่ืองนอกประเด็นตามคำให้การ ฎกี าเล่าเรอื่ ง 374 โจทก์ไม่ไดแ้ ตง่ ตง้ั ทนายความช่วยดำเนนิ คดี และลงช่อื เปน็ โจทก์และผเู้ ขยี นหรอื พมิ พ์ดว้ ยตนเอง พอฟงั ได้ ว่าโจทก์เป็นผ้เู รียง แม้โจทก์ไมไ่ ด้ลงชือ่ ในช่องดังกล่าวก็ไม่ถงึ กบั กระทบตอ่ ความสงบเรียบรอ้ ยจนตอ้ งยกฟ้อง คดี มีประเด็นชั้นฎีกาเพียงว่าฟ้องโจทก์พึงรับไว้พิจารณาหรือไม่ อันเปน็ ปญั หาข้อกฎหมายและเป็นคดีไม่มีทนุ ทรัพย์ เสียค่าขึ้นศาลชนั้ ฎกี า 200 บาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2562 ขณะโจทก์ฟ้องคดีไม่ได้แต่งตั้งทนายความช่วยดำเนินคดี โจทก์ลง ชื่อเป็นโจทก์ด้วยตนเอง และมีชื่อโจทก์กับลายมือชื่อโจทก์เป็นผู้เขียนหรือพิมพ์ด้วย จึงพอฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ เรียงฟ้องดังกล่าว แม้โจทก์ไม่ได้ลงชือ่ ในช่องผู้เรยี ง ก็ยังไม่ถึงกับกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนจน ต้องยกฟ้องโจทก์ คดีมีประเด็นพิพาทในชั้นฎีกาเพียงว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่พึงรับพิจารณาให้หรือไม่ ซึ่งเป็น ปญั หาขอ้ กฎหมาย เปน็ คดไี มม่ ที ุนทรัพย์ เสียค่าขน้ึ ศาลชนั้ ฎีกา 200 บาท

ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 375 การขอขยายระยะเวลายนื่ อทุ ธรณก์ ระทำไดต้ อ่ เมอื่ มีพฤติการณ์พเิ ศษ ส่วนศาลจะอนญุ าตให้ขยายหรือไม่ เป็นดลุ พินจิ เป็นเร่อื ง ๆ ไป การที่ศาลชั้นตน้ อนญุ าตใหจ้ ำเลยขยายระยะเวลายื่นอุทธรณร์ วม 5 คร้ัง เป็นเวลา 6 เดือนเศษ แสดงว่า ศาลชั้นต้นเห็นวา่ ตามคำร้องมีพฤตกิ ารณพ์ ิเศษ แต่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตใหข้ ยายในคร้ังตอ่ ๆ ไปอีกหรือไม่นั้น นอกจากมีพฤติการณ์พิเศษแล้วยังต้องมีเหตุอันสมควรอีกด้วย ซึ่งการพิจารณาว่ามีเหตุอัน สมควรหรอื ไมเ่ ป็นดุลพินจิ ของศาลชั้นต้นเป็นเรือ่ ง ๆ ไปเช่นกัน เมื่อศาลช้ันต้นอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลา ยื่นอุทธรณ์ดงั กล่าว และนบั แต่จำเลยได้รับสำเนาคำพพิ ากษาที่ขอคัดถา่ ยจนถงึ วันครบกำหนดที่อนุญาตให้ขยาย นานถึง 3 เดือนเศษ นับว่าเพียงพอที่จำเลยจะเรียงอุทธรณ์ได้แล้วเสร็จ การที่จำเลยขอขยายระยะเวลาครั้งที่ 6 อีก แสดงว่ามิได้ใสใ่ จท่จี ะดำเนนิ การให้เสรจ็ ลลุ ่วงไปภายในเวลาท่กี ำหนด จงึ ไมม่ เี หตุสมควรท่ีจะขยายระยะเวลา ให้จำเลยอีก ศาลชั้นต้นอ้างเหตุในการยกคำร้องข้อหนึ่งวา่ \"...ข้ออ้างตามคำร้องหาใช่พฤติการณ์พิเศษไม่...\" แต่ เมื่ออ่านข้อความดังกล่าวประกอบข้อความอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว ก็มีความหมายเพียงว่า กรณีตามคำร้องไม่ใช่เหตุ อันสมควรท่จี ะอนุญาตให้ขยายระยะเวลายนื่ อุทธรณแ์ ก่จำเลยอีกต่อไปเท่าน้นั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2562 การขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 จะ กระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ ส่วนศาลจะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาหรือไม่เป็นดุลพินิจที่จะต้องพิจารณา เปน็ เรื่อง ๆ ไป การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นอุทธรณร์ วม 5 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือนเศษ เป็นการ แสดงอยู่ในตวั แล้วว่า ศาลชัน้ ตน้ เหน็ ว่าตามคำรอ้ งของจำเลยมพี ฤติการณพ์ ิเศษ แตก่ ารทีศ่ าลชัน้ ต้นจะอนญุ าตให้ ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ในครั้งต่อ ๆ ไปอีกหรือไม่นั้น นอกจากจะต้องได้ความว่ามีพฤติการณ์พิเศษแล้วยัง จะตอ้ งมีเหตอุ ันสมควรอีกดว้ ย ซ่ึงการพิจารณาว่ามีเหตุอันสมควรหรอื ไม่เปน็ ดุลพนิ จิ ของศาลช้นั ต้นท่จี ะพจิ ารณา เป็นเรื่อง ๆ ไป เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นตน้ ได้อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์รวม 5 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือนเศษ และหากนับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับสำเนาคำพิพากษาที่ขอคัดถ่ายไปจากศาลชั้นต้นจนถึงวันที่ครบ กำหนดที่ศาลชั้นต้นอนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 5 เป็นเวลานานถึง 3 เดือนเศษ นับว่าเป็น ระยะเวลาเพยี งพอทีจ่ ำเลยจะเรียงอุทธรณไ์ ดแ้ ลว้ เสร็จ การท่ีจำเลยมาขอขยายระยะเวลาย่ืนอุทธรณ์เปน็ ครั้งที่ 6 อีก แสดงให้เห็นว่ามไิ ด้ใส่ใจท่ีจะดำเนินการให้เสร็จลุล่วงไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงไม่มีเหตุสมควรท่ี จะขยายระยะเวลาย่นื อุทธรณใ์ ห้จำเลยอกี ศาลชั้นต้นอ้างเหตุในการยกคำร้องข้อหนึ่งว่า \"...ข้ออ้างตามคำร้องหาใช่พฤติการณ์พิเศษไม่...\" แต่เม่ือ อ่านข้อความดังกล่าวประกอบข้อความอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว ก็มีความหมายเพียงว่า กรณีตามคำร้องไม่ใช่เหตุอัน สมควรที่จะอนุญาตใหข้ ยายระยะเวลายนื่ อทุ ธรณแ์ ก่จำเลยอีกตอ่ ไปเท่าน้นั

ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 376 จำเลยให้การว่า เมื่อจำเลยได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ 3,400,000 บาท ได้นำเงิน 2,000,000 บาท ท่ี ได้รับจากโจทก์ไปวางมัดจำแก่ ส. ผู้ถือกรรมสิทธิท์ ี่ดินที่ขายให้จำเลย ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้รับเงินมัดจำ ตามเช็คจำนวน 3,000,000 บาท จึงอยู่นอกเหนือประเด็นข้อพิพาท การที่จำเลยนำสืบนอกเหนือจากที่ให้การ ไว้เป็นเหตุผลในฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยชนะคดี ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบใน ศาลชน้ั ต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาทไ่ี มช่ อบตาม ศาลฎีกาไม่รบั วินจิ ฉัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2562 จำเลยให้การว่า ภายหลังจำเลยได้รับเงินมัดจำจากโจทก์จำนวน 3,400,000 บาท จำเลยได้นำเงิน 2,000,000 บาท ท่ไี ดร้ บั จากโจทกไ์ ปวางมดั จำแก่ ส. ผถู้ อื กรรมสิทธ์ิท่ดี ินท่ี ขายให้แก่จำเลย ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้รับเงนิ มัดจำตามเช็คจำนวน 3,000,000 บาท จึงอยู่ นอกเหนือประเด็นขอ้ พิพาท การที่จำเลยยกข้อเท็จจริงทต่ี นนำสบื นอกเหนอื จากทใี่ หก้ ารไวเ้ ปน็ เหตผุ ลในฎกี าของ จำเลยเพื่อใหศ้ าลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยชนะคดี ถือไม่ไดว้ ่าเปน็ ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลช้นั ต้นและ ศาลอุทธรณ์ เป็นฎกี าท่ีไม่ชอบตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 249 วรรคหน่งึ (เดมิ ) ศาลฎีกาไมร่ ับวินิจฉัย ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 377 โจทก์ฟ้องวา่ จำเลยขบั รถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลแล้วไม่หยุดรถให้การชว่ ยเหลือและแสดง ตัวต่อเจ้าพนักงานเป็นเหตุให้บุคคลนั้นถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายและไม่มีสิทธิ อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าว และเมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยไม่หยุดรถใหค้ วาม ช่วยเหลือตามสมควร ไม่แสดงตัวและไมแ่ จ้งเหตตุ ่อพนักงานเจา้ หนา้ ทที่ ใี่ กล้เคยี งทนั ที เปน็ เหตใุ หบ้ ุคคลอื่นถึงแก่ ความตาย คดีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ และแม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาท่ี เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ส่วนทีจ่ ำเลยฎกี าทำนองว่า จำเลยมิไดก้ ระทำ ความผิดตามฟ้องนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่และขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย จึงเป็นขอ้ ท่มี ิได้ ยกขึน้ ว่ากนั มาแล้วโดยชอบในศาลชน้ั ต้นและศาลชน้ั อุทธรณต์ ้องหา้ มมใิ ห้ฎกี า ศาลฎกี าไมร่ ับวินิจฉัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2562 การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่ บุคคลแล้วไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือและแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานเป็นเหตุให้บุคคลนั้นถึงแก่ความตาย ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 โจทก์ร่วมไม่ใช่ผูไ้ ดร้ บั ความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผดิ ฐานน้ีโดยตรง จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายและไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวได้ และ เมื่อโจทกม์ ไิ ดบ้ รรยายฟ้องอ้างเหตวุ ่าการที่จำเลยไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร ไม่แสดงตัวและไม่แจ้ง เหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ น้ัน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย คดีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 160 วรรค

สอง ได้ และปัญหาน้ีแม้ค่คู วามจะมิไดอ้ ุทธรณ์ฎีกา แตเ่ ปน็ ปญั หาที่เกีย่ วกบั ความสงบเรยี บร้อย ศาลฎกี ามีอำนาจ ยกข้ึนวนิ ิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเกดิ เหตุ รถจำเลยแล่นอยู่ในช่องเดนิ รถที่ 1 มิได้วิ่งครอ่ มช่องเดนิ รถที่ 1 และท่ี 2 การที่รถจำเลยเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ผู้ตายจึงมีส่วนประมาทอยู่ด้วย ทำนองว่าจำเลยมิได้ กระทำความผิดตามฟอ้ งน้ัน เป็นขอ้ เทจ็ จริงทยี่ กขน้ึ ใหมแ่ ละขดั แยง้ กับคำใหก้ ารรบั สารภาพของจำเลย จึงเป็นข้อ ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวนิ จิ ฉัย ฎกี าเลา่ เร่ือง 378 ศาลชน้ั ต้นมิไดก้ ำหนดให้โจทกน์ ำส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตฎีกาและสำเนาฎกี าให้แก่จำเลยทงั้ สอง เมื่อ ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ฎีกา แม้ศาลชัน้ ต้นระบุในรายงานกระบวนพิจารณาในวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาซึ่งทนาย โจทก์มาศาลว่า ...หมายแจ้งจำเลยทั้งสองแก้ฎีกา ให้โจทก์นำส่ง ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด แต่ศาลชั้นต้นก็มิได้ กำหนดเวลาให้โจทก์ในการนำส่งหรือวางค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการส่งหมายนัดแจ้งจำเลยทั้งสองให้แก้ ฎีกา ซงึ่ หากโจทก์เพกิ เฉยไมป่ ฏบิ ัติกจ็ ะเป็นเหตุใหศ้ าลมีใชด้ ุลพินิจจำหนา่ ยฎีกาของโจทก์ได้ การท่ีเจ้าหน้าที่ศาล รายงานว่า ทนายโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และเคยโทรศัพท์แจ้งให้มาดำเนินการแล้ว แต่โจทก์หรือทนาย โจทก์ไม่ดำเนินการ ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดในการติดต่อโทรศัพท์ว่าว่าอย่างไร เหตุใดจงึ ไม่ดำเนินการ เนื่องจาก ในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและคำบังคับ โจทก์ก็เพียงแต่วางค่าธรรมเนียมในการส่งเท่านั้นจึงอาจ เข้าใจว่าได้วางค่าธรรมเนียมในการส่งไว้ตั้งแต่วันยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกาแล้ว จึงไม่ดำเนินการนำ เจา้ หนา้ ทไ่ี ปส่งและไมว่ างเงนิ ค่าธรรมเนยี มในการส่งอีก จะถือว่าโจทกเ์ พิกเฉยไม่ดำเนินคดอี นั เป็นการทิ้งหาได้ไม่ จงึ ยงั ไมส่ มควรจำหนา่ ยฎกี าดว้ ยเหตทุ ้งิ ฟอ้ ง คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 124/2562 ในช้นั ที่ศาลชน้ั ต้นมีคำสง่ั คำรอ้ งขออนญุ าตฎีกาและฎกี าของโจทก์ มิได้กำหนดให้โจทก์นำส่งสำเนาคำร้องและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสอง เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ ฎีกาแม้ศาลชั้นตน้ ระบุในรายงานกระบวนพิจารณาในวันนดั ฟังคำสั่งศาลฎีกาดงั กล่าวซึ่งทนายโจทก์มาศาลว่า ... หมายแจง้ จำเลยทงั้ สองแกฎ้ กี า ให้โจทกน์ ำสง่ ไม่มีผรู้ บั โดยชอบใหป้ ิดหมายได้ แตศ่ าลช้ันตน้ กม็ ไิ ดก้ ำหนดเวลาให้ โจทก์ในการนำส่งหรือวางค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการส่งหมายนัดแจ้งจำเลยทั้งสองให้แก้ฎีกาว่าให้โจทก์ ดำเนินการภายในเวลาเท่าใด ซึ่งหากโจทก์เพิกเฉยไม่ปฏิบตั ิก็จะเป็นเหตุให้ศาลมีอำนาจใชด้ ุลพินิจจำหน่ายฎีกา ของโจทก์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 การที่เจา้ หน้าที่ศาลรายงาน ว่า ทนายโจทกไ์ ม่ปฏิบตั ติ ามคำส่ังศาล และเจ้าหน้าท่เี คยโทรศพั ท์แจ้งให้มาดำเนนิ การส่งหมายแลว้ แตโ่ จทก์หรือ ทนายโจทก์ไม่ได้มาดำเนินการนั้น ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดในการติดต่อโทรศัพท์ว่าทนายโจทก์แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ ศาลว่าอย่างไร เหตุใดจึงไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล เนื่องจากในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและคำ

บงั คับ โจทก์กเ็ พยี งแต่วางค่าธรรมเนียมในการสง่ เท่านน้ั ทนายโจทกอ์ าจเขา้ ใจวา่ ไดว้ างค่าธรรมเนียมในการส่งไว้ ตั้งแต่วนั ย่ืนคำรอ้ งขออนญุ าตฎีกาพร้อมฎีกาแลว้ จึงไม่ดำเนินการนำเจา้ หน้าทีไ่ ปส่งหมายนัดให้แก่จำเลยท้งั สอง และไม่วางเงินค่าธรรมเนยี มในการสง่ ตามคำสั่งศาลชั้นต้นอีก ตามพฤติการณ์จะถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนนิ คดี อันเปน็ การทงิ้ ฟ้องตามมาตรา 174 (2) หาไดไ้ ม่ จงึ ยังไมส่ มควรจำหนา่ ยฎีกาของโจทก์ด้วยเหตุท้งิ ฟอ้ ง ฎกี าเล่าเร่ือง 379 แม้คำให้การช้ันสอบสวนของ จ. ระบุว่า จำเลยพูดขอร้อง จ. ว่าจำเลยจะทำอย่างไรดีช่วยจำเลยด้วย ซึ่ง หากจำเลยไม่มีเจตนาใช้ จ. ไปฆ่าผู้ตายทั้งสองแล้วก็น่าจะพูดในทำนองขอร้องให้ จ. ไปทำร้ายผู้ตายทั้งสองก็ เพียงพอแล้ว มิใช่พูดทำนองใหฆ้ ่าผู้ตายทั้งสองเมื่อใดกไ็ ด้ ถ้อยคำที่ จ. เล่าให้พนักงานสอบสวนฟังและพนักงาน สอบสวนบันทึกลงในคำให้การดังกล่าว พอแปลได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาให้ จ. ไปฆ่าผู้ตายทั้งสอง ไม่ใช่เป็นการ ปรับทุกข์หรือปรึกษาหารือกันแต่เป็นการหว่านล้อม โน้มน้าวขอร้องโดยประสงค์ให้ จ. ฆ่าผู้ตายทั้งสองโดย ไตรต่ รองไว้กอ่ นและชิงทรัพยผ์ ้ตู ายทง้ั สอง อันเปน็ การก่อให้ผอู้ น่ื กระทำความผิดแลว้ เม่ือ จ. ใช้อาวธุ ปนื ยิงผตู้ าย ทงั้ สองและชงิ ทรัพยต์ อ่ เนอ่ื งคราวเดียวแสดงให้เห็นถงึ เจตนาใช้อาวธุ ปนื ยิงผู้ตายทง้ั สองเพื่อประสงค์ต่อผลในการ ฆ่าผู้ตายทั้งสองและประสงค์จะเอาทรัพย์ของผู้ตายทั้งสองเพื่อเป็นคา่ ดำเนินการด้วย ตามที่จำเลยแจ้งต่อ จ. ว่า ผตู้ ายทงั้ สองมีทรัพยส์ ินอยู่ในทเี่ กดิ เหตุสามารถชิงไปได้ เปน็ การกระทำกรรมเดยี วเปน็ ความผิดต่อกฎหมายหลาย บท มใิ ชค่ วามผิดหลายกรรมต่างกนั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2562 แม้คำให้การชั้นสอบสวนของ จ. จะระบุว่า จำเลยพูดขอร้อง จ. ว่า จำเลยจะทำอยา่ งไรดชี ว่ ยจำเลยด้วย ซึ่งหากจำเลยไม่มเี จตนาท่ีจะใช้ จ. ไปฆ่าผู้ตายทั้งสองแล้วจำเลยก็น่าจะพดู ในทำนองขอรอ้ งให้ จ. ไปทำร้ายผู้ตายทั้งสองซง่ึ เปน็ การเพยี งพอแล้ว มิใชพ่ ดู ทำนองให้ จ. ฆ่าผู้ตายทั้งสองเมอื่ ใด ก็ได้ ถ้อยคำที่ จ. เล่าให้พนักงานสอบสวนฟังและพนักงานสอบสวนบันทึกลงในคำให้การดังกล่าว พอแปลได้ชดั วา่ จำเลยมีเจตนาทจ่ี ะให้ จ. ไปฆา่ ผู้ตายทงั้ สอง ไมใ่ ช่เปน็ การปรบั ทุกข์หรอื ปรกึ ษาหารือระหว่างจำเลยกับ จ. ใน ฐานะคนคุน้ เคย รักใครช่ อบพอกันแต่อย่างใด แต่เป็นการพูดจาในลักษณะหว่านล้อม โน้มน้าวขอร้องโดยมีความ ประสงค์ที่จะให้ จ. ฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและชิงทรัพย์ผูต้ ายทั้งสอง อันเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำ ความผิดแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสองและชิงทรัพย์ไปในลักษณะต่อเนื่องคราวเดียว แสดงให้เห็นถึงเจตนาของ จ. ว่า จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสองเพื่อประสงค์ต่อผลในการฆ่าผู้ตายทั้งสองและ ประสงค์จะเอาทรพั ยข์ องผตู้ ายทั้งสองไปเพือ่ เป็นค่าดำเนินการดว้ ย ตามท่ีจำเลยแจง้ ตอ่ จ. วา่ จะต้องฆ่าผู้ตายทั้ง สองซึ่งเป็นสามีภริยากัน และผู้ตายทั้งสองมีทรัพย์สินอยู่ในที่เกิดเหตุสามารถชิงไปได้ มิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายที่ 1 และชิงทรัพย์ไป แล้วเกิดเจตนาฆ่าผู้ตายที่ 2 แล้วชิงทรัพย์ ขึ้นภายหลังเพิ่มขึ้นอีก ลักษณะเจตนาในการกระทำ

ความผิดจึงเปน็ อันเดยี วกัน เป็นการกระทำกรรมเดยี วเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท มใิ ช่ความผิดหลายกรรม ตา่ งกัน ฎีกาเล่าเร่อื ง 380 เดิมจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน อันเป็น ความผิดฐานอื่นมีโทษจำคุก ไม่ต้องด้วยเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนจะขอให้ศาลส่งตัวจำเลยไปรับการฟื้นฟู สมรรถภาพผูต้ ิดยาเสพติด แต่ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดอื่นมีคำสัง่ เด็ดขาดไม่ฟ้องจำเลยเฉพาะฐานเปน็ ผ้ขู บั ขี่ เสพเมทแอมเฟตามนี แล้วโอนคดมี าให้โจทก์ฟ้องจำเลยฐานเสพเมทแอมเฟตามนี เป็นคดีน้ี เท่ากับว่าจำเลยไมเ่ คย ต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน เมื่อความผิดที่จำเลยถูกกล่าวหา ดำเนินคดีคงเหลือเฉพาะฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นโดยมิได้ปฏิบัติเพื่อให้ จำเลยไดร้ บั การฟ้นื ฟสู มรรถภาพผตู้ ิดยาเสพติดเสียก่อน เปน็ การไมช่ อบ โจทก์จึงไม่มอี ำนาจฟอ้ ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2562 เดิมจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามนี และฐานเปน็ ผูข้ ับข่เี สพเมทแอมเฟตามีน อันเปน็ ความผิดฐานอื่นซึ่งเปน็ ความผิดทมี่ โี ทษจำคกุ ไม่ตอ้ งด้วยเงอ่ื นไข ทพ่ี นกั งานสอบสวนจะต้องนำตัวจำเลยไปศาลเพ่ือยน่ื คำร้องขอให้ศาลส่งตัวจำเลยไปรับการฟืน้ ฟสู มรรถภาพผู้ตดิ ยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ต่อมาพนักงานอยั การ จังหวัดสุพรรณบุรีมคี ำส่ังเดด็ ขาดไม่ฟอ้ งจำเลยเฉพาะในความผิดฐานเป็นผูข้ บั ขีเ่ สพเมทแอมเฟตามีน แลว้ โอนคดี มาให้โจทก์ฟ้องจำเลยในความผดิ ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนเป็นคดีนี้ ย่อมมีผลเท่ากับว่าจำเลยไม่เคยต้องหาหรอื อยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน อันเป็นความผิดฐานอื่นซึ่งเป็น ความผิดที่มีโทษจำคุก เมื่อความผิดที่จำเลยถูกกล่าวหาดำเนินคดีคงเหลือเฉพาะความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตา มนี โจทก์ยอ่ มมีหน้าทต่ี ้องปฏบิ ัตใิ ห้เปน็ ไปตามบทบัญญตั ขิ องกฎหมายดังกลา่ วขา้ งตน้ เม่ือโจทก์ย่นื ฟ้องจำเลยตอ่ ศาลชั้นต้นโดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกลา่ ว เพื่อให้จำเลยไดร้ ับการฟืน้ ฟูสมรรถภาพผู้ตดิ ยาเสพติดเสียก่อน เปน็ การไมช่ อบ โจทก์จึงไม่มอี ำนาจฟอ้ ง ฎีกาเล่าเร่อื ง 381 องคป์ ระกอบความผดิ ฐานคา้ มนุษย์โดยบังคบั ใชแ้ รงงานหรอื บริการ ตอ้ งเป็นธรุ ะจัดหา ซอ้ื ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนีย่ วกักขงั จัดให้อยูอ่ าศัย หรือรับไว้ซึง่ เด็ก เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ โดยข่มขืนใจให้ทำงานหรือให้บริการโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือ ทรัพย์สินของบคุ คลนัน้ เองหรอื ของบุคคลอื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยทำให้ บุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ข่มขืนใจให้ผู้ทำงานในโรงงาน

โดยทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหาย โดยขู่ เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยทำให้ผูเ้ สียหายอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้แต่อยา่ ง ใด คงได้ความเพียงว่าให้ผู้เสียหายทำงานหนักและไม่จ่ายเงินเดือนควบคุมให้ทำงานต่อเนื่องเท่านั้น ส่วนการที่ จำเลยที่ 2 นำกุญแจมาคล้องประตูห้องพักในบ้านพักของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 พักอาศัยอยู่ด้วย ก็เพ่ือ ป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้เสียหาย และการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 พูดห้าม ผู้เสียหายมิใหอ้ อกไปนอกโรงงานและบ้านพกั หากออกไปจะตดั ผมใหส้ ้ันเหมือนผูช้ าย ก็มิได้พูดด้วยน้ำเสียงขม่ ขู่ และผู้เสียหายไม่เคยเห็นคนงานคนใดถูกลงโทษ ยังไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายตอ่ ชวี ติ รา่ งกาย ข่เู ขญ็ ด้วยประการใด ๆ ใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ย ทำใหผ้ เู้ สยี หายอย่ใู นภาวะท่ไี ม่สามารถขดั ขนื ได้เพอื่ ให้ ผ้เู สียหายทำงาน จงึ ยงั ไม่ครบองค์ประกอบความผิดดงั กล่าว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 71/2562 องค์ประกอบในการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยบังคับใช้ แรงงานหรือบริการ ต้องประกอบด้วย การเป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วง เหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบโดยข่มขืนใจให้ทำงานหรือ ให้บริการโดยทำให้กลวั ว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของบุคคลนั้นเองหรอื ของบุคคลอื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยทำให้บุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่ สามารถขัดขืนได้ ตาม พ.ร.บ.ปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 เมอ่ื ไม่ปรากฏวา่ นบั ตง้ั แตผ่ เู้ สียหายเข้ามาทำงานในโรงงานของจำเลยท่ี 1 และท่ี 2 จนถงึ วนั ท่ี ผู้เสียหาย หลบหนีออกมา จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำการอันใดเป็นการข่มขนื ใจให้ผูเ้ สียหายทำงานโดยทำให้ผูเ้ สยี หาย กลัววา่ จะเกดิ อันตรายต่อชีวติ ร่างกาย เสรีภาพ ช่ือเสยี งหรอื ทรพั ยส์ นิ ของผเู้ สียหาย โดยขเู่ ข็ญดว้ ยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษรา้ ย หรือโดยทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แต่อย่างใด คงได้ความเพียงวา่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ผู้เสียหายทำงานหนักและไม่จ่ายเงินเดือนให้แก่ผู้เสียหายเท่านั้น ควบคุมใ ห้ทำงาน ต่อเนื่อง ส่วนการที่จำเลยท่ี 2 นำกุญแจมาคล้องประตูห้องพักซึ่งเป็นบ้านพกั ของจำเลยที่ 2 และจำเลยท่ี 2 พัก อาศัยอยู่ด้วย ก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้เสียหาย และการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 พดู ห้ามผูเ้ สียหายมิใหอ้ อกไปนอกโรงงานและบ้านพัก หากออกไปจะตัดผมใหส้ ัน้ เหมือนผชู้ าย ก็มิได้พูด ด้วยน้ำเสยี งขม่ ขู่ และผู้เสยี หายไมเ่ คยเห็นคนงานคนใดถกู ลงโทษ กรณไี ม่ถือว่าจำเลยที่ 1 และท่ี 2 ทำให้กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้ผู้เสียหายอยู่ ในภาวะที่ไม่ สามารถขดั ขืนไดเ้ พอื่ ใหผ้ ู้เสียหายทำงานให้จำเลยท่ี 1 และท่ี 2 การกระทำของจำเลยที่ 1 และท่ี 2 จงึ ยังไม่ครบ องค์ประกอบความผิดฐานค้ามนษุ ย์ตาม พ.ร.บ.ปอ้ งกันและปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (2)

ฎกี าเล่าเรอื่ ง 382 ตาม ป.อ. มาตรา 36 ที่ว่า กรณีศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 แล้ว หากปรากฏใน ภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของแท้จริงว่า ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดก็ให้ ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน แม้มิได้ระบุว่า เจ้าของแท้จริง หมายถึงเจ้าของแท้จริงขณะกระทำความผิด แต่เมื่ อ พิจารณาข้อความที่ว่า \"หากปรากฏในภายหลัง\" ซึ่งหมายถึงภายหลังเกิดการกระทำความผิด แสดงว่าในขณะมี การกระทำความผิดทรพั ยท์ ีใ่ ช้ในการกระทำความผดิ นน้ั มีเจา้ ของทแ่ี ท้จรงิ ซึง่ มใิ ช่ตวั ผกู้ ระทำความผิด แต่เจ้าของ ที่แท้จริงไม่รู้เห็นว่ามีผู้ใช้ทรัพยส์ ินนัน้ กระทำความผิด และไม่ไดย้ ินยอมหรือละเวน้ ไม่ขัดขวางโดยสมัครใจปล่อย ให้ผู้อื่นใช้ทรัพย์สินของตนกระทำความผิด การรู้เห็นเป็นใจด้วยนี้จึงมีอยู่ในขณะมีการกระทำความผิด บุคคลที่ เป็นเจ้าของทรัพย์สินภายหลังการกระทำความผิดผ่านเลยไปแล้วไม่อยู่ในภาวะเช่นนี้ได้ เมื่อขณะมีการกระทำ ความผดิ ของจำเลยที่ 2 ซ่ึงเปน็ ผูค้ รอบครองรถกระบะของกลาง รถกระบะของกลางเปน็ กรรมสทิ ธิข์ องบริษัท ต. แล้วหลังเกิดเหตุจำเลยท่ี 2 รับโอนกรรมสิทธ์ิจากนั้นได้โอนเป็นของผู้ร้อง แล้วผู้ร้องทำสัญญาให้จำเลยที่ 2 เช่า ซอ้ื รถน้นั ตอ่ มาศาลช้ันตน้ ส่ังรบิ ผู้ร้องจงึ ไม่ได้เป็นเจ้าของแทจ้ รงิ ขณะจำเลยท่ี 2 กระทำความผิดตามความหมาย ของ ป.อ. มาตรา 36 ผูร้ ้องจึงไม่มีสิทธขิ อให้ศาลส่ังคืนรถกระบะของกลาง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2562 ตาม ป.อ. มาตรา 36 ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลสั่งริบทรัพย์สิน ตามมาตรา 33 หรือมาตรา 34 ไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของแทจ้ ริงว่า ผู้เป็นเจ้าของ แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน แม้บทบัญญัติมาตรานี้มิได้ระบุวา่ เจ้าของแท้จริง หมายถึงเจา้ ของแท้จริงขณะทม่ี กี ารกระทำความผดิ แตเ่ ม่ือพิจารณาขอ้ ความทวี่ ่า \"หากปรากฏใน ภายหลัง\" ซ่งึ หมายถงึ ภายหลงั เกิดการกระทำความผิด \"โดยคำเสนอของเจา้ ของแท้จรงิ ว่า\" \"ผู้เปน็ เจ้าของแท้จริง มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด\" ซึ่งแสดงว่าในขณะมีการกระทำความผิดทรัพย์ที่ ใช้ในการกระทำ ความผดิ นัน้ มีเจา้ ของทแ่ี ทจ้ รงิ ซ่ึงมิใช่ตัวผกู้ ระทำความผิด แตเ่ จา้ ของทแี่ ทจ้ ริงไมร่ ู้เหน็ วา่ มีผู้ใช้ทรพั ยส์ นิ ของตนใน การกระทำความผดิ และ \"มิไดร้ เู้ หน็ เป็นใจดว้ ย\" คอื ไมไ่ ด้ยนิ ยอมหรอื ละเวน้ ไมข่ ดั ขวางโดยสมัครใจปล่อยให้ผู้อ่ืน ใช้ทรัพย์สินของตนกระทำความผิด การรู้เห็นเป็นใจด้วยนี้จึงมีอยู่ในขณะมีการกระทำความผิดและเกี่ยวพันกับ การกระทำความผิดของผใู้ ชท้ รพั ย์สินน้นั บุคคลทเี่ ปน็ เจ้าของทรัพย์สนิ นน้ั ภายหลงั การกระทำความผิดผา่ นเลยไป แล้วย่อมไมอ่ ยใู่ นภาวะเชน่ นไ้ี ด้ เพราะในช่วงเวลานน้ั ตนไม่เขา้ มาเกย่ี วข้องกบั ทรัพย์สินนั้นเลย ฉะนนั้ จงึ ต้องแปล ความว่า \"เจ้าของแท้จริง\" คือ ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงต้องเป็นเจ้าของแท้จริงในขณะที่มีการกระทำความผิด เมื่อ ข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความว่า ขณะที่มีการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถกระบะของกลาง รถกระบะของกลางเปน็ กรรมสิทธิ์ของบริษัท ต. แลว้ หลงั เกดิ เหตจุ ำเลยที่ 2 รับโอนกรรมสิทธเ์ิ ปน็ ของตน จากนน้ั ได้โอนกรรมสิทธิ์รถกระบะของกลางเป็นของผู้ร้อง แล้วผู้ร้องทำสัญญาให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถนั้น ต่อมาศาล ชั้นต้นจึงสั่งให้ริบรถกระบะของกลางให้ตกเป็นของแผ่นดิน ผู้ร้องจึงไม่ได้เป็นเจ้าของแท้จริงในรถกระบะของ กลางขณะท่ีจำเลยท่ี 2 ใช้รถกระบะของกลางในการกระทำความผดิ ตามความหมายของเจ้าของแทจ้ รงิ หรอื ผ้เู ปน็ เจา้ ของแทจ้ ริง ตาม ป.อ. มาตรา 36 ผู้รอ้ งจึงไมม่ สี ิทธิทจี่ ะยนื่ คำเสนอร้องขอให้ศาลส่งั คืนรถกระบะของกลาง

ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 383 แม้โจทกฟ์ ้องขอใหเ้ พกิ ถอนนติ ิกรรมสัญญาจะซ้อื จะขายท่ดี นิ เป็นคำขอปลดเปล้ืองทกุ ข์อันไม่อาจคำนวณ เปน็ ราคาเงินได้ แต่โจทกร์ ะบคุ ำขอท้ายฟอ้ งขอ้ 2 ว่า หากจำเลยเพิกเฉยร่วมกนั ชดใชค้ า่ เสยี หายจำนวนหนึ่ง และ ค่าเสียหายเป็นรายเดือนอีก ดังนั้นในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวนแรก จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตาม จำนวนคา่ เสียหายนนั้ มใิ ช่ค่าเสียหายอนาคต คดโี จทก์จงึ เปน็ คดีมที นุ ทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2562 แม้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสบิ ร่วมกันเพกิ ถอนนิติกรรมสัญญาจะ ซื้อจะขายที่ดินรวม 3 ฉบับ ซึ่งเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่โจทก์ระบุคำขอ ท้ายฟ้องข้อ 2 ว่า หากจำเลยทั้งสิบเพิกเฉยให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000,000,000 บาท และคา่ เสยี หายเป็นรายเดอื น เดือนละ 2,000,000 บาท นับถดั จากวันครบกำหนดตามคำบังคับ ดงั น้ันใน ส่วนทีโ่ จทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 2,000,000,000 บาท เป็นการกำหนดจำนวนคา่ เสียหายแลว้ จึงเปน็ คดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนค่าเสียหาย 2,000,000,000 บาท มิใช่ค่าเสียหายอนาคตที่กำหนดให้ชำระเป็น ระยะเวลาในอนาคต คดโี จทก์จงึ เป็นคดมี ีทนุ ทรัพย์ ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 384 การยื่นคำร้องขอค่าขาดไร้อุปการะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทแต่ละคนที่ที่มีต่อผู้กระทำละเมิดต่อ ผู้ตาย เมื่อ ศ. ซึ่งบรรลุนิติภาวะโดยมีอายุ 20 ปี บริบูรณ์ และพ้นจากภาวะผู้เยาว์มิได้ยื่นคำร้องขอค่าขาดไร้ อุปการะจากจำเลยท่ีกระทำละเมิดต่อผู้ตายซึ่งเป็นบิดาบิดาและมิได้มอบอำนาจให้มารดายื่นคำร้องแทน มารดา ซึ่งเปน็ โจทกร์ ่วมจึงไมม่ อี ำนาจเรยี กคา่ เสียหายดงั กลา่ วแทน ศ. คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 10/2562 การย่นื คำร้องขอคา่ ขาดไร้อุปการะเป็นสทิ ธเิ ฉพาะตวั ของทายาทแต่ ละคนที่จะพึงเรียกจากผู้กระทำละเมิดต่อผู้ตาย เมื่อ ศ. ซึ่งบรรลุนติ ิภาวะโดยมีอายุ 20 ปี บริบูรณ์ และพ้นจาก ภาวะผู้เยาว์แล้วมิได้ยื่นคำร้องขอค่าขาดไร้อุปการะที่จำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตายที่ 3 ซึ่งเป็นบิดาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 และมิได้มอบอำนาจให้โจทกร์ ว่ มที่ 3 ซึ่งเป็นมารดายื่นคำร้องขอค่าขาดไร้อุปการะแทนตน โจทก์ รว่ มที่ 3 จงึ ไม่มอี ำนาจเรียกคา่ เสียหายดังกลา่ วแทน ศ. ฎกี าเลา่ เร่ือง 385 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอสวมสิทธิหลังจากที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ. ปี 2558 ใช้บังคับ ซึ่งการฎีกาคำ พพิ ากษาหรอื คำส่ังศาลอทุ ธรณ์ ตอ้ งไดร้ บั อนุญาตจากศาลฎีกา และการอนญุ าตให้ฎีกาเป็นอำนาจเฉพาะของศาล ฎีกาเทา่ น้ันที่จะรบั หรือไม่รับคำร้องและรับฎีกา การที่ศาลชั้นต้นสั่งรบั ฎีกาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาชอบทีจ่ ะยก

คำสั่งศาลชั้นต้นและมีคำสั่งใหม่ให้ถูกต้อง ศาลชั้นต้นมีอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้ผู้ร้องถึงวันที่ 24 ตลุ าคม 2560 ผูร้ อ้ งยนื่ ฎีกาภายในกำหนด แตย่ ่ืนคำร้องขออนุญาตฎีกาในวันท่ี 1 พฤศจกิ ายน 2560 ถือวา่ ย่ืน คำร้องขออนุญาตฎกี าเมอ่ื ล่วงพน้ กำหนดเวลาเปน็ การไม่ชอบ คำสั่งคำร้องที่ ครพ. 5779/2562 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอสวมสิทธิภายหลังจากที่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2558 ใช้บงั คบั ซ่งึ การฎีกาคำพิพากษาหรือคำส่ังของ ศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา และการขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้อง ฎีกาต่อศาลช้ันต้นที่มคี ำพิพากษาหรือคำส่ังในคดีนัน้ แล้วใหศ้ าลชั้นต้นรีบสง่ คำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาดังกลา่ วไป ยังศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 จึงเป็นอำนาจเฉพาะของศาลฎีกาเท่านั้นที่จะพิจารณาสั่งรับหรือไม่รับคำ ร้องและรับฎีกา การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาชอบที่จะยกคำสั่งศาลชั้นต้นและมีคำสั่ง ใหม่ให้ถูกตอ้ งต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้ผู้ร้องถึงวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ผู้ร้องยื่นฎีกา ภายในกำหนด แตผ่ ู้ร้องยน่ื คำรอ้ งขออนุญาตฎกี าในวันท่ี 1 พฤศจกิ ายน 2560 ถือวา่ ผ้รู อ้ งยนื่ คำรอ้ งขออนุญาต ฎีกาเมือ่ ลว่ งพน้ กำหนดระยะเวลาตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 247 วรรคสอง เปน็ การไม่ชอบ ฎกี าเล่าเรื่อง 386 คดพี ิพาทเกี่ยวกบั สัญญาจ้างกอ่ สร้างอาคาร แม้ค่สู ัญญาฝา่ ยหน่งึ จะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่มิได้มี ลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณา พิพากษาของศาลยุตธิ รรม คำวนิ จิ ฉยั ท่ี 94/2563 คดีพิพาทเกยี่ วกบั สญั ญาจา้ งก่อสรา้ งอาคารหอพกั นักศึกษาและหอพกั บคุ ลากร พรอ้ มรายการประกอบ ฯ แม้คู่สญั ญาฝา่ ยหนึง่ จะเปน็ หนว่ ยงานทางปกครอง แต่สัญญาดังกลา่ วมไิ ด้มลี กั ษณะเปน็ สัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จาก ทรพั ยากรธรรมชาติ ตามบทนยิ ามสญั ญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แหง่ พระราชบญั ญตั ิจัดต้งั ศาลปกครองและ วิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทตามคำฟ้อง ในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตัง้ ศาลปกครองและวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ท่ี จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง แต่เปน็ คดีทอ่ี ยู่ในอำนาจพจิ ารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 387 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนายทหารสัญญาบัตรประจำการ อยู่ในอำนาจศาลทหาร กระทำความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา จึงเป็นคดีทีอ่ ยู่ในอำนาจพจิ ารณาพิพากษาของศาลทหาร ที่จำเลยโต้แยง้ เขตอำนาจศาล ทหารว่า เป็นคดีที่เกี่ยวพันกบั คดีท่ีพนักงานอัยการฟ้อง นาย ก. ต่อศาลจังหวัดฝาง จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร นั้น เห็นว่า คดีของศาลจังหวัดฝาง เป็นเรื่องที่จำเลยร้องทุกข์กล่าวโทษนาย ก. ต่อพนักงานสอบสวน ต่อมา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ก. ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวโดยการขู่เข็ญ ศาลจังหวัดฝางพิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีของ ศาลมณฑลทหารบกที่ ๓๓ น้ี เป็นเรื่องทีน่ าย ก. ได้รอ้ งทุกขก์ ล่าวโทษจำเลยว่าจำเลยแจง้ ข้อความอันเป็นเท็จต่อ เจ้าพนักงานว่านาย ก. ชกต่อยทำร้ายร่างกายจำเลยจนได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ ซึ่ งอัยการศาลมณฑล ทหารบกท่ี ๓๓ ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้จำเลยกับนาย ก. ต่างสลบั กันเปน็ จำเลยในคดที ั้งสอง แต่การกระทำตาม คำฟอ้ งในคดีทง้ั สองเป็นการกระทำตา่ งกรรม ต่างวาระกนั ฐานความผิด วนั เวลาและสถานทเี่ กิดเหตุ แตกต่างกนั ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่ใช่คดที ่ีเกี่ยวพันกับคดอี าญาท่ีนาย ก. ถูกจำเลยแจ้งความและพนักงานอัยการยื่นฟ้องนาย ก. ต่อศาลจังหวดั ฝาง เป็นแตเ่ พียงคดีท่ีเกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ทำให้เกดิ คดี ที่ศาลจังหวัดฝางเทา่ นนั้ จงึ เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร คำวนิ ิจฉยั ท่ี 91/2563 โจทก์บรรยายฟอ้ งว่า จำเลยเปน็ นายทหารสญั ญาบัตรประจำการ อันเป็นบคุ คล ที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๖ (๑) กระทำความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๓, ๑๗๔ ซึ่งเป็นการบรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจ ศาลทหารในขณะกระทำผิดได้กระทำความผิดอาญา คดีนี้จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล ทหาร ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ส่วนที่จำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลทหารว่า คดีนี้เป็นคดีที่ เกย่ี วพนั กับคดีท่ีพนกั งานอยั การฟอ้ ง นาย ก. ตอ่ ศาลจังหวดั ฝาง จึงไมอ่ ยใู่ นอำนาจศาลทหารตามมาตรา ๑๔ (๒) นั้น เห็นว่า คดีของศาลจังหวัดฝาง เป็นเรื่องที่จำเลยร้องทุกข์กล่าวโทษนาย ก. ต่อพนักงานสอบสวน ต่อมา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ก. ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวโดยการขู่เข็ญ ศาลจังหวัดฝางพิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีของ ศาลมณฑลทหารบกท่ี ๓๓ นี้ เปน็ เรื่องท่นี าย ก. ได้รอ้ งทุกขก์ ลา่ วโทษจำเลยวา่ จำเลยแจง้ ข้อความอันเป็นเท็จต่อ เจ้าพนักงานว่านาย ก. ชกต่อยทำร้ายร่างกายจำเลยจนได้รับบาดเจ็บแก่กายและจิตใจ ซึ่งอัยการศาลมณฑล ทหารบกที่ ๓๓ ฟ้องจำเลยเป็นคดีน้ี แม้จำเลยกับนาย ก. ต่างสลับกนั เปน็ จำเลยในคดที ้ังสอง แต่การกระทำตาม คำฟอ้ งในคดที ง้ั สองเปน็ การกระทำต่างกรรม ตา่ งวาระกนั ฐานความผิด วนั เวลาและสถานทเี่ กดิ เหตุ แตกตา่ งกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนีจ้ ึงไม่ใช่คดีทีเ่ ก่ียวพันกับคดอี าญาที่นาย ก. ถูกจำเลยแจ้งความและพนักงานอัยการยืน่ ฟ้องนาย ก. ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ และทำให้ผู้อื่นตกใจกลวั โดยการขู่เข็ญต่อศาลจังหวดั ฝาง เป็นแต่เพียงคดีที่เกิดข้ึนจากการกระทำของจำเลยที่ทำให้เกิดคดี ที่ศาลจังหวัด ฝางเท่านั้น เมื่อคดีนี้มิใช่คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลพลเรือน ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาล

ทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๔ (๒) ที่จะเปน็ ขอ้ ยกเว้นเขตอำนาจของศาลทหาร จึงเปน็ คดที อ่ี ยใู่ นเขตอำนาจศาล ทหารตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกนั ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 388 ตามภาพสเก็ตซ์คนร้ายเปน็ ภาพของคนวยั หนมุ่ ซึง่ สอดคลอ้ งกับทีผ่ เู้ สยี หายบอกพนั ตำรวจโท ธ. ว่าคนรา้ ย เป็นชายฉกรรจ์ แต่ภาพของจำเลยขณะถ่ายภาพขอมีบัตรประชาชนอายุ 51 ปี เป็นวัยกลางคนค่อนไปทางชรา ต่างวัยกันมาก ผู้เสียหายเบิกความตอบคำถามค้านด้วยว่า ในการชี้ภาพใช้เวลาหลายชั่วโมง ซึ่งผิดปกติหากจำ คนร้ายได้ชัดเจนและยืนยันได้แน่นอนจริง พยานหลักฐานโจทก์ขัดแย้งและเป็นพิรุธในหลายจุด ยังไม่มีน้ำหนัก ม่นั คงพอและใหย้ กประโยชนแ์ หง่ ความสงสัยให้แกจ่ ำเลย คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 1354/2563 ตามภาพสเก็ตซค์ นรา้ ยเปน็ ภาพของคนวยั หนมุ่ ซึ่งสอดคล้องกบั ท่ี ผ้เู สียหายบอกพันตำรวจโท ธ. วา่ คนร้ายเปน็ ชายฉกรรจ์ แต่ภาพของจำเลยขณะถ่ายภาพขอมบี ตั รประชาชนอายุ 51 ปี เป็นวัยกลางคนค่อนไปทางชรามีลักษณะต่างวัยกันมาก นอกจากนี้ผู้เสียหายก็เบิกความตอบคำถามค้าน ด้วยว่า ในการชี้ภาพนั้นใช้เวลาหลายชั่วโมง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติหากผู้เสียหายสามารถจดจำคนร้ายได้ชัดเจน และสามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนจริง พยานหลักฐานโจทก์มีลักษณะขัดแย้งกันและเป็นพิรุธในหลายจุด เม่ือ ประมวลวิเคราะหเ์ ข้าดว้ ยกนั แล้ว ยงั ไมม่ ีนำ้ หนกั มัน่ คงพอและเปน็ ท่ีสงสยั ตามสมควรวา่ จำเลยเปน็ คนร้ายหรือไม่ ใหย้ กประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 227 วรรคสอง ฎีกาเลา่ เร่ือง 389 แม้โจทก์ตั้งรปู เรื่องวา่ กรมที่ดินกับพวกออกหนังสือสำคัญสำหรบั ที่หลวงทับท่ีดินของโจทกแ์ ละมีคำขอให้ เพิกถอนหนังสือสำคญั ดังกล่าว ซึ่งเป็นการขอใหเ้ พิกถอนคำสั่งทางปกครองกับให้ออกโฉนดที่ดินแทน น.ส. ๓ ก. ให้โจทก์ก็ตาม แต่ก็เปน็ ไปเพื่อให้มีหลกั ฐานที่แสดงถึงกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยมิได้อ้างเหตุแห่งความไม่ชอบดว้ ย กฎหมายประการอ่ืน แสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการออก หนังสือสำคญั ดงั กลา่ ว โจทกม์ คี วามมุ่งหมายใหศ้ าลพิพากษาหรือมีคำส่งั รบั รองคุม้ ครองสิทธใิ นที่ดนิ การท่ศี าลจะ มีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอได้จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองหรือเป็นที่สา ธารณสมบัติของแผ่นดิน ส่วนคำขออื่น ๆ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน พิพาทนั้นว่าเป็นที่ดินนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล ยุตธิ รรม

คำวินจิ ฉยั คณะกรรมการวินิจฉยั ช้ีขาดอำนาจหน้าทีร่ ะหว่างศาลท่ี 67/2563 แม้โจทกจ์ ะฟ้องคดีโดย ตั้งรูปเรื่องตามคำฟ้องว่ากรมที่ดินกับพวกออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดินของโจทก์และมคี ำขอให้เพกิ ถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงส่วนทีท่ ับท่ีดนิ ของโจทก์ ซึ่งเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองกับให้ออก โฉนดที่ดินแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๘๖ ให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่ก็เป็นไปเพื่อให้มี หลักฐานทแี่ สดงถึงกรรมสิทธใ์ิ นทดี่ ินว่าโจทก์เป็นเจ้าของเนอื้ ทด่ี ินดงั กล่าว โดยโจทก์มไิ ดอ้ ้างเหตุแหง่ ความไมช่ อบ ด้วยกฎหมายของการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงประการอื่น แสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ศาล ตรวจสอบความชอบดว้ ยกฎหมายของการออกหนังสอื สำคญั สำหรบั ที่หลวงแปลงดงั กล่าว ความมุ่งหมายท่โี จทก์ ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งรับรองคุ้มครองสิทธใิ นที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรอื คำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาท โจทก์มีสิทธิครอบครองหรือ เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ ส่วนคำขออื่น ๆ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็ นข้อพิพาท เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทนั้นว่าเป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับ พลเมืองใชร้ ่วมกนั คดีน้ีจงึ เป็นคดีพพิ าทเกย่ี วกับสทิ ธใิ นที่ดนิ ท่ีอยูใ่ นอำนาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลยุตธิ รรม ฎกี าเลา่ เร่อื ง 390 คดีที่บริษัทเอกชนฟ้อง กรมทางหลวง จำเลย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งใหจ้ ำเลยคืนเงินค่าปรับและ ชำระค่าเสยี หายพรอ้ มดอกเบีย้ แก่โจทก์ เกย่ี วกบั สญั ญาจา้ งก่อสรา้ งบ้านพักเรือนแถวฯ ระหว่างโจทกผ์ ู้รับจ้างกับ จำเลยผวู้ า่ จา้ ง แต่จำเลยคดิ คา่ ปรับกรณีส่งมอบงานล่าช้าโดยไม่ชอบ เห็นวา่ สัญญาพิพาทมีวตั ถุประสงค์เพ่ือการ บรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่ยงั ไม่มีทีพ่ ักอาศยั เท่านั้น มิได้เป็นไปเพือ่ การจัดทำ บรกิ ารสาธารณะโดยตรงหรือเพอื่ เป็นเครือ่ งมือในการจัดทำบรกิ ารสาธารณะ อนั จะเป็นสญั ญาทางปกครอง และ แมจ้ ะเป็นสญั ญาสำเรจ็ รูปและปรับราคาไดก้ ับกำหนดสทิ ธิใหแ้ ก่จำเลยเลกิ จา้ งฝ่ายเดียวหรือส่งั ให้ทำงานพิเศษ ก็ มิได้มีลักษณะพิเศษ แตเ่ ปน็ สญั ญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุตธิ รรม คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดฯที่ 77/2563 คดีที่บริษัทเอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรมทาง หลวง จำเลย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสัง่ ใหจ้ ำเลยคืนเงินค่าปรับและชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบ้ยี แก่โจทก์ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านพักเรือนแถวชั้นประทวนและพลตำรวจตามแบบมาตรฐานตำรวจ และแบบโรงจอดรถและลานซักล้างของอาคารเรอื นแถวชน้ั ประทวน สถานตี ำรวจทางหลวงที่ ๕ กองกำกับการ ๖ กองบังคับการตำรวจทางหลวง (อำนาจเจริญ) จำนวน ๑ แห่ง ระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างกับจำเลยซึ่งเป็นผู้ ว่าจา้ ง แต่จำเลยคดิ คา่ ปรับโจทกท์ ่สี ง่ มอบงานล่าชา้ โดยไมช่ อบด้วยกฎหมาย เห็นวา่ สญั ญาพิพาทมีวัตถุประสงค์ เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่ยังไม่มีที่พักอาศัยเท่านั้น มิได้เป็นไปเพ่ือ การจัดทำบริการสาธารณะโดยตรงหรือเพื่อเป็นเครื่องมือในการจดั ทำบริการสาธารณะ อันจะถือเป็นสัญญาทาง ปกครอง ตามมาตรา ๓ แหง่ พระราชบัญญัติจดั ตง้ั ศาลปกครองและวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และแม้

จะเป็นสัญญาสำเร็จรูปและปรับราคาได้และมีข้อสัญญากำหนดสิทธิให้แก่จำเลยเลิกจ้างฝ่ายเดียวหรือสั่งให้ ทำงานพิเศษ ก็มิได้มีลักษณะพิเศษที่ไม่อาจพบในสัญญาระหว่างเอกชนกับเอกชน สัญญาจ้างก่อสร้างพิพาทจึง ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบญั ญัติจดั ตัง้ ศาลปกครองและวิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นสัญญาทางแพ่งทอี่ ยูใ่ นอำนาจพจิ ารณาพิพากษาของศาลยตุ ธิ รรม ฎีกาเลา่ เรื่อง 391 ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนฟ้องกรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้อง อ้างวา่ ผู้ฟ้องครอบครองทำประโยชน์ในทีด่ ิน ส.ค. ๑ แต่ผู้ถูกฟ้องกอ่ สรา้ งอา่ งเก็บน้ำทำให้นำ้ ท่วมท่ีนาของผูฟ้ ้องบางส่วนจนไม่สามารถทำนาหรือการเกษตรได้ ผู้ฟ้อง เสียสิทธิครอบครองและขาดโอกาสประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องชดใช้ค่าทดแทน ส่วนผู้ถูกฟ้องให้การว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์อันเป็นท่ี สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้รว่ มกัน ผู้ฟ้องไม่อาจอ้างการครอบครองขึ้นสู้ต่อรัฐได้ เมื่อกรมที่ดินไม่เพิกถอน สภาพทำเลเลี้ยงสัตว์ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ผู้ถูกฟ้องจึงไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้ได้ โครงการชลประทาน ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน ส.ค. ๑ ที่ผู้ฟ้องครอบครองตั้งอยู่นอกเขตบริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยก ฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟอ้ งจะเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เหตุแห่งการฟ้องคดี ผู้ฟ้องกลา่ วอ้าง ว่า ผู้ถกู ฟอ้ งกอ่ สรา้ งอา่ งเก็บน้ำรกุ ลำ้ ทด่ี นิ ของผู้ฟ้อง อันเปน็ การโต้แย้งเก่ยี วกับสทิ ธใิ นทดี่ ิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ ถูกฟ้องกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวนิ ิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในทีด่ ินพิพาท ซึ่งหากศาล วินิจฉยั ว่าทีด่ ินพิพาทเปน็ ของผู้ฟอ้ ง การที่ผู้ถูกฟอ้ งกระทำการตามฟ้องกเ็ ปน็ การกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้อง แต่หาก ทีด่ นิ พิพาทเปน็ ทำเลเล้ยี งสตั ว์จะเป็นผลให้ผถู้ ูกฟ้องมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้ ดงั นน้ั การท่ีผู้ฟ้องใช้สิทธิฟ้อง คดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของตนเป็นสำคัญ จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล ยตุ ิธรรม คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดฯ ที่ 82/2563 คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องกรม ชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการ ครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทำให้น้ำท่วมที่นาของผู้ฟ้องคดีบางส่วนจนไม่ สามารถทำนาหรอื ทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ได้ ผ้ฟู ้องคดีตอ้ งเสยี สิทธิการครอบครองในทดี่ ินและขาดโอกาสในการ ประกอบอาชีพ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผูถ้ กู ฟ้องคดีชดใช้ค่าทดแทนความเสียหาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้ การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งมีสภาพเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกห ลวงเป็นที่ สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใชร้ ว่ มกัน ผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างการครอบครองที่ดินดังกล่าวขึ้นสูต้ ่อรัฐได้ เมื่อกรม ทีด่ ินไมเ่ พิกถอนสภาพทำเลเลย้ี งสตั วต์ ามทข่ี ้นึ ทะเบยี นไว้ผถู้ กู ฟ้องคดีจึงไม่สามารถจ่ายเงนิ ค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้อง คดี โครงการชลประทานนครพนมได้ตรวจพื้นที่แล้วพบว่า ที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองตั้งอยู่นอกเขต บริเวณที่น้ำในอ่างเก็บน้ำท่วมถึง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้กรมชลประทาน ผู้ถูกฟ้องคดี จะเป็นหน่วยงานทาง

ปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบญั ญตั ิจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เหตุ แห่งการฟ้องคดีนผ้ี ูฟ้ ้องคดีกลา่ วอ้างวา่ ผถู้ ูกฟอ้ งคดกี ่อสรา้ งอ่างเก็บน้ำรกุ ลำ้ ท่ีดนิ (ส.ค. ๑) ของผ้ฟู ้องคดี โดยผถู้ กู ฟ้องคดีให้การว่า ที่ดินบริเวณที่สร้างอ่างเก็บน้ำเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์โคกหลวงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ ประชาชนใช้ร่วมกัน การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่เปน็ การกระทบสิทธิของผู้ฟ้องคดี อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิ ในที่ดิน การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหา เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าท่ีดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการตามฟ้องก็เป็นการกระทำละเมิดต่อผูฟ้ ้องคดี แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทำเลเล้ียงสตั ว์ ซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จะเป็นผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ ก็เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในทีด่ นิ ของตนเป็นสำคัญ ขอ้ พพิ าทในคดนี ี้จงึ เปน็ คดีพพิ าทเกีย่ วกับสทิ ธิในท่ดี นิ ทีอ่ ยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุตธิ รรม ฎกี าเลา่ เร่ือง 392 บริษัทเอกชนยื่นฟ้องกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนหรือ ผูแ้ ทนของจำเลยท่ี ๑ เก่ียวกับสญั ญาว่าจ้างโจทกใ์ ห้รบั เหมาจดั งานกจิ กรรมประเพณีบญุ บงั้ ไฟ ซ่ึงเดิมจำเลยท่ี ๒ ว่าจ้างโจทก์ให้จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟตามโครงการส่งเสริมสนับสนุนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและสืบ สาน ประเพณบี ญุ บง้ั ไฟอำเภอเมืองยโสธร จงั หวดั ยโสธร ตอ่ มาจำเลยที่ ๒ ตดิ ตอ่ ดว้ ยวาจาใหโ้ จทก์จัดงานประเพณีบญุ บงั้ ไฟในอำเภอต่างๆ ในจังหวดั ดังกลา่ วอีก ๘ อำเภอ โจทก์จดั งานทง้ั หมดตามโครงการฯ และสง่ มอบงานแลว้ แต่ ไดร้ ับเงนิ ค่าจ้างเฉพาะการจัดงานที่จดั ข้นึ ในอำเภอเมือง จังหวดั ยโสธร ขอให้บังคบั จำเลยทง้ั สองรว่ มกันชำระเงิน ค่าจัดงานใน ๘ อำเภอ พร้อมดอกเบี้ย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา มีปัญหาต้องพิจารณาว่าสัญญาจ้างเหมา จัดงานดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า กระทรวงการทอ่ งเที่ยวและกีฬา จำเลยที่ ๑ เป็นราชการ ส่วนกลาง มีฐานะเป็นกระทรวง จึงเปน็ หน่วยงานทางปกครอง สว่ นจำเลยท่ี ๒ เป็นขา้ ราชการในสงั กัดของจำเลย ที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรม การทอ่ งเท่ียว การกฬี า การศึกษาด้านกีฬา นนั ทนาการ และราชการอื่นตามทกี่ ฎหมายกำหนด ขอบเขตของงาน หรือกิจกรรมที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ติดต่อด้วยวาจานัน้ มีเน้ือหาและขอบเขตของงานลักษณะเดียวกับที่จดั ใน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร จะเห็นได้ว่า มีเนื้อหาเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและเผยแพร่ ประเพณีบญุ บ้ังไฟของจงั หวดั ยโสธรซึง่ เป็นเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ของภาคอีสาน ซึง่ อยู่ในอำนาจหนา้ ที่ของจำเลยท่ี ๑ จึงเป็นการมอบหมายให้โจทก์เข้าร่วมดำเนนิ กิจการบรกิ ารสาธารณะในหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นสญั ญาที่ ให้จดั ทำบริการสาธารณะ ซ่งึ เปน็ สัญญาทางปกครองประเภทหนึ่ง จึงเปน็ คดพี ิพาทเกยี่ วกบั สัญญาทางปกครองที่ อยใู่ นอำนาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉยั ที่ 95/2563 คดที ี่บริษัทเอกชนเปน็ โจทก์ย่ืนฟ้องกระทรวงการทอ่ งเทยี่ วและกฬี า จำเลยท่ี ๑ และจำเลยท่ี ๒ ในฐานะตัวแทนหรอื ผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้รับเหมาจัด งานกิจกรรมประเพณีบญุ บั้งไฟ ซึ่งเดิมจำเลยที่ ๒ ว่าจ้างโจทก์ใหจ้ ัดงานประเพณีบญุ บั้งไฟตามโครงการส่งเสรมิ สนับสนุนประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ประจำปี งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๐๒/ ๒๕๕๘ และต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ติดต่อดว้ ยวาจาใหโ้ จทกจ์ ัดงานประเพณีบญุ บ้งั ไฟในอำเภอตา่ งๆ ในจงั หวัดยโสธร จำนวน ๘ อำเภอ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้จัดงานทั้งหมดตามโครงการฯ และส่งมอบงานแล้ว แต่กลับได้รับเงินค่าจ้าง เฉพาะการจัดงานที่จัดขึ้น ณ สวนสาธารณะพญาแถน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร โดยไม่ได้รับเงินค่าจ้างในส่วน งานที่จัดขึ้นใน ๘ อำเภอ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่จัดขึ้นใน ๘ อำเภอ พร้อมดอกเบี้ย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา แต่โดยที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๔) บัญญตั ิใหศ้ าลปกครองมอี ำนาจพิจารณาพิพากษาคดี พิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง เท่านั้น กรณีจึงมีปัญหาต้องพิจารณาว่าสัญญาจ้างเหมาจัดงานดังกล่าวเป็น สัญญาทางปกครองหรือไม่ เห็นว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำเลยที่ ๑ เป็นราชการส่วนกลาง มีฐานะ เป็นกระทรวง ตามมาตรา ๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบ มาตรา ๕ (๕) แห่งพระราชบัญญตั ิปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นหนว่ ยงานทาง ปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ส่วน จำเลยที่ ๒ เป็นข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ เดยี วกนั และโดยทมี่ าตรา ๑๔ แห่งพระราชบญั ญตั ปิ รับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้จำเลย ท่ี ๑ มอี ำนาจหน้าท่เี กย่ี วกับการสง่ เสรมิ สนบั สนุนและพัฒนาอตุ สาหกรรมการทอ่ งเท่ียว การกฬี า การศึกษาด้าน กีฬา นันทนาการ และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อพิจารณาขอบเขตของงานหรือกิจกรรมที่โจทก์อ้าง ว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะตวั แทนหรือผู้แทนของจำเลยท่ี ๑ ได้ติดต่อด้วยวาจาให้โจทก์จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟอกี ๑ โครงการ ระหว่างวันที่ ๑-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยมีสถานที่จัดงานตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดยโสธร จำนวน ๘ อำเภอ ซึ่งมีเนื้อหาและขอบเขตของงานลักษณะเดียวกับสัญญาจ้างเลขที่ ๐๒/๒๕๕๘ ที่ตกลงกันให้ โจทก์รับจ้างเหมาตามโครงการส่งเสริมสนับสนุนประชาสัมพันธ์การท่องเ ที่ยวและสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟ อำเภอเมืองยโสธรจังหวัดยโสธร ประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขต เทศบาลเมืองยโสธร นั้น จะเห็นได้ว่า มีเนื้อหาเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและเผยแพร่ประเพณีบุญบง้ั ไฟของจังหวัดยโสธรซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภาคอีสาน อันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดยโสธรซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๔ แห่ง พระราชบัญญัตปิ รับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ การที่โจทกอ์ า้ งว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนจำเลย ที่ ๑ ว่าจ้างให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าว จึงเป็นการมอบหมายให้โจทก์เข้าร่วมดำเนินกิจการบริการสาธารณะใน หน้าที่ของจำเลยที่ ๑ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง

ประเภทหนึง่ ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบญั ญตั ิจัดต้งั ศาลปกครองและวิธพี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อ พิพาทเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองทีอ่ ยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของ ศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่ (๔) แห่งพระราชบญั ญัติเดยี วกนั ฎกี าเลา่ เร่ือง 393 แมล้ ูกหน้ตี ามคำพิพากษาเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนไดเ้ สียในการบังคบั คดแี กท่ รพั ย์สินรวมอยดู่ ้วย แต่ในการขาย ทอดตลาดทรัพย์สินนั้น กฎหมายให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งวันขายทอดตลาดแก่บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการ บงั คับคดีแก่ทรัพย์สินท่ีจะขายทอดตลาดซึ่งทราบไดต้ ามทะเบียนหรอื โดยประการอนื่ เท่านน้ั บุคคลผมู้ สี ว่ นได้เสีย ยอ่ มหมายความเฉพาะลูกหนี้ตามคำพิพากษาซง่ึ มีชื่อตามทะเบยี นในทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ะขายทอดตลาด สว่ นลูกหนีต้ าม คำพพิ ากษาคนอ่นื ซึ่งมใิ ชเ่ จา้ ของทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ะขายไม่ใชผ่ ูม้ สี ่วนไดเ้ สยี ในทรพั ย์สินดงั กลา่ วที่เจา้ พนักงานบงั คับคดี จะต้องแจ้งการขายทอดตลาดให้ทราบ คำว่าผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 (เดิม) และมาตรา 306 (เดิม) จงึ มนี ัยตา่ งกัน คดนี ้เี จ้าพนกั งานบังคบั คดดี ำเนนิ การขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จงึ มใิ ชผ่ ้มู ีส่วนได้เสยี ในการบังคับคดแี กท่ รัพย์สนิ ทจ่ี ะขายทอดตลาด จึงไม่จำต้องแจ้ง การขายทอดให้ทราบ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพยส์ ินตามวันเวลาและสถานที่ทีก่ ำหนดไว้ใน ประกาศท่ีได้แจง้ แกจ่ ำเลยท่ี 1 จงึ ชอบแลว้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3643/2563 แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 (เดิม) จะบัญญตั ใิ หล้ ูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้หนึ่งที่เป็นผูม้ ีส่วนได้เสียในการบังคบั คดีแก่ทรัพย์สินรวมอย่ดู ้วย แตใ่ นการขายทอดตลาดทรพั ย์สนิ น้ัน ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306 (เดมิ ) บัญญตั ิให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งวันขายทอดตลาดแก่บรรดาผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขาย ทอดตลาดซึง่ ทราบได้ตามทะเบียนหรือโดยประการอื่นเท่าน้ัน บุคคลผู้มีส่วนได้เสียตามความหมายของมาตราน้ี ย่อมหมายความเฉพาะลูกหน้ตี ามคำพิพากษาซ่งึ มีชอ่ื ตามทะเบยี นในทรัพย์สนิ ที่จะขายทอดตลาด ส่วนลกู หนต้ี าม คำพิพากษาคนอ่ืนซึ่งมิใชเ่ จ้าของทรัพย์สินทีจ่ ะขายไม่ใชผ่ ู้มีส่วนได้เสียในการบังคบั คดีแก่ทรัพย์สินทีเ่ จ้าพนกั งาน บังคับคดีจะต้องแจ้งการขายทอดตลาดให้ทราบ คำว่าผู้มีส่วนได้เสยี ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา 280 (เดิม) และมาตรา 306 (เดิม) จึงมีนัยต่างกัน คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนนิ การขายทอดตลาด ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 มิใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ ทรัพยส์ ินท่จี ะขายทอดตลาด เจ้าพนกั งานบังคับคดจี ึงไม่จำต้องแจง้ การขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 2 ทราบ การที่ เจ้าพนักงานบงั คบั คดขี ายทอดตลาดทรัพยส์ ินตามวันเวลาและสถานทท่ี ่ีก าหนดไวใ้ นประกาศที่ไดแ้ จง้ แก่จำเลยที่ 1 จงึ เปน็ การขายทอดตลาดโดยชอบแล้ว

ฎีกาเลา่ เรื่อง 394 โจทก์เปน็ ผู้รับประกันภยั รถยนต์ เมื่อโจทก์ชำระค่าซ่อมรถยนตท์ ี่โจทก์รับประกันภยั เพื่อชดใชค้ ่าสินไหม ทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่ในมูลหนี้ต่อจำเลยทั้งสอง ซ่ึง เป็นบุคคลภายนอกผู้ต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรค หนึ่ง ประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง สิทธิของโจทก์ย่อมเป็นเช่นเดียวกับผู้เอาประกันภัย โดยเมื่อผู้เอา ประกันภัยมสี ทิ ธฟิ ้องในมลู ละเมดิ ภายในกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วนั ทร่ี ู้ถงึ การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ ค่าสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิ จากผู้เอาประกันภัยกต็ ้องฟ้องคดีภํายในกำหนด 1 ปี นับแต่วนั ท่ีผู้เอาประกันภยั รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึง ตอ้ งใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนเชน่ กนั โจทก์นำคดีมาฟอ้ งวันท่ี 28 สิงหาคม 2561 เกินกำหนดไป 1 วนั ฟ้องโจทก์จึง ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ฟ้องให้จ ําเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในมูลความแห่งคดีอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยก จากกันมิได้ แม้จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นค ําให้การแต่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นคู่ความร่วมกันได้ให้การต่อสู้ในเรื่องอายุ ความไว้ การดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยจำเลยที่ 2 ถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 1 ด้วยตามประมวล กฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา 59 (1) และแมจ้ ำเลยท่ี 1 มิได้ฎีกาแต่เม่ือฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาล ฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 252 ท่ีแก้ไขใหม่ คำพิพากษาศาลฎกี าที่4215/2563 โจทก์เป็นผู้รบั ประกันภัยรถยนต์ เมื่อโจทกช์ ำระค่าซอ่ มรถยนตท์ ่ี โจทก์รับประกันภัยเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอา ประกันภัยที่มีอยู่ในมูลหนี้ต่อจำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง สิทธิของโจทก์ย่อมเป็น เช่นเดยี วกบั ผูเ้ อาประกันภยั โดยเมือ่ ผูเ้ อาประกันภัยมีสทิ ธิฟอ้ งในมูลละเมิดภายในกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่ วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนง่ึ โจทก์ในฐานะผรู้ ับช่วงสทิ ธจิ ากผเู้ อาประกนั ภยั กต็ อ้ งฟ้องคดภี ายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันท่ผี ู้เอา ประกันภัยรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใชค้ ่าสินไหมทดแทนเช่นกนั โจทก์นำคดีมาฟอ้ งวันที่ 28 สิงหาคม 2561 เกินกำหนดไป 1 วัน ฟ้องโจทกจ์ ึงขาดอายุความ เมื่อโจทก์ฟอ้ งให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในมลู ความ แห่งคดอี นั เปน็ การชำระหนซี้ ง่ึ แบง่ แยกจากกนั มไิ ด้ แมจ้ ำเลยท่ี 1 ขาดนัดย่นื คำใหก้ ารแตจ่ ำเลยท่ี 2 ผเู้ ปน็ คคู่ วาม ร่วมกันได้ให้การต่อสู้ในเรื่องอายุความไว้ การดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยจำเลยที่ 2 ถือว่าได้ทำโดย จำเลยที่ 1 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) และแม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาแต่เมอ่ื ฟ้องโจทกข์ าดอายุความ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาใหม้ ีผลถึงจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 252 ท่ีแก้ไขใหม่

ฎีกาเลา่ เร่ือง 395 สำเนารายงานประจำวัน ระบุขอ้ ความแต่เพยี งวา่ จำเลยเอาเงิน 600,000 บาท จากโจทกไ์ ปจริง โดยมี ขอ้ แลกเปลย่ี นและพดู คุยกนั วา่ จะให้เข้าไปทำงานในบริษัทของโจทกต์ อบแทนเงินจำนวนดังกล่าว และยังไม่ได้ใช้ คืนแสดงว่าจำเลยรับว่าได้รับเงิน 600,00 บาท จากโจทก์ แต่เมื่อสำเนารายงานประจำวันไม่มีข้อความใดที่ทำ ใหเ้ ข้าใจได้วา่ จำเลยยืมเงนิ โจทก์และตกลงจะใชค้ ืน สำเนารายงานประจำวนั จงึ ไม่ใชห่ ลักฐานแห่งการกู้ยืมทโี่ จทก์ จะฟ้องร้องให้บงั คบั คดีได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่3817/2563 ตามสำเนารายงานประจำวนั ระบุข้อความแต่เพียงว่า จำเลยกับ พวกรวม 3 คน ไปพบพนักงานสอบสวนกรณีที่รุมทำร้ายโจทก์ สาเหตุเนื่องจากโจทก์ไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเงนิ จำนวน 600,000 บาท ที่จำเลยเอาไปแต่ยังไม่ได้ใช้คืน จำเลยยอมรับว่าเมื่อประมาณเดือนมีนาคมและ พฤษภาคม 2560 ได้เอาเงินจำนวน 600,000 บาท (เดือนละ 300,000 บาท) จากโจทก์ไปจริง โดยมีข้อ แลกเปลี่ยนและพูดคุยกันว่าจะให้เข้าไปทำงานในบริษัทของโจทก์ตอบแทนเงินจำนวนดังกล่าว แต่ภายหลังมี ปัญหาข้อขัดแย้งกันจึงไม่ได้ร่วมงานกนั แล้วโจทกท์ วงถามขอเงินคืนมาตลอดและยังไม่ได้ข้อสรุปก็มาเกิดเหตุขึน้ เสียก่อน แสดงว่าจำเลยรับว่าได้รับเงินจำนวน 600,00 บาท จากโจทก์เพื่อตอบแทนการเข้าทำงานในบริษัท ของโจทกเ์ ทา่ นัน้ จำเลยไม่ได้รบั ว่ากู้ยืมเงนิ โจทก์ ดงั นน้ั เมื่อสำเนารายงานประจำวันไมม่ ขี ้อความใดท่ีทำให้เข้าใจ ได้ว่าจำเลยยืมเงินโจทก์และตกลงจะใช้คืน สำเนารายงานประจำวันจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวล กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ท่ีโจทกจ์ ะฟอ้ งรอ้ งใหบ้ งั คับคดไี ด้ ฎีกาเล่าเรือ่ ง 396 การวินิจฉัยชี้ขาดของศาลต้องพิจารณาฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานทั้งมวลที่ปรากฏในสำนวน ศาล ชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลเพียงว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ได้ ปรากฏขึ้นจากการกล่าวอ้างในคำให้การเท่านั้น หากศาลชั้นอุทธรณ์เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเปน็ ตอ้ งฟงั ข้อเทจ็ จรงิ ส่วนนเี้ พอื่ ใหว้ นิ จิ ฉัยชีข้ าดคดไี ด้ถกู ต้องก็มีอำนาจรบั ฟงั ขอ้ เท็จจรงิ นั้นได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่2267/2563 การวินิจฉัยชี้ขาดของศาลต้องพิจารณาฟังข้อเท็จจริงจาก พยานหลักฐานทั้งมวลที่ปรากฏในสำนวน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 1 และท่ี 2 กม็ ผี ลเพียงว่าขอ้ เทจ็ จรงิ ดังกลา่ วไมไ่ ดป้ รากฏขน้ึ จากการกลา่ วอา้ งในคำให้การของจำเลยท่ี 1 และที่ 2 เท่านั้น หากศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงส่วนนี้เพื่อให้ วินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ถูกต้องแท้จริงก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ตามประมวล กฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) พระครู อ. มีทายาทเหลืออยเู่ พยี งคนเดียวคอื โจทก์ โจทกจ์ ึงเปน็ ผู้ หนึ่งท่ีมีอำนาจหน้าทีจ่ ัดการศพของพระครู อ. ได้ แต่เมื่อตามสถานะของผู้ตายซึ่งได้บวชเป็นพระภกิ ษุตั้งแต่อายุ

25 ปี และจำพรรษาอยู่ที่วัดจำเลยที่ 1 ตลอดมาจนถึงแก่มรณภาพเมื่ออายุ 75 ปี หลังจากพระครู อ. ถึงแก่ มรณภาพแล้วญาติพี่น้องของพระครู อ. รวมทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันจัดงานสวดพระอภิธรรมศพเป็น เวลา 15 วนั โดยวดั จำเลยที่ 1 เป็นผอู้ อกค่าใช้จา่ ยแลว้ บรรจเุ กบ็ สงั ขารของพระครู อ. ไวบ้ ำเพ็ญกศุ ลทกุ วันพระ เป็นเวลา 100 วันพระ มีประชาชนศรัทธามาสักการะสังขารของพระครู อ. เป็นจำนวนมาก แสดงว่าพระครู อ. เป็นพระทีประชาชนเล่ือมใสศรัทธาจึงได้มีการเก็บสรีระสังขารไว้ในวดั จำเลยที่ 1 เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบ ไหว้สักการะบชู า ย่ิงไปกว่าน้นั การท่พี ระครู อ. ไดม้ ศี รทั ธาอทุ ิศตนเพื่ออย่ใู นพุทธศาสนา การท่ีโจทกเ์ ปน็ ผจู้ ดั การ ศพของพระครู อ. น่าจะไม่สอดคล้องกับความศรัทธาของประชาชนผู้เลื่อมใสเคารพนับถือแก่พระครู อ. จึงเป็น การสมควรทีว่ ัดจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับสรีระสังขารของพระครู อ. ต่อไป โดยไม่จำต้องพิจารณา วา่ โจทกห์ รอื วดั จำเลยที่ 1 เปน็ ผไู้ ด้รับมรดกของผตู้ ายมากที่สุด ฎีกาเล่าเรือ่ ง 397 คดีอาญาที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ถอนฟ้องไปโดยอ้างเหตุว่าจะไปฟ้องจำเลยใหม่ ศาล ชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้อง แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องใหม่โดยเพิ่มเติมข้อหาแต่ก็เป็นการกระทำเดียวกันจึงอยู่ใน หลกั เกณฑท์ ่ีจะนำมาฟอ้ งใหมไ่ ม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3085/2563 โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งหกมาครั้งหนึ่งฐานร่วมกันฉ้อโกง ศาล ชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องไปแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยทัง้ หกในการกระทำอันเดียวกันอีก แม้คำฟ้องใน คดนี ้จี ะตา่ งจากคำฟ้องในคดีเดิมโดยโจทก์เพมิ่ เติมการกระทำของจำเลยทงั้ หกว่าร่วมกันหลอกลวงประชาชนและ นำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ขอให้ลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและ พระราชบญั ญัตวิ ่าด้วยการกระทำความผดิ เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) แต่กต็ อ้ งถือว่าเป็น การกระทำอันเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องในคดีเดิม มิใช่ถือเอาคำบรรยายฟ้องหรือฐานความผิดที่โจทก์ตั้งเอาแก่ จำเลยเป็นเกณฑ์มิฉะนั้นแล้วจำเลยกระทำความผิดเพียงครั้งเดียว โจทก์มีสิทธิดำเนินคดีแก่จำเลยได้หลายคร้ัง โดยไมร่ จู้ กั จบสน้ิ จึงต้องหา้ มตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 แม้ตามคำรอ้ งขอถอนฟอ้ ง ของโจทก์ในคดีก่อนจะอ้างเหตุขอถอนฟอ้ งเพือ่ ฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีใหม่ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน แต่เม่ือ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ก็ต้องถือว่าเป็นการถอนฟ้องคดีอาญาให้เสร็จไปทั้งเรื่อง จึงอยู่ใน หลักเกณฑท์ ่จี ะนำมาฟ้องใหมไ่ ม่ได้ ฎกี าเล่าเรอื่ ง 398 ผู้เสียหายโอนเงินให้จำเลย มิใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงแต่เป็นไปด้วยความสมัครใจเพราะ ผลตอบแทนที่มากกว่าปกติ ทั้งก่อนเกิดเหตุจำเลยจ่ายผลประโยชน์จริง จำเลยเป็นผู้เข้าร่วมลงทุนกับนางสาว ก.

โดยนำเงินที่มีผู้มาลงทุนไปส่งมอบให้นางสาว ก. และรับผลประโยชน์มาแจกจ่าย จำเลยก็ได้รับความเสียหา ย พฤตกิ ารณ์ดังกลา่ วของจำเลยเปน็ เพียงการชักชวนให้ผู้เสยี หายมาร่วมลงทนุ ด้วยเน่อื งจากได้รบั ผลประโยชน์ตอบ แทนจริง จำเลยหาไดม้ ีเจตนาหลอกลวงท้ังไม่มีพฤติการณ์ส่อพิรธุ ให้เห็นชดั เจนว่าจำเลยฉ้อโกง พยานหลกั ฐานท่ี โจทกน์ ำสืบมาจงึ มีความสงสยั อยู่ตามสมควรวา่ จำเลยมีเจตนากระทำความผิดฐานฉอ้ โกงหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่2478/2563 การที่ผู้เสียหายทั้งสามโอนเงินให้แก่จำเลย มิใช่เป็นผลโดยตรง จากการที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสามด้วยการยืนยันข้อเท็จจริงใดอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซ่ึง ควรบอกให้แจ้งแกผ่ ู้เสียหายทั้งสาม แต่เป็นการโอนเงินให้แก่จำเลยด้วยความสมัครใจของตนเองเพราะประสงค์ จะไดผ้ ลตอบแทนทม่ี จี ำนวนมากกวา่ ปกติ ทั้งก่อนเกิดเหตกุ ป็ รากฏวา่ จำเลยจา่ ยผลประโยชน์ให้แกผ่ เู้ สียหายที่ 1 จริง จำเลยเป็นผู้เข้าร่วมลงทุนกับนางสาว ก. โดยนำเงินที่มีผู้มาลงทุนไปส่งมอบให้นางสาว ก. และรับ ผลประโยชน์มาแจกจ่ายให้แก่ผู้มาร่วมลงทุน จำเลยเองก็ได้รับความเสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยเป็น เพียงการชกั ชวนใหผ้ ู้เสยี หายมารว่ มลงทนุ ดว้ ยเนอื่ งจากไดร้ บั ผลประโยชนต์ อบแทนจริง จำเลยหาได้มีเจตนาที่จะ หลอกลวงผ้เู สยี หายท้งั สามแตอ่ ยา่ งใด ทั้งไมม่ พี ฤตกิ ารณ์สอ่ พริ ธุ ทีแ่ สดงให้เหน็ ชดั เจนวา่ จำเลยฉ้อโกงผ้เู สยี หายทัง้ สาม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยจึงมีความสงสัยอยู่ตามสมควรว่าจำเลยมี เจตนาในการกระทำความผิดฐานฉอ้ โกงหรอื ไม่ ฎกี าเลา่ เรื่อง 399 โจทก์ร่วมกับนาย ด. ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่าจะดำเนินคดีเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนและดำเนินคดี อาญาแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับมรดกของนาง ย. โดยเรียกคา่ ดำเนินการครึ่งหน่ึงของทรัพย์มรดกที่ได้ ไม่ใช่สัญญาแบง่ ทรัพย์มรดกแต่เป็นสัญญาจ่ายค่าเรียกเอาทรัพย์สินคืน อันเป็นสัญญาว่าจ้างทนายความ เมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้เป็น ทายาทหรอื ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สียในทรัพยม์ รดก เปน็ การทำขน้ึ โดยหวังจะไดส้ ่วนแบง่ จากการเป็นความหรือเข้าไปมีส่วน ได้เสียในมูลคดี จึงขัดต่อความสงบเรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์ร่วมจึงไม่มสี ่วน ได้เสียไมม่ สี ิทธิขอเขา้ เป็นโจทกร์ ว่ มได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7222/2562 การที่โจทก์ร่วมกับนาย ด. ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่าจะ ดำเนินคดีเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนและดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับมรดกของนาง ย. โดยเรียกค่า ดำเนินการครึ่งหน่ึงของทรพั ยม์ รดกของนาง ย. ท่เี รยี กคืนได้ บันทกึ ขอ้ ตกลงดังกลา่ วไม่ใช่สัญญาแบง่ ทรพั ย์มรดก แต่เป็นสัญญาตกลงจ่ายค่าดำเนินการเรียกเอาทรัพย์สินคืน จึงเป็นสัญญาว่าจ้างทนายความเมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้ เป็นทายาทหรอื ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพยม์ รดกของนาง ย. เป็นการทำขึ้นโดยหวังจะได้ส่วนแบ่งจากผลประโยชน์ที่ ได้จากการเป็นความกันหรือเข้าไปมีส่วนได้เสียในมูลคดีโดยวิธีการแบ่งเอาส่วนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเปน็ ความกัน จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ร่วมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจ้างดังกล่าวจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็น

โมฆะตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์ร่วมจึงไม่มสี ่วนได้เสียในผลแห่งคดี ไม่มสี ิทธิขอ เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้คดีที่จำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องนาง ย. ต่อศาลชั้นต้น ซึ่งมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและให้ เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในวันดังกล่าวเสีย การที่จำเลยที่ 1 นำคำ พิพากษาตามยอมไปโอนกรรมสทิ ธทิ์ ด่ี ินพรอ้ มส่งิ ปลูกสรา้ งจงึ เป็นการกระทำโดยไม่มสี ิทธิ ที่ดินพรอ้ มส่ิงปลกู สรา้ ง ดังกล่าวไม่ได้เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่จ าเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะรับโอนมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิใน ทดี่ ินพรอ้ มสิ่งปลกู สร้างดังกล่าวตามหลกั ท่วี า่ ผ้รู ับโอนไม่มสี ิทธิดกี ว่าผู้โอน ฎกี าเล่าเรือ่ ง 400 นาย ส. ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นตวั แทนโจทก์ มิได้ฟ้องส่วนตัวในฐานะเจ้าของร่วมและกรรมการโจทก์ จึง ต้องพิจารณาอำนาจฟ้องของโจทก์ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด และข้อบังคับของโจทก์ซึง่ กำหนดใหผ้ ู้จัดการนติ ิบคุ คล เป็นตัวแทนมีอำนาจดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา กับผู้ที่ทำละเมิดต่ออาคารชุดหรือทรัพย์ สว่ นกลางของอาคารชดุ ดงั นน้ั การฟ้องรอ้ งดำเนนิ คดแี ก่ผู้ทีท่ ำละเมดิ ต่อโจทกจ์ ึงเปน็ หน้าท่ขี องผู้จัดการโจทก์หา ใช่เจา้ ของรว่ มหรอื กรรมการโจทกไ์ ม่ หากนาย ส. เห็นวา่ จำเลยท้ังสีร่ ่วมกนั ทำละเมดิ ต่อโจทก์ นาย ส. ตอ้ งแจ้งให้ โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ การที่นาย ส. เคยมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการโจทก์ฟ้องร้องถือได้ว่าเปน็ การแจง้ เร่ืองใหโ้ จทก์ดำเนินการแล้วแต่จำเลยที่ 1 เพกิ เฉย อนั เปน็ การกระทำท่ีเป็นปฏิปกั ษต์ ่อผลประโยชน์ของ โจทก์ ถือได้ว่าประโยชน์ได้เสียของนิติบุคคลขัดกับผู้แทนของนิติบุคคล แต่ในกรณีนี้ไม่มีบทกฎหมายยกมาปรบั ใช้ได้ ทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นจึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งโดยนาย ส. ต้องร้อง ขอให้ศาลแต่งตั้งตัวเองหรือบุคคลใดเป็นผู้แทนเฉพาะการเพื่อฟ้องร้อง เมื่อนายส. มิได้ดำเนินการกลับฟ้องคดี แทนโทก์เสียเอง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และเนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้คำ พพิ ากษามผี ลถงึ จำเลยซงึ่ มไิ ดฎ้ กี าด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2563 นาย ส. ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ มิได้ฟ้องเป็นการ ส่วนตัวในฐานะที่นาย ส.เป็นเจ้าของร่วมและกรรมการโจทก์ จึงต้องพิจารณาอำนาจฟ้องของโจทก์ตาม พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 และข้อบังคับของโจทก์ซึ่งตามข้อบังคับของโจทก์กำหนดให้ผู้จัดการนิติ บคุ คลเป็นตัวแทนของโจทกป์ ฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถปุ ระสงค์ของโจทก์ และตามวัตถปุ ระสงค์ของโจทก์ ให้มี อำนาจทำนิติกรรมกับบุคคลอื่น และดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ ใช้สิทธิเรียกร้องหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งทางแพ่งและอาญา ประนีประนอมยอมความทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ที่ทำการละเมิดต่ออาคารชุดหรือ ทรัพยส์ ว่ นกลางของอาคารชุด รวมทง้ั ดำเนนิ การบังคบั คดตี ามกฎหมาย ขอ้ บังคบั ของโจทกด์ ังกลา่ วสอดคล้องกับ พระราชบญั ญัตอิ าคารชดุ พ.ศ. 2522 มาตรา 35 และมาตรา 36 (3) ท่บี ัญญตั ิใหน้ ิติบคุ คลอาคารชุดมีผู้จดั การ

คนหนึ่งและให้ผู้จัดการเป็นผู้แทนนิติบุคคลอาคารชดุ ดังนั้น การฟ้องร้องดำเนนิ คดีแกผ่ ู้ทีก่ ระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงเป็นหน้าที่ของผู้จดั การโจทก์หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าของร่วมหรือกรรมการโจทก์ไม่ นาย ส. เป็นเพียงเจ้าของ ร่วมและกรรมการโจทก์ มไิ ดเ้ ปน็ ผจู้ ัดการโจทก์ รวมทัง้ ไม่ไดร้ ับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องร้องดำเนินคดีน้ี ท้ังไม่ มีบทบัญญัตขิ องกฎหมายหรอื ข้อบังคบั ของโจทก์ให้เจา้ ของร่วมหรือกรรมการโจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีแทนโจทก์ ได้ หากนาย ส. เห็นว่าจำเลยทั้งสีร่ ่วมกันทำละเมิดตอ่ โจทก์โดยจำเลยท่ี 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันจา่ ยค่าชดเชยการเลกิ จ้างให้แก่จำเลยที่ 4 โดยมิชอบ นาย ส. ต้องแจ้งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการ การที่นาย ส. เคยมีหนั งสือแจ้งให้ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการโจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถือได้ว่าเป็นการแจ้งเรื่องให้โจทก์ ดำเนินการแล้วแต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย อันเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของโจทก์ ถือได้ว่า ประโยชนไ์ ดเ้ สียของนติ บิ ุคคลขัดกับประโยชน์ได้เสยี ของผู้แทนของนติ บิ คุ คลในเรือ่ งดงั กลา่ ว ในกรณเี ช่นนีไ้ มม่ บี ท กฎหมายที่จะยกมาปรับใช้ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นในกรณีเช่นนี้ จึงต้องอาศัยเทียบบท กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 โดยนาย ส. ในฐานะเจ้าของร่วม และกรรมการต้องรอ้ งขอใหศ้ าลแต่งต้ังตวั เองหรือบคุ คลใดบคุ คลหนึง่ เปน็ ผแู้ ทนเฉพาะการเพ่ือฟ้องร้องตลอดจน การดำเนินการอื่นท่ีเกีย่ วข้องตามข้อบังคับของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 แต่นาย ส. มิได้ดำเนินการร้องขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองเป็นผู้แทนโจทก์เฉพาะการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 ประกอบมาตรา 75 แตน่ าย ส. ในฐานะเจา้ ของรว่ มและกรรมการโจทกฟ์ อ้ งคดแี ทนโจทกเ์ สียเอง จงึ ไม่ มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้คำพิพากษามีผลถึงจำเลยที่ 4 ซึ่งมิได้ฎีกาและไมไ่ ดร้ ับอนญุ าตให้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 ประกอบ มาตรา 252 ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 401 โจทก์ร่วมรู้เรื่องความผิดและรู้ตวั ผู้กระทำความผดิ ตง้ั แตว่ ันที่จำเลยไม่ยอมคืนเงินทโี่ จทกร์ ว่ มฝากเขา้ บญั ชี เพื่อให้ผู้อื่นกู้ยืม แม้ต่อมาจำเลยจะถอนเงินออกจากบัญชีและโจทก์ร่วมเพิ่งทราบ แต่เกิดขึ้นหลังจากจำเลย ปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินแล้ว เมื่อโจทก์ร่วมร้องทุกข์เกินกำหนด 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำ ความผดิ คดีจงึ ขาดอายคุ วาม สทิ ธนิ ำคดีอาญามาฟ้องยอ่ มระงับไป พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สิน หรือราคาแทนโจทก์รว่ ม คำขอสว่ นแพง่ ของโจทกร์ ่วมจงึ ตกไปดว้ ย คำพิพากษาฎีกาที่ 3275/2562 โจทก์ร่วมรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันที่จำเลย ไม่ยอมคืนเงินที่โจทก์ร่วมนำเข้าฝากในบัญชีธนาคารของจำเลยเพื่อนำเงินไปให้ผู้มีชื่อกู้ยืมแทนผู้เสียหาย แม้ ต่อมาจำเลยจะถอนเงินออกจากบัญชีและโจทก์ร่วมเพิ่งทราบถึงการถอนเงินซึ่งเป็นเหตุการณ์ภายหลั งจากท่ี จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ร่วมแล้ว หาทำให้สิทธใิ นการร้องทุกข์ของโจทก์รว่ มขยายออกไปไม่ โจทก์ ร่วมเพิ่งไปร้องทุกข์ตามรายงานประจำวนั เกยี่ วกบั คดีเมอ่ื พ้นกำหนด 3 เดอื น นับแต่วันท่โี จทกร์ ว่ มรเู้ ร่ืองความผดิ

และรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 43 ทำให้คำขอสว่ นแพง่ ของโจทกร์ ่วมตกไปด้วย ฎีกาเล่าเรื่อง 402 ศาลชั้นต้นรับคําฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ต่อมาผู้ต้องหาที่ 5 ยื่นคําร้องขอคัดถ่ายเอกสารคําร้องขอออก หมายจับ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้คัดถ่ายคําร้องขอออกหมายจับ คําสั่งศาลและหมายจับเท่านั้น ไม่อนุญาตให้คัด ถ่ายเอกสารอ่ืนนั้น เป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งจนกว่าจะมีคําพิพากษาและมีอุทธรณ์คํา พิพากษานัน้ คําพิพากษาฎีกาที่ 2863/2562 ศาลชัน้ ต้นมคี าํ ส่ังรับคําฟอ้ งไว้พิจารณาแล้ว ต่อมาผู้ต้องหาที่ 5 ย่ืน คาํ ร้องขอ คดั ถ่ายเอกสารคาํ ร้องขอออกหมายจบั ศาลชน้ั ต้นอนญุ าตใหค้ ัดถา่ ยคาํ ร้องขอออกหมายจับ คําส่ังศาล และหมายจับเท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้คัดถ่ายเอกสารประกอบส่วนอื่นนั้น คําสั่งศาล ชั้นต้นดังกล่าวเป็นคําส่ัง ระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำไให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้น จนกว่าจะมีคําพิพากษาและมีอุทธรณ์ คาํ พพิ ากษานนั้ ด้วยตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 196 ฎกี าเลา่ เรื่อง 403 หากจำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยเจตนาเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสยี หาย หลังจากที่จำชกผู้เสียหายล้ม ฟุบก็สามารถกระชากสร้อยหลบหนีลงไปได้ทันที แต่กลับได้ความว่า หลังจากผู้เสียหายฟุบลงแล้ว จำเลยทำร้าย ผ้เู สยี หายอกี หลายครงั้ จึงอาจเป็นไปได้วา่ ขณะทำรา้ ยผูเ้ สียหาย จำเลยยังไม่มีเจตนาที่จะเอาสร้อยของผู้เสียหาย ไป แต่เปน็ เพราะความโกรธสว่ นตวั จึงกระชากเอาสรอ้ ยขอ้ มอื ทองคำของผเู้ สยี หายไปเปน็ เจตนาที่เกดิ ข้นึ หลงั จาก ที่ทำร้ายผเู้ สยี หายแล้ว การกระทำของจำเลยจึงมิได้เปน็ การลักทรัพยโ์ ดยใชก้ ำลังประทุษรา้ ย อนั จะเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นการทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตอนหนึ่ง และกระชากเอาสร้อย ผู้เสียหายไปโดยฉกฉวยเอาซึง่ หนา้ อีกตอนหนึ่ง แต่โจทก์มไิ ดบ้ รรยายฟ้องว่าจำเลยฉกฉวยเอาสรอ้ ยข้อมือทองคำ ของผู้เสียหายไปซึ่งหน้า อันเป็นองค์ประกอบฐานวิ่งราวทรัพย์ และคำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราว ทรัพย์มาด้วย จึงลงโทษฐานวิ่งราวไม่ได้ แต่ความผิดฐานชิงทรัพย์ที่โจทก์บรรยายฟ้องมารวมการกระทำหลาย อยา่ งแตล่ ะอยา่ งอาจเป็นความผิดไดอ้ ยใู่ นตัวเอง ศาลยอ่ มลงโทษจำเลยฐานทำร้ายรา่ งกายผอู้ ื่นจนเปน็ เหตุให้เกิด อันตรายแก่กายและฐานลักทรพั ย์ในเวลากลางคนื ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2563 หากจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยมีเจตนาที่จะเอาสร้อย ข้อมือทองคำของผู้เสียหาย หลังจากที่จำเลยใช้มือชกที่ต้นคอผู้เสียหายจนผู้เสียหายล้มฟุ บลงกับพื้น จำเลยก็ สามารถที่จะกระชากสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสยี หายแล้วหลบหนลี งไปชั้นลา่ งได้ทันที ก่อนที่บุคคลทีอ่ ยู่ชัน้ ลา่ ง จะได้ยินเสียงดังจนผิดสังเกตแล้วขึ้นมาเคาะประตูห้องให้เปิดประตูแต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า หลังจาก ผู้เสียหายฟุบลงกับพื้น จำเลยใช้มือและเท้าทุบตีซ้อม ทำร้ายผู้เสียหายหลายครั้งนับไม่ถ้วน จึงอาจเป็นไปได้ว่า ขณะที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยยังไม่มีเจตนาที่จะเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไป แต่เป็น เพราะจำเลยรู้สึกโกรธที่ใช้บริการทางเพศกับผู้เสียหายยังไม่เสร็จ ผู้เสียหายก็ผละออกไปตาม ที่จำเลยนำสืบก็ เป็นได้ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ผู้เสียหายอาจจะปิดบังความจริงบางอย่างไว้ จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลย ทำร้าย ร่างกายผู้เสียหายโดยมีเจตนาเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไป แต่การที่จำเลยกระชากเอาสร้อยข้อมือ ทองคำของผู้เสียหายไปเป็นเจตนาที่เกิดข้ึนหลังจากที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสยี หายแล้ว การกระทำของจำเลย จึงมิได้เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย อันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นการทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกดิ อันตรายแก่กายตอนหน่ึง และกระชากเอาสร้อยข้อมอื ทองคำของผู้เสียหายไปโดยฉก ฉวยเอาซึ่งหน้าอีกตอนหนึง่ แต่โจทก์มิได้บรรยายฟอ้ งว่าจำเลยฉกฉวยเอาสรอ้ ยข้อมือทองคำของผูเ้ สียหายไปซ่งึ หน้า อันเป็นองค์ประกอบฐานวิ่งราวทรัพย์ และคำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์มาด้วย จึง ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ความผิดฐานชงิ ทรัพย์ที่โจทก์บรรยายฟ้องมารวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อม ลงโทษจำเลยฐานทำรา้ ยรา่ งกายผ้อู ื่นจนเป็นเหตใุ ห้เกิดอนั ตรายแก่กายและฐานลกั ทรพั ย์ในเวลากลางคนื ได้ ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 404 การพิจารณาว่าคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาจากคำฟ้องโจทก์เท่านั้น แม้ส่วน เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แต่ไม่อาจนำเอกสารท้ายฟ้องและคำเบิกความของโจทก์มาพิจารณา ประกอบกับคำฟ้องด้วยความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบนัน้ ผู้กระทำต้องมี เจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดด้วย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว การกระทำของจำเลย ย่อมไม่เป็นความผดิ และเมือ่ โจทก์มิไดบ้ รรยายฟ้องถึงขอ้ เท็จจริงดังกล่าวไว้ คำฟ้องโจทก์จึงไม่ครบองค์ประกอบ ความผิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8973/2561 การพิจารณาว่าคำฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิด หรือไม่ ต้องพิจารณาจากคำฟ้องโจทก์เท่านั้น ส่วนเอกสารท้ายฟ้องแม้เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็เป็นเพียงส่วน แสดงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเท่านั้น ไม่อาจนำเอกสารท้ายฟ้องและคำเบิกความของโจทก์มาพิจารณา ประกอบกบั คำฟอ้ งด้วย

การกระทำอันจะเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อ. มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนกั งานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 นั้น ต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยเจ้าพนักงานผู้กระทำมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกดิ ความเสยี หายแกผ่ ้หู น่ึงผใู้ ดดว้ ย เมื่อไม่ปรากฏวา่ การใชด้ ุลพินิจของจำเลยท้ังยส่ี ิบสี่เป็นการใช้ดลุ พนิ ิจโดยมีเจตนา พิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสี่ย่อมไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติแห่ ง กฎหมายดงั กล่าว โจทก์มิได้บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยทั้งยี่สิบสี่กระทำการตามคำฟ้องโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ อย่างไร คำฟ้องโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผดิ ของพนักงานในองค์การหรอื หน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ฎีกาเล่าเรือ่ ง 405 การที่จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางที่อื่นแล้วนำไปตรวจค้นยึด ได้เพิ่มในห้องพักอีกจำนวนหนึ่งเป็นการไปตรวจค้นที่พักเพื่อพบของกลางตามปกติ ไม่ถือเป็นการให้ข้อมูลที่ สำคญั และเปน็ ประโยชน์อย่างยิง่ ในการปราบปรามการกระทำความผิดเกย่ี วกับยาเสพตดิ ให้โทษ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 8929/2561 การที่จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจบั กุมได้พร้อมเมทแอมเฟตา มีนของกลางจำนวนหนึ่งที่บริเวณลานจอดรถ และนำไปตรวจค้นยึดได้ที่ในห้องพักอีกจำนวนหนึ่งเป็นการที่เจ้า พนกั งานตำรวจไปตรวจคน้ ท่ีพกั พบของกลางตามปกติในทางปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกับการกระทำความผิดลกั ษณะน้ีอยแู่ ล้ว ไม่ถอื ว่าเปน็ การใหข้ อ้ มูลทสี่ ำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยง่ิ ในการปราบปรามการกระทำความผิดเกย่ี วกับยาเสพ ติดให้โทษในอันที่จะให้ลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตาม พ.ร.บ.ยาเสพ ตดิ ให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ได้ ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 406 จำเลยท่ี 2 คูส่ มรสทำหนังสือยนิ ยอมในการทำนิติกรรมของ ส. สามี การท่ี ส. ทำสัญญาคำ้ ประกันจำเลย ท่ี 1 ไมใ่ ชน่ ติ กิ รรมทต่ี อ้ งไดร้ ับความยนิ ยอมจากคู่สมรส เมอื่ จำเลยที่ 2 ให้ความยินยอมเป็นการท่วั ไป จึงเปน็ การ แสดงเจตนารับร้แู ละไมค่ ัดคา้ น แต่มิใชก่ ารให้สตั ยาบนั ของค่สู มรส (ประชมุ ใหญ่ครั้งท่ี 25/2561) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8820/2561 การที่จำเลยท่ี 2 คู่สมรสทำหนงั สอื ใหค้ วามยินยอมในการทำนิติ กรรมของ ส. สามี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ส. ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไม่ใช่นิติกรรมที่ จำต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส เมื่อจำเลยที่ 2 ให้ความยินยอมไว้เป็นการทั่วไป จึงเป็นการแสดงเจตนา

รับรู้และไม่คัดค้านที่ ส. สามีไปทำนิติกรรม จึงมิใช่เป็นการให้สัตยาบันของคู่สมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) ฎีกาเล่าเรอื่ ง 407 การรอ้ งทกุ ขใ์ นความผิดฐานฉอ้ โกง ถอื เป็นการใช้สทิ ธิเรยี กรอ้ งทางศาลใหจ้ ำเลยชำระหนแ้ี ล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8905/2561 การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ในความผิดฐาน ฉ้อโกง ย่อมนำไปสู่การฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ ไม่ว่าโจทก์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ หรือไม่ ก็มีผลเป็นการเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่โจทก์สูญเสียไปจากการกระทำความผิดคืนโดยพนักงาน อัยการดำเนินการแทนแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 โจทก์ไม่ต้องทวงถามหรือฟ้องคดีแพ่งเพื่อบังคับจำเลยชำระ หนี้อีก การร้องทุกข์ของโจทกจ์ ึงเป็นกรณที ี่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลใหจ้ ำเลยชำระหนีแ้ ล้ว (ประชุมใหญ่ ครัง้ ที่ 24/2561) ฎกี าเล่าเรื่อง 408 แม้ผู้เสียหายที่ 2 อ้างว่าไปที่ห้องพักของจำเลยเพราะจำเลยติดต่อผ่านเฟซบุ๊กข่มขู่ให้ไปหา แต่การ ตัดสินใจจะไปหรอื ไม่เป็นของผู้เสียหายที่ 2 เอง จำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดฐานพรากเดก็ อายุยังไม่เกินสบิ หา้ ปไี ปเสยี จากบิดาเพ่ือการอนาจาร คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8827/2561 แม้ที่ผู้เสียหายที่ 2 อ้างว่า ที่ไปที่ห้องพักของจำเลยเป็นเพราะ จำเลยติดต่อผ่านเฟซบุ๊กข่มขู่ให้ผู้เสียหายที่ 2 ไปหา จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม การตัดสินใจจะไปหรือไม่ก็ เป็นของผู้เสียหายที่ 2 เอง จำเลยไม่ไดก้ ระทำการอันใดอันเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปเสียจากการดูแลของ ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นบิดา จำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดาเพือ่ การอนาจาร ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 409 เมื่อศาลฎกี าไม่รบั วนิ ิจฉัยฎกี าขอ้ อ่นื ของจำเลยคงเหลอื ปัญหาตามฎกี าซึ่งเป็นเรอื่ งคา่ ฤชาธรรมเนียมเพียง ขอ้ เดยี ววา่ ศาลชัน้ ต้นกำหนดคา่ ธรรมใหใ้ ช้แทนสูงเกินไป โดยไม่ไดย้ กเหตุว่าศาลชน้ั ตน้ มไิ ด้กำหนดหรือคำนวณให้ ถูกตอ้ งตามกฎหมาย ถือเปน็ ฎีกาท่ีต้องหา้ ม ศาลฎกี าไม่รบั วินจิ ฉยั

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8899/2561 เมอื่ ศาลฎกี าไม่รบั วนิ จิ ฉัยฎกี าข้ออนื่ ของจำเลยท่ี 2 ถงึ ท่ี 5 ท่ี 7 และที่ 8 แล้ว คงเหลือปัญหาตามฎีกาซึ่งเป็นเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเพียงข้อเดียวว่าศาลชั้นต้นกำหนด ค่าธรรมเนยี มศาลให้ฝา่ ยจำเลยใชแ้ ทนแก่โจทกส์ ูงเกินไป โดยทไี่ มไ่ ดย้ กเหตวุ ่าศาลชนั้ ต้นมไิ ดก้ ำหนดหรือคำนวณ ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมาย ถือวา่ เป็นฎกี าทีต่ อ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 168 ศาลฎกี าไมร่ บั วนิ ิจฉยั ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 410 การที่จำเลยยิงผู้เสียหายโดยสำคัญผิดว่าเป็นพวกของ บ. ไม่อาจยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้ อแก้ตัวได้ ต้องถือว่าจำเลยเจตนากระทำต่อพวกของ บ. เช่นใด ก็ต้องรับผิดในผลของการกระทำเช่นนั้น จึงเป็นความผิด ฐานร่วมกนั พยายามฆา่ ผู้เสียหาย คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 8731/2561 คืนเกดิ เหตจุ ำเลยที่ 2 กับจำเลยท่ี 1 ขบั รถจกั รยานยนตไ์ ปยังท่ี เกิดเหตุพร้อมกับอาวุธปืน เมื่อจำเลยที่ 2 เห็นผู้เสียหายที่บริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุเข้าใจว่าเป็นพวกของ บ. จำเลยท่ี 2 จึงใช้อาวุธปืนลูกซองสัน้ ที่พกติดตวั มายิงไปที่ผู้เสียหายนัง่ อยู่เพราะสำคญั ผดิ คิดว่าผู้เสียหายเป็นพวก ของ บ. แต่จำเลยที่ 2 ก็จะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวหาได้ไม่ ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะ กระทำต่อพวกของ บ. เชน่ ใด ก็ต้องรบั ผดิ ในผลของการกระทำทีเ่ กิดขน้ึ แก่ผเู้ สยี หายเชน่ นัน้ ตาม ป.อ. มาตรา 61 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสยี หายโดยสำคญั ผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ฎกี าเลา่ เรื่อง 411 การท่ีผูเ้ สียหายแสดงเจตนาสละสทิ ธเิ รียกร้องในหนบี้ างสว่ นทีม่ ตี อ่ จำเลยทงั้ สอง เมื่อจำเลยทั้งสองชำระ เงินตามที่ผู้เสียหายติดใจแล้ว ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองคืนเงินเต็มจำนวนและศาลชั้นอุทธรณ์ไม่ได้แก้ไขให้ ถูกต้องจึงไม่ชอบและเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องเองได้รวมถึงจำเลยที่มิได้ ฎีกาด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8495/2561 ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายแสดงเจตนาสละ สิทธิเรียกร้องในหนี้บางส่วนที่มีต่อจำเลยทั้งสอง โดยยังติดใจในหนี้อีกเพียง 500,000 บาท เมื่อจำเลยทั้งสอง ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายอีก ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยท้ังสองคนื เงิน 2,352,243 บาท แก่ผู้เสียหาย และศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ไดแ้ ก้ไข ใหถ้ ูกตอ้ งจึงเป็นการไมช่ อบ ปญั หาดงั กล่าวเป็นขอ้ กฎหมายเกย่ี วกับความสงบเรยี บร้อย แม้คู่ความมไิ ดฎ้ ีกา และ

เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษาตลอดไปถึง จำเลยที่ 1 ผูม้ ิไดฎ้ กี าได้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 412 การต้องห้ามฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 เป็นการห้ามทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เว้นแต่ผู้ พพิ ากษาซงึ่ พิจารณาหรือลงชอื่ ในคำพิพากษาเหน็ ว่าเปน็ ปญั หาสำคญั อนั ควรสศู่ าลสงู สดุ และอนุญาตให้ฎีกา เมื่อ โจทก์ที่ขอให้อนุญาตเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงและได้รับอนุญาตแล้ว ย่อมเป็นการอนุญาตให้ฎีกาเฉพาะปัญหา ขอ้ เท็จจรงิ เมอ่ื โจทก์ฎีกาวา่ ศาลช้ันอุทธรณว์ ินจิ ฉัยนอกคำฟอ้ งและนอกสำนวนอนั เป็นฎกี าในปัญหาข้อกฎหมาย จึงต้องหา้ มตามบทกฎหมายดงั กลา่ ว ศาลฎีกาไม่รับวนิ จิ ฉัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8488/2561 คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ข้อห้ามมิให้ฎีกาเช่นว่านี้ ย่อมห้ามมิให้ฎีกาทั้งในปัญหา ข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย เว้นแต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นและศาล อุทธรณพ์ ิเคราะหเ์ ห็นวา่ ข้อความที่ตัดสินนัน้ เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสงู สุดและอนุญาตให้ฎีกา เมื่อปรากฏ ตามคำร้องของโจทก์ที่ร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ภาค 5 พิจารณาอนุญาตให้โจทก์ฎีการะบุชัดเจนเจาะจงว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ผู้พิพากษาดังกล่าวพิจารณา อนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเท่าน้ัน ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาซ่ึงพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาใน ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งว่า ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดจึง อนุญาตให้ฎีกา ย่อมมีผลเท่ากับเป็นการอนุญาตให้โจทก์ฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อเท็จจริงตามความประสงค์ของ โจทกห์ าได้มผี ลเปน็ การอนญุ าตให้โจทกฎ์ กี าในปญั หาขอ้ กฎหมายแตอ่ ยา่ งใดไม่ เมือ่ โจทกฎ์ กี าวา่ ศาลอทุ ธรณภ์ าค 5 วินิจฉัยนอกคำฟ้องและนอกสำนวนหรือไม่นั้น อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย จึงต้องห้ามตามบทกฎหมาย ดงั กล่าว ศาลฎกี าไมร่ ับวนิ จิ ฉัย ฎีกาเลา่ เรือ่ ง 413 โจทก์ฟ้องว่าเรื่องผิดสัญญา แต่ฎีกาเรื่องละเมิด จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแลว้ โดยชอบในศาลลา่ งทัง้ สอง โจทกจ์ ึงไม่มีสิทธฎิ กี า คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 8382/2561 โจทกฟ์ อ้ งวา่ โจทก์และจำเลยท่ี 1 โดยจำเลยที่ 2 รว่ มทำสัญญา จ้างกับกรมทางหลวง โดยให้บริการรับเป็นที่ปรึกษาโครงการฯ แต่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่สามารถส่งมอบ งานตามส่วนที่ได้รับมอบหมายให้โจทก์เพื่อส่งมอบให้กรมทางหลวงได้ภายในระยะเวลาตามสัญญา ทำให้โจทก์

เสียหายตอ้ งชำระคา่ ปรบั ไมส่ ามารถรับคา่ จา้ งทเ่ี หลอื รวมทั้งเงินประกนั ผลงาน ขอ้ หาตามฟ้องโจทก์จึงเป็นเรื่อง ผิดสัญญา ฎีกาของโจทก์ที่ขอใหจ้ ำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยท่ี 1 ต่อโจทก์เป็นส่วนตัวในฐานละเมิด โดยอ้าง ว่า จำเลยที่ 2 ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากัน มาแลว้ โดยชอบในศาลลา่ งทงั้ สอง โจทกจ์ ึงไม่มีสิทธิฎกี าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึง่ (เดิม) ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 414 สัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดพิพาทระบุไว้ทั่วไปว่าเมื่อการก่อ สร้างแล้วเสร็จมีเนื้อที่ห้องชุดเพิ่มขึ้นหรือ ลดลงให้คิดราคาห้องชุดตามส่วน ไม่เป็นการยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายไว้โดยชัดแจ้งว่าผู้ซื้อจะไม่ยกเรื่อง เนื้อที่น้อยหรือมากกว่าที่ระบุในสัญญาตั้งแต่ร้อยละห้าขึ้นไปเป็นข้ออ้างบอกปัดไม่ยอมรับโอน จึงต้องบังคับตาม บทบัญญัติดังกล่าว และโจทก์มสี ทิ ธิทจ่ี ะเลือกว่าจะบอกปัดไมร่ ับเสยี หรือจะรับเอาไว้และใชร้ าคาตามสว่ นได้ คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 7983/2561 สัญญาจะซื้อจะขายหอ้ งชดุ พพิ าททัง้ สบิ ระหว่างโจทก์กับจำเลย ขอ้ 3.2 ระบวุ า่ ในกรณที ่ีอาคารชุดยงั ดำเนินการกอ่ สร้างไม่แลว้ เสรจ็ ต่อมาเม่ือการกอ่ สร้างแลว้ เสร็จ ปรากฏว่า มีเนือ้ ที่ห้องชุดเพ่ิมขึน้ หรือลดลงจากจำนวนทีร่ ะบุในสัญญา คู่สัญญาตกลงคิดราคาห้องชดุ ตามส่วนที่เพิม่ ขึ้นหรอื ลดลงในราคาต่อหน่วยตามที่กำหนดในข้อ 3.1 และให้นำราคาห้องชุดส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปเพิ่มหรือลดลง จากราคาห้องชุดตามข้อ 3.1 และจำนวนเงินที่ต้องชำระตามข้อ 4.2 ตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นการระบุไว้เป็น การท่ัวไป ไม่ได้ยกเวน้ บทบญั ญตั ิ ป.พ.พ. มาตรา 466 ไว้โดยชัดแจ้งวา่ ผ้ซู ้อื จะไมย่ กเรอ่ื งเนื้อทน่ี ้อยหรือมากกว่า ที่ระบุในสัญญาตั้งแต่ร้อยละห้าขึ้นไปเป็นข้ออ้างบอกปัดไม่ยอมรับ ไม่ถือว่าข้อตกลงดังกล่าวยกเว้นไม่ให้นำ มาตรา 466 มาใชบ้ งั คับ กรณจี งึ ตอ้ งบังคับตามมาตรา 466 ดงั นน้ั เม่อื เนอ้ื ทหี่ ้องชดุ พิพาททงั้ สบิ มีเน้ือที่มากไป กว่าที่ระบุในสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเลือกว่าจะบอกปัดไม่รับเสียหรือจะรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนตามท่ี บัญญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหนึง่ ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 415 ความผิดเกิดจากการใช้เรือผิดเงื่อนไขหรือข้อกำหนดในใบอนุญาตฯ เรือของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้ใน การกระทำความผิด ท่ศี าลช้นั อุทธรณไ์ ม่ริบเรือประมงของกลางจึงชอบแลว้ คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 8480/2561 มลู เหตกุ ารกระทำความผิดในคดนี เ้ี กิดจากการนำเรือกลประมง ทะเลชั้น 1 ขนาด 43.14 ตันกรอส ออกจากท่า โดยไม่มีคนใช้เครื่องจกั รยนต์ช้ันหน่ึงตามที่แจ้งตอ่ เจ้าพนักงาน ก่อนนำเรือออกจากท่า ซึ่งเป็นการใช้เรือผิดเงื่อนไขหรือข้อกำหนดในใบอนุญาตใช้เรือและเป็นเรือประมงซึ่ง ปฏิบัติไม่ครบตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย และการที่จำเลยยินยอมให้ผูค้ วบคุมเรือกระทำการ

ดังกล่าว ไม่ปรากฏว่าเรือของจำเลยเป็นเรือที่ไม่ชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่ได้รับใบอนุญาตแต่อย่างใด เรือประมง ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ริบ เรือประมงของกลางจึงชอบแล้ว ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 416 บญั ชีรายช่อื ผู้ถอื หนุ้ ให้สันนิษฐานไวก้ ่อนว่าเปน็ พยานหลักฐานอนั ถูกตอ้ ง การขอใหเ้ พกิ ถอนมตทิ ่ีประชุมผู้ ถือหุ้นโดยอา้ งเพียงเหตไุ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั มตทิ ป่ี ระชมุ กระทำไม่ได้ สว่ นมตใิ นการประชมุ ผูถ้ ือหนุ้ ในคร้งั นจ้ี ะซำ้ กับครั้ง กอ่ นหรอื ไมก่ ไ็ มใ่ ชส่ าระสำคัญเพราะตอ้ งถอื เอามตคิ ร้งั หลังสดุ มาใชบ้ ังคบั คำฟอ้ งโจทก์ที่อ้างเหตุขา้ งตน้ จึงไมม่ ีมูล และไม่มีเหตุที่จะนำวิธีคมุ้ ครองตามคำรอ้ งของโจทกม์ าใช้ คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 8462/2561 การที่จำเลยเรยี กประชุมวสิ ามญั ผถู้ อื ห้นุ ตามบัญชีรายช่ือผู้ถือหนุ้ ที่มีอยู่ ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 1141 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอนั ถูกต้องในขอ้ กระทงความบรรดา ที่กฎหมายบังคับหรือใหอ้ ำนาจใหเ้ อาลงไวใ้ นทะเบยี นเพอื่ พจิ ารณาและลงมตใิ นเรอ่ื งกจิ การของบรษิ ทั จงึ ชอบแลว้ ในเบ้อื งต้น โจทก์จะขอใหเ้ พกิ ถอนมตทิ ีป่ ระชมุ ผถู้ ือหนุ้ โดยอ้างเพียงเหตไุ มเ่ ห็นดว้ ยกบั มตทิ ป่ี ระชมุ ไมไ่ ด้ เนอ่ื งจาก ไม่ใชเ่ ป็นมตทิ ี่ฝา่ ฝนื บทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายหรือฝา่ ฝนื ขอ้ บังคบั ของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1195 ส่วนมตใิ น การประชุมผู้ถือหุ้นในครั้งนี้จะซ้ำซ้อนกับมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในครั้งก่อนหรือไม่อย่างไร ก็ ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะต้องถือเอามติครั้งล่าสุดที่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทมาใช้บังคับ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คำ ฟอ้ งโจทก์ที่อา้ งเหตุขา้ งต้นจึงไม่มมี ลู และไมม่ เี หตุท่ีจะนำวธิ คี ้มุ ครองตามคำรอ้ งของโจทก์มาใช้ ฎีกาเลา่ เร่อื ง 417 ผูร้ ้องท่ี 1 อยู่ในอำนาจปกครองดแู ลของผ้รู อ้ งที่ 2 มารดา แมผ้ ูร้ ้องที่ 2 บอกให้เดนิ ทางกลบั บ้านเอง แต่ ผู้ร้องท่ี 1 ก็ยังอยู่ในความปกครองของผู้ร้องที่ 2 ตลอดเวลา จำเลยดงึ แขนผู้ร้องท่ี 1 แล้วพาไปล่วงเกินทางเพศ ผู้ร้องที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรือยนิ ยอม เป็นการพาผู้รอ้ งที่ 1 ออกไปหรือแยกไปจากผูป้ กครองดูแลของผู้ร้องที่ 1 มีความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกนิ สิบห้าปไี ปเสียจาก บิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล โดยปราศจากเหตอุ ัน สมควรเพอื่ การอนาจาร ผูร้ อ้ งที่ 2 มสี ทิ ธขิ อใหบ้ งั คบั จำเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนได้ คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 8422/2561 ข้อเท็จจริงรับฟังไดว้ า่ ผู้รอ้ งที่ 1 อยู่ในอำนาจปกครองดแู ลของผู้ รอ้ งที่ 2 ซง่ึ เป็นมารดา แม้ผูร้ อ้ งที่ 2 บอกให้ผู้รอ้ งท่ี 1 เดินทางกลบั บ้านพักดว้ ยตนเองตามลำพงั ผู้ร้องที่ 1 ก็ยัง อยูใ่ นความปกครองของผรู้ ้องที่ 2 ตลอดเวลา การทจ่ี ำเลยดึงแขนผ้รู ้องท่ี 1 แล้วพาเขา้ ไปป่าละเมาะเพ่อื ล่วงเกิน ทางเพศผู้ร้องที่ 1 ผู้ร้องที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรือยินยอมให้จำเลยพาผู้ร้องที่ 1 เข้าไปที่ป่าละเมาะแต่อย่างใด

การกระทำของจำเลยจึงเปน็ การพาผู้ร้องท่ี 1 ออกไปหรอื แยกไปจากผู้ปกครองดแู ลของผ้รู ้องที่ 1 โดยปราศจาก เหตุอันสมควร อันทำให้อำนาจปกครองดูแลของผู้ร้องที่ 2 ที่มีต่อผู้ร้องที่ 1 ถูกรบกวนหรือกระทบกระเทือน ผู้ ร้องที่ 2 ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีความผิดพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจาก บิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร ผู้ร้องที่ 2 จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่า สินไหมทดแทนตามคำร้องได้ ฎกี าเล่าเร่อื ง 418 ในชั้นร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา โจทก์ส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับเอกสาร ดังกล่าวแล้ว เมื่อได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล จึงไม่จำต้องนำส่งสำเนาฎีกาซ้ำอีก และถือไม่ได้ว่า โจทกจ์ งใจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีในการนำสง่ สำเนาฎกี าตามคำส่ังศาลช้นั ตน้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8387/2561 ในชั้นร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา โจทก์ได้สง่ สำเนา คำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับเอกสารดังกล่าวแล้ว เมื่อศาล อุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ได้รับยกเวน้ ค่าธรรมเนียมศาลในช้ันฎีกาทั้งหมด ศาลชั้นต้นกช็ อบท่จี ะสงั่ ให้รับฎีกาของโจทกไ์ ว้แล้วออกหมายนัดแจ้งให้จำเลยทราบกับกำหนดใหจ้ ำเลยแก้ฎกี าของโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รบั หมายนดั ไม่มีเหตุทีจ่ ะต้องส่ังให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยซำ้ อีก การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ โจทกน์ ำสง่ สำเนาฎกี าใหจ้ ำเลยแกใ้ นครง้ั หลงั นอี้ กี จงึ เป็นการผดิ หลง และเป็นเหตุให้โจทกส์ ำคัญผดิ ว่าการท่ีโจทก์ ได้ส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยไว้ดังกล่าวข้างต้น เป็นการที่โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ไม่จำต้อง ปฏบิ ัติซ้ำอีก จงึ ถอื ไม่ได้ว่าโจทกจ์ งใจเพกิ เฉยไม่ดำเนินคดใี นการนำสง่ สำเนาฎีกาให้จำเลยตามคำส่ังศาลชั้นต้น ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 419 คดีอน่ื ที่ขอให้นบั โทษต่อจากคดนี ้ี ศาลชัน้ อุทธรณ์พิพากษาวา่ ศาลมคี ำพิพากษาภายหลงั จึงนบั โทษตอ่ ให้ ไม่ได้ คดีนี้จึงปรากฏข้อเท็จจริงแล้วว่าคดีดังกล่าวพิพากษาจำคุกจำเลยแล้ว จึงต้องนับโทษคดีนี้ต่อจากคดี ดังกลา่ ว ที่ศาลช้ันอทุ ธรณไ์ ม่นบั โทษต่อให้ ศาลฎกี าไม่เหน็ พ้องดว้ ย คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 8343/2561 คดที ม่ี คี ำขอท้ายฟ้องให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดนี ้ี ซึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย และพิพากษาถึงส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากโทษในคดีดังกล่าววา่ คดีที่ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลมีคำพิพากษาภายหลัง จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้ ตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แนบท้ายฎีกาของโจทก์ จำเลยไม่ได้แก้ฎีกาว่าสำเนาคำพิพากษาดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงแสดงให้เห็นว่าการ พิพากษาคดอี าญาดงั กล่าวมีขึ้นก่อนคดนี ี้ ระหวา่ งการพิจารณาคดีนี้ของศาลอทุ ธรณ์จึงปรากฏข้อเท็จจรงิ ต่อศาล

อุทธรณ์แลว้ ว่าคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว จึงต้องนับโทษคดีนีต้ ่อจากโทษของจำเลยในคดี ดังกล่าว ที่ศาลอทุ ธรณ์ไม่นับโทษต่อให้นน้ั ศาลฎกี าไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี าเลา่ เร่ือง 420 แม้จำเลยลงทนุ ตกแตง่ ปรบั ปรุงอาคารพพิ าทเป็นเงินจำนวนมาก แต่ก็เพื่อการประกอบกจิ การร้านอันเปน็ ประโยชน์ของจำเลยเอง ประกอบกับสัญญาเช่ามีข้อตกลงด้วยว่า \"เมื่อหมดอายุสัญญานี้อยู่ในดุลพินิจของผู้ให้ เช่า\" แสดงว่า การต่อสัญญาขึ้นอยู่กับโจทก์ฝ่ายเดียว หากโจทก์ไม่ต่อสัญญาเช่าเป็นอันสิ้นสุดลงทันที จึงมิใช่ สญั ญาต่างตอบแทนพเิ ศษยงิ่ กว่าสญั ญาเชา่ ธรรมดา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8311/2561 การที่จำเลยลงทุนตกแต่งปรับปรุงอาคารพิพาท แม้เป็นเงิน จำนวนมากก็เป็นการดำเนินการเพื่อให้การประกอบกิจการร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ของจำเลย เป็นไปตาม เงื่อนไขที่เจ้าของกจิ การกำหนดอนั เป็นประโยชน์ของจำเลยเอง ประกอบกับสัญญาเช่ามีข้อตกลงด้วยว่า \"การให้ เช่าพื้นที่ต่อไปเมื่อหมดอายุสัญญานี้จะมีหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของผู้ให้เช่า\" แสดงว่า เมื่อครบกำหนด 3 ปี ตามสัญญาเชา่ จำเลยจะมโี อกาสเช่าอาคารพพิ าทต่อเปน็ ปีท่ี 4 และปีท่ี 5 หรอื ไม่ ขนึ้ อยกู่ บั ความพอใจของโจทก์ เพียงฝ่ายเดียว หากโจทก์ไม่ยินยอมต่อสัญญาเช่าให้จำเลย สัญญาเช่าเป็นอันสิ้นสุดลงทันทีอันมิใช่ลักษณะของ สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าสัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอ บแทน พเิ ศษยงิ่ กว่าสัญญาเช่าธรรมดา โจทกต์ ้องยอมให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทเป็นเวลา 5 ปี จึงรับฟังไมไ่ ด้ ฎกี าเลา่ เร่ือง 421 มารดาเปน็ ผู้ใช้อำนาจปกครอง มีอำนาจจดั การทรพั ย์สินของบุตรผู้เยาว์ การทำนิตกิ รรมของผู้เยาวท์ ่ผี ูใ้ ช้ อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาล ไม่ได้ตัดอำนาจทำนิติกรรมแทนของผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่เป็นการ ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรอื ขัดต่อความสงบเรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ทำให้นิตกิ รรมน้ัน เปน็ โมฆะหรอื โมฆยี ะกรรม คงมีผลเพียงไม่ผกู พันบตุ รผเู้ ยาว์ท่ีกฎหมายมุ่งคุ้มครอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8308/2561 ว. เป็นมารดาของผู้คัดค้านทั้งสามย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์ ซึ่งทรัพย์สินหมายความรวมถึงสิทธิเรียกร้องอันเป็นวัตถุไม่มีรูปร่างซึ่ง อาจมรี าคาและอาจถอื เอาได้ บทบญั ญัติมาตรา 1574 มเี จตนารมณค์ มุ้ ครองประโยชนข์ องบตุ รผูเ้ ยาวโ์ ดยใหศ้ าล กำกับดแู ล การฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อนก็ไม่ได้ตัดอำนาจทำนิติกรรมแทนของผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่เป็นการต้องหา้ มชดั แจ้งโดยกฎหมาย ไมข่ ดั ต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชน ไม่ทำให้นิติ

กรรมนั้นเป็นโมฆะหรือโมฆียะกรรม คงมีผลเพียงไม่ผูกพันบุตรผู้เยาว์ที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ผู้ร้องซึ่งเป็น บุคคลภายนอกไม่มีสิทธกิ ล่าวอา้ งเพอ่ื ตดั อำนาจของผู้ใช้อำนาจปกครอง ฎกี าเล่าเร่ือง 422 จำเลยยื่นฎีกาและมีเอกสารแนบท้ายเป็นสำเนาบันทึกการตกลงกันระหว่าง บ. บุตรของจำเลยกับ ผู้เสียหาย และสำเนารายงานประจำวันระบุว่า บ. นำค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดชำระให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหาย ยอมรับเงินและไม่เรียกร้องทั้งทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งมีความหมายว่าไม่ติดใจเอาความแก่จำเลย โจทก์มิได้ คัดคา้ น เม่อื เป็นความผดิ อันยอมความกนั ได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทกย์ ่อมระงบั ไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8188/2561 จำเลยยื่นฎีกาและมีเอกสารแนบท้ายฎีกาเป็นสำเนาบันทึกการ เจรจาตกลงกันระหว่าง บ. บุตรของจำเลยกับผู้เสียหาย และสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน มี ขอ้ ความทำนองเดียวกันระบวุ ่า บ. นำค่าเสยี หายทีเ่ กิดขึน้ ทั้งหมด 40,000 บาท ชำระใหแ้ ก่ผ้เู สยี หาย ผู้เสยี หาย ยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวจาก บ. แล้วและไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยอีกต่อไปทั้งในทางแพ่งและทาง อาญา ซึ่งมีความหมายว่าไม่ติดใจเอาความแก่จำเลย ท้ายข้อความดังกล่าวมีผู้เสียหายลงลายมือชื่อไว้ ซึ่งโจทก์ ได้รับสำเนาฎีกาแล้วมิได้แก้ฎีกาหรือแถลงคัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวมิใช่เอกสารที่ผู้เสียหายทำมอบให้แก่ฝ่าย จำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงต้องฟังว่าเป็นเอกสารที่ผู้เสียหายทำขึ้นจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้างและข้อความใน เอกสารดังกล่าวก็ถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ตกลงยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมื่อความผิด ฐานฉ้อโกงและยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 341 และ 352 วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความกันได้ สิทธินำ คดีอาญามาฟอ้ งของโจทกย์ อ่ มระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ฎีกาเล่าเร่อื ง 423 ตามหลักฐานการอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน และสัญญาดำเนินการไม่ปรากฏชัดเจนว่าห้ามมิให้ก่อสร้าง อาคาร 3 ชั้น ในที่ดินพิพาทการที่จำเลยท่ี 1 ขัดขวางการก่อสร้างอาคารระงับการใช้ถนนของหมู่บ้านในการขน คนงานและอุปกรณ์เข้าไปยังที่ดินพิพาท เป็นการโต้แย้งการใช้กรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขัดขวางมิให้ ผอู้ นื่ สอดเขา้ เก่ียวขอ้ งกบั ทรัพย์สินนนั้ โดยมชิ อบดว้ ยกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 8155/2561 ตามคำขออนุญาตและใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน ไม่ปรากฏว่าใน การจัดสรรที่ดินเปล่าซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทของโจทก์ มีวัตถุประสงค์ให้ก่อสร้างอาคารไม่เกิน 2 ชั้น เพื่อใช้เป็น บ้านพักอาศยั ส่วนการก่อสร้างและต่อเตมิ สิ่งก่อสร้างตามระเบียบนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรจำเลยที่ 1 ซึ่งระบุให้ เป็นไปตามข้อบังคบั ในสัญญาดำเนินการน้ัน ในสัญญาดำเนินการก็เป็นเพยี งแบบข้อตกลงในการก่อสร้างบ้านพัก

อาศัย 2 ชั้น ไม่ไดป้ รากฏข้อเท็จจรงิ อย่างชดั เจนว่าจำเลยที่ 1 มีขอ้ บงั คบั และระเบยี บห้ามมิให้ก่อสรา้ งอาคาร 3 ชั้น เป็นบ้านพักอาศัยและสำนักงานประกอบธุรกิจ การที่จำเลยที่ 1 ระงับยับยั้งขัดขวางการก่อสร้างอาคาร ดังกล่าวในที่ดินพิพาท ระงับการใช้ถนนของหมู่บ้านในการขนคนงานและอุปกรณ์เข้าไปยังทีด่ ินพิพาท ย่อมเปน็ การโตแ้ ย้งการใช้กรรมสิทธขิ์ องโจทกใ์ นฐานะเจา้ ของทรัพยส์ ินโดยปราศจากมลู อันจะอ้างตามกฎหมาย โจทก์จงึ มี สิทธิขัดขวางมิใหผ้ ู้อื่นสอดเข้าเก่ยี วข้องกบั ทรัพย์สนิ นั้นโดยมชิ อบดว้ ยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ฎีกาเลา่ เร่อื ง 424 โจทก์ผู้คำ้ ประกันชำระหนีแ้ ก่เจ้าหนีแ้ ทนจำเลยลูกหน้ีทีผ่ ิดนัดแล้ว โจทกจ์ ึงมสี ิทธิไลเ่ บีย้ เอาแก่จำเลยเพอ่ื ต้นเงนิ และดอกเบีย้ ทีช่ ำระแกเ่ จา้ หน้ีไปทนั ทโี ดยผลของกฎหมาย นบั แต่วนั ท่ีโจทก์ได้ชำระหนแี้ ทนจำเลย เพราะ จำเลยตกเปน็ ผู้ผดิ นัดมาก่อนแล้ว มใิ ช่ผิดนดั ตอ่ เมื่อโจทก์เรยี กใหช้ ำระหนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8951/2561 โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันมีความผูกพันในอันจะต้องชำระหนี้แก่ เจ้าหน้ีเมือ่ จำเลยไม่ชำระ และโจทกไ์ ด้เข้าชำระหนี้นั้นแลว้ โจทกจ์ งึ ย่อมมีสิทธิไลเ่ บ้ียเอาจากจำเลยรวมถึงเข้ารับ ช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 693 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งการรับช่วง สิทธิของโจทก์ย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมายและย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่โจทก์ในทันทีตามมาตรา 229 (3) กรณีเจ้าหนีเ้ รียกให้โจทกช์ ำระค่าประกันชดเชยตามสัญญาค้ำประกัน แสดงวา่ จำเลยซึง่ เป็นลูกหนผ้ี ดิ นดั ชำระหนี้ แก่เจา้ หน้ีแล้วตามมาตรา 686 ดงั นนั้ โจทกซ์ ึ่งรับช่วงสิทธิทง้ั หลายของเจ้าหน้อี ันมีตอ่ จำเลยซึ่งเป็นลูกหน้ีผิดนัด จึงมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยเพื่อต้นเงินและดอกเบี้ยที่ชำระแก่เจ้าหนี้ไป รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัดของต้นเงิ นน้ัน ในทันทีที่ได้ชำระเงนิ แก่เจ้าหนี้ เพียงแตโ่ จทก์ไมม่ ีสิทธิคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบ้ียในระหว่างผิดนัดซึ่งต้องห้ามตาม มาตรา 224 วรรคสอง เท่านัน้ เมือ่ เงินทโ่ี จทก์ชำระให้แกเ่ จา้ หน้ีไมป่ รากฏวา่ เปน็ ดอกเบ้ีย โจทก์จงึ มสี ิทธิเรียกให้ จำเลยชำระเงนิ ทไ่ี ด้ชำระแทนไปพรอ้ มดอกเบ้ยี ผดิ นัดในอัตราท่ีกฎหมายกำหนดตามท่ีโจทก์เรียกร้อง นับแต่วันที่ โจทก์ได้ชำระหนี้แทนจำเลย เพราะจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดมาก่อนแล้ว หาใช่จะตกเป็นผู้ผิดนัดก็ต่อเมื่อโจทก์ได้ เรยี กใหช้ ำระหน้ตี ามมาตรา 204 วรรคหนงึ่ ฎีกาเล่าเร่อื ง 425 สัญญาขนส่งต้องถือว่าอัตราค่าขนส่งเป็นสาระสำคัญ เมื่อยังไม่ครบกำหนดสัญญา การที่จำเลย ปรับเปลี่ยนอัตราค่าขนส่งตามราคาน้ำมัน และโจทก์ไม่ได้ยินยอมด้วย จำเลยจะขอยุติสัญญาขนส่งไม่ได้ ถือว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทกย์ อ่ มใช้สทิ ธิบอกเลกิ สญั ญาและเรียกค่าเสยี หายจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2561 สัญญารถขนส่งสินค้ามีผลผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นเวลา 3 ปี โดยอัตราคา่ ขนสง่ ยดึ ตามตารางกำหนดราคานำ้ มันแนบทา้ ยสัญญา ซงึ่ เปน็ สาระสำคญั และเป็นเงอื่ นไขอย่างหนึ่ง ของสัญญา การที่จำเลยปรับเปลี่ยนอัตราค่าขนส่งโดยจัดทำช่วงราคาน้ำมันขึ้นใหม่จากเดิมปรับทุกช่วงราคา 2 บาท ต่อลิตร เป็นปรับทุกช่วงราคา 3.50 บาท ต่อลิตร ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย และข้อตกลงในสัญญาก็ไม่ ปรากฏว่ามีข้อตกลงใดให้จำเลยปรับเปลี่ยนอัตราค่าขนส่งให้แตกต่างจากอัตราค่าขนส่งแนบท้ายสัญญาได้ เมื่อ โจทก์ไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย การที่จำเลยขอยุติสัญญารถขนส่งสินค้าจึงไม่สามารถกระทำได้ ถือได้ว่าจำเลยเป็น ฝ่ายผิดสญั ญา โจทกย์ ่อมใชส้ ทิ ธิบอกเลกิ สัญญาและเรียกคา่ เสียหายจากจำเลยได้ ฎกี าเล่าเรอ่ื ง 426 เจ้าหนี้ผรู้ ับจำนองตามคำพพิ ากษาไมบ่ งั คบั คดภี ายในกำหนดสบิ ปเี พยี งทำให้หมดสทิ ธบิ งั คับคดี แต่ไม่เป็น เหตุใหห้ นี้จำนองระงบั สน้ิ ไป ในเง่อื นไขท่จี ะบงั คบั ดอกเบ้ยี เกินกว่าห้าปไี ม่ได้ ผูร้ บั จำนองทรัพย์ท่ีโจทก์นำยึดและ ขอใหข้ ายทอดตลาดโดยปลอดจำนอง มสี ิทธิขอกันเงินทไี่ ดจ้ ากการขายทอดตลาดทรัพย์ได้ คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 7397/2561 การทผี่ รู้ ้องซ่ึงเปน็ เจ้าหนผ้ี ู้รับจำนองตามคำพิพากษาไม่บงั คับคดี ภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นที่สุดในคดีนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 (เดิม) มีผลเพียงทำให้ผู้ร้องหมดสิทธิบังคับคดีในคดีดังกล่าว แต่ไม่เป็นเหตุให้หนี้จำนองระงับสิ้นไป ทรัพยสิทธิ จำนองยังคงมีอยูแ่ ละสามารถใช้ยันต่อลูกหนี้จำนองหรือต่อบุคคลภายนอกที่รับโอนทรัพย์สินจำนองนั้นต่อไปได้ แต่ผู้ร้องจะบังคับดอกเบี้ยเกินกว่าห้าปีไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 745 การบังคับคดีแก่ทรัพย์สนิ ของลูกหนี้ตาม คำพิพากษาไม่กระทบกระเทอื นถึงบุริมสิทธิของผู้รับจำนองซ่ึงอาจรอ้ งขอให้บังคับคดีเหนือทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 (เดมิ ) ผู้รอ้ งซง่ึ เป็นผูร้ บั จำนองทรพั ย์ทีโ่ จทก์นำยดึ และขอให้ขายทอดตลาดโดยปลอดจำนอง มีสิทธิ ขอกันเงนิ ที่ไดจ้ ากการขายทอดตลาดทรัพยจ์ ำนองดังกล่าวแก่ผ้รู ้อง ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 287 (เดิม) ได้ ฎกี าเล่าเร่ือง 427 แม้คำสั่งให้ริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองจะถึงที่สุดแล้ว แต่ภายหลังคดียาเสพติดอันเป็นเหตุแห่งการ ยึดทรัพย์สิน ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องผูค้ ัดค้านท่ี 1 แสดงว่าผู้คัดค้านท่ี 1 มิได้เป็นผู้กระทำความผิดเกีย่ วกับยา เสพติด ทรัพย์สินดังกล่าวจึงไม่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงต้องคืนให้แก่ผู้ คัดคา้ นทั้งสอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8133/2561 แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองจะถึง ที่สุดแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในภายหลังว่า คดีที่ผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกเป็นจำเลยในความผิด

เกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นเหตุให้มีการยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองในคดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยท่ี 1 คอื ผ้คู ัดค้านท่ี 1 ในคดีนี้ ย่อมแสดงว่าผูค้ ดั ค้านที่ 1 มไิ ดเ้ ปน็ ผู้กระทำความผิดเก่ียวกับยาเสพ ติดอันเป็นเหตุให้มีการยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองในคดีนี้แล้ว ทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่เป็น ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ศาลจะสั่งริบได้ ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการ ปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 อีกต่อไป จึงต้องคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้ คดั ค้านท้งั สอง ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 428 งานท่ีโจทกท์ ำชำรดุ บกพร่อง ถอื วา่ โจทกผ์ ดิ สัญญา ศาลช้นั ตน้ วนิ ิจฉัยว่าโจทกไ์ ม่มสี ทิ ธิฟ้องให้จำเลยชำระ หนี้ถูกต้องแล้ว แต่ศาลชั้นต้นยังต้องวินิจฉัยให้จำเลยชำระค่าการงานที่ได้ทำด้วย เมื่อยังไม่ได้วินิจฉัยจึงไม่ชอบ และเปน็ ปญั หาเก่ียวดว้ ยความสงบฯ ศาลฎกี ายกข้ึนวนิ ิจฉัยไดเ้ อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7994/2561 เมื่องานที่โจทก์ทำให้จำเลยชำรุดบกพร่อง โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิด สญั ญา ทีศ่ าลชน้ั ตน้ วินจิ ฉยั วา่ โจทกไ์ ม่มีสทิ ธฟิ ้องใหจ้ ำเลยชำระหนน้ี นั้ ถูกต้องแล้ว แต่ศาลชัน้ ตน้ ยงั คงตอ้ งวนิ จิ ฉยั ให้จำเลยชำระคา่ การงานท่ไี ดท้ ำให้โจทกอ์ ีก เมอื่ ศาลช้ันต้นยงั ไม่ไดว้ นิ จิ ฉัยในสว่ นนจ้ี ึงเปน็ การไมช่ อบ กรณจี ึงเปน็ การไมป่ ฏบิ ตั ติ ามบทบัญญตั แิ ห่งประมวลกฎหมายว่าดว้ ยการพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) แม้โจทก์ไม่ อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาขอ้ กฎหมายอันเกีย่ วด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลฎีกามอี ำนาจยกข้ึน วินิจฉยั ไดเ้ องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247 (เดิม) ฎีกาเลา่ เรอื่ ง 429 พฤติการณท์ ีจ่ ำเลยซึ่งเปน็ คนรักของ ณ. นั่งรถมากับ ณ. เวลามาส่งเมทแอมเฟตามีนบอ่ ยครั้ง มีการโอน เงินค่าเมทแอมเฟตามีนเข้าบัญชีเงนิ ฝากของจำเลย และจำเลยมอบบัตรเอทีเอ็มให้ ณ. นำไปใช้เบิกถอนเงินจาก บัญชีเงินฝากดังกล่าว ฟังได้ว่า จำเลยสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก่อนหรือขณะ กระทำความผดิ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7947/2561 ณ. ให้ ท. เก็บรักษาเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อรอคำสั่งให้นำไปสง่ ต่อ จำเลยเป็นคนรักของ ณ. และนั่งรถมากับ ณ. เวลามาส่งเมทแอมเฟตามีนให้ ท. บ่อยครั้ง ว. และ ช. ไปรับ เมทแอมเฟตามีนจาก ท. ไปส่งให้ลูกค้าตามคำสั่งของ ณ. ผู้ว่าจ้าง และรับเมทแอมเฟตามีนบางส่วนไปจำหน่าย เอง ณ. สง่ั ให้ ช. โอนเงนิ คา่ เมทแอมเฟตามนี เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากทง้ั สองบญั ชขี องจำเลย ในแต่ละวันมีการนำเงินเข้า ฝากหลายจำนวนแล้วถอนเงินออกจากบัญชีโดยตลอด จำเลยมอบบัตรเอทีเอ็มให้ ณ. นำไปใช้เบิกถอนเงินจาก

บญั ชเี งนิ ฝากดังกล่าว พฤติการณ์ดังกล่าวฟงั ไดว้ า่ จำเลยร้เู ห็นเป็นใจใหก้ ารสนับสนนุ หรอื ชว่ ยเหลือ ณ. ในการซือ้ ขายเมทแอมเฟตามีนของ ว. และ ช. โดยใช้บัญชีเงินฝากดังกล่าวชำระเงินคา่ เมทแอมเฟตามีนให้แก่ ณ. อันเป็น การสนบั สนุนหรอื ชว่ ยเหลือผู้กระทำความผิดเก่ยี วกับยาเสพติดกอ่ นหรือขณะกระทำความผิด ฎีกาเล่าเร่อื ง 430 การเสียค่าธรรมเนียมอายัดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย เป็นเรื่องระหว่างเจ้าพนักงานบังคับ คดีกับโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาว่า โจทก์ไม่ต้ องเสียค่าธรรมเนียม ดังกล่าว ศาลฎกี าไมร่ ับวนิ จิ ฉยั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7842/2561 การที่โจทก์จะตอ้ งเสียค่าธรรมเนียมอายดั ทรัพย์สินแล้วไม่มกี าร ขายหรือจำหน่ายสำหรบั สทิ ธเิ รยี กรอ้ งของบรษิ ัท น. จำเลยที่ 1 ในคดขี องศาลลม้ ละลายกลางหมายเลขแดงท่ี ฟ. 45/2553 หรือไม่นัน้ เป็นเรื่องระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีกับโจทกโ์ ดยเฉพาะ มิได้กระทบกระเทือนต่อสิทธิ ของจำเลยที่ 1 ถงึ ท่ี 5 ทง้ั ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กม็ ไิ ด้มกี ารวนิ ิจฉยั กระทบต่อสทิ ธขิ องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แต่ อย่างใด จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับว่า โจทก์ไม่ต้องเสีย คา่ ธรรมเนียมอายัดทรัพย์สินแลว้ ไม่มกี ารขายหรอื จำหน่าย ศาลฎกี าจึงไม่รบั วินจิ ฉัยฎกี าของจำเลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 5 ฎีกาเล่าเรือ่ ง 431 โจทกฟ์ ้องขอให้จำเลยชำระคา่ จา้ งก่อสร้างงวดท่ี 2 ท่ี 4 และที่ 5 แต่ทางพจิ ารณาได้ความวา่ ค่างานงวด ที่ 2 โจทก์ไดร้ ับเงนิ แล้ว ทั้งโจทก์มิได้เรียกค่ากอ่ สร้างงวดที่ 3 ที่ศาลช้ันต้นและศาลชัน้ อุทธรณ์กำหนดให้จำเลย ชำระคา่ จา้ งงวดท่ี 2 และที่ 3 จงึ เปน็ การพพิ ากษาเกินคำขอ และเปน็ ปญั หาอนั เกย่ี วด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ ไม่มคี ูค่ วามฝา่ ยใดฎีกา ศาลฎกี าเห็นสมควรแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7687/2561 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระค่าจ้างก่อสร้างโกดังเกบ็ สินค้าสำหรับงานในงวดที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ค่างานก่อสร้างในงวดที่ 2 โจทก์ได้รับ ชำระเงินไปครบถว้ นแลว้ ทง้ั โจทกม์ ไิ ดเ้ รียกคา่ กอ่ สรา้ งและมีคำขอใหจ้ ำเลยชำระคา่ งานในงวดที่ 3 แตอ่ ย่างใด ท่ี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยชำระค่าจ้างงวดที่ 2 และที่ 3 บางส่วนให้แก่โจทก์ จึงเป็น การพิพากษาเกนิ คำขอ เป็นปัญหาอันเกี่ยวดว้ ยความสงบเรยี บร้อยของประชาชน แมไ้ ม่มคี คู่ วามฝา่ ยใดฎกี า ศาล ฎกี าเหน็ สมควรแก้ไขใหถ้ ูกตอ้ ง

ฎีกาเลา่ เรอ่ื ง 432 โจทก์ฟอ้ งขอใหบ้ ังคับจำเลยคนื เงนิ สวัสดกิ ารเกี่ยวกับการศึกษาของบตุ รเนื่องจากไม่มีสิทธิรับเงินดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องนิติสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับข้าราชการของหน่วยงาน มิใช่นิติสัมพันธ์ในทางแพ่ง การที่ จำเลยเบิกเงินเกินกวา่ สิทธจิ งึ เป็นการได้รับเงนิ โดยไมช่ อบ โจทก์ฟอ้ งขอให้บงั คบั จำเลยคืนเงนิ จงึ เปน็ เรื่องเจ้าของ กรรมสทิ ธ์ิใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์ของตนซง่ึ ไม่มอี ายคุ วาม หาใช่เรยี กคนื ในฐานลาภมิควรไดไ้ ม่ (ประชุมใหญ่คร้ัง ที่ 17/2561) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7900/2561 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคนื เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษา ของบุตรลำดับที่ 4 และที่ 5 เนื่องจากจำเลยไม่มีสิทธิยื่นใบเบิกเงินและรับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของ บุตรดังกล่าว เพราะขัดต่อ พ.ร.ฎ.เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ.2523 มาตรา 7 ประกอบ มาตรา 6 ซึ่งการที่จำเลยใช้สิทธิเบิกและรับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรดังกล่าวเป็นผลจากนิติ สัมพนั ธร์ ะหว่างโจทกซ์ ึ่งเปน็ หน่วยงานของรัฐกบั จำเลยซ่งึ เปน็ ขา้ ราชการของหน่วยงานในสังกดั ของโจทก์ มิใชน่ ติ ิ สัมพันธ์ในทางแพ่ง และเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยไปดังกล่าวก็มิใช่กรณีโจทก์กระทำเพื่อชำระหนี้ ให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่โจทก์ที่มีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินดังกล่าวทราบว่าจำเลยเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ การศกึ ษาของบุตรเกินสามคน ทำให้เจา้ หน้าทีโ่ จทก์จา่ ยเงินสวสั ดกิ ารเกี่ยวกบั การศึกษาบตุ รของจำเลยลำดบั ท่ี 4 และที่ 5 เกินกวา่ สิทธิท่ีจะไดร้ ับตามกฎหมาย จึงเป็นกรณที ี่จำเลยไดร้ บั เงินไปยึดถือโดยไม่ชอบ การที่โจทก์ฟอ้ ง ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยไป จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นเจ้าของ กรรมสทิ ธใิ์ ช้สิทธติ ดิ ตามเอาทรพั ย์ของตนคนื จากบคุ คลผู้ไม่มีสิทธยิ ดึ ถอื ไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึง่ ไม่มีอายุ ความ การเรยี กร้องเงินที่จำเลยได้รบั ไปโดยไม่ชอบดงั กลา่ ว หาใชเ่ ปน็ กรณีทโี่ จทกใ์ ช้สทิ ธิเรียกรอ้ งในฐานะเจ้าหน้ี ฟอ้ งให้จำเลยคืนทรพั ยใ์ นฐานลาภมิควรได้ซึ่งต้องอยภู่ ายใต้บทบัญญัติว่าด้วยอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 (ประชมุ ใหญ่ครั้งที่ 17/2561) ฎีกาเลา่ เร่ือง 433 เงินสงเคราะห์พึงได้รับเมื่อสมาชิกสหกรณ์ถึงแก่ความตาย โดยจ่ายให้แก่ผู้รับโอนประโยชน์ ถ้าสมาชิก ออกก่อนก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ส่วนเงินทุนเรือนหุ้นหรือเงินค่าหุ้นที่สมาชิกมีอยู่กับสหกรณ์ก็มิใช่เงินที่จะ เบกิ ถอนไปใชไ้ ด้กอ่ น เวน้ แตจ่ ะออกสมาชกิ แลว้ เงนิ ดังกลา่ วจงึ มีลกั ษณะพเิ ศษทม่ี ิใชเ่ ปน็ ทรัพย์ของสมาชิกโดยแท้ อนั เป็นกรณที ม่ี ีกฎหมายบญั ญตั กิ ารจัดการเงนิ ของสมาชิกสหกรณ์ไวโ้ ดยเฉพาะ ยอ่ มมีผลบงั คับได้นอกเหนือจาก การทำพินัยกรรม การทำหนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ของผู้ตายจึงมีผลบังคับได้ ไม่จำเป็นต้องทำตามแบบ พนิ ัยกรรมและไม่ถอื วา่ เป็นพินยั กรรม เม่อื ผู้ตายทำหนงั สอื หนงั สือแตง่ ตง้ั ผรู้ บั โอนประโยชนไ์ วจ้ งึ ไม่เปน็ พินัยกรรม ของผตู้ ายและไมต่ กเป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 8873/2561 เงินสงเคราะห์เป็นเงินทพี่ งึ จะไดร้ บั เมือ่ สมาชกิ ถงึ แก่ความตายไป แล้ว โดยจ่ายให้แก่ผูร้ ับโอนประโยชน์ตามข้อบังคับสหกรณ์ ถ้าสมาชกิ ผู้ใดออกจากการเปน็ สมาชิกของสหกรณก์ ็ ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินสงเคราะห์จากสหกรณ์ ดังนี้ หากสมาชิกประสงค์จะให้ผู้รับโอนประโยชน์มีสิทธิได้รับเงิน สงเคราะห์จากสหกรณ์กจ็ ะต้องคงความเป็นสมาชิกไว้จนตายจะถอนเงนิ คา่ หุ้นหรือออกจากการเป็นสมาชิกไมไ่ ด้ และเงินทุนเรือนหุ้นหรือเงินค่าหุ้นที่สมาชิกมีอยู่กับสหกรณ์ก็มิใช่เงินที่สมาชิกสามารถที่จะเบิกถอนไปใชไ้ ด้ก่อน เว้นแต่จะออกจากการเป็นสมาชิกแล้วซึ่งก็ยังมีเงื่อนไขที่อาจจะไม่ได้รับเต็มจำนวนก็ได้ เงินค่าหุ้ นจึงมีลักษณะ พิเศษท่ีมใิ ช่เป็นทรพั ย์ของสมาชิกโดยแท้ เมอื่ พระราชบัญญัตสิ หกรณบ์ ญั ญัตใิ หส้ มาชกิ สหกรณส์ ามารถทำหนงั สือ ตั้งบุคคลหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้รับโอนประโยชน์ในเงินค่าหุ้นหรือเงินอื่นใดจากสหกรณ์เมื่อสมาชิกถึงแก่ความ ตาย โดยมอบไว้แก่สหกรณ์เป็นหลักฐาน การจะเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์ก็ต้องทำเป็นหนังสอื ใน ลักษณะเดียวกันมอบให้สหกรณ์ถือไว้ และถ้าในที่สุดไม่มีผู้รับเงิน เงินนั้นก็จะนำไปสมทบเป็นเงินทุนสำรองของ สหกรณ์ เมื่อเงินค่าหุ้นและเงินสงเคราะห์มลี ักษณะพิเศษตามข้อบังคับและระเบียบของจำเลยเพื่อให้การบริหาร เงินของสหกรณ์เปน็ ไปโดยสะดวกเพ่ือประโยชน์ของสมาชิกและออกตามบทบัญญัตขิ องกฎหมาย จงึ เป็นกรณีที่มี กฎหมายบัญญัติการจัดการเงินของสมาชิกสหกรณ์ไว้โดยเฉพาะ ย่อมมีผลบังคับได้นอกเหนือจากการทำ พินัยกรรม การทำหนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ของผู้ตายจึงมีผลบังคับได้ ไม่จำเป็นต้องทำตามแบบ พินัยกรรมและไม่ถือว่าเป็นพินัยกรรม โดยมีผลบังคับแตกต่างจากการทำพินัยกรรม เมื่อผู้ตายทำหนังสือแต่งตั้ง ผู้รับโอนประโยชน์ในทุนเรือนหุ้นไว้แก่สหกรณ์จำเลยแล้ว ทุนเรือนหุ้นจึงไม่เป็นมรดกของผู้ตายที่ผู้ตายจะทำ พินัยกรรมยกทุนเรือนหุ้นนัน้ ให้แก่ผู้อื่นอีก โดยเป็นกรณีที่มีกฎหมายพระราชบัญญัติสหกรณ์บัญญัติไว้เป็นอยา่ ง อื่นที่ทำให้ทายาทต้องเสียไปซึ่งสิทธิในมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 วรรคสอง หนังสือแต่งตั้งผู้รับโอน ประโยชน์ในส่วนเงินทุนเรือนหุ้นจึงไม่เป็นพินัยกรรมของผู้ตายและไม่ตกเป็นโมฆะ (ประชุมใหญ่ครั้งท่ี 25/2561) ฎีกาเล่าเรื่อง 434 การที่สายลับซึ่งเป็นคนรักเก่าของจำเลยชวนให้จำเลยร่วมเสพเมทแอมเฟตามีนโดยได้มอบธนบัตร 1,500 บาท ให้จำเลยไปเอาเมทแอมเฟตามีนมาให้ จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนมามอบให้สายลับ 10 เม็ด และ ร่วมกันเสพไป 4 เม็ด พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ คงฟังได้เพียง ครอบครองเทา่ นนั้ อนั เป็นส่วนหนงึ่ ของความผิดที่ฟอ้ ง ลงโทษเฉพาะฐานนไี้ ด้ คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 7526/2561 การที่สายลับซึง่ เป็นคนรักเก่าของจำเลยชักชวนให้จำเลยมาร่วม เสพเมทแอมเฟตามีนทห่ี ้องพักทเี่ กดิ เหตุ โดยได้มอบธนบัตรจำนวน 1,500 บาท ให้จำเลยเพือ่ ไปเอาเมทแอมเฟ ตามีนมาให้ เมื่อจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนมามอบให้สายลับ 10 เม็ด จากนั้นได้รว่ มกันเสพเมทแอมเฟตามนี ไป 4 เมด็ พฤติการณแ์ ห่งคดีท่จี ำเลยรบั หน้าท่ไี ปซือ้ เมทแอมเฟตามีนมาให้สายลับและพวก และรว่ มกนั เสพเมทแอม

เฟตามีนส่วนหน่งึ นั้น โดยจำเลยไมไ่ ด้ประโยชน์อ่ืนตอบแทนในการน้ี ยงั ถือไม่ได้ว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตา มีนใหแ้ ก่สายลบั คงฟังได้เพียงวา่ จำเลยมเี มทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเท่านั้น ซ่ึงเปน็ ส่วนหนง่ึ ของความผิดท่ี โจทก์ฟ้อง ย่อมลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215, 225 และ พ.ร.บ.วิธพี ิจารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ.2550 มาตรา 3 ฎกี าเลา่ เร่อื ง 435 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และโจทก์ต้อง ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสอง เมื่อหักกลบลบหนี้แล้ว โจทก์ต้องชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 กลับ มิได้ฟ้องแย้งเพื่อคำขอให้โจทก์ชำระเงินส่วนนี้เพียงแต่เป็นแต่ขอให้ยกฟ้องเท่านั้น แม้จะไม่มีฟ้องแย้ง แต่ศาล ยังคงต้องวินจิ ฉัยตามข้อตอ่ สู้ของจำเลยท่ี 1 ด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7726/2561 โจทก์ฟอ้ งขอให้จำเลยทั้งสองชำระคา่ ขนสง่ และขนถ่ายปยุ๋ บรรจุ กระสอบ โดยนำสินค้าบรรทุกเรือลำเลียงขนส่งต่อไปยังคลังสินค้าปลายทางที่จำเลยทั้งสองกำหนด แต่จำเลยทั้ง สองให้การว่าจำเลยท้ังสองไม่ต้องรบั ผิดต่อโจทก์ เพราะโจทก์ไม่นำส่งใบตราสง่ หรือตัว๋ เรือ และใบรับรองนำ้ หนัก สินคา้ เข้าคลงั จากคลังสินค้าตามสญั ญาให้ฝ่ายจำเลย โจทกต์ อ้ งชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยท้ังสอง เมื่อนำมาหัก กลบลบหนี้แล้ว โจทก์กลับต้องเป็นฝ่ายชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 กลับมิได้ฟ้องแย้งเพื่อคำขอให้ บงั คบั โจทก์ชำระเงนิ สว่ นนี้ เป็นแต่ตอ่ สู้หรอื เถยี งวา่ โจทกป์ ฏิบัตติ ามสญั ญาไมค่ รบถว้ นขอใหย้ กฟ้องเท่านน้ั แม้จะ ไม่มฟี อ้ งแย้งของจำเลยท่ี 1 แต่ศาลยงั คงตอ้ งมปี ระเด็นปญั หาวนิ ิจฉยั ตามขอ้ ตอ่ สู้ของจำเลยที่ 1 วา่ โจทกส์ ่งมอบ ปุ๋ยขาดจำนวนหรือไม่ ซึ่งหากจำเลยที่ 1 นำสืบได้ว่า กรณีมีปุย๋ สูญหายในระหว่างอยู่ในความดูแลของโจทก์แลว้ โจทกใ์ นฐานะผ้ขู นสง่ ย่อมจำตอ้ งรบั ผดิ ในการสูญหายนัน้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 และแมจ้ ำเลยที่ 1 จะให้การ ต่อสู้เพียงว่าโจทก์ปฏิบตั ิตามสัญญาไม่ครบถ้วนขอให้ยกฟ้อง โดยมิได้ฟ้องแย้งไว้ก็ตาม แต่ศาลยังจำต้องวินิจฉัย ตามขอ้ ต่อสขู้ องจำเลยท่ี 1 วา่ โจทกส์ ่งมอบปยุ๋ ขาดจำนวนหรอื ไมด่ ว้ ย ซึ่งเม่อื พิจารณาจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ขนสินค้าปุ๋ยส่งมอบยังคลังสินค้าทั้งสองแห่งครบถ้วนตามสัญญาแล้ว เช่นนี้ จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระค่า ระวางเรือลำเลยี งส่วนทเี่ หลือและค่าสตวี ีโดในการขนถา่ ยสินค้าจากเรือลำเลียง ส่วนท่คี า้ งกับคา่ ขนย้ายสนิ ค้าจาก โกดังแกโ่ จทก์ ฎีกาเล่าเรื่อง 436 ป.อ. มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า (1) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน... ศาลจะรอการลงโทษผู้นนั้ ไว้ก็ได้ นั้น หมายถึงไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษา มิได้ระบุว่าต้องกระทำผิดมาก่อนคดี

เรือ่ งหลัง เมอ่ื จำเลยเคยได้รบั โทษจำคุกเกนิ กวา่ หกเดือนและมิใช่ความผดิ ทีไ่ ดก้ ระทำโดยประมาทหรอื ลหโุ ทษ จงึ ไมอ่ ยูใ่ นหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุก คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 7264/2561 ตาม ป.อ. มาตรา 56 (ทแี่ ก้ไขใหม่) บัญญตั ิวา่ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น (1) ไม่เคยได้รับโทษจำคกุ มากอ่ น... ศาลจะรอการลงโทษผู้น้ันไวก้ ไ็ ด้ นัน้ หมายถึงว่า จำเลยไม่ไดร้ บั โทษจำคุกมา ก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษา ซึ่งมาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) มิได้ระบุว่าคดีที่จำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนนั้น ต้องเป็นการกระทำความผิดมาก่อนคดีเรื่องหลัง เมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและเป็นโทษในความผิด ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นโทษจำคกุ เกินกวา่ หกเดือนและมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม)่ ทจ่ี ะรอการลงโทษจำคกุ ใหแ้ กจ่ ำเลยได้ ฎกี าเลา่ เรือ่ ง 437 คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองมอี ำนาจสั่งพกั ราชการโจทกไ์ ด้ แม้คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัยยงั ไม่ได้เสนอความเหน็ ดงั กลา่ ว คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 6997/2561 คณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองมีอำนาจสงั่ พกั ราชการโจทก์ ได้ แมค้ ณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั ยงั ไมไ่ ดเ้ สนอความเห็นตอ่ คณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองว่าสมควรจะ ส่ังพกั ราชการโจทก์ เพ่ือมิให้ปฏิบัตหิ นา้ ที่ราชการต่อไปอันจะเปน็ การเสยี หายแกร่ าชการหรือไม่ ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 438 โจทกผ์ ู้รบั จา้ งทำของไมเ่ ขา้ ไปแกไ้ ขงานทร่ี ับจา้ งให้เรียบรอ้ ย แต่เก่ยี งใหจ้ ำเลยชำระค่าจ้างเสยี กอ่ น โจทก์ จงึ เปน็ ฝา่ ยผิดสญั ญา จำเลยยดึ หนว่ งสนิ จ้างไว้ได้ แตย่ ึดหนว่ งไดเ้ พยี งจำนวนเพือ่ เปน็ ประกนั ความชำรุดบกพร่อง ตามสมควรเท่าน้ัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7088/2561 จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ติดตั้งประตู หน้าต่าง และงานอื่น ๆ ที่ใช้ วัสดุเป็นอะลูมิเนียมและกระจกในอาคารชุด ท. โจทก์ส่งมอบงานให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่ปรากฏว่างานที่ โจทก์ทำยังมีข้อบกพร่อง และจำเลยได้ทักท้วงให้โจทก์เข้าแก้ไขงานโดยตลอด การที่โจทก์ไม่เข้าไปแก้ไขงานที่ รบั จ้างให้เรียบร้อย แต่เกย่ี งใหจ้ ำเลยชำระค่าจา้ งเสียก่อน โจทก์จงึ เป็นฝ่ายผดิ สัญญา ฝา่ ยจำเลยยอ่ มชอบที่จะยึด หน่วงสินจ้างไว้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 599 แต่สินจ้างที่จำเลยอาจใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ได้นั้น จำเลยชอบที่จะยึด หน่วงไวเ้ พียงจำนวนเพื่อเป็นประกันตามสมควรในงานจ้างทีช่ ำรุดบกพรอ่ งเท่านน้ั ตามนัยมาตรา 599 จำเลยไม่ มีสิทธิยึดหน่วงสินจ้างเกินกว่าความเสียหายที่เกิดจากงานจ้างท่ีชำรุดบกพร่องดังกล่าว เมื่อความเสียหายของ

จำเลยตามฟ้องแยง้ เห็นได้ว่าน้อยกว่าจำนวนค่าจ้างที่คา้ งชำระมาก จำเลยไม่มีสิทธิยึดหนว่ งสินจ้างเกนิ กวา่ ความ เสียหายดงั กลา่ ว โจทก์จึงมอี ำนาจฟ้องเรยี กคา่ จา้ งจากจำเลย ฎีกาเล่าเรื่อง 439 จำเลยเคยตอ้ งคำพพิ ากษาถึงท่สี ุดให้ลงโทษฐานมเี มทแอมเฟตามนี ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย จำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 250,000 บาท และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 3 ปี ภายในระยะเวลาห้าปีนบั แต่วันพ้นโทษทั้งสองคดี จำเลยกลับมากระทำผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและฐาน กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันดังกล่าว กรณีมิใช่จำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพตดิ ให้โทษ อันจะเพิม่ โทษก่ึงหนึ่งตามพ.ร.บ.ดงั กลา่ ว คงเพ่ิมโทษไดเ้ พียงหนง่ึ ในสามตาม ป.อ. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7519/2561 ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษใน ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 250,000 บาท และในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 3 ปี ภายในระยะเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษทั้งสองคดี จำเลยกลับมากระทำผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและฐานกระทำความผิดเกี่ยวกับยา เสพติดเพราะเหตทุ ไ่ี ด้มีการสมคบกนั ดงั กลา่ วตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผกู้ ระทำความผิดเก่ียวกบั ยา เสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคสอง กรณีมิใช่จำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 อนั จะเพิม่ โทษท่ีจะลงแกจ่ ำเลยอีกกึ่งหนึง่ ของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคร้งั หลังตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 คงเพิ่มโทษได้เพียงหนง่ึ ในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 ฎกี าเลา่ เรื่อง 440 ชว่ ยซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนขณะผา่ นดา่ นตำรวจ เป็นการช่วยเหลอื เพื่อให้ความสะดวกในการมีเมทแอม เฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหนา่ ย จึงมีความผดิ ฐานเป็นผู้สนับสนุน คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 7100/2561 การที่จำเลยรบั ฝากเมทแอมเฟตามนี ของกลางไวจ้ าก ส. ดว้ ยการ ซกุ ซ่อนไว้ในเสื้อยกทรงของจำเลยในขณะท่ีจำเลยกับพวกขบั รถผ่านดา่ นตรวจเพอ่ื ช่วยเหลือ ส. ให้นำเมทแอมเฟ ตามนี ของกลางให้รอดพน้ จากการตรวจคน้ ของเจ้าพนกั งานตำรวจโดยไมถ่ กู จบั กมุ เป็นการช่วยเหลอื เพื่อให้ความ สะดวกแก่ ส. ในการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย จำเลยจึงมีความผดิ ฐานเป็นผู้สนับสนุน ส. ให้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพ่อื จำหน่าย

ฎกี าเลา่ เรอ่ื ง 441 โจทก์รา่ งสัญญาว่าจ้างให้จำเลยลงลายมือชื่อและจำเลยขอแก้ไขรายละเอยี ดก่อน แต่จำเลยก็ใหโ้ จทกเ์ ข้า ทำงาน โดยไม่มีการพูดถึงเงื่อนไขในสัญญาอีก สัญญาจ้างทำของระหว่างโจทก์และจำเลยได้เกิดขึ้นแล้วโดยมิได้ มุ่งหมายต้องทำสัญญากนั เปน็ หนังสอื คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 7118/2561 โจทก์ร่างสญั ญาวา่ จา้ งให้จำเลยลงลายมอื ชอื่ และจำเลยขอแก้ไข รายละเอียดก่อน แต่จำเลยก็ให้โจทก์เข้าทำงานตามที่ตกลงกันแล้วโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการพูดถึง เงอ่ื นไขและขอ้ ตกลงในสัญญาทยี่ ังตกลงในสญั ญาทยี่ งั ตกลงกันไม่ไดอ้ ีก เหตุท่มี ีการโตเ้ ถยี งเร่อื งสญั ญาว่าจ้างเป็น ลายลักษณ์อักษรเกิดจากการที่โจทก์ทวงถามค่าจ้างจากจำเลย จำเลยจึงอ้างระเบียบของจำเลยที่ต้องทำสัญญา ว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาโจทก์และจำเลยก็ไม่ได้ลงชื่อในสัญญาจ้างแต่โจทก์ก็ยอมรับปฏิบัติหน้าที่ใน ฐานะผู้รับจ้าง ส่วนจำเลยได้ถือเอาประโยชน์จากสัญญาในฐานะผู้ว่าจ้างและมีการชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ บางส่วนแล้ว พฤติการณ์แหง่ คดเี ช่นน้ี เชือ่ ไดว้ ่าโจทกต์ กลงรับจะทำการงานให้แกจ่ ำเลยและจำเลยตกลงให้ค่าจา้ ง เพื่อการนั้น ทำให้สัญญาจ้างทำของระหว่างโจทก์และจำเลยได้เกิดขึ้นแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 โดยโจทก์ และจำเลยมไิ ดม้ ่งุ หมายให้สญั ญาจา้ งทำของพิพาทต้องทำสญั ญากนั เปน็ หนงั สือโดยใหค้ ู่สญั ญาลงชื่อในสัญญาอีก สัญญาจ้างทำของระหว่างโจทก์กบั จำเลยจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย หาได้มีกรณีเป็นที่สงสัยว่าสัญญาจะต้อง ทำเป็นหนงั สอื ตามที่บญั ญัตไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง ฎกี าเล่าเร่อื ง 442 จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทกด์ ว้ ยการปลอมโฉนดท่ีดนิ ของจำเลยที่ 2 วา่ เป็นของตนและมาวางเป็นประกัน หน้ี โจทกห์ ลงเชอ่ื จงึ ให้จำเลยที่ 1 กู้เงินและทำสัญญากไู้ ว้ ถอื ว่าความผิดฐานฉ้อโกงสำเรจ็ แล้ว แม้ตอ่ มาจำเลยทง้ั สองร่วมกันหลอกลวงโจทก์อกี วา่ จำเลยท่ี 2 เป็นเจา้ ของที่ดนิ และขอใช้โฉนดทด่ี ินดงั กลา่ วเปน็ หลกั ประกนั ต่อไป โจทก์หลงเชื่อยอมรับเป็นหลักประกันและขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 เมื่อการหลอกลวงครั้งหลัง จำเลยทง้ั สองไมไ่ ดร้ ับทรพั ย์สินจากโจทกเ์ พมิ่ เตมิ แม้โจทก์จะทำสญั ญากู้ฉบบั ใหมก่ ับจำเลยท่ี 1 ก็เปน็ เพียงขยาย ระยะเวลาชำระหนี้ โจทก์ไม่เสียสิทธิในสัญญากเู้ ดิม จงึ ไมเ่ ป็นความผิดฐานฉ้อโกงอีก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7054/2561 เมื่อวนั ที่ 11 มิถุนายน 2557 จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ด้วย การปลอมโฉนดทีด่ ินของจำเลยที่ 2 ว่า เป็นของตนและนำสำเนาโฉนดที่ดินมาวางเป็นประกนั หนี้ โจทก์หลงเชื่อ จึงให้จำเลยที่ 1 กู้เงินโดยทำสัญญากู้เงินและมอบเงิน 140,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงสำเร็จในวันดังกล่าวแล้ว แม้ต่อมาในวันที่ 28 สิงหาคม 2558 จำเลยทั้งสองร่วมกนั หลอกลวงโจทก์อีกว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินและขอใช้โฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นหลักประกันในการชำระหน้ี ต่อไป โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ไว้ให้แก่โจทก์ด้วย โจทก์จึงหลงเชื่อยอมรับหลักประกันดังกล่าว

และขยายระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากที่จำเลยที่ 1 กระทำ ความผิดฐานฉอ้ โกงเมอ่ื วันที่ 11 มิถุนายน 2557 สำเรจ็ ไปแลว้ เมื่อไมป่ รากฏวา่ ในการหลอกลวงครง้ั หลังจำเลย ทั้งสองได้รับทรัพย์สินจากโจทก์เพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินกู้ 140,000 บาท ที่ได้รับไปแล้ว แม้ว่าโจทก์จะทำ สัญญากู้เงินฉบับใหมก่ บั จำเลยท่ี 1 แต่กเ็ ปน็ เพยี งขยายระยะเวลาชำระหนีเ้ งนิ กู้ใหแ้ ก่จำเลยท่ี 1 เท่าน้ัน หาได้ทำ ให้โจทก์เสื่อมเสียสิทธิในสัญญากู้เงินฉบับเดิมแต่อย่างใดไม่ ทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้นำสัญญากู้เงินดังกล่าวไปฟ้อง คดีแพ่งและศาลชั้นต้นพิพากษาใหจ้ ำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แลว้ การกระทำของจำเลยทั้งสองในวันท่ี 28 สงิ หาคม 2558 จึงมิได้มีผลใหโ้ จทกห์ รอื ทำให้โจทกท์ ำ ถอน หรอื ทำลายเอกสารสิทธิอันจะเปน็ ความผิดฐาน ฉ้อโกงตามฟอ้ ง ฎกี าเลา่ เร่อื ง 443 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและมีบทกำหนดโทษไว้ ต่อมาใน ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีกฎหมายออกใช้บังคับ และให้ยกเลิกกฎหมายเดิม แต่กฎหมายใหม่ยังคง บัญญัติให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิด และเมื่อกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมาย สว่ นทเี่ ป็นคุณแก่ผูก้ ระทำความผิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7815/2561 คดีนี้โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.วัตถุท่ีออกฤทธ์ิต่อ จิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและมีบทกำหนดโทษตาม มาตรา 106 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนง่ึ ปถี งึ หา้ ปี และปรบั ตงั้ แตส่ องหมนื่ บาทถงึ หน่ึงแสนบาท ต่อมาในระหว่าง การพจิ ารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.วัตถุทอ่ี อกฤทธต์ิ อ่ จติ และประสาท พ.ศ.2559 ออกใช้บังคบั และใหย้ กเลิก พ.ร.บ.วัตถุทีอ่ อกฤทธิต์ อ่ จติ และประสาท พ.ศ.2518 แต่ พ.ร.บ.วตั ถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 มาตรา 88 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดยังคงบัญญัติให้การกระทำความผิด ตามฟ้องเป็นความผิดอยู่ โดย พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 มีกำหนดโทษตามมาตรา 140 วรรคหนึง่ ระวางโทษจำคกุ ตัง้ แตห่ นึง่ ปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหน่ึงแสนบาท หรือทัง้ จำทงั้ ปรับ โทษตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใชใ้ นภายหลงั การกระทำ ความผิดจึงเป็นคุณแก่จำเลยมากกวา่ พ.ร.บ.วตั ถทุ อี่ อกฤทธต์ิ ่อจติ และประสาท พ.ศ.2518 จงึ ตอ้ งใชก้ ฎหมายใน ส่วนที่เป็นคุณแกผ่ ู้กระทำความผิด ไมว่ ่าในทางใด ตาม ป.อ. มาตรา 3 ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 444 จำเลยที่ 1 เปน็ นติ บิ คุ คล ประกอบกิจการใหบ้ รกิ ารรบั จองตว๋ั เครอื่ งบิน ที่พัก สถานทที่ ่องเท่ยี ว มีจำเลยท่ี 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยว เมื่อไม่ได้ขอรับใบอนุญาต แต่

ร่วมกนั ขายโปรแกรมการท่องเที่ยว และผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยทัง้ สอง แต่ความจริงจำเลยทั้งสองไมไ่ ด้ ติดต่อซือ้ ตั๋วเครื่องบินหรือจองที่พัก นอกจากความผิดฐานฉ้อโกงแลว้ ยังเป็นความผดิ ฐานร่วมกันประกอบธุรกจิ นำเทย่ี วโดยไม่ไดร้ บั ใบอนุญาตอีกกระทงหนงึ่ คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 7677/2561 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนติ ิบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ใช้ช่ือ ว่า บริษัท ด. จำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ประกอบ กจิ การใหบ้ รกิ ารรบั จองต๋ัวเคร่ืองบนิ ท่ีพัก สถานที่ทอ่ งเท่ียว รวมท้งั กิจการอ่นื ทเ่ี ก่ยี วข้อง ถอื ได้ว่า จำเลยท้ังสอง ร่วมกันประกอบธุรกจิ นำเที่ยวตามบทนยิ ามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจนำเท่ียวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากนายทะเบียน แต่ได้ร่วมกัน ขายโปรแกรมการทอ่ งเท่ียวและจดั บริการให้แกผ่ ู้เสียหาย เพ่อื นำเท่ียวในจงั หวัดภูเกต็ และกระบี่ และผู้เสยี หายได้ โอนเงินเข้าบัญชีจำเลยทั้งสอง แต่ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองไม่ได้ติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือจองที่พักให้แก่ จำเลยทั้งสองเลย นอกจากความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองยังเป็นความผิดฐานร่วมกัน ประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 มาตรา 15 วรรคหน่ึง, 80 ด้วยอกี กระทงหน่งึ ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 445 แม้จำเลยที่ 1 จะพ้นโทษในคดีก่อนเกินกว่า 5 ปี แต่การกระทำผิดคดีนี้ไม่ใช่ความผิดโดยประมาท หรือ ลหโุ ทษ จงึ ไมอ่ าจรอการกำหนดโทษใหไ้ ด้ ส่วนจำเลยท่ี 2 ซึ่งพ้นโทษยงั ไมเ่ กิน 5 ปี และคดีก่อนกบั คดนี ตี้ า่ งไม่ใช่ ความผิดโดยประมาทหรือลหโุ ทษ โดยคดีก่อนจำคุกเกนิ 6 เดอื น จึงไมอ่ าจรอการกำหนดโทษใหไ้ ดเ้ ชน่ กนั คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7503/2561 สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งพ้นโทษในคดีก่อนเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 นับถึงวันกระทำความผิดคดีนีแ้ ม้จะเกินกว่า 5 ปีก็ตาม แต่เมือ่ มากระทำความผิดคดีนี้ซึ่งไม่ใช่ความผิดที่ ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหโุ ทษ จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่จะรอการกำหนดโทษให้ ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งพน้ โทษในคดีก่อนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2556 และกลบั มากระทำความผิดในคดนี ี้อีกเม่อื วันที่ 28 มีนาคม 2560 จึงยังพ้นโทษมาไม่เกิน 5 ปี ทั้งความผิดในคดีก่อนคือคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 837/2552 ของศาลจงั หวัดนางรอง และความผดิ คดีน้ตี า่ งก็ไมใ่ ชค่ วามผิดท่ีได้กระทำโดยประมาทหรอื ความผดิ ลหุโทษ โดยโทษจำคุกในคดกี ่อนมกี ำหนด 5 ปี 3 เดือน ซึ่งเป็นโทษจำคุกเกินกว่า 6 เดือน กรณีของจำเลยที่ 2 จงึ ไมอ่ ยู่ในหลกั เกณฑ์ที่จะรอการกำหนดโทษใหไ้ ด้เชน่ เดียวกนั

ฎกี าเลา่ เรอื่ ง 446 การกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนผู้กระทำความผิดต้องมีเวลาคิดไตร่ตรองและทบทวนแล้ว จึงตกลงใจทำ มิใช่เกิดขึ้นโดยปจั จุบันทันด่วน และการจะเป็นตัวการร่วมก็จะต้องมีลักษณะวางแผนและคบคิดมาแต่ต้นแล้วจงึ ตกลงใจกระทำความผิด แม้การทา้ ทายถอื ได้วา่ เปน็ พฤตกิ ารณ์คดิ ไตรต่ รองจะฆา่ โจทก์รว่ มท่ี 2 แตโ่ จทก์ร่วมที่ 2 ปฏิเสธคำท้าทายของจำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยทั้งสามย่อมไม่อาจเริ่มลงมือกระทำตามคำท้าทายได้ เมื่อจำเลยท้ัง สามไม่รู้ว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ไปไหนหรืออยูท่ ี่ใด และออกตามหาโจทก์ร่วมที่ 2 ต่อไปหรือไม่ จึงต้องฟังว่าจำเลยทง้ั สามพบโจทก์ร่วมที่ 2 ในที่เกิดเหตุโดยไม่คาดคิดมาก่อน จำเลยที่ 1 ชักอาวุธปืนออกมายิงโจทก์ร่วมที่ 2 ทันที ไมไ่ ด้เกดิ ข้นึ จากการวางแผนแตเ่ ปน็ การตดั สนิ ใจเฉพาะหน้า ส่วนการตามไล่ยิงเป็นเพยี งการกระทำตอ่ เนื่อง จงึ ไม่ เปน็ การไตร่ตรองไวก้ ่อน คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 7159/2561 การกระทำโดยไตรต่ รองไวก้ ่อนผกู้ ระทำความผิดตอ้ งไดม้ เี วลาคดิ ไตร่ตรองและทบทวนแล้วจึงตกลงใจที่จะฆ่าผู้อื่น หาใช่กรณีที่เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วนไม่ และการจะเป็น ตวั การรว่ มฐานความผดิ ดงั กล่าวจะต้องมลี กั ษณะมกี ารวางแผนและคบคิดมาแตต่ น้ โดยคิดไตรต่ รองทบทวนแล้ว จึงตกลงใจกระทำความผิด แม้การท้าทายถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์คิดไตร่ตรองจะฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2 แ ต่เมื่อโจทก์ ร่วมที่ 2 ปฏิเสธคำท้าทายของจำเลยที่ 3 ทางโทรศัพท์แล้ว จำเลยทั้งสามย่อมไม่สามารถเริ่มลงมือกระทำแก่ โจทก์ร่วมที่ 2 ตามคำท้าทายได้ ประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามรูว้ ่าหลังจากวางสายโทรศพั ท์ แล้วโจทก์ร่วมที่ 2 ไปไหนหรืออยู่ที่ใด และจำเลยท้ังสามออกตามหาโจทก์รว่ มที่ 2 ต่อไปหรือไม่ กรณีจึงต้องฟัง ว่าจำเลยท้ังสามมาพบโจทกร์ ่วมที่ 2 ในทีเ่ กดิ เหตุโดยไมไ่ ดค้ าดคิดมาก่อน การท่จี ำเลยที่ 1 ชักอาวุธปนื ออกมายงิ โจทก์ร่วมที่ 2 ทันที ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการวางแผนจัดเตรียมของจำเลยทั้งสาม แต่เป็นการตัดสินใจเฉ พาะหน้า ของจำเลยที่ 1 ในทันทีที่ขับรถมาพบโจทก์ร่วมที่ 2 โดยบังเอิญ ส่วนการตามไล่ยิงไปอย่างกระชั้นชิดจนถึงบ้าน โจทก์ร่วมท่ี 3 ก็ยงั ไดย้ งิ เขา้ ไปในบ้านอีก 1 นัด เป็นเพียงการกระทำตอ่ เนอ่ื งหลังจากประสบโอกาสที่จะยิงโจทก์ ร่วมที่ 2 อยา่ งทันทีทันใดเทา่ นน้ั การกระทำของจำเลยทัง้ สามไมเ่ ป็นการไตรต่ รองไวก้ ่อน ฎีกาเล่าเรอ่ื ง 447 เงินที่ให้ตอ่ กันโดยมิใช่เพือ่ วัตถุประสงค์เป็นประกันการปฏิบัตติ ามสัญญา แม้จะให้ในวันทำสญั ญาก็ไม่ถอื ว่าเป็นมัดจำ แม้โจทก์จะมอบเงินให้จำเลยในวันทำสัญญาและระบุในสัญญาว่าเป็นมัดจำ แต่ข้อความต่อ ไปได้ ความว่า หากโจทกผ์ ดิ สัญญายินยอมใหจ้ ำเลยริบเงนิ ดงั กล่าว จึงเปน็ การกำหนดค่าเสียหายอันเกิดแต่การไม่ชำระ หนมี้ ลี กั ษณะเปน็ เบ้ยี ปรบั เมอ่ื สงู เกินสมควร ศาลย่อมใช้ดลุ พินิจลดลงได้ เม่ือศาลฎีกาพพิ ากษาให้จำเลยชำระหน้ี แก่โจทก์ จำเลยจงึ ตอ้ งชำระดอกเบ้ียอตั รารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี นบั แตว่ นั ทอี่ ่านคำพิพากษาศาลฎกี า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7123/2561 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 บัญญัติว่า เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้ สิ่งใดไว้เป็นมัดจำท่านให้ถือว่าการที่ใหม้ ดั จำน้ันยอ่ มเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันข้ึนแล้ว อนึ่ง มัดจำ นี้ย่อมเป็นประกนั การปฏิบัติตามสัญญานัน้ ดว้ ย ดังน้ัน เงินที่ให้ต่อกนั โดยมใิ ช่เพื่อวตั ถปุ ระสงค์ดังกล่าว แม้จะให้ ในวันทำสญั ญาก็ไม่อาจถอื ไดว้ ่าเป็นมัดจำ แม้โจทกจ์ ะมอบเงิน 500,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาและ ระบุในสญั ญาขอ้ 2 ว่าเป็นมัดจำก็ตาม แตข่ อ้ ความในสญั ญาข้อ 2 และขอ้ 3 สามารถสรปุ ใจความวา่ หากโจทก์ ผิดสัญญายินยอมให้จำเลยริบเงิน 500,000 บาท ดังกล่าว เงิน 500,000 บาท จึงเป็นการกำหนดค่าเสยี หาย อันเกดิ แตก่ ารทโี่ จทกซ์ ง่ึ เป็นลกู หน้ไี ม่ชำระหนีใ้ หแ้ กจ่ ำเลยจงึ มลี ักษณะเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 ซึ่ง เบี้ยปรับนั้นสูงเกินสมควร ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับนั้นลงได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึง่ เมอื่ พเิ คราะหท์ างได้เสียของเจา้ หนี้ทกุ อยา่ งอันชอบด้วยกฎหมายแลว้ เห็นสมควรกำหนดใหจ้ ำเลยริบเบ้ียปรับได้ 130,000 บาท จำเลยจึงต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ 370,000 บาท เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย ชำระเงิน 370,000 บาท จำเลยจึงมีหนี้เป็นจำนวนที่แน่นอนและเป็นที่ยุติว่าตอ้ งชำระนับแต่วันทีจ่ ำเลยทราบ คำพพิ ากษาศาลฎีกา จำเลยจึงต้องชำระดอกเบี้ยอัตรารอ้ ยละ 7.5 ต่อปี นบั แต่วนั ทอี่ ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหน่งึ ฎีกาเล่าเรอื่ ง 448 การร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกงถือเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล พนักงานอัยการโจทก์ย่อมมี อำนาจเรียกร้องทรัพยส์ นิ หรอื ราคาแทนผเู้ สียหายได้ ไม่ว่าผูเ้ สียหายจะร้องขอเข้าร่วมเปน็ โจทกห์ รือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8905/2561 (ประชุมใหญ่) การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ใน ความผิดฐานฉ้อโกง ย่อมนำไปสู่การฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ ไม่ว่าโจทก์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ พนักงานอัยการหรือไม่ ก็มีผลเป็นการเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่โจทก์สูญเสียไปจากการกระทำความผิดคนื โดยพนักงานอัยการดำเนินการแทนแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 โจทก์ไม่ต้องทวงถามหรือฟ้องคดีแพง่ เพ่ือบงั คับ จำเลยชำระหน้อี ีก การร้องทุกข์ของโจทกจ์ ึงเป็นกรณที ่ีโจทกจ์ ะใช้สิทธิเรยี กร้องทางศาลใหจ้ ำเลยชำระหน้แี ลว้ ฎกี าเล่าเรือ่ ง 449 โจทกฟ์ ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกนั มเี มทแอมเฟตามนี 193 เม็ด ไวใ้ นครอบครองเพอ่ื จำหน่ายและรว่ มกนั พยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดงั กลา่ ว 191 เม็ด แต่ทางพิจารณากลับได้ความวา่ เมทแอมเฟตามนี 2 เม็ด ที่ค้นพบภายหลังเป็นของจำเลยมีไว้เพื่อเสพและเป็นคนละส่วนกับเมทแอมเฟตามีนที่มีไว้ในครอบครองเพื่อ จำหน่ายและพยายามจำหน่าย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 191 เม็ด ไว้ใน ครอบครองเพือ่ จำหน่ายและพยายามจำหน่ายกรรมหนง่ึ และฐานมีเมทแอมเฟตามนี 2 เม็ด ไว้ในครอบครองโดย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook